Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 41311-1

41311-1

Published by inuthai_monta, 2022-07-20 03:28:30

Description: 41311-1

Search

Read the Text Version

มส การหมนั้ 1-1 หน่วยท​ ่ี 1 การห​ มน้ั อาจารย์เจต​รวิน​ ท์ จติ ​สำราญ มสธ มสธ มสธ มสธชอื่ มสวฒุ ิ อาจารย์เจตร​ วิ​นท์ จิต​สำราญ ตำแหน่ง ศศ.บ., น.บ., น.บ.ท. LL.M.(University of Illinois at Urbana-Champaign) LL.M. (University of Southern California) หนว่ ย​ที่ปรบั ปรุง อาจารย์​ประจำส​ าขาวิชาน​ ิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย​สุโขทัย​ธรร​ มาธิร​ าช หน่วยท​ ี่ 1 เรียบเ​รียง​จาก​ต้นฉบับเ​ดิม หน่วย​ที่ 1 การ​หมั้น อาจารย์ป​ ระสพสุข บุญ​เดช

มส 1-2 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ แผนการส​ อนป​ ระจำ​หนว่ ยมสธ ชดุ ​วชิ า กฎหมาย​แพ่ง 3: ครอบครัว มรดกมสธ หน่วยท​ ี่ 1 การห​ มั้น ตอนท​ ี่ 1.1 ความเ​ป็น​มา​และก​ าร​ใช้บ​ ังคับก​ ฎหมาย​ครอบครัว 1.2 หลักเ​กณฑ์ข​ อง​การ​หมั้น 1.3 ผลข​ อง​การ​หมั้น 1.4 การส​ ิ้น​สุด​ของ​สัญญาห​ มั้น แนวคดิ 1. ในก​ ารท​ ี่​ชาย​หญิง​มา​อยู่ก​ ินก​ ัน​ฉันส​ ามี​ภริยา จะ​ต้องป​ ฏิบัติต​ าม​หลักเ​กณฑ์ว​ ิธี​การแ​ ละเ​งื่อนไขท​ ี่​กฎหมาย​ กำหนด​ไว้ เพื่อ​ให้​เกิด​ความสงบ​เรียบร้อย​และ​สอดคล้อง​กับ​หลัก​ศาสนา ขนบธรรมเนียม​ประเพณี​และ​ ศีล​ธรรม​อัน​ดีข​ อง​ประชาชน 2. เมื่อ​ขนบธรรมเนียมป​ ระเพณีท​ ี่เ​กี่ยว​กับ​การ​มา​อยู่​กินด​ ้วย​กัน​นี้​ได้​เปลี่ยนแปลง​ไป กฎหมาย​ก็​จำเป็น​ต้อง​ มี​การ​ปรับปรุง​แก้ไข​ให้สอดคล้อง​ต้อง​กัน​ไป​ด้วย นอกจาก​นี้​ใน​บาง​ท้อง​ถิ่น​ที่​ประชาชน​ใช้​หลัก​ศาสนา​ มา​บังคับ​เกี่ยว​กับ​การ​ตั้ง​ครอบครัว กฎหมาย​ก็​อนุญาต​ให้​นำ​หลัก​การ​ของ​ศาสนา​เช่น​ว่า​นั้น​มา​ใช้​บังคับ​ แทน​ได้ 3. ก่อน​ที่​ชาย​หญิง​จะ​สมรส​กัน อาจ​มี​การ​หมั้น​กัน​ไว้​ก่อน​โดย​การ​ทำ​สัญญา​หมั้น ซึ่ง​เมื่อ​ได้​ทำ​สัญญา​หมั้น​ แล้ว หาก​ผิดส​ ัญญาห​ มั้นไม่​ยอมท​ ำการส​ มรสก​ ็​จะต​ ้อง​รับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทนค​ วามเ​สีย​หายท​ ี่​เกิดข​ ึ้น แต่​จะ​ ฟ้องร​ ้องบ​ ังคับ​ให้​ทำการ​สมรสก​ ัน​ไม่ไ​ด้ 4. ใน​การ​ทำ​สัญญา​หมั้น ฝ่าย​ชาย​ต้อง​ส่ง​มอบ​หรือ​โอน​ทรัพย์สิน​อัน​เป็น​ของ​หมั้น​ให้​แก่​ฝ่าย​หญิง​เพื่อ​เป็น​ หลัก​ฐาน​ว่าจ​ ะท​ ำการ​สมรสกับห​ ญิง นอกจาก​นี้​ฝ่ายช​ ายอ​ าจ​ตอบแทนบ​ ิดาม​ ารดา​หญิง​ที่ไ​ด้​เลี้ยงด​ ู​หญิง​มา​ จนเ​ติบ​ใหญ่ โดยก​ ารใ​ห้​สินสอด​ให้​อีก​ก็ได้ 5. สัญญา​หมั้น​ที่​ทำ​กัน​ไว้​อาจ​จะ​มี​การ​ขอ​เลิก​สัญญา​กัน​ได้ หาก​มี​เหตุ​สำคัญ​อัน​ทำให้​ชาย​หญิง​ไม่​สมควร​ ทำการ​สมรส​กัน และ​เมื่อ​มี​การ​เลิก​สัญญา​หมั้น​กัน​แล้ว โดย​ปกติ​ชาย​หรือ​หญิง​คู่​หมั้น​ไม่มี​สิทธิ​เรียก​ร้อง​ ค่า​ทดแทน​ความ​เสียห​ าย​ต่อก​ ัน เว้น​แต่จ​ ะม​ ี​เหตุใ​ห้​เรียกค​ ่า​ทดแทนไ​ด้ 6. กฎหมายก​ ำหนดใ​หช​้ ายห​ รอื ห​ ญงิ ค​ หู​่ มัน้ อ​ าจเ​รยี กค​ า่ ท​ ดแทนจ​ ากบ​ คุ คลอ​ ืน่ ท​ ีม่ าล​ ว่ งเ​กนิ ค​ หู​่ มัน้ ท​ างป​ ระเวณ​ี ไม่ว​ ่าค​ ู่​หมั้น​ของต​ น​จะยินยอมห​ รือ​ไม่ 7. การ​ฟ้อง​เรียก​ร้อง​ค่า​ทดแทน​เกี่ยว​กับ​การ​หมั้น จะ​ต้อง​ฟ้อง​คดี​ภายใน​เวลา​ตาม​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ไว้ มิ​ฉะนั้นจ​ ะข​ าด​อายุค​ วาม มสธ มส

มส การหมน้ั 1-3 มสธ วัตถุประสงค์มสธ เมื่อศ​ ึกษาห​ น่วย​ที่ 1 จบแ​ ล้ว นักศึกษาส​ ามารถมสธ 1. อธิบาย​ถึง​การ​ใช้​บังคับ​กฎหมาย​ครอบครัว การ​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​กฎหมาย​ครอบครัว​และ​การ​ใช้​กฎหมาย​ อิสลาม​ใน​สี่จ​ ังหวัด​ชายแดนภาค​ใต้ไ​ด้ 2. อธิบายแ​ ละย​ กต​ ัวอย่างป​ ระกอบ หลัก​เกณฑ์​และ​เงื่อนไข​ใน​การท​ ี่​ชายแ​ ละ​หญิง จะ​ทำการห​ มั้น​กันไ​ด้ 3. อธิบายแ​ ละ​วินิจฉัย​ปัญหา​เกี่ยวก​ ับ​ของ​หมั้น สินสอด การผ​ ิด​สัญญา​หมั้น การบ​ อกเ​ลิก​สัญญา​หมั้น และ​ การ​เรียก​ค่าท​ ดแทน​จาก​ผู้อ​ ื่น​ที่มาล​ ่วง​เกิน​คู่​หมั้น​ทางป​ ระเวณีไ​ด้ กจิ กรรมร​ ะหวา่ งเ​รียน 1. ทำแ​ บบ​ประเมิน​ผล​ตนเองก​ ่อนเ​รียน​หน่วย​ที่ 1 2. ศึกษา​เอกสาร​การ​สอนต​ อน​ที่ 1.1 - 1.4 3. ฟังซ​ ีดีเ​สียงป​ ระกอบ​ชุดว​ ิชา 4. ทำก​ ิจกรรม​ในเ​อกสาร​การ​สอน 5. ชม​รายการว​ ิทยุโ​ทรทัศน์ 6. เข้าร​ ับ​บริการ​สอนเ​สริม 7. ทำแ​ บบป​ ระเมิน​ผล​ตนเองห​ ลังเ​รียน​หน่วย​ที่ 1 สอ่ื ​การส​ อน 1. เอกสารก​ าร​สอน 2. แบบ​ฝึกป​ ฏิบัติ 3. ซีดีเ​สียง​ประกอบ​ชุด​วิชา 4. รายการ​วิทยุโ​ทรทัศน์ 5. การส​ อน​เสริม การ​ประเมินผ​ ล 1. ประเมิน​ผลจ​ าก​แบบ​ประเมิน​ผล​ตนเองก​ ่อน​เรียน​และ​หลัง​เรียน 2. ประเมิน​ผลจ​ าก​กิจกรรมแ​ ละแ​ นวต​ อบท​ ้าย​เรื่อง 3. ประเมิน​ผลจ​ ากก​ าร​สอบไล่​ประจำ​ภาค​การศ​ ึกษา เมอ่ื ​อา่ น​แผนการ​สอนแ​ ลว้ ขอใ​หท​้ ำแ​ บบ​ประเมนิ ผ​ ลต​ นเองก​ ่อน​เรียน หนว่ ย​ท่ี 1 ใน​แบบ​ฝกึ ป​ ฏบิ ัติ แลว้ ​จึงศ​ กึ ษาเ​อกสาร​การส​ อน​ตอ่ ​ไป มสธ มส

มส 1-4 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก ตอนท​ ่ี 1.1 ความ​เป็น​มาแ​ ละ​การใ​ช้​บงั คับก​ ฎหมายค​ รอบครัว โปรดอ​ ่านห​ ัว​เรื่อง แนวคิด และ​วัตถุประสงค์​ของ​ตอนท​ ี่ 1.1 แล้วจ​ ึงศ​ ึกษาร​ ายล​ ะเอียด​ต่อ​ไป หัวเ​รือ่ ง 1.1.1 ความเ​ป็น​มา​ของก​ ฎหมาย​ครอบครัว 1.1.2 การใ​ช้บ​ ังคับ​กฎหมาย​ครอบครัว แนวคิด 1. กฎหมาย​ที่​ใช้​บังคับ​ใน​เรื่อง​ครอบครัว​มี​มา​ตั้งแต่​โบราณกาล และ​ได้​มี​การ​เปลี่ยนแปลง​ไป​ตาม​ สถานการณ์​และ​วัฒนธรรม กฎหมาย​ครอบครัว​ต้อง​เปลี่ยนแปลง​ตาม​ไป​ด้วย อัน​มี​ผล​ทำให้​ สถานภาพ​ของ​การ​เป็น​สามี​ภริยามี​ความ​แตก​ต่าง​กัน โดย​ขึ้น​อยู่​กับ​กฎหมาย​ที่​ใช้​บังคับ​ใน​ขณะ​ ที่​มีก​ าร​สมรสเ​กิด​ขึ้น 2. ก ฎหมายท​ ี่เ​ปลี่ยนแปลงไ​ม่มีผ​ ลกร​ ะท​ บถ​ ึงส​ ถานภาพข​ องส​ ามีภ​ รรยาใ​นเ​รื่องค​ วามส​ มบูรณ์ข​ องก​ าร​ สมรส และ​ความ​สัมพันธ์​ในครอบครัว​ตาม​กฎหมาย​เก่า แต่​สำหรับ​เรื่อง​การ​ตัด​ความ​สัมพันธ์​ใน​ ครอบครัว​ต้องใ​ช้บ​ ังคับ​ตาม​กฎหมาย​ปัจจุบัน 3. ป ระมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ บรรพ 5 ใช้​บังคับ​ทุก​อาณาเขต​พื้นที่​ใน​ราช​อาณาจักร​ไทย ยกเว้น​ใน​จังหวัด​ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ​สตูล ซึ่ง​คู่​ความ​ที่​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม​จะ​ต้อง​ใช้​ กฎหมาย​อิสลามบ​ ังคับแ​ ทน วัตถปุ ระสงค์ เมื่อศ​ ึกษาต​ อน​ที่ 1.1 จบ​แล้ว นักศึกษาส​ ามารถ 1. อ ธิบาย​ข้อ​แตก​ต่าง​ระหว่าง​สามี​ภริยา​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​กับ​สามี​ภริยา ตาม​ประมวล​ กฎหมาย​แพ่งแ​ ละ​พาณิชย์ บรรพ 5 ทั้งข​ อง​เดิม​และข​ องป​ ัจจุบัน​ได้ 2. อธิบายเ​หตุผล หลัก​เกณฑ์ และว​ ิธี​การใ​ช้​กฎหมาย​อิสลาม​ใน​สี่​จังหวัดช​ ายแดน​ภาคใ​ต้ไ​ด้ มสธ มสธ มสธ มสธ มส

มส การหมั้น 1-5 เรือ่ ง​ที่ 1.1.1 ความเ​ปน็ ม​ าข​ องก​ ฎหมาย​ครอบครวั มสธ มสธ ครอบครัว​เป็น​หน่วย​ย่อย​พื้น​ฐาน​ของ​สังคม ซึ่ง​โดย​ปกติ​มัก​ประกอบ​ด้วย​สามี​ภริยา​และ​บุตร ฐานะ​การ​เป็น​ ครอบครัว​เริ่ม​ต้น​เมื่อ​ชาย​และ​หญิง​ได้​ทำการ​สมรส​กัน​และ​ดำเนิน​ต่อ​ไป​จน​กระทั่ง​เกิด​บุตร​คน​แรก คน​ที่​สอง​และ​มสธ คน​ถัดๆ ไป จน​บุตร​ทั้ง​หลาย​แยก​ย้าย​ออก​จาก​ครอบครัว​เดิม ไป​ทำการ​สมรส​ก่อ​ตั้ง​ครอบครัว​ของ​ตน​ขึ้น​มา​ใหม่ ครอบครัว​บาง​ครอบครัว​อาจ​ไม่มี​บุตร​ตลอด​ชีวิต​ของ​สามี​ภริยา​ก็ได้ และ​ใน​ทำนอง​เดียวกัน​ครอบครัว​บาง​ครอบครัว​ ก็​อาจ​มี​เพียง​บิดา​หรือ​มารดา​กับ​บุตร​เท่านั้น ซึ่ง​อาจ​เกิด​ขึ้น​เพราะ​สามี​หรือ​ภริยา​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ถึงแก่​ความ​ตาย​หรือ​ หย่าร​ ้าง​เลิกรา​กัน​ไป แต่​เดิม​ก่อน​ที่​จะ​มี​การ​ตรา​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ บรรพ 5 ออก​มา​ใช้​บังคับ​นั้น ความ​สัมพันธ์​ ใน​เรื่อง​ครอบครัว​เป็น​ไป​ตาม​กฎหมาย​เก่า​แก่​ของ​ไทย​เรา ที่​มี​มา​ตั้งแต่​โบราณกาล​ครั้ง​กรุง​ศรีอยุธยา​เป็น​ราชธานี ใน​ รัช​สมัย​พระเจ้าอ​ ู่ทอง ซึ่งม​ ีชื่อว​ ่าพ​ ระ​ราชก​ ฤษฎีกาว​ ่า​ด้วย​การ​ผิด​เมีย พ.ศ. 1904 และ​พระร​ าชบ​ ัญญัติ​เพิ่ม​เติมว​ ่า​ด้วย​ การ​แบ่ง​ปัน​สิน​บริคณห์​ระหว่าง​ผัว​เมีย พ.ศ. 1905 ครั้น​เมื่อ​ตั้ง​กรุง​รัตนโกสินทร์ พระบาท​สมเด็จ​พระพุทธ​ยอด​ฟ้า-​ จุฬา​โลก​มหาราช ได้​ทรง​พระ​กรุณา​โปรด​เกล้าฯ ให้​ชำระ​สะสาง​กฎหมาย​ต่างๆ กฎหมาย​ใน​เรื่อง​ครอบครัว​จึง​ได้​รับ​ การ​ปรับปรุง​แก้ไข​เป็น “กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย” ซึ่ง​ต่อ​มา​ได้​มี​การ​ปฏิรูป​ระบบ​กฎหมาย​ไทย​ใน​สมัย​รัชกาล​ที่ 5 มี​การ​จัด​ทำ​ประมวลกฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ และ​ประกาศ​ใช้​ที​ละ​บรรพ​จน​มา​ใน​รัช​สมัย​พระบาท​สมเด็จ​พระเจ้า- อยู่หัว​อา​นันท​มหิดล ได้​ทรง​พระ​กรุณาโปรด​เกล้าฯ ให้​ชำระ​สะสาง​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ บรรพ 5 ออก​มา​ใช้​ บังคับ ซึ่ง​มี​ผล​เป็นการ​ยกเลิก​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​ที่​ใช้​อยู่​ทั้งหมด เปลี่ยน​มา​ใช้​บทบัญญัติ บรรพ 5 แทน แต่​ก็​ มี​ข้อ​ยกเว้น​ไว้​ว่า​ความ​สมบูรณ์​ของ​การ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย และ​ความ​สัมพันธ์ใน​ครอบครัว​อัน​เกิด​ แก่​การ​สมรส​คง​เป็น​ไป​ตาม​เดิม เช่น ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย ชาย​มี​ภริยา​ได้​หลาย​คน​โดย​แบ่ง​ลำดับ​อัน​เป็น เมีย​หลวง (เมีย​กลาง​เมือง) และ​เมีย​น้อย (เมีย​กลาง​นอก) แม้​ใน​ปัจจุบัน​นี้​ก็​ยัง​ต้อง​ถือว่า​ทั้ง​เมีย​หลวง​และ​เมีย​น้อย​ เป็น​ภริยา​ที่ช​ อบด​ ้วยก​ ฎหมาย​ของ​ชายน​ ั้น​ทุกค​ น​ด้วย เป็นต้น ใน พ.ศ. 2516 โดยเ​ฉพาะอ​ ยา่ งย​ ิง่ ร​ ะยะเ​วลาภ​ ายห​ ลงั ว​ นั ท​ ี่ 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2516 ไดม​้ ก​ี ารเ​รยี กร​ อ้ งป​ ระชาธปิ ไตย เรียก​ร้อง​สิทธิ​และ​เสรีภาพ​กัน​ขนาน​ใหญ่ ผล​แห่ง​การ​นี้​ทำให้​รัฐธรรมนูญ​แห่ง​ราช​อาณาจักร​ไทย พุทธศักราช 2517 จึง​ต้อง​มี​บทบัญญัติ​ใน​มาตรา 28 กำหนด​ให้ “ชาย​และ​หญิง​มี​สิทธิ​เท่า​เทียม​กัน” และ​มี​บทเฉพาะกาล​ที่​จะ​ต้อง​มี​การ​ แก้ไข​เพิ่ม​เติม​บทบัญญัติแ​ ห่ง​กฎหมาย หรือ​บัญญัติ​กฎหมายข​ ึ้น​ใหม่​เพื่อ​ให้​ชาย​และ​หญิง​มี​สิทธิ​เท่า​เทียม​กัน ภายใน​ เวลา​ไม่​เกิน​สอง​ปี​นับ​แต่​วัน​ใช้​รัฐธรรมนูญ รัฐบาล​สมัย​หม่อม​ราชวงศ์​เสนีย์ ปราโมช เป็น​นายก​รัฐมนตรี จึง​จำเป็น​ ต้อง​แก้ไข​บทบัญญัติ​ใน ปพพ. บรรพ 5 ให้​สอดคล้อง​กับ​รัฐธรรมนูญ​ดัง​กล่าว ด้วย​เหตุ​นี้​พระ​ราช​บัญญัติ​ให้​ใช้​บท บัญญัติ​บรรพ 5 แห่งป​ ระมวลก​ ฎหมาย​แพ่งแ​ ละ​พาณิชย์​ที่ไ​ด้​ตรวจช​ ำระ​ใหม่ พ.ศ.2519 ซึ่ง​ยกเลิก​บทบัญญัติ​บรรพ 5 เดิม และ​ให้​ใช้บ​ ทบัญญัติบ​ รรพ 5 ที่ไ​ด้ต​ รวจ​ชำระ​ใหม่ จึงไ​ด้​ตราอ​ อก​มา​ใช้​บังคับ ตั้งแต่ว​ ัน​ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เป็นต้น​มา ใน​การ​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว เมื่อ พ.ศ. 2519 ที่​มี​หลัก​การ ​ให้​ชาย​และ​หญิง​มี​สิทธิ​เท่า​เทียม​กัน​นั้น เนื่องจาก​การ​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​ดัง​กล่าว​กระทำ​ไป​ด้วย​ความเร่ง​รีบ​เพื่อ​ให้​ทัน​ กำหนด​เวลา​สอง​ปี​ที่​บังคับ​ไว้​ใน​รัฐธรรมนูญ​แห่ง​ราช​อาณาจักร​ไทย พุทธศักราช 2517 จึง​มี​บทบัญญัติ​ใน​กฎหมาย​ หลาย​มาตรา​ที่​มี​ความ​บกพร่อง​ไม่​เหมาะ​สม​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​ขัดข้อง​และ​ไม่​สะดวก​ใน​การ​ดำรง​สถานะ​ใน​ครอบครัว มสธ มส

มส 1-6 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ใน​เรื่อง​การ​หมั้น การ​สมรส การ​จัดการ​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา การ​เป็น​โมฆะ​ของ​การ​สมรสมสธ การ​หย่า การ​เป็น​บิดา​มารดา​กับ​บุตร การ​เป็น​ผู้​ปกครอง​และ​บุตร​บุญธรรม กระทรวง​ยุติธรรม​จึง​ได้​เสนอ​ให้​คณะ​- รัฐมนตรีแ​ ต่ง​ตั้งค​ ณะก​ รรมการ​ชำระ​สะสาง ปพพ.ว่า​ด้วย​ครอบครัว เมื่อ พ.ศ. 2520 คณะ​กรรมการช​ ุดน​ ี้​ได้พ​ ิจารณา​มสธ แก้ไข​เพิ่ม​เติม ปพพ. บรรพ 5 ครอบครัว แล้ว​เสร็จ​และ​ได้​เสนอ​ไป​ให้​คณะ​รัฐมนตรี​พิจารณา​เมื่อ พ.ศ. 2526 แต่​ เนื่องจาก​ระยะ​นั้น​มี​การ​เปลี่ยนแปลง​ใน​รัฐบาล​หลาย​ครั้ง และ​กฎหมาย​ฉบับ​นี้​เกี่ยวข้อง​กับ​ความ​สัมพันธ์​พื้น​ฐาน ​ใน​สังคม​เป็น​ส่วน​ใหญ่ คณะ​รัฐมนตรี​และ​รัฐสภา​จึง​ต้อง​พิจารณา​เรื่อง​นี้​อย่าง​ละเอียด​รอบคอบ จน​ใน​ที่สุด​พระ​ราช​- บัญญัติ​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ (ฉบับ​ที่ 10) พ.ศ. 2533 ซึ่ง​แก้ไข​เพิ่ม​เติม บรรพ 5 ครอบครัว จึง​ได้​ตรา​ออกใ​ช้บ​ ังคับ​ใน​วัน​ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2533 เป็นต้นม​ า หลัง​จากน​ ั้น​ก็​มีก​ าร​แก้ไข​ใน​ พ.ศ. 2550 ใน​เรื่อง​คู่​สัญญา​หมั้น และ พ.ศ. 2551 ใน​เรื่องเ​ด็ก​เกิดแ​ ต่​หญิงท​ ี่​ไม่​ได้​ทำการส​ มรส​ตามล​ ำดับ จาก​การ​ที่​กฎหมาย​ครอบครัว​ได้​มี​การ​เปลี่ยนแปลง​แก้ไข​มา​หลาย​ครั้ง​โดย​การ​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​ใน​หลัก​การ​ ใหม่​ใน พ.ศ. 2478 และ พ.ศ. 2519 และ​มีก​ ารแ​ ก้ไข​เล็ก​น้อยใ​น พ.ศ. 2533 ฉะนั้น​สามี​และภ​ ริยา​ที่​มีอ​ ​ยู​ในป​ ัจจุบันน​ ี​้ จึง​แบ่ง​ออกไ​ด้เ​ป็น 4 ประ​ภท คือ 1. สามีภ​ ริยา​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะผ​ ัว​เมีย 2. สามีภ​ ริยา​ตาม​บรรพ 5 เก่า 3. สามี​ภริยาต​ าม​บรรพ 5 ใหม่ 4. สามีภ​ ริยาต​ าม​บรรพ 5 ปัจจุบัน 1. สามีภ​ ริยา​ตาม​กฎหมาย​ลกั ษณะ​ผัวเ​มยี สามีภ​ ริยา​ตามก​ ฎหมายล​ ักษณะผ​ ัว​เมีย คือ สามี​ภริยาท​ ี่ส​ มรส​กัน​มาก​ ่อนว​ ัน​ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 โดยไ​ม​่ ต้องจ​ ด​ทะเบียนส​ มรส สถานะ​ในค​ รอบครัว​ของ​สามีภ​ ริยา​ยัง​คงเ​ดิม1 ความส​ ัมพันธ์ใ​น​ครอบครัวอ​ ัน​เกิด​แต่​การ​สมรส​ การใ​ชอ้​ ำนาจป​ กครอง ความป​ กครอง การอ​ นุบาล และการร​ ับบ​ ุตรบ​ ุญธรรมต​ ามก​ ฎหมายล​ ักษณะผ​ ัวเ​มีย ซึ่งม​ อี​ ยูต่​ ลอด​ ทั้ง​สิทธิแ​ ละ​หน้าที่​อันเ​กิด​แต่​กา​รนั้นๆ ก็​ยัง​คง​ใช้ได้​อยู่ใ​นป​ ัจจุบัน เช่น ใน​กฎหมายล​ ักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 60 บัญญัติ​ว่า “สามี​มีอ​ ำนาจโ​บยต​ ี​สั่ง​สอน​ภริยา​ได้ต​ าม​สมควร​เมื่อ​ภริยาก​ ระทำผ​ ิด แต่​ถ้าภ​ ริยาก​ ระทำก​ ารอ​ ย่าง​นั้น​แก่​สามีบ​ ้าง​ก็​ต้อง​ เอา​ข้าว​ตอก​ดอกไม้​ไป​ขอ​ขมา​สามี” ความ​สัมพันธ์​เช่น​นี้​ยัง​คง​ใช้​บังคับ​ได้ หรือ​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 68 บัญญัติ​ว่า “ถ้า​ชาย​มี​สิน​เดิม​ฝ่าย​เดียว หญิง​ไม่มี​สิน​เดิม ชาย​ได้​สิน​สมรส​ทั้งหมด” หาก​สามี​ภริยา​ตาม​กฎหมาย​ ลักษณะ​ผัว​เมีย​ขาด​จาก​การ​สมรส และ​แบ่งสิน​สมรส​กัน ใน​ปัจจุบัน​นี้​ก็​ต้อง​แบ่ง​ตาม​นี้ คือ ชาย​ได้​สิน​สมรส​ทั้งหมด หญิง​ไม่มี​ส่วน​ได้​เลย2 หรือ​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย ชาย​มี​ภริยา​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ได้​หลาย​คน มา​ถึง​ปัจจุบัน​ นี้​ภริยา​เหล่า​นี้​ก็​ยัง​คง​เป็น​ภริยา​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​อยู่​ดัง​เดิม​ไม่​เปลี่ยนแปลง อย่างไร​ก็​ดี หาก​เป็น​เรื่อง​ระบบ​การ​ จัดการ​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​แล้ว​จะ​ต้อง​ใช้​กฎหมาย​ปัจจุบัน​ที่​มี​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​อยู่​เพียง 2 ประเภท คือ สิน​ส่วน​ตัว​และ​สิน​สมรส มา​ใช้​บังคับ หรือ​ใน​เรื่อง​การ​ตัด​สัมพันธ์​ใน​ครอบครัว เช่น การ​ฟ้อง​หย่า​จะ​ต้อง​ใช้​เหตุ​ หย่า​ตาม ​ปพพ. มาตรา 1516 บังคับ จะ​ใช้​เหตุ​หย่าต​ าม​กฎหมายล​ ักษณะ​ผัวเ​มียม​ ิได้3 1 มาตรา 4 และม​ าตรา 5 พรบ. ให้ใ​ช้บ​ ทบัญญัติบ​ รรพ 5 แห่งป​ ระมวลก​ ฎหมายแ​ พ่งแ​ ละ​พาณิชย์ พุทธศักราช 2477 และม​ าตรา 4 พรบ. ให้ใ​ช้บ​ ทบัญญัติบ​ รรพ 5 แห่งป​ ระมวลก​ ฎหมาย​แพ่งแ​ ละ​พาณิชย์​ที่​ได้​ตรวจช​ ำระใ​หม่ พ.ศ. 2519 2 ฎ. 152/2527 3 ฎ. 991/2501 มสธ มส

มส การหม้ัน 1-7 มสธ อุทาหรณ์มสธ ฎ. 152/2527 กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​และ ปพพ.ไม่​ได้​บัญญัติ​ว่า เมื่อ​สามี​ละทิ้ง​ภริยา​เพียง​อย่าง​เดียว​เป็น เ​หตุ​ให้ข​ าดจ​ าก​การ​สมรส ฉะนั้น​เมื่อ พ. กับโ​จทก์เ​ป็น​สามี​ภริยา​กันก​ ่อน​ใช้ ปพพ. ต่อม​ า พ. ละทิ้ง​ร้างโ​จทก์​ไปห​ ลาย​ป​ีมสธ แล้วกล​ ับ​มาอ​ ยู่​กิน​ฉันส​ ามี​ภริยาก​ ันอ​ ีกห​ ลังจ​ าก​ประกาศใ​ช้ ปพพ.บรรพ 5 โดย​มิได้​จด​ทะเบียนส​ มรส​กันก​ ็ตาม ก็ต​ ้อง​ ถือว่า พ. และโ​จทก์​เป็น​สามี​ภริยา​กันโ​ดยช​ อบ​ด้วยก​ ฎหมายใ​น​ขณะ​ที่ พ. ถึงแก่ก​ รรม​เมื่อ พ.ศ. 2514 โจทก์​ใน​ฐานะ​ทายาท​ฟ้อง​เรียก​ทรัพย์​มรดก​จาก​จำเลย​ใน​ฐานะ​ผู้​จัดการ​มรดก โดยที่​ผู้​จัดการ​มรดก​เป็น​ ตัวแทน​ของ​ทายาท​ทั้ง​ปวง​และ​ถือว่า​ครอบ​ครอง​ทรัพย์​มรดก​แทน​ทายาท ทายาท​ไม่​จำ​ต้อง​เข้า​ครอบ​ครอง​ทรัพย์​ มรดก จำเลยจ​ ะ​ยกอ​ ายุ​ความ 1 ปี ตาม ปพพ.มาตรา 1754 ขึ้น​ต่อสู้​โจทก์​ไม่​ได้ การ​แบ่ง​สิน​สมรส​ระหว่าง​สามี​ภริยา​ซึ่ง​สมรส​กัน​ก่อน​ประกาศ​ใช้ ปพพ.บรรพ 5 ต้อง​แบ่ง​ตาม​กฎหมาย​ ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 68 ซึ่ง​บัญญัติ​ว่า​ถ้า​ชาย​มีส​ ินเ​ดิม​ฝ่ายเ​ดียว หญิง​ไม่มีส​ ินเ​ดิม ชาย​ได้ส​ ิน​สมรสท​ ั้งหมด​หญิง​ไม่ม​ี ส่วนไ​ ด้​เลย ฎ. 1351/2531 สามี​ภริยา​ก่อน​ใช้​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ บรรพ 5 การ​แบ่ง​สิน​สมรส​ต้อง​บังคับ​ ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 68 ซึ่ง​กำหนด​ว่า ถ้า​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​มี​สิน​เดิม​ให้​แบ่ง​สิน​สมรส​เป็น 3 ส่วน ชาย​ได้ 2 ส่วน หญิงไ​ด้ 1 ส่วน 2. สามี​ภรยิ าต​ ามบ​ รรพ 5 เก่า สามีภ​ ริยา​ตาม​บรรพ 5 เก่า คือ​สามี​ภริยาท​ ี่​สมรสก​ ันต​ ั้งแต่ว​ ันท​ ี่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 จนถึงว​ ัน​ที่ 16 ตุลาคม 2519 สถานะ​ใน​ครอบครัว​ของ​สามี​ภริยา​ใน​เรื่อง​การ​สมรส สัญญา​ก่อน​สมรส การ​เป็น​บิดา​มารดา​กับ​บุตร การ​เป็น​ ผู้​ปกครอง การ​เป็น​ผู้​อนุบาล​หรือ​ผู้​พิทักษ์ และ​การ​รับ​บุตร​บุญธรรม​ยัง​คง​เป็น​ไป​เช่น​เดิม4 แต่​ใน​เรื่อง​ความ​สัมพันธ์​ ในค​ รอบครัวจ​ ะต​ ้องเ​ปลี่ยน​มา​ใช้ต​ าม​บทบัญญัติบ​ รรพ 5 ใหม่ (ใช้ต​ ั้งแต่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 – 26 กันยายน พ.ศ. 2533) ซึ่ง​แตก​ต่าง​จาก​เดิม​ใน​สาระ​สำคัญ​หลาย​ประการ ทั้ง​ด้าน​สัมพันธ์​ทาง​ส่วน​ตัว​และ​สัมพันธ์​ทาง​ทรัพย์สิน เช่น ตาม​บรรพ 5 เก่า บัญญัติใ​ห้ส​ ามี​เป็นห​ ัวหน้า​ใน​คู่ค​ รอง​เป็น​ผู้​เลือก​ที่​อยู่​และ​เป็นผ​ ู้​อำนวย​การใ​น​เรื่องช​ ่วย​เหลือ​อุปการะ​ เลี้ยง​ดู แต่​ใน​บรรพ 5 ใหม่ มิได้บ​ ัญญัติค​ วามข​ ้อน​ ี้​ไว้ ด้วยเ​หตุน​ ี้​สามีภ​ ริยาต​ าม​บรรพ 5 เก่า ที่​อยู่​กินก​ ันม​ าจ​ น​ปัจจุบัน​ นี้ ก็​ต้อง​เปลี่ยน​ความ​สัมพันธ์​ใน​ครอบครัวมา​ใช้​ตาม​บรรพ 5 ใหม่ สามี​มิได้​เป็น​หัวหน้า​ใน​คู่​ครอง​และ​ไม่​ได้​เป็น​ ผู้เ​ลือกถิ่นท​ ี่อ​ ยู่​แต่​ผู้​เดียว​อีก​ต่อ​ไป หรือ​ใน​เรื่อง​ความ​สัมพันธ์​ทาง​ทรัพย์สิน สามี​ภริยา​ตาม​บรรพ 5 เก่า เคย​มีท​ รัพย​์ อยู่ 4 ประเภท คือ สิน​เดิม สิน​ส่วนต​ ัว สินส​ มรส สินบ​ ริคณห์ แต่​ตามบ​ รรพ 5 ใหม่ ทรัพย์สิน​ระหว่างส​ ามี​ภริยา​มี​เพียง 2 ประเภท คือ สิน​ส่วน​ตัวแ​ ละส​ ิน​สมรส ตาม​ที่บ​ ัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1470 จึง​ต้องบ​ ังคับต​ ามม​ าตรา 1470 “ทรัพย์สิน​ ระหว่าง​สามี​ภริยา นอกจาก​ที่​ได้​แยก​ไว้​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ย่อม​เป็น​สิน​สมรส” จะ​นำ​กฎหมาย​เก่า​ที่​ยกเลิก​ไป​แล้ว​มา​ใช้​ บังคับไ​ ม่​ได้ ใน​การ​เปลี่ยน​ระบบ​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​จาก​บรรพ 5 เก่า มา​ใช้​บรรพ 5 ใหม่ นั้น ตาม​บรรพ 5 เก่า ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​แบ่ง​เป็น สิน​ส่วน​ตัว สิน​เดิม สิน​สมรส​และ​สิน​บริคณห์ สิน​ส่วน​ตัว​ของ​บรรพ 5 เก่า นั้น​คือ ทรัพย์สิน​ที่​เป็น​เครื่อง​ใช้สอย​ส่วน​ตัว ของ​หมั้น หรือ​ทรัพย์สิน​ที่​มี​ผู้​ยก​ให้​โดย​ระบุ​ว่า​ให้​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว ส่วน​ สิน​เดิม คือ ทรัพย์สิน​ที่​สามี​ภริยา​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​มี​อยู่​ก่อน​สมรส หรือ​ได้​มา​ใน​ระหว่าง​สมรส​โดย​ผู้​ยก​ให้​ระบุ​ว่า​ให้​ เป็น​สิน​เดิม สำหรับ​สิน​สมรส คือ ทรัพย์สิน​ทั้งหมด​ที่​คู่​สมรส​ได้​มาระ​หว่าง​สมรส​ตาม​บรรพ 5 เก่า​นั้น สิน​เดิม​และ​ สิน​สมรส​นั้น​มา​รวม​เรียก​ว่า สิน​บริคณห์ คือ เป็น​ทรัพย์สิน​อัน​ระคน​ปน​กัน​ระหว่าง​สามี​ภริยา โดย​หลัก​แล้ว​สามี​เป็น 4 มาตรา 5 พรบ. ให้ใ​ช้​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่งป​ ระมวลก​ ฎหมาย​แพ่ง​และพ​ าณิชย์​ที่​ได้​ตรวจช​ ำระใ​หม่ พ.ศ. 2519 มสธ มส

มส 1-8 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ​ผู้​จัดการ​สิน​บริคณห์ ซึ่ง​หมายความ​ว่า สามี​นั้น​จัดการ​สิน​สมรส​ทั้งหมด จัดการ​สิน​เดิม​ของ​สามี​ทั้งหมด​และ​จัดการ​มสธ สินเ​ดิมข​ องภ​ ริยา​ทั้งหมดด​ ้วย เว้นแ​ ต่​สิน​ส่วนต​ ัว ถ้า​เป็น​สิน​ส่วนต​ ัวข​ อง​สามี สามี​ก็​จัดการ​เอง สิน​ส่วน​ตัว​ภริยา ภริยา​ ก็​จัดการ​เอง เพราะ​ฉะนั้น​ระบบ​ทรัพย์สิน​ของ​สามี​ภริยา​ตาม​บรรพ 5 เก่า มี​ทั้ง สิน​ส่วน​ตัว สิน​เดิม และ​สิน​สมรสมสธ ซึ่ง​รวม​เรียก​ว่า สิน​บริคณห์ เมื่อ​มา​ใช้​บรรพ 5 ใหม่ พ.ศ. 2519 แล้ว กฎหมาย​ไม่​ได้​ยกเว้น​ไว้​ใน​เรื่อง​ความ​สัมพันธ์​ ใน​ครอบครัว เพราะ​ฉะนั้น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​บรรพ 5 เก่า เมื่อใช้​บังคับ​บรรพ 5 ใหม่แล้ว ​ความ​สัมพันธ์​ใน​เรื่อง​ ทรัพย์สิน​ต้อง​มา​ใช้​บังคับ​ตาม​บรรพ 5 ใหม่ คือ สิน​เดิม​ต้อง​ถูก​ยกเลิก​ไป เพราะ​บรรพ 5 ใหม่ สิน​เดิม​ไม่มี​นั่นเอง ความ​สัมพันธ์​ใน​ครอบครัว​ก็​ต้อง​เปลี่ยน​มา​ใช้​บังคับ​ตาม​บรรพ 5 ใหม่ ด้วย ฉะนั้น​สามี​ภริยา​กัน​ตาม​บรรพ 5 เก่า แต่เ​มื่อ​มาเ​ป็นส​ ามี​ภริยา​กันต​ าม​บรรพ 5 ใหม่แล้ว​ ทรัพย์สิน​จะต​ ้อง​แบ่งเ​ป็น 2 ตอน ตอนท​ ี่​ใช้​บรรพ 5 เก่า ตอน​หนึ่ง และต​ อนท​ ี่ใ​ช้​บรรพ 5 ใหม่ แบ่ง​มา​อีก​ตอน​หนึ่ง จึง​มี​ระบบท​ รัพย์สิน 2 ระบบ ซ้อน​กันอ​ ยู่​ในต​ ัว​เอง ในก​ ารย​ กเลิกร​ ะบบส​ ินเ​ดิม โดยก​ ำหนดใ​หส้​ ินเ​ดิมเ​ปลี่ยนม​ าเ​ป็นส​ ินส​ ่วนต​ ัวใ​น พ.ศ. 2519 นั้น พระร​ าชบ​ ัญญัต​ิ ให้​ใช้​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์​ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 7 บัญญัติ​ ว่า “บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ ท่ี​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่​ท้าย​พระ​ราช​บัญญัติ​นี้​ไม่​กระทบ​ กระเทือน​ถึง​อำนาจ​การ​จัดการ​สิน​บริคณห์​ที่​คู่​สมรส​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ได้​มี​อยู่​แล้ว​ใน​วัน​ใช้​บังคับ​บทบัญญัติ​บรรพ 5​ แห่ง​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์​ท่ี​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่​ท้าย​พระ​ราช​บัญญัติ​น้ี แต่​ให้​ถือว่า​สิน​เดิม​ตาม​บทบัญญัติ​ บรรพ 5 แห่ง​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์​เดิม​ของ​ฝ่าย​ใด​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ตาม​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง​ประมวล​ กฎหมาย​แพ่งแ​ ละ​พาณชิ ย​์ท่ี​ไดต​้ รวจช​ ำระใ​หม่ ท้าย​พระ​ราช​บญั ญตั ิ​นขี​้ อง​ฝา่ ย​นัน้ เพอ่ื ป​ ระโยชนแ​์ หง่ ม​ าตราน​ ้ี ถา้ ค​ ส​ู่ มรสฝ​ า่ ยใ​ดเ​ปน็ ผ​ จ​ู้ ดั การส​ นิ บ​ รคิ ณหแ​์ ตฝ​่ า่ ยเ​ดยี ว ใหถ​้ อื วา่ ค​ ส​ู่ มรสอ​ กี ฝ​ า่ ยห​ นง่ึ ​ ได้ยินย​ อม​ให​้คูส​่ มรสฝ​ า่ ยน​ ้นั ​จัดการ​สนิ ​สมรสแ​ ละ​สนิ ​ส่วนต​ วั ​ตาม​วรรคห​ น่ึงข​ องต​ นด​ ว้ ย ใน​กรณี​ที่​คู่​สมรส​ฝ่าย​ใด​ประสงค์​จะ​ใช้​อำนาจ​จัดการ​สิน​ส่วน​ตัว​ตาม​วรรค​หนึ่ง​ท่ี​เป็น​ส่วน​ของ​ตน ถ้า​คู่​สมรส​ นั้น​มิได้​เป็น​ผู้​จัดการ​สิน​บริคณห์​ให้​แจ้ง​ให้​คู่​สมรส​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ทราบ และ​ให้​คู่​สมรส​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ร่วม​กัน​จัดการ​แบ่ง​ ​สิน​ส่วน​ตัว​ดัง​กล่าว​ที่​อยู่​ใน​สภาพ​ท่ี​แบ่ง​ได้​ให้​แก่​ฝ่าย​ท่ี​ประสงค์​จะ​จัดการ แต่​ถ้า​สิน​ส่วน​ตัว​น้ัน​ไม่​อยู่​ใน​สภาพ​ที่​แบ่ง​ได้​ ให​ท้ ง้ั ​สอง​ฝา่ ยจ​ ัดการ​ร่วม​กัน” โดย​เมื่อ​เลิกใ​ช้บ​ รรพ 5 เก่า ใน​ระยะท​ ี่เ​ป็นห​ ัวเ​ลื้ยว​หัวต่อ มาตรา 7 ได้​แก้​ปัญหา​สำหรับ​ สามีภ​ ริยาต​ ามบ​ รรพ 5 เก่า คือ โดยเ​หตุท​ ี่ส​ ามีภ​ ริยาต​ ามบ​ รรพ 5 เก่าน​ ั้น สามีเ​ป็นผ​ ู้ม​ ีอ​ ำนาจจ​ ัดการส​ ินบ​ ริคณห์ มาตรา 7 จึง​บัญญัติ​ให้​อำนาจ​สามี​ยัง​คง​มี​อำนาจ​จัดการ​สิน​บริคณห์​แต่​ผู้​เดียว​ต่อ​ไป​ตาม​เดิม แต่​เนื่องจาก​บรรพ 5 ใหม่ เปลี่ยนแปลง​ประเภท​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​หลาย​ประการ กล่าว​คือ เดิม​มี​สิน​บริคณห์ ปัจจุบัน​นี้​ไม่มี คง​มี​แต่​ สิน​สมรส​และ​สิน​ส่วน​ตัว มาตรา 7 วรรค​หนึ่ง จึง​บัญญัติ​แก้​ใหม่​โดย​ให้​ถือว่า สิน​เดิม​ตาม​กฎหมาย​เก่า​ของ​คู่​สมรส​ ฝ่าย​ใด​ก็​ให้​เปลี่ยน​มา​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​คู่​สมรส​ฝ่าย​นั้น เช่น บิดา​ภริยา​ยก​ที่ดิน​ให้​สามี​ภริยา​ใช้​เป็น​ที่​อยู่​อาศัย​และ​ ทำ​กิน​เมื่อ​แต่งงาน​กัน​ก่อน​จด​ทะเบียน​สมรส​ก่อน​ใช้​บรรพ 5 ที่​แก้ไข​ใหม่​ที่ดิน​จึง​ตก​เป็น​ของ​สามี​และ​ภริยา​คนละ​ ครึ่ง เมื่อ​สามีแ​ ละ​ภริยาจ​ ด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ก็ก​ ลายเ​ป็นส​ ินเ​ดิม​ของแ​ ต่ละ​ฝ่าย และต​ กเ​ป็นส​ ิน​ส่วน​ตัว​เมื่อ​ใช้ บรรพ 5 ที่​แก้ไข​ใหม่​แล้ว ต่อ​มา​สามี​ภริยา​หย่า​กัน​ก็​ต้อง​คืนให้​แก่​สามี​และ​ภริยา5 หรือ​สามี​เอา​เงิน​ที่​ได้​จาก​การ​ขาย​บ้าน​และ​ ที่ดิน​ซึ่ง​เป็น​สิน​เดิม​ของ​สามีซื้อ​บ้าน​มา บ้าน​จึง​เป็น​สิน​เดิม​ของ​สามี​ตาม​บรรพ 5 เดิม ต่อ​มา​เมื่อ​ใช้​บรรพ 5 ใหม่​แล้ว กฎหมาย​บัญญัติ​ให้​สิน​เดิม​ดัง​กล่าว​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว บ้าน​จึง​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​สามี6 เป็นต้น สำหรับ​สิน​สมรส​ตาม ​บรรพ 5 เก่า ก็ย​ ัง​คงเ​ป็น​สินส​ มรส​ต่อไ​ปต​ าม​เดิมต​ ามบ​ รรพ 5 ใหม่​ด้วย 5 ฎ. 655/2523 6 ฎ. 154/2524 มสธ มส

มส การหมน้ั 1-9 มสธ เมื่อ​สิน​เดิม​เปลี่ยน​ประเภท​ทรัพย์​มา​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​แล้ว มาตรา 7 วรรค​สอง ได้​กำหนด​ให้​อำนาจ​ใน​การมสธ ​จัดการ​สิน​บริคณห์​ตาม​บรรพ 5 เก่า​เปลี่ยน​มา​เป็น​อำนาจ​ใน​การ​จัดการ​สิน​สมรส​และ​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​คู่​สมรส​ทั้ง​สอง ​ฝ่าย โดย​กฎหมาย​ให้​ถือว่า​เจ้าของ​สิน​ส่วน​ตัว ​ฝ่าย​ที่​ไม่มี​อำนาจ​จัดการ​อยู่​เดิมได้ยิน​ยอม​ให้​ฝ่าย​ที่​มี​อำนาจ​จัดการมสธ จัดการ​สิน​สมรส​และ​สิน​ส่วน​ตัว​ซึ่ง​กลาย​สภาพ​มา​จาก​สิน​เดิม​ต่อ​ไป​ด้วย อย่างไร​ก็​ดี​กรณี​ตาม​มาตรา 7 วรรค​สอง นี้​เป็น​เรื่อง​เฉพาะ​อำนาจ​ใน​การ​จัดการ​สิน​บริคณห์​ที่​มี​อยู่​เดิม​และ​เปลี่ยน​ประเภท​มา​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​และ​สิน​สมรส​ ตาม​บรรพ 5 ใหม่ นี้​เท่านั้น ทรัพย์สินอ​ ย่าง​อื่นท​ ี่ไ​ด้ม​ า​ใหม่ห​ ลัง​ใช้​บรรพ 5 ใหม่ นี้​แล้ว​ก็ต​ ้องเ​ป็น​ไป​ตาม​บรรพ 5 ใหม่ กล่าว​คือ​ใคร​เป็น​เจ้าของ​สิน​ส่วน​ตัว​ก็​ย่อม​จัดการ​ได้​โดย​ลำพัง ส่วน​สิน​สมรส​นั้น คู่​สมรส​ต้อง​จัดการ​ร่วม​กัน​หรือ ได้ร​ ับ​ความย​ ินยอม​ของค​ ู่ส​ มรส​อีกฝ​ ่ายห​ นึ่ง เว้นแ​ ต่จ​ ะม​ ีส​ ัญญา​ก่อน​สมรสก​ ำหนด​ไว้เ​ป็น​อย่าง​อื่น ในก​ รณี​ที่​คู่​สมรสฝ​ ่ายใ​ด​ประสงค์จ​ ะใ​ช้อ​ ำนาจ​จัดการส​ ิน​เดิมข​ อง​ตน ซึ่งเ​ปลี่ยนป​ ระเภทท​ รัพย์​มาเ​ป็นส​ ินส​ ่วน​ ตัว​ตาม​วรรค​หนึ่ง มาตรา 7 วรรค​สาม กำหนด​วิธี​การ​ไว้​ว่า​ คู่​สมรส​ฝ่าย​ที่​เป็น​เจ้าของ​สิน​ส่วน​ตัวต้อง​แจ้ง​ให้​คู่​สมรส​ ฝ่าย​ที่​มี​อำนาจ​จัดการ​ทราบ​ว่า​ตน​ประสงค์​จะ​ใช้​อำนาจ​จัดการ​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​ตน หลัง​จาก​นั้น​ก็​จะ​ต้อง​ร่วม​กัน​จัดการ ​แบ่ง​สิน​ส่วน​ตัว (ที่​เดิม​เป็น​สิน​เดิม) ดัง​กล่าว​ที่​อยู่​ใน​สภาพ​ที่​แบ่ง​ได้ ให้​แก่​ฝ่าย​ที่​ประสงค์​จะ​จัดการ ถ้า​สิน​ส่วน​ตัว​นั้น​ ไม่อ​ ยู่​ในส​ ภาพ​ที่จ​ ะแ​ บ่งไ​ด้ ก็​ให้​คู่ส​ มรส​ทั้งส​ อง​ฝ่ายจ​ ัดการ​ร่วมก​ ัน แต่พ​ ึง​สังเกตว​ ่าม​ าตรา 7 วรรคส​ าม นี้บ​ ังคับ​เฉพาะ​ เรื่อง​สิน​เดิม​ตาม​บรรพ 5 เก่าท​ ี่​เปลี่ยนป​ ระเภทม​ า​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ตาม​บรรพ 5 ใหม่​นี้​เท่านั้น ไม่​รวม​ถึง​สิน​สมรสด​ ้วย สิน​สมรส​ตาม​บรรพ 5 เก่า​นั้น สามี​คง​มี​อำนาจ​จัดการ​แต่​ผู้​เดียว​ต่อ​ไป​ไม่​เปลี่ยนแปลง ภริยา​จะแจ้ง​ให้​สามี​ทราบ​เพื่อ​ ขอ​จัดการ​เอง​หรือ​จัดการ​ร่วม​กัน​มิได้ เพราะ​มาตรา 7 วรรค​สาม มิได้​เปิด​โอกาส​ให้​ทำได้ เช่น สามี​ภริยา​สมรส​กัน ​ใน​ พ.ศ. 2517 ระหว่าง​สมรส​ภริยา​เอา​เงิน​เดือน​ของ​ตน​ไป​ซื้อ​ม้า ม้า​ตัว​นี้​เป็น​สิน​สมรส แต่​สามี​ก็​มี​อำนาจ​ที่​จะ​จัดการ ​เกี่ยว​กับ​ม้า​นี้​โดย​ลำพัง​ตาม​บรรพ 5 เก่า โดย​ภริยา​ไม่มี​สิทธิ​มา​ร่วม​ด้วย แม้​พอ​มา​ถึง​พ.ศ. 2519 ที่​ใช้​บรรพ 5 ใหม่​ แล้ว ซึ่ง​กำหนด​ให้​สามี​และ​ภริยา​จัดการ​สิน​สมรส​ร่วม​กัน​ก็ตาม แต่​ตาม​มาตรา 7 วรรค​หนึ่ง​นี้​ก็​ยัง​ให้​อำนาจ​สามี​ที่​ จะ​จัดการ​เกี่ยว​กับ​ม้า​ดัง​กล่าว​ต่อ​ไป​โดย​ลำพัง​เช่น​เดิม ภริยา​จะ​ขอ​เข้า​มา​มี​ส่วน​ร่วม​กับ​สามี​ใน​การ​จัดการ​เกี่ยว​กับ​ม้า​ ซึ่ง​เป็น​สิน​สมรส​ตาม​บรรพ 5 เก่า​ไม่​ได้ หรือ​ที่ดิน​สิน​บริคณห์ ซึ่ง​คู่​สมรส​ได้​มา​ตั้งแต่ พ.ศ. 2499 โจทก์​ผู้​เป็น​สามี​มี​ อำนาจ​จัดการ​รวม​ทั้ง​มี​สิทธิ​ฟ้อง​คดี​เพื่อ​ประโยชน์​แก่​ที่ดิน​นั้น​ตาม​กฎหมาย​บรรพ 5 เดิม โจทก์​จึง​มี​อำนาจ​ฟ้อง​คดี​นี้​ ได้​โดย​ไม่​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​ภริยา7 หรือ​ใน​กรณี​ที่​สามี​ถูก​ฟ้อง​คดี​ที่​เกี่ยว​กับการ​จัดการ​สิน​สมรส​ตาม​บรรพ 5 เดิม สามี​ก็​มี​อำนาจ​ต่อสู้​คดี​ได้​โดย​ลำพัง​เช่น​เดียวกัน​ด้วย เช่น โจทก์​ฟ้อง​เรียก​มรดก​จาก​จำเลย​ทั้ง​สอง​ซึ่ง​เป็น​สามี​ ภริยา​กัน เมื่อ​ทรัพย์​มรดก​ตก​ได้แก่​จำเลย​ที่ 2 ก่อน​ใช้​บรรพ 5 ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่ จึง​เป็น​สิน​สมรส แม้​ภาย​หลัง​ ใช้​บรรพ 5 ใหม่​แล้ว จำเลย​ที่ 1 ก็​ยัง​คง​มี​อำนาจ​จัดการ​ทรัพย์สิน​พิพาท​ต่อ​ไป และ​มี​อำนาจ​ใช้​สิทธิ​ของ​จำเลย​ที่ 2 ซึ่ง​เป็นท​ ายาท​ยกอ​ ายุ​ความ 1 ปี ขึ้นเ​ป็น​ข้อ​ต่อสู้โ​จทก์​ได้8 สำหรับ​สิน​ส่วน​ตัว​ตาม​บรรพ 5 เก่า เมื่อ​มา​ใช้​บรรพ 5 ใหม่ ก็​ยัง​คง​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​อยู่​ตาม​เดิม เนื่องจาก​ ภริยา​หรือ​สามี​ที่​เป็น​เจ้าของ​สิน​ส่วน​ตัว​ตาม​บรรพ 5 เก่า​นั้น มี​อำนาจ​จัดการ​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​ตนเอง​ตาม​ลำพัง​อยู่​แล้ว กฎหมาย​จึง​ไม่​ได้​บัญญัติ​ไว้​อีก ฉะนั้น สิน​ส่วน​ตัว​ตาม​ความ​หมาย​ของ​มาตรา 7 นี้ จึง​หมาย​ถึง​แต่​เฉพาะ​สิน​เดิม​ที่​ เปลี่ยน​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว โดย​บทบัญญัติ​ของ​กฎหมาย​เท่านั้น​หา​ได้​หมาย​ถึง​สิน​ส่วน​ตัว​ที่แท้​จริง​ตาม​บรรพ 5 เก่า​ไม่ สิน​ส่วน​ตัว​ที่​เป็น​ของ​คู่​สมรส​ฝ่าย​ใด​อยู่​ก่อน​ใช้​บรรพ 5 ใหม่ เมื่อ​ใช้​บรรพ 5 ใหม่​แล้ว​ก็​ยัง​คง​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​ คู่​สมรส​ฝ่าย​นั้น​อยู่​ตาม​เดิม และ​ฝ่าย​นั้น​ก็​มี​อำนาจ​จัดการ​ได้​ตาม​ลำพัง​ดัง​เดิม​ต่อ​ไป เว้น​แต่​จะ​มี​สัญญา​ก่อน​สมรส​ กำหนดไ​ว้​เป็นอ​ ย่างอ​ ื่น 7 ฎ. 181/2523, ฎ. 1964/2526 8 ฎ. 2116/2523 มสธ มส

มส 1-10 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ สามี​ภริยา​ตาม​บรรพ 5 เก่า​เมื่อ​มา​ถึง พ.ศ. 2533 ที่​มี​การ​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​บรรพ 5 ปัจจุบัน​แล้ว ใน​เรื่อง​การมสธ ​จัดการ​ทรัพย์สิน​ที่​เป็น​สิน​สมรสนับ​แต่​บัดนี้​เป็นต้น​ไป​จะ​ต้อง​บังคับ​ตาม​บรรพ 5 ปัจจุบัน โดย​ถือ​หลัก​ว่า​สามี​หรือ​ ภริยา​มีอ​ ำนาจ​จัดการ​สิน​สมรส​ได้​โดย​ลำพัง​เพียง​ฝ่าย​เดียว เว้น​แต่​การ​จัดการ​ที่​สำคัญ​เท่านั้น​จึง​จะ​ต้อง​จัดการ​ร่วม​กันมสธ ความ​สัมพันธ์​ในค​ รอบครัว​ด้าน​อื่นๆ และ​การ​ขาด​จากก​ ารส​ มรส​ต้อง​ใช้​บังคับ​ตามบ​ รรพ 5 ปัจจุบัน​ด้วย อทุ าหรณ์ ฎ. 1221/2527 เดิม​ที่​พิพาท​มีชื่อ พ. (สามี) ถือ​กรรมสิทธิ์​ร่วม​กับ​บิดา​ก่อน​สมรส​กับ​โจทก์ จึง​เป็น​สิน​เดิม​ ของ พ. กึ่ง​หนึ่ง ซึ่ง​ตก​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ตาม ​ปพพ.บรรพ 5 ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่ ที่​พิพาท​อีก​กึ่ง​หนึ่ง พ. ได้​รับ​มรดก​ ของ​บิดา​หลัง​สมรส​จึง​ตก​เป็น​สิน​สมรส​ของ​โจทก์ และ พ. สามี เมื่อ​ที่​พิพาท​เป็น​สิน​สมรส​และ​สิน​ส่วน​ตัว​จึง​เป็น ​สิน​บริคณห์​ตาม​มาตรา 1462 เดิม สิ่ง​ปลูก​สร้าง​บน​ที่​พิพาท​ย่อม​ตก​เป็น​ส่วน​ควบ การ​ที่ พ. สามี​ทำ​หนังสือ​มอบ​ อำนาจ​ให้​ขาย​ที่ดิน​และ​สิ่ง​ปลูก​สร้าง​ราย​พิพาท ซึ่ง​เป็น​สิน​บริคณห์​ให้​จำเลย​ทั้ง​ห้า​ต้อง​ถือว่า​โจทก์​ผู้​เป็น​ภริยา​ยินยอม​ ให้​ขาย​ด้วย ฎ. 5245/2531 จำเลยท​ ี่ 1 ขายท​ ี่ดิน​สิน​เดิมแ​ ล้วน​ ำ​เงิน​ไป​ซื้อ​ที่ดินแ​ ปลง​ใหม่ ที่ดิน​แปลง​ใหม่จ​ ึง​เป็น​ทรัพย์สิน​ ที่​ต้อง​เอา​มา​แทน​สิน​เดิม​ที่​ขาย​ไป แม้​ต่อ​มา​จำเลย​ที่ 1 จะ​ได้​ขาย​ที่ดิน​แปลง​ใหม่​ดัง​กล่าว​แล้ว​นำ​เงิน​บาง​ส่วน​ไป​รับ​ซื้อ​ ฝากท​ ี่ดินแ​ ปลงพ​ ิพาทแ​ ล้วต​ กไ​ด้เ​ป็นข​ องจ​ ำเลยท​ ี่ 1 เพราะผ​ ู้ข​ ายฝ​ ากม​ ิได้ไ​ถ่ค​ ืนท​ ี่ดินแ​ ปลงพ​ ิพาทก​ ็ย​ ังค​ งเ​ป็นส​ ินเ​ดิมข​ อง​ จำเลยท​ ี่ 1 ตามป​ พพ.มาตรา 1465 เดิม โรง​เรือน​และ​ตึกแถว​ปลูก​สร้าง​ลง​ใน​ที่​พิพาท​อัน​เป็น​สิน​เดิม โดย​ไม่มี​หลัก​ฐาน​ว่า​จำเลย​ที่ 1 ใช้​เงิน​จาก​การ ​ขาย​สิน​เดิม​ปลูก​สร้าง กลับ​ได้​ความ​ว่า​ผู้​ปลูก​สร้าง​สร้าง​ให้​แทน​การ​จ่าย​เงินสด​เป็น​ค่า​หน้า​ดิน​ที่​ปลูก​อาคาร​พาณิชย์​ ใน​ที่ดิน​ของ ส. ภริยา​จำเลย​ที่ 1 ดังนี้ โรง​เรือน​และ​ตึกแถว​บน​ที่​พิพาท​จึง​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​สามี​ภริยา​ได้​มาระ​หว่าง ​สมรส จึง​เป็นส​ ินส​ มรส​ระหว่าง ส. และ​จำเลย​ที่ 1 ตาม ปพพ.มาตรา 1466 เดิม ฎ. 2375/2532 ที่​พิพาท​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​จำเลย​กับ ล. ทำ​มา​หา​ได้​ร่วม​กัน​ก่อน​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน จำเลย​ กับ ล. จึง​เป็น​เจ้าของ​ที่​พิพาท​ร่วม​กัน​คนละ​ส่วน เมื่อ​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​ที่​พิพาท​ย่อม​เป็น​สิน​เดิม​ของ​แต่ละ​ฝ่าย อัน​เป็น​สิน​บริคณห์​ตาม​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ มาตรา 1422, 1463 (1) เดิม​ซึ่ง​ตามพ​ระ​ราช​บัญญัติ​ให้​ ใช้​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์​ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 7 ให้​ถือว่า​ สิน​เดิม​ของ​แต่ละ​ฝ่าย​ดัง​กล่าว เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​แต่ละ​ฝ่าย​นั้น​ตาม​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง ปพพ.ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ ​ใหม่ จำเลยก​ ับ ล. ไม่​ได้​ทำ​สัญญาก​ ่อน​สมรสเ​ป็นอ​ ย่างอ​ ื่น ล. ซึ่งเ​ป็นส​ ามี​จึงเ​ป็นผ​ ู้จ​ ัดการท​ ี่​พิพาท​อัน​เป็นส​ ิน​บริคณห์​ ตาม​ ปพพ. มาตรา 1468 เดิม และ​ตามพ​ระ​ราช​บัญญัติ​ให้​ใช้​บทบัญญัติ​บรรพ 5 แห่ง ปพพ.ที่​ได้​ตรวจ​ชำระ​ใหม่ มาตรา 7 ฉะนัน้ การท​ ี่ ล. จดท​ ะเบยี นข​ ายฝ​ ากท​ พี่​ ิพาทใ​หแ้​ กผ​่ คู้​ ดั คา้ น เมือ่ ว​ ันท​ ี่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ในข​ ณะท​ จี​่ ำเลย ​กับ ล. ยัง​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​อยู่​จึง​ถือ​ได้​ว่า​จำเลย​ยินยอม​ให้ ล. ขาย​ฝาก​ที่​พิพาท​อัน​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​จำเลย​กึ่ง​หนึ่ง​ ด้วย เมื่อ​ผู้​คัดค้าน​ยอมรับ​ว่า​จำเลย​ขาย​ฝาก​ที่​พิพาท​เฉพาะ​ส่วน​ของ​จำเลย​ให้​แก่​ผู้​คัดค้าน​ซึ่ง​เป็น​เจ้า​หนี้​คน​หนึ่ง​ได้​ เปรียบ​แก่​เจ้า​หนี้​อื่น​ศาล​มี​อำนาจ​ที่​จะ​สั่ง​เพิก​ถอน​การ​โอน​ที่​พิพาท​เฉพาะ​ส่วน​ของ​จำเลย​ได้​ตาม พ​รบ. ล้ม​ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 3. สามีภ​ ริยา​ตาม​บรรพ 5 ใหม่ สามี​ภริยา​ตาม​บรรพ 5 ใหม่ คือ​สามี​ภริยา​ที่​สมรส​กัน​ตั้งแต่​วัน​ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จนถึง​วัน​ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2533 สถานะ​ใน​ครอบครัว​เป็น​ไป​ตาม​กฎหมาย​ปัจจุบัน​ที่​สามี​และ​ภริยา​มี​สิทธิ​เท่า​เทียม​กัน​ทุก​ อย่าง บทบัญญัติ​บรรพ 5 ปัจจุบัน​ที่​แก้ไข​เพิ่ม​เติม​บรรพ 5 ใหม่​ไม่​กระทบ​กระเทือน​ถึง​ความ​สมบูรณ์​ของ​การ​สมรส มสธ มส

มส การหมัน้ 1-11 มสธ สัญญา​ก่อน​สมรส การ​เป็น​บิดา​มารดา​กับ​บุตร การ​เป็น​ผู้​ปกครอง​และ​การ​รับ​บุตร​บุญธรรม​ที่​มี​อยู่​เดิม9 เว้น​แต่​จะ​มสธ เป็น​บทบัญญัติท​ ี่​เปลี่ยนแปลงใ​หม่ซ​ ึ่งจ​ ะ​มี​ผลใ​ช้บ​ ังคับต​ ั้งแต่ว​ ันท​ ี่​ใช้​บรรพ 5 ปัจจุบัน คือ​วันท​ ี่ 27 กันยายน พ.ศ. 2533 เป็นต้น​ไป สำหรับ​ใน​เรื่อง​ทรัพย์สิน​ระหว่าง​สามี​ภริยา​นั้น​มี​อยู่​เพียง 2 ประเภท​คือ สิน​ส่วน​ตัว และ​สิน​สมรสมสธ ซึ่ง​สิน​ส่วน​ตัว​นั้น​สามี​หรือ​ภริยา​ฝ่าย​ที่​เป็น​เจ้าของ​มี​อำนาจ​จัดการ​ได้​โดย​ลำพัง ส่วน​สิน​สมรส​สามี​และ​ภริยา​จัดการ ร​ ่วมก​ ัน​หรือ​ต้อง​ได้ร​ ับค​ วาม​ยินยอม​จากอ​ ีก​ฝ่ายห​ นึ่ง จนถึง​วันท​ ี่ 27 กันยายน พ.ศ. 2533 จึงจ​ ะเ​ปลี่ยน​วิธีก​ าร​จัดการ ​สิน​สมรส​ที่​ให้​อำนาจ​สามี​หรือ​ภริยา​มี​อำนาจ​จัดการ​สิน​สมรส​โดย​ลำพัง​ตนเอง เว้น​แต่​การ​จัดการ​สิน​สมรส​ที่​สำคัญ​ จึง​จะต​ ้อง​จัดการร​ ่วม​กันต​ าม​มาตรา 1476 บรรพ 5 ปัจจุบัน ซึ่ง​จะ​กล่าวร​ ายล​ ะเอียด​ใน​หน่วยท​ ี่ 3 ต่อ​ไป 4. สามภี​ ริยา​ตาม​บรรพ 5 ปจั จบุ ัน สามี​ภริยาต​ ามบ​ รรพ 5 ปัจจุบัน​คือส​ ามี​ภริยาท​ ี่ส​ มรส​กัน​ตั้งแต่ว​ ัน​ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2533 จนถึง​ปัจจุบัน​ นี้ส​ ถานะ​ในค​ รอบครัว​เป็น​ไปตาม​กฎหมาย​ปัจจุบัน​ทุกป​ ระการ แม้ว่า​สามี​ภริยา​จะ​แบ่ง​ออก​เป็น 4 ประเภท และ​มี​สถานภาพ​ของ​การ​เป็น​สามี​ภริยา​ที่​แตก​ต่าง​กัน​โดย​ขึ้น​ อยู่​กับ​กฎหมาย​ที่​ใช้​บังคับ​ใน​ขณะ​ที่​มี​การ​สมรส​เกิด​ขึ้น​ดัง​ที่​กล่าว​มา​ข้าง​ต้น​ก็ตาม แต่​สามี​ภริยา​ทั้ง​สี่​ประเภท​นี้​ก็​ต้อง​ อยู่​ใต้​บังคับ​ของ​กฎหมาย​ปัจจุบัน​ใน​เรื่อง​การ​ตัด​ความสัมพันธ์​ใน​ครอบครัว ทั้งนี้​เพราะ​กฎหมาย​ไม่มี​ข้อ​ยกเว้น​ให้​ใช้​ กฎหมาย​เก่า​บังคับ ฉะนั้น สามี​ภริยา​ทั้ง​สี่​ประเภท​หาก​ประสงค์​จะ​หย่า​ขาด​จาก​การ​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ใน​เวลา​นี้​จะ​ต้อง​ ใช้​เหตุ​หย่า​ตาม​บรรพ 5 ปัจจุบัน จะ​ใช้​เหตุ​หย่า​ตาม​กฎหมาย​เดิม​ไม่​ได้ เพราะ​เหตุการณ์​อัน​เป็น​สิทธิ​หย่า​เกิด​ขึ้น​เมื่อ​ ใช้​กฎหมาย​ใหม่​แล้ว10 เช่น สามี​ภริยา​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย สามี​โกรธ​ภริยา​เก็บ​ข้าว​ของ​ลง​จาก​เรือน เอา​มีดพร้า​ฟัน​เสา​หอ​เสา​เรือน​แม้​จะ​เป็น​เหตุ​หย่า​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย​ก็ตาม​แต่​เนื่องจาก​การก​ระ​ทำ​เช่น​นี้​ มิได้เป็นเ​หตุฟ​ ้องห​ ย่า​ตาม​บรรพ 5 ปัจจุบัน ภริยาจ​ ึง​ฟ้อง​หย่าไ​ม่​ได้ เป็นต้น กิจกรรม 1.1.1 1. กฎหมายค​ รอบครัวม​ กี​ ารแ​ ก้ไข​เพ่มิ ​เติม​เมือ่ ใ​ดบ​ า้ ง 2. ในป​ ัจจบุ นั น​ ม​้ี สี​ ามภ​ี ริยาต​ ามก​ ฎหมายอ​ ยก​ู่ ปี​่ ระเภท แต่ละป​ ระเภทน​ มี้​ ขี​ ้อแ​ ตกต​ ่างก​ ันแ​ ละเ​หมอื นก​ ัน​ บา้ งห​ รอื ​ไมอ​่ ยา่ งไร แนว​ตอบ​กิจกรรม 1.1.1 1. กฎหมายค​ รอบครวั ม​ ก​ี ารแ​ กไ้ ขเ​พม่ิ เ​ตมิ อ​ ยา่ งส​ ำคญั ส​ องค​ รงั้ แ​ ละแ​ กไ้ ขเ​พมิ่ เ​ตมิ เ​ลก็ น​ อ้ ยอ​ กี ห​ นง่ึ ค​ รงั้ คอื เมอ่ื ว​ นั ​ท่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2478 ซงึ่ เ​ป็นการย​ กเลกิ ​กฎหมายล​ กั ษณะผ​ ัวเ​มยี ​ท​ีเ่ คยใ​ชอ้​ ย่​ูเดิม เปลย่ี นม​ าใ​ชบ้​ ทบัญญัติ บรรพ 5 แทน ตอ่ ​มาเ​มอ่ื ​วนั ​ท่ี 16 ตลุ าคม พ.ศ. 2519 ซึง่ เ​ปน็ การ​ยกเลกิ ​บรรพ 5 เก่า มา​ใช้​บรรพ 5 ใหม่ และ​เมือ่ ​ วันท​ ่ี 27 กันยายน พ.ศ. 2533 ซ่ึง​เป็นการแ​ ก้ไข​เพม่ิ ​เติมบ​ รรพ 5 ใหม่ ใน​หลกั ​การ​สำคญั ​บาง​ประการ หลงั จากน้นั มกี ารแก้ไขในเรอื่ งค่สู ญั ญาหมั้น พ.ศ. 2550 และเรื่องเด็กเกดิ แตห่ ญิงทีไ่ มไ่ ด้ทำการสมรส พ.ศ. 2551 2. ปจั จุบัน​น้ี​สามภ​ี ริยาต​ าม​ กฎห​ มายม​ ​อี ยู่ 4 ประการ คอื (1) สามี​ภริยา​ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย (สมรส​กัน​มา​ก่อน​วัน​ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478) ซึ่ง​ยัง​ คง​ใชก้​ ฎหมายล​ ักษณะผ​ วั ​เมยี บ​ งั คับใ​น​เรอ่ื งก​ ารส​ มรสแ​ ละ​ความส​ ัมพันธ์​ใน​ครอบครัว 9 มาตรา 70 พรบ. แก้ไข​เพิ่มเ​ติมป​ ระมวลก​ ฎหมาย​แพ่ง​และพ​ าณิชย์ (ฉบับ​ที่ 10) พ.ศ. 2533 10 ฎ. 991/2501 มสธ มส

มส 1-12 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ (2) สามภ​ี รยิ าต​ ามบ​ รรพ 5 เกา่ (สมรสก​ นั ม​ าต​ ง้ั แตว​่ นั ท​ ี่ 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2478 จนถงึ ว​ นั ท​ ี่ 15 ตลุ าคมมสธ พ.ศ. 2519) ซงึ่ ใ​นด​ า้ นค​ วามส​ มั พนั ธใ​์ นค​ รอบครวั จ​ ะใ​ชบ​้ รรพ 5 เกา่ ไ​มไ​่ ด้ ตอ้ งเ​ปลยี่ นม​ าใ​ชบ​้ รรพ 5 ปจั จบุ นั เวน้ แต​่ การจ​ ดั การ​ทรัพย์สนิ ใ​น​ช่วง​ระยะเ​วลาท​ ใ​่ี ช้​กฎหมาย​ใดก​ ็​เปน็ ไ​ป​ตามบ​ ทบัญญัต​ิกฎหมาย​น้ันมสธ (3) สามภ​ี ริยา​ตาม บรรพ 5 ใหม่ (สมรสก​ นั ​มาต​ ้ังแต​่วนั ​ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จนถึงว​ นั ​ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2533) ใช้​บทบัญญัติ​บรรพ 5 ปัจจุบัน​บังคับ เว้น​แต่​การ​จัดการ​ทรัพย์สิน​ใน​ช่วง​ระยะ​เวลา​ท่ี​ใช้​ กฎหมาย​บรรพ 5 ใหม่ ก็​เปน็ ไ​ป​ตามบ​ ท​บญั ญต​ั ​กิ ฎหมายน​ ้นั (4) สามภี​ รยิ า ตามบ​ รรพ 5 ปัจจบุ ัน (สมรสก​ นั ม​ า​ตัง้ แต​่วันท​ ี่ 27 กนั ยายน พ.ศ. 2533 เป็นตน้ ม​ า​ จนถงึ ​ปจั จุบนั ) ใช​บ้ ทบัญญัตบ​ิ รรพ 5 ปจั จบุ ัน บังคบั ท​ ุก​ประการ เรอื่ งท​ ี่ 1.1.2 การ​ใชบ้​ งั คับ​กฎหมายค​ รอบครัว ตาม​หลัก​ใน​เรื่อง​การ​บังคับ​ใช้​กฎหมาย​นั้น กฎหมาย​ย่อม​มี​ผล​ใช้​บังคับ​แก่​บุคคล​ทุก​คน​ที่​อยู่​ใน​อาณาเขต​ พื้นที่​ตลอด​ทั่ว​ราช​อาณาจักร​ไทย ปพพ.บรรพ 5 ครอบครัว ก็​อยู่​ใน​หลัก​การ​นี้​ด้วย​ อย่างไร​ก็​ดี​เนื่องจาก​ใน 4 จังหวัด​ชายแดน​ภาค​ใต้ คือ จังหวัด​ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และ​สตูล ประชากร​ส่วน​ใหญ่​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม หลัก​ศาสนา​อิสลาม​เกี่ยว​กับ​ครอบครัว​มรดก​ผิดแผก​แตก​ต่าง​จาก​หลัก​ที่​บัญญัติ​ไว้ ​ใน ปพพ.มาก เช่น สามี​อาจ​มี​ ภริยา​ได้​หลาย​คน (polygamous marriage) การ​ขาด​จาก​การ​สมรส​อาจ​ทำได้​โดย​พิธี​ตอ​ละ11 ด้วย​การ​ที่​สามี​เปล่ง​ วาจา​ตอ​ละ​จาก​ภริยา​โดยตรง​หรือ​โดย​ปริยาย​ต่อ​ส่วน​ของ​ร่างกาย​ภริยา​เช่น​มือ​หรือ​โลหิต 3 ตอ​ละ หรือ​หาก​สามี​ร่วม​ ประเวณี​กับ​มารดา​ของ​ภริยา โดย​สำคัญ​ผิด​คิด​ว่า​เป็น​ภริยา​ของ​ตน​ก็​ถือว่า​เป็นการ​ตัด​รู​ปา​ซะ​คู12 มี​ผล​ทำให้​สามี​ขาด​ จาก​การ​สมรส​กับ​ภริยา​คน​นั้น เป็นต้น ด้วย​เหตุ​นี้​หาก​จะ​นำ​บทบัญญัติ​แห่ง ​ปพพ. ว่า​ด้วย​ครอบครัว​มา​ใช้​บังคับ​ก็​ อาจ​จะ​ไม่​สามารถ​อำนวย​ความ​ยุติธรรม​ให้​ดำเนิน​ไป​ด้วย​ดี​ได้ สมควร​ผ่อน​ปรน​ให้​ประชาชน​ที่​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม​ ใน 4 จังหวัด เหล่าน​ ี้​ได้ป​ ระพฤติ​ปฏิบัติต​ าม​ลัทธิศ​ าสนาข​ อง​ตน​โดย​สมบูรณ์ ใน พ.ศ. 2444 จึง​ได้​มี​การต​ ราข​ ้อ​บังคับ​ สำหรับ​ปกครอง​บริเวณ​เจ็ด​หัว​เมือง ร.ศ. 120 กำหนด​ให้​ใช้​พระ​ราช​กำหนด​กฎหมาย​ทั้ง​ปวง​ใน​ความ​อาญา​และ​ความ​ แพ่ง แต่​ความ​แพ่ง​ซึ่ง​เกี่ยว​ด้วย​ศาสนา​อิสลาม เรื่อง​ผัว​เมีย​ก็​ดี เรื่อง​มรดก​ก็​ดี ซึ่ง​คน​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม​เป็น​ทั้ง ​โจทก์​จำเลย​หรือ​เป็น​จำเลย​ให้​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม​ใน​การ​พิจารณา​และ​พิพากษา​และ​ให้​โต๊ะ​กาลี​ซึ่ง​เป็น​ผู้​รู้​และ​เป็น​ที่​ นับถือ​ใน​ศาสนา​อิสลาม​เป็น​ผู้​พิพากษา​ตาม​กฎหมาย​อิสลาม​นั้น ต่อ​มา เมื่อ​มี​ประ​กาศ​ใช้ ​ปพพ. บรรพ 5 ว่า​ด้วย ค​ รอบครัว และบ​ รรพ 6 ว่าด​ ว้ ยม​ รดกซ​ ึง่ ม​ ผ​ี ลใ​หบ​้ งั คบั ต​ ั้งแตว่​ นั ท​ ี่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 ข้อบ​ ังคับส​ ำหรับป​ กครองบ​ ริเวณ​ เจ็ด​หัว​เมือง ร.ศ. 120 ก็​ยัง​มี​ผล​บังคับ​ใน​จังหวัด​ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ​สตูล ตาม​เดิม​จน​กระทั่ง พ.ศ. 2486 จึง​ได้ม​ ีก​ ฎหมาย​แก้ไข ปพพ. บรรพ 5 และ​บรรพ 6 ขยายไ​ปใ​ช้บ​ ังคับใ​น 4 จังหวัดช​ ายแดนภ​ าค​ใต้ 11 ตอ​ละ คือก​ าร​คลาย​นิติส​ ัมพันธ์ส​ มรส​ของส​ ามี​อัน​ขาดก​ าร​สมรส​จากภ​ ริยา​โดย​พิธีต​ อ​ละ คำ​นี้​บางที​เขียน ตอล​ ะก์ ดู​การส​ ัมมนา​การ​ใช​้ กฎหมาย​อิสลาม จัดพ​ ิมพ์โ​ดยก​ ระทรวง​ยุติธรรม กรุงเทพมหานคร โรง​พิมพ์​ชวนพ​ ิมพ์ พ.ศ. 2525 น. 247 12 ตัด​รูป​ า​ซะ​คู คือ การ​ทำลาย​แห่งน​ ิติ​สัมพันธ์ส​ มรส​ระหว่าง​สามี​ภริยาโ​ดยม​ ิได้ป​ ระกอบด​ ้วย​เจตนาเ​พื่อ​ขาด​จากก​ ารส​ มรส บาง​ครั้ง​คำ​นี้​ ใช้ว​ ่า ตัดร​ ์ฟะซัค ดู การ​สัมมนาก​ าร​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม น. 258 มสธ มส

มส การหม้นั 1-13 มสธ ต่อ​มา​เมื่อ​สงครามโลก​ครั้ง​ที่​สอง​ได้​ยุติ​ลง รัฐบาล​ได้​เปลี่ยน​นโยบาย​ให้​นำ​กฎหมาย​อิสลาม​กลับ​มา​ใช้​ใน​มสธ จังหวัด​ทั้ง​สี่​ใหม่​อีก ใน พ.ศ. 2489 จึง​ได้​มี​การ​ตรา​พระ​ราช​บัญญัติ​ว่า​ด้วย​การ​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม​ใน​เขต​จังหวัด ​ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และส​ ตูล พ.ศ. 2489 ออก​ใช้​บังคับ ตามพ​ระ​ราช​บัญญัติ​นี้​ใน​มาตรา 3 และม​ าตรา 4 การ​มสธ วินิจฉัยช​ ี้ขาดค​ ดีแ​ พ่งเ​กี่ยวด​ ้วยเ​รื่องค​ รอบครัว​และม​ รดก​อิส​ลาม​ศาสนิก​ ​ของศ​ าล​ชั้นต​ ้น ในสี่​จังหวัด​ซึ่ง​อิส​ลามศ​ าสนิ​ก ​เป็น​ทั้ง​โจทก์​จำเลย หรือ​เป็น​ผู้​เสนอ​คำขอ​ใน​คดี​ไม่มี​ข้อ​พิพาท ต้อง​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม​ว่า​ด้วย​ครอบครัว​และ​มรดก​ บังคับ​แทน​บทบัญญัติ​แห่ง​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ เว้น​แต่​บทบัญญัติ​ว่า​ด้วย​อายุ​ความ​มรดก ใน​การ​ พิจารณาค​ ดใี​หด​้ ะโ​ตะ๊ ย​ ตุ ิธรรมห​ นึง่ น​ ายน​ ัง่ พ​ ิจารณาพ​ ร้อมด​ ว้ ยผ​ พู้​ ิพากษา สว่ นป​ ัญหาข​ ้อเ​ท็จจ​ ริงห​ รือป​ ญั หาข​ ้อกฎหมาย​ อื่น​เป็น​อำนาจ​ของ​ผู้​พิพากษา คำ​วินิจฉัย​ของ​ดะ​โต๊ะยุติธรรม ใน​ข้อ​กฎหมาย​อิสลาม​เป็น​อัน​เด็ด​ขาด จะ​อุทธรณ์​ฎีกา​ ปัญหา​ดัง​กล่าว​ไม่​ได้ ฉะนั้น​ใน​ปัจจุบัน​นี้​เมื่อ​คดี​พิพาท​กัน​เรื่อง​ครอบครัว​หรือ​มรดก​ใน​ศาล​ชั้น​ต้น​ใน​จังหวัด​ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และส​ ตูล ระหว่างค​ นน​ ับถือ​ศาสนาอ​ ิสลาม​ด้วยก​ ัน หรือ​มี​คดีไ​ม่มี​ข้อ​พิพาทซ​ ึ่ง​ผู้น​ ับถือ​ศาสนาอ​ ิสลาม​ เป็น​ผู้​ร้อง​ใน​เรื่อง​ครอบครัว​หรือ​มรดก​ต้อง​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม​บังคับ ไม่​ใช้​บท​บัญญัติ​ตาม ​ปพพ. บรรพ 5 และ​ บรรพ 6 เหมือนเ​ช่น​ปกติ แต่​ทั้งนี้จ​ ะ​ต้องป​ ระกอบด​ ้วยเ​งื่อนไข 2 ประการ​ดัง​ต่อไ​ปน​ ี้ 1. คู่​ความ​ทั้งหมด​หรือ​เจ้า​มรดก​จะ​ต้อง​เป็น​คน​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม หาก​คู่​ความ​แม้แต่​คน​เดียว​ไม่ใช่​คน​ นับถือ​ศาสนา​อิสลาม หรือ​เจ้า​มรดก​ไม่ใช่​คน​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม ถึง​แม้​โจทก์ จำเลย หรือ​ผู้​ร้องขอ​จะ​เป็น​คน​นับถือ​ ศาสนา​อิสลาม ก็​ใช้ก​ ฎหมาย​อิสลาม​บังคับไ​ม่​ได้13 และ 2. คดีต​ ้อง​เกิดข​ ึ้น​ใน​จังหวัดย​ ะลา นราธิวาส ปัตตานี หรือ​สตูล หากเ​ป็น​คดี​ที่​เกิดข​ ึ้น​ในจ​ ังหวัด​อื่น​นอกจาก​ สี่​จังหวัด​เช่น​ว่า​นี้ แม้​คู่​ความ​ทุก​ฝ่าย​จะ​เป็น​คน​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม ก็​จะ​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม​บังคับ​ไม่​ได้ ต้อง​บัง​คับ​ ตาม ​ปพพ. บรรพ 5 และ บรรพ 6 เช่นเ​ดียวกัน ตัวอย่าง​ ชาย​ที่​นับถือ​ศาสนา​พุทธ มี​ภูมิลำเนา​อยู่​ใน​จังหวัด​ปัตตานี​จะ​อ้าง​กฎหมาย​อิสลาม เพื่อ​ให้​มี​ ภริยา​เกิน​หนึ่ง​คนไ​ม่ไ​ด้ หรือส​ ามี​ภริยา​ที่น​ ับถือ​ศาสนาอ​ ิสลามม​ ี​ภูมิลำเนาอ​ ยู่ ณ กรุงเทพมหานคร จะ​หย่า​ขาดจ​ ากก​ าร​ เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ต้อง​ใช้​เหตุ​หย่า​ตาม​ ปพพ. บรรพ 5 หรือ​ชาย​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม สมรส​กับ​หญิง​ที่​นับถือ​ศาสนา​ คริสต์ ณ จังหวัด​นราธิวาส​และ​มี​ภูมิลำเนา​อยู่​ที่​จังหวัด​นี้​จะ​หย่า​ขาด​จาก​กัน ก็​ต้อง​ใช้​เหตุ​หย่า​ตาม ปพพ. บรรพ 5 จะ​ใช้เ​หตุห​ ย่า​ตาม​กฎหมาย​อิสลามไ​ม่ไ​ด้ เป็นต้น อุทาหรณ์ ฎ. 1355/2479 กฎหมาย​อิสลาม​ที่​ใช้​บังคับ​ใน​สี่​จังหวัด​ภาค​ใต้ ไม่ใช่​เป็น​กฎหมาย​ต่าง​ประเทศ ฉะนั้น​ใน​ การ​พิจารณา​คดี​ที่​ต้อง​ใช้​กฎหมาย​อิสลาม​ก็​เป็น​หน้าที่​ของ​ดะ​โต๊ะ​ยุติธรรม​ที่​นั่ง​พิจารณา​คดี เป็น​ผู้นำ​บท​กฎหมาย​ อิสลามม​ าบ​ ังคับ​คดี (หา​ใช่เ​ป็น​หน้าที่ข​ องค​ ู่​ความจ​ ะ​นำสืบไ​ม่ ถือว่า​เป็นส​ ิ่ง​ที่ศ​ าลร​ ับร​ ู้​เอง) ฎ. 1898/2512 โจทก์​มิใช่​อิส​ลาม​ศาสนิก​ จะ​บังคับ​คดี​ตามพ​ระ​ราช​บัญญัติ​ว่า​ด้วย​การ​ใช้​กฎหมายอ​ ิสลาม​ใน เขตจ​ ังหวัด​ปัตตานี นราธิวาส ยะลา​และ​สตูล พ.ศ. 2489 มาตรา 3 มิได้ ต้อง​บังคับค​ ดี​ตามบ​ ทบัญญัติแ​ ห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฎ. 3973/2524 การ​ที่​โจทก์​ยอม​สมรส​ด้วย​กับ​จำเลย​ตาม​ประเพณี​ของ​ผู้​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม​และ​ได้​จด ​ทะเบียน​สมรส (นิ​กะ) ต่อ​โต๊ะอิหม่าม​ที่​จังหวัด​สตูล ก็​เพราะ​จำเลย​หลอก​ลวง​โจทก์​ว่า​ได้​หย่า​กับ​ภริยา​คน​แรก​แล้ว​ต่อ​ มา​ภริยา​คน​แรก​ของ​จำเลย​ได้​มา​ทำลาย​สิ่งของ​เครื่อง​ใช้​ของ​โจทก์ และ​ขับ​ไล่​โจทก์​ออก​จาก​ปอเนาะ โจทก์​จึง​ต้อง​แยก​ กลับ​ไป​อยู่​บ้าน​และ​จำเลย​ก็​ไม่​ได้​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​โจทก์​เพราะ​ต้องการ​ให้​โจทก์​กลับ​มา​หา​จำเลย เช่น​นี้ เมื่อ​การ​ที่​โจทก์​ ออก​จาก​ปอเนาะ​มิใช่​ความ​ผิด​ของ​โจทก์ และ​กรณี​ไม่​จำเป็น​ต้อง​ขอ​อนุญาต​จาก​จำเลย​และ​จำเลย​มิได้​อุปการะ​เลี้ยง​ดู​ 13 ฎ. 1898/2512 มสธ มส

มส 1-14 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก โจทก์​แต่​อย่าง​ใด การก​ระ​ทำ​ของ​จำเลย​จึง​เป็นการ​ประพฤติ​ผิด​หน้าที่​ของ​สามี​ตาม​ลัทธิ​ประเพณี​ของ​ผู้​นับถือ​ศาสนา​ อิสลาม โจทก์​จึงม​ ี​สิทธิห​ ย่า​ขาด​จาก​จำเลย​ได้ ฎ. 2812 – 2816/2525 โจทก์​ที่ 2 ที่ 3 เป็น​ผู้​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม​มี​ภูมิลำเนา​ใน​จังหวัด​ยะลา ซึ่ง​มี พรบ. ว่า​ด้วย​การ​ใช้​กฎหมาย​อิส​ลามฯ ใช้​บังคับ​แก่​ผู้​นับถือ​ศาสนา​อิสลาม​อัน​เกี่ยว​ด้วย​ครอบครัว​และ​มรดก​ใน​จังหวัด​ ดัง​กล่าว​แทน ปพพ. บรรพ 5 และ​บรรพ 6 เมื่อ​โจทก์​ที่ 2 ที่ 3 นำสืบ​ได้​ว่า​แต่งงาน​เป็น​สามี​ภริยา​โดย​ถูก​ต้อง​ตาม​ กฎหมายอ​ ิสลาม จำเลยม​ ิได้น​ ำสืบห​ ัก​ล้าง โจทก์​ที่ 2 ที่ 3 จึง​เป็น​สามีภ​ ริยา​และเ​ป็น​บิดาม​ ารดา​ของ ส. ผู้​ตายโ​ดย​ชอบ​ ด้วยก​ ฎหมาย แม้​เหตุ​รถ​ชน​กันจ​ น​ทำให้ ส. ตาย​เกิดใ​น​เขตจ​ ังหวัดส​ งขลา โจทก์​ทั้ง​สองก​ ็​มีอ​ ำนาจฟ​ ้อง​ผู้ท​ ำล​ ะเมิด​ได้ กจิ กรรม 1.1.2 1. เงือ่ นไข​ในก​ ารใ​ช้​กฎหมายอ​ สิ ลามว​ ่า​ดว้ ยค​ รอบครัวใ​น 4 จังหวดั ช​ ายแดน​ภาค​ใต​ม้ ​ีอยา่ งไร​บา้ ง 2. สามี​นบั ถอื ศ​ าสนา​อสิ ลาม ภริยาน​ ับถือ​ศาสนา​คริสต์ มภ​ี มู ิลำเนา​อยใู่​น​จังหวัด​ยะลา จะ​หย่าข​ าด​จาก​ กันจ​ ะต​ อ้ ง​ใช้​กฎหมายใ​ด​บ้าง แนวต​ อบ​กจิ กรรม 1.1.2 1. เงือ่ นไข​ในก​ ารใ​ช​้กฎหมายอ​ ิสลาม​วา่ ​ดว้ ย​ครอบครัวใ​น 4 จงั หวัด​ชายแดน​ภาค​ใต้ มี 2 ประการ คอื (1) ค่คู​ วามท​ ัง้ หมดจ​ ะ​ตอ้ งเ​ปน็ ค​ นน​ ับถือ​ศาสนา​อิสลาม และ (2) คดี​ตอ้ ง​เกิดข​ ้นึ ​ในจ​ งั หวัด​ยะลา นราธิวาส ปัตตานี หรือ​สตลู 2. สามี​นับถอื ศ​ าสนา​อสิ ลาม ภริยาน​ ับถอื ​ศาสนา​ครสิ ต์ มภ​ี ูมิลำเนา​อย​ู่ใน​จงั หวัด​ยะลา หากจ​ ะ​หยา่ ​ขาด​ จากก​ นั จ​ ะ​ตอ้ งใ​ช้ ปพพ. บรรพ 5 บังคับ จะ​ใช​ก้ ฎหมายอ​ สิ ลามบ​ งั คบั ไ​ม​่ได้ มสธ มสธ มสธ มสธ มส

มส การหมน้ั 1-15 มสธ ตอนท​ ่ี 1.2มสธ หลกั เ​กณฑข​์ อง​การห​ มน้ั โปรดอ​ ่านห​ ัว​เรื่อง แนวคิด และว​ ัตถุประสงค์​ของ​ตอน​ที่ 1.2 แล้ว​จึงศ​ ึกษา​รายล​ ะเอียด​ต่อ​ไป หัวเ​รื่อง 1.2.1 สัญญาห​ มั้น 1.2.2 เงื่อนไขข​ องก​ าร​หมั้น 1.2.3 ของห​ มั้น สินสอด และ​ทรัพย์สิน​อื่น แนวคิด 1. ส ัญญา​หมั้น​มี​ลักษณะ​เหมือน​กัน​กับ​สัญญา​อื่น​ทั่วไป​คือ จะ​ต้อง​มี​วัตถุประสงค์​ที่​ไม่​ขัด​ต่อ​ความ​ สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน นอกจาก​นี้​บิดา​มารดา หรือ​ผู้​ปกครอง​ของ​ชาย แ​ ละห​ ญิงอ​ าจเ​ข้า​มาผ​ ูกพัน​เป็นค​ ู่​สัญญา​ได้​อีก​ด้วย 2. ใน​การ​ที่​ชาย​และ​หญิง​จะ​ทำ​สัญญา​หมั้น​กัน​นั้น กฎหมาย​ได้​กำหนด​เงื่อนไข​บาง​ประการ​เพื่อ​ คุ้มครอง​สิทธิ​และ​ประโยชน์​ของ​บุคคลทั้ง​สอง และ​เพื่อ​ให้​สอดคล้อง​กับ​ขนบธรรมเนียม​ประเพณี​ ของไ​ ทยเ​รา 3. การ​ทำ​สัญญา​หมั้น ฝ่าย​ชาย​จะ​ต้อง​ให้​ทรัพย์สิน​เป็น​ของ​หมั้น​ไว้​แก่​หญิง​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​ว่า​จะ สมรส​กับ​หญิง และ​ฝ่าย​ชาย​อาจ​ให้​ทรัพย์สิน​เป็น​สินสอด​แก่​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​หญิง​ เพื่อ​ตอบแทน​ที่​ได้​เลี้ยง​ดู​หญิง​จน​เติบโต​มา​ก็ได้ นอกจาก​นี้​ชาย​หญิง​อาจ​มี​ทรัพย์สิน​อื่น​ที่​ได้​มา เ​นื่องจาก​การ​สมรส​กัน​อีกด​ ้วย วตั ถุประสงค์ เมื่อศ​ ึกษาต​ อน​ที่ 1.2 จบ​แล้ว นักศึกษาส​ ามารถ 1. อธิบายห​ ลัก​เกณฑ์​ของส​ ัญญา​หมั้น และ​บุคคล​ที่​ผูกพัน​ตาม​สัญญาห​ มั้น​ได้ 2. อธิบายเ​งื่อนไขข​ อง​สัญญาห​ มั้น​ได้ 3. อ ธิบายแ​ ละ​วินิจฉัยป​ ัญหา​เกี่ยว​กับ​การใ​ห้​ของ​หมั้น การ​เรียกส​ ินสอด​ การค​ ืน​ของ​หมั้น​และ​สินสอด และ​ทรัพย์สินอ​ ื่น​ที่ไ​ด้ม​ า​เนื่องจากก​ ารส​ มรส​ได้ มสธ มสธ มส

มส 1-16 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เรอ่ื ง​ท่ี 1.2.1มสธ สัญญา​หมั้น มสธ โดย​ทั่วไป​ใน​กรณี​ที่​ชาย​หญิง​ต้องการ​ที่​จะ​สร้าง​ครอบครัวจะ​กระทำ​โดย​การ​สมรส ใน​ทาง​กฎหมาย​ไม่​ได้​มี​ การ​บังคับ​ว่า​จะ​ต้อง​ทำการ​หมั้น​ก่อน​การ​สมรส​แต่​อย่าง​ใด กล่าว​คือ​จะ​ทำการ​สมรส​กัน​เลย​ที​เดียว​ก็ได้ ใน​กรณี​ที่​ไม่มี​ การ​หมั้น​หรือ​การ​หมั้น​นั้น​กระทำ​โดย​ฝ่าฝืน​กฎหมาย หากว่า​การ​สมรส​ทำ​ขึ้น​อย่าง​ถูก​ต้อง​ตาม​หลัก​เกณฑ์​ที่​กฎหมาย​ กำหนด การ​สมรส​ก็​ยัง​สมบูรณ์ หาก​พิจารณา​ถึง​เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส​ตาม​มาตรา 1448 ก็​มิได้​กำหนด​ไว้​เลย​ว่า​ชาย​ หญิง​จะ​ต้อง​หมั้น​กัน​เสีย​ก่อน เพียง​แต่​หาก​พิจารณา​ใน​ทาง​ขนบธรรมเนียม​วัฒนธรรม​ของ​สังคม​ไทย มัก​จะ​ต้อง​มี​ การ​ทำ​พิธีการ​หมั้น​ก่อน​ทำการ​สมรส​เสมอ โดย​การ​หมั้น​นั้น​มี​ประโยชน์ใ​น​แง่​ที่​ว่า​เป็นการ​เปิด​โอกาส​ให้​ชาย​หญิง​ได้​มี​ โอกาส​ทำความ​ใกล้​ชิด​สนิท​สนม​กัน​มาก​ขึ้น​เพื่อ​ที่​จะ​ได้​เรียน​รู้​อุปนิสัย​ใจคอ​กัน ใน​อดีต​มี​บ่อย​ครั้ง​ที่​การ​สมรส​นั้น​เกิด​ ขึ้น​จาก​การ​ที่​ผู้ใหญ่​แนะนำ​ชาย​และ​หญิง​ให้​รู้จัก​กัน โดยที่​ชาย​และ​หญิง​นั้น​มิได้​รู้จัก​กัน​มา​ก่อน ดัง​นั้น การ​หมั้น​จึง​ เป็นเ​สมือน​ช่องท​ าง​แรกใ​ห้ช​ าย​หญิง​ได้​เรียนร​ ู้ซ​ ึ่ง​กัน​และ​กัน หากว่า​อุปนิสัยใ​จคอ​สามารถ​เข้าก​ ันไ​ด้ ก็น​ ำไ​ปส​ ู่​การ​สมรส แต่​หาก​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ไม่​ถูกใจ​กัน​ก็​สามารถ​เลิก​สัญญา​หมั้น​ได้ ดี​กว่า​การ​ที่​ให้​สมรส​กัน​เลย​ใน​ทันที​แล้ว​ต้อง​ไป​หย่า​ร้าง​ กัน​ใน​ภาย​หลัง นอกจาก​นั้น​แล้ว​การ​หมั้น​ยัง​มี​ประโยชน์​ใน​แง่​ที่​ว่า​เป็นการ​ประกาศ​ให้​ญาติมิตร​เพื่อน​ฝูง​ของ​ชาย​หญิง​ ที่​เป็นค​ ู่ห​ มั้นท​ ราบว​ ่า ชายห​ ญิงค​ ู่น​ ี้​ได้​มีก​ ารค​ บหาผ​ ูกพันก​ ัน​ใน​ระดับท​ ี่​จะพ​ ัฒนาไ​ปส​ ู่​การส​ มรส อัน​เป็นการต​ ัด​ปัญหาใ​ห​้ ชายห​ รือห​ ญงิ​ อื่นเ​ข้าม​ าเ​กี่ยวพ​ ันใ​นท​ างช​ ู้สาวก​ ับค​ ูห่​ มั้นน​ ั้นอ​ ีกด​ ้วย14 หรืออ​ ย่างไรก็ดีในบ​ างค​ ูอ่​ าจท​ ำการห​ มั้นใ​นว​ ันเ​ดียว กับ​วันส​ มรสก​ ็ได้ ตาม​ประเพณี​โบราณ การ​ที่​ชาย​หญิง​จะ​แต่งงาน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​นั้น ฝ่าย​ชาย​จะ​ต้อง​ไป​หมั้น​ฝ่าย​หญิง​ก่อน​ คือ เท่ากับ​เป็นการ​สู่ขอ​หญิง​มา​เป็น​ภริยา​และ​ต้อง​มี​ขันหมาก​หมั้น​ไป​มอบ​ให้​แก่​ฝ่าย​หญิง เสมือน​หนึ่ง​วาง​มัดจำ​ไว้ ใน​สมัย​ก่อน​ที่​จะ​ใช้​ปพพ.บรรพ 5 นั้น ถือว่า​บิดา​มารดา​มี​อิสระ​เหนือ​บุตร บิดา​มารดา​จึง​อาจ​ทำการ​หมั้น​แทน​บุตร​ได้​ โดย​ไม่​จำเป็น​ต้อง​ปรึกษา​หารือ​บุตร​แต่​อย่าง​ใด และ​ทั้ง​จะ​หมั้น​กัน​ตั้งแต่​ชาย​หญิง​อายุ​ยัง​น้อยๆ ก็ได้ ครั้น​เมื่อ​มี​การ​ ใช้ ปพพ. บรรพ 5 แล้ว กฎหมาย​ก็ย​ ังค​ ง​ให้​มี​การห​ มั้น​กัน​ตามป​ ระเพณีเ​ดิม แต่ไ​ด้​กำหนดอ​ ายุ​ของช​ าย​หญิง​คู่ห​ มั้น​ขึ้น เพื่อ​วัตถุประสงค์​ที่​จะ​ให้​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ได้​ไต่ถาม​ความ​สมัคร​ใจ​ของ​บุตร​ก่อน เพราะ​การ​สมรส​เป็น​เรื่อง​ ส่วนต​ ัวโ​ดย​แท้ หาไ​ด้ม​ ีอ​ ำนาจ​ที่จ​ ะ​บังคับน​ ้ำใจ​ชายห​ ญิงใ​ห้​ต้องห​ มั้นห​ มาย​กัน​เหมือน​แต่ก​ ่อน​ไม่ การ​หมั้น (engagement) นั้น ถ้า​จะ​ให้​ความ​หมาย​ใน​ทาง​กฎหมาย​แล้ว​ก็​หมายความ​ถึง การ​ที่​ชาย​หญิง​ทำ​ สัญญา​ว่า​จะ​ทำการส​ มรส​กันแ​ ละ​อยู่ก​ ินด​ ้วย​กัน​ฉัน​สามีภ​ ริยา (an agreement to get married and live together as husband and wife) ศาล​ฎีกา​ได้​ให้​ความ​หมาย​ของ​การ​หมั้น​ไว้​ว่า “การ​หมั้น​เป็น​สัญญา​ซึ่ง​ฝ่าย​ชาย​ทำ​กับ​ฝ่าย​ หญิง​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย เพื่อ​ชาย​กับ​หญิง​จะ​ทำการ​สมรส​กัน”15 สัญญา​หมั้น​จึง​เป็น​เพียง​สัญญา​จอง​กัน​ไว้​ก่อน ​ยังไ​ม่ถ​ ึง​ขั้น​สมรส​กันเ​ด็ด​ขาด​โดย​ในบ​ าง​ประเทศเ​รียก​สัญญาห​ มั้น​ว่า “สัญญา​จะส​ มรส” 14 ไพโรจน์ กัม​พูศิริ คำ​อธิบาย​ประมวล​กฎหมาย​แพ่ง​และ​พาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว กรุงเทพมหานคร สำนัก​พิมพ์​มหาวิทยาลัย​ ธรรมศาสตร์ น. 11-13 15 ฎ. 763/2526 มสธ มส

มส การหมั้น 1-17 มสธ การห​ มัน้ ท​ จี​่ ะม​ ผ​ี ลท​ างก​ ฎหมายข​ องป​ ระเทศไทยน​ ัน้ ต​ อ้ งเ​ปน็ การห​ มัน้ ร​ ะหวา่ งช​ ายก​ บั ห​ ญงิ เ​ทา่ นัน้ โดยพ​ จิ ารณา​มสธ จาก​เพศ​ที่แท้​จริง​ของ​คู่​หมั้น กฎหมาย​ไทย​ไม่​ยอมรับ​การ​หมั้น​ของ​คน​ที่​มี​เพศ​เดียวกัน โดย​ถือว่า​เป็นการ​กระทำ​ที่​ ขัดต่อ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน ดัง​นั้น หาก​ชาย​ทำการ​หมั้น​กับ​ชาย หรือหญิง​ทำการ​หมั้น​กับ​หญิง การ​หมั้นมสธ ด​ ัง​กล่าว​ไม่ช​ อบ​ด้วยก​ ฎหมาย แม้ว่า​จะม​ ีฝ​ ่ายใ​ด​ฝ่ายห​ นึ่งไ​ด้​มี​การผ​ ่าตัดแ​ ปลงเ​พศ​แล้วก​ ็ตาม การ​หมั้น​นอกจาก​จะ​ต้อง​เป็นการ​หมั้น​ระหว่าง​ชาย​และ​หญิง​แล้ว การ​หมั้น​จะ​ต้อง​กระทำ​โดย​ความ​ยินยอม​ พร้อมใจ​ของ​ชาย​และ​หญิง​ที่​เป็น​คู่​หมั้น​ด้วย ใน​อดีต​มัก​จะ​มี​การ​ทำการ​หมั้น​โดยที่​ผู้ใหญ่​เป็น​ผู้​จัดการ​เรื่อง​การ​หมั้น ​ให้​ชาย​และ​หญิง​ซึ่ง​ใน​บาง​ครั้ง​ชาย​และ​หญิง​ที่​เป็น​คู่​หมั้น​ยัง​ไม่​เคย​มี​โอกาส​ได้​เจอ​หน้า​กัน​มา​ก่อน​แต่​อย่าง​ใด​เลย ปัจจุบัน​กฎหมาย​ได้​ให้​ความ​สำคัญ​กับ​อิสระ​ใน​การ​ตัดสิน​ใจ เนื่องจาก​การ​หมั้น​เป็น​เรื่อง​ที่​ชาย​และ​หญิง​ผูกพัน​กัน​ใน​ เบื้อง​ต้น​เพื่อ​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​ใน​อนาคต ดัง​นั้น ความ​ยินยอม​พร้อมใจ​ของ​ทั้ง​คู่​จึง​เป็น​สิ่ง​สำคัญ​เป็น​อย่าง​ยิ่ง​เพราะ​ หาก​การ​ต้องอ​ ยู่ก​ ินก​ ัน​เนื่องจากถ​ ูกบ​ ังคับ ความผ​ าสุกข​ อง​ครอบครัวย​ ่อม​ที่จ​ ะเ​กิด​ขึ้น​ได้​ยาก สำหรับ​การ​ทำ​พิธี​หมั้น กฎหมาย​ไม่​ได้​กำหนด​รูป​แบบ​ที่​ชัดเจน​แน่นอน บาง​ครอบครัว​ให้​ความ​สำคัญ​กับ​ พิธีการ​ก็​จะ​จัด​งาน​เลี้ยง​ใหญ่​โต บาง​ครอบครัว​ก็​ชอบ​ที่​จะ​จัด​พิธี​หมั้น​เล็กๆ พิธีการ​หมั้น​ไม่​ว่า​จะ​จัด​ด้วย​รูป​แบบ​ใด​ ก็​ไม่​ได้​ส่ง​ผล​ที่​แตก​ต่าง​ใน​ทาง​กฎหมาย ขอ​เพียง​ให้​มี​ของ​หมั้น​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​แก่​หญิง​ก็​เพียง​พอ อย่างไร​ก็ตาม​ การ​หมั้น​จะ​ต้อง​มี​การ​ทำ​เป็น​กิจ​ลักษณะ​และ​เปิด​เผย​ให้​เป็น​ที่​รับ​รู้​ของ​บุคคล​ทั่วไป​อีก​ด้วย​ถึง​จะ​มี​ผล​เป็นการ​หมั้น หาก​เพียงแ​ ต่ส​ ู่ขอ​กัน​เฉยๆ​ ไม่อ​ าจ​เรียกว​ ่า​เป็นการห​ มั้น​ตามก​ ฎหมาย16 ใน​การ​ที่​ชายแ​ ละ​หญิง​จะ​ทำส​ ัญญาห​ มั้นก​ ัน​นั้น มาตรา 1437 ได้ก​ ำหนด​แบบ​เพื่อ​ความส​ มบูรณ์ข​ อง​การ​หมั้น​ ไว้​ดังนี้ มาตรา 1437 “การห​ มนั้ ​จะส​ มบูรณเ์​มอ่ื ฝ​ ่ายช​ าย​ได​้ส่ง​มอบห​ รือโ​อน​ทรพั ย์สิน​อนั เ​ป็น​ของห​ มัน้ ใ​ห้​แกห​่ ญิง​เพื่อ​ เป็นห​ ลกั ฐ​ าน​ว่า​จะ​สมรส​กับห​ ญงิ ​น้ัน เม่ือห​ มั้น​แล้ว​ให​ข้ องห​ มั้นต​ กเ​ป็น​สทิ ธ​แิ ก​ห่ ญิง” บทบัญญัติ​ดัง​กล่าว​แสดง​ให้​เห็น​ว่าการ​หมั้น​ต้อง​มี​ของ​หมั้น เพราะ​สัญญา​หมั้น​เป็น​สัญญา​พิเศษ​ต่าง​จาก​ สัญญา​ธรรมดา ฉะนั้น​หาก​ฝ่าย​ชาย​ไม่มี​ของ​หมั้น​มา​มอบ​ให้​หญิง​แล้ว การ​หมั้น​ย่อม​ไม่​สมบูรณ์ ถือว่า​ไม่มี​สัญญา ​หมั้น​เกิด​ขึ้น หลัก​การ​ที่​กำหนด​ให้การ​หมั้น​ต้อง​มี​ของ​หมั้น​จึง​จะ​สมบูรณ์​นี้​เป็น​หลัก​การ​เดิม​ของ​กฎหมาย​ครอบครัว​ ก่อน พ.ศ. 2519 ซึ่ง​กฎหมาย​ปัจจุบัน​ได้​นำ​กลับ​มา​ใช้​อีก​ครั้ง​หนึ่ง แบบ​ของ​สัญญา​หมั้น​ใน​ด้าน​อื่น​นอก​เหนือ​จาก ​การม​ ี​ของห​ มั้นแ​ ล้วก​ ฎหมายม​ ิได้ก​ ำหนดไ​ว้อ​ ีก ฉะนั้นส​ ัญญาห​ มั้นจ​ ึงอ​ าจจ​ ะก​ ระทำด​ ้วยว​ าจาห​ รือโ​ดยล​ ายล​ ักษณ์อ​ ักษร​ ก็ได้ แต่​ต้อง​ปฏิบัติ​ตาม​เงื่อนไข​ใน​เรื่อง​อายุ คือ ชาย​คู่​หมั้น​หรือ​หญิง​คู่​หมั้น​จะ​ต้อง​มีอายุ​ตั้งแต่ 17 ปี ขึ้น​ไป ตาม​ มาตรา 1435 ซึ่งบ​ ัญญัติว​ ่า “การห​ มัน้ ​จะท​ ำได​ต้ อ่ ​เม่ือช​ าย​และห​ ญงิ ม​ ีอายุ​สิบเ​จ็ด​ปบี ร​ ิบ​ รู ณ์แ​ ล้ว การห​ มั้น​ท่ี​ฝา่ ฝนื ​บทบญั ญตั ​ิวรรค​หนงึ่ ​เปน็ โ​มฆะ” และ​หาก​คู่​หมั้น​ยัง​เป็น​ผู้​เยาว์​อยู่​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​ของ​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​อีก​ด้วย ตาม​ มาตรา 1436 ซึ่ง​จะ​กล่าว​ต่อ​ไป​ใน​เรื่อง​ที่ 1.2.2 เงื่อนไข​การ​หมั้น นอกจาก​นี้​สัญญา​หมั้น​ยัง​ต้อง​อยู่​ใน​บังคับ​ตาม ​หลัก​ทั่วไป​ใน​เรื่อง​การ​แสดง​เจตนา​ใน​การ​ทำ​นิติกรรม เช่น การ​ทำ​สัญญา​หมั้น​เพราะ​ถูก​ข่มขู่ สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​ เป็น​โมฆียะ​ตาม​ ปพพ. มาตรา 164 หรือ​สัญญา​หมั้น​ที่​มี​วัตถุประสงค์​อัน​ขัด​ต่อ​ความ​สงบเรียบร้อยหรือศีล​ธรรม​ อัน​ดี​ของ​ประชาชน สัญญา​หมั้น​ที่​เป็น​โมฆะ​ตาม​ ปพพ. มาตรา 150 ด้วย เช่น พี่น้อง​ร่วมบิดามารดาเดียวกันมาท​ ำ การ​หมั้น​กัน สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​มี​วัตถุประสงค์​เป็นการ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบเรียบร้อย หรือศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน เป็น​สิ่ง​ไม่​ดี​ไม่​งาม ไม่มี​ธรรมเนียม​ประเพณี​หรือ​บทบัญญัติ​แห่ง​กฎหมาย​รับรอง​ให้​ทำได้ หรือ​ชาย​หญิง​ทำ​สัญญา 16 ฎ 1034/2535 มสธ มส

มส 1-18 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ห​ มั้นก​ ัน​โดยม​ ีข​ ้อ​สัญญาโ​ดยช​ ัดแ​ จ้งว​ ่า คู่ส​ ัญญาจ​ ะต้องร่วมป​ ระเวณี​กันก​ ่อนท​ ำการส​ มรส เช่นน​ ี้ สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​มสธ ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของประชาชน​จึง​เป็น​โมฆะ​เช่น​เดียวกัน นอกจาก​นี้​สัญญา​หมั้น​จะ​ใช้​ บังคับ​ได้​ก็​แต่​เฉพาะ​กรณี​ที่​ชาย​ไป​ทำการ​หมั้น​หญิง​เท่านั้น หาก​มี​หญิง​เกิด​พิเรน​ไป​ทำการ​หมั้น​ชาย สัญญา​หมั้นมสธ เ​ช่นว​ ่าน​ ี้เ​ป็นโ​มฆะ​ตาม​มาตรา 150 เพราะเ​ป็นการข​ ัดต​ ่อศ​ ีลธ​ รรมอ​ ันด​ ี​ของ​ประชาชนด​ ้วย การ​หมั้น​ฝ่าย​ชาย​ต้อง​มี​ทรัพย์สิน​นำ​ไป​ให้​หญิง เป็น​ประเพณี​มา​ตั้งแต่​โบราณ​หาก​ชาย​ไป​สู่ขอ​หญิง​เฉยๆ หา​ เรียก​ว่า​ชาย​นั้น​หมั้น​หญิง​ไม่ ฉะนั้น การ​ตกลง​จะ​ทำการ​สมรส​โดย​ไม่มี​ของ​หมั้น ย่อม​ไม่ใช่​การ​หมั้น โดย​ของ​หมั้น​ จะ​เป็น​ของ​มี​ค่า​มาก​น้อย​เพียง​ใด​ก็ได้ ฝ่าย​ชาย​ต้อง​มี​ทรัพย์สิน​ให้​แก่​หญิง​เสมอ การ​หมั้น​ถึง​จะ​สมบูรณ์​ใน​สายตา​ของ​ กฎหมาย อทุ าหรณ์ ฎ. 1217/2496 ฝ่าย​ชาย​ได้​ดำเนิน​การ​สู่ขอ​ฝ่าย​หญิง​จน​ได้​มี​การ​เหยียบ​เรือน​ตาม​ประเพณี​ท้อง​ถิ่น​แล้ว​คือ ​ฝ่าย​ชาย​ได้​นำ​หมาก​พลู​และ​ผ้า​ขาว​ไป​เคารพ​ฝ่าย​หญิง  และ​ได้​กำหนด​นัด​วัน​ทำ​พิธี​สมรส​แล้ว​เช่น​นี้​ย่อม​ถือ​ได้​ว่า​เป็น การ​ตกลง​โดย​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​ว่า​ด้วย​การ​หมั้น  และ​การ​ตกลง​ทำการ​สมรส​แล้ว​ทุก​ประการ  เมื่อ​ถึง​วัน​กำหนด​ แต่งงานฝ​ ่าย​ชายไ​ม่​มาต​ าม​กำหนด ฝ่าย​หญิงย​ ่อม​มี​สิทธิ​ฟ้องเ​รียก​ค่าท​ ดแทนไ​ด้ ฎ. 525/2509 การ​หมั้น​จะ​เรียก​ว่า​หมั้น​ก็ต​ ่อ​เมื่อ​ฝ่าย​ชาย​นำข​ อง​หมั้น​ไป​มอบ​ให้​ฝ่าย​หญิง​อัน​เป็น​เรื่อง​ที่เ​ข้าใจ​ กัน​ตาม​ธรรมดา​และ​ตาม​ประเพณี เมื่อ​มี​การ​หมั้น​แล้ว​ถ้า​ฝ่าย​ใด​ผิด​สัญญา​หมั้น​ฝ่าย​นั้น​ต้อง​รับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทน โดย ที่​กฎหมาย​บัญญัติ​ไว้​เป็น​พิเศษ​เช่น​นี้ เมื่อ​ฝ่าย​ชาย​เพียง​แต่​ตกลง​ว่า​จะ​สมรส​โดย​ไม่มี​การ​หมั้น จึง​อยู่​นอก​ขอบเขต ท​ ี่​กฎหมายร​ ับรอง หากไ​ม่​ปฏิบัติต​ าม​ที่ต​ กลงไ​ว้จ​ ะ​เรียกค​ ่า​ทดแทนห​ าไ​ด้ไ​ม่ การ​ที่​ไม่มีป​ ระเพณีท​ ้อง​ถิ่นว​ ่า​จะ​ต้องม​ ีข​ อง​หมั้น​มิใช่​เหตุอ​ ัน​จะพ​ ึง​ยก​ขึ้น​ลบล้างบ​ ทก​ ฎหมายไ​ด้ ฎ. 1971/2517 การ​เรียก​ค่า​ทดแทน​เนื่องจาก​ผิด​สัญญา​หรือ​ข้อ​ตกลง​เกี่ยว​กับ​การ​สม​รส​นั้น​ ปพพ. มาตรา 1438 (เดิม) (ปัจจุบัน​คือ มาตรา 1439) บัญญัติ​ไว้​เป็นพ​ ิเศษ​ให้​เรียก​ได้​เฉพาะใ​น​กรณีท​ ี่​มี​การ​หมั้นเ​ท่านั้น เมื่อ​โจทก์​ จำเลย​ตกลง​จะ​สมรส​หรือ​จด​ทะเบียน​โดยไ​ม่มีก​ ารห​ มั้น​แม้​จำเลยไ​ม่​ปฏิบัติต​ ามข​ ้อ​ตกลง โจทก์ก​ ็เ​รียกค​ ่าท​ ดแทนไ​ม่​ได้ ใน​การ​ที่​ชาย​และ​หญิง​ทำการ​หมั้น​กัน​นี้ หาก​การ​หมั้น​ดัง​กล่าว​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​แห่ง​การ​สมรส​ตาม​ที่​กฎหมาย​ กำหนดไ​ว้ จะ​มีผ​ ล​ทำให้​การ​หมั้น​นั้นเ​ป็น​โมฆะห​ รือ​ไม่​พอ​จะพ​ ิจารณา​ได้​ดังนี้ (1) การ​หมั้น​ที่​ชาย​และ​หญิง​อายุ​ไม่​ครบ 17 ปี บริบูรณ์ การ​หมั้น​เช่น​ว่า​นี้​มาตรา 1435 บัญญัติ​ไว้​อย่าง ​ชัด​แจ้ง​แล้ว​ว่า​ให้​เป็น​โมฆะ และ​การ​หมั้น​ดัง​กล่าว​แม้​จะ​ปล่อย​ให้​ล่วง​เลย​ไป​จน​ฝ่าย​ที่​อายุ​ยัง​ไม่​ครบ​มีอายุ​ครบ 17 ปีบ​ริบ​ ูรณ์​ขึ้นม​ า​ก็ตาม ก็ไ​ม่ท​ ำให้ก​ าร​หมั้นน​ ั้น​กลับส​ มบูรณ์​ขึ้นมา​ตามก​ ฎหมาย (2) ชาย​หรือ​หญิง​เป็น​บุคคล​วิกลจริต​ทำการ​หมั้น​กัน กรณี​เช่น​นี้​เห็น​ได้​ว่าการ​ทำการ​หมั้น​โดย​คู่​หมั้น​ฝ่าย​ ใดฝ​ ่าย​หนึ่งห​ รือท​ ั้งส​ อง​ฝ่ายเ​ป็น​คน​วิกลจริตน​ ั้น เป็นช​ ่อง​ทางท​ ี่​จะท​ ำให้ม​ ี​การส​ มรสฝ​ ่าฝืน​กฎหมายม​ าตรา 1449 ซึ่ง​จะ​ กล่าว​โดยล​ ะเอียด​ในห​ น่วยท​ ี่ 2 ต่อ​ไป และเ​ป็นการข​ ัด​ต่อค​ วาม​สงบ​เรียบร้อย​หรือ​ศีล​ธรรมอ​ ัน​ดีข​ อง​ประชาชน​จึง​เป็น​ โมฆะต​ าม​มาตรา 150 (3) ชายห​ ญิง​ซึ่ง​เป็นญ​ าติ​สืบสาย​โลหิตโ​ดยตรงข​ ึ้น​ไปห​ รือ​ลงม​ า หรือ​เป็นพ​ ี่​น้องร​ ่วม​บิดาม​ ารดา หรือ​ร่วมแ​ ต่​ บิดา​หรือ​มารดา​หมั้น​กัน สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​เป็น​ช่อง​ทาง​ที่​จะ​ทำให้​มี​การ​สมรส​ฝ่าฝืน​กฎหมาย​มาตรา 1450 ซึ่ง​จะ ​กล่าว​ต่อ​ไป​ใน​หน่วย​ที่ 2 และ​เป็นการ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน จึง​เป็น​โมฆะ​ตาม​ มาตรา 150 เช่นเ​ดียวกัน (4) การ​หมั้น​ระหว่าง​บุตร​บุญธรรม​และ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​โดย​มิได้​จด​ทะเบียน​เลิก​รับ​บุตร​บุญธรรม​เสีย​ ก่อน​การ​หมั้น​ดัง​กล่าว​ย่อม​มี​ผล​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​ทุก​ประการ​ทั้งนี้​เพราะ​แม้​บุตร​บุญธรรม​กับ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​ สมรสก​ ัน การส​ มรสน​ ั้น​ก็​เป็น​อัน​สมบูรณ์​ทุก​ประการ เป็นเ​พียงแ​ ต่​ว่าการ​รับ​บุตรบ​ ุญธรรมเ​ป็นอ​ ัน​ยกเลิก​ดัง​ที่​บัญญัต​ิ ไว้ใ​นม​ าตรา 1598/32 เท่านั้น การ​หมั้น​ก็​เป็นน​ ิติกรรมท​ ี่จ​ ะ​นำไ​ป​สู่​การส​ มรสจึง​ควรท​ ี่​จะ​ต้อง​มี​ผลส​ มบูรณ์​ด้วย ไม่​เป็น มสธ มส

มส การหมน้ั 1-19 มสธ การ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน​แต่​ประการ​ใด แต่​อาจ​จะ​กระทบกระเทือน​ต่อ​ความมสธ ร​ ู้สึก​ของ​ประชาชน​อยู่บ​ ้าง มสธ (5) ชาย​หรือ​หญิง​มี​คู่​สมรส​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​อยู่​แล้ว แต่​ไป​ทำ​สัญญา​หมั้น​กับ​หญิง​หรือ​ชาย​อื่น​อีก​ สัญญา​หมั้นด​ ัง​กล่าวเ​ป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 150 เพราะ​เป็นช​ ่อง​ทางใ​ห้​เกิดก​ าร​แตก​ร้าวใ​น​ครอบครัว​เดิม มี​ลักษณะ​เป็น การ​แย่ง​คู่​สมรส​ของ​บุคคล​อื่น จึง​มี​วัตถุประสงค์​ขัด​ต่อ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน สำหรับ​กรณี​ที่​ชาย​หรือ​หญิง​มี​ คู่​สมรส​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​แล้ว ไป​ทำการ​หมั้น​กับ​บุคคล​อื่น​โดย​ระบุ​ไว้​โดย​ชัด​แจ้ง​ว่า​จะ​ทำการ​สมรส​กัน​ต่อ​เมื่อ “ข้าพเจ้า​ได้​หย่า​ขาด​จาก​คู่​สมรส​ของ​ข้าพเจ้า​แล้ว” หรือ​เมื่อ “คู่​สมรส​ของ​ข้าพเจ้า​ได้​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป​แล้ว การ​หมั้น​ เช่นว​ ่า​นี้​มีว​ ัตถุประสงค์​ที่ข​ ัด​ต่อศ​ ีลธ​ รรมอ​ ัน​ดีข​ อง​ประชาชน จึงเ​ป็นโ​มฆะ​ตามม​ าตรา 150 เช่น เดียวกัน อทุ าหรณ์ ฎ. 3972/2529 สัญญา​มี​ข้อความ​ว่า โจทก์​จำเลย​ตกลง​ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​ตั้งแต่​วัน​ทำ​สัญญา โดย​ จำเลย​จะ​จ่าย​เงิน​ให้​โจทก์​เป็น​เงิน​เดือน​ละ 1,000 บาท หาก​โจทก์​มี​บุตร​กับ​จำเลย จำเลย​ต้อง​รับ​เป็น​บุตร​โดย​ถูก​ต้อง​ ตามก​ ฎหมาย โดยไ​ป​จดท​ ะเบียน​รับรองบ​ ุตร​ต่อน​ ายท​ ะเบียนท​ ้องท​ ี่ เมื่อ​ข้อความใ​น​สัญญาแ​ สดง​ว่าโ​จทก์​จำเลยต​ กลง ​อยู่​กิน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​โดย​ไม่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย ใน​ขณะ​ที่​โจทก์​ทราบ​ว่า​จำเลย​มี​ภริยา​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​อยู่​แล้ว สัญญา​ดัง​กล่าว​จึง​มี​วัตถุประสงค์​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย​และ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน​ตก​เป็น​โมฆะ​ตาม​ ปพพ. มาตรา 113 (ปัจจุบัน​คือ​มาตรา 150) โจทก์ฟ​ ้องบ​ ังคับ​จำเลยใ​ห้​ชำระ​เงินใ​ห้​โจทก์ไ​ม่​ได้ (6) หญิง​ที่​สามี​ตาย​หรือ​มี​การ​สมรส​สิ้น​สุด​ลง​ด้วย​ประการ​อื่น ทำการ​หมั้น​เมื่อ​การ​สิ้น​สุด​ลง​แห่ง​การ​สมรส​ ได้​ผ่าน​ไป ไม่​ถึง​สาม​ร้อย​สิบ​วัน​ตาม​มาตรา 1453 สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​มี​ผล​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​ทุก​ประการ ทั้งนี้​ เพราะ​แม้​หญิง​ดัง​กล่าว​จะ​ทำการ​สมรส ก็​ยัง​ทำได้​และ​มี​ผล​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย การ​หมั้น​จึง​ควร​จะ​กระทำ​ได้​ด้วย และ​ยัง​ไม่ถ​ ึง​ขนาด​ที่​จะข​ ัด​ต่อ​ศีลธ​ รรม​อันด​ ีข​ องป​ ระชาชน​แต่อ​ ย่าง​ใด อนึ่ง นอกจาก​สัญญา​หมั้น​จะ​ต้อง​ไม่มี​วัตถุประสงค์​ที่​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ​เรียบร้อย หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ ประชาชน​อัน​จะ​ทำให้​สัญญา​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 150 แล้ว​ยัง​ต้อง​อยู่​ใน​บังคับ​ตาม​หลัก​ทั่วไป เรื่อง​การ​แสดง​เจตนา ​ใน​การ​ทำ​นิติกรรม​ด้วย เช่น การ​ทำ​สัญญา​หมั้น​เพราะ​ถูก​ข่มขู่ สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆียะ​ตาม​มาตรา 164 เป็นต้น ใน​ด้าน​คู่​สัญญา​ที่​จะ​ต้อง​รับ​ผิด​ตาม​สัญญา​หมั้น​นั้น​คู่​สัญญา​หมั้น​ไม่​จำเป็น​ที่​จะ​ต้อง​แต่​เฉพาะ​ตัว​ชาย​และ ​ตัว​หญิง​คู่​หมั้น​เท่านั้น ทั้งนี้​เพราะ​มาตรา 1437 วรรค​หนึ่ง​บัญญัติ​ไว้​ว่า “การ​หมั้น​จะ​สมบูรณ์​เมื่อ​ฝ่าย​ชาย​ได้​ส่ง​มอบ​ หรือ​โอน​ทรัพย์สิน​อัน​เป็น​ของ​หมั้น​ให้​แก่​หญิง​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​ว่า​จะ​สมรส​กับ​หญิง​นั้น” และ​มาตรา 1439 บัญญัติ​ ว่า “เมื่อ​มี​การ​หมั้น​แล้ว ถ้า​ฝ่าย​ใด​ผิด​สัญญา​หมั้น​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​มี​สิทธิ​เรียก​ให้​รับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทน ใน​กรณี​ที่​ฝ่าย​หญิง​ เป็น​ฝ่ายผ​ ิด​สัญญา​หมั้น​ให้​คืน​ของ​หมั้น​แก่​ฝ่าย​ชายด​ ้วย” กฎหมายใ​ช้​คำ​ว่า “ฝ่าย​ชาย” “ฝ่าย​หญิง” จึง​เห็น​ได้​ว่า​บิดา​ มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ของ​ชาย​หรือ​หญิง หรือ​บุคคล​อื่น​ซึ่ง​มี​ความ​สัมพันธ์​กับ​ตัว​ชาย​หรือ​หญิง​คู่​หมั้น ใน​อัน​ที่​จะ​ทำ​ สัญญา​หมั้น​และ​จัดการ​สมรส​ก็​อาจ​จะ​เป็น​ผู้​ทำ​สัญญา​หมั้น​และ​เข้า​มา​เป็น​คู่​สัญญา​หมั้น​ได้ ทั้งนี้​เพราะ​การ​หมั้น​เป็น​ ประเพณีม​ าแ​ ต่​ดั้งเดิม​โดย​ปกติ​ชายห​ าไ​ด้ท​ ำการห​ มั้นห​ ญิง​ด้วยต​ นเองไ​ม่ ผู้ใหญ่​ฝ่าย​ชายไ​ป​ทำการ​หมั้น​กับผ​ ู้ใหญ่​ฝ่าย​ หญิง คือ​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​กระทำ​การ​แทน​ตัว​ชาย​และ​ตัว​หญิง ปพพ. บรรพ 5 มิได้​เปลี่ยน​รูป​สัญญา​หมั้น​แต่​อย่าง​ใด17 นอก​จา​กนี้ ปพพ. มาตรา 1439 ก็ได้บ​ ัญญัติ​ถึง​ผู้​มี​สิทธิเ​รียก​ร้อง​ให้​รับ​ผิดช​ ดใช้ค​ ่า​ทดแทนแ​ ละค​ ืน​ของ​หมั้น ใน​กรณี​ ผิด​สัญญา​หมั้น​ไม่​ว่า​ฝ่าย​ชาย​หรือ​หญิง​แล้ว​แต่​กรณี มิได้​บัญญัติ​แต่​เฉพาะ​ชาย​หรือ​หญิง​คู่​หมั้น​เท่านั้น​ที่​มี​สิทธิ​เรียก​ ร้อง​ได้ ฉะนั้น เมื่อ​บิดา​และ​ชาย​คู่​หมั้น​เป็น​ฝ่าย​ชาย​ตกลง​ทำ​สัญญา​หมั้น​กับ​จำเลย​ทั้ง​สาม​ที่​เป็น​ฝ่าย​หญิง และ​มอบ​ 17 ฎ. 1198/2492 มสธ มส

มส 1-20 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ สินสอด​ให้​เพื่อ​ให้​ชาย​คู่​หมั้น​กับ​จำเลย​ที่ 3 สมรส​กัน ต่อ​มา​บิดา​ของ​ชาย​คู่​หมั้น​อ้าง​ว่า​จำเลย​ทั้ง​สาม​ซึ่ง​เป็น​ฝ่าย​หญิง​มสธ ผิด​สัญญา​หมั้น จึงม​ ี​อำนาจ​ฟ้องจ​ ำเลยท​ ั้งส​ าม​ได้18 มสธ บุคคล​ที่จ​ ะเ​ป็น​คู่ส​ ัญญาห​ มั้นม​ ี 3 จำพวก คือ 1. ชาย​หญิง​ที่​เป็น​คู่​หมั้น ใน​กรณี​ที่​ชาย​หญิง​ทำการ​หมั้น​กันเอง​โดย​มิได้​มี​บุคคล​อื่น​เข้า​มา​เกี่ยวข้อง​ด้วย ชาย​หญิง​คู่​นี้​เป็น​คู่​สัญญา​หมั้น​กัน​โดย​ลำพัง แต่​ถ้า​หาก​มี​บุคคล​อื่น เช่น บิดา​มารดา​ของ​ชาย​หรือ​หญิง​ที่​เข้า​มา​เกี่ยว ข้อง ทุกค​ นเ​ป็นค​ ู่​สัญญาห​ มั้นโ​ดยถ​ ือว่าเ​ป็น​ฝ่ายช​ ายห​ รือ​ฝ่าย​หญิง แล้วแ​ ต่ก​ รณี 2. บิดา​มารดา​ของ​ชาย​หญิง​คู่​หมั้น​ซึ่ง​เป็น​คู่​สัญญา​หม้ัน ใน​กรณี​ที่​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​ชาย​และ​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​หญิง​ ทำ​สัญญา​หมั้น​กัน​โดย​ชาย​และ​หญิง​ได้​ให้​ความ​ยินยอม สัญญา​หมั้น​เกิด​ขึ้น​โดย​มี​บิดา​มารดา​ทั้ง​ฝ่าย​ชาย​และ​หญิง ​รวม​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​ที่​ให้​ความ​ยินยอม​ผูกพัน​ใน​ฐานะ​เป็น​คู่​สัญญา​หมั้น ทั้งนี้​ไม่​ว่า​ชาย​หรือ​หญิง​คู่​หมั้น​นั้น​จะ​บรรลุ​ นิติภาวะ​แล้ว​หรือ​ไม่​ก็ตาม เช่น ชาย​ผิด​สัญญา​หมั้น​ฝ่าย​ชาย​คือ​ตัว​ชาย บิดา​และ​มารดา​ซึ่ง​ไป​หมั้น​หญิง​ต้อง​ร่วม​กัน​ ใช้​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ต่อ​กาย ต่อ​ชื่อ​เสียง​และ​ความ​เสีย​หาย​ที่​ได้​เตรียม​การ​สมรส แต่​ใน​กรณี​ที่​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​ชาย​ และ​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​หญิง​ทำ​สัญญา​หมั้น​กัน โดย​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​เฉพาะ​ตัว​ชาย​หรือ​ตัว​หญิง​ที่​จะ​เป็น​คู่​หมั้น​ฝ่าย​ เดียว เช่น ผู้ใหญ่ฝ​ ่าย​ชายแ​ ละ​ผู้ใหญ่ฝ​ ่ายห​ ญิงท​ ำส​ ัญญา​หมั้น โดยช​ ายท​ ี่เ​ป็น​คู่​หมั้น​ฝ่าย​เดียวย​ ินยอม​แต่​หญิงท​ ี่​จะ​เป็น ​คู่​หมั้น​ไม่​ยินยอม​ด้วย​เช่น​นี้ สัญญา​หมั้น​เกิด​ขึ้น​ได้​โดย​มี​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​ชาย​และ​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​หญิง​รวม​ทั้ง​ชาย​คู่​หมั้น​ที่​ให้​ ความ​ยินยอม​ผูกพัน​เป็น​คู่​สัญญา​หมั้น ส่วน​หญิง​ที่​ไม่​ยินยอม​ไม่​ต้อง​ผูกพัน​ใน​สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว ฉะนั้น​ต่อ​มา​เมื่อ​ หญิง​นั้น​ตาม​ชาย​อื่น​ไป หญิง​และ​ชาย​อื่น​นั้น​หา​ต้อง​รับ​ผิด​ชดใช้​ค่า​สินไหม​ทดแทน​ให้​แก่​ชาย​คู่​หมั้น​ไม1่ 9 แต่​ผู้ใหญ่​ ฝ่าย​หญิงต​ ้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ต่อฝ​ ่าย​ชาย (ความเ​ห็น​ของ​ผู้​เขียน) 3. บุคคล​ผู้​กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา​ของ​ชาย​หญิง​คู่​หมั้น บุคคลอ​ ื่น​ซึ่งม​ ีค​ วาม​สัมพันธ์ก​ ับ​ชาย​หรือ​ หญิง​คู่​หมั้น​ใน​อัน​ที่​จะ​ทำ​สัญญา​หมั้น และ​จัดการ​สมรส​ก็​อาจ​จะ​เข้า​มา​เป็น​คู่​สัญญา​หมั้น​ได้ ทั้งนี้​เพราะ​บทบัญญัติ​ ใน​เรื่อง​ค่า​ทดแทน​กรณี​ผิด​สัญญา​หมั้น มาตรา 1440 (2) บัญญัติ​ไว้​ว่า “ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​เนื่องจาก​การ​ท่ี​คู่​หมั้น​ บิดา​มารดา หรือ​บุคคล​กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา ได้​ใช้​จ่าย​หรือ​ต้อง​ตก​เป็น​ลูก​หน้ี​เน่ือง​ใน​การเต​รี​ยม​การ​ สมรส​โดย​สุจริต​และ​ตาม​สมควร” แต่​บุคคล​อื่น​เช่น​นี้​จะ​ต้อง​มี​ความ​สัมพันธ์​ใกล้​ชิด​กับ​ชาย​หญิง​คู่​หมั้น​ถึง​ขนาด​ที่​จะ​ กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เป็น​คู่​สัญญา​หมั้น​ได้ เช่น ชาย​อยู่​กับ​ลุง​มา​ตั้ง​แต่​เล็กๆ เพราะ​บิดา​มารดา​ถึงแก่​กรรม​ไป​หมด​แล้ว เมื่อ​ชาย​จะ​ทำการ​หมั้น ลุง​ก็​เข้า​มา​ร่วม​รับ​รู้​และ​ทำ​สัญญา​ด้วย เช่น​นี้ ก็​ถือว่า​ลุง​เป็น​บุคคล​ผู้​ทำการ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา ​มารดาข​ องช​ าย ใน​อัน​ที่จ​ ะ​เป็น​คู่ส​ ัญญาห​ มั้น​ได้ เป็นต้น กจิ กรรม 1.2.1 1. ชายแ​ ละห​ ญงิ ท​ ำการห​ มนั้ ก​ นั ด​ ว้ ยว​ าจาโ​ดยช​ ายม​ อบแ​ หวนเ​พชรใ​หห​้ ญงิ เ​ปน็ ข​ องห​ มน้ั สญั ญาห​ มนั้ ด​ งั ​ กล่าวม​ ี​ผลใ​ชบ​้ งั คับ​ได​ห้ รือ​ไม่ 2. ชาย​มี​ภริยา​อยู่​แล้ว ทำ​สัญญา​หม้ัน​กับ​หญิง​อื่น​โดยที่​หญิง​อื่น​เช่ือ​โดย​สุจริต​ว่า​ชาย​ยัง​โสด​อยู่ เช่น​นี้ สญั ญา​หมน้ั ​ดงั ก​ ล่าวม​ ี​ผลใ​ช​้บงั คบั ​ได้ห​ รอื ​ไม่ 3. หญงิ อ​ ายุ 18 ปี บดิ าม​ ารดาห​ ญงิ ร​ บั ห​ มน้ั ไ​วโ​้ ดยห​ ญงิ ไ​มร่ เู​้ รอ่ื ง ตอ่ ม​ าห​ ญงิ ป​ ฏเิ สธไ​มย​่ อมท​ ำการส​ มรส​ ชายค​ หู่​ มนั้ ​จะเ​รียกร​ ้องใ​ห้​หญิง​รบั ​ผดิ ใ​นส​ ญั ญาห​ มน้ั ​ไดห้​ รอื ไ​ม่ 18 ฎ. 763/2526 19 ฎ. 311/2522 มสธ มส

มส การหมั้น 1-21 มสธ แนวต​ อบก​ ิจกรรม 1.2.1มสธ 1. สญั ญาห​ มนั้ ท​ ช​่ี ายแ​ ละห​ ญงิ ท​ ำข​ นึ้ ด​ ว้ ยว​ าจาโ​ดยม​ ข​ี องห​ มน้ั ใ​ชบ​้ งั คบั ไ​ด้ กฎหมายม​ ไิ ดก​้ ำหนดแ​ บบข​ อง​ มสธ สัญญาห​ มน้ั ​วา่ จ​ ะ​ต้อง​ทำเ​ปน็ ​หนังสอื แ​ ต​่อยา่ งใ​ด 2. สัญญา​หมั้น​ดัง​กล่าว​เป็น​โมฆะตาม ​ปพพ. มาตรา 150 เพราะ​มี​วัตถุประสงค์​ท่ี​ขัด​ต่อ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ ของ​ประชาชน 3. หญงิ ไ​มต​่ อ้ งร​ บั ผ​ ดิ ใ​นส​ ญั ญาห​ มนั้ เพราะม​ ไิ ดเ​้ ปน็ ค​ ส​ู่ ญั ญา สญั ญาห​ มน้ั ผ​ กู พนั เ​ฉพาะบ​ ดิ าม​ ารดาห​ ญงิ ​ เทา่ นั้น เร่ือง​ที่ 1.2.2 เงือ่ นไขข​ องก​ ารห​ มั้น การ​หมั้น​เกิด​ขึ้น​โดย​ความ​ยินยอม​พร้อมใจ​ของ​ชาย​หญิง​ที่​เป็น​คู่​หมั้น บุคคล​ที่​บรรลุ​นิติภาวะ​และ​ไม่มี​ข้อ​ บกพร่องใ​น​เรื่อง​ความสามารถ​สามารถท​ ำการ​หมั้น​ได้​ด้วยต​ นเอง​โดยที่​ไม่จ​ ำเป็น​ต้อง​ขอค​ วามย​ ินยอมจ​ ากบ​ ิดา มารดา หรือ​ผู้​ปกครอง​ก่อน​แต่​อย่าง​ใด เนื่องจาก​กฎหมาย​มอง​ว่า​มี​ความ​พร้อม​และ​เป็น​ผู้ใหญ่​เพียง​พอที่​จะ​ตัดสิน​ใจ​อย่าง​ เหมาะ​สม​เพื่อ​ที่​จะ​ทำการ​หมั้น​ได้ ใน​ทาง​ตรง​กัน​ข้าม​หาก​เปิด​โอกาส​ให้​คน​ที่​มีอายุ​น้อย​จน​เกิน​ไป​เข้า​ทำ​สัญญา​หมั้น​ ได้​โดย​เสรี ก็​อาจ​จะ​ทำให้​เกิด​ปัญหา​ใน​ครอบครัว​ได้​ใน​อนาคต ด้วย​เหตุ​นี้​กฎหมาย​จึง​วาง​เงื่อนไข​ใน​เรื่อง​ของ​อายุ​ใน​ มาตรา 1435 กับเ​งื่อนไขใ​น​เรื่องข​ อง​ความย​ ินยอมใ​น​มาตรา 1436 1. อายุ​ของค​ ​ู่หม้ัน มาตรา 1435 “การ​หมนั้ จ​ ะ​ทำได้ต​ ่อเ​มอ่ื ช​ ายแ​ ละ​หญิง​มอี ายุส​ บิ ​เจด็ ป​ ีบร​ ิ​บรู ณ​แ์ ลว้ การห​ มั้น​ท​ีฝ่ ่าฝืน​บทบัญญัติ​วรรคห​ นงึ่ ​เป็น​โมฆะ” การ​ที่​ชาย​จะ​ทำการ​หมั้น​หญิง​นั้น กฎหมาย​กำหนด​อายุ​ของ​คู่​หมั้น​ไว้​ว่า ชาย​และ​หญิง​ต้อง​มีอายุ​อย่าง​ต่ำ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์ อายุ​ที่​กฎหมาย​มาตรา 1435 กำหนด​นี้​ถือว่า​เป็น​เงื่อนไข​ที่​กฎหมาย​กำหนด​ไว้ การ​หมั้น​ที่​ฝ่าฝืน​เงื่อนไข​นี้​ ถือว่า​เป็น​โมฆะ เหตุ​ที่​กฎหมาย​กำหนด​อายุ​ของ​ชาย​หญิง​ที่​จะ​เป็น​คู่​หมั้น​กัน​ไว้ ก็​เพราะ​การ​หมั้น​เป็น​เรื่อง​เฉพาะ​ตัว​ ของ​ชาย​และ​หญิง เมื่อ​จะ​ทำ​สัญญา​หมั้น​กัน​จึง​ควร​ให้​ชาย​หญิง​ที่​จะ​เป็น​คู่​หมั้น​อยู่​ใน​วัย​ที่​จะ​รู้​เรื่อง​การ​หมั้น​ได้​ตาม​ สมค​ ว​ ร กฎหมายถ​ ือว่าช​ าย​หญิงท​ ี่​มีอายุต​ ่ำ​กว่า 17 ปีบ​ริบ​ ูรณ์​ไม่​อยู่​ใน​วัย​ที่จ​ ะ​รู้​เรื่อง​การห​ มั้น​การส​ มรส จึง​ทำการห​ มั้น​ ไม่​ได้​แม้​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​จะ​ให้​ความ​ยินยอม​ก็ตาม การ​หมั้น​ที่​ชาย​และ​หญิง​อายุ​ยัง​ไม่​ครบ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์​ อัน​เป็น​โมฆะ​ตาม​มาตรา 1435 วรรค​สอง​นี้ แม้​ต่อ​มา​ชาย​และ​หญิง​จะ​มีอายุ​ครบ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์​แล้ว ทั้ง​สอง​คน​จะ​ ให้​สัตยาบัน​ก็​ไม่​ได้​เพราะ​ขัด​ต่อ​ ปพพ. มาตรา 172 ซึ่ง​บัญญัติ​ว่า โมฆกรรม​นั้น​ไม่​อาจ​ให้​สัตยาบัน​แก่​กัน​ได้ เพราะ​ ฉะนั้นห​ าก​จะ​ให้การห​ มั้นส​ มบูรณ์​ก็ต​ ้อง​มาท​ ำการห​ มั้น​กันใ​หม่​อีก​ครั้ง​หนึ่ง มสธ มส

มส 1-22 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ฎ. 3072/2547 (ประชุม​ใหญ่) ในข​ ณะ​ที่ อ. ทำการ​หมั้น​กับ บ. นั้น อายุย​ ังไ​ม่ค​ รบ 17 ปีบ​ริ​บูรณ์ โดยม​ ีอาย​ุมสธ เพียง 15 ปีเ​ศษ การ​หมั้น​ดังก​ ล่าว​จึงฝ​ ่าฝืนบ​ ทบัญญัติ ปพพ. มาตรา 1435 วรรค​หนึ่ง ย่อม​ตกเ​ป็นโ​มฆะ​ตามม​ าตรา 1435 วรรค​สอง นอกจาก​นี้​มาตรา 172 วรรค​สอง​บัญญัติ​ว่า “ถ้า​จะ​ต้อง​คืน​ทรัพย์สิน​อัน​เกิด​จาก​โมฆะ​กรรม ให้​นำ​มสธ บทบัญญัติ​ว่า​ด้วย​ลาภ​มิ​ควร​ได้​มา​ใช้​บังคับ” เมื่อ​ข้อ​เท็จ​จริง​ไม่​ปราก​ฏ​ว่า​โจทก์ (บิดา​ของ อ.) ทราบ​ว่า บ. อายุ​ยัง​ไม่​ ครบ 17 ปี จำเลย และ​ บ. จึง​ต้อง​คืนข​ อง​หมั้นแ​ ละ​สินสอดใ​ห้​แก่โ​จทก์ต​ าม​มาตรา 412 และ 413 โดย​จะถ​ ือว่า​โจทก์​ ชำระ​หนี้​ตาม​อำเภอ​ใจ​ตาม​มาตรา 407 หา​ได้​ไม่ ดัง​นั้น การ​ที่​โจทก์​จำเลย​ซึ่ง​เป็น​บิดา​และ​มารดา​ของ อ. และ บ. ทำ​บันทึก​ข้อ​ตกลง​ภาย​หลัง​ที่ อ. กับ บ. เลิก​การ​อยู่​กิน​เป็น​สามี​ภรรยา​กัน​ว่า​จำเลย​ตกลง​จะ​คืน​สินสอด​และ​ของ​หมั้น​ ให้​แก่​โจทก์​จึง​มี​มูล​หนี้แ​ ละใ​ช้บ​ ังคับไ​ด้ หา​ได้​ขัด​ต่อค​ วามส​ งบเ​รียบร้อย​และศ​ ีล​ธรรมอ​ ัน​ดี​ของ​ประชาชนไ​ม่ 2. ความ​ยินยอม​ของ​บิดา​มารดา ผรู้ บั ​บุตร​บญุ ธรรม หรอื ​ผูป้​ กครอง มาตรา 1436 “ผ้เู​ยาวจ์​ ะ​ทำการ​หมั้นไ​ด​้ตอ้ ง​ไดร​้ ับ​ความย​ ินยอมข​ อง​บคุ คลด​ ังต​ ่อ​ไป​นี้ (1) บิดา​และ​มารดา ในก​ รณี​ท่​ีม​ที ้ังบ​ ิดา​มารดา (2) บดิ า​หรอื ​มารดา ในก​ รณ​ีท​ี่มารดาห​ รอื บ​ ดิ าต​ ายห​ รือ​ถกู ​ถอน​อำนาจ​ปกครอง หรือ​ไม่​อย่​ใู นส​ ภาพ​หรอื ​ฐานะ​ ที​่อาจ​ให​ค้ วาม​ยนิ ยอม หรอื ​โดย​พฤตกิ ารณ​์ผูเ้​ยาวไ์​มอ่​ าจข​ อค​ วามย​ ินยอม​จาก​มารดา​หรือบ​ ิดาไ​ด้ (3) ผรู้ ับบ​ ุตร​บุญธรรม ใน​กรณีท​ ่ผ​ี ู​้เยาวเ​์ ปน็ ​บุตร​บุญธรรม (4) ผ​ปู้ กครอง ใน​กรณีท​ ่​ไี มม่ ี​บคุ คล​ซ่งึ ​อาจใ​ห้​ความ​ยินยอม​ตาม (1) (2) และ (3) หรือ​ม​ีแตบ่​ ุคคลด​ งั ก​ ล่าวถ​ ูก​ ถอน​อำนาจป​ กครอง การ​หมั้นท​ ​ผ่ี ้​เู ยาวท​์ ำโ​ดย​ปราศจาก​ความ​ยนิ ยอมด​ งั ​กล่าวเ​ป็น โมฆียะ” ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​หมั้น​นั้น มาตรา 1436 ได้​บัญญัติ​เงื่อนไข​ไว้​ว่า​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​หมั้น​ได้​ต้อง​ได้​รับ​ ความย​ ินยอมข​ องบ​ ุคคล​ดังต​ ่อ​ไป​นี้ (1) บิดา​และ​มารดา ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​มี​ทั้ง​บิดา​และ​มารดา เพราะ​บิดา​และ​มารดา​ทั้ง​สอง​คน​เป็น​ผู้​ใช้​อำนาจ​ ปกครองบ​ ุตรผ​ ู้เ​ยาว์ จึงต​ ้องไ​ด้​รับค​ วาม​ยินยอมจ​ ากท​ ั้ง​สอง​คน ในก​ รณีท​ ี่​บิดา​กับม​ ารดา​ของผ​ ู้เ​ยาว์​เพียงแ​ ต่​แยก​กัน​อยู่ อำนาจป​ กครอง​ยังอ​ ยู่​กับท​ ั้ง​คู่ ดังน​ ั้น​หากผ​ ู้​เยาว์จ​ ะทำ การห​ มั้น ก็​ยัง​ต้อง​ได้​รับค​ วามย​ ินยอม​จากท​ ั้งบ​ ิดา​และ​มารดา (2) บิดา​หรือ​มารดา​เพียง​คน​เดียว ใน​กรณี​ที่​มารดา​หรือ​บิดา​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ถึงแก่​ความ​ตาย หรือ​ถูก​ถอน​ อำนาจป​ กครองห​ รือไ​ม่อ​ ยู่ใ​นส​ ภาพห​ รือฐ​ านะท​ ี่อ​ าจใ​ห้ค​ วามย​ ินยอม หรือโ​ดยพ​ ฤติการณ์ผ​ ู้เ​ยาว์ไ​ม่อ​ าจข​ อค​ วามย​ ินยอม​ จาก​มารดาห​ รือ​บิดาไ​ด้ ผู้​เยาว์ก​ ็​มี​สิทธิท​ ำการห​ มั้น​โดย​ได้ร​ ับค​ วามย​ ินยอม​จาก​บิดาห​ รือ​มารดาท​ ี่เ​หลือ​อยู่เ​พียง​คน​เดียว​ นั้น​ได้ เพราะ​เมื่อ​มารดา​หรือ​บิดา​ของ​ผู้​เยาว์​ตาย​หรือ​ถูก​ถอน​อำนาจ​ปกครอง​นั้น บิดา​หรือ​มารดา​ที่​เหลือ​อยู่​เป็น​ผู้​ใช้​ อำนาจ​ปกครอง​ผู้​เยาว์​เพียง​คน​เดียว​จึง​มี​อำนาจ​ที่​จะ​ให้​ความ​ยินยอม​ได้​โดย​ลำพัง ส่วน​กรณี​ที่​มารดา​หรือ​บิดา​ไม่​อยู่​ ใน​สภาพ หรือ​ฐานะ​ที่​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​นั้น​หมาย​ถึง การ​ที่​มารดา​หรือ​บิดา​เป็น​คน​วิกลจริต​ไม่​สามารถ​ให้​ความ​ ยินยอม​ได้ หรือ​เจ็บ​ป่วย​เข้า​ขั้น​โคม่า​สลบไสล ไม่​ได้สติ สำหรับ​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​ไม่​อาจ​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​มารดา​หรือ​ บิดา​ได้โ​ดยพ​ ฤติการณ์​นั้นห​ มาย​ถึง การ​ที่ม​ ารดา​หรือบ​ ิดา​หาย​ไป​จากถ​ ิ่นท​ ี่​อยู่​โดย​ไม่มี​ใคร​ทราบว​ ่า​ไป​อยู่ ณ ที่ใ​ด หรือ​ เดิน​ทาง​ไป​ต่าง​ประเทศ​ไม่​ยอม​ส่ง​ข่าว​คราว​กลับ​มา​เลย เช่น​นี้​ผู้​เยาว์​ก็​ขอ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​หรือ​มารดา​ที่​ยัง​เหลือ ​อยู่​เพียง​คน​เดียว​ได้​ซึ่ง​ตัวอย่าง​ใน​เรื่อง​นี้​เป็น​ทำนอง​เดียว​กับ​กรณี​ตาม​มาตรา 1456 ที่​ผู้​เยาว์​มา​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​เพื่อ อ​ นุญาต​ให้​ตนท​ ำการ​สมรส​เพราะไ​ม่มีบ​ ิดา​มารดาม​ าใ​ห้​ความย​ ินยอม​แก่​ตน​ได้ มสธ มส

มส การหม้นั 1-23 มสธ (3) ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​เป็น​บุตร​บุญธรรม เพราะ​บิดา​มารดา​โดย​กำเนิด​หมด​อำนาจ​มสธ ปกครอง​ผู้​เยาว์​ไป​ตั้งแต่​ที่​ได้​มี​การ​จด​ทะเบียน​รับ​บุตร​บุญธรรม​ไป​แล้ว บุตร​บุญธรรม​มี​ฐานะ​อย่าง​เดียว​กับ​บุตร​ชอบ​ ด้วย​กฎหมาย​ของ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1598/28 ฉะนั้น​เมื่อ​บุตร​บุญธรรม​ที่​เป็น​ผู้​เยาว์​จะ​ทำมสธ การห​ มั้น​จึง​ต้อง​ได้ร​ ับค​ วาม​ยินยอมข​ อง​ผู้รับบ​ ุตร​บุญธรรม​แต่เ​พียง​ฝ่าย​เดียว (4) ผู้​ปกครอง ใน​กรณี​ที่​ไม่มี​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​หรือ​มี​แต่​บุคคล​ดัง​กล่าว​ถูก​ถอน​อำนาจ​ ปกครอง​ไป​แล้ว เพราะ​เมื่อ​บิดา​และ​มารดา​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป ใน​ขณะ​ที่​บุตร​ยัง​เป็น​ผู้​เยาว์​หรือ​บิดา​และ​มารดา​ ประพฤติ​ชั่ว​ร้าย​ต่อ​บุตร​ผู้​เยาว์​จน​ถูก​ถอน​อำนาจ​ปกครอง​จะ​ต้อง​มี​การ​ตั้ง​ผู้​ปกครอง​โดย​คำ​สั่ง​ศาล ผู้​ปกครอง​เป็น​ ผู้​แทน​โดย​ชอบ​ธรรม​ของ​ผู้​เยาว์ การ​ที่​ผู้​เยาว์​จะ​ทำการ​หมั้น​จึง​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​ผู้​ปกครอง บิดา​มารดา​ ที่​ถูก​ถอน​อำนาจ​ปกครอง​ไป​แล้ว​นั้น​ไม่มี​สิทธิ​มา​ให้​ความ​ยินยอม​อีก​ต่อ​ไป​แล้ว ฉะนั้น ผู้​เยาว์​ที่​บิดา​และ​มารดา​ถึงแก่​ ความ​ตาย​ไป​แล้ว​ทั้ง​สอง​คน​หาก​จะ​ทำการ​หมั้น​จะ​ต้อง​มี​การ​ตั้ง​ผู้​ปกครอง​เสีย​ก่อน เมื่อ​มี​ผู้​ปกครอง​แล้ว​ผู้​เยาว์​เช่น​ ว่า​นี้​จะ​มา​ขอ​อนุญาต​ศาล​ให้​ตน​ทำการ​หมั้น​ไม่​ได้​เพราะ​ไม่มี​กฎหมาย​บัญญัติ​ไว้ จะ​อนุโลม​ใช้​มาตรา 1456 ใน​กรณี​ ขออ​ นุญาตศ​ าล​ให้ท​ ำการ​สมรส​ไม่​ได้ ต้องข​ อ​ความย​ ินยอม​จากผ​ ู้​ปกครอง สำหรับ​กรณี​ที่​บิดา​มารดา​มิได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน บุตร​ถือว่า​เป็น​บุตร​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​มารดา​แต่​ ผู้​เดียว บุตร​ผู้​เยาว์​หาก​จะ​ทำการ​หมั้น​จึง​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​แต่​เฉพาะ​จาก​มารดา​เพียง​คน​เดียว​เท่านั้น ใน​กรณี​ ที่​บิดา​ที่​มิ​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ให้​ความ​ยินยอม​ใน​การ​หมั้น​แต่​เพียง​ผู้​เดียว การ​หมั้น​นั้น​ย่อม​เป็น​โมฆียะ เพราะ​บิดา ​ไม่ได้​มี​อำนาจ​ปกครอง​จึง​ไม่​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​ได้ แม้ว่า​ภาย​หลัง​จาก​การ​หมั้น บิดา​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​มารดา​ ของ​ผู้​เยาว์​หรือ​จด​ทะเบียน​รับรอง​ผู้​เยาว์​เป็น​บุตร​ทำให้​มี​ฐานะ​เป็น​บิดา​ที่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย แต่​ก็​ไม่​ได้​ทำให้​การ​หมั้น​ ที่​เป็นโ​มฆียะ​นั้น​กลับก​ ลาย​เป็นการ​หมั้น​ที่​สมบูรณ์​ตามก​ ฎหมาย​แต่อ​ ย่างใ​ด20 การ​หมั้น​ที่​ผู้​เยาว์​ทำ​โดย​ปราศจาก​ความ​ยินยอม​ของ​บิดา​มารดา​ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​หรือ​ผู้​ปกครอง​ดัง​กล่าว ​เป็น​โมฆียะ ซึ่ง​หมายความ​ว่า ผู้​เยาว์​มี​สิทธิ​ที่​จะ​บอก​ล้าง​การ​หมั้น​นั้น​ได้​ตาม ปพพ.​ มาตรา 175 เมื่อ​บอก​ล้าง​แล้ว​ ก็​ถือว่า​เป็น​โมฆะ​มา​แต่​แรก​เริ่ม ผู้​เยาว์​อาจ​ให้​สัตยาบัน​ใน​สัญญา​หมั้น​ได้ เมื่อ​ตน​ได้​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​ตาม ปพพ. ​มาตรา 179 สำหรับบิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ก็​อาจ​จะ​ให้​สัตยาบัน​สัญญา​หมั้น​ที่​เป็น​โมฆียะ ซึ่ง​ทำให้​การ​หมั้น​สมบูรณ์​มา​แต่​แรก​เริ่ม​ได้​ตาม ปพพ. ​มาตรา 179 วรรค​สี่ แต่​ก็​ต้อง​เป็น​ไป​ตาม​เงื่อนไข​ใน​เรื่อง​การ​ ให้​ความ​ยินยอม กล่าว​คือ​ถ้า​กรณี​ที่​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บิดา​มารดา​ทั้ง​สอง​คน​นั้น การ​ให้​สัตยาบัน​ก็​ต้อง ​ให้​ทั้ง​สอง​คน ​เป็นต้น แต่​สำหรับ​เรื่อง​บอก​ล้าง​สัญญา​หมั้น​ที่​เป็น​โมฆียะ​นั้น​เป็น​ไป​ตาม​ ปพพ. มาตรา 175 คือ​บิดา มารดา หรือผ​ ู้รับ​บุตร​บุญธรรม​หรือ​ผู้ป​ กครองค​ นใ​ดค​ น​หนึ่ง​มีส​ ิทธิ​บอกล​ ้าง​การห​ มั้นท​ ี่​เป็น​โมฆียะ​นี้​ได้​โดย​ลำพัง บุคคล​ที่​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​มี​อำนาจ​ทำการ​หมั้น​ได้​โดย​ลำพัง​ตนเอง ไม่​จำเป็น​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​ บิดา มารดา ผู้รับบ​ ุตร​บุญธรรมห​ รือ​ผู้ป​ กครอง เฉพาะ​แต่ผ​ ู้​เยาว์​เท่านั้น​ที่​จะต​ ้องไ​ด้ร​ ับค​ วาม​ยินยอม​ตามม​ าตรา 1436 เงื่อนไข​เรื่อง​ความ​ยินยอม​ดัง​กล่าว​เป็น​บทบัญญัติ​ว่า​ด้วย​ความ​สามารถ​ของ​บุคคล​ใน​การ​ทำ​นิติกรรม คือ​เป็น​เรื่อง​ที่​ กฎหมาย​ยอม​ให้​ผู้​เยาว์​ทำ​นิติกรรม​ได้ แต่​จะ​ทำ​โดย​ลำพัง​ไม่​ได้​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​บุคคล​ที่​ระบุ​ไว้​เสีย​ก่อน มิ​ฉะนั้น​เป็น​โมฆียะ อย่างไร​ก็​ดี​ใน​กรณี​ที่​ผู้​เยาว์​บรรลุ​นิติภาวะ​ด้วย​การ​สมรส​ตาม​มาตรา 20 โดย​ทำการ​สมรส​ก่อน ​อายุ​ครบ​สิบ​เจ็ด​ปีบ​ริ​บูรณ์​ด้วย​การ​ขอ​อนุญาต​ศาล​ให้​ทำการ​สมรส​ตาม​มาตรา 1448 นั้น หาก​ต่อ​มา​ได้​ขาด​จาก​การ​ สมรส​และ​อายุ​ยัง​ไม่​ครบ​สิบ​เจ็ด​ปีบ​ริ​บูรณ์ แม้​ตนเอง​จะ​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​ก็ตาม หาก​จะ​ทำการ​หมั้น​ใหม่​อีก ก็​ยัง​อยู่​ ใน​เงื่อนไข​ของ​การ​หมั้น​ประการ​หนึ่ง ใน​เรื่อง​อายุ​ที่​จะ​ต้อง​มีอายุ​ครบ​สิบ​เจ็ด​ปีบ​ริ​บูรณ์​ด้วย ฉะนั้น​บุคคล​ดัง​กล่าว​ จึงจ​ ะม​ า​ทำการ​หมั้น​ไม่ไ​ด้ หาก​ฝ่าฝืน​การ​หมั้นน​ ี้​เป็น​โมฆะ 20 ชาติช​ าย อัครว​ ิบูลย์ คำ​อธิบาย​ประมวล​กฎหมายแ​ พ่ง​และพ​ าณิชย์ บรรพ 5 ว่าด​ ้วย​ครอบครัว กรุงเทพมหานคร สำนัก​พิมพ์​วิญญูชน พ.ศ. 2552 น.91 มสธ มส

มส 1-24 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ใน​กรณี​ที่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ผู้​ซึ่ง​มี​อำนาจ​ให้​ความ​ยินยอม​แก่​ผู้​เยาว์​ให้​ทำการ​มสธ หมั้น ไม่​ให้​ความ​ยินยอม​โดย​ปราศจาก​เหตุผล ผู้​เยาว์​อาจ​ใช้​ทาง​แก้​ตาม​มาตรา 1582 หรือ​มาตรา 1598/8 แล้ว​แต่​ กรณี​ซึ่ง​มี​ราย​ละเอียด​อยู่​ใน​หน่วย​ที่ 6 โดย​ถือว่า​ผู้​ใช้​อำนาจ​ปกครอง​ใช้​อำนาจ​ปกครอง​เกี่ยว​แก่​ผู้​เยาว์​โดย​มิ​ชอบ ผู้​เยาว์​จึง​อาจ​ขอ​ให้​ญาติ​หรือ​พนักงาน​อัยการ​ร้องขอ​ต่อ​ศาล​ให้​ถอน​อำนาจ​ปกครอง​ใน​ส่วน​นี้​เสีย หรือ​ขอ​ให้​ถอน ​ผู้​ปกครอง​แล้ว​จัด​ให้​มี​ผู้​ปกครอง​ขึ้น​ใหม่ หลัง​จาก​นั้น​ผู้​เยาว์​ก็​มา​ขอรับ​ความ​ยินยอม​จาก​ผู้​ปกครอง​ใหม่​นี้​เพื่อ​ทำการ​ หมั้นต​ ่อไ​ป การ​ให้​ความ​ยินยอม​ใน​การ​หมั้น​กฎหมาย​ไม่​ได้​กำหนด​แบบ​พิธี​ไว้ ฉะนั้น​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​ หรือ​ผู้​ปกครอง​จึง​อาจ​ให้​ความ​ยินยอม​โดย​วิธี​หนึ่ง​วิธี​ใด เช่น ด้วย​วาจา​หรือ​โดย​ลาย​ลักษณ์​อักษร​ก็ได้ ใน​กรณี​ที่​ ผู้​เยาว์​ไม่มี​ทั้ง​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ที่​จะ​ให้​ความ​ยินยอม​ใน​การ​หมั้น ก็​จำเป็น​ที่​จะ​ต้อง​จัด​ให้​มี​ผู้​ปกครอง​ขึ้น​ตาม​ มาตรา 1585 เสียก​ ่อน เมื่อม​ ีผ​ ู้ป​ กครอง​แล้วจ​ ึง​จะ​ขอรับ​ความย​ ินยอม​จากผ​ ู้​ปกครอง​นั้น​เพื่อ​ทำการห​ มั้น​ต่อ​ไป อย่างไร​ก็ตาม ใน​เรื่อง​การ​หมั้น​นี้ ต้อง​คำนึง​ถึง​เงื่อนไข​ใน​ประการ​อื่น​ตาม​ที่​ได้​กล่าว​มา​แล้ว ใน​เรื่อง​ที่ 1.2.1 สัญญา​หมั้น ด้วย เช่น เงื่อนไขท​ ี่เ​กี่ยวก​ ับว​ ัตถุประสงค์ห​ รือ​ที่เ​กี่ยวก​ ับ​เงื่อนไข​ของ​การส​ มรส เป็นต้น กิจกรรม 1.2.2 1. เง่อื นไข​ของก​ าร​ที่ช​ ายแ​ ละห​ ญงิ จ​ ะ​ทำการ​หม้ัน​กัน​มอ​ี ยา่ งไรบ​ า้ ง 2. ชายอ​ ายุ 21 ปี ทำส​ ญั ญาห​ มนั้ ก​ บั ห​ ญงิ อ​ ายุ 16 ปดี​ ว้ ยว​ าจา แตไ​่ ดใ​้ หเ​้ งนิ สด 10,000 บาท เปน็ ข​ องห​ มนั้ ​ สญั ญา​หม้นั ​ดงั ​กล่าวม​ ​ีผลใ​ช้​บังคบั ห​ รือ​ไม่ 3. ผู​เ้ ยาวอ​์ ายุ 18 ปี บิดา​ถึงแก​่ความต​ าย​ไป​แลว้ เหลือแ​ ตม​่ ารดา​และศ​ าลไ​ด​ต้ ั้งน​ าย กนก เป็น​ผป​ู้ กครอง​ ผ​ูเ้ ยาว์ หากผ​ ้เู​ยาวจ​์ ะ​ทำการห​ มน้ั จ​ ะต​ ้อง​ได​ร้ บั ค​ วามย​ นิ ยอม​จากใ​ครห​ รือไ​ม่ แนว​ตอบก​ ิจกรรม 1.2.2 1. เงือ่ นไข​ของ​การท​ ช่​ี าย​หญงิ จ​ ะห​ ม้นั ก​ ันม​ ี 2 ประการ คือ (1) อาย​ุของ​ชายห​ ญงิ ค​ ​ู่หม้ันต​ อ้ งค​ รบ 17 ปีบร​ บิ​ ูรณ์​ทงั้ ส​ องค​ น ตาม​ปพพ. มาตรา 1435 และ (2) ถา้ ​ยัง​เป็นผ​ ​เู้ ยาวจ​์ ะ​ตอ้ งไ​ดร้​ ับค​ วามย​ ินยอม​จาก​บิดา​มารดา ผรู้ บั บ​ ตุ รบ​ ญุ ธรรม หรือ​ผปู้​ กครอง​ ตาม​ปพพ. มาตรา 1436 2. สัญญาห​ ม้ันด​ งั ก​ ล่าวเ​ป็น​โมฆะต​ าม​ปพพ. มาตรา 1435 วรรค​สอง เพราะห​ ญิง​อายย​ุ ังไ​มค​่ รบ 17 ปี บร​ ิ​บูรณ์ 3. ผู้​เยาว์​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​จาก​นาย กนก ซ่ึง​เป็น​ผู้​ปกครอง มารดา​ไม่มี​สิทธิ​ให้​ความ​ยินยอม เพราะถ​ กู ​ถอนอ​ ำนาจป​ กครองไ​ป​แล้ว ตาม ป​ พพ. มาตรา 1436 และ 1585 มสธ มสธ มส

มส การหม้นั 1-25 เร่อื งท​ ่ี 1.2.3 ของ​หมั้น สนิ สอด และ​ทรพั ยส์ นิ อ​ ่นื มสธ มสธ ใน​กรณี​ที่​ชาย​และ​หญิง​ต้องการ​ที่​จะ​ทำการ​หมั้น​กัน ใน​ทาง​ประเพณี​มัก​จะ​มี​ทรัพย์สิน​เข้า​มา​เกี่ยวข้อง​ด้วย กล่าว​คือ มัก​จะ​มี​การ​ให้​ทรัพย์สิน​ต่อ​กัน​หรือ​ให้​ต่อ​ผู้ใหญ่​ของ​คู่​หมั้น โดย​มัก​จะ​เรียก​ควบคู่​กัน​ไป​ว่า​ให้​สินสอด​ทอง​ หมั้น (ของ​หมั้น) ซึ่ง​ใน​ทาง​กฎหมาย​ก็ได้​มี​บทบัญญัติ​ที่​เป็น​เรื่อง​สำคัญ​ของ​การ​หมั้น​ใน​ส่วน​ที่​เกี่ยว​กับ​ทรัพย์สิน ​เช่น​กัน ดัง​ที่​บัญญัติ​อยู่​ใน ปพพ. มาตรา 1437 นอกจาก​นั้น​ยัง​มี​ทรัพย์สิน​อื่น​ที่​ตาม​วัฒนธรรม​ประเพณี​ดั้งเดิม​มี​ ปรากฏใ​ห้​เห็นเ​ป็นร​ ูป​ธรรมอ​ ยู่ใ​น​ปัจจุบัน เช่น​ทรัพย์​รับ​ไหว้ เรือน​หอ หรือ​ทรัพย์​กองทุน มาตรา 1437 “การห​ ม้นั จ​ ะ​สมบรู ณเ​์ ม่อื ฝ​ า่ ย​ชาย​ได้​ส่งม​ อบห​ รือโ​อน​ทรพั ยส์ ิน​อนั เ​ป็น​ของ​หมัน้ ​ให​แ้ ก​ห่ ญงิ ​เพื่อ​ เป็น​หลักฐ​ าน​ว่าจ​ ะส​ มรส​กับห​ ญงิ น​ ้ัน เม่ือ​หมน้ั แ​ ล้ว​ใหข​้ อง​หม้ันต​ กเ​ป็นส​ ิทธิแ​ ก​ห่ ญิง สินสอด เป็น​ทรัพย์สิน​ซึ่ง​ฝ่าย​ชาย​ให้​แก่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ฝ่าย​หญิง แล้ว​แต่​ กรณี​เพ่ือ​ตอบแทน​การ​ท่ี​หญิง​ยอม​สมรส ถ้า​ไม่มี​การ​สมรส โดย​มี​เหตุ​สำคัญ​อัน​เกิด​แก่​หญิง หรือ​โดย​พฤติการณ์​ ซงึ่ ​ฝา่ ย​หญงิ ต​ ้อง​รบั ​ผดิ ​ชอบ ทำให้​ชายไ​มส​่ มควรห​ รอื ​ไม​่อาจ​สมรส​กบั ห​ ญิงน​ นั้ ฝา่ ย​ชายเ​รียก​สินสอดค​ นื ​ได้ ถ้า​จะ​ต้อง​คืน​ของ​หม้ัน​หรือ​สินสอด​ตาม​หมวด​นี้ ให้​นำ​บทบัญญัติ​มาตรา 412 ถึง​มาตรา 418 แห่ง​ประมวล​ กฎหมายน​ ​วี้ า่ ด​ ว้ ยล​ าภม​ ​คิ วรไ​ดม​้ าใ​ช้​บงั คับโ​ดยอ​ นโุ ลม” 1. ของ​หมั้น กฎหมาย​ปัจจุบัน​มิได้​มี​บท​วิเคราะห์​ศัพท์​คำ​ว่า “ของ​หมั้น” ไว้​เหมือน​เช่น​กฎหมาย​เดิม แต่​จาก​บทบัญญัติ​ มาตรา 1437 นี้​พอ​จะ​ให้​ความ​หมาย​ได้​ว่า “ของ​หม้ัน​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​ฝ่าย​ชาย​ได้​ส่ง​มอบ​หรือ​โอน​ให้​แก่​หญิง​เพื่อ​เป็น​ หลัก​ฐาน​ว่า​จะ​สมรส​กับ​หญิง​น้ัน” ตาม​ประเพณี​โบราณ​มี​การ​ส่ง​ขันหมาก​กล่าว​ถาม​ฝ่าย​หญิง​ว่า​หญิง​จะ​ยินยอม​ทำ การ​หมั้น​หมาย​กับ​ชาย​ด้วย​หรือ​ไม่ ขันหมาก​กล่าว​ถาม​นี้​ใช้​หมาก​พลู​เป็น​ของ​คำนับ​ใส่​ไป​ใน​ขัน เพราะ​เป็น​ภาชนะ​ที่​ ทนทาน​และ​สะดวก​ใน​การ​ถือ เมื่อ​ฝ่าย​หญิง​ได้​รับ​ขันหมาก​กล่าว​ถาม​และ​ยินยอม ฝ่าย​ชาย​ต้อง​นำ​ขันหมาก​ไป​อีก​ ครั้ง​หนึ่ง​เรียก​ว่า​ขันหมาก​หมั้น ฝ่าย​หญิง​ก็​รับ​ขันหมาก​หมั้น​นั้น​ไว้​เป็น​เครื่อง​มัดจำ​ว่า​ชาย​หญิง​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​จะ​ทำการ​ สมรส​กัน ใน​สมัย​ต่อ​มาส​ภาพ​สังคม​และ​เศรษฐกิจ​เปลี่ยนแปลง​ไป จึง​เปลี่ยน​ขันหมาก​หมั้น​มา​เป็น​หมั้น​ทองคำ​หรือ​ ทรัพย์สิน​สิ่ง​อื่น​จึง​เกิด​มีค​ ำ​ว่าข​ องห​ มั้น​ขึ้น ของ​หมั้น​นั้น​ฝ่าย​ชาย​จะ​ต้อง​ได้​ส่ง​มอบ​หรือ​โอน​ให้​หญิง​ไว้​เป็น​กรรมสิทธิ์​ตั้งแต่​ใน​เวลา​หมั้น เพียง​แต่​สัญญา​ ว่า​จะ​ส่ง​ทรัพย์​ให้​เป็น​ของ​หมั้น ไม่​ถือว่า​เป็นการ​ให้​ทรัพย์​เป็น​ของ​หมั้น การ​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ของ​หมั้น​ส่วน​หนึ่ง​ให้​แก่​ ฝ่าย​หญิง อีก​ส่วน​หนึ่ง​สัญญา​จะ​นำ​มา​มอบ​ให้​ใน​วัน​หน้า​นั้น คง​เป็น​ของ​หมั้น​เฉพาะ​ทรัพย์​ส่วน​ที่​มอบ​ให้ ส่วน​ที่​ยัง​ ไม่​ได้​มอบ​ไม่​เป็น​ของ​หมั้น ฉะนั้น เมื่อ​ชาย​ตาย​ของ​หมั้น​ที่​มอบ​ให้​หญิง​ไว้​แล้ว​ตก​เป็น​ของ​หญิง แต่​หญิง​จะ​ฟ้อง​เรียก​ ส่วน​ที่​ยัง​ไม่ไ​ด้น​ ำ​มา​มอบ​ให้​ไม่​ได้21 มสธ มสธ มส 21 ฎ. 1094/2492

มส 1-26 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ของ​หมั้น​จะ​มี​ราคา​มาก​น้อย​เท่าใด​ไม่ใช่​เป็น​ข้อ​สำคัญ เช่น ฝ่าย​ชาย​เอา​หมาก​พลู​ใส่​พาน​กับ​ผ้า​ขาว​ห่อ​มสธ กระดาษ​มา​ให้​เป็น​ของ​หมั้น ประเพณี​ท้อง​ถิ่น​เวลา​ไป​เหยียบ​เรือน ​ชาย​เอา​ผ้า​ไป​เคารพ​ต่อ​บิดา​มารดา​หญิงถือว่า​เป็น การ​หมั้น​กันต​ ามก​ ฎหมาย22มสธ การ​ให้​ของ​หมั้น​นั้น​เป็นการ​ให้​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​ว่า​ชาย​จะ​สมรส​กับ​หญิง​นั้น​และ​กรรมสิทธิ์​ใน​ของ​หมั้น​เป็น​ ของ​หญิง​ทันที​ที่​ส่ง​มอบ​ให้ ตาม​ที่​บัญญัติ​ไว้​ใน​มาตรา 1437 วรรค​สอง ซึ่ง​เป็น​หลัก​การ​ที่​กำหนด​ขึ้น​ใหม่​ใน พ.ศ. 2533 นี้​เอง หลัก​การ​ใหม่​นี้​กฎหมาย​กำหนด​ให้​ของ​หมั้น​เป็น​เสมือน​ของ​ขวัญ​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​ตัว​หญิง​คู่​หมั้น แทน ที่​จะ​ถือว่า​เป็น​เพียง​ทรัพย์สิน​ที่​ให้​หญิง​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​การ​หมั้น​และ​ประกัน​ว่า​จะ​สมรส​กับ​หญิง​ดัง​เช่น​กฎหมาย ​เดิม​ ทั้งนี้​สืบ​เนื่อง​มา​จาก​แนว​ความ​คิด​ที่​จะ​คุ้มครอง​สิทธิ​ของ​สตรี​เพื่อ​ตัด​ปัญหา​เรื่อง​การ​ใช้สอย ดูแล สงวน​รักษา​ ของ​หมั้น รวม​ทั้ง​ปัญหา​เรื่อง​ดอก​ผล​ของ​ของ​หมั้น​ว่า​ควร​จะ​เป็น​ของ​ชาย​หรือ​ของ​หญิง​ด้วย เมื่อ​ให้​กรรมสิทธิ์​ใน​ของ​ หมั้นต​ ก​ไปย​ ัง​หญิงค​ ู่​หมั้น​ตั้งแต่ท​ ี่ไ​ด้ท​ ำการ​หมั้น​กัน​แล้ว ปัญหาต​ ่างๆ เหล่า​นี้​ย่อม​หมดไ​ป หญิง​คู่​หมั้น​มี​กรรมสิทธิ์​ใน​ ของ​หมั้น​ใน​อัน​ที่​จะ​ใช้สอย ได้​ดอก​ผล หรือ​จำหน่าย​จ่าย​โอน​ได้​ตามใจ​ชอบ แต่​จะ​ต้อง​รับ​ผิด​ใน​การ​คืน​ของ​หมั้น​ให้​ ฝ่าย​ชาย หาก​ตนเองผ​ ิดส​ ัญญาห​ มั้น​ไม่​ยอม​สมรส​กับ​ชาย หรือ​ในก​ รณี​ที่​มี​เหตุส​ ำคัญอ​ ันเ​กิด​แก่ห​ ญิงค​ ู่ห​ มั้น ทำให้​ชาย​ ไม่​สมควรส​ มรส​กับ​หญิง เช่น หญิง​ไป​เสีย​เนื้อ​เสีย​ตัว​ให้​ชาย​อื่น เช่น​นี้​ชาย​คู่​หมั้น​มี​สิทธิ​บอก​เลิก​สัญญา​หมั้น​ได้ และ​ หญงิ ก​ ต​็ ้องค​ ืนข​ องห​ มั้นใ​หแ้​ กช​่ ายต​ ามม​ าตรา 1442 แตห​่ ากเ​หตสุ​ ำคญั น​ ั้นเ​กดิ แ​ กช​่ ายค​ ูห​่ มั้น เช่น ชายค​ ูห่​ มัน้ เ​กิดว​ กิ ลจริต ​และ​รักษา​ไม่​หาย หญิง​ก็​มี​สิทธิ​บอก​เลิก​สัญญา​หมั้น​ได้​โดย​ไม่​ต้อง​คืน​ของ​หมั้น​แก่​ชาย​ตาม​มาตรา 1443 (ซึ่ง​จะ​ อธิบาย​ต่อ​ไป​ใน​เรื่อง​ที่ 4.1.1 เหตุ​ที่​ทำให้​การ​สมรส​เป็น​โมฆะ) ใน​กรณี​ที่​ของ​หมั้น​เป็น​ที่ดิน ​โรง​เรือน สิ่ง​ปลูก​สร้าง หญิงค​ ู่​หมั้น​ก็​จะต​ ้อง​รับผ​ ิดช​ อบใ​น​การเ​สียภ​ าษี​เอง ต้อง​ซ่อมแซมด​ ูแลเ​อง แต่​ก็ม​ ีส​ ิทธิ​ได้​ค่า​เช่า​หาก​เอา​ไปใ​ห้​คน​อื่น​เช่า หรือ​ถ้า​ของ​หมั้น​เป็น​สัตว์​พาหนะ เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ หญิง​คู่​หมั้น​ที่​อุตส่าห์​ดูแล​เลี้ยง​ดู​สัตว์​เหล่า​นี้​ก็​มี​สิทธิ​ได้​ ลูก​สัตว์​ที่​เกิด​ขึ้น​มา ถ้า​เป็น​โคนม​ก็​มี​สิทธิ​รีด​นม​เอา​ไป​ขาย​ได้​เงิน​มา​เป็น​ของ​ตน​ได้​หรือ​ถ้า​ของ​หมั้น​เป็น​สวน​ยาง สวน​ ลำไย หญิง​คู่​หมั้น​ก็​มี​สิทธิ​กรีด​ยาง เอา​ผล​ลำไย​ไป​ขาย ทำให้​หญิง​มี​ความ​มั่นใจ​ที่​จะ​ลงทุน​ลงแรง​ทำนุ​บำรุง​ปรับปรุง​ เอาใจ​ใส่ด​ ูแล​สวนย​ าง หรือส​ วนล​ ำไย​แห่งน​ ี้ อันจ​ ะเ​ป็น​ผล​ดี​แก่ร​ ะบบเ​ศรษฐกิจ​ของ​ชาติด​ ้วย นอก​เหนือ​จาก​การ​กำหนด​ให้​ของ​หมั้น​เป็น​เสมือน​ของ​ขวัญ​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​แก่​หญิง​คู่​หมั้น​แล้ว ของ​หมั้น​ ยัง​เป็น​หลัก​ฐาน​แห่ง​สัญญา​หมั้น​และ​การ​หมั้น​จะ​ต้อง​มี​ของ​หมั้น​ใน​ทุก​กรณี​ด้วย มิ​ฉะนั้น​การ​หมั้น​ไม่​สมบูรณ์​ทั้งนี้​ เพื่อ​ตัด​ปัญหา​ที่​จะ​โต้​เถียง​กัน​ใน​ภาย​หลัง​ว่า​ได้​มี​การ​หมั้น​กัน​หรือ​ยัง และ​สอดคล้อง​กับ​ธรรมเนียม​ประเพณี​โบราณ ​ของ​ไทย​ที่​ชาย​จะ​ต้อง​มอบ​ทรัพย์สิน​อัน​เป็น​ของ​หมั้น​ให้​ไว้​แก่​หญิง​อยู่​เสมอ​ด้วย​แล้ว ของ​หมั้น​จะ​เป็น​ทรัพย์สิน​อะไร ​ก็ได้​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​แหวน​หมั้น ทอง​หมั้น เงิน​ตรา ที่ดิน บ้าน​เรือน รถยนต์ สัตว์​พาหนะ ฯลฯ การ​ให้​ของ​หมั้น​มี​เฉพาะ ​ที่​ฝ่าย​ชาย​ให้​ทรัพย์สิน​แก่​หญิง หาก​มี​การ​ฝืน​ประเพณี​ที่​หญิง​กลับ​เป็น​ฝ่าย​ให้​ทรัพย์สิน​เป็น​ของ​หมั้น​แก่​ชาย เช่นนี้​ ทรัพย์สิน​ดัง​กล่าว​ไม่​เป็น​ของ​หมั้น ทรัพย์สิน​ที่​จะ​นำ​มา​หมั้น​กัน​ได้​ต้อง​เป็น​ของ​ผู้​นั้น หรือ​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​เจ้าของ ​ยินยอม​ให้​นำ​มา​ใช้​เป็น​ของ​หมั้น ถ้า​ไป​เอา​ทรัพย์สิน​ของ​บุคคล​อื่น​มา​ให้​เป็น​ของ​หมั้น​โดย​เจ้าของ​ทรัพย์​ไม่​ยินยอม​ อนุญาต เจ้าของ​มี​สิทธิ​ที่​จะ​ติดตาม​เอา​คืน​มา​ได้​ตาม​มาตรา 1336 ​อย่างไร​ก็​ดี​การ​ที่​เจ้าของ​ทรัพย์​ให้​ยืม​ทรัพย์สิน ​ของ​ตน​ไป​ทำการ​หมั้น แม้​จะ​ตกลง​ให้​ยืม​เป็น​ของ​หมั้น​ชั่วคราว​เมื่อ​ฝ่าย​หญิง​ไม่รู้​เรื่อง​ด้วย ของ​หมั้น​ก็​ตก​แก่​ฝ่าย​ หญิง23 สำหรับ​ทรัพย์สิน​ที่​ชาย​คู่​หมั้น​ยก​ให้​แก่​หญิง​คู่​หมั้น​ใน​ฐานะ​อื่น​ไม่ใช่​ฐานะ​ที่​เป็น​ของ​หมั้น เช่น ชาย​คู่​หมั้น​ซื้อ​ นาฬิกา​ข้อ​มือ​ให้​แก่​หญิง​คู่​หมั้น​เรือน​หนึ่ง​เป็น​ของ​ขวัญ​วัน​เกิด​ถือ​เป็นการ​ให้​โดย​เสน่หา เช่น​นี้​กรรมสิทธิ์​ใน​ทรัพย์สิน ​ตก​ไป​เป็น​ของ​หญิง​คู่​หมั้น​ทันที​เช่น​เดียวกัน แต่​แม้​หญิง​จะ​ผิด​สัญญา​หมั้น​ก็​จะ​เรียก​คืน​ไม่​ได้​เพราะ​ไม่ใช่​ของ​หมั้น 22 ฎ. 1217/2496 23 ฎ. 1198/2492 มสธ มส

มส การหมนั้ 1-27 มสธ จะ​มีก​ าร​เรียกค​ ืนไ​ด้ก​ ็แ​ ต่​เฉพาะ​เมื่อ​มีเ​หตุ​ประพฤติ​เนรคุณต​ าม​มาตรา 531 เท่านั้น นอกจาก​นี้​การใ​ห้​ของ​หมั้นน​ ั้น​ต้อง​มสธ เป็นการ​ให้​โดย​มี​เจตนา​จะ​สมรส​กัน​ตาม​กฎหมาย ฉะนั้น เมื่อ​ข้อ​เท็จ​จริง​ปรากฏ​ชัด​ว่า​ชาย​หญิง​เพียง​แต่​ประกอบ​พิธี​ สมรส​หา​ได้​มี​เจตนา​ที่​จะ​ไป​จด​ทะเบียนส​ มรส​เพื่อ​ให้​มี​ผล​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมายไ​ม่ การ​ประกอบ​พิธี​สมรส​ดัง​กล่าว​จึง​มสธ ถือ​ไม่​ได้​ว่า​เป็นการ​สมรส​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย ด้วย​เหตุ​ดัง​กล่าว​เงิน​และ​แหวน​เพชร​กับ​สร้อย​คอ​ทองคำ​ที่​ฝ่าย​ชาย​ อ้าง​ว่า​ได้​มอบ​ให้​แก่​ฝ่าย​หญิง​จึง​หา​ได้​ให้​ใน​ฐานะ​เป็น​สินสอด​และ​ของ​หมั้น​ตาม​ความ​หมาย​แห่ง​ ปพพ. มาตรา 1437 ไม่ ฝ่าย​ชาย​จึง​ไม่มีส​ ิทธิ​เรียกค​ ืน24 เป็นต้น การ​จัด​พิธี​หมั้น​ไม่ใช่​สาระ​สำคัญ​ของ​การ​หมั้น​เนื่องจาก​การ​หมั้น​นั้น มี​สาระ​สำคัญ​อยู่​ที่​การ​มอบ​ของ​หมั้น​ ให้ห​ ญิงค​ ู่​หมั้นเ​พื่อ​เป็น​หลัก​ฐานว​ ่า​จะ​ทำการส​ มรสใ​น​อนาคต ดังน​ ั้น​แม้ไ​ม่​ได้​มี​การ​จัด​พิธี​หมั้นต​ ามป​ ระเพณี การห​ มั้น ก​ ็​ยังม​ ีผ​ ล​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​หากว่า​มีก​ ารใ​ห้​ของห​ มั้นก​ ัน​อย่าง​ถูก​ต้อง ฎ. 4905/2543 พฤติการณ์​ที่​จำเลย​ซื้อ​แหวน​เรือน​ทอง​ฝัง​เพชร​มอบ​ให้​โจทก์​ตลอด​จน​การ​จอง​สถาน​ที่​จัด​ งาน​พิธี​สมรส​และ​พิมพ์​บัตร​เชิญ​งาน​สมรส​รวม​ทั้งก​ าร​ติดต่อ​ผู้ใหญ่​ให้​มาเ​ป็น​เจ้า​ภาพ​ใน​งาน​พิธี​สมรส ล้วน​ส่อ​แสดง​ว่า จ​ ำเลยป​ ระสงคจ์​ ะส​ มรสก​ ับโ​จทก์ การใ​ห้แ​ หวนก​ ันด​ ังก​ ล่าวถ​ ือไ​ด้ว​ ่าเ​ป็นการห​ มั้นแ​ ละเ​พื่อเ​ป็นห​ ลักฐ​ านว​ ่าจ​ ะม​ ีก​ ารส​ มรส​ กัน​ใน​เวลา​ต่อ​มา​แม้​การ​หมั้น​จะ​มิได้​จัด​พิธี​ตาม​ประเพณี​หรือ​มี​ผู้ใหญ่ทั้ง​สอง​ฝ่าย​มา​ร่วม​เป็น​สักขี​พยาน​ก็​เป็นการ​ หมั้นโ​ดยส​ มบูรณ์​ตาม​กฎหมาย เมื่อ​จำเลย​ไปส​ มรส​กับ น. โดย​มิได้​สมรส​กับโ​จทก์ จำเลยจ​ ึงเ​ป็นฝ​ ่าย​ผิด​สัญญาห​ มั้น ลักษณะส​ ำคัญ​ของข​ องห​ มั้น​จะต​ ้องเ​ข้า​หลัก​เกณฑ์ 4 ประการ (1) ต้อง​เป็น​ทรัพย์สิน ทรัพย์สิน​ที่​เป็น​ของ​หมั้น​ได้ หมายความ​รวม​ทั้ง​ทรัพย์​ทั้ง​วัตถุ​ไม่มี​รูป​ร่าง ซึ่ง​อาจ​ มี​ราคา​และ​ถือ​เอา​ได้ เช่น ทองคำ รถยนต์ บ้าน ลิขสิทธิ์ หรือ​สิทธิ​เรียก​ร้อง​อัน​เป็น​สิทธิ​ที่​เจ้า​หนี้​จะ​เรียก​บังคับ​ให้​ ลูก​หนี้​ชำระ​หนี้ ถือไ​ด้ว​ ่าเ​ป็น​ทรัพย์สิน​ที่น​ ำ​มาเ​ป็น​ของห​ มั้น​ได้ (2) ต้อง​เป็น​ของ​ฝ่าย​ชาย​ให้​ไว้​แก่​หญิง ของ​หมั้น​จะ​ต้อง​เป็น​ของ​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​ไว้​แก่​ตัว​หญิง​คู่​หมั้น ​เท่านั้น ไม่ใช่​การ​ให้​แก่​บิดา มารดา หรือ​ผู้​ปกครอง​ของ​หญิง​แต่​อย่าง​ใด ใน​ทาง​ตรง​กัน​ข้าม​หาก​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​หญิง ​ให้​แก่​ฝ่าย​ชาย​ไม่​ถือว่า​เป็น​ของ​หมั้น แต่​ของ​หมั้น​ไม่​จำเป็น​ต้อง​เป็น​กรรมสิทธิ์​ของ​ชาย​คู่​หมั้น แม้​เป็น​ของ​คน​อื่น​ ก็​อาจเ​ป็นข​ อง​หมั้นแ​ ละ​ตกเ​ป็น​กรรมสิทธิ์แ​ ก่ห​ ญิงเ​มื่อ​มี​การห​ มั้น​กันแ​ ล้ว​ได้ ใน​บาง​กรณี​ฝ่าย​ชาย​เพียง​แต่​นำ​ทรัพย์สิน​มา​แสดง​ใน​พิธี​หมั้น​เพื่อ​เป็นการ​ออก​หน้า​ออก​ตา​ว่า​ตน​มี​ทรัพย์สิน ​มาก โดย​ไม่​ได้​ตั้งใจ​จะ​ยก​ให้​ฝ่าย​หญิง​จริงๆ ซึ่ง​มี​การ​ตกลง​กับ​หญิง​ว่า​เมื่อ​เสร็จ​จาก​พิธี​หมั้น ฝ่าย​ชาย​จะ​นำ​ทรัพย์สิน​ นั้น​กลับ​คืน​ไป กรณี​ดัง​กล่าว​กรรม​สิทธิ์​ใน​ทรัพย์สิน​นั้น​ยัง​คง​อยู่​กับ​ฝ่าย​ชาย ทรัพย์สิน​นั้น​จึง​ไม่​ได้​เป็น​ของ​หมั้น​แต่​ อย่าง​ใด25 (3) ต้อง​ให้​ไว้​ใน​เวลา​ทำ​สัญญา​หมั้น​และ​หญิง​ต้อง​ได้​รับ​ไว้​แล้ว ของ​หมั้น​นั้น​จะ​ต้อง​มี​การ​ให้​ไว้​ใน​เวลา​ทำ​ สัญญา​หมั้น​และ​หญิง​ต้อง​รับ​ไว้​แล้ว หาก​เพียง​สัญญา​จะ​ให้​ทรัพย์สิน​เป็น​ของ​หมั้น​กัน​ใน​วัน​ข้าง​หน้า ยัง​ไม่​ได้​มี​การ ​มอบ​ทรัพย์สิน​ให้​แก่​กัน​อย่าง​แท้จริง หมั้น​กัน​ด้วย​เงิน​แต่​ไม่มี​เงิน​จึง​ทำ​สัญญา​กู้​ให้​หญิง​ยึดถือ​ไว้ ไม่​ถือว่า​เป็นการ​ให้​ ของ​หมั้นต​ ามก​ ฎหมาย หญิงจ​ ึงฟ​ ้องเ​รียกเ​งินก​ ู้ต​ าม​สัญญา​ใน​ฐานะ​เป็นข​ อง​หมั้น​ไม่​ได้ เป็นต้น ฎ. 1852/2506 จำเลย​ขอ​หมั้น​น้อง​สาว​โจทก์​ก็​เพื่อ​ให้​แต่งงาน​กับ​บุตร​จำเลย แต่​จำเลย​ไม่มี​เงิน​จึง​ทำ​สัญญา ​กู้​ให้​โจทก์​ยึดถือ​ไว้ และ​โจทก์​จำเลย​ตกลง​กัน​ว่า​ถ้า​จำเลย​ปลูก​เรือน​หอ​โจทก์​จะ​ลด​เงิน​กู้​ให้​ตาม​ราคา​เรือน​หอ ต่อมา​ จำเลย​ไม่​ปลูก​เรือน​หอ​และ​บุตร​จำเลย​ไม่​ยอม​แต่งงาน​กับ​น้อง​สาว​โจทก์ โจทก์​จึง​ฟ้อง​เรียก​เงิน​ตาม​สัญญา​เงิน​กู้ สัญญา​กู้​ดัง​กล่าว​นี้​เป็น​เพียง​สัญญา​จะ​ให้​ทรัพย์สิน​เป็น​ของ​หมั้น​ใน​วัน​ข้าง​หน้า ยัง​ไม่​ได้​มี​การ​มอบ​ทรัพย์สิน​ให้​กัน​ อย่าง​แท้จริง เจตนา​อัน​แท้จริง​ของ​คู่​สัญญา​ก็​มิได้​มุ่ง​ต่อ​การ​ให้​สัญญา​กู้​ตก​เป็น​ของ​อีก​ฝ่ายใน​สภาพ​ของ​หมั้น​และ​ไม่มี​ 24 ฎ. 3557/2524 25 ฎ. 8954/2549 มสธ มส

มส 1-28 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ความ​ประสงค์​ให้​ตก​เป็น​สิทธิ​แก่​หญิง​เมื่อ​สมรส​แล้ว ใน​กรณี​เช่น​นี้​ถือ​ไม่​ได้​ว่าการ​ให้​ของ​หมั้น​กัน​ตาม​กฎหมาย โจทก์​มสธ จะ​ฟ้อง​เรียก​เงิน​ตาม​สัญญา​กู้​ใน​ฐานะ​เป็น​ของ​หมั้น​มิได้ ทั้ง​สัญญา​กู้​ราย​นี้ ก็​ไม่มี​มูล​หนี้​เดิม​อัน​จะ​มี​ผล​ทำให้​โจทก์​มี​ สิทธิ​เรียกร​ ้อง​ให้จ​ ำเลยช​ ำระ​หนี้ต​ าม​สัญญาด​ ้วยมสธ ใน​กรณี​ที่​ฝ่าย​ชาย​ตกลง​กับ​หญิง​ว่า​จะ​เอา​ทรัพย์สิน​ที่​มี​ทะเบียน เช่น ที่ดิน สัตว์​พาหนะม​ า​เป็น​ของ​หมั้น แต่​ ใน​เวลา​หมั้น​ได้​เอาแต่​เฉพาะ​ทะเบียน​มา​ให้​ฝ่าย​หญิง มิได้​เอา​ตัว​ทรัพย์​มา​มอบ​ให้ ดังนี้ ถือ​ไม่​ได้​ว่าที่​ดิน​หรือ​สัตว์​ พาหนะ​นั้น​เป็น​ของ​หมั้น เพราะ​มิได้​มี​การ​ส่ง​มอบตัว​ทรัพย์สิน​กัน​ใน​เวลา​ทำ​สัญญา​หมั้น โดย​ทำ​เป็น​หนังสือ​และ​ จดท​ ะเบียนต​ ่อพ​ นักงาน​เจ้าห​ น้าที่ หรือ​บิดา​มารดา​ชาย​ทำส​ ัญญา​ยก​ที่​นา 10 ไร่ โดยแ​ บ่ง​ออกจ​ ากน​ า​แปลง​ใหญ่​มีโ​ฉนด​ แล้ว แต่​ไม่​ได้​มอบ​หมาย​แบ่ง​แยก​ออก​เป็น​ส่วนสัด ให้​เป็น​ของ​หมั้น​แก่​หญิง ต่อ​มา​ชาย​และ​หญิง​ได้​แต่งงาน​อยู่​กิน​ ด้วย​กัน​ที่​บ้าน​ชาย​โดย​ไม่​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน นา​ที่​ยก​ให้​ก็​ยัง​ไม่​ได้​มอบ​หมาย​ให้​กัน​อย่าง​แท้จริง ดังนี้ ยัง​ถือ​ไม่​ ได้​ว่า​นา 10 ไร่​นี้เ​ป็น​ของ​หมั้น หญิงจ​ ึงจ​ ะ​ฟ้องเ​รียก​นา 10 ไร่​ดัง​กล่าวใ​น​ฐานเ​ป็น​ของ​หมั้นไ​ม่​ได้26 โดย​การส​ ่งม​ อบข​ อง​ หมั้น​ที่​จะ​ต้อง​มี​การ​โอน​โดย​ทาง​ทะเบียน เช่น​อสังหาริมทรัพย์​นั้น จะ​ต้อง​มี​การ​โอน​ทาง​ทะเบียน​ให้​เสร็จ​ภายใน​วัน​ที่​ ทำส​ ัญญา​หมั้น จึงจ​ ะ​ถือว่าเ​ป็นการ​ให้ใ​น​เวลาท​ ี่ท​ ำส​ ัญญา​หมั้น (4) ต้อง​เป็นการ​ให้​ไว้​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​ว่า​จะ​สมรส​กับ​หญิง​น้ัน​และ​ต้อง​ให้​ไว้​ก่อน​สมรส ของ​หมั้น​ต้อง​เป็น การ​ให้​ไว้​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​ว่า​จะ​สมรส​กับ​หญิง โดย​การ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​นั้น​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน ใน​กรณี​ที่​ชาย​และ​หญิง​ไม่​ได้​มี​เจตนา​ที่​จะ​ไป​ทำการ​สมรส​กัน​ตาม​กฎหมาย​เพียง​แต่​ต้องการ​อยู่​กิน​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา หากฝ​ ่าย​ชายไ​ด้​ให้ท​ รัพย์สินแ​ ก่ห​ ญิง ทรัพย์สินท​ ี่​ได้​ให้​ไปน​ ั้น​ก็​ไม่ใช่​ของ​หมั้น​แต่อ​ ย่าง​ใด ฎ. 8954/2549 ฝ่าย​โจทก์​และ​ฝ่าย​จำเลย​ทำ​พิธี​หมั้น​ตาม​ประเพณี โดย​ไม่มี​เจตนา​ที่​จะ​จด​ทะเบียน​สมรส​ ต่อ​กัน ทรัพย์สิน​ที่​ฝ่าย​จำเลย​มอบ​ให้​ฝ่าย​โจทก์​จึง​ไม่ใช่​ของ​หมั้น เพราะ​ไม่ใช่​ทรัพย์สิน​ที่​ฝ่าย​จำเลย​มอบ​ให้​ฝ่าย​ โจทก์​เพื่อ​เป็น​หลัก​ฐาน​การ​หมั้นและ​ประกัน​ว่า​จะ​สมรสตาม ​ปพพ. มาตรา 1437 วรรค​หนึ่ง ดัง​นั้น เงินสด​จำนวน 1,444,000 บาท และ​ทองคำร​ ูปพ​ รรณ​ที่จ​ ำเลย​ที่ 1 นำ​ไปม​ อบใ​ห้แ​ ก่​ฝ่าย​โจทก์จ​ ึง​ไม่ใช่​ของ​หมั้น โจทก์​ทั้งส​ องจ​ ึง​ไม่​อาจ​ ฟ้องเ​รียก​คืน​ฐานผ​ ิดส​ ัญญาห​ มั้น​ได้ ฎ. 7031/2549 มี​ข้อต​ กลงก​ ัน​เพียงว​ ่าใ​ห้ ว. เรียนจ​ บ​และ​บวช​แล้ว ว.และจ​ ำเลยท​ ี่ 3 จะแ​ ต่งงานอ​ ยู่​กินก​ ันฉ​ ัน​ สามี​ภริยา​กัน แสดง​ว่า​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ไม่​ได้​มี​เจตนา​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​ตาม​กฎหมาย​ซึ่ง​จะ​ต้อง​มี​การ​จด​ทะเบียน​สม​รส​ตาม​ ปพพ.มาตรา 1457 จึง​ถือไ​ม่​ได้​ว่า​ทั้ง​สองฝ​ ่าย​ทำ​สัญญา​หมั้นต​ ่อ​กัน ดัง​นั้น การท​ ี่​โจทก์ใ​ห้​เงินสด แหวน​และส​ ร้อย​คอ​ ทองคำ​ซึ่ง​โจทก์​เรียก​ว่า​สินสอด​และ​ของ​หมั้น​แก่​จำเลย​ทั้ง​สาม​นั้น โจทก์​หา​ได้​ให้​ใน​ฐานะ​เป็น​สินสอด​และ​ของ​หมั้น​ไม่ เพราะ​สินสอด​และ​ของ​หมั้น​นั้น​จะ​ต้อง​เป็นการ​ให้​โดย​เจตนา​จะ​สมรส​กัน​ตาม​กฎหมาย โจทก์​จึง​ไม่มี​สิทธิ​เรียก​ทรัพย์​ ดังก​ ล่าว​คืน​จากจ​ ำเลย นอกจาก​นั้น​แล้ว​ใน​เรื่อง​ระยะ​เวลา​ของ​การ​ให้​ของ​หมั้น จะ​ต้อง​มี​การ​ให้​ไว้​ก่อน​ทำการ​สมรส ถ้า​ให้​เมื่อ​หลัง​ สมรส​แล้ว​ทรัพย์สิน​นั้น​ไม่ใช่​ของ​หมั้น เช่น ชาย​ตกลง​กับ​หญิง​ว่า​จะ​ให้​สร้อย​คอ​ทองคำ​เป็น​ของ​หมั้น โดย​จะ​ให้​เมื่อ ​จด​ทะเบียนส​ มรส​แล้วค​ รบ 1 ปี เมื่อจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรสแ​ ล้ว 1 ปี จึง​ให้​สร้อย​คอท​ องคำ​แก่​หญิง​ตามส​ ัญญา แหวน​เพชร​ นี้ไ​ม่ใช่ข​ อง​หมั้น แต่เ​ป็นการ​ให้โ​ดย​เสน่หา 2. สินสอด “สินสอด” คือ ทรัพย์สิน​ซึ่งฝ​ ่าย​ชายใ​ห้​แก่บ​ ิดาม​ ารดา ผู้รับ​บุตรบ​ ุญธรรม หรือ​ผู้ป​ กครอง​ฝ่ายห​ ญิง แล้ว​แต่​ กรณี​เพื่อ​ตอบแทน​การ​ที่​หญิง​ยอม​สมรส โดย​ถือ​เป็นการ​ตอบแทน​ที่​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​หญิง​ได้​เลี้ยง​ดู​หญิง​มา​จน​เติบ​ใหญ่​ จน​กระทั่ง​ได้​มาส​มร​สกับ​ชาย คำ​ว่า “ฝ่าย​ชาย” มี​ความ​หมาย​เช่น​เดียว​กับ​ใน​เรื่อง​หมั้น คือ อาจ​เป็น​ตัว​ชาย​เอง หรือ​ 26 ฎ. 1778/2549 มสธ มส

มส การหมัน้ 1-29 มสธ บุคคล​อื่น​ซึ่ง​ถือ​ได้​ว่า​เป็น​ฝ่าย​ชาย​เช่น​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ก็ได้ สินสอด​นี้ ตาม​ประเพณี​เดิม​ถือว่า​เป็น​ค่าน้ำ​นม​มสธ ที่​ผู้ใหญ่​ฝ่าย​หญิง​เรียก​ร้อง​เอา​มา​จาก​ฝ่าย​ชาย เพื่อ​เป็นการ​ตอบแทน​การ​ที่​หญิง​ยอม​สมรส หรือ​อีก​นัย​หนึ่ง​ก็​คือ​เป็น​ ค่าตัว​ลูกสาว​นั่นเอง ใน​ตอน​ร่าง​บรรพ 5 ใหม่​ได้​มี​การ​อภิปราย​ให้​ความ​เห็น​ถก​เถียง​กัน​ว่า​ควร​จะ​มี​บทบัญญัติ​เรื่อง​มสธ สินสอด​หรือ​ไม่​ฝ่าย​ที่​เห็น​ว่า​ไม่​ควร​มี​สินสอด​ให้​เหตุผล​ว่า สินสอด​มี​ลักษณะ​เหมือน​การ​ที่​ชาย​ซื้อ​หญิง​มา​เป็น​ภริยา​ จึง​เป็น​ของ​น่า​รังเกียจ ส่วน​ฝ่าย​ที่​มี​ความ​เห็น​ว่า​ควร​มี​สินสอด​ให้​เหตุผล​ว่า แท้จริง​แล้ว​สินสอด​ไม่ใช่​เป็นการ​ซื้อ​หญิง​ แต่ป​ ระการ​ใด แต่เ​ป็น​ธรรมเนียม​ประเพณี​ไทย​เราม​ า​แต่โ​บราณ โดย​ถือว่า​เป็น​ค่าน้ำ​นม ข้าว​ป้อน​หรือค​ ่า​สิน​หัวบัว​นาง​ ตาม​กฎหมาย​ลักษณะ​ผัว​เมีย บท​ที่ 109 การ​ที่ช​ าย​จะ​สมรส​กับ​หญิง​ก็​ควร​จะ​ระลึก​ถึง​บุญ​คุณ และ​แสดง​ความ​เคารพ​ คารวะ​บิดา​มารดา​หญิง​โดย​การ​ให้​สินสอด เหตุผล​ของ​ฝ่าย​หลัง​มี​เหตุผล​น่า​รับ​ฟัง​มากกว่า จึง​ยัง​คง​มี​บทบัญญัติ​ใน​ เรื่อง​สินสอดน​ ี้อ​ ยู่​ต่อม​ า โดย​ไม่มี​การ​เปลี่ยนแปลง ลักษณะ​สำคัญข​ องท​ รัพย์สินอ​ ัน​เป็นส​ ินสอด​มี​อยู่ 3 ประการ คือ (1) ต้อง​เป็น​ทรัพย์สิน สินสอด​อาจ​เป็น​ได้​ทั้ง​สังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์​และ​ยัง​หมายความ​รวม​ถึง​ สิทธิ​เรียก​ร้อง​ต่างๆ ด้วย (2) ต้อง​เป็น​ของ​ฝ่าย​ชาย​ให้​แก่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ฝ่าย​หญิง สินสอด​ต้อง​เป็น​ ของ​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​แก่ บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ฝ่าย​หญิง บุคคล​อื่น​นอกจาก​นี้​ไม่มี​สิทธิ​ เรียก​หรือ​รับ​สินสอด ใน​กรณี​ที่​มี​การ​มอบ​ทรัพย์สิน​ให้​ตัว​หญิง​เอง ทรัพย์​ที่​มอบ​ไว้​ให้​ก็​ไม่​ได้​เป็น​สินสอด เช่น หญิง​ บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​และ​ไม่มี​บิดา​มารดา หรือ​ผู้​ปกครอง รับ​หมั้น​และ​ตกลง​จะ​สมรส​กับ​ชาย​ด้วย​ตนเอง แล้ว​เรียก​เงิน​ จำนวน​หนึ่ง​เป็น​สินสอด แม้​ชาย​จะ​มอบ​ให้​ตาม​ที่​เรียก​ร้อง เงิน​จำนวน​นั้น​ไม่ใช่ “สินสอด” แต่​เป็นการ​ให้​โดย​เสน่หา หรือ​หญิง​และ​ชาย​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน และ​ทำ​บันทึก​เกี่ยว​กับ​ทรัพย์สิน​ไว้​ที่​ด้าน​หลัง​ทะเบียน​สมรส​ว่า ฝ่าย​ชาย​ยก​ ที่ดินพ​ ิพาทเ​ป็นส​ ินสอดแ​ ก่ฝ​ ่ายห​ ญิง เมื่อป​ รากฏว​ ่าบ​ ิดาม​ ารดาห​ ญิงถ​ ึงแก่ก​ รรมก​ ่อนท​ ี่ห​ ญิงก​ ับช​ ายจ​ ะจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรส​ กัน และไ​ม่ป​ รากฏว​ ่าห​ ญิงม​ ี​ผู้ป​ กครองใ​นข​ ณะจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรส การ​ที่ช​ ายต​ กลงย​ ก​ที่ดินพ​ ิพาท​ให้ห​ ญิงจ​ ึง​ถือ​ไม่​ได้ว​ ่า​ เป็นการ​ให้​ใน​ลักษณะ​ที่​เป็น “สินสอด” แต่​ข้อ​ตกลงด​ ัง​กล่าว​เป็น​บุคคล​สิทธิ​ใช้​บังคับ​กัน​ได้​ระหว่าง​คู่​สัญญา หญิง​จึง​ ฟ้องบ​ ังคับใ​ห้ช​ ายโ​อน​ที่ดิน​ให้​ตน​ตาม​บันทึก​ข้อต​ กลงไ​ด้27 ฎ. 2296/2537 มารดา​โจทก์​และ ห. เป็น​ผู้​สู่ขอ​บุตรส​ าวข​ องผ​ ู้​ร้อง​ให้​แต่งงานก​ ับ​จำเลย ผู้​ร้อง​จึง​เรียกท​ องคำ​ และ​เรือน​หอ​เป็น​ค่า​สินสอด  โจทก์​รับ​เป็น​ผู้​จัด​สร้าง​เรือน​หอ​ให้​แก่​จำเลย​และ​บุตร​สาว​ของ​ผู้​ร้อง  โดย​ต่อ​เติม​เรือน​หอ​ ออก​ไป​จาก​บ้าน​ของ​ผู้​ร้อง​เพื่อ​ให้​จำเลย​และ​บุตร​สาว​ของ​ผู้​ร้อง​ใช้​อยู่​อาศัย​หลัง​แต่งงาน  ซึ่ง​ตาม​ประเพณี​เรือน​หอ​นั้น​ สร้างใ​ห้เ​พื่อต​ อบแทนบ​ ิดาม​ ารดาฝ​ ่ายห​ ญิงท​ ี่ใ​ห้บ​ ุตรส​ าวแ​ ต่งงาน  เรือนห​ อจ​ ะส​ ร้างต​ รงไ​หนอ​ ย่างไรข​ ึ้นอ​ ยู่ก​ ับบ​ ิดาม​ ารดา​ ของ​ฝ่าย​หญิง  เรือน​หอ​จึง​เป็น​สินสอด​ที่​ฝ่าย​จำเลย​ซึ่ง​เป็น​เจ้า​บ่าว​มอบ​แก่​ผู้​ร้อง​ซึ่ง​เป็น​บิดา​มารดา​เจ้า​สาว  เรือน​หอ​ ย่อม​ตกเ​ป็นข​ องผ​ ู้ร​ ้อง ผู้ร​ ้องขอใ​ห้ป​ ล่อย​เรือนห​ อท​ ี่​โจทก์ย​ ึด​ไว้​ได้ (3) ให​เ้ พอื่ ​ตอบแทนก​ าร​ท​ห่ี ญงิ ​ยอม​สมรส การ​ให้​สินสอด​ต้อง​เป็นการ​ให้​ทรัพย์สิน​ภาย​ใต้ว​ ัตถุประสงค์​ที่​จะ​ ตอบแทนต​ ่อ​การ​ที่​หญิง​นั้น​ยอม​ทำการ​สมรส​กับ​ชาย การ​ให้​สินสอด​จึง​เป็น​นิติกรรมส​ ัญญา​อย่าง​หนึ่ง ซึ่ง​ไม่ใช่​การ​ให้​ โดย​เสน่หา​แต่​เป็น​สัญญา​ต่าง​ตอบแทน และ​ทรัพย์​ที่​เป็น​สินสอด​นั้น​เมื่อ​ได้​ส่ง​มอบ​ไป​แล้ว​ย่อม​ตก​เป็น​สิทธิ​เด็ด​ขาด​ แก่​ฝ่าย​หญิง​ทันที โดย​ไม่​ต้อง​รอ​ให้​มี​การ​สมรส​กัน​ก่อน​แต่​อย่าง​ใด อย่างไร​ก็​ดี​เงิน​ที่​ชาย​ให้​แก่​มารดา​ของ​หญิง​เพื่อ​ ขอ​ขมา​ใน​การ​ที่​หญิง​ตาม​ไป​อยู่​กิน​กับ​ชาย​โดย​ชาย​หญิง​ไม่มี​เจตนา​สมรส​กัน​ตาม​กฎหมาย​นั้น ไม่ใช่​สินสอด​หรือ​ของ​ หมั้น ฉะนั้น​เมื่อต​ ่อ​มา​หญิงไ​ม่​ยอม​อยู่ก​ ินก​ ับ​ชาย ชาย​เรียกค​ ืน​ไม่​ได้28 27 ฎ. 3442/2526 28 ฎ. 125/2518 มสธ มส

มส 1-30 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ การ​ให้​สินสอด​เป็นการ​ให้​เพื่อ​ตอบแทน​ที่​หญิง​ยอม​สมรส​นั้น การ​สมรส​ต้อง​เป็นการ​สม​รส​โดบ​ชอบ​ด้วย​มสธ กฎหมาย คือ มีเ​จตนาท​ ี่จ​ ะ​จด​ทะเบียนส​ มรสก​ ัน หากว่าช​ ายแ​ ละห​ ญิงต​ ้องการจ​ ะอ​ ยู่​กิน​ฉัน​สามีภ​ รรยาโ​ดยม​ ิได้ม​ ี​เจตนา​ จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ให้​ถูก​ต้อง ดังนี้ แม้​ฝ่าย​ชาย​มี​การ​ให้​ทรัพย์สิน​แก่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​มสธ ผู้​ปกครองฝ​ ่าย​หญิง ทรัพย์สินน​ ั้นก​ ็​ไม่ใช่ส​ ินสอด ฎ. 592/2540 โจทก์​ตกลงแ​ ต่งงาน​กับ​จำเลยท​ ี่ 3 โดย​วิธี​ผูก​ข้อ​มือ​แสดงว​ ่าโ​จทก์​และ​จำเลยท​ ี่ 3 มิได้​มีเ​จตนา​ จะ​ทำการส​ มรสโ​ดย​จด​ทะเบียนสม​รส​ตาม ​ปพพ. มาตรา 1457 ฉะนั้น​ทรัพย์สิน​ที่​โจทก์ม​ อบ​ให้​จำเลย​ทั้ง​สาม​จึง​ไม่ใช่​ ของห​ มั้นเ​พราะไ​ม่ใช่ท​ รัพย์สินท​ ี่โ​จทก์ม​ อบใ​ห้จ​ ำเลยท​ ั้งส​ ามเ​พื่อเ​ป็นห​ ลักฐ​ านก​ ารห​ มั้นแ​ ละป​ ระกันว​ ่าจ​ ะส​ มรสก​ ับจ​ ำเลย​ ที่ 3 และ​ไม่ใช่ส​ ินสอดเ​พราะ​ไม่ใช่ท​ รัพย์สินท​ ี่โ​จทก์​ให้แ​ ก่​จำเลยท​ ี่ 1 และ​ที่ 2 บิดา​มารดาข​ อง​จำเลยท​ ี่ 3 เพื่อ​ตอบแทน ก​ ารท​ ี่จ​ ำเลยท​ ี่ 3 ยอม​สมร​ ส​ตาม ​ปพพ. มาตรา 1437 โจทก์​จึง​ไม่มี​สิทธิ​เรียกค​ ืน​ ส่วนก​ าร​ที่จ​ ำเลยท​ ี่ 3 ไม่​ยอมใ​ห้โ​จทก​์ ร่วม​หลับ​นอน​นั้น​เป็น​สิทธิ​ของ​จำเลย​ที่ 3 เพราะ​การ​สมรส​ระหว่าง​โจทก์​และ​จำเลย​ที่ 3 จะ​ทำได้​ต่อ​เมื่อ​จำเลย​ที่ 3 ยินยอม​เป็น​สามี​ภริยา​กับ​โจ​ทก์​ตาม ​ปพพ. มาตรา 1458 การ​ที่จ​ ำเลย​ที่ 3 ไม่​ยินยอม​หลับ​นอน​กับ​โจทก์​ก็​ไม่​เป็นการ ​ละเมิด​ต่อ​โจทก์​หรือ​ผิด​สัญญา​หมั้น​โจทก์​จึง​ไม่มี​สิทธิ​เรียก​ค่า​ทดแทน​หรือ​ค่า​เสีย​หาย​จาก​จำเลย​ทั้ง​สาม​ตาม​ ปพพ. มาตรา 1439 และม​ าตรา 1440 การ​ตกลง​จะ​ให้​สินสอด​แก่​กัน​นั้น​จะ​ต้อง​ตกลง​ให้​กัน​ก่อน​สมรส แต่​ทรัพย์สิน​ที่​เป็น​สินสอด​ซึ่ง​ตกลง​จะ​ให้​ นั้น​จะ​มอบ​ให้​ฝ่าย​หญิง​ก่อน​สมรส​หรือ​หลัง​สมรส​ก็ได้ ทั้ง​ไม่​จำเป็น​ต้อง​มอบ​สินสอด​ให้​ขณะ​ที่ทำการ​หมั้น​หรือ​อาจ​ ตกลง​ให้​สินสอด​โดย​ไม่มี​การ​หมั้น​ก็ได้ ซึ่ง​ต่าง​กับ​ของ​หมั้น​อัน​จะ​ต้อง​ให้​กัน​ใน​เวลา​หมั้น คือ​ก่อน​สมรส อย่างไร​ก็​ดี หาก​มี​การ​ตกลง​ให้​สินสอด​กัน​ภาย​หลัง​การ​สมรส เช่น สมรส​กัน​แล้ว​จึง​กล่าว​ถึง​สินสอด​โดย​มิได้​มี​การ​ตกลง​กัน​มา​ ก่อน และ​มีก​ าร​มอบท​ รัพย์สิน​ให้แ​ ก่​ฝ่ายห​ ญิงไ​ป ทรัพย์สิน​ที่ใ​ห้​ไป​ดัง​กล่าวไ​ม่​ถือว่าเ​ป็น​สินสอด​ตามก​ ฎหมาย แต่อ​ าจ​ เป็นการ​ให้โ​ดย​เสน่หา ใน​กรณี​ที่​ฝ่าย​ชาย​ไม่​ได้​มอบ​สินสอด​ให้​ฝ่าย​หญิง​ใน​เวลา​ที่ทำการ​หมั้น แต่​ได้​มี​การ​ตกลง​ว่า​จะ​ให้​สินสอด​กับ​ ฝ่ายห​ ญิง​ในภ​ าย​หลัง สัญญาว​ ่า​จะ​ให้ส​ ินสอด​เป็นส​ ัญญา​ที่ช​ อบด​ ้วย​กฎหมายส​ ามารถใ​ช้​บังคับไ​ด้​ตลอด​เวลา29 สำหรับ​ข้อ​ตกลง​เรื่อง​สินสอด​นั้น กฎหมาย​ไม่​ได้​บัญญัติ​ถึง​รูป​แบบ​ใน​การ​ให้​สินสอด​เอา​ไว้ การ​ให้​สินสอด ​จึง​สามารถ​ทำได้​ทั้ง​ใน​ลักษณะ​ที่​ใช้​วาจา​ใน​การ​ตกลง​จะ​ให้​สินสอด หรืออาจ​จะ​ทำ​เป็น​ลาย​ลักษณ์​อักษร​ก็ได้ ใน​กรณี​ ที่ท​ ำ​สัญญา​กู้​ไว้​เป็น​สินสอด สัญญา​กู้ด​ ังก​ ล่าวก​ ็ส​ ามารถใ​ช้​ฟ้อง​ร้อง​บังคับ​คดี​กันไ​ด้30 ฎ. 878/2518 จำเลย​และ  ว. บุตร​ชาย​ตกลง​หมั้น​โจทก์​และ​ตกลง​จะ​ให้​เงิน​จำนวน​หนึ่ง​เป็น​สินสอด​แก่​บิดา​ มารดา​โจทก์​ใน​วัน​สมรส ถึง​กำหนด​จำเลย​ขอ​ผัด​ให้​เงิน​สินสอด​ภาย​หลัง มารดา​โจทก์​ยินยอม​ให้​โจทก์​แต่งงาน​กับ ว. เพื่อ​มิ​ให้​เสีย​พิธี​แต่​มิได้​มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน  หลัง​จาก​สมรส​แล้ว​จำเลย​ขอ​ทำ​สัญญา​กู้​ให้​มารดา​โจทก์​แทน​เงิน​ สินสอดท​ ี่ต​ กลงจ​ ะใ​ห้ มารดาโ​จทก์ต​ ้องการเ​อา​เงิน​นั้น​ให้​โจทก์ จึง​ให้​โจทก์ล​ งชื่อเ​ป็น​ผู้​ให้​กู้ใ​น​สัญญาก​ ู้ ดังนี้ แม้​โจทก​์ กับ ว.จะ​มิได้จ​ ดท​ ะเบียน​สมรส​กัน​แต่​เมื่อก​ าร​ที่ม​ ิได้​จดท​ ะเบียนส​ มรสน​ ั้น จะถ​ ือว่า​ฝ่าย​หญิงผ​ ิด​สัญญา​ฝ่าย​เดียวไ​ม่ไ​ด​้ แล้ว  ชาย​ย่อม​เรียก​สินสอด​คืน​ไม่​ได้  สัญญา​กู้​จึง​มี​มูล​หนี้​เนื่อง​มา​จาก​เงิน​สินสอด​อัน​เป็น​มูล​หนี้​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย  เมื่อ​บิดา​มารดา​โจทก์​ตกลง​ยก​ให้​โจทก์  และ​จำเลย​ยินยอม​ทำ​สัญญา​กับ​โจทก์​เพราะ​มูล​หนี้​นี้​แล้ว  จำเลย​ย่อม​ต้อง​ถูก​ ผูกพันใ​ห้​รับผ​ ิดต​ าม​สัญญาก​ ู้ท​ ี่​แปลงห​ นี้​มาน​ ี้ “สินสอด” ไม่ใช่​สาระ​สำคัญ​ของ​การ​หมั้น​หรือ​การ​สมรส ชาย​หญิง​จะ​ทำการ​หมั้น​หรือ​สมรส​กัน โดย​ไม่​ต้อง ​มี​สินสอด​ก็ได้ แต่​ถ้า​หาก​ได้​มี​การ​ตกลง​ว่า​จะ​ให้​สินสอด​แก่​กัน​แล้ว ฝ่าย​ชาย​ไม่​ยอม​ให้บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ 29 ฎ.6385/2551 30 สัญญา​กู้ใ​ช้​เป็น​สินสอดไ​ด้ แต่​ไม่อ​ าจ​ใช้เ​ป็น​ของ​หมั้น​ได้ มสธ มส

มส การหมนั้ 1-31 มสธ ฝ่าย​หญิง​ย่อมฟ​ ้องเ​รียกส​ ินสอดไ​ด้ และห​ าก​ยก​ให้​เป็น​สิทธิ​แก่ฝ​ ่าย​หญิง หญิง​ก็ม​ ี​สิทธิฟ​ ้อง​เรียกเ​อาไ​ด้31 แต่ห​ าก​มี​การ​มสธ ผิด​สัญญา​โดย​หญิง​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​ไม่​ยอม​สมรส​กับ​ชาย แม้​บิดา​มารดา​ของ​ชาย​เป็น​ผู้​ให้​สินสอด​แก่​บิดา​มารดา​ ของ​ฝ่าย​หญิง​ก็ตาม​ชาย​เอง​ก็​มี​สิทธิ​ฟ้อง​เรียก​คืน​ได้32 การ​ให้​สินสอด​แก่​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ของ​ฝ่าย​หญิง​นี้มสธ ไม่​จำกัด​ว่า​หญิง​จะ​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​หรือ​ไม่ แม้​หญิง​จะ​บรรลุ​นิติภาวะ​แล้ว​ก็​อาจ​ให้​สินสอด​กัน​ได3้ 3 ​อย่างไร​ก็ตาม​ บุคคล​ผู้​มี​สิทธิ​เรียก​สินสอด​มี​เฉพาะ บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​หญิง​เท่านั้น ฉะนั้น​ผู้​ที่​มิใช่​บิดา​ มารดา ผู้รับ​บุตรบ​ ุญธรรม​และไ​ม่เ​ป็น​ผู้​ปกครองจ​ ึง​ไม่มี​อำนาจ​ฟ้องเ​รียก​เงินส​ ินสอด​ได้34 “สินสอด” ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​แก่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม หรือ​ผู้​ปกครอง​ของ​หญิง​นั้น แม้​การ​ให้​จะ​ ให้​เป็น​ของ​ขวัญ​เพื่อ​ตอบแทน​การ​ที่​หญิง​ยอม​สมรส​และ​กรรมสิทธิ์​ได้​ตก​ไป​ยัง​ผู้รับ​ตั้งแต่​เวลา​ที่​ส่ง​มอบ​ไป​แล้ว​ก็ตาม แต่ฝ​ ่าย​ชาย​ก็ย​ ัง​มีส​ ิทธิ​เรียกส​ ินสอด​คืน​ได้​ใน 2 กรณี​คือ (1) ถ้า​ไม่มี​การ​สมรส​โดย​มี​เหตุ​สำคัญ​อัน​เกิด​แก่​หญิง​ทำให้​ชาย​ไม่​สมควร​หรือ​ไม่​อาจ​สมรส​กับ​หญิง​นั้น “เหตุ​สำคัญ​อัน​เกิด​แก่​หญิง” หมาย​ถึง เหตุ​ที่​จะ​กระทบ​กระเทือน​ถึง​การ​สมรส​ที่​จะ​มี​ต่อ​ไป​ระหว่าง​ชาย​และ​หญิง ​คู่​หมั้น อัน​จะ​ก่อ​ความ​ไม่​สงบ​สุข​ใน​ชีวิต​สมรส​ที่​จะ​มี​ต่อ​ไป​ใน​ภาย​ภาค​หน้า​ซึ่ง​เป็น​เหตุ​เดียว​กับ​เหตุ​ที่​ทำให้​ชาย​บอก ​เลิก​สัญญา​หมั้น​ตาม​มาตรา 1442 นั่นเอง เหตุ​สำคัญ​อัน​เกิด​แก่​หญิง​นี้​จะ​ต้อง​ทำให้​ชาย​ไม่​สมควร​ที่​จะ​สมรส​กับ​หญิง​ หรือ​ไม่​อาจ​ที่​จะ​สมรส​กับ​หญิง​นั้น​ได้ ซึ่ง​เหตุ​นั้น​จะ​ต้อง​เกิด​ขึ้น​กับ​ตัว​หญิง​เอง เช่น หญิง​คู่​หมั้น​ไป​ร่วม​ประเวณี​กับ​ ชาย​อื่น​แล้ว ก็​ถือว่า​ชาย​คู่​หมั้น​ไม่​สมควร​ที่​จะ​สมรส​กับ​หญิง หรือ​หญิง​คู่​หมั้น​เป็น​โรค​เอดส์​ซึ่ง​เป็น​โรค​ติดต่อ​อย่าง​ ร้าย​แรง​ที่​ทำให้​ชาย​ไม่​อาจ​สมรส​กับห​ ญิงน​ ั้นไ​ด้ เช่นน​ ี้​ฝ่าย​ชายม​ ี​สิทธิ​เรียก​สินสอด​คืน​โดย​การบ​ อก​เลิกส​ ัญญา​หมั้นไ​ด้ (2) ถ้า​ไม่มี​การ​สมรส​โดย​มี​พฤติการณ์​ซึ่ง​ฝ่าย​หญิง​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ทำให้​ชาย​ไม่​สมควร​หรือ​ไม่​อาจ​สมรส​กับ​ หญิง​นั้น “พฤติการณ์​ซึ่ง​ฝ่าย​หญิง​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ” หมาย​ถึง พฤติการณ์​ที่​ฝ่าย​หญิง​เป็น​ฝ่าย​ผิด​ทำให้​การ​สมรส​นั้น​ ไม่​อาจ​มี​ขึ้น หรือ​กรณี​ที่​ไม่มี​การ​สมรส​เนื่องจาก​ความ​ผิด​ของ​ฝ่าย​หญิง​นั้น ซึ่ง​คำ​ว่า “ฝ่าย​หญิง” มี​ความ​หมายก​ว้าง​ รวม​ทั้ง​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม ผู้​ปกครอง หรือ​บุคคล​ผู้​กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา​ของ​หญิง​คู่​หมั้น​ ด้วย ฉะนั้น การ​ที่​บิดาม​ ารดาห​ ญิงค​ ู่​หมั้นท​ ี่​เป็นผ​ ู้​เยาว์​ไม่​ให้​ความย​ ินยอมใ​น​การท​ ี่​หญิง​คู่​หมั้น​จะ​ทำการส​ มรสก​ ็​ถือว่า ​เป็นค​ วาม​ผิด​ของ​ฝ่ายห​ ญิงท​ ี่​ชาย​มีส​ ิทธิจ​ ะ​เรียก​สินสอด​คืน​ได้ หรือห​ ญิง​คู่​หมั้น​ทิ้ง​ชาย​ไป​อยู่​ต่างป​ ระเทศ​แล้ว​ไม่​ติดต่อ​ กลับ​มา​เลย เช่น​นี้ ถือว่า​เป็น​พฤติการณ์​ซึ่ง​ฝ่าย​หญิง​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ทำให้​ชาย​ไม่​อาจ​สมรส​กับ​หญิง​ได้ หรือ​หญิง​ ประกอบพ​ ธิ แ​ี ต่งงานอ​ ยกู​่ นิ ด​ ว้ ยก​ นั แ​ ลว้ ไ​มย่​ อมจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรสด​ ว้ ยก​ บั ช​ าย เปน็ ค​ วามผ​ ดิ ข​ องห​ ญงิ ต​ อ้ งค​ นื “​ ของห​ มัน้ ” “สินสอด” ให้​ชาย35 แต่​หาก​ชาย​หญิง​สมรส​กัน​โดย​ตั้งใจ​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส​แล้ว ชาย​จะ​ฟ้อง​เรียก​ค่า​สินสอด​คืน​ ไม่​ได้36 หรือ​ชาย​หญิง​อยู่​กิน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน โดย​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส​เพราะ​ความ​ผิด​ของ​ชาย​ที่​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​ สมรส​กับ​หญิง หรือ​เพราะ​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​ละเลย​ไม่​นำพา​ต่อ​การ​จด​ทะเบียน​สมรส ดังนี้ ชาย​เรียก​สินสอด​คืน​จาก ​หญิงไ​ม่ไ​ด้ ฉะนั้น การ​ที่ฝ​ ่ายช​ าย​จะ​เรียก​สินสอด​คืน ใน​กรณี​นี้​จะ​ต้อง​วินิจฉัยเ​สีย​ก่อน​ว่า​ฝ่ายใ​ด​เป็นฝ​ ่าย​ผิด หากฝ​ ่าย​ ชาย​เป็น​ฝ่าย​ผิด​เอง​หรือ​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​เป็น​ฝ่าย​ผิด​ทั้ง​คู่ แล้ว​ก็​ไม่​อาจ​ที่​จะ​เรียก​สินสอด​คืน​ได้ เช่น ชาย​หญิง​เข้า​พิธี​ แต่งงานก​ ัน แล้วท​ ั้งส​ องฝ​ ่ายล​ ะเลย​ไม่ไ​ป​จดท​ ะเบียน​สมรสก​ ันเ​ป็นเ​วลาป​ ระมาณ 6 ปี จน​มี​บุตร​ด้วย​กัน 2 คน ไม่​นับ​ ว่า​เป็นค​ วาม​ผิดข​ องห​ ญิงฝ​ ่ายเ​ดียว ชายจ​ ะ​ฟ้องเ​รียกส​ ินสอด​และข​ อง​หมั้น​คืน​ไม่​ได้37 เป็นต้น 31 ฎ. 878/2518 32 ฎ. 771/2509 33 ฎ. 2357/2518 34 ฎ. 767/2517 35 ฎ. 700/2498 36 ฎ. 269/2488 37 ฎ. 659/2487 มสธ มส

มส 1-32 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ สำหรับก​ รณที​ ีไ่​ม่มีก​ ารส​ มรส อันเ​นื่องม​ าจ​ ากก​ ารท​ ีช่​ ายห​ รือห​ ญิงค​ ูห่​ มั้นถ​ ึงแก่ค​ วามต​ ายก​ ่อนจ​ ดท​ ะเบียนส​ มรส​มสธ กัน​นั้น​มี​บทบัญญัติ​มาตรา 1441 ไว้​ชัดเจน​แล้ว​ว่า กรณี​นี้​ฝ่าย​ชาย​ไม่มี​สิทธิ​เรียก​สินสอด​คืน ทั้งนี้​เพราะ​ไม่​ถือว่า​เป็น​ พฤติการณ์​ที่​หญิง​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ทำให้​ชาย​ไม่​อาจ​สมรส​กับ​หญิง​นั้น สำหรับ​อายุ​ความ​ใน​การ​ฟ้อง​เรียก​สินสอด​คืน​มสธ ไม่มีก​ ฎหมายบ​ ัญญัติไ​ว้​โดย​เฉพาะ จึงต​ ้อง​ใช้อ​ ายุค​ วาม​ทั่วไปต​ ามม​ าตรา 193/30 คือ อายุค​ วาม 10 ปี นับ​แต่​วัน​ที่​อาจ​ บังคับ​ใช้ส​ ิทธิ​เรียก​ร้องไ​ด้ อุทาหรณ์ ฎ. 664/2497 ชาย​หญิง​ทำ​พิธี​แต่งงาน​อยู่​กิน​อย่าง​สามี​ภริยา 5 – 6 ปี โดย​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส เพราะ​ต่าง​ ฝ่าย​ต่าง​ละเลย​ไม่​ดำเนิน​การ​จด​ทะเบียน​จน​มี​เรื่อง​เลิก​ร้าง​กัน​ไป จะ​ว่า​ฝ่าย​หญิง​ผิด​สัญญา​แต่​ฝ่าย​เดียว​ไม่​ได้ ชาย ​เรียก​ของห​ มั้น สินสอดค​ ืนไ​ม่ไ​ด้ ฎ. 1491/2506 บิดา​มารดา​ของ​ฝ่าย​ชาย​ยก​ที่​นา​มือ​เปล่า​ให้​แก่​มารดา​ของ​ฝ่าย​หญิง​แทน​เงิน​ค่า​สินสอด โดย​ ทำห​ นังสือส​ ัญญาก​ ันเอง และไ​ดช้​ ีเ้​ขตแ​ บ่งแ​ ยกอ​ อกจ​ ากท​ ีน่​ าผ​ ืนใ​หญข่​ องต​ น ทั้งม​ ารดาข​ องฝ​ ่ายห​ ญิงก​ ็ไดเ้​ข้าค​ รอบครอง ​ที่​นาน​ ั้น​แล้ว ดังนี้ ถือว่าส​ ิทธิ​ครอบ​ครองท​ ี่​นาส​ ่วนน​ ั้น​ตกไ​ด้แก่​มารดา​ของ​ฝ่ายห​ ญิง​แล้ว โดย​ไม่​ต้อง​ไป​จดท​ ะเบียน สิทธขิ​ องช​ ายท​ ีจ่​ ะเ​รียกส​ ินสอดค​ ืนใ​นก​ รณที​ ีก่​ ารส​ มรสไ​มส่​ มบูรณเ​์ พราะข​ าดก​ ารจ​ ดท​ ะเบียนน​ ั้น จะต​ ้องป​ รากฏ​ ว่า​หญิง​เป็นฝ​ ่าย​ผิดท​ ี่ไ​ม่​ยอมจ​ ดท​ ะเบียน​สมรส ฎ. 787/2518 บิดา​ชาย​ตกลง​ให้​สินสอด​แก่​มารดา​หญิง​แต่​ไม่มี​เงิน​จึง​ทำ​สัญญา​กู้​ให้​หญิง​ไว้ บิดา​ชาย​ต้อง​ ผูกพัน​ตาม​สัญญา​กู้​อัน​มี​มูล​หนี้​และ​ได้​แปลง​หนี้​ใหม่ ต่อ​มา​หญิง​ชาย​ละเลย​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส​โดย​มิใช่​ความ​ผิด​ ของห​ ญิง​ทั้งๆ ที่​มารดา​หญิง​เตือน​ให้​จด​ทะเบียนเ​ช่น​นี้ ชาย​จะเ​รียก​สินสอด​คืน​ไม่​ได้ หญิง​เรียก​เงินก​ ู้​ตามส​ ัญญา​ได้ ฎ. 2357/2518 บิดา​มารดา​ชายต​ กลง​กับม​ ารดา​ผู้​ปกครอง​หญิง ว่า​จะ​ให้​สินสอด 5,000 บาท แต่ใ​นว​ ัน​แต่งงาน ​บิดา​มารดา​ชาย​ตกลง​กับ​บิดา​ไม่​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​ของ​หญิง​ให้​สินสอด​เพียง 3,000 บาท และ​ชำระ​ไป​แล้ว​ดังนี้ ไม่ผ​ ูกพันม​ ารดา​ผู้ป​ กครอง​หญิง มารดาผ​ ู้ป​ กครอง​หญิง​เรียกใ​ห้​บิดาม​ ารดา​ชายช​ ำระ​เงินส​ ินสอด 5,000 บาทไ​ด้ สินสอด​ที่​ฝ่าย​ชาย​นำ​มา​มอบ​ให้​แก่​ฝ่าย​หญิง​ใน​การ​แต่งงาน​ตาม​ประเพณี​นั้น หาก​ชาย​และ​หญิง​ไม่​ได้​จด​ ทะเบียน​สมรสก​ ัน​โดยม​ ิใช่ค​ วาม​ผิดข​ องฝ​ ่ายห​ ญิง ฝ่าย​ชายไ​ม่มี​สิทธิ​เรียก​คืน ฎ. 3442/2526 โจทก์​จำเลย​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​และ​บันทึก​เกี่ยว​กับ​ทรัพย์สิน​ไว้​ที่​ด้าน​หลัง​ทะเบียน​สมรส​ ว่า ฝ่าย​ชาย​ยก​ที่ดิน​พิพาท​เป็น​สินสอด​ฝ่าย​หญิง​เมื่อ​ปรากฏ​ว่า​บิดา​มารดา​โจทก์​ถึงแก่​กรรม​ก่อน​โจทก์​กับ​จำเลย​จะ​ จด​ทะเบียน​สมรส​กัน และ​ไม่​ปรากฏ​ว่า​โจทก์​มี​ผู้​ปกครอง​ใน​ขณะ​จด​ทะเบียน​สมรส การ​ที่​จำเลย​ตกลง​ยก​ที่ดิน​พิพาท​ ให้​โจทก์​จึงถ​ ือไ​ม่​ได้​ว่าเ​ป็นการใ​ห้​ใน​ลักษณะ​ที่เ​ป็น​สินสอดต​ ามก​ ฎหมายเ​พื่อต​ อบแทน​การ​ที่​โจทก์​ยอมส​ มรสก​ ับจ​ ำเลย ข้อ​ตกลง​ดัง​กล่าว​จึง​เป็น​บุคคล​สิทธิ​ใช้​บังคับ​กัน​ได้​ระหว่าง​คู่​สัญญา​เมื่อ​โจทก์​จด​ทะเบียน​สมรส​และ​อยู่​กิน​กับ​จำเลย​ ฉันส​ ามีภ​ ริยา​แล้ว​จำเลย​ก็ม​ ีหน้าท​ ี่ต​ ้องโ​อน​ที่ดินใ​ห้ โจทก์จ​ ึงม​ ี​สิทธิฟ​ ้อง​บังคับจ​ ำเลย​ให้​โอน​ที่ดิน​พิพาท​ให้​แก่​โจทก์​ตาม​ บันทึก​ดัง​กล่าว​ได้ ฎ. 3133/2530 การ​ที่​โจทก์​ให้​เงินสด​และ​สร้อย​คอ​ทองคำ​แก่​ฝ่าย​จำเลย โดย​ฝ่าย​โจทก์​ทราบ​ว่า​จำเลย​ที่ 3 มีอายุ​ยัง​ไม่​ครบ​กำหนด​ที่​จะ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ได้ แต่​ก็​ยอม​ให้​โจทก์​ที่ 3 และ​จำเลย​ที่ 3 ทำการ​สมรส​กัน​ตาม​ ประเพณี​และ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​ไม่​ต้อง​จด​ทะเบียน​สมรส​นั้น เงินสด​และ​สร้อย​คอ​ทองคำ​ดัง​กล่าว​จึง ไ​ม่ใช่ส​ ินสอดต​ าม​ความ​หมาย​ใน ปพพ. มาตรา 1437 โจทก์​จึงไ​ม่มี​สิทธิ​เรียกค​ ืน ฎ. 3868/2531 ชาย​หญิง​ตกลง​กัน​ใน​วัน​สู่ขอ​และ​ทำการ​หมั้น​ว่า​จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​หลัง​พิธี​แต่งงาน​แล้ว​ ต่อ​มา​ชาย​เป็น​ฝ่าย​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​อัน​เป็นการ​ผิด​สัญญา​หมั้น เช่น​นี้​ชาย​จะ​เรียก​ของ​หมั้น​และ​สินสอด​คืน​ ไม่ไ​ด้ ทั้งไ​ม่มีส​ ิทธิเ​รียก​ค่า​ทดแทนค​ วาม​เสีย​หายท​ ี่​ได้​ใช้​จ่ายไ​ปใ​น​การเตร​ ีย​ มก​ าร​สมรส มสธ มส

มส การหมั้น 1-33 มสธ 3. วิธี​การใ​นก​ ารค​ ืนข​ องห​ ม้นั ​หรือส​ นิ สอดมสธ เนื่องจาก​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​นั้น​ตก​เป็น​กรรมสิทธิ์​ของ​หญิง​คู่​หมั้น หรือ​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรมมสธ หรือ​ผู้​ปกครอง​หญิง​คู่​หมั้น​ไป​แล้ว​ตั้งแต่​เวลา​ที่​ส่ง​มอบ​ทรัพย์สิน​ให้​แก่​กัน หญิง​คู่​หมั้น​หรือ​บิดา​มารดา​อาจ​นำ​ไป​ ปรับปรุง​ดัดแปลง จำหน่าย​จ่าย​โอน หรือ​เกิด​ดอก​ผลง​อก​เงย​ขึ้น​มา​ก็ได้ กฎหมาย​จึง​ต้อง​มี​บทบัญญัติ​มาตรา 1437 วรรค​สี่​เกี่ยว​กับ​วิธี​การ​ใน​การ​คืน​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​ไว้ โดย​ให้​นำ​บทบัญญัติ​ใน​เรื่อง​ลาภ​มิ​ควร​ได้​ตาม​มาตรา 412 ถึงม​ าตรา 418 มาใ​ช้​บังคับโ​ดยอ​ นุโลม ซึ่ง​สามารถ​แบ่ง​วิธี​การค​ ืน​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอดอ​ อกเ​ป็น​สองก​ รณีโ​ดย​พิจารณา​ จาก​ประเภทข​ องท​ รัพย์ กล่าวค​ ือ 1. กรณี​ที่ “ของ​หมั้น” หรือ “สินสอด” เป็น​เงิน​ตรา ถ้า​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​นั้น​เป็น​เงิน​ตรา ฝ่าย​หญิง​ มีหน้า​ที่​ต้อง​คืน​เพียง​ส่วน​ที่​มี​อยู่​ใน​ขณะ​เรียก​คืน38 เพราะ​โดย​ทั่วไป​แล้ว​ฝ่าย​หญิง​มัก​จะ​รับ​เงิน​ที่​เป็น​ของ​หมั้น​หรือ​ สินสอด​นั้น​ไว้​โดย​สุจริต​เสมอ เช่น​ชาย​หมั้น​หญิง​ด้วย​เงิน 500,000 บาท หญิง​เอา​เงิน​ไป​ใช้​จ่าย​บาง​ส่วน​ใน​ขณะ​ที่​ชาย​ เรียก​คืน​เหลือ​เพียง 200,000 บาท ฝ่าย​หญิง​ก็​ต้อง​คืน​เงิน​เพียง 200,000 บาท​นี้ หาก​ใช้​จ่าย​ไป​หมด​แล้ว​ก็​ไม่มี​อะไร​ ต้อง​คืน​แก่​กัน อย่างไร​ก็​ดี ถ้า​ฝ่าย​หญิง​นำ​เงิน​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​ไป​ซื้อ​ทรัพย์สิน​อื่น​มา​ทรัพย์สิน​อื่น​ที่​ได้​มา​นี้​ต้อง​ คืนให้​ฝ่าย​ชาย​ไป​ด้วย​เพราะ​เป็นการ​ช่วง​ทรัพย์​ตาม​มาตรา 226 เช่น กรณี​ตาม​ตัวอย่าง​ข้าง​ต้น​หญิง​ใช้​จ่าย​เงิน​ของ​ หมั้น​บาง​ส่วน​ไป​ใน​การ​ซื้อ​บ้าน​และ​ที่ดิน​ด้วย ฝ่าย​ชาย​ก็​มี​สิทธิ​เรียก​เงิน​ที่​เหลือ 200,000 บาท รวม​ถึง​บ้าน​และ​ที่ดิน ​ดัง​กล่าว​ได้ เพราะ​บ้าน​และ​ที่ดิน​รับ​ช่วง​ทรัพย์​มา​อยู่​ใน​ฐานะ​นิตินัย​เช่น​เดียว​กับ​เงิน การ​คืน​เงิน​ตรา​ที่​เป็น​ของ​หมั้น ​หรือ​สินสอด​นี้​คืน​แต่​เฉพาะ​ต้น​เงิน​เท่านั้น แม้​ฝ่าย​หญิง​จะ​ได้​นำ​เงิน​ตรา​นี้​ไป​ลงทุน​ทำ​ประโยชน์​หรือ​ได้​ดอกเบี้ย ​เพิ่มพูน​ขึ้น​มา​ก็​ไม่​ต้อง​คืน​ด้วย เพราะ​ดอกเบี้ย​หรือ​ผล​ประโยชน์​ที่​ได้​มา​นี้​ย่อม​เป็น​ของ​ฝ่าย​หญิง​นั้น​เอง39 ​อย่างไร ​ก็​ดี​เมื่อ​ฝ่าย​ชาย​ยื่น​ฟ้อง​คดี​เรียก​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​ที่​เป็น​เงิน​คืน​แล้ว​ก็​มี​สิทธิ​เรียก​ดอกเบี้ย​ใน​เงิน​จำนวน​ดัง​กล่าว​ นับแ​ ต่​วันฟ​ ้อง​คดีไ​ด้ เพราะ​ถือว่าฝ​ ่ายห​ ญิงต​ กอ​ ยู่​ใน​ฐานะ​ทุจริต​ตั้งแต่เ​วลาท​ ี่​เรียกค​ ืน​นั้น​แล้ว40 สำหรับ​การ​คืน​เงิน​ตรา​ที่​เป็น​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​นั้น ต้อง​คืน​เงิน​ที่​เหลือ​อยู่​ใน​ขณะ​ที่​เรียก​คืน ปัญหา​ที่​เกิด ​ขึ้น​ก็​คือ วัน​ที่​เรียก​คืน​นั้น​จะ​ถือ​เอา​วัน​ไหน​เป็น​เกณฑ์​ระหว่าง​วัน​ที่​ฟ้อง​คดี​ต่อ​ศาล​เพื่อ​เรียก​คืน​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด หรือ​วันท​ ี่ม​ ีก​ าร​ทวงถ​ ามจ​ ริงๆ​ โดยค​ วาม​เห็น​ใน​เรื่อง​นี้​ได้​แบ่งอ​ อก​เป็นส​ องฝ​ ่าย กล่าว​คือ ฝ่าย​แรก ศาสตราจารย์​จิต​ติ ติง​ศภัทิย์ ได้​ให้​ความ​เห็น​ใน​เรื่อง​นี้​ว่า จะ​ต้อง​ถือ​หลัก​ขณะ​เมื่อ​เรียก​คืน โดย​ ถือเ​อา​วัน​ฟ้องค​ ดีต​ ่อ​ศาล​เป็นห​ ลัก ไม่ใช่​วันท​ วงถาม ฝ่าย​ที่ส​ อง อาจารย์​ชาติ​ชาย อัคร​วิบูลย์ เห็นว​ ่าค​ วรจ​ ะ​เป็นว​ ันท​ ี่​ทวงถาม เนื่องจาก​ความส​ ุจริต​หรือ​ไม่​ใน​กรณี​ ของ​หมั้น​นั้น​น่า​จะ​ใช้​หลัก​เรื่อง​การ​ทวงถาม มิ​ฉะนั้น​จะ​ทำให้​ฝ่าย​หญิง​อาศัย​ประโยชน์​จาก​ระยะ​เวลา​ก่อน​ฟ้อง​คดี​ใช้​ จ่าย​เงินไ​ปไ​ด4้ 1 อุทาหรณ์ ฎ. 1915/2531 การ​คืน​ลาภ​มิ​ควร​ได้​ซึ่ง​เป็น​เงิน​ใน​กรณี​ที่​รับ​ไว้​โดย​สุจริต​นั้น จะ​ต้อง​คืน​เพียง​ส่วน​ที่​ยัง​มี​อยู่​ ใน​ขณะ​เมื่อ​เรียก​คืน​ตาม​ปพพ.มาตรา 412 การ​คิด​ดอกเบี้ย​จึง​เริ่ม​คิด​คำนวณ​ตั้งแต่​วัน​ฟ้อง​ซึ่ง​เป็น​เวลา​ใน​ขณะ​ที่​ โจทก์​เรียก​คืนเ​ป็นต้นไ​ ป 38 ปพพ. มาตรา 412 39 ปพพ. มาตรา 415 40 เทียบ​เคียง ฎ. 1274/2497 41 ชาติช​ าย อัคร​วิบูลย์ เรื่องเดียวกัน น.128 มสธ มส

มส 1-34 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ 2. กรณี​ท่ี​ของ​หม้ัน​หรือ​สินสอด​เป็น​ทรัพย์สิน​อ่ืน​ที่​ไม่ใช่​เงิน​ตรา ถ้า​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​นั้น​เป็น​ทรัพย์สิน​มสธ อื่น​ที่​ไม่ใช่​เงิน​ตรา ฝ่าย​หญิง​ที่​มีหน้า​ที่​ต้อง​คืน​จะ​ต้อง​คืน​ทรัพย์สิน​นั้น​ใน​สภาพ​ที่​เป็น​อยู่​ใน​เวลา​ที่​เรียก​คืน​กัน42 ฝ่าย​ หญิงไ​มต่​ ้องร​ ับผ​ ิดช​ อบใ​นก​ ารท​ ีท่​ รัพยน์​ ั้นส​ ูญหายห​ รือบ​ ุบส​ ลายแ​ ตอ่​ ย่างใ​ดแ​ มก้​ ารส​ ูญหายห​ รือบ​ ุบส​ ลายน​ ั้นจ​ ะเ​นื่องจาก​มสธ ความ​ผิด​ของ​ตน​ก็ตาม แต่​ถ้า​ได้​อะไร​มา​เป็น​ค่า​สินไหม​ทดแทน​เพื่อ​การ​สูญหาย​หรือ​บุบ​สลาย​เช่น​นั้น​ก็​ต้อง​ให้​ไป​ด้วย เช่น ชาย​เอา​ช้าง​มา​หมั้น​หญิง ต่อ​มา​ช้าง​ตาย​ไป​เพราะ​เจ็บ​ป่วย หญิง​ก็​ไม่​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ใน​การ​คืน​ช้าง​ของ​หมั้น​นี้ หรือช​ าย​เอา​รถยนต์​มา​มอบ​ให้บ​ ิดาม​ ารดา​หญิงเ​ป็น​สินสอด บิดาม​ ารดาห​ ญิงใ​ช้​รถยนต์​คันน​ ี้​จนช​ ำรุด​ทรุด​โทรม​กระจก​ หน้า​รถ​แตก​ร้าว หาก​จะ​ต้อง​คืน​รถยนต์​ตาม​สภาพ​ที่​ชำรุด​บกพร่อง​นั้น​โดย​ไม่​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ​ใน​ความ​ชำรุด​บกพร่อง​ หรือ​บุบ​สลาย ไม่​จำเป็น​ต้อง​ซ่อม​กระจก​ให้​อยู่​ใน​สภาพ​ที่​ดี​แต่​อย่าง​ใด แต่​ถ้า​หาก​ฝ่าย​หญิง​ขาย​หรือ​แลก​เปลี่ยน​ ทรัพย์สิน​อัน​เป็น​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​ให้​บุคคล​ภายนอก​ไป ฝ่าย​หญิง​ก็​จะ​ต้อง​คืน​เงิน​ที่​ขาย​ได้​เท่า​ที่​ยัง​เหลือ​อยู่​ใน ​เวลา​เรียก​คืน​หรือ​ทรัพย์สิน​ที่​แลก​เปลี่ยน​มา​นี้​เท่า​ที่​ยัง​เหลือ​อยู่​ให้​แก่​ฝ่าย​ชาย​ด้วย สำหรับ​ใน​กรณี​ที่​ทรัพย์สิน​นั้น​มี​ ราคา​เพิ่ม​ขึ้น​เพราะ​การ​ที่​ฝ่าย​หญิง​ได้​ออก​เงิน​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​ปรับปรุง​ซ่อมแซม​ทรัพย์สิน​หรือ​ลงทุน​ทำให้​ทรัพย์​นั้น​ มี​ราคา​สูง​ขึ้น ฝ่าย​หญิง​ก็​มี​สิทธิ​ได้​รับ​ชดใช้​ค่า​ใช้​จ่าย​นั้น​จาก​ฝ่าย​ชาย​ด้วย43 เช่น​ฝ่าย​หญิง​ได้​รถยนต์​เก่า​เป็น​ของ​หมั้น ฝ่าย​หญิง​จึง​นำ​รถยนต์​คัน​ดัง​กล่าว​ไป​ทำ​สี​ใหม่​ทั้ง​คัน​เป็น​เงิน 20,000 บาท เงิน​ส่วน​นี้​ฝ่าย​หญิง​ก็​จะ​ได้​รับ​คืน​จาก​ฝ่าย​ ชาย​ใน​เวลา​ที่​คืน​ทรัพย์ แต่​ถ้า​หาก​เป็น​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​บำรุง​รักษา​หรือ​ซ่อมแซม​ทรัพย์สิน​ตาม​ปกติ​ธรรมดา​แล้ว​จะ​ เรียกช​ ดใช้ไ​ม่​ได้44 อทุ าหรณ์ ฎ. 1199/2497 จำเลย​ลงทุน​ก่อสร้าง​ซ่อมแซม​บ้าน​โดย​เชื่อ​ด้วย​ความ​สุจริต​ใจ​ว่า​สามี​โจทก์​ยก​บ้าน​ให้​แล้ว​ เมื่อ​ปรากฏ​ภาย​หลัง​ว่าการ​ให้​ไม่​สมบูรณ์ โจทก์​จะ​เอา​บ้าน​คืน​โจทก์​ก็​ต้อง​ชดใช้​เงิน​ที่​จำเลย​ลงทุน​ซ่อมแซม​ไป​ตาม​ ปพพ. มาตรา 1376 ฎ. 712/2498 เจ้า​พนักงาน​พิทักษ์​ทรัพย์​ร้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​ให้​เพิก​ถอน​การ​โอน​ซึ่ง​ผู้​ล้ม​ละลาย​โอน​ทรัพย์​ให้​แก่​ ผู้​อื่น​ไป​ตาม พ​รบ. ล้ม​ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 เมื่อ​ปรากฏ​ว่า​ทรัพย์​ที่​โอน​นั้น​พัง​สลาย​ไป​แล้ว​โดย​ถูก​พายุ​ พัดพ​ ัง ซึ่ง​เห็นไ​ด้ว​ ่าถ​ ึง​อย่างไรก​ ็​ต้องพ​ ังท​ ลาย​ไป ผู้รับ​โอน​ย่อมไ​ม่​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบช​ ดใช้​ราคา เนื่องจาก​กรรมสิทธิ์​ใน​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​ตก​เป็น​ของ​ฝ่าย​หญิง​ผู้รับ​ไป​แล้ว ดอก​ผล​ต่างๆ ที่​เกิด​ขึ้น​จึง​ เป็น​ของ​ฝ่าย​หญิง​ทั้ง​สิ้น เช่น ของ​หมั้น​เป็น​แม่​ม้า ลูก​ม้า​ที่​เกิด​ขึ้น​มา​ย่อม​ตก​เป็น​กรรมสิทธิ์ข​ อง​หญิง หญิง​หาก​จะ​คืน ​ของ​หมั้น​ก็​คืน​แต่​เฉพาะ​แม่​ม้า​เท่านั้น หรือ​สินสอด​เป็น​สวน​ยางพารา บิดา​มารดา​หญิง​กรีด​ยาง​ไป​ขาย หาก​จะ​คืน ​สินสอด​ก็​คืน​แต่​เฉพาะ​สวน​ยางพารา​เท่านั้น ไม่​ต้อง​คืน​เงิน​ที่​ได้​จาก​การ​ขาย​น้ำ​ยาง​แต่​อย่าง​ใด สำหรับ​ใน​กรณี​ที่​ฝ่าย​ ชาย​ยื่น​ฟ้อง​เรียก​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​คืน​แล้ว​หลัง​จาก​นั้น​ฝ่าย​หญิง​จงใจ​จำหน่าย​จ่าย​โอน​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​ไป ​ให้​บุคคล​ภายนอก​จึง​ไม่มี​ทรัพย์สิน​ที่​จะ​คืน​และ​ต้อง​ชดใช้​ราคา​แทน​นั้น การ​คิด​คำนวณ​ราคา​ทรัพย์สิน​จะ​ต้อง​คิด​ ราคา​ในว​ ัน​ที่​ฟ้องค​ ดีต​ ่อ​ศาล45 อันเ​ป็น​เวลาซ​ ึ่งเ​ป็น​ฐาน​ที่ต​ ั้ง​แห่ง​การก​ ะป​ ระมาณ​ราคาพ​ ร้อม​ทั้งด​ อกเบี้ย46 เช่น ชาย​เอา​ ทองแ​ ท่ง​หนัก 10 บาท มา​หมั้น​หญิงเ​มื่อ 2 ปี ที่​แล้ว ซึ่ง​ขณะน​ ั้น​ทองแ​ ท่ง​ราคาบ​ าทล​ ะ 4,000 บาท มาใ​น​ปีน​ ี้​หญิงผ​ ิด ​สัญญา​หมั้น ราคา​ทองคำ​เพิ่ม​ขึ้น​เป็น​บาท​ละ 5,000 บาท ชาย​จึง​ฟ้อง​เรียก​ของ​หมั้น​ทอง​แท่ง​หนัก 10 บาท​นี้​คืน หาก​คืน​ไม่​ได้​ให้​ใช้​ราคา ใน​ระหว่าง​พิจารณา​คดี​หญิง​ขาย​ทอง​แท่ง​นี้​ไป​และ​เอา​เงิน​ไป​ใช้​จ่าย​หมด​แล้ว​จึง​ไม่​สามารถ​ 42 ปพพ. มาตรา 413 43 เทียบเ​คียง ฎ. 2505/2515 44 มาตรา 416 45 เทียบเ​คียง ฎ. 1442/2520 46 มาตรา 225 มสธ มส

มส การหมัน้ 1-35 มสธ คืน​ทองคำ​แท่ง​ให้​ชาย​ได้ หญิง​ก็​จะ​ต้อง​ชดใช้​ราคา​ทองคำ​แท่ง​โดย​คิด​ราคา​บาท​ละ 5,000 บาท ซึ่ง​เป็น​ราคา​ทองคำมสธ ในขณะท​ ี่ห​ ญิง​ผิดนัด พร้อมท​ ั้งด​ อกเบี้ยจ​ าก​ต้น​เงิน​ดังก​ ล่าว​ด้วย มสธ อุทาหรณ์ ฎ. 157/2491 ฟ้อง​ขอ​แบ่ง​มรดก​ซึ่ง​เป็น​ข้าว​เปลือก​หาก​จำเลย​ส่ง​มา​แบ่ง​ไม่​ได้​ก็​ต้อง​ชำระ​ราคา​แทน โดย​คิด​ ตามร​ าคาใ​นข​ ณะ​ที่โ​จทก์​ฟ้อง ใน​กรณี​ที่​มี​การ​เรียก​ทรัพย์​ที่​เป็น​ของ​หมั้น​หรือ​สินสอด​คืน​แล้ว หาก​ฝ่าย​หญิง​กระทำ​การ​ใด​กับ​ทรัพย์​นั้น​ ใน​ทาง​ทุจริต หาก​ทรัพย์​นั้น​เสีย​หาย​หรือ​สูญหาย ฝ่าย​หญิง​ต้อง​รับ​ผิด​ใน​ความ​สูญหาย​หรือ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น​แม้ว่า ท​ รัพย์น​ ั้นจ​ ะ​เสีย​หาย​เนื่องจากก​ ารก​ระ​ทำ​ของบ​ ุคคลภายนอก​หรือว​ ่าเ​หตุสุดวิสัย​ก็ตาม เว้นแ​ ต่จ​ ะ​พิสูจน์​ได้ว​ ่าข​ อง​หมั้น​ หรือส​ ินสอด​นั้น​หาก​ตน​คืนให้แ​ ก่​ฝ่ายช​ ายไ​ปแ​ ล้วก​ ็​ยัง​คงต​ ้อง​เสีย​หายห​ รือสูญหาย​อยู่ดี (มาตรา 413 วรรค​สอง) ตวั อย่าง 1. ภาย​หลัง​จาก​ที่​ฝ่าย​ชาย​เรียก​รถยนต์​ซึ่ง​เป็น​ของ​หมั้น​คืน​จาก​ฝ่าย​หญิง ฝ่าย​หญิง​ยัง​เก็บ​ไว้​ไม่​ยอม​คืน ถือว่า​เป็นการ​ทุจริต​เนื่องจาก​มีหน้า​ที่​ต้อง​คืน​ทรัพย์​แต่​ไม่​ยอม​คืน หาก​ฝ่าย​หญิง​นำ​รถยนต์​คัน​ดัง​กล่าว​ไป​ขับ​แล้ว​มี​ บุคคล​ภายนอก​ขับ​รถยนต์​อีก​คัน​มา​ชน ฝ่าย​หญิง​ก็​ยัง​คง​ต้อง​รับ​ผิด​ต่อ​ฝ่าย​ชาย​ใน​ความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น​เนื่องจาก ต​ นท​ ุจริต 2. ใน​กรณี​ที่​ฝ่าย​ชาย​เรียก​ของ​หมั้น​ที่​เป็น​ลูก​สุกร​คืน​จาก​ฝ่าย​หญิง แต่​ฝ่าย​หญิง​เก็บ​ไว้​ไม่​ยอม​คืน การ ก​ระ​ทำ​ดัง​กล่าว​เป็นการ​กระทำ​ที่​ทุจริต หาก​ลูก​สุกร​ดัง​กล่าว​เป็น​โรค​ถึงแก่​ความ​ตาย​ซึ่ง​เป็น​เหตุสุดวิสัย ​ฝ่าย​หญิง​ ก็​ยัง​ต้อง​รับ​ผิด​ใน​ความ​เสีย​หาย​แก่​ฝ่าย​ชาย อย่างไร​ก็​ดี​หาก​ฝ่าย​หญิง​พิสูจน์​ได้​ว่า​แม้​คืน​ทรัพย์​ไป​แล้ว​ความ​เสีย​หาย​ ก็​ยัง​คง​เกิดข​ ึ้น​อยู่ดี ฝ่ายห​ ญิงก​ ็จ​ ะพ​ ้น​ความ​รับ​ผิด เช่น พิสูจน์​ได้​ว่าโ​รคร​ ะบาด​นั้น​ระบาด​ไปท​ ั้งจ​ ังหวัด แม้​คืน​ลูก​สุกร​ ไป ลูก​สุกร​ตัว​ดัง​กล่าว​ก็​ตาย​อยู่ดี​เนื่องจาก​บ้าน​ฝ่าย​ชาย​และ​บ้าน​ฝ่าย​หญิง​อยู่​ติด​กัน โดย​อยู่​ใน​เขต​โรค​ระบาด​ทั้ง​คู่ เป็นต้น 4. ทรัพยก​์ องทนุ ทรัพย์​กองทุน​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​ให้​กัน​เนื่อง​ใน​การ​สมรส​เป็น​ประเพณี​ปฏิบัติ​ต่อ​กัน แต่​ไม่มี​กล่าว​ไว้​ใน ​กฎหมาย​จึง​ต้อง​บังคับ​ตาม​กฎหมาย​ทั่วไป ทรัพย์​กองทุน​หมาย​ถึง​ทรัพย์สิน​ที่​ฝ่าย​ชาย​และ​ฝ่าย​หญิง​นำ​มา​รวม​เป็น ก​อง​ทุน​ตาม​สัญญา​ที่​ให้​ไว้​แก่​กัน​กล่าว​คือ ใน​การ​สมรส​ผู้ใหญ่​ของ​แต่ละ​ฝ่าย อาจ​ให้​สัญญา​แก่​กัน​ว่า​จะ​นำ​เงิน​หรือ ​ทรัพย์​กองทุน​มา​ให้​แก่​คู่​สมรส เพื่อ​เป็น​ทุน​เลี้ยง​ดู​กัน​สืบไป​เช่น​นี้ ข้อ​สัญญา​ดัง​กล่าว​ไม่​เป็นการ​ขัด​ต่อ​ความ​สงบ เรียบร้อย​หรือ​ศีล​ธรรม​อัน​ดี​ของ​ประชาชน​และ​ไม่​ขัด​ต่อ​กฎหมาย​แต่​มี​ลักษณะ​เป็น​สัญญา​ต่าง​ตอบแทน​ระหว่าง​ ผู้ใหญ่​ทั้ง​สอง​ฝ่าย จึง​เป็น​สัญญา​ที่​ฟ้อง​ร้อง​บังคับ​ได้ แต่​ถ้า​ฝ่าย​หนึ่ง​ผิด​สัญญา​ไม่​นำ​เงิน​มาก​อง​ทุน​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ มี​อำนาจ​ปฏิเสธ​สัญญา​ทรัพย์​กองทุน​นั้น​ได้ ทรัพย์​กองทุน​นั้น​ถ้า​ได้​มา​ก่อน​สมรส​ก็​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​คู่​สมรส​ฝ่าย​นั้น และ​ถ้า​ได้​มา​ภาย​หลัง​ที่​สมรส​แล้ว ก็​ยัง​คง​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​ฝ่าย​นั้น เว้น​แต่​หนังสือ​ยก​ให้​ระบุ​ว่า​เป็น​สิน​สมรส จึงจ​ ะ​เป็น​สินส​ มรสต​ าม​มาตรา 1474 (2) ซึ่ง​มีร​ ายล​ ะเอียด​ใน​หน่วย​ที่ 3 อทุ าหรณ์ ฎ. 295/2491 ผู้ใหญ่​ฝ่ายช​ ายแ​ ละฝ​ ่าย​หญิง​ตกลง​ว่า​ต่างจ​ ะใ​ห้​ทรัพย์สินส​ ิ่งใ​ด​แก่​คู่​สมรสน​ ั้นถ​ ือว่าเ​ป็นส​ ัญญา​ ต่าง​ตอบแทน​ซึ่ง​สมัย​ก่อน​เรียก​ว่า​สัญญา​กองทุน​ใน​การ​สมรส​ไม่ใช่​เป็นการ​ให้​โดย​เสน่หา เมื่อ​ฝ่าย​ใด​ผิด​สัญญา คู่ส​ มรส​ย่อมฟ​ ้อง​ขอ​ให้​บังคับต​ าม​สัญญาน​ ั้นไ​ด้ ฎ. 384/2494 เงิน​กองทุน​ที่​ชาย​เอา​มาก​อง​ทุน​ใน​เวลา​แต่งงาน​นั้น​ยัง​คง​เป็น​ทรัพย์สิน​ของ​ชาย เมื่อ​ไม่มี​ข้อ​ ผูกพัน​ให้​หญิงย​ ึด​ไว้ไ​ด้ ชาย​ก็​มีส​ ิทธิเ​รียก​คืนไ​ด้ มสธ มส

มส 1-36 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ฎ. 3868/2531 เงินท​ ี่ฝ​ ่ายช​ ายม​ อบ​ให้​แก่ฝ​ ่ายห​ ญิงพ​ ื่อซ​ ื้อ​บ้าน​อาศัย ไม่มีล​ ักษณะ​เป็น​ค่า​ใช้​จ่ายใ​น​การเต​รี​ยม​มสธ การ​สมรส แต่​เป็น​ข้อ​ตกลง​นำ​เอา​มา​เป็น​เงิน​กองทุน​เพื่อ​ใช้​เป็น​ที่​อยู่ และ​ที่​ทำ​มา​หากิน​ระหว่าง​ชาย​กับ​หญิง​หลัง​จาก​ แต่งงาน​กัน​แล้ว เมื่อไ​ม่มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน ฝ่าย​หญิงต​ ้อง​คืนเ​งิน​จำนวนน​ ี้​ให้​ฝ่ายช​ ายมสธ 5. ทรพั ย​ร์ บั ไ​ หว้ ทรัพย์​รับ​ไหว้​ก็​ไม่มี​บัญญัติ​ไว้​ใน​กฎหมาย​เช่น​เดียว​กับ​ทรัพย์​กองทุน โดย​ปกติ​ทรัพย์​รับ​ไหว้​เป็น​ทรัพย์​ที่​ ญาติ​หรือ​แขก​ผู้ใหญ่​ให้​แก่​คู่​สมรส​หลัง​จาก​การ​สมรส เมื่อ​คู่​สมรส​พา​กัน​ไป​ไหว้​คารวะ​จึง​เป็น​ทรัพย์​ที่​ได้​มาระ​หว่าง​ สมรส​โดย​การ​ให้​โดย​เสน่หา จึง​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​คู่​สมรส​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ตาม​มาตรา 1471 (3) หาก​เป็นการ​รับ​ไว้​ก่อน ​จด​ทะเบียน​สมรส ทรัพย์​รับ​ไหว้​นั้น​ก็​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​คู่​สมรส​ทั้ง​สอง​ฝ่าย​ตาม​มาตรา 1471 (1) โดย​มี​ส่วน​เป็น ​เจ้าของ​คนละ​ครึ่ง​เช่น​เดียวกัน ทั้งนี้​เพราะ​เป็นการ​ให้​แก่​คู่​สมรส​ทั้ง​สอง​คน จึง​ถือว่า​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​มี​อยู่​ก่อน​สมรส ทรัพย์​รับ​ไหว้​และ​ของ​ขวัญ​วัน​สมรส​เป็น​ทรัพย์สิน​ที่​ได้​มา​เนื่องจาก​การ​ให้​ใน​การ​สมรส แม้​ต่อ​มา​ภาย​หลัง​คู่​สมรส​ ประพฤติเ​นรคุณผ​ ู้ใ​ห้ ผู้ใ​ห้ก​ ็จ​ ะ​ถอนค​ ืนการ​ให้เ​พราะเ​หตุเ​นรคุณ​ไม่​ได้ เพราะ​เข้าข​ ้อ​ยกเว้น​ตามม​ าตรา 535 (4) อทุ าหรณ์ ฎ. 1025/2501 เงินข​ องข​ วัญแ​ ละส​ ิ่งของข​ องข​ วัญท​ ี่ช​ ายห​ ญิงไ​ด้ร​ ับใ​นว​ ันแ​ ต่งงาน ชายห​ ญิงน​ ั้นย​ ่อมเ​ป็นเ​จ้าของ​ ร่วม​กัน เมื่อ​ชาย​หญิง​ได้​เอา​เงิน​ของ​ขวัญ​ใช้​จ่าย​ร่วม​กัน​เป็น​ค่า​เลี้ยง​แขก​ใน​วัน​แต่งงาน​หมด​แล้ว ชาย​จะ​มา​ฟ้อง​เรียก ​เอา​ส่วน​ครึ่ง​หนึ่ง​ของ​จำนวน​เงิน​ของ​ขวัญ​นั้น​ไม่​ได้ ส่วน​สิ่งของ​ของ​ขวัญ​เมื่อ​ได้​ความ​ว่า​อยู่​กับ​หญิง​เช่น​นี้ ชาย​ย่อม ​ฟ้อง​เรียก​เอา​ครึ่งห​ นึ่ง​ได้ ฎ. 2259/2529 ของ​ขวัญ​ที่​เป็น​ของใช้​ใน​ครอบครัว​ซึ่ง​ญาติ​และ​เพื่อน​ของ​คู่​สมรส​มอบ​ให้​เนื่อง​ใน​วัน​สมรส​ นั้น ผู้ใ​ห้ย​ ่อมม​ ี​เจตนาท​ ี่​จะใ​ห้​คู่​สมรสไ​ด้​ใช้สอยเ​มื่อ​อยู่​ร่วมก​ ัน ถ้า​ไม่​ปรากฏว​ ่า​ผู้​ให้​รายใ​ด​ได้แ​ สดงเ​จตนาไ​ว้​เป็นพ​ ิเศษ ​ว่า​มอบ​ให้​แก่​คู่​สมรส​ฝ่าย​ใด​โดย​เฉพาะ​แล้ว แม้​จะ​เป็น​ของ​ที่​มอบ​ให้​ก่อน​วัน​แต่งงาน 1 วัน​ก็ตาม ก็​ถือ​ได้​ว่า​เป็น ​ทรัพย์สิน​ที่​คู่​สมรส​ได้​มาระ​หว่าง​สมรส​ตก​เป็น​สิน​สม​รส​ตาม​ปพพ.มาตรา 1474 (1) ซึ่ง​ราย​ละเอียด​จะ​อธิบาย​ใน ห​ น่วยท​ ี่ 3 ทรัพย์สินร​ ะหว่างส​ ามี​ภริยา 6. เรือนห​ อ “เรือน​หอ” คือ​เคหสถาน​ซึ่ง​คู่​สมรส​จะ​ใช้​เป็น​ที่​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​เมื่อ​ทำการ​สมรส​แล้ว ซึ่ง​ตาม​ธรรมเนียม ​เรือน​หอ​นี้​ต้อง​ทำให้​แล้ว​เสร็จ​ก่อน​วัน​ทำการ​มงคล โดย​ก่อน​สมรส​ฝ่าย​ชาย​และ​ฝ่าย​หญิง​อาจ​ตกลง​กัน​ว่า​ฝ่าย​ชาย​ จะ​ต้อง​จัดการ​ให้​มี​เรือน​หอ​สำหรับ​เป็น​ที่​อยู่​ของ​คู่​สมรส เรือน​หอ​นั้น​อาจ​จะ​มี​อยู่​แล้ว​แต่​เดิม​หรือ​ตัว​ชาย​หรือ​ผู้ใหญ่​ ฝ่าย​ชาย​จะ​เป็น​ผู้​ปลูก​ขึ้น​ใหม่​ก็ได้ แต่​ทั้งนี้​กฎหมาย​มิได้​บังคับ​ว่าการ​สมรส​ต้อง​มี​เรือน​หอ คู่​สมรส​จะ​งด​เว้น​ไม่มี​ เรือน​หอ​ก็ได้​ เรือน​หอ​มี​ได้เฉพาะ​แต่​เรือน​ของ​ชาย​ทั้งนี้​สืบ​เนื่อง​มา​จาก​ประเพณี​ที่​ชาย​เป็น​ฝ่าย​ปลูก​เรือน​หอ ไม่มี​ ประเพณี​ว่า​หญิง​จะ​ต้อง​ปลูก​เรือน​หอ​ให้​ชาย นอกจาก​นี้​ถ้า​เรือน​ปลูก​ขึ้น​ภาย​หลัง​จาก​ที่​ได้​ทำการ​สมรส​แล้ว​เรือน​นั้น ก​ ็​ไม่ใช่เ​รือน​หอ การ​ที่​เรือน​หอ​มี​แต่​เฉพาะ​เรือน​ของฝ​ ่าย​ชายฝ​ ่ายเ​ดียว​ก็เ​ป็นท​ ำนองเ​ดียว​กับเ​รื่อง​ของห​ มั้น​และส​ ินสอด​ ซึ่ง​กฎหมาย​บัญญัติ​รับรอง​เฉพาะ​ทรัพย์​ที่​ฝ่าย​ชาย​มอบ​ให้​แก่​ฝ่าย​หญิง ส่วน​ที่​ฝ่าย​หญิง​มอบ​ให้​แก่​ฝ่าย​ชาย​ไม่ใช่​เป็น​ ของ​หมั้นห​ รือ​สินสอด เนื่องจาก​เรือน​หอ​เป็น​ทรัพย์สิน​ของ​ฝ่าย​ชาย​ที่​มี​อยู่​ก่อน​สมรส​และ​นอกจาก​นี้​บรรพ 5 เดิม มาตรา 1516 (เดิม) ก็​ยัง​มี​บทบัญญัติ​ว่า​เมื่อ​สามี​ภริยา​ขาดกัน​และ​ชาย​มี​เรือน​หอ​ใน​ที่ดิน​ของ​ฝ่าย​หญิง ชาย​ต้อง​รื้อ​เรือน​นั้น​ไป ซึ่ง​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​เรือน​หอ​นั้น​ยัง​เป็น​ของ​ชาย​อยู่ จึง​ถือ​ได้​ว่า​เรือน​หอ​เป็น​สิน​ส่วน​ตัว​ของ​ชาย เมื่อ​หย่า​กัน​ชาย​จึง​เอา​ มสธ มส

มส การหม้ัน 1-37 มสธ คืนไ​ป​ได้47 ตาม​กฎหมายต​ ่าง​ประเทศ เช่น กฎหมายอ​ ังกฤษ เรือน​หอ (matrimonial home) ก็​ถือว่า​เป็นท​ รัพย์สินมสธ ​ของ​สามี​เช่น​เดียวกัน อย่างไร​ก็​ดี​ถ้า​เรือน​ที่​สามี​ภริยา​ใช้​อยู่​ด้วย​กัน​นี้​สร้าง​ขึ้น​โดย​ชาย​และ​หญิง​เป็น​ผู้​ออก​ค่า​ใช้​จ่าย​ ร่วมก​ ันเ​รือนน​ ี้ไ​ม่ใช่เ​รือน​หอ เช่น โจทก์​จำเลยร​ ่วม​กันน​ ำส​ ัมภาระแ​ ละล​ งทุนป​ ลูกส​ ร้างเ​รือนข​ ึ้น 1 หลัง ใน​ระหว่างห​ มั้นมสธ แต่​ไม่​ได้​ความ​พอ​จะ​ชี้​ได้​ว่า​สัมภาระ​อื่น​ใด​เป็น​ของ​ผู้​ใด​ได้​ทุก​ชิ้น ทั้ง​ไม่​ได้​ความ​ว่า​แต่ละ​ฝ่าย​ได้​มี​ส่วน​เป็น​เจ้าของ​อยู่​ เกินก​ ว่า​ครึ่ง ดังนี้ ต้องถ​ ือว่าโ​จทก์แ​ ละ​จำเลย​มีส​ ่วน​เป็นเ​จ้าของ​เรือน​ราย​นี้​เท่าๆ กัน48 เป็นต้น การท​ ชี​่ ายไ​ปป​ ลกู เ​รอื นห​ อใ​นท​ ีด่ นิ ข​ องฝ​ า่ ยห​ ญงิ โดยฝ​ า่ ยห​ ญงิ ย​ นิ ยอมห​ รอื ไ​ดร​้ บั อ​ นญุ าตจ​ ากฝ​ า่ ยห​ ญงิ เรอื นห​ อ ​นั้นไ​ม่ต​ กเ​ป็น​ส่วนค​ วบข​ อง​ที่ดินเ​พราะ​กรณีเ​ข้า​ข้อ​ยกเว้น​ตาม ปพพ.​ มาตรา 146 ที่​ชายผ​ ู้​มี​สิทธิใ​น​ที่ดิน​ของ​ฝ่ายห​ ญิง ​ได้​ใช้​สิทธิ​นั้น​ปลูก​ทำ​ลง​ไว้​ใน​ที่ดิน​นั้น เรือน​หอ​จึง​ยัง​คง​เป็น​กรรมสิทธิ์​ของ​ชาย​อยู่ ชาย​มี​สิทธิ​รื้อ​ถอน​เรือน​หอ​ไป​ได้​ เมื่อ​หย่าข​ าดจ​ ากก​ ัน​แล้ว หรือใ​น​เวลา​ใดๆ ก็ได้ อทุ าหรณ์ ฎ. 132/2491 ชาย​ปลูก​เรือน​หอ​บน​ที่ดิน​ของ​พี่​ชาย​หญิง​คู่​หมั้น โดย​บิดา​หญิง​ให้​ปลูก​และ​ว่า​เจ้าของ​ที่ดิน​ ไม่ข​ ัดข้อง แต่ค​ วาม​จริง​เจ้าของ​มิได้​รู้​เห็น​ยินยอมอ​ นุญาตแ​ ต่​ประการใ​ด ดังนี้​เรือน​หอ​เป็น​กรรมสิทธิ์ข​ องช​ าย แต่​ชาย​ จะ​ถือว่า​การ​ปลูก​สร้าง​นั้น​กระทำ​ไป​โดย​สุจริต​ไม่​ได้​เพราะ​ทราบ​ดี​อยู่​แล้ว​ว่า​เป็น​ที่​ของ​ผู้​อื่น จะ​บังคับ​ให้​เจ้าของ​ที่ดิน ร​ ับ​ซื้อ​โรง​เรือนน​ ั้นไ​ว้ก​ ็​ไม่ไ​ด้ ฎ. 1693/2500 มารดา​หญิง​รับ​เงิน​จาก​ชาย​เป็น​ค่า​เรือน​หอ โดย​มารดา​หญิง​พูด​ยก​เรือน​ให้​เป็น​เรือน​หอ คู่​สมรสอ​ ยู่​ด้วยก​ ันม​ า​ใน​เรือน​นี้ เรือนน​ ี้ต​ ก​เป็น​สิน​เดิม​ของช​ าย แม้​จะไ​ม่มี​หนังสือย​ กใ​ห้ (เรือน​เป็นส​ ่วนค​ วามก​ ับท​ ี่ดิน) ฎ. 648/2506 จำเลย​มา​ได้​บุตร​สาว​ของ​ผู้​ร้อง​เป็น​ภริยา และ​ได้​เข้า​อยู่​ร่วม​ใน​เรือน​ของ​ผู้​ร้อง ซึ่ง​ปลูก​อยู่​ใน ​ที่ดิน​ของ​ผู้​ร้อง ต่อ​มา​เรือน​เก่า​ทรุด​โทรม จึง​รื้อ​ลง​สร้าง​หลัง​ใหม่​แทน หาก​จะ​ฟัง​ว่า​จำเลย​เป็น​ผู้​ออก​เงิน​ค่า​ก่อสร้าง ​เรือน​หลัง​ใหม่​นี้ แต่​เมื่อ​เรือน​นี้​มี​ลักษณะ​ถาวร​ติด​ที่ดิน​และ​ไม่​ปรากฏ​เลย​ว่า​จำเลย​ได้​รับ​สิทธิ​หรือ​อำนาจ​ที่​จะ​ปลูก ​เรือน​นี้​ลง​ใน​ที่ดิน​ของ​ผู้​ร้อง​แต่​ประการ​ใด กรณี​จึง​ไม่​เข้า​ข้อ​ยกเว้น​ตาม​มาตรา 109 (ปัจจุบัน​มาตรา 146) และ​ไม่ใช่​ เรื่อง​ที่​จำเลย​ปลูก​เรือน​รุก​ล้ำ​เข้า​มา​ใน​ที่ดิน​ของ​ผู้​ร้อง​ตาม​มาตรา 1312 ด้วย จึง​ต้อง​ถือว่า​เรือน​นี้​เป็น​ส่วน​ควบ​ของ ​ที่ดิน​ที่​ปลูก​เรือน​และ​ตก​เป็น​กรรมสิทธิ์​ของ​ผู้​ร้อง​ตาม​มาตรา 107 (ปัจจุบัน​ ปพพ. มาตรา 144) เจ้า​หนี้​ผู้​ชนะ​คดี​ จำเลย​จะ​ยึดเ​รือน​นี้เ​พื่อข​ ายเ​อา​ชำระ​หนี้ไ​ม่​ได้ ฎ. 1856/2512 จำเลยไ​ด้​บุตร​สาวผ​ ู้ร​ ้อง​เป็น​ภริยาแ​ ละไ​ด้​ปลูก​เรือนพ​ ิพาท​บนท​ ี่ดินข​ อง​ผู้​ร้องใ​ช้เ​ป็นท​ ี่​อยู่อ​ าศัย​ ของ​จำเลย​และ​ภริยา แม้​เรือน​จะ​มี​ลักษณะ​ถาวร​ติด​ที่ดิน​แต่​เมื่อ​ตาม​พฤติการณ์​เห็น​ได้​ว่า​ผู้​ร้อง​กับ​สามี​ยินยอม​ให้​ ปลูก​เพื่อ​ใช้​เป็น​ที่​อยู่​อาศัย กรณี​จึง​เข้า​ข้อ​ยกเว้น​ตามมาตรา 109 (ปัจจุบัน ปพพ. ​มาตรา 146) ไม่​ถือว่า​เรือน​พิพาท​ เป็น​ส่วน​ควบ​กับ​ที่ดิน​ของ​ผู้​ร้อง​และ​สามี ผู้​ร้อง​จึง​ไม่​อาจ​ร้อง​ขัด​ทรัพย์​เรือน​พิพาท​ของ​จำเลย​ที่​เจ้า​หนี้​ตาม​คำ​พิพากษา​ นำ​ยึดบ​ ังคับค​ ดีไ​ด้ 47 ฎ. 409/2485 48 ฎ. 640/2494 มสธ มส

มส 1-38 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ กจิ กรรม 1.2.3มสธ 1. ลักษณะ​สำคญั ​ของข​ อง​หม้ันม​ อ​ี ยา่ งไร​บ้าง 2. ชายห​ มนั้ ห​ ญงิ ด​ ว้ ยส​ ายส​ รอ้ ยเ​พชร ตอ่ ม​ าห​ ญงิ ค​ ห​ู่ มน้ั เ​กดิ ค​ วามจ​ ำเปน็ ต​ อ้ งใ​ชเ​้ งนิ หญงิ จ​ ะน​ ำเ​อาส​ รอ้ ย​มสธ เพชร​นไี​้ ป​ขาย​นำ​เงนิ ม​ าใ​ช้สอย​ไดห​้ รือ​ไม่ 3. ลักษณะส​ ำคญั ข​ อง​สนิ สอด​มอ​ี ย่างไรบ​ า้ ง 4. นาย​แดง​ทำการ​หม้ัน​หมาย​นางสาว​ดำ และ​ตกลง​ด้วย​วาจา​กับ​บิดา​นางสาว​ดำ​ว่า​จะ​ให้​สินสอด​เป็น​ เงนิ ​หา้ ​หมนื่ ​บาท นาย​แดง​กับ​นางสาว​ดำ​ได้​แต่งงาน​กัน​ตาม​ประเพณี​และ​อย​ู่กนิ ​ด้วย​กนั ​ฉนั ​สาม​ีภริยา​แต่​ยัง​มไิ ด​้จด​ ทะเบียน​สมรส​กัน ต่อ​มา​นางสาว​ดำ​ป่วย​เป็น​โรค​มะเร็ง​ถึงแก่​ความ​ตาย​ไป ดังนี้ บิดา​นางสาว​ดำ​จะ​เรียก​สินสอด​ จากน​ ายแ​ ดง​ได​้หรือไ​ม่ 5. นาย ก. แตง่ งาน​กับ​นางสาว ข. และ​มอบ​เงินสด​สามห​ มนื่ ​บาท​ให้บ​ ิดา​นางสาว ข. เพ่ือเ​ปน็ ​สนิ สอด นาย ก. และ​นางสาว ข. อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​มิได้​สนใจ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​เป็น​เวลา​สาม​ปี​เศษ แล้ว​ เลิกรา​กัน​ไป ต่อ​มา​นางสาว ข. ก็​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​นาย​เขียว เช่น​น้ี นาย ก. จะ​เรียก​สินสอด​คืน​จาก​บิดา​ นางสาว ข. ได้​หรอื ไ​ม่ แนวต​ อบก​ จิ กรรม 1.2.3 1. ลักษณะส​ ำคญั ข​ อง​ของห​ มนั้ มี 4 ประการ คือ (1) ตอ้ ง​เป็นท​ รพั ย์สิน (2) ต้องเ​ป็น​ของฝ​ ่ายช​ ายใ​หไ​้ ว​แ้ ก่ห​ ญงิ (3) ต้องใ​ห​้ไว้​ในเ​วลาท​ ำส​ ญั ญา​หมนั้ ​และห​ ญิงต​ ้อง​ได้​รบั ไ​ว้​แล้ว และ (4) ต้องใ​ห้​ไว้​เพ่ือ​เป็นห​ ลักฐ​ าน​วา่ จ​ ะ​สมรสก​ บั ห​ ญงิ ​และต​ อ้ งใ​ห้​ไว​้ก่อนส​ มรส 2. หญิง​นำ​สาย​สร้อย​เพชร​ทเี​่ ป็น​ของ​หม้นั ​ไป​ขาย​ได้ เพราะ​กรรมสทิ ธ​ิ์ใน​สาย​สรอ้ ย​เพชร​ตก​อย่​ูกับ​หญงิ ​ ค่​ูหมนั้ แ​ ล้ว ตามม​ าตรา 1437 วรรคส​ อง 3. ลกั ษณะส​ ำคัญข​ องส​ ินสอด ตาม​มาตรา 1437 วรรค​สาม มี 3 ประการ คอื (1) ตอ้ ง​เปน็ ท​ รัพย์สนิ (2) ต้อง​เป็น​ทรัพย์สิน​ของ​ฝ่าย​ชาย​ได้แก่​บิดา​มารดา ผู้รับ​บุตร​บุญธรรม​หรือ​ผู้​ปกครอง​ฝ่าย​หญิง​ และ (3) ตอ้ งใ​ห​้เพื่อ​ตอบแทน​การท​ ​ีห่ ญิงย​ อมส​ มรส 4. บดิ าน​ างสาวด​ ำเ​รยี กส​ นิ สอดจ​ ากน​ ายแ​ ดงไ​ด้ เพราะส​ ญั ญาส​ นิ สอดไ​มจ​่ ำเปน็ ต​ อ้ งท​ ำเ​ปน็ ห​ นงั สอื และ​ กรณี​ฝ่าย​ชาย​จะ​เรียก​สินสอด​คืน​ตาม​มาตรา 1437 วรรค​สาม เม่ือ​ไม่มี​การ​สมรส​ต้อง​มี​เหตุ​สำคัญ​อัน​เกิด​แก่​หญิง​ โดย​มี​พฤติการณ์​ซ่ึง​ฝ่าย​หญิง​ต้อง​รับ​ผิด​ชอบ แต่​การ​ท่ี​นางสาว​ดำ​ป่วย​เป็น​โรค​มะเร็ง​ถึงแก่​ความ​ตาย​มิใช่​ความ​ผิด​ ของ​นางสาวด​ ำ​แตอ​่ ยา่ งใ​ด 5. นาย ก. เรยี ก​สินสอด​คืน​จาก​บดิ า​นางสาว ข. ไม​่ได้ เพราะ​การ​ที่​นาย ก. ไม่​ได้​จด​ทะเบยี น​สมรส​กบั ​ นางสาว ข. น้นั เ​นื่องจาก​ทงั้ ​สอง​ฝา่ ยล​ ะเลยไ​ม​่สนใจเ​อง มิใชม​่ ​ีเหตุ​สำคญั ​อนั เ​กิด​แก่​หญิงห​ รือ​โดย​ม​ีพฤตกิ ารณ์ ซงึ่ ​ ฝ่าย​หญิง​ต้องร​ บั ผ​ ิดช​ อบ​ตาม​มาตรา 1437 วรรค​สาม ทำให​้ชาย​ไม่​สมควรห​ รอื ไ​ม​่อาจ​สมรสก​ บั ห​ ญงิ ​นั้น ทัง้ ต​ ่อ​มา นาย ก. กับน​ างสาว ข. กไ็ ดเ้​ลิกรา​จาก​การส​ มรสก​ ัน​แล้ว มสธ มส

มส การหมั้น 1-39 ตอน​ที่ 1.3 ผลข​ อง​การห​ มน้ั โปรดอ​ ่านห​ ัว​เรื่อง แนวคิด และ​วัตถุประสงค์​ของต​ อน​ที่ 1.3 แล้ว​จึงศ​ ึกษาร​ ายล​ ะเอียด​ต่อ​ไป หัว​เรอื่ ง 1.3.1 การห​ มั้น​ไม่เ​ป็นเ​หตุ​ฟ้องร​ ้องบ​ ังคับใ​ห้ส​ มรส​ได้ 1.3.2 การผ​ ิด​สัญญาห​ มั้นแ​ ละ​การเ​รียก​ค่าท​ ดแทน แนวคดิ 1. สัญญา​หมั้น​แตก​ต่าง​จาก​สัญญา​อื่น​ใน​แง่​ที่​ว่า​ไม่​สามารถ​ฟ้อง​ร้อง​ต่อ​ศาล​ขอ​ให้​บังคับ​ให้​ชาย​หญิง​ ทำการ​สมรส​กัน​ตาม​สัญญา​หมั้น​ได้ เพราะ​การ​สมรส​จะ​ต้อง​ได้​รับ​ความ​ยินยอม​โดย​สมัคร​ใจ​จาก​ ชาย​และห​ ญิง 2. เมื่อ​ทำ​สัญญา​หมั้น​กัน​แล้ว​ชาย​หรือ​หญิง​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่​ยินยอม​ทำการ​สมรส​กับ​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง ฝ่ายท​ ี่ไ​ม่ย​ ินยอมท​ ำการส​ มรสน​ ั้นเ​ป็นฝ​ ่ายผ​ ิดส​ ัญญาห​ มั้น จะต​ ้องร​ ับผ​ ิดใ​ช้ค​ ่าท​ ดแทนใ​ห้ก​ ับอ​ ีกฝ​ ่าย​ หนึ่งส​ ำหรับ​ความ​เสีย​หายท​ ี่​ฝ่ายห​ นึ่ง​ได้​รับ และอ​ าจต​ ้อง​มี​การค​ ืน​สินสอด​และ​ของ​หมั้น​ด้วย 3. ใน​การ​ใช้​ค่า​ทดแทน​นี้​กฎหมาย​กำหนด​ค่า​ทดแทน​ไว้​โดย​เฉพาะ​เพียง 3 กรณี กรณี​อื่น​นอก​เหนือ​ จาก​นี้​จะ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ไม่​ได้ และ​ใน​การ​คิด​คำนวณ​ค่า​ทดแทน​อาจ​จะ​นำ​เหตุ​ที่​หญิง​ได้​ของ​หมั้น​ ไป​เป็น​กรรมสิทธิ์แ​ ล้วม​ า​คำนึงป​ ระกอบด​ ้วย​ก็ได้ วตั ถปุ ระสงค์ เมื่อ​ศึกษาต​ อน​ที่ 1.3 จบ​แล้ว นักศึกษา​สามารถ 1. อธิบายก​ าร​บังคับต​ าม​สัญญา​หมั้น​ที่จ​ ะ​ให้ท​ ำการส​ มรส และ​การเ​รียก​เบี้ย​ปรับ​ตามส​ ัญญาห​ มั้น​ได้ 2. อธิบาย​และ​วินิจฉัย​ปัญหา​เกี่ยว​กับ​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น และ​การ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ต่างๆ ที่​เกิด​จาก ก​ าร​ผิดส​ ัญญาห​ มั้นไ​ด้ มสธ มสธ มสธ มสธ มส

มส 1-40 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ เร่อื งท​ ่ี 1.3.1มสธ การ​หมั้น​ไม่เ​ป็นเ​หตฟุ​ อ้ งร​ ้อง​บังคับ​ใหส​้ มรส​ได้ ภายห​ ลงั จ​ ากท​ มี​่ ก​ี ารห​ มัน้ ก​ นั ต​ ามแ​ บบท​ กี​่ ฎหมายก​ ำหนดแ​ ลว้ สญั ญาห​ มัน้ น​ ัน้ จ​ ะม​ ผ​ี ลบ​ งั คบั ใ​ชไ้ ดต​้ ามก​ ฎหมาย อย่างไรก​ ็​ดี​สัญญา​หมั้น​นั้นม​ ีล​ ักษณะเ​ฉพาะต​ ่างจ​ ากส​ ัญญา​ธรรมดาท​ ั่วไป ดัง​จะ​เห็น​ได้​จาก ปพพ.มาตรา 1438 มาตรา 1438 “การห​ มน้ั ไ​มเ​่ ปน็ เ​หตท​ุ จ​่ี ะร​ อ้ งขอใ​หศ​้ าลบ​ งั คบั ใ​หส​้ มรสไ​ด้ ถา้ ไ​ดม​้ ข​ี อ้ ต​ กลงก​ นั ไ​วว​้ า่ จ​ ะใ​หเ​้ บยี้ ป​ รบั ​ ในเ​มอ่ื ​ผิด​สัญญา​หมนั้ ข้อ​ตกลงน​ ั้น​เปน็ ​โมฆะ” เมื่อ​ชาย​หญิง​ทำ​สัญญา​หมั้น​กัน​ถูก​ต้อง​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​แล้ว คู่​สัญญา​หมั้น​แต่ละ​ฝ่าย​ต่าง​มี​ความ​ ผูกพัน​ตาม​สัญญา​หมั้น​ใน​อัน​ที่​จะ​ต้อง​ทำการ​สมรส​กัน​ตาม​ระยะ​เวลา​ที่​ตกลง​กัน​ไว้ ถ้า​มิได้​กำหนด​เวลา​ทำการ​สมรส​ กัน​ไว้​ก็​ถือว่า​จะ​ต้อง​ทำการ​สมรส​กัน​ใน​เวลา​อัน​ควร โดย​ฝ่าย​หนึ่ง​อาจ​จะ​ทวงถาม​และ​กำหนด​เวลา​ให้​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง ​จัดการ​ทำการ​สมรส​ให้​เสร็จ​สิ้น​ไป​ใน​ระยะ​เวลา​นั้น​ก็ได้ อย่างไร​ก็​ดี​สัญญา​หมั้น​มี​ลักษณะ​พิเศษ​แตก​ต่าง​จาก​ สัญญา​อื่นๆ ใน​แง่ท​ ี่ว​ ่า​ไม่ส​ ามารถ​ฟ้องร​ ้องใ​ห้ป​ ฏิบัติ​ตามส​ ัญญา โดย​ขอ​ให้ศ​ าลบ​ ังคับใ​ห้ค​ ู่​สัญญาฝ​ ่าย​หนึ่ง​ทำการส​ มรส​ กับ​คู่​หมั้น​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​เหมือนด​ ัง​เช่น​สัญญา​ซื้อ​ขาย ที่​บังคับ​ให้​ผู้​ขายส่ง​มอบ​ทรัพย์สิน​ที่​ขาย​ให้​แก่​ผู้​ซื้อ​ได้ ทั้งนี้​เพราะ​ การ​สมรส​เป็น​เรื่อง​ที่​ชาย​และ​หญิง​จะ​ต้อง​ยินยอม​พร้อมใจ​กัน สภาพ​แห่ง​สัญญา​ไม่​เปิด​ช่อง​ให้​มี​การ​บังคับ​กัน​ได้​ เหมือนเ​ช่น​สัญญาอ​ ื่นๆ แม้​ชายห​ ญิงจ​ ะม​ า​อยู่ก​ ินเ​ป็น​สามีภ​ ริยา​กัน​เป็นเ​วลาน​ าน​เท่าใดก​ ็ตาม ก็​จะ​มาฟ​ ้อง​ต่อ​ศาลข​ อใ​ห​้ บังคับ​ให้ไ​ปจ​ ด​ทะเบียน​สมรส​กัน​ไม่​ได้ ใน​กรณี​ที่​มี​การ​ตกลง​กัน​ใน​เรื่อง​เบี้ย​ปรับ​สำหรับ​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น กฎหมาย​ได้​บัญญัติ​ไว้​อย่าง​ชัดเจน​ว่า หาก​มีก​ าร​ตกลงก​ ัน​ใน​เรื่องเ​บี้ยป​ รับ​ไว้ ข้อ​ตกลง​ดัง​กล่าวจ​ ะ​ตกเ​ป็น​โมฆะ เนื่องจาก​กฎหมายต​ ้องการ​ให้​ชายห​ ญิง​สมรส​ กัน​ด้วย​ความ​เต็มใจ หาก​มี​การ​ตกลง​เบี้ย​ปรับ​ที่​ค่อน​ข้าง​สูง​อาจ​ทำให้​ชาย​หรือ​หญิง​ฝืน​ใจ​สมรส​เพียง​เพราะ​ไม่​อยาก ​โดน​บังคับ​ให้​ชดใช้​เบี้ย​ปรับ​ตาม​สัญญา​หมั้น เช่น นางสาว​เหลือง​ทำ​สัญญา​หมั้น​กับ​นาย​ขาว​โดย​กำหนด​ไว้​ว่า​หาก​ นาย​ขาว​ผิด​สัญญา​หมั้น​ไม่​ทำการ​สมรส​กับ​ตน​ภายใน 6 เดือน​นับ​ตั้งแต่​วัน​หมั้น นาย​ขาว​จะ​ต้อง​ใช้​เงิน​เบี้ย​ปรับ​ให้​แก่​ ตน​เป็น​เงิน 1,000,000 บาท ดังนี้ ข้อ​ตกลง​เรื่อง​เบี้ย​ปรับ​จำนวน 1,000,000 บาท​นี้​เป็น​โมฆะ แม้​ต่อ​มา​นาย​ขาว​จะ ​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​หมั้น​นางสาว​เหลือง​จะ​เรียก​ร้อง​เอา​เบี้ย​ปรับ​ไม่​ได้ แต่​เฉพาะ​ข้อ​ตกลง​เรื่อง​เบี้ย​ปรับ​เท่านั้น​ที่​เป็น โ​มฆะ​ สัญญาห​ มั้นย​ ังค​ งส​ มบูรณท์​ ุกป​ ระการ นางสาวเ​หลืองย​ ังม​ สี​ ิทธเิ​รียกค​ ่าท​ ดแทนอ​ ย่าง​ อื่นๆ ตามท​ ีก่​ ฎหมายก​ ำหนด​ ไว้​จาก​นายแ​ ดง​ได้​ตามม​ าตรา 1439 (ซึ่งจ​ ะ​อธิบายต​ ่อ​ไป​ใน​เรื่องท​ ี่ 1.3.2 การ​ผิด​สัญญาห​ มั้นแ​ ละ​การเ​รียกค​ ่า​ทดแทน) อุทาหรณ์ ฎ. 137/2481 ชาย​หญิง​ทำ​พิธี​แต่งงาน​กัน​แล้ว  แต่​หญิง​ไม่​ยอม​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​ดังนี้  ไม่​ถือว่า​ชาย​หญิง​ นั้น​ได้​ทำการ​สมรส​ถูก​ต้อง​ตาม​กฎหมาย​แล้ว​และ​ใน​กรณี​เช่น​นี้​ชาย​เรียก​ของ​หมั้น​และ​สินสอด​คืน​ได้  การ​ที่​ฝ่าย​หนึ่ง​ ฝ่าย​ใดไ​ม่​ยินยอม​จดท​ ะเบียน​สมรส​ไม่เ​ป็น​เหตุ​ให้​อีกฝ​ ่าย​หนึ่ง​ร้องขอใ​ห้​ศาลบ​ ังคับใ​ห้​ไป​จดท​ ะเบียนส​ มรส​ได้ แม้ว่า​จะ​ ได้​ทำ​พิธี​แต่งงาน​กันแ​ ล้ว​ก็ตาม มสธ มสธ มส

มส การหมน้ั 1-41 มสธ กจิ กรรม 1.3.1มสธ นาย​แดง​ทำ​สัญญา​หม้ัน​กับ​นางสาว​ดำ​โดย​กำหนด​ที่​จะ​สมรส​กัน​ภายใน​สาม​เดือน​นับ​แต่​วัน​หม้ัน และ​ มสธ กำหนด​ไว้​ด้วย​ว่า​หาก​ฝ่าย​ใด​ไม่​ทำการ​สมรส ฝ่าย​น้ัน​จะ​ต้อง​ใช้​เบ้ีย​ปรับ​เป็น​เงิน 50,000 บาท ให้​กับ​อีก​ฝ่าย​หน่ึง เมื่อ​ครบ​กำหนด​สาม​เดือน นางสาว​ดำ​ไม่​ยินยอม​ทำการ​สมรส​กับ​นาย​แดง ดังน้ี นาย​แดง​จะ​เรียก​ร้อง​ให้​นางสาว​ ดำใ​ชค​้ า่ ป​ รบั ​และค​ า่ ท​ ดแทน​ได​บ้ า้ ง​หรอื ไ​ม่ แนวต​ อบ​กจิ กรรม 1.3.1 ข้อ​ตกลงเ​รือ่ ง​เบ้ียป​ รับ​เป็นโ​มฆะ ตาม​ปพพ. มาตรา 1438 จึงเ​รยี ก​เบยี้ ​ปรบั ​ไม่​ได้ แตส​่ ญั ญา​หม้นั ​ไมเ​่ ปน็ ​ โมฆะ นายแ​ ดง​จึง​มสี​ ทิ ธิ​เรยี กร​ อ้ งใ​ห​้นางสาวด​ ำใ​ชค​้ ่า​ทดแทน​ไดต​้ าม ปพพ.​มาตรา 1439 เรอ่ื ง​ท่ี 1.3.2 การ​ผิดส​ ญั ญา​หม้ันแ​ ละ​การเ​รยี กค​ ่า​ทดแทน เมื่อ​สัญญา​หมั้น​ได้​เกิด​ขึ้น​โดย​สมบูรณ์​ตาม​กฎหมาย​แล้ว ทั้ง​ฝ่าย​ชาย​และ​ฝ่าย​หญิง​ต่าง​มี​ความ​ผูกพัน​ตาม​ สัญญาห​ มั้น​ว่า​จะ​ต้องท​ ำการ​สมรส​กัน​ใน​อนาคต หากต​ ่อ​มาท​ ั้ง​คู่ไ​ด้​สมรส​กัน​อย่างถ​ ูก​ต้องก​ ็จ​ ะ​ถือว่าส​ ัญญา​หมั้น​ที่ท​ ำไว​้ มีผ​ ลส​ มบูรณ์ โดยเ​กิด​สถานะ​ของส​ ามี​ภรรยาก​ ันข​ ึ้น​มา แต่​ใน​ทางต​ รงก​ ันข​ ้าม​หาก​เกิดเ​หตุการณ์ท​ ี่ท​ ำให้​ไม่ส​ ามารถ​เกิด ก​ ารส​ มรสข​ ึน้ ไ​ดเ​้ พราะฝ​ า่ ยห​ นึง่ ผ​ ดิ ส​ ญั ญาห​ มัน้ กรณน​ี จี​้ ะน​ ำไ​ปส​ กู​่ ารเ​รยี กข​ องห​ มัน้ ค​ นื ร​ วมถ​ งึ ส​ ทิ ธใ​ิ นก​ ารเ​รยี กค​ า่ ท​ ดแทน ดัง​ที่​บัญญัติ​ไว้ใ​น ปพพ.มาตรา 1439 และ​มาตรา 1440 มาตรา 1439 “เม่ือ​มี​การ​หมั้น​แล้ว ถ้า​ฝ่าย​ใด​ผิด​สัญญา​หม้ัน​อีก​ฝ่าย​หน่ึง​มี​สิทธิ​เรียก​ให้​รับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทน​ ใน​กรณี​ที่​ฝ่าย​หญงิ ผ​ ิดส​ ญั ญาห​ มน้ั ​ใหค​้ นื ​ของห​ ม้นั ​แก​่ฝา่ ยช​ าย​ด้วย” มาตรา 1440 “ค่า​ทดแทนน​ ัน้ ​อาจ​เรยี ก​ได้ ดังต​ อ่ ไ​ปน​ ี้ (1) ทดแทนค​ วาม​เสยี ห​ าย​ตอ่ ​กาย​หรือ​ช่ือ​เสียงแ​ ห่ง​ชายห​ รอื ​หญงิ ​นัน้ (2) ทดแทนค​ วามเ​สยี ห​ ายเ​นอ่ื งจากก​ ารท​ ค​่ี ห​ู่ มนั้ บดิ าม​ ารดาห​ รอื บ​ คุ คลผ​ ก​ู้ ระทำก​ ารใ​นฐ​ านะเ​ชน่ บ​ ดิ าม​ ารดาไ​ด​้ ใช​้จ่ายห​ รอื ต​ อ้ ง​ตกเ​ป็น​ลกู ​หนีเ้​นอื่ ง​ใน​การเต​รี​ยมก​ าร​สมรส​โดยส​ จุ ริตแ​ ละ​ตาม​สมควร (3) ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​เน่ืองจาก​การ​ที่​คู่​หมั้น​ได้​จัดการ​ทรัพย์สิน​หรือ​การ​อ่ืน​อัน​เกี่ยว​แก่​อาชีพ​หรือ​ทาง​ ทำม​ า​หาไ​ด​้ของ​ตน​ไปโ​ดย​สมควรด​ ้วยก​ ารค​ าดห​ มายว​ า่ จ​ ะไ​ด้​มก​ี าร​สมรส ใน​กรณี​ท่ี​หญิง​เป็น​ผู้​มี​สิทธิ​ได้​ค่า​ทดแทน ศาล​อาจ​ชี้ขาด​ว่า​ของ​หมั้น​ท่ี​ตก​เป็น​สิทธิ​แก่​หญิง​น้ัน​เป็น​ค่า​ทดแทน​ ท้ังหมด​หรือ​เป็น​ส่วน​หน่ึง​ของ​ค่า​ทดแทน​ท่ี​หญิง​พึง​ได้​รับ​หรือ​ศาล​อาจ​ให้​ค่า​ทดแทน​โดย​ไม่​คำนึง​ถึง​ของ​หมั้น​ที่​ตก​เป็น​ สทิ ธิ​แก​่หญงิ ​นัน้ ก​ ็ได้” การ​ผิดส​ ัญญาห​ มั้น หมายถ​ ึง การ​ที่ค​ ู่ห​ มั้น​ฝ่าย​หนึ่ง​ปฏิเสธไ​ม่​ยอม​ทำการส​ มรส​กับค​ ู่​หมั้นอ​ ีก​ฝ่าย​หนึ่ง ใน​การ​ ทำการ​หมั้นก​ ันน​ ั้น​คู่​หมั้น​อาจ​ตกลง​กัน​ว่า​จะท​ ำการส​ มรสก​ ัน​ตาม​วันเ​วลาท​ ี่​กำหนดไ​ว้ห​ รือ​เมื่อม​ ี​เหตุก​ า​รณ์​ใดๆ เกิดข​ ึ้น​ มสธ มส

มส 1-42 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ ก็ได้ ใน​กรณีเ​ช่นน​ ี้​ยัง​ไม่​ถือว่า​มี​การผ​ ิด​สัญญา​หมั้น​จนกว่า​จะ​ผ่าน​พ้น​วัน​เวลา​ที่​ตกลงก​ ัน​ไว้ หรือ​เมื่อ​เหตุการณ์​เช่น​ว่า​มสธ นั้น​เกิด​ขึ้น​แล้ว เว้น​แต่​คู่​สัญญา​หมั้น​จะ​ได้​บอก​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ทำการ​สมรส​โดย​ชัด​แจ้ง หรือ​ทำให้​การ​สมรส​เป็นการ​ พ้น​วิสัย​โดย​ได้​ทำการ​สมรส​กับ​บุคคล​อื่น​แล้ว สำหรับ​สัญญา​หมั้น​ที่​มิได้​กำหนด​วัน​เวลา​ที่​จะ​ทำการ​สมรส​หรือ​มิได้​มสธ กำหนด​เงื่อนไข​ว่า​จะ​ทำการ​สมรส​เมื่อ​มี​เหตุ​กา​รณ์​ใดๆ เกิด​ขึ้น โดย​สัญญา​แต่​เพียง​ว่า​จะ​ทำการ​สมรส​กัน​เช่น​นี้ ถือว่า​ สัญญา​หมั้นด​ ังก​ ล่าวม​ ี​ข้อต​ กลงก​ ัน​ว่าจ​ ะ​ทำการ​สมรส​กัน​ใน​เวลาอ​ ัน​ควรเ​มื่อ​มีก​ ารท​ วงถาม อย่างไร​ก็​ดี​มี​ข้อ​สังเกต​ว่า การ​ที่​กฎหมาย​บัญญัติ​ว่า​ต้อง​มี​การ​ชดใช้​ค่า​ทดแทน เมื่อ​มี​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น​นี้ อาจ​เป็นการ​ขัด​ต่อ​รัฐ​ประ​ศาส​โน​บาย (public policy) เพราะ​เป็นการ​ข่มขืน​ใจ​ให้​ชาย​หญิง​ต้อง​ทำการ​สมรส​กัน​โดย​ เกรง​ว่า​จะ​ต้อง​ถูก​บังคับ​ให้​ชดใช้​ค่า​ทดแทน ทำให้​การ​สมรส​เช่น​ว่า​นั้น​อยู่​ใน​ฐานะ​ไม่​มั่นคง มี​แนว​โน้ม​ที่​จะ​เลิกรา จ​ ากก​ ัน​ได้​ง่าย กฎหมายบ​ างป​ ระเทศ เช่น ประเทศอ​ ังกฤษ​ถึงก​ ับบ​ ัญญัติไ​ว้​ว่า สัญญาจ​ ะส​ มรสไ​ม่มี​ผล​เป็นส​ ัญญาท​ ี่​ใช้​ บังคับ​กัน​ได้​ตาม​กฎหมาย และ​ห้าม​มิ​ให้​นำ​คดี​มา​ฟ้อง​ต่อ​ศาล เมื่อ​มี​การ​ผิด​สัญญา​จะ​สมรส​ไม่​ว่า​สัญญา​เช่น​ว่า​นั้น​จะ ไ​ดก​้ ระทำข​ ึน้ ณ ทแี​่ หง่ ใ​ด49 มลรฐั น​ วิ ยอรก์ ใ​นประเทศส​ หรฐั อเมรกิ า ในก​ ารฟ​ อ้ งค​ ดเ​ี พือ่ เ​รยี กค​ า่ ท​ ดแทนค​ วามเ​สยี ห​ ายจ​ าก​ การ​ผิด​สัญญา​จะ​สมรส​ได้​ถูก​ยกเลิก​ไป​ตั้งแต่​วัน​ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 247850 สัญญา​จะ​สมรส​ที่​ทำ​ขึ้น​ใน​มลรัฐ​ นิวยอร์กจ​ ะ​ไม่​ให้​สิทธิ​ใน​การ​ฟ้อง​คดี​ใน​หรือ​นอก​มลรัฐเ​พื่อ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ได้ เพราะ​ถือว่า​การ​ให้​ค่า​ทดแทน​ดัง​กล่าว​ เป็นการ​ขัด​ต่อ​รัฐ​ประ​ศาส​โน​บาย ​อย่างไร​ก็​ดี​ใน​มลรัฐ​วอชิงตัน​ศาลสูง​แห่งมลรัฐ​วอชิงตัน​โดย​คำ​วินิจฉัย​ใน​ที่​ประชุม​ ใหญ่​เต็มค​ ณะ​เมื่อ พ.ศ. 2520 ในค​ ดี Stanard v.Bolin, 1977, 88 Wash. 1 d 614 ว่า การ​ฟ้องเ​รียกค​ ่า​ทดแทนอ​ ัน ​เนื่อง​มา​จาก​การ​ผิด​สัญญา​จะ​สมรส​ไม่​เป็นการ​ขัด​ต่อ​รัฐ​ประ​ศาส​โน​บาย​จึง​ฟ้อง​เรียก​ค่า​ทดแทน​ได้ แต่​ทั้งนี้​จะ​เรียก​ ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ทางการ​เงิน​หรือ​ฐานะ​ทาง​สังคม​ที่​คาด​หวัง​จาก​การ​สมรส​มิได้ เพราะ​การ​สมรส​มิได้​ถือว่า​เป็น​ กิจการ​ที่เ​กี่ยวก​ ับ​ทรัพย์สินอ​ ีกต​ ่อไ​ป​แล้ว ผลข​ องก​ าร​ผิด​สัญญา​หมั้นไ​ด้บ​ ัญญัติ​ไว้อ​ ย่าง​ชัด​เจนใ​น ปพพ. มาตรา 1439 โดย​กำหนดใ​ห้​ฝ่ายท​ ี่​ผิดส​ ัญญา​ หมั้น​ต้องช​ ดใช้​ค่าส​ ินไหมท​ ดแทนใ​ห้แ​ ก่อ​ ีกฝ​ ่ายห​ นึ่ง นอกจากน​ ั้นใ​นก​ รณี​ที่ฝ​ ่าย​หญิงเ​ป็น​ฝ่ายผ​ ิดส​ ัญญา​หมั้น ฝ่าย​หญิง​ จะ​ต้อง​คืน​ของ​หมั้น​นั้น​ให้​แก่​ชาย​เนื่องจาก​การ​ที่​ตน​ได้​รับ​ทรัพย์​นั้น​เป็น​เพราะ​ตน​ตกลง​จะ​สมรส​กับ​ชาย เมื่อ​ตนเอง​ ไม่อ​ าจ​สมรส​ได้เ​พราะ​ความผ​ ิด​ของต​ น ฝ่ายห​ ญิง​ก็​จะต​ ้อง​คืน​ของห​ มั้น​ดัง​กล่าวก​ ลับ​ไป​เป็น​ของ​ฝ่าย​ชายด​ ัง​เดิม ใน​ทาง​ ตรง​กันข​ ้ามห​ าก​เป็น​กรณี​ที่ช​ ายเ​ป็น​ฝ่ายผ​ ิดส​ ัญญาห​ มั้น ฝ่าย​หญิงก​ ็​ไม่​จำเป็นต​ ้องค​ ืน​ของ​หมั้น​ให้​ชายแ​ ต่อ​ ย่างใ​ด ใน​กรณีท​ ี่ทำการ​หมั้นก​ ันโ​ดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย​และ​มีเ​จตนาจ​ ะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรสก​ ัน ต่อ​มาไ​ด้ม​ ี​การ​กิน​อยู่​ กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​โดย​ไม่​ได้​จด​ทะเบียน​สมรส เมื่อ​ฝ่าย​หนึ่ง​รบเร้า​ให้​จด​ทะเบียน​สมรส​แต่​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ จดท​ ะเบียนส​ มรส กรณี​นี้ฝ​ ่ายท​ ี่ป​ ฏิเสธ​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​เป็นฝ​ ่ายผ​ ิด​สัญญา​หมั้น ฎ. 5777/2540 โจทก์​รบเร้า​ให้​จำเลย​พา​โจทก์​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​หลาย​ครั้ง​แต่​จำเลย​ขอ​เลื่อน​ไป​ก่อน ครั้ง​ สุดท้าย​ที่​โจทก์​รบเร้า​ให้​จำเลย​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส จำเลย​ไม่​พอใจ​แสดง​อาการ​โมโห​และ​ขับ​ไล่​โจทก์​ออก​จาก​บ้าน โจทก์​จึง​ต้อง​กลับม​ า​ที่บ​ ้านบ​ ิดาม​ ารดาโ​จทก์ เช่นน​ ี้ พฤติการณ์​ดังก​ ล่าวฟ​ ังได้ว​ ่า​จำเลยเ​ป็นฝ​ ่ายผ​ ิดส​ ัญญาห​ มั้น จำเลย​ ซึ่งเ​ป็น​ฝ่าย​ครอบค​ รอง​ของห​ มั้น​ที่ต​ ก​เป็น​สิทธิข​ องโ​จทก์​ตั้งแต่​หมั้น​กัน​มา​จึงต​ ้อง​คืน​ของ​หมั้น​ทั้งหมดใ​ห้​แก่​โจทก์ การท​ โี​่ จทกจ​์ ำเลยอ​ ยกู​่ นิ ด​ ว้ ยก​ นั ฉ​ นั ส​ ามภ​ี รยิ าแ​ ลว้ โ​จทกต์​ อ้ งเ​ลกิ ร​ า้ งจ​ ากจ​ ำเลยด​ ว้ ยเ​หตทุ​ จี​่ ำเลยผ​ ดิ ส​ ญั ญาห​ มัน้ ​ นั้น ย่อม​เกิด​ความ​เสีย​หาย​แก่​กาย​และ​ชื่อ​เสียง​ของ​โจทก์​ซึ่ง​เป็น​หญิง​ใน​การ​ที่ทำการ​สมรส​ใหม่ โจทก์​จึง​มี​สิทธิ​เรียก ​ค่าท​ ดแทนจ​ าก​จำเลยไ​ด้ต​ าม ปพพ.มาตรา 1439 และ​มาตรา 1440 (1) 49 Section 1, Law Reform (Miscellaneous Provision) Act 1970. 50 Section 80 – A, Article 8, New York Civil Rights Law. มสธ มส

มส การหมนั้ 1-43 มสธ ฎ. 3366/2525 โจทกจ​์ ำเลยไ​ดห​้ มัน้ ก​ นั แ​ ละแ​ ตง่ งานอ​ ยกู​่ นิ เ​ปน็ ส​ ามภ​ี รยิ าก​ นั แ​ ลว้ แ​ ตจ​่ ำเลยไ​มย​่ อมไ​ปจ​ ดท​ ะเบยี น​มสธ สมรส​กับ​โจทก์​ตาม​สัญญา จำเลย​จึง​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​หมั้น โจทก์​ย่อม​มี​สิทธิ​เรียก​ให้​จำเลย​รับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทน​ได้​ ตามม​ าตรา 1439 และ​มาตรา 1440มสธ ฎ. 4040/2524 การ​ที่​โจทก์​จำเลย​แต่งงาน​กัน​ตาม​ประเพณี​แล้ว แต่​จำเลย​ไม่​ยอม​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ โจทก์​นั้น ถือ​ได้​ว่า​จำเลย​ผิด​สัญญา​หมั้น จำเลย​จึง​ต้อง​รับ​ผิด​คืน​ของ​หมั้น​และ​สินสอด​ให้​แก่​โจทก์​ตาม​มาตรา 1439 และ 1437 อย่างไร​ก็​ดี หาก​เป็น​กรณี​ที่​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​ไม่​ได้​มี​ความ​ประสงค์​ที่​จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​เลย​ตั้งแต่​ต้น เพียงแ​ ต่ต​ ้องการจ​ ัดง​ านแ​ ต่งงานต​ ามพ​ ิธีเ​ท่านั้น ภายห​ ลังห​ ากม​ ีก​ ารท​ ะเลาะก​ ันด​ ้วยเ​รื่องอ​ ื่นท​ ี่ไ​ม่ใช่เ​รื่องก​ ารจ​ ดท​ ะเบียน​ สมรส กรณีน​ ี้​ฝ่าย​หนึ่งจ​ ะ​อ้างว​ ่า​อีกฝ​ ่าย​ผิดส​ ัญญาห​ มั้น​โดย​ไม่​ยอมไ​ป​จดท​ ะเบียนส​ มรส​ไม่​ได้ ฎ. 7567/2540 ในว​ ันห​ มั้นแ​ ละแ​ ต่งงานต​ ามป​ ระเพณีร​ ะหว่างโ​จทกก์​ ับจ​ ำเลยท​ ี่ 1 มีก​ ารจ​ ัดง​ านเ​ลี้ยงแ​ ขกจ​ ำนวน​ มาก โดย​ไม่​ปราก​ฏ​ว่า​มีฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​เตรียม​การ​สมรส​ไว้​เลย แสดง​ว่า​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​มุ่ง​หมาย​ใน​การ​ให้​สินสอด​ของ​ หมั้นแ​ ละ​จัด​งาน​แต่งงานก​ ็เ​พื่อใ​ห้ไ​ด้อ​ ยู่​กินด​ ้วย​กันม​ ากกว่าก​ าร​ไป​จด​ทะเบียน​สมรสก​ ัน ทั้งส​ องฝ​ ่าย​จึงไ​ม่​นำพา​ต่อ​การ​ จด​ทะเบียน​สมรส จน​กระทั่ง​จำเลย​ที่ 1 ตั้ง​ครรภ์​และ​มี​เรื่อง​ทะเลาะ​เบาะ​แว้ง​กัน โดยที่​เรื่อง​ที่​ทะเลาะ​ไม่​ได้​เกิด​จาก​ เรื่อง​การ​จด​ทะเบียน​สมรส เพิ่ง​จะ​มี​การก​ล่า​วอ้าง​ถึง​เรื่อง​ผิด​สัญญา​หมั้น​เพราะ​ไม่มี​การ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​เมื่อ ​โจทก์แ​ ละ​จำเลยท​ ี่ 1 เกิด​ทะเลาะแ​ ละ​แยก​กันอ​ ยู่ เมื่อท​ ั้ง​สองฝ​ ่าย​ต่างไ​ม่น​ ำพา​ต่อ​การ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรสเ​ช่นน​ ี้ โจทก์​ จึง​ไม่อ​ าจ​อ้าง​การ​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส​เป็น​เหตุ​ว่าจ​ ำเลย​ที่1 เป็นฝ​ ่าย​ผิด​สัญญา กรณี​ที่​มี​การ​หมั้น​กัน​พร้อม​ทั้ง​กำหนด​วัน​สมรส​ไว้​แล้ว แต่​ฝ่าย​ชาย​กลับ​ขอ​เลื่อน​และ​หนี​หน้า​หาย​ไป​ไม่​ยอม​ มาท​ ำการ​สมรส​ด้วย ฝ่ายช​ าย​จึงเ​ป็น​ฝ่าย​ผิดส​ ัญญาห​ มั้น แม้​ต่อ​มา​ฝ่าย​หญิง​จะ​ไปส​ มรส​กับผ​ ู้​อื่น​ก็ไ​ม่​ต้อง​คืน​ของห​ มั้น​ หรือ​ชดใช้ค​ ่าท​ ดแทนแ​ ต่อ​ ย่างใ​ด ฎ. 3319/2525 โจทก์​กับ​จำเลย​ที่ 1 หมั้น​กัน​โดย​ตกลง​กำหนด​วัน​ทำการ​สมรส​กัน​ใน​เดือน 12 ปี​กุน ต่อ​มา​ โจทก์​ขอ​เลื่อน​ไป​เป็น​เดือน 4 ปี​ชวด แต่​แล้ว​โจทก์​ก็​มิได้​มาส​มร​สกับ​จำเลย​ที่ 1 กลับ​บอก​ให้​รอ​ต่อ​ไป​โดย​ไม่​ได้​มา​ ติดต่อ​อีก​เลย ฝ่าย​จำเลย​ก็ได้​เตือน​แล้ว จน​เวลา​ล่วง​ไป 2 ปี จำเลย​ที่ 1 จึง​สมรส​กับ​ชาย​อื่น ดังนี้​แสดง​ว่า​โจทก์​มิได้​ นำพา​ที่​จะ​สมรส​กับ​จำเลย​ที่ 1 ถือ​ได้​ว่า​โจทก์​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​หมั้น จำเลย​ที่ 1 จึง​ไม่​จำเป็น​ต้อง​คืน​ของ​หมั้น​หรือ​ ชดใช้ร​ าคา​ให้​แก่โ​จทก์ ภาย​หลัง​จาก​ที่​มี​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น​แล้ว ผู้​ที่​มี​สิทธิ​จะ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ได้ คือ ตัว​คู่​หมั้น​ที่​มิได้​เป็น​ฝ่าย​ผิด​ สัญญา​หมั้น รวมถ​ ึง บิดา มารดา หรือ​ผู้ป​ กครองข​ องฝ​ ่าย​นั้น​อีก​ด้วย ฎ. 763/2526 การห​ มั้น​เป็น​สัญญา​ซึ่ง​ฝ่าย​ชายท​ ำ​กับ​ฝ่าย​หญิง​โดย​ชอบ​ด้วย​กฎหมาย เพื่อ​ชาย​กับ​หญิงจ​ ะ​ทำ การ​สมรส​กัน  และ​สินสอด​เป็น​ทรัพย์สิน​ซึ่ง​ฝ่าย​ชาย​ให้​แก่​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ฝ่าย​หญิง​เพื่อ​ตอบแทน​การ​ที่​ หญิง​ยอม​สมรส สำหรับค​ ดี​นี้​โจทก์​และ​นาย​เงิน​เป็น​ฝ่าย​ชาย​ตกลง​ทำ​สัญญา​หมั้น​กับ​จำเลยท​ ั้ง​สาม​ฝ่าย​หญิง​และ​มอบ​ สินสอด​ให้​เพื่อ​ให้​นาย​เงิน​กับ​จำเลย​ที่  3  ทำการ​สมรส​กัน  และ​โจทก์​อ้าง​ว่า​จำเลย​ทั้ง​สาม​ซึ่ง​เป็น​ฝ่าย​หญิง​ผิด​สัญญา ​หมั้นแ​ ละไ​ม่ย​ อม​จดท​ ะเบียนส​ มรส ดัง​นั้น​โจทก์​ซึ่ง​เป็นค​ ู่​สัญญา​ย่อม​มีอ​ ำนาจฟ​ ้อง​บังคับ​จำเลยท​ ั้งส​ าม​ซึ่ง​เป็นค​ ู่ส​ ัญญา​ อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ฐาน​ผิด​สัญญา​หมั้น​และ​เรียก​สินสอด​คืน​ได้​และ ปพพ.  มาตรา  1439  ได้​บัญญัติ​ถึง​ผู้​มี​สิทธิ​เรียก​ร้อง ​ให้​รับ​ผิด​ชดใช้​ค่า​ทดแทน​และ​คืน​ของ​หมั้น​ใน​กรณี​ผิด​สัญญา​หมั้น  ไม่​ว่า​ฝ่าย​ชาย​หรือ​ฝ่าย​หญิง​แล้ว​แต่​กรณี มิได้​ บัญญัติ​แต่​เฉพาะ​ชายห​ รือ​หญิงค​ ู่ห​ มั้นเ​ท่านั้น​ที่ม​ ีส​ ิทธิ​เรียก​ร้อง​ได้ ฉะนั้น โจทก์​จึงม​ ี​อำนาจ​ฟ้องจ​ ำเลยท​ ั้งส​ ามไ​ด้ การ​เรียก​ค่า​ทดแทน​เนื่องจาก​การ​ผิด​สัญญา​หรือ​ผิด​ข้อ​ตกลง​เกี่ยว​กับ​การ​สมรส​นั้น กฎหมาย​บัญญัติ​ไว้​ เป็นพ​ ิเศษ​ตามม​ าตรา 1439 ให้​เรียก​ได้​เฉพาะ​กรณี​ที่​มี​การห​ มั้น​เท่านั้น ฉะนั้นห​ าก​ชาย​และห​ ญิงต​ กลงก​ ันว​ ่า​จะ​ทำการ​ มสธ มส

มส 1-44 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ สมรส​หรือ​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน​โดย​ไม่มี​การ​หมั้น​แล้ว แม้​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ไม่​ปฏิบัติ​ตาม​ข้อ​ตกลง อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ก็​เรียก​มสธ ค่า​ทดแทนไ​ ม่ไ​ ด้ มสธ อุทาหรณ์ ฎ. 1971/2517 โจทก์​จำเลย​สมรส​กัน​ตาม​ประเพณี และ​ตกลง​กัน​ว่า หาก​จำเลย​สำเร็จ​การ​ศึกษา​แล้ว​จำเลย ​จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์  แต่​เมื่อ​จำเลย​สำเร็จ​การ​ศึกษา​แล้ว  จำเลย​ไม่​ยอม​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์​นั้น การ​ที่​โจทก์​ต้อง​สูญ​เสีย​ความ​เป็น​สาว​และ​อยู่​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​กับ​จำเลย  โดย​ไม่​จด​ทะเบียน​สมรส​กัน เกิด​จาก​ความ​ สมัคร​ใจ​ของ​โจทก์  มิใช่​เกิด​จาก​การก​ระ​ทำ​ละเมิด​ของ​จำเลย การ​ที่​จำเลย​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์ ก็​มิใช่​ เป็นการ​ทำ​ละเมิด​ต่อ​โจทก์ หรือ​เป็นการ​ใช้​สิทธิ​ซึ่ง​มี​แต่​จะ​ให้​เกิด​ความ​เสีย​หาย​แก่​โจทก์  จำเลย​ไม่​ต้อง​ใช้​ค่า​สินไหม​ ทดแทนใ​ ห้โ​ จทก์ ฎ. 564/2518 การท​ ี่​พนักงาน​สอบสวนแ​ นะนำใ​ห้โ​จทก์​จำเลยไ​ป​จด​ทะเบียน​สมรสก​ ัน​ให้​ถูกต​ ้องต​ ามก​ ฎหมาย​ และ​ได้​ทำ​บันทึก​ให้​โจทก์​จำเลย​ลงชื่อ​ไว้ แต่​จำเลย​ก็​ไม่​เลี้ยง​ดู​หรือ​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์ เช่น​นี้ โจทก์​ไม่มี​สิทธิ​ เรียก​ค่า​เสีย​หาย​โดย​อ้าง​ว่า​จำเลย​ผิด​สัญญา​ตาม​บันทึก​ของ​พนักงาน​สอบสวน เพราะ​มิได้​มี​ข้อ​กำหนด​ว่า​จำเลย​ต้อง​ ชดใช้ค​ ่า​เสียห​ ายใ​น​กรณีท​ ี่​มีก​ ารผ​ ิด​สัญญาด​ ังก​ ล่าว​และม​ ิใช่​กรณี​ผิด​สัญญา​หมั้น​ด้วย ฎ. 3865/2526 สัญญา​ที่​โจทก์​นำ​มา​ฟ้อง​จำเลย​มี​สาระ​สำคัญ​ว่า ให้​จำเลย​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์ หาก​ จำเลย​ไม่​ยอม​จด​ถือว่า​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา ต้อง​ใช้​ค่า​เสีย​หาย​นั้น​เป็น​สัญญา​ที่​ไม่มี​กฎหมาย​สนับสนุน​เพราะ​ไม่ใช่​ สัญญา​หมั้น จึงไ​ม่​อาจบ​ ังคับ​ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 1439 ถ้า​ฝ่าย​ใด​ผิด​สัญญา​หมั้น​ฝ่าย​นั้น​ต้อง​รับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทน ฉะนั้น​การ​ตกลง​จะ ​สมรสโ​ดย​ไม่มีก​ ารห​ มั้น จึง​อยู่​นอกข​ อบเขตท​ ี่​กฎหมายร​ ับรองไ​ว้ จะน​ ำบ​ ทบัญญัติว​ ่า​ด้วย​นิติกรรมม​ าใ​ช้​ในก​ รณีเ​ช่นน​ ี้​ ไม่ไ​ด้ เพราะบ​ ทบัญญัติว​ ่า​ด้วย​การ​หมั้น​และ​การส​ มรส ปพพ.ได้​บัญญัติ​ไว้​โดยเ​ฉพาะแ​ ล้ว ฎ. 45/2532 การ​เรียกค​ ่าท​ ดแทน​เนื่องจากผ​ ิด​สัญญา​หรือ​ข้อ​ตกลงเ​กี่ยว​กับ​การส​ มรส​นั้น ปพพ.มาตรา 1439 บัญญัติ​ไว้​เป็น​พิเศษ​ให้​เรียก​ได้​เฉพาะ​กรณี​ที่​มี​การ​หมั้น​เท่านั้น เมื่อ​โจทก์​จำเลย​ตกลง​จะ​สมรส​กัน​โดย​ไม่มี​การ​หมั้น จึง​นอกข​ อบเขต​ที่​กฎหมาย​รับรอง แม้จ​ ำเลยไ​ม่​ปฏิบัติต​ ามท​ ี่ต​ กลง​กัน​ไว้ โจทก์ก​ ็​เรียกค​ ่า​ทดแทน​ไม่​ได้  ใน​การ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​อัน​เนื่อง​มา​จาก​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น​นี้ คู่​สัญญา​ฝ่าย​ที่​ต้อง​เสีย​หาย​มิได้​ มี​สิทธิ​เรียก​ร้อง​เอา​ค่า​เสีย​หาย​ตาม​อำเภอ​ใจ​ของ​ตนเอง กฎหมาย​ได้​กำหนด​ให้​มี​การ​เรียก​ค่า​ทดแทน อัน​เนื่อง​มา​จาก​ การ​ผิดส​ ัญญา​หมั้น​ไว้​แต่เ​ฉพาะใ​น 3 กรณีเ​ท่านั้น และ​หากม​ ี​ความเ​สียห​ ายเ​กิดข​ ึ้น​แต่เ​ฉพาะ​บางก​ รณี หรือ​ไม่มี​ความ ​เสีย​หาย​เกิด​ขึ้น​เลย คู่​สัญญา​ก็​มี​สิทธิ​เรียก​ค่า​ทดแทน​แต่​เฉพาะ​เท่า​ที่​มี​ความ​เสีย​หาย​เกิด​ขึ้น​จริง​เท่านั้น เพราะ​ วัตถุประสงค์​ใน​การ​ให้​ค่า​ทดแทน​มิใช่​เป็นการ​ลงโทษ​คู่​สัญญา​ฝ่าย​ที่​ผิด​สัญญา แต่​เพื่อ​ให้​คู่​สัญญา​ฝ่าย​ที่​ได้​รับ​ความ​ เสีย​หาย​ได้​กลับ​คืน​สู่​สถานะเ​ดิม​เสมือนห​ นึ่ง​เช่น​มิได้​มี​การ​ผิด​สัญญา​เท่านั้น ค่า​ทดแทนจ​ าก​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น ตาม​ ปพพ. มาตรา 1440 มี 3 กรณี ดังต​ ่อ​ไปน​ ี้ 1. ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ต่อ​กาย​หรือ​ชื่อ​เสียง​แห่ง​ชาย​หรือ​หญิง​น้ัน การ​ที่​คู่​หมั้น​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ผิด​ สัญญา​หมั้น​อาจ​จะ​มี​พฤติการณ์​ที่​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​เสีย​หาย​ขึ้น​กับ​คู่​หมั้น​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง โดย​ความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น ​อาจ​จะ​เป็น​ใน​รูป​แบบ​ของ​ความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​ร่างกาย หรือ​จะ​เป็น​ความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​กับ​เชื่อ​เสียง​ก็ได้​เช่น​กัน กฎหมาย​จึง​กำหนด​ให้​มี​การ​ใช้​ค่า​ทดแทน ความ​เสีย​หาย​ต่อ​กาย เช่น ภาย​หลัง​จาก​ที่​มี​การ​หมั้น​แล้ว ชาย​หญิง​จะ​มี​ ความ​ใกล้​ชิด​สนิท​สนม​กัน​มาก​ขึ้น​โดย​อาจ​จะ​การก​อด​จูบ​ลูบคลำ หรือ​การ​ล่วง​เกิน​กัน​ใน​ทำนอง​ชู้สาว ซึ่ง​การก​ระ​ทำ​ ทั้ง​หลาย​เหล่า​นี้​สามารถ​สร้าง​ความ​เสีย​หาย​ขึ้น​หาก​มิได้​มี​การ​สมรส​กัน ส่วน​ความ​เสีย​หาย​แก่​ชื่อ​เสียง​นั้น​ก็​เช่น หาก ​เกิด​กรณี​หญิง​ไม่​ยอม​สมรส​กับ​ชาย ชาย​อาจ​จะ​ได้​รับ​ความ​รังเกียจ​แก่​หญิง​อื่นๆ รวม​ทั้ง​ได้​รับ​ความ​อับอาย เพราะ​ อาจ​จะ​ถูก​ชาว​บ้าน​นินทา​ว่า​มี​ข้อ​บกพร่อง​บาง​อย่าง​ทำให้​หญิง​ไม่​ยอม​สมรส​ด้วย ดัง​นั้น​กฎหมาย​จึง​บัญญัติ​ไว้​ให้​ต้อง​ มสธ มส

มส การหมน้ั 1-45 มสธ ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ให้​แก่​กัน ​อย่างไร​ก็ตาม​สำหรับ​ความ​เสีย​หาย​ทาง​จิตใจ​ที่​คู่​หมั้น​ฝ่าย​ใด​ฝ่าย​หนึ่ง​ได้​รับ​เนื่องมสธ จาก​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น​นั้น​ไม่ใช่​ความ​เสีย​หาย​แก่​กาย​หรือ​ชื่อ​เสียง​ตาม​ความ​หมาย​ใน​มาตรา 1440 (1) ดัง​นั้น​การ​ที่​ ชาย​ไม่​ยอม​สมรส​กับ​หญิง​เป็น​เหตุ​ให้​หญิง​ร้องไห้​เสียใจ​เป็น​อย่าง​มาก​เนื่องจาก​ผิด​หวัง​ที่​มิได้​สมรส​ตาม​ที่​ตั้งใจ​ไว้มสธ ค่า​เสีย​หาย​ใน​ส่วน​นี้​จึง​ไม่​สามารถ​ที่​จะ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ได้ เพราะ​ไม่มี​บทบัญญัติ​แห่ง​กฎหมาย​บัญญัติ​รับรอง​ให้​ทำ การเ​รียกร​ ้องก​ ัน การ​ที่​หญิง​ร่วม​ประเวณี​กับ​ชาย​คู่​หมั้น​ของ​ตน​ก่อน​ที่​จะ​ทำการ​สมรส เป็น​ความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​แก่​กาย แต่​ ถ้า​หาก​เป็น​กรณี​ที่​อยู่​กิน​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา​จะ​มี​ความ​เสีย​หาย​ทั้ง​ใน​ส่วน​ร่างกาย​เนื่องจาก​มี​การ​ร่วม​ประเวณี​และ​ ความ​เสียหาย​แก่​ชื่อ​เสียง​เพราะ​คน​อื่น​ได้​รับ​รู้​ว่า​ชาย​หญิง​นั้น​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​ด้วย ดังนี้ หาก​ภาย​หลัง​ชาย​ปฏิเสธ​ไม่​ทำ การ​สมรส​ด้วย​โดย​ไม่มี​เหตุ​อัน​ควร ชาย​จะ​เป็น​ผู้​ผิด​สัญญา​หมั้น​และ​ต้อง​ใช้​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​แก่​ร่างกาย​และ ​ชื่อ​เสียง​ของ​หญิง สำหรับ​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ใน​ส่วน​นี้ ศาล​ฎีกา​กำหนด​โดย​คำนึง​ถึง​การ​ศึกษา อาชีพ ราย​ได้ ฐานะค​ รอบครัว​ของโ​จทก์​ซึ่งเ​ป็น​หญิง​มา​อยู่ก​ ินก​ ับช​ าย​จน​มี​บุตรด​ ้วยก​ ัน51 ฎ. 555/2550 ข้อ​เท็จ​จริง​เบื้อง​ต้น​รับ​ฟังได้​ว่า เมื่อ​วัน​ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 จำเลย​ทั้ง​สอง​ทำการ​ หมั้น​โจทก์ ตาม​สำเนา​บันทึก​หมั้น เอกสาร​หมาย จ.1 มี​ข้อ​ตกลง​ว่า​โจทก์​กับ​จำเลย​ที่ 2 จะ​สมรส​กัน​เมื่อ​โจทก์​สำเร็จ​ การ​ศึกษา​ระดับ​ปริญญา​ตรี หลัง​จาก​หมั้น​แล้ว​โจทก์​กับ​จำเลย​ที่ 2 ได้​อยู่​กิน​ร่วม​กิน​ฉัน​สามี​ภริยา​ระยะ​หนึ่ง​จนถึง​ วัน​ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2545 โจทก์​กับ​จำเลย​ที่ 2 ทะเลาะ​กัน​จึง​ไม่​ได้​อยู่​กิน​ร่วม​กัน​ต่อ​ไป​และ​ไม่​ได้​ติดต่อ​กัน​เลย ภาย​หลัง​จำเลย​ที่ 2 บอก​โจทก์​ว่า จำเลย​ที่ 2 ไม่​ต้องการ​สมรส​กับ​โจทก์​แล้ว ต่อ​มา​เมื่อ​เดือน​กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 โจทก์​สำเร็จ​การ​ศึกษา​ระดับ​ปริญญา​ตรี ทาง​ฝ่าย​โจทก์​ได้​ติดต่อ​จำเลย​ทั้ง​สอง​ให้​จำเลย​ที่ 2 สมรส​กับ​โจทก์ โจทก์​จึง​ แสดง​ให้​เห็น​ได้​อย่าง​ชัดเจน​ว่า โจทก์​ยัง​ประสงค์​ที่​จะ​สมรส​กับ​จำเลย​ที่ 2 แต่​จำเลย​ที่ 2 ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​สมรส​ด้วย โจทก์​จึง​ฟ้อง​เรียก​ค่า​ทดแทน​จาก​จำเลย​ทั้ง​สอง​เป็น​คดี​นี้ โจทก์​ซึ่ง​เป็น​หญิง​คู่​หมั้น​มี​สิทธิ​ฟ้อง​จำเลย​ที่ 2 ชาย​คู่​หมั้น ฐ​ านผ​ ิดส​ ัญญา​หมั้น เรียก​ค่าท​ ดแทน​ความเ​สีย​หายแ​ ก่ก​ าย​และช​ ื่อ​เสียง​เป็นจ​ ำนวน​เงิน 120,000 บาท​ได้ ฎ. 4905/2543 ภายห​ ลัง​จากม​ ีก​ าร​หมั้น​กัน​แล้ว โจทก์​มีค​ วาม​มั่นใจว​ ่าจ​ ะไ​ด้ส​ มรสก​ ับ​จำเลยจ​ ึง​ยอม​ให้​จำเลย​ มี​เพศ​สัมพันธ์​มา​ตลอด  โจทก์​มี​การ​ศึกษา​ระดับ​ปริญญา​โท​และ​เป็น​ข้าราชการ​ระดับ  6  เป็น​อาจารย์​พิเศษ​คณะ​พัฒนา​ สังคม สถาบัน​บัณฑิต​พัฒนบริหารศาสตร์  และเป็น​อาจารย์​พิเศษ​โรงเรียน​นาย​ร้อย​ตำรวจ การ​ที่​จำเลย​ทอด​ทิ้ง​โจทก์​ ไป​สมรส​กับ​หญิง​อื่น​เช่น​นี้​ทำให้​บุคคล​อื่น​มอง​ว่า​โจทก์​ประพฤติ​ไม่​ดีถูก​ตั้ง​ข้อ​รังเกียจ​หาก​โจทก์​จะ​ทำการ​สมรส​ใหม่​ และ​ถูก​มอง​ว่า​โจทก์​เป็น​เพียง​นาง​บำเรอข​ อง​จำเลยเ​ท่านั้น เป็น​ที่​เสื่อม​เสีย​เกียรติยศ ชื่อ​เสียง วงศ์​ตระกูล และ​ฐานะ ​ทาง​สังคม​ของ​โจทก์​อีก​ทั้ง​เป็น​อุปสรรค​ต่อ​ความ​ก้าวหน้า​ใน​อาชีพ​การ​งาน​ของ​โจทก์​อีก​ด้วย​ซึ่ง​จำเลย​นำสืบ​หัก​ล้าง​ใน​ ข้อน​ ี้​ไม่ไ​ด้ ดังน​ ั้น​การ​กำหนด​ค่าเ​สีย​หาย​ให้​โจทก์เ​ป็นจ​ ำนวนเ​งิน 200,000 บาทจ​ ึง​เหมาะส​ ม​แล้ว ฎ. 982/2518 ชาย​หญิง​หมั้น​กัน​โดย​ตกลง​กัน​ว่า​เมื่อ​ทำ​พิธี​แต่งงาน​กัน​แล้ว​จะ​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​ภายใน 15 วัน แต่​เมื่อ​ได้​ทำ​พิธี​แต่งงาน​และ​ได้​อยู่​ด้วย​กัน 46 วัน แล้ว​ชาย​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​หญิง แต่​กลับ​ขับ​ไล่​ หญิง​ให้​กลับ​ไป​อยู่​บ้าน​บิดา เช่น​นี้ ชาย​ผิด​สัญญา​หมั้น​เป็น​เหตุ​ให้​หญิง​ต้อง​ได้​รับ​ความ​อับอาย​ขาย​หน้า เสื่อม​เสีย​ เกียรติยศช​ ื่อเ​สียง​และ​ร่างกาย ชาย​ต้องร​ ับ​ผิด​ตาม​ ปพพ. มาตรา 1440 (1) ฎ. 2626/2518 ชาย​ไม่​สมรส​กับ​หญิง​คู่​หมั้น​เป็นการ​ผิด​สัญญา​หมั้น หญิง​ได้​ร่วม​ประเวณี​กับ​ชาย​เป็น​ความ เ​สีย​หายต​ ่อ​กาย​และ​ชื่อ​เสียงท​ ี่เ​รียก​ร้องค​ ่า​ทดแทน​ได้​ตามม​ าตรา 1440 (1) 51 ฎ. 3366/2525 มสธ มส

มส 1-46 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ การ​ที่​จำเลย​ที่ 1 ซึ่ง​เป็น​คู่​หมั้น​ของ​โจทก์​ได้​รับรอง​ว่า​จะ​แต่งงาน​กับ​โจทก์​แน่นอน และ​โจทก์​ก็​มั่นใจ​เช่น​นั้นมสธ จึง​ได้​ตก​เป็น​ภริยา​ของ​จำเลย​ที่ 1 ด้วย​ความ​สมัคร​ใจ แต่​ต่อ​มา​จำเลย​ที่ 1 ผิด​สัญญา​หมั้น​ไม่​ยอม​สมรส​กับ​โจทก์​นั้น โจทกก์​ ย็​ ังค​ งม​ สี​ ิทธเิ​รียกค​ ่าท​ ดแทนค​ วามเ​สียห​ ายต​ ่อก​ ายไ​ด้ ทีศ่​ าลก​ ำหนดค​ ่าท​ ดแทนค​ วามเ​สียห​ ายต​ ่อก​ ายแ​ ละช​ ื่อเ​สียง​มสธ ของ​โจทก์​เป็นเ​งิน 40,000 บาท เหมาะ​สม​ดีเ​ล้ว โจทก์​จำเลย​ได้​หมั้น​กัน​และ​แต่งงาน​อยู่​กัน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​แล้ว แต่​จำเลย​ไม่​ยอม​ไป​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​ โจทก์​ตามส​ ัญญา จำเลย​จึงเ​ป็น​ฝ่ายผ​ ิด​สัญญาห​ มั้น โจทก์​ย่อม​มี​สิทธิเ​รียก​ให้จ​ ำเลยร​ ับ​ผิด​ใช้​ค่า​ทดแทนไ​ด้​ตามม​ าตรา 1439 และ​มาตรา 1440 ใน​ปัญหา​เรื่อง​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ต่อ​กาย​และ​ชื่อ​เสียง​ของ​โจทก์​นั้น ศาล​ล่าง​ทั้ง​สอง ​กำหนด​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ส่วน​นี้​ให้​โจทก์​โดย​พิเคราะห์​ถึง​การ​ศึกษา อาชีพ และ​ราย​ได้​ของ​โจทก์​ ฐานะ​ของ​ ครอบครัว​ของ​โจทก์ และ​การ​ที่​โจทก์​เป็น​หญิง​มา​อยู่​กิน​กับ​จำเลย​จน​มี​บุตร แต่​จำเลย​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​ด้วย โจทก์ต​ ้องไ​ด้ร​ ับค​ วามอ​ ับอายเ​สียช​ ื่อ​เสียง ทั้ง​เป็นการย​ ากท​ ี่​จะส​ มรสใ​หม่ และต​ ามป​ ระเพณีจ​ ีน​หญิงท​ ี่แ​ ต่งงาน 2 ครั้ง ​ถือว่า​เป็น​เรื่อง​น่า​อับอาย​มาก จึง​กำหนด​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ให้​โจทก์​เป็น​เงิน 200,000 บาท นับ​ว่า​เหมาะ​สม​ ดีแล้ว ใน​การ​ฟ้อง​เรียก​ค่า​ทดแทน​ค่า​เสีย​หาย​ต่อ​กาย​หรือ​ชื่อ​เสียง ผู้​ที่​เสีย​หาย​มีหน้า​ที่​จะ​ต้อง​นำสืบ​ให้​เห็น​ความ ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น เนื่องจาก​แม้​จะ​มี​การ​ทำ​ผิด​สัญญา​หมั้น แต่​ก็​ไม่​ได้​หมายความ​ว่า​จะ​ต้อง​เกิด​ความ​เสีย​หาย​ทุก​ กรณี เช่น การ​จัด​งาน​หมั้น​กัน​อย่าง​เอิกเกริก โดย​มี​การ​เชิญ​แขก​มากมาย และ​มี​การ​เชิญ​ผู้​ว่า​ราชการ​จังหวัด​มา​เป็น ​ผู้ป​ ระกอบพ​ ิธี​หมนั้ ต่อม​ าภ​ ายห​ ลังม​ กี​ าร​ผิดส​ ัญญา​หมน้ั ลำพงั ​ข้อ​เทจ็ จ​ รงิ ​เพยี ง​เท่า​น้ี ยังไ​ม่ถ​ อื ว่า​เปน็ การ​เสยี ​ช่ือ​เสียง52 ในก​ รณที​ ีฝ่​ ่ายห​ ญิงเ​ป็นฝ​ ่ายผ​ ิดส​ ัญญาน​ ั้นฝ​ ่ายช​ ายผ​ ูเ้​ป็นโ​จทกต์​ ้องม​ ีหน้าท​ ีน่​ ำสืบซ​ ึ่งก​ ารนำส​ ืบถ​ ึงค​ วามเ​สียห​ าย ​ต่อ​ร่างกาย​หรือ​ชื่อ​เสียงค​ ่อนข​ ้าง​ทำได้​ยาก ทั้งนี้​เพราะก​ รณี​หญิงป​ ฏิเสธ​ไม่​ยอมส​ มรส​กับช​ ายน​ ั้น​โดย​ปกติม​ ัก​จะ​ไม่​เกิด​ ความ​เสีย​หาย​แก่​กาย​หรือ​ชื่อ​เสียง​ของ​ชาย เว้น​แต่​จะ​ได้​มี​การก​ระ​ทำ​อย่าง​ใด​อย่าง​หนึ่ง​ให้​มี​ผล​เสีย​หาย​เกิด​ขึ้น​อย่าง​ ชัดเจน อทุ าหรณ์ ฎ. 1305/2514 การ​ที่​ฝ่าย​ชาย​หรือ​ฝ่าย​หญิง​ผิด​สัญญา​หมั้น หา​เป็น​ผล​ก่อ​ให้​เกิด​ความ​เสีย​หาย​แก่​กาย​หรือ ​ชื่อ​เสียง​ของอ​ ีกฝ​ ่ายห​ นึ่งเ​สมอไ​ป​ไม่ โจทก์​ฟ้อง​เรียก​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ต่อ​ชื่อ​เสียง​เนื่องจาก​จำเลย​ผิด​สัญญา​หมั้น แต่​ข้อ​นำสืบ​ของ​โจทก์​ ไม่​ปรากฏ​ข้อ​เท็จ​จริง​ว่า โจทก์​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย​ต่อ​ชื่อ​เสียง​ใน​การ​ที่​จำเลย​ผิด​สัญญา​หมั้น​อย่างไร​บ้าง การ​ที่​โจทก์​ กล่าว​ลอยๆ ว่า​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย​ยัง​ไม่​เพียง​พอที่​ศาล​จะ​รับ​ฟัง​ว่า​โจทก์​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย​อัน​จะ​กำหนด​ให้​จำเลย​ รับ​ผิด​ชดใช้ค​ ่าท​ ดแทน ฎ. 3868/2531 หญิง​ฟ้อง​แย้ง​เรียก​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​เนื่องจาก​ชาย​ผิด​สัญญา​หมั้น แต่​ข้อ​นำสืบ​ของ​ หญิง​ไม่​ปรากฏ​ข้อ​เท็จ​จริง​ว่า หญิง​ได้ร​ ับ​ความ​เสีย​หาย​ต่อ​ชื่อ​เสียง​ใน​การ​ที่ช​ าย​ผิด​สัญญา​หมั้น​อย่างไร​บ้าง การ​ที่​หญิง​ กล่าว​อ้าง​ลอยๆ ว่า​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย​ยัง​ไม่​เพียง​พอที่​ศาล​จะ​รับ​ฟัง​ว่า​หญิง​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย​อัน​จะ​กำหนด​ให้​ชาย​ รับผ​ ิดช​ ดใช้ค​ ่าท​ ดแทน 2. ค่า​ทดแทน​ความเ​สีย​หายเ​น่อื งจ​ าก​ าร​ที่​คู่ห​ มน้ั บิดา​มารดา หรอื บ​ ุคคลผ​ ​กู้ ระทำก​ าร​ใน​ฐานะเ​ชน่ ​บดิ าม​ ารดา​ ได้​ใช้​จ่าย​หรือ​ต้อง​ตก​เป็น​ลูก​หน้ี​เนื่อง​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​โดย​สุจริต​และ​ตาม​สมควร ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​การ​ สมรส​ที่​จะ​เรียก​ค่า​ทดแทน​จาก​กัน​ได้​นั้น หมาย​ถึง​ค่า​ใช้​จ่าย​อัน​จำเป็น​ที่​ชาย​หญิง​ต้อง​กระทำ​เพื่อ​เตรียม​การ​ที่​ชาย​ หญิง​จะ​อยู่​กัน​ด้วย​กัน​เป็น​สามี​ภริยา ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​เดิน​ทาง​จาก​จังหวัด​ที่​ตน​อยู่​มา​จังหวัด​ที่​จะ​ทำการ​สมรส หรือ​ ชาย​หญิง​หมั้น​กัน​กำหนด​วัน​สมรส​แน่นอน​แล้ว ฝ่าย​หญิง​จึง​ได้​ใช้​จ่าย​ใน​การ​ซื้อ​ที่นอน​หมอน​มุ้ง​หรือ​เครื่อง​เรือน​ 52 ฎ. 90/2512 มสธ มส

มส การหม้นั 1-47 มสธ สำหรับ​เรือน​หอ แต่​ชาย​ผิด​สัญญา​หมั้น​ไม่​มา​ทำการ​สมรส ฝ่าย​หญิง​เรียก​ค่า​ทดแทน​ได้53 เป็นต้น ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​ข้อ​นี้​มสธ กฎหมาย​จำกัด​เฉพาะ​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​โดย​สุจริต​และ​ตาม​สมควร ไม่​ได้​ขยาย​ไป​ถึง​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​ หมั้น​ด้วย ฉะนั้น​ค่า​หมาก​พลู​และ​ขนม​ที่​บรรจุ​ใน​ขันหมากห​ มั้น ค่า​พาหนะ​และ​ค่า​เลี้ยง​แขก​ใน​วัน​หมั้น​เหล่าน​ ี้​ไม่​ถือว่า​มสธ เป็น​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส54 นอกจาก​นี้ ค่า​เลี้ยง​ดู​กัน​ใน​วัน​ทำ​พิธี​แต่งงาน​ก็​ไม่​ถือว่า​เป็น​ค่า​ใช้​จ่าย​ที่​จะ​ เรียก​ค่า​ทดแทน​แก่​กัน​ได้​ตาม​มาตรา 144055 ทั้งนี้​เพราะ​การ​ที่​ชาย​หญิง​จะ​อยู่​กิน​ด้วย​กัน​เป็น​สามี​ภริยา​ไม่​จำเป็น​ต้อง​ ใช้​จ่าย​ใน​กรณี​เหล่า​นี้ การ​เลี้ยง​ดู​กัน​เป็น​เพียง​ประเพณี​นิยม​จะ​ทำให้​ใหญ่​โต​หรือ​ทำ​เพียง​เล็ก​น้อยห​รือ​ไม่​ทำ​เลย ชาย​ หญิงก​ ็​ยัง​คง​อยู่ก​ ิน​เป็นส​ ามีภ​ ริยา​กันไ​ด้ สำหรับ​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​ปลูก​เรือน​หอ​นั้น​นับ​ว่า​เป็น​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​ด้วย เพราะ​เรือน​หอ​เป็น​ สถานท​ ี่ซ​ ึ่ง​คู่ส​ มรสจ​ ะ​ได้​อาศัยต​ ่อ​ไป​ในเ​มื่อม​ ีก​ าร​สมรส จึงน​ ่าจ​ ะ​เรียก​ค่าท​ ดแทนก​ ัน​ได้ อทุ าหรณ์ ฎ. 384/2457 โจทก์​จำเลย​ทำ​สัญญา​ยอม​ความ​กัน​ที่​อำเภอ​ตาม​ที่​กรม​การ​อำเภอ​เปรียบ​เทียบ​โดย​ให้​จำเลย​ ยก​บุตร​สาว​ให้​โจทก์ ต่อ​มา​โจทก์​ให้​คน​ไป​พูด​นัด​แต่งงาน จำเลย​กลับ​โลเล​เสีย​เป็น​ทำนอง​ว่า​ไม่​เต็มใจ โจทก์​ได้​ปลูก​ สร้าง​เรือน​หอ​ตาม​สัญญา​สิ้น​เงิน​ไป 1,200 บาท เช่น​นี้​จำเลย​จึง​ต้อง​ใช้​เงิน 1,200 บาท ให้​โจทก์ แต่​โจทก์​ต้อง​มอบ​ เรือนห​ อใ​ห้​แก่จ​ ำเลย ค่า​ใช้​จ่าย​เนื่อง​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​ที่​จะ​เรียก​เอา​ค่า​ทดแทน​จาก​กัน​ได้​นี้ จะ​ต้อง​เป็น​ค่า​ใช้​จ่าย​ที่​ได้​กระทำ​ ไป​โดย “สุจริต”และ “ตาม​สมควร” คำ​ว่า “สุจริต” ใน​ที่​นี้​หมายความว​ ่า ผู้​กระทำ​ไม่รู้​ถึง​เหตุท​ ี่จ​ ะไ​ม่มี​การส​ มรส​เพราะ​ อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ผิด​สัญญา​หมั้น ส่วน​คำ​ว่า “ตาม​สมควร” หมาย​ถึง การ​พิจารณา​จาก​ฐานะ​ของ​ฝ่าย​ที่​เรียก​ค่า​ทดแทน​ว่า ค่า​ใช้​จ่าย​หรือ​การ​ตก​เป็น​ลูก​หนี้​สูง​เกิน​ฐานะ​หรือ​ไม่56 ดัง​นั้น​หากว่า​การ​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​เป็นการ​ใช้​จ่าย ​ไป​โดย​ไม่​สุจริต​หรือ​ไม่​สมควร​แล้ว​จะ​เรียก​เอา​จาก​กัน​ไม่​ได้ เช่น ชาย​ประกาศ​ถอน​หมั้น​แล้ว ฝ่าย​หญิงยัง​ดึงดัน​ที่​ จะ​ซื้อ​ที่นอน​หมอน​มุ้ง​มา​ประดับ​เรือน​หอ​เพื่อ​เตรียม​การ​สมรส ฝ่าย​หญิง​จะ​เรียก​เอา​ค่า​ทดแทน​ไม่​ได้ อย่างไร​ก็​ดี​ ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​ข้อ​นี้​แม้​เป็น​ค่า​ใช้​จ่าย​ที่​บิดา​มารดา​หรือ​ผู้​ปกครอง​ของ​ฝ่าย​นั้น​ได้​ออก​ไป​ก็​เรียก​เอา​ค่า​ทดแทน​จาก​ฝ่าย​ที่​ ผิด​สัญญา​ได้ นอกจาก​นี้​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ใน​ข้อ​นี้​จะ​ต้อง​เป็น​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ที่​คู่​หมั้น บิดา​มารดา ​หรือ​บุคคล​ผู้​กระทำ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา​ของ​คู่​หมั้น​ได้​ใช้​จ่าย​ไป​จริงๆ กล่าว​คือ เรียก​ค่า​เสีย​หาย​ได้​เท่า​ที่​ตน ​เสีย​หาย​จริง​เท่านั้น​ไม่ใช่​ว่า​จ่าย​อะไร​ไป​เท่าไร​ก็​จะ​รี​ยก​ได้​ทั้งหมด เช่น บิดา​ของ​ฝ่าย​หญิง​เสีย​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​ การ​สมรส โดย​ซื้อ​ที่นอน​หมอน​มุ้ง​เป็น​เงิน 30,000 บาท ต่อ​มา​ชาย​ผิด​สัญญา​หมั้น​ไม่​ยอม​ทำการ​สมรส​ตาม​กำหนด และ​บิดา​ฝ่าย​หญิง​เอา​ที่นอน​หมอน​มุ้ง​นั้น​ออก​ขาย​ได้​เงิน​มา 12,000 บาท ฝ่าย​หญิง​มี​สิทธิ​ที่​จะ​ฟ้อง​เรียก​ค่า​ทดแทน​ จาก​ฝ่ายช​ าย​ได้เ​พียง 18,000 บาท เท่านั้น เพราะต​ น​เสีย​หาย​เพียง​เท่านั้น หรือ​ถ้า​หากข​ าย​ไป​เท่าท​ ุน​คือ 30,000 บาท ก็​ถือว่า​ไม่​เสีย​หายไ​ม่ส​ ามารถ​ที่จ​ ะ​มา​เรียกร​ ้องค​ ่า​ทดแทน​จากช​ าย​ตามม​ าตรา 1440 (2) ได้ จาก​บทบัญญัติ ปพพ. มาตรา 1440 (2) ได้​กำหนด​ให้​เห็น​ว่า​ผู้​ที่​มี​สิทธิ​เรียก​ค่า​ทดแทน​เพราะ​ได้​ใช้​จ่าย​หรือ​ ต้อง​ตก​เป็น​ลูก​หนี้​เนื่อง​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส ไม่​ได้​จำกัด​อยู่​แค่​ตัว​คู่​หมั้น​เท่านั้น แต่​ยัง​ขยาย​ไป​ถึง​บิดา​มารดา และ​บุคคล​ผู้​กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา เพราะ​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​นั้น บาง​ครอบครัว​ถือว่า​เป็น​งาน​สำคัญ​ สำหรับค​ รอบครัว ผู้ห​ ลักผ​ ู้ใหญ่ใ​น​บ้าน​มักจ​ ะเ​ข้า​มาช​ ่วย​เหลือ​ตระ​เตรียมก​ ารส​ มรส ดังน​ ั้น เมื่อบ​ ิดา​มารดา หรือ​บุคคล​ ผู้​กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา​ได้​ใช้​จ่าย​หรือ​ตก​เป็น​ลูก​หนี้​เนื่องจาก​การเต​รี​ยม​การ​สมรส บุคคล​เหล่า​นี้​ก็​มี​สิทธิ​ ที่จ​ ะ​เรียกค​ ่า​ทดแทนไ​ด้ 53 ฎ. 1217/2496 54 ฎ. 71/2493 55 ฎ. 1166/2487 56 ชาติชาย อัครวิบูลย์ เรื่องเดียวกัน น. 101 มสธ มส

มส 1-48 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ สำหรับ​บุคคล​ผู้​กระทำ​การ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา​นั้น อาจ​จะ​ไม่​ถึง​ขั้น​เป็น​ผู้​ปกครอง​ตาม​กฎหมาย​ก็ได้ เช่นมสธ หญิง​อยู่​อาศัย​กับป​ ้าม​ าต​ ั้งแต่เ​ด็ก​จน​โต โดยป​ ้า​เป็น​ผู้ใหญ่​จัดการง​ านต​ ่างๆ​ เพื่อ​เตรียม​การส​ มรส​ให้ ดังนี้ ป้าจ​ ึงอ​ ยู่​ใน​ ฐานะข​ อง​บุคคลผ​ ู้ก​ ระทำ​การใ​น​ฐานะเ​ช่นบ​ ิดาม​ ารดา ซึ่ง​มี​สิทธิ​เรียก​ค่าท​ ดแทนใ​น​ส่วนน​ ี้ไ​ด้มสธ การจ​ ดั ง​ านเ​ลีย้ งง​ านแ​ ตง่ งาน ไมใ่ ชส​่ าระส​ ำคญั ข​ องก​ ารส​ มรสเ​พราะก​ ารส​ มรสม​ ส​ี าระส​ ำคญั อ​ ยทู​่ กี​่ ารจ​ ดท​ ะเบยี น​ สมรส ดังนี้​หาก​มี​ค่า​ใช้จ​ ่ายใ​นก​ ารเต​รีย​ ม​งานด​ ัง​กล่าว ก็​ไม่​สามารถจ​ ะ​เรียก​ค่า​ทดแทนใ​น​ส่วนน​ ี้​ได้ ฎ. 945/2491 ค่าใ​ช้จ​ ่ายท​ ี่เ​สียไ​ปใ​นก​ ารแ​ ต่งงานไ​มถ่​ ือว่าเ​ป็นค​ ่าใ​ชจ้​ ่ายใ​นก​ ารเตร​ ีย​ มก​ ารส​ มรสต​ ามม​ าตรา 1440 (2) จึง​ฟ้องเ​รียก​จาก​กันใ​นเ​มื่ออ​ ีกฝ​ ่ายห​ นึ่งไ​ม่ย​ อมจ​ ดท​ ะเบียน​สมรส​ไม่​ได้ ฎ. 1515/2506 ค่า​ใช้​จ่าย​เลี้ยง​ดู​แขก​ที่​จ่าย​ไป​ใน​พิธี​แต่งงาน​ที่​ไม่มี​การ​หมั้น​และ​ไม่​สมบูรณ์​เพราะ​ไม่​จด​ ทะเบียน​สมรส​นั้น หา​อาจ​เรียก​ค่า​ทดแทน​จาก​อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ได้​ไม่ เพราะ​ไม่​เป็นการ​ผิด​สัญญา​หมั้น​และ​ไม่​เข้า​ลักษณะ​ อันเ​ป็นค​ ่า​ใช้จ​ ่ายใ​น​การเต​รี​ยม​การส​ มรส​ตาม​มาตรา 1440 (2) ฎ. 90/2512 ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การ​เลี้ยง​ดู​กัน​ใน​วัน​ทำ​พิธี​แต่งงาน ไม่ใช่​ค่า​ใช้​จ่าย​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​อัน​จะ​ เรียกค​ ่า​ทดแทน​กันไ​ด้ ฎ. 2086/2518 ค่า​อาหาร​เลี้ยง​พระ​และ​แขก​ใน​วัน​แต่งงาน ไม่ใช่​ค่า​ใช้​จ่าย​เนื่อง​ใน​การเต​รี​ยม​การ​สมรส​ตาม​ มาตรา 1440 (2) จึงเ​รียกค​ ่า​ทดแทน​ไม่ไ​ด้ ต่อ​มา​มี​คำ​พิพากษาฎ​ ีกา​วิ​นิ​ฉัย​ใน​เรื่อง​ค่า​ชุด​แต่งงาน​ว่า หญิง​ชาย​ต่าง​มี​ฐานะ​ดี​ทำการ​หมั้น​และ​แต่งงาน การ​ ที่​หญิง​ซื้อช​ ุด​แต่งงานเ​พื่อ​เข้าพ​ ิธี​จำนวน 4 ชุด เป็นเ​งิน 28,000 บาท เป็นค​ ่าใ​ช้จ​ ่ายอ​ ัน​สมควรใ​น​การเตร​ ี​ยม​การ​สมรส สามารถ​เรียกค​ ่า​ทดแทน​ได้57 จาก​คำ​พิ​พาก​ษ​ศาล​ฎีกา​ต่างๆ แสดง​ให้​เห็น​ว่าการ​ที่​จะ​ใช้​สิทธิ​เรียก​ค่า​ทดแทน​เนื่องจาก​มี​ค่า​ใช้​จ่าย​หรือ​ตก ​เป็น​ลูก​หนี้​เนื่อง​จา​การเต​รี​ยม​การ​สมรส จะ​มี​การ​จำกัด​ขอบเขต​ของ​ค่า​ใช้​จ่าย​ไว้​ค่อน​ข้าง​จำกัด โดย​มี​สาเหตุ​จาก​ วัตถุประสงค์​เพื่อ​ป้องกัน​คุ้มครอง​ฝ่าย​ที่​อาจ​เสีย​หาย​ใน​การ​หมั้น​โดย​มาตรการ​ต่างๆ และ​มาตรการ​ต่างๆ ที่​กำหนด เ​พื่อป​ ้องกันค​ ุ้มครองฝ​ ่ายท​ ีอ่​ าจจ​ ะเ​สียห​ ายน​ ั้นจ​ ะต​ ้องไ​มร่​ ุนแรงห​ รือก​ ว้างจ​ นเ​กินไ​ป จนท​ ำใหฝ้​ ่ายท​ ีต่​ ้องช​ ดใชค้​ ่าเ​สียห​ าย​ ในก​ ารห​ มั้น​เลือกท​ ี่​จะส​ มรส​ดีก​ ว่า​ยอมท​ ี่จ​ ะ​จ่ายค​ ่า​ทดแทน58 3. ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​เนื่องจาก​การ​ท่ี​คู่​หม้ัน​ได้​จัดการ​ทรัพย์สิน​หรือ​การ​อ่ืน​อัน​เกี่ยว​แก่​อาชีพ​หรือ​ทาง​ ทำ​มา​หา​ได้​ของ​ตน ไป​โดย​สมควร​ด้วย​การ​คาด​หมาย​ว่า​จะ​ได้​มี​การ​สมรส ค่า​ทดแทน​ใน​ข้อ​นี้​จำกัด​เฉพาะ​กรณี​ชาย ​หญิง​คู่​หมั้น​ได้​จัดการ​ทรัพย์สิน​เกี่ยว​แก่​อาชีพ หรือ​จัด​กิจการ​ใน​ทาง​ทำ​มา​หา​ได้​ของ​ตน​ใน​ทาง​ที่​เสีย​หาย โดย​คาด​ หมาย​ว่า​จะ​ได้​มี​การ​สมรส เช่น หญิง​เลิก​ทำการ​ค้า​หรือ​ขาย​ที่ดิน ทรัพย์สิน​ของ​ตน​ใน​กรุงเทพมหานคร​โดย​ขาดทุน ​เพื่อ​เตรียม​จะ​สมรส​กับ​ชาย​ที่​อยู่​ต่าง​จังหวัด​หรือ​หญิง​ประกอบ​อาชีพ​เป็น​ทันตแพทย์​ได้​เลิก​ทำ​อาชีพ​นี้​เพื่อ​ไป​ทำการ​ สมรส เหล่าน​ ี้ หญิงช​ อบ​ที่จ​ ะ​เรียกค​ ่า​ทดแทน​ได้ แต่​ใน​ทางต​ รงก​ ัน​ข้าม หากข​ าย​ทรัพย์สิน​หรือ​จำหน่าย​กิจการไ​ด้​กำไร ความ​เสีย​หาย​ก็​ไม่มี จึง​ไม่​สามารถ​ที่​จะ​มา​เรียก​ค่า​ทดแทน​จาก​กัน นอกจาก​นั้น​ค่า​ทดแทน​ที่​สามารถ​เรียก​ได้​ตาม​ มาตรา​นี้​จำกัด​อยู่​ที่​การ​จัดการ​ทรัพย์สิน​หรือ​การ​อื่น​อัน​เกี่ยว​แก่​อาชีพ​หรือ​ทาง​ทำ​มา​หา​ได้​ของ​ตน หาก​เป็นการ​จัดการ ​ใน​ด้าน​อื่น เช่น หลัง​จาก​การ​หมั้น ฝ่าย​หญิง​ขาย​ทรัพย์สิน​บาง​ส่วน​เพื่อ​ที่​จะ​เดิน​ทาง​ไป​ศัลยกรรม​ใบหน้า​ที่​ประเทศ ​เกาหลี เพราะ​ต้องการ​ที่​จะ​เตรียม​ความ​สวยงาม​ใน​การ​ทำ​พิธี​สมรส กรณี​เช่น​นี้ ค่า​ใช้​จ่าย​ดัง​กล่าว​นั้น​ก็​ไม่​อาจ​เรียก ค​ ่า​ทดแทนไ​ด้เ​พราะ​ไม่เ​กี่ยวก​ ับ​ทรัพย์สินห​ รือก​ าร​อื่น​อัน​เกี่ยวแ​ ก่​อาชีพห​ รือ​ทางท​ ำม​ า​หาไ​ด้​ของ​ตนแ​ ต่​อย่าง​ใด 57 ฎ. 2165/2538 58 ชาติชาย อัครวิบูลย์ เรื่องเดียวกัน น. 67 มสธ มส

มส การหมั้น 1-49 มสธ ค่า​ทดแทน​ใน​หัวข้อ​นี้ก​ ฎหมาย​ไม่ไ​ด้บ​ ัญญัติ​ว่า​จะต​ ้อง​กระทำ​ไปโ​ดย​สุจริต​และ​ตาม​สมควร​เหมือน​ค่า​ทดแทน​มสธ ใน​ข้อ​ที่​แล้ว แต่​ก็​น่า​จะ​มี​ความ​หมาย​ว่า​คู่​หมั้น​จะ​ต้อง​กระทำ​ไป​ตาม​สมควร​ด้วย เช่น ชาย​ประกาศ​ถอน​หมั้น​แล้ว​แต่​ หญิง​ก็​ยัง​ขาย​ทรัพย์สิน​หรือ​ขาย​กิจการ​ของ​ตน​ไป​ใน​ราคา​ขาดทุน เช่น​นี้​ก็​เป็น​เรื่อง​ที่​หญิง​นำ​ความ​เสีย​หาย​มา​สู่​ตน​เอง​มสธ ซึ่ง ปพพ. มาตรา 223 บัญญัติ​ไว้​ว่า “ถ้า​ฝ่าย​ผู้​เสีย​หาย​ได้​มี​ส่วน​ทำความ​ผิด​อย่าง​ใด​อย่าง​หน่ึง ก่อ​ให้​เกิด​ความ​เสีย​หาย​ ด้วย​ไซร้ ท่าน​ว่า​หน้ี​อัน​จะ​ต้อง​ใช้​ค่า​สินไหม​ทดแทน​แก่​ฝ่าย​ผู้​เสีย​หาย​มาก​น้อย​เพียง​ใด​นั้น ต้อง​อาศัย​พฤติการณ์​เป็น​ ประมาณ ข้อ​สำคัญ​ก็​คือ​ว่า​ความเสีย​หาย​น้ัน​ได้​เกิด​ขึ้น​เพราะ​ฝ่าย​ไหน​เป็น​ผู้​ก่อ​ย่ิง​หย่อน​กว่า​กัน​เพียง​ไร” ฉะนั้น​กรณี​ เช่น​นี้ห​ ญิง​จึงจ​ ะ​เรียกค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​จากช​ ายไ​ม่​ได้ ในข​ อบเขตข​ องบ​ ุคคลท​ ีส่​ ามารถเ​รยี กค​ ่าท​ ดแทนค​ วามเ​สยี ห​ ายใ​นส​ ว่ นน​ ีน้​ ั้น กฎหมายก​ ำหนดใ​หผ้​ ูท้​ ีม่​ ส​ี ิทธเิ​รยี ก​ ได้​จำกัด​ไว้​เพียง​แค่​ตัว​ชาย​หรือ​หญิง​ที่​เป็น​คู่​หมั้น​เท่านั้น ไม่​ได้​ขยาย​ความ​ครอบคลุม​ถึง​บิดา มารดา หรือ​บุคคล​อื่น​ที่​ กระทำ​ใน​ฐานะ​เช่น​บิดา​มารดา​แต่​อย่าง​ใด ดัง​นั้น หากว่า​บิดา​ของ​คู่​หมั้น​ขาย​กิจการ​เพื่อ​เตรียม​ย้าย​ไป​อยู่​กับ​บุตร​สาว ​หลัง​จาก​ที่​บุตร​สาว​จะ​ทำการ​สมรส แม้​ฝ่าย​ชาย​ผู้​เป็น​คู่​หมั้น​จะ​ทำ​ผิด​สัญญา​หมั้น บิดา​ของ​ฝ่าย​หญิง​ก็​ไม่​อาจ​เรียก​ ค่า​ทดแทนใ​น​ส่วนน​ ี้ไ​ด้ อุทาหรณ์ ฎ. 3366/2525 โจทก์​จำเลย​ได้​หมั้น​กัน​และ​แต่งงาน​อยู่​กิน​เป็น​สามี​ภริยา​กัน​แล้ว แต่​จำเลย​ไม่​ยอม​ไป​จด​ ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์​ตาม​สัญญา จำเลย​จึง​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​หมั้น โจทก์​ย่อม​มี​สิทธิ​เรียก​ให้​จำเลย​รับ​ผิด​ชดใช้​ ค่า​ทดแทน​ได้​ตาม​มาตรา 1439 และ​มาตรา 1440 สำหรับ​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​อัน​เนื่องจาก​การ​ที่​โจทก์​จัดการ ​เกี่ยว​กับ​อาชีพ โดย​คาด​หมาย​ว่า​จะ​ได้​มี​การ​สมรส เนื่องจาก​ก่อน​รับ​หมั้น​จำเลย โจทก์​ทำงาน​อยู่​ที่​บริษัท​แห่ง​หนึ่ง แต่​หลัง​จาก​แต่งงาน​กับ​จำเลย​แล้ว​ประมาณ 1 เดือน​เศษ โจทก์​ได้​ลา​ออก​เพื่อ​มา​ช่วย​งาน​บ้าน​จำเลย​ซึ่ง​เปิด​เป็น​ร้าน ​ขาย​หนังสือ​และ​เครื่อง​เขียน​ต่างๆ เมื่อ​โจทก์​ได้​จัดการ​เกี่ยว​กับ​อาชีพ​โดย​สมควร​ด้วย​การ​คาด​หมาย​ว่า​จะ​ได้​มี​การ​ สมรส แต่​จำเลย​ไม่​ยอม​จด​ทะเบียน​สมรส​กับ​โจทก์ เช่น​นี้​โจทก์​ย่อม​มี​สิทธิ​เรียก​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​ใน​ส่วน​นี้​ ได้ โดยก​ ำหนด​ค่า​ทดแทนใ​ห้​โจทก์​โดย​เฉลี่ยเ​ดือนล​ ะ 1,000 บาท ตั้งแต่​โจทก์ล​ าอ​ อกจ​ ากบ​ ริษัท จน​กระทั่ง​ถึง​วัน​ที่​ได้​ ทำงาน​ใหม่ร​ วม​เป็น​เงิน 14,567 บาท ปพพ. มาตรา 1440 วรรค​สอง ได้บ​ ัญญัติ​ถึง การ​กำหนดจ​ ำนวนค​ ่าท​ ดแทนใ​น​กรณีใ​ด​กรณี​หนึ่งห​ รือท​ ั้ง​สาม​ กรณน​ี ี้ โดยใ​หศ​้ าลเ​ปน็ ผ​ มู​้ อ​ี ำนาจท​ จี​่ ะก​ ำหนดจ​ ำนวนต​ ามท​ เี​่ หน็ ส​ มควรซ​ ึง่ เ​ปน็ การเ​ปดิ ใ​หศ​้ าลส​ ามารถใ​ชด​้ ลุ พนิ จิ พ​ จิ ารณา​ ว่า​ความ​เสีย​หาย​ที่​เกิด​ขึ้น​จาก​การ​ผิด​สัญญา​หมั้น​นั้น​มาก​น้อย​เพียง​ใด ศาล​จะ​คำนึง​ถึง​การ​ที่​หญิง​ได้​รับ​ของ​หมั้น​ไป​ แล้ว​ด้วย​หรือ​ไม่​ก็ได้ ศาล​มี​อำนาจ​ที่​จะ​ชี้ขาด​ว่า​ของ​หมั้น​ที่​ตก​เป็น​สิทธิ​แก่​หญิง​นั้น​เป็น​ค่า​ทดแทน​ทั้งหมด หรือ​เป็น​ ส่วนห​ นึ่ง​ของค​ ่า​ทดแทน​ที่​หญิงพ​ ึงไ​ด้​รับ หรือ​ศาลอ​ าจ​ให้​ค่าท​ ดแทน​โดยไ​ม่​คำนึงถ​ ึง​ของห​ มั้น​ที่​ตก​เป็น​สิทธิแ​ ก่​หญิงน​ ั้น​ เลย​ก็ได้​เช่น​กัน บทบัญญัติ​ที่​ว่า​นี้​เป็นการ​ให้​อำนาจ​ศาล​ที่​จะ​ใช้​ดุลพินิจ​กำหนด​ค่า​ทดแทนเ​พื่อ​ความ​เป็น​ธรรม​ใน​กรณี​ ที่​ชาย​เป็น​ฝ่าย​ผิดส​ ัญญา​หมั้นเ​พราะ​หญิง​อาจ​จะไ​ด้ท​ ั้ง​ของห​ มั้น​และ​ค่า​ทดแทนเ​ป็นจ​ ำนวนม​ ากเ​กินส​ มควร​ก็ได้ ตวั อยา่ ง 1. ชาย​นำ​เงินสด​จำนวน 500,000 บาท​มา​หมั้น​หญิง หญิง​ได้​ใช้​จ่าย​เงิน​ใน​การ​ซื้อ​ที่นอน​หมอน​มุ้ง​เป็น การ​เตรียม​การ​สมรส​โดย​สุจริต​เป็น​เงิน 30,000 บาท เช่น​นี้​ศาล​อาจ​มี​คำ​พิพากษา​ชี้ขาด​ว่า​ของ​หมั้น​มี​ราคา​มาก​เกิน ค​ ่าเ​สีย​หาย​แล้ว ชาย​ไม่​ต้องช​ ดใช้ค​ ่าท​ ดแทนค​ วามเ​สียห​ ายใ​ห้แ​ ก่ห​ ญิง​อีก​ก็ได้ 2. ชาย​นำ​แหวน​เงิน​ราคา 1,000 บาท​มา​หมั้น​หญิง ภาย​หลัง​จาก​หมั้น​ต่อ​มา​ชาย​ผิด​สัญญา​ไม่​ยอม​ทำการ​ สมรส​โดย​หนี​ไป​อยู่​ที่​อื่น กรณี​เช่น​นี้​ศาล​อาจ​พิจารณา​ว่า​ของ​หมั้น​มี​ราคา​เล็ก​น้อย ไม่​อาจ​ชดใช้​ค่า​เสีย​หาย​ต่อ​ร่างกาย​ ได้​อย่าง​เป็น​ธรรม ศาล​จึง​มี​คำ​สั่ง​ให้​ชาย​จ่าย​ค่า​ทดแทน​เพิ่ม​เติม​เป็น​เงิน 30,000 บาท​โดย​ให้​ราคา​แหวน​เงิน​เป็น​ส่วน​ หนึ่ง​ของค​ ่าท​ ดแทนไ​ด้ มสธ มส

มส 1-50 กฎหมายแพ่ง 3: ครอบครัว มรดก มสธ 3. ชาย​นำ​ทอง​มูลค่า 10,000 บาท​มา​หมั้น​หญิง หลัง​จาก​การ​หมั้น ชาย​และ​หญิง​ได้​กิน​อยู่​กัน​ฉัน​สามี​ภริยามสธ ต่อม​ าช​ าย​ได้​ไป​จด​ทะเบียนส​ มรส​กับห​ ญิงอ​ ื่น​อย่าง​เปิด​เผย และข​ ับ​ไล่​หญิง​คู่​หมั้น​ออกไ​ปจ​ ากบ​ ้าน นอกจากน​ ั้น​ยัง​ป่าว​ ประกาศใ​ห้​คนในห​ มู่บ้านท​ ราบว​ ่า​หญิง​คู่​หมั้น​เป็น​คน​ไม่​ดี​เนื่องจากม​ า​อยู่​กิน​กับ​ตน​โดย​ไม่​ได้​ทำการ​สมรส กรณี​เช่น​นี้​มสธ ถือว่า​ฝ่าย​ชาย​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​หมั้น​และ​ก่อ​ความ​เสีย​หาย​ให้​แก่​หญิง​อย่าง​ร้าย​แรง ศาล​สามารถ​กำหนด​ค่า​ทดแทน​ เป็นจ​ ำนวน 100,000 บาท​โดยที่​ไม่ต​ ้องพ​ ิจารณาถ​ ึงม​ ูลค่า​ของข​ องห​ มั้น​ที่​หญิง​รับไ​ว้​เลย​ก็ได้ สำหรับ​ใน​กรณี​ที่​หญิง​เป็น​ฝ่าย​ผิด​สัญญา​หมั้น​โดย​ไม่​ยอม​สมรส​กับ​ชาย ฝ่าย​หญิง​จะ​ต้อง​คืน​ของ​หมั้น​ให้​ แก่​ฝ่าย​ชาย ทั้งนี้​ตาม​ที่​บัญญัติไ​ว้​ใน​มาตรา 1439 เพราะ​ของ​หมั้น​เป็น​ของ​ขวัญ​ที่​ฝ่าย​ชาย​ให้​แก่​หญิง​โดย​มี​เงื่อนไข​ว่า​ หญิง​จะ​ต้อง​สมรส​กับ​ชาย เมื่อ​หญิง​เป็นฝ​ ่าย​ที่​ไม่ย​ อม​สร​ สด​ ้วย​โดยไ​ม่มี​เหตุท​ ี่​จะ​อ้าง​กฎหมายไ​ด้ หญิง​ก็​ไม่มี​สิทธิท​ ี่จ​ ะ​ เก็บข​ อง​หมั้น​ดังก​ ล่าว​ไว้ อย่างไรก​ ็​ดี แม้ก​ ฎหมาย​จะเ​ปิด​ช่อง​ทางใ​ห้ศ​ าล​สามารถใ​ช้​ดุลพินิจก​ ำหนดค​ ่า​ทดแทนไ​ด้ แต่ใ​น​การ​ พิ​จาณา​ยัง​ ต้องค​ ำนึง​ถึง​ปัจจัยท​ ี่เ​กี่ยวข้อง ดังเ​ช่น มาตรา 1447 วรรค​หนึ่ง บัญญัติ​ว่า “ค่า​ทดแทนอ​ ันพ​ งึ ​ชดใช้แ​ ก​ก่ ันต​ าม​หมวด​นี้ ใหศ​้ าล​วินจิ ฉยั ​ตาม​ควรแ​ กพ่​ ฤตกิ ารณ”์ ซึ่งป​ ัจจัย​ที่​ต้อง​นำม​ าพ​ ิจารณา ได้แก่ การ​ศึกษา อาชีพ รายไ​ด้ ฐานะ​ครอบครัว หญิง​นั้น​เคย​ผ่าน​การ​สมรส​มา​ก่อน​หรือ​ไม่ ระยะ​เวลา​ที่​ชาย​หญิง​อยู่​กิน​กัน​ฉัน​สามี​ภริยา รวม​ถึง ปัจจัย​ใน​เรื่อง​ที่​หญิง​ ได้​ตั้ง​ครรภ์ห​ รือไ​ม่อ​ ีกด​ ้วย59 ใน​กรณี​ที่​มี​การ​หมั้น ฝ่าย​ชาย​อาจ​จะ​ได้​มี​การ​ให้​สินสอด​แก่​บิดา​มารดา​ของ​ฝ่าย​หญิง ต่อ​มา​เมื่อ​มี​การ​ผิด​ สัญญา​หมั้น​เกิด​ขึ้น มูลค่า​ของ​สินสอด​จะ​ไม่​ถูก​นำ​มา​พิจารณา​ใน​ส่วน​ของ​ค่า​ทดแทน​ด้วย เนื่องจาก​กฎหมาย​กำหนด​ ให้ศ​ าลพ​ ิจ​ าณาใ​นส​ ่วนข​ องม​ ูลค่าข​ องห​ มั้นเ​ปรียบเ​ทียบก​ ับค​ วามเ​สียห​ าย ไมไ่​ด้ก​ ำหนดใ​หพ้​ ิจารณาถ​ ึงม​ ูลค่าข​ องส​ ินสอด ดังน​ ั้น​แม้ฝ​ ่าย​ชาย​จะ​ให้ส​ ินสอดแ​ ก่ฝ​ ่ายห​ ญิงม​ ากเ​พียงใ​ด​ก็​ไม่​อาจน​ ำ​มา​หัก​กับค​ ่า​ทดแทน​ที่ต​ นต​ ้อง​จ่ายไ​ด้​แต่อ​ ย่างใ​ด อทุ าหรณ์ ฎ. 2086/2518 ชาย​ผิด​สัญญา​หมั้น ศาล​กำหนด​ค่า​ทดแทน​ความ​เสีย​หาย​เกี่ยว​กับ​ชื่อ​เสียง​โดย​พิเคราะห์​ ฐานะ​และ​สภาพ​ความ​เป็น​อยู่​ของ​หญิง แต่​หัก​จำนวน​เงิน​หมั้น​ที่​ได้​รับ​ไว้​แล้ว​ใน​ภาย​ภาค​หน้า เมื่อ​หญิง​เป็น​ฝ่าย​ผิด ​เงื่อนไขเ​องท​ ี่​ไม่​ยอม​สมรส​กับช​ าย ฝ่ายห​ ญิงจ​ ึงต​ ้อง​คืนข​ อง​หมั้น​ให้​แก่ช​ ายด​ ้วย ฎ. 1223/2519 จำเลย​หมั้น​โจทก์​และ​ได้​กำหนด​จะ​สมรส​กัน​หลัง​จาก​โจทก์​ไว้​ทุกข์​ให้​บิดา​แล้ว 3 ปี ระหว่าง​ นั้น​โจทก์​ได้​ตั้ง​ครรภ์​กับ​จำเลย จำเลย​แนะนำ​ให้​ทำแท้ง เมื่อ​โจทก์​ทำแท้ง​แล้ว​เกิด​ป่วย​หนัก จำเลย​หาย​หน้า​ไป​และ​ กลับ​ไป​สมรส​กับ​หญิง​อื่น โจทก์​ได้​รับ​ความ​เสีย​หาย​ทาง​ร่างกาย ชื่อ​เสียง และ​ต้อง​เจ็บ​ป่วย​เสีย​เงิน​รักษา​โดย​จำเลย ​มิได้​สนใจ เช่น​นี้จ​ ำเลยจ​ ะต​ ้องใ​ช้​ค่า​ทดแทนค​ วาม​เสียห​ าย​ดัง​กล่าว ส่วน​ของ​หมั้นอ​ ันม​ ีร​ าคาเ​พียงเ​ล็กน​ ้อย​ย่อมต​ ก​เป็น​ สิทธิ​แก่โ​จทก์ จำเลย​จะอ​ ้างว​ ่า​โจทก์​ได้ข​ องห​ มั้น​เป็นการเ​พียง​พอแล้วห​ า​ได้​ไม่ 59 ฎ. 5777/2540 มสธ มส


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook