คำนำ ค ณ ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ก า ร ป ร ะ ม ง แ ล ะ ท รั พ ย า ก ร ท า ง น้ า มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนต้าบลบ้านจันทร์ อ้าเภอกลั ยาณวิ ัฒนา จงั หวดั เชยี งใหม่ ได้จัดท้าหนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็น ผลส้าเร็จของการด้าเนินงานของ U2T ต้าบลบ้านจันทร์ อ้าเภอ กลั ยาณวิ ฒั นา จังหวดั เชียงใหม่ ภายใต้ โครงการยกระดับเศรษฐกิจ สงั คมรายตาบลแบบบูรณาการ 1 ตาบล 1 มหาวิทยาลัย ได้มาจาก ความร่วมมือ การช่วยเหลือขององค์กรภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้ง หน่วยงานภารรัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน รวมท้ัง ผู้ทรงคุณวุฒิจ้านวนมากท่ีท้างานร่วมกัน ทั้งท่ีปรึกษาคณะท้างาน โครงการ คณะท้างานปฏิบัติงานในพ้ืนท่ี ซ่ึงคณะท้างาน U2T ต้าบลบ้านจันทร์ อ้าเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ หวังเป็น อ ย่ า ง ยิ่ ง ว่ า จ ะ ไ ด้ พั ฒ น า ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม ก ร ะ บ ว น ก า ร ท้ า ง า น ท่ี หลากหลายยิ่งข้ึนเพ่ือดูแลทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมต่อไป และท่ีส้าคัญขอขอบคุณผู้สนับสนุนโครงการทุกโครงการท่ีได้ เล็งเห็นถึงปัญหาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมในพื้นที่และ รว่ มกนั ท้างานจนเกดิ ผลสา้ เร็จ หากหนังสือเล่มนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด คณะท้างาน คณะท้างาน U2T ต้าบลบ้านจันทร์ อ้าเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัด เชยี งใหม่ ขอ้ น้อมรบั ดว้ ยความเต็มใจ พร้อมท่ีจะปรับปรุงแก้ไขและ ขอขอบคณุ มา ณ โอกาสนี้
สารบัญ หน้า ก ค้านา้ ข สารบญั 1 ตน้ ก้าเนิดบ้านวดั จันทร์ 5 พธิ กี รรมตงั้ แตเ่ กดิ จนตาย 11 ประเพณีทส่ี บื ทอดกนั มา 12 บรรพชนุ ปกาเกอะญอ 14 ความเชื่อ 23 ดนิ น้า ปา่ คอื มรดกของปกาเกอะญอ 29 การจา้ แนกประเภททรัพยากรธรรมชาติ 33 การดแู ลและใช้ประโยชนท์ รพั ยากรธรรมชาติ 38 โลกทศั น์น้าของปกาเกอะญอ 48 ธนาคารอาหารของชุมชนปกาเกอะญอ
1 ตน้ กาํ เนิดบา้ นวัดจนั ทร์ ต้านานทเ่ี ล่าสบื ตอ่ กนั มายังคงเป็นหลกั ฐานอ้างอิงส้าคัญใน การบอกเล่าท่มี าของเรอื่ งราวต่างๆ ของปกาเกอะญอ โดยต้านานที่ เก่ียวข้องกับเรื่องของการเกิดบ้านวัดจันทร์น้ีมีหลายเร่ือง ซ่ึงเร่ือง หน่ึงนั้นมาจากการเกิดขึ้นของวัดจันทร์ซ่ึงเป็นวัดที่เก่าแก่ท่ีสุดใน เขตขุนแจ่ม มี ๓ ต้าบลหลักต้าบลบ้านจันทร์ ต้าบลแม่แดด และ ต้าบลแจ่มหลวง แม้ไม่สามารถท่ีจะทราบแน่ชัดว่าต้ั งข้ึนเมื่อใดแต่ สนั นษิ ฐานว่าวดั จนั ทร์สรา้ งข้นึ มานานกว่า ๓๐๐ ปีที่ ผ่านมาสาเหตุ ท่ีชื่อว่า \"วัดจันทร\"์ มีผู้เฒ่าผแู้ ก่ในหมบู่ า้ นเลา่ ว่า บ้านวัดจันทร์ เดิม ทีไม่มีช่ือเรียกเช่นนั้น แต่ท่ีมีช่ือ เช่นนี้เพราะว่ามีคนชื่อ \"จันทร์\" เ ป็ น ช า ว ล้ า น น า ท่ี ถู ก ขั บ ไ ล่ อ อ ก จ า ก ค ร อ บ ค รั ว เ พ ร า ะ ผิ ด จ า รี ต ประเพณขี อง ตระกลู เดินทางมาเป็นแรมเดือนมาถึงบริเวณบ้านวัด จันทร์เห็นว่าสถานที่แห่งน้ีมีท้าเลที่เหมาะแก่การสร้างหมู่บ้านเป็น
2 อย่างมากเพราะมีสถานที่กว้างขวางมีสายน้าแม่แจ่มไหลผ่านทาง ทศิ ตะวันออกจึงตดั สนิ ใจท่จี ะปกั หลักอาศยั อยตู่ รงนี้ แตใ่ นท่ีสดุ หลังจากมาพักในบริเวณวัดจันทร์ได้ไม่นานทาง บา้ นเมอื งลา้ นนาเกิดอาเพศอย่างร้ายแรง ข้าวยาก หมากแพงไม่มีผู้ แก้ไขเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนได้ต้องอาศัย นายจันทร์ เท่าน้ันที่จะท้าให้ เหตุการณ์สงบลงได้ทางมารดาต้องให้ทาสบริวารมาตามนายจันทร์ กลับเมืองล้านนาอยา่ งรีบดว่ นเม่อื ทาสบรวิ ารของมารดามาถึงได้เล่า เหตุการณ์ท่ี เกิดขึ้นในเมืองล้านนาจนหมดส้ินแต่ถูกนายจันทร์ ปฏิเสธอยา่ งสนิ้ เชิง ทว่าในท่ีสุด นายจันทร์ ก็ทนค้าขอร้องไม่ได้จึงต้องกลับ ตามค้าส่ังมารดาแต่มีข้อแม้ว่าต้องให้ชาวบ้านปลูกต้นไม้ระหว่าง สองข้างทางก่อนเพ่ือมิให้ตัวเองถูกแดดถูกฝน นอกจากนั้นจะกลับ บนหลังคนทางมารดาต้องให้ทาสบริวารท้าตามท่ีลูกขอทุกประการ โดยให้มีการปลูกต้นไม้ระหว่างสองข้างทางและให้คนนอนเรียงกัน ให้ นายจันทร์เดินข้ามจนสิ้นสุดระยะทางสุดท้ายนายจันทร์ก็ เดินทางกลับเมืองล้านนา เพ่ือแก้ไขปัญหาบ้านเมืองด้วยเหตุนี้ จึง เรียกหมบู่ า้ นแห่งนี้วา่ \"บา้ นจนั ทร\"์ ตงั้ แต่บดั นัน้ เป็นต้นมา แต่ในขณะเดียวกันบ้านจันทร์มีช่ือเป็นภาษาท้องถ่ิน ชาวปกาเกอะญอเรยี กวา่ \"โข่ค่อทิ\" ซึ่งคา้ วา่ \"โข\"่ แปลว่า พระเจดีย์ (พระธาตุ) โข่ค่อทิ จึงมีความหมายว่า บ้านตีนธาตุโดยอาศัยพระ เจดียท์ ีส่ รา้ งในวดั จันทรเ์ ปน็ เจดีย์องค์ท่สี ร้างขึ้นเป็นองค์แรกจากน้ัน ก็สร้างพระเจดีย์ลูกเพิ่มอีก ๒ องค์องค์แรกต้ังอยู่ ทางทิศเหนือของ หมู่บ้านมีชอื่ ทอ้ งถ่นิ วา่ \"โขก่ ลอ้ มอ\" ลกู องคท์ ี่ ๒อยู่ทางทิศ
3 ตะวันออกเฉียงใต้มีชือ่ ว่า \"พระธาตุจอมแจง้ \" ท้ัง ๓ องค์นั้นสร้างขึ้น ในเวลาทใี่ กล้เคียงกนั โขค่ อ่ ทิ โข่โพหลู่ โข่กล้อมอ อกี ต้านานเล่าวา่ ในสมัยก่อนบริเวณวัดจันทร์เป็นป่าทึบ ไม่ มีผู้คนอาศัยเต็มไปด้วยแมกไม้นานาชนิด โดยเฉพาะรอบๆ บริเวณ หมู่บ้านเต็มไปด้วยไม้สนจ้านวนเป็นพันๆ ไร่แต่บริเวณบ้านจันทร์มี สถานท่ีสร้างพระสถูปเจดีย์เก่าท่ีปรักหักพังตลอดถึงฐานของโบสถ์ และวิหารอยู่หลายแห่งชนเผ่าลัวะท่ีมีความศรัทธาเลื่อมใส่ใน พระพุทธศาสนาได้มาสร้างท้ิงไว้ในเขตต้าบลบ้านจันทร์หลายแห่ง จากนนั้ ขนผ่า ลัวะ ก็อพยพโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐาน อ่ืนท้าให้วัดจันทร์ เปน็ หมู่บ้านรา้ งในทสี่ ุดเหตุท่ีชื่อว่า วัดจันทร์ ก็มาจากพื้นท่ีนี้มี นาย จันทร์ และการสรา้ งวัด มากมายในพื้นทจ่ี ึงมีชอ่ื ว่า \"วัดจนั ทร\"์ ต่อมามีพระธุดงค์รูปหน่ึงจาริกจากประเทศพม่ามีนามว่า \"หลวงพ่ออุตตมะ\" มาเห็นบริเวณวัดจันทร์เป็นสถานท่ีสงบย่ิงนักจึง ปักกลดบ้าเพ็ญเพียรภาวนาในขณะน้ันมีชาวบ้านขุนแจ่มน้อย นาม ว่า พ่ออุ้ยดูลอย กับชาวบ้านห้วยตอง นามว่า พ่ออุ้ยค้าหม่ืน ได้มา พบหลวงพ่ออุตตมะ ท่ีนั่งปักกลดในบริเวณวัดบ้านจันทร์จึงเกิด ความศรัทธาเส่ือมใสย่ิงนักจึงมาท้าบุญถวายทานกับหลวงพ่อ อุตตมะ เป็นประจ้าแต่เน่ืองจากหมู่บ้านขุนแจ่มน้อยและห้วยตอง
4 อยู่ ไกลจากบ้านวัดจันทร์ประกอบกับการคมนาคมมีความ ยากล้าบากการมาท้าบุญทุกวันย่อมไม่สะดวกนักจึงได้ตกลง กันว่า จะย้ายมาต้ังรกรากอยู่ที่บ้านจันทร์ตอนแรกมีเพียงครอบครัว หลังจากท่ีย้ายมาแล้วได้ประกาศเชิญชวนชาวบ้านในหมู่บ้าน ใกล้เคียงมาช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์พระเดีย์โดยมีหลวงพ่ออุตตมะ เป็นประธานหลังจากได้ช่วยกันบูรณะพระเจดีย์ใกล้จะส้าเร็จหลวง พ่ออุตตมะก็ลาชาวบ้านเพื่อธุดงค์กลับประเทศพม่าและในระหว่าง การเดินทางท่านได้เกิดอาพาธอย่างหนักในที่สุดท่านก็มรณะใน ระหวา่ งเดินทาง จนปีพุทธศักราช ๒๔๗๓ มีพระครูบา (เก๊อจาพะโด่) โดย ธดุ งค์จากบ้านเมืองแปงรมิ ฝั่งแมน่ ้าปาย มาพกั ทส่ี ันปันน้าบริเวณก่ิว ปา่ กา้ งเดินผ่านบ้านหนองแดงไปยังบ้านวัดจันทร์จึงได้มาพักค้างคืน ท่ีวัดจันทร์เห็นพระธาตุที่สร้างไว้ยังไม่แล้วเสร็จเมื่อ ปกาเกอะญอ มือเจะดี และบริเวณใกล้เคียงทราบข่าวต่างเดินทางมากราบไหว้ ท่านจงึ นา้ ขาวบา้ นมาร่วมกนั บูรณะพระเจดีย์ท่ียังไม่เสร็จหลังจากที่ การบูรณะเสร็จส้ินก็มีการยกยอดฉัตรโดยครูบาเจ้าศรีวิชัยมีกร ท้าบุญเฉลิมฉลองกัน ๗ วัน หลังจากเสร็จพิธีการยกยอดฉัตรครูบา เจา้ ศรวี ชิ ยั ก็จารกิ ไปทางอา้ เภอสะเมิงจงั หวดั เชยี งใหม่ ขณะท่ีประวัติของต้าบลบ้านจันทร์อีกส่วนหนึ่งได้รับการ บันทึกไว้ว่าเม่ือราว พ.ศ.๒๓๓๖ หรือ ประมาณ ๒๑๘ ปีเศษๆ มี ครอบครัวของ นายหม่อลาเข้ามาอยู่เป็นครอบครัวแรกซึ่งเขาย้าย ถน่ิ ฐานมาจากแม่ฮอ่ งสอน ตอ่ มาก็มคี รอบครวั ของ นายดูลอย และ นายซนุ ะแฮ เขา้ มาร่วมสมทบ ดว้ ย
5 แตด่ ้วยความเช่อื ในเรือ่ ง ผี ซ่ึงผู้น้าแต่ละคนจะต้องเล้ียงผีที่ มีความแตกต่างกันหากอยู่ในที่เดียวกันอาจมีความผิดพลาดท้าให้ผี เล่นงานได้จึงต้องแยกกันอยู่ นายหม่อลา นายดูลอย นายซุนะแฮ จึงต้องแยกย้ายกันไปต้ังหมู่บ้านโดยนายดูลอย ได้ต้ังบ้านโข่ค่อทิ (บ้านวัดจันทร์) นายหม่อลา ต้ังบ้านเปลาะโด่(บ้านเด่น) และนายซุ นะแฮตั้งบ้านซุนะแฮ (บ้านหนองเจ็ดหน่วย) โดยคนท้ังสามนี้ยังมี ความรกั ใครต่ ดิ ต่อไปมาหาสู่กนั เป็นประจ้า จนราวพ.ศ.๒๔๑๖ได้มีครอบครัวคนพ้ืนเมืองครอบครัวหนึ่งเดิน ทางเข้ามาอยู่อาศัยในหมู่บ้านโข่ค่อทิ (บ้านวัดจันทร์ ได้พบว่าใน หมู่บ้านยังมีวัดเก่าและเจดีย์ท่ีอยู่ในสภาพทรุดโทรมจึงได้เรียกผู้น้า หม่บู ้านและบคุ คลทมี่ ผี ้ยู อมรบั นบั ถือจ้านวน ๖ คน คอื นายหม่อลา นายดูลอย นายซุนะแฮ นายเละ นายกูและนายด้าหมื่น มา ปรึกษาหารอื กันเพอื่ ทา้ การบรู ณะซ่อมแซมเจดีย์ใหม่ไว้ ๓ องค์ ซึ่งหากดูตามน้ีแล้วก็จะเห็นว่าความเป็นมาในส่วนของการ สร้างเจดีย์นี้สอดคล้องกับส่วนการบันทึกไว้ของวัดจันทร์ในตอนต้น ดังนั้นนี่ก็น่าจะเป็นข้อสรุปได้ว่าท่ีมาของช่ือ บ้านวัดจันทร์น้ันเป็น เช่นไร พธิ กี รรมตงั้ แตเ่ กดิ จนตาย ความเช่ือเกี่ยวกับการเกิด (ดี ต่า เบล) ของคนปกา เกอะญอน้ัน บอกเล่าต่อๆ เป็นต้านานกันมาว่า นอกจากโลกของ มนุษย์ที่เรียกว่า ลูกเกิด แล้วยังมีโลกของผี หรือ ปลือ อยู่ควบคู่กัน ไปด้วย และเมื่อไหร่ท่ีผ่านจากโลก ปลือ มายังโลกมนุษย์ นั่นก็
6 หมายความว่าได้มีเด็กเกิดในโลกมนุษย์ โดยมี หมื่อกาเป็นเทพผู้ กา้ หนดใหค้ นมาเกิด และเป็นผลู้ ขิ ติ ชีวติ มนษุ ยท์ ุกคนในโลกน้ี เมื่อทารกเกิดมาแล้วสายรกที่ตัดออกจะถูกผู้เป็นบิดาของ ทารกบรรจุลงกระบอกไม้ไผ่ปิดฝาด้วยเศษผ้าแล้วน้าไปผูกไว้ตาม ต้นไม้ในปา่ รอบหมูบ่ า้ นพร้อมกบั อธิษฐานให้เด็กน้อยโต แข็งแรงดัง ต้นไม้ยืนต้นน้ีต้นไม้ต้นนั้นเรียกช่ือว่า \"เด ปอ หู่\" แปลว่าต้นสายรก และต้นไม้ต้นนี้จะห้ามตัดโดยเด็ดขาดเพราะเชื่อว่าขวัญของทารก จะอาศัยอยูท่ ่ีน่ัน หากตัดทิ้งจะท้าให้ขวัญของทารกหนีไปและท้าให้ ทารกล้มป่วยลง หากว่าผู้ใดตัดไม้ต้นน้ีโดยเจตนาหรือไม่เจตนา จะต้องถูกปรับด้วยไก่หนึ่งตัว พ่อแม่ก็จะน้าไก่ตัวนี้ไปท้าพิธีเรียก ขวัญทกลับคืนมาและคนไปตัดเดปอหู่จะถูกประณามจากชุมชนท้า ใหป้ ระวัติเสยี วันท่ีไปผูกสายรกของทารกติดกับตันไม้น้ันเพื่อนบ้านทุก คนจะไม่ออกไปท้างาน ซึ่งถือเป็นข้อห้าม เรียกข้อห้ามนี้ว่า \"ดี ต่า เบล\" เป็นประเพณีท่ี สืบทอดกันมาต้ังแต่อดีต เมื่อถึงเวลาข้ัวสาย ทารกหลดุ ออกไปผู้เป็นพ่อก็จะไป ท้าพิธีผูกมือเรียกขวัญทารก โดย ไปท้าพิธีที่ใต้ต้นไม้ที่ผูกติดสายรกต้นน้ันเพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่ท่ี บ้าน เรยี กว่า \"ก่ีเบลจือ\" คือฟิซีผูกขวัญคร้ังแรกของบุคคลผู้น้ีที่เกิด มาลืมตาอยู่บนโลก ชนปกาเกอะญอเชื่อว่าขวัญของคนมีอยู่๓7 ขวัญ คอื 1.ขวญั หัวใจ (เกอ่ ลาโข่ท)ิ ๒.ขวัญมือซ้าย ๓.ขวัญมือขวา ๔.ขวญั ทา้ ซา้ ย ๕.ขวัญเท้าขวา ๖.ขวัญหอย ๗.ขวัญปู ๘.ขวัญปลา ๙.ขวัญเขียด ๑๐.ขวญั แย้ ๑ด.ขวัญจิ้งหรีด ๑๒.ขวัญตักแตน ๑๓.ขวัญตุ๊กแก ด๔.
