ลกั ษณะของพ้นื ผวิ • พ้ืนผวิ ไมว า จะเกิดจากธรรมชาติ หรือจากมนษุ ย และเครื่องจกั ร จะมีลกั ษณะ ทส่ี ัมผัสได ใน 2 ลกั ษณะ คอื 1. พน้ื ผิวจริง (Real Textures) • หมายถึงพ้นื ผิวทส่ี ามารถจับตอ งได เชน เปลือกของตน ไม ใบไม กอ นหนิ กอ นกรวด ผลไม ผิวหนงั คน สัตว ฯลฯ พน้ื ผวิ ลักษณะนม้ี นุษยส ามารถ สัมผสั ได ท้งั ทางจักษุสมั ผสั และกาย สัมผสั และความรสู ึกทส่ี ัมผสั ได กม็ กั จะตรงกนั ท้งั ทต่ี าเห็นและการสมั ผสั พ้ืนผวิ จรงิ จะมี คุณสมบัติของสวนประกอบอนื่ มาเกีย่ วขอ งโดยตรงกค็ อื นา้ํ หนกั และทศิ ทาง ของแสงและเงา เพราะส่งิ น้ีจะทําให การเกิดของพน้ื ผิวเดน ชัดขึน้ 2. พนื้ ผิวเทยี ม (Artificial Textures) • หมายถงึ พื้นผวิ ที่เลยี นแบบพ้ืนผิวจริง และเปน พืน้ ผิวท่ี รับรูไดท างจักษสุ ัมผัส (Visual Textures) โดยรูสึกได โดย ประสบการณท ่เี คย รับรจู ากพืน้ ผิวจริง เชนมองเห็นวา เรียบมนั หยาบ ขรขุ ระ ฯลฯ แตเ ม่ือสัมผสั จากทางกาย อาจจะมีลกั ษณะ คลอยตามกบั ทตี่ าเห็น หรอื คา น กับทตี่ าเห็น ก็ไค
ความสําคัญของพ้ืนผวิ ในการออกแบบทศั นศิลป • พน้ื ผิวมคี วามสําคญั ตองานออกแบบทศั นศิลปใน 2 ดานคือ ดานอารมณ ความรูสึก จากการ มองเห็น หรือทางจกั ษสุ ัมผัสตอพืน้ ผิวนั้น และดา นประโยชนใ ชสอย จากคุณสมบตั ขิ องพนื้ ผวิ น้ัน โดยตรง • ในทางทัศนศิลปค วามสําคญั ของพนื้ ผิว ตอความรสู กึ ดา นดา นอารมณ จะมคี วามสาํ คัญมากกวา ดังจะไดน ําเสนอลกั ษณะของพ้นื ผิวตามประเภทใหญ ๆ ตอ ไปน้ี 1. พนื้ ผิวละเอยี ดเรียบ ลักษณะทางกายภาพ ของ พน้ื ผวิ แบบนจี้ ะสะทอ นแสง และถามีนํ้าหนกั แสง เงาเกิดข้นึ กจ็ ะเปน นา้ํ หนักแสง เงา ท่ีนุมนวล ซึ่งจะใหความรสู ึกนมุ นวล บอบบาง เบา สภุ าพ และถา พ้นื ผวิ เรยี บ มี ความมันวาว กจ็ ะให ความรูสกึ หรหู รามีราคา
2. พื้นผวิ หยาบไมเ รียบ ลกั ษณะทางกายภาพ ของ พน้ื ผิวแบบน้ีจะดดู ซับแสง และทาํ ใหน ้ําหนกั ของแสงเงาท่เี กิดข้นึ มีนํ้าหนักทรี่ นุ แรง ใหความรูสกึ เขม แขง็ หนกั แนน มน่ั คง นากลวั กระดาง.
