บทท่ี 1 ความร้พู ้ืนฐานเกี่ยวกบั การวจิ ยั ความรู้ วชิ าและศาสตร์ ความรู้ เป็นคาสามัญและมีขอบเขตกว้าง เพราะหมายความถึงวิชาและศาสตร์ โดยพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน 2554 อธิบายว่า ความรู้ หมายถึง สิ่งที่ส่ังสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือ ประสบการณ์ รวมท้ังความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ สิ่งท่ีได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการ ปฏิบัติ หากพิจารณาจากตัวมนุษยโลกแล้ว ส่ิงต่าง ๆ ทั้งหลายท่ีมนุษย์ได้ประสบหรือพบเจอมา จากท้ังด้วย ประสบการณ์ของตนเองหรือจากการบอกเล่าของผู้อ่ืน หรือจากการเรียนรู้ การฝึกฝนตนเอง เรียกรวม ๆ ว่า ความรู้ ทั้งนี้หากเป็นความรู้ในระยะแรกเร่ิม ไม่ซับซ้อน ไม่มีการจัดเป็นระบบหรือเช่ือมโยงกัน จึงเรียกว่า ความรแู้ บบสามญั หรอื ทเี่ รยี กว่า จาได้ ความรู้ที่เป็นวิชาและศาสตร์ ในแงห่ นง่ึ ไดช้ ่วยให้มนุษยม์ ีความเจริญงอกงามในด้านต่าง ๆ ของตนเอง ข้ึน วิธีการในการได้มาซ่ึงความรู้ วิชาและศาสตร์ ในปัจจุบันอยู่ภายใต้หลักคิดและวิธีการท่ีเรียกว่า วิธีทาง วิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ซ่ึงมีระบบข้ันตอนในการคิด ค้นหา รวบรวม วิเคราะห์ พิสูจน์ แสดงผล และสรุปผล จนกลายเปน็ ทฤษฎี (Theory) ในวชิ าการหรอื ศาสตร์นั้น ๆ ข้ึนมาเรื่อย ๆ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ ให้ไดม้ าซงึ่ ข้อคาตอบในคาถามหรอื ข้อสงสยั ตา่ ง ๆ ทีม่ นุษย์ตอ้ งการน้ี จงึ ถูกเรียกว่า การวจิ ยั (Research) การวิจยั การวิจัย เป็นเป็นเคร่ืองมือที่สาคัญของนักวิชาการในทุกศาสตร์สาหรับการค้นคว้า หาข้อความรู้ ความจริง และเป็นวิธีการท่ีมีความเช่ือถือได้มากกว่าวิธีการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการอ่ืน ๆ ความรู้ท่ีได้จาก การวิจัย ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านต่าง ๆ มากมายอันเป็นประโยชน์ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านนสงั คมศาสตร์ ซ่ึงเกย่ี วขอ้ งกับความเป็นอยูข่ องมนุษย์ท้ังสิ้น การวิจัยในความหมายทางโลก คือ การที่มนุษย์ในโลกน้ีพยายามค้นคว้าหาคาตอบหรือหาความจรงิ ความสงสัยใคร่รขู้ องตน เพือ่ ให้ไดเ้ ป็นคาตอบในปญั หาหรือขอ้ สงสัยต่าง ๆ ทางวิชาการหรอื ศาสตรใ์ นสาขาต่าง ๆ การหาความจริง (Fact) ด้วยวธิ วี ทิ ยาการในศาสตรเ์ หลา่ นนั้ จงึ เป็นภาพรวมของการพยายามให้ความหมาย ของการวจิ ัย อย่างไรก็ดี ความหมายการวิจัย ตามความิดของนักวิชาการต่าง ๆ รวบรวมได้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตนสถาน ให้ความหมายของการวิจัย หมายถึง การค้นคว้าเพื่อหาข้อมูล อย่างถ่ถี ้วนตามหลักวชิ าการ Oxford Advance Learner Dictionary (1996 pp.996) อธิบายว่า วิจัย หมายถึง การศึกษาหรือ สอบสวนอย่างระมัดระวัง เพ่ือท่ีจะค้นพบส่ิงใหม่ของข้อเท็จจรงิ หรือข้อมูลหรือศาสตรห์ รอื คลีนคิ ใหม่หรือการ วจิ ยั ทางประวตั ศิ าสตร์ นกั วชิ าการไทย พยายามให้ความหมายได้ ไดแ้ ก่ การวจิ ยั คอื การค้นหาขอ้ เท็จจริง (อยา่ งเป็นระบบระเบยี บ) เพื่อนามาตอบปัญหาที่ตั้งไว้ การวิจัยเป็นกระบวนการค้นคว้า หาข้อเท็จจริงหรือค้นคว้าหาปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างมีระบบ ระเบียบและมจี ุดม่งุ หมายที่แนน่ อน เพอ่ื ใหไ้ ด้ความรู้ทเี่ ช่ือถอื ได้ วิธีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 1
วิจัย หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหาคาตอบในประเด็นท่ีต้องการได้คาตอบมาเพ่ือใช้ในเชิงองค์ความรู้ หรือในการปรับปรุงแกไ้ ขหรอื พัฒนาโดยมีกระบวนการในการหาคาตอบท่ีเป็นไปตามหลักปและวิธกี ารเป็นที่ ยอมรับในศาสตร์สาขาวชิ าน้ัน ๆ สานักงานคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ (วช.) อธบิ ายไวใ้ นเอกสารจรรยาวิชาชพี และแนวปฏบิ ัติ (2556) โดยนิยามคาว่า การวิจัย หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ความจริงอย่างมีระบบ ตามระเบียบแบบแผน และวิธีการวิจัยท่ีเป็นที่ยอมรับในแต่ละศาสตร์ท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ใหม่ท่ีตอบคาถามหรือ ปัญหาท่สี นใจ หรือไดข้ อ้ ค้นพบใหม่ หรอื แนวทางปฏบิ ัติใหม่ที่ใช้แก้ปญั หา ปรับปรุงและพัฒนาไปตัง้ กฎทฤษฎี ที่อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างน่าเช่อื ถือ เป็นที่ยอมรับทางวิชาการและวิชาชีพของประชาคมวจิ ยั พระราชบญั ญัติสภาวิจยั แห่งชาติ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 อธบิ ายว่า การวจิ ัย หมายความว่า การคน้ คว้า สอบสวนและเสนอผลงานของงานทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ในสาขาวิชาการตามพระราชบัญญัตินี้ และทจ่ี ัดตง้ั ขน้ึ ใหม่ตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ ดังน้ันจึงพอสรุปได้ว่า การวิจัย คือ การท่ีมนุษย์พยายามค้นหา (Finding) ความจริง (Fact) ของสิ่ง ต่าง ๆ ทั้งหลาย ด้วยวิธีการท่ีเป็นระบบหรือมีระเบียบแบบแผนที่สาขาวิชาหรือศาสตร์น้ัน ๆ ยอมรับ (Systematic & Method) วิจยั เปน็ คาท่มี คี วามหมายเดยี วกันของคาว่า “ปญั ญา” กลา่ วคือ ในภาษาบาลี เม่อื มกี ารใหค้ วามของ คาว่า ปัญญา คาหน่ึงที่จะมาแทนกันได้คือ คาว่า “วิจโย” วิจัยในฐานะเป็นไวพจน์ของปัญญานั้น วิจัยเป็น ลักษณะหนึ่งของการใช้ปัญญา แต่เป็นปัญหาในขั้นทางานเพื่อให้บรรลุผลนั้น เป็นปัญหาที่เรียกว่า “วิจัย” วจิ ัยในทางพระพุทธศาสนาจงึ ทาให้เกิดปญั ญาหรือทาให้ปญั ญาพฒั นาข้นึ สาหรับความหมายของวิจยั ตามรูปศัพทข์ องพระพทุ ธศาสนาไดใ้ หไ้ ว้ 4 แบบ คือ 1. คน้ หาความจริง (หาความจรงิ ) 2. คน้ หาสิง่ ท่ดี ี สง่ิ ทตี่ อ้ งการ ส่ิงท่ีเป็นประโยชน์ (หาสิง่ ทดี่ )ี 3. ค้นหาทางหรอื วิธกี ารท่จี ะทาใหม้ ันดี (หาทางทาให้ดี) 4. หาวธิ ีทจ่ี ะทาให้สาเรจ็ (หาทางทาใหส้ าเร็จ) ดงั น้ัน การวจิ ัย หากจะสรปุ ความหมายของการวิจัยในทางโลกหรือทางวิชาการ อาจสรปุ ได้วา่ วิจยั คือ การท่ีมนุษย์ทง้ั หลายพยายามค้นควา้ เพื่อแสวงหาคาตอบในเรอ่ื งต่าง ๆ ท่ตี นสงสยั ด้วยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ (มีระบบระเบียบที่เช่ือถือได้) ผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือ ตลอดจนสามารถนาไปแก้ไขหรือพัฒนาในเรื่องท่ี เกี่ยวข้องได้ ส่วนในทางธรรมน้ัน วิจัย คือการที่มนุษย์ท้ังหลายพยายามค้นหาความจริงหรือพยายามเข้าถึง ความจริงของส่ิงต่าง ๆ ด้วยปัญญา วิจัยเป็นคาแทนของคาวา่ ปัญญาในพทุ ธศาสนา เนื่องจากวิจัยเป็นการใช้ ปญั ญาอย่างหนึง่ ในทางพระพุทธศาสนาต้องใช้สติปญั ญาคน้ หาในส่งิ ที่ตอ้ งการ ส่งิ ที่เปน็ ประโยชน์ หรอื หาทาง ทาใหด้ ี ทาใหส้ าเรจ็ ความหมายของการวจิ ัย การวิจยั มาจากคาภาษาอังกฤษวา่ Research ประกอบด้วยคาสองคารวมกัน คือ Re ซ่ึง หมายถงึ ทากลับไปกลับมา หรือทาซา้ ส่วนคาว่า Search หมายถงึ การค้นหาสิง่ หนึ่งส่งิ ใดทอ่ี ยากจะ รู้ ถ้านาคาสองคามารวมกนั เป็น Research ก็จะหมายถึง การคน้ หาสง่ิ ใดสิง่ หน่งึ ท่อี ยากจะรซู้ า้ กนั หลาย ๆ ครั้ง จนเกิดความม่ันในจึงจะยุติ นอกจากนี้การวิจัยยังมีความหมายในลักษณะอ่ืนอีกท่ีนักวิจัยได้ให้ความหมายไว้ ดงั น้ี วิธีวจิ ยั ทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 2
การวิจัย หมายถงึ วิธีการคน้ หาข้อความรู้ใหม่ วธิ กี ารใหม่ หรือสงิ่ ประดษิ ฐ์ใหม่ ๆ โดยอาศยั วิธกี ารทาง วิทยาศาสตร์ (Scientific method) หรือกระบวนการให้ได้มาซ่ึงขอ้ งความรู้ท่นี า่ เชื่อถือได้โดยอาศยั การสังเกต และการนิรนัย (Deduction) เป็นหลัก หรืออีกความหมายหน่ึงของการวิจัย ที่มีความหมายค่อนข้างละเอียด กวา่ ท่ีกล่าวมา การวจิ ัย หมายถงึ วธิ ีการหรอื กระบวนการในการแสวงหาขอ้ ความรู้ ความจรงิ หรือคาตอบจาก ปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นข้อความรู้ ความจริงที่เชื่อถือได้ ซึ่งจะต้องประกอบด้วยพยานหลักฐาน หรือข้อมูล ยนื ยนั ทไ่ี ด้มาอยา่ งมีระบยี บแบบแผน จากความหมายของการวิจัยท่ีบอกว่า การวิจัยเป็นกระบวนการท่ีนาเอาวิธีทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) มาใช้ซึ่งเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ท่ีเชื่อถือได้ สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วย ข้อมูลเชิงประจักษ์ (Empirical data) กระบวนการวิจัย (Research methodology) ประกอบด้วยข้ันตอน ดงั น้ี ขั้นที่ 1 กาหนดปัญหา ปัญหาท่ีจะทาวิจัยมีท่ีมาหลายแหล่ง การกาหนดปัญหาจะต้องกาหนดให้ ชัดเจนว่าเราต้องการคาตอบในเร่ืองอะไรบ้าง เม่อื มีปญั หาชดั เจนแลว้ ขั้นตอนต่อไปกจ็ ะเขยี นได้งา่ ยข้นึ ขั้นที่ 2 ตั้งสมมุติฐานการวิจัย เป็นข้ันของการคาดเดาคาตอบของปัญหาไว้ล่วงหน้าก่อนลงมือเก็บ ขอ้ มลู ซงึ่ เปน็ คาตอบท่ีเชอื่ ถือได้ดว้ ยผลหรอื ทฤษฎีของผู้ทาวจิ ยั ขั้นท่ี 3 การเก็บ รวบรวมข้อมูล เป็นขั้นการตรวจสอบสมมุติฐานโดยใช้ข้อมูลหลักฐานว่าสนับสนุน สมมตุ ิฐานหรอื ไม่ ถ้าไมส่ นับสนนุ กแ็ สดงวา่ สมมุติฐานนนั้ ผิด ข้นั ท่ี 4 การวเิ คราะห์ข้อมลู เปน็ ข้ันของการจาแนกข้อมูลเพือ่ ตอบประเด็นปญั หาตา่ ง ๆให้ครบทุกข้อ เพราะในการทาวิจยั เร่ืองหนงึ่ อาจจะมีปัญหาหลายประเด็นทจ่ี ะต้องหาคาตอบ ข้อมลู ทไี่ ด้มาชุดหน่ึงอาจจะต้อง จาแนกออกเพ่ือตอบปัญหาตามเพศ ตามอาชีพและตามกลุ่มอายุเป็นต้น ในขั้นนี้จะมีสถิติบรรยายและสถิติ อ้างองิ เขา้ มาเก่ยี วขอ้ ง ขั้นท่ี 5 สรุปผลและเขียนรายงานการวิจัยหลังจากวิเคราะห์ข้อมูลแล้วจะมีการสรุปผลการวิจัยหรือ สรุปคาตอบตามประเด็นปัญหาต่าง ๆ ให้ชัดเจนว่าปัญหานีค้ าตอบคืออะไร ถ้ามีหลายปัญหาจะนยิ มสรปุ เป็น ขอ้ ๆ ตามปญั หา เม่ือทาวิจัยทุกขัน้ ตอนเสร็จแลว้ จะต้องเขยี นเปน็ รายงานเพ่ือเผยแพร่ต่อไป ลักษณะของการวิจยั งานวิจัย โดยท่ัวไปมักจะจัดทาโดยอาจารย์หรือนักวิจัย มีแหล่งทุน ปัญหาหรือโจทย์วิจัยตลอดจนมี กระบวนการตรวจสอบการดาเนินงานอยา่ งเป็นระบบ ใช้เวลาพอสมควร สว่ นใหญจ่ ะกาหนดเวลาทาวิจยั ตั้งแต่ 1 ปี ส่วนงานวิจัยของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาน้ันมักจะกาหนดในหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก อาจมีการกาหนดในระดับปริญญาตรีด้วยในบางสาขาวิชา มีการเรียกช่ืองานวิจัยของนักศึกษา ได้แก่ ดุษฏีนิพนธ์ (Disseration) วิทยานิพนธ์ (Thesis) การศึกษาอิสระหรือการค้นคว้าอิสระ (Independent Study) ภาคนิพนธ์หรอื ปริญญานิพนธ์ (Term paper) ดุษฏีนิพนธ์ (Disseration) ตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 หมายถึง วิทยานิพนธช์ ้ันปริญญาเอก วิธวี ิจยั ทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 3
วทิ ยานิพนธ์ (Thesis) ตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 หมายถึง บทนพิ นธ์ท่ีผู้ เรียบเรียงยกเอาหัวข้อเรื่องใดเร่ืองหน่ึงข้ึนวิจัยหรือพรรณนาขยายความ โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เพือ่ เสนอรับปริญญา นอกจากนี้ มีผู้ให้ความหมายของดุษฎีนิพนธ์และวิทยานิพนธ์ ว่าหมายถึง รายงานการค้นคว้าวิจัยท่ี เรียบเรยี งขึน้ อย่างละเอียดรอบคอบมเี หตุมผี ล ตามข้ันตอนระเบยี บวธิ วี ิจยั เพือ่ ใช้เปน็ สว่ นประกอบสาคัญส่วน หนึ่งของการศกึ ษาตามหลกั สตู รมหาบัณฑติ และดุษฏีบณั ฑติ ดา้ นความแตกตา่ งของดษุ ฏีนพิ นธ์กับวิทยานพิ นธ์ ได้แก่ วทิ ยานพิ นธ์จะมีขอบเขตการศึกษาทแี่ คบกว่า ดุษฏีนิพนธ์ นอกจากนี้ดุษฏีนิพนธ์จะมีความลึกซึ้งของเน้ือหามากกว่าวิทยานิพนธ์ และดุษฏีนิพนธ์ควรจะ ค้นพบหรือนาเสนอสิง่ ใหม่ที่เป็นแนวคดิ หรอื ทฤษฎใี หม่ ๆ ที่มปี ระโยชน์กว้างขวางอย่างมาก สว่ นความแตกต่าง ของวิทยานิพนธ์กบั การศึกษาอิสระหรือการค้นคว้าอิสระ ได้แก่ ปริมาณ คุณภาพของเน้ือหาของวิทยานพิ นธ์ จะมีความเข้มข้นลึกซ้ึงของเนื้อหามากกว่าการศึกษาอิสระ และวิทยานิพนธ์ยังควรจะมีการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ประเด็นใหม่ ๆ หรอื พบความรู้ความคิดใหม่ทีแ่ ตกตา่ งจากงานทีม่ กี ารศกึ ษามาแล้วด้วย ในขณะท่ขี อบเขตของ การศึกษาอิสระไม่ลึกซ้งึ เท่ากับวิทยานพิ นธแ์ ละไม่มุ่งเนน้ ว่าจะต้องได้เป็นความรู้ใหม่ ข้อมูลการค้นคว้าอิสระ ได้มาจากการคน้ คว้าตลอดจนรวบรวมผลงานของผู้อนื่ จากน้นั นามาวิเคราะห์และสรุปผลเป็นของตนเอง ลักษณะของการวิจยั การวิจัยเปน็ กระบวนการหรือวธิ ีการทใี่ หไ้ ด้มาซง่ึ ความรู้ ความจริงจากสง่ิ ท่ีสงสัย หรอื ปญั หาซึ่งมลี ักษณะหรือการกระทาดงั นี้ 1. เป็นการกระทาที่ใหไ้ ดม้ าซึง่ งของใหม่ เชน่ ความรู้ใหม่ วธิ ีการใหม่ แบบแผนใหม่ อปุ กรณเ์ คร่ืองมือ เครอ่ื งใช้ใหม่ ๆ ซ่ึงของใหมเ่ หลา่ นีอ้ าจจะได้มาจากคดิ ขน้ึ ใหมห่ ือปรบั ปรุงพฒั นามาจากของเกา่ ก็ได้ 2. เป็นการกระทาท่ีตอ้ งใช้ความรู้ ความเช่ยี วชาญ นั่นคือผ้วู ิจยั จะตอ้ งเป็นผู้มีความรู้ ความเชีย่ วชาญ เกย่ี วกบั เทคนคิ วธิ กี ารตา่ ง ๆ ในการวจิ ยั และเนื้อหาของเร่อื งที่จะทาวิจยั ดว้ ย 3. มีความเป็นปรนยั น่นั คือ ผลของการวจิ ัยตอ้ งปราศจากอคตใิ ด ๆ ปราศจาก การใชค้ วามรู้สกึ นึกคิด หรือความคิดเห็นของผู้วิจัยในการลงข้อสรุปผลการวิจัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ถ้ามีการทาวิจัยซ้า ผลการวิจยั ก็จะเหมือนเดิม 4. ผลของการวิจัยต้องมีความเช่ือถือได้ นั่นคือ เคร่ืองมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต้องมี คุณภาพท้ังด้านความเที่ยงตรงและความเช่ือมั่น การเก็บรวบรวมข้อมูลต้องมรี ะเบียบแบบแผน การวิเคราะห์ ขอ้ มลู ต้องถกู ต้องด้วยจึงจะสง่ ผลไปยงั ผลของการวิจัยใหม้ คี วามเช่ือถือได้ 5. การทาวิจยั เมอ่ื ทาเสรจ็ แลว้ ต้องมีการเขียนรายงานเพือ่ เผยแพร่ขอ้ ค้นพบตอ่ สาธารณชนให้รับรู้ ถ้า เชอ่ื ก็จะนาข้อความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ แตถ่ ้าไม่เชื่อก็จะเกดิ การวพิ ากวิจารณ์กนั ต่อไป เนอื่ งจากการวิจยั เปน็ เคร่ืองมือของศาสตร์ ดังน้ันการวิจยั จึงประกอบด้วยคณุ ลกั ษณะ 5 ประการ ดังนี้ 1. Systematic ต้องมีระบบ มีการกาหนดตวั แปรที่จะศกึ ษาให้ชัดเจน ตามด้วยการออกแบบวิจยั การ เก็บรวบรมข้อมูล การวิเคราะห์ การทดสอบสมมติฐาน และประเมนิ ผลปญั หาทีว่ จิ ยั 2. Logical กระบวนการที่ใช้ในการวิจัยและผลที่ได้สามารถประเมินได้ ตรวจสอบได้โดยใช้เหตุผลที่ ได้มาจากการอา่ นทฤษฎแี ละงานวิจยั ตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง 3. Empirical ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากปรากฏการณ์จริง สามารถทดสอบผลได้ และข้อมลู สามารถยนื ยนั ข้อสรุป (ผล) ได้ วิธวี จิ ัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 4
4. Reductive เป็นความพยายามรวบรวมข้อมลู ทหี่ ลากหลาย และใชข้ อ้ มลู นั้นสร้างความสมั พนั ธ์เป็น ข้อสรุปส้ัน ๆ ที่เป็นเหตุเป็นผล สามารถนาไปอ้างอิงถึงประชากรท่ัวไปหรือเรียกว่า เกิดนัยท่ัวไป (Generalization) 5. Replicable สามารถจาลองหรือถอดแบบได้ น่ันคือ มีการเขียนกระบวนการของการวิจัยไว้ ซงึ่ ผอู้ ืน่ สามารถตรวจสอบ หรือทดสอบผลของการวจิ ัยไดโ้ ดยการทาซ้า หรอื เปน็ การทาวิจัยโดยใช้ผลงานวิจัยท่ี เคยทามาก่อน นอกจากน้ไี ดก้ ลา่ วถึงการวิจยั ที่ดีควรมลี ักษณะท่สี าคัญ ดงั น้ี 1. การวจิ ยั เป็นการคน้ ควา้ ท่ีต้องอาศัยความรู้ ความชานาญและความมรี ะบบ 2. การวจิ ยั เปน็ งานท่มี ีเหตุผลและมเี ป้าหมาย 3. การวิจัยจะตอ้ งมีเคร่อื งมือ หรอื เทคนคิ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทีม่ ีความเทยี่ งตรงและเชอ่ื ถือได้ 4. การวิจัยจะต้องมกี ารรวบรวมข้อมูลใหม่และไดค้ วามร้ใู หม่ กรณีใช้ข้อมูลเดิมจุดประสงค์การศึกษา จะต้องแตกต่างไปจากเดิม ความรทู้ ี่ได้อาจเป็นความรูเ้ ดิมได้ในกรณที ่มี ่งุ วิจยั เพ่ือตรวจซ้า 5. การวิจัยมักเป็นการศึกษาค้นคว้าท่ีมุ่งหาข้อเท็จจริง เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์หรือพัฒนา กฎการณ์ ทฤษฎี หรือตรวจสอบทฤษฎีหรือพยากรณ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ หรือเพื่อวางนัยท่ัวไปหรือเพ่ือ แกป้ ัญหาต่าง ๆ 6. การวิจัยต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความซื่อสัตย์ กล้าหาญ บางคร้ังจะต้องเฝ้าติดตามผล บันทกึ ผลอยา่ งละเอียด ใช้เวลานาน บางครั้งผลการวิจยั ขดั แย้งกับความเช่ือของบุคคลอืน่ อาจได้รับการโจมตี หรือไม่ยอมรบั ได้ ผูว้ จิ ยั จะต้องมคี วามกลา้ หาญทจ่ี ะเสนอผลวิจยั ตามความจรงิ ทค่ี น้ พบ 7. การวิจยั จะต้องมกี ารบันทึกและเขยี นรายงานการวิจัยอยา่ งระมัดระวงั ประโยชน์ของการวจิ ยั การวิจับเป็นการค้นคว้าหาความรู้ในความจริงของธรรมชาติทั้งหลายหรือเป็นการแก้ไขปัญหาความ สงสัยต่าง ๆ โดยมีวิธีที่เป็นระบบ ภายใต้สติปัญญาและความเพียรของนักวิจัย ดังน้ันจึงมีประโยชน์สามด้าน ได้แก่ 1. ประโยชน์ต่อผู้วิจัย : การวิจัยจะช่วยให้นักวิจัยมีความรู้ในเร่ืองท่ีตนสนใจ โดยการทดลองค้นคว้า และวิเคราะห์ตลอดจนพิสูจน์ให้ได้ผลตามที่ต้องการ ดังน้ันผู้วิจัยหากเป็นอาจารย์ก็จะช่วยให้มีความรู้ที่ กวา้ งขวางลกึ ซ้งึ ดา้ นวชิ าการแม้แต่การคน้ พบกฎหรอื ทฤษฎีใหม่ สามารถโต้แย้งทฤษฎีเดิมได้ สาหรับนักศกึ ษา การวิจัยในระดับบัณฑิตศึกษาส่วนใหญ่บังคับว่าต้องเสนอผลงานวิจัยที่เรียกว่า วิทยานิพนธ์หรือการศึกษา อิสระ เพ่ือเปน็ ส่วนหนึ่งของการสาเร็จการศึกษา 2. ประโยชน์ต่อผู้อื่น : การวิจัยที่เผยแพร่ออกไปแล้ว เมื่อมีผู้สนใจได้อ่านงานวิจัยแล้ว นอกจากจะ ได้รับความรู้ใหม่ ๆ แล้ว อาจนาไปสู่การทาวิจัยท่ีต่อเนื่องออกไปจากประเด็นเดิมท่ีค้นพบเหล่านั้น ก็จะ ก่อให้เกิดการค้นคว้าในประเด็นใหม่เพ่ิมเติมย่ิงขึ้น ในแง่นี้จะทาให้ความรู้ขยายพรมแดนออกไป เมื่อคนมี ความร้มู ากขึน้ สงั คมนั้นก็จะเปน็ สังคมทพี่ ฒั นาด้วยองคค์ วามรูจ้ ากงานวิจยั วธิ วี ิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 5
3. ประโยชน์ต่อประเทศชาติ : การวจิ ยั ท่ีดี จะช่วยให้การพยากรณ์ตลอดจนวางแผนนโยบายโครงการ ต่าง ๆ และแก้ไขปญั หาของรัฐได้ ปัจจบุ นั ภาครัฐไดก้ าหนดนโยบายทิศทางการพัฒนาประเทศใหม่ โดยเน้นการ ขับเคล่ือนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Thailand 4.0) มาเป็นระบบการผลิตบนฐานความรู้และเทคโนโลยี เน้น การใช้เทคโนโลยีและนวตั กรรมเพือ่ เพมิ่ มลู ค่าสนิ ค้าและบริการในด้านต่าง ๆ ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซ่งึ จาเป็นต้องอาศยั ความรใู้ หมท่ ี่เกดิ จากการค้นควา้ หรอื งานวิจัยทงั้ หลาย การวิจัยนับว่ามีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบันซึ่งจะเห็นได้ว่าศาสตร์ที่มีคามเจริ ญก้าวหน้าอย่ าง รวดเร็วน้นั เกดิ จากมีการวิจัยหรือมกี ารศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ อยูต่ ลอดเวลา ซึ่งจะเหน็ ได้ชัดในศาสตร์ ทางดา้ นการแพทย์ แต่ถา้ ศาสตร์ใดนกั วิชาการในศาสตร์นั้นไมค่ อ่ ยได้ทาการวิจัยหรือการทาการวิจัยแล้วก็ไม่ได้ นาไปใช้ประโยชน์ ศาสตร์น้ัน ๆ ก็จะเจริญก้าวหน้าช้า ผลงานท่ีได้จากการทาวิจัยก่อให้เกิดประโยชน์หลาย อย่างซึ่งกข็ ึ้นอยกู่ ับจุดมุ่งหมายของผู้ทาวจิ ัยเองว่าต้องการนาผลการวิจัยไปใช้อะไร แต่พอจะสรุปได้เป็นข้อ ๆ ดงั นี้ 1. ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มมากข้ึนในสาขาวิชาที่ทาวิจัย ซึ่งเป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาข้อความรู้ ความจรงิ ในส่ิงที่ยงั ไมม่ ีใครรู้ อาจจะเปน็ กฏหรือทฤษฎีใหม่ 2. ก่อให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ท่ีทันสมันอยู่เสมอซ่ึงเป็นการวิจัยที่มุ่งประดิษฐ์หรือสร้างอุปกรณ์ท่ีจะ นามาใช้เพอื่ อานวยความสะดวกให้แก่มนษุ ย์ 3. ใช้เป็นข้อมูลในการกาหนดนโยบาย หรือวางแผนในการปฏิบัติงานซ่ึงเป็นการวิจัยเพอ่ื หาข้อมูลใน ดา้ นต่าง ๆ สาหรบั นามาใช้ในการบริหารหน่วยงาน 4. ช่วยให้ได้แนวทางในการเลือกวิธีปฏิบัติ ในการทางานว่าจะเลือกวิธีใดท่ีประหยัด รวดเร็ว และ ได้ผลดีท่ีสดุ 5. ชว่ ยในการใหแ้ ก้ปญั หาตา่ ง ๆ ได้ตรงและมีเหตผุ ลทเ่ี ชื่อถือได้ 6. ใชใ้ นการติดตามและประเมินผลของหนว่ ยงาน หรือโครงการต่าง ๆ จะทาให้เราทราบถงึ ผลสาเร็จ ของงานหรือ โครงการว่ามีมากน้อยแคไ่ หน มีปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติอะไรบ้าง เพอื่ นามาใช้เป็นข้อมูลใน การแก้ไขปรบั ปรุงโครงการต่อไป 7. ช่วยให้ได้เทคนคิ สาหรบั การพัฒนาบคุ คลลากรและหน่วยงานใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากยิง่ ขึ้น ประเภทของการวิจยั การวิจัยสามารถจัดแบ่งได้หลายแบบ แตกต่างกันขึ้นกับความประสงค์ของการแบ่งและการใช้ ประโยชน์ของแต่ละศาสตร์ กรณีจัดแบ่งตามประเภทของศาสตร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การวิจัยทาง วทิ ยาศาสตร์ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Research) เป็นการวิจัยท่ีเน้นข้อมูลเชิงประจักษ์ด้วยผัสสะทั้ง หา้ กลา่ วคอื ผลที่ไดส้ ามารถบอกค่าเป็นสัญลักษณ์หรือตัวเลข ตลอดจนการวินจิ ฉัยทดลองกับข้อมูลที่ปรากฏ เป็นผลที่ยืนยันได้ อาจสร้างเป็นทฤษฎีใหม่ ๆ ข้ึนมา การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้แก่ สาขา วิทยาศาสตร์กายภาพ เคมี ชีวภาพ ฟิสิกส์ และสาขาด้านการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ พยาบาล ทนั ตแพทย์ เภสชั ศาสตร์ เป็นต้น วธิ ีวจิ ยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 6
การวิจัยททางสังคมศาสตร์ (Social Science Research) เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นด้านบุคคลและสงั คม มากกว่าการสร้างกฎหรือทฤษฎีในนแบบวิทยาศาสตร์ แต่จะให้ความสาคัญกับความรู้สึกนึกคิด ความเช่ือ ทัศนคติ ค่านิยม ความเปล่ียนแปลงของสังคมว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง การเก็บข้อมูลมักใช้แบบการสังเกต การ สมั ภาษณ์ แบบสอบถามทงั้ ในเชงิ ปรมิ าณและเชงิ เจาะลึก อาจวิเคราะห์แบบใช้สถติ ิหรือการพรรณนาในเน้ือหา การวิจัยทางสังคมศาสตร์ในปัจจุบันได้แก่ กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ บริหารธุรกิจ การบัญชี มานุษยวิทยา จิตวิทยา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น หากพิจารณาในแงต่ ัวมนษุ ย์ก็อาจจัดเป็นการ วจิ ยั ทางมนุษยศาสตร์รว่ มดว้ ย กระบวนการวจิ ัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ การวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการมีหลายประเภท แต่ละประเภทอาจมีขั้นตอนและวิธีการท่ี เหมือนกัน และแตกต่างกันไป ซ่ึงก็ยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามกระบวนการวิจัย ทวั่ ไปทีน่ ยิ มใชก้ นั มี 10 ข้นั ตอน 1. การกาหนดปัญหาการวิจัย (Formulation of research problem) 2. การทบทวนวรรณกรรม (Literature review) 3. การกาหนดกรอบแนวคดิ การวจิ ยั (Identifying conceptual framework) 4. การกาหนดตวั แปร (Identifying variables) 5. การกาหนดสมมตฐิ าน (Hypothesis setting) 6. การออกแบบการวิจัย (Research design) 6.1 การกาหนดประชากร และกลุม่ ตัวอยา่ ง 6.2 การกาหนดเครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั 6.3 การกาหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 6.4 การกาหนดแนวทางการวิเคราะหข์ ้อมลู และการทดสอสมมตฐิ าน 7. การดาเนินงานวิจยั (Research implementation) 8. การวิเคราะห์ข้อมูล การแปลและการตีความ และสรุปผลการวิเคราะห์ ( Data analysis, interpretive and summarized) 9. การอภิปรายผล และการใหข้ ้อเสนอแนะ (Discussion and suggestion) 10. การรายงานผลวิจัย หรือการเผยแพร่งานวจิ ยั (Communication of report findings) ซ่งึ จะได้กลา่ วถึงสาระสาคัญของแตล่ ะขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี้ ขั้นตอนท่ี 1 การกาหนดปญั หาการวจิ ยั ปญั หาการวิจัยหรอื คาถามงานวิจัย หมายถึง ส่ิงท่ผี ู้วจิ ัยอยากรู้ และต้องทาการวิจัยเพ่ือใหไ้ ด้คาตอบท่ี ต้องการจะรู้ ทั้งน้ีเพราะส่ิงที่เป็นคาตอบยังไม่มีผู้ใดทราบมาก่อน หรือมีการจดบันทึกเผยแพร่ไว้ ผู้วิจัยควร กาหนดปัญหาจากความสนใจของตนเอง ทั้งต้องเป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อวงการวิชาการและวิชาชีพ ประเด็นปัญหานัน้ ไม่ควรกว้างเกนิ ไป ต้องสามารถดาเนินการได้สาเร็จในเวลาทีก่ าหนดไว้ ขนั้ ตอนน้คี วรต้ังช่ือ เรือ่ ง หรอื หวั เรือ่ งของการวิจัยใหน้ า่ สนใจและตรงประเด็น วิธวี จิ ยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 7
ขน้ั ตอนที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรมเป็นการศกึ ษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ รวมถงึ งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกับ ประเด็นศึกษา ซึ่งทาให้ผู้วิจัยสามารถกาหนดกรอบแนวคิดในการทาวิจัยและวางแผนการวิจัยได้รัดกุมและ ครอบคลุม นอกจากน้ียังช่วยในการอภิปรายผลว่าเหมือนหรือแตกต่างจากผลงานวิจัยอื่นอย่างไร น่าจะเกิด จากอะไร ขั้นตอนที่ 3 การกาหนดกรอบแนวคิดการวจิ ยั การกาหนดกรอบแนวคิดการวิจัยเป็นการสรุปให้เห็นความเช่ือมโยง หรือความสัมพันธ์ของ ตวั แปรททีต่ ้องการศกึ ษา โดยมีขอ้ มลู ทไี่ ด้จากการทบทวนวรรณกรรม เป็นคาอธบิ ายความสัมพนั ธ์ดังกล่าว ข้นั ตอนท่ี 4 การกาหนดตัวแปร การกาหนดตัวแปรเป็นการระบุว่า การศึกษาคร้ังนี้ผู้วิจัยต้องการศึกษาส่ิงใดบ้าง ซึ่งมีท้ังตัว แปรที่มีในกรอบแนวคิดและตัวแปรอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องในการอธิบายผลการวิจัยด้วย ในการกาหนดตัวแปร สาคัญ ๆ ท้ังหมด ผู้วิจัยต้องให้ความหมายว่า อยู่ในขอบเขตแค่ไหน และมีมาตรวัดแบบใด หรือใช้วิธีการวัด อย่างไร ซ่ึงจะช่วยให้สร้างเคร่ืองมือหรือเลือกเครื่องมือได้อย่างเหมาะสม และมีผลต่อเนื่องไปถึงถึงการเก็บ รวบรวมข้อมลู และการเลอื กสถิตสิ าหรับวเิ คราะห์ขอ้ มูลได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย ขั้นตอนท่ี 5 การกาหนดสมมตฐิ าน การกาหนดสมมติฐานเปน็ การคาดคะเนคาตอบของคาถามวิจัย (Research question) หรอื ปัญหาการวิจัยท่ีอยู่บนแนวคิดของความเป็นเหตุเป็นผลตามหลักการ แนวคิดทฤษฎี และข้อเท็จจริงตามท่ีได้ ศึกษามาจากทบทวนวรรณกรรม การกาหนดสมมติฐานการวิจัยต้องสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการวิจัย สาหรับการวิจัยเชิงพรรณนาอาจไม่จาเป็นต้องาหนดสมมติฐาน ขั้นตอนที่ 6 การออกแบบการวจิ ยั การออกแบบการวิจัยเป็นการเลือกรูปแบบการวิจัยเพื่อดาเนินการศึกษาให้ได้ผลการวิจัยมี ความน่าเชื่อถือสรุปเป็นนัยทั่วไป ประกอบด้วยการกาหนดประชากร และกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือท่ีใช้ในการ วิจัย วิธรการเก็บที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลและวิธีการวเิ คราะห์ข้อมูล และการทดสอบสมมติฐาน ดังจะได้กล่าว ต่อไปน้ี (1) การกาหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (Identifying population and sample) เป็น การระบุขอบเขตของประชากรท่ีต้องการศึกษาว่าเป็นกลุ่มไหน หรือเป็นใคร ที่ไหน จานวนเท่าไร ภายในช่วง ระยะเวลาใด ให้ชัดเจนเพ่อื นาไปพจิ ารณาการเลอื กวธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ ง (Sampling technique) ที่เหมาะสมทา ใหไ้ ดก้ ลมุ่ ตวั อย่างทเี่ ป็นตวั แทนทด่ี ีของประชากรในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป (2) การกาหนดเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย (Research instrument) เป็นการเลือกเคร่อื งมอื ที่ มีอยู่แล้ว หรือสร้างเครื่องมือใหม่เพื่อใช้วัดค่าตัวแปรที่ศึกษาได้ถูกต้องแม่นยามากที่สุด เคร่ืองมือท่ีใช้ในการ วิจัยมีหลายประเภท ต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย เครื่องมือแต่ละชนิดมีข้อดี และ ขอ้ จากัดแตกต่างกนั (3) การกาหนดวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล (Data collection) เปน็ การนาเครอ่ื งมือการวิจัยท่ี เตรียมไวไ้ ปเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากประชากร หรือกลมุ่ ตัวอยา่ งทผ่ี ูว้ ิจัยตอ้ งการศกึ ษา การเลือกวิธีการเก็บขอ้ มูล วิธวี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 8
ที่เหมาะสม จะช่วยให้ได้ข้อมูลครบถ้วน สมบูรณ์ ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและเชื่อถือได้ ผู้เก็บรวบรวม ขอ้ มลู จะต้องมคี วามรู้ ความชานาญ และไมม่ ีอคตใิ ด ๆ ในการทางาน (4) การกาหนดแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูล และทดสอบสมมติฐาน (Data analysis and hypothesis testing) เป็นการกาหนดว่าจะนาข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้มาจัด เป็นหมวดหมู่ หรือตามกลุ่ม ตัวแปรอย่างไร ใช้สถิติชนิดใดช่วยวิเคราะห์ เพ่ือผลการวิเคราะห์สามารถตอบคาถามงานวิจัย หรือพิสูจน์ สมมติฐานการวิจัยท่ีผู้วิจัยต้ังไว้ ข้ันตอนนผ้ี ู้วิจัยต้องเชื่อมโยงวัตถุประสงค์ กรอบแนวคิด ลักษณะ และมาตรา วดั ของตัวแปรให้เห็นถึงความสอดคล้องกัน เพื่อเลือกใช้แนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสม ในการวิจยั เชิง ปริมาณ การวิเคราะห์ข้อมลู อาศัยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สาเรจ็ รูปสาหรบั การวิเคราะหข์ อ้ มูล ขน้ั ตอนท่ี 7 การดาเนินงานวจิ ยั การดาเนินงานวิจัยเป็นข้ันตอนที่ผู้วิจัยปฏบิ ัติตามรูปแบบการวิจัยท่ีได้ออกแบบหรอื กาหนด ไว้ทกุ ประเด็นในข้นั ตอนการออกแบบงานวจิ ัย ในการดาเนินงานทุกข้ันตอนผวู้ ิจยั ต้องวางแผนการใชท้ รพั ยากร และระยะเวลาการทางานให้เกิดประสิทธิภาพ และอาจต้องมีการปรับแผนหากมีความจาเป็นอันเนื่องมาจาก สถานการณ์ปัจจบุ นั ไม่เอ้อื อานวย ข้ันตอนที่ 8 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล การแปลและการตีความ และสรุปผล การวิจัยแต่ละประเภท มีแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลแตกต่างกัน การวิจัยเชิงปริมาณใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดทาและวิเคราะห์ข้อมูล อาจมีการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมหรือ ปรับเปลี่ยนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หลักจากที่ผู้วิจัยเห็นผลการวิเคราะห์เบื้องต้นแล้วก็ได้ ท้ังน้ีเพ่ือให้ได้ผล การวิเคราะหท์ ชี่ ดั เจนและถกู ตอ้ งมากย่ิงขน้ึ ผลการวเิ คราะห์ทางสถติ ทิ ่ีไดต้ อ้ งนาเสนอและแปลความหมายเป็น ข้อความท่ีทาให้เกิดความเข้าใจ โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์แสมมติฐานการวิจัย บางคร้ังการแปล ความหมายยงั ไม่เพียงพอ ตอ้ งอาศัยการตีความชว่ ยจึงจะมีความชัดเจนย่งิ ขึน้ จากการแปลผลและการตีความ จะนาไปสู่ข้อสรุปสาคัญของผลการวิจยั ซ่งึ สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์และสมมตฐิ านการวจิ ัย ข้นั ตอนท่ี 9 การอภิปรายผลอละให้ข้อเสนอแนะ การอภปิ รายผลเปน็ สว่ นหนง่ึ ของการนาเสนอผลการวิจัย ข้อสรปุ ผลการวิจัยที่ได้จะถกู นามา อภิปรายว่า เป็นไปตามกรอบแนวคิดการวิจัยหรือไม่ อย่างไร อาจมีสาเหตุมาจากอะไรบ้างที่ทาให้ไม่เป็นไป ตามแนวคิดที่กาหนด นอกจากน้ีมีการเปรียบเทียบความเหมือนหรือความต่างของผลการวิจัยของคนอ่ืน ๆ เพื่อยืนยนั ผลหรือจดั ทาเป็นขอ้ สงั เกตไว้ การทบทวนวรรณกรรมทมี่ ีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นทีศ่ ึกษาจะช่วยให้ การอภิปรายผลตรงประเดน็ และมเี หตุผล นา่ เชื่อถือ จากผลของการวจิ ยั และการอภิปรายผลจะทาให้ผูว้ ิจัยได้ ข้อเสนอแนะสาหรับการนาผลการวิจัยไปใช้และข้อเสนอแนะสาหรับการวิจัยครั้งต่อไป ซึ่งถือเป็นประโยชนท์ ่ี ไดจ้ ากงานวจิ ยั ขัน้ ตอนท่ี 10 การรายงานผลการวจิ ัยหรือการเผยแพรง่ านวิจัย ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวจิ ัย คือ การรายงานหรือเผยแพร่การวจิ ัยซ่ึงสามารถทาได้ หลายวิธี ได้แก่ การเขยี นรายงาน (Research report) ฉบับสมบูรณห์ รอื ฉบับย่อ การนาเสนอดว้ ยวาจา (Oral presentation) การนาเสนอด้วยแผ่นภาพ (Poster presentation) หรือการนาเสนอผ่านวารสารหรอื ส่ือต่าง ๆ การทารายงานการวิจัยต้องยึดหลักหรือระเบียบสากล เพื่อให้ผู้อ่ืนสามารถอ่านและเข้าใจได้อย่างถูกต้อง รวมถงึ การนาขอ้ มลู ไปใชอ้ า้ งองิ ได้อยา่ งน่าเชอ่ื ถือดว้ ย วิธีวิจยั ทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 9
บทท่ี 2 การกาหนดปญั หาและวตั ถุประสงค์การวจิ ยั (Formulation of Research Problem and Objective) การกาหนดปัญหาการวิจัยเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการวิจัยท่ีมีความสาคัญมาก เพราะจะเป็น แนวทางในการทาวิจัยต่อไป รวมทั้งทาให้พิจารณาว่าควรศึกษาปัญหานั้นหรือไม่ ถ้าปัญหานั้นได้มีการหา คาตอบแล้ว หรือมีการวิจัยมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่ควรทาวิจัยเร่ืองน้ี เพราะจะเป็นการทาวิจัยซ้าไม่เกิด ประโยชน์เพิม่ ข้ึน นอกจากนี้ผวู้ ิจัยควรมีพืน้ ฐาน ความรเู้ กี่ยวกับปญั หาทส่ี นใจน้ันดีพอสมควร ที่มาของปัญหาการวจิ ัย ปญั หาการวิจยั หมายถงึ สง่ิ ท่เี กิดขนึ้ จากความสงสัยใครร่ ู้คาตอบ และการหาคาตอบนั้นจะตอ้ งกระทา อยา่ งมีระบบและเชื่อถอื ได้ อาจกล่าวไดว้ ่า ปัญหาการวิจยั คอื คาถามงานวิจยั ที่ผู้วิจัยต้องการหาคาตอบ ฉะน้นั ผู้วิจัยตอ้ งถามตนเองส่าสนใจใคร่รูเ้ รื่องอะไรท่จี าเปน็ ตอ้ งทาวิจัยเพ่ือให้ไดค้ าตอบทถ่ี กู ต้อง เชื่อถือได้ ผู้วิจยั อาจ คน้ หาคาตอบงานวจิ ยั ได้อยา่ งเหมาะสมจากแหลง่ ทม่ี าของปญั หาการวิจัยซง่ึ มีแหลง่ ต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ประสบการณข์ องผูว้ จิ ยั เอง ปกติแล้วปัญหาการวิจัยได้มาจากประสบการณ์ของผู้วิจัยที่ทางานในเรื่องนั้น ๆ เช่น จาก ประสบการณ์นการทากระดาษจากเย่ือกล้วยพบว่ากระดาษท่ีได้มีลักษณะฉีกขาดง่าย ดังน้ันจึงสงสัยว่าหาก ผสมเยื่อสากับเยื่อกล้วยในการทากระดาษ จะทาให้กระดาษมีลักษณะดีข้ึนหรือไม่ และควรผสมในอัตราสว่ น เท่าไรจึงจะไดผ้ ลดี ขอ้ สงสัยดังกลา่ วจงึ ถูกนามาเป็นปัญหาการวิจัยเพอ่ื ศึกษาหาคาตอบต่อไป เปน็ ตน้ 2. การศึกษาค้นคว้าจากแหล่งตา่ ง ๆ ผู้วิจยั สามารถพบปัญหาการวจิ ยั จากแหล่งต่าง ๆ ไดด้ งั น้ี 1) รายงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ต่าง ๆ ในสาขาวิชาท่ีผู้วิจัยมีความสนใจใคร่รู้ ซ่ึงผู้วิจัยสามารถหา ประเด็นปญั หาได้จากการอา่ นบทสรุป หรือขอ้ เสนอแนะ 2) รายงานโครงการต่าง ๆ หรือรายงานของหนว่ ยงาน ซ่งึ อาจกลา่ วถงึ ปญั หาในการปฏิบตั ิงานเพ่อื การ วิเคราะห์หรอื ปรบั ปรงุ ตอ่ ไป 3) หนังสอื และวารสารตา่ ง ๆ ทมี่ เี รอ่ื งราวที่ผวู้ ิจัยสนใจ 4) รายงานการประชุมทางวิชาการ การสัมมนา เปน็ ต้น ซ่ึงอาจระบุอุปสรรค หรอื ปัญหา หรือแนวทาง การพฒั นา 5) จากประกาศแจ้งความใหท้ ุนการวิจัยของแหล่งทุนเพ่ือการวิจัยต่าง ๆ ซ่ึงจะมีการกาหนดแนวทาง และนโยบาย หรือประเด็นใหท้ าวจิ ยั 3. เหตกุ ารณใ์ นสังคมที่ผู้วจิ ัยไดส้ มั ผสั หรือรับรซู้ ง่ึ ได้มาจาก 1) การสังเกตสภาพแวดล้อม และความเป็นอยู่ในสังคม จะพบปัญหาเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมและปัญหา ทางสงั คม ผ้วู ิจัยอาจนาข้อมลู เหล่านีม้ ากาหนดปัญหาการวจิ ยั ได้ 2) การเข้าร่วมประชมุ สมั มนาต่าง ๆ ซึ่งทาให้เกิดการแลกเปลย่ี นความคิดเห็น และแนวคิด 4. คาแนะนาหรอื จอ้ เสนอแนะจากบุคคลอน่ื ปัญหาการวิจัยอาจได้จากคาแนะนาหรือข้อเสนอแนะของนกั วิชาการ หรือผู้มีความรูค้ วามชานาญใน สาขาวชิ าการทผี่ ูว้ ิจัยมีความรู้ และความสนใจ วิธวี ิจัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 10
5. จากยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) และจากนโยบายและแนวทางการวิจัยแห่งชาติ ซ่ึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับท่ี 12 ยึดหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอพียง” “การพัฒนาที่ย่งั ยืน” และ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ประเด็นการ พัฒนาท่สี าคัญในช่วงแผนพัฒนา ฯ ฉบบั ที่ 12 มกี ารเพิ่มการลงทนุ เพ่ือการวิจัยและพัฒนา มงุ่ เนน้ งานวิจัยเพ่ือ พฒั นาประเทศ ซงึ่ งานวิจัยทางด้านอาหารสามารถตอบสนองการพฒั นาประเทศได้หลายมิติ เชน่ การวิจัยเพ่ือ ปรบั ปรุงสุขภาพดา้ นอาหารละโภชนาการ การวิจัยเพอ่ื อนรุ ักษแ์ ละพัฒนาภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ เปน็ ต้น นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและการนาไปใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นการนาความคิด สรา้ งสรรค์และการพฒั นานวตั กรรม ทาให้เกดิ สง่ิ ใหมท่ มี่ ลู คา่ เพม่ิ ทางเศรษฐกิจทั้งในเรือ่ งกระบวนการผลิตและ รูปแบบผลติ ภณั ฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ แนวคิดการกาหนดปญั หาการวิจยั สาขาธุรกิจอาหารและโภชนาการ เป็นศาสตร์ประยุกต์ประกอบด้วยความรู้หลายแขนง กล่าวคือ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ท่ีเก่ียวข้องกับอาหาร โภชนาการและด้านการดาเนินธุรกิจ รวมถงึ ด้านศิลปะประดิษฐ์ ดังน้นั ปัญหาการวิจัยจึงมีประเด็นหลากหลาย แนวคิดในการกาหนดปัญหาการวิจัย เช่น ปัญหาที่เก่ียวข้องกับการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณลักษณะและคุณสมบัติเป็นท่ีต้องการของผู้บริโภค, ปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับการนาวัสดุ ธรรมชาตริ าคาต่าหรือวสั ดุทางการเกษตรเหลอื ทิง้ มาใช้ทาผลติ ภณั ฑ์เพ่ือเพ่ิมมูลค่า อย่างไรกด็ ีการกาหนดปัญหาการวจิ ยั ไดอ้ ย่างเหมาะสม ควรพิจารณาเกณฑ์ต่อไปน้ี 1. เม่ือทาการวิจัยในปัญหาการวิจัยแล้วได้ผลการวจิ ัยเปน็ ความรู้ใหม่ ซ่ึงหมายถึงเป็นสิ่งท่ียังไม่มีผู้ใด ค้นพบมาก่อน หรือเป็นการขยายความรู้เดิมให้กว้างขวางหรือลึกซ้ึง หรือเป็นการสนับสนุนหรือคัดค้าน ผลงานวิจัยที่มีมาก่อน 2. ปัญหาการวิจัยท่ีดีควรให้ความรู้ซ่ึงจะนาไปใช้ประโยชน์ได้มาก เป็นต้นว่า สามารถนาไปพัฒนา คุณภาพชีวิตของครอบครัว หรือพฒั นาอาชีพนาไปสเู่ ศรษฐกิจทีด่ ี 3. เป็นปญั หาการวจิ ยั ท่ีมพี ืน้ ฐานของเหตุผลและข้อมลู ทางวทิ ยาศาสตร์ สนบั สนนุ แนวคดิ 4. เป็นปัญหาการวิจัยท่ีใช้วิธีการดาเนินการวิจัยเป็นไปตามหลักจริยธรรม หรือจรรยาบรรณนักวิจยั ไมก่ ระทบกระเทอื นหรือเกดิ ผลเสียหายต่อผอู้ นื่ 5. เป็นปัญหาการวิจัยที่มีขอบเขตชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การวิจัยสามารถครอบคลุมและตรงประเด็นที่ ศึกษามากยง่ิ ขึ้น 6. เปน็ ปญั หาที่ผวู้ ิจยั สนใจจะแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง และไมม่ ีปญั หาในด้านทรพั ยากร การตง้ั ชอ่ื เรอ่ื งวิจัย การตงั้ ชื่อเรือ่ งการวจิ ยั มีความสาคัญมาก เพราะทาให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากติดตามอ่านเนือ้ ความ ขา้ งใน ซง่ึ สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติไดเ้ สนอแนวทางเกี่ยวกบั การตั้งชอ่ื เร่อื ง ดังนี้ 1. เป็นชอื่ เร่อื งทกี่ ะทดั รัด ชัดเจน เขา้ ใจง่าย ครอบคลมุ เนื้อหาสาระท่จี ะทาการวิจยั 2. ให้ความหมายในการจงู ใจ นา่ สนใจ และตรงกับเน้ือเรอ่ื งมากทสี่ ดุ 3. สามารถสื่อใหผ้ ู้อ่านคาดคะเนเรื่องราวทจี่ ะทาการวิจัยได้อยา่ งใกล้เคียง วธิ ีวจิ ยั ทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 11
จากแนวทางดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่า การต้ังช่ือเรื่องให้เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ ตอ่ ไปนีม้ าประกอบดว้ ย คือ 1) ตัวแปรท่ีสาคัญของการวิจัย การต้ังชื่อเร่ืองอาจจะนาตัวแปรที่สาคัญมาเป็นส่วนหนงึ่ ของชื่อเร่ือง การวิจยั 2) ความเกี่ยวข้องของตัวแปรท่ีนามาศึกษา ในกรณีที่มีตัวแปรที่สนใจศึกษาหลายตัวและผู้วิจัยสนใจ จะศึกษาความเกย่ี วข้องกนั ของตัวแปร เช่น ความสมั พันธ์ หรอื อิทธผิ ลของตวั แปรอสิ ระตอ่ ตวั แปรตาม 3) ขอบเขตการศึกษา การระบุขอบเขตการวิจัยให้ชัดเจนว่าต้องการศึกษาเฉพาะประชากรกลุ่มใด ก็นาลักษณะของประชากรกลุ่มเปา้ หมายมาไว้ในช่ือเรอื่ งดว้ ย เพื่อใหม้ คี วามชัดเจนมากยง่ิ ขนึ้ อย่างไรก็ดี หลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นมักนามาใช้ในการตั้งชื่องานวิจัยเชิงสารวจ แต่ในงานวิจัยเชิง ทดลองหรอื งานวิจัยทดลองและพฒั นา อาจพิจารณาถงึ องค์ประกอบสาคัญของงานวจิ ยั ตอ่ ไปนี้ 1) สิ่งทดลอง และ/หรือหน่วยทดลอง หมายถึง สิ่งท่ีผู้วิจัยจัดกระทา จัดเป็นตัวแปรอิสระท่ีต้องการ ศึกษา ส่วนหน่วยทดลอง หมายถงึ ตวั อยา่ งหรือประชากรที่ใช้ในการศึกษา การนาส่งิ ทดลองมาตัง้ เปน็ ชอ่ื เรื่อง ทาใหผ้ ู้อ่านรู้ทันทวี ่าผู้วจิ ยั ต้องการทดลองทาอะไร 2) เปา้ หมายของการทดลองหรอื ผลท่เี กดิ ขน้ึ จากการทดลองตามกรอบแนวคดิ ของผู้วจิ ัย วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั (Research Objective) วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั หรอื จดุ มงุ่ หมายของการวิจยั คือ ข้อความประโยคบอกเล่าที่ผู้วิจัยระบุถึงส่ิ ทีต่ ้องการศกึ ษา เพ่อื ใหไ้ ด้คาตอบทตี่ อ้ งการรใู้ นประเดน็ ปัญหาการวิจัย 1. ความสาคญั ของวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย วตั ถุประสงค์ของการวิจัยมคี วามสาคัญตอ่ การดาเนนิ งานวิจัย 1) ทาใหท้ ราบว่าผู้วิจัยต้องการศกึ ษาในประเด็นใดบา้ ง ภายใต้ชือ่ เรอ่ื งที่กาหนด 2) ทาให้ทราบขอบข่ายของการวิจัย สามารถกาหนดวิธีการดาเนินงานวิจัย และวางแผนการ ดาเนนิ งานวจิ ยั ได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม 3) ทาให้ระบตุ วั แปรทีศ่ ึกษา ประชากรเป้าหมาย และตงั้ สมมตฐานไดช้ ัดเจนข้ึน 2. แนวทางการเขยี นวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ข้อควรพิจารณาในการเขยี นวตั ถปุ ระสงคง์ านวจิ ัย มดี ังนี้ 1) มคี วามชัดเจน ผูว้ ิจยั ต้องระบใุ หช้ ดั เจนลงไปวา่ จะต้องทาอะไรบา้ งเพื่อตอบคาถามอะไร โดยระบุถงึ ตัวแปรทตี่ ้องการศกึ ษาซ่งึ เปน็ ตัวแปรทสี่ ามารถวดั ได้ 2) ใชภ้ าษาท่ีรดั กมุ และกระชับ ไมเ่ ยิ่นเยอ้ 3) ไมซ่ ้าซอ้ น วตั ถุประสงค์แตล่ ะข้อไม่ควรมีความซ้าซอ้ นกัน 4) มคี วามตอ่ เนอื่ งเปน็ ลาดับกนั ถา้ มวี ตั ถุประสงคก์ ารวิจัยหลายข้อ ควรนามาจัดเรียงลาดับใหม้ ีความ ตอ่ เนือ่ งกนั เพื่อใหเ้ กิดความเข้าในในประเด็นทศี่ ึกษาอย่างเป็นข้นั ตอน วิธวี ิจยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 12
สรปุ การกาหนดปัญหาการวิจัย หรืออีกนัยหน่ึงเรียกว่า คาถามงานวิจัย เป็นข้ันตอนแรกของการวจิ ัยทมี่ ี ความสาคัญมาก ควรเลือกประเด็นปัญหาท่ีผู้วจิ ัยมีความรแู้ ละสามารถศึกษาได้สาเร็จภายใต้ทรพั ยากรท่มี ีอยู่ คาตอบทไ่ี ด้จากการวิจัยเป็นประโยชน์ต่อวิชาการหรือวิชาชีพ วธิ กี ารกาหนดปัญหาให้ชัดเจนควรแจกแจงเป็น ประเด็นย่อย ๆ โดยใช้ประโยคคาถามนาทาง ในขณะเดียวกันผู้วิจัยต้องทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับ ประเด็นทีส่ นใจศกึ ษาอย่างรอบครอบเพ่ือให้รูจ้ ักตัวแปรและอิทธผิ ลของตัวแปรท่ีศึกษา เม่ือได้ประเด็นปัญหาแล้วจึงต้ังขื่อเรอื่ งงานวิจัยให้เห็นทิศทางการวิจัยที่ชัดเจน แนวทางการเขียนชื่อ เรื่องการวิจัยแต่ละประเภทอาจมีความแตกต่างกันบ้าง ผู้ท่ีเริ่มต้นทาวิจัยควรศึกษาเทคนิคการต้ังช่ือเร่ือง เพอ่ื ใหช้ อื่ เรอ่ื งมคี วามนา่ สนใจและสอื่ ความหมายชดั เจน หลังจากเขียนชื่อเร่ืองการวิจัยแล้วจึงเขียนวัตถุประสงค์งานวิจัย ซึ่งนิยมเขียนเป็นข้อความประโยต บอกเล่าเป็นข้อ ๆ โดยระบกุ ารกระทาที่ใช้ในการศึกษาให้ได้คาตอบที่เปน็ ความรู้ใหม่ หรอื นวัตกรรมทางธุรกิจ อาหารและโภชนาการ การเขียนวัตถุประสงค์ต้องสอดคล้องกับชื่อเร่ือง ระบุตัวแปรที่สามารถวัดค่าได้อย่าง ชัดเจน มขี ้อความรัดกุม ไม่ซ้าซ้อน และเรยี งลาดบั ของวตั ถปุ ระสงค์ตามขน้ั ตอน วิธวี จิ ยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 13
บทท่ี 3 การกาหนดตัวแปรและการตั้งสมมติฐาน (Identifying Variables and Hypothesis Setting) การกาหนดตัวแปรและการต้ังสมมติฐาน มีความสาคัญมากเพราะ Kinnear และ Taylor กล่าวว่า “วิธีท่ีดีที่สุดท่ีจะเข้าใจส่ิงต่าง ๆ ได้อย่างถ่องแท้ ได้แก่ การพยายามวัดมันออกมาให้ได้” จึงอาจกล่าวได้ว่า การวิจัย คือ การศึกษาตัวแปร ดังนั้นผู้วิจัยต้องมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับชนิด บทบาทและมาตราวัดของ ตวั แปรท่ีศึกษาอยา่ งถ่องแท้ เพอ่ื ให้ผลการวิจยั เชือ่ ถือไดม้ ากท่สี ดุ ความหมายของตวั แปร ตัวแปร (Variables) หมายถึง คุณสมบัติ หรือคุณลักษณะของส่ิงต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยมีความสนใจศึกษา และมีค่าแปรเปลี่ยนไปได้หลายคา่ จงึ อาจกล่าวได้อกี นัยหนึ่งว่า ตัวแปรของการวจิ ยั จะต้องวัดคา่ ได้ ประเภทของตัวแปร การแบง่ ชนดิ ของตวั แปรมหี ลายวธิ ี และเรยี กช่อื แตกต่างกนั ไป ในทีน่ จ้ี ะกลา่ วเฉพาะชนิดของตัวแปรที่ นิยมใช้กับงานวิจัยทั่วไป โดยพิจารณาตามความเป็นเหตุเป็นผลระหว่าตัวแปรด้วยกัน ซ่ึงแบ่งเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. ตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรต้น (independent variables) หมายถึง ตัวแปรที่เป็นเหตุ หรือตัวแปร ท่ีทาให้เกิดอะไรบางอย่างท่ีผู้วิจัยสนใจจะศึกษา เป็นตัวแปรที่อิสระไม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ เป็นตัวแปรที่ เกิดขึ้นก่อนเป็นตัวเหตุทาให้เกิดผลตามมา และมักเป็นตัวที่สามารถเปล่ียนแปลงค่ายาก หรือไม่สามารถ เปลีย่ นแปลงได้ ในงานวจิ ยั เชิงการทดลองจะหมายถงึ ตวั แปรทผี่ ู้วิจยั จัดกระทาให้มีคา่ คงที่ นอกจากนี้ตัวแปร อิสระอาจมลี ักษณะเป็นตวั กระตนุ้ ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลง และเป็นตัวทานายด้วย 2. ตัวแปรตาม (Dependent variables) หมายถึง ตัวแปรที่เป็นผลหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงอัน เน่ืองมาจากตัวแปรอิสระ เป็นตัวแปรที่เกิดข้ึนหรอื แปรผันไปตามตัวแปรอิสระ หรือกล่าวไดว้ ่า เป็นตัวแปรท่ี เป็นผลเมื่อตัวแปรอิสระเป็นเหตุ ตัวแปรตามอาจเรียกว่า ตัวแปรผลหรือตัวแปรที่ถูกกาหนด (output variable หรือ assigned variable) คือ เป็นผลท่ีถูกกาหนดเนื่องจากตัวแปรท่ีจัดกระทาหรือทดลองน่ันเอง สาหรับในการวิจัยเชิงทดลอง ตัวแปรอิสระ อาจเรียกว่าตัวแปรทดลองหรือตัวแปรจัดกระทา (treatment variable or manipulated variable) ทั้งนี้เน่ืองจากในการวิจัยเชิงทดลอง ตัวแปรอิสระจะเป็นตัวแปรที่ ผู้วจิ ยั จดั สภาพให้เกดิ ระดับหรือประเภทแตกตา่ งกัน 3. ตวั แปรแทรกซอ้ นหรือตวั แปรเกิน (extraneous variable) มลี ักษณะเหมือนตัวแปรอิสระแต่เป็น ตัวแปรที่ผู้วิจัยไม่ได้มุ่งศึกษา ซึ่งอาจจะมีผลหรือมีอิทธิพลต่อตัวแปรตามทาให้ข้อสรุปของการวิจัยขาดความ ถูกต้อง เที่ยงตรง หรือเกิดความคลาดเคลื่อนเพราะผลการวิจัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวแปรอิสระท่ีผู้วิจัยต้องการ ศกึ ษาเพียงอยา่ งเดยี ว สว่ นหนึง่ อาจจะเปน็ ผลมาจากตัวแปรแทรกซอ้ นด้วยกไ็ ด้ ดงั นั้นในการวจิ ยั ผ้วู จิ ยั จาเป็น จะต้องควบคุมตัวแปรแทรกซอ้ นให้เกดิ ข้ึนให้น้อยท่ีสุด ซ่ึงถ้าหากไม่สามารถควบคุมได้อาจจะกาหนดเป็นตวั แปรอิสระอีกตวั หนึ่งทีจ่ ะตอ้ งศกึ ษาดว้ ยก็ได้ 4. ตวั แปรสอดแทรก (intervening variable) เป็นตัวแปรอกี ชนิดหน่งึ ทจ่ี ะมอี ทิ ธิพลต่อตัวแปรตาม คล้ายๆ กับตัวแปรแทรกซ้อน แต่มีลักษณะต่างกันตรงที่ว่าตัวแปรชนิดนี้ ผู้วิจัยไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า วธิ ีวิจัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 14
มอี ะไรบา้ งทจ่ี ะมผี ลตอ่ ตัวแปรตามและจะเกิดขึ้นเมือ่ ใด หรือแมจ้ ะรกู้ ็ไมส่ ามารถควบคมุ ได้ เชน่ นโยบายของ รฐั บาล ภาวะเศรษฐกิจ การเปล่ยี นแปลงทางการเมอื ง การเปลย่ี นโครงสร้างการบริหารงาน การปกครอง สิ่ง เหล่านไ้ี มส่ ามารถควบคมุ ได้หรือในด้านพฤตกิ รรมของบคุ คล จากการแบ่งประเภทของตัวแปรทั้ง 4 ประเภท สามารถเขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ ตวั แปรตาม ตัวแปรแทรกซอ้ น ตวั แปรสอดแทรกไดด้ งั แสดงในภาพท่ี 1 การนิยามตวั แปรและการหาขอ้ มูลหรือขอ้ เท็จจริง ปัญหาการวิจัยนั้น มักเป็นปัญหาที่ประกอบด้วยตัวแปรต่าง ๆ สิ่งที่จะช่วยให้ผู้วิจัย และผู้อ่ืนเข้าใจ ปัญหานั้น ๆได้กระจ่างชัดเจนตรงน้ัน คือต้องการนิยามตัวแปรหรือให้ความหมายของ ตัวแปรที่ศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิง่ ตัวแปรประเภทนามธรรม หรอื ที่เรยี กว่า “Construct” จะต้องระมดั ระวงั ในการใหค้ านิยาม คือต้องให้เกิดความชัดเจนมากที่สุด ต้องให้ทราบว่าจะวัดได้อย่างไร การท่ีจะนิยามตัวแปรให้ชัดเจนนั้นต้อง อาศัยข้อมูล และข้อเท็จจริงต่าง ๆ อยู่มาก ซึ่งผู้วิจัยสามารถหาข้อมูลหรอื ข้อเท็จจริง ต่าง ๆ น้ีได้ 2 แนวทาง คือ 1. อาศัยทฤษฎีหรืองานวิจัยที่เก่ียวข้อง แนวทางนี้ผู้วิจัยต้องอ่านและค้นคว้าเพ่ือหาข้อมูลเกี่ยวกับ ตัวแปรนน้ั จากเอกสารตา่ ง ๆ ทีก่ ล่าวถงึ ทฤษฎที ี่ตัวแปรนน้ั ๆ และจากงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง 2. อาศยั ขอ้ เทจ็ จริงเชงิ ประจักษ์ท่ีไดจ้ ากการเก็บรวบรวมขอ้ มูล (empirical approach) แนวทางน้ใี ช้ กบั ตัวแปรท่เี ป็นนามธรรม (construct) และยงั ไม่มใี ครศกึ ษามาก่อน มวี ิธกี ารดังนี้ 1) เลือกกลุม่ ตัวอยา่ งท่ีคาดวา่ มคี ุณลักษณะสอดคล้องกับลกั ษณะของตวั แปรทศ่ี กึ ษา 2) หาคุณลักษณะ (attribute) ท่ีสาคัญจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ เทคนคิ ตา่ ง ๆ เช่น การสงั เกต การสอบถามและการสัมภาษณ์เปน็ ตน้ วิธีวิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 15
3) นาคุณลักษณะที่ราบรวมได้มาวิเคราะห์เนอ้ื หาเพ่ือหาองค์ประกอบสาคัญของตัวแปรนั้น เพอ่ื สร้างรูปแบบหรอื โครงสรา้ ง (Model) ของตัวแปร เพ่ือจะใหน้ ิยามต่อไป การนยิ ามตัวแปร การให้นิยามตัวแปร อาจใช้แนวทางใดทางหนึ่งหรืออาจใช้ท้ังสองแนวทางประกอบกันได้เนื่องจาก ลกั ษณะของตัวแปรมี 2 ลกั ษณะ คอื ลักษณะเปน็ รูปธรรม และตวั แปรที่ลกั ษณะนามธรรม การนยิ ามตัวแปรจึง ทาได้ 2 ลกั ษณะเช่นกนั คือ 1. การนิยามในลักษณะของการบอกองคป์ ระกอบ (Constitutive definition) เปน็ การอธบิ ายตวั แปร น้นั หมายถงึ อะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง มกั ใช้กบั ตัวแปรท่ีเป็นรูปธรรม เชน่ นยิ ามเพศวา่ หมายถงึ ลักษณะ ทางกายภาพของบคุ คล ซ่งึ แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 อยา่ ง คอื ชายกับหญิง หรือรถยนต์ หมายถึง รถยนต์นัง่ ส่วนบคุ คลท่ีมี เกยี ร์ตา่ งกนั ซง่ึ แบง่ ได้เปน็ 2 แบบ คือ รถยนตแ์ บบเกยี รธ์ รรมดา กบั เกยี รอ์ อโตเมตกิ เป็นตน้ 2. นิยามในลักษณะปฏิบัติการ (Operational definition) เป็นการอธิบายว่าตัวแปรนั้น หมายถึง อะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้างและวัดได้อย่างไร โดยสรุปตัวแปรลักษณะนี้ประกอบด้วยลักษณะสาคัญ 4 ประการดังนี้ 1) คณุ ลักษณะหรอื องค์ประกอบของตวั แปร 2) พฤตกิ รรมท่แี สดงออกเนื่องจากตวั แปรชนดิ น้ีมกั เป็นคุณลักษณะแฝงไม่สามารถสงั เกตได้หรือวัดได้ โดยตรง จึงต้องวัดทางออ้ ม โดยผ้วู ิจยั ตอ้ งมีความเช่ือวา่ คุณลกั ษณะภายในเหลา่ นน้ั จะเป็นตวั กาหนดให้บุคคล แสดงพฤตกิ รรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาภายใต้สภาวะหรือเง่อื นไขทเ่ี หมาะสม 3) สถานการณห์ รือส่งิ เรา้ ที่เหมาะสม ทนี่ ามาเร้าใหบ้ คุ คลแสดงพฤตกิ รรมออกมาและพฤติกรรมนั้น ๆ สามารถวดั ได้ 4) เกณฑ์ท่ีเป็นเครื่องชี้บ่งว่าพฤติกรรมท่ีแสดงออกมานั้น มีความหมายเช่นใด เป็นท่ีต้องการหรือไม่ ต้องการ ประโยชน์ของการนิยามตวั แปร การให้คานิยามตัวแปรที่ชัดเจน มปี ระโยชน์ดงั น้ี 1. ทาให้พิจารณาความสอดคล้องระหว่างตัวแปรในแง่เนื้อหา ความถูกต้อง ความครอบคลุม และ ความเหมาะสมกบั ความตอ้ งการใช้วดั แนวคดิ ของเรื่องที่ศกึ ษาวา่ เหมาะสม ตรงประเด็นหรือไม่ 2. ทาให้ทราบระดับการวัด และวิธีการวัดซ่ึงจะใช้แนวทางการเตรียมเครื่องมือท่ีใช้เก็บข้อมูล และ วธิ กี ารคดิ ข้อมูลตอ่ ไป 3. ทาใหแ้ ปรผลและการตีความ รวมถึงอภิปรายผลเปน็ ไปอย่างถกู ตอ้ ง และเป็นเหตเุ ป็นผล วิธีวิจยั ทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 16
สรุป ผู้วิจัยตอ้ งกาหนดตวั แปรอิสระและตัวแปรตามให้ครอบคลุมปัญหาที่ศกึ ษา และให้ความหมายหรือคา นิยามแบบปฏิบัติการ โดยระบุระดับการวัดสูงสุดตามลักษณะที่แท้จริงของตัวแปร เพ่ือนาไปสู่การพิจารณา สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลจากระดับการวัดน้ัน ๆ ว่า สามารถตอบปัญหาที่ต้องการศึกษาได้มากน้อยเพียงใด นอกจากน้ีจาเปน็ ต้องรวู้ า่ มีตัวแปรภายนอกอะไรบ้าง ท่มี อี ิทธิพลต่อตัวแปรตามเพ่ือจะไดพ้ ยายามป้องกันหรือ ควบคมุ อิทธพิ ลของตัวแปรภายนอกไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการศกึ ษา หรอื อาจนามาพิจารณาประกอบในการลง ขอ้ สรุปกไ็ ด้ การตงั้ สมมติฐาน (Hypothesis setting) สมมติฐาน (hypothesis) คือ คาตอบทีค่ าดการณไ์ วล้ ่วงหนา้ อย่างสมเหตุสมผลตอ่ ปญั หาทีศ่ ึกษา หรอื การเดาทใี่ ช้หลักเหตผุ ลใช้ปัญญา และเขียนอยใู่ นลกั ษณะของข้อความท่ีกล่าวถงึ ความสัมพนั ธ์ของตัวแปรตั้งแต่ 2 ตวั ขึน้ ไป คาตอบน้อี าจจะถกู ตอ้ งหรือไม่ก็ได้จงึ ต้องมีการทดสอบ โดยอาศัยขอ้ มลู ต่าง ๆ และวธิ กี ารทางสถติ ิ ความหมายของสมมติฐาน พจนานุกรมฉบับบราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของสมมติฐาน ไว้ว่า สมมติฐาน หมายถึง ข้อคิดเห็นหรือถ้อยแถลงท่ีใช้เป็นมูลฐานแห่งการหาเหตุผลการทดลองหรือการวิจัย ส่วนธวัชชัย วรพงศธร ให้ความหมายของสมมติฐานว่าเป็นข้อความท่ีแสดงถึงการคาดการณ์ถึงผลการวิจัยท่ีได้รับ และ ข้อความน้ีมักจะเขียนในลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีสาคัญของการวิจัยน้ัน และเป็นการ คาดการณ์หรือการอธิบายปรากฏการณร์ ะหว่างตวั แปร 2 ตวั หรือมากกวา่ 2 ตัวขึ้นไป ซ่งึ สอดคลอ้ งกับสุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์ ท่ีกล่าวว่า สมมติฐาน คือ ข้อความท่ีระบุความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปร หรือแนวคิด ซ่ึงผู้ที่ทา การวิจัยตอ้ งการจะทาการทดสอบว่าเป็นความจริงหรอื ไม่ ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า สมมติฐานการวิจัย คือ ส่ิงท่ีผู้วิจัยคาดคะนถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ ทาการศึกษาต้ังแต่ 2 ตัวข้ึนไป ความสัมพันธ์ดังกล่าวน้ีอาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้ ซ่ึงต้องรอผลการ ทดสอบสมมติฐานต่อไป ความสาคัญของสมมติฐาน ในการวิจัยการตง้ั สมมตฐิ านมีประโยชนต์ ่อการวจิ ัยหลายประการ ดังน้ี 1. ช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นปัญหาชัดเจนข้ึน กล่าวคือ มีความเข้าใจแจ่มแจ้งเกี่ยวกับเรื่องท่ีจะวิจัย จึง เปรียบเสมือนเป็นกรอบควบคุมให้ดาเนนิ การวจิ ยั ในขอบเขตทแ่ี น่นอน 2. ช่วยให้ผู้วิจัยพิจารณาชนิดและตัวแปรท่ีสาคัญ ข้อมูลที่จะเก็บ ตลอดจนถึงชนิดของเคร่ืองมือท่ี เหมาะสมในการวัดและวธิ ีเกบ็ ข้อมลู เหล่านน้ั 3. สมมติฐานเป็นเคร่ืองมือทาให้ผู้วิจัยสามารถเช่ือมโยงแนวคิดหรือทฤษฎีเข้ากับเรื่องท่ีศึกษา และ เชอ่ื มโยงระหวา่ วงข้อเท็จจริงทีท่ ราบแลว้ กับข้อเท็จจรงิ ทยี่ ังไม่ทราบ 4. ช่วยใหผ้ ู้วิจัยสามารถแปลผลการวิเคราะห์ไดช้ ดั เจน และเปน็ แนวทางในการเขยี นข้อสรุป 5. การทดสอบสมมติฐานการวิจัย นอกจากจะเป็นการทดสอบทฤษฎีที่มีอยู่แล้วว่ายังทันสมัยหรือ ลา้ สมัยไปแลว้ หากพิสูจนย์ ืนยนั ว่าเป็นจริงตามข้อเทจ็ จริงแล้ว สมมตฐิ านก็จะกลายเปน็ คาตอบทีถ่ ูกตอ้ ง วธิ ีวิจัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 17
สรุป การต้ังสมมติฐานต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ทั้งนี้ผู้วิจัยต้องระบุตัวแปรท่ี เกย่ี วข้องอย่างชัดเจนและความสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปรดังกลา่ วจะตอ้ งมเี หตผุ ลหรอื หลักการสนบั สนนุ ซึง่ อาจมี ทม่ี าจากความรู้ ทฤษฎี และ/หรอื ประสบการณข์ องนักวจิ ยั ลกั ษณะของสมมติฐาน สมมติฐานจงึ มลี กั ษณะสาคัญ 2 ประการคอื 1. เป็นข้อความที่กล่าวถงึ ความสัมพันธข์ องตวั แปรตงั้ แต่ 2 ตัวขนึ้ ไป 2. สามารถทดสอบความสัมพันธข์ องตัวแปรเหล่านีไ้ ด้และสว่ นใหญ่ต้องอาศยั วธิ กี ารทางสถติ ิ ประเภทของสมมติฐาน สมมติฐานแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดังนี้ 1. สมมติฐานทางวจิ ัย สมมติฐานทางวิจัย (research hypothesis) เป็นสมมติฐานท่ีเขียนอยู่ในรูปของข้อความที่ใช้ภาษา เป็นสื่อในการอธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษา สมมติฐานประเภทน้ี เป็นสมมติฐานท่ีปรากฏอยู่ใน รายงานการวจิ ยั สมมติฐานทางวจิ ยั นมี้ ีเทคนิคการเขยี นอยู่ 2 แบบ คอื 1) สมมตฐิ านแบบมที ิศทาง (directional hypothesis) เปน็ สมมติฐานที่เขียนโดยสามารถระบุ ได้แน่นอนถึงทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าสัมพันธ์ในทางใด (บวกหรือลบ) หรือถ้าเป็นการ เปรียบเทยี บก็สามารถระบไุ ด้ถึงทิศทางของความแตกต่าง เช่น มากกว่า – น้อยกว่า, ดีกวา่ – เลวกวา่ , สงู กว่า – ต่ากวา่ เป็นต้น การตัง้ สมมติฐานแบบนชี้ ้ใี ห้เหน็ ถงึ ความเช่ือม่นั ในเหตผุ ลของการต้ังสมมติฐานของผ้วู ิจัยว่ามี ความเช่ือมนั่ ค่อนข้างสูง 2) สมมติฐานแบบไม่มีทศิ ทาง (Nondirectional hypothesis) เป็นสมมติฐานที่เขียนโดยไม่ได้ ระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปร หรือทิศทางของความแตกต่างเพียงระบุว่าตัวแปร 2 ตัวน้ันมี ความสัมพนั ธ์หรือถ้าเป็นการเปรยี บเทยี บกร็ ะบุเพยี งว่าสองกลมุ่ นั้นมคี ุณลกั ษณะแตกตา่ งกนั เทา่ นน้ั 2. สมมตฐิ านทางสถิติ สมมติฐานทางสถิติ (statistical hypothesis) เป็นสมมติฐานท่ีเขียนเปลี่ยนรูปมาจากสมมติฐานทาง วิจัยให้อยู่ในรูปของโครงสร้างทางคณิตศาสตร์โดยใช้สัญลักษณ์ที่แทนคุณลักษณะของประชากร ท่ีเรียก คา่ พารามเิ ตอร์ (parameter) มาเขยี นอธบิ ายความสัมพนั ธ์ของตวั แปรความแตกต่างระหว่างกลุม่ 1. สมมติฐานเป็นกลาง (Null hypothesis) แทนด้วยสัญลักษณ์ H0 เป็นสมมติฐานทางสถิติที่ เขียนอธิบายถึงความสัมพนั ธ์ของตัวแปร โดยระบุว่าตัวแปร 2 ตัวน้ัน ไม่มีความสัมพนั ธ์กันหรอื คุณลักษณะใด คณุ ลกั ษณะหนง่ึ ของสองกลุม่ นัน้ ไม่แตกตา่ งกัน หรอื สงิ่ ท่ีตอ้ งการทดสอบเท่ากนั 2. สมมติฐานไม่เปน็ กลาง (Alternative hypothesis) แทนด้วยสัญลักษณ์ H1 หรอื H2 แลว้ แต่ ว่าจะมีกี่ตัว เป็นสมมติฐานทางสถิติท่ีเขียนอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยระบุถึงทิศทางของ ความสัมพันธข์ องตวั แปร วา่ สัมพนั ธก์ ันทางใด (บวกหรือลบ) หรอื อธบิ ายถึงคุณลักษณะใดคุณลกั ษณะหน่ึงของ สองกลุ่ม โดยระบุว่ากลมุ่ ใดเปน็ คุณลักษณะนั้นหรือสิง่ น้นั ดีกว่า – เลวกวา่ , มากกว่า – น้อยกว่า, สูงกว่า – ต่า กวา่ อีกกล่มุ หนึง่ หรอื แตกต่างกันหรอื ไมเ่ ท่ากันหรือมคี วามสมั พันธก์ นั วธิ ีวิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 18
วิธกี ารตั้งสมมติฐาน สมมติฐานเป็นการเดาคาตอบต่อปัญหาที่ศึกษา ดังน้ันการตั้งสมมติฐาน จึงต้องเร่ิมจากการพิจารณา จุดมุ่งหมายของการวิจัยก่อนว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร แล้วจึงต้ังสมมติฐานทางวิจัย ซ่ึงจะตั้งแบบมีทิศทาง หรือไมม่ ที ศิ ทางก็ได้แลว้ แต่วา่ ผ้วู ิจัยจะมีขอ้ มูลเกี่ยวกับเรือ่ งที่ศึกษามากน้อยเพียงใด ถ้ามขี อ้ มูลมากพอที่จะใช้ ยนื ยัน ก็ตง้ั แบบมีทศิ ทาง ถา้ มีข้อมลู ไม่พอหรอื ไมแ่ นใ่ จกต็ ัง้ แบบไม่มีทิศทางเม่ือกาหนดต้งั สมมติฐานทางวิจัยได้ แล้ว จึงต้ังสมมติฐานทางสถิติ และการต้ังสมมติฐานทางสถิติจะต้องตั้งทั้งสมมติฐานเป็นกลาง และสมมติฐาน ไม่เปน็ กลางควบคูก่ ันไป ข้อสังเกตเก่ยี วกบั การตง้ั สมมติฐาน คอื สมมตฐิ านทางสถติ ิแบบไม่เปน็ กลางจะมีลักษณะสอดคล้องกัน สมมตฐิ านทางวิจัยที่ต้งั ไว้ น่นั คอื ถา้ ตัง้ สมมตฐิ านทางวิจัยแบบมีทศิ ทาง สมมติฐานทางสถติ ิแบบไม่เป็นกลางก็ ต้องต้ังแบบมที ิศทางด้วย และถ้าสมมติฐานทางวิจัยเป็นแบบไม่มีทิศทาง สมมติฐานทางสถิติแบบไม่เปน็ กลาง กต็ อ้ งตงั้ แบบไมม่ ที ศิ ทางดว้ ย แหลง่ ทีม่ าของสมมตฐิ าน สิง่ ทีช่ ว่ ยทาให้ผวู้ ิจัยสามารถตั้งสมมติฐานไดด้ สี มเหตุสมผลนน้ั มีหลายประการดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง การศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ทาให้ได้รู้ทฤษฎีและผลวิจัยในประเด็นต่าง ๆ ทาให้เกิด ความเข้าใจและเกิดแนวคิดที่ทาให้สามารถตัง้ สมมตฐิ านได้ 2. การสนทนากับผมู้ คี วามร้คู วามเชี่ยวชาญในเรื่องนน้ั ๆ การสนทนากับผู้มีความร้คู วามเชี่ยวชาญในเร่ืองน้นั ๆ คากล่าวหรือข้อคิดเหน็ ของผู้เชี่ยวชาญจะเป็น แนวทางทาให้ผู้วจิ ยั สามารถตัง้ สมมติฐานได้ 3. ประสบการณ์เบอ้ื งตน้ ของผวู้ จิ ัย ประสบการณ์เบื้องตน้ ของผู้วิจยั ทีไ่ ด้ทางานคลุกคลีกับเรอ่ื งนน้ั มากอ่ น ทาใหม้ ขี อ้ มูลที่จะเป็นแนวทาง ให้สามารถตงั้ สมมตฐิ านได้ 4. การไดร้ ่วมอภิปรายเก่ียวกับปัญหาทจี่ ะศึกษากับบคุ คลอ่ืน ๆ การได้ร่วมอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาท่ีจะศึกษากับบุคคลอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ทาให้เกิด ความคดิ เช่อื มโยงกบั ประสบการณเ์ ดิมของผวู้ จิ ยั ก็สามารถตงั้ สมมติฐานได้ 5. การสังเกตพฤตกิ รรม จากการสังเกตพฤติกรรม สังเกตความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ของพฤติกรรมนั้นรวมท้ังการ วเิ คราะหแ์ นวโนม้ ของพฤติกรรมนนั้ ๆ ก็ทาใหไ้ ด้แนวทางในการตั้งสมมตฐิ าน ลกั ษณะของสมมตฐิ านท่ีดี ลกั ษณะของสมมตฐิ านที่ดีควรมีลกั ษณะดงั น้ี 1. สอดคลอ้ งกบั จดุ ม่งุ หมายของการวจิ ยั สมมติฐานท่ีดีต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย จุดมุ่งหมายต้องการศึกษาอะไร แนวใด สมมติฐานกค็ วรต้ังใหอ้ ย่ใู นลกั ษณะของแนวทางเดียวกัน วิธีวิจยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 19
2. อธบิ ายหรือตอบคาถามได้ สมมติฐานที่ดีต้องอธิบายหรือตอบคาถามได้หมด ครอบคลุมปัญหาทุกด้าน และอยู่ในรูปแบบท่ี สามารถลงสรปุ ได้ว่าจะสนบั สนุนหรือคดั ค้าน 3. ตอบคาถามเพยี งขอ้ เดียวหรอื ประเดน็ เดยี ว สมมติฐานท่ีดี แต่ละข้อความใช้ตอบคาถามเพียงข้อเดียวหรอื ประเด็นเดียว น่ันคือ ถ้าหลายหลายตัว แปร หรือหลายประเด็นควรแยกเป็นสมมติฐานย่อย ๆ เพราะจะทาให้สามารถลงสรุปว่ายอมรับหรือปฏิเสธ สมมติฐานไดช้ ัดเจน 4. สอดคลอ้ งกบั สภาพที่เป็นจรงิ สมมติฐานทีด่ ตี อ้ งสอดคล้องกบั สภาพทเ่ี ป็นจริงที่เป็นท่ยี อมรบั กนั ทว่ั ไป 5. ตอ้ งสมเหตุสมผลตามทฤษฎแี ละความรู้พ้นื ฐาน สมมติฐานท่ดี ตี ้องสมเหตุสมผลตามทฤษฎีและความรพู้ น้ื ฐานที่ได้จากการศึกษาเอกสารที่เกย่ี วขอ้ ง 6. เขยี นด้วยถอ้ ยคาท่อี า่ นเข้าใจงา่ ยและมคี วามชัดเจน สมมตฐิ านที่ดีต้องเขยี นดว้ ยถอ้ ยคาทอ่ี ่านเขา้ ใจง่ายและมคี วามชัดเจนภายในตวั ของมนั เอง 7. สามารถตรวจสอบได้ สมมติฐานที่ดีต้องสามารถตรวจสอบได้ มีข้อมูลหรือหลักฐานที่จะนามาสนับสนุนหรือคัดค้านได้ สมมตฐิ านทีด่ ไี ม่จาเปน็ ตอ้ งถูกตอ้ งเสมอไป 8. มีขอบเขตพอเหมาะไมแ่ คบหรอื กวา้ งไป สมมติฐานที่ดีต้องมีขอบเขตพอเหมาะไม่แคบหรือกว้างไป ถ้าแคบเกินไป จะทาให้อธิบายตัวแปร เก่ยี วข้องได้ไมห่ มด ถ้ากวา้ งเกนิ ไปกจ็ ะทาให้เลือนลางได้ และไมส่ ามารถหาข้อมลู มากทดสอบไดเ้ พยี งพอ 9. มีอานาจในการพยากรณ์ สมมติฐานที่ดีควรมีอานาจในการพยากรณ์สงู ข้อแนะนาในการตัง้ สมมติฐาน 1. ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การตงั้ สมมติฐานควรกระทาหลังจากที่ได้ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ งกับปัญหานน้ั ๆ มาเป็น อย่างดีเพราะจะทาให้ผู้วิจัยเกิดความคิดเกี่ยวกับหัวข้อปัญหาที่จะวิจัย ทาให้สามารถต้ังสมมติฐานได้ สมเหตสุ มผลและสอดคลอ้ งกับปัญหาทวี่ ิจัย 2. เขยี นสมมตฐิ านในรปู ของประโยคบอกเลา่ การตงั้ สมมติฐานควรเขียนในรูปของประโยคบอกเล่ามากกว่าประโยคคาถาม 3. มปี ระเดน็ ทจ่ี ะศึกษามากพอ งานวิจัยเรื่องหนงึ่ ๆ ควรมปี ระเดน็ ท่ีจะศกึ ษามากพอ การต้ังสมมตฐิ าน กค็ วรแยกตามประเดน็ ยอ่ ย ๆ ใหม้ ากพอเพือ่ ตอบปญั หาทุกข้อและเพ่อื ใหค้ มุ้ กบั การลงทนุ วิธวี ิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 20
4. ประโยคสมมตฐิ าน จะตอ้ งมีความชดั เจน คาหรือกลมุ่ คาทีใ่ ชใ้ นประโยคสมมติฐาน จะต้องมคี วามชดั เจนไม่กากวม ถา้ เป็นศัพทเ์ ฉพาะหรอื คาที่มี ความหมายไดห้ ลายอย่าง ผ้วู จิ ยั ต้องนยิ ามให้ชดั เจนใหเ้ ป็นท่เี ขา้ ใจตรงกัน 5. การยอมรบั หรอื ปฏิเสธสมมตฐิ าน ควรเขียนสมมตฐิ านในลักษณะทจ่ี ะเป็นแนวทางในการลงสรุปวา่ ยอมรบั หรอื ปฏเิ สธสมมตฐิ าน สรุป ในการวิจัย ผู้วิจัยต้องกาหนดตัวแปรให้ครอบคลุมประเด็นปัญหาของการวิจัยหรือสอดคล้องกับ วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย และนิยามปฏิบัติการให้ชัดเจน เพือ่ ใหส้ ามารถวัดหรือกาหนดคา่ ของตวั แปรได้ หลงั จาก ผู้วิจัยกาหนดปัญหาในการวจิ ัยได้แล้ว ข้ันตอนต่อไปคือ ผู้วิจัยจะต้องศึกษาว่าการวจิ ัยครงั้ น้ีผู้วจิ ัยจะศึกษาตวั แปรอะไร อะไรคือตัวแปรอิสระ อะไรคือตัวแปรตาม การนิยามตัวแปรซึ่งตัวแปรจะมีลักษณะที่เป็นรูปธรรม และตัวแปรที่เป็นนามธรรม นอกจากน้ีผู้วิจัยจะต้องกาหนดสมมติฐานการวิจัย เพื่อกาหนดคาตอบหรือ คาดการณ์คาตอบไว้ล่วงหน้า สมมติฐานจะตอ้ งกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรตงั้ แต่ 2 ตัวขน้ึ ไป สมมติฐาน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ (1) สมมตฐิ านทางวิจัย ซึง่ มี 2 แบบ คอื สมมติฐานแบบมีทิศทาง และสมมติฐาน แบบไม่มีทิศทาง (2) สมมติฐานทางสถิติ ซ่ึงมี 2 แบบเช่นกันคือ สมมติฐานเป็นกลาง และสมมติฐานไม่เป็น กลาง การที่ผวู้ ิจัยจะสามารถตั้งสมมตฐิ านได้ดจี ะต้องศกึ ษาจากแหลง่ ทมี่ าหลายแหลง่ คอื 1. จากการศกึ ษาจากเอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง 2. จากการสนทนากบั ผู้มคี วามรู้ความเชี่ยวชาญ 3. จากประสบการณข์ องผู้วจิ ยั 4. จากการไดร้ ่วมอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาทจ่ี ะศกึ ษากับบคุ คลอื่น 5. จากการสังเกตพฤติกรรม และในการตัง้ สมมติฐานจะตอ้ งเขยี นในรปู ประโยคบอกเล่าแลว้ จึงนาไปต้ังสมมติฐานทางสถติ ิ เพ่อื ใช้ในการทดสอบสมมติฐานต่อไป วธิ ีวจิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 21
บทท่ี 4 การวิเคราะหข์ ้อมลู และการทดสอบสมมตฐิ าน (Data Analysis and Hypothesis Testing) การวเิ คราะห์ข้อมูลเปน็ ข้ันตอนสาคญั ของการวิจัย ทาให้ผวู้ ิจยั สามารถสรปุ ผลการวิจยั ได้อย่างถูกต้อง ตอบคาถามการวิจัยได้ชัดเจน วิธีการวิเคราะห์จ้อมูลจะแตกต่างกันไปตามประเภทของการวิจัยและประเภท ของข้อมูล ผู้วิจัยต้องทราบวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัยและลักษณะของข้อมลู ที่รวบรวมมา เพื่อกาหนดแนวทางการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ไดอ้ ย่างเหมาะสม ประเภทของขอ้ มลู (Type of Data) ข้อมูลในการวิจัย หมายถึง ค่าท่ีได้จากการวัดตัวแปร หรือข้อเท็จจริงเก่ียวกับตัวแปรท่ีผู้วิจัยสนใจ ศึกษาและเกบ็ รวบรวมมาเพอ่ื เป็นหลกั ฐานในการสรุปความเห็น เป็นการตอบคาถามในการวิจัย ดังน้นั ขอ้ มูลจงึ อาจอยู่ในรูปของตัวเลข เชน่ ส่วนสูง น้าหนักตัว อายุ คะแนนความรู้ หรืออาจอยใู่ นรูปของข้อความท่ีบรรยาย คณุ ลักษณะหรอื คุณสมบตั ขิ องตัวแปร เชน่ เพศ สถานภาพการสมรส หรอื สี กลิน่ รสชาติ เน้ือสัมผัสของอาหาร เป็นต้น ในการวิจัยมีการจาแนกข้อมลู เป็นหลายประเภท ข้นึ อยู่กับเกณฑ์ท่ีใชใ้ นการพจิ ารณา ดงั น้ี 1. จาแนกตามแหล่งท่มี าของข้อมลู แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) เป็นข้อมูลท่ีผู้วิจัยเก็บรวบรวมมาจากแหล่งกาเนิดของ ข้อมูลโดยตรง เป็นข้อมูลท่ีได้จากการสารวจ สอบถาม สัมภาษณ์ หรือจากการทดลอง สังเกต มีลักษณะเป็น ข้อมลู ตดั ขวาง กล่าวคอื เป็นปรากฏการณท์ ี่เกดิ ข้นึ จริงในขณะใดจขณะหนงึ่ ที่ผวู้ ิจยั รบรวมมาจากตัวอย่าง เชน่ ข้อมูลระดับความพึงพอใจท่ีให้กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคชิมอาหารทดลอง ข้อมูลน้าหนักตัวและส่วนสูงของเด็ก นกั เรยี นกลมุ่ ตวั อย่างที่วดั กบั เดก็ โดยตรง 1.2 ขอ้ มลู ทุตยิ ภมู ิ (Secondary data) เปน็ ขอ้ มูลที่ผวู้ ิจยั ไดม้ าจากแหล่งท่ีมผี อู้ ่นื เก็บรวบรวม ไว้แล้ว และนามาใช้เพ่ือวิจัย ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงในอดีต เช่น ข้อมูลน้าหนักตัวและส่วนสูงของเด็ก นกั เรียนกลมุ่ ตัวอย่างที่ไดจ้ ากสมุดพกของนักเรียน 2. จาแนกตามลกั ษณะของขอ้ มลู แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 2.1 ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data) เป็นข้อมูลแสดงคุณลักษณะของตัวแปรท่ีไม่ สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ มลี ักษณะขอ้ มลู นามบัญญตั ิ เช่น เพศ อาชีพ ศาสนา ฯลฯ หรือบอกขอ้ เทจ็ จริง เก่ียวกบั ความคิดเห็น ความร้สู กึ บอกลกั ษณะเปรียบเทียบ เช่น ลักษณะเน้อื สมั ผัสของเค้ก มีความนุ่ม โปรง่ ฟู ฟองอากาศละเอียด เปน็ ตน้ 2.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) เป็นข้อมูลที่เก็บมาเป็นตัวเลข สามารถบอก จานวหรือขนาดทแี่ ตกต่างกันไดอ้ ย่างชดั เจน แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ 2.2.1 ข้อมูลแบบไม่ต่อเน่ือง (Discrete data) เป็นข้อมูลท่ีได้จากการแจงนับ เช่น จานวนเด็กวัยก่อนเรียนท่ีมีนา้ หนักตัวเมื่อเทียบกับอายุต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐาน จานวนนักเรียนที่รับประทาน อาหารเชา้ เป็นประจาทุกวนั เป็นตน้ 2.2.2 ข้อมูลแบบต่อเน่ือง (Continuous data) เป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลขต่อเนื่องได้ จากการช่งั ตวง วัด ออาจเป็นตัวเลขทศนยิ มหรือสัดสว่ น วธิ ีวจิ ยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 22
3. จาแนกตามสภาพของขอ้ มูลทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับกลมุ่ ตวั อย่าง ไดแ้ ก่ 3.1 ข้อมูลส่วนตัว เป็นข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่าง เขช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ อาชีพ เป็นตน้ 3.2 ข้อมูลส่ิงแวดล้อม คือ ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเก่ียวกับส่วนประกอบภายนอกของบุคคล หรือเป็นสภาพแวดล้อมของกลุ่มตัวอย่าง เช่น ที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพ ภูมิหลังการบริโภคอาหารของ ครอบครวั เป็นตน้ 3.3 ข้อมูลพฤติกรรม คือ ข้อมูลท่ีเป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในตัวของกลุ่มตัวอย่าง หรือกลุ่ม ตวั อยา่ งแสดงออกมา ได้แก่ ความรู้สกึ ความคดิ เห็น การกระทาต่าง ๆ ซงึ่ มีลกั ษณะเปน็ นามธรรม ไม่สามารถ วัดได้โดยตรง ตอ้ งวดั โดยทางอ้อมและใชเ้ คร่ืองมือตา่ ง ๆ ในการวดั ขอ้ มูลพฤตกิ รรมเกีย่ วข้องกับคณุ ลักษณะ 3 ด้าน คอื ความสามารถทางสมอง ทางจิตใจ และทางทักษะ สถติ ใิ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู หลังจากที่ผู้วิจัยกาหนดตัวแปรและค่าตัวแปรที่ศึกษาอย่างชัดเจน ก็สามารถทราบได้ว่าข้อมูลที่เก็บ รวบรวมได้มีอะไรบ้าง และเป็นประเภทใด จากน้ันจึงพิจารณาเลือกใช้สถิติท่ีเหมาะสมต่อไป สถิติท่ีใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมลู ทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ มี 2 ประเภท คือ สถิติพรรณนาและสถิติอ้างองิ 1. สถิติพรรณนา (Descriptive statistic) เป็นสถิติที่ใช้ในการพรรณนาถึงคุณลักษณะของประชากร หรอื กลุ่มตวั อย่าง โดยสรปุ ข้อมูลเฉพาะกลุ่มที่ศึกษาเท่านัน้ สถิตพิ รรณนาที่ใชก้ ันมาก ได้แก่ 1.1 การแจกแจงความถี่ (Frequency distribution) เป็นการแจกนับจานวนของข้อมูล ประเภทเดยี วดัน ซ่ึงอาจทาได้ 2 วธิ ี คอื 1.1.1 การแจกแจงความถแ่ี บบไมจ่ ดั ช้ันหรอื กลมุ่ 1.1.2 การแจกแจงความถี่แบบจัดข้อมูลเป็นชั้นหรือกลุ่ม โดยนาข้อมูลที่มีท้ังหมด มาเรียงค่าจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อย แลว้ จัดข้อมลู เป็นกล่มุ หรอื เป็นชัน้ ตามลาดับคา่ ของข้อมูล จากน้ัน วธิ วี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 23
นบั จานวนข้อมลู ท่มี อี ยู่จรงิ ในแตล่ ะช้นั การจดั ช้ันหรอื แบ่งกลมุ่ ของข้อมลู อาจอาศยั กรอบทฤษฎี หรอื มาตรฐาน ทม่ี ผี กู้ าหนดไว้ ดังนี้ 1) แบ่งตามกรอบทฤษฎี ตัวอย่างเช่น การแบ่งอายุของกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่น ซ่ึง แบ่งเป็น 3 ชว่ ง คือ วนั รุ่นตอนต้น (12-14 ปี) วยั รนุ่ ตอนกลาง (15-17 ป)ี และวัยรนุ่ ตอนปลาย (18-20 ปี) 2) แบ่งตามมาตรฐานที่มีผู้กาหนดไว้ ตัวอย่างเช่น เกณฑ์การจัดระดับความรู้ขอ กระทรวงศึกษาธกิ าร, กรมวิชาการ ซงึ่ กาหนดไวด้ งั นี้ คา่ ร้อยละของคะแนนเต็ม ระดับความรู้ 80-100 ดมี าก 70-79 ดี 60-69 ปานกลาง 50-59 ผา่ นเกณฑข์ ั้นตา่ 0-49 ต่ากว่าเกณฑ์ขน้ั ต่า 3) กรณีท่ีไม่มีกรอบทฤษฎี หรือมาตรฐานที่กาหนดไว้ อาจใช้เกณฑ์การจัดช่วงช้ัน ตามวิธกี ารดงั น้ี (1) หาค่าตา่ สุด และสูงสุดของขอ้ มลู (2) หาคา่ พิสัยได้จากการนาค่าสงู สุด ลบดว้ ยค่าตา่ สุด (3) กาหนดจานวนชน้ั ท่ีต้องการ (4) หาความห่างของช่วงคะแนน หรืออันตรภาคชั้น โดยหารค่าพิสัยด้วย จานวนชน้ั (5) นบั จานวนข้อมูลในแตล่ ะช้นั ตังอย่าง การแจกแจงความถี่โดยการจัดข้อมูลที่เป็นคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารเช้าของ นักเรียนจานวน 40 คน ซ่งึ จากแบบประเมินพฤตกิ รรมมีคะแนนตา่ สุด = 20 และคะแนนสูงสุด = 80 ต้องการ แบ่งคะแนนออกเปน็ 4 ช้นั จะไดต้ ารางแจกแจงความถี่ท่มี อี ันตรภาคชน้ั = (80-20)/4 = 15 ตารางแสดงการแจกแจงความถพี่ ฤตกิ รรมการบริโภคอาหารเชา้ ของนักเรยี น คะแนน (ระดบั พฤติกรรม) รอยขีดนับ ความถี่ (จานวนคน) 66-80 7 51-65 10 36-50 15 20-35 8 40 รวม นอกจากนก้ี ารแบ่งชั้นหรอื แบ่งกลุ่มข้อมูลอาจใช้เกณฑ์การอิงกลุ่ม กล่าวคือ จากตัวอย่างข้างตน้ เมื่อ วิเคราะห์ค่าเฉล่ียของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 40 คน มีคะแนนเฉล่ีย = 48.98 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 13.65 ต้องการแบ่งเป็น 3 กลมุ่ ดังนนั้ แตล่ ะกลมุ่ จะมีชว่ งคะแนน ดังน้ี วธิ วี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 24
คะแนนสงู กว่า + 1 S.D. (มากกว่า 62 คะแนน) คือ กลมุ่ พฤติกรรมดี คะแนนระหวา่ ง + 1 S.D. (35-62 คะแนน) คือ กล่มุ พฤตกิ รรมพอใช้ คะแนนตา่ กวา่ + 1 S.D. (ต่ากวา่ 35 คะแนน) คอื กลมุ่ พฤตกิ รรมไมด่ ี ตารางแสดงการแจกแจงความถ่ีพฤติกรรมการบริโภคอาหารเชา้ ของนักเรยี น คะแนน ระดบั พฤติกรรม ความถ่ี (จานวนคน) มากกวา่ 62 ดี 9 35-62 พอใช้ 24 น้อยกวา่ 35 7 ดี 40 รวม อยา่ งไรกด็ ี การแบ่งกลมุ่ ยอ่ ยโดยการองิ กลมุ่ จะใช้ไดด้ ีในกรณขี อ้ มลู มีโค้งแจกแจง (curve) แบบปกติ เทา่ นนั้ ถา้ การแจกแจงไม้เปน็ แบบโคง้ ปกติ ควรใชเ้ ปอร์เซน็ ไทลใ์ นการแบ่งกลุม่ จะเหมาะสมมากกวา่ 1.2 รอ้ ยละ (Percentage distribution) เปน็ สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการเปรยี บเทียบความถี่หรอื จานวน ท่ีต้องการกับความถี่หรือจานวนทั้งหมดท่ีเทียบเป็น 100 การแปลงค่าข้อมูลให้อยู่ในรูปร้อยละ จะช่วยทาให้ เข้าใจความหมายไดง้ ่ายขั้น สามารถเปรยี บเทยี บสัดส่วนหรือร้อยละระหว่างกลุ่ม หรือกับข้อมลู ของการศึกษา อ่นื ทม่ี ีขนาดกลุม่ ตัวอยา่ งไม่เท่ากนั ได้ 1.3 การวดั แนวโนม้ เข้าสูส่ ว่ นกลาง (Measurement of central tendency) การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลางหรือการวดั ค่ากลาง กเ็ พ่อื ใชเ้ ป็นตวั แทนของขอ้ มูลใน กลุ่มนัน้ สถิตทิ น่ี ิยมใชม้ ี 3 ชนดิ ดงั น้ี 1.3.1 คา่ เฉลีย่ หรอื ตัวกลางเลขคณิต (Mean) เป็นค่าตัวแทนของข้อมูลในกลมุ่ หาได้ โดยการเอาค่าของข้อมูลท้ังหมดในกลุ่มมารวมกันแล้วหารด้วยจานวนข้อมูล ใช้ได้กับข้อมูลท่ีมีการวัดระดับ อันตรภาคและอัตราส่วย มักใช้กับข้อมูลท่ีมีการกระจายแบบโค้งปกติ (Normal distribution) เช่น อายุ คะแนนสอบ รายได้ เป็นตน้ 1.3.2 มัธยฐาน (Median) คือ ค่าของข้อมูลท่ีอยู่ตรงกลาง เม่ือนาข้อมูลทั้งหมดมา เรียงลาดับกันแล้ว ถ้าข้อมูลเป็นจานวนคู่ ค่ามัธยฐานจะเป็นค่าท่ีได้จากการนาค่ากลาง 2 ตัวชองจ้อมูลชดุ นน้ั มารวมกันแลว้ หารด้วย 2 1.3.3 ฐานนิยม (Mode) คือ คา่ ของข้อมูลท่มี ีจานวนมากที่สุดในขอ้ มลู ชุดนัน้ 1.4 การวดั ค่าการกระจาย (Measurement of variation or dispersion) วิธวี ิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 25
การวัดค่าการกระจายเป็นการวัดค่าข้อมูลในชุดนั้นมีการกระจายมากหรือน้อย ถ้าค่าการกระจายต่าแสดงว่า ข้อมูลแต่ละตัวในชุดนั้นไม่ต่างกันมาก ในทางตรงกันข้ามถ้าค่าการกระจายสูง แสดงว่าขอ้ มูลในชดุ น้ันมีความตา่ งกันมาก คา่ วัดการกระจายที่นยิ มใชม้ ี 4 ชนดิ ดังน้ี 1.4.1 พสิ ยั (Range) เป็นการวดั การกระจายขอ้ มูลอย่างหยาบท่ีสดุ โดยนาคา่ สูงสุด ของข้อมูลลบด้วยคา่ ต่าสดุ ของขอ้ มูล ก็จะเปน็ ความแตกตา่ งของคา่ สูงสุดและค่าตา่ สดุ 1.4.2 ค่าความแปรปรวน (Variance) เป็นค่าการกระจายของข้อมูลท่ีแสดงการ กระจายของข้อมูลออกกจากค่าเฉลี่ย คานวณโดยหาค่าความต่างระหว่าข้อมูลแต่ละตัวกับค่าเฉลี่ย แล้วยก กาลงั สอง จากนั้นนาค่าท้งั หมดมารวมกันแลว้ หารดว้ นจานวนขอ้ มลู 1.4.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation, S.D.) เป็นค่าการกระจาย ที่ดูจากความแตกต่างระหว่างข้อมูลแต่ละตัวกับค่าเฉล่ียของข้อมูลชุดน้ัน โดยคานวณรากที่สองของค่าความ แปรปรวน 1.4.4 ค่าสัมประสิทธ์ิความผันแปร (Coefficient variance) สัมประสิทธ์ิความผัน แปร เป็นค่าคานวณได้จากนาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหารดว้ ยค่าเฉลี่ยของข้อมลู ชุดนน้ั หากมีค่าน้อยแสดงว่า ค่าเฉลย่ี ของข้อมลู มีความเป็นไปได้สูงในการเปน็ ตัวแทนของข้อมูลท้งั ชุด มกั ใชใ้ นการเปรยี บเทียบการกระจาย ของข้อมูลตง้ั แต่ 2 ชุดขน้ึ ไป 2. สถิตอิ า้ งอิง (Inferential statistic) สถิติอ้างอิงเป็นสถิติที่ใช้สรุปผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างไปยังกุ่มประชากรเป้าหมาย โดยอาศัยความน่าจะเป็นมาใช้ในการวิเคราะห์ สถิติอ้างอิงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สถิติท่ีใช้ค่าพารามิเตอร์ เรียกว่า สถิติพาราเมตริก (Parametric) และสถิติท่ีไม่ใช้ค่าพารามิเตอร์ เรียกว่า สถิตินอนพาราเมตริก (Nonparametric) สถิติพาราเมตริก เป็นสถิติที่ใช้อ้างอิงข้อมูลจากค่าท่ีคานวณได้จากกลุ่มตัวอย่างไปยัง คา่ พารามิเตอรข์ องกล่มุ ประชากร โดยมขี อ้ ตกลงเบ้อื ต้นในการใช้ ดังน้ี 1) ข้อมลู มีการวดั ระดบั อันตรภาค อัตราส่วน 2) ข้อมูลมาจากการสุ่มตัวอย่างท่ีมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ จึงมักใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มี ขนาดใหญพ่ อ (n≥30) 3) กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสมุ่ 4) ในการเปรียบเทยี บข้อมูล 2 ชดุ ขึ้นไป การกระจายของขอ้ มลู ทุกชดุ ควรมคี ่าใกล้เคียงกัน สว่ นสถติ นิ อนพาราเมตริก เปน็ สถติ ิทใ่ี ช้อ้างอิงข้อมูล,จากค่าที่คานวณได้จากกลุ่มตัวอย่างไป ยังค่าพารามิเตอร์ของกลุ่มประชากร โดยไม่คานึงถึงลักษณะการแจกแจงของกลุ่มตัวอย่าง หรือลักษณะ ประชากรไม่เปน็ ไปตามข้อตกลงเบือ้ งต้นของสถิตนิ อนพาราเมตริก วิธวี ิจยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 26
2.1 ประเภทของสถิติพาราเมตริก สถิติพาราเมตรกิ ท่ีใช้ทดสอบสมมติฐานในการวิจัยมีหลายชนดิ สาหรับงานวิจัยทาง สถติ ทิ ีใ่ ชก้ นั มากได้แก่ 1) การทดสอบคา่ ที (t-test) ใชเ้ ม่อื ตอ้ งการทดสอบสมมตฐิ านเกย่ี วกบั ความแตกต่าง ของคา่ เฉลย่ี ของประชากร 2 กลมุ่ ซ่งึ แบง่ ออกเปน็ 2 วิธี คือ (1) การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียของประชากร 2 กลุ่ม ที่เป็น อสิ ระจากกนั (Independent sample t-test) (2) การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียของประชากร 2 กลุ่มที่สัมพันธ์ กัน (Dependent-test) กล่าวคือข้อมูลมาจากประชากรกลุ่มเดียวกันแต่มีการวัดก่อนและหลัง (pretest- post test) 2) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of variance, ANOVA) ใช้เมื่อต้องการ ทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มที่ตัวแปรอิสระ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มข้ึนไป และตัวแปรตามเป็นตัวแปรเชงิ ปรมิ าณ ค่าสถิติทคี่ านวณคอื ค่า F (F-distribution) การวิเคราะห์ความแปรปรวนมีหลายประเภท ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวน ทางเดียวหรือแบบมีปัจจัยเดียว (One-way ANOVA or Single-Factor ANOVA) การวิเคราะห์ความ แปรปรวนแบบหลายทางหรือแบบมีหลายปัจจัย (Multivariate analysis of variance or Multiple-Factors ANOVA) การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดยี วแบบวัดซ้า และการวิเคราะหค์ วามแปรปรวนรว่ ม การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เป็นการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดยี ว หรือการวิเคราะห์องค์ประกอบเดียว เป็นการทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของตัวแปรอสิ ระเพียงตวั เดียวหรือมีปัจจัยเดียว แต่จาแนกเป็น 2 ระดับหรือ 2 กลุ่มขึ้นไป โดยถือว่าหน่วยที่ได้รับปจั จัยระดับเดียวกนั มาจากประชากรเดยี วกนั ข้อตกลงเบื้องต้นของ One-Way ANOVA (1) กล่มุ ตัวอยา่ งทใี่ ช้ทดสอบในแตล่ ะกลมุ่ จะตอ้ งมกี ารแจกแจงแบบปกติ (2) กลุ่มตัวอยา่ งทใ่ี ช้ทดสอบจะตอ้ งมีความแปรปรวนเทา่ กัน (3) กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชแ้ ต่ละกลุม่ จะตอ้ งเปน็ อิสระกัน (4) ตัวแปรอิสระมีเพียงตัวเดียว แต่จาแนกระดับได้ต้ังแต่ 2 ระดับข้ึนไป เช่น บคุ ลากรทางการศึกษามี 3 ประเภท คือ ผู้บริหาร ครู และพนกั งาน (5) ตัวแปรตามมีเพียงตัวแปรเดียว โดยผลท่ีวัดได้จากตัวแปรตามน้ีอยู่ในมาตรวัด Interval and Ratio หลักการของ One-Way ANOVA ความแปรปรวนรวม = ความแปรปรวนระหว่างกลมุ่ + ความแปรปรวนภายในกลุ่ม (Total Variance = Between-Group Variance + Within-Group Variance) วธิ วี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 27
ความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม เป็นค่าที่แสดงให้เห็นถึงขนาดของความแตกต่าง ระหว่างคา่ เฉล่ยี ของกล่มุ ตา่ ง ๆ ซงึ่ เปน็ ผลสาคัญของตัวแปรอสิ ระท่ศี กึ ษา ความแปรปรวนภายในกลุ่ม เป็นค่าที่แสดงให้เห็นถึงคะแนนแต่ละตัวท่ีรวบรวมได้ ภายในกลุ่ม ซึ่งเป็นผลของตัวแปรอื่น ๆ ท่ีทาให้คลาดเคลื่อนไป ค่าที่คานวนได้นี้เรียกว่า คา่ ความคลาดเคล่อื น การเปรยี บเทียบพหุคณู (Multiple comparisons) การเปรียบเทียบพหุคูณ หรือเรียกอีกอย่างว่า โพส-ฮอค-คอมแพร์ริสัน (Post Hoc Comparison) เป็นการพิสูจน์ว่ามีกลุ่มตัวอย่างคู่ใดบ้างที่มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกัน สถิติที่ใช้ในการทดสอบมีให้เลือกใช้หลายตัว สถิติที่ใชบ้ อ่ ย ไดแ้ ก่ 1) Least-significant difference (LSD) เป็นสถิติท่ีนิยมเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ียใน การวิจัยเชิงทดลอง โดยเปรียบเทียบกันในระหว่างกลุ่มทดลองและกับกลุ่มควบคุมด้วย เป็นสถิติที่ปฏิเสธ สมมติฐานศูนย์ค่อนข้างง่าย จึงไม่ควรใช้เปรียบเทียบที่มีจานวนกลุ่มหรือการกระทามากกว่า 5 กลุ่มขึ้นไป เพราะจะปฏเิ สธสมมติฐานศูนย์เสมอ 2) Duncan’s Multiple Range Test เป็นสถิติทดสอบทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาลกั ษณะเดยี วกันกับ LSD แต่ มีความไว (Sensitivity) ในการปฏิเสธสมมติฐานศนู ยน์ ้อยกวา่ 3) Scheffe เป็นสถิติท่ีนิยมใช้กันมาก ใช้ในกรณีท่ีกลุ่มตัวอย่างมีขนาดไมเ่ ท่ากัน ในการทดสอบตาม วิธีของ Scheffe ค่า α ที่ใช้ในการทดสอบรายคู่ทั้งหมดจะเป็นค่า α รวมหรือเรียกว่า Experimentalwise error ดังนนั้ เมือ่ ทดสอบเป็นรายคู่อาจไมพ่ บความแตกต่างของค่าเฉลยี่ ระหว่างกลุ่มตวั อย่างเกิดขึ้น ท้งั นีเ้ พราะ แต่คูจ่ ะใช้ค่า α ในการทดสอบน้อยลง การทดสอบสมมติฐาน สมมติฐานการวิจัย คอื สง่ิ ท่ผี ู้วิจยั คาดคะเนคาตอบของคาถามการวิจยั โดยมแี นวคิด หลักการ ทฤษฎี กากบั ความเป็นเหตเุ ปน็ ผลของคาตอบนั้นด้วย ซ่งึ ผวู้ ิจยั ต้องพิสจู น์วา่ จรงิ หรอื ไม่ โดยใช้ขอ้ มูลที่เก็บรวบรวมมา จากกลุ่มตัวอย่าง นามาหาค่าทางสถิติที่เรียกว่าสถิติอนุมาน (Inferential statistics) โดยอาศัยความน่าจะ เปน็ มาชว่ ยสรุปอ้างอิงค่าสถติ ขิ องกลุ่มตวั อยา่ งไปยังคา่ พารามิเตอร์ของประชากร ในกรณที ่ผี วู้ จิ ัยไม่สามารถเก็บข้อมูลจากประชากรได้ทัง้ หมด กส็ ามารถสุ่มตัวอยา่ งออกมาเป็นตัวแทน ประชากร ในขั้นน้ีก็ต้องใช้เทคนิคการสุ่มแบบน่าจะเป็น ข้อมูลจากการสุ่มตัวอย่างจะถูกวิเคราะห์โดยใช้ สถติ พิ รรณนา เพ่อื ประมาณคา่ พารามเิ ตอร์ และการทดสอบสมมติฐาน เพื่อสรุปไปยังประชากร ดังน้ันถ้ากลุ่ม ตัวอย่างท่ีได้มานั้นใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องและมีขนาด (จานวนตัวอย่าง) ของกลุ่มไม่เหมาะสม การสรปุ อา้ งองิ กค็ ลาดเคลือ่ นจากความเป็นจริงได้ ในการทดสอบสมมติฐานจาเปน็ ตอ้ งมคี วามรู้ความเขา้ ใจในระเบียบวิธีการทดสอบสมมติฐาน ดงั นี้ 1. ชนิดของสมมติฐาน สมมติฐานมี 2 ชนิด ซง่ึ เขียนตามลาดับกันดังนี้ วธิ วี จิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 28
ลาดับแรก คือ สมมติฐานศูนย์ (H0) ซึ่งเขียนในรูปท่ีคาดการณ์ว่าไม่มีความแตกต่างกันหรือไม่มี ความสัมพันธ์กันของค่าตัวแปรที่ได้จากการศึกษา อาจกล่าวว่าเป็นสมมติฐานที่กาหนดข้ึนปฏิเสธหรือไม่ ยอมรับ (Reject) ลาดบั ตอ่ มา คือ สมมติฐานทางเลอื ก (H1) เป็นสมมตฐิ านท่ีผวู้ ิจยั ยอมรับเมื่อสมมติฐานศูนย์ถูกปฏิเสธ ไปแล้ว ข้อความท่ีเขียนจึงมีลักษณะตรงกนั ข้ามกับข้อความในสมมติฐานศูนย์ กล่าวคือ เป็นข้อความท่ีตรงกบั สมมติฐานการวิจยั ที่คาดวา่ ตวั แปรมีความแตกต่างกัน หรือมคี วามสมั พันธก์ ัน 2. นัยสาคัญทางสถิติ (Statistical significance) จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า ข้อสรุปที่ได้จากการทดสอบโดยวิธีทางสถิติ คือ การไม่ยอมรับ สมมติฐานศูนย์ หรือการยอมรับสมมติฐานศูนย์ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่าน้ัน ซึ่งก่อนท่ีจะสรุปว่า ยอมรับหรือ ปฏเิ สธ H0 ผ้วู จิ ัยจะต้องกาหนดระดบั นยั สาคญั ทางสถติ ิก่อน และทาการทดสอบด้วยวธิ ีทางสถติ ิ ถ้าผลการทดสอบนยั สาคัญทางสถิติ ปรากฏว่า ปฏิเสธ H0 แสดงว่าผลการทดสอบสมมติฐานการวจิ ัย นนั้ “มีนัยสาคัญทางสถิติ” (Significance) แตถ่ ้าผลออกมาวา่ ยอมรับ H0 กแ็ สดงว่าผลการทดสอบสมมติฐาน นนั้ “ไมม่ ีนัยสาคัญทางสถิติ” (Non significance) ตัวอย่างเช่น สมมติฐานทางสถิติ H0 : ค่าเฉลีย่ ของประชากร 2 กลุ่มเท่ากัน H1: คา่ เฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่มไมเ่ ทา่ กัน กาหนดนยั สาคัญทางสถิติ (α) ท่ีระดับ .05 ถ้าผลการทดสอบออกมาว่า ปฏิเสธ H0 (ไม่ยอมรับ H0) ข้อสรุปก็คือค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม แตกตา่ งกัน (ไมเ่ ท่ากัน) อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 แตถ่ ้าผลการทดสอบออกมา ยอมรบั H0 ขอ้ สรุป ก็คือ ค่าเฉล่ียของประชากร 2 กลมุ่ แตกตา่ งกันอยา่ งไม่มีนยั สาคญั ทางสถิติ (p>.05) หรอื กล่าวไดว้ า่ ประชากร 2 กล่มุ มีค่าเฉลี่ยไม่ต่างกันในทางสถติ ิ (p>.05) การกาหนดระดับนัยสาคัญ (Level of significance) ระดับนัยสาคัญ หมายถึง โอกาสท่ีจะเกิดความคลาดเคล่ือนในการสรุปผลการทดสอบสมมติฐานทาง สถติ ิ หรอื อาจกลา่ วออยา่ งง่ายว่า ระดับนัยสาคัญจะสะทอ้ นถงึ ความเช่อื ถือในการสรปุ ตามผลการทดสอบ ความคลาดเคลอื่ นในการทดสอบสมมติฐานทาสถิตมิ โี อกาสเกิดขน้ึ ได้ 2 ประเภท คือ 1) ความคลาดเคลื่อนแบบท่ี 1 (Type I error) คือ ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการปฏเิ สธ H0 ที่เป็น สมมติฐานศูนย์ที่ถกู ตอ้ งในความเปน็ จรงิ โอกาสหรอื ความน่าจะเปน็ ทจี่ ะเกิดจากความผิดพลาดชนิดนี้แทนด้วย สญั ลักษณ์ α (แอลฟา) วธิ ีวิจยั ทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 29
2) ความคลาดเคล่ือนแบบที่ 2 (Type II error) คือ ความคลาดเคลื่อนที่เกิดข้ึนจากการยออมรับ H0 ท่ีในความเป็นจริงสมมติฐานศูนย์ที่ผิด โอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะเกิดความผิดพลาดชนิดน้ีแทนด้วย สญั ลักษณ์ (เบต้า) สรปุ ความคลาดเคลอื่ นในการทดสอบสมมติฐานทางสถิติทงั้ 2 แบบ ได้ดงั นี้ ผลการสรุป สถานการณข์ อง H0 เป็นจรงิ ไมเ่ ปน็ จรงิ ยอมรบั H0 การตดั สนิ ใจถกู ตอ้ ง ความคลาดเคล่ือนแบบ ปฏิเสธ H0 ความคลาดเคล่ือน α การตัดสนิ ใจถกู ตอ้ ง ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นิยมใช้การกาหนดความคลาดเคล่ือนแบบที่ 1 กล่าวคือ ปฏิเสธสมมติฐานศูนย์ (H0) ท่ีเป็นจริง โดยกาหนดโอกาสที่ยอมให้เกิดความคลาดเคล่ือนในการ สรุปผลไดไ้ ม่เกิน 3 ระดับ คอื ท่ี .05, .01 และ .001 ระดับนัยสาคัญที่ .05 หมายถึง โอกาสท่ีสรุปผิดหรือไม่เป็นไปตามข้อสรุปมีเพยี ง 5 ส่วนใน 100 ส่วน หรือคลาดเคลื่อนไม่เกนิ 5% หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ข้อสรุปมีความเช่ือมั่นได้ไม่ตา่ กว่า 95% นั่นเอง ดังน้ันระดบั นัยสาคัญท่ี .01 และ .001 จึงหมายถึงสรุปผลการทดสอบสมมติฐานน้ันเชื่อม่ันได้ถึง 99% และ 99.9% ตามลาดับ สาหรับระดับนัยสาคัญทางสถิติ (α) ท่ีนิยมใช้กันท่ัวไปในการทดสอบสมมติฐานการวิจัยทาง วิทยาศาสตร์ คือ .05 การกาหนดระดับนัยสาคัญไว้ในการทดสอบสมมติฐานมีความเกี่ยวข้องกับการคานวณ ขอบเขตวกิ ฤตของคา่ สถิติท่ีจะนาไปสูข่ อ้ สรปุ ว่าจะปฏเิ สธหรอื ยอมรบั สมมติฐานต่อไป สรปุ การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการนาข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้จากประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างมาแยกแยะ จัดหมวดหมู่ และประมวลผลเพ่ือนาไปส่ขู ้อสรุป แนวทางการวิเคราะห์ขอ้ มูลต้องพิจารณาถึงประเภทของการ วิจัย ลักษณะขอองข้อมูล และวัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณจาเป็นต้องอาศัยวธิ ีการทางสถิติ ช่วยวิเคราะหข์ อ้ มลู การวิจยั ทางวทิ ยาศาสตรม์ กี ารใชส้ ถติ ิแบบพรรณนาเพ่อื ใหเ้ หน็ ลกั ษณะของปรากฏการณ์ท่ี ศึกษา และใช้สถิติอ้างองิ เพอ่ื ทดสอบสมมติฐาน การเลือกใช้สถิติชนดิ ใดน้นั ต้องเป็นไปตามข้อตกลงเบื้องตน้ ท่ี นักสถติ กิ าหนดและสามารถตอบคาถามงานวิจยั ไดช้ ัดเจน ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัยต้องใชว้ ธิ ีทางสถิติ อย่างถูกต้อง ต้ังแต่ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่าง การตั้งสมมติฐาน การเลือกสถิติที่ใช้ทดสอบ การกาหนดระดับ นัยสาคัญทางสถิติ รวมถึงวิธีการคานวณสูตรหรือการใช้คาสั่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปสาหรับการ วิเคราะหข์ อ้ มูล นอกจากน้ีต้องเขา้ ใจความหมายและความสาคญั ของค่า α และค่า p-value ในการลงขอ้ สรุป ดว้ ย วิธีวิจยั ทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 30
บทที่ 5 เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจยั (Research Instrument) เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นสิ่งที่มีความสาคัญและมีบทบาทอย่างมากในการวิจัย การเลือกใช้ เครอ่ื งมอื ใดนั้นขนึ้ อย่กู ับสถานการณแ์ ละลกั ษณะพฤตกิ รรมทต่ี ้องการจะวัด ซึง่ หมายความวา่ จะตอ้ งสอดคล้อง กับวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั ดว้ ยเช่นกนั ในการวจิ ัยพบว่าเครอ่ื งมือทน่ี ิยมใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลมี 5 ประเภท ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินการปฏิบัติ เคร่ืองมือแต่ละ ประเภทจะมีลักษณะท่ีสาคัญและความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แตกต่างกันออกไป เพ่ือให้ผู้วิจัย สามารถเลือกใช้เคร่ืองมือได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การวิจัย ในบทนี้จะนาเสนอเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ เครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัยที่จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การนาไปใช้ ดังน้ี 1. แบบทดสอบ (test) คอื ชุดของคาถาม งานหรือสถานการณ์ทกี่ าหนดขน้ึ เพื่อใชเ้ ปน็ สิ่งเรา้ ให้บุคคล แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้มีความหมายครอบคลุมท้ังด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทกั ษะพิสัย แบบทดสอบ (ขอ้ สอบ) เปน็ เครื่องมือหลกั ที่ครตู อ้ งใชว้ ัดผลการเรยี นของผูเ้ รยี นมาโดยตลอด หลกั ในการสรา้ งแบบทดสอบ ในการสร้างแบบทดสอบน้ัน แบบทดสอบจะถูกสร้างข้ึนโดยใช้หลักสูตร มาตรฐาน ตัวชี้วัดเป็นกรอบ การกาหนดเนอื้ หาของแบบทดสอบ โดยแบบทดสอบจะมีหลักในการสรา้ งดงั ตอ่ ไปนี้ 1. วิเคราะห์จุดประสงค์ เน้ือหาวิชา กาหนดพฤติกรรมที่ต้องการวัด โดยวิเคราะห์ดูว่าเน้ือหา สาระ ใดบ้างท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ แต่ละหัวข้อเหล่าน้ันต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมอะไร จากนั้น ผ้วู จิ ัยจะต้องจัดทาตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตวั ชีว้ ดั 2. ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวช้ีวัด มักจาแนกพฤติกรรมของผู้เรียนตามแนวคิดของบลูม และ คณะ ได้แก่ ความจา ความเข้าใจ การประยกุ ต์ใช้ การวเิ คราะห์ การประเมนิ การสงั เคราะห์และสร้างสรรค์ 3. กาหนดรูปแบบของแบบทดสอบให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ตัวชี้วัด เน้ือหาและระยะเวลาและ ศกึ ษาวธิ ีการสรา้ ง การหาคณุ ภาพของแบบทดสอบด้วย 4. ลงมือเขียนขอ้ คาถามตามจุดประสงค์ที่กาหนดไว้ โดยเลือกสถานการณ์และเน้ือหามาเปน็ สงิ่ เร้าให้ ผูต้ อบแสดงพฤตกิ รรมออกมา 5. นาแบบทดสอบที่เขียนไว้มาทบทวน แล้วนาไปให้ผู้เช่ียวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และพฤติกรรมที่ตอ้ งการวัด 6. พิมพ์แบบทดสอบท้ังฉบับ ตรวจแก้ไขแล้วนาไปทดลองใช้กับกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่ม ตัวอย่างท่ีจะใช้แบบทดสอบในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อตรวจสอบคุณภาพในด้านความยากง่าย อานาจ จาแนกและความเช่อื ม่ัน 7. ปรับปรงุ แก้ไข พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง แลว้ นาไปเกบ็ รวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอยา่ งที่ใช้ในการ วจิ ัยตารางวิเคราะหม์ าตรฐานและตัวชีว้ ดั มีประโยชนอ์ ย่างมากตอ่ การสรา้ งแบบทดสอบในการวจิ ัยหรอื การวัด และประเมินผลการเรียนรู้ ทาให้ผู้วิจัยหรือครูผู้สอนรู้ว่าจะต้องออกข้อสอบในมาตรฐานนกี้ ี่ข้อ ตัวชี้วัดนี้กี่ขอ้ และต้องออกข้อสอบวัดพฤติกรรมของผู้เรียนในด้านใดบ้าง จานวนก่ีข้อและเม่ือผู้วิจัยนาแบบทดสอบไปให้ ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินคุณภาพของแบบทดสอบด้านความเที่ยงตรง ก็จะทาให้ผู้เชี่ยวชาญ/ วิธวี ิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 31
ผทู้ รงคณุ วฒุ ิสามารถตรวจสอบไดว้ า่ แบบทดสอบที่ผู้วจิ ัยสรา้ งข้นึ นั้นวดั ไดต้ รงตามคุณลกั ษณะท่ตี ้องการวัดตาม หลักสูตร มาตรฐานและตัวช้ีวัดหรือไม่ และคาถามในแบบทดสอบนั้นครอบคลุมเนอื้ หา มีสัดส่วนของจานวน ข้อคาถามในแต่ละเนื้อหาตรงตามที่ระบุไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานและตัวชี้วัดหรือไม่ และ ตรวจสอบได้ว่าแบบทดสอบที่สร้างข้ึนวัดพฤติกรรมของผู้เรียนท้ัง 6 ระดับสอดคล้องกับท่ีกาหนดไว้หรือไม่ ถ้ามีก็แสดงว่าแบบทดสอบน้ันมีความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา นอกจากน้ันแล้วในกรณีที่แบบทดสอบบางข้อไม่มี คุณภาพและถูกตัดท้ิง ผู้วิจัยก็สามารถรู้ว่าข้อนั้นอยู่ในมาตรฐานและตัวช้ีวัดใดโดยแบบทดสอบมีท้ังข้อดีและ ข้อจากดั ดงั น้ี ขอ้ ดี 1. เป็นเครอื่ งมอื ท่ีเหมาะสาหรับใช้วัดพฤติกรรมด้านปัญญา หรอื ดา้ นพทุ ธิพสิ ัยได้ดีกว่าเคร่ืองมือชนิด อื่น 2. แบบทดสอบมีหลายชนิด หลายรูปแบบ ทาให้สามารถเลือกสร้าง และใช้ให้เหมาะจุดมุ่งหมายที่ ต่างกัน 3. ใช้ไดส้ ะดวก และประหยัด เน่ืองจากใชส้ ามารถใชส้ อบนักเรียนไดจ้ านวนมากในเวลาเดยี วกนั ขอ้ จากัด 1. แบบทดสอบทม่ี ีคุณภาพดี ต้องใช้เวลาสร้างนาน ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ด้านการวัดผลมา เป็นพน้ื ฐานในการสร้างจงึ จะชว่ ยให้มีคุณภาพทีเ่ ท่ียงตรงดียิ่งข้ึน 2. สร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพเป็นมาตรฐานตายตัวไม่ได้ เพราะคาถามหรือสถานการณ์ที่กาหนด เป็นเพยี งตัวแทนของพฤติกรรมทค่ี รสู ุ่มขน้ึ มา ซงึ่ อาจจะเปลีย่ นแปลงหรอื ปรบั ปรุงใหม่ได้เสมอไมม่ ีที่ส้นิ สดุ 3. คะแนนผลการสอบมคี วามผดิ พลาดคลาดเคลอื่ นได้เสมอไมม่ ากก็นอ้ ย ทุกครั้งท่ีมีการสอบวัดผลจะ มีสาเหตุท่ีทาให้คะแนนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเสมอ เช่น คาถามในแบบทดสอบไม่เป็นตัวแทนท่ีดี ความบกพร่องทางเทคนิคการสร้างแบบทดสอบ การดาเนินการสอบไม่รัดกุม สภาพแวดล้อมไม่ดี ตลอดจน ผู้สอบขาดความพรอ้ ม จากการศึกษางานวิจัย พบว่า แบบทดสอบที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยมีหลาย ประเภทข้ึนอยู่กับลักษณะที่ยึดถอื ในการจาแนก เช่น จาแนกตามพฤติกรรมท่ีต้องการวัด จาแนกตามรูปแบบ ของคาถาม จาแนกตามรูปแบบการสอบ จาแนกตามกาหนดเวลาท่ีให้ตอบ จาแนกตามจานวนผู้เข้าสอบ และ จาแนกตามจดุ มุ่งหมายพิเศษ 2. แบบสังเกต (observation form) คือ เคร่ืองมือที่ใช้ประกอบการสังเกตเป็นชุดของพฤติกรรมท่ี ผ้วู จิ ยั ตอ้ งการศึกษา แบบสังเกตมีหลายชนิด เชน่ ระเบียนพฤติกรรม แบบตรวจสอบรายการ (checklist) และ แบบจัดอันดับคุณภาพ (rating scale) การสังเกตเป็นวิธีการซึ่งใช้ประสาทสัมผัสของผู้สังเกต โดยเฉพาะตา และหู เพื่อติดตามศึกษาพฤติกรรมท่ีบุคคลที่แสดงออกได้ทุกด้าน แบบสังเกตเป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยที่ ผ้วู ิจยั สามารถใชไ้ ดต้ ลอดเวลา หลกั ในการสรา้ งแบบสังเกต ในการสร้างแบบสังเกตนัน้ ประเด็นในการสังเกตจะถูกสร้างข้ึนจากกรอบแนวคิดทฤษฎีของตัวแปรที่ ต้องการสงั เกตหรือต้องการวดั โดยแบบสังเกตจะมหี ลกั ในการสร้างดงั ตอ่ ไปน้ี วธิ ีวิจัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 32
1. ศึกษาพฤติกรรมท่ีจะสังเกต โดยการศึกษาพฤติกรรมย่อยท่ีต้องการสังเกตให้ชัดเจน ว่ามีกี่ พฤติกรรม อะไรบ้าง โดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับตัวแปรที่จะสังเกต/วัด แล้วสรุปเป็น นิยามตัวแปรในเชงิ ปฏิบตั ิการ 2. นิยาม หรือให้ความหมายพฤติกรรมย่อยเหล่าน้ัน ซึ่งเป็นการนิยามแบบวัดได้เป็นพฤติกรรมท่ี สังเกตเห็นไดอ้ ย่างชัดเจน เชน่ การเขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา 3. เขียนโครงร่างพฤติกรรมย่อยและส่วนประกอบของแบบสังเกตและกาหนดว่าจะเก็บข้อมูลเชิง คุณภาพหรือเชงิ ปริมาณ 4. ตรวจสอบแบบสังเกตด้านความเท่ียงตรงด้วยตนเองและผู้เช่ียวชาญ และนาผลที่ได้ มาปรับปรุง แกไ้ ข 5. ทดลองใช้เพ่ือหาค่าความเชื่อมั่น โดยการนาแบบสังเกตไปทดลองใช้กับกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง หรอื กลมุ่ ที่จะนาแบบสังเกตไปใชจ้ รงิ และนาผลทีไ่ ด้มาคานวณหาคา่ ความเช่ือมน่ั 6. ปรับปรุงแก้ไข พิมพ์แบบสังเกตฉบับจริง แล้วนาไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการ วจิ ัย จากการศึกษางานวิจัย พบว่า แบบสังเกตท่ีนิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยมี 3 แบบ ได้แก่ แบบระเบียนพฤติกรรม ลักษณะเป็นแบบฟอร์มสาหรับบันทึกพฤติกรรม โดยเขียนบันทึกพฤติกรรมที่ บุคคลน้ันแสดงออกเป็นข้อความบรรยาย มักใช้ในการสังเกตพฤติกรรมท่ีไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว แบบมาตร ประเมนิ ค่า หรอื แบบจัดอันดับคุณภาพ ลกั ษณะเป็นแบบฟอร์มกาหนดรายการพฤตกิ รรมท่จี ะสังเกต โดยใหท้ า เคร่ืองหมาย √ ลงในช่องท่ีตรงกับระดับคะแนนในการประเมินพฤติกรรมแต่ละรายการที่สังเกต และแบบ สารวจรายการ ลักษณะเป็นแบบฟอร์มกาหนดรายการพฤติกรรมท่ีจะสังเกต โดยให้ทาเคร่ืองหมาย √ ลงใน ช่อง เพ่ือบันทึกพฤติกรรมที่สังเกตพบแล้วและควรบันทึกซ้าหลายครั้ง โดยแบบสังเกตมีท้ังข้อดีและข้อจากดั ดงั น้ี ขอ้ ดี 1. แบบสงั เกตสามารถเป็นเครอื่ งมือทีใ่ ชต้ ิดตามศกึ ษาพฤติกรรมของบุคคลท่แี สดงออกมาได้ทุกด้าน 2. แบบสังเกตเปน็ เครอ่ื งมอื ท่ีใชไ้ ดส้ ะดวก ใชไ้ ดท้ ุกเวลา และใช้ได้ทุกสถานที่ 3. แบบสังเกตใช้สงั เกตพฤติกรรมของบุคคล ทกุ เพศ ทกุ วัย โดยไมข่ ้นึ อยู่กับระดบั การศกึ ษา ขอ้ จากดั 1. พฤตกิ รรมหลายอย่างสังเกตไดย้ าก และต้องสงั เกตหลายครั้ง ทาให้เสียเวลาสังเกตนาน 2. ถ้าผู้สงั เกตขาดความพรอ้ ม และทกั ษะในการสังเกต จะทาให้การบนั ทกึ ข้อมลู ลงในแบบสังเกตเป็น ข้อมูลท่ีไมม่ ีประโยชน์หรอื มคี วามผิดพลาด 3. ผู้สังเกตอาจมคี วามลาเอียงหรืออคติตอ่ ผู้ถูกสงั เกตบางคน ทาใหไ้ ด้ข้อมูลท่ีบันทกึ ลงใน แบบสงั เกต บดิ เบือน ทาให้การแปลผลการสงั เกตคลาดเคล่อื น 4. ถ้าผ้ถู ูกสังเกตรูต้ ัว จะเกดิ การระวงั ตวั และปดิ บงั พฤติกรรมท่แี ท้จริง วิธวี จิ ัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 33
แบบสงั เกตไดถ้ กู นาใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลพฤตกิ รรมในหลายๆ ด้าน เชน่ ด้านพุทธพิ สิ ัยหรอื ด้าน ปัญญา เป็นการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกถึงความรู้ ความคิดออกมาทางการพูดและการเขียน ซงึ่ ผู้วจิ ัยสามารถสังเกตได้ ดา้ นจิตพสิ ัยหรือด้านความรู้สกึ ตลอดจนคุณธรรมซึง่ บุคคลจะแสดงออกมาทางการ พูดและแสดงออกทางการประพฤติปฏิบัติ จนทาให้ผู้วิจัยรับรู้ได้ด้วยการสังเกต และด้านทักษะพิสัยหรือ ด้านการปฏิบัติ ซ่ึงบุคคลจะต้องลงมือปฏิบัติหรือมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานและกิจกรรม ผู้วิจัยจึงสามารถ ติดตามสังเกตความสามารถในการปฏิบัติของบุคคลนั้นได้และผู้วิจัยจะพิจารณาคุณภาพของผลงาน เพื่อนา ข้อมูลไปใชใ้ นการวเิ คราะหเ์ พือ่ สรปุ ผลการวิจยั ต่อไป 3. แบบสัมภาษณ์ (Interview form) คือ เคร่ืองมือที่ใช้ประกอบการสัมภาษณ์ จะเป็นแบบบันทึก คาให้สัมภาษณ์ซ่ึงผู้สัมภาษณ์สร้างขึ้นมาเพ่ืออานวยความสะดวกในการรวบรวมข้อมูล ลักษณะของแบบ สัมภาษณอ์ าจจะคล้ายกับแบบสอบถาม นอกจากน้ียังมีเครื่องมือที่ใช้ประกอบในการสัมภาษณ์เป็นส่อื ประเภท เครื่องบันทึกเสียง ซึ่งใช้อานวยความสะดวกในการบันทึกรายละเอียดของข้อมูล ช่วยให้ผู้สัมภาษณ์พิจารณา ย้อนทวนขอ้ มลู ได้ และสามารถสรุปขอ้ มูลไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ชดั เจน หลกั ในการสรา้ งแบบสมั ภาษณ์ ในการสร้างแบบสัมภาษณ์น้นั ประเด็นในการสัมภาษณ์จะถูกสร้างขึ้นจากกรอบแนวคิดทฤษฎีของตัว แปรทต่ี ้องการศกึ ษา โดยแบบสัมภาษณ์จะมีหลักในการสร้างดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับเรื่องที่จะสัมภาษณ์ให้ชัดเจน โดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวขอ้ งว่ามกี ีป่ ระเดน็ อะไรบา้ ง 2. นิยามหรอื ใหค้ วามหมายพฤตกิ รรมที่จะสัมภาษณ์ แยกเปน็ รายละเอยี ดที่จะสร้างเปน็ ข้อกระทงคา ถามท่จี ะสัมภาษณ์ได้ 3. ร่างข้อกระทงคาถามที่จะสัมภาษณ์ ถ้าเป็นแบบสัมภาษณ์แบบมโี ครงสร้างใหเ้ รียงลาดับคาถามให้ เกดิ ความราบรน่ื 4. ตรวจสอบแบบสมั ภาษณด์ ้านความเท่ียงตรงดว้ ยตนเองและผูเ้ ชย่ี วชาญ และนาผลทีไ่ ด้ มาปรับปรุง แกไ้ ข 5. ทดลองใช้เพื่อหาค่าความเชื่อมัน่ นาแบบสมั ภาษณไ์ ปทดลองใช้กบั บุคคลท่ีไม่ใช่กลุม่ ตัวอย่าง หรอื กลมุ่ ท่ีจะนาแบบสมั ภาษณ์ไปใช้จรงิ และนาผลทไ่ี ด้มาคานวณหาค่าความเชอ่ื มน่ั 6. ปรับปรุงแก้ไข พิมพ์แบบสัมภาษณ์ฉบับจริง แล้วนาไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน การวิจัย จากการศึกษางานวิจัย พบว่า แบบสัมภาษณ์ท่ีนิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยมี 2 แบบ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง เปน็ แบบสัมภาษณ์ที่ต้องเตรยี มรายการคาถามไว้เป็นแนวทาง โดยสร้าง เป็นแบบฟอร์มคล้ายกับแบบสอบถาม มีส่วนของคาถาม และช่องว่างสาหรับบันทึกคาตอบ คาถามนั้นอาจจะ เป็นแบบให้ตอบเสรีหรือเป็นแบบกาหนดคาตอบให้เลือกก็ได้ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เป็นแบบ สัมภาษณท์ ่ไี มม่ แี บบฟอรม์ หรอื ไม่ตอ้ งเตรยี มขอ้ คาถามเอาไว้และอาจจะไม่ต้องนดั แนะเวลาในการสมั ภาษณ์ไว้ ล่วงหน้า แต่จะสัมภาษณ์เมื่อโอกาสอานวย การต้ังคาถามนั้นยืดหยุ่นได้โดยผู้สัมภาษณ์มีจุดประสงค์หรือ ทิศทางการถามอยู่ในใจ ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์ก็ให้คาตอบได้อย่างอิสระ โดยความสาคัญอยู่ท่ีทั้งสองฝ่ายต้องมี วิธีวิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 34
สัมพันธภาพท่ีดีต่อกัน รูปแบบน้ีเหมาะสาหรับใช้วัดแนวความคิด ความเช่ือ ความรู้สึกที่อยู่ในระดับลึก จึง อาจจะต้องใชร้ ะยะเวลาในการสัมภาษณ์มาก อยา่ งไรกต็ ามผวู้ จิ ยั อาจใช้แบบสัมภาษณแ์ บบก่ึงโครงสร้างในการเก็บรวบรวมข้อมลู โดยผ้วู ิจัยจะมีแนว คาถามไว้เป็นแนวทางในการสัมภาษณ์บ้าง แต่ไม่ได้ทาเป็นแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ซึ่งจะทาให้ผู้วิจัย เกิดความยืดหยุ่นในการตั้งคาถาม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างน้ีเหมาะสาหรับผู้วิจัยที่มีประสบการณ์ไม่ มากนักในการเก็บรวบรวมข้อมลู โดยใชก้ ารสัมภาษณ์ โดยแบบสัมภาษณม์ ีทั้งข้อดแี ละข้อจากัด ดังน้ี ข้อดี 1. แบบสัมภาษณ์เปน็ เครื่องมือท่ีช่วยใหผ้ ู้วจิ ัยทราบข้อมูลที่แอบแฝงอยใู่ นใจของผรู้ ับการสมั ภาษณ์ได้ โดยใชเ้ ทคนคิ การพดู คยุ ที่ฉลาดจะทาให้ผู้ถูกสมั ภาษณย์ อมเปิดเผยขอ้ มูลออกมา 2. การสัมภาษณ์จะช่วยให้ได้ข้อมูลประกอบเกี่ยวกบั บุคลิกภาพของผู้ถูกสัมภาษณ์ ซ่ึงสามารถสังเกต ไปพร้อมกบั การสมั ภาษณ์ 3. แบบสมั ภาษณเ์ ป็นเครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ได้กับบุคคล ทุกเพศ ทกุ วัย โดยไม่ข้ึนกับระดับการศกึ ษา ข้อจากัด 1. เน่ืองจากต้องสัมภาษณ์แบบคนต่อคน ทาให้ต้องส้ินเปลืองเวลามาก และในกรณีที่ต้องเดินทาง สมั ภาษณน์ อกสถานที่ จะสน้ิ เปลืองค่าใชจ้ ่ายและเวลาเพ่ิมขึน้ 2. เปน็ วธิ กี ารท่ีต้องรบกวนผู้ถูกสัมภาษณ์ มกั จะสร้างความเบือ่ หนา่ ยราคาญและอาจจะไม่ไดร้ ับความ ร่วมมอื เทา่ ท่คี วร 3. ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสมั ภาษณ์คอ่ นขา้ งเป็นอัตนยั ความเทย่ี งตรงของขอ้ มูลจึงขึน้ อยู่กบั ความสามารถ ในการตคี วาม และสรปุ ความของผูส้ มั ภาษณ์ 4. ถา้ ผสู้ มั ภาษณไ์ มม่ ีเทคนิคในการพูดคุย หรือมบี ุคลกิ ภาพที่ไมด่ ี อาจไมไ่ ดร้ บั ความไว้วางใจและไม่ได้ ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ จริง แบบสัมภาษณ์เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู อีกวิธีหนึ่งท่ีผู้วิจัยมักจะนามาใช้ในการวิจยั เพ่ือการติดตามศึกษาพฤตกิ รรมทุกด้านไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นพุทธิพสิ ัย จติ พิสยั หรือทกั ษะพสิ ัย 4. แบบสอบถาม (questionnaire) คอื เครื่องมอื ท่ใี ช้วัดพฤติกรรมภายในของบคุ คลเกี่ยวกบั ความรู้สึก ความคิดเห็น เจตคติ ความสนใจ ฯลฯ ซ่ึงกล่าวได้ว่าเป็นพฤติกรรมด้านจิตพิสัยน่ันเอง นอกจากนี้ยังเหมาะ สาหรับศึกษาข้อมูลส่วนตัวของบุคคลด้วย แบบสอบถามมีลักษณะเป็นชุดของคาถามท่ีสร้างข้ึน เพ่ือให้ศึกษา หาขอ้ มูลตามจุดประสงค์ หลักในการสร้างแบบสอบถาม ในการสร้างแบบสอบถามน้นั ข้อคาถามของแบบสอบถามจะถูกสร้างขึ้นจากกรอบแนวคิดทฤษฎขี อง ตัวแปรที่ต้องการศึกษาหรือต้องการวัด ซ่ึงการออกแบบมาตรที่ใช้ต้องเหมาะสมกับประเด็นที่จะวัด โดย แบบสอบถามจะมีหลักในการสร้างดังต่อไปน้ี 1. พิจารณาขอบข่ายของข้อมูลท่ีต้องการทั้งหมด โดยการสังเคราะห์จากกรอบแนวคิดทฤษฎีท่ีได้ ศึกษาไว้ในบทที่ 2 มาเป็นนิยามตัวแปรเชิงปฏิบัติการ เช่น แรงจูงใจในการศึกษาต่อในสาขาวิชาชีพครู หมายถงึ ความรู้สึกชอบ พอใจ มแี รงกระตุน้ ทอ่ี ยู่ภายในตวั ของนักศกึ ษาวชิ าชีพครู โดยมเี ป้าหมายทีจ่ ะเรียนครู วธิ ีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 35
ในมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ส่งผลให้นักศึกษาเกิดการมุ่งความสาเร็จ มุ่งมั่น ใส่ใจ กระตือรือร้น เช่ือม่ัน ทมุ่ เท ทะเยอทะยานและตั้งเปา้ หมายในการศึกษาในสาขาวิชาชพี ครู 2. เลือกรูปแบบของคาถามให้เหมาะสมกับกลุ่มท่ีจะถามว่าควรใช้รูปแบบของคาถามแบบปลายเปิด หรือปลายปิด นอกจากรปู แบบของคาถามที่ใช้แล้ว ผ้วู ิจัยควรคานึงถึงความสามารถ ในการระบุความเห็นด้วย มาก-น้อยของผู้เรียนด้วย โดยถ้าผู้เรียนมีอายุน้อยหรือเรียนอยู่ในระดับช้ันประถมต้น ผู้วิจัยก็ไม่ควรใช้มาตร ประเมินค่าท่ีสูงเกินไป (5 ระดับ) อาจใช้เพียง 3 ระดับ และควรออกแบบมาตรวัดใหเ้ หมาะสม เช่น มี – ไมม่ ี ใช่ – ไม่ใช่ ก็ควรใช้แบบตรวจสอบรายการ แต่ถ้าต้องการระบุการกระทามาก-น้อย เห็นด้วยมากที่สุด-น้อย ที่สุด ก็ควรใช้มาตรประเมินค่า และควรคานึงถึงลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ ตลอดจนวางแผนไปถึงการจัด กระทากับขอ้ มูลท่สี ะดวก รวดเรว็ และใหข้ อ้ สรปุ ทช่ี ัดเจนดว้ ย 3. สร้างคาถามตามรูปแบบท่ีเลือกไว้ให้ครอบคลุมทุกด้านและถามสิ่งสาคัญให้ครบถ้วน ในการต้ัง คาถามต้องคานึงถึงเทคนิคการสร้างคาถาม เช่น ตั้งคาถามให้ชัดเจน ถามให้ตรงประเด็น ใช้ภาษาง่าย หลีกเล่ยี งคาศัพท์ทางเทคนคิ 4. จัดทาต้นฉบับของแบบสอบถามท่ีสมบูรณ์ มีส่วนประกอบครบตามที่ต้องการ คือ มีช่ือ แบบสอบถาม มีคาช้ีแจง มีคาถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบและมีข้อคาถามเก่ียวกับข้อมูลหลักที่ ต้องการทั้งหมด โดยวางรูปแบบให้ถูกต้องเหมาะสม สะดวกในการตอบและสะดวกในการจัดกระทาข้อมูล หลงั จากเกบ็ แบบสอบถามกลับคนื มาแล้ว 5. ตรวจสอบ และปรับปรุงข้อบกพร่องก่อนที่จะพิมพ์ฉบับจริงไปใช้ เพื่อให้เกิดความเช่ือมั่นใน คุณภาพของแบบสอบถาม ซึง่ อาจจะปฏิบัตไิ ด้เป็น 2 ระดบั ดงั นี้ ระดับที่ 1 เป็นการตรวจสอบคุณภาพในด้านความเที่ยงตรง ผู้สร้างแบบสอบถามด้วยตนเองควรอา่ น ทบทวนทุกสว่ น และพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน วา่ ยงั มีส่ิงใดขาดไป หรอื ยังมีตรงไหนบกพร่องให้เพ่ิมเติม และ ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ แต่การพิจารณาเองมักจะไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ควรจะนาไปให้ผู้มี ประสบการณ์ หรือมีความเช่ียวชาญเก่ียวกับสาระที่จะถามตลอดจนเทคนิคการสร้างแบบสอบถาม ช่วย พจิ ารณาใหข้ อ้ เสนอแนะ กจ็ ะช่วยใหแ้ บบสอบถามมีคณุ ภาพสมบรู ณย์ ิง่ ขนึ้ ระดับที่ 2 เป็นการตรวจสอบคุณภาพโดยการหาค่าอานาจจาแนกและค่าความเชื่อมั่น ในกรณีท่ี ต้องการข้อมูลไปใช้เพื่อการทาวิจัยท่ีต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ จะต้องนาแบบสอบถามที่ผ่านการ ปรับปรุงในระดับที่ 1 มาพิมพ์เป็นฉบับทดลองแล้วนาไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่กลุ่มจริง แต่มีสถานะ เทียบเท่ากับกลุ่มจริง เพ่ือนาผลมาพิจารณาหาจุดบกพรอ่ ง และปรับปรุงแก้ไขเป็นคร้งั สุดท้าย ซึ่งจะมีการนา ข้อมูลมาคานวณค่าอานาจจาแนกและค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามดว้ ย จากนน้ั จงึ พมิ พ์เป็นฉบับที่ใช้จริง ต่อไป การใช้แบบสอบถามเป็นวิธีการที่ผู้วิจัยนามาใช้แทนการสัมภาษณ์ได้ในบางกรณี เช่น ถ้าต้องการจะ สารวจขอ้ เท็จจริง ความรู้สึกหรือความคิดเห็นของผเู้ รียน ผู้ปกครองตลอดจนบุคคลอนื่ ก็นาประเดน็ คาถามมา สรา้ งเป็นแบบสอบถามแลว้ ส่งไปสอบถาม ก็จะชว่ ยให้มคี วามสะดวกและประหยดั ทกุ ดา้ น และทาใหง้ านสาเร็จ ได้อยา่ งรวดเรว็ โดยแบบสอบถามมที ง้ั ขอ้ ดแี ละข้อจากัด ดังน้ี วิธีวิจัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 36
ขอ้ ดี 1. เปน็ เครื่องมือท่ใี ช้ได้กับบุคคลจานวนมากได้ในเวลาพร้อมกนั ทาใหป้ ระหยดั เวลา และคา่ ใชจ้ ่าย 2. แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือที่ให้เวลาในการตอบอย่างอิสระได้ โดยให้ผู้ตอบรับไปตอบ และนัด หมายเวลาส่งคนื ซึ่งไม่สร้างความตึงเครยี ดให้ผ้ตู อบ 3. สามารถฝากส่งและรับแบบสอบถามคืนได้หลายวิธี ทาใหม้ คี วามสะดวกในการใชเ้ ครอื่ งมือ 4. แบบสอบถามท่ีประกอบด้วยข้อคาถามปลายปิดที่ออกแบบดี จะช่วยให้สะดวกในการรวบรวมคา ตอบและวเิ คราะหค์ าตอบ ข้อจากัด 1. แบบสอบถามเหมาะสาหรับผ้ทู อ่ี ่านและเขียนหนังสือคล่องเทา่ นัน้ 2. ผูต้ อบแบบสอบถามอาจไมไ่ ดต้ ั้งใจตอบ หรือไมใ่ หค้ วามสาคัญตอ่ ข้อมลู ที่เปน็ จริงหรือมอบให้คนอ่ืน ตอบแทน ทาให้ขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาไมต่ รงหรอื คลาดเคลื่อนจากความจริง 3. คาถามบางข้ออาจไม่ชัดเจนสาหรับผู้ตอบบางคน และไม่มีโอกาสได้รับคาชี้แจง ทาให้คาตอบท่ี ได้มาไม่มปี ระโยชน์ จากการศึกษางานวิจัย พบว่า แบบสอบถามที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย มี 2 แบบ ได้แก่ แบบคาถามปลายเปิด และแบบคาถามปลายปิด โดยการใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมลู การ วิจัย ผู้วิจัยควรออกแบบมาตรวัดให้มคี วามเหมาะสมกับประเด็น/ส่ิงที่ต้องการวดั เช่น ผู้วิจัยต้องการวดั ระดบั ความคิดเห็นของผู้เรียน ต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยใช้แบบสอบถาม ผู้วิจัยก็ควร เลือกใชแ้ บบสอบถามท่เี ป็นมาตรประเมินค่า เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถระบุความคดิ เห็นของตนได้วา่ อยู่ในระดับใด ใ น ข ณ ะ เ ดี ย ว กั น ผู้ วิ จั ย ค ว รค า นึ ง ถึ ง ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ระ บุ ค ว า ม เ ห็ น ด้ ว ย มา ก - น้อ ย ข อ ง ผู้ เ รี ยน ด้วย นอกจากนั้นแล้วในการออกแบบมาตรประเมินค่าจะมีผลต่อการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล โดยผู้วิจัยจะต้องเลือกใช้สถิติในการวเิ คราะห์ข้อมูลให้มคี วามเหมาะสมและสอดคล้องกับ ขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากมาตรวดั ทเ่ี ลือกใช้ เชน่ ถ้าผวู้ ิจยั ใชแ้ บบตรวจสอบรายการ ซงึ่ เปน็ การระบุถึงสิง่ ท่ี มี – ไม่มี ใช่ – ไม่ใช่ หรือแบบมีคาตอบให้เลือก เช่น ชาย-หญิง การวิเคราะห์ข้อมูลก็ควรใช้ ความถี่ ร้อยละ หรือผู้วิจัยใช้ มาตรประเมินค่าซึ่งเป็นการระบุถึงระดับความมาก-น้อย และเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลระดับของตัวแปรน้ันก็ ควรใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการเลือกใช้สถิติทดสอบผู้วิจัยควรพิจารณาให้เหมาะสมกับ วัตถุประสงค์ของการวิจยั มาตรวดั ตวั แปรและข้อตกลงเบ้อื งต้นของสถติ ิทดสอบทเ่ี ลอื กใชด้ ว้ ย วิธีวิจัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 37
บทท่ี 6 การออกแบบการวจิ ัย (Research Design) ในการปฏบิ ตั งิ านใด ๆ ใหบ้ รรลุความสาเรจ็ ตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไวไ้ ด้อย่างมีประสิทธิภาพน้นั ใน การดาเนินการจาเป็นจะต้องมี “การวางแผน” ไว้ล่วงหน้าว่า การปฏิบัติงานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายอะไร จะ ดาเนนิ การอย่างไร มบี คุ คลใดบ้างที่เกย่ี วข้อง จะใชว้ สั ดอุ ปุ กรณอ์ ะไร และใชง้ บประมาณดาเนินการเท่าไรจาก แหล่งงบประมาณใด เป็นต้น และในกรณีของการวจิ ัยกเ็ ชน่ เดยี วกนั ท่จี าเป็นจะต้องมกี ารดาเนนิ การในลักษณะ เช่นเดียวกันที่เรียกว่า “การออกแบบการวิจัย” เพื่อให้การวิจัยน้ัน ๆ สามารถท่ีดาเนินการในการแสวงหา ข้อมูล/สารสนเทศอย่างเป็นระบบ เพ่ือนามาใช้ตอบปัญหาในการวิจัยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และมี ประสิทธิภาพต่อไป การออกแบบการวิจยั 1. แบบการวิจยั /การออกแบบการวจิ ยั นักวจิ ยั /นักวชิ าการไดน้ าเสนอความหมายของแบบการวจิ ยั และการออกแบบการวิจัย ดังน้ี แบบการวจิ ยั เปน็ แผนโครงสร้าง หรือยทุ ธวิธีสาหรับการศึกษาค้นคว้าเพื่อให้ได้คาตอบของปัญหาการ วิจยั และควบคมุ ความแปรปรวนทีเ่ กิดข้ึน ซ่งึ แผน เป็นโครงรา่ งทีแ่ สดงแนวทางและขน้ั ตอนการดาเนนิ การวจิ ัย ในภาพรวม, โครงสร้าง เป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร หรือกรอบแนวความคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) และยุทธวธิ ี เปน็ วธิ กี ารท่ีเลอื กใช้เพ่ือให้ได้คาตอบของปญั หาการวิจยั ได้แก่ การ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หรือการวิเคราะห์ข้อมูล เปน็ ตน้ แบบการวิจัย หมายถึง แผนงานท่ีแสดงวิธีการอย่างมีระบบ มีข้ันตอนในการแสวงหาข้อเท็จจริง เพือ่ ใหไ้ ดค้ าตอบของปญั หาการวจิ ยั ทม่ี ีความเทยี่ งตรงและนา่ เชือ่ ถือ การออกแบบการวิจัย (Research Design) หมายถึง การวางแผนและการจัดการโครงการวิจัย ตงั้ แต่ การกาหนดปัญหาการวิจัยจนกระท่ังการเขียนรายงานและการเผยแพร่ โดยเกี่ยวข้องกับแนวคิด 4 ประการ ได้แก่ 1) กลยุทธ์การวิจัย 2) กรอบแนวคิด 3) ข้อมูล และ 4) เครื่องมือวิธีการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ ข้อมลู การออกแบบการวิจัย หมายถึง การจากัดขอบเขตและวางรปู แบบการวจิ ัยใหไ้ ดค้ าตอบที่เหมาะสมกับ ปัญหาการวจิ ัย ผลจากการออกแบบการวิจัยจะทาใหไ้ ด้ตัวแบบการวจิ ยั ที่เปรยี บเสมอื นพิมพ์เขยี วของการวจิ ยั การออกแบบการวิจัย เป็นการกาหนดรูปแบบ ขอบเขตและแนวทางการวิจัยเพื่อให้ได้คาตอบหรือ ข้อความรู้ตามปัญหาการวิจัยทก่ี าหนดไว้ การออกแบบการวิจยั เปน็ การกาหนด 1)กจิ กรรมและรายละเอยี ดของกิจกรรมท่ีผวู้ ิจัยจะดาเนินการ ตั้งแตเ่ รมิ่ ต้นจนกระท่ังสน้ิ สุดการวิจัย อาทิ การเตรียมการ การกาหนดสมมุติฐาน การกาหนดตัวแปร หรือการ วิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น และ 2) วิธีการและแนวทางท่ีจะทาให้ได้ข้อมูลจากประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างที่ ตอ้ งการศึกษา การออกแบบการวิจัย เปน็ การกาหนดโครงสร้าง/กรอบการวิจยั ทมี่ ีความครอบคลุมตง้ั แตก่ ารกาหนด ปัญหาการวิจัย การกาหนดตัวแปร การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการสรุปผล(การทาพิมพ์ เขยี วการวิจัย) วธิ วี จิ ัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 38
สรปุ ไดว้ ่าการออกแบบการวจิ ัย เป็นกระบวนการที่ใช้ในการวางแผนการดาเนินการวิจัยทม่ี รี ะบบ และ มีข้ันตอนเพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูล/สารสนเทศที่ต้องการนามาใช้ในการตอบปัญหาการวิจัยตามจุดประสงค์/ สมมุติฐานของการวิจัยท่ีกาหนดไวไ้ ดอ้ ย่างถูกต้อง ชัดเจน รวดเร็วและมีความนา่ เช่ือถือ ท่ีเปรียบเสมือนพิมพ์ เขียวของผู้วิจัยในการกาหนดโครงสร้าง แผนการปฏิบัติการวิจัยหรือยุทธวิธีเพื่อใช้ในการตรวจสอบการ ดาเนินการวิจัยว่าเป็นไปตามเวลาที่กาหนดไว้หรือไม่ ว่าก่อนที่จะปฏิบัติการดาเนินการวิจัย อาทิ ในแต่ละ ข้ันตอนจะมีการดาเนินการอย่างไร, มีบุคคลใดท่ีเก่ียวข้อง, ใช้วัสดุอุปกรณ์อะไร, ใช้สถานท่ีดาเนินการ เวลา เร่ิมต้นหรือสิ้นสุดการดาเนินการเมื่อไร มีรูปแบบการทดลองอย่างไร, จะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร และ วิเคราะห์ข้อมูลและนาเสนอข้อมูลอย่างไร เป็นต้น และหลังจากการดาเนินการวิจัยเสร็จส้ินแล้วจะเขียน รายงานการวจิ ัย อภปิ รายผล และใหข้ ้อเสนอแนะในการวจิ ัยอยา่ งไร 2. จดุ มุ่งหมายของการออกแบบการวิจัย ในการออกแบบการวจิ ยั ในการดาเนินการวิจยั มีจดุ มงุ่ หมาย 2 ประการ ดังนี้ 2.1 เพื่อใหไ้ ดค้ าตอบของปญั หาการวิจัยที่ถูกตอ้ ง ชัดเจน และมีความเที่ยงตรงน่าเชือ่ ถือ โดยการสรา้ ง กรอบแนวคิดการวิจัยท่ีระบุความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรทศ่ี ึกษา เพ่ือนาไปใช้เปน็ แนวทางในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล หรอื การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 2.2 เพ่ือควบคุมความแปรปรวนของตัวแปรการวิจัยที่ศึกษา โดยใช้แนวทาง 3 ประการ ดังนี้ 1) ศึกษาใหม้ ีความครอบคลุมขอบเขตของปญั หาการวิจัยใหม้ ากที่สุด 2) ควบคมุ อิทธิพลของตัวแปรทไี่ ม่อยู่ใน ขอบเขตของการวิจัยแต่จะมีผลกระทบต่อผลการวิจัยให้ได้มากที่สุด และ 3) การลดความคลาดเคล่ือนท่ีจะ เกิดขนึ้ ในการวจิ ยั ให้เกิดขนึ้ น้อยที่สุด ได้มีการนาเสนอการออกแบบการวิจยั มคี วามม่งุ หมาย ดังน้ี 1) เพอื่ ให้ไดค้ าตอบของปัญหาการวิจยั ที่ถกู ตอ้ ง ในการออกแบบการวจิ ยั ตามแนวคิด ทฤษฎี จะทาให้ ไดแ้ บบแผนการวิจัยท่ีดาเนินการตามวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ จะทาใหไ้ ดผ้ ลการวิจยั ทมี่ ีความเที่ยงตรง มคี วาม เชือ่ มั่น และชัดเจน 2) เพ่ือควบคุมความแปรปรวนของตัวแปร วิธีการทาความแปรปรวนของตัวแปรท่ีศึกษามีค่าสูง ลด ความคลาดเคล่ือนให้เหลือน้อยและความแปรปรวนโดยการสุ่ม และควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยใช้แบบ แผนการวจิ ยั ท่เี หมาะสม 3) เพื่อให้ได้การวัดตัวแปรถูกต้อง ถ้าในการออกแบบการวิจัยได้กาหนดตัวแปรแล้วกาหนดคานิยาม เชิงทฤษฎี คานิยามเชิงปฏิบัติการ และกาหนดสถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูล จะทาให้การวัดตัวแปร แตล่ ะประเภทได้อยา่ งถกู ตอ้ ง ลดความแปรปรวนและความคลาดเคล่ือนได้ 4) เพ่ือให้การดาเนินการวิจัยเป็นระบบ การออกแบบการวิจัยจะต้องระบุข้ันตอนในการดาเนนิ การที่ ชัดเจน ต่อเน่ือง เพ่ือสะดวกต่อการติดตาม ตรวจสอบความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคท่ีเกิดขึ้นได้อย่าง ชดั เจน และถูกตอ้ ง 5) เพ่ือความประหยัด ในการวางแผนการใช้งบประมาณ แรงงานและกาหนดเวลา ควรกาหนดอยา่ ง เหมาะสม มีเหตุผล จะทาใหก้ ารดาเนินการวิจยั สามารถดาเนินการไปอยา่ งรวดเรว็ และมีประสิทธิภาพ 3. ความแปรปรวนในการวิจัยเชงิ ปริมาณ ในการวจิ ัยเชิงปริมาณจาแนกตัวแปร เป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทท่ี 1 ตวั แปรตาม (Dependent Variable) เปน็ ตวั แปรหลกั ที่สนใจศึกษา ประเภทท่ี 2 ตวั แปรตน้ (Independent Variable) หรอื เปน็ ตัวแปร ที่เป็นสาเหตุหรือตัวแปรจัดกระทาที่สนใจศึกษา ว่ามีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม และมุ่งศึกษาว่ามีขนาดของ วธิ ีวิจัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 39
อิทธิพลมากน้อยเพียงใด และประเภทท่ี 3 เป็นตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variable) ที่เป็นตัวแปรท่ีมี ความสัมพันธก์ บั ตัวแปรตาม แต่ไม่ตอ้ งการ/ไมส่ นใจทีจ่ ะศึกษาดงั นนั้ จะต้องควบคมุ หรอื กาจัดอทิ ธิพลเพือ่ ให้ได้ ผลการวิจัยท่ีมีความเที่ยงตรง โดยที่ความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้ง 3 ประเภทแสดงได้ในลักษณะของความ แปรปรวน (Variance) มดี งั น้ี 3.1 ความแปรปรวนอย่างมีระบบ(Systematic Variance) หรือความแปรปรวนร่วม(Covariance) หรือความแปรปรวนท่ีอธิบายได้(Explained Variance) หรือความแปรปรวนจากผลการทดลอง (Experimental Variance) เปน็ ความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปรตน้ และตวั แปรตามทต่ี ้องการศกึ ษา 3.2 ความแปรปรวนจากตวั แปรแทรกซ้อน(Extraneous Variance) เป็นความสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั แปร ตามและตัวแปรแทรกซอ้ นที่ปนเปื้อน (Confound) กับความแปรปรวนอย่างมีระบบ ที่เป็นความแปรปรวนท่ี ตอ้ งการจะขจดั ออกจากการวิจัย 3.3 ความแปรปรวนจากความคลาดเคลอ่ื น(Error Variance) เปน็ ความแปรปรวนทไ่ี มส่ ามารถอธิบาย ได้ด้วยตัวแปรในการวิจัย ที่อาจจะเกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ ความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่าง ความคลาดเคลื่อนในการวัด หรอื ความลาเอียงในการทดลอง เปน็ ต้น 4. หลักการในการควบคมุ ความแปรปรวนในการวิจัย ความแปรปรวนในการวิจัย เป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นเสมอ ๆ ดังน้ันผู้วิจัยจะต้องกาหนดขอบเขตการวจิ ัยใหม้ ี ความครอบคลุมทงั้ ตัวแปรตน้ และตัวแปรตามและปัญหาการวจิ ยั ใหม้ ากท่ีสดุ และจะตอ้ งควบคุมตัวแปรแทรก ซ้อนท่ีไม่อยู่ในขอบเขตการวิจัยแต่ส่งผลกระทบต่อการวิจัย และต้องลดความคลาดเคล่ือนในการวิจัยให้นอ้ ย ที่สุด ท่ีเปน็ หลกั การในการควบคุมความแปรปรวนในการวิจัยที่เรียกว่า “หลักการของแมกซ์ –มนิ -คอน(Max- Min-Con. Principle)” 5. ลักษณะของแบบการวิจัยทีด่ ี ลักษณะของแบบการวิจัยที่ดีที่นามาใช้ในการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ ควรได้พิจารณาจากลักษณะ 4 ประการ ดงั น้ี 5.1 ปราศจากความมอี คติ (Freedom from Bias) การออกแบบการวิจัยจะต้องทาให้ขอ้ มูลท่ีได้และ การวิเคราะห์ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนน้อยท่ีสุด มีความเที่ยงตรง มีความเชื่อมั่น และสามารถนาผลการ วเิ คราะหไ์ ปใชต้ อบปัญหาการวจิ ัยได้อยา่ งชัดเจน 5.2 ปราศจากความสับสน (Freedom of Confounding) การออกแบบการวิจัยจะต้องช่วยขจัดตัว แปรแทรกซ้อนที่จะเป็นสาเหตใุ ห้เกิดความแปรปรวนในตวั แปรตามเพราะมิฉะนั้นจะทาให้ไม่สามารถจาแนกได้ ว่าตัวแปรใดเป็นสาเหตุทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความแปรปรวนในตวั แปรตาม 5.3 สามารถควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ นได้(Control of Extraneous Variables ) การออกแบบการวิจัยจะต้องสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยการทา ให้เป็นตัวคงท่ีหรือก าจั ด ออกจากจากสถานการณ์ โดยให้เหลอื เพยี งแต่ผลการวิจัยทเ่ี นอื่ งมาจากตัวแปรอิสระที่มีอทิ ธิพลต่อตวั แปรตาม เทา่ น้ัน 5.4 มีการเลือกใช้สถิติท่ีถูกต้องในการทดสอบสมมุติฐาน (Statistical Precision for Testing Hypothesis) การออกแบบการวิจยั ทด่ี ีจะต้องเลอื กใชส้ ถติ ิท่ใี ช้ในการทดสอบสมมุตฐิ านทถ่ี ูกตอ้ งและเหมาะสม กับตัวแปรทีศ่ กึ ษา 6. ประเภทของการออกแบบการวิจยั ในการออกแบบการวจิ ยั ที่ใชใ้ นการวจิ ยั จาแนกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ วิธีวจิ ัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 40
6.1 การออกแบบการวัดค่าตัวแปร (Measurement Design) เป็นการกาหนดวิธีการวัดค่าหรือการ สร้างและพฒั นาเครอ่ื งมือท่ใี ช้วัดคา่ ตัวแปร โดยมลี าดบั ขน้ั ตอนในการดาเนนิ การ ดังนี้ 6.1.1 กาหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องการวดั คา่ ตวั แปร 6.1.2 กาหนดโครงสรา้ ง และคานิยามของคา่ ตวั แปรแตล่ ะตัวทตี่ อ้ งการวัดให้ชัดเจน 6.1.3 กาหนดระดบั การวดั ของข้อมูล และ สร้างและพฒั นาเครื่องมือทใี่ ช้วัดค่าตัวแปร 6.1.4 ตรวจสอบคุณภาพที่จาเป็นตอ้ งมขี องเครอ่ื งมอื ท่ีใช้วัดค่าตัวแปร ไดแ้ ก่ ความเที่ยงตรง (Validity) และความเช่อื ม่นั (Reliability) 6.1.5 กาหนดวิธีการและขัน้ ตอนการเก็บรวบรวมข้อมลู ให้ชดั เจน 6.1.6 กาหนดรปู แบบ วธิ วี ดั ค่าตวั แปร หรอื การควบคมุ ตัวแปรเกิน โดยวธิ กี ารสุ่ม, การนามา เป็นตัวแปรทศี่ กึ ษา, การจดั สถานการณใ์ ห้คงที่ หรอื การควบคุมดว้ ยวิธกี ารทางสถิติ 6.2 การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling Assignment ) เปน็ การดาเนนิ การเพ่ือให้ได้ กลมุ่ ตวั อย่างทเี่ ป็นตวั แทนท่ีดขี องประชากรในการนามาศึกษา โดยมีขั้นตอนในการดาเนนิ การ ดงั น้ี 6.2.1 กาหนดวิธีการสุ่มตัวอย่าง เป็นการกาหนดขอบเขตและเลือกวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอยา่ งที่ จะทาให้ไดก้ ลมุ่ ตัวอย่างท่ีเปน็ ตัวแทนทีด่ ีของประชากรท่ีศกึ ษา ทอี่ าจจะใช้วิธีการสมุ่ โดยใช้ความน่าจะเป็นที่ให้ โอกาสแก่ทุก ๆ หนว่ ยของประชากรมีโอกาสท่จี ะไดร้ ับการสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่าง หรอื ถา้ มขี อ้ จากัดบางประการ ในการวิจัยอาจจะมีการเลือกใช้วิธีการสุ่ม (Sampling) หรือการเลือก (Selection) กลุ่มท่ีเฉพาะเจาะจงมา ศึกษา โดยไม่ใชห้ ลกั การของความนา่ จะเปน็ ก็ได้ 6.2.2 กาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างท่ีเหมาะสม เป็นการกาหนดขนาด/จานวนของกลุ่ม ตวั อย่างจากประชากรอย่างเหมาะสม และมคี วามเปน็ ไปไดโ้ ดยการใช้สตู รการคานวณหรือตารางเลขสุ่ม 6.3 การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการวางแผนในการดาเนินการกับข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อท่จี ะไดใ้ ชใ้ นการตอบปญั หาการวิจยั ตามจุดมงุ่ หมายของการวิจัยไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมีดังนี้ 6.3.1 การเลือกใช้สถิติเชิงบรรยาย (Descriptive Statistics) เป็นการเลือกใช้สถิติในการ วเิ คราะหข์ อ้ มูลทเี่ หมาะสมกับระดับของขอ้ มูล และสอดคล้องกบั จุดม่งุ หมายของการวิจยั เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลการวิจัย ในการบรรยายลักษณะต่าง ๆ ที่ศกึ ษาไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ชัดเจน และน่าเชอ่ื ถอื หรือกล่าวได้วา่ ผลการวจิ ัยมีความ เที่ยงตรงภายใน (Internal Validity) 6.3.2 การเลือกใช้สถิตเชิงอ้างอิง (Inferential Statistics) เป็นการเลือกใช้สถิติในการ วิเคราะห์ท่ีเหมาะสมกับข้อตกลงเบื้องต้น (Basic Assumption) และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัย เพ่ือให้ได้ผลการวิจัยที่ถูกต้อง ชัดเจน น่าเชื่อถือ และสามารถใช้ผลการวิจัยในการสรุปอ้างอิงผลการวิจัย (Generalization) จากกลุ่มตัวอย่างไปยงั ประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือกล่าวได้ว่าผลการวิจัยมีความ เที่ยงตรงภายนอก (External Validity) 7.วธิ ีการวางแผนแบบการวจิ ัย วิธกี ารวางแผนแบบการวจิ ัย เปน็ การกาหนดขั้นตอนทจ่ี ะตอ้ งดาเนินการใหอ้ ย่างถกู ต้องชดั เจน เพือ่ ให้ งานวจิ ยั เกิดประสิทธิผลและมปี ระสทิ ธภิ าพมากทส่ี ุด 7.1 การกาหนดปัญหาการวิจัย คาถามการวิจัย และวัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นขั้นตอนของการ พิจารณาปัญหาการวิจัยท่ีจะต้องมีความชัดเจนท่ีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ใช้ภาษาง่าย ๆ และ สามารถหาคาตอบได้ เป็นปัญหาท่ีมีความสาคัญ และให้ประโยชน์ในการนาไปใช้ และผู้วิจัยมีความรู้ ความสามารถอย่างเพียงพอท่ีจะดาเนินการวิจัยได้รวมทั้งการกาหนดคาถาม การวิจัย และวัตถุประสงค์ท่ี สอดคลอ้ งกบั ปัญหาทีม่ ีขอบเขต และมคี วามชดั เจนที่จะใช้เป็น แนวทางการวิจัยได้ วธิ ีวิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 41
7.2 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง เป็นข้ันตอนของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องเพ่ือพัฒนากรอบความคิดทฤษฎี (Theoretical Framework) ท่ีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา การวิจัยและทฤษฎีที่ทาให้ได้ตัวแปรที่จะศึกษาและควบคุมและกรอบความคิดรวบยอด (Conceptual Framework) ท่ีแสดงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีศึกษาและตัวแปรสอดแทรก จะได้รับทราบ ข้อดี-ข้อบกพร่องของการวางแผนแบบการวิจัยท่ีจะนามาใช้ประโยชน์ในงานวิจัยของตนเอง รวมท้ังการได้ สมมตุ ฐิ านการวจิ ยั ทส่ี มเหตสุ มผล ทส่ี อดคลอ้ งกบั คาถามการวจิ ยั ท่ีสามารถตรวจสอบได้ และมอี านาจในการใช้ พยากรณ์สูง 7.3 การกาหนดข้อมูล และแหล่งข้อมูล เป็นข้ันตอนในการกาหนดตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้าง จัดประเภทของตัวแปรว่าเป็นตัวแปรสาเหตุ ตัวแปรผล ตัวแปรแทรกซ้อนหรือตัวแปรสอดแทรกตามกรอบ แนวคิดความคดิ รวบยอด ที่ต้องนามากาหนดเปน็ คานยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั ิการทีส่ ามารถวัดและสังเกตได้อย่างชัดเจน และหาวิธีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนให้ได้มากท่ีสุด และมีการกาหนดกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนที่ดีจาก ประชากรด้วยการเลือกใช้ “วิธีการสุ่ม”ท่ีเหมาะสมกับตัวแปรที่จะศึกษา เพื่อให้ได้ผลการวิจัยท่ีมีความ เทยี่ งตรงทัง้ ภายในและภายนอก 7.4 การกาหนดเครอื่ งมอื และวิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เป็นขน้ั ตอนในการกาหนดรายละเอียดเน้ือหา สาระ วิธกี ารสรา้ งและการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ และกาหนดรายละเอียดข้นั ตอนของการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ตามประเภทของการวจิ ัย อาทิ การวิจัยเชิงทดลองจะต้องกาหนดวิธีการดาเนินการทดลอง การจัดกระทาตัว แปรสาเหตุ และการวัดตวั แปรผลใหช้ ดั เจน เปน็ ตน้ 7.5 การกาหนดวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลการวิจัย เป็นข้ันตอนการวางแผนการวิเคราะห์ ขอ้ มลู ที่ได้รับว่าจะดาเนนิ การอยา่ งไร ใชส้ ถิติอะไรท่เี หมาะสมกับข้อมูล ทดสอบสมมุติฐานอย่างไร และผลการ วเิ คราะห์ขอ้ มูลสามารถใช้ตอบปัญหาการวจิ ยั ได้หรือไม่ 8. ความเที่ยงตรงของการออกแบบการวจิ ยั ในการออกแบบการวิจัย ผู้วิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลการวิจัยท่ีถูกต้อง ชัดเจนมีความเที่ยงตรง และความเช่ือมั่นให้มากที่สุด โดยความเที่ยงตรงภายในและความเท่ียงตรงภายนอกมกั จะแปรผันแบบผกพัน กลา่ วคือ งานวิจยั ท่ีมกี ารควบคมุ สูงสง่ ผลให้มีความเทยี่ งตรงภายในสูง จะสามารถนาไปใชไ้ ด้เฉพาะสถานการณ์ และเฉพาะกลุ่มทไ่ี มส่ อดคลอ้ งกบั ความเท่ียงตรงภายนอกทส่ี ามารถนาไปใชไ้ ด้ในสถานการณ์ทัว่ ไป 9.ประเภทของการออกแบบการทดลอง ในการออกแบบการทดลอง มีองค์ประกอบท่ีสาคัญในการนามาพิจารณา 2 ประการ ได้แก่ กระบวนการสุ่ม (Randomization) และการจดั กลุ่มควบคมุ (Control Group) เพ่ือใช้จาแนกประเภทของการ ออกแบบการทดลอง ข้ันตอนการพัฒนาการทบทวนวรรณกรรม วิธกี ารเขยี นงานทบทวนวรรณกรรมให้มปี ระสทิ ธิภาพ โดยสรปุ มี 5 ขน้ั ตอนท่ีสาคญั ดังนี้ 1. การกลน่ั กรองขอ้ มลู จากการสงั เคราะหแ์ ละประเมนิ ข้อมูล ผวู้ ิจัยรวบรวมข้อมูลท่เี ก่ียวขอ้ งกบั หวั ข้อ วิจัยท่ีจะศึกษาโดยการอ่านข้อมูลเหล่านั้น เพื่อนามาสังเคราะห์และประเมินเพื่อระบุถึงแนวคิดท่ีสาคัญและ ความสาคัญของวรรณกรรมน้ัน วิธีการท่ีนิยมใช้คือการจดบันทึกหัวข้อท่ีเก่ียวข้องเพื่อจะนาไปสู่การกาหนด โครงสร้างของการทบทวนวรรณกรรม โดยอาจนาเอาวิธีการใช้แผนท่ีแนวคิด (concept map) และการใช้ วิธีวจิ ัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 42
ตารางการสงั เคราะห์ (synthesis matrix) มาใชเ้ พือ่ กล่นั กรองแนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กี่ยวข้องใหอ้ ยใู่ นขอบเขตท่ี ตอ้ งการศกึ ษา 2. การกาหนดแนวคิดหลักของวรรณกรรมและการโต้แย้งหลักของการทบทวนวรรณกรรม เมื่อ นักวิจัยได้เร่ิมต้นในการสังเคราะห์ในการวิจัย ให้ระบุว่าอะไรคือแนวคิดหลักที่เก่ียวข้องกับหัวข้อหรือคาถาม ของการวิจัยและแนวคิดที่แตกต่างจากสิ่งท่ีนักวิจัยต้องการศึกษา ซ่ึงดาเนินการผ่านการใช้ตารางการ สังเคราะห์ (synthesis matrix) 3. การกาหนดโครงสร้างและจัดระบบการทบทวนวรรณกรรม การกาหนดโครงสร้างของการทบทวน วรรณกรรมต้องครอบคลมุ ถงึ นยิ ามศพั ท์พืน้ ฐานท่ีเกีย่ วขอ้ งกับหัวขอ้ ที่จะศึกษากล่าวถงึ ความสาคญั ของหัวข้อที่ ศกึ ษา งานวจิ ัยทไี่ ด้ดาเนนิ การในหวั ขอ้ ทเ่ี ก่ียวข้องและประเดน็ ท่ีควรจะดาเนนิ การหรือตรวจสอบเพ่ิมเติม และ ข้อสรปุ ที่ชัดเจนถงึ ความจาเปน็ ในการศกึ ษาและวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ทไ่ี ดม้ าจากการทบทวนวรรณกรรม 4. การเขียนงานการทบทวนวรรณกรรม เมื่อมีแนวคิดหลักของการทบทวนวรรณกรรมเป็นระบบ ตามลาดับขั้นต่อไปคือ การเขียนงานทบทวนวรรณกรรมที่ประกอบด้วย บทนามุ่งเน้นไปท่ีความสาคัญของ หัวข้อที่ศึกษา งานวิจัยที่ผ่านมา และข้อโต้แย้งในหัวข้อหรือสาขาทศ่ี ึกษา เน้ือหาครอบคลุมถึงหัวข้อหลักและ หัวข้อรองของงานที่ได้ทาการทบทวนที่ประเมินจากองค์ความรู้ล่าสุดที่เก่ียวข้องในหัวข้อหรือสาขานั้น และ บทสรปุ ชีใ้ หเ้ ห็นว่างานวิจัยที่ผา่ นมานาไปสกู่ ารพฒั นางานของนักวิจัยได้อย่างไร และการนาเอาไปประยุกต์ใช้ ในการอภปิ รายผลและนาไปสูก่ ารเสนอแนะเพอ่ื การวิจยั ในครง้ั ต่อไป 5. การเขียนบรรณานุกรม การเขียนบรรณานุกรมเพ่อื ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลตามรปู แบบที่กาหนด เพื่อให้ผูท้ ่จี ะทาวิจยั ในหวั ขอ้ ทเ่ี ก่ยี วข้องสามารถนาไปศกึ ษาข้อมลู เพม่ิ เตมิ ได้ นอกเหนือจากข้นั ตอนการทบทวนวรรณกรรม 5 ขน้ั ตอนที่กลา่ วขา้ งตน้ แนวทางท่ีชว่ ยใหก้ ารทบทวน วรรณกรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คือ การนาเอาการพัฒนาแผนที่แนวคิดในการวิจัย และการใช้ตาราง สังเคราะห์เพื่องานวรรณกรรม มาประยุกต์ใช้เพ่ือให้ได้วรรณกรรมที่ครอบคลุมตรงประเด็นและทันสมัยมาก ที่สุด การประเมินแหล่งทมี่ าของข้อมลู เพ่ือใชส้ าหรับการทบทวนวรรณกรรม นักวิจัยได้นาแหล่งที่มาของข้อมูลที่หลากหลายมาใช้สาหรับการทบทวนวรรณกรรมเพื่อการพัฒนา คาถามในการวิจัยและการออกแบบงานวิจัย ซึ่งการประเมินคุณภาพของแหลง่ ทมี่ าของข้อมูลเหลา่ นี้ถือว่าเป็น ส่ิงสาคัญ เนื่องจากแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการทบทวนวรรณกรรมส่งผลต่อการพัฒนาคาถาม กรอบแนวคิด และ สมมติฐานในการวิจัย ทั้งนี้แหล่งที่มาของวรรณกรรมอาจมาได้หลากหลายทาง อาทิ วารสารทางวิชาการท่ีมี ผู้ทรงคุณวุฒปิ ระเมินผลงานวชิ าการก่อนท่ีผลงานจะได้รบั การตีพิมพ์ เนื่องจากบทความทางวชิ าการท่ีปรากฏ อยู่ในวารสารลักษณะน้ีจะมกี ารกลั่นกรององค์ความรู้ทางการวิจัยอย่างเป็นระบบเป็นข้ันเป็นตอน และมีการ ทบทวนวรรณกรรมท่ีทันสมัยหรือมีเอกสารอ้างอิงท่ีสามารถนามาใช้ประโยชน์ต่อการทบทวนวรรณกรรมใน งานวทิ ยานิพนธใ์ นระดบั บัณฑติ ศึกษาไดเ้ ป็นอย่างดี นอกจากน้ี หนังสือก็เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่นามาใช้สาหรับการเริ่มต้นทบทวนวรรณกรรม เพราะ หนังสอื ให้บทสรุปเกีย่ วกับแนวคิดล่าสุดและหลักการที่เก่ยี วข้องกบั สาขาทีน่ กั วิจยั ต้องการศึกษา ซ่งึ หนงั สือที่ดี และเหมาะสมจะนามาใช้สาหรับการทบทวนวรรณกรรม ควรมีลักษณะดังนี้ คือ มีความเก่ียวข้องกับหัวข้อใน การวจิ ยั เขียนโดยบคุ คลท่ีมีชอ่ื เสียง และเช่ียวชาญในแวดวงหรอื สาขานัน้ มคี วามทนั สมยั โดยดไู ดจ้ ากปีท่ีพิมพ์ จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์ท่ีมีช่ือเสียงในสาขาน้ัน มีการใช้เอกสารอ้างอิงจานวนมากพอเพ่ือนาไปสู่การค้นคว้า เพ่มิ เติมสาหรบั การทบทวนวรรณกรรมได้ และมีโครงสร้างทางภาษาและการนาเสนอทชี่ ัดเจน และอ่านงา่ ย วิธีวจิ ัยทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 43
นอกเหนือจากการคน้ ควา้ ขอ้ มูลจากวารสารทางวชิ าการและหนังสือแลว้ ในปจั จบุ นั การค้นคว้าข้อมูล จากเว็บไซตผ์ ่านเครือ่ งมือช่วยในการสืบค้น (search engine) เป็นวธิ ีการท่ีสะดวกในการเขา้ ถงึ ข้อมูล อยา่ งไร ก็ตามเนื่องจากเวบ็ ไซต์แต่ละแห่งมวี ัตถุประสงค์ในการนาเสนอเนื้อหาที่แตกต่างกนั ทาใหก้ ารนาขอ้ มูลที่ได้มา จากเว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านั้นต้องกระทาด้วยความระมัดระวงั เพราะเนื้อหาของบางเว็บไซต์อาจเหมาะกับการ รวบรวมข้อมูลเพอ่ื มาใช้สาหรับการทบทวนวรรณกรรม อาทิ มีการนาเสนอข้อมูลทางสถิติที่สาคญั หรอื ข้อมูล เกีย่ วกับองคก์ รหรือหน่วยงานทีต่ อ้ งการศึกษา เปน็ ต้น ดังนน้ั การประเมนิ คณุ ภาพของข้อมูลในเวบ็ ไซต์จึงเป็น ความยากลาบาก อย่างไรก็ดี ในกรณีที่มีความจาเป็นต้องนาเอาข้อมูลจากเว็บไซต์มาใช้ประกอบการเขียน ทบทวนวรรณกรรม ควรพิจารณาเกณฑ์ดังต่อไปนี้เพ่ือประเมินว่าเว็บไซต์เหล่านั้นมีคุณภาพมากเพียงพอต่อ การนาข้อมูลมาใช้สาหรับการเขียนทบทวนวรรณกรรมของงานวิจัยหรือไม่ ได้แก่ ใครเป็นกลุ่มผู้อ่านของ เว็บไซต์ ความถี่ในการปรับปรุงข้อมูล องค์กรใดเป็นผู้ผลิตหรือเจ้าของเว็บไซต์ ผู้พัฒนาเว็บไซต์ประกาศ เจตนารมณ์อยา่ งไรต่อผู้เชี่ยวชาญและผู้มีอานาจ มีการเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์หรือแหล่งอ้างอิงอื่นทั้งในรูปแบบ อิเลก็ ทรอนกิ ส์หรือสิ่งพิมพ์หรอื ไม่ มกี ารประเมนิ เว็บไซตน์ ้นั จากบุคคลท่ีเก่ียวข้องหรือไม่ และต้องมีการเสียค่า สมาชิกหรอื ได้รับอนุญาตเพ่ือการเข้าถึงแหลง่ ขอ้ มลู ทส่ี าคัญหรือไม่ อย่างไรก็ดี เคร่ืองมือท่ีช่วยในการค้นคว้างานวรรณกรรมท่ีมีคุณภาพ สามารถหาได้จากระบบ ฐานข้อมูลของห้องสมุด และการใช้ฐานข้อมูลงานวิจัย อาทิ ProQuest(ABI/INFORM) Elsevier IEEE หรือ EBSCOhost ฯลฯ ทีร่ วบรวมงานวทิ ยานพิ นธร์ ะดบั บัณฑิตศกึ ษา บทความวิจัย บทความวชิ าการ และงานวจิ ัย ที่นาเสนอในงานประชมุ วชิ าการต่าง ๆ (proceedings) ซ่งึ ทาใหผ้ วู้ ิจยั สามารถหางานได้ตรงกบั หวั ขอ้ และสาขา ที่ศึกษามากท่ีสุด ตัวอย่างเช่น ถ้านักวิจัยศึกษาหัวข้อที่เก่ียวข้องกับการบริหารธุรกิจ การใช้ฐานข้อมูลอย่าง ProQuest มีความเหมาะสมอย่างยง่ิ สาหรับ ข้อผดิ พลาดที่พบจากการดาเนินการทบทวนวรรณกรรม นักวิชาการได้สรุปข้อผิดพลาดท่ีมักพบจากการดาเนินการทบทวนวรรณกรรมที่นักวิจัยมกั กระทาอนั นาไปสูก่ ารพัฒนางานวิจยั ทไ่ี ม่มีคณุ ภาพ เพือ่ ท่จี ะหลกี เลย่ี งขอ้ ผิดพลาด นักวจิ ยั ตอ้ งระมัดระวงั ส่งิ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การไม่ได้มีการเชื่อมโยงข้อค้นพบของการทบทวนวรรณกรรมกับงานที่นักวจิ ัยศึกษาชัดเจนมากเพียงพอ การ ไม่ได้ใช้เวลามากเพียงพอในการค้นคว้าแหล่งที่มาของข้อมูลท่ีดีท่ีสุดเพื่อใช้ในการทบทวนวรรณกรรมท่ี เก่ียวข้องกบั งานหัวข้อของตน การใช้แหล่งขอ้ มลู ทุติยภูมิมากกว่าแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ การยอมรับผลการวจิ ัย และการแปลผลของนักวิจัยท่านอ่ืนโดยปราศจากการวิพากษ์ แทนท่ีจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นในแต่ละ ส่วนของการออกแบบและการวิเคราะหง์ านวิจยั การไมไ่ ดร้ ายงานแนวทางในการคน้ หาทใ่ี ชส้ าหรบั การทบทวน วรรณกรรม การรายงานผลทางสถิติแต่เพียงอย่างเดียวแทนท่ีจะมีการสังเคราะห์ผลนั้นด้วยวิธีทางสถิติ เช่น ไคสแควร์หรือ Meta-Analysis และการไม่ได้พิจารณาผลการศึกษาที่แตกต่างและการแปลผลอ่ืนในการ สงั เคราะห์วรรณกรรมทเี่ กีย่ วขอ้ งกับงานวจิ ยั เชงิ ปริมาณ เป็นต้น การค้นคว้าขอ้ มลู ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั หวั ข้อ วิธีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 44
สาระสาคัญบทท่ี 6 การออกแบบการวจิ ยั ในการเรียนรู้บทน้ีมสี าระสาคัญ ดังน้ี 1. การออกแบบการวิจัย เป็นกระบวนการท่ีใช้ในการวางแผนการดาเนินการวิจัยที่มีระบบ และมี ข้ันตอนเพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูล/สารสนเทศที่ต้องการนามาใช้ในการตอบปัญหาการวิจัยตามจุดประสงค์/ สมมุติฐานของการวจิ ัยที่กาหนดไวไ้ ดอ้ ย่างถกู ต้อง ชัดเจน รวดเร็วและมคี วามน่าเชื่อถือ ที่เปรียบเสมือนพิมพ์ เขียวของผู้วจิ ัยในการกาหนดโครงสร้าง แผนการปฏิบัติการวิจัยหรอื ยุทธวิธีเพื่อใช้ในการตรวจสอบการดาเนิน การวิจัยที่กาหนดไว้ 2. จุดมงุ่ หมายของการออกแบบการวิจยั ในการดาเนินการวิจัย มีจดุ ม่งุ หมาย 2 ประการ ดงั นี้ 1) เพ่ือให้ได้คาตอบของปัญหาการวิจัยที่ถูกต้อง ชัดเจน และมีความเท่ียงตรงน่าเช่ือถือ 2) เพ่ือควบคุมความ แปรปรวนของตัวแปรการวิจัยที่ศึกษา (ศึกษาให้มีความครอบคลุมขอบเขตของปัญหาการวิจัยให้มากท่ีสุด ควบคมุ อทิ ธพิ ลของตวั แปรท่ีไม่อยู่ในขอบเขตของการวิจัยแต่จะมีผลกระทบต่อผลการวิจัยใหไ้ ดม้ ากที่สุด และ ลดความคลาดเคล่อื นที่จะเกดิ ขน้ึ ในการวจิ ยั ให้เกิดข้นึ นอ้ ยทส่ี ุด) 3. หลักการในการควบคุมความแปรปรวนในการวิจัยท่ีเรียกว่า “หลักการของแมกซ์–มิน – คอน” มีดังน้ี 1) การเพม่ิ ความแปรปรวนที่มรี ะบบใหม้ ีคา่ สูงสุด 2) การลดความคลาดเคล่ือนใหเ้ หลอื น้อยทส่ี ุด 3) การ ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนให้มีค่าคงท่ี (ใช้กระบวนการสุ่ม การจับคู่ การกาจัดตัวแปรแทรกซ้อน หรือการนา ตัวแปรแทรกซอ้ นเป็นตัวแปรทศ่ี กึ ษาแล้วใช้วธิ กี ารทางสถิติในการควบคมุ ) 4. ลกั ษณะของแบบการวจิ ัยทดี่ ี มดี งั นี้ 1) ปราศจากความมีอคติ 2) ปราศจากความสบั สน 3) สามารถ ควบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ นไดแ้ ละ 4) มีการเลอื กใช้สถติ ิทีถ่ กู ต้องในการทดสอบสมมตุ ฐิ าน 5. ความเท่ียงตรงภายใน เป็นลักษณะของการวิจัยที่จะสามารถตอบปัญหา/สรุปผลการวิจัยได้อย่าง ถูกต้อง ชัดเจน และนา่ เช่ือถือว่า ผลทเี่ กิดขนึ้ กับตวั แปรตามนั้น มีสาเหตเุ นือ่ งมาจากตวั แปรอิสระหรือตัวแปร จดั กระทาเทา่ น้นั โดยมอี งคป์ ระกอบที่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงภายใน ดงั น้ี 1) เหตกุ ารณพ์ ร้อง/ประวตั ิในอดีต 2) วุฒิภาวะ 3) การทดสอบ 4) เครื่องมือในการวจิ ัย 5) การถดถอยทางสถิติ 6) การสุ่มกลุ่มตัวอย่างเข้ากลมุ่ ควบคมุ และกลุ่มทดลอง 7) การสญู หายของกล่มุ ตวั อยา่ ง และ8) อิทธิพลรว่ มระหวา่ งปัจจัยอืน่ ๆ 6. ความเทยี่ งตรงภายนอก เป็นลักษณะของการวจิ ัยทสี่ ามารถสรุปอา้ งองิ ผลการวิจัยจากกล่มุ ตัวอย่าง ท่ีศึกษาไปสู่ประชากรได้ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และน่าเชื่อถือ โดยมีปัจจัยที่มีผลต่อความเที่ยงตรงภายนอก ดงั นี้ 1)อทิ ธิพลร่วมกนั ระหวา่ งการสมุ่ กลุ่มตัวอย่างและสิ่งทดลอง 2) อิทธิพลรว่ มกนั ระหวา่ งแหลง่ ทดลองและ สง่ิ ทดลอง 3) อทิ ธพิ ลร่วมกันระหว่างการทดสอบและสิง่ ทดลอง 4) อทิ ธพิ ลรว่ มกนั ระหว่างเหตุการณพ์ รอ้ งและ ส่งิ ทดลอง 5) ปฏกิ ริ ยิ าของกลมุ่ ตัวอย่างทม่ี ตี ่อการทดลอง และ 6) การได้รับสงิ่ ทดลองท่ีหลากหลาย 7.ประเภทของการออกแบบการทดลอง มีดังนี้ 1) แบบการทดลองเบื้องต้นเป็นการออกแบบการ ทดลองที่ไม่มีกระบวนการสุ่ม และไม่มีกลุ่มควบคุม อาทิ การศึกษาแบบกลุ่มเดียววัดผลหลังทดล อง การทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนหรือการเปรียบเทียบกลุ่มแบบคงท่ี 2)แบบการ ทดลองจรงิ เปน็ การออกแบบการทดลองทมี่ ีทงั้ กระบวนการสุ่ม และมกี ลมุ่ ควบคุม อาทิ การทดลองกอ่ นเรียน และหลงั เรียนแบบมกี ลุ่มควบคุม การทดลองการทดสอบหลังการทดลองแบบมกี ลุ่มควบคุม และ 3) แบบการ ทดลองกึ่งทดลอง เป็นการออกแบบการทดลองท่ีไม่มีกระบวนการสุ่ม แต่มีกลุ่มควบคุมเพ่ือเปรียบเทียบ อาทิ การทดลองกลมุ่ ควบคุมทีไ่ ม่เท่าเทียมกนั การทดลองแบบอนุกรมเวลา และ การทดลองแบบอนกุ รมเวลาและมี กลุ่มควบคมุ เป็นตน้ วธิ วี ิจัยทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 45
สรปุ การทบทวนวรรณกรรมเป็นขั้นตอนที่สาคัญสาหรับการดาเนินงานวิจัยเพ่ือกาหนดแนวทางและ ขอบเขตของการวิจัยว่าจะมุ่งไปสู่การค้นหาคาตอบอะไรเพ่ิมเติมจากงานท่ีผ่านมา บทความนี้ได้กล่าวถึง ความหมาย ธรรมชาติและจุดมุ่งหมายของการทบทวนวรรณกรรม ซึ่งวิธีการทาการทบทวนวรรณกรรมที่มี ประสิทธิผล ควรพิจารณาคุณลักษณะของการทบทวนวรรณกรรมเพ่ือการวางแผนการทบทวนวรรณกรรมที่ ชัดเจนและเหมาะสม สาหรับข้ันตอนของการทบทวนวรรณกรรม ประกอบด้วย การกล่ันกรองขอ้ มูลจากการ สงั เคราะหแ์ ละประเมนิ ข้อมูล การกาหนดแนวคดิ หลักของวรรณกรรม การกาหนดโครงสรา้ งและจดั ระบบการ ทบทวนวรรณกรรม การเขียนงานทบทวนวรรณกรรม และการเขียนบรรณานุกรม นอกจากนี้ แนวทางท่ีชว่ ย ให้การทบทวนวรรณกรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คือ การนาเอาการพัฒนาแผนที่แนวคิดในการวิจัย และ การใช้ตารางสังเคราะห์เพื่องานวรรณกรรม มาประยุกตใ์ ช้เพอื่ ใหไ้ ด้วรรณกรรมท่ีครอบคลุม ตรงประเด็นและ ทันสมัยมากท่ีสุดโดยต้องทาการประเมินแหล่งท่ีมาของข้อมูลท่ีใช้สาหรับการทบทวนวรรณกรรม และมีการ ประเมนิ การทบทวนวรรณกรรม 5 ด้าน ไดแ้ ก่ ความครอบคลมุ ของเน้ือหา การสงั เคราะห์ วธิ กี าร ความสาคัญ และการใช้ถ้อยคาที่ชักจูงโน้มน้าว แนวทางเหล่านี้ช่วยให้การทบทวนวรรณกรรมในระดับบัณฑิตศึกษามี ประสิทธิภาพ และนาไปสกู่ ารทาวิจัยเพอ่ื สร้างองค์ความรใู้ หม่ต่อไป วิธวี ิจยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 46
บทท่ี 7 การเขยี นวรรณกรรมทเ่ี กี่ยวขอ้ งและโครงรา่ งงานวจิ ยั (Literature Review and Research Proposal Writing) การทบทวนงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นหัวใจสาคัญของการทาวิจัย การทบทวนวรรณกรรมที่มี ประสิทธผิ ลช่วยสร้างพืน้ ฐานทีเ่ ขม้ แข็งสาหรบั การสร้างองคค์ วามรใู้ หม่ ตอ่ ยอดการพัฒนาทฤษฎี ปดิ ช่องวา่ งใน ส่วนของงานท่ีมีมากเกินความจาเป็นและเปิดพ้ืนท่ีให้กับส่วนของงานที่ยังคงมีความต้องการอยู่ การทบทวน วรรณกรรมที่ไม่ถูกต้องเป็นปัจจัยที่สาคัญประการหนง่ึ ที่ทา ให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาไม่สามารถพัฒนา วทิ ยานิพนธไ์ ปสู่ความสาเร็จได้ เพราะถ้าการทบทวนวรรณกรรมมีข้อผิดพลาด งานวิทยานพิ นธจ์ ะถูกมองว่ามี ข้อผิดพลาดไปด้วย ทง้ั น้ี นกั วจิ ัยไม่สามารถทางานวจิ ยั ใหส้ าเร็จลุลว่ งโดยปราศจากความเข้าใจในวรรณกรรมท่ี เกย่ี วข้องกับสาขาท่ที าการศึกษาได้ เน้ือหาในบทน้ีมีประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับการทบทวนวรรณกรรม โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ สว่ นนา ประกอบดว้ ยความหมายของการทบทวน วรรณกรรม ธรรมชาติและจุดมงุ่ หมาย คณุ ลกั ษณะของการ ทบทวนวรรณกรรม และการประเมินท่ีมาของแหล่งข้อมูล ส่วนเน้ือหา ประกอบด้วยข้ันตอนการพัฒนาการ ทบทวนวรรณกรรม ซ่ึงครอบคลุมเร่ืองการพัฒนาแผนที่แนวคิดเพ่ือการทบทวนวรรณกรรมและการใช้ตาราง สงั เคราะห์ และสว่ นท้าย ประกอบดว้ ย การประเมนิ การทบทวนวรรณกรรมข้อผดิ พลาดที่พบ และแนวทางการ ปรบั แกไ้ ขการทบทวนวรรณกรรม ความหมายของการทบทวนวรรณกรรม นักวิจัยรุ่นใหม่หรือบุคคลที่ขาดประสบการณ์ในการทาวิจัยอาจมองว่าการทบทวนวรรณกรรมเป็น เพียงการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องเท่าน้ัน ในความเป็นจริง การทบทวนวรรณกรรมไม่ใช่การ รวบรวมงานของนักวิจัยหรือนักวิชาการท่านอ่ืนมาไว้ในงานของตน และไม่ใช่การนา เอางานวรรณกรรมทุก เรื่องในสาขานั้นท่ีไม่เก่ียวข้องกับหัวข้อหรือคาถามในการวิจัยมาใส่ไว้ในงานวิจัยของตน แต่การทบทวน วรรณกรรม คอื การจัดระบบหวั ขอ้ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับวัตถุประสงคข์ องการวิจัยโดยผา่ นการสังเคราะห์เพ่ือนา ไปสู่ การพัฒนางานวิจัยคร้ังต่อไป นอกจากนี้ยังมีนักวชิ าการท่านอื่นให้ความหมายของการทบทวนวรรณกรรมว่า หมายถึง การค้นหาโดยตรงจากงานท่ีไดร้ ับการตพี ิมพซ์ ง่ึ รวมถงึ วารสารที่ตพี มิ พต์ ามเวลาทก่ี าหนด และหนงั สือ ทม่ี ีการกล่าวถึงทฤษฎีและแสดงผลการศึกษาเชงิ ประจกั ษ์ท่ีเก่ียวข้องกบั หัวข้อที่ทาการศึกษา จะเห็นได้ว่าการ ทบทวนวรรณกรรมเป็นเร่อื งที่มากกวา่ การรวบรวมงานจากเอกสารต่าง ๆ การทบทวนวรรณกรรมเป็นการใช้ ความคิดที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมน้ันเพ่ือสนับสนุนวิธีการที่เฉพาะสาหรับหัวข้อวิจัย การเลือกวิธีการวิจัย และแสดงใหเ้ หน็ ว่างานวจิ ยั นีไ้ ด้นาเสนอสิง่ ใหม่ นอกจากนี้ยังกล่าวได้อกี วา่ คณุ ภาพของการทบทวนวรรณกรรม หมายถึงความเหมาะสมทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก มีความเข้มข้นและสม่าเสมอ มีความชัดเจนและใช้คา ที่ กระชับและมีการวิเคราะหแ์ ละสังเคราะห์ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ โดยสรุป การทบทวนวรรณกรรมเป็นการวเิ คราะห์และสังเคราะหง์ านทางวิชาการท่ีผ่านมาเพ่ือใชใ้ น การพฒั นางานใหม่ โดยเนอ้ื หาของวรรณกรรมท่ีทบทวนต้องมีความสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์และคาถามของ การวิจัย เม่ือทราบถึงนิยามของการทบทวนวรรณกรรมแล้ว ประเด็นสาคัญ คือการตระหนักถึงธรรมชาติและ จดุ มุ่งหมายของการทบทวนวรรณกรรม วิธีวิจัยทางธุรกิจอาหารและโภชนาการ 47
ธรรมชาตแิ ละจดุ มุ่งหมายของการทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรมได้มาจากการสกัดหรือกล่ันกรองวรรณกรรมท่ีมีอยู่แล้วในสาขาวิชาที่ผู้วิจัย ทาการศึกษา ซึ่งวัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรม คือ การสรุปงานวรรณกรรมที่ผ่านมาจนถึงงานท่ี ทันสมัยท่ีสุดในสาขาวิชาท่ีศึกษาจากการทบทวนงานที่ผ่านมาและงานปัจจุบัน ทาให้สามารถนา ไปสู่การต่อ ยอดในการพฒั นางานวจิ ยั ใหม่ ๆ ทเ่ี ป็นประโยชน์ในอนาคตได้ นอกจากน้ีการทบทวนวรรณกรรมมีความสาคัญ หลายประการ เช่น เป็นการสนับสนุนความเป็นเอกลักษณ์ของหัวข้อการวิจัย คาถามและสมมติฐานบ่งชี้ วรรณกรรมที่งานวิจัยจะทาการสนับสนุนในสาขานั้น รวมท้ังแสดงอรรถาธิบายงานวิจัยภายในวรรณกรรม เหล่าน้ัน สร้างความเข้าใจของแนวคิดทางทฤษฎีและคาศัพท์เฉพาะทาง ส่งเสริมการสร้างบรรณานุกรมหรือ การรวมแหล่งการค้นคว้าข้อมูลเพ่ือการใช้ประโยชน์ในงานวิจัยอ่ืน ๆ แนะนาวิธีการทางการวิจัยท่ีอาจเป็น ประโยชน์ และสนับสนุนเร่อื งการวเิ คราะหแ์ ละแปลผลของการวิจัย เป็นตน้ นอกจากน้ีการทบทวนวรรณกรรมเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้ของนักวิจัยหรือนักศึกษาระดับ บัณฑิตศึกษาเก่ียวกับสิ่งท่ีตนกาลังศึกษา ซึ่งรวมถึงนยิ ามศัพท์ ทฤษฎี ตัวแปรหลักและปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึน และวธิ ีการและประวัติ ความเปน็ มาในเรอ่ื งที่ศึกษา นอกจากส่งิ สาคัญท่กี ล่าวในขา้ งตน้ นักวิชาการบางท่านได้ ให้เหตุผลเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการทบทวนวรรณกรรมว่าสนับสนุนการกาหนดขอบเขตของปัญหาการวิจัยการ คน้ หาข้อคาถามใหม่ๆของการวิจัยในหัวขอ้ น้นั และหลีกเลย่ี งวิธกี ารทาวจิ ัยทไี่ ม่มปี ระโยชน์และยังช่วยให้ได้รบั วิธกี ารดาเนินการวจิ ยั ทีล่ ึกซง้ึ สามารถระบุถึงขอ้ เสนอแนะสาหรบั การทาวิจยั ในครัง้ ต่อไปได้และยังค้นหาขอ้ มูล สนบั สนนุ ทฤษฎหี ลักที่ใช้ในการพัฒนาการวิจัย แสดงให้เหน็ ความแตกต่างของสิง่ ท่ไี ด้ทาแล้วกับส่ิงที่ต้องทาใน หัวข้อหรือสาขาท่ีดาเนินการวิจัย ค้นหาตัวแปรที่สาคัญที่เกี่ยวข้องกบั หัวข้อท่ีทาการวิจัย ช่วยสังเคราะห์และ รับแนวคิดใหม่ ช่วยระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติสร้างบริบทของหัวข้อหรือปัญหาของ การวิจัย หาเหตุผลสนับสนุนความสาคัญของปัญหาช่วยเพ่ิมเติมนิยามศัพท์ที่เก่ียวข้องกับสาขาท่ีศึกษาทาให้ เข้าใจโครงสร้างของสาขาที่ศึกษาเช่ือมโยงแนวคดิ และทฤษฎไี ปสู่การประยุกต์ใช้ระบุถึงวิธีการดาเนินการวิจัย หลกั และเทคนิคการวจิ ัยที่ใช้และช่วยกาหนดงานวิจัยในบริบทที่ผ่านมาเพ่อื แสดงใหเ้ ห็นความคล้ายคลึงกันกับ การพฒั นาที่ทนั สมัยมากย่งิ ขึน้ จดุ มุ่งหมายที่สาคัญประการหน่ึงของการเขียนการทบทวนวรรณกรรมท่ีไม่ไดก้ ล่าวในข้างตน้ กค็ ือ การ ทบทวนวรรณกรรมไดใ้ ห้กรอบสาหรบั การเช่อื มโยงขอ้ คน้ พบใหมก่ บั ขอ้ ค้นพบทผ่ี ่านมาในส่วนของการอภิปราย ผล ถ้าไม่ได้มีการศึกษาสิ่งที่ปรากฏในงานวิจัยที่ผ่านมาคงเป็นเรื่องยากท่ีจะระบุได้ว่างานวิจัยที่พัฒนาขึ้นมา ใหม่มีความก้าวหน้าไปจากงานวิจัยที่ผ่านมาอย่างไร การทบทวนวรรณกรรมช่วยในการตอบคาถามที่สาคัญ ไดแ้ กเ่ ราทราบอะไรบา้ งเก่ียวกับสาขาทเี่ ราศึกษาและให้ความสนใจ อะไรคอื ความสมั พันธร์ ะหว่างแนวคิดหลัก ปัจจัย และตัวแปร แนวคิดและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องล่าสุดคืออะไร ประเด็นใดที่ต้องการการทดสอบเพ่ิมเติมอัน เนื่องมาจากข้อจากัดในการวิจัยการขาดข้อมูลในเรื่องน้ันท่ีมากพอ หรือความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันของ งานวิจัยท่ีผ่านมา วิธีการหรือการออกแบบการดาเนนิ งานวิจัยท่ีผ่านมามีข้อบกพรอ่ งอย่างไร ทาไมต้องศึกษา หัวข้อหรอื ประเดน็ น้ีเพ่ิมเตมิ และงานวิจัยของเราจะให้อะไรเพ่ิมเตมิ กบั หัวขอ้ หรอื งานในสาขานนั้ วิธวี ิจยั ทางธรุ กจิ อาหารและโภชนาการ 48
จะเห็นได้ว่าการทบทวนวรรณกรรมมีความสาคัญและช่วยตอบคาถามเรื่องของการวิจัยได้หลาย ประการ ทาใหก้ ารพฒั นางานวิจยั ดาเนนิ ไปอยา่ งเหมาะสมและมีความชัดเจน เม่ือทราบถึงจดุ มุง่ หมายของการ ทบทวนวรรณกรรมแล้ว ประเด็นถัดมาคือการวางแผนสาหรับการทบทวนวรรณกรรม ซ่ึงพิจารณาจาก คุณลักษณะของการทบทวนวรรณกรรม คุณลกั ษณะของการทบทวนวรรณกรรม วิธกี ารทมี่ ีประสิทธภิ าพทีช่ ่วยเริ่มต้นการวางแผนสาหรบั การทบทวนวรรณกรรม คอื การพิจารณาวา่ วรรณกรรมท่นี าเสนอสอดคลอ้ งกับประเภทหรอื คณุ ลักษณะของการทบทวนวรรณกรรมแบบใด ซึ่งการทบทวน วรรณกรรมแบ่งเป็น 6 คุณลักษณะได้แก่ การมุ่งเน้น (focus) เป้าหมาย (goal) มุมมอง (perspective) การครอบคลมุ (coverage) การจดั ระบบ (organization) และ กลุม่ เป้าหมาย (audience) 1. การมุ่งเนน้ (focus) การทบทวนวรรณกรรรณลกั ษณะนี้จะมุง่ ความสนใจไปที่ผลลพั ธ์ของการวิจัย วิธีการวิจัย ทฤษฎแี ละการปฏบิ ัติหรือการนาไปประยุกต์ใชซ้ ึ่งการทบทวนวรรณกรรมโดยการมุ่งความสนใจไป ที่ผลลัพธ์ของการวิจัยจะบอกถึงประเด็นที่สาคัญที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ หรือยังไม่มีการศึกษามากนัก และ นาไปสู่การพัฒนาประเด็นหรือหัวขอ้ ทางการวิจัยใหม่ ในส่วนของวิธีการดาเนินการวิจัยจะมงุ่ ความสนใจไปท่ี ตัวแปร วิธีการท่ีใช้ในการวัด วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ซ่ึงจะช่วยบอกผู้วิจัยว่าอะไรเป็นจุดแข็งหรือ จุดอ่อนของงานวิจัยที่ได้ทาการทบทวนเหล่าน้ันเพ่ือนามาเปรียบเทียบและพัฒนาแนวทางในการกาหนดวิธี การดาเนินการวิจยั สาหรบั งานวจิ ัยตอ่ ไป สาหรบั การมงุ่ เน้นไปทีท่ ฤษฎชี ่วยใหท้ ราบว่ามีทฤษฎีอะไรท่เี กยี่ วข้อง กับหัวข้อที่ต้องการศึกษา และความสัมพันธ์ของทฤษฎีเหล่าน้ัน ซ่ึงการศึกษาทฤษฎีที่ผ่านมามีความสาคัญ อย่างยิ่งสาหรับงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ท่ีต้องการพัฒนาทฤษฎีหรือรูปแบบใหม่ในสาขาท่ีเก่ียวข้อง เพื่อให้ เหตุผลได้ว่าทฤษฎีที่มีอยู่ยังไม่เพยี งพอและสนับสนนุ ความสาคัญของการพฒั นาทฤษฎีใหม่ ในส่วนของการนา ไปประยุกต์ใช้ก็เช่นเดียวกัน การมุ่งเน้นไปท่ีการปฏิบัติช่วยให้ทราบถึงช่องว่างหรือส่วนที่ยังไม่ได้รับการ ตอบสนองเพอ่ื นา ไปสูเ่ หตุผลในการพัฒนางานวิจยั ต่อไป 2. เป้าหมาย (goal) เป้าหมายของการทบทวนวรรณกรรม คือ การบูรณาการและการนา เอา ผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้กับหนว่ ยงานอ่ืนเพ่ือช่วยในการแก้ปัญหาในเรอ่ื งน้ัน โดยมีการนาเอาวิธีการ Meta- Analysis มาใชเ้ พื่อบรู ณาการผลการวิจัยเชงิ ปริมาณต่าง ๆ เข้าดว้ ยกัน เป็นต้น 3. มมุ มอง (perspective) สาหรบั การทบทวนงานวรรณกรรมงานวจิ ยั เชิงคุณภาพ ผ้วู จิ ัยอาจสามารถ พจิ ารณาว่าอคตขิ องผเู้ ขยี นงานวิจยั เชิงคณุ ภาพเป็นอยา่ งไร ในขณะทีง่ านวจิ ัยเชิงปรมิ าณ ผูว้ ิจัยควรพยายามใช้ มมุ มองทีเ่ ป็นกลางในการนาเสนอขอ้ คน้ พบตามความเป็นจรงิ ได้ 4. การครอบคลุม (coverage) การทบทวนวรรณกรรมมกี ารครอบคลุมประเด็นทเี่ กีย่ วข้องกับหัวข้อ ท่ที ามากน้อยเพียงใด ทง้ั จากงานทต่ี ีพิมพ์และงานท่ไี มไ่ ด้รับการตีพิมพ์ อยา่ งไรก็ตาม การทบทวนวรรณกรรม อาจไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด ดังน้ัน การกาหนดกลุ่มประชากรเพ่ือสร้างความชัดเจนสาหรับค้นคว้า ข้อมูลโดยพิจารณาจากงานวิจัยที่ผ่านมาว่ากุล่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นใครมีความเป็นตัวแทนของประชากร หรือไม่ ช่วยทาให้การต่อยอดในการทาวิจัยสะดวกมากยิ่งขึ้น นอกจากน้ีอาจจากัดจานวนของบทความหรือ เอกสารที่เก่ียวข้องโดยค้นคว้าเฉพาะบทความท่ีตีพิมพ์ในวารสารเท่านั้นไม่รวมบทความที่นาเสนอในการ ประชมุ วชิ าการ เป็นต้น วิธวี ิจยั ทางธรุ กิจอาหารและโภชนาการ 49
5. การจัดระบบ (organization) รูปแบบในการจัดระบบการทาวิจัยมีหลายรูปแบบ เช่น การ จัดรูปแบบโดยเรียงลาดับเหตุการณ์จากอดีตสู่ปัจจุบัน (กล่าวถึงพัฒนาการหรือความก้าวหน้าของวิธีการวจิ ัย หรือทฤษฎีหรือการเปล่ียนแปลงของการปฏบิ ัติในช่วงเวลาที่ผ่านมา) รูปแบบที่กาหนดจากแนวคิด (กล่าวถึง ทฤษฎีและแนวคิดต่าง ๆ) และรูปแบบจากวิธีการวิจัยอย่างไรก็ดีการนาเอารูปแบบท้ังหมดมาผสนผสานเข้า ด้วยกันอาจเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากท่ีสุด ตัวอย่างเช่น นักวิจัยอาจเริ่มต้นด้วย บทนา จากน้ันกล่าวถงึ วิธกี ารดาเนนิ การวิจยั และนาเสนอผลการศกึ ษาในรปู แบบโดยเรียงลาดบั เหตกุ ารณห์ รอื รูปแบบทกี่ าหนดจาก แนวคิด และปดิ ทา้ ยดว้ ยการอภิปรายผลลพั ธข์ องการวจิ ัย 6. กลุ่มเป้าหมาย (audience) คุณลักษณะประการสุดท้ายของการทบทวนวรรณกรรม คือ การ พิจารณากลุ่มเป้าหมายว่าใครคือคนท่ีอ่านงานวรรณกรรมของเรา ในส่วนของงานวิทยานิพนธ์ บุคคลท่ีอ่าน ได้แก่ อาจารย์ท่ีปรึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิรวมถึงนักวิชาการท่ีเก่ียวข้องกับสาขาหรืออยู่ในแวดวงวิชาการนั้น ดังน้นั การเขยี นการทบทวนวรรณกรรมจึงต้องเขยี นในลักษณะของงานวิชาการ ไม่ใชก่ ารเขยี นแบบงานท่วั ไป คุณลักษณะการทบทวนวรรณกรรมทั้ง 6 คุณลักษณะน้ีช่วยให้การวางแผนสาหรับการทบทวน วรรณกรรมมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขึน้ และนา ไปสกู่ ารกาหนดข้นั ตอนการพัฒนาการทบทวนวรรณกรรมท่ีเป็น ระบบและชัดเจนยงิ่ ขึ้น การเขยี นโครงร่างงานวจิ ยั โครงร่างงานวิจัย (Research proposal) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แบบเสนอโครงการวิจัย เป็น แผนการดาเนินการวิจัยอย่างเป็นระบบท่ีผู้วิจัยกาหนดไว้ล่วงหน้า โครงร่างการวิจัยเปรียบเสมือนแบบพิมพ์ เขียวของวิศวกรท่ีกาหนดรายละเอียดไว้เป็นแนวทางการดาเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ในท่ีน้ีจะกล่าวถึง ความสาคญั ของโครงร่างงานวิจัย และการเขยี นโครงรา่ งการวิจัย ดังมรี ายละเอยี ดต่อไปนี้ ความสาคัญของโครงร่างงานวจิ ยั โครงร่างานวิจัยมคี วามสาคญั หลายประการ ดังนี้ 1. ทาให้เกิดความม่ันใจว่าข้อค้นพบจากการวิจัยไม่ได้เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ เน่ืองจากมีการ ดาเนนิ งานตามแผนท่วี างไว้ตามระเบยี บวธิ ีวจิ ัยทกี่ าหนด 2. ช่วยให้ผู้วิจัยเห็นแนวทางการเกิดปัญหาหรืออุปสรรคล่วงหน้า จึงทาให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทันท่วงที ไมท่ าให้เกดิ ความเสียหายต่อการวจิ ยั 3. ช่วยทาให้ทราบค่าใช้จ่าย วัสดุอุปกรณ์หรือทรัพยากรอ่ืน ๆ ท่ีจาเป็นล่วงหน้า ทาให้จัดเตรียม ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพยี งพอ และพร้อมสาหรับใชง้ าน 4. ใชเ้ ป็นเครื่องแสดงความพรอ้ มใหผ้ บู้ งั คับบัญชาพจิ ารณาอนมุ ตั ใิ หท้ าวจิ ัย 5. ใช้เป็นขอ้ เสนอในการขอรับทุนอดุ หนุนการวิจยั จากแหล่งทุนต่าง ๆ การเขยี นโครงร่างงานวจิ ยั รูปแบบโครงร่างงานวิจัย มี 2 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบโครงร่างการวิจัยทั่วไป และ 2) รูปแบบบังคับ ซึ่งสถาบันท่ีมีหน่วยงานการวิจัยจะกาหนดเป็นรูปแบบเฉพาะเอาไว้ สาหรับรูปแบบโครงร่างงานวิจัยทั่วไป มี ส่วนประกอบสาคัญ ๆ 6 หัวข้อ คือ ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธวี ิจัยทางธุรกจิ อาหารและโภชนาการ 50
Search