7 ขวัญแมงมุม ๑๕.ขวัญนกเหงือก ๑๖.ขวัญหนู ๑๗.ขวัญชะนี ๑๘. ขวัญหมปู า่ ๑๙.ขวญั ไก่ปา่ ๒๐.ขวญั ก้ง ๒๑.ขวัญกวาง ๒๒.ขวัญหมี ๒๓.ขวญั เสือ ๒๔.ขวัญช้าง ๒๕.ขวัญข้าว ๒๖.ขวัญงู ๒๗.ขวัญตุ่น ๒๘.ขวัญเม่น ๒๙.ขวัญ เลียงผา ๓๐.ขวัญกระทิง ๓ด.ขวัญแรด ๓๒.ขวัญเต่า ๓ต.ขวัญ ตะกวด ๓๔.ขวัญกุ้ง ๓๕.ขวัญอีเห็น ๓๖.ขวัญต่อ ๓๗.ขวัญนกแก๊ กนกแกง พธิ ีผกู ข้อมือเรยี กขวัญ ข้นึ บา้ นใหม่ ปกาเกอะญอจงึ ใหค้ วามส้าคัญกับเรื่องของขวัญ อยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากการท้าพิธี กี่เบลจ้ือ ที่ท้าต้ังแต่ทารกเกิดแล้ว ชาวปกาเกอะญอ ยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับขวัญอยู่หลายพิธี เช่น พิธีผูกขวัญ (ก่ี จือ) พิธีผูกข้อมือเรียกขวัญขึ้นปีใหม่ (ก่ี จือ นี่ ซอ โค)่ พิธีผูกขอ้ มือเรยี กขวญั เดอื นสงิ หาคมกลางปี (กี่ จือ ลา คอ๊ ) หรือแม้แต่ในงานขึ้นบ้านใหม่ ก็จะมีการเรียกขวัญด้วย ก่ี จือถ่อ เด๊อะ ซอ เม่ือชายหญิงปกาเกอะญอเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว หากรักใคร่ชอบพอกัน พ่อแม่และญาติพ่ีน้อง ของฝ่ายหญิงก็จะส่ง คนไปหาฝ้ายชาย เพ่ือสอบถามให้แน่ใจว่าฝ่ายชายรักและยินดีที่จะ
8 แต่งงานกับฝ่ายหญิงจริงๆ หรือไม่ หากฝ่ายชายรักชอบพอและ ยินยอมที่จะแต่งงานกับฝ่ายหญิงจะมีการนัดหมายวันเวลาท้าพิธี แต่งงานกนั แต่ก่อนจะถึงพิธีแต่งงานจะมีการหมั้น (เตอะ โหล่) ไว้ ล่วงหน้า เม่ือฝ่ายชายตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกับหญิงและนัด หมายวนั เวลาแตง่ งานที่แนน่ อนแล้วฝ่ายชายส่งเถ้าแก่ไปท้าพิธีหมั้น หมายฝ่ายหญิงก่อนวันแต่งงาน ในพิธี ฆ่าไก่หนึ่งคู่ท้าอาหารเพื่อ เลี้ยงรับเถ้าแก่ฝ่ายชาย วันรุ่งขึ้นก็จะนัดหมายวันเวลาที่ฝ่ายชาย และเพือ่ นๆ จะมาหาฝา่ ยหญิงเพือ่ ท้าพธิ ีแตง่ งานต่อไป ในการแต่งงาน (ตี๋ เทาะ โค่ เบล) จะมีหมูแรกท้าพิธี (เทาะเตาะ) เทาะเตาะ คือหมูตัวแรกที่ฆ่าในงาน เน้ือหมูตัวน้ีจะ เป็นเครื่องบูชาเทพยดาเพ่ือขอให้มาอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวและผู้ มาร่วมงานทุกคน เม่ือถึงเวลาเดินทางไปบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ฝ่าย เจ้าบ่าว และเพ่ือนเจ้าบ่าวจะไปอยู่พร้อมกันที่เพิงพักหน้าบ้านที่ สร้างไว้ชั่วคราว เถ้าแก่จะท้าพิธีรินหัวเหล้าและอธิษฐานขอพร เสร็จพิธี ก็จะออกเดินทางโดยมีเจ้าบ่าวและเพ่ือนๆ ร่วมเดินทาง อยา่ งพรอ้ มเพรียงกนั พธิ ผี ูกข้อมือเรยี กขวัญ เจ้าบา่ ว เจ้าสาว
9 เมื่อมาถึงบ้านเจ้าสาว เถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาว และเพ่ือนบ้านก็ จะคอยต้อนรับท่ีเพิงพักช่ัวคราวหน้าบ้านเพื่อท้าพิธีด่ืมหัวเหล้า (เดะ ชิ โข่) เสร็จพิธีดื่มหัว เหล้าจะข้ึนไปสู่บ้านเจ้าสาว มีการเลี้ยง สังสรรค์กัน ด่ืมเหล้าพร้อมกับขับล้าน้าโต้ตอบกัน (พอ กวา ธา) ระหว่างน้ันญาติพี่น้องเจ้าสาวจะฆ่าหมูท้าอาหารส้าหรับเล้ียงแขก ที่มางาน เมื่อท้าอาหารเสร็จ จะให้เถ้าแก่ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและ เจ้าสาวท้าพิธีถวายข้าวแด่เทพยดาเพื่อขอสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ จากนั้นก็ เรียกแขกมารับประทานอาหาร และสังสรรค์กนั อยา่ งสนุกสนาน เม่ือออกเรือนแล้วสามีภรรยาปกาเกอะญอจะเร่ิมสร้าง ครอบครัวของตน ตามปกติจะมีสัตว์เล้ียง ๒ ชนิดที่จ้าเป็นและ เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในระดับครอบครัวเสมอคือไก่และหมู ไก่และ หมูคู่แรกทเี่ ล้ียงเรียกวา่ \"เทาะ โข่ ทิ ซอโข่ ทิ\" มีความหมายว่า หมู แรกไก่แรก หมูคู่แรกและไก่คู่แรกน้ีจะท้าลงไปหลังการท้าพิธีกรรม เลี้ยงหมูและไก่คู่แรกจากการออกเหย้าออกเรือนแล้วไม่นานน้ี เรียกว่า \"บึ โถ่ ต่า \" หมายความการเล้ียงให้สงบราบร่ืน หรือเล้ียง ให้ในทกุ บา้ นมกั มี สวนครัวหลังบ้าน ส้าหรับปลูกพืชผักที่จ้าเป็นต่อการเล้ียง ชีพ เช่น พริก มะเขือ อ้อย เผือก ฟัก บวบ มะระ และอ่ืนๆ และ บางคร้ังก็มี สวนในไร่ ปลายนารวม ถึงมีการท้านา หากมีคนใน หมู่บ้านเสียชีวิตลง เพ่ือนบ้านทุกคนจะหยุดงานเพราะถือ เป็นข้อ ห้ามซ่ึงเรียกว่า \"ดึ ปกา ซะ ลอ หม่า\" หมายความว่า ข้อห้าม สา้ หรบั วญิ ญาณทหี่ ลุดหายไป แมแ้ ต่ตา้ ข้าวซ่ึงปกติจะท้ากันทุกวัน เช้าและเย็นก็จะงด ท้าทั้งสิ้น ขั้นแรกญาติพ่ีน้องก็จะอาบน้าศพ น้า
10 เสื้อผ้าใหม่ๆ มาสวมใสให้ เสร็จ แล้วก็จะห่อศพด้วยเส่ือตีข้าว การ เตรียมสัมภาระให้ศพ หลังจากห่อศพแล้วจะหาไม้ไผ่ท่อนหน่ึงยาว ประมาณ ๕ ศอก ผ่าออกเป็น ซีกเท่าๆ กันคร่ึงท่อนแล้วง่ามลงบน ศพ เพื่อยึดศพให้มั่น เรียกไม้ไผ่ท่อนน้ีว่า \"หว่า กรอ กร๊ะหรือไม้ ง่ามศพ\" จากน้ันจะน้าเสื้อผ้าของศพท่ีญาติพ่ีน้องมอบให้แขวนไว้ที่ ปลายท่อนไม้ไผ่ เสื้อผ้าและข้าวของศพนี้เรียกว่า \"ต่า ซี อะ ก่ีอ\" มี ความหมายว่า \"สัมภาระศพ\"เป้าหมายการเตรียมสัมภาระของศพ เพื่อท้าความร่มรื่น อยู่เย็นเป็นสุข ให้ผู้ตาย ได้ใช้ขณะเดินทาง กลับไปยังโลกหน้า มีกินมีใช้ตามปัจจัย ๔ การขับล้าน้า ตกเย็นจะ เป็นเวลาแห่งการขับล้าน้า (มา ปลือ อะ ธา หรือ ธา โย๊ะ) ส่ง วญิ ญาณศพ โดยชายหนุ่มและพ่อบ้านจะขึ้นมาขับล้าน้า ล้าน้าที่ขับ ในช่วงแรกน้ีจะมีเน้ือหาเก่ียวกับคนตาย ล้าน้าส้าหรับศพนี้ผู้ขับจะ จ้ากัดเฉพาะแต่ผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงจะขับล้าน้านี้ไม่ได้ ถือเป็นส่ิง ต้องห้าม ผู้หญิงที่ก้าลังตั้งท้องและเสียชีวิตลงจะมีการขับล้าน้าส่ง วิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ผู้มาขับล้าน้าจะเป็นเฉพาะผู้ชายเท่าน้ัน ล้าน้าที่ขับมีช่ือว่า \"ทา โย๊ะ ควา\" มีความหมายว่า \"บทลํานํา รวบรวมชาย\" หรอื \"บทลาํ นําชมุ นมุ ชาย\" พธิ ขี บั ลา้ นา้ ส่งวญิ ญาณ
11 ประเพณที ่ีสบื ทอดกนั มา ต่า หล่ือ ฮี่ หรือ การสืบชะตาหมู่บ้าน เป็นพิธีกรรมท่ี ส้าคัญ พิธีเล้ียงหมู่บ้านเป็นหน้าที่ของผู้น้าหมู่บ้านที่เรียกว่า \"ฮี่โข่\" แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากลูกบ้านด้วยกล่าว คือ หาก จ้าเป็นต้องท้าพิธีเล้ียงหมู่บ้านผู้น้าหมู่บ้านต้องแจ้งให้ลูกบ้านทราบ ลูกบ้านครอบครัวหนึ่งต้องน้าข้าวสารหน่อยหนึ่ง และไก่ ๑ ตัว น้าไปให้ผู้น้าหมู่บ้านเพ่ือเป็นเคร่ืองเช่นไหว้ในพิธีผู้ที่ร่วมพิธีกรรมนี้ ไดค้ อื ผชู้ ายเทา่ นนั้ เมื่อถึงสถานที่ประกอบพิธีก็จะสร้างหอเช่นไหว้แล้วผู้น้า หมู่บ้านจะอธิษฐานภาวนาขอพรจากเทพยดา จากน้ันก็จะบอกให้ ลูกบ้านฆ่าไก่ท่ีเป็นเคร่ืองเช่นไหว้เพ่ือท้าอาหาร เม่ือท้าอาหรเสร็จ แล้วจะน้าอวัยวะส่วนต่างๆทุกส่วน ส่วนละหน่อยหน่ึงมาท้าเป็น เครื่องเช่นไหว้ผู้น้าหมู่บ้านจะน้าเคร่ืองเช่นไหว้ไปไว้บนหอเช่นไหว้ แลว้ ยกมือไหว้อธษิ ฐานภาวนาอีกคร้ังหนงึ่ ส่วนลูกบ้านทุกคนที่มาร่วมงานจะยกมือไหว้ตามด้วย หลงั จากอธษิ ฐานภาวนาก็จะท้าพธิ เี สีย่ งทายดวู ่า ณ เวลานี้เป็นฤกษ์ งามยามดีท่ีจะรับประทานแล้วหรือยัง หากฤกษ์งามยามดีแล้วก็จะ ร่วมรบั ประทานอาหาร แต่ก่อนรับประทานอาหารแล้วผู้น้าหมู่บ้าน จะท้าพิธีรินหัวเหล้า (เหล้าขวดแรก) จากนั้นแล้วก็จะร่วม รับประทานอาหารด้วยกัน เม่ือรับประทานอาหารเสร็จแล้วผู้น้า หมู่บ้านจะท้าพิธีรินกันเหล้า (เหล้าขวดสุดท้าย) ทุกคนจะต้อง ช่วยกันดื่มกันเหล้าจนหมด ก็เป็นอันว่าเสร็จพิธี และทุกคนจะแยก ย้ายกันกลับบ้านได้
12 การที่จะต้องท้าพิธีนี้เป็นประจ้าทุกปี (หรือทุก ๒ ปี หรือ ทุก ๓ ปี แล้วแต่แต่ละหมู่บ้านจะก้าหนด) ก็เพราะชาวปกาเกอะญ อมีประสบการณ์ว่าไม่สามารถมองเห็นล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไร ขน้ึ กบั ชีวิตและสังคมหมู่บ้าน แตเ่ ชอื่ ว่าสง่ิ ศักด์ิสทิ ธ์ิจะรู้และสามารถ ปกป้องคุ้มครองได้ จึงต้องท้าพิธีเลียงหมู่บ้านเพ่ือขอเทพยดามา ปกป้องคุ้มครองและฝากชีวิตความเป็นอยู่ทั้งหมดไว้กับเทพยดาสิ่ง ศักดส์ิ ิทธส์ิ งู สดุ บรรพชนปกาเกอะญอ ปกาเกอะญอ คือ ค้าที่ชาวกะเหร่ียงสะกอ หรือ จกอร์ใช้ เรียกตัวเองการเข้ามาอยู่ในเมืองไทยของปกาเกอะญอในยุคแรกถูก เล่าไว้เป็นต้านานแบบปากต่อปากในรูปแบบของนิทานเพราะปกา เกอะญอนัน้ เปน็ นกั เล่านิทานพวกเขาจะใช้นิทานในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้ง วฒั นธรรมประเพณีค้าสอนความเช่ือมีนิทานนับร้อยนับพันเร่ืองท่ีป กาเกอะญอเลา่ สืบต่อกันอยู่ แม้นิทานไม่อาจใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่ก็คง ไมอ่ าจ ปฏิเสธได้ว่าเร่ืองราวท่ีอยู่ในน้ันก็สามารถ สะท้อนภาพของอดีตให้ พอมองเห็นเค้วลางของเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นและเคยมีอยู่ได้โดย หน่ึงในเร่ืองเล่าเก่ียวกับก้าเนิดของปกาเกอะญอ คือ เร่ืองของชวา มนุษยค์ นแรกของโลกซึ่งมีปกาเกอะญอเป็นบตุ รคนโตของเขา ส่วนเรื่องการเข้ามาอยู่ในผืนแผ่นดินไทยน้ันมีผู้เฒ่า เทาะแมป่าเป็นส่วนหนึ่งของต้านานว่ากันว่าผู้เฒ่าคนน้ีเป็นหัวหน้า