ตวั อยางการใช พ้นื ผิว เปน สาระสาํ คญั ในการจัดองคประกอบ
พื้นทีว่ าง (Space) • บางคร้งั นยิ มเรียกวา หรอื ชว งระยะ หรือ ชอ งไฟ ซ่ึงการที่จะมีพน้ื ทีว่ างเกดิ ขนึ้ น้นั ตองมสี ว นที่กําหนดใหเ ปนรปู (Figure) และสวนทก่ี ําหนดใหเปน พน้ื (Ground) เสยี กอ น ดงั น้นั ถาสวน ใหญเ ปน รปู สวนทเี่ หลอื ยอมเปนพื้น และสวนพ้ืนนัน้ เองเรียกวา พ้นื ท่ีวาง (Space) ซงึ่ จะตอ งออกแบบใหมีความ พอดี มีจงั หวะชวงหางตา ง ๆ อยางลงตวั ไมชดิ หรอื หา งจนเกนิ ไป พน้ื ที่วางเหลา นี้ อาจทําใหผ ชู มเกิดความรูส ึก สบาย อดึ อัด หรอื รูสึกใกล ไกล ต้นื ลึก ไปดว ย
ตวั อยางการใช พ้นื ที่วา ง เปนสาระสาํ คญั ในการจดั องคประกอบ
คานาํ้ หนกั ( Value of Tone ) • ความหมายของคา น้ําหนัก คือนํา้ หนกั ออ นแกข องแสงและเงา ทีป่ รากฏบน วตั ถนุ ั้น เปนผลมาจาก แสงสวาง ในธรรมชาตหิ รือ แสงสวางทม่ี นุษยประดิษฐขน้ึ กลาวไดว า นํ้าหนกั เปน การตอบสนองทางการเห็นจากการเกิดของ แสงสวางและเงามืด ท่ปี รากฏบนวตั ถุ • ในทางทศั นศิลป น้ําหนักออ นแก หมายถงึ ความ ออนแกบริเวณเน้ือทข่ี องวัตถุที่ถูกแสง และบรเิ วณ เนอื้ ทท่ี เี่ ปน เงา อาจจะมนี ้าํ หนกั ออนตัง้ แต ขาว จนถึงดํา
• ประเภทของของคา นํา้ หนกั ระดับคานาํ้ หนักเปน ความแตกตางของน้ําหนกั ขาวดํา หรอื น้าํ หนักของสี สามารถสราง ใหเกิด ระดับคานา้ํ หนกั ตา ง ๆ ไดหลายนาํ้ หนัก ระดับคานาํ้ หนักท่ีสราง ไดงา ยและเหน็ ไดช ัดท่สี ุด คือ นา้ํ หนกั ขาว เทา ดํา
1. คา นํา้ หนกั แบบ 2 มิติ • หมายถึงนา้ํ หนกั ทปี่ รากฏบนพื้นผวิ 2 มติ ิ ท่มี แี ค ความกวางและความยาว ทาํ ใหเ กิดความแตกตาง ของนาํ้ หนกั ในภาพ เปน สวนกําหนดรูปและพนื้ และอ่นื ๆ
2. คา น้าํ หนกั แบบ 3 มิติ แบง ออกเปนสองลักษณะ คอื • 2.1 คานาํ้ หนักท่แี สดง ความกวาง ความยาว และความลึก ใหความเปน 3 มิตทิ ่ลี วงตา เชน ท่ีปรากฏในงานจิตรกรรม และ ภาพพมิ พ
• 2.2 คานํ้าหนกั ทปี่ รากฏในรูปทรง 3 มติ ิ เชนในประติมากรรม สถาปต ยกรรม ทาํ ให รูปทรงน้นั มมี วล (Mass)และปริมาตร (Value) เกดิ มติ ิ ที่ชดั เจน สามารถสรา งอารมณ และ ความรสู ึกตามตองการ นอกจากน้ี แสงเงาท่ีปรากฏยังวัตถุ ยงั สรา งพืน้ ผวิ ของวัตถนุ นั้ ให เดน ชดั ข้นึ
ตวั อยา งการใชค า น้ําหนกั ในการสรา งสรรค
สี ( Color ) • สีนบั เปนองคป ระกอบสาํ คัญอยางยิ่งในการสรางงานศิลปะ สจี ะทาํ ใหผ ลงานท่ีสําเรจ็ แลว มีความสวยงาม เดน สะดุดตา และสรางจนิ ตนาการในการรับรมู ากกวาสวนประกอบใดๆ ความหมายของสี สี หมายถึง แสงทม่ี ากระทบวตั ถุ แลว สะทอ นเขา ตาเรา ทาํ ใหเหน็ เปน สีตางๆ
