มารยาทตา ง ๆ ของการอา นคัมภีรอ ลั กุรอาน “จงประดับประดารัศมแี กบา นของพวกทา น โดยการอา นคมั ภีรอ ัล กุรอาน… บา นใดก็ตามทค่ี ัมภรี อัล กรุ อานไดถ กู อา นในบา นหลังน้ัน ความดีงามและความจําเรญิ (บะรอกตั ) ของมนั กจ็ ะเพิม่ พนู ” (ศาสดามฮุ มั มดั (ศอ็ ลฯ)) ดวยพระนามของพระองคผ ทู รงสงู สง อารมั ภบท ในคมั ภรี อ ลั กรุ อาน และในวจนะตางๆ ของทา นศาสนทตู แหง อสิ ลาม (ศ็อลฯ) รวมทั้งวจนะ ของบรรดาอิมามผบู รสิ ุทธ์ิ (อ.) กเ็ ชนเดียวกนั นอกจากจะเนน ใหอ า นคมั ภรี อัล กุรอานแลว ยงั ไดส่งั เสีย ในเร่ือง “การระวงั รกั ษามารยาทตางๆ ของการอาน” อกี ดว ย การระวังรักษามารยาทเหลานี้ นอกจากจะทําใหผูอา นไดรับผลรางวลั ของการอา นเพิ่มมากขนึ้ แลว ยังจะทาํ ใหผูอานคมั ภีรอ ลั กรุ อานน้นั เขาใจถงึ เปา หมายข้ันสงู สดุ ของการอานคมั ภีรอ ัล กุรอานมาก ยง่ิ ขน้ึ อีกดวย ซึ่งนั่นกค็ ือความเขาใจความหมายตา งๆ ของอลั กรุ อาน และการปฏบิ ัตติ ามคาํ สง่ั ตางๆ ของมัน มารยาททง้ั หลายเหลานี้ ไดถูกอธบิ ายไวอ ยา งมากมายและกวา งขวางในบรรดาวจนะของทาน ศาสดามฮุ มั มัด(ศอ็ ลฯ) และบรรดาอมิ ามผบู รสิ ุทธ์ิ (อ.) หนงั สอื ท่อี ยใู นมอื ของทานผูอา นขณะนี้นนั้ มงุ เนนในการอธบิ ายถงึ มารยาทโดยทวั่ ไปของการอา น ซง่ึ การระวงั รกั ษามันเปนเร่ืองท่ีงายดายสาํ หรับ นกั อา นคัมภีรอลั กุรอานโดยท่ัวไป โดยเฉพาะอยา งยิ่งสําหรับเยาวชนของเรา และในการอธิบายมารยาท ตางๆ เหลานี้ พยามยามทีจ่ ะรักษาลําดับขนั้ ตอนตางๆ อันเปน เฉพาะ แมว าลาํ ดบั ขั้นตอนนส้ี ามารถจะ เปลี่ยนแปลงแกไขและเพิม่ เตมิ ใหเ กิดความสมบรู ณไ ดก ต็ าม ขาพเจาขอวิงวอนตอ พระผูเ ปน เจา ผทู รงสูงสง ไดโปรดตอบรับความอุตสาหพยายามอันนอ ยนดิ นด้ี วยเถดิ และมุงหวงั จากบรรดาผูอา นผมู เี กียรติทงั้ หลายท่ีจะสงคาํ ติชมตา งๆ ของตนเองมายังทีอ่ ยูของ สํานักพมิ พ เพอื่ จะไดเปนแนวทางในการแกไขปรับปรงุ สาํ หรบั การพมิ พค รง้ั ตอไป อบลุ ฟฎล อลั ลามี มะยานย.ี บทนํา 1
ความประเสรฐิ ของการอานคมั ภีรอัล กุรอาน ในโลกแหง การมอี ยนู ี้ ไมม ีคมั ภีรใ ดจะมคี ณุ คา และมคี วามประเสรฐิ เทา เทียมกบั คัมภีรอ ลั กุ รอานไดเ ลย เพราะคมั ภีรอ ลั กุรอานคอื บทสรปุ และรวบรวมหัวใจสาํ คัญของหลกั คาํ สอนตางๆ ของ บรรดาศาสดาแหง พระผเู ปน เจา ทงั้ มวลไวใ นตวั เอง ย่งิ ไปกวานนั้ คัมภีรอลั กุรอานยงั มคี วามประเสริฐ และมคี ณุ คามากกวาสง่ิ ถูกสรางทง้ั มวล ดังที่ทานศาสนทูตแหง อิสลาม (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “คัมภีรอลั กรุ อานประเสรฐิ กวาทกุ สรรพสิ่งยกเวนอัลลอฮ” (1) เมอื่ คมั ภรี อลั กุรอานของเราซงึ่ เปน คัมภีรแหงฟากฟา มคี วามประเสริฐและมีฐานะอันสงู สง ถึง เพียงน้ี และเนอ้ื หาของมนั กเ็ ชนเดยี วกนั เปนแบบแผนสาํ หรับการดําเนนิ ชวี ิตอนั ไพบูลยของปวงมสุ ลิม ดงั นัน้ จงึ เปน หนา ที่จาํ เปน สําหรบั มุสลมิ ทกุ คนท่จี ะตองศึกษาทําความเขา ใจในเนอื้ หาของคัมภีรอัล กุ รอานและนําสกู ารปฏิบัติ กา วแรกสําหรบั หนทางดงั กลาวนี้คอื การศึกษาเรยี นรคู มั ภรี อัล กรุ อานโดยเริ่มตนจากการฝก อา นใหได สว นหนงึ่ จากความสาํ คัญของการศึกษาเรยี นรูคัมภรี อ ลั กรุ อานนัน้ เพยี งพอแลวจากคํากลาว ของทานอมิ ามซอดิก (อ.) ท่ีทา นกลา ววา “สมควรอยา งยงิ่ สําหรับผศู รทั ธา ที่เขาจะไมต ายจนกวา เขาจะไดศ กึ ษาคัมภีรอัล กุรอาน เสียกอ น หรอื อยใู นการศกึ ษามนั ” (2) ภายหลงั จากการเรยี นรูว ิธกี ารอา นจนเปนแลว ก็มาถงึ เรอ่ื งของการอา น นับเปนสงิ่ ทีด่ ยี ิง่ สําหรับ มสุ ลมิ ทุกคนที่ในแตล ะวนั เขาจะอา นสว นหนึง่ จากคัมภรี อ ัล กุรอาน เพราะโดยสอ่ื ของการอานคัมภรี อ ัล กุรอานจะทาํ ใหเ ขาไดร ับรถู งึ คาํ สัง่ ตางๆ ของอสิ ลาม และโดยความโปรดปรานของพระผูเ ปนเจาเขาจะ นําเอาคําสง่ั เหลานนั้ มาปฏบิ ตั ิในชีวติ ประจาํ วนั ของตนเอง และผลจากการปฏิบตั ติ ามอัล กรุ อานรศั มี แหง อลั กรุ อานก็จะฉายแสงเขา สูตัวเขา และจะทาํ ใหฐ านะภาพของเขา ณ อลั ลอฮนัน้ มคี วามสงู สงย่ิง กวามนษุ ยคนอน่ื ๆ โอพ ีน่ องผูศรทั ธาท้งั ชายและหญิง! พระผเู ปนเจาผูทรงเมตตานน้ั ทรงปรารถนาทจี่ ะใหพ วกเรา ทุกคนไดรบั ทางนําและความไพบูลยในชวี ติ ดวยเหตนุ ี้พระองคไ ดทรงกาํ ชบั พวกเราใหอ า นคมั ภีรอลั กุ รอานเทาท่เี รามีความสามารถจะกระทําได “ดงั นั้นพวกเจาจงอา นตาม (ปริมาณ) ทสี่ ะดวกจากอลั กรุ อานเถดิ ” (บทอัล มซุ ซมั มลิ โองการที่ 20) 2
ฐานะภาพและความประเสริฐของผูอา นคัมภรี อลั กุรอาน บุคคลใดกต็ ามทอ่ี านคมั ภีรอ ลั กรุ อานตามทบี่ รรดาผนู ําทางศาสนาไดสงั่ กาํ ชับ และปฏิบตั ติ าม โองการตา งๆ ของมัน เขาจะกลายเปน สวนหนึ่งจากบรรดาผูศรทั ธา (มอุ ม นิ นี ) และปวงผยู ําเกรง (มุตตะกีน) ผลของมันกค็ อื วา ในโลกดนุ ยาน้เี ขาจะดําเนนิ ชวี ิตอยอู ยางมีเกียรติและมศี กั ด์ิศรี และน่ันคือ คาํ สญั ญาจากพระผเู ปน เจา “และเกียรตยิ ศนนั้ เปนของอลั ลอฮ เปนของศาสนทตู ของพระองค และเปน ของมวลผู ศรทั ธา” (บทอลั มนุ าฟกูน โองการที่ 8) น่ีคือฐานะภาพแหง โลกดนุ ยาน้ี สว นเกียรตยิ ศและฐานะภาพอนั สูงสงทีเ่ ที่ยงแทนั้นอยูใ นโลก หนา (อาคิเราะฮ) ผใู ดก็ตามท่ีในโลกหนาเขาเปน ผูมเี กียรติ นัน่ หมายความวา เขาไดไปถึงซงึ่ เกยี รติยศ และฐานะภาพอนั สงู สงโดยแทจริง วนั ซง่ึ มนุษยน บั ต้งั แตค นแรกจวบจนคนสดุ ทายไดถูกทาํ ใหฟนข้ึนอกี ครงั้ ทกุ คนจะเปนสกั ขพี ยานและมองเห็นการงาน (อะมั้ล) ตา งๆ ของกนั และกนั แตล ะคนตา งเฝารอ คอยที่ชะตาชวี ติ อนั เปนนิรันดรข องตนเองจะถูกประกาศใหไ ดร ับรู วนั น้นั บุคคลที่สามารถยนื หยดั อยไู ด อยางสงาผา เผยและภาคภูมิใจ คือผทู ่อี ยูใ นแถวของบรรดาชาวสวรรค อยา งไรกด็ ี สวรรคน้นั ก็ยงั มรี ะดับ ขนั้ และฐานันดรทีต่ างกันออกไป และพน้ื ฐานแหงการนบั จาํ นวนฐานนั ดรของสวรรคก็คอื จาํ นวนของ บรรดาโองการแหงคมั ภีรอลั กุรอาน อิมามซอดิก (อ.) ไดอ างรายงานจากทานศาสดามฮุ มั มัด(ศ็อลฯ) โดยทา นไดกลาววา “ทา นท้งั หลายจงอา นกุรอานเถิด! แทจริงฐานนั ดรตางๆ ของชาวสวรรคน น้ั ขึน้ อยูกบั จาํ นวนของ บรรดาโองการอัล กรุ อาน เมอื่ วันกิยามะฮไ ดม าถงึ จะมผี ูกลาวตอ ผูอา นอัล กรุ อานวา : จงอานและจง เล่ือนฐานันดรขึน้ ไปเถดิ ! และแตละโองการท่ีเขาไดอานไปน้ันเขาจะไดเ ล่ือนฐานนั ดรข้นึ ไปทีละขนั้ ” (3) อยา งไรกด็ ี จาํ เปน ทเี่ ราจะตอ งรูวา ตาํ แหนง และฐานะภาพดังกลาวน้ีเปนของบคุ คลทเ่ี ขาได ปฏิบัติตามโองการตา งๆ ของคมั ภรี อ ลั กรุ อาน เขาเปน ผถู อื (ฮามลิ ) คมั ภรี อ ัล กุรอาน หมายความวา เขาเปน ผูอ า นคมั ภรี อ ัล กุรอานซึง่ ไดห ลอ หลอมตนเองดว ยสีสรรแหง คมั ภรี อัล กุรอานและบรรดา คณุ ลกั ษณะแหงพระผเู ปนเจา ณ ทน่ี ัน้ เขาจะเขาอยูใ นหมมู นษุ ยที่มเี กียรติที่สุด ทานศาสดามฮุ มั มัด (ศ็อลฯ) ไดก ลาววา “บรรดาผทู ่มี เี กียรติแหง ประชาชาตขิ องฉัน คือบรรดาผูถอื (ฮามิล) อลั กุรอาน” (4) เมอ่ื เราไดก ลา วถึงความประเสรฐิ ของคัมภีรอลั กุรอาน คณุ คา ของการอา นคัมภรี อ ัล กรุ อาน และฐานะภาพอันสูงสง ของผูอานคมั ภีรอ ัล กรุอานไปแลว ตอ ไปนี้เราจะมากลา วถึงมารยาทตา งๆ ของ การอานคมั ภีรอ ลั กรุ อาน 3
โดยการอนเุ คราะหข องพระผเู ปน เจา ผทู รงสูงสง ในหนังสือเลมนีเ้ ราจะนาํ เสนอมารยาทตา งๆ ของการอา นคมั ภรี อลั กุรอาน 20 ประการแกผอู านคัมภีรอลั กรุ อานผูมีเกยี รตทิ ง้ั หลาย หากพระผเู ปน เจาทรงประสงค (อินชาอัลลอฮ) มารยาทประการที่ 1 ฏอฮาเราะฮ (ความสะอาด) มารยาทประการแรกของการอานคมั ภรี อัล กุรอาน คอื การคงสภาพอยูในความสะอาดและฏอ ฮาเราะฮ (ความสะอาดตามศาสนบัญญตั )ิ ของผอู านคมั ภรี อ ลั กรุ อาน หากบุคคลใดประสงคทจ่ี ะ สมั ผัสตวั อกั ษรของคมั ภีรอลั กุรอาน หรือคาดวา ในขณะอา นอัล กรุ อานนัน้ มือของเขาจะไปสมั ผสั กบั ตวั อักษรของอลั กรุอาน ดงั น้นั จาํ เปน ทเ่ี ขาจะตอ งอยใู นสภาพฏอฮาเราะฮ เพราะเหตุวา พระผูเปนเจา ทรงตรัสไวใ นคัมภรี อ ัล กรุ อานวา “ไมม ีผูใดสมั ผสั กบั มัน (อัล กรุ อาน) นอกจากบรรดาผทู ีไ่ ดร ับการชาํ ระตนใหส ะอาด บริสทุ ธ์”ิ (บทอลั วากอิ ะฮ โองการท่ี 79) ขอ บัญญตั ิ (ฮุกมุ ) ในการสมั ผสั คมั ภีรอ ัล กุรอาน จุดประสงคจากคาํ วา ‘ฏอฮาเราะฮ’ (ความสะอาด) ในทนี่ ี้คอื การทําฆุซุล (อาบน้ําชําระรา งกาย ตามศาสนบัญญตั ิ) และการทาํ วุฎอ (นา้ํ นมาซ) นน่ั เอง หากผใู ดมพี นั ธะหนาทีท่ ่ีจะตองทาํ ฆุซุล เม่อื เขา จะแตะตอ งหรือสัมผสั อัล กรุ อาน อันดับแรกจําเปน ท่เี ขาจะตอ งทําฆุซุลเสียกอน หรือหากอยใู นสภาวะ ปกติจําเปน (วาญิบ) ที่เขาจะตองทาํ วฎุ อห ากประสงคจ ะสมั ผสั อัล กุรอาน ปรัชญาและเหตุผลของขอบญั ญตั ิ (ฮุกมุ ) แหงพระผูเปน เจา ขอนี้เปน สง่ิ ท่ีชดั เจนท่ยี ง่ิ นัก เพราะ วาอัล กรุ อานคอื พระคาํ (กะลาม) ของพระผเู ปนเจา และการใหเกยี รติและใหความเคารพตอคมั ภีรอลั กุรอานน้ันเปนส่ิงทจ่ี ําเปน สาํ หรับทกุ ๆ บุคคล ดวยเหตผุ ลดังกลา วนี้ เปนภาระหนา ทเ่ี หนือมุสลิมทกุ คน เมื่อเขาจะสมั ผสั อกั ษรตางๆ ของคมั ภีรอัล กุรอาน เขาจะตองอยูใ นสภาพของฏอฮาเราะฮ ในหนังสือ รซิ าละฮ อะมะลีย (คําฟตวาเก่ยี วกบั หลักการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ) ของบรรดามรั - เญี๊ยะอตักลีดนั้น ไดกาํ ชบั เก่ียวกับเรื่องนไ้ี วอ ยา งมากทีเดียว เม่อื เราประสงคจ ะอานคมั ภีรอ ลั กุรอานนัน้ ถงึ แมวามอื ของเราหรอื รา งกายของเราจะไมส มั ผัสกับตวั อกั ษรของอลั กรุ อานกต็ าม นับวา เปนสิ่งท่ดี ยี งิ่ ท่ี เราจะทําวฎุ อ เ สยี กอ น (1) และการมวี ฎุ อ น ัน้ จะทําใหภ าคพลของการอานของเราเพ่มิ พนู มากย่งิ ข้นึ ความสะอาดของปาก คุณลักษณะเฉพาะประการหน่ึงของทานศาสดามฮุ ัมมัด(ศอ็ ลฯ) นนั่ คอื เม่อื ทานจะทําอบิ าดะฮ โดยเฉพาะอยางยิง่ เมือ่ ทานจะอา นคัมภรี อัล กุรอานและทาํ นมาซในยามดกึ ของกลางคนื (ซอลาตุล 4
ลยั น) ทานจะแปรงฟน ของทาน และทา นยังไดก าํ ชบั ส่งั เสียบรรดามสุ ลิมบอยครัง้ เกยี่ วกับเร่อื งนี้ สวน หน่ึงจากคาํ พดู ของทานศาสดามฮุ มั มัด(ศอ็ ลฯ) ในเร่ืองน้ีคือ ครัง้ หนง่ึ ทา นไดก ลาวกบั บรรดาสาวกของ ทา นวา “พวกทานท้งั หลายจงทําความสะอาดทางเดนิ ของอลั กรุ อาน” มีผถู ามวา “โอทา นศาสดามุฮมั มัดอะไรคือทางเดนิ ของอลั กุรอาน!” ทานตอบวา “มันคอื ปากของพวกทา น” มีผูถามอกี วา “(เราจะทํา ความสะอาดมนั ) ดวยวธิ ใี ด!” ทา นตอบวา “ดว ยการแปรงฟน” (2) ความสะอาดและความเรยี บรอยของรา งกายภายนอก นบั เปน ส่งิ สมควรอยา งยิง่ ทบี่ รรดามสุ ลมิ จะอา นคัมภีรอ ลั กุรอานดว ยสภาพท่ีรางกายและ เสื้อผาของเขามคี วามสะอาด พวกเขาจะชําระและขจดั ความสกปรกตางๆ เชน เลอื ด ปส สาวะ และอนื่ ๆ ใหหมดไปจากรางกายและเสื้อผา ของตน ในทํานองเดียวกนั นี้ เปน สงิ่ ทส่ี มควรยิ่งที่ผูอา นคัมภีรอ ลั กุ รอานจะประดบั ประดาตนดว ยเครอื่ งหอม หวีผม และแตง ตัวใหเ รยี บรอยเม่อื จะอา นอัล กุรอาน โดยเฉพาะอยา งย่งิ บรรดานักกอรยี (นกั อา นคัมภีร) ซึง่ จะทําการอานคัมภีรอัล กรุ อานตามทสี่ าธารณะ และท่ชี มุ ชนทางศาสนาท้งั หลาย โดยส่อื ของการระวงั รักษามารยาทเหลาน้ี ยอ มสามารถจะเปน แบบอยา งทดี่ ีสําหรบั บุคคลอนื่ ๆ ได มารยาทประการท่ี 2 ความบริสุทธใ์ิ จ (อคิ ลาศ) ในการอา นคมั ภีรอ ลั กรุ อาน ความหมายของคําวา “อิคลาศ” (ความบรสิ ุทธใ์ิ จ) อิคลาศ (ความบรสิ ทุ ธ์ใิ จ) ในการอานน้นั หมายถึงผอู า นคมั ภรี อ ลั กุรอานจะตองคดิ คํานึงแต เพียงวาเพ่ือความพงึ พอพระทยั จากพระผูเปน เจา นบั ตั้งแตเรมิ่ ตนการอา นจนกระทงั่ จบการอา น โดย พ้ืนฐานแลวทุกๆ การอบิ าดะฮท ่ีจะถูกตอบรบั ณ พระผเู ปน เจานั้นจะตอ งประกอบดวยเจตนาทบี่ ริสทุ ธ์ิ ทานศาสดามุฮมั มดั (ศ็อลฯ) ไดกลา ววา “อันท่ีจรงิ การกระทํา (อะม้ัล) ท้ังหลายนั้นอยทู ่ีเจตนา (เหนยี ต)” (1) น่ีคือคาํ กลา วของทา นศาสดามฮุ มั มดั (ศ็อลฯ) ซึง่ ชใี้ หเราไดรบั รูว า บรรดาการงาน (อะมั้ล) ของแตล ะบคุ คลนัน้ สมั พันธโดยตรงกับเจตนา (เหนยี ต) ของเขา ชว งโอกาสหน่งึ ที่ชัยฏอน (มารราย) คอยดักจอ งทจี่ ะลอลวงและทาํ ลายการอบิ าดะฮข องมนุษยเ รากค็ อื ชว งเวลาท่เี ขาอา นคมั ภีรอ ลั กุรอาน 5
โดยเฉพาะอยา งย่ิงนักกอรยี (ผอู าน) อัล กุรอานทีจ่ ะตอ งอานในท่ีชมุ ชนและตอ หนา ประชาชนจาํ นวน มาก จาํ เปน ทเี่ ขาจะตอ งระมดั ระวังเปนอยางยิ่งเพื่อมใิ หช ยั ฏอน (มารรา ย) เขา มายงุ เก่ยี วในการอา น ของเขา บางคร้ังชัยฏอน (มารรา ย) อาจจะกระซบิ กระซาบเชน นวี้ า “จงดซู ิวาเจา นั้นอา นไดไ พเราะ เพราะพร้ิงเพยี งใด เห็นไหมผูคนตา งแสดงการใหก าํ ลงั ใจตอเจาอยา งเต็มท”ี่ หรือบางทอี่ าจกระซิบ กระซาบกบั นกั กอรยี แ ละผูอานคมั ภรี อ ลั กรุ อานวา “เจา นน้ั ไดอานยอดเย่ียมกวานักอา นคนอื่นๆ ดวย เหตนุ ี้เองเหน็ ไหมเลาประชาชนจงึ ใหเ กยี รตติ อเจามากกวา ” บอ ยครง้ั เหลือเกนิ ท่ตี ลอดเวลาของการ อา นอลั กรุ อานน้นั นักกอรยี (ผูอาน) ครนุ คดิ แตเ รื่องราวในลกั ษณะเชนน้ี เมื่อการอา นของตนจบลงเพ่งิ จะรูสึกตวั และคิดไดวา เพียงสง่ิ เดยี วที่เขาไมไดครนุ คิดเลยในระหวา งการอา นของตนน่นั กค็ อื การมี เจตนาทบ่ี รสิ ทุ ธิ์ ความพงึ พอพระทยั ของพระผเู ปนเจา และความหมายตางๆ ของพระดาํ รสั แหง พระผู เปน เจา แลว เราจะแกไขและปอ งกันไดอยา งไร! ในมารยาทประการที่ 4 และท่ี 5 เราจะพดู คยุ เพ่ิมเตมิ เก่ียวกบั ประเด็นนี้ จะขอกลา ว ณ ที่น้วี า ทกุ คร้ังท่ีเราตอ งการจะอา นคมั ภีรอลั กรุ อาน จําเปน ทเ่ี รา จะตองนึกอยตู ลอดเวลาวา อลั กรุ อานคอื พระคาํ ของพระผเู ปน เจา (กะลามุลลอฮ) ไมม ถี อ ยคําใดๆ ท่ี ควรคา ตอ การเคารพยกยองมากไปกวาคมั ภรี อ ัล กรุ อาน และเปาหมายของเราในการอา นมันก็เพ่ือ สนองตอบพระบัญชาของพระผเู ปน เจา และประกาศตนเปนบา วของพระองค โดยส่อื ของการอา นอัล กุ รอาน เราประสงคท ่ีจะทําความเขาใจกบั ความหมายของมนั เพือ่ นาํ สกู ารปฏบิ ตั ิ และโดยส่อื ของการ ปฏิบตั ิตามโองการตา ง ๆ ของมัน เราจะไดเขาอยูในกลุมของบรรดาผปู ระสบความสําเร็จและความ ไพบลู ย ผลรางวลั ของความบรสิ ุทธใ์ิ จ (อคิ ลาศ) ในการอา น ทา นพ่ีนอ งผศู รัทธาท่ีเคารพ! หากเราสามารถอานคมั ภรี อ ลั กรุ อานไดด วยความบรสิ ุทธใิ์ จ เราก็ จะไดร ับผลรางวลั อันย่งิ ใหญข องมัน เราลองพจิ ารณาดูวจนะของทานศาสดามฮุ มั มดั (ศอ็ ลฯ) ซง่ึ ทาน กลา ววา “ผูใดท่อี า นคัมภีรอ ัล กุรอานเพ่ือแสวงหาความพงึ พอพระทยั จากพระผเู ปน เจา และเพอ่ื ทาํ ความเขาใจในศาสนา เขาจะไดรับผลรางวลั ตอบแทนเหมือนกับรางวัลท้งั หมดท่ถี ูกประทานใหแกม วลมะ ลาอิกะฮ บรรดาศาสดาและบรรดาศาสนทตู ” (2) หากเรามีความตง้ั ใจจริงทจี่ ะอา นคัมภรี อ ลั กุรอานดว ยความบรสิ ุทธิใ์ จ และใชความ อุตสาหพยายามในหนทางดงั กลา วน้ี แนนอนย่งิ วา พระผเู ปน เจาก็จะใหก ารชวยเหลือเราเชน เดยี วกนั อยา งไรกต็ ามในทน่ี ี้ การวงิ วอนและการขอดอุ าอต อ พระผูเปนเจากเ็ ปนเงอื่ นไขอีกประการหน่งึ เราจะ วิงวอนขอตอพระองควา “โอพ ระผเู ปนเจา ! พระองคไดท รงเรียกรองพวกเราใหท ําการอา นคมั ภีรอลั กุ รอานของพระองค และเหลา ขาพระองคไ ดตอบรบั พระองคแ ลว ดังน้ันขอพระองคไ ดโ ปรดชว ยเหลือเหลา 6
ขา พระองค เพอ่ื ทตี่ ลอดเวลาของการอา นนน้ั ขอใหเ หลาขาพระองคไ ดต ั้งมั่นอยใู นความพึงพอพระทยั ของพระองคเพียงอยา งเดียวดว ยเถิด” อิมามซอดกิ (อ.) ไดรายงานดุอาอบทหนึ่งจากทานศาสดามุฮมั มดั (ศอ็ ลฯ) ในเนือ้ หาเกี่ยวกบั “การทองจําคมั ภรี อัล กรุ อาน” ในตอนหน่งึ ของดุอาอบ ทน้ี ไดชี้ถึงประเด็นดังกลาวโดยมีเนอื้ ความดงั น้วี า “และ (ขอพระองค) ไดโ ปรดบันดาลใหขา พระองคอ า นมนั (อลั กรุ อาน) ในลกั ษณะที่จะทาํ ให พระองคพงึ พอพระทยั จากขาพระองค” (3) มารยาทประการที่ 3 ดุอาอก อ นการอานคมั ภีรอ ลั กรุ อาน ในการทาํ งานทุกๆ อยา งน้ัน การเตรียมตวั ใหพรอมนับวา เปน ส่งิ จาํ เปน มากทีเดียว กลา วอีกนัย หนึง่ ทกุ ๆ กิจการงานท่ีมนุษยจ ะปฏบิ ตั นิ น้ั จําเปนตอ งตระเตรยี มพน้ื ฐาน ในการอา นคัมภีรอัล กุรอาน และการเขา สบู รรยากาศของคมั ภีรอ ัล กรุ อานกเ็ ชน เดยี วกัน จําเปน ตอ งเตรียมพรอมตนเอง หน่ึงจาก บรรดาหนทางในการเตรียมพรอมตนเองดงั กลาวก็คือ การวงิ วอนขอ “ดุอาอ” โดยเฉพาะอยา งยิ่งหาก เปน ดอุ าอท รี่ ายงานจากอมิ ามผูบรสิ ทุ ธิ์ (อ.) เพราะทานเหลาน้ันยอมทราบดีวาในการทจ่ี ะเขา สู บรรยากาศของคมั ภรี อัล กุรอานและการอา นท่ีแทจรงิ ของมันนนั้ ควรจะขอดุอาออ ยา งไร! และควรจะ วอนขอส่ิงใดจากพระผเู ปนเจา! ดวยเหตนุ ้เี องเปนส่งิ สมควรอยางยิ่งทีบ่ รรดานกั กอรยี (นักอา น) จะ เรมิ่ ตน การอานของตนเองตามแบบฉบบั (ซนุ นะฮ) ของบรรดาผูนาํ ทางศาสนา ดวยการวงิ วอนขอพร จากพระผูเ ปนเจาโดยอาศัยบทดุอาอตา งๆ ทีม่ รี ายงานมาจากบรรดาผูน ําผบู รสิ ทุ ธิเ์ หลานั้น โดยเฉพาะ อยา งย่ิงในชว งเวลาท่ีเราประสงคจ ะอา นคัมภรี อ ลั กรุ อานอยางยาวนาน หรือเราจะอา นมันในสถานที่ ชุมนุมตา งๆ ของอลั กุรอาน หรอื ในหอ งเรยี นอลั กุรอาน ในที่นจี้ ะขอนาํ เสนอดุอาอสองบทจากบรรดามะอซ ูม (อ.) เพอ่ื เปน ประโยชนสาํ หรับผอู า นผมู ี เกยี รติท้ังชายและหญงิ ดุอาอบ ทท่ี 1 : ไดถูกรายงานไวใ นหนงั สอื ฮะดษี ท้งั หลายวา อมิ ามซอดิก (อ.) กอนทท่ี า นจะอา นคมั ภรี อ ลั กุ รอาน ในขณะทท่ี านไดหยิบคัมภีรอัล กุรอานขนึ้ มานัน้ ทานจะอานดอุ าอต อไปน้ีคือ 7
“โอพระผูเปนเจา แทจ รงิ ขา พระองคข อเปนสกั ขีพยานวา แทจรงิ น่ีคอื คัมภรี ของพระองคท่ถี ูก ประทานจากพระองค ลงมายงั ศาสนทตู ของพระองค คอื มุฮมั มัดบตุ รอบั ดลุ ลอฮ (ศอ็ ลฯ) และมนั คือ พระคาํ (กะลาม) ของพระองคท ี่เออื้ นเอย ออกมาโดยลิ้น (คําพดู ) ของศาสดาของพระองค โดยที่ พระองคไดทรงบนั ดาลใหม นั เปน เคร่อื งชี้นาํ หนึ่งจากพระองค แกบ รรดาสิง่ ถูกสรางของพระองค และเปน สายเชือกทจ่ี ะผูกสายสัมพนั ธร ะหวา งพระองคก บั ปวงบา วของพระองค ขาแตพระผูเปน เจา ขาพระองคไดแ ผกางพนั ธะสัญญาของพระองคแ ละคมั ภีรข องพระองคแ ลว ขา แตพระผูเปนเจา ดังนัน้ ขอพระองคไดโ ปรดบันดาลใหก ารมองของขาพระองคในคัมภีรน เ้ี ปนอิบาดะฮ และการอา นของขา พระองคใ นมนั เปนการคิดใครค รวญ และการคิดใครครวญของขาพระองคเปน อทุ าหรณเ ตอื นใจดวยเถิด และโปรดบันดาลใหขาพระองคเ ปนสว นหน่ึงจากบรรดาผูทยี่ ึดถอื ตามคาํ แนะนําตกั เตอื นของ พระองค และหลกี หา งจากการละเมดิ ฝา ฝน พระองค และไดโ ปรดอยาประทบั ตราบนหขู องขาพระองค ในชวงการอา นของขา พระองค และโปรดอยา งบนั ดาลใหส ายตาของขาพระองคมีส่งิ ปดกน้ั เลย และไดโ ปรดอยา งบนั ดาลใหก ารอานของขา พระองค เปน การอานทปี่ ราศจากการคิดใครครวญ ในมนั ทวาขอพระองคไดโ ปรดบนั ดาลใหข า พระองคค ดิ ใครครวญในโองการตา งๆ ของพระองค และ ขอ กาํ หนดทั้งหลายของพระองค และเปนผูย ดึ ถือปฏบิ ัติตามบทบัญญัติตา งๆ แหง ศาสนาของพระองค และไดโ ปรดอยา งบันดาลใหการมองอลั กรุ อานของขา พระองคเ ปนการพลงั้ เผลอ และการอาน ของขาพระองคเ ปนสิ่งทไ่ี มก อใหเ กดิ ประโยชน แทจริงพระองคคือผูทรงกรุณาย่งิ นัก อีกทัง้ ทรงปราณยี ่ิง นัก” (1) ดอุ าอบ ทที่ 2 : ดุอาอบ ทนไ้ี ดรับรายงานมาจากอมิ ามซอดกิ (อ.) เชน เดยี วกนั เปนดอุ าอท ม่ี ีเนอื้ หาครอบคลุม และมคี วามหมายท่สี ูงสง ผทู ีศ่ กึ ษาคน ควา ในเร่ืองของคัมภรี อัล กุรอาน สามารถติดตามดูตวั บทที่ สมบรู ณข องดุอาอบทนี้ไดจากหนงั สือ อศุ ูลลุ กาฟย เน่อื งจากดอุ าอบ ทนม้ี คี วามยาวมาก และจุดประสงค ของเราจากการเขยี นหนังสอื เลมนค้ี ือการเขียนโดยยอ พอสรปุ ดังนัน้ จึงขอนาํ เสนอเพยี งบางสว นของดุ อาอบ ทน้ีเทานนั้ เพือ่ เปนประโยชนส าํ หรับบรรดาผมู ีจิตผกู พันธก บั คมั ภีรอ ลั กรุ อานทงั้ หลาย 8
“ขาแตพระผูเ ปน เจา โอองคพระผูอ ภิบาลของเหลาขา พระองค มวลการสรรเสรญิ เปน สิทธิแด พระองค พระองคค อื ผทู รงเปนหนึ่งเดียวในเดชานุภาพและอาํ นาจการปกครองอนั มนั่ คง โอองคผ ูอภิบาล ของเหลา ขาพระองค มวลการสรรเสริญเปนสทิ ธแิ ดพ ระองค โอผูทรงประทานบรรดาโองการและซกิ ร (คาํ ตกั เตือน) อนั ยิง่ ใหญ โออ งคพ ระผูอภบิ าลของเหลาขา พระองค มวลการสรรเสริญเปน สทิ ธแิ ด พระองค ท่ีพระองคไดทรงสอนเหลา ขา พระองคใหรูถึงวิทยปญญาและอลั กุรอานอนั ยิง่ ใหญ อกี ทัง้ มี ความชัดแจง ขาแตพระผเู ปนเจา ไดโปรดบนั ดาลใหเ หลาขา พระองคป ฏิบัตติ ามสิง่ ทเี่ ปน ท่อี นญุ าต (ฮะลาล) ของพระองค และหลกี หางจากสิง่ ตอ งหาม (ฮะรอม) ของพระองค และ (โปรดบนั ดาล) ใหเ หลา ขา พระองคด ํารงไวซ ่งึ ขอบเขตตา งๆ ของพระองค และปฏบิ ัติตามขอบังคับทงั้ หลายของพระองค ขาแตพ ระผูเ ปนเจา ไดโ ปรดประทานแกเหลา ขา พระองคซ ง่ึ ความหวานซง้ึ ในการอานมนั และ ความกระวกี ระวาดในการยนื หยัดมนั และความเกรงกลวั ในการอานมัน และพละกาํ ลังในการนํามันไป ใชท ั้งในยามค่าํ คืนและกลางวัน ขา แตพ ระผูเ ปนเจา ไดโ ปรดยังคณุ ประโยชนแ กเหลา ขาพระองคดวยสง่ิ ท่พี ระองคไดท รงแจก แจงไวจากบรรดาโองการทัง้ หลายของมัน และโปรดทาํ ใหเหลา ขา พระองคไดรําลกึ จากบรรดาอทุ าหรณท ่ี พระองคไดทรงยกแกเ หลาขาพระองค และโปรดอภยั โทษในความผดิ ทงั้ หลายแกเ หลา ขา พระองคด วย การตคี วามมนั และโปรดเพมิ่ ทวผี ลรางวลั แหง ความดีงามทัง้ หลายแกเหลา ขาพระองคโ ดยสอื่ จากคมั ภีร อัล กรุ อานน้ี และโปรดยกฐานนั ดรตา งๆ แกเหลา ขา พระองค และโปรดบนั ดาลใหเ หลาขาพระองคไดพบ กับการแจงขาวดภี ายหลงั จากความตายโดยส่อื จากอัล กุรอาน ขา แตพ ระผเู ปน เจา ไดโ ปรดบนั ดาลใหคัมภรี อัล กรุ อานเปนผูใหก ารอนเุ คราะห (ชะฟาอะฮ) แกเหลา ขาพระองคในวนั แหง การพบ (พระองค) และเปนอาวธุ ในวนั แหงการเลือ่ นขนั้ และเปนขอพสิ จู น 9
ในวันแหง การตดั สนิ และเปนแสงสวางในวนั แหง ความมืดมน วันซงึ่ ไมม ีท้ังแผน ดินและช้นั ฟา วนั ซึง่ ทกุ ๆ ผูพรากเพยี รจะไดร บั การตอบแทนในส่งิ ที่ตนไดพรากเพียรไว ขาแตพ ระผเู ปนเจา ไดโ ปรดประทานแกเหลา ขาพระองคซ ง่ึ ฐานะตาํ แหนงทัง้ หลายของบรรดา ชะฮดี และการดํารงชวี ติ อยขู องบรรดาผทู ไ่ี ดร ับความไพบลู ย และการอยูใกลช ดิ กับปวงศาสดา แทจริง พระองคคอื ผทู รงไดยินการวิงวอนขอดุอาอ” (2) มารยาทประการท่ี 4 อิสตอิ าซะฮ (การขอความคมุ ครองจากพระผูเปน เจาใหพนจากชยั ฏอนมารรา ย) ความหมายของอสิ ตอิ าซะฮ คําวา “อสิ ตอิ าซะฮ” ในภาษาอาหรบั หมายถงึ “การขอความคุมครอง” และกลาวอีกนยั หน่ึงน้นั หมายถงึ “การขอความคมุ ครองจากอลั ลอฮใ หพน จากความชวั่ รายตางๆ ของชัยฏอน (มารราย)” กอนที่ จะเร่มิ ตนการอา นอัล กรุ อาน ผูอานคัมภรี อลั กรุ อานจะวอนขอจากพระผเู ปน เจาผูทรงย่งิ ใหญ ให ปกปอ งเขาจากความชวั่ รา ยของชยั ฏอน (มารราย) เพือ่ ทวี่ าการอานของเขาจะไดไมเ กดิ ขน้ึ จากการโอ อวด (ริยาอ) และการแสดงตน ในทางตรงกันขาม ขณะทเ่ี ขาอา นอลั กุรอานนน้ั เขาจะอา นดวยหัวใจท่ี มงุ ตรง และโองการตา งๆ ของอลั กุรอานนนั้ จะสงผลเขาในจิตใจของเขา คํากลา วอิสตอิ าซะฮ (ขอความคมุ ครอง) ในการขอความคุม ครอง (อสิ ติอาซะฮ) น้นั เปนสงิ่ ท่ดี ที ส่ี ุดทเ่ี ราจะกลา วขอความคมุ ครองดวย สาํ นวนตอไปน้ีคอื “ขา พระองคข อความคุมครองจากอลั ลอฮ ใหพน จากชัยฏอน (มารรา ย) ผูถ กู สาปแชง” บคุ คลที่อานคมั ภีรอัล กรุ อานไมวา จะตรงสว นใดของอัล กุรอานก็ตาม ไมว าจะเปน ชวงตน ชว ง กลาง หรือวา ชว งสดุ ทา ยของซูเราะฮ กอ นที่เขาจะกลา ว “ ” เปน มสุ ตะฮบั ใหเ ขากลา วขอความคมุ ครอง (อสิ ตอิ าซะฮ) ดวยสาํ นวนประโยคขางตน มุฟซ ซีรนี (บรรดานักอรรถาธิบาย) คมั ภีรอ ัล กรุ อานและนกั วชิ าการเก่ยี วกับการอา นอลั กุรอานบางทานกอ็ างถงึ สํานวนประโยคอืน่ สําหรับการกลาวขอความคุม ครอง (อสิ ติอาซะฮ) แตสาํ นวนประโยคทด่ี ที ่สี ดุ คอื สาํ นวนประโยคขางตน เราจะขอนาํ เสนอหลกั ฐานสองประการแกทานผูอานเกย่ี วกบั ประเด็นดังกลาวนี้ หลักฐานประการแรก : พระผูเปน เจาไดทรงตรสั แกทา นศาสดามุฮัมมดั (ศอ็ ลฯ) ในโองการที่ 98 ของซูเราะฮอัน นะหล ุ วา 10
“เมื่อเจาจะอานคัมภรี อ ลั กรุ อาน ดังนน้ั จงขอความคมุ ครองจากอัลลอฮใหพนจาก ชยั ฏอน (มารราย) ผูถูกสาปแชง ” สาํ นวน “ ” เนอื่ งจากมีรูปคําที่ สนั้ และมคี วามสอดคลองกับโองการขา งตน ดังน้ันจงึ เปนสิ่งท่ีดีกวา สํานวนหรือรปู คําอนื่ ๆ หลกั ฐานประการทีส่ อง : รูปคาํ ขางตนคอื รปู คําที่บรรดานกั อานทง้ั เจด็ ทาน (กรุ รออซุ ซบั อะฮ) คัดเลือก อบิ นิ ญะซะรี ใหทัศนะไววา “ ” คือรปู คําทบี่ รรดานกั อา น (กรุ รออ) ทงั้ หมดคดั เลือก(1) มฟุ ซซริ (นกั อรรถาธิบายอลั กรุ อาน) ผูมี ช่อื เสียงของชีอะฮ คือทา นมัรฮมู อลั ลามะฮ ฏอ็ บรซี ีย กย็ อมรบั สง่ิ นีเ้ ชนกนั วา เปนทศั นะความเห็นของ บรรดานักอา นสว นใหญ (2) การขอความคุม ครอง (อิสติอาซะฮ) ที่แทจ ริง อมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา วไวใ นริวายะฮบ ทหนึ่งวา “ทา นทงั้ หลายจงปดประตูของการละเมดิ ฝา ฝน ดว ยการขอความคุม ครอง (อสิ ติอาซะฮ) และ จงเปด ประตแู หงการเชอ่ื ฟง (ฏออะฮ) ดว ยการกลาว “บิสมิลลาฮ” (3) การขอความคมุ ครองจากอัลลอฮใหพน จากชัยฏอน (มารรา ย) และการปด ประตขู องการ ละเมดิ ฝาฝนดวยการกลาว “อิสตอิ าซะฮ” เพียงอยา งเดียวเปนเร่อื งทง่ี ายดายกระนน้ั หรือ! หมายความ วา ในขณะที่เราอา นอลั กุรอานหากเราไดกลาว “ ” ชัยฏอน (มารราย) จะไมเขา มากรํ้ากรายในการอานของเราอกี ตอไปกระนัน้ หรอื เพราะวา เราไดอ ยใู นการ คุมครองของพระผเู ปน เจา แลว!! หรอื วา พรอ มกบั การกลาวประโยคดงั กลาว จาํ เปนท่จี ะตองวอนขอ ความคมุ ครองจากพระผเู ปนเจาอยา งสุดจติ สุดใจ และขอความชว ยเหลอื จากพระองค! ! เกย่ี วกับเรื่องนี้ เราลองพิจารณาคําพูดของอมิ ามโคมัยนี (รฎ.) ซึ่งทา นไดก ลา ววา “สว นหน่งึ จากมารยาททส่ี าํ คญั ยง่ิ ของการอา นอัล กรุ อาน…คือการขอความคุม ครอง (อสิ ตอิ า ซะฮ) จากพระผูเ ปน เจา ใหพนจากชัยฏอน (มารรา ย) ผถู กู สาปแชง ซ่ึงเปน ขวากหนามในหนทางแหง มะอร ฟิ ะฮ (การรูจกั พระเจา ) และเปนอุปสรรคขวางกนั้ การเดนิ ทางมุงสูพระผูเปน เจา และอิสติอาซะฮ (การขอความคมุ ครอง) นีจ้ ะไมส มั ฤทธผ์ิ ลเพียงแคก ารกระดกิ ลน้ิ รูปคาํ ท่ีไรจิตวญิ ญาณ และดุนยาท่ี ปราศจากอาคเิ ราะฮ ดงั เชนทไ่ี ดป ระจกั ษแลว วา มบี คุ คลจาํ นวนมากทก่ี ลาวคําๆ นี้ตลอดระยะเวลา 40-50 ป แตพ วกเขากลบั ไมร อดพนจากความชว่ั รา ยของจอมมาร ในทางกลบั กันมารยาทตา งๆ และ การกระทาํ (อะมล้ั ) ของพวกเขา ยิ่งไปกวา นนั้ ความเชอ่ื ถอื ตา งๆ ของพวกเขากลับดาํ เนินตามและ ปฏิบัติตามชัยฏอน (มารราย) หากเราขอความคุมครอง (จากพระผูเปนเจา ) จากความชวั่ รายของจอมมารนี้อยางแทจริง พระผูเปน เจา ผทู รงบรสิ ุทธ์ิ ผูทรงสูงสง ซ่ึงเปน ผปู ระทานใหอยา งลนเหลอื ผูทรงกวา งขวางในความ 11
เมตตา ผทู รงเดชานุภาพอยา งสมบรู ณ ผทู รงมคี วามรอบรคู รอบคลมุ และทรงยิง่ ใหญใ นความกรุณา ยอมจะใหค วามคมุ ครองแกพวกเราและอมี าน (ศรทั ธา) ของเรา มารยาทและการกระทํา (อะม้ลั ) ตา งๆ ของพวกเราจะตอ งไดรับการแกไ ขปรบั ปรงุ ” (4) มารยาทประการที่ 5 การกลาวบสิ มิลลาฮ (บัสมะละฮ) บัสมะละฮ “ ” เปนคาํ ทยี่ อมาจาก “ ” ประกอบจากคาํ วา “บัสมะ” ซง่ึ บงบอกถงึ คาํ วา “บิสม”ิ ( ) จากประโยค “ ” และคาํ วา “ละฮ” ( ) บง ชถี้ ึงคําวา “อัลลอฮ” ( ) ในภาษาอาหรับคาํ วา “บัสมะละ” ( ) หมายถึง “เขาไดกลาวบสิ มลิ ลาฮิรเราะหมานิรรอ ฮมี ” ตัวอยางเชน หากมีผกู ลา ววา “ ” (บัสมะละ อะหมดั ) ความหมายของมนั กค็ อื วา “อะหม ัดไดก ลา วบสิ มิลลาฮริ เราะหมานริ รอฮมี ” ดังนนั้ คาํ วา “ ” (บสั มะละฮ) จึงหมายถึง “การกลา วบิสมิลลาฮิรเราะหมานิรรอฮมี ” บสิ มลิ ลาฮ… คือคําขวญั (สโลแกน) ของอสิ ลาม ” คอื คําขวัญอนั บรสิ ทุ ธ์ิอยางหนึ่งซ่งึ สํานวนประโยค “ เปน สง่ิ เฉพาะสําหรบั มวลมสุ ลมิ บรรดามสุ ลิมจะเริ่มตนคําพูดและการกระทําตางๆ ของตนเองดวยการ กลาวประโยคน้ี คําขวญั นี้เปนสญั ลักษณป ระการทีส่ องของอสิ ลามและปวงมสุ ลมิ ภายหลังจากคาํ ปฏญิ าณสองคาํ (ชะฮาดะตยั น) อนั ไดแก “ ” (ไมม ีพระเจาอน่ื ใดนอกจากอลั ลอฮ, มุฮัมมดั คือศาสนทูตของอลั ลอฮ) บคุ คลใดกต็ ามที่เริ่มตน การงาน ตา งๆ ของตนเองดวยพระนามของพระผูเปน เจา เขาจะกลาวในหัวใจของตนเองเชน นว้ี า “หากไมเปน เพราะพระประสงคข องพระผเู ปนเจา ขา พระองคยอมไมสามารถกระทาํ การงานใดๆ ได ดังนัน้ ขา พระองคขอกระทาํ การงานของขา พระองคเพือ่ ความพึงพอพระทยั ของพระองค โดยสนองตอบพระบญั ชา ของพระองค และขอความชวยเหลอื จากพลังอํานาจของพระองค” สว นหนงึ่ จากบรรดาการงาน (อะมั้ล) และการเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) ทด่ี ีเลศิ ในโลกแหง การ ดํารงอยนู ีค้ ือ การอา นคัมภรี อ ัล กรุ อาน มสุ ลิมทุกคนท่ปี ระสงคจะอานคัมภีรอัล กรุ อานอันเปน พระคํา แหงพระผูเปนเจา (กะลามลุ ลอฮ) จําเปนทีเ่ ขาจะตอ งเรมิ่ ตนการอา นของตนดวยพระนามของพระองค ดังเชนท่ีพระผเู ปน เจา ไดทรงดํารสั ขณะทีพ่ ระองคท รงสอนคัมภีรอลั กุรอานแกทา นศาสทูตแหง อสิ ลาม (ศอ็ ลฯ) วา “(โอม ฮุ มั มดั ) จงกลา วดว ยพระนามแหง องคพ ระผูอ ภบิ าลของเจา” (บทอัล อะลกั โองการ ที่ 1) 12
ดวยเหตุน้ีเราเองกเ็ ชนเดียวกนั ในขณะทีจ่ ะอา นคมั ภรี อ ลั กรุ อานจําเปน ตองเรมิ่ ตน ดวยพระ นามของพระองค ดวยการกลา ววา “ ” (ดวยพระนามของอัลลอฮผ ทู รง เมตาตายงิ่ ผูทรงกรณุ ายิ่ง) แตทวา การตระหนกั ถึงประเดน็ ตอไปนน้ี ับเปน สิ่งสําคัญยิ่งนน้ั คอื ทุกๆ บคุ คลท่จี ะอานคัมภีรอัล กุรอาน เมือ่ ไดเ รมิ่ ตนการอานของตนดว ยพระนามของพระองคแ ลวนนั้ ทวา ในขณะกลาวสงิ่ น้นั จะตองไมใชแ คเพียงรูปคําภายนอก ไมใชแคเ พยี งการกระดกิ ลน้ิ และยงิ่ ไปกวานนั้ ตลอดชว งระยะเวลาของการอา นจาํ เปน ที่เขาจะตอ งมงุ ตรงตอพระผูเ ปน เจา จงอานคมั ภีรอ ัล กุรอานดวย พระนามของพระองค รําลกึ ถงึ พระองค และเพอื่ แสวงหาความใกลช ิดยังพระองค เมื่อนนั้ แหละ ท่ีการ อานคมั ภรี อัล กรุ อานจะสง ผลทั้งตอตวั ผูอานเองและตอ ผทู ่ไี ดร ับฟง การอานของเขา ขอกําหนด (ฮุกุม) ของ “บสั มะละฮ” ในการอา นคมั ภรี อ ัล กรุ อาน ชวงตนของซเู ราะฮ : เนอื่ งจาก “บิสมลิ ลาฮ” ในสว นเรม่ิ ตนของทุกๆ ซูเราะฮ ถอื เปน สวนหนง่ึ จากบรรดาโองการของอลั กุรอาน เมื่ออานจากชว งแรกของซูเราะฮ การกลา ว “ ” จึงถอื เปน วาญบิ (ความจําเปน ) ยกเวน ซเู ราะฮอ ัต เตาบะฮ (หรอื ซเู ราะฮอ ลั บะรออะฮ) ซ่ึงถูกประทาน ลงมาโดยปราศจาก “บสิ มิลลาฮ” ดงั นน้ั ในสว นแรกของซูเราะฮน ี้เราจะตอ งไมกลาวมนั ชวงกลางของซเู ราะฮ : ในกรณีท่ีเรมิ่ ตนการอา นจากสวนกลางของซูเราะฮนัน้ สามารถท่จี ะ เริ่มตน โดยไมตอ งกลา ว “บิสมลิ ลาฮ” หรือโดยกลาวมันกไ็ ด แมว า ในการกลาว “ ” นน้ั จะมีความประเสริฐและผลรางวัลมากมายก็ตาม แตใ นกรณนี ้ีเปนส่ิงที่ดกี วา ท่ีเราจะอา นโดยไมตอ ง กลาว “บสิ มิลลาฮ” ใหเรมิ่ ตนการอา นดว ยการกลา วอิสตอิ าซะฮ “ ” เพียงเทา น้ัน และการเลอื กที่จะเริม่ ตน การอา นไดท ัง้ สองวิธนี ้เี พ่ือท่ีจะเปน ขอจําแนกอยางหนงึ่ ทช่ี ้ีใหรูวา เฉพาะในชว งเร่มิ ตน ซูเราะฮอัล บะรออะฮเ ทานน้ั ท่หี ามกลา ว “บิสมิลลาฮ” มารยาทประการท่ี 6 การอา นอัล กรุ อานในบานและมัสยดิ ในทุกสถานทีน่ ้ันสามารถอา นคัมภีรอ ลั กุรอานไดทงั้ สนิ้ ในอสิ ลามถอื วาไมม ขี อ หา มแตป ระการ ใด ยกเวน กแ็ ตเพยี งสถานท่ีซง่ึ การอา นอัล กุรอาน ณ ที่นัน้ จะเปนสาเหตขุ องการหมิ่นประมาทและไม เคารพตอคัมภรี อัล กรุ อานในบรรดาสถานทที่ งั้ หลายมอี ยสู องสถานท่ซี งึ่ ถือวา มีเกยี รติมากกวา สําหรับ การอานอัล กุรอานนนั่ คอื บา นและมัสยิด เราสามารถประจกั ษถงึ ประเด็นดังกลาวนีไ้ ดจากบรรดาริ วายะฮท ีไ่ ดร ายงานไวอ ยา งมากมาย และยงั ไดช ้ีใหเหน็ ถึงคุณประโยชนอ นั นา มหศั จรรยของมนั ไวด ว ย คุณคาของการอา นคัมภรี อลั กรุ อานในบา น ทา นศาสดามุฮมั มัด(ศอ็ ลฯ) ไดก ลา วไวเ กีย่ วกับเรอ่ื งนว้ี า 13
“ทา นท้งั หลายจงประดบั ประดารัศมแี กบานของพวกทานดว ยการอา นคมั ภรี อลั กุรอาน และ ทานทงั้ หลายจงอยายึดเอาบา นของพวกทา นเปน เสมอื นหลุมฝง ศพ ดงั เชน ทีช่ าวยะฮดู และชาวนะซอรอ ไดทํากัน พวกเขาทํานมาซเฉพาะในโบสถแ ละทาํ ใหบา นของพวกเขาวา งเปลา (จากการอิบาดะฮ) แทจ รงิ บา นทมี่ กี ารอานคมั ภีรอ ัล กุรอานอยา งมากในมัน ความดงี าม (และความจาํ เรญิ ) ของมนั กจ็ ะ เพม่ิ ทวี และจะทาํ ใหผูอาศยั อยูในบานน้นั ไดรับความกวา งขวาง และมัน (บานนั้น) จะสอ งแสงเจดิ จรัส แกบรรดาชาวฟา เสมอื นดงั ท่ีบรรดาดวงดาวแหงฟากฟา จะสองสวา งแกช าวดนิ ” (1) จากคํากลาวของทานศาสดามุฮมั มดั (ศ็อลฯ) เราไดบ ทสรุปเชน นวี้ า บรรดาบา นเรือนที่ไมมีการ อา นคัมภรี อัล กรุ อานในนัน้ เปรียบไดดังสสุ านท่มี แี ตความมดื มนและความวังเวง บุคคลใดกต็ ามทไ่ี มชอบอา นคมั ภีรอ ลั กุรอานและไมคุนเคยกบั มัน หัวใจของเขาตายดา นและ บา นของเขาคือปา ชา ดว ยเหตุน้ีมสุ ลมิ ทุกคนจําเปนตองจดจําคาํ พดู นีข้ องทานศาสดามุฮมั มดั (ศ็อลฯ) ไวใหข้นึ ใจ และจงอยา ทาํ ใหบ า นของตนเองตองมืดมนเหมอื นปา ชา ดว ยการละท้งิ การอานคมั ภรี อัล กุ รอาน แตท วาเราจงทําใหบานของเรานั้นสวางไสวไปดว ยรัศมีดวยกับการอา นอัล กรุ อาน จงทาํ ใหต นเอง ครอบครวั ตรอกซอย และสภาพแวดลอ มแหง การดําเนนิ ชีวติ ของเราเจดิ จรสั ไปดว ยรัศมี (นรู ) ทานศาสดามุฮมั มดั (ศอ็ ลฯ) กลา ววา : รัศมแี ละความเจดิ จรสั น้มี ไิ ดถกู จํากัดอยูแตเฉพาะพื้น แผน ดินและชาวดนิ ทวา บรรดาชาวฟา ก็ไดรบั ประโยชนจ ากรศั มีและความเจดิ จรสั จากบา นดังกลาว เชนกัน เชน เดียวกบั บรรดาดวงดาวแหงฟากฟา ทีไ่ ดส อ งประกายระยบิ ระยบั แกบ รรดาผอู ยอู าศัยใน แผน ดนิ บานทมี่ ีการอานคมั ภรี อ ลั กรุ อานก็จะสอ งประกายระยบิ ระยบั แกบ รรดาชาวฟา พวกเขา เหลานน้ั จะไดร ับแสงสวางจากแหลงทม่ี ีการอานคัมภรี อ ลั กรุ อาน บานใดกต็ ามทเ่ี สยี งของการอานคัมภีรอ ลั กรุ อานไดด งั กกึ กองขนึ้ จากผอู ยอู าศัยของมนั ชีวติ ทางโลกดนุ ยาของพวกเขากจ็ ะอุดมสมบูรณ ความดีงามและความจําเริญของบา นหลงั นัน้ ก็จะเพิม่ พูน และปจ จยั แหงการยงั ชพี (ริษก)ี ของบา นหลังนั้นกจ็ ะมอี ยา งพรัง่ พรู บานใดกต็ ามที่มีหอ งหลายหอง สมควรอยา งยิง่ ทจ่ี ะเลอื กหอ งหนึ่งไวเ ปนหองนมาซ ขอดอุ าอแ ละอา นคัมภรี อัล กุรอาน สว นบา นใดท่ีมี สถานทจ่ี าํ กดั ก็จงกาํ หนดสถานทเ่ี ฉพาะไวม มุ หน่งึ สําหรับการอา นคมั ภรี อ ลั กุรอานและการอบิ าดะฮ อน่ื ๆ เพราะเกียรติของสถานทีเ่ ชนนี้นัน้ จะเปนเหตุทําใหด ุอาอถ ูกตอบรบั เหตุผลของความประเสรฐิ ในการอา นคมั ภีรอ ลั กุรอานในบา น 1) หา งไกลจากการโออวด (ริยาอ) : การทําอบิ าดะฮใ นสถานที่ทว่ี า งเปลา จากผคู นนน้ั ยอ มหางไกลจากการอวดอา งและการแสดงตน และโดยท่วั ไปแลว จะดําเนนิ ไปดวยความบริสทุ ธใ์ิ จ ดว ย เหตุผลดงั กลา วจึงมโี อกาสนอยมากทีจ่ ะแปดเปอ นไปดวยริยาอ (การโออวด) ดว ยเหตผุ ลนีบ้ คุ คลใดก็ ตามท่กี ลัวจะเกดิ การโออวดและการกระซบิ กระซาบของชยั ฏอน (มารรา ย) ยอ มเปนส่งิ ที่ดกี วาท่เี ขาจะ อา นคมั ภีรอลั กรุ อานในทว่ี า งเปลา จากผคู นและในบา นของตนเอง 14
2) การสง ผลทดี่ ตี อ บุตรหลาน : การอา นคัมภรี อ ลั กุรอานภายในบานจะสง ผลทีด่ ตี อ บรรดา สมาชกิ ในครอบครัว บิดามารดาที่อา นอัล กุรอานจนเปนกิจวัตรในการดาํ เนินชีวิตของพวกเขา จะทาํ ให ลูกๆ ของเขาเกดิ ความรกั ความผกู พนั ธตอ การศกึ ษาและการอานคมั ภรี อัล กรุ อานเชนเดียวกนั ยง่ิ ไปกวา น้นั บรรดาเพ่อื นบา นใกลเคียงกจ็ ะไดรับผลกระทบทด่ี ีอยา งมากมายเชนกัน 3) ผลของการอา นคัมภีรอลั กุรอานทมี่ ตี อสังคม : ถาหากเสยี งของอัล กรุ อานไดด งั ขน้ึ จากทุกๆ สถานท่ีหรอื จากบานเรือนสว นใหญ ทุกๆ เชา และเย็นเสียงท่ปี ลุกจิตวิญญาณของมันไดด ังขนึ้ จากทกุ สารทิศ ยอ มจะสงผลท่ีดีตอ หัวใจของบุคคลทง้ั หลาย จะชว ยทาํ ใหจ ติ วิญญาณของพวกเขาเกิด การผลกิ ผัน และจะเปนส่อื ทาํ ใหคัมภีรอลั กรุ อานไดปรากฏอยา งแพรหลายในสังคม เม่ือถงึ เวลานั้น ประชาชนก็จะหนั กลบั มาสูตวั ตน และนาํ เอาคมั ภรี อัล กรุ อานมาเปน แบบแผนในการดาํ เนินชีวิตของ ตนเอง และจะชวยขจดั ความบกพรอ งตา งๆ ของตวั เองใหห มดไปดวยการยึดถือปฏิบัตติ ามคมั ภีรอ ัล กุ รอาน คณุ คาของการอา นคมั ภีรอลั กรุ อานในมสั ยิด มสั ยดิ คอื บานของพระผูเ ปน เจา ในหนาแผน ดนิ ไมมบี านใดในหนาโลกน้ีท่ีจะมเี กียรติและควรคา ตอการเคารพยง่ิ ไปกวา มสั ยิด บา นของพระผเู ปนเจาคือสถานทีส่ ําหรับการทําอิบาดะฮและการราํ ลึกถงึ พระผเู ปน เจา และการอา นคมั ภรี อลั กรุ อานน้ันคือการอบิ าดะฮตอ พระผูเปนเจาที่เลอเลิศทส่ี ุด เปนสิง่ สมควรอยา งย่งิ สําหรบั มุสลิมทุกคนทจี่ ะตอ งกาํ หนดเวลาเฉพาะสวนหน่งึ ของตนเองเพอื่ การอา นคัมภีรอ ัล กรุ อานในมสั ยดิ เพ่ือทีจ่ ะประจกั ษถ งึ คณุ คาของการอา นอลั กุรอานในมสั ยดิ ของใหเ ราทัง้ หลายจง พิจารณาถึงคาํ พดู ของทา นศาสดามฮุ ัมมัด(ศอ็ ลฯ) ในเรอ่ื งนี้ ชายผหู นง่ึ ไดร าํ พนั บทกวใี นมัสยิด ทา นศาสนทูตแหง พระผเู ปน เจาไดก ลาวขน้ึ ตอชายผูน้นั วา “แทจ ริงแลวมัสยดิ ท้ังหลายนนั้ ไดถกู ตัง้ ขนึ้ มาเพอื่ (การอาน) อัล กุรอาน” (2) คําพดู ขางตน น้ีชี้ใหเ ห็นถึงความสําคญั ของการอานคัมภีรอ ลั กุรอานภายในมัสยดิ ทง้ั หลาย จาก การพจิ ารณาและการตรวจสอบดูจากบรรดาหนงั สือเกย่ี วกับชวี ประวัตขิ องทา นศาสดามฮุ ัมมดั (ศ็อลฯ) และชวี ประวัตขิ องบรรดาสาวกของทาน ทาํ ใหเ รารบั รูวาบรรดามสุ ลมิ นอกจากการอา นคมั ภรี อัล กรุอาน ในบา นของตนแลว พวกทานยังอา นมนั ในมสั ยดิ อกี ดว ย และบอยครง้ั ทีเดียวทก่ี ารอานนัน้ จะปรากฏขนึ้ ในรูปของการอา นรว มกัน ขอ เสนอแนะของเรา : แบบฉบับอนั ดีงามน้ีเปนทแี่ พรหลายในหมมู สุ ลิมไมม ากกน็ อ ย และใน เดือนรอมฎอนนั้นจะพบเห็นมากเปนพเิ ศษ ความกระตอื รอื รนท่จี ะรว มในทช่ี มุ นุมอัล กุรอานจะถูกพบ เหน็ โดยท่ัวไป เปนสิ่งที่สมควรทเี ดียวที่ความกระตอื รือรนดงั กลาวน้จี ะคงสภาพอยตู ลอดไป และสีสรร ของการนั่งชมุ นมุ อานคัมภีรอลั กุรอานจะสอ งประกายอยตู อ ไปทุกๆ วนั ในมัสยดิ ท้งั หลาย เพ่อื จุดประสงคดงั กลา วนี้ เปนสิง่ ทีด่ ที ีเดียวที่จะกําหนดเวลาเฉพาะเอาไว ตวั อยา งเชน กอ น การอะซานนมาซมฆั ริบ หรอื ภายหลงั จากการนมาซมัฆริบ-อชี า ซึ่งการรําลกึ ถงึ อัลลอฮใ นชว งเวลา 15
เหลา นไี้ ดถูกเนนยา้ํ เปน อยางมากในคัมภีรอ ลั กุรอานและฮะดิษ ในแตล ะคนื ควรใหม ีการนั่งลอ มวง รวมกันศึกษาและอา นคมั ภรี อลั กุรอาน โดยใชร ะยะเวลาประมาณ 15-30 นาที (โดยพจิ ารณาดู สภาพและความพรอ มของผเู ขารว ม) และแตล ะคนควรอา นสวนหนงึ่ จากอลั กรุ อาน ทส่ี ําคญั นน้ั จะตอ ง ไมเ พยี งแคก ารอานเพียงอยา งเดยี ว ความหมายของโองการตา งๆ จะตอ งถกู อานพรอ มไปดวย หรือมิ เชนน้นั กจ็ งนําเอาคําสอนและคาํ สั่งตางของบรรดาโองการออกมาพูดคุยกัน เพอ่ื เปนพืน้ ฐานสาํ หรับการ ปฏบิ ัตติ ามคมั ภีรอลั กุรอาน แตขอยา้ํ วา ใหพจิ ารณาถงึ เวลาและสภาพของประชาชนดว ย หมายความวา ใชเวลาพอสังเขปแตใหไดประโยชน หากการรว มชมุ นุมลักษณะเชนนเ้ี กดิ ขน้ึ อยางแพรห ลายในบรรดามัสยิดทง้ั หลาย และมแี รง ดงึ ดดู ใจ และดําเนนิ ไปอยางตอ เนือ่ ง จะทาํ ใหส งั คมของเรามีการเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรมคร้งั ยง่ิ ใหญ เกิดขึ้นอยางแนนอน จะขอจบคําพดู ของเราเก่ียวกบั มารยาทประการที่ 6 ดวยกบั คํากลา วของทา นศาสดามุฮมั มัด (ศ็อลฯ) ที่วา “ผูใ ดกต็ ามทร่ี กั คมั ภีรอัล กรุ อาน ดงั นั้นเขาจงรักมสั ยดิ ทั้งหลาย” (3) อลั กรุ อานคอื พระดาํ รสั ของพระผูเ ปนเจา (กะลามลุ ลอฮ) และมัสยิดกเ็ ปน บานของพระผเู ปน เจา ทัง้ สองคือนรู (รัศม)ี ของพระผูเปนเจา ดว ยเหตนุ ี้ผูทร่ี กั คมั ภีรอ ลั กรุ อานคอื ผูท จ่ี ะตองรกั มสั ยดิ และผูท่รี กั มัสยิดกจ็ ะตองรกั คัมภรี อัล กรุ อานดวย ระหวา งคัมภรี อ ัล กุรอานและมัสยิดนั้นมสี ายสัมพนั ธ แหง ความเรนลับอยู ฉะนัน้ เราจงใชความพยายามที่จะทําใหสายสมั พนั ธน ี้ในโลกดนุ ยาเปน ทีม่ ัน่ คงและ ดาํ เนนิ อยูต ลอดไป. มารยาทประการที่ 7 การอานจากตัวบทของคมั ภรี อ ัล กรุ อาน สว นหนึง่ จากคําสอนซงึ่ บรรดาผูน าํ ผูบริสุทธ์ขิ องเราไดใ หไวในเรอ่ื งเกี่ยวกบั การอา นอลั กุรอาน นนั่ คอื การอา นอลั กรุ อานจากตวั บทของคมั ภีรอัล กุรอาน และพวกทานไดเนนในเร่อื งน้ีไวเปนอยางมาก เปนไปไดทเี ดยี ววาสาเหตขุ องการเนน เร่อื งน้ีก็เพ่ือใหเ ราไดร ับประโยชนจ ากรัศมี (นรู ) ของคมั ภีรอลั กุ รอาน เพอ่ื วา มสุ ลมิ ทกุ คนจะไดรบั ประโยชนจ ากคมั ภรี อัล กุรอานมากยิ่งขึ้น และรศั มขี องคัมภีรอลั กุ รอานนั้นจะไดส งผลตอพวกเขา อัล กุรอานคอื คมั ภีรแหงรศั มี (นูร) 16
พระผเู ปน เจา ผูท รงย่งิ ใหญไดแนะนําคมั ภีรของพระองคใ นฐานะ “นูร” (รัศม)ี ไวในหลาย โองการในอัล กุรอาน ตัวอยางเชน พระองคทรงตรสั วา “โอกลมุ ชนเอย ! อันท่ีจรงิ ไดมหี ลักฐานหนง่ึ จากองคพระผูอ ภบิ าลของพวกเจามายงั พวกเจา แลว และเราไดประทานรัศมอี ันชดั แจง (อัล กุรอาน) ลงมายงั พวกเจา ” (บทอัล นซิ าอ โองการที่174) “ดงั นัน้ พวกทานจงศรัทธาม่ันตอพระองคแ ละศาสนทตู ของพระองค และตอรัศมี (อลั กุรอาน) ซึ่งเราไดป ระทานลงมา” (บทอตั ตะฆอบนุ โองการที่ 8) มใิ ชแ คเ พียงอลั กรุ อานซึ่งเปน คัมภรี แหงฟากฟา ฉบับสุดทา ยที่คอื รัศมี (นรู ) แตทวาคมั ภรี อ ่ืนๆ ก็คือรัศมีเชนเดียวกัน คัมภีรอัล กุรอานไดแนะนําคัมภีรเตารอตและอิลญีลไวใ นฐานะรัศมี (นรู ) เชนกัน (1) เพราะ คัมภีรเหลาน้คี ือแบบแผนสําหรับการดําเนินชีวติ ที่ผาสกุ ไพบลู ยแ หงดนุ ยาและอาคเิ ราะฮของมนษุ ย และ ตราบทม่ี นษุ ยไ ดป ฏบิ ตั ติ ามขอ กาํ หนดตา งๆ ของบรรดาคมั ภรี แ หง ฟากฟามากเพยี งใด ความสําเร็จและ ความไพบูลยข องพวกเขาทง้ั ในดุนยาและอาคเิ ราะฮก ็จะเพม่ิ มากขน้ึ การมองคัมภรี อ ลั กรุ อานคอื อบิ าดะฮ จากอารัมภบทท่กี ลา วไปขา งตน หากมผี ใู ดถามวา เราควรจะอานอัล กุรอานจากตวั บทของ คัมภรี หรือควรอา นจากความจํา ! เรากจ็ ะตอบเขาวา บังเอญิ บุรุษผหู นง่ึ ซ่งึ มนี ามวา ‘อิสหาก บิน อัม มาร’ ไดถามคําถามนจี้ ากอมิ ามซอดกิ (อ.) เร่ืองราวของการถามและคาํ ตอบมีดงั นค้ี ือ ฉนั ไดก ลาวตอทานอิมาม (อ.) วา “ขา พเจายอมพลีเพอ่ื ทา น! ขา พเจา ทองจําอลั กุรอานได ขาพเจาควรจะอา นจากความจาํ หรือวา อานจากตวั คมั ภรี อ ลั กรุ อานจึงจะดกี วา !” ทา นอิมาม (อ.) ได ตอบวา “จงอานมนั พรอ มกบั ดูในคัมภีร เพราะส่ิงนนั้ เปนส่ิงทีด่ ีกวา เจา ไมร หู รอื วา การมองดคู มั ภีรน ัน้ เปน อิบาดะฮ” (2) ในการอธบิ ายคาํ พดู ของทานอิมาม (อ.) ขา งตน น้ี จาํ เปน ที่จะตองกลา ววา การอา นคัมภรี อลั กุรอานและการมองดูคัมภรี อ ัล กรุ อานนน้ั คือการอิบาดะฮสองประการทแี่ ยกจากกนั กลา วอีกนยั หนึ่ง บุคคลที่อานคมั ภรี อัล กรุ อานจากความจําโดยไมไดม องดอู ลั กุรอานนั้น เขาไดกระทาํ อิบาดะฮป ระการ เดียว และผลรางวลั ของมันนั้นอยู ณ อลั ลอฮ แตถา หากเขาไดอ านมนั โดยมองดูจากตัวบทของคัมภรี อลั กรุ อาน เขาไดทาํ อิบาดะฮเพม่ิ อกี ประการหนงึ่ ซง่ึ เรียกวา “การมองดใู นคมั ภรี ” ทานอบูซัร ไดรายงานจากทานศาสดามุฮมั มดั (ศอ็ ลฯ) ซึ่งทา นไดกลา ววา 17
“การมองดใู นมศุ ฮฟั หมายถึงคมั ภรี อ ัล กุรอานนัน้ คืออบิ าดะฮ” (3) โดยการคิดใครครวญในเน้ือหาของฮะดีษบทนี้ เราจะไดรับบทสรุปวา คมั ภรี อ ลั กุรอานคือ มหาสมุทรทเ่ี ปลี่ยมลนไปดวยคุณคา ซง่ึ มนุษยทกุ คนสามารถทีจ่ ะรับประโยชนไ ดจ ากมนั นบั จากมนุษยผู มคี วามสมบูรณ ดังเชน ทานศาสนทตู แหง อิสลาม (ศ็อลฯ) และบรรดาอมิ ามผบู ริสุทธิ์ (อ.) จนถึงบุคคล ทม่ี คี วามรนู อ ยหรือบางครัง้ อาจรวมถงึ คนทไ่ี มม คี วามรกู ต็ าม คมั ภรี อ ัล กรุ อานคอื สํารับอาหารท่ีถูกกาง ออกและเปน สาํ รบั อาหารจากฟากฟา แตล ะคนจะแสวงหาประโยชนจากมนั ไดตามปรมิ าณความพรอ ม และความสามารถของตนเอง ดวยเหตุน้บี คุ คลท้ังหลายซง่ึ แมบางทีพวกเขาอาจจะไมมีความรใู นการอา น พวกเขาก็สามารถที่ จะเปดคัมภีรอ ลั กรุ อานดวยสภาพที่มีความสะอาด (ฏอฮาเราะฮ) และวฎุ อ และมองดตู ัวอักษร ทงั้ หลายของมนั และพระผเู ปนเจา กจ็ ะทรงบนั ทกึ ผลรางวลั ของการอิบาดะฮใ หแกพวกเขา ขอควรจําทส่ี าํ คัญ : สาํ หรับบรรดานกั ทอ งจําอัล กุรอาน ซง่ึ อยใู นชว งของการจดจาํ คมั ภีรอลั กุรอานเพ่อื จะลาํ ดับโองการตางๆ ในความจําของพวกเขานั้นจําเปน ตองอานคมั ภีรอัล กรุ อานโดยไม มองดูตัวบทของคมั ภีรน น้ั เปน อกี กรณีหนึง่ แตสําหรับบรรดาบุคคลท่ไี มมีเจตนาจะฝกฝนการจดจําคัมภรี อัล กรุ อาน สมควรอยางยง่ิ ทีพ่ วกเขาจะอา นคัมภีรอ ลั กุรอานโดยมองดจู ากตัวบทคมั ภีรน้ัน ผลตางๆ ของการอา นโดยมองดูจากตัวบทคัมภีร 1) ประโยชนแ ละการอบิ าดะฮของดวงตา : อวัยวะทกุ สว นของรา งกายในขณะทีท่ ําอบิ า ดะฮนนั้ จะไดร บั ประโยชนและโชคผลตา งๆ ดวย ตัวอยางเชน ในการทําวฎอ มอื ทง้ั สอง ใบหนา และเทา ท้งั สอง จะมสี ว นรว มจากผลประโยชนของการทาํ วฎุ อ น ้ัน และในการทาํ ซอดาเกาะฮ (บริจาคทาน) มือที่ คอยหยิบยน่ื ใหก ็จะมสี วนรวมในการไดรบั ผลรางวัลนัน้ การมสี ว นรวมประการหนงึ่ ในผลรางวัลตา งๆ ท่ี สําคญั ของดวงตาจากการทําอบิ าดะฮก ค็ ือการมองไปยังคมั ภีรอ ัล กุรอานอนั ทรงเกยี รตนิ ่นั เอง และโดย สื่อของการมองดูคมั ภีรอ ลั กรุ อาน เราจะไดม อบโชคผลจากการอบิ าดะฮน ีใ้ หก ับดวงตาของเรา ทานศาสดามุฮมั มัด(ศอ็ ลฯ) ไดกลา วเกีย่ วกบั เรื่องนไี้ วว า “ทา นทั้งหลายจงมอบโชคผลจากการทําอบิ าดะฮใ หแ กด วงตาของพวกทาน” พวกเขาไดกลาว ขนึ้ วา “โชคผลของดวงตาจากการอบิ าดะฮน นั้ คอื อะไร โอท า นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ! ” ทา นตอบวา “คือ การมองดูคมั ภรี แ ละการคิดใครครวญใน (เน้ือหาของ) มนั และการยึดเอาสิ่งนาพิศวงตา งๆ ของมนั มา เปน คติเตือนใจ” (4) 2) การพิทกั ษร ักษาสทิ ธขิ องคัมภีรอ ลั กุรอาน : คัมภีรอลั กุรอานทีอ่ ยตู ามบา นเรอื น มัสยิด และตามสถานที่ตางๆ ทางศาสนาน้ัน แตละเลม ของอลั กรุ อานนัน้ มสี ิทธปิ ระการหน่ึงทีเ่ ปนพันธะ 18
เหนอื มสุ ลมิ ทุกคน และการปฏบิ ตั ติ ามสทิ ธขิ องคัมภรี อลั กุรอาน นนั้ คือการเปด การมองดูและการอาน มนั ในบา นทกุ หลงั โดยปกตแิ ลว จะมีคมั ภีรอลั กุรอานอยอู ยางนอยหน่งึ เลม บคุ คลในบานบางคนจะเกบ็ คมั ภีรอ ลั กรุ อานนัน้ ไวอยา งดี หอผา ท่สี วยงามและสะอาดเอาไวและต้ังมันไวบนสถานที่สูงของบา น นน่ั ถอื เปนการกระทําทห่ี นา ยกยองอยา งหนง่ึ แตก ารกระทาํ เชน น้ันมิใชการปฏบิ ตั ติ ามสิทธขิ องอลั กุรอาน แตก ารรกั ษาสิทธขิ องคมั ภีรอ ลั กุรอานนั้นคือการอา นมนั ในบานบางหลังมีคมั ภีรอ ัล กุรอานอยูใ นครอบครองหลายเลมโดยมีตวั เขียนทแี่ ตกตา งกัน ออกไป คําแนะนาํ ประการหน่งึ ของเราก็คือวา บรรดาบุคคลท่ีอยูใ นบา นนน้ั ๆ ควรจะจดั โปรแกรมใหด เี พอ่ื สามารถท่จี ะเปด อา นคัมภีรอ ลั กรุ อานเหลา นัน้ ไดค รบทกุ เลม หากไมสามารถใชประโยชนจ ากมันไดทง้ั หมดแลว คมั ภรี อัล กุรอานนั้นจะไปรอ งทุกขต อ พระผเู ปน เจา อมิ ามซอดกิ (อ.) ไดกลา ววา สามสิง่ ที่จะไปรองทกุ ขต อ พระผูเ ปน เจาจากบคุ คลสามกลมุ ซึง่ ไดแ ก “มสั ยดิ ที่รางวางซ่ึงบคุ คล (ท่ีอาศัยอยขู างเคยี ง) ของมันไมไ ปนมาซในมัน ผรู ทู ีอ่ ยูท ามกลาง บรรดาผไู มร ู และคมั ภรี อลั กุรอานท่ถี ูกปด ไวโดยทฝี่ นุ ละอองเกาะติดบนมันโดยไมถูกอา น” (5) 3) การทาํ ใหค วามบาปของบดิ ามารดาเบาบางลง : บคุ คลท่อี า นอัล กรุ อานจากตวั บท คมั ภรี น ั้น นอกจากจะทาํ ใหดวงตาของเขาไดรับประโยชนจ ากรศั มี (นรู ) ของอัล กรุ อานแลว ยังจะเปน เหตุทาํ ใหความผดิ บาปของบดิ ามารดาของตนเบาบางลงอีกดว ย ทานอิมามซอดิก (อ.) ไดกลา ววา “ผใู ดกต็ ามท่ีอา นอลั กรุ อานจากตัวบทของคมั ภรี อลั ลอฮจะทรงทําใหสายตาของเขาไดรับ ประโยชน และทาํ ให (ความผดิ บาป) เบาบางลงจากบิดามารดาของเขา แมวาบุคคลทงั้ สองจะเปน ผู ปฏเิ สธกต็ าม” (6) 4) เปนสาเหตุทาํ ใหข ยายจํานวนคมั ภรี อ ัล กรุ อาน : ถาหากทุกคนเครงครัดในการอาน คมั ภีรอลั กุรอานจากตัวบทของมนั การกระทําเชนนจ้ี ะเปน สาเหตทุ ําใหอลั กรุ อานแพรห ลายละเพิ่ม จํานวนมากยง่ิ ข้ึน ผลกค็ อื คัมภีรอ ลั กุรอานจะมีอยใู นครอบครองของบุคคลท้งั หมด และความรกั และ ความผกู พนั ตอ คัมภีรอัล กุรอานก็จะเพิ่มทวคี ณู ย่ิงขึ้น. มารยาทประการที่ 8 การอานคัมภรี อ ลั กรุ อานดว ยเสยี งดังและคอย 19