13 หมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาทอทีปล่อก่อแต่เมื่ออยู่นานวันเข้าได้สืบเช้ือ สายจนมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองท้าให้ท่ีท้ากินไม่เพียงพอ เทาะแมบา่ จึงพาลูกๆ หลานๆ อพยพยา้ ยถนิ่ ฐานไปหาทที่ า้ กิน เทาะแมป่าบอกกับลูกหลานว่าให้เอาไม้เท้าจ้ิมลงในดิน แล้วดึงไม้เท้าออกหลุมน้ันจะเต็มข้ึนมาและให้ท้าเช่นน้ีเจ็ดครั้งหลุม จะเต็มท้ังเจ็ดคร้ังท่ีนั่นจึงเป็นที่ท่ีสมควรต้ังบ้านเรือนซึ่งว่ากันว่า ลูกหลานของเทาะแมป่ได้เดนิ กนั ไปตามที่ต่างๆ และหยุดอยู่แถวลุ่ม นา้ สาละวนิ บ้างลุ่มน้าอิระวดีบ้างและแน่นอนว่าต้นน้าแม่แจ่มก็เป็น ที่หน่ึงท่ีลูกหลานของเทาะแมป่าปักไม้เท้าลงดินไปแล้วหลุมนั้นได้ เตม็ ขน้ึ มา นอกจากต้านานแล้วยังมีเอกสารบางช้ินระบุว่าคนปกา เกอะญท่ีอยู่ในประเทศไทยน้ีล้วนอพยพมาจากพม่าทั้งส้ิน แม้ว่า เอกสารเหล่าน้นั ไมได้ชี้ชัดวา่ ได้เขา้ มาอยู่ต้งั แต่เม่ือใดแต่ก็สันนิษฐาน วา่ นจ่ ะเป็นช่วงท่ีไทยกับพม่ารบกันต้ังแต่สมัยอยุธยาหรือบางพวกก็ ว่าปกาเกอะญอนี้เข้ามาอยู่ในดินแดนล้านนาก่อนพวกโยนก ซ่ึงน่ัน หมายความว่าปกาเกอะญอนั้นอยู่ในแผ่นดินนี้ตั้งแต่ก่อนมีเมือง เชยี งใหม่ด้วยซ้า ความเช่ือท่ีว่าปกาเกอะญอน้ันไม่ได้อพยพมาจากไหนก็ ยังคงไมอ่ าจมองข้ามมีการกล่าวว่าประเทศปกาเกอะญอในคร้ังอดีต นั้น มีลักษณะเป็นเหมือนเขาควาย อยู่ระหว่างประเทศไทยกับ ประเทศพม่าในปัจจุบัน ต่อมาเมอื่ มีการขีดเส้นแบ่งประเทศไทยกับ พม่าอย่างเป็นทางการประเทศปกาเกอะญอจึงถูกแยกออกเป็นสอง สว่ นคอื ปกาเกอะญอไทยกับปกาเกอะญอพมา่
14 ความเช่ือ ระบบความเชื่อและศาสนาของชนเผ่าปกาเกอะญอ มี ความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่โดยชนปกาเกอะญอมี ความเชื่อว่า \"ยวา\" เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนโลก จะมเี จ้าของปกปัก ดแู ลรักษา เช่น ภเู ขาแต่ละลูก สายน้าแต่ละสาย ผืนป่าแต่ละผืน จะมีเจ้าของอยู่ ปกาเกอะญอจะเรียกว่า \"ที่ เก่อ จ่า\" (เจ้าของน้า ) \"ก่อ เกอ จ่า\" (เจ้าของแผ่นดิน/ประกาศอาณา เขต) ปกาเกอะญอเชื่อว่าคนแต่ละคนจะมีวิญญาณ ก่อนจะเกิด มาบนโลกวิญญาณจะมาอยู่ก่อนแล้วโดยอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ เมื่อถึงเวลาจะเกดิ ในโลกมนุษย์คนๆ น้ันต้องไปนัดหมายวันเวลากับ \"หม่ือ ฆะ เขลอะ\" (นางพญาประจ้าต้นโพธ์ิต้นไทร) ว่าจะมาเกิด แล้ว และบอกว่าจะอาศยั อยบู่ นโลกนานเทา่ ใด นางพญาต้นโพธ์ิต้นไทรจะบันทึกไว้ หลังนัดหมายกันแล้ว วิญญาณจะมอยู่กับฝ่ายชายก่อนเป็นเวลา ๓ เดือน จากนั้นก็ไปอยู่ กับฝ่ายหญิง อีกสามเดือนระหว่างเวลาน้ีจะแสดงออกมาโดย วญิ ญาณเขา้ ฝันผใู้ หก้ ้าเนิดฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายหรือทั้งสองฝ่ายฝัน ว่าได้มาซ่ึงส่ิงของเหล่าน้ีเช่น แหวน มีด เงิน เป็นต้นจากนั้นฝ่าย หญิงจะเริ่มตั้งครรภ์ ช่วงเวลาที่แม่ตั้งครรภ์จะต้องงดอาหารหลายประเภทที่จะ เป็นอันตราต่อทารกใน เช่น สัตว์ถูกยิงด้วยปืนหรือลูกดอกเคลือบ ยาพิษ พืชผักมียาสัตว์ป่าบางชนิดได้แก่ลิงหมีด้วยเกรงว่าหากกิน แลว้ ทารกที่เกิดจะมบี คุ ลิกและรปู รา่ งหน้าตาคล้ายกบั สตั วเ์ หลา่ น้ี
15 ส้าหรับพ่อก็มีข้อห้ามด้วยเช่นกัน เช่น ห้ามหามศพ ห้าม ไกลเ่ กล่ยี คดีความ ห้ามขน้ึ ต้นไม้ หา้ มทะเลาะวิวาทกับคนอ่ืน ห้ามดุ ดา่ ภรรยา เม่ือถึงเวลาคลอดจะไปเรียกหมอต้าแยมาช่วยท้าคลอด เ มื่ อ ท า ร ก เ กิ ด แ ล้ ว จ ะ น้ า ด้ า ย สี ด้ า ผู ก ส า ย ร ก ส อ ง ช่ ว ง ช่วงแรกผูกห่างจากท้องเด็กราวหนึ่งนิ้ว ช่วงท่ีสองห่างจากท้องเด็ก ราวสามนิ้ว จากน้ันก็จะตัดสายรกท้ิงด้วยเปลือกไม้ไผ่ดิบ จะไม่ตัด สายรกด้วยโลหะเพื่อป้องกันบาดทะยัก จะน้าทารกล้างคราบเลือด และน้าคร่้าออก แล้วน้ากลับไปให้แม่ซ่ึงนอนพักอยู่ท่ีเตาไฟเพ่ือให้ ทารกดูดน้านม แม่จะพักอยู่ไฟนานประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลาท่ี ทารกดูดนมอยู่แม่จะต้องงดอาหารหลายอย่างท่ีจะแสลงท้องของ ทารก ปกาเกอะญอมีความเช่ือว่านอกจาก โลกมนุษย์ (ปกา ห่อ โค่ โพ)ซ่ึงหมายถึงมนุษย์ท่ีอยู่บนโลกที่ประกอบด้วยวิญญาณ และ ร่างกายแล้ว ยังมีโลกวิญญาณ (ปลือ อะ ปู หรือยมโลก เป็น สถานที่อันเป็นท่ีอยู่อาศัยของเหล่าวิญญาณท่ีหลุดออกจากร่างกาย ของผู้ตายแล้ว เป็นสถานท่ีวิญญาณรอคอยว่าตนเองจะข้ึนสู่สวรรค์ หรอื ลงนรกต่อไป ส่วนวิญญาณบรรพบุรุษ (ซิโค่ หมื่อฆา) ที่ล่วงลับไปแล้ว จะมีความเป็นห่วงเป็นใยและคอยคุ้มครองป้องกันภัยแก่ลูกหลาน อยู่ ดังนั้นเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยลูกหลานท่ีอยู่บนโลกมนุษย์จะท้าพิธี เอาะบก๊ะหรือเอาะแคและเรียกวิญญาณบรรพบุรุษมาร่วมพิธีและ รับประทานอาหาร ท้ังน้ีเพื่อขอพวกท่านมาช่วยเยียวยารักษาให้ พวกเขาหายจากโรคด้วย
16 ถางไร่ (แพะ - ซึ) เลือกที่ถางไรได้แล้วก็ลงมือถางไร่ การถาง ไร่จะมีการลงแขกไปช่วยกันเพราะไร่ผืนกว้าง คนเดียว ครอบครัว เดยี วถางเสร็จชา้ จึงเป็นเง่ือนไขที่ก่อให้เกิดการช่วยเหลือเก้ือกูลกัน การถางไร่ ต้นไม้ใหญ่ๆ จะไม่มีการโค่น แต่จะลิดกึ่งแทน แม้ลิดกิ่ง แต่ก็จะลดิ ไมห่ มด จะเหลอื ไว้ ๓-๔ ก่งิ บนยอดไม้ เรียกว่า\"บิ-เบ-อะ- หล่อ-จ่อ\" หรือ \"ที่เกาะของนกพญาไฟ\" ท้ังนี้เพ่ือเหลือใบไว้ส้าหรับ การรับแสงแดดหล่อเล้ียงล้าต้น และเม่ือผ่านพันการเผาไร่แล้ว ดัน ไม้จะได้แตกก่ิงใหม่ได้ส่วนผู้ท่ีท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา จะเตรียม อุปกรณเ์ ชน่ เชอื ก แอกคันไถคนั เผอ่ื น ถางพ้นื ที่แปลงเพาะ เดือนที่ ๓ \"ลาทีคุ\" เดือน มีนาคม ตากไร่ (โล - ก็อ) หลังจากฟันไร่เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะตากกองไม้ในไร่ประมาณ ๒ ถึง ๓ อาทิตย์ ก็จะเผา ส่วนผู้ท่ีท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา จะเตรียม แปลง หวา่ นกล้า ลอกเหมืองฝ่าย เดือนท่ี ๔ \"ลาเซอ\" เดือนเมษายน เผาไร่ (ชุ - มี) เม่ือไร่ แห้งสนิทแล้ว ก็จะถึงเวลาเผา ก่อนเผาจะมีการท้าแนวกันไฟ เรียกว่า\"หวะ-เหม่-โต\" ท้ังน้ีเพื่อเป็นการป้องกันไฟลุกลามออกนอก เขต เพราะถ้าหากไฟลามออกนอกเขตก็จะท้าความเสียหายแก่ป่า และระบบนิเวศน์อย่างใหญ่หลวงางจัดท้าแนวกันไฟเสร็จก็จะเผาไร่ ระหวา่ งวันที่ ๗-๑๕ เมษายนของทุกปนี ง่ึ การผาจะต้องเผาจากหัวไร่ ก่อน เพื่อให้ไฟพอควรก็จะเผาจากท้ายไร่ เม่ือไฟป่าลามลงไปห่าง แนวกันไฟพอควรก็จะเผาจากท้ายไร่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไฟ ลามออกนอกเขตไร่หมนุ เวยี นเช่นกัน บางคร้ังเม่ือไฟลามออกเขตโดยเหตุสุดวิสัย ชาวบ้านจะไป ช่วยกันดับท้ังหมู่บ้าน เรียกว่า \"โต๊ะ-เหม่-ถ่อ-แพละ\" หรือ \"ช่วยไฟ
17 ลามนอกเขต\"ไรไหม้หมดแล้ว ในไร่ยังอบอวลไปด้วยควันไฟอยู่ เจ้าของไร่จะเข้าไปปักไม้ในใจกลางไร่ เรียกว่า \"มา-หน่อ-\" หรือ \"หมายไร่ \" พร้อมกับปลูกลูกเม่าลงไป เรียกว่า \"สู่-ซอย-เหม่-คี\" หรือ \"ปลูกตามไฟ\" ซึ่งเช่ือกันว่า การท้าเข่นนี้เป็นการป้องกันโรค และแมลงทเี่ ป็นศัตรูข้าวและพืชผักได้เก็บกวาดไร่ (โก่-มี)รุ่งเช้าหลัง วันเผาไร่ เหล่าแม่น้าและหญิงสาวจะไปยังไร่ ลงปลูกพืชผักต่างๆ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาสี(มือเดล่า) ฟักทอง เผือก มัน เป็นต้น การ ปลูกพืชผักลงไปในวันรุ่งขึ้นหลังเผาไร่น้ีเชื่อกันว่า พืชผักจะดี อุดม สมบูรณ์ เมื่อปลูกพืชผักเสร็จแล้วก็จะเก็บกวาดไร่ กองเศษไม้เป็น กองๆ แล้วเผาอกี คร้ัง เศษกองไม้น้ีเรียกว่า \"ยุ\" และการเผาเรียกว่า \"ชุ-ยุ\" ในกองเศษไม้น้ีข้าวและพืชผักจะงามเป็นพิเศษ เพราะมีเถ้า ถา่ นท่เี ปน็ สารอาหารอดุ มสมบูรณ์ช่วงเวลานี้ เหล่าพ่อบ้านและชาย หน่มุ จะช่วยกันลอ้ มรว้ั เพื่อป้องกันสัตวเ์ ล้ียงเข้ามากัดกินพืชผักและ สร้างกระท่อมส้าหรับเป็นท่ีหลบแดดหลบฝน ท้าอาหารและพัก เหน่ือยตลอดทั้งปีส่วนผู้ท่ีท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา ปล่อยน้าเข้านา ไถดาดไถแปร หว่านกลา้ ขา้ วนา โถ่คึ หว่านขา้ ว และพันธ์พุ ชื ผักตา่ งๆ
