Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัย

วิจัย

Published by ชนินาฏ สีทอง, 2023-07-06 13:50:31

Description: วิจัย

Search

Read the Text Version

รายงานการวิจัย เร่ือง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนร้วู ชิ าวิทยาศาสตร์ เรื่อง สว่ นต่าง ๆ และหน้าท่ี ของพืช โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1 โดย นางสาวชนนิ าฏ สที อง รหัสนักศึกษา 62031280186 กลมุ่ เรียน 23 รายงานการวจิ ยั ฉบบั น้ีเปน็ สว่ นหน่งึ ของวชิ าการปฏิบตั กิ ารสอนในสถานศึกษา 4 คณะครศุ าสตร์ สาขาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอตุ รดิตถ

รายงานการวจิ ัย เรื่อง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นร้วู ิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง สว่ นต่าง ๆ และหน้าที่ ของพชื โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 โดย นางสาวชนนิ าฏ สที อง รหสั นกั ศึกษา 62031280186 กลมุ่ เรยี น 23

รายงานการวจิ ยั ฉบบั นเ้ี ป็นสว่ นหนงึ่ ของวชิ าการปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศกึ ษา 4 คณะครศุ าสตร์ สาขาการประถมศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏอตุ รดิตถ์

ก กติ ตกิ รรมประกาศ งานวจิ ัยฉบับนี้สำเร็จลงไดด้ ว้ ยดี เน่อื งจากได้รบั ความกรุณาอยา่ งสงู จาก อาจารยอ์ สิ ระ ทับสสี ดอาจารยท์ ี่ ปรึกษางานวจิ ัย ทกี่ รุณาใหค้ ำแนะนำปรึกษาตลอดจนปรบั ปรงุ แกไ้ ขขอ้ บกพร่องตา่ ง ๆ ด้วยความเอา ใจใส่อยา่ งดยี ่ิง ผวู้ ิจยั ตระหนกั ถึงความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของอาจารยแ์ ละขอกราบขอบพระคณุ เป็นอย่างสูง ไว้ ณ ที่น้ี ขอขอบพระคุณ ครกู มลณทั พรมวังชวา ครูอมรรัตน์ ผิวรตั น์ และครูอนงค์ เพ็งป่าแตว้ ครูชำนาญการ พเิ ศษ โรงเรียนอนบุ าลอตุ รดติ ถ์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุตรดติ ถซ์ ่ึงเป็นผูท้ รงคณุ วุฒทิ ่ีให้ความอนุเคราะหต์ รวจสอบ คณุ ภาพเครอ่ื งมือ จนทำให้งานวิจยั น้ีสำเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี ผู้วิจยั หวงั ว่า งานวิจยั ฉบบั นีจ้ ะมปี ระโยชนอ์ ย่ไู ม่น้อย จงึ ขอมอบส่วนดี ทั้งหมดน้ใี ห้แก่เหลา่ ครูทไี่ ดป้ ระ สทิ ธิประสาทวิชาจนทำให้ผลงานวิจยั เป็นประโยชนต์ อ่ ผทู้ ี่เก่ียวขอ้ งและขอมอบความกตัญญู กตเวทิตาคุณ แด่บิดา มารดา และผ้มู ีพระคณุ ทกุ ท่าน สำหรับข้อบกพร่องตา่ ง ๆ ทีอ่ าจจะเกิดขน้ึ นัน้ ผู้วจิ ัยขอน้อมรบั ผดิ เพยี งผูเ้ ดียว และ ยินดีทจ่ี ะรบั ฟังคำแนะนำจากทุกทา่ นที่ไดเ้ ขา้ มาศกึ ษา เพอื่ เป็นประโยชนใ์ นการพฒั นางานวิจัยต่อไป

ข การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นรูว้ ิชาวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง สว่ นต่าง ๆ และหน้าทข่ี องพชื โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ของนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 ช่อื ผู้วจิ ัย : ชนินาฏ สที อง *นกั ศกึ ษา อาจารย์ท่ีปรกึ ษา : อาจารยอ์ สิ ระ ทับสสี ด ปีทที่ ำการวิจยั : 2565 บทคดั ย่อ การวจิ ัยครั้งน้ีกระทำกับกล่มุ ตัวอย่างเดียวท่ีถูกคัดเลือกโดยวธิ ีการสุ่มตามหลักการความน่าจะเป็นอย่าง งา่ ยจากนักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอตุ รดติ ถ์ การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาแบบฝึกทักษะเร่ืองส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดิตถ์ อำเภอเมือง จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้เรื่องกส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ 3) เพื่อวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ อตุ รดิตถ์ อำเภอเมือง จังหวัดอตุ รดิตถ์ ที่มีต่อการทดลองใช้แบบฝึกทักษะจัดกจิ กรรมการเรียนร้เู รอื่ งส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืช ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นแบบก่ึงทดลอง เคร่ืองมือการวิจัยซ่ึงผ่านการหาประสิทธิภาพแล้ว ประกอบด้วยแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม และ แบบทดสอบ วเิ คราะหข์ ้อมูลดว้ ยคา่ เฉล่ีย สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และ Paired – Sample t Test ผลการวิจยั พบว่า แบบฝึกทกั ษะ สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการของอารยี ์ บวั คุ้มภยั (2540) น้ัน ภายหลังทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอ่านสะกดคำควบกล้ำ เพ่ือการพัฒนาทักษะด้านการอ่าน สะกดคำ แล้วนำผลมาเปรยี บเทียบกบั ทกั ษะด้านการอา่ นสะกดคำ ท่อี ยเู่ ดมิ ดว้ ยแบบทดสอบ-หลงั การใชน้ วัตกรรม ด้วยวธิ ีดงั กล่าวทักษะด้านการอ่านสะกดคำของกลุ่มตัวอย่างทมี่ ีอยู่เดิมอยทู่ ่ีระดับดี เมอ่ื เทยี บกับเกณฑ์ของ สพฐ. และจากการทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะ อยู่ที่ระดบั ดี เมอื่ เทียบกับเกณฑ์เดียวกัน และเม่อื วิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบดว้ ย

ค Paired – Sample t Test ทกั ษะด้านการอ่านสะกดคำควบกล้ำ สงู กว่าท่ีมอี ยู่เดิมอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ี 0.05 หรอื ท่ีระดบั ความเช่ือม่นั 95% มีความพงึ พอใจต่อเฉพาะการทดลองใชแ้ บบฝึกทักษะทีร่ ะดบั มาก *นกั ศึกษาวิชาเอกสาขาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุตรดติ ถ์ นางสาวชนินาฏ สีทอง สารบัญ บทที่ หนา้ กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………………………………………ก บทคดั ย่อภาษาไทย…………..…………………………………………………………………………………………………………………ข บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ…………..…………………………………………………………………………………………………………….ค สารบญั …………..………………………………………………………………………………………………………………………………….ง สารบัญตาราง…………..………………………………………………………………………………………………………………………...ฉ สารบญั ภาพประกอบ…………..………………………………………………………………………………………………………………ช 1 บทนำ…………………………………………………………………………………………………………………………………1 ท่มี าและความสำคญั ของปัญหา…………………………………………………………………………………………...3 คำถามวิจัย…………………………………………………………………………………………………………………..…….4 วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย……………………………………………………………………………………………………..4 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ…………………………………………………………………………………………………..4 ขอบเขตของการวจิ ยั …………………………………………………………………………………………………………..4 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ……………………………………………………………………………………………………………….5 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง……………………………………………………………………………………………7 หลกั การใช้อกั ษรควบกล้ำ……………………………………………………………………………………………..……7 แนวคดิ เกยี่ วกับการอา่ น……………………………………………………………………………………………..………8

ง แบบฝกึ ทักษะ……………………………………………………………………………………………..…………………….8 หลักการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ……………………………………………………………………………………………..…9 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ……………………………………………………………………………………………….9 งานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง……………………………………………………………………………………………..…………...11 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ัย……………………………………………………………………………………………..……….…….13 ระเบียบวิธวี ิจัย……………………………………………………………………………………………..…………………13 แหลง่ ข้อมลู การวิจยั ……………………………………………………………………………………………..………….13 เครอ่ื งมอื การวิจยั ……………………………………………………………………………………………..……………..13 การดำเนนิ การรวบรวมขอ้ มูล……………………………………………………………………………………………17 การวิเคราะหข์ ้อมลู ……………………………………………………………………………………………..…………..18 การนำเสนอการวเิ คราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………………..19 บทที่ หนา้ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ………………………………………………………………………….…………..…………………20 ผลการพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการอ่านสะกดคำ……………………………………….…………..…………………..20 การพฒั นาผลการเรยี นรู้………………………………………………………………………….…………..………………21 ผลการเรียนรู้………………………………………………………………………….…………..……………………………..24 ระดบั ความพงึ พอใจ………………………………………………………………………….…………..……………………25 5 สรปุ ผลการวิจัย………………………………………………………………………….…………..………………………….28 อภิปรายผลการวิจยั ………………………………………………………………………….…………..……………………29 ข้อเสนอแนะผลการวิจัย………………………………………………………………………….…………..……………..31 บรรณานุกรม

จ ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั ภาคผนวก ข คา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง และคา่ อำนาจจำแนกของเครือ่ งมือ ประย่อของผวู้ ิจยั สารบญั ตาราง ตาราง หน้า 1 ผลการประเมนิ ความเหมาะสมของแบบฝกึ ทักษะการอา่ นสะกดคำควบกล้ำ…………………………………………20 2 คะแนนผลการเรยี นรเู้ รอื่ ง การอ่านสะกดคำควบกล้ำ จากการจัดกจิ กรรมที่แตกต่างกบั …………………………22 2 นวตั กรรมกัน กล่มุ ตัวอยา่ งเดยี วกัน 3 ผลการเปรยี บเทยี บผลการ ผลการเรยี นรู้เรื่องการอ่านสะกดคำควบกล้ำระหวา่ งการจัด…………………………23 กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยทดลองใช้การสอนตามหนงั สือ และโดยทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะ 4 คะแนนผลการทดลองใช้แบบฝึกทักษะจัดกจิ กรรมการเรยี นรเู้ พือ่ พฒั นาการอ่านสะกดคำ……………………..24

ฉ ของนักเรยี นระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 5 ระดับความพงึ พอใจของนกั เรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน………………………26 23 คนที่มีตอ่ การทดลองใชแ้ บบฝึกทกั ษะจัดกจิ กรรมการเรยี นรเู้ ร่อื งการอ่านสะกดคำควบกลำ้ สารบญั ภาพประกอบ ภาพประกอบ หน้า 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………………..6



8 บทท่ี 1 บทนำ ทม่ี าและความสำคัญของปญั หา วทิ ยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญอยา่ งย่งิ ในสังคมโลกปจั จุบันและอนาคตเพราะวทิ ยาศาสตร์เกีย่ วข้องกับ ชีวติ ของทุกคนทง้ั ในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชพี ต่าง ๆ เครื่องมอื เครอ่ื งใช้ตลอดจนผลผลติ ต่าง ๆ ทใ่ี ช้เพอื่ อำนวยความสะดวกในชวี ติ และในการทำงานล้วนเปน็ ผลของความรวู้ ทิ ยาศาสตร์ผสมผสานกับความ คดิ สรา้ งสรรคแ์ ละศาสตรอ์ น่ื ๆ ความรวู้ ิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพฒั นาเทคโนโลยอี ย่างมากในทางกลบั การ เทคโนโลยกี ็เปน็ ส่วนสำคัญมากท่ีจะทำให้มีการศึกษาค้นควา้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพม่ิ ขึ้นอย่างไม่หยดุ ยง้ั ใน ส่วนของการจดั กระบวนการเรียนร้วู ิทยาศาสตรไ์ ดร้ ะบใุ ห้สถานศกึ ษาดำเนินการจัดการเรยี นรูต้ ามแนวดังกล่าว จำเป็นตอ้ งเปล่ียนพฤตกิ รรมการเรียนการสอนท้ังครูและนกั เรียน กล่าวคอื ลดบทบาทของครูผู้สอนจากการ เปน็ ผบู้ อกเล่า บรรยาย สาธติ เป็นการวางแผนจัดกิจกรรมให้นักเรียนเกิดการเรียนร้กู ิจกรรมต่าง ๆ จะต้องเนน้ ที่บทบาทของนักเรียนต้ังแต่เริม่ คือร่วมวางแผนการเรียนการวดั ประเมินผลและตอ้ งคำนงึ ว่ากิจกรรมการเรยี น น้ันเน้นการพัฒนากระบวนการคิด วางแผน ลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆจาก แหลง่ เรียนรู้หลากหลายตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปญั หา การมีปฏิสมั พันธ์ซ่ึงกนั และกนั องคค์ วามร้ทู ั้งนี้ กจิ กรรมการเรียนรู้ดังกล่าวตอ้ งพัฒนานกั เรียนให้เจริญทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา การจัดการ เรียนการสอนวิธีใดท่ีจะทำให้นักเรียนเข้าใจงา่ ยและทำได้เรียนแล้วอยากเรียนอาจทดลองรูปแบบและมีการ ปรับเปล่ียนวิธีการสอนที่จะทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มศักยภาพ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอันจะนำไปสู่การ พัฒนาที่ยัง่ ยืนของผเู้ รยี น (สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาปทุมธานี เขต 1. 2549) จากการที่ได้มอบหมายเปน็ ครูผสู้ อนในระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1 และต้องจัดการเรยี นการสอนใน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้พบปัญหา คือ นักเรียนไม่สามารถบอกได้ว่าส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชมี อะไรบ้าง ในระดับช้นั ประถมศึกษาซง่ึ เป็นการเรยี นการสอนค่อนข้างยาก ผู้วจิ ัยจึงได้ศึกษาค้นคว้าและพบว่า วิธีการหนึง่ ที่จะช่วยในการจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ใหไ้ ด้ผลโดยการให้นักเรียนได้ลงมือฝึกปฏบิ ัติใน แบบฝกึ ทกั ษะ จากสาเหตุของปัญหาดังกล่าว และความสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และ หน้าท่ีของพืช ผู้วิจัยมีความสนใจท่ีจะพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์เพ่ือแก้ปัญหาผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนให้มีผลสมั ฤทธ์ิสงู ขน้ึ โดยตอ้ งการให้ผ้เู รยี นไดร้ บั การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรือ่ ง ส่วนต่าง ๆ และ

9 หนา้ ทขี่ องพืช โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะที่ชว่ ยการพัฒนาผู้เรียนใหม้ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู ข้นึ ผลจากการศึกษา ครัง้ นจี้ ะสามารถส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นมคี วามสามารถพ้นื ฐานในการศึกษาในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ไดเ้ ป็นอย่างดี คำถามการวจิ ยั 1. การพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะเรื่องสว่ นต่าง ๆ และหน้าท่ขี องพืชของนกั เรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุตรดิตถ์ อำเภอเมือง จงั หวัดอตุ รดิตถ์ทำอยา่ งไร 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่องส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชระหว่างกอ่ นและหลังการใช้แบบฝึก ทกั ษะเปน็ อยา่ งไร 3. ระดับความพึงพอใจของนักเรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อตุ รดิตถ์ อำเภอเมือง จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ มตี อ่ การทดลองใช้แบบฝึกทกั ษะจดั กิจกรรมการเรียนรูเ้ ร่ืองส่วนต่าง ๆ และหนา้ ทข่ี องพืชเป็นอย่างไร วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั 1. เพ่อื พัฒนาแบบฝึกทกั ษะเร่ืองส่วนตา่ ง ๆ และหนา้ ทีข่ องพืชของนักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดิตถ์ อำเภอเมอื ง จงั หวัดอุตรดิตถ์ 2. เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เร่ืองกส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชระหว่างก่อนและ หลังการใช้แบบฝึกทักษะ

10 3. เพ่ือวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอตุ รดติ ถ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ทีม่ ีต่อการทดลองใช้แบบฝึกทักษะจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหน้าทีข่ องพชื ผลและประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ ับ 1. มีแบบฝึกทักษะ เรื่อง ส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดติ ถ์ อำเภอเมอื ง จงั หวัดอตุ รดิตถ์ 2. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ท้ังช้ันเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้เรื่องส่วนตา่ ง ๆ และ หน้าท่ีของพชื ระดบั ดี เมือ่ ใช้แบบฝกึ ทกั ษะแทนวิธแี ละเทคนิคการสอนเดมิ 3. ความสำเร็จของงานวจิ ัยสามารถใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้ของนักเรียน กลุ่มสาระการเรยี นรู้อืน่ ๆ ขอบเขตการวจิ ัย 1.ขอบเขตดา้ นประชากร นกั เรียนชั้นระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 1/5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดติ ถ์ อำเภอเมอื ง จงั หวัด อุตรดติ ถ์ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 โดยการสุ่มตัวอย่างซ่งึ เปน็ กลุ่มเจาะจงจำนวน 18 คน 2.ขอบเขตด้านตัวแปร 2.1 ตวั แปรอิสระ 2.1.1 การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชโดยใช้วิธแี ละ เทคนิคการสอนวิธีเดิมตามของโรงเรียนกับนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน สาธติ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอตุ รดิตถ์

11 2.1.2 การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง สว่ นตา่ ง ๆ และหน้าท่ีของพืชโดยใช้แบบฝึก ทกั ษะกบั นักเรียนระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 2.2 ตัวแปรตาม ประกอบดว้ ย 3 ตัวแปรคือ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง ส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ โดยใช้วิธีและ เทคนคิ การสอนวิธเี ดิมตามของโรงเรียน 2.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชของนักเรียน ระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ หลังจากจัด กจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ 2.2.3 ระดับความพึงพอใจของนักเรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสาธิต มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ อำเภอเมอื ง จังหวัดอุตรดติ ถ์ ทมี่ ตี อ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สว่ นตา่ ง ๆ และหน้าท่ีของพชื โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ 3.ขอบเขตด้านเน้ือหา การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่ือง สว่ นตา่ ง ๆ และหนา้ ที่ของพืช ตามมาตรฐานตัวชว้ี ัดท่ี ว 1.2 ป.1/1 ระบุชื่อ บรรยายลักษณะและบอกหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช รวมทั้ง บรรยายการทำหนา้ รว่ มกนั ของสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายมนษุ ยใ์ นการทำกิจกรรมตา่ ง ๆ จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ 4.ขอบเขตด้านระยะเวลาและสถานท่ี ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมิถุนายนถงึ เดือนกันยายน พ.ศ.2565 ทำวิจัยที่โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุตรดติ ถ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดติ ถ์ คำนิยามศัพท์เฉพาะ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1/5 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดิตถ์ อำเภอเมอื ง จงั หวัดอุตรดิตถ์ 2. แบบฝกึ ทกั ษะ หมายถงึ แบบฝึกทักษะกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 ทผี่ ูว้ ิจัยสร้างขึ้นเพอื่ ใชใ้ นการฝกึ ปฏบิ ัติ

12 3. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นรู้ หมายถึง 3.1 ค่าคะแนนเฉล่ียท้ังห้องเรียนของนักเรียนนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จากการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เร่ือง ส่วนตา่ ง ๆ และหน้าที่ของพชื โดย ใช้วธิ แี ละเทคนิคการสอนวธิ เี ดมิ 3.1 ค่าคะแนนเฉลี่ยทั้งห้องเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภฏั อตุ รดิตถ์ เมอื ง จังหวัดอุตรดิตถ์ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ ร่ือง ส่วนตา่ ง ๆ และหนา้ ที่ของพืชโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ 4. การพัฒนาผลสัมฤทธิก์ ารเรียนรู้ หมายถงึ ค่าคะแนนเฉลี่ยทง้ั หอ้ งชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี น สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ท่ีเพ่ิมข้ึนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี α = 0.05 เม่ือเปรียบเทียบผลการ เรยี นรู้ เรอื่ ง ส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยวิธีและเทคนคิ การสอนวิธีเดิม กับการใช้แบบฝกึ ทักษะ 5. ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความพึงพอใจดา้ นเอกสาร กิจกรรม ตัวครู บรรยากาศ และด้านความรู้ ความเข้าใจเน้ือหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอตุ รดิตถ์ ทมี่ ีตอ่ การ จดั กจิ กรรมการเรียนรูเ้ รื่อง ส่วนตา่ ง ๆ และหน้าท่ขี องพชื โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ 6. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภัฏอตุ รดิตถ์ ทม่ี ีตอ่ การทดลองใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะจัดกิจกรรมการเรียนรูเ้ รอ่ื งสว่ น ตา่ ง ๆ และหน้าท่ีของพชื โดยระดับความพึงพอใจแต่ละด้านดังกล่าวข้อ 7 จะอ้างอิงตามเกณฑ์ระดับคะแนน เฉลยี่ ของบุญชม ศรีสะอาด (2545) ดงั นี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจทรี่ ะดบั มากสดุ คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจที่ระดับมาก คะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจทีร่ ะดบั ปานกลาง คะแนนเฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจที่ระดับนอ้ ย คะแนนเฉล่ยี 1.00 – 1.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด กรอบแนวคดิ ในการวิจยั

13 การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนรู้ บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง ในการศึกษาวิจัยครง้ั น้ี เป็นการศึกษาเก่ียวกับการพัฒนา เพ่ือแก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอน วิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภัฏอตุ รดติ ถ์ โดยผูว้ ิจัยได้ ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง และไดน้ ำเสนอตามหัวขอ้ ตอ่ ไปนี้

14 1. หลักสตู รการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 25560) กล่มุ สาระ การเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 2. แบบฝึกทักษะ 3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรู้ 4. ระดับความพึงพอใจ 5. งานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง หลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 25560) กล่มุ สาระการ เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 น้ี ได้กำหนดสาระการเรยี นรู้ออกเป็น 4 สาระ ไดแ้ ก่ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระท่ี 4 เทคโนโลยี มสี าระเพ่ิมเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซง่ึ องค์ประกอบของหลักสตู รท้ังในด้านของเนื้อหา การจัดการเรยี นการสอน และการ วดั และประเมินผลการเรยี นรนู้ น้ั มีความสำคัญอย่างย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนใน แต่ละระดับชั้น ให้มคี วามต่อเน่อื งเชอื่ มโยงกนั ตั้งแต่ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 1 จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สำหรับ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรไ์ ด้กำหนดตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ท่ผี ูเ้ รยี นจำเปน็ ต้องเรยี นเป็น พ้นื ฐาน เพื่อให้สามารถนำความรู้น้ีไปใช้ในการดำรงชีวิตหรือศกึ ษาต่อในวิชาชีพท่ีต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดย จัดเรียงลำดับความยากง่ายของเน้อื หาแตล่ ะสาระในแต่ละระดบั ช้ันให้มีการเช่อื มโยงความรู้กับกระบวนการ เรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิดท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สรา้ งสรรค์ คดิ วิเคราะหว์ ิจารณ์ มที กั ษะท่ีสำคัญท้งั ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานท่ีตรวจสอบได้สถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตรท์ ี่มุ่งหวังให้ เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อผู้เรียนมากท่ีสุด จึงได้จัดทำตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่ มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น เพอ่ื ให้สถานศกึ ษา ครูผู้สอนตลอดจนหน่วยงานตา่ ง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการพฒั นาหนังสือเรียน ค่มู อื ครู ส่ือ