การอา นคัมภรี อ ัล กรุ อานดว ยเสยี งดงั หรอื ดวยเสยี งคอ ยนัน้ อยา งไรดีกวากนั ! กอ นทจี่ ะรบั รู คําตอบอนื่ ๆ นั้น ขอใหเ รามาพจิ ารณาดูฮะดีษบทหนง่ึ จากอมิ ามบากริ (อ.) ซงึ่ ทานไดก ลาววา “บคุ คลใดก็ตามทีอ่ า นซเู ราะฮ ‘อนิ นา อนั ซัลนา’ ดว ยเสยี งดัง (ผลรางวัลของเขา) ประหนงึ่ ดงั นักรบที่ทําศึกสงครามดวยดาบ และใครกต็ ามทีอ่ านมันดว ยเสียงคอ ย (ผลรางวลั ของเขา) ประหนงึ่ ดัง บคุ คลทเี่ กลอื กกลง้ิ อยูบนกองเลอื ดของตนเองในหนทางของอลั ลอฮ” (1) จากคาํ พดู ของอมิ ามบากริ (อ.) เราไดรับบทสรปุ วา การอา นคมั ภรี อัล กุรอานไมวา จะดว ย เสียงคอยหรือเสียงดงั ทัง้ สองถือวาเปนสงิ่ ทีม่ ีคณุ คา จากเหตุผลดงั กลา วนี้เอง ผอู า นคัมภีรอัล กุรอาน ควรพิจารณาดเู งือ่ นไขตางๆ และสภาพของตนเอง เขากจ็ ะสามารถเลอื กวิธใี ดวธิ ีหนึง่ จากทง้ั สองในการ อา นคมั ภรี อ ัล กุรอานของตน บางชว งเวลาสภาพเง่อื นไขตา งๆ ปรากฏข้ึนซึ่งการอานอัล กุรอานดว ย เสยี งดังจะมคี ุณคามากกวา แตบ างชวงเวลาการอา นอัล กรุ อานดว ยเสียงทคี่ อยถอื เปน ส่งิ จําเปน เราจะ พยายามอธบิ ายถึงกรณีเหลา นบ้ี นพื้นฐานของรวิ ายะฮต างๆ การอานคมั ภรี อัล กรุ อานดว ยเสยี งดัง บรุ ษุ ผหู นงึ่ มีนามวา ‘มุอาวิยะฮ บนิ อมั มาร’ ไดถามอมิ ามซอดิก (อ.) เกี่ยวกับการอา นคัมภีร อัล กรุ อานดว ยเสียงดัง อิมามตอบวา “(การอา นอลั กุรอานดว ยเสยี งดงั นัน้ ) ไมม ปี ญหาแตอยา งใด!” อมิ ามอะลี บนิ ฮเู ซน (อิมามซยั นุลอาบิดนี ) (อ.) สาํ เนยี งการอา นคัมภรี อ ลั กรุ อานของทา น น้ันไพเราะกวา ประชาชนทัง้ หมด ทา นมกั จะอานอัล กุรอานดวยเสยี งทดี่ ังเพ่อื ใหบ คุ คลในครอบครัวไดย ิน และอมิ ามบากริ (อ.) กม็ เี สียงที่ไพเราะท่ีสุดในการอา นคัมภรี อ ัล กรุ อานในยามดึกสงัดทา นจะต่ืนข้นึ มา เพือ่ ทํานมาซซอลาตลุ ลยั นและอานคัมภรี อ ลั กรุ อาน ทา นจะอานคัมภรี อลั กรุ อานดวยเสียงท่ีดัง บรรดา ผใู หนํ้าดม่ื และบคุ คลอื่นๆ ทเ่ี ดินทางผา นมาจะหยดุ ยืนและฟงเสียงการอา นอัล กรุ อานของทา น (2) คุณคา ตา งๆ ของการอา นอัล กุรอานดว ยเสียงดงั ฮะดษี บทนี้และฮะดษี อน่ื ๆ ทม่ี เี น้อื หาคลายคลึงกนั ไดช้ีใหเ ราไดร บั รวู าการอานอลั กุรอานดว ย เสยี งดังนนั้ มคี ุณประโยชนม ากทีเดยี ว ถา หากผอู านอลั กุรอานไดค ดิ ใครค รวญถึงแงม ุมเหลาน้ีเขาจะ ประจักษว า การอา นอัล กุรอานดว ยเสียงดังน้ันมคี วามประเสรฐิ มากกวาการอา นดวยเสยี งคอย ใน เนอื้ หาสว นนีเ้ ราจะมาพจิ ารณาดูโดยสรปุ ถงึ สาเหตทุ ท่ี ําใหการอานอลั กรุ อานดว ยเสยี งดังน้ันมีความ ประเสริฐกวาการอานดวยเสยี งคอย และผลตางๆ ของมนั 1) บดิ ามารดาทีอ่ านคัมภรี อ ลั กุรอานดว ยเสยี งดงั ภายในบานของตน จะสง ผลในทางฝกฝน และขดั เกลาจิตใจลกู ๆ ของตนเอง จะทําใหพวกเขามคี วามรกั และความผกู พนั ตอคมั ภรี อัล กรุ อาน 2) การอา นอลั กุรอานดวยเสยี งดังจะทําใหเ กดิ สมาธิมากขึ้น และจะชว ยใหจ ิตใจมุง ตรง ในขณะอา น ในสภาพเชนนั้นผูอา นอลั กรุ อานจะสามารถมงุ ความสนใจไปยงั ความหมายของอัล กุรอาน ไดม ากกวา 20
3) จะชว ยขจดั ความเกยี จครา นและความเหนอ่ื ยหนายใหหมดไปจากผอู า นอัล กุรอาน และจะ ชว ยเพ่ิมอรรถรสและความกระปรก้ี ระเปรา ในการอา นใหม ากย่งิ ข้ึน 4) เมื่อเสียงอา นอลั กุรอานอนั ไพเราะจับใจของผูอ า นไดดังข้นึ และไดยนิ ไปยังบคุ คลอน่ื ๆ ก็จะ สงผลเขาสูก นบึง้ แหงจติ ใจและวิญญาณของพวกเขา เปนไปไดม ากทเี ดียวที่จะสรางแรงบนั ดาลใจตอ บุคคลเหลา น้นั และหันกลบั มาสูคมั ภรี อัล กรุ อาน ถา หากพวกเขาไมส ามารถอา นอลั กุรอานได จะทาํ ให เขาอยากทีจ่ ะศกึ ษาเรียนรูการอานมัน หรือหากพวกเขาไมค อ ยคุนเคยกบั การอา นอัล กุรอาน จะทาํ ให เขาเกิดความรักความผกู พันกบั การอา นมนั และทเี่ หนือไปกวา น้นั บางทีการอานที่ไพเราะจับใจของผอู าน อลั กุรอาน อาจเปน สาเหตุปลุกจติ สํานึกของมนุษยใหตน่ื จากภวงั คแหง ความหลับใหล เผอเรอ และการ ประพฤตชิ วั่ และจะชน้ี าํ เสนทางชีวิตของพวกเขาไปสูห นทางแหงทางนํา (ฮิดายะฮ) ในหนา ประวตั ศิ าสตรม ไี มนอยเลยทีเดียวที่บคุ คลจาํ นวนมากเม่อื ไดยินโองการหนง่ึ ๆ จาก บรรดาโองการของพระผเู ปน เจา ทําใหพ วกเขาเกดิ การเปลี่ยนแปลงในชวี ติ และเพยี งชว่ั พรบิ ตาของการ ไดร ับฟง โองการนนั้ ๆ ทาํ ใหพวกเขาไดสาํ นึกตัวและเลกิ ละจากความชวั่ รา ยทง้ั มวล ตัวอยา งจากบุคคล เหลา นั้นคือ ‘ฟุเฎล บนิ อยั ยาฎ’ เขาไดถกู รจู กั ในฐานะผูรายงานฮะดษี คนหน่ึงจากอมิ ามซอดิก (อ.) และเปนผูม คี วามสมถะ (ซาฮดิ ) ผเู รืองนามคนหนงึ่ ในยุคสมยั ของทา น ในชวงปลายชวี ติ ฟเุ ฎล ไดใ ช ชวี ติ อยูเคยี งขางอลั กะอบ ะฮ และไดอาํ ลาโลกนไี้ ป ณ ที่แหง น้นั ในวนั อาชรู อ ในขณะที่ชว งเริ่มตน ชีวิต ของเขานนั้ เขาเปน โจรปลน สะดมท่รี า ยกาจยงิ่ คนหน่ึง ซึง่ ประชาชนท้ังหมดตางขวัญผวาเมอื่ ไดยินชอื่ เขา ในค่าํ คนื หนง่ึ ฟุเฎล ไดยางกายเพ่อื จะเขาสบู านหลงั หนง่ึ เพอ่ื ปฏบิ ัตกิ ารอนั ชวั่ รายของตนเอง แตท วา ในบานอีกหลงั หนึง่ ซึง่ อยูในบรเิ วณรอบๆ นนั้ มชี ายผมู ศี รัทธาคนหน่ึงไดต ื่นข้ึนในทามกลางความ เงียบสงัดของยามราตรี ซ่ึงไดหมกมนุ อยูก บั การอา นคัมภรี อ ลั กรุ อาน เม่ือเขาไดอา นมาถงึ โองการนี้คอื “ยังไมถึงเวลาอีกหรอื สําหรบั บรรดาผศู รทั ธาที่หัวใจของพวกเขาจะนบนอมตอการราํ ลกึ ถึงอลั ลอฮ และตอสจั ธรรมทีล่ งมายังพวกเขา” (บทอลั ฮะดีด โองการท่ี 16) โองการนปี้ ระหนงึ่ ดงั มดี โกนที่บาดลงบนหัวใจของฟุเฎล รา งกายของเขาไดส น่ั สะทา นอยา ง รุนแรง เขาไดตกอยูในภวังคแ หง ความครุน คิดช่ัวขณะหนึง่ วา ผูใดหรอื ท่ไี ดพูดสงิ่ น้ี! พดู กบั ใครกระนนั้ หรอื ! เขากลาวกับตัวเองวา “โอฟเุ ฎลเอย ! คมั ภีรอ ลั กรุ อานกําลงั พูดกบั เจา!!” ทันใดน้นั เองเสยี งของ ฟุเฎลกด็ งั ข้ึน และเขาไดพูดซํ้าคาํ พูดประโยคนีว้ า “ใชแ ลว! ขอสาบานตออลั ลอฮ ถึงเวลาแลว ใชแลว! ขอสาบานตอ อลั ลอฮถ ึงเวลาแลว!!!” ฟเุ ฎลไดเงยหนาข้ึนสูฟากฟา เขาไดก ลาวดวยหวั ใจทส่ี ํานึกผดิ และทาํ การสารภาพผดิ (เตาบะฮ) วา 21
“โอพ ระผเู ปนเจา ! แทจ ริงขา พระองคขอสารภาพผิดตอ พระองค และขาพระองคขอวาง (เง่ือนไข) การสารภาพผิด (เตาบะฮ) ของขาพระองคดวยการอยเู คยี งขา งบัยตุลฮะรอม (บา นของ พระองค) ตลอดไป” (3) การอา นอลั กุรอานดว ยเสียงคอย จากบรรดารวิ ายะฮที่ไดรายงานไวเ ก่ยี วกบั เร่ืองนี้ ทง้ั ในบรรดาหนงั สอื ฮะดีษของชอี ะฮและอะฮลิ ลซนุ นะฮน้ัน สามารถท่ีจะสรปุ ไดว า ในสภาพเงือ่ นไขตา งๆ ดงั ตอไปนเ้ี ปนสิ่งสมควรทเ่ี ราจะอา นคัมภรี อัล กรุ อานดวยเสียงคอ ย 1) เมื่อมนษุ ยก ลัววาการอา นอัล กรุ อานดวยเสยี งดงั จะเปน สาเหตขุ องการแสดงตนและการโอ อวด (ริยาอ) เนื่องจากวา การโออ วดนั้นไมเ พยี งแตจะทาํ ใหท ุกๆ การอิบาดะฮไรคณุ คาเทาน้ัน ในทาง ตรงกนั ขาม จะเปน สาเหตุทาํ ใหมนุษยอ อกหา งจากพระผเู ปน เจา 2)ในสถานทซี่ ึง่ การอา นอัล กุรอานดว ยเสยี งดงั จะกอ ใหเกดิ ความราํ คาญใจและเปน การ รบกวนบคุ คลอนื่ ๆ ตวั อยางเชน การอานในชว งเวลาพักผอนหรือการหลบั นอนของเพอื่ นบา น หรือใน สถานทีซ่ ่ึงการอานอัล กุรอานดว ยเสยี งดังจะไปรบกวนสมาธิการทาํ อิบาดะฮของผอู ่ืน เชน ถาหากมีผู ศรทั ธาจาํ นวนหนึ่งกาํ ลังหมกมุนอยกู บั การนมาซหรอื การอบิ าดะฮอ น่ื ๆ และเสียงจากการอา นอัล กรุ อาน อา นดงั จะไปทาํ ลายสมาธขิ องพวกเขา ฉะนั้นจําเปนตอ งหลกี เลยี่ งจากการอานอัล กุรอานดวยเสยี งดัง 3) การอา นคมั ภีรอ ัล กุรอานดวยเสียงดัง จะนํามาซ่ึงอนั ตรายและภัยรายตอ รางกายของ มนษุ ย (ผอู า น) ในกรณเี ชน นี้เขาไมมีสิทธิท์ จ่ี ะอานอัล กุรอานเสียงดัง เพราะวาการทาํ รายรางกายน้ัน เปน สง่ิ ตอ งหาม (ฮะรอม) ในขณะทก่ี ารอานคัมภรี อัล กุรอานเปนมุสตะฮบั และศาสนาไมอ นุญาตใหเ รา กระทําส่ิงทีเ่ ปน มุสตะฮบั แตใ นขณะเดียวกันมนั กลับเปน สาเหตุทีท่ าํ ใหตอ งกระทําในสง่ิ ท่ฮี ะรอม (ตองหา ม). มารยาทประการที่ 9 การอา นดว ยเสยี งทีไ่ พเราะ การมเี สียงอันไพเราะคือเนย๊ี ะอม ัต (ความโปรดปราน) อยางหนงึ่ ทพ่ี ระผเู ปน เจาทรงมอบให มนุษยโดยธรรมชาติเปนผูทีร่ ักและชอบความสวยงาม สําหรบั มนษุ ยแ ลว ทุกๆ ส่ิงที่มคี วาม สวยงามจะกอ ใหเ กดิ ความชมชืน่ สว นหน่งึ จากบรรดาความโปรดปราน (เนย๊ี ะอม ัต) ที่พระผูเปนเจาทรง มอบให น่นั คือเสียงอันไพเราะจบั ใจ ซ่ึงพระผเู ปนเจา ทรงมอบใหกับมนษุ ยบ างคน นา้ํ เสยี งอนั ไพเราะ และจบั ใจนี้คอื สง่ิ ท่สี ูงสงกวา ความสวยงามทัง้ มวล ทา นศาสดามุฮมั มัด(ศอ็ ลฯ) ไดกลา ววา 22
“แทจ ริงสว นหนง่ึ จากส่งิ ท่มี คี วามสวยงามมากท่สี ุดของความสวยงามทงั้ ปวง นนั่ คือบทกวที ี่ ไพเราะและการมีนาํ้ เสียงอนั ไพเราะ” (1) ดว ยเหตุผลดังกลาวน้ีเอง พระผเู ปนเจา ผูท รงเมตตาจงึ ไดท รงมอบของขวญั อนั ย่ิงใหญนี้ใหแก มนุ ษยผ ูถ กู เลอื กสรร (ศาสดาแหง พระผเู ปนเจา) เพ่อื จะเปน สาเหตุทําใหการเรียกรองเชิญชวนของพวก ทา นนัน้ มแี รงดึงดดู ใจมากย่งิ ขน้ึ อิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลาววา “อลั ลอฮผทู รงเกริกเกยี รติ ผทู รงเกรยี งไกร มไิ ดสงศาสดาทานใดมา เวน แตจ ะตองมีเสยี งท่ี ไพเราะ” (2) หนา ท่ีของบรรดาบคุ คลที่มเี สยี งอนั ไพเราะกบั คัมภรี อ ลั กรุ อาน เมอ่ื เสยี งอันไพเราะคอื ความโปรดปราน (เน๊ียะอมตั ) ประการหนึง่ จากพระผเู ปนเจา ดงั น้นั มุสลมิ ทกุ คนที่ไดร ับของขวัญอนั นี้ (มุสลมิ สว นใหญไดร บั ส่ิงนี้) จาํ เปนทพี่ วกเขาจะตองขอบคณุ ตอ เน๊ยี ะอม ัตดังกลา ว การขอบคณุ ตอความโปรดปรานนก้ี ็คอื การอา นคัมภีรอ ลั กุรอานดว ยเสยี งอันไพเราะ ของตน เพื่อวานอกจากตนเองจะไดร บั ประโยชนจ ากมนั แลว ยงั จะทาํ ใหบคุ คลอน่ื ๆ ในสงั คมไดแ รง ดึงดูดใจจากคมั ภรี อัล กุรอาน เกิดความรกั ความผูกพนั ตอ อลั กุรอาน เน่ืองจากเสียงทไ่ี พเราะจบั ใจของ เขา เสยี งทไี่ พเราะคือเครอ่ื งประดบั ของอลั กุรอาน สงิ่ ทส่ี วยงามขัน้ สูงสุดคอื พระผูเ ปนเจาผูท รงสูงสง และทุกๆ ความสวยงามทัง้ ปวงนั้นมี แหลงทีม่ าจากพระองค พระองคคือบอเกดิ แหงความสวยงามทัง้ มวล ดว ยเหตุนี้พระคาํ (กะลาม) ของ พระองคจ ึงเปน คําพูดที่สวยงามทสี่ ดุ เชน กันไมมคี ําพูดใดๆ ที่จะมคี วามงดงามสละสลวยเทา เทยี มกบั คัมภีรอลั กรุ อานได โดยทแ่ี มแ ตบ รรดาศตั รูทีร่ ายกาจท่ีสุดของอัล กุรอานเองกย็ ังตองยอมสารภาพในส่ิง น้ี ตัวอยา งเชน วะลีด บนิ มุฆเี ราะฮ หนึง่ จากบรรดาผูนาํ แหงเผากุเรช และเปน ศัตรูท่ีรายกาจย่ิงตอ อิสลาม ซง่ึ ตวั เขาเองน้นั เปน นักกวีผูย ิง่ ใหญแหง อาหรับคนหน่งึ ทเี ดยี ว เขาไดก ลา วเกย่ี วกบั คัมภีรอลั กุ รอานเชน น้วี า “แทจ รงิ เมือ่ ครนู ี้ ฉันไดยนิ คาํ พดู หนึ่งจากมุฮมั มัด มนั ไมใ ชค ําพดู ของมนุษยแ ละไมใชค าํ พดู ของญนิ แทจรงิ มันชา งมีความหวานซ้ึง (เกนิ คาํ บรรยาย) และแทจริงมนั ชางมีความงดงามจบั ใจ” (3) หากคมั ภีรอ ัล กรุ อานซงึ่ โองการท้งั หลายของมนั นัน้ มีงดงาม ไดถูกอา นดวยเสยี งที่งดงามของ ผอู าน ความงดงามและความสวยงามของมนั ก็จะเพม่ิ เปน สองเทา และจะเขา ประทบั อยใู นหัวใจ 23
ทงั้ หลาย การอานคมั ภีรอ ลั กรุ อานดวยความไพเราะนน้ั นบั วามีคณุ คา อยางยิ่ง ถึงขัน้ ทที่ านศาสดามฮุ มั มัด(ศ็อลฯ) ไดกลา ววา มันคือเครือ่ งประดบั ของอัล กรุ อาน “แทจรงิ การมีเสียงทไี่ พเราะน้ัน คือเคร่ืองประดบั สําหรับคมั ภีรอัล กุรอาน” (4) ผลของการอา นคมั ภีรอ ลั กุรอานดวยความไพเราะ บางทีอาจจะมผี ูถามวา ทําไมถึงตองเนนอยา งมากเหลอื เกินเก่ยี วกับการอา นอัล กรุ อานดว ย น้ําเสยี งท่ไี พเราะ ! สงิ่ ท่ีสําคัญคือเราตองใหเ กยี รตติ อคัมภรี อลั กุรอาน อยา อา นแบบรบี เรงแตจ งคอยๆ อา น! ขอกลา วตอบวา บรรดานักภาษาและนกั วรรณคดีศกึ ษาเกีย่ วกับภาษาอาหรบั ตางเช่อื กันวา แม คมั ภีรอ ลั กุรอานจะไมใ ชบ ทกวี แตมที ว งทํานองเสียงและมที วงทํานองอันเปน การเฉพาะ ไมม บี ทรอย แกวใดๆ ในภาษาอาหรับทจี่ ะมีคณุ ลกั ษณะพิเศษเชนนี้ และดวยเหตุนี้เองเมือ่ คมั ภีรอลั กรุ อานไดถกู อาน ข้ึนดว ยเสียงอันไพเราะจะสงผลตอ จติ วญิ ญาณอยา งนา ประหลาดในตัวผฟู ง (แมแ ตบุคคลท่ีไมใ ช มสุ ลิม) เราไดอา นพบอยา งมากมายในชวี ประวตั ขิ องบรรดากอรี (นักอาน) ผมู ชี อื่ เสยี ง ซงึ่ การอานอลั กุรอานของพวกเขานอกจากจะสง ผลอนั ลมุ ลกึ ตอบรรดามุสลมิ แลว ยงั สงผลตอผทู ่ีไมใ ชม สุ ลิม เชนเดยี วกนั โดยทีไ่ ดก ลายเปน สาเหตุแหง การนาํ ทาง (ฮดิ ายะฮ) และการเขา รับอิสลามของพวกเขา ไมเ ลวทเี ดยี วท่เี ราจะมารบั ฟงเกยี่ วกับการสงผลอันลมุ ลึกของการอานอัล กรุ อานดว ยเสียงที่ ไพเราะจากคําพูดของทานอสุ ตาซ ชะฮีด อลั ลามะฮ อายะตลุ ลอฮ มเุ ฏาะฮฮ ารี (รฎ.) ซง่ึ ทานกลา ววา “ขา พเจา เอง…รูสกึ มคี วามสุขจรงิ ๆ จากการไดรับฟง อัล กรุ อาน…และรสู กึ ไดอ ยา งแทจริงถงึ ความไพเราะของอลั กุรอาน โดยเฉพาะอยา งยงิ่ เมอื่ มันไดถกู อา นดวยนํ้าเสียงทอี่ อ นโยนและไพเราะ บรรดาอลั กรุ อานทอี่ ับดลุ บาซฏิ ไดอาน…บางสว นของมนั โดยเฉพาะสว นท่ีเขาไดเ ลือกใชทว งทาํ นองท่ี สอดคลองกบั เนอ้ื หาของโองการ มันจะสง ผลอยางนา ประหลาด ตวั อยางเชน โองการ “ ” หรือซูเราะฮ “ ” สว นใหญของส่ิงทเ่ี ขาอา นจะมลี กั ษณะ เชน น้ี เขาไดอ า นซเู ราะฮ “ ” ดวยนํา้ เสียงและทว งทํานองท่ี สอดคลอ งกบั ความหมายของมัน โดยเฉพาะอยา งยิง่ เม่อื ขา พเจาไดรับฟงอลั กรุ อานดว ยทวงทํานอง เชน น้ี ขาพเจารูส ึกมคี วามสขุ อยา งมาก” ความหวานซึ้งและความไพเราะของอัล กรุ อานน้ี (และการที)่ ไมวา มันจะถกู อา นซาํ้ เทาใด ความหวานซง้ึ ของมนั ก็ไมลดพรองลงไป มนั คือสวนหน่งึ จากความมหัศจรรย (มุอญ ซิ าต) ของคัมภรี อ ัล กุรอาน (5) ผูอานท่ีมีเสียงท่ไี พเราะ ขอใหบรรดาผอู า นทม่ี ีเกยี รติ และโดยเฉพาะอยา งย่ิงบรรดานักกอรีอลั กุรอาน จงอยรู ว มกบั เรา ตอไปเพอ่ื ทานทัง้ หลายจะไดรับรวู านกั อา นอลั กรุ อานทมี่ เี สียงไพเราะท่ีสดุ คือใคร บังเอญิ มบี คุ คลหนงึ่ ไดถ ามเกีย่ วกบั เร่ืองน้ีจากทานศาสดามฮุ มั มัด(ศอ็ ลฯ) ทา นไดตอบแกเขาดังเนอื้ หาตอไปนี้ 24
ไดมีผูถ ามทานศาสดามุฮัมมดั (ศ็อลฯ) วา “มนุษยคนใดท่มี เี สียงอานอลั กรุ อานที่ไพเราะ ท่ีสุด!” ทา นศาสดามฮุ มั มัด(ศ็อลฯ) ไดตอบวา “บคุ ลผูซึ่งเมือ่ ทา นไดยินการอานของเขา ทา นได ประจักษว าแทจ ริงเขามคี วามหวาดกลวั ตออลั ลอฮ” (6) ความเกรงกลวั ตอ พระผเู ปน เจา คือบรรทัดฐานสําหรบั ผอู า นอัล กรุ อาน ผูอ านซง่ึ ไดสรา งความ สวยงามใหแกอ ลั กรุ อานดว ยเสียงอันไพเราะของเขา ฉะนน้ั นกั อานผมู ีน้าํ เสียงทไี่ พเราะท่ีสุดคือผซู ่งึ สญั ลักษณแ หงความเกรงกลัวอัลลอฮและวนั แหง การตอบแทนตดั สินไดเ ปนท่ีปรากฏในคาํ พดู และการ กระทําตางๆ ของเขา รูปลกั ษณภายนอกของเขาคอื รูปลักษณภายนอกแบบอสิ ลาม คาํ พดู ของเขาคืออัล กรุ อาน เขาเปนผลู าํ้ หนาคนอ่ืนในการปฏบิ ัตติ ามขอ บังคบั ใช (วาญบิ ) และละท้งิ จากส่ิงตอ งหา ม (มฮุ รั รอ มาต) ทัง้ หลาย และในการปฏบิ ัติภาระกจิ ทางสังคม เขาก็เปนผูล วงหนาคนอนื่ ถา หากผูอานอัล กุ รอานสามารถปฏบิ ตั ิไดถึงข้ันนี้ ก็ขอแสดงความปต ิยินดตี อเขาดวย ความสําเร็จและความไพบูลยไ ด ประสบกับเขาแลว. มารยาทประการท่ี 10 การอานคมั ภรี อลั กุรอานดว ยสําเนยี งอาหรับ อีกประการหนง่ึ จากมารยาททสี่ าํ คัญของการอานอลั กุรอาน คอื การอานดว ยสําเนียงภาษา อาหรับ เชน คนท่ีภาษาแมของเขาไมใชภาษาไทย เมอื่ เขาตอ งการที่จะพูดภาษาไทย และเขามไิ ดเรียนรู หรือฝกฝนสําเนยี งภาษาไทยใหด พี อ คําพดู ของเขาจะดขู ัดหผู ฟู ง และเปน ไปไดมากทเี ดยี วท่ีการไมร ักษา สําเนยี งของภาษาไทยอาจทาํ ใหผูฟง ไมเขาใจคาํ พดู ของเขา ในทาํ นองเดียวกนั เมอ่ื ใดก็ตามทเ่ี รา ปรารถนาที่จะสนทนาโดยใชภ าษาตางประเทศภาษาใดๆ กต็ าม จําเปนทเ่ี ราจะตอ งใชความพยายามพดู ออกมาดว ยสําเนยี งเฉพาะของภาษานน้ั ๆ เพอื่ ทีจ่ ะทาํ ใหบุคคลที่เราสนทนาดวยเขาใจและพงึ พอใจใน ภาษาของเขาทเี่ ราใชพดู กับเขา บรรดาทานผนู าํ แหงอสิ ลามกับการอา นคัมภรี อัล กรุ อานดว ยสาํ เนยี งภาษาอาหรบั จุดประสงคของเราจากคําวา “สาํ เนยี ง” ภาษาอาหรบั นัน้ กค็ อื ทวงทาํ นองของภาษาอาหรบั นนั่ เอง หมายความวา มสุ ลิมทกุ คนซงึ่ ภาษาแมข องเขาไมใ ชภ าษาอาหรบั จําเปนทีเ่ ขาจะตองใชความ พยายามฝก ฝนอานคัมภีรอัล กรุ อานดวยทว งทํานองและสําเนยี งของภาษาอาหรบั น่คี ือคําพูดของ บรรดาผูน าํ แหงอสิ ลาม ดังเชนทีอ่ มิ ามซอดิก (อ.) ไดก ลาววา 25