แมสี ( Primary Color ) • แมสี คือ สีทีน่ าํ มาผสมกนั แลวทําใหเกดิ สีใหม ทมี่ ลี กั ษณะแตกตา งไปจากสีเดมิ แมสี มอื ยู 2 ชนิด คือ 1. แมสขี องแสง เกิดจากการหักเหของแสงผานแทง แกว ปรซิ มึ มี 3 สี คอื สีแดง สีเขียว และสนี ้าํ เงิน อยใู นรูปของแสงรังสี ซง่ึ เปน พลงั งานชนดิ เดยี วที่มสี คี ุณสมบตั ิของแสง สามารถนาํ มาใช ในการ ถา ยภาพ ภาพโทรทศั น การจัดแสงสใี นการแสดงตางๆ เปนตน เมื่อนําแมสขี องแสงมาผสมกนั จะเกดิ เปนสีตา งๆ ดังน้ี 1. สีมว งแดง (Magenta) เกิดจากสแี ดง (Red) ผสมกบั สีนํา้ เงนิ (Blue) 2. สฟี า (Cyan) เกิดจากสเี ขยี ว (Green) ผสมกับสนี ํ้าเงนิ (Blue) 3. สเี หลือง (Yellow) เกดิ จากสเี ขียว (Green) ผสมกับสี แดง (Red) และเมอ่ื นําแมสีทงั้ 3 มาผสมกัน จะไดส ีขาว
2. แมสวี ตั ถุธาตุ เปนสีทไ่ี ดม าจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะหโดยกระบวน ทางเคมี มี 3 สี คือ สแี ดง สเี หลอื ง และสนี าํ้ เงิน แมส วี ัตถธุ าตเุ ปนแมสที ี่นํามาใช งานกนั อยางกวา งขวาง ในวงการศลิ ปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ แมส ีวตั ถุธาตุ เมือ่ นาํ มาผสมกันตามหลักเกณฑ จะทําใหเกิด วงจรสี ซ่งึ เปนวงสี ธรรมชาติ เกิดจากการผสมกนั ของแมส ีวัตถธุ าตุ เปน สีหลกั ทีใ่ ชงานกันทั่วไป ใน วงจรสี จะแสดงสิง่ ตา ง ๆ ดังตอไปน้ี วงจรสี ( Color Circle) สีขั้นท่ี 1 (Primary Color) คอื สพี นื้ ฐาน มีแมสี 3 สี ไดแก 1. สีเหลอื ง (Yellow) 2. สีแดง (Red) 3. สีนา้ํ เงิน (Blue)
สขี ้ันท่ี 2 (Secondary color) คอื สที ี่เกิดจากสขี นั้ ท่ี 1 หรือแมส ีผสมกนั ในอตั ราสวนท่ีเทากนั จะทาํ ใหเ กดิ สใี หม 3 สี ไดแ ก 1. สสี ม (Orange) เกดิ จาก สีแดง (Red) ผสมกับสเี หลอื ง (Yellow) 2. สมี ว ง (Violet) เกิดจาก สีแดง (Red) ผสมกบั สีนํ้าเงนิ (Blue) 3. สเี ขียว (Green) เกิดจาก สีเหลือง (Yellow) ผสมกับสนี ํา้ เงิน (Blue)
สขี ั้นท่ี 3 (Thirdly Color) คอื สที ี่เกิดจากการผสมกนั ระหวางสีของแมสกี ับสีขัน้ ท่ี 2 จะเกิดสีขน้ึ อกี 6 สี ไดแ ก 1. สมี ว งนา้ํ เงิน (Blue - violet) เกิดจาก สนี ํ้าเงนิ (Blue) ผสมกบั สมี วง (Violet) 2. สีเขยี วน้ําเงนิ (Blue - green) เกิดจาก สีน้ําเงนิ (Blue) ผสมกับสีเขยี ว (Green) 3. สเี ขยี วเหลือง (Yellow - green) เกิดจาก สีเหลือง(Yellow) ผสมกับสีเขียว (Green) 4. สีสมเหลือง (Yellow - orange) เกดิ จาก สีเหลอื ง (Yellow) ผสมกบั สสี ม (Orange) 5. สสี มแดง (Red - orange) เกิดจาก สแี ดง (Red) ผสมกบั สีสม (Orange) 6. สีมว งแดง (Red - violet) เกดิ จาก สแี ดง (Red) ผสมกบั สีมวง (Violet)
คณุ ลกั ษณะของสีและการใชส ี 1. สแี ท (Hue ) หมายถึง สีทย่ี งั ไมเ ปลี่ยนคา นา้ํ หนัก รวมถงึ สีท่อี ยใู นวงจรสธี รรมชาติ ท้งั 12 สี เหลือง มว ง สมเหลอื ง มวงนา้ํ เงนิ สม นํ้าเงิน สม แดง เขยี วน้าํ เงนิ แดง เขยี ว มวงแดง เขียวเหลอื ง