15 ประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่ม สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้ เดยี วกนั และระหวา่ งสาระการเรยี นรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเชือ่ มโยงเน้ือหาความรู้ ทางวทิ ยาศาสตร์กับคณติ ศาสตร์ดว้ ย นอกจากนี้ยังได้ปรบั ปรุงเพอื่ ให้มคี วามทนั สมัยต่อการเปล่ยี นแปลง และ ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2560) เปา้ หมายของวทิ ยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรม์ ุ่งเน้นให้ผเู้ รียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากท่ีสุด เพื่อให้ได้ทั้ง กระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจดั ระบบเป็น หลักการ แนวคดิ และองค์ความรู้ (สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์จึงมีเปา้ หมายท่ีสำคญั ดังนี้ 1. เพอื่ ใหเ้ ข้าใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎท่ีเป็นพ้ืนฐานในวิชาวทิ ยาศาสตร์ 2. เพอื่ ให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และขอ้ จำกัดในการศกึ ษาวชิ าวิทยาศาสตร์ 3. เพอ่ื ให้มีทกั ษะท่ีสำคัญในการศกึ ษาค้นคว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี 4. เพ่ือให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และ สภาพแวดล้อมในเชงิ ที่มอี ิทธิพลและผลกระทบซง่ึ กนั และกัน 5. เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดำรงชวี ติ 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปญั หา และการจดั การ ทักษะ ในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ 7. เพ่ือให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ

16 มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ ส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่มี ีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสิ่งแวดล้อมรวมท้ังนำความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัตขิ องสิง่ มชี ีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสง่ิ มีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทำงานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมสาร พนั ธกุ รรม การเปล่ยี นแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลตอ่ ส่ิงมชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการของ สงิ่ มีชีวติ รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลือ่ นท่แี บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสมั พันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้อง กบั เสียง แสง และคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทั้งนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ัฒนาการของเอกภพกาแล็กชี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อส่ิงมีชีวิต และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ

17 มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลก รวมทงั้ ผล ต่อสง่ิ มีชีวิตและส่งิ แวดล้อม สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ทคนโลยอี ย่างเหมาะสม โดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอยา่ งเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รเู้ ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม แบบฝกึ ทกั ษะ จากการท่ีได้มีผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาไว้อย่างมากมาย และ หลากหลายรูปแบบ มีนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทหน่ึงท่ีได้รับความนิยมใช้ในการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรยี น ก็คอื แบบฝึกทักษะ ซ่ึงไดม้ ีนกั การศึกษาหลายท่าน ได้ให้ ความหมายของแบบฝึก ทกั ษะ ไว้ดงั น้ี ราชบัณฑิตยสถาน (2546, หน้า 12) กล่าวว่า “ แบบฝึกหัดหรือชุดการสอนท่ีเป็นแบบฝึกที่ ใช้เป็น ตัวอยา่ งปัญหา หรอื คําสง่ั ทตี่ ้งั ขึ้นเพือ่ ใหน้ ักเรยี นฝึกตอบ” ศศิธร ธัญลักษณานันท์ (2542, หน้า 375) ได้ให้ความหมายแบบฝึกทักษะไว้ว่า หมายถึง แบบฝึก ทักษะทใ่ี ช้ฝกึ ความเข้าใจ ฝึกทักษะต่าง ๆ และทดสอบความสามารถของนักเรียนตาม บทเรียน ที่ครูสอนว่า นกั เรียนเข้าใจและสามารถนาํ ไปใชไ้ ดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด เตือนใจ ตรีเนตร (2544, หน้า 5) ไดใ้ ห้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า เป็นสื่อประกอบการ จัดกิจกรรม การเรยี นการสอน ซึง่ ช่วยให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเองได้ฝึกทกั ษะ เพ่ิมเติมจากเน้อื หาจน ปฏบิ ตั ิไดอ้ ยา่ งชาํ นาญและใหผ้ เู้ รียนสามารถนาํ ไปใช้ในชวี ิตประจาํ วนั ได้ โดยมีครเู ปน็ ผแู้ นะนาํ

18 ปฐมพร บญุ ลี (2545, หน้า 43) ได้ใหค้ วามหมายของแบบฝกึ ไวว้ า่ แบบฝึกทกั ษะ หมายถงึ สิง่ ท่ีผ้สู อน มอบหมายให้ผู้เรียนกระทําเพ่อื ฝึกฝนเนื้อหาต่างๆท่ไี ด้เรียนไปแล้วใหเ้ กิดความ ชาํ นาญมากข้ึน และ ให้ผ้เู รียน สามารถนําไปใช้ในชวี ิตประจาํ วันได้ พรพรหม อัตตวัฒนากุล (2547, หน้า 18) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึก คือ สิ่งที่ผ้สู อน มอบให้ผเู้ รยี นกระทาํ เพอื่ ฝกึ ฝนเนอื้ หาต่างๆ เพ่อื ใหเ้ กิดความชาํ นาญและสามารถ นาํ ไปแก้ปัญหาได้ สรุปได้วา่ แบบฝกึ หมายถึง สอ่ื การเรียนการสอนที่สรา้ งขึน้ เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นไดฝ้ ึกปฏิบัติ ดว้ ยตนเองจน เกดิ ความรู้ ความเข้าใจเพิ่มข้นึ โดยท่ีกิจกรรมท่ีได้ปฏิบัตใิ นแบบฝกึ นั้นจะครอบคลมุ เนือ้ หาทไ่ี ด้เรยี นไปแลว้ จะ ทาํ ให้นกั เรยี นมีความรู้และมีทกั ษะมากข้นึ เพราะมรี ปู แบบหรอื ลักษณะ ท่หี ลากหลาย หลักการสรา้ งแบบฝกึ ในการจัดทําแบบฝึกน้ัน ครตู ้องคํานึงถึงความแตกตา่ งของเด็กสว่ นใหญ่แล้วจัดทําแบบฝกึ ไว้ให้มาก พอทั้งเด็กเก่งและเด็กอ่อน จะเลือกทําได้ตามความสามารถ แบบฝึกน้ันควรชัดเจน มี ความหมายต่อการ นาํ ไปใช้ในชีวติ ประจาํ วัน การใชห้ ลกั จิตวทิ ยาของเด็กและการเนน้ ถงึ ความ แตกตา่ งระหว่างบุคคลในการสร้าง แบบฝกึ สํานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ (2537, หน้า 145-146) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการ สร้างแบบฝกึ ทักษะ ดังน้ี 1. ศกึ ษาปญั หาและความต้องการ โดยศกึ ษาจากการผ่านจดุ ประสงค์การเรยี นร้แู ละ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หากเป็นไปไดค้ วรศึกษาความตอ่ เน่ืองของปญั หาในทกุ ระดบั ชน้ั 2. วเิ คราะหเ์ นอ้ื หาหรือทักษะทเี่ ป็นปญั หาออกเปน็ เนื้อหาหรือทกั ษะยอ่ ยๆ เพอ่ื ใช้ในการ สร้างแบบทดสอบ 3. พจิ ารณาวตั ถุประสงค์ รปู แบบ และขั้นตอนการใชฝ้ ึก เช่น จะนําแบบฝึกไปใช้อย่างไร ใน แตล่ ะชุดจะประกอบด้วยอะไรบา้ ง 4. สรา้ งแบบทดสอบซ่งึ อาจมแี บบทดสอบเชิงสาํ รวจ แบบทดสอบเพ่ือวนิ จิ ฉยั ข้อบกพรอ่ ง แบบทดสอบความกา้ วหน้าเฉพาะเร่ือง เฉพาะตอน แบบทดสอบทสี่ รา้ งจะต้องสอดคล้องกับเนื้อหา 5. สรา้ งแบบฝึกเพอ่ื ใชพ้ ัฒนาทักษะยอ่ ยแตล่ ะทกั ษะในแตล่ ะบตั รจะมคี าํ ถามให้นักเรยี น ตอบกําหนดรปู แบบ ขนาดของบตั รพิจารณาตามความเหมาะสม 6. สร้างบัตรอ้างอิง เพื่อใช้อธิบายคําตอบหรือแนวทางการตอบแต่ละเรื่อง การสร้างบัตร อา้ งอิงนี้ อาจทาํ เพิ่มเติมเมอื่ ได้นาํ บัตรฝึกหดั ไปทดลองใช้แล้ว

19 7. สร้างแบบบันทึกความกา้ วหนา้ เป็นระยะๆ สอดคลอ้ งกับแบบทดสอบความก้าวหนา้ 8. นาํ แบบฝึกไปทดลองใช้ เพอ่ื หาข้อบกพร่องคณุ ภาพของแบบฝกึ และคณุ ภาพของ แบบทดสอบ 9. ปรับปรุงแก้ไข 10. รวบรวมเป็นชุด อารยี ์ บวั คุ้มภยั (2540, หน้า 21-22) ไดก้ ลา่ วถึงการสร้างแบบฝึก ควรมหี ลกั ในการสร้างดังน้ี 1. ยดึ หลกั จิตวิทยาการเรียนรู้ และพฒั นาการของนักเรียนในแต่ละวัย รวมถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคลกับแรงจูงใจท่ีจะชว่ ยให้นกั เรยี นสนใจแบบฝึกหดั 2. ตอ้ งตงั้ จดุ ประสงค์ที่แน่นอนวา่ จะฝกึ ทกั ษะด้านใด เพ่อื จดั เนอ้ื หาให้ตรงกบั จดุ ประสงค์ 3. ต้องมีความยากง่ายเหมาะสมกับวัยและระดบั ชนั้ ของนกั เรยี นและเรียงลาํ ดบั จากงา่ ยไปหายาก 4. ตอ้ งมีคาํ ช้ีแจงทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย และควรมีตัวอยา่ งเพ่อื ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจมากขึ้นจนสามารถทาํ ได้ ดว้ ยตนเอง 5. ต้องมีรูปแบบทีห่ ลากหลายเพอ่ื ให้เกิดการเรียนรทู้ ีก่ ว้างขวาง สง่ เสริมความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละ ไมท่ าํ ใหเ้ กิดการเบอ่ื หน่าย 6. ตอ้ งมคี วามถูกตอ้ งด้านเนือ้ หา ซ่งึ ทาํ ไดโ้ ดยการตรวจสอบหรอื ทดลองใช้ก่อนนาํ ไปใช้จรงิ 7. ต้องให้นกั เรยี นทราบความก้าวหน้าในการทาํ แบบฝึกหดั ของตนเพื่อเป็นการจูงใจให้เกดิ การ เรยี นร้ใู นโอกาสตอ่ ไป พรพรหม อัตตวฒั นากลุ (2547, หนา้ 21) กลา่ วถึงการสรา้ งแบบฝกึ วา่ หลักในการสรา้ ง แบบฝึกควร คํานึงตัวนักเรียนเป็นหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนว่าจะฝึกเรื่องอะไร จัดเน้ือหาได้ สอดคล้องกับ วตั ถปุ ระสงค์ เนอื้ หาไมย่ ากจนเกินไปและมรี ปู แบบหลายแบบท่ีน่าสนใจ สรปุ ได้ว่า หลักในการสร้างแบบฝึก ควรคํานึงถึงหลักจิตวิทยาในการเรียนรู้ โดยต้องมี จุดมุ่งหมายใน การฝึก แบบฝึกควรเร่ิมจากง่ายไปหายาก มีหลายแบบ มตี ัวอยา่ งประกอบ มีภาพประกอบ และสามารถศกึ ษา ไดด้ ้วยตนเอง