“ทานทง้ั หลายจงอา นอลั กุรอาน (ใหช ัดเจนและดวยสําเนยี ง) แบบอาหรับ เพราะแทจ ริงคัมภีร อลั กรุ อานนนั้ คือภาษาอาหรบั ” (1) บางท่อี าจจะมคี นบางคนพูดออกมาอยางทันควันวา ถา เชน น้นั หนา ของมุสลิมกลมุ หนึง่ ทีไ่ มใ ช ชาวอาหรบั ซง่ึ ไมสามารถอานอัล กุรอานดว ยภาษาอาหรับทชี่ ดั เจนไดนั้นคืออะไร! พวกเขาไมต อ ง อานอลั กุรอานกระนนั้ หรือ!! เรามไิ ดต อ งการพดู เชน นั้น! แตเ ราจะขอกลาววา มันแตกตา งกันระหวา งความไมสามารถกับ ความไมต อ งการหรือความไมพ ยายาม ทานอมรี ลุ มุม ินนี อะลี อบิ นิ อบีฏอลบิ (อ.) ไดก ลา วในคาํ พดู อนั ทรงคุณคาประโยคหน่ึงของ ทา นวา “คาของคนน้นั อยทู ขี่ อบเขตแหง (ความพยายามและ) ความมงุ ม่นั ของเขา” (2) มุสลมิ เราบางคนทมุ เทความพยายามและความมุง มัน่ โดยใชเวลาและปจ จยั ตางๆ เพือ่ กิจการ จาํ นวนมากท่ีเกย่ี วกับเรื่องทางโลก (ดุนยา) แมกระทง้ั กิจการตา งๆ ทไี่ มมคี วามจาํ เปน แตพ วกเขากลับ ไมพ รอ มท่จี ะทมุ เทเวลาและความเหน่ือยยากบางสวนเพือ่ กจิ การงานตา งๆ ทีเ่ กยี่ วกับเรื่องของจิต วิญญาณ ซ่งึ จะนํามาซ่ึงความสุขและความไพบลู ยส ําหรับชวี ิตท้ังในโลกนี้และโลกหนา ฉะนั้นหากเรามี ความรักความผกู พนั ตอ คมั ภีรอลั กรุ อาน และเรารกั ในพระดํารสั แหงพระผเู ปนเจา และภายใตร มเงา แหง การอานอลั กุรอาน เราปรารถนาทีจ่ ะไปใหถ ึงซ่งึ ผลรางวลั และการตอบแทนท่ไี รขอบเขตแลว มัน ยตุ ิธรรมใชไ หม! ทีเ่ ราจะใชความอตุ สาหพ ยายามสักหนอย และฝก อานคมั ภรี อ ลั กรุ อานดว ยกบั มารยาทตางๆ ของมนั และดวยทว งทาํ นองและสาํ เนียงแบบภาษาอาหรับ! ในการอา นคัมภีรอลั กุรอานนน้ั บางคนอา นดว ยความเกยี จครานและบางครัง้ ก็อาจแบบตามใจ ท่ีตวั เองตองการ (ในขณะที่กจิ การงานอ่ืนๆ ทางโลกนกี้ ลบั ไมเ ปน เชนน้นั ) เขาคิดแตเ พียงวาทําอยา งไร จะอา นใหไ ดมากที่สุด โดยเขา ใจเอาเองวา จะทาํ ใหต นเองไดรับผลรางวลั ในการอา นมากกวา ดวยเหตดุ ังกลา วนเี้ อง สําหรับบคุ คลเหลานแี้ ลวไมใชเ รือ่ งสาํ คัญอะไรที่จะอา นอลั กรุ อานผิดๆ หรือใสฮะระกตั ผิดๆ ถูกๆ หรืออานตกอานเกินไป ทา นผูอ า นทมี่ ีเกยี รติ! ส่ิงนี้ถอื เปนการไมใ หเ กยี รตติ อ คมั ภรี อ ัล กรุ อาน การอา นในลกั ษณะเชน นนี้ อกจากจะไมมผี ลรางวัลใดๆ แลว ยังจะเปนดังเชน ที่ ซะอด ี นักกวีผยู งิ่ ใหญไดก ลา ววา “หากทา นอานอลั กรุ อานดว ยวิธีเชนน้ี ทานกําลังทาํ ลายความรุงโรจนข องชาวมสุ ลิม” แนน อนยิ่ง! หากผูใ ดทไี่ ดพยายามแลว และใชเวลาทจ่ี ะศกึ ษาเรยี นรถู ึงกฎเกณฑท ีจ่ ําเปน ของ การอา นภาษาอาหรบั แลว แตทาํ อยา งไรเขากเ็ อาดีไมได! เมื่อเปน เชน น้ันเขาก็หมดภาระหนา ท่ี และพระ ผูเปนเจา กจ็ ะทรงตอบแทนรางวลั การอานอัล กุรอานแบบสําเนียงไมใ ชอ าหรบั ของเขาเทาเทียมกับรางวัล ของการอานทถี่ ูกตอ งชดั เจนแบบอาหรบั ดงั เชน ที่อมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา วถึงในประเดน็ นี้ 26
ฉะน้ันจําเปน ท่ีจะตองใชค วามพยายามและความมงุ ม่นั และใชเวลาสักเลก็ นอยเทาทท่ี าน สามารถในการศกึ ษาเรยี นรูการอา นอลั กุรอานดวยสาํ เนียงทถ่ี กู ตอ งและชดั เจน ขนั้ ตอนตา งๆ ของการอา นอัล กรุ อานดว ยสําเนียงอาหรบั การอานอลั กรุ อานใหเ ปน สาํ เสยี งภาษาอาหรบั นั้นมขี ้นั ตอนตางๆ หลายขัน้ ตอน เราจะอธบิ าย โดยสังเขปเพอ่ื แตล ะคนจะไดนาํ ไปเปนแนวทางในการปฏบิ ตั แิ ละการเรยี นรมู ันตามขอบเขตแหง ความ พรอ มและความพยายามของตน เพือ่ จะทําใหก ารอา นอลั กุรอานของเขาไดรับคณุ คาและผลรางวลั อยาง สมบูรณ ขน้ั ตอนแรก : ในการศึกษาคัมภรี อลั กุรอานในข้ันตอนน้ี จาํ เปน ท่จี ะตองเรียนรวู ิธีการออก เสียงทีถ่ กู ตองของบรรดาตวั อักษรอาหรับเสยี กอน เพราะการออกเสียงและตน กําเนดิ เสยี งของอกั ษร อาหรบั จาํ นวนมากนนั้ แตกตางกับอักษรภาษาไทยมากทเี ดยี ว นคี่ อื ขนั้ ตอนสาํ คัญในการอา นอลั กรุ อานใหถูกตอ ง เพอื่ จะไดไมก อ ใหเ กดิ การเปลยี่ นแปลงใน ความหมายตางๆ ของบรรดารปู คําและประโยค เพราะวาในหลายๆ กรณีที่การออกเสยี งอกั ษรผิดจะทาํ ใหความหมายของคาํ เปลีย่ นแปลงไป ซ่ึงจะขอยกใหดูเปนตวั อยางดังตอไปน้ี คําผดิ คาํ ถูก เขม็ เจาะรองเทา ผูพ ลง้ั พลาด, ผูล่ืนไถล หนทาง ความมงุ มั่น, การตดั สนิ ใจแนว แน ผหู ลงผิด ผูย ิ่งใหญ ขัน้ ตอนท่สี อง : การศกึ ษาเรียนรโู ดยสรปุ เก่ียวกับกฎเกณฑต า งๆ ของวิชาตัจญว ดี อยางไรก็ ตาม การเรยี นรกู ารสอนจาํ เปน ตอ งประกอบกบั การฝก หัด และการฝก หดั หรือฝก ฝนนั้นจะตอ งกระทํา จนกระท่งั ผอู า นอลั กรุ อานสามารถอา นเปนสาํ เนียงภาษาอาหรบั ไดอ ยา งชดั เจน สรปุ แลวการเรียนรใู น ขนั้ ตอนน้ีคือการปฏบิ ตั ติ ามคาํ สั่งเสยี ของอิมามซอดิก (อ.) ท่กี ลา ววา “ทานทงั้ หลายจงอา นอลั กุรอาน ใหชดั เจนและดวยสาํ เนียงอาหรบั ” ขัน้ ตอนทีส่ าม : ในขนั้ ตอนน้คี ัมภีรอลั กุรอานจะถกู อานดวยทวงทาํ นองแบบอาหรบั ในสภาพ ทผ่ี ูอานจะตอ งพิจารณาถึงความหมายและเนื้อหาของโองการตางๆ ดวย หมายความวาผูอา นอัล กุรอาน จะตอ งมคี วามรขู ั้นพน้ื ฐานเก่ยี วกับหลักภาษาอาหรบั ถงึ ขน้ั ที่สามารถรับรูไดว า โองการทง้ั หลายทีไ่ ดอาน ไปนน้ั บอกอะไรแกเ ขา และเขาจะทําใหท ว งทาํ นองการอา นของตนสอดคลอ งกบั ความหมายของโองการ เหลา น้ัน กลาวอีกนยั หนงึ่ เขาจะตองอา นโองการแตละโองการโดยพจิ ารณาความหมายของมนั พรอ มกับ ทวงทาํ นองท่ีสอดคลองกลมกลืนของมัน สามารถกลาวไดว า การอา นอลั กุรอานในลกั ษณะเชน นค้ี ือการ ดําเนินตามคาํ พดู ของทานศาสดามุฮัมมัด(ศอ็ ลฯ) ทีไ่ ดก ลา ววา 27
“ทานทงั้ หลายจงอา นอลั กรุ อานดวยทว งทํานองและนํา้ เสยี งแบบอาหรบั และจงระมัดระวังจาก ทว งทาํ นองของบรรดาผูละเมิด (ฟาซกิ ) และบรรดาผูป ระพฤตบิ าปใหญ” (3) การรบั ทว งทาํ นองของอลั กุรอาน บรรดาผูเช่ยี วชาญภาษาอาหรบั และนกั คนควา เกี่ยวกับคมั ภรี อ ัล กรุ อานจาํ นวนมากมีความเชอื่ วา คัมภีรอลั กุรอานนั้นมที วงทาํ นองอันเปน เฉพาะและไมม ตี ัวบทภาษาอาหรบั ใดๆ ทจ่ี ะสามารถอา น ดว ยทวงทาํ นองแบบคมั ภีรอ ลั กรุ อานได ทา นมัรฮมู อุสตาซ ชะฮดี มเุ ฏาะฮฮ ารี ไดก ลาวเกยี่ วกบั เร่อื งนี้ วา “อีกประเด็นหน่ึงทเี่ ก่ยี วขอ งกบั วธิ ีการของอลั กรุ อาน ซง่ึ เปนส่งิ ทีไ่ ดร บั ความสนใจมานับตงั้ แต อดีต น่ันคือประเดน็ ของการรับทว งทาํ นองของคมั ภรี อลั กรุ อาน สิ่งนน้ี ับเปน เรอื่ งท่นี า มหัศจรรยอ ยางย่ิง เทาท่ีพวกเขา (นักวรรณคดภี าษาอาหรับ) ไดช ีใ้ หเ หน็ ในบรรดาภาษาทั้งหลายนน้ั นอกจากบทกวีเทา น้ัน ท่ีรบั ทวงทํานอง ทวงทํานองท่แี ทจริงซง่ึ นักดนตรีคนหนึง่ สามารถสรา งทวงทํานองใหแกม นั ได น่นั คือบท กวซี ึ่งเปนสิง่ ท่ีรับทวงทาํ นอง…คัมภีรอลั กุรอานจากมมุ มองหนึง่ เรารูวามันไมใชบ ทกว…ี คัมภรี อ ัล กุ รอานเปนบทรอ ยแกวเพยี งส่ิงเดยี วเทา นน้ั ท่ีรับทวงทาํ นอง และน่ีคอื ประเดน็ หน่งึ ซง่ึ ไดรับความสนใจมา นับตัง้ แตยุคเร่ิมตน ของอิสลาม” (4) ผลการอานในลักษณะเชน นี้ จะไดรบั ทงั้ ตัวผูอ า นเองและผูท ไ่ี ดร ับฟง คมั ภรี อ ัล กุรอาน เมือ่ ผอู านไดอ านอลั กุรอานในลักษณะเชนน้ี เขาจะรูสึกวา บคุ คลทอี่ ลั กรุ อานไดสนทนาดว ยคือตัวของเขา เอง สภาพเชน นจี้ ะสง ผลกระทบอันลุม ลึกในตวั ผูอ านอลั กุรอาน ถงึ ขน้ั ทีส่ ภาพดงั กลาวจะยงั คงอยใู น ความรสู กึ ของเขาตอไปอกี นานภายหลังจากการอาน และบรรดาผูฟ ง กเ็ ชน กันทร่ี ับรูถึงความหมายของ โองการตางๆ ของคัมภีรอ ัล กรุ อาน เขาจะไดร บั ความรูสึกเชน น้ดี วย หมายความวาเขามคี วามรูสึกวา คมั ภรี อัล กุรอานซึ่งเปน พระดํารสั ของพระผูเปน เจา (กะลามลุ ลอฮ) น้นั กาํ ลังสนทนากับตัวเขา และจาก สภาพเชนนีใ้ นท่สี ุดแลว จะสง ผลในทางปฏิบตั ใิ นพฤตกิ รรมและการกระทําของบรรดาผูรับฟงอลั กุรอาน การอา นในลักษณะเชน นคี้ ือแบบอยางของการอา นอลั กุรอานดวนสําเนียงและทว งทาํ นองแบบ อาหรับอยา งแทจริง หวงั เปนอยางยง่ิ วา การอา นอัล กุรอานของนกั อานทง้ั หมดของเราจะไปถึงข้นั นี้ ซึง่ จะสงผลกระทบอันไมม สี ้ินสดุ และเปนความจาํ เริญสาํ หรับสงั คมตลอดไป. มารยาทประการท่ี 11 การอานคัมภรี อ ลั กุรอานประจาํ วัน การอิบาดะฮทม่ี ีคุณคา ยง่ิ ประการหนง่ึ คอื การอา นคมั ภรี อัล กุรอาน สง่ิ นีน้ ับวา มีความสําคัญ เปน อยา งยิ่งซง่ึ พระผเู ปน เจาไดท รงตรัสในเรื่องนี้วา 28
“ดงั นั้นพวกเจา ทัง้ หลายจงอา นในขอบเขตท่สี ะดวกจากอัล กรุ อาน” (อัล มซุ ซัมมลิ : 20) การอา นคัมภรี อลั กรุ อานในทุกๆ สภาพ โดยทวั่ ไปแลว บุคคลที่จะกําชบั และสง่ั เสยี สิ่งใดๆ น้ัน สิ่งที่เขาส่ังเสยี น้ันจะตอ งเปน สง่ิ สําคัญ และมีผลตอ ชะตากรรมชีวติ สว นหนงึ่ จากคาํ ส่ังเสยี ของทานศาสดามฮุ ัมมัด(ศ็อลฯ) ท่มี ตี ออมิ ามอะลี (อ.) คือการอา นคัมภรี อัล กุรอานเปนประจาํ “และจําเปนท่เี จา จะตอ งอา นคมั ภีรอัล กุรอานในทกุ ๆ สภาพ” (1) การอบิ าดะฮจ าํ นวนมากจะถกู ยกเวน หรือไมก ม็ ีการผอนปรนในกรณีท่ีเกิดความปว ยไข ยาม เดนิ ทาง หรอื ในชวงของการญิฮาด (ตอส)ู ในหนทางของอัลลอฮ แตพระผเู ปน เจาทรงเนนอยา งยิง่ วาแม จะอยใู นสภาวะน้ี ก็จงอานคัมภีรอ ัล กรุ อานตราบเทา ทสี่ ามารถจะกระทําได “พระองคท รงรอบรวู าตอไปบางคนจากพวกเจาจะเปน ผเู จ็บปว ย และคนอื่นๆ อกี บาง คนจะออกเดนิ ทางไปในหนาแผนดินเพอ่ื แสวงหา (ปจ จัยยงั ชพี ) จากความโปรดปรานของพระผู เปน เจา และคนอ่นื ๆ อกี บางสว นก็จะออกทําศึกในหนทางของพระผูเปนเจา ดงั น้นั พวกเจา จง อา นในขอบเขตที่สะดวกจากอัล กุรอานเถิด” (อัล มซุ ซมั มิล : 20) เคล็ดลับของประเดน็ ดังกลาวนี้คืออะไร! ทําไมการอา นอัล กรุ อานอยเู ปนประจําและทุกๆ วนั จึง ถกู เนน มากถงึ เพียงนี!้ บางทเ่ี หตุผลหรือวิทยปญ ญา (ฮิกมะฮ) ของมันก็คอื วา คัมภรี อ ัล กุรอานคือแบบ แผนสาํ หรบั การดาํ เนนิ ชวี ติ อนั ไพบลู ยของมุสลมิ ทกุ คน ดว ยเหตุนจ้ี งึ เปน สิ่งสมควรทบี่ รรดามสุ ลมิ จะตอง อา นมนั ทกุ ๆ วัน เขาจะตองเรยี นรูถงึ บทเรยี นแหง การดําเนนิ ชวี ติ จากมนั และปฏิบัติตามสง่ิ ท่ีไดเ รยี นรนู ้ัน ดงั เชน ที่มนษุ ยจะเตรยี มแผนการสําหรบั การปฏิบัตงิ านตา งๆ ในชวี ติ ประจาํ วันของตนเอง และ ทุกๆ เชาเขาจะทบทวนถึงแผนงานตา งๆ ของตนเอง เพอ่ื วา เขาจะไดป ฏบิ ตั งิ านใหส อดคลองกบั แผนงาน ดังกลาว ในทาํ นองเดยี วกนั มสุ ลิมทกุ คนท่ีปรารถนาจะปฏบิ ตั ติ ามคัมภรี อ ลั กรุ อาน จาํ เปน อยา งย่ิงท่เี ขา จะตองอา นอัล กุรอานอยางตอ เนอื่ งในทกุ ๆ วนั เพ่ือวาภายใตก ารปฏิบัตติ ามคาํ สั่งสอนและการชีน้ ําของ คัมภรี อลั กุรอาน เขาจะไดย างกา วไปสูความสาํ เรจ็ และความไพบูลยท้ังชวี ติ ในโลกนีแ้ ละโลกหนา อิมามโคมัยนี (รฎ.) กับการอานคมั ภีรอ ลั กรุ อาน เปน สงิ่ ทดี่ ีทีเดยี วเพอ่ื ประจกั ษถ งึ ความสําคัญของการอานอลั กรุ อาน ในฐานะทเ่ี ปนการอิบา ดะฮอ ยางหนึ่ง เราจะขอชใ้ี หเ หน็ ถงึ เหตกุ ารณอันเปนความทรงจาํ ท่ีนา ติดตามสองเหตุการณเกี่ยวกบั เกล็ดชีวติ ของทา นอมิ ามโคมัยนี (รฎ.) เหตุการณแรกนน่ั คอื เครอื ญาติผใู กลชิดของทา นอิมามคนหนง่ึ ไดเ ลา เกี่ยวกับเรือ่ งน้วี า 29
ครง้ั หนงึ่ ขณะท่ีขา พเจา ใชช วี ติ อยกู ับอมิ ามในเมืองนะญฟั ดวงตาของทานเกดิ อาการเจ็บปว ยขนึ้ ภายหลงั จากการตรวจดดู วงตาของทา นแลว หมอไดก ลา ววา ‘ทา นจําเปนตองงดการอานอลั กรุ อานสกั ระยะหนง่ึ และจงพกั ผอ นสายตาของทา น’ อมิ ามหัวเราะเลก็ นอ ยและกลาววา ‘น่หี มอ! ฉันตอ งการใชด วงตาของฉนั อา นอัล กรุ อาน ดังนน้ั จะมปี ระโยชนอ ะไรท่ีฉันมีดวงตาแตฉ ันไมไ ดอานคมั ภีรอัล กุรอาน! หมอจงทําอะไรสกั อยา งเถดิ เพือ่ ให ฉันสามารถอา นคัมภีรอ ลั กรุ อานได’ (2) อีกเหตุการณห น่ึงทา นอายะตุลลอฮ ตะวัซซลุ ี ซึ่งเปนเครอื ญาติใกลชดิ คนหนึ่งของทานอมิ าม (รฎ.) ไดเ ลาถึงการอานอัล กรุ อานเปน ประจาํ ทุกๆ วันของทา นอมิ ามโคมัยนี โดยกลาววา “แมทา นอมิ ามจะมีภาระกจิ ทยี่ ุงยากอยางมากกต็ าม แตทานกใ็ หความสาํ คญั ตอการปฏบิ ตั ิ อะมล้ั (การงาน) ตางๆ ที่เปนมุสตะฮบั โดยเฉพาะอยา งย่ิงการอา นคัมภรี อ ัล กรุ อาน การอา นดอุ าอแ ละ การนมาซในชวงแรกของเวลา อิมาม (รฎ.) จะอานคมั ภีรอ ลั กุรอานในทกุ ๆ วัน 3-5 ครั้ง และในเดือนรอมฎอนอนั จาํ เรญิ อิมามจะอานคมั ภรี อลั กรุ อานจบ 3 รอบ” (3) ปรมิ าณของการอา นในแตล ะวัน บางทีอาจมผี ถู ามวา ในเม่อื การอา นอัล กรุ อานประจาํ ทกุ วนั มคี วามสําคญั ถงึ เพียงนี้ ดังนนั้ เรา ควรอา นอลั กุรอานวนั ละก่อี ายะฮ! คาํ ตอบสําหรับคําถามขอนม้ี ีปรากฏอยูใ นฮะดีษจาํ นวนมาก ซึ่งเรา จะขอนาํ มาเสนอไวใ นทน่ี เ้ี พยี งสองฮะดีษ จาํ นวนทน่ี อ ยทสี่ ดุ ของการอา น : ในฮะดีษบทหน่งึ ซง่ึ มีรายงานมาจากอิมามบากิร (อ.) ช้ีใหเหน็ วา หากมุสลิมคนใดไมตอ งการทจ่ี ะถกู นับวาเปนสวนหน่ึงจากบรรดาผูเผอเรอ ผูหลงลืม จาํ เปน ที่เขาจะตองอานอัล กุรอานอยา งนอ ยวนั ละ 10 อายะฮ อิมามบากิร (อ.) ไดอ างคาํ พูดประเดน็ นจ้ี าก ทานศาสดามุฮมั มดั (ศ็อลฯ) ซง่ึ ทา นไดกลาววา “ผใู ดทอ่ี า น (อลั กรุ อาน) สบิ อายะฮในแตละคนื เขาจะไมถ กู บนั ทกึ ใหเ ปนสว นหนึ่งจากบรรดา ผูห ลงลมื ” (4) อยางไรก็ดกี ารอานในจาํ นวนดังกลา วนี้ เปน การอานทนี่ อกเหนือไปจากทม่ี สุ ลิมทุกคน จําเปนตอ งอานในการนมาซของเขา เพราะบรรดาโองการเหลานเ้ี ปน สวนหนึง่ ของการนมาซ และการ อา นมันถอื เปน วาญิบสาํ หรับมสุ ลมิ ทกุ คน 50 อายะฮ (โองการ) คอื การอา นของบรรดาผูทาํ การราํ ลกึ : ในฮะดีษบทขา งตน ยังได กลา วตอ ไปอีกวา บคุ คลใดกต็ ามท่อี านคัมภรี อลั กุรอานในทุกๆ วันๆ ละ 50 อายะฮ เขาจะเขา อยใู น บรรดาผูท ท่ี ําการราํ ลึกถงึ พระผูเปน เจา ตลอดเวลา 30
