๓. ท๎วตั ตงิ สาการปาฐะ (คาํ แสดงอาการ ๓๒ ในรา งกาย) (หนั ทะ มะยงั ทว๎ ตั ตงิ สาการะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราท้ังหลาย จงกลาวคาํ แสดงอาการ ๓๒ ในรา งกายเถดิ .) อตั ถิ อมิ สั ม๎ งิ กาเย, ในรางกายน้ีม:ี – เกสา, ผมทงั้ หลาย; โลมา, ขนทง้ั หลาย; นะขา, เลบ็ ท้งั หลาย; ทนั ตา, ฟน ทง้ั หลาย; ตะโจ, หนัง; มงั สงั , เนอื้ ; นะหาร,ู เอน็ ทง้ั หลาย; อัฏฐ,ี กระดกู ทงั้ หลาย; อัฏฐมิ ญิ ชงั , เย่ือในกระดูก; วักกงั , ไต; หะทะยงั , หวั ใจ; ยะกะนงั , ตับ; กโิ ลมะกงั , พงั ผืด; ปหะกงั , มาม; ปป ผาสงั , ปอด; อันตัง, ลาํ ไส; อันตะคุณงั , ลาํ ไสสดุ ; อทุ ะรยิ งั , อาหารในกระเพาะ; กะรสี ัง, อุจจาระ; ปต ตงั , น้าํ ด;ี เสมหงั , เสลด; ปพุ โพ, หนอง; โลหติ งั , โลหติ ; เสโท, เหง่อื ; เมโท, มัน; อสั ส,ุ น้ําตา; วะสา, นํา้ เหลือง; เขโฬ, นา้ํ ลาย; สงิ ฆาณกิ า, นํ้าเมอื ก; ละสกิ า, น้าํ ล่ืนหลอขอ; มตุ ตงั , นาํ้ มตู ร; เยอื่ มันสมอง ในกระโหลกศรี ษะ; มตั ถะเก มตั ถะลงุ คงั , อิต.ิ ดังน้ีแล.
๔. เขมาเขมสรณทปี กคาถา (คาถาแสดงสรณะอนั เกษมและไมเ กษม) (หนั ทะ มะยงั เขมาเขมะสะระณะทปี ก ะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย จงกลาวคาถาแสดงสรณะอนั เกษมและไมเกษมเถิด.) พะหงุ เว สะระณงั ยนั ติ ปพ พะตานิ วะนานิ จะ, อารามะรกุ ขะเจตย๎ านิ มะนสุ สา ภะยะตชั ชิตา, มนุษยเ ปน อนั มาก เม่อื เกิดมภี ัยคุกคามแลว, ก็ถือเอาภเู ขาบา ง ปาไมบ าง, อารามและรกุ ขเจดียบา ง เปนสรณะ; เนตัง โข สะระณัง เขมงั เนตัง สะระณะมตุ ตะมงั , เนตงั สะระณะมาคมั มะ สพั พะทกุ ขา ปะมจุ จะต,ิ น่นั มใิ ชส รณะอนั เกษมเลย, นั่น มิใชสรณะอนั สูงสดุ , เขาอาศัยสรณะนนั่ แลว ยอ มไมพน จากทุกขทงั้ ปวงได; โย จะ พทุ ธญั จะ ธมั มญั จะ สงั ฆญั จะ สะระณงั คะโต, จตั ตาริ อะรยิ ะสจั จานิ สมั มปั ปญ ญายะ ปส สะต,ิ สว นผใู ดถือเอาพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะแลว , เห็นอรยิ สัจจ คือความจรงิ อันประเสริฐ ๔ ดว ยปญ ญาอันชอบ; ทกุ ขงั ทกุ ขะสะมปุ ปาทัง ทกุ ขสั สะ จะ อะติกกะมงั , อะรยิ ญั จฏั ฐงั คกิ งั มคั คงั ทกุ ขปู ะสะมะคามนิ ัง, คือเห็นความทกุ ข, เหตใุ หเกดิ ทกุ ข, ความกา วลวงทุกขเ สยี ได, และหนทางมอี งค ๘ อันประเสรฐิ เครือ่ งถงึ ความระงบั ทุกข;
เอตงั โข สะระณงั เขมงั เอตงั สะระณะมตุ ตะมงั , เอตงั สะระณะมาคมั มะ สพั พะทกุ ขา ปะมจุ จะต.ิ น่นั แหละ เปน สรณะอนั เกษม, นัน่ เปนสรณะอันสงู สุด, เขาอาศัยสรณะนนั่ แลว ยอ มพน จากทุกขท ้ังปวงได. ๕. อรยิ ธนคาถา (คาถาสรรเสรญิ พระอรยิ เจา ) (หนั ทะ มะยงั อะรยิ ะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถดิ เราท้ังหลาย จงกลา วคาถาสรรเสรญิ พระอริยเจา เถดิ .) ยสั สะ สทั ธา ตะถาคะเต อะจะลา สปุ ะตฏิ ฐติ า, ศรทั ธา ในพระตถาคตของผใู ด ตง้ั มนั่ อยา งดี ไมหว่นั ไหว; สีลญั จะ ยัสสะ กลั ย๎ าณงั อะรยิ ะกนั ตงั ปะสงั สติ งั , และศีลของผใู ดงดงาม เปนท่ีสรรเสริญทีพ่ อใจ ของพระอริยเจา ; สงั เฆ ปะสาโท ยสั สตั ถิ อชุ ภุ ตู ญั จะ ทสั สะนงั , ความเลอ่ื มใสของผใู ดมใี นพระสงฆ, และความเหน็ ของผใู ดตรง; อะทะฬทิ โทติ ตงั อาหุ อะโมฆนั ตัสสะ ชวี ิตงั , บัณฑิตกลา วเรยี กเขาผูน นั้ วา คนไมจ น, ชวี ิตของเขาไมเปน หมนั ; ตัสม๎ า สทั ธัญจะ สีลญั จะ ปะสาทงั ธมั มะทสั สะนงั , อะนยุ ญุ เชถะ เมธาวี สะรงั พทุ ธานะสาสะนงั . เพราะฉะนั้น เมือ่ ระลึกได ถึงคําสงั่ สอนของพระพทุ ธเจาอยู, ผมู ปี ญ ญาควรกอ สรางศรทั ธา ศลี ความเลอื่ มใส และความเห็นธรรมใหเ นอื งๆ.
๖. ตลิ กั ขณาทคิ าถา (คาถาแสดงพระไตรลกั ษณ) (หนั ทะ มะยงั ตลิ กั ขะณาทคิ าถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแสดงพระไตรลกั ษณเปน เบ้ืองตนเถดิ .) สพั เพ สงั ขารา อะนจิ จาติ ยะทา ปญ ญายะ ปส สะต,ิ เม่ือใด บคุ คลเห็นดวยปญ ญาวา สงั ขารทัง้ ปวงไมเ ที่ยง; อะถะ นพิ พนิ ทะติ ทกุ เข เอสะ มคั โค วสิ ทุ ธิยา, เมอื่ น้นั ยอมเหนอ่ื ยหนา ยในสง่ิ ท่ีเปน ทุกข ทตี่ นหลง, นั่นแหละ เปนทางแหงพระนพิ พาน อันเปน ธรรมหมดจด; สพั เพ สงั ขารา ทกุ ขาติ ยะทา ปญ ญายะ ปส สะต,ิ เมือ่ ใด บุคคลเหน็ ดว ยปญญาวา สงั ขารท้งั ปวงเปน ทุกข; อะถะ นพิ พนิ ทะติ ทกุ เข เอสะ มคั โค วสิ ทุ ธยิ า, เม่อื นน้ั ยอ มเหนอ่ื ยหนา ยในส่งิ ทเี่ ปน ทกุ ข ท่ตี นหลง, นน้ั แหละ เปนทางแหงพระนิพพาน อันเปน ธรรมหมดจด; สพั เพ ธมั มา อะนตั ตาติ ยะทา ปญ ญายะ ปส สะต,ิ เมื่อใด บคุ คลเหน็ ดวยปญ ญาวา ธรรมท้ังปวงเปน อนตั ตา; อะถะ นพิ พนิ ทะติ ทกุ เข เอสะ มคั โค วสิ ทุ ธยิ า, เม่ือน้นั ยอ มเหนื่อยหนายในสง่ิ ที่เปนทกุ ข ทตี่ นหลง, นั่นแหละ เปน ทางแหงพระนพิ พาน อนั เปน ธรรมหมดจด; อัปปะกา เต มะนสุ เสสุ เย ชะนา ปาระคามโิ น, ในหมมู นุษยท ้ังหลาย, ผูท่ีถงึ ฝงแหงพระนพิ พานมนี อ ยนัก;
อะถายงั อติ ะรา ปะชา ตรี ะเมวานธุ าวะต,ิ หมมู นษุ ยน อกน้ัน ยอมวง่ิ เลาะอยตู ามฝงในนเี้ อง; เย จะ โข สมั มะทกั ขาเต ธมั เม ธมั มานุวตั ตโิ น, กช็ นเหลาใด ประพฤติสมควรแกธ รรม ในธรรมท่ตี รัสไวช อบแลว ; เต ชะนา ปาระเมสสนั ติ มจั จเุ ธยยงั สทุ ตุ ตะรงั , ชนเหลาน้นั จักถงึ ฝงแหงพระนพิ พาน, ขา มพน บว งแหง มจั จุ ที่ขา มไดย ากนัก; กณั ห๎ ัง ธมั มงั วปิ ปะหายะ สกุ กงั ภาเวถะปณ ฑโิ ต, จงเปนบณั ฑติ ละธรรมดําเสยี แลวเจรญิ ธรรมขาว; โอกา อะโนกะมาคมั มะ วเิ วเก ยตั ถะ ทรู ะมงั , ตตั ร๎ าภริ ะตมิ จิ เฉยยะ หิตว๎ า กาเม อะกิญจะโน. จงมาถึงทีไ่ มมนี ํ้า จากทีม่ นี าํ้ , จงละกามเสยี , เปน ผูไมมคี วามกังวล, จงยนิ ดีเฉพาะตอพระนพิ พาน อนั เปน ทส่ี งัด ซ่ึงสตั วยนิ ดีไดโ ดยยาก.
๗. ภารสตุ ตคาถา (คาถาแสดงภารสตู ร) (หนั ทะ มะยงั ภาระสตุ ตะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทั้งหลาย จงกลา วคาถาแสดงภารสตู รเถิด.) ภารา หะเว ปญ จกั ขนั ธา, ขันธท ้ัง ๕ เปน ของหนกั เนอ; ภาระหาโร จะ ปคุ คะโล, บุคคลแหละ เปน ผูแบกของหนักพาไป; ภาราทานงั ทกุ ขงั โลเก, การแบกถือของหนกั เปน ความทกุ ข ในโลก; ภาระนกิ เขปะนงั สุขงั , การสลดั ของหนกั ท้งิ ลงเสยี เปนความสขุ ; นิกขปิ ตว๎ า คะรงุ ภารงั , พระอริยเจา สลัดทง้ิ ของหนกั ลงเสียแลว ; อัญญงั ภารัง อะนาทยิ ะ, ทัง้ ไมหยบิ ฉวยเอาของหนักอันอื่น ขนึ้ มาอกี ; สะมลู ัง ตณั ห๎ งั อพั พยุ ๎หะ, กเ็ ปน ผูถอนตณั หาข้ึนได กระทง่ั ราก; นจิ ฉาโต ปะรนิ พิ พโุ ต. เปนผหู มดสง่ิ ปรารถนา ดับสนทิ ไมม สี ว นเหลือ.
๘. ภัทเทกรตั ตคาถา (คาถาแสดงผมู รี าตรเี ดยี วเจรญิ ) (หนั ทะ มะยงั ภทั เทกะรตั ตะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราท้งั หลาย จงกลา วคาถาแสดงผมู รี าตรีเดียวเจริญเถดิ .) อะตีตงั นานว๎ าคะเมยยะ นปั ปะฏกิ งั เข อะนาคะตงั , บคุ คลไมควรตามคิดถึงสิ่งท่ลี ว งไปแลว ดว ยอาลัย, และไมพ งึ พะวงถงึ สง่ิ ที่ยังไมมาถึง; ยะทะตตี มั ปะหนี นั ตัง อปั ปต ตญั จะ อะนาคะตงั , สิ่งเปน อดีตก็ละไปแลว, สิง่ เปน อนาคตกย็ ังไมม า; ปจ จปุ ปน นัญจะ โย ธมั มงั ตัตถะ ตตั ถะ วปิ ส สะต,ิ อะสงั หริ งั อะสงั กปุ ปง ตงั วทิ ธา มะนพุ ร๎ หู ะเย, ผูใ ดเหน็ ธรรมอนั เกดิ ขนึ้ เฉพาะหนา ในท่นี ่ันๆ อยา งแจมแจง, ไมงอ นแงนคลอนแคลน, เขาควรพอกพนู อาการเชนนน้ั ไว; อชั เชวะ กิจจะมาตปั ปง โก ชญั ญา มะระณัง สเุ ว, ความเพยี รเปน กจิ ทีต่ อ งทาํ วันน,้ี ใครจะรคู วามตาย แมพ รงุ นี้; นะ หิ โน สังคะรนั เตนะ มะหาเสเนนะ มจั จนุ า, เพราะการผดั เพ้ยี นตอมจั จรุ าชซ่ึงมเี สนามาก ยอ มไมมสี าํ หรบั เรา; เอวังวหิ ารมิ าตาปง อะโหรตั ตะมะตนั ทติ งั , ตัง เว ภทั เทกะรตั โตติ สนั โต อาจกิ ขะเต มนุ .ิ มนุ ีผสู งบ ยอ มกลา วเรยี ก ผมู คี วามเพยี รอยเู ชนน้ัน, ไมเ กยี จครานทั้งกลางวันกลางคนื วา, “ผูเ ปน อยูแมเ พยี งราตรเี ดียว ก็นา ชม”.
๙. ธัมมคารวาทคิ าถา (คาถาแสดงความเคารพพระธรรม) (หนั ทะ มะยงั ธมั มะคาระวาทคิ าถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราท้งั หลาย จงกลาวคาถาแสดงความเคารพพระธรรมเถดิ .) เย จะ อะตตี า สมั พทุ ธา เย จะ พทุ ธา อะนาคะตา, โย เจตะระหิ สมั พทุ โธ พะหนุ นงั โสกะนาสะโน, พระพทุ ธเจาบรรดาทีล่ ว งไปแลว ดว ย, ท่ียงั ไมมาตรสั รดู ว ย, และพระพุทธเจา ผขู จดั โศกของมหาชนในกาลบัดนด้ี ว ย; สพั เพ สทั ธมั มะคะรโุ น วหิ ะรงิ สุ วิหาติ จะ, อะถาป วหิ ะรสิ สนั ติ เอสา พทุ ธานะธมั มะตา, พระพทุ ธเจา ท้ังปวงนน้ั ทกุ พระองค เคารพพระธรรม, ไดเ ปนมาแลว ดวย, กําลงั เปนอยดู ว ย, และจักเปน ดวย, เพราะธรรมดาของพระพทุ ธเจาทง้ั หลาย เปน เชนนน้ั เอง; ตัสม๎ า หิ อตั ตะกาเมนะ มะหตั ตะมะภกิ งั ขะตา, สทั ธมั โม คะรกุ าตพั โพ สะรงั พทุ ธานะสาสะนงั , เพราะฉะนน้ั บุคคลผูร กั ตน หวังอยเู ฉพาะคณุ เบอ้ื งสงู , เม่อื ระลกึ ไดถึงคําสั่งสอนของพระพทุ ธเจา อย,ู จงทาํ ความเคารพพระธรรม; นะ หิ ธมั โม อะธมั โม จะ อโุ ภ สะมะวปิ ากโิ น, ธรรมและอธรรม จะมผี ลเหมือนกนั ทงั้ สองอยาง หามไิ ด; อะธมั โม นริ ะยงั เนติ ธมั โม ปาเปติ สุคะติง, อธรรม ยอ มนําไปนรก, ธรรม ยอ มนาํ ใหถ ึงสุคต;ิ
ธมั โม หะเว รกั ขะติ ธมั มะจารงิ , ธรรมแหละ ยอมรักษาผปู ระพฤติธรรมเปน นจิ ; ธมั โม สจุ ิณโณ สขุ ะมาวะหาต,ิ ธรรมทป่ี ระพฤตดิ แี ลว ยอมนําสุขมาใหต น; เอสานสิ งั โส ธมั เม สุจณิ เณ. นเี่ ปนอานสิ งส ในธรรมทตี่ นประพฤติดีแลว .
๑๐. โอวาทปาฏิโมกขคาถา (คาถาแสดงพระโอวาทปาตโิ มกข) (หนั ทะ มะยงั โอวาทะปาตโิ มกขะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทงั้ หลาย จงกลาวคาถาแสดงพระโอวาทปาตโิ มกขเ ถิด.) สพั พะปาปส สะ อะกะระณงั , การไมท าํ บาปทงั้ ปวง; กสุ ะลสั สปู ะสมั ปะทา, การทํากศุ ลใหถ งึ พรอ ม; สะจติ ตะปะรโิ ยทะปะนงั , การชําระจิตของตนใหขาวรอบ; เอตงั พทุ ธานะสาสะนงั . ธรรม ๓ อยา งน้ี เปน คําสั่งสอนของพระพทุ ธเจาทงั้ หลาย. ขนั ตี ปะระมงั ตะโป ตตี กิ ขา, ขันติ คอื ความอดกลั้น เปน ธรรมเครือ่ งเผากเิ ลสอยางยงิ่ ; นพิ พานงั ปะระมงั วะทันติ พทุ ธา, ผรู ทู ้งั หลาย กลา วพระนิพพานวาเปนธรรมอันยิ่ง; นะ หิ ปพ พะชโิ ต ปะรปู ะฆาต,ี ผกู าํ จัดสตั วอ่นื อยู ไมช ือ่ วา เปนบรรพชิตเลย; สะมะโณ โหติ ปะรงั วเิ หฐะยนั โต. ผูท ําสัตวอ นื่ ใหล าํ บากอยู ไมชอื่ วาเปน สมณะเลย.
อะนปู ะวาโท อะนปู ะฆาโต, การไมพ ดู ราย, การไมท าํ รา ย; ปาตโิ มกเข จะ สงั วะโร, การสาํ รวมในปาตโิ มกข; มตั ตญั ตุ า จะ ภตั ตสั ม๎ งิ , ความเปน ผูรูประมาณในการบรโิ ภค; ปน ตญั จะ สะยะนาสะนงั , การนอน การนงั่ ในที่อนั สงัด; อะธจิ ติ เต จะ อาโยโค, ความหมนั่ ประกอบในการทําจิต ใหยง่ิ ; เอตงั พทุ ธานะสาสะนงั . ธรรม ๖ อยางน้ี เปนคําส่ังสอนของพระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย.
๑๑. ปฐมพทุ ธภาสติ คาถา (คาถาพทุ ธภาษติ ครง้ั แรกของพระพทุ ธเจา ) (หนั ทะ มะยงั ปะฐะมะพทุ ธะภาสติ ะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราท้งั หลาย จงกลาวคาถาพุทธภาษติ ครง้ั แรกของพระพุทธเจา เถดิ .) อะเนกะชาตสิ งั สารงั สนั ธาวิสสงั อะนพิ พสิ งั , เม่ือเรายงั ไมพบญาณ, ไดแลนทองเที่ยวไปในสงสารเปนอเนกชาต;ิ คะหะการงั คะเวสนั โต ทกุ ขา ชาติ ปนุ ปั ปนุ งั , แสวงหาอยูซ ึง่ นายชา งปลกู เรือน, คือตณั หาผูสรางภพ, การเกิดทกุ คราว เปน ทกุ ขราํ่ ไป; คะหะการะกะ ทฏิ โฐสิ ปนุ ะ เคหัง นะ กาหะส,ิ น่แี นะ นายชางปลูกเรอื น, เรารูจักเจาเสียแลว , เจา จะทาํ เรอื นใหเ ราไมไ ดอกี ตอ ไป; สพั พา เต ผาสุกา ภคั คา คะหะกฏู งั วิสงั ขะตงั , โครงเรือนทั้งหมดของเจาเราหักเสยี แลว, ยอดเรือนเราก็ร้อื เสยี แลว ; วสิ งั ขาระคะตัง จติ ตัง ตัณหานงั ขะยะมชั ฌะคา. จิตของเราถึงแลวซ่งึ สภาพท่อี ะไรปรงุ แตงไมไดอ กี ตอ ไป, มันไดถงึ แลว ซึ่งความส้นิ ไปแหง ตัณหา, คอื ถงึ นิพพาน.
๑๒. ธาตุปจจเวกขณปาฐะ (คาํ พจิ ารณาปจ จัย ๔ ใหเ หน็ เปน ของไมง าม) (หนั ทะ มะยงั ธาตปุ จ จะเวกขะณะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคําพิจารณาปจจยั ๔ ใหเหน็ เปนของไมง ามเถิด.) (พิจารณาจวี ร) ยะถาปจ จะยงั ปะวัตตะมานงั ธาตมุ ตั ตะเมเวตงั , สิง่ เหลานี้ นเี่ ปน สักวา ธาตตุ ามธรรมชาติเทานั้น, กําลงั เปน ไปตามเหตุตามปจจัยอยเู นอื งนจิ ; ยะททิ งั จีวะรงั , ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล, สิ่งเหลาน้ี คอื จวี ร, และคนผใู ชส อยจีวรนนั้ ; ธาตมุ ตั ตะโก, เปนสกั วา ธาตุตามธรรมชาติ; นสิ สตั โต, มไิ ดเปนสัตวะอันยงั่ ยืน; นชิ ชโี ว, มไิ ดเ ปน ชีวะอันเปน บรุ ษุ บคุ คล; สญุ โญ, วา งเปลา จากความหมายแหง ความเปน ตวั ตน; สพั พานิ ปะนะ อมิ านิ จวี ะรานิ อะชิคจุ ฉะนยี าน,ิ กจ็ วี รทง้ั หมดนี,้ ไมเ ปนของนาเกลยี ดมาแตเดมิ ; อิมงั ปตู กิ ายงั ปต ๎วา, ครั้นมาถกู เขา กับกายอนั เนา อยูเปน นิจนี้แลว ; อะตวิ ยิ ะ ชิคจุ ฉะนียานิ ชายนั ต.ิ ยอมกลายเปนของนา เกลียดอยา งยิง่ ไปดวยกนั .
(พิจารณาอาหาร) ยะถาปจ จะยงั ปะวตั ตะมานงั ธาตมุ ัตตะเมเวตงั , ส่ิงเหลานี้ น่ีเปน สกั วา ธาตตุ ามธรรมชาตเิ ทา นั้น, กําลงั เปน ไปตามเหตตุ ามปจ จัยอยเู นืองนิจ; ยะททิ งั ปณ ฑะปาโต, ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล, ส่ิงเหลาน้ี คอื บณิ ฑบาต, และคนผูบรโิ ภคบณิ ฑบาตนน้ั ; ธาตมุ ตั ตะโก, เปน สกั วา ธาตตุ ามธรรมชาต;ิ นสิ สตั โต, มิไดเ ปนสัตวะอันยง่ั ยืน; นชิ ชโี ว, มไิ ดเ ปน ชวี ะอันเปน บรุ ุษบคุ คล; สญุ โญ, วา งเปลาจากความหมายแหงความเปนตัวตน; สพั โพ ปะนายงั ปณ ฑะปาโต อะชิคจุ ฉะนโี ย, กบ็ ณิ ฑบาตทั้งหมดนี,้ ไมเปน ของนาเกลียดมาแตเ ดิม; อิมงั ปตู กิ ายงั ปต ๎วา, ครั้นมาถกู เขา กับกายอนั เนา อยูเ ปน นจิ นแ้ี ลว ; อะตวิ ยิ ะ ชคิ จุ ฉะนโี ย ชายะต.ิ ยอมกลายเปนของนาเกลียดอยางย่ิงไปดวยกนั .
(พิจารณาทอี่ ยอู าศยั ) ยะถาปจ จะยงั ปะวตั ตะมานงั ธาตมุ ัตตะเมเวตงั , สิ่งเหลา นี้ นีเ่ ปน สกั วาธาตตุ ามธรรมชาตเิ ทานั้น, กําลังเปน ไปตามเหตุตามปจ จยั อยเู นืองนิจ; ยะททิ งั เสนาสะนงั , ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปุคคะโล, ส่งิ เหลา น้ี คือ เสนาสนะ, และคนผใู ชสอยเสนาสนะน้นั ; ธาตมุ ตั ตะโก, เปนสักวา ธาตตุ ามธรรมชาติ; นสิ สตั โต, มไิ ดเปนสัตวะอันย่ังยืน; นชิ ชโี ว, มไิ ดเปนชวี ะอันเปน บรุ ษุ บคุ คล; สญุ โญ, วา งเปลาจากความหมายแหงความเปนตวั ตน; สพั พานิ ปะนะ อมิ านิ เสนาสะนานิ อะชิคจุ ฉะนยี าน,ิ กเ็ สนาสนะทั้งหมดนี,้ ไมเ ปน ของนา เกลยี ดมาแตเ ดิม; อมิ งั ปตู กิ ายงั ปต ว๎ า, ครน้ั มาถกู เขากบั กายอนั เนาอยูเ ปน นิจนแี้ ลว ; อะติวยิ ะ ชคิ จุ ฉะนียานิ ชายนั ต.ิ ยอ มกลายเปน ของนา เกลยี ดอยา งย่งิ ไปดวยกัน.
(พจิ ารณายารกั ษาโรค) ยะถาปจ จะยงั ปะวัตตะมานงั ธาตมุ ตั ตะเมเวตงั , ส่ิงเหลา นี้ นี่เปน สักวาธาตุตามธรรมชาติเทา นนั้ , กําลงั เปน ไปตามเหตตุ ามปจจัยอยเู นืองนิจ; ยะททิ งั คลิ านะปจ จะยะเภสชั ชะปะรกิ ขาโร, ตะทปุ ะภญุ ชะโก จะ ปคุ คะโล, สงิ่ เหลาน้ี คอื เภสัชบริขารอันเกอื้ กลู แกคนไข, และคนผูบ ริโภคเภสชั บริขารนั้น; ธาตมุ ตั ตะโก, เปนสักวา ธาตุตามธรรมชาต;ิ นสิ สตั โต, มิไดเปน สตั วะอันยงั่ ยนื ; นชิ ชโี ว, มไิ ดเปนชวี ะอนั เปน บรุ ุษบคุ คล; สญุ โญ, วางเปลา จากความหมายแหงความเปนตวั ตน; สพั โพ ปะนายงั คลิ านะปจ จะยะเภสชั ชะปะรกิ ขาโร อะชคิ จุ ฉะนโี ย, ก็คิลานเภสัชบริขารทง้ั หมดน,้ี ไมเ ปน ของนาเกลยี ดมาแตเดมิ ; อมิ งั ปตู กิ ายงั ปต ว๎ า, ครั้นมาถกู เขากับกายอันเนา อยูเปน นิจนีแ้ ลว ; อะติวยิ ะ ชิคจุ ฉะนีโย ชายะต.ิ ยอ มกลายเปนของนา เกลยี ดอยา งยิง่ ไปดวยกัน.
๑๓. ปจ ฉิมพุทโธวาทปาฐะ (คาํ แสดงพระโอวาทคร้งั สดุ ทา ยของพระพทุ ธเจา ) (หนั ทะ มะยงั ปจ ฉิมะพทุ โธวาทะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย จงกลา วคําแสดงพระโอวาทครงั้ สดุ ทา ยของพระพุทธเจา เถิด.) หันทะทานิ ภกิ ขะเว อามนั ตะยามิ โว, ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย, บัดน,ี้ เราขอเตอื นทานทงั้ หลายวา; วะยะธมั มา สงั ขารา, สังขารทง้ั หลาย มีความเสอื่ มไปเปนธรรมดา; อัปปะมาเทนะ สมั ปาเทถะ, ทานทงั้ หลาย, จงทาํ ความไมประมาทใหถ งึ พรอมเถดิ ; อะยงั ตะถาคะตสั สะ ปจ ฉมิ า วาจา. น้ีเปน พระวาจามใี นครั้งสดุ ทา ย ของพระตถาคตเจา .
๑๔. บทพจิ ารณาสังขาร (คาถาพจิ ารณาธรรมสงั เวช) (หนั ทะ มะยงั ธมั มะสงั เวคะปจ จะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราท้ังหลาย จงกลาวคาถาพจิ ารณาธรรมสังเวชเถิด.) สพั เพ สงั ขารา อะนจิ จา, สงั ขาร คือรางกาย จิตใจ, แลรปู ธรรม นามธรรม ทั้งหมดทง้ั สน้ิ , มันไมเทยี่ ง, เกดิ ขน้ึ แลวดบั ไป, มแี ลว หายไป; สพั เพ สงั ขารา ทกุ ขา, สงั ขาร คอื รา งกาย จิตใจ, แลรปู ธรรม นามธรรม ทง้ั หมดทงั้ สน้ิ , มนั เปนทกุ ข ทนยาก, เพราะเกิดข้ึนแลว แก เจ็บ ตายไป; สพั เพ ธมั มา อะนัตตา, สิ่งท้งั หลายท้งั ปวง, ท้ังทเ่ี ปน สงั ขาร แลมใิ ชส งั ขาร ทงั้ หมดทั้งส้ิน, ไมใชต วั ไมใชต น, ไมควรถอื วาเรา วาของเรา วา ตัว วา ตนของเรา; อะธวุ ัง ชวี ติ งั , ชวี ติ เปนของไมยงั่ ยืน; ธวุ งั มะระณงั , ความตายเปน ของยง่ั ยืน; อะวสั สงั มะยา มะรติ พั พงั , อันเราจะพงึ ตายเปนแท; มะระณะปะรโิ ยสานงั เม ชวี ติ งั , ชีวิตของเรามีความตาย เปน ทีส่ ุดรอบ;
ชวี ิตงั เม อะนยิ ะตงั , ชวี ติ ของเราเปน ของไมเ ทย่ี ง; มะระณงั เม นยิ ะตงั , ความตายของเราเปนของเทย่ี ง; วะตะ, ควรท่จี ะสงั เวช; อะยงั กาโย, รางกายน้ี; มไิ ดต งั้ อยนู าน; อะจริ งั , ครัน้ ปราศจากวญิ ญาณ; อะเปตะวญิ ญาโณ, อนั เขาท้ิงเสียแลว ; ฉฑุ โฑ, จกั นอนทบั ; อะธิเสสสะต,ิ ซึ่งแผนดิน; ปะฐะวงิ , ประดจุ ดงั วาทอ นไมและทอ นฟน; กะลงิ คะรงั อวิ ะ, หาประโยชนม ไิ ด. นริ ตั ถงั .
๑๕. สพั พปต ตทิ านคาถา (คาถาแผสว นบญุ ใหแ กส รรพสตั วท ง้ั หลาย) (หนั ทะ มะยงั สพั พะปต ตทิ านะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาแผสว นบุญใหแ กส รรพสัตวท งั้ หลายเถิด.) ปญุ ญสั สทิ านิ กะตสั สะ ยานญั ญานิ กะตานิ เม, เตสญั จะ ภาคโิ น โหนตุ สตั ตานนั ตาปปะมาณะกา, สัตวท้งั หลาย ไมม ที ี่สดุ ไมม ปี ระมาณ, จงมสี ว นแหง บญุ ทข่ี า พเจา ไดท ําในบดั น,้ี และแหง บญุ อ่ืนทไี่ ดท ําไวกอนแลว; เย ปย า คณุ ะวนั ตา จะ มยั ห๎ งั มาตาปตาทะโย, ทิฏฐา เม จาปยะทฏิ ฐา วา อญั เญ มชั ฌตั ตะเวรโิ น, คือจะเปน สัตวเ หลาใด, ซ่ึงเปนทรี่ ักใครแ ละมบี ญุ คุณ เชน มารดา บดิ า ของขา พเจา เปน ตน กด็ ,ี ทีข่ าพเจา เหน็ แลว หรอื ไมไ ดเหน็ ก็ดี, สตั วเ หลาอื่นทเ่ี ปน กลางๆ หรือเปน คเู วรกนั ก็ด;ี สัตตา ตฏิ ฐนั ติ โลกสั ม๎ งิ เต ภมุ มา จะตโุ ยนกิ า, ปญ เจกะจะตโุ วการา สงั สะรนั ตา ภะวาภะเว, สัตวท ั้งหลาย ตง้ั อยใู นโลก, อยใู นภูมทิ ง้ั ๓, อยใู นกาํ เนดิ ท้งั ๔, มีขันธ ๕ ขนั ธ มขี ันธข นั ธเดียว มีขันธ ๔ ขันธ, กําลงั ทอ งเทย่ี วอยใู นภพนอ ยภพใหญ ก็ด;ี
ญาตงั เย ปตตทิ านมั เม อะนุโมทนั ตุ เต สะยงั , เย จมิ งั นปั ปะชานนั ติ เทวา เตสงั นเิ วทะยงุ , สตั วเ หลาใด รูส ว นบุญที่ขา พเจา แผใ หแ ลว, สัตวเหลา นั้น จงอนุโมทนาเองเถดิ , สวนสตั วเ หลา ใด ยงั ไมร สู วนบญุ นี,้ ขอเทวดาทง้ั หลาย จงบอกสตั วเหลานัน้ ใหร ู; มะยา ทนิ นานะ ปญุ ญานงั อะนุโมทะนะเหตนุ า, สพั เพ สตั ตา สะทา โหนตุ อะเวรา สขุ ะชวี ิโน, เขมปั ปะทญั จะ ปป โปนตุ เตสาสา สชิ ฌะตงั สภุ า. เพราะเหตุที่ไดอ นโุ มทนาสว นบุญทขี่ า พเจาแผใหแลว, สัตวทงั้ หลายทัง้ ปวง, จงเปน ผูไมม เี วร อยูเ ปน สขุ ทกุ เมื่อ, จงถึงบทอันเกษม กลาวคอื พระนพิ พาน, ความปรารถนาทดี่ งี ามของสัตวเหลา นั้น จงสําเรจ็ เถดิ .
๑๖. ปฏ ฐนฐปนคาถา (คาถาวา ดว ยการตง้ั ความปรารถนา) (หนั ทะ มะยงั ปฏ ฐะนะฐะปะนะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทั้งหลาย จงกลาวคาถาวาดว ยการตงั้ ความปรารถนากันเถดิ .) ยันทานิ เม กะตงั ปญุ ญงั เตนาเนนทุ ทเิ สนะ จะ, ขปิ ปง สจั ฉกิ ะเรยยาหงั ธมั เม โลกตุ ตะเร นะวะ, บญุ ใดที่ขา พเจาไดท ําในบดั นี้, เพราะบญุ นนั้ และการอทุ ิศแผส ว นบญุ น้นั , ขอใหข าพเจา ทําใหแ จงโลกตุ ตธรรม ๙ ในทนั ท;ี สะเจ ตาวะ อะภพั โพหงั สงั สาเร ปะนะ สงั สะรงั , ถาขาพเจา เปน ผอู าภพั อย,ู ยังตอ งทองเท่ียวไปในวฏั ฏสงสาร; นยิ ะโต โพธสิ ตั โต วะ สมั พทุ เธนะ วยิ ากะโต, นาฏฐาระสะป อาภพั พะ- ฐานานิ ปาปุเณยยะหงั , ขอใหข า พเจา เปน เหมือนโพธิสัตวผ เู ที่ยงแท, ไดรับพยากรณแตพ ระพุทธเจาแลว, ไมถ ึงฐานะแหง ความอาภพั ๑๘ อยาง; ปญ จะเวรานิ วชั เชยยงั ระเมยยงั สลี ะรกั ขะเน, ปญ จะกาเม อะลคั โคหงั วชั เชยยงั กามะปง กะโต, ขา พเจาพงึ เวนจากเวรทงั้ ๕, พงึ ยนิ ดีในการรักษาศลี , ไมเ กาะเกย่ี วในกามคณุ ท้งั ๕, พงึ เวนจากเปอ กตมกลาวคอื กาม;
ททุ ทฏิ ฐิยา นะ ยชุ เชยยงั สงั ยชุ เชยยงั สทุ ฏิ ฐยิ า, ปาเป มติ เต นะ เสเวยยงั เสเวยยงั ปณ ฑเิ ต สะทา, ขอใหข าพเจา ไมพ งึ ประกอบดว ยทฏิ ฐิชัว่ , พงึ ประกอบดวยทฏิ ฐทิ ด่ี งี าม, ไมพงึ คบมติ รชว่ั , พึงคบแตบณั ฑิตทกุ เมอ่ื ; สทั ธาสะตหิ โิ รตตปั ปา- ตาปก ขนั ตคิ ุณากะโร, อัปปะสยั โ๎ ห วะ สตั ตหู ิ เหยยงั อะมนั ทะมยุ ๎หะโก, ขอใหขาพเจาเปน บอ ท่เี กิดแหง คุณ, คอื ศรทั ธา สติ หิริ โอตตัปปะ ความเพยี ร และขันต,ิ พงึ เปน ผทู ศี่ ตั รูครอบงาํ ไมไ ด, ไมเ ปน คนเขลา คนหลงงมงาย; สพั พายาปายปุ าเยสุ เฉโก ธมั มตั ถะโกวโิ ท, เญยเย วตั ตตั ว๎ ะสชั ชงั เม ญาณงั อะเฆวะ มาลโุ ต, ขอใหข า พเจา เปน ผฉู ลาดในอบุ าย, แหงความเส่ือมและความเจรญิ , เปน ผูเฉยี บแหลมในอรรถและธรรม, ขอใหญ าณของขาพเจา เปนไป ไมของขดั ในธรรมทค่ี วรร,ู ดจุ ลมพดั ไปในอากาศ ฉะนน้ั ; ยา กาจิ กสุ ะลา มย๎ าสา สุเขนะ สชิ ฌะตงั สะทา, เอวงั วตุ ตา คณุ า สพั เพ โหนตุ มยั ๎หงั ภะเว ภะเว, ความปรารถนาใดๆ ของขา พเจา ท่ีเปน กุศล, ขอใหสําเร็จโดยงา ยทกุ เมอื่ , คณุ ท่ีขาพเจากลาวมาแลวท้งั ปวงน,ี้ จงมแี กข า พเจา ทุกๆ ภพ;