20 ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ ไดม้ นี กั วิชาการหลายท่านได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องแบบฝกึ ไวด้ งั น้ี เนาวรตั น์ ช่นื มณี (2540, หน้า 33) ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ สรุปไดว้ า่ แบบ ฝึกจาํ เป็น ตอ่ การเรียนทกั ษะทางภาษา เพราะจะชว่ ยให้ผู้เรียนเขา้ ใจบทเรียนได้ดขี ึ้น สามารถจดจาํ เนื้อหาในบทเรียน และคําศพั ทต์ ่างๆ ไดค้ งทน ทาํ ให้เกดิ ความสนกุ สนาน ในขณะเรยี นทราบ ความกา้ วหน้าของตนเองสามารถนํา แบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดิมด้วยตนเองได้และนําไปปรับปรุง แก้ไขได้ทันท่วงที ซ่ึงจะมีผล ทําให้ครู ประหยัดเวลา ค่าใช้จา่ ยและลดภาระได้มาก นอกจากน้ีแลว้ ยังทําใหน้ ักเรยี นสามารถนําภาษาไปใชส้ ื่อสารได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพด้วย เตือนใจ ตรเี นตร (2544, หน้า 7)ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกจะช่วยให้ นักเรยี นมี พัฒนาการท่ดี มี คี วามชํานาญและเกิดการเรียนได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ สนุ นั ทา สนุ ทรประเสรฐิ (2544 , หนา้ 62 - 63) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องแบบฝกึ ทกั ษะ สรปุ ไดด้ ังน้ี 1. ทําให้นกั เรยี นได้ฝึกทักษะจากแบบฝกึ หดั ทค่ี รูสรา้ งข้นึ มา ซึง่ ตรงกับเน้ือหาท่ีครูสอน 2. นักเรยี นสามารถนําความรูท้ ไ่ี ดร้ บั จากการเรียนการสอนมาทดสอบการเรยี นรู้ ของตนเอง ว่าเกิดจากการเรยี นรู้ 3. ใชส้ ําหรบั ประเมนิ ผลการสอบเป็นรายบคุ คล หลังจากได้รว่ มกิจกรรมการเรยี น การสอน แลว้ โดยผลงานจากแบบฝกึ หดั ทท่ี าํ มาส่งครูทําใหท้ ราบวา่ นักเรยี นเขา้ ใจมากนอ้ ยเพยี งใด 4. ใชแ้ บบฝกึ หดั สาํ หรบั ทบทวนบทเรียนทเ่ี รยี นมาแลว้ สรปุ ได้ว่า แบบฝึกช่วยในการฝึกหรอื เสรมิ ทักษะทางภาษา ทาํ ใหจ้ ดจําเนอื้ หาได้คงทนมีเจตคติท่ีดีต่อ ทกั ษะภาษาไทย ทําให้ผู้เรียนรูค้ ําศัพท์ ความหมายของศัพท์ได้กว้างขวางมากขึ้น สามารถนํามาใช้แก้ปัญหา การอ่านการเขียนเป็น รายบคุ คลและเปน็ กล่มุ ได้ดี สามารถนําแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ ทํา ให้ผู้เรียน ทราบความก้าวหน้าของตนเองเป็นเคร่ืองมือท่ีครูผู้สอนใช้ประเมินผลการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีว่า นกั เรียนเข้าใจมากน้อยเพยี งใด ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนรู้ ความหมาย

21 ปราณี กองจินดา (2549) กลา่ วา่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถงึ ความสามารถหรอื ผลสำเร็จท่ี ไดร้ ับจากกจิ กรรมการเรยี นการสอนเปน็ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรยี นรทู้ างดา้ นพุทธพิ ิสยั จติ พิสัย และทักษะพิสยั และยงั ได้จำแนกผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นไวต้ ามลกั ษณะของวัตถปุ ระสงคข์ องการ เรยี นการสอนท่ีแตกต่างกนั การจำแนกประเภท หมายถงึ ด้านความรู้ (K) ด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) แตล่ ะ ประเภทต้องทบทวนเกย่ี วกบั ความหมาย และความสำคัญ และการจำแนกประเภทตามพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ 1. ด้านความรู้(Knowledge: K) แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ (1.1) เนือ้ หาสาระของวิชานักคดิ คือ สาระวชิ าท่ผี ้เู รียนต้องเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย เคร่ืองมือชว่ ยคิด กระบวนการคิด ทักษะการคดิ (1.2) ความรบู้ รู ณาการ คือ สาระเรอื่ งราวต่าง ๆ ทเี่ ป็นสภาพการณท์ ี่กำหนด สภาพแวดลอ้ มรอบตวั ปญั หาในชวี ิตประจำวนั ทีถ่ ูกนำมาคิด ซ่ึงเน้อื หาจะเป็นสาระของวิชาใดก็ ได้ จึงเปน็ ความรู้เชิงบูรณาการ 2. ด้านทกั ษะกระบวนการ (Process/Product: P) คอื กระบวนการจดั การเรียนการสอนเพอื่ พฒั นากระบวนการคิดท่เี น้นการฝึกปฏิบัตจิ ริง ไดส้ รา้ งผู้เรยี นให้เกดิ ทักษะชีวิตพืน้ ฐาน 7 ประการ ไดแ้ ก่ (1) ทกั ษะการรูจ้ ักตนเอง (2) ทกั ษะการคดิ การตดั สินใจและการแกป้ ญั หา (3) ทกั ษะการแสวงหาข้อมลู ขา่ วสาร ความรู้ (4) ทักษะการปรบั ตัว (5) ทักษะการส่อื สารและสรา้ งสัมพนั ธภาพ (6) ทักษะการวางแผน และการจดั การ (7) ทักษะการทำงานเปน็ ทมี

22 3. ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attribute: A) เจตคติ (Attitude: A) คอื คณุ ลักษณะที่ปลูกฝัง ของรายวชิ า ได้แก่ ใจกวา้ ง ขยนั ใฝเ่ รียนใฝ่รู้ มงุ่ มนั่ ในการทำงานกระตือรอื รน้ ชา่ งคิดผสมผสาน ขยนั ต่อสู้ อดทน เปน็ ธรรม ม่นั ใจในตนเอง ช่างวิเคราะห์ กล้าคิดกลา้ มีน้ำใจ เป็นตน้ วิธ/ี เครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล 1. ด้านความรู้ (Knowledge: K) พฤติกรรมดา้ นสมองเป็นพฤตกิ รรมเก่ียวกับสติปญั ญา ความคิด ความสามารถในการคิดเรื่องราวตา่ งๆ อยา่ งมีประสิทธภิ าพซ่งึ พฤตกิ รรมทางพทุ ธพิ สิ ยั วิธวี ดั และประเมินผล การตอบคำถามเคร่อื งมอื วัดและประเมินผล แบบประเมนิ การตอบคำถาม 2. ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) พฤติกรรมท่ีบง่ ถงึ ความสามารถในการ ปฏบิ ัตงิ านได้อยา่ งคล่องแคล่วชำนาญ ซึ่งแสดงออกมาไดโ้ ดยตรงโดยมีเวลาและคณุ ภาพของงานเปน็ ตัวชีร้ ะดับ ของทักษะวิธีวัดและประเมนิ ผล 3. ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attribute: A) ค่านยิ ม ความรู้สึก ความซาบซงึ้ ทศั นคติ ความ เชือ่ ความสนใจและคุณธรรม พฤตกิ รรมดา้ นนอ้ี าจไม่เกดิ ขึน้ ทนั ที ดงั น้นั การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดย จดั สภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสม และสอดแทรกสิง่ ทีด่ งี ามอยตู่ ลอดเวลา จะทำให้พฤตกิ รรมของผู้เรยี นเปลย่ี นไป ในแนวทางทพี่ งึ ประสงค์ได้ วิธีวดั และประเมนิ ผล สงั เกตพฤติกรรมเครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล แบบสงั เกต พฤติกรรม ระดับความพึงพอใจ ความหมายของความพึงพอใจ พจนานกุ รมฉบบั บัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542 (2546) ได้ใหค้ วามหมายไว้ วา่ พอใจ หมายถงึ สนใจ ชอบใจ เหมาะ พงึ ใจ หมายถงึ พอใจ ชอบใจ สุภาลักษณ์ ชัยอนันต์ (2540) กล่าวถึง ความพึงพอใจเป็นความรสู้ ึกส่วนตัวที่รสู้ ึกเป็นสุขหรอื ยินดีที่ ได้รับตอบสนองความต้องการในส่ิงที่ขาดหายไป หรือส่ิงท่ีทำให้เกิดความไม่สมดุลความพึงพอใจเป็นส่ิงที่ กำหนดพฤติกรรมทีแ่ สดงออกของบุคคล ซงึ่ มผี ลตอ่ การเลือกทจี่ ะปฏิบตั ิในกจิ กรรมใด ๆ น้ัน สมศักด์ิ คงเท่ียง และอญั ชลี โพธิท์ อง (2542) กล่าววา่ 1. ความพงึ พอใจเป็นผลรวมของความรสู้ ึกของบคุ คลเกี่ยวกับระดับความชอบหรือไมช่ อบต่อ

23 สภาพต่าง ๆ 2. ความพึงพอใจเปน็ ผลรวมของทัศนคตทิ ่เี กี่ยวขอ้ งกับองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ 3. ความพึงพอใจในการทำงานเป็นผลจากการปฏบิ ัตทิ ่ดี ี และสำเร็จจนเกดิ เป็นความภมู ใิ จ และไดผ้ ลตอบแทน มณี โพธิเสน (2543) กล่าววา่ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกยินดี เจตคติทด่ี ีของบุคคล เมอ่ื ได้รับการ ตอบสนองความต้องการของตนทำใหเ้ กดิ ความรู้สกึ ดใี นสิ่งนัน้ ๆ สรุป จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกของบุคคลในทางที่ดีซ่ึงเกดิ จาก การกระทำทต่ี อบสนองความต้องการทำให้เกดิ ความสขุ และเปน็ ผลดตี อ่ การปฏบิ ตั ิงาน แนวคดิ และทฤษฎเี กี่ยวกับความพึงพอใจ ทวีพร วิรชั ชยั และสงวนศรี วริ ัชชัย (2541) ไดก้ ลา่ วถงึ นักจิตวทิ ยา ชือ่ กับราฮมั มาสโลว์ (Abraham Maslow) ซึ่งเปน็ ผเู้ สนอแนวคดิ เกยี่ วกบั ลำดบั ข้นั ตอนความตอ้ งการของมนษุ ยโ์ ดยกล่าวว่า มนษุ ยจ์ ะถกู กระตนุ้ จากความปรารถาที่จะสนองต่อความตอ้ งการมีอยู่ 5 ระดบั 1. ความตอ้ งการทางกายภาพ (Physiological Need) เป็นความตอ้ งการขน้ั พน้ื ฐานตำ่ สุด 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Need) เป็นความต้องการเพ่ือปกป้องพิทักษ์และเป็น สิ่งจำเปน็ สำหรับในการดำรงชีวิต ได้แก่อาหาร น้ำ ท่ีอยู่อาศยั เครื่องนงุ่ หม่ เป็นต้น ตนเองให้เกิดความมัน่ คง ปลอดภัยจากสง่ิ ล้อมรอบ ๆ ตวั 3. ความต้องการทางสงั คม (Social Need) เปน็ ความต้องการใหผ้ ู้อื่น และสังคมยอมรบั คบหาสมาคม และเป็นที่ยอมรบั ของเพอื่ นร่วมงานเป็นต้น 4. ความตอ้ งการมีฐานะในสงั คม (Esteem Need) ความต้องการมีฐานะในสงั คมสามารถแบ่งออกได้ 2 ด้าน คอื 4.1 ความปรารถนาที่จะมีความเข้มแข็ง เชือ่ มั่นในตนเอง ความมีอสิ รเสรีภาพ 4.2 ต้องการช่อื เสยี ง ตำแหน่ง ฐานะ ความเดน่ ดงั การรบั รอง และความชนื่ ชมจากผอู้ ่นื 5. ความต้องการความสำเร็จในสิ่งท่ีตนปรารถนา (Self-Actualization) เป็นความต้องการขั้นสูงสุด ของมนุษย์ และความตอ้ งการขั้นสงู สุดของแต่ละคน จะไม่เหมอื นกันและไมเ่ ท่ากัน องคก์ รควรตอบสนองตอบ

24 ความต้องการของมนษุ ย์ คือ เปดิ โอกาสให้คนทมี่ ีดมี ีโอกาสทจี่ ะสนองความต้องการตามอุดมการณข์ องเขาให้ ได้มากทส่ี ดุ เพราะเปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ซึง่ จะพอใจมาก หากได้แสดงผลงานท่สี งู ท่ีสดุ ทต่ี นจะกระทำได้ สรุป จากข้อความที่กล่าวมาข้างต้นถ้าครูผู้สอนได้จัดทำนวัตกรรมท่ีสนองหรือสอดคล้องกับความ ตอ้ งการของผ้เู รียนจะทำใหผ้ ู้เรียนเกิดความพงึ พอใจทีจ่ ะเรยี นรอู้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ (ประถมพร โคตา. 2554) วิธกี ารสรา้ งเคร่ืองมอื วดั ระดบั ความพงึ พอใจ 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ งเพ่อื ศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ วิธกี ารที่ เกยี่ วข้องกบั การสรา้ ง แบบวัดความพึงพอใจ 2. สรา้ งฉบับร่าง แบบวัดความพึงพอใจของนักเรยี น 3. สร้างแบบประเมนิ คา่ IOC เพื่อใหผ้ เู้ ชียวชาญทำการประเมนิ ความเทยี่ งตรงเชิงเนอื้ หา แต่ละขอ้ คำถามของแต่ละประเดน็ ของเครื่องมือ 4. นำแบบประเมนิ คา่ IOC ของเคร่ืองมอื รวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดทส่ี ร้างฉบับร่างไป ใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญทำการประเมินความเทย่ี งตรงเชิงเนอื้ หาของแตล่ ะขอ้ คำถามของแต่ละประเด็นด้วย แบบประเมิน IOC แตล่ ะขอ้ คำถามของแต่ละประเดน็ ทปี่ ระเมนิ ตอ้ งมคี า่ เฉลี่ยผเู้ ชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เหน็ วา่ มคี วามตรง จงึ จะตัดสนิ วา่ ข้อคำถามนัน้ มคี วามเทย่ี งตรง ผลการประเมนิ พบวา่ แต่ละขอ้ คำถามของ แบบสอบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจมีคา่ ดรรชนีความสอดคล้องกบั ผู้เชย่ี วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจงึ ลง ขอ้ สรปุ วา่ แบบสอบถามวดั ระดับความพงึ พอใจมีความเทย่ี งตรง ผลการประเมินความเทยี่ งตรงของแต่ละข้อ คำถามของแบบถามวัดระดับความพึงพอใจ 5. นำแบบวดั ความพงึ พอใจของนกั เรยี นรวบรวมขอ้ มูลแตล่ ะชนิดที่ผ่านการประเมนิ ดงั กลา่ วข้อ 4 มาแกไ้ ขปรับปรงุ ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 6. จัดทำแบบวัดความพึงพอใจของนกั เรยี นขอ้ มูลแตล่ ะชนดิ ทท่ี ำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของ ผ้เู ช่ยี วชาญ การประเมินระดับความพึงพอใจด้วยคา่ เฉล่ยี ระดับความพึงพอใจแตล่ ะดา้ น จะอ้างอิงตามเกณฑร์ ะดบั คะแนนเฉลยี่ ของบุญชม ศรีสะอาด (2545) ดังนี้ คะแนนเฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจทร่ี ะดบั มากสุด

25 คะแนนเฉล่ีย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจท่รี ะดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจทรี่ ะดบั ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มคี วามพึงพอใจท่รี ะดบั นอ้ ย คะแนนเฉลยี่ 1.00 – 1.50 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจทร่ี ะดับน้อยสุด งานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง การทำวิจัยในชัน้ เรียนเรอ่ื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหนา้ ที่ของพืช ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ผวู้ จิ ัยทำการทบทวนงานเฉพาะ วิจัยทเี่ ก่ยี วข้องหรือสอดคล้องกบั การใช้แบบฝึกทกั ษะ ผวู้ ิจัยทำการทบทวนงานเฉพาะวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ งหรือ สอดคล้องกบั การใช้แบบฝกึ ทักษะ เรอ่ื ง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สว่ นตา่ ง ๆ และหน้าทข่ี องพชื ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อตุ รดติ ถ์ อำเภอ เมือง จังหวัดอตุ รดิตถ์ ผลการทบทวนดังกล่าวนำเสนอตามลำดับ ดงั น้ี ประสพโชค ประภา. 2560 ทำการวิจัย เรอื่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ โดยใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบการเรียนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ (5 E) เรื่อง การดำรงชีวิตของพืช ช้ัน มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ผลวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทกั ษะ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มี ประสทิ ธภิ าพเท่ากับ 82.00/82.38 ซ่งึ เป็นไปตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 ทีก่ ำหนดไว้ 2) นักเรียนท่เี รยี น ด้วยแบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ท่เี รียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 มีความพึงพอใจ โดยรวมอยใู่ นระดับมาก จารุวรรณ บญุ ศร. 2561 ทำการวิจยั เรอ่ื ง การฝกึ ทกั ษะกระบวนการคดิ ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เร่ือง การดำรงชีวติ ของพืช ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ผลวิจัยพบว่า 1) คะแนน เฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการคิดเรือ่ ง “การดำรงชีวิตของ พืช” ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่หลังการเรยี นรู้สงู กว่ากอ่ นการเรยี นรู้อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ี .01 ซ่ึง เป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้งั ไว้ สริ พิ ร พรหมประสาท. 2556 ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชดุ กิจกรรม เรื่อง พืชมหัศจรรย์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผลวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรื่องพืชมหัศจรรย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้

26 วิทยาศาสตร์ มปี ระสิทธภิ าพเท่ากบั 86.24/89.18 2) นักเรียนทเี่ รียนโดยใชช้ ุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ เรือ่ ง พืช มหศั จรรย์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น 3) นักเรยี นมี ความพึงพอใจตอ่ ชุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์ เรื่อง พืชมหัศจรรย์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับมาก ท่ีสุด การสรปุ ประเด็น จากงานวจิ ัยท่ีผู้วิจยั ทำการทบทวนท้ังสนิ้ จำนวน 3 เร่อื ง ขอสรปุ ประเด็นความรเู้ กย่ี วกับผลการ ทบทวนดังกล่าวเป็นรายขอ้ ดังนี้ 1. งานวิจัยทีท่ บทวนมาแตล่ ะเรอ่ื งมเี ทคนิคการจัดการเรียนการสอนทค่ี ลา้ ยๆกัน 2. งานวิจัยท่ีทบทวนมาแตล่ ะเรือ่ งใชเ้ กณฑก์ ารประเมนิ ทีแ่ ตกต่างกัน 3. งานวจิ ยั ทท่ี บทวนมาแตล่ ะเรื่องนักเรียนเกดิ ประสิทธิทางการเรยี นรู้ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ประเดน็ ท่ีทำการวจิ ยั ต่อยอด จากการสรุปประเด็นความรเู้ กี่ยวกับผลการทบทวนงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้องดังกลา่ วเป็นรายขอ้ กอ่ นหนา้ แล้วพบว่า การทำวิจัยในชั้นเรยี นเร่ืองการพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่าง ๆ และหนา้ ทข่ี องพืช ของนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะ มปี ระเดน็ ความรทู้ ีแ่ ตกต่างจาก การสรุปประเดน็ ดงั กล่าวคือ 1. เทคนิคการร่วมสอนกบั กจิ กรรมเกม 2. เทคนิคการใช้แบบฝกึ ทักษะตามข้นั ตอน 3. สามารถพัฒนานกั เรยี นจากการเรยี นรู้แบบเดิม เรียนตามในหนังสอื

27 บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวิจัย การวจิ ัยเรอื่ ง เรอ่ื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นรู้วิชาวิทยาศาสสตร์ เรื่อง สว่ นตา่ ง ๆ และ หน้าทข่ี องพืช ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 1 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ โรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ์ อำเภอเมอื ง จงั หวัดอตุ รดติ ถผ์ ู้วจิ ัยดำเนินการวจิ ัยตามกรอบของหัวข้อตา่ ง ๆ ดังนี้ ระเบียบวิธีวจิ ัย ดำเนนิ การวิจัยโดยใชร้ ะเบยี บวิธีการวจิ ัยก่งึ ทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกบั วจิ ยั เชิง ปฏบิ ัติการ (Action Research) วิเคราะห์ขอ้ มูลจากขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ (Qualitative Data) รว่ มกบั ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ (Quantitative Data) แหลง่ ข้อมูลการวจิ ยั

28 กลมุ่ เปา้ หมายนักเรยี นระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุตรดติ ถ์ อำเภอเมือง จังหวดั อุตรดติ ถภ์ าคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 18 คน ซง่ึ เป็นจำนวนนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 เครื่องมือการวิจัย 1. นวัตกรรม 1.1 เครอื่ งมือทเี่ ป็นนวัตกรรม นวัตกรรมท่ีพฒั นาต่อยอดจากนวัตกรรมเดมิ เพอื่ ทดลองใชจ้ ัด กิจกรรมการเรยี นรสู้ ำหรับการพฒั นาผลสัมสมั ฤทธทิ์ างการเรียน เรอ่ื ง สว่ นต่าง ๆ และหน้าทีข่ องพืช สำหรบั นกั เรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 1 คือ นวัตกรรมแบบฝึกทกั ษะ 1.2 วธิ ีการสรา้ งและหาประสทิ ธภิ าพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทงั้ เชิงเหตผุ ล (Rational Approach) และเชงิ ประจักษ์ (Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชญิ กจิ ระการ (2544) ดงั นี้ การสรา้ งและหาประสทิ ธภิ าพเชงิ เหตุผล ให้ดำเนนิ การตามลำดับขนั้ 1. ทำการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกย่ี วขอ้ งเพือ่ ศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธกี ารทเี่ กย่ี วข้องกับการสร้างนวัตกรรมแบบฝึกทกั ษะ ซึ่งการวจิ ัยน้จี ะพัฒนาโดยอ้างอิงตาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธกี ารของ ธนัญญา วิลยั วัน (2547) 2. สร้างฉบับร่างนวัตกรรมแบบฝึกทักษะ อ้างอิงจากผลการศกึ ษาเอกสารและ งานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ งดงั กล่าว ข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สรา้ งแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรมแบบฝึกทกั ษะ เพ่อื ให้ผูเ้ ชีย่ วชาญ ประเมินประสิทธภิ าพเชงิ เหตผุ ล แบบประเมินความเหมาะสมทสี่ รา้ งแสดงแล้วในภาคผนวก 4. สร้างแบบประเมินคา่ ดรรชนีความสอดคลอ้ ง (Index of Item –Objective Congruence: IOC) ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อใหผ้ ู้เชียวชาญทำการประเมนิ คา่ ความเที่ยงตรงเชิง เนอ้ื หา (Content Validity) ของแต่ละขอ้ คำถาม (Item) ของแต่ละประเด็น แบบประเมินคา่ IOCกล่าวแล้วใน ภาคผนวก 5. นำแบบประเมินคา่ IOC ของแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรมแบบฝึก

29 ทักษะให้ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นภาษา ด้านเทคโนโลยกี ารศึกษา และดา้ นการวิจยั หรอื การวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเท่ยี งตรงเชงิ เน้อื หาของแตล่ ะขอ้ คำถามของแต่ละประเดน็ แต่ละข้อคำถามทีป่ ระเมนิ ต้อง มีผูเ้ ช่ยี วชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามคี วามตรง จงึ จะตัดสินว่า ข้อคำถามน้ันมคี วามเท่ียงตรง ผลการ ประเมนิ พบวา่ แตล่ ะข้อคำถามของแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรมมีค่า IOC ผ้เู ชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเหน็ วา่ มีความตรง จึงลงข้อสรปุ วา่ แบบสอบถามเพอื่ วัดความเหมาะสมของนวัตกรรมมคี วามเทีย่ งตรง ผลการประเมนิ ความเที่ยงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมแสดง แลว้ ดังภาคผนวก 6. นำนวตั กรรมแบบฝึกทักษะ ทส่ี รา้ งฉบับร่างแล้วไปให้ผูเ้ ชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การศึกษา ดา้ นภาษา และด้านการวจิ ัยหรือการวดั ประเมนิ ผลดา้ นละ 1 คน รวมทง้ั สนิ้ จำนวน 3 คน ทำการ ประเมินความเหมาะสมดว้ ยแบบประเมิน แต่ละขอ้ คำถามของแต่ละประเดน็ ท่ีประเมนิ ตอ้ งผ่าน 2 ใน 3 คน จึง จะตัดสนิ ว่า ข้อคำถามทป่ี ระเมินมคี วามเหมาะสม 7. นำนวัตกรรมแบบฝึกทักษะทีผ่ ่านการประเมนิ ดังกล่าวขอ้ 6 มาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ตาม คำแนะนำของผู้เชีย่ วชาญ 8. จดั ทำรปู เลม่ นวตั กรรมแบบฝึกทกั ษะ ทผ่ี า่ นการสรา้ งและหาคุณภาพเชงิ เหตุผล แล้ว การสรา้ งและหาประสิทธภิ าพเชิงประจักษ์ดำเนินการ ตอ่ จากผลการหาประสทิ ธภิ าพเชิงเหตุผล 1. นำนวตั กรรมแบบฝึกทักษะ ท่จี ดั ทำเปน็ รปู เลม่ แล้วมาทดลองใช้เพอื่ หาประสิทธภิ าพ เชิงประจกั ษก์ ับนกั เรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อตุ รดิตถ์ อำเภอเมอื ง จังหวัดอุตรดติ ถ์ ซง่ึ เปน็ คนละกลุม่ กบั กลมุ่ เป้าหมายการวิจยั การหาประสทิ ธภิ าพจะใช้วิธกี ารเทียบกบั เกณฑ์ประสิทธภิ าพ E /E = 80/80 เมื่อ 12 E หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทัง้ หมดจากการทำกจิ กรรม และการทดสอบย่อยระหว่าง 1 การทดลองใชน้ วัตกรรมแบบฝกึ ทกั ษะประกอบภาพ ซงึ่ เกณฑป์ ระเมนิ ผ่านคือ รอ้ ยละ 80 E หมายถงึ ร้อยละของคะแนนรวมท้ังหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลงั สิ้นสดุ การทดลองใช้ 2 นวัตกรรมแบบฝกึ ทักษะประกอบภาพ ซ่งึ เกณฑ์ประเมนิ ผ่านคือ ร้อยละ 80

30 การตัดสินประสิทธภิ าพจากการทดลองใช้นวัตกรรมแบบฝกึ ทักษะประกอบภาพ เมือ่ เทยี บกบั เกณฑ์ประสทิ ธภิ าพทก่ี ำหนดขน้ึ ว่า ถ้าคา่ ร้อยละของคะแนนทค่ี ำนวณของ E = 80 ±2.55 แสดงว่า 1 ประสิทธิภาพของ E เป็นไปตามเกณฑ์รอ้ ยละ 80 แตถ่ า้ มากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ 80 ±2.55 แสดงวา่ 1 ประสทิ ธิภาพของ E สงู กวา่ หรอื นอ้ ยกว่าเกณฑท์ ่ตี ง้ั ตอ้ งปรับนวตั กรรมให้เทา่ กบั เกณฑ์ที่ต้งั คอื ส่วนการ 1 ตดั สินประสทิ ธภิ าพของ E ทำเชน่ เดยี วกับ E และถา้ ร้อยละของคะแนนระหว่าง E และ E ต่างกัน 21 12 มากกว่ารอ้ ยละ 5 แสดงวา่ ประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรมแบบฝกึ ทกั ษะ มปี ระสิทธภิ าพไม่เป็นไปตามเกณฑ์ตอ้ ง ทำการปรับปรุงใหม่ 2. จดั ทำรปู เลม่ นวตั กรรมแบบฝกึ ทักษะ พรอ้ มสำหรับการนำไปทดลองใชก้ บั นักเรียน ระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 ซ่ึงเปน็ กลุม่ ที่เป้าหมายการวิจัย ขอ้ ตกลง เนอื่ งด้วยปจั จัยจำกัดบางประการคือโรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภัฏอตุ รดติ ถ์ อำเภอ เมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นโรงเรียนขนาดกลางซึง่ สำหรบั นักเรยี นระดับชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 แล้วเปดิ การ เรยี นการสอนทง้ั หมด 5 ห้องและมีนักเรียนจำนวนท้ังส้ิน 235 คน หรือดังนนั้ ดว้ ยปจั จยั จำกัดดงั กลา่ ว จงึ สรา้ งข้อตกลงว่า การทำวิจัยคร้งั นีจ้ ะขอละเวน้ การหาประสทิ ธิภาพเชิงประจกั ษข์ องนวัตกรรมแบบฝึกทกั ษะ 2. เคร่อื งมอื รวบรวมขอ้ มูล 2.1 ชนดิ ของเครือ่ งมือ เครื่องมือทใี่ ชร้ วบรวมข้อมลู ประกอบดว้ ย แบบประเมนิ ความ เหมาะสมของแบบฝกึ ทักษะ แบบวัดความพึงพอใจของนกั เรียนที่มีต่อการทดลองใช้นวัตกรรม แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรู้ และแบบทดสอบเพอื่ วดั และประเมนิ ผลการทดลองใชน้ วตั กรรม 2.2 วิธกี ารสร้างและหาประสทิ ธิภาพ ดำเนนิ การสร้างและหาประสทิ ธภิ าพทงั้ เชงิ เหตผุ ลและเชงิ ประจกั ษ์ดังนี้ การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพเชงิ เหตุผล ดำเนนิ การตามลำดบั ขนั้ 1. ทำการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งเพอื่ ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่ เก่ยี วข้องกับการสรา้ งแบบประเมนิ ความพึงพอใจ แบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรม เครอ่ื งมอื รวบรวมขอ้ มูลแต่ละชนดิ จะสรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ วิธกี ารตา่ ง ๆ ดังนี้ 1.1 แบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรม สรา้ งตามแนวคิด ทฤษฎขี อง หลกั การ วิธีการทางการของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2544)

31 1.2 แบบวดั ระดับความพงึ พอใจของนักเรยี น สรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎีของ หลักการ วธิ กี ารกรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2544) 1.3 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้สรา้ งตามแนวคิด ทฤษฎี ของ หลักการ วธิ ีการกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2544) 1.4 แบบทดสอบเพื่อวัดและประเมนิ ผลการทดลองใชน้ วัตกรรม สร้างตามแนวคิด ทฤษฎขี อง หลกั การ วิธกี ารกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2544) 2. สรา้ งฉบบั ร่างแบบประเมนิ ความเหมาะสมของแบบฝกึ ทกั ษะ แบบวดั ความพงึ พอใจของ นกั เรียนทม่ี ีต่อการทดลองใชน้ วตั กรรม แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยอ้างองิ ผล การศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งดังกล่าวขอ้ ย่อยขอ้ 1 ก่อนหน้า 3. สรา้ งแบบประเมนิ ค่า IOC เพื่อใหผ้ ู้เชียวชาญทำการประเมนิ ความเที่ยงตรงเชิงเนอ้ื หา แต่ ละข้อคำถามของแตล่ ะประเด็นของเคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มลู แต่ละชนิด แบบประเมินคา่ IOC ของเครอ่ื งมือ รวบรวมข้อมลู แตล่ ะชนิดกลา่ วแลว้ ในภาคผนวก 4. นำแบบประเมนิ คา่ IOC ของเครอื่ งมือรวบรวมขอ้ มลู แต่ละชนิดทส่ี รา้ งฉบบั ร่างไปให้ ผู้เชีย่ วชาญดา้ นภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรอื การวดั ประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการ ประเมินความเทยี่ งตรงเชิงเนอ้ื หาของแตล่ ะขอ้ คำถามของแตล่ ะประเด็นดว้ ยแบบประเมิน IOC แต่ละข้อ คำถามของแตล่ ะประเด็นทป่ี ระเมนิ ต้องมคี า่ เฉลีย่ ผู้เช่ยี วชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เหน็ ว่ามคี วามตรง จงึ จะ ตัดสินว่า ขอ้ คำถามนน้ั มีความเที่ยงตรง ผลการประเมินพบวา่ 4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบมีค่าดรรชนคี วามสอดคล้องกับผู้เช่ียวชาญ จำนวน 2 ใน 3 คนเห็นวา่ มีความตรง จึงลงข้อสรปุ ว่า แต่ละข้อของแบบทดสอบสอบมีความ เทีย่ งตรง ผลการประเมินความเท่ยี งตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดัง ภาคผนวก 4.2 แตล่ ะขอ้ คำถามของแบบสอบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจมคี า่ ดรรชนคี วาม สอดคลอ้ งกบั ผู้เช่ยี วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรุปวา่ แบบสอบถามวดั ระดบั ความพงึ พอใจ มคี วามเทยี่ งตรง ผลการประเมินความเทย่ี งตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบถามวัดระดับความพงึ พอใจแสดงแล้วดงั ภาคผนวก

32 5. นำเคร่อื งมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนิดทผ่ี า่ นการประเมินดงั กลา่ วขอ้ 4 มาแก้ไขปรบั ปรงุ ตาม คำแนะนำของผู้เชีย่ วชาญ 6. จัดทำรปู เล่มเครอื่ งมือรวบรวมขอ้ มูลแต่ละชนดิ ทท่ี ำการแกไ้ ขแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ การสรา้ งและหาประสทิ ธิภาพเชิงประจกั ษ์ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธภิ าพเชงิ เหตุผล 1. นำเคร่อื งมือรวบรวมขอ้ มูลแต่ละชนิดทจ่ี ัดทำเปน็ รูปเล่มแล้วมาหาคา่ ความเช่อื ม่นั (Reliability) โดยทดลองใชก้ บั นกั เรยี นระดับชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุตรดิตถ์ อำเภอเมือง จงั หวัดอตุ รดิตถซ์ ่ึงเปน็ คนละกล่มุ กับกลุ่มท่ีเปน็ เป้าหมายการวิจัย การหาคา่ ความเชื่อมนั่ ใช้วธิ กี ารหาค่า สัมประสทิ ธิแ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมีเกณฑ์ประเมนิ ผา่ นท้งั ฉบบั ที่ 0.7 ถา้ นอ้ ยกวา่ ต้องทำการปรับปรงุ เครอ่ื งมอื ใหม่ 2. ปรับปรุงเครอ่ื งมือรวบรวมขอ้ มูลแตล่ ะชนิดหากพบวา่ ค่าสัมประสิทธ์แิ อลฟาต่ำกวา่ 0.7 3. ยกเวน้ แบบทดสอบ จัดทำรูปเลม่ เคร่อื งมือรวบรวมขอ้ มูลแตล่ ะชนิด พร้อมสำหรับการนำไปทดลอง ใช้กบั นกั เรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอตุ รดิตถ์ อำเภอเมือง จงั หวดั อุตรดติ ถ์ ซง่ึ เปน็ กลุ่มเป้าหมายการวิจัย สำหรบั แบบทดสอบน้นั เมอ่ื ทำการประเมนิ ความเท่ยี งตรงและความเชือ่ ม่นั แล้ว กอ่ นนำไปทดลองใช้ กบั นกั เรียนระดับช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 ซึ่งเปน็ กลมุ่ ทเ่ี ปา้ หมายการวจิ ยั ตอ้ งดำเนนิ การตอ่ จากข้อ 3 เพอื่ หาคา่ ความยากงา่ ย และค่าอำนาจ การจำแนกต่อดังนี้ 4. นำแบบทดสอบแตล่ ะขอ้ มาวเิ คราะหค์ วามยากงา่ ยด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รปู ขอ้ คำถามท่ี ดขี องแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลอื กจะมีค่าความยากงา่ ยระหวา่ ง 0.20 – 0.80 (สมุ าลี จนั ทรช์ ะลอ. 2542) ถา้ เป็นประเภทแบบถกู -ผิด จะมคี ่าความยากงา่ ยระหว่าง 0.60–0.95 (Nunnally.1967; อ้างถงึ ใน เยาวดีราง ชยั กลุ วบิ ูลย์ศรี. 2552) 5. นำแบบทดสอบแตล่ ะขอ้ มาวเิ คราะห์ค่าอำนาจการจำแนกโดยใช้โปรแกรมสำเรจ็ รูป 6. จดั ทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรบั การนำไปทดลองใชก้ บั นักเรยี นระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปี ที่ 1 โรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลยั ราชภฏั อุตรดติ ถ์ อำเภอเมือง จงั หวัดอตุ รดิตถ์ ซ่งึ เปน็ กลุ่มเปา้ หมายการวจิ ัย ขอ้ ตกลง เน่ืองด้วยปจั จัยจำกดั บางประการเช่นเดยี วกบั ดังกลา่ วแล้วในหัวข้อ “วธิ ีการสร้างและหาคุณภาพของ นวัตกรรม” จึงสรา้ ง