“และผูใดท่ีอา น (อัล กรุ อานในแตละคนื ) จาํ นวน 50 โองการ เขาจะถกู บนั ทกึ ใหเปนสวนหน่ึง จากบรรดาผทู ี่รําลึก” (5) จํานวนการอา นของนักอานคัมภีรอัล กุรอาน : ทา นมรั ฮูม เฟฎ กาชานี ผเู ปนนัก นติ ศิ าสตร นักอรรถาธบิ ายคมั ภีรอัล กุรอานและอาริฟผูย่งิ ใหญท า นหนึ่งของชีอะฮ ทา นไดเขยี นเกีย่ วกับ ประเด็นนไี้ วในหนงั สอื ‘อัล มะฮัจญะตลุ บยั ฎออ’ ของทา นวา ถาหากผูอ า นคมั ภีรอ ัล กุรอานเปน ผูท่คี ิดใครครวญในความหมายของคัมภีรอ ลั กรุ อาน…ดงั นนั้ เขาไดป ฏบิ ัตติ ามรวิ ายะฮ (คาํ รายงาน) หนงึ่ ทีก่ ลาววา ในแตล ะวันควรอา นอัล กรุ อานหาสิบอายะฮ เพราะอมิ ามซอดิก (อ.) ไดกลา วไวว า “คัมภีรอัล กรุ อานคอื พนั ธสัญญาของอัลลอฮท ีม่ ยี งั (มนุษยผ เู ปน) สง่ิ ถูกสรางของพระองค แนน อนย่ิงเปนสง่ิ สมควรสําหรบั ผูท เ่ี ปน มสุ ลมิ ทีเ่ ขาจะมองดใู นพนั ธสญั ญาของเขา และจะตอ งอา นจาก มันในทุกๆ วัน (อยางนอ ย) หา สบิ อายะฮ” (6) บรรดาผอู า นทม่ี ีเกียรติทง้ั ชายและหญงิ กไ็ ดเ ห็นแลววา การอา นอลั กุรอานอยา งนอ ยวันละ 50 อายะฮน ้ันเปนจํานวนท่ีสมควรอยา งยง่ิ ทีม่ ุสลมิ ทุกคนควรอา นเปน ประจาํ ในแตละวัน ดงั นนั้ จาํ นวนของ การอา นดังกลา วนี้สําหรับผูท ่ีเปน นักอา นคัมภรี อ ัล กุรอาน ผูป ระกาศสาสนของพระผูเ ปนเจา แกมวล มนุษยผูเปน ส่งิ ถกู สรา งของพระองค จงึ นบั วา มีความจาํ เปน อยางยิง่ ทีเดียว เน่ืองจากจะเปนหว งสมั พนั ธ ระหวา งเขากบั อัล กุรอาน หมายความวา มันคอื พันธสัญญาแหง พระผเู ปน เจา หวงั เปน อยา งย่งิ วา ดว ยความโปรดปรานและความเมตตาจากพระผูเปนเจา ซง่ึ มสุ ลิมทุกคน โดยเฉพาะอยา งยิ่งบรรดานักอา นคมั ภรี อ ัล กรุ อานผูม เี กียรตจิ ะไดรบั เตาฟก (ความสาํ เรจ็ ) ในการอา น คมั ภีรอ ลั กุรอานในจํานวนดงั กลา ว จํานวนการอา นของผูป ระกอบอาชพี และบรรดาพอ คา : บรรดาเจาของรานและพอ คา ทัง้ หลายก็เชน กัน จําเปนจะตองใหความสนใจตอการอา นคัมภีรอ ลั กุรอานเปน พเิ ศษ มันจะเปนส่งิ ทีอ่ ัลลอฮทรงพึงพอพระทัยเสียนก่ี ระไร! หากบรรดาเจาของรานคาของเราจะดาํ เนินรอยตามเจา ของราน และพอคา ตา งๆ ในยุคอดตี บรรดาพอคา และเจา ของรา นคาชาวชอี ะฮน บั จากยุคอดตี มาจากกลุมบุคคลทม่ี ีความเครงครดั ในศาสนาและมคี วามผกู พันกบั การอา นอลั กุรอานและอะฮลลุ บยั ต หรอื แมก ระทัง่ สามารถกลา วไดวา ใน การรกั ษาสญั ลักษณต างๆ ของอิสลาม การจดั ต้งั ชุมนมุ การอานอัล กรุ อานและการราํ ลกึ ถงึ เหตกุ ารณ แหงอาชูรอ บคุ คลเหลา นจ้ี ะรุดหนากอ นกลมุ ชนในระดบั อื่นๆ ในสงั คม ดงั เชน ในเมอื งสว นใหญของ ประเทศอหิ รา นในยคุ ปจ จบุ ันกจ็ ะเปนแบบนเ้ี ชนกนั ทุกคนคงจะเคยไดย ินหรอื ไมก็เคยไดอ านมาแลว วาบรรดาพอ คาในสมัยอดีต นอกจากพวกเขา จะพกั การขายและปด รา นรวงของตนในชวงเวลานมาซแลว พวกเขายังมีการนมาซประจําวนั ในรูป 31
ของญะมาอะฮอ กี ดว ย และพวกเขาจะเร่ิมตน งานประจาํ วนั ของตนเองดว ยพระนามแหงพระผเู ปนเจา และการราํ ลกึ ถึงพระองค บรรดาพอคา หรือเจา ของรา นจาํ นวนมาก ภายหลังจากเปด รานคา และ จดั เตรยี มสนิ คาในรานเรยี บรอ ยแลว พวกเขาจะเปดคมั ภรี อ ัล กรุ อานและเริม่ ตนงานประจําวนั ของตนเอง ดว ยพจนารถแหงพระผทู รงสราง แบบฉบบั อนั ดงี ามดังกลา วนไี้ ดก ลายเปน สาเหตทุ ีท่ าํ ใหพวกเขาไดร าํ ลึก ถึงพระผเู ปนเจาอยตู ลอดวันในการคา ขาย และทาํ ใหพ วกเขาปลอดภัยจากการกระซิบกระซาบของ ชัยฏอนมารราย และการคาขายที่ฮะรอม (ตอ งหาม) ยังผลทาํ ใหพ วกเขาเขาอยูในกลมุ ของบรรดาพอคา ทีอ่ ลั ลอฮท รงรกั พวกเขา และพระองคไ ดท าํ ใหก ารคา ขายและอาชพี ของพวกเขามีความจาํ เริญ (บะรอ กะฮ) ผูนํามัซฮบั ของเราคือทานอิมามซอดิก (อ.) ไดก ลาวเก่ียวกับบรรดาพอคาชาวมุสลมิ ไวเชน นีว้ า “สง่ิ ใดกระนั้นหรือทีห่ กั หา ม…พอ คาทหี่ มกมนุ กบั การคาขายในตลาด โดยที่เมอื่ เขากลับถึงบา นของ ตนเอง…เขาจะไมน อนจนกวา…เขาจะไดอา นสกั ซเู ราะฮหนึง่ จากอัล กุรอาน เพราะทุกๆ อายะฮท เ่ี ขาจะ อานนั้นจะถกู บนั ทึกสิบความดีสําหรบั เขา และความชัว่ รา ยสบิ ประการจะถกู ลบไปจากเขา” (7) ชว งเวลาตา งๆ ของการอานคมั ภีรอ ัล กุรอาน จากบรรดาโองการอลั กุรอานและฮะดีษทัง้ หลาย สามารถสรปุ ไดวา การอานคมั ภรี อัล กรุ อาน และการราํ ลึกถึงอลั ลอฮใ นทุกๆ ชวงเวลาและโอกาสเปนสิ่งทดี่ ียิง่ แตส าํ หรับชวงเวลาตอไปนไี้ ดถ ูกส่ังเสีย และกาํ ชับไวเปน พิเศษคือ ชวงเวลายามเชาภายหลงั จากการนมาซซบุ ฮิ์ ชว งเวลาพลบคาํ่ ชว งเวลากอนนอนในยามคํา่ คืน ชว งเวลาดึก และชวงเวลากอนรงุ อรณุ ดว ยเหตุน้ีเอง สมควรอยา งย่งิ สาํ หรับแตล ะบคุ คลทจี่ ะกาํ หนดเอาเวลาบางสว นจากเวลาเหลานี้ ซ่งึ มคี วามเหมาะสมกับสภาพและโอกาสของตนเอง เพอ่ื เปน โปรแกรมการอา นคมั ภรี อ ัล กรุ อานสาํ หรับ ตนเอง. มารยาทประการท่ี 12 การใหค วามสนใจตอ ความหมายและการคดิ ใครค รวญในอัล กุรอาน คัมภรี อัล กุรอานอันจําเรญิ ไดเ รยี กรอ งเชญิ ชวนมสุ ลมิ ทุกคนใหอ านคมั ภีรอ ัล กรุ อาน (1) และ มรี ายงานจาํ นวนมากทกี่ ลาวถงึ คุณคาและผลรางวัลอนั มากมายของการอาน ดวยเหตุนีเ้ ปนสงิ่ สมควร อยางยิง่ ท่ีมสุ ลิมทุกคนจะกาํ หนดเวลาสวนหนึง่ ของตนเองไวเ พอื่ การอานอลั กรุ อาน แตภาระหนา ทข่ี อง เรากย็ งั ไมจบเพยี งแคก ารอา นอลั กรุ อานเพยี งอยา งเดียว บุคคลใดก็ตามท่ีคุน เคยกับการอานคัมภรี อลั กุ รอานแลว หนาทอ่ี ีกประการหนึ่งทเี่ ขาพงึ ปฏบิ ัติในสวนทเี่ กี่ยวกับคมั ภรี อลั กรุ อาน ดงั ที่อลั กุรอานเองได ชี้ใหเห็น 32
ความสําคญั ของการคิดใครค รวญในคัมภรี อลั กุรอาน กุ พระผูเปน เจา ทรงแจกแจงถงึ ภาระหนาทอ่ี ีกประการหนง่ึ ของปวงมุสลมิ ทีพ่ ึงมตี อ คัมภรี อ ลั รอาน ในซเู ราะฮศ ็อด อายะฮท ี่ 29 พระองคท รงตรัสไวเชน น้วี า “คัมภรี ซึง่ เราไดป ระทานมนั ลงมายงั เจานน้ั เปน สง่ิ สาํ คญั เพ่ือพวกเขา (มนษุ ยชาต)ิ จะไดคดิ ใครค รวญโองการทัง้ หลายของมัน และเพือ่ วา ปวงผูมีสตปิ ญ ญาจะไดร ําลกึ ” โองการขางตน ไดส อนมสุ ลิมทุกคนใหรูวา สวนหน่ึงจากมารยาทของการอา นคัมภรี อลั กรุ อาน คือ การใหความสนใจตอความหมายของอัล กุรอานและการคิดใครค รวญในโองการทั้งหลายของมนั หมายความวา มุสลมิ ทุกคนในชวงเวลาทเี่ ขาอานคัมภีรอัล กรุ อาน จาํ เปน ท่เี ขาจะตองใหค วามสนใจตอ ความหมายของบรรดาโองการ ทําความเขาใจกบั สาระของโองการ และทําตัวเองประหน่งึ วาเปน บุคคล ทอี่ ลั กุรอานกาํ ลงั พูดถงึ เพื่อวา เขาจะไดต ระเตรยี มส่อื นําสําหรับตนเองในการท่จี ะปฏบิ ัติตามโองการ ตา งๆ ของคมั ภีรอลั กรุ อาน เพอ่ื จุดประสงคดงั กลาวนี้ จาํ เปนอยา งยิ่งทผ่ี อู า นอัล กุรอานจะตองรวบรวม สมาธแิ ละความคดิ ของตนเองใหอยูก ับอลั กุรอาน นับตัง้ แตเรม่ิ ตน การอา นจวบจนกระทงั่ จบการอาน และเขาจะตองไมค ดิ ถงึ สงิ่ ใดนอกจากอลั กุรอานและความหมายตางๆ ของมัน โดยพนื้ ฐานแลว การอานคัมภรี อ ัล กุรอานโดยปราศจากการคดิ ใครครวญในมนั นน้ั ไมม ีคุณคา อะไรมากนัก เพราะวา เปา หมายของการประทานคัมภรี อลั กรุ อานลงมาก็เพอ่ื ใหม นษุ ยไ ดป ฏบิ ตั ติ าม โองการตา งๆ ของมนั และการใหความสนใจตอความหมายและการคิดใครค รวญในคมั ภีรอ ัล กรุ อานน้ัน คอื ขนั้ ตอนพื้นฐานและเปน ประตไู ปสูการปฏบิ ตั ิ อมิ ามอะลี (อ.) ไดก ลาวเก่ยี วกบั ความสาํ คญั ของการคดิ ใครค รวญในคมั ภีรอ ลั กุรอานไวว า “พงึ รูเ ถดิ วา ! ไมม ีความดงี ามใดๆ ในการอา น (อลั กรุ อาน) ทไี่ มมีการคดิ ใครค รวญในมนั …” (2) กญุ แจตา งๆ ของการคดิ ใครค รวญในอลั กรุ อาน 1. การใชประโยชนจ ากคมั ภรี อัล กุรอานฉบับแปล : บรรดาบคุ คลท่ีไมม ีความรูเกย่ี วกับ ภาษาอาหรบั เพือ่ ทีจ่ ะรับรถู งึ ความหมายตางๆ ของบรรดาโองการ พวกเขาสามารถใชป ระโยชนจ าก บรรดาคัมภีรอ ลั กุรอานทมี่ คี ําแปลได จงพยายามเลอื กอัล กุรอานฉบับแปลที่สาํ นวนตา งๆ ของมันมี ความเรียบงา ย อานงา ยและเขา ใจงา ย และการใชป ระโยชนจากอัล กรุ อานฉบบั แปลเพอ่ื รับรถู ึง ความหมายตางๆ ของบรรดาโองการนน้ั สามารถปฏบิ ตั ิไดส องวิธีคอื ก) กอนการอา นแตล ะโองการ ใหอา นความหมายของโองการนั้นๆ กอน และจงคดิ ใครครวญ ในความหมายของมัน ตอ จากนน้ั ใหอ านความหมายของโองการถัดไป ใหกระทาํ ตามลักษณะน้ี จนกระทงั่ สน้ิ สุดการอาน 33
ข) ทุกครั้งที่ตองการอานคมั ภรี อัล กุรอาน จงกาํ หนดขอบเขตของการอา น (เชนหน่ึงหนา หรือ สองหนา ) กอนเร่ิมตน การอา น ใหอา นคําแปลของโองการเหลา นั้นกอนดวยการคิดใครค รวญ และ ภายหลังจากการคดิ ใครครวญในความหมายของมนั แลว จงึ เรมิ่ ตนการอานคมั ภรี อ ัล กรุ อาน 2. การอา นแบบตรั ตลี : จุดประสงคข องการอา นอลั กรุ อานแบบตรั ตีลคือ การอา นอยาง ถกู ตองชัดเจน และคอยๆ บรรจงอา นมัน ในขณะเดยี วกนั ก็มงุ ความสนใจตอ ความหมายของมนั ไปดว ย หน่ึงจากบรรดาหนทางของการครนุ คดิ และการใครครวญในคมั ภีรอัล กรุ อาน คอื การบรรจงอา นแบบชา ๆ ซึง่ เรียกการอา นในลักษณะเชน นี้วา “ตัรตีล” แตทวามีไมน อ ยทีเดียวทีบ่ รรดาผทู ่เี ม่อื เรมิ่ อา นความ พยายามของเขามงุ ไปยังจดุ ทว่ี า จะทาํ อยา งไรใหจบซูเราะฮเ ร็วๆ พวกเขาจะคิดแตเพียงส่งิ นเ้ี ทา นั้น การ อานอัล กรุ อานในลักษณะเชน นไ้ี มใหค ุณคาอะไรมากนัก ยง่ิ ไปกวา น้นั บรรดาผนู ําของอิสลามยงั ถือเปน เร่อื งนา ตําหนิอีกดวย อมิ ามอะลี (อ.) ไดถ ามจากทา นศาสดามฮุ มั มดั (ศอ็ ลฯ) เกย่ี วกับโองการ ท่ีอลั ลอฮท รงตรสั วา ( ) “และเจา จงอานอัล กุ รอานเปนจงั หวะชาๆ (ชัดถอ ยชัดคํา)” (อัล มุซซมั มิล : 4) ทานศาสนาทตู (ศอ็ ลฯ) ไดกลา ววา “จงอา นมันใหช ดั เจน และเจา จงอยาอานมันแบบเรงรีบเหมอื นบทกลอน จงหยดุ ณ โองการ ตางๆ ที่ชวนพศิ วง และจงเปด บรรดาหวั ใจ (ของตน) ดวยสอื่ จากอัล กุรอาน และจงอยา ใหค วามสนใจ ของคนใดจากพวกเจา คือการไปถงึ ยงั ทา ยของซเู ราะฮ” (3) 3. การหลกี หางจากความชัว่ ท้ังหลาย : คมั ภีรอ ลั กุรอานคือคมั ภรี แ หง สจั ธรรม และไดถ ูก ประทานลงมาเพื่อการนําทางมนษุ ยชาตทิ ้ังมวล สว นหนึ่งจากปจ จยั พ้นื ฐานของการนาํ ทาง (ฮิดายะฮ) คือการอา นอลั กรุ อานพรอมกับการคิดใครครวญ แตม นุษยบางคนเนื่องจากผลของการประพฤติชว่ั ทํา ใหหวั ใจของพวกเขามดื บอด ถกู ปดกนั้ และไมไดรับเตาฟก (ความสาํ เร็จ) ในการคดิ ใครครวญในอลั กุ รอาน พระผเู ปนเจา ไดท รงตรัสในเรือ่ งนวี้ า “พวกเขามไิ ดใ ครครวญในอลั กรุ อานดอกหรอื หรอื วา บนหวั ใจทงั้ หลาย (ของพวกเขา) มกี ญุ แจหลายดอกคลอ งอย”ู (มุฮมั มัด : 24) การมีหัวใจผูกพันตอ โลกดนุ ยาและความประพฤติชั่ว จะเปน อุปสรรคขวางกน้ั ความสนใจและ การคิดใครค รวญในอัล กรุ อาน ความชัว่ นนั้ จะปดกั้นลงกุญแจหวั ใจของมนุษย เหมือนดังประตูทัง้ หลาย ทถ่ี ูกปดดวยกญุ แจเหลก็ หากบคุ คลใดท่ีหัวใจของเขาเปดอยู เขากส็ ามารถคดิ ใครครวญในอัล กรุ อาน และความหมายของอัล กุรอานกจ็ ะสง ผลเขาสจู ติ ใจของเขา เราวอนขอตอพระผูเปน เจาผทู รงเมตตา ผทู รงกรุณาปรานี ขอพระองคทรงประทานเตาฟก (ความสาํ เรจ็ ) ในการอา นคัมภรี อลั กุรอานและการคิดใครค รวญในความหมายของอลั กุรอานแกพวก 34
เราชาวมสุ ลมิ ทกุ คน โดยเฉพาะบรรดาผปู ฏบิ ัติตามอะฮล ิลบยั ต (อ.) และขอพระองคโปรดขจดั ขวาก หนามและอุปสรรคของการคิดใครครวญในอลั กรุ อาน ใหห มดไปจากเสน ทางชวี ิตของพวกเขาดว ยเถดิ . มารยาทประการที่ 13 การรบั ฟง และการนง่ิ เงียบขณะอา นคมั ภีรอ ลั กุรอาน มารยาทอีกประการหนง่ึ ของการอา นคัมภีรอลั กุรอาน คือการรับฟง และการนิ่งเงยี บเมื่อไดย นิ เสยี งบรรดาโองการซ่ึงเปน พระดํารสั แหงพระผเู ปน เจา (กะลามุลลอฮ) เม่อื มีบคุ คลใดอา นคัมภีรอ ัล กุ รอานหรือมกี ารกระจายเสียงจากวทิ ยุ เทป หรอื เครือ่ งเลนแผน เสยี งตา งๆ ผูทีไ่ ดยินเสยี งของอัล กุรอาน สมควรอยา งย่งิ ที่เขาจะตัง้ ใจฟง อัล กรุ อานและเงียบสงบ เพราะส่ิงน้ีคอื คําส่งั ของพระผูเปนเจา ซึ่ง พระองคทรงตรัสไวในคัมภีรอ ลั กรุ อานวา “เมื่อคมั ภีรอลั กุรอานไดถูกอา น พวกเจา จงฟง และจงสงบนง่ิ เถดิ เพอื่ พวกเจาจะไดร บั ความเมตตา” (อัล อะอรอฟ : 204) ความหมายของคําวา “อสิ ตมิ าอ” และ “อินซอต” ในโองการน้พี ระผเู ปน เจา ทรงบัญชาใหป ระชาชนปฏบิ ตั ิสองส่ิงเม่ือมีการอา นคมั ภีรอ ลั กรุ อาน คอื 1. “อสิ ตมิ าอ” : หมายถงึ การรบั ฟงพรอ มกบั การใหความสนใจตอ ความหมายและเนือ้ หาของ คําพูด น่ันหมายถงึ การรบั ฟง ดว ยความตั้งใจ 2. “อนิ ซอด” : หมายถงึ การนิ่งเงียบ ซ่ึงประกอบดว ยการคิดใครครวญในพระดาํ รสั แหงพระผู เปน เจา ดวยเหตุนี้มสุ ลิมทุกคนจึงมีหนาทีต่ องตง้ั ใจฟง และสงบนิ่งอยา งแทจรงิ เม่อื คัมภีรอ ลั กรุ อาน อัน เปน พจนารถแหง พระผเู ปนเจาไดถูกอัญเชญิ ข้ึน และในขณะเดยี วกนั นั้นจะตอ งใหความสนใจตอ ความหมายของบรรดาโองการทถี่ กู อัญเชิญ ในสภาพเชน นพ้ี วกเขาจะไดรบั ความเมตตาจากพระผเู ปน เจา และจะทําใหอ ีมาน (ความศรัทธา) ของพวกเขาเพมิ่ พนู ขนึ้ ขอ ยาํ้ เตือนประการหน่ึงที่จําเปน สาํ หรับผูร ักคัมภรี อ ัล กุรอานทุกคน กค็ อื วา จะถูกพบเหน็ อยู บอยครัง้ ทบ่ี างทเี ม่อื คมั ภีรอ ัล กุรอานไดถ ูกกระจายเสยี งออกทางวิทยหุ รือเทปบันทกึ เสียง บรรดาผคู น ขณะรบั ฟงอลั กุรอาน แตขณะเดยี วกนั กส็ นทนากันไปดวย หรือในทีช่ ุมนมุ อลั กุรอานบรรดาผเู ขารว ม ตางสนทนากนั ในสิง่ ท่ไี มจําเปน และไมส มควร การกระทาํ ในลักษณะเชนนี้เปนการขดั แยง กบั มารยาท 35
ของการอานคมั ภรี อลั กุรอาน ในกรณีเชนนี้จําเปนตองเลือกกระทาํ อยางใดอยางหน่งึ คือจะรบั ฟง คัมภรี อลั กรุ อานหรอื วาจะกระทาํ งานอืน่ ๆ คุณคา ของการรบั ฟง คมั ภรี อ ลั กรุ อาน เตาฟก (ความสาํ เรจ็ ) ในการทําอิบาดะฮบ างอยาง อาจไมเ ปน โชคผลของทุกคนเสมอไป ท้ังนี้ อาจเปน เพราะวาเขาไมรับรูถงึ ผลรางวลั อนั มากมายของอบิ าดะฮดังกลาว สว นหน่งึ จากอิบาดะฮเหลา นนั้ คอื การรับฟงอลั กุรอาน เกี่ยวกบั ความประเสริฐและคุณคา ของการรับฟงพจนารถของพระผูเ ปนเจา (กะลามลุ ลอฮ) นั้น มีรายงานบทหน่งึ จากอมิ ามซัยนลุ อาบดิ นี (อ.) ซ่งึ ทา นกลา ววา “ผูใ ดกต็ ามท่รี บั ฟงเพยี งอกั ษรเดียวจากคัมภีรข องอลั ลอฮ ผทู รงเกริกเกยี รติ ผูท รงเกรียงไกร โดยทีเ่ ขามิไดอ า นเองนน้ั อลั ลอฮจ ะทรงบนั ทกึ สําหรับเขาหนง่ึ ความดี และจะทรงลบลา งจากเขาหนง่ึ ความชว่ั และจะทรงยกแกเ ขาหนงึ่ ฐานันดร” (1) ในเมอ่ื เพยี งแคการรับฟง บรรดาโองการแหง พระผเู ปนเจา มีรางวลั และผลตอบแทนถงึ เพยี งนี้ ดังนั้นทาํ ไมพวกเราบางคนจงึ ไดลดิ รอนตนเองจากผลรางวลั ดงั กลาว และตกอยูในพะวงั แหง ความ หลงลมื การรับฟง คมั ภีรอ ัล กรุ อานคอื การอิบาดะฮอยา งหนึง่ ซ่ึงไมเพยี งแตจะไมมีความเหนอื่ ยยากใดๆ แลว ในทางตรงกนั ขา มมนั กลับจะทาํ ใหมนุษยไดรบั ความมชี ีวติ ชวี าและความสงบมนั่ ทางจติ ใจอกี ดว ย จงตระหนกั อยูเสมอวาถา หากบตุ รหลานคนหนง่ึ อา นคัมภรี อลั กรุ อานในบาน บดิ าหรอื มารดาคนหน่ึง อานคัมภีรอ ัล กุรอานหลงั จากการนมาซ หรอื ไดร ว มนง่ั อานอัล กุรอานในที่ชมุ นุมการอา นอลั กุรอาน ใหก ับผเู สียชีวติ ไปแลว หรือวา คมั ภีรอ ัล กุรอานไดถ กู อานขึ้นในทช่ี มุ นุมหรอื หองเรยี นอัล กรุ อาน ผูท่ีรับ ฟง บรรดาโองการของคัมภีรอลั กุรอานนัน้ ในทกุ ๆ ตวั อกั ษรของมนั เขาจะไดรบั ผลรางวลั ตอบแทนหนึง่ ความดี ความผดิ บาปหน่งึ ของเขาจะถกู ลบลางไป และจะไดรบั ฐานนั ดรทางดา นจติ วิญญาณเพม่ิ ขน้ึ หนงึ่ ฐานันดร อยางไรก็ดี การรบั ฟง นนั้ จะตอ งควบคูไปกบั การคิดใครค รวญในความหมายของพจนารถ แหงพระผูเปนเจา ดว ย ผลท่ไี ดรบั จากการรับฟง อลั กุรอานและการน่ิงเงยี บ ในโองการท่ี 204 ของซูเราะฮอัล อะอร อฟ ไดแ นะนาํ ใหรวู าผลของการรบั ฟงและการสงบนิ่ง ในขณะมีการอา นคมั ภรี อ ัล กรุ อานคือ เราจะไดรบั ความเมตตา (เราะฮมะฮ) จากพระผเู ปน เจา เพราะวา ประการหนงึ่ ของบรรดาผลรางวลั จากการรับฟงคัมภรี อัล กรุ อาน คือการเพมิ่ พนู ของอมี าน (ความศรัทธา) ในทาํ นองเดยี วกันมนั มีบทบาทสาํ คญั ในการรกั ษาไวซ ่ึงความศรัทธา (อีมาน) ทง้ั นี้ เนอื่ งจากการรับฟง คัมภีรอัล กุรอานนน้ั จะเปน สาเหตทุ ําใหเ ราเขาใจความหมายของมนั ไดอยางลกึ ซึ้ง 36