ยะทา อปุ ปช ชะติ โลเก สมั พทุ โธ โมกขะเทสะโก, ตะทา มตุ โต กกุ มั เมหิ ลทั โธกาโส ภะเวยยะหงั , เมื่อใด พระสัมมาสมั พุทธเจา ผูแสดงธรรมเครือ่ งพน ทุกข, เกิดข้นึ แลว ในโลก, เม่ือน้ัน, ขอใหข าพเจาพนจากกรรมอันช่ัวชา ทง้ั หลาย, เปน ผูไดโ อกาสแหง การบรรลุธรรม; มะนสุ สตั ตัญจะ ลงิ คญั จะ ปพ พชั ชญั จปุ ะสมั ปะทงั , ละภติ ว๎ า เปสะโล สีลี ธาเรยยงั สตั ถสุ าสะนงั , ขอใหขา พเจาพึงไดความเปน มนษุ ย, ไดเพศบรสิ ุทธ,ิ์ ไดบ รรพชา อปุ สมบทแลว , เปนคนรกั ศีล มศี ีล, ทรงไวซ งึ่ พระศาสนาของพระศาสดา; สขุ าปะฏปิ ะโท ขปิ ปา- ภญิ โญ สจั ฉกิ ะเรยยะหงั , อะระหตั ตปั ผะลงั อคั คงั วชิ ชาทิคณุ ะลงั กะตัง, ขอใหเ ปนผมู ีการปฏิบตั ิโดยสะดวก, ตรัสรไู ดพ ลนั , กระทําใหแจง ซึง่ อรหันตผลอันเลศิ , อันประดบั ดว ยธรรม มวี ิชชา เปน ตน ; ยะทิ นปุ ปช ชะติ พทุ โธ กมั มงั ปะรปิ รู ญั จะ เม, เอวงั สนั เต ละเภยยาหงั ปจ เจกะโพธมิ ตุ ตะมนั ต.ิ ถา หากพระพทุ ธเจา ไมบ งั เกิดขึน้ , แตก ศุ ลกรรมของขา พเจา เต็มเปย มแลว, เมอ่ื เปน เชน น้นั , ขอใหข า พเจาพงึ ไดญ าณ เปนเครอ่ื งรูเฉพาะตน อนั สูงสุดเทอญ.
๑๗. อรยิ อฏั ฐงั คกิ มคั คปาฐะ (คาํ แสดงอริยมรรคมอี งค ๘) (หนั ทะ มะยงั อะรยิ ฏั ฐงั คกิ ะมคั คะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทัง้ หลาย จงกลา วคาํ แสดงอริยมรรคมอี งค ๘ เถิด.) อะยะเมวะ อะรโิ ย อัฏฐังคโิ ก มคั โค, หนทางนแี้ ล, เปนหนทางอนั ประเสรฐิ , ซง่ึ ประกอบดว ยองค ๘; เสยยะถที งั , ไดแกส ง่ิ เหลาน้ี คือ:– (๑) สมั มาทฏิ ฐิ, ความเหน็ ชอบ; (๒) สมั มาสังกปั โป, ความดํารชิ อบ; (๓) สมั มาวาจา, การพูดจาชอบ; (๔) สมั มากมั มนั โต, การทาํ การงานชอบ; (๕) สมั มาอาชโี ว, การเล้ียงชวี ติ ชอบ; (๖) สมั มาวายาโม, ความพากเพยี รชอบ; (๗) สมั มาสะต,ิ ความระลึกชอบ; (๘) สมั มาสะมาธ.ิ ความต้งั ใจม่นั ชอบ. (องคม รรคที่ ๑) กะตะมา จะ ภกิ ขะเว สมั มาทฏิ ฐ,ิ ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย, ความเหน็ ชอบ เปนอยา งไรเลา ?; ยัง โข ภกิ ขะเว ทกุ เข ญาณงั , ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย, ความรูอันใด เปนความรูในทกุ ข; ทกุ ขะสะมทุ ะเย ญาณงั , เปน ความรูใ นเหตใุ หเกดิ ทุกข;
ทกุ ขะนิโรเธ ญาณงั , เปนความรใู นความดับแหง ทกุ ข; ทกุ ขะนิโรธะคามนิ ยิ า ปะฏิปะทายะ ญาณงั , เปนความรใู นทางดาํ เนินใหถึง ความดบั แหง ทกุ ข; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาทฏิ ฐ.ิ ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย, อนั นีเ้ รากลาววา ความเห็นชอบ. (องคม รรคที่ ๒) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สมั มาสงั กปั โป, ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย, ความดํารชิ อบ เปน อยางไรเลา ?; เนกขมั มะสงั กปั โป, ความดําริในการออกจากกาม; อะพย๎ าปาทะสงั กปั โป, ความดํารใิ นการไมมงุ ราย; อะวิหงิ สาสงั กปั โป, ความดาํ ริในการไมเบียดเบียน; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาสงั กปั โป. ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย, อันนเ้ี รากลา ววา ความดาํ ริชอบ. (องคมรรคท่ี ๓) กะตะมา จะ ภกิ ขะเว สมั มาวาจา, ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย, การพดู จาชอบ เปนอยา งไรเลา ?; มสุ าวาทา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่ืองเวนจากการพดู ไมจ รงิ ;
ปส ณุ ายะ วาจายะ เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่ืองเวน จากการพูดสอเสยี ด; ผะรสุ ายะ วาจายะ เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครื่องเวนจากการพดู หยาบ; สมั ผปั ปะลาปา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่อื งเวนจากการพูดเพอ เจอ; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาวาจา. ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย, อนั นี้เรากลา ววา การพูดจาชอบ. (องคม รรคท่ี ๔) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สมั มากมั มนั โต, ดกู อ นภิกษุทัง้ หลาย, การทําการงานชอบ เปน อยา งไรเลา ?; ปาณาตปิ าตา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่ืองเวนจากการฆา ; อะทนิ นาทานา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เครอ่ื งเวน จากการถือเอาสง่ิ ของ ที่เจา ของไมไ ดใหแลว; กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวระมะณ,ี เจตนาเปน เคร่อื งเวน จากการประพฤตผิ ดิ ในกามทงั้ หลาย; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มากมั มนั โต. ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย, อนั นีเ้ รากลาววา การทําการงานชอบ.
(องคมรรคท่ี ๕) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สมั มาอาชโี ว, ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย, การเลี้ยงชีวิตชอบ เปน อยางไรเลา ?; อธิ ะ ภกิ ขะเว อะรยิ ะสาวะโก, ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย, สาวกของพระอริยเจาในธรรมวินยั นี้; มจิ ฉาอาชวี ัง ปะหายะ, ละการเลยี้ งชวี ิตทผ่ี ิดเสยี ; สมั มาอาชเี วนะ ชวี ิกงั กปั เปต,ิ ยอมสาํ เรจ็ ความเปน อยูดวยการเล้ยี งชีวิตทชี่ อบ; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาอาชโี ว. ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย, อนั น้เี รากลา ววา การเลี้ยงชวี ติ ชอบ. (องคม รรคที่ ๖) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สมั มาวายาโม, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความพากเพยี รชอบ เปน อยา งไรเลา?; อิธะ ภกิ ขะเว ภกิ ข,ุ ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย, ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี; อนปุ ปน นานงั ปาปะกานงั อะกสุ ะลานงั ธมั มานงั อะนปุ ปาทายะ, ฉนั ทัง ชะเนต,ิ วายะมะต,ิ วริ ิยงั อาระภะต,ิ จิตตงั ปค คณั ๎หาติ ปะทะหะต,ิ
ยอ มทาํ ความพอใจใหเ กดิ ขึน้ , ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองต้ังจติ ไว, เพื่อจะยังอกุศลธรรม อนั เปนบาปทย่ี งั ไมเกิด ไมใ หเ กดิ ข้ึน; อปุ ปน นานงั ปาปะกานงั อะกสุ ะลานงั ธมั มานัง ปะหานายะ, ฉนั ทัง ชะเนต,ิ วายะมะต,ิ วริ ิยงั อาระภะต,ิ จิตตงั ปค คณั ๎หาติ ปะทะหะต,ิ ยอมทําความพอใจใหเกิดข้นึ , ยอ มพยายาม, ปรารภความเพยี ร, ประคองตั้งจิตไว, เพ่อื จะละอกศุ ลธรรม อนั เปน บาปทเี่ กดิ ขนึ้ แลว; อะนปุ ปน นานงั กสุ ะลานงั ธมั มานงั อปุ ปาทายะ, ฉนั ทัง ชะเนต,ิ วายะมะต,ิ วริ ิยงั อาระภะต,ิ จติ ตงั ปค คณั ห๎ าติ ปะทะหะต,ิ ยอ มทาํ ความพอใจใหเ กิดขนึ้ , ยอมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตงั้ จติ ไว, เพ่ือจะยงั กุศลธรรมทยี่ ังไมเ กดิ ใหเ กิดข้นึ ; อปุ ปน นานงั กสุ ะลานงั ธมั มานงั ฐติ ยิ า, อะสมั โมสายะ, ภยิ โยภาวายะ, เวปลุ ลายะ, ภาวะนายะ, ปารปิ รู ยิ า, ฉนั ทัง ชะเนต,ิ วายะมะต,ิ วริ ยิ งั อาระภะต,ิ จิตตัง ปค คัณห๎ าติ ปะทะหะต,ิ
ยอ มทาํ ความพอใจใหเกิดขนึ้ , ยอมพยายาม, ปรารภความเพยี ร, ประคองตงั้ จติ ไว, เพ่ือความตั้งอย,ู ความไมเ ลอะเลอื น, ความงอกงามยงิ่ ขน้ึ , ความไพบูลย, ความเจรญิ , ความเต็มรอบ, แหงกุศลธรรมที่เกดิ ขนึ้ แลว ; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาวายาโม. ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย, อันนี้เรากลาววา ความพากเพยี รชอบ. (องคม รรคที่ ๗) กะตะมา จะ ภกิ ขะเว สมั มาสะต,ิ ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย, ความระลึกชอบ เปน อยา งไรเลา ?; อธิ ะ ภกิ ขะเว ภกิ ข,ุ ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย, ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี;้ กาเย กายานปุ สสี วหิ ะระต,ิ ยอ มเปนผูพิจารณาเห็นกายในกาย อยเู ปน ประจาํ ; อาตาป สมั ปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก อะภชิ ฌาโทมะนสั สงั , มีความเพียรเครื่องเผากิเลส, มีสัมปชัญญะ มีสต,ิ ถอนความพอใจและความไมพ อใจในโลกออกเสียได;
เวทะนาสุ เวทะนานปุ ส สี วหิ ะระต,ิ ยอมเปนผพู ิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทัง้ หลาย อยเู ปน ประจาํ ; อาตาป สมั ปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก อะภชิ ฌาโทมะนสั สงั , มีความเพียรเครอ่ื งเผากเิ ลส, มสี มั ปชัญญะ มสี ต,ิ ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสียได; จติ เต จติ ตานปุ ส สี วิหะระต,ิ ยอมเปนผูพิจารณาเหน็ จติ ในจติ อยูเ ปนประจํา; อาตาป สมั ปะชาโน สะตมิ า, วเิ นยยะ โลเก อะภชิ ฌาโทมะนสั สงั , มีความเพยี รเครอื่ งเผากเิ ลส, มสี มั ปชญั ญะ มีสต,ิ ถอนความพอใจและความไมพ อใจในโลกออกเสยี ได; ธมั เมสุ ธมั มานปุ ส สี วหิ ะระต,ิ ยอมเปน ผูพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมท้งั หลาย อยเู ปน ประจาํ ; อาตาป สมั ปะชาโน สะตมิ า, วเิ นยยะ โลเก อะภชิ ฌาโทมะนสั สงั , มีความเพยี รเคร่อื งเผากเิ ลส, มีสมั ปชัญญะ มีสต,ิ ถอนความพอใจและความไมพอใจในโลกออกเสยี ได; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาสะต.ิ ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย, อนั นี้เรากลา ววา ความระลึกชอบ.
(องคม รรคที่ ๘) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สมั มาสะมาธ,ิ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย, ความตั้งใจมนั่ ชอบ เปน อยางไรเลา ?; อธิ ะ ภกิ ขะเว ภกิ ข,ุ ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย, ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้; ววิ จิ เจวะ กาเมห,ิ สงดั แลวจากกามทัง้ หลาย; ววิ จิ จะ อะกสุ ะเลหิ ธมั เมห,ิ สงดั แลว จากธรรมทเ่ี ปน อกศุ ล ทัง้ หลาย; สะวติ กั กงั สะวจิ ารัง, วเิ วกะชงั ปต ิสขุ ัง ปะฐะมงั ฌานัง อุปะสมั ปช ชะ วหิ ะระต,ิ เขาถึงปฐมฌาน, ประกอบดว ย วติ ก วจิ าร, มีปต แิ ละสุข อันเกิดจากวิเวก แลว แลอย;ู วิตกั กะวจิ ารานงั วปู ะสะมา, เพราะความท่ี วติ ก วิจาร ท้ัง ๒ ระงับลง; อชั ฌตั ตงั สมั ปะสาทะนงั เจตะโส, เอโกทภิ าวงั , อะวิตกั กงั อะวจิ ารัง, สะมาธชิ งั ปต ิสขุ ัง ทตุ ิยงั ฌานงั อปุ ะสมั ปช ชะ วิหะระต,ิ เขา ถงึ ทตุ ยิ ฌาน, เปนเคร่ืองผอ งใสแหงใจในภายใน, ใหส มาธเิ ปน ธรรมอนั เอกผดุ มีขนึ้ , ไมม วี ติ ก ไมม วี จิ าร, มแี ตปต แิ ละสขุ อนั เกิดจากสมาธิ แลว แลอยู;
ปต ยิ า จะ วริ าคา, อน่ึง เพราะความจางคลายไป แหงปต ;ิ อเุ ปกขะโก จะ วหิ ะระต,ิ สะโต จะ สมั ปะชาโน, ยอมเปน ผูอ ยูอเุ บกขา, มสี ตแิ ละสมั ปชญั ญะ; สุขญั จะ กาเยนะ ปะฏสิ งั เวเทต,ิ และยอมเสวยความสขุ ดว ยนามกาย; ยนั ตงั อะรยิ า อาจกิ ขนั ต,ิ อุเปกขะโก สะตมิ า สขุ ะวหิ ารีต,ิ ชนิดที่พระอริยเจาทัง้ หลาย, ยอ มกลา วสรรเสริญผูนั้นวา, “เปนผอู ยูอุเบกขา มสี ติอยเู ปน ปรกติสขุ ”, ดังน้;ี ตะตยิ งั ฌานงั อปุ ะสมั ปช ชะ วหิ ะระต,ิ เขา ถึงตตยิ ฌาน แลว แลอย;ู สขุ สั สะ จะ ปะหานา, เพราะละสขุ เสยี ได; ทกุ ขสั สะ จะ ปะหานา, และเพราะละทุกขเ สยี ได; ปพุ เพวะ โสมะนสั สะโทมะนัสสานงั อตั ถงั คะมา, เพราะความดบั ไปแหง โสมนัสและโทมนสั ทัง้ ๒ ในกาลกอ น; อะทกุ ขะมะสุขงั อเุ ปกขาสะตปิ ารสิ ทุ ธิง, จะตตุ ถงั ฌานงั อปุ ะสมั ปช ชะ วิหะระต,ิ เขาถงึ จตตุ ถฌาน, ไมม ที กุ ข ไมม สี ขุ , มีแตค วามทีส่ ติ เปน ธรรมชาตบิ รสิ ทุ ธเิ์ พราะอเุ บกขา แลวแลอยู; อะยงั วจุ จะติ ภกิ ขะเว สมั มาสะมาธ.ิ ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย, อันน้ีเรากลาววา ความต้ังใจมน่ั ชอบ.
๑๘. อตตี ปจ จเวกขณปาฐะ (คาํ พจิ ารณาปจ จัย ๔ หลงั ใชส อยแลว ) (หนั ทะ มะยงั อะตตี ะปจ จะเวกขะณะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกลา วคาํ พจิ ารณาปจ จัย ๔ หลงั ใชสอยแลวเถิด.) (พิจารณาจวี ร) อชั ชะ มะยา อะปจ จะเวกขติ ว๎ า ยัง จวี ะรงั ปะรภิ ตุ ตงั , จวี รใด อันเรานงุ หม แลว ไมท นั พิจารณา ในวันน้;ี ตัง ยาวะเทวะ สตี ัสสะ ปะฏฆิ าตายะ, จีวรน้ัน เรานุงหมแลว เพยี งเพอื่ บาํ บดั ความหนาว; อุณ๎หสั สะ ปะฏฆิ าตายะ, เพอ่ื บําบดั ความรอ น; ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสริ งิ สะปะสมั ผสั สานัง ปะฏฆิ าตายะ, เพ่ือบําบดั สัมผัสอนั เกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด และสตั วเ ลือ้ ยคลานท้ังหลาย; ยาวะเทวะ หริ โิ กปน ะปะฏจิ ฉาทะนตั ถงั . และเพียงเพือ่ ปกปด อวยั วะ อันใหเ กดิ ความละอาย.
(พจิ ารณาอาหาร) อัชชะ มะยา อะปจ จะเวกขติ ว๎ า โย ปณ ฑะปาโต ปะรภิ ตุ โต, บณิ ฑบาตใด อนั เราฉันแลว ไมท นั พิจารณา ในวนั นี;้ โส เนวะ ทะวายะ, บิณฑบาตน้นั เราฉนั แลว ไมใ ชเ ปน ไปเพอ่ื ความเพลิดเพลนิ สนกุ สนาน; นะ มะทายะ, ไมใชเปน ไปเพือ่ ความเมามัน เกดิ กําลงั พลังทางกาย; นะ มณั ฑะนายะ, ไมใ ชเปน ไปเพอ่ื ประดบั ; นะ วภิ สู ะนายะ, ไมใชเ ปน ไปเพือ่ ตกแตง; ยาวะเทวะ อมิ สั สะ กายสั สะ ฐติ ยิ า, แตใ หเปน ไปเพยี งเพ่อื ความตงั้ อยไู ดแหง กายน;้ี ยาปะนายะ, เพอื่ ความเปนไปไดของอัตภาพ; วิหงิ สปุ ะระตยิ า, เพือ่ ความส้นิ ไปแหง ความลําบาก ทางกาย; พร๎ หั ม๎ ะจะรยิ านุคคะหายะ, เพอ่ื อนเุ คราะหแ กก ารประพฤติ พรหมจรรย; อิติ ปรุ าณญั จะ เวทะนงั ปะฏิหงั ขาม,ิ ดวยการทาํ อยางน้,ี เรายอ มระงบั เสียได ซงึ่ ทกุ ขเวทนาเกา คือความหิว;
นะวญั จะ เวทะนงั นะ อปุ ปาเทสสาม,ิ และไมท าํ ทุกขเวทนาใหมใหเ กดิ ขนึ้ ; ยาตร๎ า จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวชั ชะตา จะ ผาสวุ ิหาโร จาต.ิ อน่งึ ความเปนไปโดยสะดวกแหงอตั ภาพนดี้ ว ย, ความเปน ผหู าโทษมิไดด ว ย, และความเปน อยโู ดยผาสกุ ดว ย, จกั มีแกเรา, ดงั น้.ี (พิจารณาทอี่ ยอู าศยั ) อัชชะ มะยา อะปจ จะเวกขติ ว๎ า ยัง เสนาสะนงั ปะรภิ ตุ ตงั , เสนาสนะใด อนั เราใชส อยแลว ไมทันพจิ ารณา ในวันน;้ี ตัง ยาวะเทวะ สตี สั สะ ปะฏฆิ าตายะ, เสนาสนะน้ัน เราใชสอยแลว เพยี งเพื่อบาํ บดั ความหนาว; อุณ๎หสั สะ ปะฏฆิ าตายะ, เพื่อบาํ บดั ความรอ น; ฑงั สะมะกะสะวาตาตะปะสริ งิ สะปะสมั ผสั สานงั ปะฏฆิ าตายะ, เพื่อบําบดั สัมผัสอนั เกดิ จากเหลือบ ยงุ ลม แดด และสตั วเ ล้ือยคลานทัง้ หลาย; ยาวะเทวะ อตุ ปุ ะรสิ สะยะวโิ นทะนงั ปะฏสิ ลั ลานารามตั ถงั . เพียงเพอ่ื บรรเทาอนั ตรายอนั จะพึงมจี ากดนิ ฟา อากาศ, และเพื่อความเปน ผยู นิ ดอี ยูได ในที่หลกี เรน สําหรบั ภาวนา.
(พจิ ารณายารกั ษาโรค) อัชชะ มะยา อะปจ จะเวกขิตว๎ า โย คลิ านะปจ จะยะเภสชั ชะปะรกิ ขาโร ปะรภิ ตุ โต, คิลานเภสชั บริขารใด อนั เราบริโภคแลว ไมทันพจิ ารณา ในวนั น;ี้ โส ยาวะเทวะ อปุ ปน นานงั เวยยาพาธกิ านงั เวทะนานงั ปะฏฆิ าตายะ, คิลานเภสัชบริขารนนั้ เราบรโิ ภคแลว เพยี งเพอื่ บาํ บดั ทกุ ขเวทนา อนั บังเกิดขนึ้ แลว มอี าพาธตา งๆ เปน มูล; อพั ย๎ าปช ฌะปะระมะตายาต.ิ เพ่ือความเปนผูไมม ีโรคเบยี ดเบียน เปนอยางย่ิง, ดงั น้;ี
๑๙. ปพพชติ อภิณหปจจเวกขณปาฐะ (คาํ สาํ หรบั บรรพชติ ควรพิจารณาเนอื งๆ) (หนั ทะ มะยงั ปพ พะชติ ะอะภิณหะปจ จะเวกขะณะปาฐงั ภะนามะ เส.) (เชิญเถดิ เราท้งั หลาย จงกลาวคําสาํ หรับบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ เถิด.) ทะสะ อเิ ม ภกิ ขะเว ธมั มา, ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย, ธรรมท้งั หลาย ๑๐ ประการ เหลา นี,้ มอี ย;ู ปพ พะชเิ ตนะ อะภณิ ห๎ งั ปจ จะเวกขติ พั พัง, เปน ธรรมทบี่ รรพชติ พึงพจิ ารณาโดยแจม ชดั อยเู นืองนิจ; กะตะเม ทะสะ?, ธรรมทง้ั หลาย ๑๐ ประการน้นั เปน อยา งไรเลา ?; (๑) เววณั ณยิ มั หิ อชั ฌปู ะคะโตติ ปพ พะชเิ ตนะ อะภณิ ห๎ งั ปจ จะเวกขติ พั พัง, คอื บรรพชติ พึงพจิ ารณาโดยแจม ชดั อยูเนืองนจิ วา, เราเปนผเู ขาถงึ เฉพาะแลว ซึ่งวรรณะอันตาง อันพิเศษ, ดงั นี้; (๒) ปะระปะฏพิ ทั ธา เม ชวี กิ าติ ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ๎หงั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชิตพงึ พิจารณาโดยแจม ชดั อยูเ นืองนิจวา , การเล้ยี งชวี ติ ของเรา เนือ่ งเฉพาะแลวดวยผูอ นื่ , ดังน้ี;
(๓) อัญโญ เม อากบั โป กะระณีโยติ ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ๎หงั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชติ พึงพจิ ารณาโดยแจม ชัด อยูเ นอื งนจิ วา , ระเบียบการปฏบิ ัตอิ ยางอนื่ ทเ่ี ราจะตองทํามอี ย,ู ดังนี;้ (๔) กัจจิ นุ โข เม อัตตา สลี ะโต นะ อปุ ะวะทะตตี ิ ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ห๎ งั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชิตพงึ พจิ ารณาโดยแจมชดั อยูเนืองนิจวา, เมอื่ กลาวโดยศีล, เรายอมตาํ หนิตเิ ตียนตนเองไมได มิใชห รอื , ดังน;้ี (๕) กัจจิ นุ โข มงั อะนวุ ิจจะ วิญู สะพร๎ ัหม๎ ะจารี สลี ะโต นะ อปุ ะวะทนั ตตี ิ ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ห๎ งั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชติ พึงพิจารณาโดยแจมชดั อยเู นืองนจิ วา, เมือ่ กลาวโดยศีล, เพือ่ นสพรหมจารีทเ่ี ปน วญิ ชู น, ใครครวญแลว, ยอมตาํ หนติ เิ ตียนเราไมไ ด มิใชหรอื , ดงั นี้; (๖) สพั เพหิ เม ปเ ยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโวติ ปพ พะชเิ ตนะ อะภณิ ๎หงั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชิตพงึ พิจารณาโดยแจมชัด อยูเ นืองนจิ วา, ความพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจ ทง้ั ส้นิ , จกั มแี กเรา, ดงั น้ี;
(๗) กมั มสั สะโกมห๎ ิ กมั มะทายาโท กมั มะโยนิ กมั มะพนั ธุ กมั มะปะฏสิ ะระโณ, ยัง กมั มงั กะรสิ สามิ กัลย๎ าณงั วา ปาปะกงั วา, ตัสสะ ทายาโท ภะวสิ สามตี ิ ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ๎หงั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจมชัด อยเู นอื งนิจวา , เราเปน ผมู ีกรรมเปน ของตน, มกี รรมทตี่ องรบั ผลเปน มรดกตกทอด, มกี รรมเปน ท่กี าํ เนดิ , มกี รรมเปน เผาพนั ธุ, มกี รรมเปนทพ่ี งึ่ อาศัย, เราทาํ กรรมใดไว ดกี ็ตาม ช่วั กต็ าม, เราจกั เปน ผูร ับผลตกทอดแหงกรรมนน้ั , ดงั น้ี; (๘) กะถมั ภตู สั สะ เม รตั ตนิ ทวิ า วตี ปิ ะตนั ตีติ ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ห๎ งั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชิตพงึ พิจารณาโดยแจมชดั อยเู นืองนิจวา, วันคืนลว งไปลวงไป, ในเม่ือเรากําลงั เปน อยูในสภาพเชน ไร, ดังน;้ี (๙) กจั จิ นุ โขหงั สญุ ญาคาเร อะภริ ะมามตี ิ ปพ พะชเิ ตนะ อะภณิ ๎หงั ปจ จะเวกขติ พั พัง, บรรพชติ พง่ึ พิจารณาโดยแจมชดั อยูเ นืองนิจวา , เรายอ มยนิ ดีในโรงเรอื นอนั สงัดอยูหรือหนอ, ดังน้ี;
(๑๐) อตั ถิ นุ โข เม อตุ ตะรมิ ะนสุ สะธมั มา อะละมะรยิ ะญาณะทสั สะนะวเิ สโส อะธคิ ะโต, โสหงั ปจ ฉเิ ม กาเล สะพร๎ หั ม๎ ะจารีหิ ปุฏโฐ นะ มงั กุ ภะวสิ สามตี ิ ปพ พะชเิ ตนะ อะภณิ ห๎ งั ปจ จะเวกขติ พั พงั , บรรชิตพงึ พจิ ารณาโดยแจมชดั อยเู นืองนจิ วา , ญาณทรรศนะอันวเิ ศษ ควรแกพ ระอรยิ เจา, อันยง่ิ กวาวิสยั ธรรมดาของมนุ ษย, ทเ่ี ราไดบรรลุแลว , เพอื่ เราจะไมเ ปนผเู กอเขนิ เมื่อถูกเพ่ือนสพรหมจารีดว ยกัน ถามในภายหลัง, มอี ยูแกเ ราหรอื ไม, ดงั นี้; อิเม โข ภกิ ขะเว ทะสะ ธมั มา, ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย, ธรรมทงั้ หลาย ๑๐ ประการ เหลานแี้ ล; ปพ พะชิเตนะ อะภณิ ๎หงั ปจ จะเวกขติ พั พา, เปน ธรรมทบ่ี รรพชติ พงึ พจิ ารณาโดยแจม ชดั อยเู นอื งนจิ ; อติ .ิ ดว ยอาการ อยา งน้ีแล.
๒๐. ปจ ฉิมพุทโธวาทปาฐะ (คาํ แสดงพระโอวาทคร้งั สดุ ทา ยของพระพทุ ธเจา ) (หนั ทะ มะยงั ปจ ฉิมะพทุ โธวาทะปาฐงั ภะณามะ เส.) (เชญิ เถิด เราทง้ั หลาย จงกลา วคําแสดงพระโอวาทครงั้ สดุ ทา ยของพระพุทธเจา เถิด.) หันทะทานิ ภกิ ขะเว อามนั ตะยามิ โว, ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย, บัดน,ี้ เราขอเตอื นทานทงั้ หลายวา; วะยะธมั มา สงั ขารา, สังขารทง้ั หลาย มีความเสอื่ มไปเปนธรรมดา; อัปปะมาเทนะ สมั ปาเทถะ, ทานทงั้ หลาย, จงทาํ ความไมประมาทใหถ งึ พรอมเถดิ ; อะยงั ตะถาคะตสั สะ ปจ ฉมิ า วาจา. น้ีเปน พระวาจามใี นครั้งสดุ ทา ย ของพระตถาคตเจา .
๒๑. อทุ ทสิ สนาธฏิ ฐานคาถา (คาถาอทุ ศิ และอธษิ ฐาน) (หนั ทะ มะยงั อทุ สิ สะนาธฏิ ฐานะคาถาโย ภะณามะ เส.) (เชญิ เถดิ เราทงั้ หลาย จงกลา วคาถาอทุ ศิ และอธษิ ฐานเถิด.) (บทที่ ๑) อมิ นิ า ปญุ ญะกมั เมนะ, ดว ยบญุ น้ี อทุ ศิ ให; อุปช ฌายา คณุ ุตตะรา, อุปชฌาย ผเู ลิศคณุ ; อาจะรยิ ปู ะการา จะ, แลอาจารย ผเู ก้ือหนนุ ; มาตา ปต า จะ ญาตะกา, ท้ังพอ แม แลปวงญาต;ิ สรุ โิ ย จนั ทมิ า ราชา, สูรย จันทร และราชา; คณุ ะวนั ตา นะราป จะ, ผูทรงคุณ หรือสูงชาติ; พร๎ หม๎ ะมารา จะ อนิ ทา จะ, พรหม มาร และอินทราช; โลกะปาลา จะ เทวะตา, ทงั้ ทวยเทพ และโลกบาล; ยะโม มติ ตา มะนสุ สา จะ, ยมราช มนษุ ยม ติ ร; มชั ฌตั ตา เวรกิ าป จะ, ผเู ปน กลาง ผจู องผลาญ; สพั เพ สตั ตา สุขี โหนต,ุ ขอให เปนสุขศานต ทุกทว่ั หนา อยา ทกุ ขทน; ปญุ ญานิ ปะกะตานิ เม, บญุ ผอง ท่ีขาทํา จงชว ยอาํ นวยศภุ ผล; สขุ งั จะ ติวธิ งั เทนต,ุ ใหส ุข ๓ อยางลน ; ขปิ ปง ปาเปถะ โวมะตงั . ใหล ถุ ึง นิพพานพลัน* (นพิ พานเทอญ). * ถาจะหยดุ วา เพยี งเทา นี้ ใหเปลย่ี น “นพิ พานพลัน” เปน “นิพพานเทอญ”
เย เกจิ ขุททะกา ปาณา, (บทที่ ๒) มะหนั ตาป มะยา หะตา, เย จาเนเก ปะมาเทนะ, สตั วเ ลก็ ทัง้ หลายใด; กายะวาจามะเนเหวะ, ทัง้ สตั วใหญ เราหา้ํ หน่ั ; ปญุ ญงั เม อะนโุ มทนั ต,ุ มิใชน อ ย เพราะเผลอพลัน; คณั หนั ตุ ผะละมตุ ตะมงั , ทางกายา วาจา จติ ; เวรา โน เจ ปะมญุ จนั ต,ุ จงอนโุ มทนากศุ ล; สพั พะโทสงั ขะมนั ตุ เม. ถอื เอาผล อนั อกุ ฤษฏ; ถามเี วร จงเปล้อื งปลดิ ; อดโทษขา อยา ผกู ไว* (ท่วั หนาเทอญ). * ถาจะหยดุ วา เพียงเทา น้ี ใหเ ปลี่ยน “อยา ผกู ไว” เปน “ทว่ั หนาเทอญ”
ยงั กญิ จิ กสุ ะลงั กมั มงั , (บทท่ี ๓) กัตตพั พงั กริ ิยงั มะมะ, กาเยนะ วาจามะนะสา, กศุ ลกรรม อยา งใดหนง่ึ ; ตทิ ะเส สุคะตงั กะตงั , เปน กจิ ซง่ึ ควรฝก ใฝ; เย สตั ตา สญั ญโิ น อัตถ,ิ ดวยกาย วาจา ใจ; เย จะ สตั ตา อะสญั ญโิ น, เราทําแลว เพอ่ื ไปสวรรค; กะตงั ปญุ ญะผะลงั มยั ห๎ งั , สัตวใด มีสัญญา; สพั เพ ภาคี ภะวนั ตุ เต, หรอื หาไม เปน อสญั ญ; เย ตงั กะตงั สวุ ทิ ติ งั , ผลบญุ ขา ทํานั้น; ทนิ นงั ปญุ ญะผะลงั มะยา, ทกุ ๆ สตั ว จงมีสว น; เย จะ ตัตถะ นะ ชานนั ต,ิ สัตวใ ดรู ก็เปนอนั ; เทวา คนั ตว๎ า นเิ วทะยุง, วาขาให แลว ตามควร; สพั เพ โลกมั ห๎ ิ เย สัตตา, สตั วใ ด มิรถู ว น; ชวี นั ตาหาระเหตกุ า, ขอเทพเจา จงเลาขาน; มะนญุ ญงั โภชะนงั สพั เพ, ปวงสัตว ในโลกีย; ละภนั ตุ มะมะ เจตะสา, มชี ีวติ ดวยอาหาร; จงได โภชนสาํ ราญ; ตามเจตนา ขา อาณตั *ิ (ของขา เทอญ). * ถาจะหยุดวา เพียงเทา น้ี ใหเปลย่ี น “ขาอาณตั ”ิ เปน “ของขา เทอญ”
อิมนิ า ปญุ ญะกมั เมนะ, (บทที่ ๔) อิมนิ า อทุ ทเิ สนะ จะ, ขิปปาหงั สลุ ะเภ เจวะ, ดวยบญุ นี้ ท่ีเราทาํ ; ตัณห๎ ปุ าทานะเฉทะนงั , แลอทุ ิศ ใหป วงสตั ว; เย สนั ตาเน หนิ า ธมั มา, เราพลันได ซง่ึ การตดั ; ยาวะ นพิ พานะโต มะมงั , ตัวตณั หา อปุ าทาน; นสั สนั ตุ สพั พะทา เยวะ, สงิ่ ชวั่ ในดวงใจ; ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว, กวา เราจะ ถงึ นิพพาน; อชุ จุ ติ ตงั สะตปิ ญ ญา, มลายสิน้ จากสนั ดาน; สัลเลโข วริ ยิ มั ห๎ นิ า, ทกุ ๆ ภพ ท่ีเราเกดิ ; มารา ละภนั ตุ โนกาสงั , มจี ิตตรง และสติ ทง้ั ปญญาอันประเสรฐิ ; กาตญุ จะ วริ ิเยสุ เม, พรอมทงั้ ความเพยี รเลศิ พทุ ธาทปิ ะวะโร นาโถ, เปนเคร่ืองขดู กเิ ลสหาย; ธมั โม นาโถ วะรตุ ตะโม, โอกาส อยาพึงมี แกหมูมาร นาโถ ปจ เจกะพทุ โธ จะ, ส้ินทั้งหลาย; สงั โฆ นาโถตตะโร มะมงั , เปน ชอ งประทุษรา ย ทําลายลา ง เตโสตตะมานภุ าเวนะ, ความเพยี รจม; มาโรกาสงั ละภนั ตุ มา, พระพทุ ธ ผูบวรนาถ; ทะสะปุญญานภุ าเวนะ, พระธรรม ที่พงึ่ อดุ ม; มาโรกาสงั ละภนั ตุ มา. พระปจเจกะพุทธะสม-; ทบพระสงฆ ทพี่ ง่ึ ผยอง; ดวยอานภุ าพนน้ั ; ขอหมมู าร อยาไดช อ ง; ดว ยเดชบญุ ทัง้ ๑๐ ปอง; อยา เปดโอกาส แกม าร เทอญ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140