2. วรรณะของสี วรรณะของสี (Tone) มอี ยู 2 วรรณะ คือ วรรณะสรี อน และ สเี ยน็ สรี อนคือสที ่ดี ูแลวใหค วามรูสกึ รอน สเี ย็นคอื สที ด่ี ูแลวรสู ึกเย็น ซงึ่ ในวงจรสี สมี ว งกบั สเี หลอื งเปนไดทัง้ สรี อนและสีเย็น แลวแตวาจะอยูก บั กลุมสใี ด การใชสใี นวรรณะเดียวกันจะทําใหเกดิ รูสกึ กลมกลืนกัน การใชส ตี า งวรรณะจะทําใหเกดิ ความแตกตาง ขดั แยง การเลือกใชส ใี นวรรณะใด ๆ ขน้ึ อยกู บั ความตองการ และจดุ มุง หมายของงาน • 1. สรี อ น (Warm Color) ใหค วามรสู ึกรุนแรง รอน ตื่นเตน ประกอบดว ย สเี หลือง สีสม เหลือง สีสม สีสมแดง สีแดง สมี วงแดง สมี ว ง • 2. สีเยน็ (Cool Color) ใหความรสู กึ เยน็ สงบ สบายตาประกอบดว ย สเี หลือง สีเขยี วเหลอื ง สเี ขยี ว สีเขียวนาํ้ เงิน สนี า้ํ เงนิ สีมว งน้ําเงิน สีมว ง
การใชสวี รรณะเดียว การใชสีตางวรรณะ การใชสีตา งวรรณะ ควรเลือกใชสีวรรณะหลัก (สีเยน็ หรือ รอ น) 70 - 80% และสีวรรณะรอง (สรี อ น หรือ เย็น) 30 - 20%
3. น้ําหนักของสี (Values) • นํ้าหนกั ของสี (Values) หมายถึง สที สี่ ดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สที บึ (Darkness) ของสแี ตล ะสี • สที ุกสีจะมีนาํ้ หนกั ในตัวเอง ถาเราผสมสีขาวเขาไปในสใี ดสีหนงึ่ สนี ัน้ จะสวางขน้ึ หรือมีน้าํ หนักก ออ นลง ถาเพม่ิ สขี าวเขา ไปทลี ะนอยๆ ตามลาํ ดับ เราจะไดนา้ํ หนักของสที เ่ี รียงลาํ ดับจากแกสุด ไปจนถงึ ออนสดุ นํา้ หนักออ นแกข องสี เกิดจากการผสมดวยสขี าว เทา และ ดํา hue นา้ํ หนกั ของสีจะลดลงดวยการใชส ขี าวผสม (tint) ซง่ึ จะทาํ ให เกดิ tint ความรูสกึ นุมนวล ออนหวานสบายตา natural shade น้ําหนกั ของสีจะเพ่ิมข้ึนปานกลางดวยการใชสีเทาผสม (natural) ซง่ึ จะทําใหค วามเขมของสีลดลง เกิดความรสู กึ ท่ีสงบ ราบเรียบ น้ําหนกั ของสจี ะเพิม่ ขึ้นมากข้นึ ดว ยการใชสีดําผสม (shade) ซึง่ จะ ทาํ ใหค วามเขมของสลี ดความสดใสลง เกิดความรสู ึกขรมึ ลกึ ลับ
ภาพแสดงการใชนํา้ หนักของสี
4. ความจดั ของสี (Intensity) • ความจดั ของสี (Intensity) หมายถงึ ความสด หรือความบรสิ ทุ ธ์ขิ องสใี ดสีหน่ึง • สที ถี่ ูกผสมดวย สีดาํ จนหมนลง ความจัด หรอื ความบรสิ ทุ ธิ์จะลดลง • ความจดั ของสีจะมพี ลังความเดนชัดสูง เมือ่ อยทู ามกลางสที ่ีเขม หรือมืดหมน เชน พลทุ ถี่ กู จุด สองสวา งในยามเทศกาล ตดั กบั สีมืด ทึมๆ ของทอ งผา ยามคา่ํ คนื เปนตน
ภาพแสดงความจดั ของสี
5. สเี อกรงค (Monochrome) • สีเอกรงค (Monochrome) เปน การใชสีเพียงสีเดยี ว แตม ีหลาย ๆ นํ้าหนกั ซึง่ ไลเ รยี งจากนาํ้ หนักออนไปแก เปน การใชสีแบบด้งั เดิม ภาพ จิตรกรรมไทย แบบดัง้ เดิมจะเปนลกั ษณะน้ี ตอ มาเม่ือมกี ารใชสีอ่นื ๆ เขามาประกอบมากขึน้ ทาํ ใหมีหลายสี ซึ่งเรียกวา \"พหุรงค\" ภาพแบบสี เอกรงค มักดูเรยี บ ๆ ไมค อ ยนาสนใจ