และจะชว ยใหเ ราไดยึดถือปฏบิ ตั ิตามคําเตอื น คําสง่ั สอนและขอกําหนดตางๆ ของคัมภีรอ ัล กรุ อาน และ ผลท่ีสดุ กค็ ือทําใหค วามศรัทธาของมนุษยเ พม่ิ พนู มากยิง่ ขน้ึ ดว ยเหตผุ ลดงั กลาวนเ้ี อง เม่อื พระผเู ปน เจา จะพรรณนาถงึ คุณลกั ษณะของบรรดาผศู รัทธาที่ แทจรงิ พระองคจะทรงตรัสวา “อนั ทจ่ี ริง! บรรดาผูศรทั ธาคือผซู งึ่ เมื่ออลั ลอฮไ ดถ กู กลา วรําลกึ หัวใจของพวกเขากจ็ ะ รสู กึ หวาดกลวั และเมื่อบรรดาโองการของพระองคไ ดถูกอญั เชญิ โองการเหลานั้นก็จะเพม่ิ พูน แกพ วกเขาซึ่งความศรทั ธา และพวกเขาจะมอบหมายตอองคพระผูอ ภิบาลของพวกเขา” (อัล อนั ฟาล : 2) ขอควรรําลกึ โดยทวั่ ไปแลว ในชวงเวลาทีบ่ รรดานกั อา นผมู ีชอ่ื เสียงทาํ การอาน บรรดาผทู อี่ ยูรวมในสถานที่ ชุมนุมนนั้ มักจะมกี ารกลา วคาํ พดู ตา งๆ เชน การตักบรี ( ) การตะฮล ลี ( ) การตะฮมีด ( ) การตนั ซฮี ( ) และอ่นื ๆ คําพดู หรือการกลา วราํ ลกึ (ซิกร) เหลา นน้ี นั้ คือประเภทหนงึ่ ของผลสะทอนทีม่ ตี อการอานของนักอานคมั ภีรอ ัล กรุ อาน และเกดิ ข้ึนไดจ าก สองกรณคี ือ 1. ผลสะทอนจากบรรดาโองการทมี่ ตี อผฟู ง : เม่อื ผอู า น (กอรี) ไดอา นคัมภรี อัล กุรอาน ผฟู งเกดิ แรงสนองตอบถงึ ขน้ั ที่เขาไดกลา วคําพูด (ซกิ ร) หนงึ่ ๆ ซึง่ สอดคลอ งกับโองการออกมาจากปาก ของตนเองโดยไมร ูตวั สิง่ นีเ้ กิดจากการทผ่ี ูฟงสนใจตอ ความหมายและสาสนของบรรดาโองการทถี่ ูกอาน ไป 2. คณุ ลักษณะพเิ ศษของนักอาน : บางครัง้ ผูอานท่ีกําลังอา นคัมภรี อลั กรุ อานอยนู นั้ มี คุณลักษณะดีเดน เฉพาะตวั บางอยา ง (เชน มเี สยี งไพเราะ ทว งทาํ นองทช่ี ดั เจน อา นดว ยน้ําเสยี งท่เี ศรา และมงุ ความสนใจตอความหมายของบรรดาโองการในขณะอา น)ผูฟงรสู กึ ประทบั ใจในคณุ ลกั ษณะ เฉพาะเหลา นขี้ องผอู าน จึงแสดงการชมเชยตอผูอา นอัล กุรอานดงั กลาว ประเด็นทต่ี อ งการกลา วถงึ ก็คอื การกลาวคาํ พูดการราํ ลึก (ซิกร) การกลา วตกั บรี และการ ตะฮ ซนี (ยกยองชมเชย) ตางๆ นั้น จาํ เปนตอ งสอดคลองกบั มารยาทของการฟงและการเงียบสงบ หมายความวาผฟู ง จะตอ งกลา วคําพูดเหลา นอ้ี อกมาจากหวั ใจ อันเปนผลมาจากแรงสนองของการ อานอัล กุรอานมใิ ชเกดิ จากการเสแสรง ประการท่สี อง ดว ยเสยี งท่ีปกตธิ รรมดา (ไมใ ชดังมากหรอื แบบตะโกน) ประกอบไปดว ยความ สขุ มุ และมั่นคง ฉะนัน้ ถาหากในการกลา วคาํ พดู ตางๆ เหลา นน้ั ออกมา คุณลกั ษณะเฉพาะเหลานมี้ ไิ ดถ ูก รักษา อาจจะทาํ ใหสมาธขิ องผฟู งคนอ่นื ๆ ตอ งสญู เสยี ไป และไมสามารถไดร ับประโยชนอ ยา งสมบูรณ 37
จากการฟงอัล กุรอาน และในอีกดานหนงึ่ จะกลายเปน สาเหตขุ องการไมใ หค วามเคารพตอคมั ภรี อัล กุ รอาน เพราะวา มารยาทของการฟงและการเงียบสงบนนั้ มิไดถกู รักษาไว. มารยาทประการที่ 14 การสหุ ดู ณ บรรดาโองการซะญะดะฮ ในคัมภีรอ ัล กรุ อาน มโี องการสิบหาโองการซ่งึ เรยี กวา “โองการซะญะดะฮ” ผทู อ่ี านอัล กรุ อาน เมือ่ อา นถึงโองการหนงึ่ จากทงั้ สบิ หาโองการนี้ หรือไดยนิ บคุ คลใดอา นมนั สมควรอยางยงิ่ ท่ีเขาจะตองกม ลงสหุ ูดภายหลังจากส้นิ สุดการอานโองการแลว สีโ่ องการจากทง้ั สิบหา โองการนี้ การสุหดู ถือเปน วาญบิ (หนา ท่จี ําเปน ) ซ่งึ โองการท้ังสีน่ ถ้ี ูก เรยี กวา “อัล อะซาอมิ ” (1) เมอ่ื อานหรือไดยินโองการทงั้ ส่ี การสุหูดเปน สิง่ จําเปน สวนอกี สิบเอด็ โองการทเี่ หลอื การสุหดู เปน เพียงมสุ ตะฮับ (สง่ิ ที่สมควรกระทาํ ) ซงึ่ ถกู เรยี กวา “ซะญะดะฮ มุส ตะฮับ” หรือ “ซะญะดะฮ มนั ดูบะฮ” บรรดาโองการ ซะญะดะฮว าญิบ ของอัล กุรอาน ลําดับที่ ชอ่ื ซเู ราะฮ อันดบั ซเู ราะฮ อันดับอายะฮ 1 อซั ซะญะดะฮ 32 15 2 ฟศุ ศิลัต 3 อัน นัจญมุ 41 37 4 อัล อะลกั 53 โองการสุดทา ย 96 โองการสดุ ทา ย บรรดาโองการ ซะญะดะฮ มสุ ตะฮบั ของอลั กรุ อาน ลาํ ดบั ท่ี ช่ือซูเราะฮ อนั ดบั ซเู ราะฮ อันดบั อายะฮ โองการสุดทาย 1 อัล อะอร อฟ 7 15 2 อรั เราะอดุ 13 50 109 3 อนั นะหล ุ 16 58 18 4 อลั อสิ รออ 17 77 60 5 มรั ยัม 19 26 24 6 อัล ฮจั ญ 22 21 7 อลั ฮัจญ 22 8 อลั ฟรุ กอน 25 9 อัน นมั ลุ 27 10 ศอ็ ด 38 11 อัล อนิ ชิกอก 84 38
อะหก าม (ขอ กาํ หนดตางๆ) ของบรรดาโองการซะญะดะฮ 1. บุคคลใดทีอ่ า นหรอื ไดรบั ฟง โองการหนง่ึ จากบรรดาโองการท่ีมีซะญะดะฮว าญบิ ภายหลงั จากจบโองการ จาํ เปนตอ งรบี สหุ ูดทันที (2) แตถา หากลืมสหุ ูดเมอ่ื ใดกต็ ามท่นี ึกขึ้นได จําเปนตอง ทําการสุหูด 2. ในการสหุ ดู นสี้ ามารถสุหดู ลงไดบ นทุกๆ สิง่ ยกเวน ของท่ีใชก นิ และดม่ื และในทาํ นอง เดียวกนั นีไ้ มจ าํ เปนตอ งหนั หนาไปทางกิบลัต ไมจาํ เปนตอ งมีวุฎอ บริเวณทีห่ นาผากจะลงสหุ ูดไม จําเปนตอ งมคี วามสะอาด และการปกปด เอาเราะฮ (สว นพึงปกปด) กไ็ มใ ชส ง่ิ จําเปน 3. หากไดยินโองการทม่ี ซี ะญะดะฮวาญบิ จากเทปบันทกึ เสียง วิทยุหรือโทรทัศน (ในกรณไี มไ ด แพรภาพหรอื ไมใชเสยี งจากการอานสด) ไมเ ปน วาญบิ ตองสุหูด แตถา หากไดยินจากเครื่องสงท่ีทําการ ถายทอดสด จาํ เปน (วาญิบ) ตองสหุ ดู (3) 4. บุคลท่จี ะทาํ การสหุ ดู วาญบิ นน้ั ใหว างหนา ผากลงบนพ้นื โดยมเี จตนาทาํ การสุหดู แมจ ะ ไมก ลาวซิกรใ ดๆ กถ็ ือวาใชไดแ ลว แตการกลา วซิกรน้ันเปนมสุ ตะฮบั กลาวซิกรใ ดๆ กไ็ ดแตเปนสิ่งท่ี ดกี วาทีจ่ ะกลา วซกิ รต อไปน้ี ซง่ึ รายงานมาจากทานอมรี ุลมุอม ินนี อะลี อบิ นิ อบฏี อลบิ (อ.) “ไมม พี ระเจา อน่ื ใดนอกจากอลั ลอฮโ ดยเที่ยงแทแนน อน ไมม พี ระเจา อื่นใดนอกจากอลั ลอฮ ขา พระองคข อศรทั ธามน่ั และขอยืนยนั วาไมม พี ระเจาอน่ื ใดนอกจากอัลลอฮ ขาพระองคขอเคารพภกั ดแี ละ ขอยอมมอบตนเปน ขาทาส ขา พระองคของกม กราบ (สุหดู ) ตอ พระองค โอพระผอู ภบิ าลของขา พระองค โดยการยอมตนเปน ขาทาสบรวิ าร โดยไมข อแสดงตนเปน ผทู รนงตนและเปนผดู ื้อดงึ หากแตวา ขาพระองคค ือบา วผูต าํ่ ตอย ผเู กรงกลัว ผูขอความคมุ ครอง (ตอพระองค) ” (4) การหลีกเลยี่ งจากการอา นบรรดาโองการซะญะดะฮเ ปน สิ่งท่นี าตาํ หนิ เม่ือพจิ ารณาถงึ เงื่อนไขตางๆ ที่เรียบงายสาํ หรับการสหุ ูดในโองการซะญะดะฮต างๆ นั้น จึง เปน สิ่งสมควรอยา งย่ิงท่ีบรรดาผอู านอลั กุรอาน จะตอ งอา นและทาํ การสุหูดเม่ืออา นมาถึงโองการ เหลาน้นั ในการชุมนมุ การอา นบางครัง้ มกั จะพบวา เมอ่ื พวกเขาอา นมาถึงโองการซะญะดะฮ (แมจ ะเปน ซะญะดะฮว าญบิ ) พวกเขากลบั หลกี เลยี่ งไมอ า นมนั ส่งิ นี้นบั วาเปน สิง่ ที่ไมถกู ตอ งและเปน เร่อื งนาตําหนิ คาํ แนะนําของเราก็คอื บรรดาผทู ่ีอา นคัมภรี อ ลั กุรอาน เมอ่ื อานถึงโองการซะญะดะฮ (ไมว า จะ เปน วาญิบหรอื มสุ ตะฮับ) จาํ เปน ทพ่ี วกเขาจะตองสุหดู โดยเฉพาะอยา งย่ิงมันเปนสิง่ ทมี่ เี ง่ือนไขเรยี บ งา ยมากที่พระผูเปนเจาไดท รงกาํ หนดไว ซง่ึ ไดก ลา วไปแลวในอะหก าม (ขอ กาํ หนดตา งๆ) ของการสุ หูด บรรดาโองการซะญะดะฮ ไดถ ูกประทานลงมาก็เพ่อื ใหบ รรดมสุ ลิมไดอ า นมนั เหมอื นกบั บรรดา โองการอนื่ ๆ ของคัมภีรแ หงพระผเู ปน เจา เพอื่ ใหเราไดราํ ลึกถงึ พระผเู ปน เจาและทาํ การสหุ ูดตอ 39
พระองค ซงึ่ เราทกุ คนก็ทราบกนั ดวี า การสหุ ูดตอพระผเู ปนเจานน้ั คอื สว นหน่ึงจากการอบิ าดะฮท ี่ ยิง่ ใหญท ่สี ดุ ดังมีปรากฏในฮะดษี ซึ่งมคี วามวา “พระผูเปนเจาจะไมถ ูกเคารพภกั ดดี วยสิ่งใดทีด่ เี ลศิ ไปกวาการสุหดู ” (5) และยงั ไดถ กู อางไวอ กี วา “สภาพทบี่ าวเขา ใกลชดิ พระผูเปนเจามากท่ีสดุ คอื ชว งเวลาที่เขาทําการสุหดู ” (6) ชางเปนความสญู เสยี ที่ย่งิ ใหญเหลือเกนิ ที่โดยส่ือจากการท่เี ราไมอ า นโองการซะญะดะฮและไม สุหูด (กม กราบ) ตอพระผูอภิบาลผูทรงเมตตา เราทําใหตัวเราเองตอ งถกู ลดิ รอนจากการอิบาดะฮอนั ยิง่ ใหญน ้ี ดว ยเหตนุ จ้ี งึ ขอยา้ํ วา พ่เี ลีย้ งและบรรดาครผู สู อนคัมภรี อลั กรุ อานผูมีเกยี รติทั้งหลาย ควร จะตองใหความสําคัญตอประเดน็ นเี้ ปน พิเศษ บรรดาโองการซะญะดะฮไ มวาจะเปน วาญิบหรอื มุสตะฮบั เมือ่ ถูกอานแลว ทกุ คนที่อยรู วมในทช่ี มุ นมุ ควรจะตอ งทาํ การสหุ ูดดวย เราขอวงิ วอนตอ พระผเู ปน เจาผูทรงเกยี รติ ไดโปรดบนั ดาลใหม สุ ลมิ และบรรดาผูอา นคมั ภรี อลั กุรอานทกุ คน เปนสว นหนง่ึ จากบรรดาผูท ําการโคง คาราวะ(รุกูอ) และผูกม กราบ (สุหดู ) โดยแทจรงิ ดวยเถดิ . มารยาทประการท่ี 15 การอา นอลั กรุ อานใหจบเลม “การอานอลั กุรอานจนจบเลม ” น้ันคอื อะมล้ั ที่ดเี ลิศอยางหนงึ่ สว นใหญของบคุ คลทมี่ คี วามรูใ นการอานคมั ภีรอ ัล กุรอานน้นั ในแตละวนั พวกเขาจะอา นคมั ภรี อัล กรุ อานจาํ นวนหนงึ่ หรอื อยา งนอ ยที่สุดภายในสปั ดาหห นงึ่ ๆ พวกเขาจะจดั เวลาสว นหน่ึงของตนเอง เพอ่ื อา นคัมภรี อ ัล กรุ อาน (1) และโดยท่วั ไปแลว ในขณะอา น พวกเขาจะเลอื กอา นจากสว นตา งๆ ของ คัมภีรอลั กุรอาน เราขอแนะนาํ ผอู านคมั ภีรอ ัล กรุ อานผมู เี กียรตทิ ้ังหลายวา เมื่อพวกเขาจะอา นคัมภีร อลั กุรอาน จงเริม่ ตน จากสวนแรกของคมั ภรี อ ลั กุรอาน และจงอานซเู ราะฮตา งๆ เรยี งตามลาํ ดบั จน กระทง้ั สามารถอานอลั กุรอานจนจบเลม ไดใ นทส่ี ดุ (2) ในลกั ษณะเชน น้ีดวยอะมลั้ (การกระทาํ )เพียง อยา งเดียว พวกทา นจะไดร บั ผลรางวลั ตอบแทนสองประการ ประการแรกคอื ผลรางวัลตอบแทนสาํ หรบั การอา นคมั ภรี อ ลั กรุ อาน และผลรางวลั อีกประการหนง่ึ คือ การอานคัมภีรอลั กรุ อานจนจบเลม บรรดา ผนู ําผบู ริสทุ ธขิ์ องอสิ ลามถอื วา การอานคัมภรี อัล กุรอานจนจบเลม นั้น เปน การอิบาดะฮทีด่ ีเลศิ ประการ หน่ึง บุรษุ ผูห น่งึ ซึ่งมนี ามวา ‘ซฮุ ะร’ี ไดถ ามอมิ ามซจั ญาด (อ.) วา “(ในทา มกลางอบิ าดะฮท ัง้ หลาย นนั้ ) อะมัล้ (การกระทาํ ) ใดทม่ี คี ณุ คามากทส่ี ดุ !” อมิ าม (อ.) กลา ววา 40
“ผูเรม่ิ ตน ผทู าํ ใหสน้ิ สดุ ” ฉันกลา ววา “อะไรคือผเู ร่มิ ตน ผทู ําใหส นิ้ สดุ !” ทานกลาววา “(คือผทู ่ี) เขาไดเริ่มตน การอา นอัล กรุ อานและไดอานมันจนจบ ทกุ ครัง้ ท่ีเขาไดเปด (อา น) ในชวงแรกของมนั เขา จะอา นไปจนถงึ ชวงสดุ ทา ยของมัน” (3) ดุอาอท ถี่ กู ตอบรบั สําหรับผทู อ่ี า นคัมภีรอ ลั กุรอานจนจบ อมิ ามซอดิก (อ.) ไดอางรายงานจากทานศาสดามุฮมั มัด(ศ็อลฯ) ซงึ่ ทานไดก ลาววา “ผูเ รมิ่ ตน ผทู าํ ใหสน้ิ สดุ คือผูซ ึ่งจะเรม่ิ ตนการอานอัล กุรอานและอา นมันจนจบน้ัน ดอุ าอข อง เขาจะถูกตอบรบั ณ อัลลอฮ” (4) คณุ คา ของการอา นคมั ภีรอลั กุรอานจนจบในนครมักกะฮ สว นหนง่ึ จากบรรดาอะมลั้ ทีไ่ ดรับการสั่งเสยี ไวอ ยา งมากในขณะเดินทางไปยงั บยั ตลุ ลอฮ ณ นครมักกะฮ นน่ั คอื การอานคมั ภีรอลั กุรอานใหครบหนึง่ จบ แตนา เสียดายทบี่ รรดาผทู ี่ไดร ับเกียรติให เดนิ ทางไปยงั นครมกั กะฮ และทําการซิยาเราะฮ (เยยี่ มเยอื น) บยั ติลลา ฮริ ฮะรอม หรอื ประกอบพธิ ี ฮจั ญน ้ัน นอ ยคนเหลือเกินทรี่ ูถ งึ คุณคาอันยิง่ ใหญข องส่ิงดังกลา ว สว นใหญจะเดินขวักไขวก นั อยูต าม ถนนหนทางและเทย่ี วตระเวนหาซื้อสิ่งของตา งๆ กนั จนเกินความพอดี แตก ลับละเลยตอการแสวงหา เสบียงของตนเองสําหรบั อาคเิ ราะฮ (โลกหนา) เราขอนําเสนอฮะดีษบทหน่ึงเกีย่ วกบั เรอื่ งน้ี ซึ่งอมิ ามบากริ (อ.) ไดก ลาววา “บุคคลใดกต็ ามท่อี านคมั ภรี อลั กุรอานจนจบ ณ นครมกั กะฮ เขาจะไมต ายลงจนกวา เขาจะได เห็นทา นศาสดามฮุ มั มดั (ศ็อลฯ) และจะเห็นตําแหนง ของเขา ณ สวนสวรรค” (5) บรรดาบคุ คลทีจ่ ะเดินทางไปเยอื น (ซยิ าเราะฮ) บานของพระผูเปนเจาดวยเจตนาอนั สงู สงนั้น สมควรอยางยิ่งท่อี ยางนอ ยพวกเขาจะอานคัมภรี อัล กุรอานหนึง่ จบ ณ นครมักกะฮ โอพ ระผูเปน เจา ! ไดโ ปรดบนั ดาลใหก ารไปเยอื น (ซิยาเราะฮ) บา นของพระองคแ ละการปฏิบตั ิ อะมล้ั ตางๆ (อนั ไดแกการบาํ เพ็ญฮจั ญและอุมเราะฮ) ณ สถานที่แหงนน้ั เปน โชคผลของมุสลมิ ทกุ คน ดวยเถิด และไดโ ปรดทรงบันดาลใหพ วกเราไดเปน สวนหนึ่งจากบรรดาผูซงึ่ ไดมโี อกาสอา นคัมภรี อัล กุ รอาน อันเปน พจนารถทเี่ จิดจรสั ของพระองคตงั้ แตเ ร่ิมตนจนจบเคยี งขา งบานของพระองค เพอ่ื วา ในโลก ดนุ ยาน้ีพวกเราจะไดยลโฉมอนั งดงามของศาสนทูตของพระองค และขอพระองคไดโ ปรดบันดาลใหพวก เราทกุ คนเปนชาวสวรรคแ ละเปนผไู ดรับความพึงพอพระทัยจากพระองค และโปรดประทานความสาํ เรจ็ 41
(เตาฟก) ใหพวกเราไดแลเห็นฐานะตาํ แหนงของตนในโลกหนา (อาคเิ ราะฮ) ณ ดุนยา (โลกนี้) ดวย เถิด ขอพระองคทรงตอบรับดอุ าอด ว ยเถดิ โอองคพระผูอภบิ าลแหงสากลโลก ฮะดยี ะฮ (การอทุ ศิ ) ของการอานคัมภรี อ ัล กุรอานจนจบสมบูรณ การอบิ าดะฮทง้ั หลายท่มี นษุ ยป ฏิบัตนิ ัน้ มีสองประเภทคอื ส่ิงทเี่ ปนวาญิบและสงิ่ ทเี่ ปนมสุ ตะฮับ การปฏิบัตอิ ะมล้ั ตางๆ ทีเ่ ปน วาญบิ นัน้ เปนหนาท่ีจําเปน สําหรับผทู ่ีบรรลุวยั ตองปฏบิ ตั ศิ าสนากิจทุกคน สว นการปฏบิ ตั อิ ะม้ัลตา งๆ ที่เปน มุสตะฮับนน้ั ขึ้นอยูกบั ความสมคั รใจของผปู ฏบิ ตั เิ อง หมายความวา หากใครไดป ฏิบัติ เขากจ็ ะไดร บั ผลรางวัลตอบแทนของมนั และในดา นจติ วญิ ญาณเขาจะพฒั นา ฐานนั ดร (ดะรอญะฮ) ของตนเองเพิม่ ข้นึ ไป แตถ าหากเขามไิ ดป ฏิบัตมิ นั เขากม็ ิไดรับโทษทณั ฑอ นั ใด คนบางคนเมอื่ ปฏิบัติอะมล้ั ทเี่ ปนมุสตะฮบั พวกเขาจะคดิ ถงึ แคเพยี งตวั ของพวกเขาเองเทานั้น และเจตนาของพวกเขาก็คอื การไดร ับมาซงึ่ ผลรางวัลของอะมลั้ นั้นๆ ในขณะทถี่ าหากเราเปนบุคคลท่มี ี ความคิดที่ยาวไกลสักหนอ ย เราสามารถแสวงหาผลรางวลั จากอะม้ลั ตางๆ ทีเ่ ปนมสุ ตะฮบั ไดสอง ข้นั ตอนดวยวิธีดังตอ ไปน้คี อื ใหเ ราฮะดยี ะฮ (อทุ ิศ) ผลรางวัลของอะมลั้ เหลา นใี้ หแ กบรรดาผูซ ่งึ มีสิทธิ ตา งๆ เหนอื ตัวเรา (เชน บรรดาศาสดา บรรดาผูนําผูบรสิ ุทธิ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย และญาตทิ ี่ ใกลช ดิ ) ดวยการกระทําเชนน้ี เราสามารถทจ่ี ะสนองตอบสทิ ธขิ องบคุ คลเหลานนั้ ไดในระดบั หนึ่ง และใน ขณะเดียวกัน ดว ยวิธีการเชน นี้จะทําใหเราไดร ับผลรางวัลมากข้นึ กวา เดิม ดว ยเหตุนี้เอง บคุ คลที่ไดรับเตาฟก (ความสําเรจ็ ) ตลอดระยะเวลาของปห รอื ตลอดเดือน รอมฎอน เขาไดอานคมั ภีรอ ัล กรุ อานจนจบหลายรอบ เปนสิง่ ทสี่ มควรอยางยงิ่ ทเี่ ขาจะฮะดยี ะฮ (อทุ ศิ ) ผลรางวัลของมนั ใหแ กบุคคลท่ีมสี ิทธิเหนอื เขา เชนทา นศาสนทูตแหงอสิ ลาม (ศอ็ ลฯ) บรรดาอิมาม (อ.) และบิดามารดาของเขา บุรษุ ผูหน่งึ มีนามวา ‘อะลี บนิ มุฆีเราะฮ’ ไดกลาวกับทานอมิ ามมซู า บิน ญะอฟ ร (อ.) วา “ในเดอื นรอมฎอนขาพเจา ไดอา นคัมภีรอ ลั กุรอานหลายจบ เมอ่ื วนั อีดลิ ฟต รไ่ี ดมาถงึ ขาพเจา ไดฮะดียะฮ (อุทศิ ) ผลบญุ จบหน่งึ ใหแดท านศาสดามฮุ ัมมดั (ศอ็ ลฯ) อกี จบหน่ึงใหก บั อมิ ามอะลี (อ.) อกี จบหนงึ่ ใหกบั ทานหญงิ ฟาฏิมะฮ (อ.) และสวนทีเ่ หลอื ฮะดียะฮใ หก บั อิมามทานอน่ื ๆ จนกระท่งั มาถงึ ยงั ทาน ในการกระทาํ เชน น้ี ขาพเจา จะไดรบั รางวลั ตอบแทนใดๆ หรอื ไม! ” อมิ ามทเี่ จ็ด (อ.) ไดก ลาววา “ผลรางวัลตอบแทนของเจากค็ ือ ในวนั กิยามะฮเจา จะไดอยู รว มกบั บคุ คลเหลานั้น” ฉันไดกลาววา “อัลลอฮอุ กั บัร! ขา พเจา จะไดรบั รางวลั เชนน้กี ระนั้นหรือ!” อิมามกลา วยา้ํ ถึงสามครั้งวา “ใชแ ลว!” (6) มารยาทประการท่ี 16 การทอ งจําคมั ภีรอัล กรุ อาน 42
ในบรรดามารยาทของการอานคัมภรี อ ลั กุรอานนน้ั การทอ งจําคมั ภีรอ ลั กุรอานนบั วามฐี าน ตําแหนง ทพี่ ิเศษ โดยทที่ า นอิมามซอดกิ (อ.) ในการขอดุอาอจ ากพระผูเปน เจา น้นั ทานไดวงิ วอนของให พระองคบ นั ดาลใหการทองจําคัมภีรอ ลั กรุ อานเปน ทีร่ กั สาํ หรับทาน “โอพระผเู ปน เจา ! โปรดบนั ดาลใหก ารอานอลั กุรอานอยางไพเราะและการทองจาํ โองการตา งๆ ของมันเปน ทีร่ ักยงิ่ สาํ หรับขา พระองคดว ยเถดิ ” (1) เนีย๊ ะอม ัต (ความโปรดปราน) ประการหนง่ึ ซ่ึงดวยบะรอกตั (ความจําเริญ) ของการปฏวิ ตั ิ อิสลามซ่ึงกลายเปน โชคผลสาํ หรบั ประชาชาติอิหรานน่นั ก็คือ การต่ืนตวั ของประชาชนในระดับตา งๆ ใน การทองจาํ คัมภรี อลั กุรอาน กอนการปฏิวตั ิน้ันบรรดาผคู นที่ทองจําคัมภรี อัล กรุ อานไดห มดทั้งเลม น้นั มี จํานวนนอ ยมาก ในขณะทภี่ ายหลงั จากทีส่ าธารณรฐั อิสลามไดถกู สถาปนาข้นึ อยา งมนั่ คงแลว และ โดยเฉพาะในชว งปทายๆ นี้ ในหมูเ ยาวชนของเราจาํ นวนมากท่ีสามารถทองจาํ อัล กรุ อานไดอยา ง สมบูรณ ในทุกๆ เขตแควนและทุกตําบลของประเทศอหิ ราน องคก รตางๆ ทเ่ี นน ในเร่อื งของการทอ งจํา คัมภรี อ ลั กรุ อานไดถูกจัดต้งั ข้ึน และไดร ับใชใ นแนวทางของการแผขยายหลักคาํ สอนของคัมภรี อัล กุ รอาน ภายใตค วามอตุ สาหพ ยายามอยางไมห ยดุ หยอน และดวยความบริสทุ ธใ์ิ จดงั กลาวน้ี เราได ประจักษถึงความมมุ านะของประชาชนจาํ นวนพนั ๆ คน ทีม่ คี วามผกู พนั กบั คมั ภรี อัล กรุ อาน ซ่ึงพวกเขา ไดหมกมนุ อยูกบั การทองจาํ คมั ภีรอลั กุรอาน และในทามกลางบคุ คลเหลานเี้ ราจะพบวา มนี กั ทอ งจาํ อลั กุรอานจํานวนมาก ทหี่ าบุคคลทัดเทยี มไดยากในโลกอสิ ลาม เราตอ งขอขอบคณุ บรรดาท้ังหมดทม่ี ีสวน รว มในการตอ สู (ญิฮาด) ทางวัฒนธรรมคร้งั น้ี และเราขอวงิ วอนตอ พระผเู ปนเจา ไดโ ปรดประทานรางวลั และผลตอบแทนอนั ทวคี ณู สาํ หรบั บคุ คลเหลาน้ัน การใหความสาํ คัญในเรอื่ งการทอ งจาํ คมั ภรี อัล กุรอาน แมวา จะมีความอตุ สาหพ ยายามอยา งมากมายถงึ เพียงนีก้ ต็ าม แตการทอ งจําคมั ภีรอ ัล กรุ อาน ในประเทศอิหรานของเรากย็ งั ไมถึงขัน้ เปนท่พี อใจ เพราะวา หนทางหน่ึงของการแผข ยายวฒั นธรรม แหงอัล กรุ อาน และการตอสกู บั การรกุ รานทางดา นวฒั นธรรมของบรรดาศัตรูของอิสลาม กค็ ือการให ความสําคญั อยา งยิ่งยวดตอ โปรแกรมตางๆ ที่เกย่ี วกบั คมั ภีรอ ลั กุรอานและการทอ งจาํ มนั นับเปน ภาระหนาทจี่ าํ เปน สําหรับบรรดาผูร ับผิดชอบในดา นวัฒนธรรม และในดา นทเ่ี กีย่ วกับ คมั ภีรอัล กุรอานของประเทศ ท่ีพวกเขาจะตอ งจดั เตรียมโปรแกรมอันละเอียดออนและรอบคอบ อกี ท้งั การสงเสรมิ ทางดานวัตถแุ ละจิตวิญญาณสาํ หรบั การทอ งจาํ คมั ภีรอ ลั กุรอาน โดยเฉพาะอยา งยิ่ง เยาวชนคนหนุมสาวของเราน้นั ควรจะใหค วามสาํ คัญและใหก ารสนับสนนุ พวกเขาเปนพิเศษเลยทีเดียว และในอกี ดา นหน่ึงนนั้ กลุม บคุ คลทท่ี ําการทองจําอลั กุรอานนนั้ ก็จะตองวอนขอความชวยเหลือ จากพระผูเปน เจา และจะตองดําเนนิ การเพื่อทาํ ใหภ ารกจิ การตอ สเู กยี่ วกับคมั ภรี อัล กรุ อานน้ไี ปถึง จุดสงู สดุ ของมนั โดยการฝกฝนหดั นกั ทอ งจํารุนใหมๆ ใหเ กิดขึ้น และเปนสงิ่ ทีด่ มี ากทเี ดยี วสาํ หรับพ่ีนอง 43