18 เดือนที่ ๕ \"ลาเดะหญา\" เดือน พฤษภาคม ปักไร่ (โถ่-สี) เม่ือเข้าสู่เดือนพฤษภาคมก็จะเวลาปักไร่ การปักไร่จะมีการลงแขก เหลือกันทั้งหมู่บ้านอีกคร้ัง ก่อนปักไร่จะมีการท้าพิธีที่เรียกว่า \"โถ่- ลอ-หรอื \"ลงปกั ไร\"่ จะมหี นุ่มสาวคู่หนึ่งที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้ลง ปักหนุ่มปักหลุม ส่วนหญิงสาวจะหว่านข้าวลง ขณะปักหลุมจะมี การอธษิ ฐานช่วยให้ข้าวและพืชผักอุดมสมบูรณ์ด้วยปักไร่เสร็จก่อน กลับบ้าน จะมกี ารท้าพิธี \"เก็าะ-ลอ-โถ่-บี-ฆ่า\" หรือ\"พิธีเชิญนกขวัญ ข้าวลงมา\" และพิธี \"จี-มกา-ข่อ\" หรือ \"พิธีแช่ขาเสียม\"หมายถึงการ เชิญขวัญข้าวลงมายังไร่ เพ่ือให้ข้าวอุดมสมบูรณ์ และเรียกน้าฝน เพ่อื ให้ความชุม่ ช้นื แกข่ า้ วและพืชผกั ตามล้าดับการปกั ไร่ จะปักหลุม เพียงหน้าดิน ขนาดเท่ารอยเก้งรอยกวาง ไม่ได้ขุดลึกลงไปถึงแกน ดิน การท้าเช่นน้ีเพ่ือเป็นการรักษาหน้าดิน ให้ดินคงสภาพเดิมท้ัง ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารของข้าวและพืชผักและโครงสร้างด้วย ส่วนผู้ท่ีท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา จะท้าการดูแลระดับน้า วัชพืช ศัตรพู ืช เดือนที่ ๖ \"ลานุย\" เดือนมิถุนายนดายหญ้า (กล่อ-หน่อ) เมอ่ื ขา้ วงอกเจรญิ เตบิ โตเขียวชอุ่ม ตอไม้ ตอไผ่ และวัชพืชต่างๆ จะ แตกหน่อ แตกยอดและงอกขึ้นมาใหม่ท่ัวผืนไร่เช่นกัน ดังนั้นจะมี การดายหญ้าทง้ิ การดายหญา้ จะดายกันหลายรอบ จนกว่าข้าวและ พชื ผักสามารถเอาชนะหญ้าได้ การดายหญ้ารอบแรกเรียกว่า \"กล่อ- หน่อ-เหม่-โช่\" หรือ \"ดายหญ้าหัวไฟ\" ส่วนรอบต่อๆ ไปเรียกว่า \"กล่อ-หน่อ-โพ\" หรือ \"ดายลูกหญ้า\"การดายหญ้าจะใช้ \"ขละ\" หรือ \"ขอดายหญ้า\"
19 (กลอ่ -หน่อ) ดายหญา้ เมอื่ ขา้ วงอเจรญิ เตบิ โตเขยี วชอ่มุ ซึ่งมีลักษณะพิเศษเหมาะส้าหรับการดายหญ้าโดยเฉพาะ กล่าวคือขอดายหญ้าจะเข้าเน้ือดินไม่สึกไม่กระทบกระเทือนและ ท้าลายรากไม้รากไผ่ แต่จะพรวนดินเพียงหน้าดิน และท้าให้ข้าว และพชื ผกั เติบโตได้ดี เป็นการรักษาหน้าดนิ ให้คงความอุดมสมบูรณ์ เร่ือยไป ส้าหรับเศษหญ้าท่ีดายจะมีการกองไว้และกลบด้วยขี้ดินใต้ ต้นข้าวไม่นานมันก็เน่าเป่ือยและถูกย่อยสลายกลายเป็นสารอาหาร ของข้าวในที่สุดส่วนผู้ที่ท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา จะท้าการตูแล ระดบั นา้ วัชพชื ศัตรพู ืช-ม\"ี ชายานขอ เดือนที่ ๗ \"ลาเขาะ\" เดือนกรกฎาคมเล้ียงไร่ (บกอ-มี)ดาย หญ้าไปจนกระทั่งถึงเดือนสิงหาคม จะมีการท้าพิธิ์อย่างหน่ึง คิ\" บกอ-ฉี\" หรอื \"เลย้ี งไร\"่ การเลย้ี งไร่ยังมพี ธิ ยี ่อยอีก ๔ พธิ ี คอื \"ต่าหล่ึ เหม่\" หรือ \"เลี้ยงไฟ\" หมายถึง การขอขมาลาโทษธรรมชาติและส่ิง เหนือธรรมชาติจากการเผาไร่ \"ต่า-เตอะ-เหมาะ\" หรือ \"ขอพร\" หมายถึงการขอพรจากส่ิงเหนือธรรมชาติให้ประทานความอุดม สมบูรณ์ \"ต่าแซะ\" หรือ \"ปัดรังควาญ\" หมายถึงการปัดสิ่งชั่วร้าย ออกจากไร่ และ \"ต่า-คะ-แก๊ะ\" หรือ\"ป้องกันไร่\" หมายถึงการ ป้องกันสิ่งชั่วร้ายเข้ามายังไร่ส่วนผู้ท่ีท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา จะท้า การดแู ลระดบั น้า วชั พชื ศัตรูพืช
20 \"ตา่ แซะ\" หรอื \"ปัดรงั ควาญ\"ปัดส่ิงชวั่ รา้ ยออกจากไร่ เดือนท่ี ๘ \"ลาคุ\" เดือนสิงหาคมพิธีกรรมในสิงหาคม (ลา- คุ-ปู)หลังจากเล้ียงไร จะมีการท้าพิธีระดับหมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า \"กี่ซ้ือลา-คุ-ปู\" หรือ \"พิธีกรรมในสิงหาคม\" เรียกช่ือตาม เดือนท่ีท้าพิธีนี้ มีช้ันตอนการปฏิบัติเช่นเดียวกับพิธีปีใหม่ทุกชั้น ตอน เรม่ิ ตงั้ แต่การเตรียมอาหาร ได้แก่ถึวต้ม ข้าวปุ๊ก ต้มเหล้า การ ผูกมือเรียกขวัญ การรดน้าด้าหัวผู้อาวุโสเร่ือยถึงมนี้เป็นการ ขอบคณุ และสรรเสรญิ สงิ่ เหนอื ธรรมชาติที่ไดป้ ระท ที่แตกต่างคือช่วงเวลาและความหมายเท่าน้ันกล่าวคือ การท้านั้แบ รงานต่างๆ ในไร่ จนกระท่ังเวลานี้ข้าวและพืชผักต่างๆ ได้เจริญงอ ต้มลว้ ต่อแต่น้ไี ปก็จะเริ่มเข้าสู่ชว่ งเวลาแหง่ การเก็บเกี่ยวพร้อมท้ังขอ พรแล้วส่วนผู้ท่ีท้าข้าวนาด้าหรือ ท้านา จะท้าการดูแลระดับน้า วัชพืช ศัตรู\"จนถึงการร่วมพิธีรินเหล้าตามบ้านต่างๆอีกคร้ังส้าหรับ การเก็บเกย่ี วทจ่ี ะมาถงึ ในไม่ชา้
21 เดือนท่ี ๙ \"ลาชิหมื่อ\" เดือนกันยายนข้าวแก่หรือ บ่ือ โม่ปก่า พืชผักท่ีปลูกในไร่ 90% กินได้สมบูรณ์เต็มท่ีส่วนผู้ท่ีท้าข้าว นาด้า หรือ ท้านา จะท้าการดูแลระดับน้า วัชพืช ศัตรูพืชคร้ัง สุดทา้ ย พืชผกั ทีป่ ลูกในไร่ 90% กินได้สมบรู ณเ์ ต็มท่ี เดือนที่ ๑๐\"ลาชิฉ่า\" เดือนตุลาคม -เดือนท่ี ๑๑ \"ลานอ\" เดอื นพฤศจิกายนช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนหรือ ลาชิฉ่า - ลา นอ ข้าวก็จะสุกได้เวลาเก่ียว ก่อนลงเก่ียวข้าวมีพิธี \"เอาะ-บือ-โข่\" หรือ \"กินหวั ขา้ ว\" คอื การกินข้าวใหม่กับอาหารท้ังอาหารบกและน้า เช่น ปู ปลา อ้น ผักกูด เป็นต้น หมายถึงการบอกกล่าวและขมาลา โทษข้าวที่ต่อไปจะกินกับทุกส่ิงทุกอย่าง ขึ้นช่ือว่าอาหารต้องกิน กับข้าวทุกอย่าง ขอข้าวอย่าได้เป็นพิษเป็นภัยต่อคนกินเลย รวมถึง การขอบคุณอุปกรณ์ทุกอย่างท่ีเกี่ยวกับข้าวด้วยเก่ียวข้าวเสร็จมีพิธี \"แซะ-ลอ-บือ-สา่ \" หรือ \"พธิ ถี ากขา้ วลง\" หมายถึงการขอให้ข้าวหลุด ออกจากรวงงา่ ยและได้ผลผลติ มาก พอเพยี งตลอดปี จากน้ันก็จะลง มือนวดข้าว นวดข้าวเสร็จแบกเก็บในกระท่อมก่อนแบกกลับบ้าน แบกเก็บจนกระท่ังในข้าวเพิงนวดข้าวเหลืออยู่ไม่พอหน่ึงแบก ก็จะ น้ากลับไปต้มเหล้า เรียกหม้อเหล้าน้ีว่า \"พอ-คี-ดะ\" หรือ \"กันเพิง
22 นวดข้าว\" ต้มสุกแล้วจะเรียกญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านมาร่วมดื่ม เป็นการขอบคุณสิ่งเหนือธรรมชาติท่ีได้ประทานผลผลิตอย่างอุดม สมบูรณ์มาให้วันร่งข้ึนหลังจากตีข้าวเสร็จ จะท้าพิธี \"แซะ-พอ-โข่\" หรือ \"ปิดรงั ควาญฉางข้าว\" และในพิธีจะมีพิธีที่เรียกว่า , \"เก็าะ-ถ่อ- เก-โถ่-บี-ฆ่า\"หรือ \"ส่งนกขวัญข้าวกลับไป\" หมายถึงการส่งนกขวัญ ข้าวสู่สวรรค์และขอกลับมาอีกเม่ือได้เวลาการผลิตในรอบใหม่ เพราะเช่ือว่านกขวัญข้าวนี้ได้ท้าให้ผลผลิตข้าวมีความอุดมสมบูรณ์ พิธีปัดรังควาญฉางข้าวเสร็จแล้วก็จะแบกข้าวกลับบ้านจนกว่าจะ เสร็จ เดือนที่ ๑๒ \"ลาปลือ\" เดือนธันวาคมหมดหน้าดอกไม้บาน (ฉี- ต่ือ-พอ-บอ)เม่ือช่วงเวลาแห่งการผลิตตลอดฤดูผ่านพ้นไปแล้ว ช่วง 6 เดือนต่อไป คือ เดือนธนั วาคม - มกราคม เป็นช่วงเวลาท่ีเรียกกัน วา่ \"มี-ตอ่ี -พอ-บอ\"หรือ \"หมดหน้าไร่ดอกไม้บาน\"เพราะในช่วงเวลา นดี้ อกหงอนไกจ่ ะบาน สะพร่งั ท้ังสแี ดงและขาวท่วั ผืนไร่ ในขณะเดียวกันยังมีพืชผักและพืชผลอีกหลายชนิดที่ได้ เวลาเก็บ เช่นฟักทอง ฟักเขียว ถั่ว งา เผือก มัน มันส้าปะหลัง เหล่าแม่บ้านและหญิงสาวจะไปยังไร่และไล่เก็บพวกมัน บ้างไว้กิน บ้างไว้พันธ์ุส้าหรับปีต่อไป นอกจากนี้พวกเขาก็จะเก็บไม้ร้ิว เพ่ือท้า เป็นฟนื หุงตม้ อาหารสา้ หรับตลอดท้งั ปี
23 ดนิ นา้ํ ป่า คอื มรดกของปกาเกอะญอ ในการอยรู่ ่วมกันของทุกชมุ ชนวิถีและข้อก้าหนดของชุมชน จะเป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้คนในชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่า ง สงบ สนั ติ และสามารถรักษาทรัพยากรของชุมชนให้ยั่งยืนได้ ซึ่งใน คนปกาเกอะญอแล้ว พวกเขารู้ดีว่าการรักษา ดิน น้า ป่าของพวก เขาเป็นส่ิงส้าคัญ เพราะมันหมายถึงการปกป้อง เร่ืองเหล่านี้ได้ถูก ก้าหนดไวอ้ ยา่ งชัดเจน ละเอียดลออ และถถ่ี ว้ น ชาวปกาเกอะญอมีข้อก้าหนดท้ังระหว่างคนกับธรรมชาติ และคนกับชุมชนที่ยึดถือสืบต่อกันมาช้านานอย่างชัดเจน ทั้งใน รูปแบบของข้อห้าม และข้อปฏิบัติในเรื่องต่างๆ โดยข้อก้าหนด เก่ียวกบั ธรรมชาตินั้นได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าธรรมชาติแต่ละอย่าง นั้นมีความความส้าคัญเช่นไร และชุมชนหรือคนจะเข้าไปเก่ียวข้อง กับส่ิงนั้นได้เพียงไร หรืออย่างไร เป็นต้นว่าในเรื่องของป่าและ ต้นไม้ชาวปกาเกอะญอได้ก้าหนดเง่ือนไขเกี่ยวกับป่าและต้นไม้ตาม ความเชอื่ ไว้ว่า ภมู ิปญั ญาปกาเกอะญอกบั การดูแลป่าใหเ้ กดิ ความยั่งยืน
24 ป่าเดปอ ป่า สายสะดือ แต่ละคน จะท้าที่ป่าใกล้บ้านตัวเอง ใคร สะดวกท่ีไหนท้า ที่นั่น ป่าเดปอ เป็นท่ีผูกสายสะดือของชาวปกา เกอะญอ ไม่ได้ห้ามเข้า แต่ห้าม ตัดต้นไม้ เพราะเป็นขวัญของคนท่ี เอาสายสะดือมาผูกไว้ โดยต้องเลือกต้นไม้ท่ีสวยงามมีดอกผล สมบูรณ์ อายุยืน เพื่อให้ชีวติ สมบรู ณ์มลี ูกหลานมากมายมีชีวิตท่ีดี มี เพ่อื นฝูงมากมาย ปา่ เดปอ (ปา่ สายสะดือ) ปา่ หวงหา้ มทีม่ วี ญิ ญาณช่ัวสิงสถิต ป่าหวงห้ามประเภทนี้เชื่อว่ามีวิญญาณช่ัวสิงสถิตหรือเป็น ทางเดินผ่านของภูตผี ลักษณะป่าจะมีต้นไม้ท่ีขนาดเท่าๆ กัน จ้านวนมากและเป็นต้นไม้ที่โตเต็มท่ีแล้วไม่ใหญ่ข้ึนและเล็กลง คง ขนาดไว้เท่าน้ัน มักเป็นป่าต้นน้าล้าธารสัตว์เล้ียงเช่นวัวและควาย มักไม่เดินเข้าไป บริเวณป่านี้จะไม่มีใครกล้าเข้าไปท้าไร่หรือแม้แต่ ตดั ต้นไม้สรา้ งบา้ นหรือน้าไปท้าประโยชนอ์ ื่น
25 หากหมู่บ้านใดเคารพย้าเกรงป่าประเภทนี้อย่างเคร่งครัด เชือ่ กนั ว่าให้หมู่บ้านน้นั มคี วามรม่ เย็นเป็นสุข แต่หากหมู่บ้านใดท่ีฝ่า ฝืนข้อห้ามท้าไร่หรือตัดต้นไม้เพ่ือใช้ประโยชน์อย่างอ่ืนก็จะท้าให้ หม่บู ้านนนั้ ได้รับความทกุ ข์ร้อน หรอื ครอบครัวใดที่มีสมาชิกผ่าฝืนก็ จะท้าใหส้ มาชกิ คนใดคนหนง่ึ ของครอบครวั นั้นเจ็บป่วยหรอื เสียชีวิต ลง ป่าเขานาํ้ ลอ้ ม (เคะ หมอ่ื เบอ) ปาเขาน้าล้อมเป็นป่าที่อยู่บนเนินเขาท่ีมีล้าห้วยสองสาย ไหลล้อมรอบและบรรจบกัน เช่ือกันว่าบนเนินเขาท่ีเป็นป่าประเภท น้ีจะเป็นที่อยู่อาศัยของภูตผี ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้และเข้าไปท้า ประโยชน์ในบริเวณนี้ บางหมู่บ้านจะมีป่าประเภทนี้หลายแห่ง แต่ บางหมู่บ้านไม่มีเลย มีข้อห้ามว่าห้ามเข้าไปท้าประโยชน์ และใช้ สอยใดๆ ทั้งส้ิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งหมู่บ้านจะไม่สามารถท้า ได้เลยถอื เป็นขอ้ หา้ มอยา่ งเด็ดขาด ป่าทร่ี าบเขาล้อม (เดะ หมื่อ วอ) ป่าตน้ น้าล้าธารกด็ ี ป่าทีร่ าบลุ่ม ล้าห้วยที่มีเขาล้อมรอบก็ดี ชนเผ่าปกาเกอะญอถือเป็นเขตป่าหวงห้ามด้วยเช่นกัน เป็นป่าที่มี ภูตผีเป็นเจา้ ของ ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง จึงมีการห้ามเข้าไปท้า กิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น เช่น ห้ามท้าไร่ห้ามสร้างหมู่บ้าน ห้ามเบิกนา และห้ามนอนค้างคนื เป็นต้น
26 ปา่ ชา้ ป่าข้าจะเป็นป่าหวงห้ามส้าหรับหมู่บ้าน ห้ามการเข้าไปตัด ไม้ และท้าประโยชน์ใดทุกคนต้องเคารพข้อห้ามน้ี เพราะถือเป็น แหล่งพักพิงของวิญญาณบรรพบุรุษ ซ่ึงพวกท่านก็ต้องการความ สงบรม่ เย็นเช่นเดียวกัน ป่าชา้ เปน็ ปา่ หวงหา้ ม ท่หี ้ามเข้าไปรบกวนและตัดไม้ไปใชป้ ระโยชน์ใดๆ ต้นโพธิ์ ตน้ ไทร ชาวปกาเกอะญอ เช่อื ว่าตน้ โพธิ์ต้นไทรเป็นต้นไม้ของภูตผี โดยเฉพาะต้นโพธ์ิต้นไทรที่มีขนาดใหญ่และมีโพรง เพราะมักจะมี การน้าศพทารกไปเก็บไว้ในโพรงโดยเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษคอย อยู่ที่นี่ ต้นโพธิ์ต้นไทรเป็นต้นไม้ท่ีไม่เคยตายเลย เพราะก่อนต้นแม่ จะตายก็จะลงรากบนดินและแตกหน่อใหม่เสียก่อน ต่อเม่ือหน่อ เจริญเตบิ โตได้เองแลว้ ต้นแม่จะเหี่ยวเฉาและตายไป เช่ือกันว่าหากต้นโพธ์ิต้นไทรโค่นลงจะยังความวิเวกวังเวง แก่ลูกหลานยิ่งนัก ลูกหลานท้ังที่เป็นภูตผีและสัตว์ป่านานาพันธุ์ เพราะสตั วป์ ่าเหล่านอี้ าศยั ตันโพธิ์ตนั ไทรเปน็ แหลง่ อาหารและความ
27 ร่มเยน็ เป็นสุข ด้วยเหตุนี้ชาวปกาเกอะญอจะห้ามตัดต้นโพธ์ิต้นไทร อย่างเด็ดขาดเพราะหากตัดจะถือว่าได้ท้าบาปต่อลูกหลานผู้อาศัย เชอ่ื กันว่าผู้ใดฝ่าฝืนขอ้ หา้ มจะไม่มลี กู หลานสบื ตระกูลตอ่ ไป ต้นโพธ์ิต้นไทรจะอยู่ทุกหมู่บ้านและทุกแผ่นดิน หมู่บ้านใด แผ่นดินใดมีต้นโพธิ์ต้นไทรมากและผู้คนเคารพนับถืออย่างดีจะท้า ให้หมู่บา้ นหรือแผ่นดนิ นนั้ มคี วามสงบและร่มเยน็ อยา่ งแทจ้ ริง นอกจากน้ียังมคี วามเช่ือว่า พืชผักต้นไม้ ผลไม้จะต้องรอให้ มันสุกถึงจะเก็บมากินได้ เวลาเก็บผลไม้ไม่ใช้วิธีโค่นต้นลงทั้งหมด ห้ามเก็บกินขณะยังลูกอ่อน พืชผักและต้นไม้ทุกชนิดห้ามตัดทิ้งโดย เปล่าประโยชน์ ห้ามท้าเครื่องหมายหรือกาต้นไม้ เพราะเชื่อว่า ต้นไมก้ ม็ ีชวี ติ รู้จักเจ็บ รจู้ กั รอ้ งไห้ เช่นเดียวกับมนุษย์ ต้นไม้ที่ให้ผล เป็นอาหารแกม่ นษุ ย์หา้ มนา้ มาสรา้ งบา้ น ในขณะเดียวกันปกาเกอะญอมีข้อก้าหนดเก่ียวกับการ จัดการทรพั ยากรน้าและได้บอกไวช้ ัดเจนว่า แมน่ ํา้ ลาํ ธาร แม่น้าล้าธารทุกสายจะมีเจ้าของ ชาวปกาเกอะญอเรียกว่า \"นาที”หมายความวา่ \"วญิ ญาณนํ้า\" หรอื \"ผนี ํ้า\" มนุษยต์ อ้ งเคารพ ย้าเกรงหากผู้ใดไม่เคารพย้าเกรงแม่น้า อุจจาระปัสสาวะลงไปหรือ ตัดต้นไม้บริเวณต้นล้าธาร \"นาที\" จะลงโทษผู้น้ันโดยให้ส้มป่วยลง และผู้นนั้ ต้องท้าพิธีขอขมาลาโทษต่อนาทีด้วยการฆ่าไก่มาเลี้ยง แต่ ตรงกันข้ามหากเราเคารพย้าเกรงท่านท่านจะคอยปกปักษ์คุ้มครอง ชวี ติ เราใหม้ คี วามร่มเย็นเปน็ สขุ เช่นเดยี วกัน
28 น้ําลอด (ที หน)ี ลกั ษณะน้าลอดคือล้าหว้ ยหรือแมน่ า้ ที่ลอดเข้าถ้าหรือภูเขา เข้าไป เช่ือกันว่าน้าลอดนี้มีเจ้าของท่ีเป็นงูหรือภูตผีก็ได้ เจ้าของท่ี เปน็ งไู ดแ้ กง่ ูเหลือมและพญานาคเปน็ ตน้ หากเขา้ ไปในน้าลอดแม้จะ กล่าวค้าหยาบหรือสาปแช่งอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถท้าได้ เพราะถือเปน็ ขอ้ ห้ามโดยเดด็ ขาด ตานํ้าผดุ (นา อุ๊ หรู) ตานา้ ผดุ เป็นแหล่งก้าเนิดของน้าตามธรรมชาติอย่างหน่ึงท่ี มีขนาดใหญ่บางแห่งใหญ่จนสามารถไหลลงมาเป็นล้าห้วยได้เลย เป็นแหล่งก้าเนิดของน้าท่ีชาวปกาเกอะญอให้ความเคารพย้าเกรง เป็นอย่างย่ิง บริเวณรอบๆ จะมีต้นไม้ขึ้นมากมาย ซึ่งท้าให้มีความ รม่ เย็นและชุ่มช้ืนตลอดทงั้ ปี หา้ มผูใ้ ดมารบกวนและท้าลายต้นไม้ใน บริเวณนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือล้มตาย อยา่ งแน่นอน ตานา้ ผุด เป็นแหลง่ ก้าเนิดของนา้ ปกาเกอะญอใหค้ วามเคารพยา้ เกรง
29 โป่ง (มอ) โป่งเปน็ แหลง่ ธาตุอาหารประเภทเกลือของสัตว์ป่าหลาย ชนิด โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ สตั ว์ปา่ ขนาดใหญ่ เช่น กระทิง ควายป่า กวาง เกง้ และแรด เปน็ ตน้ ชนเผา่ ปกาเกอะญอจะเคารพย้าเกรง และอนุรักษ์โป่งไว้อยา่ งดี หา้ มการตัดไมบ้ รเิ วณรอบๆ โป้ง ผ้ใู ดฝา่ ฝืนกถ็ ือว่าผูน้ นั้ จะท้าบาปต่อสัตวป์ ่าทม่ี ากนิ โป่งเหล่านนั้ การจําแนกประเภททรัพยากรธรรมชาติ/จําแนกพ้ืนท่ีการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จากการศึกษาการจ้าแนกประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ ในชุมชนปกาเกอะญอนั้น พบว่า ชุมชนเองมิได้มีการจ้าแนก ทรัพยากร ดิน น้าป่า แยกออกจากกันเด็ดขาดทีเดียว หากแต่มอง ทรัพยากรดิน น้า ป่า มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันตลอด หากพูดถึง ประเด็นน้าก็ต้องเกี่ยวกับป่า หากพูดถึงประเด็นป่าก็ต้องเก่ียวกับ ดิ น ซ่ึ ง เ ป็ น วิ ถี จ ริ ง ข อ ง ชุ ม ช น ใ น ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ก ทรพั ยากรธรรมชาติ แ ต่ เ พื่ อ ใ ห้ ม อ ง เ ห็ น ภ า พ ก า ร จั ด ก า ร ต น เ อ ง ด้ า น ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนปกาเกอะญอมือเจะคี ผู้ศึกษาจะ น้าเสนอเป็นข้อมูลที่จ้าแนกตามลักษณะพื้นท่ีการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาตขิ องชุมชนปกาเกอะญอโดยในแต่ละพื้นที่การใช้ ประโยชน์น้ัน จะน้าเสนอการใช้ประโยชน์จากดิน น้า ป่าท่ีสัมพันธ์ เชอ่ื มโยงกันตามวิถจี ริงของชุมชนปกาเกอะญอมือเจะคี ท้ังน้ีเพื่อให้ ข้อมลู ทนี่ ้าเสนอนี้เป็นการน้าเสนอมุมมองที่เกิดจากพื้นท่ีศึกษา มิได้
30 เกิดจากการจา้ แนกของผศู้ ึกษาเพียงฝ่ายเดียวพื้นที่การใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาตขิ องชุมชน ปกาเกอะญอมือเจะคีนั้นจ้าแนกได้เป็นส่วนใหญ่ๆ ส่วนใน สุดจะเป็นพ้ืนท่ีอยู่อาศัยของชุมชน ส่วนที่สองจะเป็นพ้ืนท่ีท้ากิน ของชมุ ชน และส่วนทีส่ ามเปน็ สว่ นพนื้ ทข่ี นุ นา้ ตามรายละเอียดดังนี้ ๑) พ้ืนท่ีอยู่อาศัย หรือภาษาปกาเกอะญอเรียกว่า \"หล่อ โอะ หล่อโช\" พื้นท่ีน้ีส่วนใหญ่เป็นพ้ืนที่การสร้างบ้านเรือนหรือ หม่บู ้าน การตงั้ หม่บู า้ นน้นั ผูท้ ี่มาต้งั คนแรกหรือฮิโข่เป็นผู้เลือกท้าเล ท่ีตั้ง แล้วมกี ารเสยี่ งทายว่าพ้ืนที่ แห่งน้ีเหมาะที่จะต้ังหมู่บ้านหรือไม่ เม่ือผลการเสี่ยงทายออกมา เหมาะสมแล้วจึงต้ังหมู่บ้านแล้วชักชวนเครือญาติและพรรคพวกมา เพ่ิมในพ้ืนท่ีอาศัยมีพ้ืนที่การใช้ประโยชน์พื้นที่ส้าคัญอยู่ภายในท่ี หลากหลายดว้ ย ประกอบดว้ ย ก.พ้ืนที่การสร้างบา้ นเรือนและอาคารสาธารณะ ข. พื้นที่ปลกู พชื ผกั สวนครัวและสัตว์เลีย้ งขนาดเล็ก ค. พ้ืนท่ีต้องห้ามเฉพาะ (พื้นที่น้าชับตรงหัวหมู่บ้าน กับ พื้นท่ีรอบๆบรเิ วณบ่อน้า) ง. พ้นื ที่สถานทพ่ี ิธีกรรม จ. พนื้ ที่แหล่งน้าสาธารณะ ฉ. แนวกนั ไฟ ท่อี ยู่อาศัยและ ทท่ี า้ กิน
31 ๒) พื้นที่ท้ากิน (นา) พ้ืนท่ีท้ากินหรือภาษาปกาเกอะญ อเรยี กว่า\"ต้่าพื้ เอาะ มา เอาะ อะ หล่อ\" พ้ืนท่ีส่วนใหญ่จะเป็นพื้นท่ี นาซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวในชุมชน แต่พื้นท่ีใช้มีแต่พื้นท่ีท้ากินอย่าง เดยี ว มพี ้นื ทท่ี ตี่ อ้ งห้ามต่างๆ อยู่ กระจัดกระจาย พื้นที่นี้จึงมีความส้าคัญต่อระบบเศรษฐกิจของ ชุมชนคอ่ นขา้ งสูงแต่ก็ยังคงมคี วามสัมพนั ธ์ตอ่ ระบบสงั คมและระบบ นิเวศอยเู่ ช่นกัน จากผลการศึกษาพน้ื ท่ที ้ากินน้ปี ระกอบด้วย ก. พืน้ ที่นา ข. พ้นื ทป่ี า่ ใชส้ อย ค. พืน้ ท่บี ริเวณป่าข้า ง. พื้นท่ีบรเิ วณปา่ พธิ กี รรมตามประเพณี จ. พืน้ ท่ีตอ้ งห้ามเฉพาะ ฉ. พืน้ ทเ่ี ลย้ี งสัตว์และปางสัตว์ ช. แนวกันไฟ ทา้ แนวกันไฟ
32 ๓) พ้นื ที่ขนุ นา้ หรือภาษาปกาเกอะญอเรียกว่า \"ที คว่า คื\" พื้นท่ีขุนน้าเป็นพ้ืนที่ที่มีความส้าคัญต่อระบบนิเวศสูง เพราะส่วน ใหญเ่ ปน็ พ้นื ทปี่ ีต้นนา้ แหล่งก้าเนิดล้าธาร ล้าห้วย สายเล็กเพื่อไหล ลงสู่ลา้ หว้ ยใหญ่ คอื เป็นปา่ ตน้ น้าท่ีชมุ ชนให้ความส้าคัญมากในการ ใช้ฉะนั้นพ้ืนที่ส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นพ้ืนท่ีอนุรักษ์ของชุมชนมากกว่า แตก่ ็ยังคงมีการใช้ประโยชนจ์ ากพืน้ ทน่ี เี้ ชน่ กนั ซ่งึ ประกอบด้วย ก. พืน้ ท่ปี า่ อนรุ ักษ/์ ป่าหวงห้าม ข. พนื้ ทีน่ า ค. พน้ื ที่เลี้ยงสตั ว์/ปางสตั ว์ ง. แนวกนั ไฟ จ า ก ข้ อ มู ล ก า ร จ้ า แ น ก พ้ื น ที่ ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนปกาเกอะญอมือเจะคีนั้น พบว่า ชุมชนไม่ได้แบ่งพื้นท่ีต่างๆ ออกจากกันอย่างเด็ดขาดส้ินเชิงพ้ืนที่ เหล่านี้สัมพันธ์กันท้ังในระบบสังคมเศรษฐกิจและระบบนิเวศท่ี เช่ือมโยง ซึ่งดูจะแตกต่างจากการจ้าแนกพ้ืนที่การใช้ประโยชน์ ทั่วไปมักจะจ้าแนกพื้นที่ท้ากินกับพ้ืนท่ีอนุรักษ์ออกจากกันอย่าง ชดั เจน บวชปา่ และเล้ียงผีป่าตน้ น้า
33 การใชแ้ ละการดแู ลทรัพยากรธรรมชาติ การใช้และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนปกา เกอะญอมือเจะคี น้ันผู้ศึกษาจะน้าเสนอข้อมูลตามพ้ืนท่ีการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอธิบายเพิ่มเกี่ยวกับการใช้และ การดูแลรักษาพนื้ ท่กี ารประโยชนใ์ นแต่ละพ้ืนที่วา่ มลี กั ษณะอยา่ งไร ๑) การใช้ประโยชน์และการดูแลทรัพยากรในเขตพื้นที่อยู่ อาศยั ก. การใช้ประโยชน์และการดูแลรักษาพื้นท่ีปลูกสร้าง บ้านเรือนและอาคารสาธารณะการสร้างบ้านเรือนของคณะในยุค แรกท่ีเข้ามาอยู่ในชุมชนปกาเกอะญอมือเจะคีน้ีจะกันอาณาบริเวณ บ้านไว้ประมาณคนละคนรุ่นลูกรุ่นหลานจะได้ขยายบ้านเรือนใกล้ กับตนในภายภาคหน้าพื้นท่ีสร้างบ้านเรือนในอดีตนั้นต้องมีการ เส่ียงทายโดย ฮี่ โข ถ้าผลเส่ียงทายออกมาดี จึงจะสร้างบ้านเรือน ได้ ตอ่ มาในยุคที่คริสต์ศาสนาเข้ามากลุ่มที่นับถือคริสต์ศาสนาจะไม่ มีการเส่ียงทายแต่จะมีการอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าก่อจะลงมือ สร้างบ้านเรือนในพ้ืนที่นั้นๆปัจจุบันมีขั้นตอนและวิธีในการใช้ ประโยชน์จากพืน้ ทสี่ รา้ งบ้านเรือนโดยส่วนใหญ่แล้วเม่ือลูกหลานจะ สร้างบ้านเรือนใหม่มักจะปลูกสร้างบ้านเรือนบริเวณใกล้ๆ กับบ้าน ของพ่อ แม่ สังเกตจากคนในเครือญาติเดียวกับ เว้นแต่ผู้ที่แต่งงาน ข้ามเครือญาติกจ็ ะสรา้ งบา้ นเรือนผสมเขา้ ไปอกี เครือญาตหิ น่งึ เม่ือมีลูกหลานคนใดจะปลูกเรือนใหม่ มักจะเลือกหาพื้นท่ี ทอี่ ยใู่ กลก้ บั บา้ นของพ่อแม่ ก่อนท่ีจะเลือกพื้นท่ีที่อ่ืน โดยท่ัวไปแล้ว พ่อแม่ ทางฝ่ายหญงิ จะเป็นผู้มอบที่ดินให้ลูก โดยลูกท่ีเป็นผู้หญิงจะ เป็นผู้มีสิทธิในการรับมรดกในล้าดับท่ีต้นกว่าผู้ชาย เมื่อมีการ
34 ปรกึ ษาตกลงกันในครอบครวั ไดแ้ ล้วก็จะมกี ารปลูกบ้านเรือนโดยคน ที่นับถือคริสต์จะแจ้งให้กับศิยาภิบาลคริสตจักรและสมาชิกทราบ เพ่ือมาท้าพิธี \"เบาะ ถ่อ ห่ี คู่\" หรือ \"พิธียกเสาหลักบ้าน\"ส้าหรับคน ที่นับถือพุทธศาสนาจะแจ้งให้กับ ฮ่ี โข่ ทราบเพื่อมาท้าพิธีอนุญาต เทพแหง่ ดนิ และเทวาผู้คุ้มครองชมุ ชนก่อนปลกู สร้างบา้ น ในการเลือกพื้นท่ีปลูกสร้างบ้านนั้นมีกฎเกณฑ์และหลักข้อ ห้ามในการปฏิบัติท่ีต้องค้านึงถึงคือ ต้าแหน่งในการปลูกบ้านเรือน กล่าวคือ ภายในครอบครัวเดียวกันนั้นคนมีฐานะเป็นลูกและมีศักดิ์ เป็นน้องน้ัน ไม่สามารถสร้างบ้านในต้าแหน่งท่ีหนุนบ้านของผู้มี ฐานะเป็นพ่อหรือมศี ักดิ์เป็นพี่ได้เด็ดขาดแต่หากจ้าเป็นจริงๆจะต้อง สร้างในต้าแหน่งท่ีเยงออกไป โดยต้องไม่มีลักษณะท่ีหนุนและบัง บ้านจนมิดโดยเฉพาะต้าแหน่งเตาไฟ หรือ \"ผ่า ควะ ธิ” ยู่ใน ต้าแหน่งตรงกนั ไม่ไดเ้ ดด็ ขาด คนปกาเกอะญอมีความเชื่อว่าหากการสร้างบ้านเรือนใน ลักษณะท่ีหนุนดังกลา่ ว จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เป็นลูกหรือ น้องบางครั้งอาจเจ็บ-ป่วยถึงข้ันเสียชีวิตได้ในกรณีท่ีพื้นที่เดิมของ พ่อแม่เต็มลูกหลานไม่สามารถขยายบ้านเรือนได้แล้วนั้น ผู้ที่ต้อง ปลูกบ้านเรือนต้องแสวงหาพ้ืนท่ีในชุมชนที่ยังพอมีว่างอยู่โดยท่ีตรง น้ันต้องไม่มีใครจับจองไว้หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ใด แต่หากทราบ วา่ เปน็ ท่ี จบั จองของใครผู้ทตี่ ้องการสร้างบ้านจะต้องไปขอเจรจากับ ผูจ้ บั จองให้ไดเ้ สีย่ ก่อนถงึ จะปลูกสร้างบ้านเรือนได้ กรณีเช่นนี้บางที ผู้จับจองอาจจะยกให้ฟรีหรือบางทีอาจจะมีค่าน้าใจเล็กๆ น้อยๆ เมอ่ื มกี ารเจรจากันเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมีการแจ้งต่อคนในชุมชน
35 รับทราบโดยเฉพาะ ฮ่โี ข่ และพ่อหลวงต้องเป็นคนรับเร่ืองเอาไว้เม่ือ การปลูกสร้างบ้านเสร็จเป็นท่ีเรียบร้อยแล้วเจ้าของบ้านะมีการท้า พิธีขึ้นบ้านใหม่ซึ่งมีความแตกต่างกันตามศาสนาที่เจ้าของบ้านนับ ถือ กล่าวคือ คนที่นับถือคริสต์ศาสนาก็จะมีการนมัสการพระเจ้า โดยมีศิยาภิบาลคริตส์จักรเป็นผู้ประกอบพิธีดั้งเดิมนั้นมีฮีโข่เป็นผู้ ประกอบพิธีกรรมในในส่วนพุทธศาสนาก็จะนิมนต์พระสงฆ์ ประกอบพิธแี ละผู้ท่ีนบั ถอื ศาสนาการขอบคุณเทพแห่งดินมีการฝาก บ้านหลังใหม่ให้เจ้าเทวาแห่งหมู่บ้านคอยปกป้องรักษา และเชิญ วิญญาณของบรรพบุรุษมาคุ้มครองดูแลสมาชิกของครอบครัวให้อยู่ เย็นเป็นสขุ จากการสงั เกตเมอื่ มีการข้ึนบ้านใหม่คนปกาเกอะญอมือ เจะคจี ะไปรว่ มพธิ ีกันอย่างพรอ้ มเพรียงไมว่ า่ จะนับถือศาสนาต่างกัน กต็ าม ในการปลกู สร้างสถานท่ีสาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน โบสถ์ อารามหรือ ศูนย์เด็กเล็กเช่นกัน คนในชุมชนต่างมีส่วนร่วมในการ ตัดสินใจ ส่วนใหญ่การปลูกสร้างสถานที่สาธารณะใหม่! น้ันดูจาก สถานที่สาธารณะเดิมก่อนว่ามีที่พอที่จะขยายได้หรือไม่ เช่น ใน กรณีการปลูกสร้างศูนย์พัฒนาเด็กบ้านแจ่มน้อย คนในชุมชนจะดูที่ สาธารณะเดิมคือโบสถ์ โดยพิจารณาว่าอาณาบริเวณของโบสถ์ยัง เหลอื พอส้าหรับการปลูกสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือไม่ เมื่อคนใน ชมุ ชนพิจารณาร่วมกนั ว่ายังมีพืน้ ทเี่ พียงพอในการปลูกสร้าง จึงมีมติ ให้ปลูกสร้างศูนย์พัฒนาเด็กในอาณาบริเวณเดียวกับโบสถ์ นาย เตอะโพ ศิยาภิบาลแจ่มน้อยกล่าวว่า หากคนในชุมชนเห็นว่าพ้ืนที่ ไม่พอตอ้ งช่วยกนั เลือกหาพ้นื ท่ีอื่นในชมุ ชนทีเ่ หมาะสมกว่า
36 ก า ร ดู แ ล รั ก ษ า พ้ื น ที่ ก า ร ส ร้ า ง บ้ า น เ รื อ น แ ล ะ อ า ค า ร สาธารณะนั้นคนปกาเกอะญอมือเจะคีไม่ได้มีการเขียนกฎออกมา เปน็ ลายลักษณ์อกั ษร แตม่ จี ารีตดง้ั เดิมทร่ี ับกันทั้งชุมชนวา่ ๑) อยทู่ ่ีจะมาปลูกสร้างบา้ นทชี่ มุ ชนมอื เจะคีนั้นจะต้องเป็น ญาติพี่น้องของคนในชุมชน เมื่อปลูกบ้านเสร็จแล้วต้องอาศัยอยู่ใน บ้านในชุมชน จะปลกู บ้านทงิ้ ไวเ้ ฉยๆ ไมไ่ ด้ 2) การปลูกสร้างบ้านเรือนจะไปลูกสร้างแล้วจะไปรบกวน หรือท้าความเสียหายใหก้ ับพนื้ ท่ีตอ้ งหา้ มเฉพาะ พ้ืนทส่ี ถานทที่ างพิธกี รรม หรือพนื้ ทส่ี าธารณะต่างๆ ที่มีอยู่ในชุมชน ไม่ได้ ๓) คนเป็นโสดท่ียังไม่ได้แต่งงานหรือยังไม่มีครอบครัวไม่ สามารถปลูกสร้างบา้ นเรอื นในชมุ ชนได้ โดยบทลงโทษหรือวิธีการรักษากฎของชาวบ้านคือเมื่อ ทราบว่ามีคนในชุมชนละเมิดกฎจารีตข้อใดข้อหน่ึงก็จะมีการไป บอกกล่าวตักเตือนหา้ มปรามส่วนมากผ้อู าวโุ สในชมุ ชนจะเป็นคนไป บอก โดยมีข้อผูกพันกับคนที่จะละเมิดกฎจารีตว่า หากดื้อดึงที่จะ ละเมิดกฎจารีตของชุมชนต่อเหตุการณ์ร้ายๆ ที่จะเกิดข้ึนแก่ชุมชน ในอนาคต เช่น โรคระบาดทั้งในตัวคนและสัตว์ เกิดอุบัติเหตุ ร้ายแรงต่างๆ อีกประการหน่ึงคือจะไม่มีการไปช่วยเหลือใน กระบวนการสร้างบ้านส้าหรับผู้ละเมิดกฎจารีตนี้เลย การยกเสา หลักบา้ นน้ัน ทา้ แต่เพียงผูเ้ ดยี วไม่ได้เมื่อไม่มีคนในชุมชนไปช่วยก็ไม่ สามารถท้าได้และชาวบ้านก็จะนินทาถึงแนวคิดและพฤติกรรม เหล่าน้ใี นชมุ ชน จนผ้คู ิดละเมิดล้มเลิกความตั้งใจในทสี่ ดุ
37 การใช้ประโยชนแ์ ละดูแลรักษาพื้นท่ีปลูกสวนครัวและสัตว์ เล้ียงขนาดเลก็ ในการสร้างบ้านเรือนของคนปกาเกอะญออน้ันจะมีอาณา บริเวณโดยเฉยประมาณ ๑.๕ - ๑ ไร่ ต่อหลังคาเรือน ฉะน้ันจึงมี พ้ืนท่ีว่างพอท่ีจะปลูกพืชผักสวนครัวและเล้ียงสัตว์ขนาดเล็กใน บริเวณบ้านเม่ือมีการปลูกสร้างบ้านเรือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนป กาเกอะญอจะมี หลอื่ “ที เก่อจา่ ” เลย้ี งผเี จ้าแหง่ นา้
38 โลกทัศน์เร่ืองนํ้าของคนปกาเกอะญอ “ที เกอ่ จ่า” เจ้าแห่งน้า ในวิถีวิสัยทัศน์ของปกาเกอะญอนั้น มิอาจสามารถแยก ความสัมพันธ์ระหว่าง ดิน น้า ลม ไฟ ออกจากกันอย่างแยกส่วนท่ี เด็ดขาดได้ เพราะในความเป็นจริงน้ันต่างมีความเกี่ยวโยงสัมพันธ์ แนบแน่น แต่หากกล่าวถึงเรื่องน้าอย่างเดียวในโลกทัศน์ปกา เกอะญอน้ัน เจ้าของเรื่องท่ีเป็นพระเอกน้ันต้องยกให้ “ที เก่อจ่า” หรือเจ้าแห่งน้า เป็นผู้พิทักษ์ดูแล คนทั่วไปหรือแม้แต่นักวิชาการ จากภายนอกไม่เขา้ ใจแก่นแทข้ อง ที เก่อจ่า มักจะเรียกว่า ผีน้า แต่ หากศึกษาความหมายของภาษาและศึกษาคุณค่าตามพิธีกรรม ตลอดจนความเชื่อของคนปกาเกอะญอแล้ว ที เก่อ จ่า ไม่ใช่ ผีน้า แต่เป็นเทพแห่งน้า เป็นเทวอารักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งน้า อยู่ในต้าแหน่ง ท่ีเป็นพระเดชพระคุณแก่มนุษย์แต่ไม่ให้โทษหรือกลั่นแกล้งท้าร้าย มนุษย์ ถอดความหมายตามภาษาปกาเกอะญอทีละค้า ที แปลว่า น้า คา้ ว่า เกอ่ จ่า แปลว่า เจ้าของ เม่ือเอาค้าสองค้ามาประสมกัน ที เกอ่ จ่า แปลว่าเจ้าของน้าหรอื เจ้านา้ นน่ั เอง ค้าว่าเก่อจ่านั้น คนปกาเกอะญอน้ามาใช้กับหลายกรณี เช่น ก่อเก่อจ่า คือเจ้าท่ี เก่อเจ่อ เก่อโล อะเก่อจ่า คือ เจ้าเขา เนื่องด้วยวิสัยทัศน์ท่ีว่า ทุกส่ิงทุกอย่างทุกหนทุกแห่งในโลกน้ีในจัก วาลน้ีล้วนมีเจ้าของ การท่ีจะอยู่ จะไป จะใช้อะไร ต้องมีการขอ อนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ หากไม่มีการขอย่อมแสดงว่าได้ลักขโมย ทรัพยส์ มบตั ขิ องผู้อ่ืน เมื่อลักขโมยก็ต้องได้รับการแจ้งเตือน ในการ แจ้งเตือนอาจผ่านโดยการเจ็บป่วยทางร่างกาย อุบัติเหตุ เป็นต้น จากน้ันเม่ือรู้ตัวก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายในสิ่งท่ีขโมยไป การขอ
39 อนุญาตใช้นั้นต้องทา้ ผ่านพิธีกรรม เชน่ เดียวกบั การชดใช้ค่าเสียหาย ในส่ิงที่ละเมิดหรือขโมยนั้นนั้นจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ต้องท้า ผ่านพีธีกรรมเช่นกัน ถือเป็นการส่ือสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติ (Supper Natural) มีการแยกค้าท่ีชัดเจนระหว่างเจ้าหรือเทวอารักษ์ กับผี ใน วสิ ยั ทัศน์ของคนปกาเกอะญอ ค้าว่าเจ้าหรือเทวอารักษ์น้ัน คนปกา เกอะญอเรียกว่า เก่อจ่า ส่วนค้าว่าผี น้ัน คนปกาเกอะญอเรียกว่า ตา หม่ือฆา่ ซ่ึงสถานะของ เก่อจ่า กับ ตาหม่ือฆก่า นั้นต่างกันมาก อย่างทีน่ า้ เสนอในเบ้ืองตน้ ว่า เกอ่ จ่าน้ันเป็นส่ิงที่สนิทสนมกับมนุษย์ เป็นผู้ท่ีมีบุญคุณต่อมนุษย์ เป็นผู้คอยอนุญาตให้มนุษย์ได้ใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้า ลม ไฟ เป็นผู้พิทักษ์รักษา ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อไม่ให้มีผู้ใดละเมิดกฎเกณฑ์หรือขุดรีดมาก เกินจา้ เปน็ มนษุ ย์จงึ มีความสัมพนั ธ์กบั เก่อจาในลักษณะเชิงบวกท่ี ต้องพึ่งพา เก่อจ่า ในการด้าเนินชีวิต เป็นสิ่งที่คนปกาเกอะญอ เคารพย้าเกรง ซ่ึงต่างกันอย่างส้ินเชิงกับ ตาหม่ือฆก่า เป็นส่ิงที่ มนุษย์ไม่อยากพบเจอ เป็นส่ิงท่ีคนปกาเกอะญอรังเกียจ เพราะต่า หมื่อฆก่านั้น คอยแกล้งมนุษย์ คอยท้าร้ายมนุษย์ที่อ่อนแอเป็นตัว ประกัน เพื่อเรียกร้องค่าไถ่จากมนุษย์ ไม่มีบุญคุณแต่อย่างใด เป็น ผู้ร้ายส้าหรับคนปกาเกอะญอ ความสัมพันธ์ระหว่างปกาเกอะญอ กับ ต่าหมื่อฆก่า มีลักษณะเป็นเชิงลบ เพราะฉะนั้นหากจะเรียก ที เก่อจ่า ว่าผีน้านั้น ถือว่าเป็นการลดสถานะของทีเก่อจ่า และเป็น การบดิ เบือนวสิ ัยทัศน์ตามวฒั นธรรมคนปกาเกอะญออย่างมากและ เกดิ ความไม่เป็นธรรมต่อ เก่อจ่าด้วยเช่นกัน ปัญหาท่ีเกิดขึ้นท่ีผ่าน มา เน่ืองจากนักวิชาการจากภายนอกเข้ามาในชุมชนแล้วมีค้าถาม
40 แบบชี้น้า และไม่ยอมลงทุนเวลาในการวิเคราะห์ภาษา บริบท ความสัมพันธ์ และความแตกต่างระหว่างต่าหม่ือฆ่า (ผี) กับ เก่อจ่า (เจ้าหรือเทวอารักษ์) ประกอบกับคนปกาเกอะญอเองก็ไม่สามารถ อธิบายรายละเอียดด้วยภาษาไทยได้อย่างชัดเจน จึงท้าให้มีการ ตีความหมายผิดเพ้ียนและใช้ค้าว่าผี อย่างผิดๆ มาโดยตลอด การ ส่ือสารความหมายท่ีผิดเพ้ียนนั้นท้าให้มุมมองคนรุ่นใหม่ในสังคมป กาเกอะญอท่ีมีต่อ เก่อจา่ ออกไปในเชิงลบว่าเป็นผี ที่เป็นผู้ร้ายด้วย ส่งผลให้ความเคารพย้าเกรงเจ้าน้า เจ้าป่า เจ้าเขา เริ่มน้อยลงไป ด้วยเชน่ กัน พ้ืนที่ขุนน้าหรือภาษาปกาเกอะญอเรียกว่า “ที คว่า คี” เป็นพ้ืนท่ีป่าชื้น พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพ้ืนท่ีหวงห้าม เป็นพื้นท่ีซับน้า ซ่ึงถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของชุมชนปกาเกอะญอ แต่ในพ้ืนที่เหล่านี้ใช่ ว่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์แล้วไม่สามารถไปแตะต้องใช้ประโยชน์ได้เลย คนปกาเกอะญอยังคงใช้ประโยชน์จากพื้นท่ีน้ีตามความเหมาะสม โดยคา้ นงึ ถึงผลกระทบต่อธรรมชาตแิ ละระบบนิเวศอย่างระมัดระวัง ยกเว้นพ้ืนท่ีเปราะบางที่ส่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อการสูญเสียน้า ภาษา ปกาเกอะญอเรยี กว่า “ดูตะ” พื้นที่เหล่าน้ีมีมากในเขตป่าขุน นา้ หรือทีคว่าคี เป็นพน้ื ทีห่ า้ มท้ากิน คนปกาเกอะญอได้จ้าแนกพ้ืนที่ อนุรักษ์อย่างละเอียดชัดเจนโดยท่ีพื้นที่แต่ละท่ี แต่ละแห่งต่างมี ความหมายและความส้าคัญตามรายละเอียดตามลักษณะพ้ืนท่ี ดงั เช่น - ปก่า เก่อ ชอ โร แม หรือป่างาช้างสองงามาประกบเป็น พนื้ ทปี่ ่าทีม่ ีล้าห้วย 2 สายมาบรรจบกันคล้าย ๆ กับงาช้างสองงามา ประกบกับป่าประเภทนี้อยู่กระจายตามพ้ืนท่ีขุนน้าของชุมชนปกา
41 เกอะญอบ้านแจ่มน้อย พื้นท่ีน้ีตามความเช่ือของคนปกาเกอะญอ เชือ่ ว่า เป็นน้าบ่อ ของทีเก่อจ่าหรือเจ้าน้า หากใครมาท้ากินบริเวณ นี้ถือว่ามาท้ากินทับที่น้าบ่อของทีเก่อจ่า จะท้าให้ที เก่อจ่าโกรธ อาจท้าให้คนท่ีละเมิดและคนในครอบครัวกลายเป็นผีบ้า ผีบอ เสีย สติข้ึนมาได้ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต รวมทั้งความเชื่อคนป กาเกอะญอที่ไม่ถมน้าบ่อจึงถือว่าพื้นที่นี้ไม่สามารถท้ากินได้ เม่ือท้า กินแล้วทา้ ใหน้ า้ แห้งกเ็ หมอื นถมบ่อนา้ ทา้ ใหท้ า้ มาหากินไม่ขึ้น จึงท้า ให้คนปกาเกอะญอไม่กล้าท่ีจะไปรุกรานหรือท้ากินในบริเวณน้ี รวมทั้งพ้ืนท่ีน้ีไม่สามารถจับสัตว์น้าในบริเวณน้ีได้ เน่ืองจากสัตว์น้า บริเวณนเ้ี ป็นสตั ว์เลยี้ งของทเี ก่อจ่า หากใครจับไปรับประทานจะท้า ให้เลือดก้าเดาไหลไม่หยุดและเสียชีวิตในท่ีสุด พื้นที่นี้จึงเป็นแหล่ง อนบุ าลพนั ธุ์สัตว์น้าทปี่ ลอดภยั - ปก่า ที เป่อ ถ่อ หรือ โหน่ ช่อ โข่ หรือพ้ืนท่ีขั้วหัวโคลน เป็นที่อยู่ในพื้นที่บริเวณน้า มีลักษณะเป็นโคลนผสมน้าขนาดใหญ่ เวลาเหยียบ จุดใดจุดหนึง่ จะทา้ ให้ผนื โคลนทั้งหมดเคลื่อนไหว้ พื้นที่ ใกล้เคียงบริเวณเหล่าน้ีเป็นพ้ืนท่ีห้ามท้ากิน รวมทั้ง ห้ามจับสัตว์น้า พื้นที่บริเวณน้ีชาวปกาเกอะญอมีความเช่ือว่าเป็นที่อาบน้าของที เก่อจ่า เพราะฉะนั้นโอกาสท่ีจะพบเจอที เก่อจ่า บริวารน้ันมีมาก บรเิ วณนี้หากเดก็ ไปเล่นนา้ โดยท่ีไม่มีการขออนุญาตหรือโดยพลการ จะท้าให้เกิดอาการไม่สบายและจะรักษาไม่หายจนกว่าจะไปท้าพิธี ขอขมาที เก่อจ่า ในบริเวณที เป่อ ถ่อ ชาวปกาเกอะญอจึง หลกี เลย่ี งและกา้ ชบั เดก็ ไม่ให้เข้าใกล้ปา่ ท่ีมลี ักษณะ ปก่า ที เป่อ ถ่อ หรอื โหน่ ช่อ โข่ โดยไม่จ้าเปน็ อยา่ งเด็ดขาด
42 - ปก่า เดะ หมื่อ เบอ หรือ บริเวณป่าท่ีมีลักษณะคล้ายกับ เขยี ดแลวฟักไข่ คนปกาเกอะญอเรียกเขียดแลวว่า เดะหม่ือ เป็นป่า ท่ีข้ึนบนเนินลักษณะคล้ายกับเต่า มีน้าล้อมรอบ มีน้าขังตลอดปี บริเวณรอบจะเป็นป่าชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ พันธ์ุไม้มากมาย บริเวณเหล่านี้เป็นพ้ืนที่ที่ห้ามใช้ประโยชน์ท้ากิน แต่สามารถสัญจร ผ่านไปมาได้ แต่ไม่สามารถจับสัตว์น้าได้ โดยเฉพาะเขียดแลวนั้น แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด พ้ืนท่ีน้ีใครจับสัตว์น้าหรือท้ากินจะมีโทษ สถานเดยี วคือเสยี ชีวิต บริเวณน้ีบางครงั้ จะมสี ัตวป์ ่าลงมากินน้าแล้ว เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า คนปกาเกอะญอจึงเกรงกลัวพ้ืนที่เหล่านี้ ไม่ กลา้ บกุ เบกิ เป็นท่ที ้ากิน หรอื ตดั โค่นตน้ ไม้ - ปกา่ ต่า เด โดะ หรือป่ากิ่วลมใหญ่เป็นลักษณะกิ่วดอยที่ มีลมพัดแรง เป็นป่าบริเวณภูเขา 2 ลูก มาต่อกันเป็นบริเวณกว้าง คนปกาเกอะญอมีความเชื่อว่า ป่าลักษณะน้ีเป็นเส้นทางสัญจร ของต่าหม่ือฆก่าหรือผี ห้ามท้ากินหรือต้ังบ้านเรือน เพราะอาจพบ เจอ ต่าหม่อฆก่า ได้ง่าย ต่าหมื่อฆก่าอาจท้าให้เจ็บป่วย หรือ เสียชีวิตได้ แต่บริเวณน้ีสามารถเก็บของป่าเช่น เห็ดต่างๆ บางครั้ง บางคราวได้ สามารถล่าสตั ว์ในบริเวณใกล้เคียงได้ แต่ไม่สามารถตัด ตน้ ไม้ไปใช้ประโยชนไ์ ด้หรอื เปน็ ท่ีทา้ กนิ ได้ นอกจากน้ียังมีข้อจ้ากัดปลีกย่อยที่เป็นความเช่ืออีก มากมายที่เปน็ ขอ้ ห้ามในการท้ากินในพื้นที่เขตขุดน้าเช่น พ้ืนท่ีที่หมี เคยท้ารัง พ้ืนท่ีที่เคยมีคนตาย เป็นต้น ความเช่ือเหล่านี้ถ่ายทอด กันหลายระดับทั้งในระดับครัวเรือนพ่อแม่ส่ังสอนลูก ในระดับ ชุมชนผ่านพื้นท่ีปฏบิ ตั ิจริงในการแลกเปล่ียนช่วยเหลือแรงงาน การ สนทนาพูดคุยตามบ้านเรือน ตลอดจนการได้เห็นเหตุการณ์จริงที่
43 เกดิ ขึ้น เช่น เมื่อ 7 ปีท่ีผ่านมามีช่าวปกาเกอะญอคนหน่ึงไปบุกเบิก ที่ท้ากินในพ้ืนท่ีที่เป็นลักษณะ ปก่า เก่อ ชอ โร แม หรือสายน้า 2 สายมาบรรจบกัน คนในชุมชนห้าม เตือนก่อน แต่ไม่ยอมฟัง ใน ระหว่างท่ีท้างาน น้องชายไปช่วยงานเขาได้โค่นต้นไม้ล้มทับตัวเขา จนคอหกั ผู้อาวุโสในหมูบ่ ้านจงึ ลงความเห็นว่าเพราะไปละเมิดพื้นท่ี ต้องห้าม เหตุการณ์เหล่าน้ีได้ตอกย้าความเช่ือของชุมชนท่ีเก่ียวกับ พน้ื ท่ีต้องหา้ มให้คนรนุ่ หลังได้เกรงกลัวและปฏิบตั ิตามสบื ต่อไป พื้นที่เขตขุนน้าหรือ ที คว่า คีนี้ บางชุมชนในพ้ืนท่ีมือเจะคี ได้มีการน้าร่องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พื้นท่ีร่วมกับหน่วยงาน รัฐเช่นกัน เช่น การร่วมกันท้าฝายชะลอน้าในพ้ืนที่ต้นน้า ร่วมกัน เดนิ ส้ารวจพน้ื ท่ปี ่าเพือ่ ตรวจสอบการบกุ รุกจากภายนอก เก่อ ชอ ที : ชา้ งนา้ ตา้ นานความเช่ือทีส่ ่งผลต่อการดูแล รักษาลา้ นา้ เก่อชอที หรือช้างน้า เป็นหน่ึงในการช้ีวัดความอุดม สมบูรณ์ตามวิสัยทัศน์ของชุมชนปกาเกอะญอ แม่น้าสายไหนที่ว่า กันว่ามีช้างน้า จะได้รับการปกป้องเป็นพิเศษ ในความเชื่อปกา เกอะญอ เก่อชอที เป็นสัตว์น้าท่ีมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับช้าง แต่ มีขนาดที่เล็กกว่าและเป็นพญาช้าง อารยส่วนที่ได้รับความเล่ืองลือ มากที่สุดคอื งาช้างน้า คนปกาเกอะญอได้รับการยอมรับควาญช้าง ที่มีฝีมืออันดับต้น ๆ ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าคนปกา เกอะญอท่ีประเทศพม่า หรือว่าประเทศไทย ก็ล้วนสัมพันธ์กับช้าง โดยจะน้าเป็นพาหนะในการด้ารงชีวิตเช่น การชักลากจูง การไถ คราด การเดินทาง ช้างนั้นเป็นสัตว์ที่มีหัวใจ ไม่ใช่พาหนะที่เป็น
44 เคร่ืองยนต์เครื่องจักรดั่งเช่น รถยนต์ รถไถ ในยุคปัจจุบัน เพราะฉะน้ันการอยู่กับช้างก็ต้องเรียนรู้อารมณ์ อุปนิสัยใจคอของ ช้าง ช้างบางเชือกเช่ือง บางเชือกดื้อและเกเร ฉะน้ัน ควาญช้าง จะต้องสามารถควบคุม และจัดการอารมณ์ของช้างได้ ไม่ว่าจะอยู่ ในสถานการณ์ใด โดยเฉพาะช่วงที่ช้างตกมันเป็นช่วงท่ีอันตราย การท่ีจะก้าหรับช้างที่ตกมัน หรือช้างท่ีเกเร ด้ือ ได้นั้น จึงต้องใช้ อาวุธ เพราะล้าพังก้าลังคนไม่สามารถต่อกรกับช้างได้ อาวุธส่วน ใหญ่จะเป็นตะขอแหลม แต่มีส่ิงหน่ึงที่ว่ากันว่า สามารถท้าให้ช้าง ตกมันถึงกับสงบเสงี่ยม ส่างจากตกมันได้คือ งาช้างน้า เน่ืองจาก ช้างน้าเป็นพญาช้างน่ันเอง ว่ากันว่า หากน้างาช้างน้าไปขีดไว้บน ดิน ทสี่ ัญจรของชา้ งบก เมอ่ื ช้างบกเดินไปจนถงึ บริเวณที่ถูกขีดด้วย งาช้างน้า ช้างบกจะไม่กล้าข้ามรอยขีดน้ัน เนื่องจากเกรงกลัวพลัง อ้านาจของช้างน้าน่ันเอง เพราะฉะนั้นหากมีงาช้างน้า พกอยู่ในตัว จะสามารถจดั การช้างที่ตกมันให้กลับมาสงบเสงี่ยมได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นส่ิงที่ควาญช้างต่างปรารถนาจะได้มาอยู่ในการครอบครอง แต่การซง่ึ ได้งาชา้ งน้าไม่เป็นเรื่องง่าย บริเวณท่ีช้างน้าอาศัยอยู่ มักจะอยู่ไม่อยู่บริเวณต้นของ สายน้า จะอยู่กลาง ๆ สายน้าท่ีเป็นวังน้า และมีต้นไม้ยืนต้น ใหญ่ ๆ ท่ีม่ันคงแข็งแรง การท่ีจะสังเกตว่ามีช้างน้าอาศัยอยู่หรือไม่ ต้อง ดูว่าในวังน้าตรงนั้นมีสัตว์อื่น ๆ ที่เป็นบริวารของช้างน้า ได้แก่ ตะพาบน้า ปลาพวง เขียดแลว และปลาหลิม ในช่วงหน้าแล้ง หาก ช้างน้าออกมาเล่นน้า บริเวณน้าท่ีอยู่เหนือจากต้าแหน่งที่ช้างน้า อาศยั อยู่ น้าจะไม่ขุ่น แต่บริเวณต้าแหน่งต้ังแต่ช้างน้าอาศัยอยู่ น้า จะขุ่นเหมือนเป็นสแี ดงตลอดลา้ หว้ ย ว่ากันว่าถ้าช้างน้าอาศัยอยู่ใน
45 บริเวณใด บริเวณน้ันจะไม่มีภูตผีปีศาจเข้ามาใกล้ หากจะมีการต้ัง ชมุ ชนใกล้ ๆ บริเวณเหล่าน้ันจะปลอดภัยแต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า ไม่ควร ไปรบกวนที่อยู่ของช้างน้าอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้น ช้างน้าอาจจะหนี ยา้ ยท่ไี ปอยทู่ ีอ่ ่ืน กฎเกณฑใ์ นการดูแลช้างน้า คอื อย่าจับบริเวณของช้างน้า ตั้งแต่บริเวณต้าแหน่งที่ช้างน้าอาศัยอยู่ข้ึนทางเหนือจนถึงบริเวณ ตน้ น้า แตส่ ามารถจับบริวารของช้างน้า ตั้งแต่บริเวณท่ีช้างน้าอาศัย อยู่ลงไปทางท้ายน้าในอดีตแม่น้าในชุมชนปกาเกอะญอแห่งใดท่ีร่้า ลอื ว่า มีช้างน้าอยู่ จากต้าแหน่งท่ีบริเวณช้างน้าอาศัยอยู่ขึ้นไปทาง เหนือจนถึงตน้ น้าจะมีความอดุ มสมบูรณ์ เน่ืองจากได้รับการปกป้อง ดูแลอย่างระมัดระวังจากคนในชุมชนเป็นอย่างดี ในพ้ืนทีมือเจะคี มอื เจะโพโกละ หรอื แมน่ ้าแจม่ กลาง ตรงบริเวณมือเจะโพถ่า หรือ สบแจ่มกลาง ใต้ต้นมะพร้าวป่า ร่้าลือกันว่าเป็นที่อยู่ของช้างน้า เพราะฉะน้ันบริเวณล้าน้ามือเจะโพโกละ เป็นล้าน้าที่คนมือเจะคี ต่างดูแล พิทักษ์เป็นอย่างดี เคยมีผู้มีเวทมนต์คาถาจะมาจับเอา ชา้ งนา้ เพ่ือน้าเอางาช้างน้า แต่คนในชุมชนบ้านมอถ่า ไม่อนุญาตให้ จับช้างน้าท้ังตัว ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้ได้หาทางออกโดยการให้ไป ตัดต้นกล้วยป่ามาแล้วลงคาถาอาคมไว้ที่ต้นกล้วยป่า รอจนกระท่ัง ช้างน้าออกมาเล่นน้า และให้เอาต้นกล้วยป่าเสียบลงในบริเวณที่ ช้างน้าเลน่ น้า ดว้ ยความทีเ่ ป็นสัตวท์ ด่ี รุ า้ ย มนั จะไปแทงตน้ กล้วยป่า ทลี่ งคาถาอาคมนั้นไว้ คาถาอาคมส่งผลท้าให้งาของช้างน้าหลุดออก และติดมากับต้นกล้วยป่า จึงเป็นการที่ไม่ฆ่าช้างน้าเพียงแต่เป็นกา รสเดาะงาของชา้ งน้าแคน่ ้นั เอง ถอื เปน็ เคล็ดลับหน่ึงในการได้มาซ่ึง งาของชา้ งน้าโดยท่ไี ม่ท้าใหช้ ้างน้าตาย
46 หญ่าหร่ีวา / ตีตูวา สัตว์ในความเชื่อเรื่องน้ําของคนปกา เกอะญอ หญ่าหร่ีวา คือ ปลาก้างเผือก ตีตูวา คือ ปลาไหลเผือก คนปกาเกอะญอมคี วามเชอ่ื วา่ หากล้าหว้ ยไหนมปี ลาไหลเผือก หรือ ปลาก้างเผือก จะต้องระมัดระวังในการใช้ล้าห้วยน้ันให้มาก เพราะ แสดงว่าท่ีนั่นเป็นที่อยู่ของเทพแห่งน้า หากใช้โดยไม่มีการ ระมัดระวัง ถือว่าเป็นการรบกวนเทพแห่งน้า อาจท้าให้เทพแห่งน้า รู้สึกร้าคัญและหนีไปอยู่ท่ีอ่ืน ในท่ีสุดเทพแห่งน้าก็จะไม่อ้านวย น้าท่าใหไ้ หลเป็นอย่างท่เี ปน็ มา ในพ้ืนท่ีมือเจะคี มีหลายพื้นท่ีที่ว่ากันว่ามีหญ่าหร่ีวา และ ตีตวู า อาศัยอยู่ หน่ึงในนั้นคอื พืน้ ทีก่ ารไหลบรรจบกันระหว่าง หว่า ซึโข่โกละ กับ โกะแชแยโกละ ในพ้ืนท่ีรอยต่อระหว่างบ้านห้วยบง กบั บ้านก่วิ โปง่ บริเวณพ้นื ทีช่ มุ ชนได้บกุ เบิกเป็นที่นาและในริมทุ่งน้า น้ันไดม้ บี ่อนา้ เลก็ ๆ บ่อหนึ่ง ซ่ึงว่ากันว่ามีปลาไหลเผือกอาศัยอยู่ใน บ่อน้าแห่งน้ัน ส่ิงทีวิเศษของบ่อน้าแห่งน้ันคือ แม้ว่าน้าในบริเวณ รอบ ๆจะแห้งหมด แต่ทว่าบริเวณในน้าบ่อ น้าไม่เคยแห้งเลย ท้า ให้คนในชุมชนมีความเชื่อกันว่า เพราะมีปลาไหลเผือกอาศัยอยู่ที่ นัน่ น่นั เอง
47 มีข้อห้ามส้าหรับปลาก้างเผือกกับปลาไหลเผือก คือ ห้ามน้าไป รับประทานหรือฆ่าเด็ดขาด มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อประมาณ 30 ปี ก่อน ท่ีบ้านห้วยบง ได้มีชายคนหนึ่งได้จับปลาไหลเผือกในบ่อน้า แล้วไปรับประทาน โดยร่วมกันกินกับเพ่ือนอีกคนจากน้ันเพียงไม่กิ ช่ัวโมง เลือกก้าเดาท้ังสองจึงเริ่มไหล แต่คนหน่ึงรู้ตัวว่าได้ท้าผิดกฎ ต่อเทพแห่งน้า จึงไปท้าพิธีขอขมาต่อเทพแห่งน้าท่ีน้าบ่อ จากน้ัน อาการเลือดก้าเดาออกก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงและอาการหายในท่ีสุด แต่อีกคนไม่ยอมไปท้าพิธีขอขมาต่อเทพแห่งน้าอาการเลือดก้าเดา ไหล ไม่ยอมหยุด จนกระท่ังตัว ซูปซีด จากการเสียเลือดในร่างกาย มากในที่สุดเมื่อเลือดก้าเดาหยุดไหล เขาก็สิ้นลมด้วยเช่นกัน เหตุการณ์คราวนั้นย่ิงท้าให้คนในชุมชนให้การเคารพย้าเกรงต่อที เก่อจ่า หรอื เทพแห่งน้ามากขึ้น การท่ีทรัพยากรน้าในพ้ืนที่มือเจะคียังคงไหลอยู่น้ี ปฏิเสธ ไม่ไดว้ ่าวสิ ยั ทัศน์ของคนปกาเกอะญอนั้นเป็นไม้ค้ายันอันหนึ่งที่คอย การขูดรีดทรัพยากรน้ายังไร้ขอบเขตน้ันชะลอลง เพราะท้ายท่ีสุด แ ล้ ว ค น ป ก า เ ก อ ะ ญ อ ยั ง ค ง มี จิ ต ส้ า นึ ก ท่ี ว่ า ด้ ว ย น้ า ห รื อ ทรพั ยากรธรรมชาตคิ ือชวี ิต หรือ ต่าโอะมู หลงเหลืออยู่บ้าง แม้จะ ไม่เข้มข้นเหมือนเช่นในอดีต ดังผู้อาวุโสในชุมชนมือเจะคีคนหน่ึง กลา่ ววา่ “ทรัพยากรธรรมชาติก็เหมือนชีวิตเรานี่แหละ ถ้ามันเสื่อม โทรมหรือหมดไปเราก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ จะเอาน้าท่ีไหนมาท้านา เอา ไม้ที่ไหนมาสรา้ งบา้ น มาท้าฟนื ท้ามาหากินไม่ไดแ้ ลว้ ถ้าไม่มียงั ไงก็
Search