6. สีสว นรวม (Tonality) • สีสวนรวม (Tonality) เปนลกั ษณะทม่ี ีสีใดสหี นง่ึ หรือกลุมสีชดุ หนงึ่ ทีใ่ กล เคยี งกนั มีอิทธิพลครอบคลมุ สีอ่ืน ๆ ทอ่ี ยูในภาพ เชน บรรยากาศการแขงขัน ฟุตบอลในสนาม ถงึ แมผูเลน ทัง้ สองทมี จะแตง กายดวยเส้อื ผา หลากสตี างกนั ก็ ตาม แต สเี ขยี วของสนามก็จะมอี ทิ ธพิ ลครอบคลมุ สตี างๆทั้งหมด ภาพสีสว นรวมเปนสเี ขยี ว ภาพสสี ว นรวมเปน สนี ้ําเงนิ
รูปแบบคุณลกั ษณะของสี ความจัดของสี ( Intensity ) สเี อกรงค ( Monochrome ) สีสวนรวม ( Tonality )
จติ วทิ ยาของสี • การรับรสู ตี า งๆ มอี ิทธพิ ลตอพฤตกิ รรม อารมณ และความรสู กึ ของมนษุ ยเปนอยาง มาก ไมวา จะเปน การแตง กาย บานที่อยอู าศัย เครื่องใชตา งๆ ซง่ึ การใชส ไี ดอยาง เหมาะสม และสอดคลอ งกับหลักจิตวทิ ยา จําเปน ตองเขาใจวา สใี ด ใหความรสู กึ ตอ มนุษยอ ยา งไร สําหรบั ความรูส ึกเกย่ี วกบั สี สามารถจําแนกออกไดดงั น้ี • สีแดง ใหความรสู ึกรอน รนุ แรง กระตนุ ทาทาย เคลือ่ นไหว ต่นื เตน เรา ใจ มพี ลงั ความอุดมสมบรู ณ ความมงั่ คงั่ ความรกั ความสําคญั อันตราย • สีสม ใหความรสู กึ รอน ความอบอุน ความสดใส มีชวี ติ ชีวา วัยรุน ความคึกคะนอง การปลดปลอย ความเปรย้ี ว การระวัง • สีเหลอื ง ใหค วามรสู กึ แจม ใส ความราเรงิ ความเบิกบานสดช่ืน ชีวิตใหม ความสด ใหม ความสุกสวาง การแผก ระจาย อาํ นาจบารมี • สเี ขยี ว ใหค วามรสู กึ งอกงาม สดชื่น สงบ เงียบ รมรนื่ รม เยน็ การพักผอน การผอ น คลาย ธรรมชาติ ความปลอดภยั ปกติ ความสุข ความสุขมุ เยอื กเย็น
• สนี าํ้ เงิน ใหค วามรสู กึ สงบ สุขมุ สภุ าพ หนกั แนน เครงขรมึ เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สงางาม มศี กั ดิ์ศรี สูงศกั ด์ิ เปนระเบียบถอ มตน • สฟี า ใหค วามรสู ึก ปลอดโปรง โลง กวา ง เบา โปรง ใส สะอาด ปลอดภยั ความสวาง ลมหายใจ ความเปน อสิ ระ เสรภี าพ การชว ยเหลอื แบงปน • สีมว ง ใหความรสู ึก มีเสนห นา ตดิ ตาม เรน ลับ ซอ นเรน มอี ํานาจ มีพลงั แฝงอยู ความรกั ความเศรา ความผดิ หวัง ความสงบ ความสงู ศักด์ิ • สชี มพู ใหความรูส กึ อบอุน ออนโยน นมุ นวล ออนหวาน ความรัก เอาใจใส วยั รุน หนมุ สาว ความนารกั ความสดใส • สนี ํา้ ตาล ใหความรสู กึ เกา หนัก สงบเงียบ • สขี าว ใหค วามรูส ึกบรสิ ุทธ์ิ สะอาด ใหม สดใส • สีดํา ใหความรสู กึ หนัก หดหู เศราใจ ทึบตนั • สีเทา ใหค วามรูสกึ เศรา อาลยั ทอ แท ความลกึ ลับ ความหดหู ความชรา ความสงบ ความเงียบ สภุ าพ สขุ มุ ถอ มตน • สีทอง ใหความรสู กึ ความหรูหรา โออา มีราคา สูงคา สิง่ สําคัญ ความเจริญรุงเรือง ความสขุ ความม่งั คง่ั ความรา่ํ รวย การแผก ระจาย
สกี ับการออกแบบ • สที ี่ใชส ําหรบั การออกแบบนัน้ มีหลกั ในการใชกวางๆ อยู 2 ประการ คือ การใชส ีกลมกลืนกัน และ การใชสตี ดั กัน 1. การใชส ีกลมกลนื กัน การใชส ใี หก ลมกลนื กัน เปน การใชส ีหรือน้ําหนกั ของสใี หใกลเคียงกัน หรือคลา ยคลึงกัน เชน การใชส ีแบบเอกรงค เปนการใชส ีสีเดยี วทม่ี ีน้าํ หนักออนแกหลายลําดับ การใชส ขี างเคียง เปน การใชสที ี่เคยี งกัน 2 – 3 สี ในวงสี เชน สีแดง สสี ม แดง และสมี ว งแดง การใชส ใี กลเ คยี ง เปน การใชสีทอ่ี ยูเรยี งกันในวงสีไมเกิน 5 สี ตลอดจนการใชสีวรรณะรอนและวรรณะเย็น 2. การใชส ีตัดกัน สีตดั กันคอื สที ่ีอยตู รงขา มกนั ในวงจรสี การใชส ใี หต ดั กันมคี วามจําเปน มากในงานออกแบบ เพราะชว ยใหเกิดความนาสนใจ ในทันทที พี่ บเห็น
• การใชสตี ัดกนั ควรคาํ นงึ ถงึ ความเปน เอกภาพดวย วิธกี ารใชม หี ลายวิธี เชน ใชสีใหม ปี ริมาณตา งกนั เชน ใชสีแดง 20 % สเี ขียว 80% หรือ ใชเนอ้ื สผี สมในกันและกัน หรอื ใชส หี น่งึ สใี ดผสมกับสคี ูท่ีตัดกัน ดว ยปรมิ าณเล็กนอย รวมทง้ั การเอาสีทตี่ ัดกนั มาทําใหเปนลวดลายเล็ก ๆ สลบั กนั • ในผลงานช้ินหนึ่ง อาจจะใชส ีใหก ลมกลืนกันหรือตดั กันเพียงอยางใดอยางหนึ่ง หรอื อาจจะใช พรอมกันทง้ั 2 อยาง ทั้งนีแ้ ลว แตค วามตอ งการ และความคดิ สรา งสรรคข องเรา ไมมีหลกั การ หรือรปู แบบท่ตี ายตัว การใชส กี ลมกลนื ( Harmony Color ) การใชสตี ดั กัน ( Contrast Color )
การใชสกี ลมกลืน ( Harmony Color ) การใชส ีตดั กนั ( Contrast Color )
หลักการออกแบบ (Principles of Design) • หลักการออกแบบหรือบางทีเรยี กวา หลกั ของศลิ ปะหรอื หลกั ของการจัดภาพ เปน วธิ กี ารนําเอาองคประกอบของศิลปะอนั ไดแ ก เสน สี คา น้ําหนกั รูปรา ง รูปทรง พ้นื ผิว ฯลฯ มาจัดเขา ดวยกันเพอ่ื ใหเ กดิ ความงาม • การนําองคป ระกอบตาง ๆ มาจดั รวมกนั นั้นเรยี กวา การจัดองคป ระกอบศิลป (Art Composition) ซ่ึงมหี ลักสาํ คัญ ดังน้ี 1. เอกภาพ (Unity) 2. ความสมดลุ (Balance) 3. ความกลมกลนื (Harmony) 4. ความตัดกัน (Contrast) 5. สัดสว น (Proportion) 6. จังหวะ และการแปรเปลี่ยน (Rhythm & Gradation ) 7. จดุ เดน และการเนน(Dominance & Emphasis)
เอกภาพ (Unity) • เอกภาพ หมายถงึ ความเปนอนั หนง่ึ อนั เดียวกันขององคประกอบศิลป ทั้งดาน รปู ลกั ษณะ และดา นเนือ้ หาเรอ่ื งราว เปนการประสานหรือจัดระเบยี บของสว นตาง ๆ ใหเ กดิ ความเปนหน่ึงเดยี ว เพอ่ื ผลรวมอนั ไมอ าจแบงแยกสวนใดสว นหนงึ่ ออกไป • การสรางงานศิลปะ คอื การสรา งเอกภาพข้ึนจากความสบั สน ความยงุ เหยิง เปน การ จัดระเบยี บ และดุลยภาพ ใหแกส่ิงทีข่ ัดแยงกันเพือ่ ใหร วมตวั กันได โดยการเชอ่ื มโยง สวนตา ง ๆใหส ัมพันธก ัน • เอกภาพของงานศิลปะ มีอยู 2 ประการ คือ 1. เอกภาพของการแสดงออก 2. เอกภาพของรปู ทรง
1. เอกภาพของการแสดงออก หมายถงึ การแสดงออกทมี จี ดุ มงุ หมายเดียว แนน อน และมี ความเรยี บงา ย งานช้นิ เดยี วถาแสดงออกหลายความคิด หลายอารมณ จะทําใหส บั สนขาดเอกภาพ และการแสดงออกดวยลักษณะเฉพาตัวของศิลปนแตละ คน กส็ ามารถทําใหเ กิดเอกภาพแกผลงานได 2. เอกภาพของรูปทรง คอื การรวมตัวกนั อยา งมดี ุลยภาพ และมีระเบียบของ องคป ระกอบทางศิลปะ เพอ่ื ใหเ กิดเปนรปู ทรงหนึง่ ท่สี ามารถแสดงความคดิ หรอื อารมณข องศลิ ปนออกไดอยางชดั เจน • เอกภาพของรูปทรงบางทเี รียกวาความเปน หนว ย คือ การจัดใหส วนประกอบในภาพ หรือในงานศลิ ปะน้ัน ๆ มคี วามสมั พนั ธกันเปน กลมุ กอ น ไมกระจัดกระจาย ดูแลวไมข ัด ตา เชน ถาใชส กี ค็ วรจะใหเปนกลมุ เดียวกัน หรอื ในการออกแบบรูปทรงก็ใหดูมี ลักษณะทีเ่ ขา กันไมร ูสกึ วา ขดั กนั จนเกนิ ไป
(ภาพท่ี 1) มกี ารรวมกลมุ กัน 2 กลุม เกดิ จากตาํ แหนง ท่ใี กลชดิ กนั คือ กลุม ที่ 1 ภาพบา น 2 หลังและแนวภเู ขา กลมุ ท่ี 2 ภาพบาน 1 หลงั ตนไม และพน้ื สนาม (ภาพที่ 2) มกี ารเพิม่ แนวถนนเช่ือมระหวา ง 2 กลมุ ทําใหม คี วามใกลช ดิ กัน เกดิ การรวมเปนกลุมเดียว (ภาพท่ี 3) มีการเพิม่ ตน ไมเ ขาไป เพ่อื ความใกลช ดิ ย่งิ ขึ้น เกดิ เอกภาพ จากการรวมกลมุ (Proximity)
ตวั อยา งภาพท่แี สดงเอกภาพของรปู ทรง และการแสดงออกในเนื้อหาของใบหนา คน
ตวั อยางภาพที่แสดงเอกภาพในการจดั องคป ระกอบทางศลิ ปะ
ความสมดุล (Balance) • ความหมายของความสมดลุ คือ “ความเทากนั ” นน่ั เอง ความเทา กนั ใน องคประกอบของการจัดภาพนั้น หมายถงึ การจดั ใหภาพมนี าํ้ หนกั เฉลี่ยเทา ๆ กันทง้ั ภาพ เมอ่ื แบงภาพดว ยสายตาแลว ไมขดั ตา หรอื มนี ้าํ หนักไปขา งใดขา งหนึ่ง • หลักของความสมดลุ ทางการมองเห็น (Visual Balance) • หลักของการเกิดความสมดุลทางการมองเหน็ กค็ ือ จะมเี สนแกนสมมตุ ิ (Axis) ทไี่ มม ี ตวั ตน แตม นษุ ย สามารถสัมผสั ได โดยยดึ ไวเ ปน แกนกลาง แลวสมมตุ ิส่งิ อ่นื ๆ ท่ี ประกอบ ใหอยูโดยรอบของเสน แกนสมมตุ ินัน้ ถา ดแู ลวรูสึกวา ไมหนัก ไปขางใดขาง หนงึ่ น่ันก็คือมีความสมดลุ เกดิ ขึน้ แลว
ความสมดุลตามเสน แกนสมมุติตามแนวตั้ง (Vertical Axis) เปน ความสมดลุ ท่ีใหค วามรูส กึ ไดในทนั ทีและใหพลังของ ความสมดุลชดั เจน ลกั ษณะภาพท่ีใหค วามรสู กึ วา มเี สนแกนสมมตุ ทิ ั้งแนวตงั้ (Vertical Axis) และสนแกน สมมตุ แิ นวนอน (Horizontal Axis)
ประเภทของความสมดุล • ความสมดลุ มีหลักการจัด 2 ประเภท คือ 1. สมดลุ แบบสองขางเทา กัน หรอื แบบสมมาตร (Symmetrical Balance) เปนการสมดลุ ท่ีมกี ารจัดภาพใหสวนประกอบท้ังสองขางคลายกนั หรือเทา ๆกัน การ สมดลุ ลักษณะแบบน้ีในทางศิลปะมีใชนอย สวนมากจะใชในลวดลายตกแตง ในงาน สถาปต ยกรรมบางแบบ หรอื ในงานทต่ี องการดลุ ยภาพทน่ี งิ่ และมั่นคงจริง ๆ 2. สมดลุ แบบสองขา งไมเทา กนั หรือแบบอสมมาตร (Asymmetrical Balance) ความสมดุลแบบนี้ มักเปน การสมดุลทเ่ี กิดจากการจดั ใหมของมนษุ ย ซง่ึ มลี กั ษณะที่ ทางซายและขวาจะไมเ หมือนกัน ใชองคป ระกอบทไ่ี มเ หมือนกนั แตมีความสมดุลกนั อาจเปน ความสมดลุ ดวย นา้ํ หนกั ขององคป ระกอบ หรอื สมดลุ ดวยความรูสึกกไ็ ด • การจัดองคประกอบใหเกิดความสมดุลแบบอสมมาตรอาจทําไดโ ดย เล่ือนแกนสมดลุ ไป ทางดานทม่ี ีนาํ้ หนักมากกวา หรือ เลือ่ นรูปทม่ี นี าํ้ หนักมากกวา เขา หาแกน จะทาํ ใหเ กดิ ความสมดลุ ข้ึน • หรือใชห นว ยท่ีมขี นาดเล็กแตม รี ูปลกั ษณะทน่ี า สนใจถวงดุลกับรปู ลักษณะท่ีมีขนาดใหญ แตมีรูปแบบธรรมดา
1. ความสมดุลแบบสองขางเทา กนั (Symmetry Balance) • ความสมดุลแบบสองขา งเทา กนั หมายถงึ ภาพทมี่ ีสองขาง เหมือนกนั ใกลเคียงหรอื คลายคลงึ กนั หรือดแู ลวเทาเทียมกัน โดยมเี สนแบงคร่งึ ตามแนวตง้ั เปน เสน แกนกลาง (Central Axis) ความสมดลุ ลักษณะน้ี สรา งความเขา ใจไดงายทส่ี ดุ แตไม คอยนา สนใจ • ความสมดลุ แบบสองขา งเทากัน เรยี กอกี อยา งหนึ่งวา ความสมดุล แบบเปนปกติหรือ แบบเปนทางการ (Formal Balance) เพราะ ความสมดุลแบบนี้ มีกฎเกณฑ ทแ่ี นนอน ทําใหงานออกแบบนน้ั มีเอกภาพของความม่นั คง เปน ระเบยี บ เปนทางการ และ นาเชอ่ื ถือ
ตวั อยา งภาพแสดง ความสมดลุ แบบสองขางเทา กนั (Symmetry Balance)
2. ความสมดุล แบบสองขา งไมเ ทา กนั (Asymmetry Balance) • หมายถงึ การจัดวางสว นประกอบมูลฐานของ ศิลปะ ลงในสองขาง ของแกนสมมุติ ท้ัง ทางแนวตั้ง หรือแนวนอน ไดอยางอสิ ระโดย ไมตอ งคํานึงถงึ ความเทากันทงั้ สองขาง ในดา นสัดสว น มวล หรอื ปริมาตร แตใ นการจัดวางนั้น เมอื่ ดโู ดยรวมแลว มีความ สมดุลในความรูสกึ เกิดขน้ึ ไมห นกั ไปขา งใดขางหนึ่ง • ความสมดุลแบบสองขา งไมเ ทา กนั นี้ เรียกอีกอยา งหนงึ่ วา ความสมดุลแบบ ไมเ ปน ทางการ (Informal Balance) เพราะ การออกแบบสรางสรรค ไมม กี ฎเกณฑท ีแ่ นน อน ในการจัดวางวัตถคุ วามสมดลุ ในลกั ษณะนี้ จะใหอ ารมณค วามรูส ึกเคลือ่ นไหว นา สนใจ
แนวทางการสรา งความสมดลุ แบบสองขางไมเทา กัน • ความสมดุลแบบสองขางไมเ ทากันแมจะไมมกี ฎเกณฑทแ่ี นนอน ในการจัดวางออกแบบ แตก ม็ แี นวทางสรางสรรคใ หงานออกแบบน้นั บรรลถุ ึงความสมดลุ ไดดงั น้ี 2.1. ความสมดลุ โดยรปู รา ง (Balance by Shape) • รูปรางทแ่ี ปลก แมมีขนาดเลก็ กวา ก็สามารถสรา งความสมดุลได
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136