มสุ ลิมของเราแตล ะคนทจี่ ะตองจดั สรรเวลาสวนหน่ึงของตนเองในการทอ งจาํ โองการตางๆ หรือซูเราะฮ ตางๆ ของคัมภรี อัล กรุ อาน และจงสะสมมันไวเปน เสบียงสําหรับชวี ติ อันเปน นริ นั ดรข องตน ผูท อ งจาํ คัมภรี อลั กรุ อานนน้ั หางไกลจากการลงโทษของพระผเู ปนเจา บคุ คลที่จดจําคัมภีรอัล กรุ อานไดหมดหรอื เพียงบางสวน ในความเปน จรงิ แลว เขาไดบรรจหุ วั ใจ และจิตวญิ ญาณของเขาไวด ว ยกับรศั มแี หง คัมภรี อ ัล กุรอาน หัวใจเชนน้ีจะไมถ ูกลงโทษในวนั กยิ ามะฮ ทา นศาสดามฮุ มั มัด (ศอ็ ลฯ) ไดก ลา ววา “อัลลอฮจ ะไมท รงลงโทษหวั ใจทจี่ ดจาํ คมั ภีรอ ัล กรุ อาน” (2) ผูท องจําคัมภีรอ ลั กุรอานนั้น ตลอดเวลาหรือชว งเวลาสว นมากหวั ใจของเขาจะหมกมนุ อยูก ับ คมั ภรี อัล กุรอาน เพอ่ื ทจี่ ะทบทวนโองการทไี่ ดจ ดจําไวน ้ัน ปากของเขาจะพร่าํ จํานัลจาดว ยพจนารถแหง พระผูเ ปน เจา (กะลามุลลอฮ) เขาจะอา นพจนารถจากพระผูเปน เจาอยตู ลอดเวลา ดว ยเหตนุ ้ีปากของผู ทองจาํ อัล กรุ อานจงึ หา งไกลจากการพดู ในส่งิ ทเี่ ปน บาป และความทรงจําท่คี มั ภรี อ ลั กรุ อานไดถ กู บรรจุ ไวนั้นจึงหา งไกลจากการครุน คิดในส่งิ ทเ่ี ปนบาป บุคคลเชนนีเ้ ขาจะคอ ยๆ พฒั นาตนกลายเปน บุรุษแหง พระผูเปนเจา มคี วามผกู พนั ตอ พระองค และจะไดร บั มาซงึ่ สทิ ธิพิเศษตา งๆ จากพระองค ผลตางๆ ที่จะไดรับจากการจดจาํ คัมภรี อ ลั กรุ อาน 1. ผทู องจาํ คมั ภีรอลั กุรอานจะไดร ับการอภยั โทษจากพระผเู ปนเจา : ทา นศาสดามุฮมั มัด(ศอ็ ลฯ) ไดกลาววา “บุคคลท่อี านคัมภีรอัล กรุ อานจากการจดจาํ ของตน จากนัน้ เขาคาดคดิ วาแทจริงอัลลอฮผ ูทรง สูงสงจะไมอภยั โทษใหแ กเ ขา ดงั นน้ั เขาคือผูหน่ึงท่ียดึ เอาบรรดาโองการของพระผูเปนเจาเปนสงิ่ ขบขนั ” (3) ดว ยเหตุนผี้ ูทอ งจาํ คัมภีรอลั กุรอาน จําเปน ตอ งมงุ หวงั ในการอภยั โทษจากพระผูเปน เจา และ จงรไู วเถดิ วา ดวยกบั ความอตุ สาหพยายามในการปฏิบตั ติ ามคําสง่ั สอนของคมั ภีรอลั กรุ อานน้นั เขาจะ นําตนเองเขา ไปอยใู นกลมุ ของชาวสวรรค 2. การไดอยรู ว มกบั บรรดาทูตแหง พระผเู ปนเจา : อิมามซอดกิ (อ.) ผสู จั จริงแหงวงศ วานของทา นศาสดามฮุ มั มดั (ศ็อลฯ) ไดกลาววา 44
“ผูทองจําคมั ภรี อ ัล กุรอานผูซงึ่ ปฏบิ ัติตามมนั จะไดอ ยูร วมกบั บรรดาทตู (ผนู าํ สาสน ) แหง พระ ผูเปน เจา ผูม ีเกียรติ ผูมคี ณุ ธรรม” (4) จะมเี นย๊ี ะอม ัต (ความโปรดปราน) อันใดอกี หรือทจ่ี ะสงู สงและใหความภิรมยยิง่ ไปกวา การได อยูร วมกบั บรรดาทตู (ผถู อื สาสน) ของพระผเู ปนเจา ความโชคดจี งมแี ดบ รรดาผูทีจ่ ดจาํ คัมภรี อ ลั กุ รอานและปฏิบตั ติ ามคัมภรี อัล กุรอาน 3. ฐานนั ดรตางๆ ในสวนสวรรคข องผูทอ งจําคัมภรี อ ัล กรุ อาน : ทา นศาสดามฮุ มั มดั (ศอ็ ลฯ) ไดกลา ววา “จํานวนฐานนั ดรของสวรรคเ ทา กับจํานวนของบรรดาโองการอลั กรุ อาน เมอื่ ชาวอลั กรุ อานได เขา สูสวนสวรรค จะมีผกู ลา วแกเ ขาวา ‘ทา นจงขนึ้ ไปและจงอานเถิด! เพราะสําหรับทุกๆ โองการนั้นคือ ฐานันดรหนึ่ง ดงั น้นั ไมมีฐานนั ดรใดท่จี ะสงู สง กวาผทู องจําคัมภรี อลั กุรอาน” (5) ความมงุ หวังอนั สงู สุดของมุสลิมผูศรัทธาทุกคน คอื การไปถงึ ซ่งึ สรวงสวรรคชัน้ สูงสุด สวรรค ดงั กลาวนี้ ระดับและจํานวนฐานนั ดรของมนั มจี ํานวนเทากับบรรดาโองการของอลั กรุ อาน จะมผี กู ลาว ตอ ผูยึดถอื ปฏบิ ัติตามคัมภีรอลั กรุ อานในสวนสวรรคว า“ทานจงขน้ึ ไปและจงอานเถดิ !”ดังนั้นผูทที่ องจาํ คัมภีรอ ัล กรุ อานภายใตร ม เงาของการอา นคัมภีรอ ลั กรุ อานในโลกดนุ ยาน้ี คัมภีรอ ลั กรุ อานจะถูก ผสมผสานเขากับจติ วิญญาณของเขา และภายใตก ารปฏิบตั ติ ามโองการตา งๆ ของมัน เขาจะไปถึงซงึ่ ตาํ แหนง “ซอฮิบุลกรุ อาน” (ชาวคมั ภรี อ ลั กุรอาน) คนท่ีทองจาํ เชนนเ้ี มื่อเขายางกายเขาสูสวรรค จะมี ผูกลาวกับเขาวา “ทา นจงอานและจงข้ึนไปเถดิ ” เขาจะเปด ปากและบรรดาโองการของอลั กุรอานก็จะ พรั่งพรอู อกมาจากปากของเขา ผลรางวัลของความยากลําบากในการจดจาํ บคุ คลบางกลมุ ชอบทีจ่ ะทองจาํ อลั กรุ อาน แตพวกเขาคาดคิดวา การทองจําคมั ภีรอัล กรุ อาน นนั้ เปนเรือ่ งท่ียากเยน็ แสนเข็ญ หรือคดิ วา ตนเองความจําไมด ี และการจดจาํ อัล กุรอานนน้ั ยากลาํ บาก สาํ หรับเขา เกีย่ วกบั บคุ คลเหลานี้อิมามซอดิก (อ.) ไดใ หสัญญาถงึ ผลรางวัลสองประการโดยกลา ววา “แทจ ริงบุคคลท่ีหมกมุน (และขะมักเขมน) อยูกบั คมั ภีรอ ัล กุรอาน และจดจาํ มนั ดว ยความ ยากเยน็ แสนเข็ญและความจาํ ไมด ี สาํ หรบั เขานนั้ มผี ลตอบแทนสองประการ” (6) ผลตอบแทนประการแรกคอื การทอ งจําอัล กุรอาน และผลตอบแทนประการทสี่ องน้ันเน่ืองจาก ความจาํ ทอ่ี อ นแอซ่ึงเปนสาเหตุทีท่ าํ ใหเขาตอ งไดร ับความเหนอ่ื ยยากกวา บคุ คลท่ัวๆ ไป 45
ดอุ าอชวยใหไ มลมื การจดจาํ คัมภรี อ ลั กุรอาน : มดี อุ าอบ ทหน่งึ ปรากฏอยใู นหนงั สอื ฮะ ดษี ซง่ึ เก่ียวของกบั การรกั ษาความจําอลั กรุ อานและการไมใ หล มื บรรดาโองการท่ไี ดจ ดจาํ ไวแ ลว ดุอาอ บทน้ีไดร บั รายงานมาจากทานอมรี ุลมอุ มินีน (อ.) ซงึ่ ทานไดกลา ววา : ทา นศาสดามฮุ ัมมัด(ศอ็ ลฯ) ได กลาวกับทานวา “เจา ตอ งการใหฉันสอนดอุ าอบ ทหนง่ึ แกเ จา ไหม ซ่ึงจะทาํ ใหเจาไมล มื คัมภีรอลั กุ รอาน!” (แลวทานไดอ านดุอาอบทน)ี้ “โออ ลั ลอฮ! ไดโปรดเมตตาใหขา พระองคไ ดละทงิ้ การละเมิดฝา ฝน พระองคตลอดไป ตราบท่ี พระองคไดใ หข าพระองคดาํ รงอยู และโปรดเมตตาแกข าพระองคใหประสบกับความยากเขญ็ ในส่ิงทไ่ี ม กอ ประโยชนแกข าพระองค และโปรดประทานแกข าพระองคซ ึง่ ทัศนคติที่ดีตอสิ่งซึ่งจะทําใหพ ระองคทรง พึงพอพระทยั จากขา พระองค และโปรดบงั คับหวั ใจของขา พระองคใ หจ ดจาํ คัมภรี ของพระองค ดังเชน ท่ี พระองคไดท รงสอนขาพระองค และโปรดประทานใหข า พระองคอานมนั ตามวิธีการทพี่ ระองคจะทรงพงึ พอพระทยั จากขา พระองค โออัลลอฮ! ไดโ ปรดบันดาลใหส ายตาของขา พระองคใสสวา งดว ยคัมภรี ของพระองค และโปรด เปดหัวอกของขา พระองคดวยกบั คมั ภีรอัล กุรอาน และโปรดทําใหห วั ใจของขาพระองคเ บกิ บานดว ยกับ คมั ภรี อ ัล กุรอาน โปรดปลด (ปม) ลิน้ ของขาพระองคใหเ ปนอสิ ระดว ยอลั กรุ อาน และโปรดบนั ดาลให เรอื นรา งของขาพระองคปฏิบตั ติ ามคัมภีรอ ัล กุรอาน และโปรดบันดาลใหข า พระองคม คี วามเขมแข็งใน ส่งิ น้นั และโปรดชว ยเหลือขา พระองคบ นการกระทาํ ดงั กลาว แทจ รงิ แลวไมมผี ูชว ยเหลอื อ่ืนใดนอกจาก พระองค ไมม ีพระเจา อ่นื ใดนอกจากพระองค” (7) มารยาทประการที่ 17 การเคารพและการรักษาเกียรตขิ องคัมภรี อลั กรุ อาน ประเด็นตา งๆ ทจ่ี ะกลาวถงึ ภายใตห ัวขอการแสดงความเคารพและการรักษาเกยี รติของคัมภีร อัล กุรอานน้ี ประกอบดวยขอเตือนใจหลายประการ ซง่ึ จะถกู นําเสนอเกีย่ วกบั การแสดงออกซงึ่ การให เกียรตทิ างดา นภายนอกตอคัมภีรอลั กุรอาน การระมัดระวงั และเครง ครดั ในประเด็นดงั กลา วเหลา นี้ จะ 46
ทาํ ใหต ระหนกั ถึงตาํ แหนงและสถานภาพของคมั ภรี อัล กรุ อาน ดว ยเหตุนเี้ องคําแนะนําของเราก็คือ จง ใหค วามสาํ คัญตอ ประเด็นเหลาน้ใี นสวนทเี่ กี่ยวของสมั พันธก ับคมั ภีรอ ลั กุรอาน 1. การเก็บรกั ษาคมั ภรี อ ลั กรุ อานไวใ นสภาพที่เหมาะสม สวนหน่ึงจากการแสดงความเคารพตอคมั ภรี อัล กรุ อาน คือการเกบ็ รักษาคัมภีรอัล กรุ อานใน ลกั ษณะท่ีจะไมก ลายเปน การทําลายเกียรติยศของอัล กุรอาน เก่ยี วกบั เรอ่ื งนน้ี น้ั จําเปนท่ีเราจะตอ งระวงั รักษาในกรณีตา งๆ ตอไปน้ี ก) การหอปกคมั ภีรอลั กุรอาน เพือ่ วา เมอ่ื ถงึ เวลาใชป ระโยชนจ ากมันจะไดไมเกดิ ความสกปรก ข) เก็บรกั ษาคัมภีรอ ัล กรุ อานไวในสถานทท่ี หี่ างไกลจากมอื เด็ก เพอ่ื วาจะไดไ มต กเปน ของเลน ของพวกเขาไป หรือบางทอี าจจะถกู เหวยี่ งไปทางโนนทางนี้ ฉะนน้ั เมอ่ื เราเลกิ การใชงานหรือการอาน คมั ภรี อัล กุรอาน จําเปนท่ีเราจะตองเกบ็ มันไวใ นสถานท่ๆี เหมาะสมหรือสถานทสี่ ูง ค) สถานท่ๆี เราเก็บคัมภีรอัล กรุ อานไวน้ันควรจะเปนสถานทๆี่ มเี กยี รติและมคี วามสะอาด ง) จะตองไมว างส่ิงหนึง่ สิ่งใดไวบนคมั ภรี อ ลั กุรอาน แมแ ตห นงั สืออื่นๆ ก็ตาม 2. การน่ังอยางสุภาพตอ หนา คัมภรี อ ัล กุรอาน ในบางสถานทมี่ กี ารสอนหรือการชุมนุมเก่ยี วกับคมั ภีรอัล กรุ อาน จะถกู พบวา บรรดาผเู ขา รว ม นัง่ ตอหนา คัมภรี อลั กุรอานอยางไรมารยาท ตัวอยา งเชน การวางคัมภีรอลั กรุ อานลงกับพืน้ และมองดอู ลั กรุ อาน หรือบางทีพวกเขาจะยืด เทาของตนเองไปยังเบือ้ งหนา คมั ภีรอ ัล กุรอาน หรือเลนกับตัสเบ๊ียะห หนวดเครา ศีรษะและใบหนา ของ ตนเอง หรอื วิธแี ละรปู แบบการนงั่ ของเขาเปนการแสดงออกถึงการไมใ หเกยี รติตอคมั ภีรอัล กรุอาน เก่ยี วกบั เรอื่ งน้ี นับเปนสิง่ ที่ดีทเี ดยี วทเ่ี ราจะพจิ ารณาดคู าํ กลา วของทา น ‘เมาลา มฮุ ซ ินเฟฎ กา ชาน’ี ผรู ูผยู ่งิ ใหญ ซึง่ ทา นไดก ลาววา “ผูอ านคมั ภีรอ ลั กรุ อานจาํ เปนตองรักษามารยาททเ่ี หมาะสมในรปู ลกั ษณของตนเอง…ในขณะ อา นสมควรหันหนาไปทางกบิ ลัต และกมศีรษะของตนเองลงตํา่ น่ังขัดสมาธใิ หเรยี บรอย อยา นง่ั พงิ ส่งิ ใด และการนงั่ ของเขานน้ั จะตอ งไมอยใู นลกั ษณะของผยู โสโอหงั แมว า เขาจะน่ังอยูต ามลําพงั คนเดยี วกค็ ิด วาเขากําลังนง่ั อยู ณ เบอ้ื งหนาอาจารยข องตน” (1) แบบฉบบั (ซุนนะฮ) ที่ดมี ากประการหนงึ่ ท่ถี กู รกั ษาไวนบั ตงั้ แตอ ดตี กาล คอื การใชแ ทนไม (รอ ฮัล) รองคัมภีรอัล กุรอาน นบั วา เปนการกระทาํ ที่ดีมากทีเดยี ว บรรดาบคุ คลทอ่ี า นคัมภรี อลั กุรอานอยู เปน นจิ ก็สมควรทีจ่ ะใชแทน ไมน ้ีดวยเชนกัน และควรจะสอนบุตรหลานของตนเองใหแสดงการใหเกยี รติ ตอ คมั ภีรอลั กุรอาน ดวยการปฏิบตั ิดังกลาว 3. การหนั หนา ไปทางกิบลตั ในขณะอานคัมภีรอลั กุรอาน ผูอานสมควรนง่ั หันหนา ไปทางกบิ ลัต นนั่ คอื ทิศของบัยตลุ ลอฮ เชนเดียวกบั ทีใ่ นขณะนมาซเราจะยืนหนั หนาไปทางกบิ ลัต การหันหนา ไปทางกิบลัตขณะอานคมั ภรี อ ัล กุ 47
รอานนน้ั จะชว ยใหผ อู า นมสี มาธิและจิตใจมุง ตรงตอ อลั ลอฮม ากยง่ิ ข้ึน และจะสง ผลดีตอ ผูอา นมาก ย่งิ ข้ึน โดยปกติแลวเม่ือคนเราอา นคัมภีรอ ัล กุรอาน (ไมว าจะในสภาพยืนหรือน่งั ก็ตาม) เขายอ ม จะตอ งหันหนาไปทางทิศหน่งึ ทิศใด แตทวายอมเปนสิ่งทดี่ ีกวา ถาหากเขาจะหนั หนาไปยังทิศที่สถานท่ี อนั บริสทุ ธ์ใิ นหนาแผน ดินน้ัน (หมายถึงทศิ ของอาคารกะอบ ะฮ) ในขณะที่เขาจะทําการนมาซและทาํ อิ บาดะฮอ ื่นๆ บางทเี คลด็ ลับของประเดน็ ดงั กลาวกค็ ือ เม่อื บคุ คลใดกต็ ามไดหันหนา ไปยงั กิบลัตจะทําให ความคิดของเขามสี มาธิ และหวั ใจของเขามุงตรงตอ พระผเู ปนเจา ดวยเหตุนีเ้ องการหนั หนาไปทาง กบิ ลัตในขณะอา นคัมภรี อ ลั กรุ อานจะทาํ ใหโองการตา งๆ ของคมั ภรี อ ลั กุรอานนนั้ สงผลมากยิง่ ขึ้นตอ หวั ใจและจิตวญิ ญาณของผอู า น 4. การไมละท้งิ จากการอานคมั ภรี อ ัล กรุ อาน สง่ิ หนง่ึ ที่เรามกั จะพบเหน็ ในบานมสุ ลิมทุกคน นน่ั กค็ อื คัมภีรอ ลั กุรอาน คมั ภีรอ ัล กุรอานน้คี ือ แบบแผนสําหรบั การดาํ เนนิ ชวี ติ และเปน ทางนาํ สาํ หรบั มนษุ ยทุกคน ทุกๆ ครอบครัวทเ่ี ปนมุสลิมจะเกบ็ รักษาคัมภรี อ ัล กุรอานไวภ ายในบา นของตนอยางนอ ยหน่งึ เลม เพือ่ เปนตะบรั รกุ (แสวงหาความ จําเรญิ ) การเกบ็ รักษาคัมภรี อ ลั กรุ อานไวภายในบา นนน้ั มปี ระโยชนหลายประการ สวนหนึง่ จาก คณุ ประโยชนด งั กลาวกค็ ือ จะทาํ ใหช ัยฏอน (มารรา ย) ออกหา งไปจากบาน แตจ ําเปนจะตอ ง ระมัดระวังวา จะตอ งไมล มื หรอื ละทงิ้ จากการอานคัมภรี อลั กรุ อานนั้น เพราะวาการละทงิ้ การอานมนั คือ การไมใหความสําคัญและการไมใ หค วามเคารพตอ คัมภีรอ ัล กุรอานประการหน่ึงนั่นเอง อมิ ามซอดกิ (อ.) ไดอางคําพูดจากอมิ ามบากิร (อ.) โดยที่ทานไดกลา ววา “แทจ รงิ ฉนั ชอบทจี่ ะใหม คี มั ภรี อ ัล กรุ อานอยูในบา นสักเลมหน่ึง ซึ่งพระผเู ปนเจาผทู รงเกริก เกยี รติ ผูทรงเกรยี งไกร จะทรงขับไลบ รรดาชยั ฏอน (มารราย) ดวยสื่อของคมั ภรี อ ัล กุรอานน้ัน” (2) ในรวิ ายะฮอ กี บทหน่ึง อิมามซอดกิ (อ.) ไดก ลา ววา “สามสิ่งทจี่ ะไปฟอ งรอ งตอพระผูเปน เจา จากมนษุ ย ส่งิ หนงึ่ จากท้ังสามกค็ อื คัมภรี อลั กุรอาน” “และคมั ภีรอัล กุรอานทถี่ ูกปด ไวจ นฝุนเกาะ โดยที่มไิ ดถกู อาน” (3) 5. กรณตี างๆ ที่ไมส มควรอา นคัมภรี อ ลั กุรอาน ในเจ็ดกรณีท่ีการอา นคมั ภีรอ ลั กรุ อานไดถกู หา ม โดยท่ที านอมิ ามอะลี (อ.) ไดก ลาวไวในริ วายะฮบ ทหนงึ่ วา 48
“บคุ คลเจ็ดกลุม ทจี่ ะไมอ านคมั ภรี อลั กุรอาน คือ ผูทาํ การโคงคาราวะ (รุกูอ) ผกู มกราบ (สุ หยดู ) ผูอ ยูในหองสขุ า ผูอยใู นหอ งน้ํา ผูมี นุ ุบ ผอู ยูในสภาพนิฟาสและผูมรี อบเดอื น” (4) จากวจนะของทา นอมีรุลมุอม นิ ีน (อ.) นี้เองท่ีบรรดาฟุกอฮาอ (นกั นิตศิ าสตร) ผูย่ิงใหญของ ชีอะฮไ ดช ใ้ี หเหน็ วา การอานคมั ภีรอัล กรุ อานในกรณเี หลานถ้ื อื เปนมกั รหู (สิ่งนารกั เกียจ) สวนในกรณี ของผทู อ่ี ยูในสภาพญะนาบะฮ เฮฎและนิฟาสนนั้ พวกทานไดใหคาํ ฟต วาวา การอา นโองการตา งๆ ของ บรรดาซูเราะฮท ี่ไมมซี ะญาดะฮวาญบิ เกินเจด็ อายะฮนั้น ถอื เปน มักรูหแ ตห ากมนั นอยกวา เจ็ดอายะฮนนั้ ถอื วาไมเ ปนไร แตบ คุ คลทัง้ สามกลุมนี้ไมสามารถท่จี ะอานบรรดาซเู ราะฮท มี่ ซี ะญาดะฮว าญิบได แมว าอาน เพยี งอกั ษรเดียวจากซูเราะฮทง้ั สี่ดังกลา ว กถ็ อื ฮะรอม (ตองหาม) (5) มารยาทประการท่ี 18 วธิ ีการยตุ กิ ารอา นคัมภรี อัล กุรอาน ขณะสน้ิ สดุ การอา นคมั ภีรอ ัล กรุ อานน้นั ควรจะกลาวประโยคใด! เกี่ยวกบั เรื่องน้ีมรี วิ ายะฮ (คํา รายงาน) และฮะดษี บทใดไดอ า งถงึ บา งหรอื ไม! นคี่ ือคาํ ถามหนึ่งซงึ่ ถกู ถามถึงในสถานท่ชี ุมนนุ และหองเรยี นท่เี กยี่ วกับคัมภรี อลั กุรอาน บาง สถานที่ หรือเปนคําถามหนงึ่ ซ่งึ ไดเ กิดขึน้ ในความนึกคดิ ของนักอานและผูศกึ ษาคนควา คัมภรี อ ลั กุรอาน บางคน คําตอบกค็ ือ มรี ายงาน (รวิ ายะฮ) หลายบทเกยี่ วกับเรื่องน้ี และเราจะขอกลาวถึงเพียงสองริ วายะฮ (ซ่ึงมปี รากฏในหนงั สือฮะดีษของชอี ะฮ) ริวายะฮ (คาํ รายงาน) บทแรก : ( ) ทานอัลลามะฮม ัจญลซิ ี ไดอ า งริวายะฮบ ทหนง่ึ เกีย่ วกบั เรื่องน้ไี วใ นหนังสอื ‘บิฮารุลอนั วาร’ เลม ที่ 57 หนา ท่ี 243 วา เมอื่ ทา นศาสดามฮุ มั มัด(ศ็อลฯ) ไดร ับแตงต้ังใหเปนศาสดา ทานไดส่ังใหอิมามอะลี (อ.) สง สาสน เชญิ ชวนไปยังบรรดาผูปฏเิ สธ บรรดาชาวครสิ เตียนและชาวยิวใหเขา รบั อิสลาม เนื้อความของ สาสนดงั กลา วไดถูกแจง ตอ ทา นศาสดามุฮัมมดั (ศ็อลฯ) โดยทานญบิ รออลี เมื่อสาสน ไดถกู สงไปถงึ มือ ของบรรดาชาวยิวแหงตําบลคอ็ ยบรั บรรดาชาวยวิ เหลา นน้ั ไดน ําไปมอบแกผรู แู ละบุคคลสําคัญของตน คือ ‘อิสมาวีล’ (อิบนิ สลาม) (1) ภายหลังจากการอา นสาสนดังกลา วเขาไดรวบรวมคําถามตา งๆ เพ่อื นาํ เสนอตอ ทา นศาสดามฮุ มั มดั (ศ็อลฯ) โดยที่เขาไดกลาววา “หากเขา (มุฮมั มดั ) สามารถตอบคําถามตา งๆ ของฉันไดอยา งถกู ตอง ฉันจะเขารบั ศาสนาของ เขาและจะละทง้ิ ศาสนาของยะฮูด” 49
Search