33 ขอ้ ตกลงว่า น่ืองด้วยปจั จัยจำกัดบางประการเช่นเดียวกบั ดงั กลา่ วแล้วในหวั ขอ้ “วิธีการสรา้ งและหา คณุ ภาพของนวัตกรรม” จึงสรา้ งข้อตกลงวา่ การวิจยั คร้งั น้ีจะละเว้นการหาประสทิ ธภิ าพ เชงิ ประจกั ษซ์ ง่ึ ประกอบดว้ ย การหาค่าความเชือ่ ม่นั ของเครื่องมือรวบรวมขอ้ มลู ทกุ ชนิด การหาคา่ ความยากง่าย และค่า อำนาจการจำแนกซึ่งเฉพาะสำหรับแบบทดสอบ การดำเนนิ การรวบรวมข้อมลู 1. ทำหนงั สือราชการถงึ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุตรดติ ถ์ อำเภอเมือง จงั หวดั อุตรดิตถ์ เพอื่ ขออนุญาตท่จี ะทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธก์ิ ารเรยี นรู้ เรื่อง ส่วนต่าง ๆ และหน้าของพืช ของนกั เรยี นระดับช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 1 2. ประชมุ ชแ้ี จง และสรา้ งข้อตกลงกบั นักเรียนระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 เกี่ยวการทดลองใช้แบบ ฝกึ ทกั ษะ จัดกจิ กรรมการเรยี นรูเ้ พอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธ์กิ ารเรียนรู้ เรือ่ ง สว่ นตา่ ง ๆ และหน้าของพืชกับนักเรยี น ระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1 3. จัดกิจกรรมการเรียนรูเ้ พื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรยี นร้เู รือ่ ง ส่วนตา่ ง ๆ และหน้าของพืชกบั นกั เรยี นระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 โดยทดลองใช้แบบฝกึ ทกั ษะ 4. ทำการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องนกั เรยี นระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 1 ภายหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ พือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธิ์การเรียนรู้ เร่อื ง ส่วนตา่ ง ๆ และหนา้ ของพืช โดยทดลองใช้แบบฝึก ทกั ษะ 5. ใหน้ ักเรยี นระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 ตอบแบบสอบถามวัดระดับความพงึ พอใจจากการจัด กิจกรรมการเรียนรูเ้ พือ่ พัฒนาผลสัมฤทธ์กิ ารเรียนรู้ เร่อื ง สว่ นต่าง ๆ และหน้าของพืช โดยทดลองใช้นวตั กรรม แบบฝกึ ทักษะ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู 1. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอ่ื หาคุณภาพและประสทิ ธภิ าพของเครือ่ งมอื การวิจัย 1.1 ความเหมาะสมของนวัตกรรมทสี่ รา้ งหรอื พฒั นาตอ่ ยอด วิเคราะหด์ ้วยค่าเฉล่ยี และ ส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน วิธีการวิเคราะหใ์ ช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 1.2 ประสิทธิภาพเชงิ ประจกั ษข์ องนวัตกรรมที่สร้างหรอื พัฒนาตอ่ ยอด วเิ คราะหด์ ว้ ยเกณฑ์ ประสทิ ธิภาพ E /E วธิ ีการวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอรส์ ำเรจ็ รูป 12

34 1.3 ความเท่ยี งตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมอื รวบรวมขอ้ มลู แตล่ ะชนดิ วเิ คราะหด์ ว้ ยค่าดรรชนี ความสอดคลอ้ งหรอื IOC วิธกี ารวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเรจ็ รูป 1.4 ความเชอื่ มัน่ ของเครือ่ งมือรวบรวมข้อมูลแตล่ ะชนิด วเิ คราะห์ด้วยค่าสมั ประสทิ ธ์แิ อลฟา ของครอนบาค วธิ ีการวิเคราะห์ใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเร็จรปู 1.5 ความยากง่ายของแบบทดสอบแตล่ ะขอ้ วิธกี ารวิเคราะห์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเรจ็ รูป 1.6 คา่ อำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแต่ละขอ้ วธิ ีการวิเคราะหใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ สำเรจ็ รปู 2. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลการวจิ ัย 2.1 ผลการเรียนรู้ของนกั เรียน วิเคราะหด์ ว้ ยคา่ คะแนนเฉลีย่ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 2.2 ระดบั ผลการเรียนร้ขู องนักเรียน วิเคราะห์โดยการเปรียบเทยี บรอ้ ยละของค่าคะแนน เฉล่ียกบั ระดับผลการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของ สพฐ. 2.3 ผลการทดลองใชน้ วัตกรรมชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ วเิ คราะหด์ ้วยวิธกี ารทางสถิติ One - Sample t Test ทร่ี ะดบั นัยสำคญั ทางสถิตทิ ่ี α 0.05 หรอื ทรี่ ะดบั ความเช่ือม่นั 95% วิธีการวเิ คราะหใ์ ช้ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเรจ็ รปู 2.4 ระดับความพึงพอใจ วเิ คราะห์ดว้ ยค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน วธิ กี ารวิเคราะห์ ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอรส์ ำเร็จรปู 2.5 เกณฑ์ประเมินระดับความพงึ พอใจของนักเรียน วเิ คราะหด์ ว้ ยช่วงระดับคา่ เฉลย่ี ตาม เกณฑ์ของเฉลี่ยของบญุ ชม ศรีสะอาด (2545) ดังน้ี คะแนนเฉลีย่ 4.51 – 5.00 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจทร่ี ะดับมากสุด คะแนนเฉล่ยี 3.51 – 4.50 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจทรี่ ะดบั มาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจทีร่ ะดบั ปานกลาง

35 คะแนนเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถึง มคี วามพึงพอใจท่ีระดบั น้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถงึ มีความพึงพอใจทรี่ ะดบั นอ้ ยสดุ การนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ดว้ ยตาราง พร้อมทัง้ บรรยายเปน็ ความเรยี งประกอบ บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง สว่ นตา่ ง ๆ และหน้าท่ีของพืชของนกั เรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ นำเสนอตามลำดบั ดงั ต่อไปน้ี การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนร้วู ชิ าวิทยาศาสตร์ เรื่อง สว่ นตา่ ง ๆ และหน้าท่ขี องพืช โดยใช้แบบ ฝึกทกั ษะ ผลการวเิ คราะห์ดังตารางที่ 1 ตอนท่ี 1 เพ่ือการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรูว้ ชิ าวิทยาศาสตร์ เร่ือง สว่ นต่าง ๆ และหนา้ ทีข่ อง พืชโดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ตารางที่ 1 ขอ้ มูลนกั เรียน ท่ี รายการ จำนวนความถี่ รอ้ ยละ รวม 1 เพศ - ชาย 23 48.94 100 - หญงิ 24 51.06

36 2 ระดบั การศกึ ษา - ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 47 100 100 3 อายุ - 7 ปี 47 100 100 4 อาชพี - นักเรยี น 47 100 100 5 จำนวนครั้งทเ่ี ขา้ ร่วมกิจกรรม - 5 ครัง้ - 4 ครัง้ 47 100 100 - 3 ครงั้ - 2 ครงั้ - 1 ครง้ั จากตารางท่ี 1 นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 23 คน มีเพศชายจำนวน 23 คน คิดเป็นรอ้ ย ละ 48.94 และเพศหญิง จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 51.06 จำนวนนักเรียนท้ังหมด คิดเป็นร้อยละ100 ระดับการศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาช้ันปีท่ี 1 จำนวน 47 คน คิดเป็นร้อยละ100 อายุ 7 ปี จำนวน 47 คน อาชีพจำนวน 47 คน คิดเป็นร้อยละ100 จำนวนคร้ังท่ีเข้าร่วมกจิ กรรม 5 คร้ัง อาชีพจำนวน 47 คน คิดเป็น รอ้ ยละ100 ตารางท่ี 2 การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหนา้ ท่ีของพชื ของ นักเรียนประถมศกึ ษาปีที่ 1 การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการ จำนวนนกั เรยี นชน้ั จำนวนนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 ร้อยละ เรียนรู้ เรือ่ ง สว่ นตา่ ง ๆ และ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 หน้าทข่ี องพืช นักเรียนสามารถบอกสว่ น 47 36 16.92 ตา่ ง ๆ ของพืชได้ นกั เรยี นสามารถชสี้ ว่ นตา่ ง ๆ 47 29 13.63 ของพชื ได้

37 นกั เรียนสามารถบอกหน้าที่ 47 18 8.46 ของพชื ได้ นกั เรยี นสามารถจำแนก 47 27 12.69 สง่ิ มชี ีวติ และไม่มชี วี ิตได้ นักเรียนสามารถเสนอส่วนตา่ ง 47 32 15.04 ๆ และหน้าทข่ี องพชื ได้ จากตารางที่ 2 นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 จำนวน 47 คน บอกสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชได้จำนวน 36 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 16.92 ชส้ี ่วนต่าง ๆ ของพืชได้จำนวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 13.63 บอกหนา้ ท่ีของพชื ได้ จำนวน 18 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 8.46 จำแนกสง่ิ มชี ีวติ และไม่มชี ีวิตได้ จำนวน 27 คน คิดเปน็ ร้อยละ 12.69 เสนอสว่ นตา่ ง ๆ และหน้าท่ขี องพืชได้ จำนวน 32 คิดเป็นรอ้ ยละ 15.04 ตารางท่ี 3 การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรือ่ ง ส่วนตา่ ง ๆ และหนา้ ทีข่ องพชื ของ นกั เรียนประถมศกึ ษาปีที่ 1 คะแนนการเอาใจใส่ในการเรียน ท่ี กลุ่ม นกั เรยี นสามารถบอกส่วน นกั เรียนสามารถช้ี นักเรยี นสามารถบอก การผา่ น ตา่ ง ๆ ของพืชได้ สว่ นต่าง ๆ ของพชื ได้ หนา้ ท่ขี องพชื ได้ 1 กลุ่ม 1 2 2 3 ผา่ น 2 กลุ่ม 2 3 3 3 ผ่าน 3 กลุ่ม 3 2 2 3 ผ่าน 4 กลุม่ 4 3 3 3 ผ่าน 5 กลุ่ม 5 3 3 2 ผา่ น หมายเหตุ : ต้องผา่ นเกณฑร์ ะดับ 2 ขึน้ ไป จากตารางท่ี 3 นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1 มผี ลการประเมนิ ทำงานกล่มุ และการเอาใจใส่ในการ เรยี นผ่านทุกประเดน็ ตารางที่ 4 การเอาใจใส่ในการเรียน คะแนนการเอาใจใส่ในการเรียน ท่ี กลุม่ ความสนใจในการรว่ ม ความกระตือรอื รน้ ซกั ถาม การผ่าน 3 ผ่าน กิจกรรม 1 กลุ่ม 1 3 2

38 2 กลมุ่ 2 3 3 3 ผ่าน 3 กลุม่ 3 2 3 3 ผา่ น 4 กลมุ่ 4 3 3 3 ผา่ น 5 กลุ่ม 5 3 3 3 ผา่ น หมายเหตุ : ตอ้ งผ่านเกณฑร์ ะดับ 2 ขึ้นไป จากตารางที่ 4 นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 มผี ลการประเมนิ ทำงานกลุ่ม และการเอาใจใส่ในการ เรียนผา่ นทกุ ประเด็น ตอนที่ 2 ความพึงพอใจของนกั เรียนในการเรยี น ผลการวเิ คราะห์ ดงั ตารางที่ 5 ตารางท่ี 5 ความพึงพอใจในการพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นร้วู ิชาวิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง ส่วนต่าง ๆ และ หนา้ ที่ของพชื ข้อ รายการ ������̅ S.D. ระดับความพึงพอใจ 1 ระยะเวลาในการจดั กิจกรรม 2 เน้อื หามีความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ 4.14 0.864 มาก 3 เกมมคี วามเหมาะสมกบั เน้ือหา 4 การยกตวั อย่างประกอบเนอื้ หา 4.79 0.426 มากทสี่ ุด 5 สถานทีจ่ ดั กิจกรรมมคี วามเหมาะสม 4.36 0.745 มาก รวม 4.36 0.842 มาก 4.29 0.825 มาก 4.38 0.74 มาก จากตารางท่ี 5 ความพึงพอใจในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ของพืช พบว่า ความพงึ พอใจในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ เรอ่ื ง สว่ นต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชในภาพรวม มคี ่าเฉลี่ย 4.38 ซึ่งอยู่ ในระดับมาก โดยท่ีความคิดเห็นของผ้ตู อบแบบสอบถามไมแ่ ตกตา่ งกนั มาก ( S.D. = 0.74 ) ส่วนรายละเอียดของรายการ พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด 1 เร่ือง คือ เน้ือหามีความ สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ และมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก 4 เร่ือง คอื ระยะเวลาในการจัดกิจกรรม เกมมีความ เหมาะสมกับเน้ือหา การยกตวั อย่างประกอบเน้อื หา สถานท่จี ัดกิจกรรมมคี วามเหมาะสม การแปลผลแบบสอบถามที่เป็นลกั ษณะมาตรสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จะใช้เกณฑ์ ดังน้ี (Best, 1997 : 190) คะแนนเฉลย่ี 4.51 – 5.00 แสดงวา่ นักเรียนมคี วามพงึ พอใจมากทสี่ ุด คะแนนเฉลย่ี 3.51 – 4.50 แสดงว่า นักเรียนมีความพงึ พอใจมาก คะแนนเฉลย่ี 2.51 – 3.50 แสดงว่า นกั เรยี นมีความพึงพอใจปานกลาง คะแนนเฉลยี่ 1.51 – 2.50 แสดงวา่ นกั ศกึ ษามีความพึงพอใจน้อย

39 คะแนนเฉลย่ี 1.00 – 1.50 แสดงวา่ นกั ศึกษามคี วามพงึ ใจนอ้ ยท่สี ุด

40 บทที่ 5 สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรูว้ ิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ขี องพชื ของนกั เรียน ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ มวี ัตถปุ ระสงค์ประการแรก คือ เพอื่ พัฒนาแบบฝึกทักษะเรื่องสว่ น ตา่ ง ๆ และหน้าที่ของพืชโดยใช้แบบฝึกทักษะ ประการทสี่ อง คือ เพ่ือศึกษาความพงึ พอใจของนักเรียนในการ จัดกิจกรรมคร้งั นี้ เร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหน้าทขี่ อง พืชของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1 โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ กลุ่มตัวอย่างทใ่ี ช้ในการพัฒนา คอื นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ อตุ รดิตถ์ทเ่ี รยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 235 คน เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการ วิจยั คอื แบบสอบถามความพึงพอใจตอ่ การเรยี นรู้การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง สว่ นต่าง ๆ และหน้าทขี่ องพืชของชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ และแบบประเมินความพงึ พอใจ ของนักเรียนในการเรียนและตารางผลการวิเคราะหข์ ้อมลู สรุปผลการวจิ ยั ผลการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชของ นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะพบว่า นกั เรียนทุกคนสามารถบอกส่วนต่าง ๆ และหน้าที่ ของพืชได้ สำหรับความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ส่วนต่าง ๆ และหน้าท่ีของพืชของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะ พบว่า นักเรียน มีความพึงพอใจในระดับมาก 5 เร่ือง คือ 1.ระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 2.เนื้อหามีความ สอดคล้องกับจุดประสงค์ 3.เกมมีความเหมาะสมกับเนื้อหา 4.การยกตัวอย่างประกอบเน้ือหา 5.สถานท่ีจัด กจิ กรรมมีความเหมาะสม อภิปรายผล การท่ีนักเรียนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนรู้วิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง ส่วนต่าง ๆ และหนา้ ที่ของพืชไดร้ ้อย ละ 100 นักเรียนสามารถบอกส่วนตา่ ง ๆ ของพืชได้ ร้อยละ 16.92 และนกั เรียนสามารถบอกหน้าที่ของพชื ได้ รอ้ ยละ 8.46 และนกั เรียนสามารถชี้สว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ได้ รอ้ ยละ 13.63 นักเรียนสามารถจำแนกส่งิ มีชวี ิตและ ไมม่ ีชีวติ ไดร้ ้อยละ 12.69 และ นกั เรียนสามารถเสนอสว่ นต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชได้ ร้อยละ 15.04 จะเห็น ได้วา่ นักเรยี นของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะโดยเฉพาะนักเรียนชายจะมีทักษะการ อ่านมากกวา่ นักเรียนหญิง ทำให้นักเรียนชายมีพฒั นาความสามารถทางด้านการอ่านและเขียนตัวเลขฮินดูอา

41 รบิก ซงึ่ ทกั ษะทางด้านการอ่านและเขยี นตัวเลขฮนิ ดูอารบิกถือวา่ เปน็ ทักษะเรมิ่ ตน้ ทมี่ ีความสำคญั อยา่ งมากใน เรอ่ื งของการอา่ นและเขียนตัวเลขฮนิ ดูอารบกิ ในการศึกษาหาความรเู้ พื่อนำไปพัฒนาทางด้านทกั ษะด้านการอา่ นและการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก เป็นการ จดั กจิ กรรมท่ีส่งเสริมความรูด้ ้านทกั ษะความจำและการเขียน โดยที่นกั เรยี นเกิดความสนกุ สนานต่อการเรยี นรู้ และเกดิ ความจำระยะยาวอย่างมีประสิทธภิ าพ กระตุ้นและดงึ ดูดความสนใจของนักเรียน โดยใชเ้ ครื่องมือการ พัฒนา แนวการสอน กิจกรรมเกมทายเลขจากรูปภาพ กิจกรรมเกมเขียนให้ถูกนะจ๊ะกิจกรรมร้องเพื่อเป็น เคร่อื งมือในการพัฒนาทกั ษะทางด้านการอา่ นของนกั เรยี นให้มปี ระสิทธิภาพในการอา่ นมากยงิ่ ข้นึ สำหรบั ผลการวิจัยครง้ั น้ี พบว่า การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรูว้ ิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง สว่ นต่าง ๆ และหนา้ ทข่ี องพชื ของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ อตุ รดติ ถ์ จำนวน 47 คน นักเรียนนา่ จะเกิดความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และมีประสทิ ธิภาพท่ี ทำให้นักเรียนเกิดการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ซึ่งปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง มีส่วนร่วมในการเรียน เป็นกิจกรรม สามารถเลน่ ไดท้ ุกวัย เปน็ กิจกรรมที่ต่นื เตน้ เกิดความเพลิดเพลิน และจากการประเมินลกั ษณะมาตรประมาณ ค่า 5 ระดับ นักเรียนทุกคนอยู่ในระดับ ผ่าน ซ่ึงถือว่าการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สว่ นต่าง ๆ และหน้าที่ของพืชมคี วามสำคัญต่อคนทุกเพศทุกวัยดังน้ี การอา่ นและเขียนเป็นเคร่ืองมือท่ี สำคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ ใช้การติดต่อส่ือสารเพ่ือทำความเข้าใจกับบุคคลอื่น ช่วยให้บุคคล สามารถนาํ ความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ได้ (วรรณี โสมประยรู 2539, หน้า 9) ได้กลา่ วถึงใน เร่อื งของการนำเกมทางการศกึ ษาเขา้ มาช่วยสง่ เสริมและพฒั นาการดา้ นทักษะการคิดอยา่ งเปน็ ระบบซ่งึ ต้องอยู่ ภายใต้เงื่อนไขทก่ี ำหนด เปน็ การเตรียมความพร้อมให้เกิดการเรียนรเู้ กดิ ทกั ษะการคดิ เพ่ือส่งเสรมิ พัฒนาการ ทางด้านสติปัญ ญ า และช่วยตอบสนองความต้องการตามช่วงวัยของผู้เรียน ซ่ึงสอดคล้องกับ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2560: 1) การจัดการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ ท่ปี ระสบความสำเร็จน้ันจะตอ้ งเตรียมผ้เู รยี น ให้มคี วามพร้อมท่จี ะเรยี นรูส้ ง่ิ ตา่ ง ๆ พรอ้ มทีจ่ ะประกอบ อาชพี เมอ่ื จบการศึกษาหรอื สามารถศึกษาต่อในระดับ ที่สงู ขึน้ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอเพอื่ นำผลการวิจยั ไปใช้ 1.1 ครคู วรอธบิ ายชแ้ี จงรายละเอยี ดเกีย่ วกับการเรยี นดว้ ยแบบฝกึ ทกั ษะใหน้ กั เรยี น ทราบกอ่ นลว่ งหน้าเพอ่ื เตรียมความพรอ้ มของนักเรยี นก่อนไปปฏิบัติกจิ กรรมในช่วั โมง 1.2 ครูควรจัดหาวสั ดุอุปกรณใ์ ห้เพยี งพอกบั การปฏบิ ตั กิ ิจกรรม

42 1.3 ขณะท่นี ักเรียนปฏบิ ัติกิจกรรม ครูผสู้ อนควรช่วยดแู ลช่วยเหลือ แนะนำนักเรยี น เม่ือเกิดปญั หาคอยกระตนุ้ ให้กำลังใจ คอยควบคุมเร่อื งเวลาและพฤตกิ รรมของนกั เรียน เพอ่ื ใหก้ ารสอนมี ประสทิ ธิภาพมากขึน้ 2. ข้อเสนอแนะในการทำวจิ ยั ครั้งต่อไป 2.1 การพัฒนาเนื้อหาในแบบฝกึ ทักษะเพ่มิ ขนึ้ หลาย ๆ หน่วยการเรยี นรู้ เพือ่ ให้ นักเรียนไดศ้ กึ ษาในบรเิ วณอน่ื ๆ ของแหลง่ เรียนรทู้ ี่นอกเหนือจากโรงเรียน 2.2 ควรมีการพฒั นาแบบฝกึ ทกั ษะนำไปประยุกต์เพ่อื ใชใ้ นการจัดการเรยี นรใู้ น ระดบั ชั้นอ่นื ๆ และพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคข์ องผู้เรียนต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook