รายงานการประเมินมูลคาส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเ พ่ือการจดั การ อทุ ยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จงั หวดั เชียงใหม Environment Valuation for Management of Doi Inthanon National Park in Chiang Mai Province ศูนยศ กึ ษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชียงใหม สว นศกึ ษาและวิจยั อทุ ยานแหง ชาติ สาํ นกั อุทยานแหงชาติ กรมอุทยานแหงชาติ สตั วปา และพนั ธุพ ชื , 2554
รายงานผลการวิจัยศนู ยศกึ ษาและวจิ ยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหมเรอ่ื ง การประเมนิ มูลคา ส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเ พื่อการจัดการอทุ ยานแหงชาติ ดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม Environment Valuation for Management of Doi Inthanon National Park in Chiang Mai Provinceงบประมาณการวิจยั ประจําป พ.ศ. 2554หัวหนาโครงการวิจยั นายสรรเสริญ ทองสมนกึผรู วมโครงการวิจยั นายภดู ิท อกั ษรดษิ ฐ นายสรายุทธ วรรณรกั ษ นางสาวศิริอร ศกั ด์ิวิไลสกุล นางสาวมนัฐชญา วงคแปง นางสาวณฐั ธนิ ี จันตะ วารี งานวิจัยเสร็จสมบูรณ ตลุ าคม 2554
รายงานการประเมินมูลคา สิง่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร กเพื่อการจัดการอุทยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหม คํานํา คาํ นาํ การประเมินคาส่ิงแวดลอมถือวา เปนความตระหนักของมนุษยที่จะมีกลไกสําหรับควบคุมการบรหิ ารโครงการพัฒนาในรูปแบบตา งๆ ภายใตร ะบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยม โดยมีวัตถปุ ระสงคท ่ีสําคัญของการนํากลไกการประเมินคาส่ิงแวดลอมเขามาเพ่ือใหมีการระมัดระวัง มิใหทําความเสียหายใหกับส่ิงแวดลอมอยางมาก จนทําใหคุณภาพชีวิตของมนุษยตองเสื่อมถอยลงไป กลไกท่ีสําคัญในการควบคุมความเส่อื มคุณภาพของสิ่งแวดลอ ม จะตองมขี อมลู มูลคา สิ่งแวดลอ มที่เปนมาตรฐานเดยี วกนั กบั ขอมลู ดา นเศรษฐกจิ ซงึ่ มีมาตรวัดท่มี ีหนว ยเปน มลู คา เงนิ ปจ จุบันมีความตองการขอมูลเกี่ยวกับมลู คาของสง่ิ แวดลอมเพ่ิมมากย่ิงข้ึน เน่ืองจากปญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมที่เกิดข้ึนในปจจุบันไดขยายวงกวาง แตขณะเดียวกันสังคมยังขาดกลไกในการกํากับดูแล ปองกันการรุกล้ํา และแนวทางการฟน ฟทู รพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ ม ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม ไดเล็งเห็นถึงความสําคัญของการใชประโยชนจากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอมในพ้ืนที่อุทยานแหงชาติของนักทองเที่ยว จึงไดทําการประเมินมูลคาส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเพือ่ การจดั การอุทยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหมเพอ่ื จะไดนาํ ผลการศกึ ษาไปประยกุ ตใชในการกําหนดนโยบายและจัดสรรงบประมาณใหสอดคลองและเหมาะสมกบั การบริหารจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมในพนื้ ที่อุทยานแหง ชาตดิ อยอินทนนทจงั หวดั เชยี งใหม และในพื้นทอี่ ทุ ยานแหงชาตอิ ืน่ ในอนาคต คณะผูวิจัยขอขอบพระคุณ ดร.ทรงธรรม สุขสวาง ผูอํานวยการสวนศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ ที่ไดใหการสนับสนุนงบประมาณและคําแนะนําท่ีเปนประโยชนสําหรับการศึกษาวิจัยครั้งน้ี ขอบคุณนายเกรียงศักด์ิ ถนอมพันธ หัวหนาอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท และเจาหนาท่ี ที่ไดอนุเคราะหสถานท่ีพักและอํานวยความสะดวกในระหวางปฏิบัติงานในพื้นที่เปนอยางดี ขอบคุณนายภานวุ ฒั น สุภามลู พนักงานราชการ สํานกั งานปศสุ ัตวจ งั หวดั เชียงใหม (อดีตนักวิจัยของศูนยศึกษาฯเชียงใหม) ที่ไดใหคําแนะนําและคอยเปนท่ีปรึกษาในการวิเคราะหขอมูลโดยใชโปรแกรม SPSS และLimdep จนสัมฤทธ์ิผลตามวัตถุประสงค ขอบคุณสํานักอุทยานแหงชาติ สํานักบริหารพ้ืนท่ีอนุรักษท่ี 16 (เชยี งใหม) และเจาหนาท่ีในสังกดั ท่ไี ดป ระสานงานการศึกษาวิจยั จนสําเรจ็ เปน รปู เลมฉบับสมบูรณทายที่สุดขอขอบคุณนักทองเท่ียวและผูมีสวนเก่ียวของกับงานวิจัยช้ินน้ีทุกทาน ที่กรุณาสละเวลาอันมีคายิง่ ในการตอบแบบสมั ภาษณแ ละขอ ซักถามตาง ๆ นายสรรเสริญ ทองสมนึก (หวั หนา โครงการ) นายภูดทิ อักษรดษิ ฐ (นกั วิจยั ) นายสรายุทธ วรรณรักษ (นักวิจัย) นางสาวศิรอิ ร ศักดว์ิ ไิ ลสกกุล(นักวจิ ัย) นางสาวมนฐั ชญา วงคแ ปง (นักวิจัย) และนางสาวณัฐธินี จันตะ วารี (เจาหนาท่บี ริหารงานทั่วไป) ตุลาคม 2554 ศนู ยศกึ ษาและวจิ ยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคา สิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 1เพ่อื การจดั การอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม สารบญั เร่อื ง สารบญั เรื่อง หนาคาํ นาํ กบทสรุปสาํ หรับผูบริหารภาษาไทย ขบทสําหรับผูบริหารภาษาองั กฤษ งสารบัญตาราง 3สารบญั ภาพ 5บทที่ 1 บทนาํ 1-1 1.1 ท่ีมาและความสาํ คัญของปญหา 1-2 1-2 1.2 วตั ถปุ ระสงคข องการวิจยั 1-2 1-5 1.3 ประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัย 1-7 1.4 นิยามศัพทเฉพาะ 2-1 2-11 1.5 ขอบเขตของการศกึ ษา 2-18 2-22 1.6 กรอบแนวคดิ 2-30บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วของ 3-1 2.1 ขอ มลู พ้นื ฐานเกย่ี วกบั อุทยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวดั เชียงใหม 3-11 3-12 2.2 แนวคิดและทฤษฎีการประเมนิ มูลคาส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 3-13 2.3 แนวคดิ เก่ียวกับการจัดการอุทยานแหง ชาติ 2.4 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ ง 2.5 ตัวแปรทเ่ี กย่ี วขอ งบทท่ี 3 ระเบียบและวิธกี ารศกึ ษา 3.1 ระเบียบวธิ ีวิจัย 3.2 ขอบเขตของโครงการวิจัย 3.3 ระยะเวลาทท่ี ําการวจิ ยั พื้นทศ่ี กึ ษา และเกบ็ ขอ มูล 3.4 แผนดาํ เนินการ ศนู ยศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2553
รายงานการประเมินมูลคา ส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2เพือ่ การจดั การอุทยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม สารบัญเรอ่ื ง สารบัญเรื่อง (ตอ ) หนาบทที่ 4 การวเิ คราะหขอมลู และผลการศกึ ษา 4-2 4.1 ขอ มลู ทวั่ ไปของนักทอ งเทย่ี ว 4-17 4.2 ขอ มลู เกีย่ วกับคาความเตม็ ใจทจ่ี ะจายในดานการคุมครองพื้นที่ ปรบั ปรุงและ พัฒนาแหลง ทองเทีย่ ว รวมทง้ั ศึกษาวจิ ัยทรัพยากรและแหลงเรยี นรูทาง 4- 27 ธรรมชาติในอทุ ยานแหงชาตขิ องนักทองเทย่ี ว 4.3 การประเมินคาความเต็มใจท่ีจะจา ยและมลู คาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร เพือ่ การจัดการอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหมบทที่ 5 สรปุ ผลการศึกษา และขอเสนอแนะ 5-1 5.1 สรปุ ผลการศึกษา 5-7 5.2 ขอจํากัดของการศกึ ษา 5-8 5.3 ขอ เสนอแนะบรรณานุกรม บ-1 ผ-1ภาคผนวก แบบสัมภาษณทใี่ ชเก็บขอ มูลนกั ทองเทีย่ ว โครงการประเมินมลู คา สิ่งแวดลอม ผ-7ภาคผนวก ก ทางเศรษฐศาสตรเพือ่ การจัดการอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหมภาคผนวก ข ผลการประเมนิ แบบจาํ ลอง Tobit ดวยโปรแกรม Limdep ศูนยศ ึกษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จังหวดั เชียงใหม, 2553
รายงานการประเมินมูลคาสงิ่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 3เพอื่ การจัดการอทุ ยานแหง ชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหม สารบัญตาราง สารบญั ตาราง หนา 3-13ตารางท่ี 3.1 แผนการดาํ เนนิ การศึกษาวิจยั และกิจกรรม 4-2 เดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2553 – กันยายน พ.ศ. 2554 4-5 4-6ตารางท่ี 4.1 ขอ มลู ทางดานเศรษฐกิจและสังคมของนักทองเทีย่ ว (n=600) 4-11ตารางท่ี 4.2 ขอมลู ทั่วไปเกีย่ วกบั การทองเท่ยี วในอุทยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท (n=600) 4-14ตารางท่ี 4.3 ขอ มูลสถานท่ีทนี่ กั ทองเทย่ี วเคยไป (n=600) 4-16ตารางที่ 4.4 ขอ มูลลกั ษณะทว่ั ไปเก่ียวกบั การทอ งเท่ียวในอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท 4-19 จังหวัดเชียงใหม (n=600) 4-23ตารางที่ 4.5 ความพงึ พอใจท่มี ตี อการจดั การอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท 4-24 4-25 จงั หวัดเชียงใหม (n=600)ตารางท่ี 4.6 ขอ มูลทศั นคติตอการทอ งเทย่ี วเชิงอนรุ ักษ (เชิงนิเวศ) ในอุทยานแหงชาติดอย 4-26 อินทนนท จังหวัดเชยี งใหม (n=600) 4-28ตารางท่ี 4.7 ขอ มูลเกีย่ วกับความเต็มใจท่ีจะจา ยในดา นการคมุ ครองพ้นื ที่ ปรับปรุงและ 4-31 พฒั นาแหลง ทองเทย่ี ว รวมทั้งศกึ ษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรยี นรทู าง 4-34 ธรรมชาตใิ นอุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จงั หวัดเชยี งใหม ของนกั ทองเทยี่ วตารางท่ี 4.8 ดานการคมุ ครองพนื้ ทอ่ี ุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหม (วิธกี ารปองกนั หรือดูแล) ในกรณที นี่ ักทอ งเทย่ี วไมเต็มใจจา ยเปนตวั เงินตารางที่ 4.9 ดานการคุม ครองพนื้ ทอ่ี ุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม (วิธกี ารฟน ฟู) ในกรณีทนี่ กั ทอ งเทย่ี วไมเต็มใจจายเปน ตวั เงินตารางที่ 4.10 ดานการปรบั ปรุงและพัฒนาแหลง ทอ งเท่ยี วในอทุ ยานแหงชาติ ดอยอินทนนท จังหวดั เชยี งใหม ในกรณีทนี่ กั ทอ งเที่ยวไมเต็มใจจาย เปนตัวเงินตารางท่ี 4.11 ดานการศกึ ษาวิจยั ทรัพยากร และแหลง เรยี นรทู างธรรมชาตใิ น อุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จังหวดั เชียงใหม ในกรณที ี่นักทอ งเท่ยี ว ไมเ ต็มใจจา ยเปน ตัวเงนิตารางที่ 4.12 ตวั แปรทีใ่ ชในสมการความเตม็ ใจท่ีจะจายในดานการคุมครองพื้นที่ ปรบั ปรุง และพัฒนาแหลงทองเที่ยว รวมทัง้ ศึกษาวิจยั ทรพั ยากรและแหลงเรยี นรทู าง ธรรมชาตใิ นอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวดั เชียงใหม และ คา สมั ประสิทธิข์ องตวั แปรตารางที่ 4.13 ผลการประมาณคาสมั ประสทิ ธ์ขิ องสมการ WTPiA ในแบบจําลองTobitตารางท่ี 4.14 ผลการประมาณคาสัมประสทิ ธิข์ องสมการ WTPiP=1 ในแบบจาํ ลองTobitศนู ยศึกษาและวจิ ยั อุทยานแหง ชาติ จังหวดั เชียงใหม, 2553
รายงานการประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 4เพ่อื การจัดการอุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม สารบัญตาราง สารบัญตาราง (ตอ) หนาตารางท่ี 4.15 ผลการประมาณคาสมั ประสิทธิ์ของสมการ WTPiP=2 ในแบบจาํ ลองTobit 4-37ตารางที่ 4.16 ผลการประมาณคาสัมประสิทธข์ิ องสมการ WTPiD ในแบบจาํ ลองTobit 4-40ตารางที่ 4.17 ผลการประมาณคา สัมประสทิ ธิ์ของสมการ WTPiRe ในแบบจาํ ลองTobit 4-43ศนู ยศ กึ ษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2553
รายงานการประเมนิ มลู คา สิง่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 5เพื่อการจดั การอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม สารบญั ภาพ สารบญั ภาพภาพท่ี 1.1 แผนทีอ่ ุทยานแหง ชาติภาคเหนือ หนาภาพที่ 2.1 แผนที่แสดงแหลงทองเท่ยี วสาํ คญั และบริเวณทเี่ ก็บแบบสมั ภาษณใ นพื้นท่ี 1-6 อุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวดั เชยี งใหม 2-8ภาพท่ี 2.2 จาํ นวนนักทองเทยี่ วที่เขา ไปทองเท่ยี วในเขตของอุทยานแหงชาติ 2-9ภาพที่ 3.1 ดอยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม ตั้งแตป งบประมาณ พ.ศ. 2554ภาพที่ 4.1 (เดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 –เดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2554) แยกเปนรายเดอื น 3-10 4-49 การอธบิ ายวิธกี ารแปลผลวิเคราะหข อ มลู ประมาณคาสมั ประสิทธิ์ ก า ร สั ม ภ า ษ ณ นั ก ท อ ง เ ท่ี ย ว ช า ว ไ ท ย ใ น อุ ท ย า น แ ห ง ช า ติ ด อ ย อิ น ท น น ท จังหวัดเชียงใหม ศนู ยศ กึ ษาและวิจยั อุทยานแหงชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2553
รายงานการประเมินมูลคา สิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 1-1เพอื่ การจดั การอุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวดั เชียงใหม บทที่ 1 บทนาํ บทที่ 1 บทนํา1.1 ทมี่ าและความสําคัญของปญ หา อุทยานแหงชาติเปนพ้ืนท่ีท่ีมีความสําคัญในแงของการเปนแหลงธรรมชาติและระบบนิเวศนที่อดุ มสมบูรณ ซ่งึ สิง่ เหลา น้ีไดใ หประโยชนมากมายไมวา จะเปน การเปน ตนกาํ เนดิ ของแหลงน้ําสายเล็กๆ ซ่ึงสายนํ้าเล็กน้ีเองจะรวมเปนแมนํ้าสายใหญ เพื่อใชในการอุปโภคและบริโภค อีกทั้งยังเปนแหลงอาหารใหแกสตั วต า งๆ เพือ่ ใชในการดํารงชวี ติ นอกจากประโยชนในขางตนท่ีไดกลาวมาแลวอุทยานแหงชาติยังเปนแหลง ศึกษาทางธรรมชาตแิ ละแหลงทอ งเทีย่ วท่สี าํ คญั ซ่ึงในปจจุบนั แนวโนม ของปริมาณนักทองเที่ยวที่เขามาเท่ียวในอุทยานแหงชาติมีจํานวนเพ่ิมมากข้ึนในทุก ๆ ป จํานวนนักทองเท่ียวท่ีเพ่ิมข้ึนอยางตอเนอ่ื งสงผลกระทบตอปญหาสิ่งแวดลอมไมวาจะเปนปริมาณขยะที่มีจํานวนมากสงผลกระทบตอการจดั การของเสยี ภายในอุทยานแหง ชาติ ดงั นน้ั การสรางความตระหนกั ใหแ กน ักทอ งเทย่ี วทเ่ี ขา มาใชประโยชนในอุทยานแหงชาติและการสรางความเขา ใจเกยี่ วกับการจายคา เตม็ ใจทจี่ ะจายเพื่อปองกันและฟนฟูในเขตพ้ืนที่อุทยานแหงชาติ โดยการใชวิธีการประเมินมูลคาทางเศรษฐศาสตรทรัพยากรในอุทยานแหงชาติจะมีสวนชวยในการจัดการอทุ ยานแหง ชาตอิ กี ทางหนงึ่ อุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหมมีพ้ืนท่ีครอบคลุมอยูในทองท่ีอําเภอดอยหลออําเภอจอมทอง และอําเภอแมแ จม จังหวัดเชียงใหม ประกอบไปดวยภเู ขาสงู สลับซบั ซอน มีดอยอินทนนทซง่ึ เปน ยอดเขาท่ีสูงทส่ี ดุ ในประเทศไทย มีเนื้อทป่ี ระมาณ 482.4 ตารางกโิ ลเมตร หรือ 301,500 ไร ซึ่งในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2521 คณะกรรมการอุทยานแหงชาติ ไดประกาศใหดอยอินทนนทเปนอุทยานแหงชาติสภาพภูมิประเทศท่ัวไปประกอบดวยภูเขาสลับซับซอน ยอดดอยอินทนนทสูงจากระดับน้ําทะเล 2,565 เมตร ยอดเขาท่ีมีระดับสูงรองลงมาคือ ดอยหัวมดหลวง สูงจากระดับน้ําทะเล2,330 เมตร ปาอนิ ทนนทน เ้ี ปน แหลง กําเนดิ ของตน นาํ้ แมกลาง แมปา กอ แมปอน แมหอย แมยะ แมแจมแมขาน และเปนสวนหนึ่งของตนนํ้าแมป ง ท่ีใหพลังงานไฟฟาท่ีเข่ือนภูมิพล สภาพปาในอุทยานแหงชาติเปน ปาดิบเขา ปาสน ปาเต็งรัง และปาเบญจพรรณ มีพันธุไม ไมสัก ไมตะเคียน สนเขา เต็ง เหียงมะเกลือ ไมแดง ไมประดู ไมรกฟา ไมมะคา ไมเก็ดแดง ไมจําปปา ไมตะแบก ฯลฯ นอกจากน้ียังมีดอกไมป าใหพบเห็นอีกดวย เชน ฟามุย ชางแดง รองเทานารี และกุหลาบปาสําหรับมอส ขาวตอกฤๅษีออสมนั ดา มอี ยทู ว่ั ไปในระดบั สงู แตส ัตวป า ในเขตอทุ ยานแหงชาติน้ันมีจํานวนนอย เน่ืองดวยถูกชาวเขาลาไปเปน อาหาร ปจ จบุ ันสตั วท่ี ยังพอพบเห็นอยบู า ง ไดแก เลยี งผา กวางผา กวาง เสอื หมูปา หมี ชะนี ศูนยศ กึ ษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คา สงิ่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 1-2เพอื่ การจดั การอทุ ยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหม บทที่ 1 บทนาํกระตายปา และ ไกปา ภายในอทุ ยานแหงชาตนิ ้นั มีแหลงทองเท่ียวมากมายเชน น้ําตกแมยะที่เปนนํ้าตกขนาดใหญและมีความสวยงาม น้ําตกแมกลาง และนํ้าตกอ่ืนๆ นอกจากนํ้าตกแลวยังมีเสนทางศึกษาธรรมชาติก่ิวแมปาน และยอดดอยอินทนนท ซ่ึงจะมาฤดูไหน อุณหภูมิก็อยูท่ี 5 – 18 องศาเซลเซียส(ศนู ยศ ึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติจังหวัดเชยี งใหม, 2553) ทง้ั นี้เพอ่ื เปน การรักษาและดูแลทรัพยากรตางๆ ในเขตพ้ืนที่อุทยานแหงชาติ การประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเ พ่อื การจดั การอทุ ยานแหง ชาติ จึงมีความจําเปนอยา งยิง่ ทจี่ ะชวยเปนขอมูลสาํ หรบั การจัดการทรัพยากรและใชป ระโยชนจากทรพั ยากรอยา งถูกตองและยงั่ ยืนตอไปในอนาคต1.2 วัตถุประสงคข องการวจิ ยั 1. เพ่อื ศกึ ษาลกั ษณะทางเศรษฐกิจและสงั คมของนักทอ งเทยี่ วชาวไทย ท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเทีย่ วชมธรรมชาติ ในอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหม 2. เพื่อประเมินคาความเต็มใจท่ีจะจายของนักทองเท่ียวชาวไทย ในดานการคุมครองพ้ืนที่ปรับปรุงและพัฒนาแหลงทองเท่ียว รวมท้ังศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติในอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท 3. เพอื่ ประเมินมูลคาส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตรข องนักทอ งเท่ยี วชาวไทย ทเ่ี ขาไปใชประโยชนหรือเท่ยี วชมธรรมชาติ ในอุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหม1.3 ประโยชนท ีไ่ ดรับจากการวิจัย 1. สามารถนําขอมูลทไ่ี ดไ ปปรับใช และวางแผนในดา นของการคุมครองพ้ืนที่ ปรับปรุงและพฒั นาแหลง ทองเทย่ี ว รวมทงั้ ศึกษาวิจยั ทรพั ยากรและแหลงเรยี นรูทางธรรมชาติ ในแหลงทองเท่ียวตางๆ ของอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม 2. สามารถนําขอมลู ในเรื่องของคา ความเต็มใจทจ่ี ะจาย และมลู คาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตรไปประยุกตใชกับอทุ ยานแหงชาตอิ ่ืนๆ 3. สามารถนาํ ขอ มลู ไปใชใ นการวางแผนการกําหนดอัตราคาธรรมเนียม (หรือคาบริการ) ในการเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในพ้ืนที่อุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหมและอทุ ยานแหง ชาตอิ นื่ ๆ1.4 นิยามศัพทเ ฉพาะ มูลคา ส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร หมายถึง มูลคาของผลกระทบทางสิ่งแวดลอมในภาพรวมตามมมุ มองทางดา นเศรษฐศาสตรในพนื้ ท่อี ุทยานแหง ชาตทิ ี่กําลังทําการศึกษาวิจยั อยวู า มมี ลู คา เทา ไร หรอืมูลคาผลกระทบทางส่ิงแวดลอมท่ีเกิดข้ึนแลวหรือกําลังจะเกิดขึ้นในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนทศูนยศ กึ ษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา สงิ่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 1-3เพื่อการจัดการอทุ ยานแหง ชาติดอยอินทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทท่ี 1 บทนาํจงั หวดั เชียงใหม ท่นี กั ทองเทีย่ วชาวไทยมีความเตม็ ใจทจี่ ะจา ย เพื่อนําไปใชใ นการคุมครองพื้นท่ี ปรับปรุงและพฒั นาแหลง ทอ งเทยี่ ว รวมทงั้ ศกึ ษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรยี นรทู างธรรมชาติในอทุ ยานแหง ชาติ ความเต็มใจท่ีจะจาย หมายถึง ระดับอัตราคาธรรมเนียมหรือคาบริการสูงสุดในการเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม ตามวัตถุประสงคตางๆท่ีนักทองเท่ียวชาวไทยมีความเต็มใจที่จะจาย เพ่ือนําไปใชในการคุมครองพื้นท่ี ปรับปรุงและพัฒนาแหลงทองเที่ยว รวมทั้งศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติ ในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหม อยางย่ังยนื และบรู ณาการตอไปในอนาคต การคุมครองพน้ื ท่ีอุทยานแหง ชาติ หมายถงึ การอนรุ กั ษท รัพยากรธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ใหคงอยูตลอดไป รวมทั้งเสริมสรางสภาพแวดลอมทางธรรมชาติและระบบนิเวศใหด ยี ง่ิ ขึ้น โดยในการศึกษาวิจัยครั้งน้ีมี 2 วิธี คือ วิธีการท่ี 1 เปนการปองกันหรือดูแลรักษาทรพั ยากรปาไมและสัตวปา และการลดปญหาไฟปาในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหมโดยการออกตรวจลาดตระเวนปอ งกันรักษาปา และดับไฟปา ประชุม ฝกอบรม สัมมนาและศึกษาดูงานผลติ สื่อในรปู แบบตา งๆ เปน ตน และวิธีการท่ี 2 เปนการฟนฟูสภาพธรรมชาติของแหลงทองเท่ียวตางๆภายในอุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม โดยการสรางเสนทางศึกษาธรรมชาติ สรางฝายปลกู แฝก ปลูกหวาย ปลูกตน ไม เปนตน เพ่ือเพ่ิมพื้นที่ปาและการจัดการคุณภาพส่ิงแวดลอมและระบบนิเวศ ใหดยี ่งิ ข้นึ กวา เดิม การปรับปรงุ และพัฒนาแหลงทองเทีย่ วในอุทยานแหงชาติ หมายถึง การจัดการเพิ่มศักยภาพของพน้ื ท่ใี นเขตอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม ใหม รี ะบบสาธารณูปโภคตา งๆ ในการท่ีจะสามารถแกป ญ หาทางดานสิง่ แวดลอ มอกี ทงั้ ยงั เปนการเพ่มิ ศักยภาพในการรองรบั นกั ทอ งเที่ยว โดยในการศกึ ษาวิจัยครงั้ นม้ี ี 1 วธิ ี คือ การปรับปรงุ และพฒั นาสงิ่ อํานวยความสะดวก และระบบสาธารณูปโภคตามแหลง ทอ งเทีย่ วตา งๆ ภายในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม เพ่ือไวสําหรับบริการและอํานวยความสะดวกแกนกั ทองเท่ียว เชน ท่ีน่ังพักผอน ถังขยะ หองน้ํา รานอาหาร รานขายของท่ีระลึกจุดบริการนักทองเที่ยว และ/หรือจัดใหมีรถบริการทองเท่ียวตามแหลงทองเที่ยวสําคัญๆ ภายในอทุ ยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหม แทนการอนญุ าตใหน ักทองเท่ยี วนําพาหนะสวนบคุ คลเขาไปเอง เพือ่ ลดปญ หามลพิษทางเสยี งและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในชว งฤดูกาลทองเท่ียว (ชวงปใหมหรือ/และชวงสงกรานต) ซ่ึงจะมีนักทองเท่ียวจํานวนมากหลั่งไหลเขาไปใชประโยชน หรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติ เปนตน การศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติในอุทยานแหงชาติ หมายถึงการศกึ ษาวจิ ัยและสํารวจรวบรวมขอมูลทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพในอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม โดยในการศกึ ษาวจิ ยั ครัง้ นมี้ ี 1 วธิ ี คือ การศึกษาวิจัยและสํารวจรวบรวมขอมูลทรัพยากร และความหลากหลายทางชีวภาพในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหมเพ่ือเปนฐานขอมูลในการบริหารจัดการพ้ืนท่ี รวมถึงการสํารวจติดตามการเปลี่ยนแปลง และประเมินสถานภาพของทรัพยากรในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม เพ่ือการจัดการควบคุมฟน ฟทู รัพยากร และปอ งกันผลกระทบที่อาจจะเกิดข้ึน ท้ังท่ีเกิดจากการกระทําของมนุษยเอง หรือจากธรรมชาติ พรอมท้ังใหบริการในดานการศึกษากับสถาบันการศึกษา หรือสถาบันตางๆ เพื่อการศึกษาศนู ยศ ึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคา ส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 1-4เพื่อการจัดการอทุ ยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวดั เชียงใหม บทที่ 1 บทนาํคนควาดา นวชิ าการตางๆ เชน การบรรยาย ฉายวดี ีทศั น แจกเอกสารเผยแพร จัดนิทรรศการ และบริการหองสมุด เปน ตน การจดั การอุทยานแหง ชาติ หมายถึง การคมุ ครองพืน้ ท่ี การปรับปรงุ และพฒั นาแหลงทองเที่ยวรวมทัง้ การศกึ ษาวจิ ยั ทรพั ยากรและแหลง เรียนรูทางธรรมชาติ ในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหม และ/หรือการดาํ เนินงานหรือการปฏบิ ตั ิการใดๆ ของเจาหนาที่ในอุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนทจังหวัดเชยี งใหม ท่ตี องเก่ยี วของกับบุคคล ส่ิงของ และหนวยงานภาคสนาม โดยครอบคลุมในเรื่องตางๆเชน การบริหารนโยบาย (Policy) การบริหารท่ีเก่ียวของกับสังคม (Society) การวางแผน (Planning)การอํานวยการ (Directing) การจัดสรรงบประมาณ (Budgeting) เปนตน โดยทําการเก็บขอมูลจากนักทองเทยี่ วชาวไทย ทเี่ ขาไปใชประโยชนหรือเที่ยวชมธรรมชาติจากแหลงทองเที่ยวในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จํานวน 7 แหง ประกอบดวย 1) น้ําตกแมยะ 2) น้ําตกแมกลาง 3) นํ้าตกวชิรธาร4) ท่ที าํ การอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท และลานกางเตนทด งสน 5) เสนทางเดินปานํ้าตกผาดอกเส้ียว6) เสน ทางศึกษาธรรมชาติกิว่ แมป าน และ 7) ยอดดอยอนิ ทนนท เพศ หมายถึง เพศของนักทองเท่ียวชาวไทย ท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวดั เชียงใหม ไดแก เพศชาย เพศหญิง อายุ หมายถึง อายุของนักทองเที่ยวชาว ที่เขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม โดยกําหนดอายุเปนชวงในภายหลัง เชน ตํ่ากวา 20 ป20-30 ป 31-40 ป 41-50 ป มากกวา 50 ป สถานภาพสมรส หมายถงึ สถานภาพสมรสของนักทองเท่ียวชาวไทย ที่เขาไปใชประโยชนหรือเทยี่ วชมธรรมชาติในอทุ ยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชียงใหม ไดแ ก โสด หยา รา ง สมรส จํานวนสมาชิกในครัวเรือน หมายถึง จํานวนสมาชิกในครัวเรือนของนักทองเที่ยวชาวไทยท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเที่ยวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม (รวมถึงตัวนักทองเท่ียวเองดวย) โดยกําหนดจํานวนสมาชิกเปนชวงในภายหลัง เชน 1-3 คน 4-6 คน มากวา6 คน ระดับการศึกษา หมายถึง ระดับการศึกษาของนักทองเที่ยวชาวไทย ท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเที่ยวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ต้ังแตระดับประถมศึกษา จนถึงสูงกวา ระดบั ปรญิ ญาโท รวมทง้ั ผทู ีก่ ําลังศึกษาอยูและผูทไ่ี มไ ดเ รียนดว ย อาชีพ หมายถงึ อาชีพของนักทองเท่ียวชาวไทย ท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเที่ยวชมธรรมชาติในอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวดั เชียงใหม ไดแ ก ขาราชการ รฐั วสิ าหกจิ เกษตรกร พนักงานเอกชนธรุ กิจสวนตัว คาขาย รับจา งทว่ั ไป พอบาน แมบา น รวมท้ังนักเรยี น นกั ศึกษา และผูประกอบอาชีพอนื่ ๆ รายไดเฉลี่ยตอเดือน หมายถึง ระดับรายไดเฉล่ียตอเดือนของนักทองเที่ยวชาวไทย ท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม (ซ่ึงยังไมไดหักศนู ยศ ึกษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาสงิ่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 1-5เพอ่ื การจดั การอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชียงใหม บทท่ี 1 บทนาํคาใชจายตางๆ ในรอบเดือน) โดยกําหนดรายไดเฉลี่ยเปนชวงในภายหลัง เชน ตํ่ากวา 5,000 บาท5,000-15,000 บาท 15,001-30,000 บาท 30,001-45,000 บาท มากกวา 45,000 บาท จํานวนสถานทท่ี ีน่ ักทอ งเทยี่ วเคยไป หมายถึง จาํ นวนสถานท่ีที่นักทองเท่ียวชาวไทย ไดเคยเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม เชน น้ําตกวชิรธาร น้ําตกแมกลาง น้ําตกสิริภูมิ น้ําตกสิริธาร นํ้าตกแมยะ นํ้าตกแมปาน นํ้าตกหวยทรายเหลืองนํ้าตกวังควาย ถ้ําบริจินดา ถํ้าหุบผาสวรรค เสนทางเดินปานํ้าตกผาดอกเสี้ยว เสนทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแมปาน เสนทางศึกษาธรรมชาติพันชุลี เสนทางศึกษาธรรมชาติอางกา ดอยหัวเสือ–แมกลางหลวงยอดดอยอินทนนท ผาแงมนอย พระมหาธาตุนภเมทนีดล–พระมหาธาตนุ ภพลภูมิสิริ เปนตน โดยกําหนดจาํ นวนสถานทเ่ี ปนชว งในภายหลัง เชน 1-2 แหง และ 3 แหงขึน้ ไป การเขารวมกิจกรรมเก่ียวกับการอนุรักษส่ิงแวดลอม หมายถึง จํานวนคร้ังท่ีนักทองเท่ียวชาวไทย ไดเ คยเขารวมทาํ กจิ รรมเกยี่ วกับการอนุรกั ษทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ ม โดยกําหนดการเขารวมกิจกรรมเปนชวงในภายหลงั เชน 1 คร้ัง 2 ครัง้ 3 คร้งั ข้ึนไป รวมถึงในกรณีท่ีนกั ทอ งเทย่ี วยังไมเคยเขารวมกิจกรรมดังกลาวนี้ดวย ความตอ งการทจี่ ะกลบั มาเที่ยวอกี ครงั้ หมายถึง ความตอ งการหรือไมต องการท่ีจะกลับมาเที่ยวใหมอีกคร้ังหน่ึงของนักทองเท่ียวชาวไทย ท่ีไดเคยเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม รวมถงึ ในกรณที ีน่ ักทอ งเท่ยี วยงั ไมแนใจดว ย ความพงึ พอใจตอ อทุ ยานแหงชาติ หมายถึง ความรูสึกสวนบุคคลของนักทองเที่ยวชาวไทยท่ีมีความรูสึกเปนสุขหรือแสดงความช่ืนชมยินดี หลังจากที่ไดรับการตอบสนองความตองการในสิ่งที่ขาดหายไปหรอื สงิ่ ท่ีทาํ ใหเกิดความไมส มดุล โดยแสดงออกตามระดบั ความพงึ พอใจของตนเอง ไดแก มากท่ีสดุมาก ปานกลาง นอย นอยที่สุด ภายหลังจากการเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวดั เชยี งใหม รวมทงั้ จากการท่ีไดร เู หน็ และเขา ใจถงึ แนวทางและวิธีการบรหิ ารจดั การของอทุ ยานแหง ชาติดอยอินทนนท จงั หวัดเชยี งใหม ทัศนคตใิ นการทอ งเที่ยวเชงิ อนุรักษ หมายถงึ ความคดิ เหน็ หรอื ความรสู ึกนึกคิดของนกั ทอ งเทย่ี วชาวไทยท่ีแสดงออกถึงการเห็นคุณคาหรือใหความสําคัญตอการทองเท่ียวเชิงอนุรักษ (เชิงนิเวศ) ในอุทยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จงั หวัดเชยี งใหม โดยแสดงออกตามระดับความสาํ คญั ของตนเอง ไดแ ก สําคัญมากท่สี ุด สาํ คัญมาก สําคัญนอย ไมสําคัญเลย รวมถึงในกรณที ีน่ ักทอ งเทยี่ วยงั ไมแ นใจดวย1.5 ขอบเขตของการศกึ ษา การศึกษาวิจัยในคร้ังนี้ ไดทําการศึกษาถึงลักษณะโดยทั่วไปทางดานเศรษฐกิจสังคมและพฤติกรรมของนักทองเที่ยวชาวไทยที่เขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม รวมทั้งประเมินคาความเต็มใจท่ีจะจาย (Willingness to Pay : WTP)ในดา นการคุมครองพน้ื ที่ ปรับปรุงและพฒั นาแหลงทองเทยี่ ว รวมทัง้ ศกึ ษาวิจัยทรัพยากรและแหลง เรยี นรู ศูนยศ ึกษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จงั หวดั เชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา ส่งิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 1-6เพือ่ การจดั การอทุ ยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหม บทท่ี 1 บทนาํทางธรรมชาตใิ นอุทยานแหงชาติ และประเมนิ มลู คา สงิ่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร เพอื่ ใชเ ปนแนวทางหน่งึในการจดั การอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตอไปในอนาคต โดยไดทําการเก็บขอมูลดวยการสัมภาษณกลุมตัวอยางเปาหมายซึ่งเปนนักทองเที่ยวชาวไทย จํานวน 600 ตัวอยาง ที่เขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตามสถานท่ีหรือแหลง ทอ งเทย่ี วทางธรรมชาติท่ีสําคัญๆ จํานวน 7 แหง ประกอบดวย 1) นํ้าตกแมยะ 2) นํ้าตกแมกลาง3) น้ําตกวชิรธาร 4) ที่ทําการอทุ ยานแหง ชาติดอยอินทนนท และลานกางเต็นทดงสน 5) เสนทางเดินปาน้ําตกผาดอกเสย้ี ว 6) เสนทางศึกษาธรรมชาตกิ ิ่วแมป าน และ 7) ยอดดอยอนิ ทนนท ในชวงเทศกาลปใหมคือตั้งแตวันที่ 30 ธันวาคม 2553 ถึงวันท่ี 3 มกราคม 2554 และในชวงเทศกาลสงกรานต ต้ังแตวันที่ 12 - 16 เมษายน 2554 และสมั ภาษณเพมิ่ เติมเพอื่ เปนการสอบทานหรือยืนยันขอมูลจากเจาหนาที่อทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหมภาพที่ 1.1 แผนทอ่ี ทุ ยานแหงชาติภาคเหนือท่ีมา: สาํ นักอุทยานแหงชาติ กรมอุทยานแหงชาติ สตั วป า และพันธุพืช, 2554 ศนู ยศกึ ษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคาส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 1-7เพ่ือการจดั การอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทที่ 1 บทนาํ1.6 กรอบแนวคิด ตวั แปรตาม ตัวแปรอิสระ ความเต็มใจท่ีจะจายของนักทองเทย่ี วชาวไทยท่เี ขา ไป ใชป ระโยชนหรอื เที่ยวชมธรรมชาติ ใน 1. เพศ 2. อายุ อทุ ยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหม 3. สถานภาพสมรส ในดานตางๆ ดังน้ี 4. จาํ นวนสมาชิกในครัวเรือน 5. ระดับการศึกษา 1.การคุมครองพ้ืนที่ 6. อาชพี อทุ ยานแหงชาติ 7. รายไดเฉลีย่ ตอ เดอื น 8. จํานวนสถานทที่ ่นี ักทองเทยี่ วเคยไป 2. การปรบั ปรงุ และพัฒนา 9. การเขา รวมกิจกรรมเก่ียวกบั การ แหลงทองเทย่ี วใน อทุ ยานแหง ชาติ อนรุ กั ษสิ่งแวดลอม 10. ความตองการท่จี ะกลับมาเทยี่ ว 3.การศกึ ษาวิจัยทรพั ยากรและ แหลง เรยี นรูทางธรรมชาติ อกี คร้ัง ในอทุ ยานแหงชาติ 11. ความพึงพอใจตออุทยานแหง ชาติ 12. ทัศนคตใิ นการทอ งเที่ยวเชิงอนุรักษ (เชิงนิเวศ)ศูนยศึกษาและวจิ ัยอุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คา สงิ่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-1เพอื่ การจดั การอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จงั หวัดเชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ ง บทท่ี 2กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกย่ี วของ ในการศกึ ษาวิจัยครัง้ นี้ ไดร วบรวมแนวคิด ทฤษฎี และทบทวนเอกสารรายงานการวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ งแลว นาํ มากาํ หนดประเด็นการศกึ ษา และใชเปนกรอบแนวคิดในการวจิ ยั ดงั ตอ ไปนี้ 2.1 ขอ มูลพืน้ ฐานเก่ียวกบั อทุ ยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จงั หวดั เชยี งใหม 2.2 แนวคดิ และทฤษฎีการประเมินมลู คา สงิ่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2.3 แนวคดิ เกยี่ วกับการจัดการอทุ ยานแหงชาติ 2.4 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ ง 2.5 ตวั แปรท่ีเกย่ี วของ2.1 ขอมูลพืน้ ฐานเกีย่ วกบั อทุ ยานแหง ดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหม 2.1.1 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศของอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท สภาพภมู ปิ ระเทศประกอบดวยภูเขาสูงสลับซับซอน เปนสวนหนึ่งของแนวเขตเทือกเขาถนนธงชัยที่ทอดตัวตามแนวเหนือ-ใต ทอดตวั มาจากเทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาล มีระดับความสูงของพืน้ ทีอ่ ยูระหวาง 400-2,565 เมตร จากระดับน้าํ ทะเลปานกลาง โดยจุดสูงสุดอยูท่ียอดดอยอินทนนทซ่ึงเปนจุดทส่ี งู สุดในประเทศไทย ยอดเขาท่ีมรี ะดบั สงู รองลงมา คือ ยอดดอยหัวหมดหลวง สูง 2,330 เมตรยอดดอยหัวหมดนอย สูง 1,900 เมตร ยอดดอยหัวเสือสงู 1,881 เมตรจากระดบั นํ้าทะเล ลกั ษณะโครงสรางทางธรณีของอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนทโ ดยทัว่ ไป ประกอบดว ยหินท่ีมีอายุต้ังแตยุคแคมเบรียนขึ้นไป และหินสวนใหญจะเปนหินไนสและหินแกรนิต สวนหินชนิดอ่ืนๆทพ่ี บจะเปนหินยคุ ออรโดวิเชยี นซงึ่ ไดแ กห นิ ปูน จนถงึ ยุคเทอรเ ซียรี่ ไดแ ก หินกรวดมน อุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม เปนพื้นที่ตนนํ้าลําธารที่สําคัญของแมน ํา้ ปง ใหกําเนิดแมน า้ํ ลาํ ธารหลายสาย ที่สําคัญไดแก ลํานํ้าแมวาง ลํานํ้าแมกลาง ลํานํ้าแมยะ ลําน้ําแมหอย ลําน้ําแมแจม และลํานํ้าแมเต๊ียะ ซึ่งลํานํ้าเหลาน้ีจะไหลผานและหลอเล้ียงชุมชนตางๆ ในเขตอําเภอจอมทอง อําเภอแมแจม อําเภอฮอด อําเภอแมวาง และอําเภอสันปาตอง จังหวัดเชียงใหมแลวไหลลงสูแ มนาํ้ ปงศนู ยศึกษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จังหวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคา สง่ิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-2เพอ่ื การจดั การอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวดั เชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ ง 2.1.2 ลกั ษณะภูมิอากาศ สภาพภมู อิ ากาศโดยทวั่ ไปของพนื้ ทอี่ ทุ ยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ไดรับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใตที่พัดเอาความชุมชื้นและเมฆฝนเขามา ทําใหฝนตก และลมตะวันออกเหนอื ทีพ่ ดั มาจากประเทศจนี จะนําเอาความหนาวเย็นและความแหงแลงเขามา ทําใหเกิดฤดูกาลตาง ๆ โดยจะมีฤดูรอนในชวงระหวางเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ฤดูฝนในชวงระหวางเดอื นมถิ นุ ายนถึงพฤศจิกายน และ ฤดูหนาวในชวงระหวางเดือนธนั วาคมถงึ กมุ ภาพนั ธ สลับกนั ไป อยา งไรก็ตาม เนื่องจากสภาพทางกายภาพของพน้ื ทีอ่ ทุ ยานฯ มีความหลากหลายทางดานระดับความสูงของพื้นที่และมีลักษณะของพื้นที่เปนเทือกเขาท่ีสลับซับซอนและสูงมาก (ระดับความสูงระหวาง 400-2,565 เมตร จากระดับนํ้าทะเลปานกลาง) อีกท้ังพื้นที่อุทยานฯคอนขางจะกวางขวางถึง301,500 ไร ทาํ ใหล กั ษณะอากาศในแตล ะจุดในพืน้ ที่ของอุทยานฯ มคี วามแตกตางกันอยางมาก โดยจะมีลกั ษณะของสภาพอากาศแบบเขตรอ น (tropical climate) ในตอนลางของพ้นื ทที่ ี่มรี ะดบั ความสูงต่ํากวา1,000 เมตร ลงมา มีสภาพอากาศแบบกึง่ เขตรอ น (sub-tropical climate) ในบรเิ วณตอนกลางของพน้ื ท่ีที่มรี ะดบั ความสูงระหวา ง 1,000-2,000 เมตร และมีสภาพอากาศแบบเขตอบอุน (temperate climate)ในพ้ืนที่ที่มีระดับสูงกวา 2,000 เมตรข้ึนไป โดยเฉพาะที่บริเวณยอดดอยอินทนนท ซึ่งสภาพภูมิอากาศดังกลาวจะแสดงใหเห็นอยางชัดเจนจากสภาพของปาชนิดตางๆ ท่ีมีอยูในเขตอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนทในพนื้ ที่ทีส่ ูงตอนบนของอุทยานฯ โดยทั่วไปแลวจะมีสภาพท่ีชุมชื้นและหนาวเย็นตลอดปโดยเฉพาะอยางยิ่งบริเวณยอดดอยอนิ ทนนท ซึ่งมลี ักษณะเปน สันเขาและยอดเขา จะมีกระแสลมท่ีพัดแรงและมีสภาพอากาศที่หนาวเยน็ มาก และในชวงวันท่ีหนาวจัดในชวงฤดูหนาวในเดือนธันวาคมถึงมกราคมอุณหภูมิจะลดต่ําลงถึง 0-4 องศาเซลเซียส และจะมีนํ้าคางแข็ง (frost) เกิดข้ึนท่ีระดับกลางๆของอุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท สภาพอากาศโดยท่วั ไปจะมลี กั ษณะคอ นขางเยน็ และช้นื อุณหภูมิเฉล่ียตลอดป (annual mean temperature) ประมาณ 20 องศาเซลเซยี ส (ซึ่งเมอื่ เทียบกับตัวเมืองเชียงใหมซงึ่ จะมีอุณหภูมิเฉล่ียตลอดปประมาณ 26 องศาเซลเซียส) ในชวงฤดูหนาวในเดือนธันวาคมถึงมกราคมอุณหภูมิเฉลี่ย (mean temperature) จะอยูระหวาง 15-17 องศาเซลเซียส และจะมีคาอุณหภูมิเฉล่ียตํ่าสุด (mean minimum temperature) 10-14 องศาเซลเซียส สภาพความชุมช้ืนของอุทยานฯโดยท่วั ไปจะชื้นกวา ตัวเมืองเชียงใหมมาก โดยจะมีปริมาณน้ําฝนเฉล่ียประมาณ 2,000-2,100 มิลลิเมตรมีคา ความช้ืนสัมพัทธเฉล่ียตลอดปประมาณ รอยละ 80 ขณะท่ีในตัวเมืองเชียงใหมจะมีปริมาณนํ้าฝนและความชืน้ สัมพทั ธเ ฉลย่ี ประมาณ 1,200 มลิ ลเิ มตร และ รอ ยละ 70 เทานั้น สําหรับในพ้ืนที่อุทยานฯ ท่ีมีระดับความสูงตั้งแต 1,800 เมตร ข้ึนไป จะมีสภาพอากาศทีเ่ ย็นและชุมฉ่าํ อยู ทั้งนเ้ี พราะจะเปนระดับความสูงของเมฆหมอก ทําใหสภาพปา มีเมฆและหมอกปกคลุมเกอื บตลอดป ทําใหปาดิบเขาของอุทยานฯ สามารถท่ีจะดูดซับเอาความชื้น จากละอองเมฆและหมอกหลอ เลย้ี งพ้ืนทต่ี ลอดป 2.1.3 แหลง ทอ งเท่ยี วทสี่ าํ คัญของอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จงั หวดั เชยี งใหม 1) นํ้าตกแมย ะ เปน น้ําตกทม่ี ขี ยาดใหญและสวยงามมากแหงหนึ่ง เพราะนํ้าซ่ึงไหลลงมาจากหนาผาที่สูงชัน 280 เมตร ลงมากระทบโขดหินเปนชั้นๆ ทําใหดูคลายลักษณะของมานซึ่งมคี วามสวยงามมาก น้ําที่ไหลมาจากน้ําตกไดไหลรวมไปยังแองเบ้ืองลางลักษณะของนํ้าใสเย็นเหมาะศนู ยศกึ ษาและวจิ ัยอุทยานแหงชาติ จังหวดั เชียงใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คา ส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-3เพอื่ การจดั การอุทยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จงั หวดั เชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวของสาํ หรบั เปน ทพ่ี กั ผอนหยอ นใจ อกี ทั้งบรเิ วณรอบๆ นาํ้ ตกเปน ปาเขาอันสงบเงียบบรเิ วณโดยรอบของนํ้าตกสะอาดและจัดการพน้ื ที่ไดอยา งกลมกลนื กับสภาพแวดลอม 2) น้ําตกแมกลาง น้ําตกแมกลางเปนจุดแรกของประตูเขาสูอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท สายน้ําอันเย็นฉํ่าท่ีตกผานหนาผาขนาดใหญ น้ําตกจากหนาผาสูงประมาณ 100 เมตรไหลพวยพุงมาสูโ กรกเขา ซงึ่ เปนแองนํ้าขนาดใหญ มีชื่อวา วังนอยและวังหลวง ในชวงฤดูฝนน้ําไหลแรงและขุนขนมาก นํ้าในแองลึกมาก หากถูกกระแสน้ําปะทะก็อาจจะตกลงไปในแองนํ้า ซึ่งมีนํ้าไหลเช่ียวกราก นกั ทองเทีย่ วควรระมดั ระวงั เรื่องความปลอดภัยของตนเอง 3) นาํ้ ตกวชิรธาร เปนน้ําตกขนาดใหญ เดิมช่ือ ตาดฆองโยง ภายหลัง ไดเปลี่ยนช่ือตามพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ตัวนํ้าตกอยูสูงจากระดับน้ําทะเลประมาณ 750 เมตร ตรงขามมหี นาผาสงู ชัน เรยี กวา ผามอ นแกว หรอื ในภายหลังเรียกวา ผาแวน แกว 4) นาํ้ ตกสริ ภิ ูมิ เปนนํ้าตกซึ่งไหลมาจากหนาผาสูงชันเปนทางยาวสวยงามมาก สามารถมองไดจ ากถนนขึน้ ดอยอนิ ทนนทตรงทท่ี าํ การอทุ ยานฯ จะเหน็ เปนสายน้าํ ตกแฝดลงมาคูกนั แตเ ดมิ เรียกวาเลาลี ตามช่ือของหมูบานมง ซ่ึงอยูใกลนํ้าตกสิริภูมิทางเขาน้ําตกไมสามารถนํารถเขาไปใกลตัวน้ําตกไดนกั ทอ งเทีย่ วตอ งเดินเทาเขาไปบรเิ วณดา นลา งของน้ําตก 5) นํ้าตกสิริธาร เดิมน้ําตกแหงน้ีมีช่ือวา น้ําตกปาคา ซ่ึงเปนนํ้าตกท่ีไหลมาจากลาํ นาํ้ แมก ลาง บรเิ วณเทือกเขาดอยอินทนนท และไหลลงสูน้ําแมปงที่อําเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหมเม่ือวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2545 สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถเสด็จมาทอดพระเนตรทรงพระราชทานนามนาํ้ ตกวา น้าํ ตกสิรธิ าร นํา้ ตกน้ีอยูป ระมาณกิโลเมตรท่ี 22 เปนนํ้าตกที่ไหลลงมาจากผาหินขนาดใหญมีความสูงของน้ําตกประมาณ 50 เมตรจากฐานไหลลดหล่ันกันลงมาเปน 2 ช้ันตอกันอยางสวยงามมาก และมปี รมิ าณนํา้ มากและไหลแรงตลอดท้ังป สามารถไดย นิ เสยี งของนํ้าตกในระยะไกลความสูงจากระดับนํ้าทะเลที่ประมาณ 870 เมตร และเปดเปนนักทองเที่ยวใหมเมื่อวันท่ี 28 มีนาคมพ.ศ. 2545 เปนแหลงทองเที่ยวที่สําคัญแหงหนึ่งท่ีนักทองเท่ียวทั้งชาวไทยและตางประเทศนิยมมาทองเทยี่ วเปนจํานวนมาก เพื่อชมความสวยงามของน้ําตกท่ไี หลลงมาจากผาหินขนาดใหญแลว ลาํ นํา้ สายนี้ยงั เปนประโยชนตอ ประชาชนที่อยบู ริเวณลุมน้าํ แมก ลางและอาํ เภอจอมทอง ทใ่ี ชนํ้าในการอปุ โภค บรโิ ภคและการเกษตร และยังเปนที่อยูอาศัยของสัตวน้ําหลายชนิดเชน กบ เขียด ปลาหลายชนิดและปลาที่หายาก เชน ปลาคางคาว ซึ่งเปนปลาที่ไดช่ือทางวิทยาศาสตรวา Oreoglanis siamensis อันเปนเกียรติแกป ระเทศไทยและคนไทยทกุ คน 6) นํ้าตกแมป าน เปน น้าํ ตกทอี่ ยูทามกลางธรรมชาติท่ีลึกของปาใหญอุดมสมบูรณไปดวยแมกไมนานาพันธุ จะเห็นสายน้ําที่ไหลผานภูผาถึง 4 ช้ัน ลอมรอบดวยปาเขียวขจีตัวน้ําตกมคี วามสงู มากกวา 100 เมตร สามารถมองเห็นไดจากจุดชมวิวระยะไกล จากบริเวณท่ีต้ังหนวยพิทักษฯอุทยานแหงชาติ (นํ้าตกแมปาน) หรือเดินเทาไปตามเสนทางเดินศึกษาธรรมชาติผาสําราญ (น้ําตกแมป าน-หว ยทรายเหลือง) ระยะทางประมาณ 400 เมตร ศนู ยศึกษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา ส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-4เพือ่ การจดั การอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จังหวัดเชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ ง 7) น้ําตกวังควาย เปนนํ้าตกท่ีสวยงามของอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท เปนนํ้าตกทีน่ กั ทองเทยี่ วนิยมพาบุตรหลานมาลงเลน สายนํ้าอันเย็นฉํ่าไหลลงเซาะลดเลี้ยวตามลานหินขนาดใหญลดหล่ันเปนช้นั พื้นนํ้าเปนทรายเม็ดเล็กละเอยี ด 8) น้ําตกหวยทรายเหลือง นํ้าตกแหงน้ีแมเปนที่รูจักไมมากนักแตรับรองเม่ือไดเขาไปสัมผสั แลว จะไดพบกับความสวยงามและเสนหด งึ ดูดใจทา นไมน อยเลย สายน้ําที่ไหลผานมาจากยอดเขาและชั้นหินขนาดใหญสธู ารน้ําดา นลา ง สามารถลงเลนนาํ้ พรอมสรางสสี ันแกชวี ติ ไดอยางดี บรเิ วณโดยรอบปกคลุมดว ยแมกไมเ ขยี วขจสี รางความรมรืนอากาศเยน็ สบายยิง่ นกั นอกจากน้ียังรับฟงเสียง นกนอยและแมลงทส่ี ง เสียงรอ งใหไดเพลดิ เพลิดสขุ กายใจพรอ มๆ กันดวย 9) ถา้ํ บรจิ นิ ดา เปนถํ้าขนาดใหญ อยูในเทอื กเขาดอยอางกาหรือดอยอินทนนท ใกลน้ําตกแมก ลาง ภายในถ้าํ มีความลึกหลายกิโลเมตร เพดานมีหนิ งอกหินยอยหรือทีช่ าวเหนือเรียกวา นมผา และมีพระพุทธรูปประดษิ ฐานอยภู ายใน เพ่ือใหนักทอ งเทีย่ วไดนมสั การ นอกจากนนั้ ยังมธี ารหิน เม่อื มีแสงสวางมากระทบจะเกดิ ประกายระยิบระยบั ดงั กากเพชรงามย่ิงนัก ลักษณะของถ้ําเปนถ้ําทะลุแสงสวางลอดเขามาได สามารถมองเห็นภายในไดถ นดั กอนจะถึงปากถํ้าจะมีปา ยขนาดใหญตงั้ อยู 10) ถํ้าหุบผาสวรรค ในถํ้ามีหินงอกหินยอยซึ่งเม่ือทําการเคาะแลวจะเกิดเสียงดังกองกังวานคลายของเสียงระฆัง โดยสาเหตุของเสียงน้ันเกิดขึ้นมาจากโครงสรางของหินที่มีลักษณะกลวงภายใน 11) เสน ทางเดนิ ปานํ้าตกผาดอกเสยี้ ว การเดินทางภายในเสนทางศึกษาน้ันเราจะไดพบกับน้ําตกผาดอกเส้ียว มีท้ังหมด 10 ชั้น โดยชั้นท่ีชมไดสะดวกคือ ช้ันท่ี 6, 7, 8, 9, 10 เปนสถานท่ีทองเท่ียวที่เหมาะสําหรับการศึกษาในเร่ืองของสังคมปาเต็งรังผสมปาสน คุณประโยชนของปาวิถีชวี ิตชาวปกาเกอญอ นาขนั้ บรรได และชมนํา้ ตกผาดอกเสี้ยว 12) เสนทางศึกษาธรรมชาติก่ิวแมปาน เปนเสนทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้นเปนวงรอบระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ตลอดเสนทางเดินทผ่ี า นแบง ออกไดเปน 4 ระยะ ชวงแรกเปนปาดบิ ชน้ื มีมอส และเฟรนข้นึ อยอู ยางหนาแนน ตามลาํ ตนของไมใ หญทแี่ ขงขันกนั เติบโตเพอื่ รับแสงอาทิตยหลงั จากผา นดงทึบของปา ดิบเขา จงึ เขาสชู วงของทุงหญาขนาดใหญที่คอยเปล่ียนสจี ากสเี ขยี วขจใี นชวงฤดูฝนสลบั กบั สีนํ้าตาลออ นอยางพรั่งพรอมในชว งฤดูแลง เห็นไอหมอกเมฆไหลมาอยูเบื้องหนาซ่ึงคาดไมถึงเลยวาจะอยหู ลงั มา นอนั หนาทบึ หากสังเกตดๆี ตามทางเดินจะพบมูลหรอื รอยขุดคยุ หาอาหารของสัตวป าเมอ่ื เราออกเดนิ ทางตอ จะพบกบั ตนกุหลาบพันปแดงขึ้นอยูตามหนา ผาเปนดงกวา งจาํ นวนมากและมขี นาดใหญ จะพากันผลดิ อกเบง บานในชว งเดือนมกราคม-มนี าคม พนั ธุไ มชนดิ น้ีถือเปนลกั ษณะเดน ของเสนทางศกึ ษาธรรมชาติกวิ่ แมปานแหง นี้ แลว จงึ วกกลับเขา สปู าดบิ เขาอีกครัง้ หนึง่ เปนการเดินชวงสดุ ทาย จะตอ งเดนิ ลงสลู ําหวยแมป าน ท่ีไหลลดเลยี้ วมาจากบริเวณทข่ี ามมาในชวงตน เสนทางเดินศึกษาธรรมชาตกิ วิ่ แมป าน สามารถวนรอบไปกลับในวันเดียว ตามหนทางจะผานไปสูปาดงดิบริมธารนาํ้ ขึ้นเนินผานปาที่หอยระยาดวยมอส ฝอยลม ในยามหนาฝนจะถูกปกคลุม ศูนยศ กึ ษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คาส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-5เพื่อการจัดการอุทยานแหง ชาติดอยอินทนนท จงั หวดั เชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวขอ งดว ยหมอกขาวและอากาศทห่ี นาวเย็น สุดปลายทางท่ีทุงหญาบนเนินที่ดารดาษ ดวยดอกไมตามพ้ืน เชนหนาดเขาสขี าวเปน ตุม ๆ สมแปะ และดอกไมป า สเี หลือง มวง ขาว อีกหลายชนิด เชน บัวทองอินทนนทไวโอเลต็ เปน ตน 13) เสนทางศกึ ษาธรรมชาติพันชุลี มีระยะทางประมาณ 203 เมตร ที่ระดับความสูงจากระดบั น้ําทะเลปานกลาง 1,700 เมตร เปนปาดิบเขา มีสภาพปา เปนปา เมฆ (cloud forest) เน่อื งจากเปนปาที่อยูในระดับสูงที่มีเมฆหมอกปกคลุมหนาแนนเกือบตลอดท้ังป ทําใหมีอากาศเย็นสบายและชื้นฉํ่าความสูงของพ้นื ที่เปน ปจ จัยท่สี ําคญั ตอการพฒั นาสังคมพชื บนภูเขาสูง ทําใหลักษณะโครงสรางของปาเมฆมเี รอื นยอดชนั้ บนเบยี ดชิดกันแนน เรือนยอดชั้นรองสวนใหญเปนไมพุม และไมคลุมดิน ลําตนของไมปาจะถูกหอหุมอยางหนาแนนดวย ไลเคน มอส เฟรน ไมอิงอาศัย และกลวยไม เชน กลวยไมรองเทานารอี ินทนนท กลว ยไมในสกุล Cymbidium และกลวยไมในสกุล Dendrobium เปนตน พันธุไมเดนในพื้นที่ ไดแก ไมในวงศกอ (FAGACEAE) ไมหอม (LAURACEAE) เหมือด ทะโล ซิบะดุ หรือพันชุลี(Mastixia) ซ่ึงเปนพันธุไมทองถิ่นท่ีมีขนาดใหญท่ีสุดในผืนปาดอยอินทนนทแหงนี้ ดวยพืชพรรณท่ีมีความเฉพาะถ่ินและหลากหลายทางชีวภาพ ทําใหเปนแหลงอาหารทางธรรมชาติท่ีสมบูรณของสัตวปาโดยเฉพาะนกซ่ึงมีมากเกือบ 400 ชนิด จากจํานวนกวา 900 ชนิดในประเทศไทย ไดแก นกหางรําดํานกพญาไฟ นกปก แพรสเี ขียว นกต๊ิดแกม เหลือง นกเดินดงอกลาย นกกระรองทองแกมขาว เปนตน และสตั วปาขนาดใหญ เชน เกง กวาง หมี และพญากระรอก เปน ตน 14) เสนทางศกึ ษาธรรมชาติอางกา เสนทางนี้สํารวจวางแนวและออกแบบเสนทางเดินโดย คุณไมเคิล แมคมิลแลน วอลซ นักสัตววิทยาและอาสาสมัครชาวแคนาดาประจําอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท ซึง่ เปน ผูหนึง่ ท่ที ํางานทุมเทใหกบั อนิ ทนนท และไดเสียชีวิตที่นี่ ดวยโรคหัวใจ เสนทางน้ีมีระยะทาง 1,800 เมตร พืน้ ทน่ี ้ีเปนหนองน้ําซบั ในหุบเขา จุดเดนที่นา สนใจ คือ ปา ดิบเขาระดับสูง ลักษณะของพรรณไมเขตอบอุนผสมกับเขตรอนท่ีพบเฉพาะในระดับสูง การสะสมของอินทรียวัตถุในปาดิบเขาลกั ษณะอากาศเฉพาะถิน่ พืชที่อาศัยเกาะติดตนไม ลักษณะของตนนํ้าลําธาร และลักษณะของตนไมบนดอยอา งกา เชน ตนขา วตอกฤาษที ข่ี ้ึนตามพน้ื ดนิ (ขา วตอกฤาษี เปน พชื ทต่ี อ งการความอุดมสมบูรณสูง จะขึน้ ในที่สงู กวา 2,000 เมตรเทาน้ัน และเจริญเติบโตไดดีในพ้ืนท่ีชุมช้ืนอากาศเย็น) กุหลาบพันป เปนตนยงั มีเสน ทางศึกษาธรรมชาตอิ ีกหลายเสนทาง เชน เสนทางศึกษาธรรมชาติกิโลเมตรท่ี 38 และ เสนทางศึกษาธรรมชาติกลุมน้ําตกแมปาน เปนตน แตละเสนทางใชเวลาในการเดินตางกันตั้งแต20 นาที - 7 ชวั่ โมง และเหมาะที่จะศึกษาสภาพธรรมชาติท่ีตา งกันดวย 15) ดอยหัวเสือ-แมกลางหลวง ดอยหัวเสือเปนยอดท่ีสูงเปนอันดับท่ี 4 ของอินทนนทมคี วามสงู ถงึ 1,881 เมตร จากระดับนํ้าทะเล สภาพปาบริเวณนี้จะเปนปาสนสลับปาดิบเขา และจะพบกหุ ลาบพันปสามสภี ูกระดึง ในชว งเดือนพฤษภาคมถึงมถิ ุนายน วานมียับซ่ึงเปนพืชลมลุก นอกจากสภาพปาที่สมบูรณยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศนท่ีมองไดเกือบ 360 องศา เน่ืองจากสภาพคอนขางโลงแตตองระมดั ระวังพ้ืนที่จะคอนขางลาดชนั จากจุดชมวิวสามารถมองเห็นดา นลา งซึ่งเปนหมูบานกะเหร่ียง ศูนยศึกษาและวจิ ยั อุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คาส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-6เพอ่ื การจดั การอทุ ยานแหง ชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ที่เกีย่ วของในอําเภอแมแ จม และยอดเทือกเขาดอยอินทนนนท ทางซา ยเปนอําเภอจอมทอง สําหรับยอดหัวเสือจะมีจดุ ชมววิ อยหู ลายแหง จุดแรกจะสามารถมองขน้ึ มาเห็นยอดหวั เสอื ในสวนทเ่ี รยี กวา จมูกเสือ จุดชมวิวตรงจมูกเสือเปนลานสนามหญาและมีกอนหินขนาดใหญเปนที่น่ังพักไวอยางดี และเดินเลยขึ้นไปอีกตรงยอดหวั เสือ 16) ยอดดอยอินทนนท บนยอดดอยอินทนนท มีผืนปาดิบดึกดําบรรพอันกวางใหญสมบรู ณป กคลุม ซ่งึ นอยคนนกั จะไดสมั ผสั ธรรมชาตทิ แ่ี ทจ รงิ ของภูเขาทสี่ งู ทส่ี ุดของประเทศ ในอดตี มีเพียงเสนทางเลก็ ๆ ตดั ขน้ึ ไปสปู าลึกอันชุมชนื้ และหนาวเย็น จึงจะไดพบเห็นกลวยไมและพันธุไมปาที่สวยงามและหายากยง่ิ นับแตรองเทานารีอินทนนทที่คนพบเปนแหงแรกบนดอยน้ี เอื้องกําเบอ ซึ่งเปนกลวยไมจาํ พวกซมิ บเิ ดียม มสี เี หลืองทอง ยังมกี หุ ลาบพันปที่มีลาํ ตน สงู ใหญก วา กุหลาบแดงบนภหู ลวงและภกู ระดึงมากมายนกั อกี ท้งั ดอกไมปา อกี หลายชนิดทข่ี ้ึนดารดาษทั่วหุบเขา สลบั กับพันธุไมจําพวกเฟรนออสมันดาและอื่นๆ เทือกเขาสูงมิไดมีเพียงยอดสูงสุด คือ ดอยอางกาหลวงเทาน้ัน ทวาเทือกเขาดอยอินทนนทน้ันคือแนวทิวเขาสลับซับซอนตอนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัยอันพาดผานชายแดนตะวันตกเฉียงเหนอื ลงไป มยี อดดอยอนิ ทนนทเปนยอดสูงสุด สูงถึง 2,565 เมตร จากระดับนํ้าทะเลปานกลาง เปนที่ประดิษฐานกูพระอัฐิของพระเจาอินทวิชานนท ผูครองเชียงใหมองคที่ 7 และเปนท่ีต้ังของสถานเี รดารข องกองทัพอากาศไทย อากาศเยน็ ตลอดป ราว 5 -18 องศาเซลเซยี ส 17) ผาแงมนอย “แงม” เปนภาษาประจําถ่ินของภาคเหนือ มีความหมายเชนเดียวกับคําวา “งาม” ในภาษาไทย เปนคํานามใชเรียกลักษณะหรือสิ่งท่ีแยกออกเปน 2 หรือ 3 ผาแงมนอยเปนหิน 2 แทง ตั้งอยูคูกันริมเสนทางเดินชมธรรมชาติกิ่วแมปาน หินที่ประกอบขึ้นเปนผาแงมนอยไดแ ก หินแกรนิตเน้ือปานกลางยคุ ไทรแอสซิก มีอายุประมาณ 200 ลานปมาแลว หินแกรนิตในบริเวณนี้เกิดจากหินหลอมเหลวท่ีดันตัวตัดผานหินไนส ที่มีอายุเกาแกมากกวา 530 ลานป ยุคพรีแคมเบรียนเมอื่ หินหลอมเหลวท่ียังอยูใตผิวโลกเยน็ ตัวลง มวลของหนิ แกรนติ มีการหดตัวและปรากฏรอยแตกบริเวณขอบของมวลหิน เมื่อเวลาผานไปเปลอื กโลกมกี ารเปลีย่ นแปลงอยางตอ เนื่อง ปรากฏการณท ีส่ าํ คญั เกิดข้นึคือ กระบวนการกอเทือกเขา ทาํ ใหผ วิ โลกมีการยกตวั ขน้ึ เปน ภูเขา ปรากฏการณที่สําคัญตอมาหลังจากที่หินปรากฏบนผิวโลกคอื การผพุ งั อยูกบั ท่ี และการกัดกรอน หินแกรนิตเกิดจากแรประกอบหินหลายชนิดเชน ควอรตซ เฟลดสปาร ไบโอไทต และมัสโคไวท แรประกอบหินแตละชนิดมีอัตราการผุพังท่ีตางกันเชน แรเฟลดสปาร จะผุพังงาย และเร็วกวาแรควอรตซ ผาแงมนอยเปนหินแกรนิตเชนเดียวกับหินที่อยูขา งเคยี ง แตเ นื้อหินของผาแงมนอยมีปริมาณแรควอรตซมากกวาหินท่ีอยูขางเคียง และหินขางเคียงก็มีปริมาณแรเฟลดสปารที่มากกวาหินสวนที่เปนหนาผา ผาแงมนอยจึงเปนผลลัพธของความตางของอัตราเร็วในการผุพัง โดยสวนที่เปนผาแงมนอยมีความทนทานตอการผุพังมากกวาหินท่ีอยูขางเคียงนอกจากน้อี าจเกี่ยวขอ งกับความถข่ี องรอยแตกท่ีหนิ ขา งเคยี งมีมากกวา หินสวนทเ่ี ปนผาแงม นดี้ ว ยศนู ยศึกษาและวิจยั อุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาส่งิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-7เพ่ือการจดั การอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ียวของ 18) พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ เปนพระธาตุที่ทางกองทัพอากาศรวมกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ รวมใจสรางถวายแดองคพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปพุทธศักราช 2530 และเทิดพระเกียรติแดสมเด็จพระนางเจา ฯ พระบรมราชินนี าถ เนือ่ งในมหามงคลสมยั ทท่ี รงเจริญ พระชนมพรรษาครบ 5 รอบเมอ่ื วนั ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 โดยรอบบริเวณพระมหาธาตุเจดียทั้ง 2 องค สามารถมองเห็นทิวทัศนของดอยอนิ ทนนทโ ดยรอบไดอยา งชัดเจน พระมหาธาตทุ งั้ 2 องคน้ี มีรปู ทรงคลายคลึงกัน คือ มีฐานเปนรูป 12 เหล่ียม มรี ะเบียงแกว โดยรอบเปน 2 ระดับ เปน ทปี่ ระดิษฐานพระบรมสารรี กิ ธาตแุ ละพระพทุ ธรูปบชู า (ศนู ยศ กึ ษาและวจิ ยั อทุยานแหงชาติ จงั หวัดเชียงใหม, 2553) ในการศึกษาวิจัยคร้ังนี้จะทําการเก็บขอมูลจากนักทองเที่ยวชาวไทยท่ีเขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตามสถานที่ทองเที่ยวทางธรรมชาติ จํานวน 7 แหง ไดแก 1) น้ําตกแมยะ 2) น้ําตกแมกลาง 3) น้ําตกวชิรธาร4) ท่ีทําการอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท และลานกางเตนทดงสน 5) เสนทางเดินปานํ้าตกผาดอกเสย้ี ว 6) เสนทางศึกษาธรรมชาติก่ิวแมปาน และ 7) ยอดดอยอินทนนท ซ่ึงเปนแหลงทองเท่ียวสาํ คญั ๆ ทีน่ ักทองเที่ยวนิยมเขาไปใชประโยชน (หรือใชบริการ) มากเปนพิเศษในชวงเทศกาลปใหมและเทศกาลสงกรานต รวมท้ังจะทําการสัมภาษณเพิ่มเติมเพ่ือเปนการสอบทานหรือยืนยันขอมูลจากเจาหนา ทอี่ ุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหมศนู ยศึกษาและวิจยั อุทยานแหงชาติ จงั หวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา ส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-8เพื่อการจดั การอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ ง ตัวอยางแผนท่ีแหลงทองเที่ยวสําคัญและบริเวณเก็บแบบสัมภาษณในพ้ืนท่ีอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม แสดงใน ภาพที่ 2.1ภาพที่ 2.1 แผนที่แสดงแหลง ทองเท่ียวสําคญั และบริเวณทเ่ี กบ็ แบบสัมภาษณในพ้ืนที่ที่มา: อุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม ดดั แปลงจากสาํ นักอุทยานแหงชาติ กรมอทุ ยานแหง ชาติ สัตวปา และพนั ธพุ ชื , 2554 ศนู ยศ กึ ษาและวิจยั อุทยานแหงชาติ จังหวดั เชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา ส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-9เพื่อการจดั การอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ งภาพที่ 2.2 จํานวนนักทองเท่ียวที่เขาไปทองเที่ยวในเขตของอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตั้งแตปงบประมาณ พ.ศ. 2554 (เดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 – เดือนกันยายน พ.ศ. 2554) แยกเปนรายเดอื นท่ีมา: ศนู ยศึกษาและวจิ ัยอทุ ยานแหงชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554 ปรับปรงุ ขอมลู จาก ฝายระบบฐานขอมลู สวนศกึ ษาและวจิ ัยอุทยานแหง ชาติ สาํ นักอทุ ยานแหง ชาติ จากผลสํารวจจํานวนนกั ทอ งเท่ยี ว ตัง้ แตป พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2554 จากภาพที่ 2.2 เดือนตุลาคมพ.ศ. 2553 ถงึ เดอื นกนั ยายน พ.ศ. 2554 แยกตามรายเดือน พบวา นกั ทอ งเท่ียวสวนใหญม ักจะมาเท่ียวในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ในชวงฤดูหนาว ตั้งแตเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ถึงเดือนกมุ ภาพันธ พ.ศ. 2554 และเดือนเมษายน 2554 ซ่งึ ในชว งเดือนธันวาคม 2553 จะมีนักทองเที่ยวเขามาใชบริการในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท เปนจํานวนมากที่สุด โดยมีปริมาณนักทองเที่ยวรวมตลอดท้ังปงบประมาณ พ.ศ.2554 จํานวน 437,914 คน สาเหตุท่ีนักทองเที่ยวเลือกมาเที่ยวในชวงน้ีเนอื่ งจากอทุ ยานแหงชาตินีม้ ที ัศนยี ภาพทางธรรมชาติท่ีสวยงาม และมีความหลากหลายของระบบนิเวศและเปนที่รจู ักของนักทอ งเทย่ี วท่ังชาวไทยและชาวตางประเทศ อาทิ ดอยอนิ ทนนท เสนทางเดินปาน้ําตกผาดอกเสีย้ ว เสน ทางศึกษาธรรมชาตกิ ่ิวแมปาน น้าํ ตกแมกลาง น้ําตกแมยะ และดอยหัวเสือ – แมกลางหลวง เปน ตน ศนู ยศ ึกษาและวจิ ัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คาส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-10เพอื่ การจดั การอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวของ 2.1.4 ความสาํ คญั ของอุทยานแหงชาติ 1) ดานการอนรุ ักษทรัพยากรธรรมชาติ ปจจุบันสถานการณปาไม โดยเฉพาะในประเทศกําลังพัฒนาถูกทําลายอยางมากเนื่องจากความตองการท่ดี นิ เพ่ือการเกษตร การประกาศจดั ตงั้ พนื้ ท่ีเปนอทุ ยานแหง ชาตกิ ็เพอ่ื ชว ยคมุ ครองทรัพยากรธรรมชาติที่สําคัญไว เปนมาตรการหน่ึงท่ีมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีกฎหมายที่เขมงวดมบี ทลงโทษทร่ี ุนแรง มีการบริหาร มอี ตั รากาํ ลัง และงบประมาณท่ีจะดแู ลไดอยา งใกลชิด 2) ดา นเศรษฐกิจ อุทยานแหงชาติ มีวัตถุประสงคหลักอยางหนึ่งคือ เพื่อการทองเท่ียวและพักผอนหยอนใจ ทําใหเกิดธุรกิจทองเที่ยวและบริการ ซึ่งเปนที่มาของรายไดของราษฎรในทองถิ่น และเกิดอุตสาหกรรมการทองเท่ียวท่ีมีการใชแรงงานในทองถิ่นเปนหลัก ทําใหมีการกระจายรายได นอกจากนี้พนื้ ท่ีอุทยานแหงชาตยิ ังเปน แหลงอนุรักษพนั ธกุ รรมด้ังเดิมทสี่ ามารถนาํ ไปใชในการ ผสมพันธุพืชและสัตวเพ่อื ใหไ ดพ ันธแุ ททีท่ นทานตอโรคและแมลง และใหผ ลผลติ สูง ทง้ั ชว ยรักษาสภาพแวดลอ มใหเ หมาะสมตอการเกษตร บางแหง เปนตนน้ําที่สําคญั ท่ีระบายนํา้ ลงสูล าํ ธารตอนลา ง 3) ดา นการศกึ ษา คนควา วจิ ัย อทุ ยานแหง ชาติ เปนพืน้ ท่ีท่ีไมถูกรบกวน จึงเปนพื้นท่ีท่ีนักวิทยาศาสตรสิ่งแวดลอมโดยเฉพาะอยางยิ่งทางดานนิเวศวิทยา ตองการเพื่อการศึกษาวิจัยทางธรรมชาติ และเลือกพ้ืนที่อทุ ยานแหงชาติเปน สถานวี จิ ยั ในโครงการวจิ ยั ท่ีสําคัญๆ ระดับชาติ และระดบั โลก 4) ดานสังคมและวัฒนธรรม อทุ ยานแหงชาติ เปน แหลงท่มี ีคณุ คา ทางดานนันทนาการที่ประชาชนสามารถใชเวลาวา งเท่ียวพักผอ น ทาํ ใหรา งกายและจิตใจดขี นึ้ เปน ทีม่ าของสติปญ ญา ทําใหมีประสิทธิภาพในการทํางานซงึ่ เปน แนวทางในการพฒั นาสังคมไปในทางทดี่ ี ดังจะพบวา นักประพันธ นักกวี นักแตงเพลง หรือแมแตพระพทุ ธเจาไดใชปาเปนแหลงผลิตผลงานอันอมตะ อุทยานแหงชาติไดนําความเจริญสูพ้ืนท่ีใกลเคียงมีถนน ไฟฟา ประปา อีกทั้งอุทยานแหงชาติยังเปนแหลงอนุรักษโบราณวัตถุและโบราณสถานใหคงอยูเพื่อเตือนใจประชาชนใหเห็นความสําคัญและบทเรียนตางๆ ที่เกิดข้ึนในอดีต นอกจากนี้กิจกรรมการทองเที่ยวยังชวยเผยแพรวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของทองถิ่นใหแพรหลาย ทําใหประชาชนสาํ นกึ ถงึ ความสําคัญของขนบธรรมเนียมประเพณีด้ังเดิม บางครั้งการทองเท่ียวมีสวนชวยเปลี่ยนวิถีชีวิตของประชาชนในพนื้ ทจ่ี ากการเกษตรมาเปนการคา ขาย และนาํ เทีย่ วมากขึ้น 5) ดา นสง่ิ แวดลอ ม อุทยานแหงชาติ ถูกจดั ข้นึ เพื่อรักษาสภาวะแวดลอ มใหอ ยูในสภาพธรรมชาติเดิมมากทส่ี ุดอทุ ยานแหงชาติ จึงเปนพื้นท่ีท่ีชวยรักษาสมดุลของส่ิงแวดลอม จึงเกิดความม่ันคง แกกระบวนการทางอุทกวิทยา ชวยปองกันการพังทลายของดิน ชวยควบคุมสภาพภูมิอากาศ ชวยรักษาคุณภาพศนู ยศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คา สง่ิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-11เพ่ือการจดั การอทุ ยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กี่ยวของสิง่ แวดลอมใหเ หมาะสมตอส่ิงมีชีวิต ชวยคุมครองรักษาประสิทธิภาพของระบบนิเวศใหไดผลผลิตย่ังยืนตลอดไป และเปน แหลง ชว ยพัฒนาจิตของมนุษยสงผลให ลดปญหาสิง่ แวดลอ มทางดานสังคม 6) ดานความมัน่ คงของประเทศ พืน้ ทอี่ ุทยานแหง ชาติ เหมอื นคลงั มหาสมบัติของประเทศ บางแหง ประกอบดว ยปาไมและแรธาตุอยา งสมบูรณ ในยามวิกฤตเิ ม่ือชาตติ องการใชท รพั ยส ินดงั กลาวเพื่อความอยูรอดของประเทศก็สามารถนํามาใชไ ด2.2 แนวคดิ และทฤษฎกี ารประเมินมูลคาสิ่งแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2.2.1 แนวคดิ การวัดมูลคา ส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตร ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอมใหประโยชนกับสงั คมในหลายรูปแบบ ดังน้ันในการประเมนิ มลู คา ส่งิ แวดลอมตองคํานึงถึงประเภทของประโยชนของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมท่ีตองการประเมิน โดยมูลคารวมทางเศรษฐศาสตรของสิ่งแวดลอม (Total Economic Value)ประกอบดว ย 7 สว น ไดแก 1) มลู คา ทีเ่ กดิ จากการใช (Use Value) คอื การท่ีสง่ิ แวดลอ มใหป ระโยชนทีเ่ ปนรปู ธรรมกับประชาชนซ่ึงแบงเปน 2 ประเภท ไดแ ก 1.1) มูลคาท่ีเกิดจากการใชโดยตรง (Direct Use Value) คือ การท่ีประชาชนในฐานะ ผบู รโิ ภคไดรับประโยชนโดยตรงจากสิ่งแวดลอม เชน การเขาชมอุทยานแหงชาติ ผลกระทบของคุณภาพอากาศตอสุขภาพระดบั กลิน่ และเสยี งบรเิ วณที่อยอู าศัย หรอื ความเสีย่ งตอสุขภาพจาก ระดบั กลิ่นและเสียงบริเวณทอ่ี ยอู าศัย หรอื ความเสีย่ งตอ สุขภาพจากการทิง้ สารเคมีผดิ วิธี เปนตน 1.2) มูลคาที่เกิดจากการใชทางออม (Indirect Use Value) คือ การที่ส่ิงแวดลอมทําหนาที่เปนปจจัยการผลิตอยางหน่ึงและใหประโยชนตอประชาชนโดยผานกระบวนการผลิต เชนคณุ ภาพนํา้ ในแมนํ้าทีส่ ะอาดชวยลดตนทุนการผลติ นาํ้ ประปาทาํ ใหคา นาํ้ ประปาลดลง หรือคุณภาพน้ําท่ีมีผลตอ การเลี้ยงกุง เปน ตน 2) มูลคาจากการมิไดใช (Non-Use Value) คือ การที่สิ่งแวดลอมใหประโยชนกับประชาชนในรูปของการสรา งความรสู กึ ท่ดี ีเม่อื ทราบวาสงิ่ แวดลอมอยูในสภาพดี โดยท่ีประชาชนไมไดรับประโยชนจ ากการใชส ิ่งแวดลอมนั้นเลย 3) มูลคาของการดํารงอยู (Existence Value) คือ การที่ประชาชนไดประโยชนจากส่งิ แวดลอมเมอ่ื ทราบวา ส่งิ แวดลอมยังอยใู นสภาพทดี่ ี เชน การอนุรักษเตาทะเลชาง หรือสัตวสงวนอื่น ๆเปนตน 4) มลู คาของการเปนมรดกตกทอด (Bequest Value) คือ การท่ีประชาชนไดประโยชนเมื่อทราบวา สง่ิ แวดลอ มยงั อยูในสภาพท่ีดีเพราะลกู หลานหรอื ประชาชนรนุ หลังจะสามารถใชประโยชนไดในอนาคต ศูนยศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหงชาติ จังหวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา สงิ่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-12เพื่อการจดั การอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วของ 5) มูลคาเผอ่ื จะใช (Option Value) คือ การท่ปี ระชาชนไมไ ดป ระโยชนจากส่ิงแวดลอมเลยไมว าจะในรปู แบบมลู คาจากการใชหรือมูลคาจากการมไิ ดใชใ นขณะน้ี แตคิดวา จะมโี อกาสใชป ระโยชนในอนาคต ดังน้ันการอนรุ กั ษส ง่ิ แวดลอ มไวขณะนี้ประชาชนอาจไดร ับประโยชนเพราะเปนการเปดโอกาสใหส ามารถใชประโยชนจากสง่ิ แวดลอ มในอนาคตไดถา ตอ งการ 2.2.2 แนวคดิ การประเมนิ มูลคา สิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร วิธีการประเมนิ มลู คา สงิ่ แวดลอมประกอบดวย 5 วิธี ไดแ ก 1) วิธีการประเมนิ ผลกระทบสิง่ แวดลอมทางตรง (Direct Methods) วธิ กี ารน้ีเปน วธิ กี ารประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมโดยการสัมภาษณจากประชาชนโดยตรง วิธีการน้ีแบงออกเปน 2 วิธี คือContingent Valuation Methods (CVM) วิธีการน้ีเปนการถามคําถามใหประชาชนบอกถึงผลกระทบส่ิงแวดลอมท่ีกําลังศึกษาอยูวามีมูลคาเทาไร หรือมูลคาท่ีประชาชนยินยอมจายเพ่ือปองกันผลกระทบส่ิงแวดลอมที่กําลังจะเกิดขึ้น อีกวิธีหนึ่งคือ CVM ที่ตั้งคําถามแบบเปดใหประชาชนตอบ(state preference methods) ดวยเหตุท่ีส่ิงแวดลอมเปนสินคาที่ไมมีกลไกตลาดท่ีจะสามารถกําหนดราคาหรือทําใหกลไกราคาทํางานได อันเนื่องมาจากปญหาผลกระทบภายนอก (Externalities) และปญหาสินคาสาธารณะ (Public good) วิธีการสมมติเหตุการณใหประเมินคา หรือ CVM นี้เปนวิธีการหนึ่งท่ีเปนเครื่องมือวัดมูลคาทางเศรษฐกิจของส่ิงแวดลอมได วิธีการนี้ตองมีการสอบถามเก็บความคิดเห็นของประชาชนที่ถกู เลือกใหเปน กลุมตวั อยา ง โดยถามจาํ นวนเงินที่ผูตอบคําถามวา มีความเต็มใจท่ีจะจายเงินเพื่อสนับสนุนโครงการหรือเหตกุ ารณสมมติที่จะแกไขปญหาคุณภาพสงิ่ แวดลอ ม ซึ่งคาที่ไดออกมาจะเปนคาทสี่ ะทอ นใหเ ห็นมลู คา ของสง่ิ แวดลอ ม วิธี CVM นี้เปนวิธีที่มีความคลองตัวมากและสามารถนํามาใชกับการประเมินมูลคาไดทุกประเภท ข้ึนอยูกับลักษณะการตั้งคําถามที่จะสัมภาษณประชาชนที่ไดรับผลกระทบจากการเปล่ยี นแปลงสิ่งแวดลอ มทก่ี าํ ลังจะเกิดข้ึนหรือดวยการสรางสถานการณสมมติ (Hypothetical Market)โดยการถามคาํ ถามในลกั ษณะของความเต็มใจท่ีจะจาย (Willingness to Pay: WTP) หรือความเต็มใจท่ียอมรับเงินชดเชย (Willingness to Accept Compensation: WTAC) 2) วธิ ีการประเมนิ ผลกระทบสงิ่ แวดลอ มทางออม (Indirect Methods) วิธีการทางออมเปนการศกึ ษามูลคา สิง่ แวดลอ มทไ่ี มมีการซ้ือขายโดยตรงแตมูลคานี้อาจซอนอยูในมูลคาของสินคาอ่ืน ๆไดแก วิธี Travel Cost Methods (TCM) เปนการศึกษาท่ีนิยมใชเพื่อประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมในเชิงนนั ทนาการ โดยใชค า ใชจายในการเดนิ ทางและตนทุนคาเสียโอกาสของเวลาของนักทองเที่ยวเปนขอมูลบอกมูลคาเชิงนันทนาการของสถานที่น้ัน และวิธี Hedonic Price Methods (HPM) เปนการประเมินมลู คาผลกระทบสง่ิ แวดลอมศูนยศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคาส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-13เพือ่ การจัดการอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วของ 3) วิธีดา นคุณภาพสงิ่ แวดลอมท่ีเกี่ยวของกับปจจัยการผลิต (Environmental Qualityas a Factor Input) วธิ ีการนเี้ ปน วธิ ีการประเมนิ เฉพาะกรณที ่ีส่ิงแวดลอมทําหนา ทเี่ ปน สวนหน่งึ ของปจ จยัการผลิต ซ่ึงสามารถกระทําผาน Production Function หรือ Cost Function เพ่ือการศึกษาถึงการเปลีย่ นแปลงสวสั ดกิ ารของผผู ลิตหรอื ผูบริโภคที่เปลย่ี นแปลงไป โดยใชข อมลู ในระบบตลาดทีเ่ กยี่ วของกับสินคา เอกชนเพ่ือนํามาประเมินมูลคาสินคา/บริการดานทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมที่เกี่ยวของเชน นาํ้ เสยี ทาํ ใหต นทุนในการผลติ นํ้าประปาสูงขน้ึ การสูญเสียปาชายเลนทาํ ใหจาํ นวนลกู ปลาลดลง ซ่ึงในท่ีสดุ กจ็ ะสง ผลใหปรมิ าณปลาลดลงดวย เปน ตน 4) มูลคาตลาด (Market Valuation) ส่ิงแวดลอมท่ีเปล่ียนแปลงไปยอมทําใหคาใชจายของผูบริโภคเปล่ียนไป เชน กรณีอากาศเปนพิษในกรุงเทพฯ ทําใหผูโดยสารตองตัดสินใจเลือกการใชบริการรถโดยสารประจําทางปรบั อากาศแทนรถธรรมดา ทาํ ใหผ ูโดยสารตองจายมากข้ึน วิธีการ Marketvaluation สามารถวัด use value ไดทั้ง Direct use value และ Indirect use value วธิ ีการนี้สามารถประมาณมูลคาสิ่งแวดลอมได 3 วิธีคือ 1) วิธีการประมาณจากคาใชจายท่ีเปล่ียนแปลง (Avertingexpenditure approach) 2) วิธีการที่ประมาณการจากจํานวนเงินที่ตองจายเพ่ือการทดแทนความเสยี หายอนั เกิดจากคณุ ภาพสิ่งแวดลอ มเปลย่ี น และ 3) วิธีการท่ีศึกษาความสัมพันธระหวางคุณภาพของสงิ่ แวดลอม ผลกระทบทางกายภาพและคา ใชจ า ยที่เกิดขน้ึ (Dose response approach) 5) วิธีการโยกยายผลประโยชน (Benefit Transfer Approach) วิธีการน้ีเปนการประเมนิ ผลกระทบสง่ิ แวดลอมโดยใชมูลคาสิ่งแวดลอมท่ีมีผูอ่ืนประเมินไวแลวจากสถานท่ีอ่ืนมาปรับคาตามความแตกตางของสภาพแวดลอ มหรอื สภาพทางสังคมเปน วธิ ที ีส่ ามารถนาํ มาใชใ นการประเมินมูลคาไดทกุ ประเภท เพราะวธิ นี ไ้ี มตองทําการสํารวจหรือเก็บขอ มูลภาคสนาม จงึ เปน วิธีทมี่ ปี ระโยชนในกรณีท่ีเกิดปญ หาสง่ิ แวดลอมอยา งกะทนั หันและตองการขอ มลู อยา งเรงดว นในการตัดสินใจดาํ เนนิ การ และไมมีเวลามากพอในการศึกษาประเมินผลกระทบส่ิงแวดลอมดวยวิธีทางตรง ซ่ึงตองใชเวลาและงบประมาณที่สูงกวา มาก ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ีจะใชวิธีการประเมินผลกระทบส่ิงแวดลอมทางตรง คือวธิ ีการสมมตเิ หตกุ ารณใหประเมินมลู คา ส่งิ แวดลอ ม (Contingent Valuation Method: CVM) เพื่อประเมินคาความเต็มใจท่ีจะจายในดานการคุมครองพ้ืนที่ ปรับปรุงและพัฒนาแหลงทองเที่ยวรวมท้ังศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติในอุทยานแหงชาติ ของนักทองเท่ียวชาวไทยท่ีเขา ไปใชประโยชนห รอื เท่ยี วชมธรรมชาติในอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จังหวัดเชียงใหมเพื่อใชเปนแนวทางในการจดั การอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จงั หวดั เชียงใหม ตอ ไปในอนาคตศนู ยศ กึ ษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คาส่งิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-14เพือ่ การจัดการอุทยานแหง ชาติดอยอินทนนท จงั หวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วของ 2.2.3 วิธีการประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมโดยวิธีการสมมติเหตุการณใหประเมิน(Contingent Valuation Method: CVM) วิธีการนี้เปนวิธีการประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมโดยการสัมภาษณจากประชาชนโดยตรงเปนการสงั เกตการบนพน้ื ฐานของการเลอื กท่ีเปน จรงิ โดยประชาชนผแู สวงหาอรรถประโยชนสูงสุดภายใตขอจาํ กดั ของเร่อื งท่ศี กึ ษาและเปนผูท่ีมอี ิสระทจ่ี ะเลอื กจาํ นวนของสินคา ณ ราคาท่ีกําหนด ขอมูลท่ีแสดงออกมาโดยตรงในรูปของตวั เงิน เนือ่ งจากเปน การเลือกบนพื้นฐานของราคา (Freeman, 1993) วิธีการน้ีสามารถวัดมูลคาของส่ิงแวดลอมไดทุกประเภทไมวาจะเปน มูลคาที่เกิดจากการใช (Use value),มูลคา จากการไดใ ช (Non use value) หรือ มูลคาเผ่ือจะใช (Option value) ขึ้นอยูกับลักษณะของการตั้งคําถามที่จะสัมภาษณประชาชนเปาหมาย วิธีการทางตรงน้ีเปนวิธีท่ีไดจากการสํารวจทัศนคติของประชาชน ดังนั้นจึงตองมีการออกแบบสอบถาม ทดสอบแบบสอบถาม ทําการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนตามการสุมตัวอยาง แลวจงึ นําผลที่ไดจากการสํารวจมาทําการวเิ คราะหด ว ยเคร่ืองมือทางสถติ ิ ในกรณีของส่ิงแวดลอม ผูตอบแบบสอบถามจะถูกรองขอใหประเมินมูลคาของการเปล่ียนแปลงในปริมาณหรือคุณภาพของส่ิงแวดลอม ซ่ึงมูลคาของการเปล่ียนแปลงที่ไดจาก CVMน้ีจะสะทอนถึงความพอใจที่จะจาย (Willingness to Pay: WTP) หรือความพอใจท่ีไดรับการชดเชย(Willingness to Accept Compensation: WTAC) ขึ้นอยูกับวาผูตอบแบบสอบถามมีกรรมสิทธ์ิ(Property Right) ในสนิ คาและบรกิ ารนัน้ ๆ หรอื ไม กรณีท่ีผตู อบแบบสอบถามมิไดมีกรรมสิทธิ์ในสินคาและบริการนั้น ๆ มูลคาท่ีไดจากการประเมินจะสะทอนใหเห็นถึงความพอใจ ท่ีจะจายสําหรับการเปลย่ี นแปลงในปริมาณหรอื คณุ ภาพของสินคา นัน้ ๆ ในทางกลับกัน หากผูต อบแบบสอบถามเปน ผมู ีกรรมสิทธในสนิ คา และบริการนั้น ๆ มลู คา ท่ีไดจากการประเมินจะสะทอนใหเห็นถึงความพอใจที่จะไดรับการชดเชย (WTAC) สําหรับการเปลี่ยนแปลงในปริมาณหรือคุณภาพของสินคานั้น ๆ ซึ่งวิธีนี้สามารถท่ีจะนํ า ม า ป ร ะ ยุ ก ต ใ ช กั บ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ป ร ะ โ ย ช น ท่ี เ กิ ด ขึ้ น ใ น ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ส ว น เ กิ น ข อ ง ก า ร บ ริ โ ภ ค(Consumer Surplus) ได วิธกี ารนเี้ ปน ท่นี ิยมใชก ันมานานแลว พัฒนามาโดยนกั เศรษฐศาสตรช ือ่ Carson มวี ธิ เี ปนการทดสอบโดยมองพฤตกิ รรมของผูถ ูกสมั ภาษณ ซ่งึ ขอมูลท่ไี ดม าจะเปน การแสดงความคดิ เห็นแบบปด ท่ีใหตอบ yes หรือ no หรือแสดงความคิดเห็นแบบเปดก็ได วิธีน้ีมีความไดเปรียบในการใชวัดมูลคาของสง่ิ แวดลอมอยา งมาก มีการแสดงใหเห็นถึงเง่ือนไขตาง ๆ ที่เกิดข้ึน เชน ราคา รายได สิ่งแวดลอม สิทธิฯลฯ ของผูถกู สัมภาษณแ ตละคนท่ีประสบมา เปน การถามถงึ การเปลย่ี นแปลงสภาพแวดลอมใหดีข้ึนของสถานท่ีนั้นๆ 1) วิธีการออกแบบสอบถามเพื่อหาคาความเต็มใจที่จะจาย (WTP) ตามวิธีการแบบCVM สามารถแบง ออกเปน 2 วธิ ีหลกั คอืศนู ยศึกษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคา ส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-15เพอื่ การจดั การอทุ ยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ียวของ 1.1) รูปแบบ CV ท่ีตอเนื่อง (Continuous contingent valuation format)โดยมีอยู 2 วิธีหลักๆ คือ คําถามแบบปลายเปด (Open-ended question) และรูปแบบบัตรรายจาย(Payment card format) ในคาํ ถามแบบปลายเปด เปนการถามปลายเปดโดยไมไดระบุทางเลือก หรือจํานวนเงินที่ผูถูกถามควรจะตอบ เชน ทานมีความยินดีท่ีจะจายเงินเทาไหรสําหรับการเปล่ียนแปลงคุณภาพสงิ่ แวดลอมท่ีทําการศึกษา โดยคําถามแบบปลายเปดน้ีมักเกิดปญหา Strategic bias เนื่องจากคําถามไมสอดคลองกับสถานการณที่แทจริงท่ีผูตอบคําถามเผชิญ ดังน้ันผูตอบอาจตอบสูงหรือตํ่ากวาความเปนจริง รวมท้ังอาจมีปญหา Outlier ทําใหคาความแปรปรวนของ Mean of MWTP สูงมาก(Michell and Carson,1989) สวนรูปแบบบัตรรายจาย เปนเทคนิคที่ชวยใหผูสัมภาษณสามารถสรางภาพสถานการณท สี่ มมตขิ ้นึ ใหผูถ ูกสัมภาษณไดเ หน็ ภาพท่ชี ัดเจนและเปนไปในทางเดียวกัน และชวยใหผูถกู สมั ภาษณส ามารถท่จี ะระบุความเตม็ ใจทีจ่ ะจา ยออกมาไดง ายขึ้น อยา งไรกต็ าม PC format ก็มจี ดุ ออ นที่เกิดจากความเอนเอียงของระดับราคาท่ีใชจะไปมีอิทธิพลกับการเลือกมูลคา สวนขอดีของ CVแบบตอเนือ่ งนี้ คือ คาเตม็ ใจทีจ่ ะจาย (WTP) สูงสุดจะถูกวัดออกมาโดยตรง 1.2) รูปแบบ CV ที่ไมตอเน่ือง (Discrete contingent valuation format)โดยวธิ หี ลักที่ใชคือ คําถามแบบปลายปด (Close-ended question) ในคําถามแบบ CE น้ี ผูถูกสัมภาษณเพียงถูกถามวา จะจา ยหรือไมเมื่อกาํ หนดราคามาให วิธีการน้ีจะมีความคลายคลึงกับการซ้ือขายสินคาในตลาดจริงมาก ดงั นน้ั วิธกี ารน้จี งึ ไดรบั ความนยิ มอยา งมาก โดยการกาํ หนดราคาที่แตกตางกัน สดั สวนของผูถูกสัมภาษณที่เต็มใจจายจะถูกคํานวณออกมาและคูณสัดสวนของจํานวนน้ีกับจํานวนผูถูกสัมภาษณจะสามารถประมาณเสนอปุ สงคอ อกมาไดอ ยา งไรก็ตาม คําถามแบบ CE นกี้ ม็ ีขอดอ ยดวย คือ WTP สูงสุดจะไมไดถูกหาออกมาโดยตรง ดังนั้นคําตอบท่ีไดจากวิธีน้ีจึงตองการความถูกตองทางสถิติมากกวาวิธีContinuous จึงทําใหคําถามแบบ CE คอนขางจะขาดประสิทธิภาพ นอกจากนี้สําหรับการคํานวณคาWTP ตองการการคาดการณลวงหนาเก่ียวกับ Valuation function ยิ่งกวาน้ันผูถูกสัมภาษณบอยครั้งจะเลือกตอบเพียง ใช/ไมใช ซึ่งเรียกวิธีนี้วา Dichotomous choice (DC) อยางไรก็ตามจากการศึกษาพบวาวธิ ีการนีจ้ ะนําไปสคู า WTP ท่สี ูงกวา มลู คา จริง ๆ ในตลาดการอธิบายที่เปนไปไดอยางหน่ึงของการประมาณคาสูงเกินจริงของคา WTP โดยวิธีการ DC คือการเกิดการตอบเพียงใช เชน ผูถูกสัมภาษณจะแสดงออกถงึ การสนับสนุนโครงการตา ง ๆ โดยไมค ํานึงถึงราคา สวนวิธีการ Dissonance-Minimizing(DM) จะหลีกเลี่ยงการตอบเพยี งใช โดยจะยอมใหผ ถู กู สัมภาษณสนับสนนุ โครงการโดยไมคาํ นงึ ถึงราคา ในการศกึ ษาวจิ ัยครงั้ น้ีจะใชว ธิ ีการออกแบบสอบถามตามรูปแบบ เทคนิคการกําหนดราคา (CV) ที่ตอ เนื่อง โดยวิธีการตั้งคําถามแบบปลายเปดในการประเมินคาความเต็มใจที่จะจายในดานการคุมครองพื้นท่ี ปรับปรุงและพัฒนาแหลงทองเท่ียว รวมทั้งศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรทู างธรรมชาตใิ นอทุ ยานแหงชาตขิ องนกั ทอ งเที่ยวชาวไทยที่เขาไปใชประโยชนหรือเที่ยวชมธรรมชาติในอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตามสถานที่หรือแหลงทองเที่ยวทาง ศนู ยศ ึกษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จังหวดั เชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-16เพ่ือการจัดการอุทยานแหง ชาตดิ อยอินทนนท จังหวดั เชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ งธรรมชาติท่ีสําคัญๆ จํานวน 7 แหง ไดแก 1) นํ้าตกแมยะ 2) นํ้าตกแมกลาง 3) น้ําตกวชิรธาร4) ที่ทําการอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท และลานกางเต็นทดงสน 5) เสนทางเดินปานํ้าตกผาดอกเสี้ยว 6)เสนทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแมปาน และ 7) ยอดดอยอินทนนท เพื่อใชเปนแนวทางหนึง่ ในการจดั การอุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนทต อ ไปในอนาคต 2) เทคนิคการกําหนดราคา (CV) ที่สาํ คัญมี 3 วธิ ีคือ 2.1) Bidding game เปนเทคนิคที่ไดรับความนิยมนํามาใชในงานวิจัยอยางแพรหลายเปนวิธีการท่ีอาศัยเทคนิคการตอรอง เชนเดียวกับการตอรองราคาสินคาท่ัว ๆ ไปในตลาดกลาวคอื ในการตั้งคาํ ถามจะตองมีการตัง้ ราคาสินคา โดยราคาท่ีกําหนดขึ้นนี้ผูใหสัมภาษณสามารถที่จะตอ รองราคาไดจ นกระท่ังไดร าคาทีผ่ ูใหสมั ภาษณยนิ ดที จี่ ะจา ยให เทคนคิ นส้ี ามารถแบงไดเปน 2 ประเภทคือ การใชการตอรองคร้ังเดียว (Single bid game) และการใชการตอรองหลาย ๆ คร้ัง (Iterative bidgame) 2.1.1) การใชการตอรองคร้ังเดียว (Single bid game) ทําไดโดยทําการทดสอบเบือ้ งตน (Pretest) การกําหนดจํานวนเงนิ เรมิ่ ตน ก็เพ่อื เปนแนวทางใหผถู ูกสัมภาษณพ ิจารณาและตัดสินใจวาจํานวนเงินดังกลาวผูใหสัมภาษณยินดีที่จะจายหรือยินดีท่ีจะไดรับการชดเชยหรือไมจากเหตุการณท ีผ่ สู มั ภาษณสมมตขิ ึ้น 2.1.2) การใชการตอรองหลาย ๆ คร้ัง (Iterative bid game) วธิ ีนเ้ี ปน การตอรองหลายคร้ังจนไดคําตอบโดยจะอาศัยหลักการเบ้ืองเชนเดียวกับวิธี การใชการตอรองคร้ังเดียว(Single bid game) กลาวคือ ผูส ัมภาษณจะตอ งกาํ หนดจาํ นวนเงนิ เรมิ่ ตนจํานวนหนึ่งซ่ึงอาจมีคาสูงหรือตา่ํ กไ็ ด และใชคาํ ถามในทํานองเดยี วกันกับวิธีการตอรองคร้ังเดียวแตจะตางกันตรงท่ีวาในกรณีท่ีจํานวนเงินเริ่มตน มคี าสูง ถา ผใู หสัมภาษณตอบคาํ ถามวา ไมย ินดีจายในจํานวนเริ่มตนน้ี ใหผูส มั ภาษณถ ามคาํ ถามเดิมตอ ไปโดยคอยๆ ลดจาํ นวนลงเรื่อย ๆ จนกระท่ังถงึ จํานวนเงินหน่ึงที่ผูใหสัมภาษณตอบวา “ยินดีท่ีจะจายเงินจํานวนน”้ี ใหผูส ัมภาษณจดบันทกึ คาํ ตอบนไ้ี ว สาํ หรบั กรณที ่ีผูใหสัมภาษณใชเงินจํานวนเร่ิมตนมีคาต่ํา ถาผูใหสัมภาษณตอบวา “ยินดีจายเงินจํานวนน้ี”ใหผูสัมภาษณถามคําถามเดิมตอไป โดยคอย ๆเพิ่มจํานวนเงินสูงข้ึนเรื่อย ๆ จนกระทั่งผูใหสัมภาษณตอบวา “ไมยินดีท่ีจายเงินจํานวนดังกลาว”ผสู มั ภาษณทําการจะบนั ทกึ ขอมลู ครง้ั สุดทา ยทผี่ ใู หส ัมภาษณตอบ “ยินดที จ่ี ะจาย” เอาไว 2.2) Payment Card เปน เทคนิคทพ่ี ัฒนาโดย Mitchell และ Carson วิธีน้ีจะใหผูตอบแบบสอบถามกาํ หนดราคากันเอง ซ่ึงเหมาะสมกบั เงินหรอื รายไดท ตี่ นเองมีอยู โดยกําหนดใหเงินท่ีมีอยูและเต็มใจท่ีจะจายในครั้งน้ีมีคาเทากับ 0 และตีมูลคาสถานที่ทองเที่ยวเพ่ิมข้ึนจนเหมาะสมกับบริการที่ไดรับ ใหใชวิธี Payment card แสดงการประมาณรายไดในคาใชจายของนักทองเที่ยวในการเลือกบริการสาธารณะในแตละป อีกทั้งยังเปนการอธิบายถึงพฤติกรรมและทัศนคติในการใชจายจะพจิ ารณาขอ มลู ท่ีไดม าของสถานทีท่ องเท่ียววา ดีเหมาะสมกับรายไดท่ีไดมาและเสียเงินไป จะคิดหนาศนู ยศ กึ ษาและวจิ ัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คา สง่ิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-17เพือ่ การจัดการอทุ ยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กย่ี วขอ งคดิ หลังเปรยี บเทยี บความไดเ ปรียบหรอื เสยี เปรยี บกับการจายเงินใหแกการบรกิ ารสาธารณะจากขอมูลที่ไดรบั ทราบมา เมอ่ื ผูสมั ภาษณแสดงขอมลู ใหเ ห็น 2.3) Dichotomous choice เทคนคิ นใ้ี ชค ร้งั แรกโดย Bishop และ Heberleinเปนการวิเคราะหการประมาณคาของเครื่องอํานวยความสะดวกของสิ่งแวดลอม การวิเคราะหวิธีDichotomous choice เปนการประเมินมูลคา และการแสดงทัศนคติในการตอบสนองสินคาและบริการการตอบสนองนจี้ ะถามถงึ การยอมรับและการปฏเิ สธถึงมลู คาของสิง่ แวดลอ มในการเต็มใจที่จะจายเงินใหเพือ่ แลกกับการไดรับบริการ โดยจะไมนําเงินเขามาเกี่ยวของดวย ซ่ึงเปนการตอบสนองคําถามทางดานyes หรือ no ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้จะใชเทคนิคการกําหนดราคา (CV) โดยวิธี Bidding gameการตอ รองครงั้ เดยี ว (Single bid game) ในการประเมนิ คาความเต็มใจท่ีจะจายในดานการคุมครองพนื้ ที่ ปรับปรงุ และพัฒนาแหลง ทอ งเท่ยี ว รวมท้ังศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติในอุทยานแหงชาติ ของนักทองเท่ียวชาวไทยที่เขาไปใชประโยชนหรือเท่ียวชมธรรมชาติในอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม 2.2.4 จดุ ออนในการใชว ิธกี ารประเมินมูลคา สงิ่ แวดลอ มตามแบบ CVM จุดออนสาํ คัญซงึ่ มกั จะเปน จดุ ออ นของวิธีการ CVM สวนมากจะมากจากวิธีการหาขอมูลซึ่งเปนปญหาต้ังแตการต้ังคําถามและการสัมภาษณเพ่ือการเก็บขอมูล Freeman (1994 อางถึงในสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2543) สรุปความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นใน CVM แบงออกเปน3 ประเภทคอื 1) Scenario misspecification เปนความผิดพลาดหลายสาเหตุ เชน ความผิดพลาดทางทฤษฎี (Theoretical misspecification) เปน ความผิดพลาดจากการอธบิ ายทีผ่ ิดพลาดไป จากความเปนจริงหรือทฤษฎีเศรษฐศาสตรความผดิ พลาดจากวิธีการ (Methodological misspecification) ความผดิ พลาดท่เี กดิ จากผวู ิจัยไมส ามารถทําใหผ ถู ูกสมั ภาษณเ ขาใจไดอยา งถกู ตองตามท่นี กั วจิ ัยตองการได 2) Implied value cues เกิดจากการท่ีผูใหสัมภาษณไมคุนเคยคําถามหรือปญหาที่ถกู ถามไมชัดเจน จึงพยายามหาสัญญาณท่ีจะชวยใหเขาสามารถเลือกมูลคาไดลูกตอง เชน ในกรณีของbidding game ท่ีเกดิ ปญหาความเบีย่ งเบนอนั เนื่องมาจากจุดเริ่มตน (Starting point bias) เพราะตองตอบจดุ เร่มิ ตนของความเตม็ ใจทจ่ี ะจายทีถ่ กู ถามครั้งแรก เปนตน 3) Incentive to misrepresent value เกิดจากเร่ืองราวท่ีกําหนดขึ้นมาเพ่ือหามูลคาความเต็มใจท่ีจะจายไมกอใหเกิดแรงจูงใจที่จะตอบความเปนจริง เชน ลักษณะของการเกิดStrategic bias ท่ีเกิดจากผูถ กู สมั ภาษณเ กรงวา ผลของคาํ ตอบตนเองจะเกิดผลกระทบทางลบตอ ตนเองศนู ยศ กึ ษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จังหวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาสิง่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-18เพื่อการจัดการอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วของ ดงั นนั้ การใชวธิ ีการ CVM ประเมินมลู คาส่ิงแวดลอ มจําเปนตองระมัดระวังเรื่องของการเก็บขอมูลเปนอยางยิ่ง นับต้ังแตตองมีความชัดเจนวา ตองการขอมูลคาสิ่งแวดลอมใด ลักษณะการใชภาษาและลักษณะการต้ังคําถาม และตองตระหนักถึงความเบี่ยงเบนท่ีอาจจะเกิดข้ึนตลอดเวลาในกระบวนการเกบ็ ขอมลู การสาํ รวจทศั นคติของประชาชนโดยท่ัวไปแลว ตองระมัดระวังปญหาการตอบเพื่อแสดงคนเปนคนทีร่ ักสิ่งแวดลอม (Warm glow) การใหขอมลู ที่เหมาะสมถกู ตอ งชดั เจนทําใหผูตอบเขาใจไดงาย การต้ังสถานการณที่สมมติใหประเมินคาที่ดีควรจะมีความสามารถในการแยกแยะใหเห็นความแตกตางหรือระดับคณุ ภาพของสงิ่ แวดลอ มใหช ดั เจน (Embedding issue) 2.3 แนวคดิ เกีย่ วกบั การจัดการอทุ ยานแหงชาติ 2.3.1 ความหมาย อุทยานแหงชาติ ความหมายตามพระราชบัญญัติอุทยานแหงชาติ พ.ศ.2504 หมายถึง“ทีด่ ินซ่ึงรวมความทงั้ พ้ืนทดี่ ินทวั่ ไป ภเู ขา หวย หนอง คลอง บงึ บาง ลํานํา้ ทะเลสาบ เกาะ และ ท่ีชายฝงท่ไี ดร ับการกําหนดใหเปนอุทยานแหงชาติ ลักษณะที่ดินดังกลาว เปนที่มีสภาพธรรมชาติเปนท่ีนาสนใจและมไิ ดอยใู นกรรมสิทธห์ิ รือครอบครองโดยชอบดว ยกฎหมายของบคุ คลใดซึ่งมิใชทบวงการเมือง ทั้งน้ีการกําหนดดังกลาวก็เพ่ือใหอยูในสภาพธรรมชาติ เพ่ือสงวนไวใหเปนแหลงศึกษา และความรื่นรมยของประชาชนสืบไป” 2.3.2 วตั ถุประสงคการจัดตง้ั อุทยานแหง ชาติ อุทยานแหงชาติ เปนพ้ืนท่ีคุมครองที่ไดจัดต้ังข้ึนตามพระราชบัญญัติอุทยานแหงชาติ พ.ศ. 2504 โดยมีวตั ถปุ ระสงคห ลกั 3 ประการ คอื 1) เพ่ืออนุรักษท รพั ยากรธรรมชาติของประเทศใหคงอยูตลอดไป โดยเฉพาะอยางยิ่งท่ีปา ตนน้ําลําธาร พ้ืนท่ีท่ีมีสภาพปาสวยงาม ตลอดจนปรากฏการณธรรมชาติที่เปนเอกลักษณเดนและนา อัศจรรย 2) เพื่อเปนแหลงคนควาศกึ ษาทางวชิ าการในเรือ่ งของธรรมชาตวิ ิทยา และระบบนิเวศ 3) เพอื่ เปนแหลง พกั ผอนหยอ นใจของประชาชน ท้ังในปจ จบุ ันและอนาคตอยางตอเนื่อง และถาวร ตลอดจนสง เสริมใหประชาชนเขา ถงึ ความสําคัญและคณุ คา ของทรัพยากรธรรมชาติ 2.3.3 การจดั การอุทยานแหงชาติ อุทยานแหงชาติ เปนพื้นท่ีคุมครองประเภทหนึ่งของแนวทางการคุมครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทย โดยมีเปาหมายหลักในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติความหลากหลายทางชีวภาพ เปาหมายในลําดับถัดไปเปนการศึกษาวิจัย และการพักผอนหยอนใจของประชาชน จากเปา หมายดังกลาวทาํ ใหเ หน็ วา การจัดการอุทยานแหงชาติจะตองกอใหเกิดความสมดุลในการอนุรักษและการใชประโยชนท่ีควบคูกันไป เม่ือพิจารณาแลวจะเห็นวาทั้งสองเร่ืองเปนสิ่งท่ีอยู ศูนยศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหงชาติ จงั หวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคาสงิ่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-19เพอ่ื การจัดการอทุ ยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วของตรงกนั ขาม จึงทําใหก ารจัดการพ้นื ทีอ่ ทุ ยานแหงชาติจะตองมีความระมัดระวังอยางมาก เพื่อใหสามารถบรรลเุ ปา หมายทง้ั สองดงั กลา ว ประกอบกับการจดั การพ้นื ทีอ่ ทุ ยานแหงชาติจะตอ งใชความรูท่หี ลากหลายสาขา อาทเิ ชน การจัดการทรัพยากรปาไม สตั วป า พืช และสตั วช ั้นตํา่ การวางผัง การปรับสภาพภูมิทัศนการตลาด สังคม เศรษฐกิจ การวางแผน การจัดการการทองเที่ยวและนันทนาการ เปนตน จึงเห็นไดวาผูจัดการพื้นท่ีอุทยานแหงชาติ จะตองมีการศึกษาและหาความรูในสาขาที่เก่ียวของที่จะชวยเสริมสรางความรใู นการบริหารจดั การอุทยานแหงชาติใหม ากท่สี ดุ ประกอบกับปจจุบันการจัดการอุทยานแหงชาติมีความผันแปรไปตามสภาวะทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทําใหเกิดรูปแบบการบริหารจัดการที่แตกตา งกนั ในแตละยุคสมยั อกี ท้งั การขยายตัวทางดานอตุ สาหกรรมการทองเท่ียวของประเทศ สงผลตอความแออัดของนกั ทองเท่ยี ว กอ ใหเ กิดความเสื่อมโทรม จนกอใหเกิดผลกระทบตอการใชทรัพยากรการทอ งเท่ียวในอทุ ยานแหง ชาติ จงึ จาํ เปน ทจ่ี ะตองหาแนวทางในการกําหนดกรอบการบริหารจัดการท่ีเปนบรรทดั ฐานไว โดยมวี ัตถุประสงค ดังน้ี 1) เพื่อเปนกรอบแนวทางเบ้ืองตนในการจัดการอุทยานแหงชาติใหไดมาตรฐานในระดบั หนึง่ 2) เพื่อเปนคูมือใหแกหัวหนาอุทยานแหงชาติในการจัดการอุทยานแหงชาติใหบรรลุเปา หมายของการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การเปนสถานท่ีพกั ผอ นหยอ นใจ และการศึกษาวิจัย เพื่อหาความรูแกอนุชนรุนตอไป ซ่ึงการจัดการพ้ืนที่อุทยานแหงชาติ แบงตามเน้ือหาหลักออกไดเ ปน 4 กลุม ไดแ ก 2.1) การจัดการดานการอนุรกั ษทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอม การจัดการดานอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม เปนวัตถุประสงคอันดบั แรกและสาํ คญั ท่ีสุดในการจดั การอทุ ยานแหงชาติ ซ่ึงการจัดการอุทยานแหงชาติจําเปนตองมีการดําเนนิ การทั้งในดานทเ่ี ปนเชิงรกุ และเชิงรับ ข้ึนอยูกับสถานการณของ แตละพื้นท่ี แตละโอกาส เพ่ือใหสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอมไวได ในขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปเขาใจถึงวัตถปุ ระสงคใ นการจัดตั้งอทุ ยานแหงชาติและการอนรุ กั ษท รัพยากรธรรมชาติ และเพ่อื ใหผปู ฏบิ ัตงิ านดา นการอนุรักษไดเขาใจแนวทางในการบริหารจัดการพื้นท่ีที่ชัดเจน และสามารถนําไปปฏิบัติใหบรรลุเปาหมายได จึงแยกกิจกรรมทอ่ี ุทยานแหงชาตจิ ะนาํ ไปปฏิบัตดิ งั น้ี - การปองกัน - การปราบปราม - การจดั การและฟนฟูทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ ม - มวลชนสัมพนั ธ - การบรหิ ารงานศูนยศกึ ษาและวจิ ัยอุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา สง่ิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-20เพ่อื การจดั การอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จังหวดั เชยี งใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวของ 2.2) การจดั การดา นการทองเทยี่ วและนันทนาการ การใหบริการการทองเที่ยวและนันทนาการแกประชาชนของอุทยานแหงชาติเปนจุดประสงคห ลักอันหน่งึ ท่ตี องการใหป ระชาชนไดใ ชป ระโยชนพ ้ืนท่ีอุทยานแหงชาติ เพือ่ การทอ งเท่ียวและพักผอนหยอนใจ ตลอดจนไดรับความรูดานธรรมชาติและการอนุรักษ การพัฒนาการทองเที่ยวจึงค วร จะ กร ะทํ าเ พื่อ พัฒ นา พื้น ที่ที่ รอ งรั บก าร ใช ประ โย ชน ดา นนั นท นา กา ร แ ละ กา รท อง เท่ี ยว ขอ งนกั ทอ งเทยี่ วทว่ั ไปใหเ หมาะสมและสอดคลอ งกับลกั ษณะทางธรรมชาติที่มีอยู รวมถึงขีดความสามารถในการรองรบั ของพ้ืนท่ี ตลอดจนความตองการของกลุมผใู ชป ระโยชนพ นื้ ที่อทุ ยานแหงชาติ อุทยานแหงชาติ ซ่ึงเปนหนวยงานท่ีรับผิดชอบในการบริหารจัดการพื้นท่ีแหลงทองเท่ียวในแตละแหงนั้น จะมีบทบาทสําคัญเกี่ยวกับการจัดการความสมดุลใหเกิดขึ้นระหวาง 3 องคประกอบหลัก ไดแก 1) การดูแลและจัดการแหลงทองเที่ยว/ทรัพยากรการทองเท่ียวไมเกิดการเสื่อมโทรม 2) การสงเสริมและใหความรูเก่ียวกับธรรมชาติ และ 3) การบริการการอํานวย ความสะดวกและปลอดภัยใหแกน กั ทองเที่ยวท่ีเขา มาดําเนนิ กจิ กรรมการทอ งเที่ยวตางๆในพื้นท่ีอทุ ยานแหง ชาติ จงึ ไดกาํ หนดแนวทางการบรหิ ารจัดการดานการทอ งเที่ยวและนันทนาการไว ดังนี้ - วางแผนพัฒนาขีดความสามารถในการรองรับของพ้ืนที่และควบคุมปริมาณการใชประโยชนพ้นื ที่ - การบริการการทองเท่ยี ว - การจัดการดานการสื่อความหมาย - การจดั การดานการนนั ทนาการและกจิ กรรมการทองเท่ยี ว 2.3) การจัดการดานการศกึ ษาและวจิ ยั การศึกษาและวิจัย เปนการหาขอมูลเพื่อนํามาบริหารจัดการพื้นท่ีอทุ ยานแหง ชาติ ตลอดจนการแกไ ขปญหาท่เี กดิ ข้ึน เพ่ือใหบรรลเุ ปาหมายของวัตถุประสงคของการจดั ต้ังอุทยานแหงชาติงานดานการศึกษาและวิจัย จึงมีความสําคัญมากที่จะนํามาซึ่งขอมูลในการจัดการอุทยานแหงชาติไปใชเปนแนวทางที่สามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และแกไขปญหาของอุทยานแหงชาติไดตรงตามประเด็น ดังนั้นอุทยานแหงชาติทุกแหงควรใหความสนใจในการดําเนินการซึ่งในแนวทางการบริหารจัดการในเรื่องน้ีกําหนดแนวทางการดําเนินการดานการศึกษาและวิจัยไว3 ขนั้ ตอนดงั น้ี - การกาํ หนดกรอบและแผนการวิจยั - การดาํ เนนิ การศกึ ษาวจิ ัย - การนําผลการวิจัยไปสกู ารบรหิ ารจัดการอทุ ยานแหงชาติศูนยศ ึกษาและวจิ ัยอุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คา สิง่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-21เพื่อการจัดการอทุ ยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชยี งใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ ง 2.4) การจัดการดานการมีสว นรว มของประชาชน จากหลกั การ 3 ประการ คือ (1) หลกั การมีสวนรวมของประชาชนที่บัญญัติไวโดยรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซ่ึงใหประชาชนมีสิทธิในการมีสวนรวมในการจัดการการบํารุงรักษา และการใชประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดลอม รวมท้ังความหลากหลายทางชวี ภาพอยางสมดลุ และย่ังยืน ผา นกระบวนการและรูปแบบตางๆ (2) หลักเกณฑและวธิ ีการบริหารกจิ การบานเมืองที่ดีท่ีใชรากฐานจากการมีสวนรวมของสาธารณชน เพ่ือใหเกิดผลประโยชนสุขของประชาชนเกิดผลสัมฤทธิ์ตอภารกิจของรัฐ ประชาชนไดรับการอํานวยความสะดวกและไดรับการตอบสนองความตอ งการ และ (3) หลักการวิธีคดิ ทม่ี องพ้นื ที่อนุรักษเ ปน สว นหน่ึงของทอ งถ่นิ ท้ังเชิงพนื้ ทอ่ี าณาบริเวณและเชิงสังคม หลักการทั้ง 3 ประการน้ี จะเปนแนวทางในการประยุกต เพ่ือใหเกิดแนวคิดการบริหารจัดการอยางเปนองครวมเพื่อเปนรากฐานในการเช่ือมโยงการแกปญหาอยางบูรณาการ ผานการสรางความเขา ใจ ความสมั พันธท่ีดี และความเขม แข็งของชุมชน ซึ่งหากมีการประสานความรวมมือและมีการจัดการรวมกัน จะเกดิ เปน ตน ทนุ ทางสังคม ซ่ึงเปนตน ทุนทส่ี ําคัญท่ีสุดในการกอใหเกิดพลังรวมกันในการแกป ญ หาในพน้ื ท่ี ดวยเหตุนจี้ งึ ทําใหเกิดมีแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการดานการมีสวนรวมของประชาชนในการจัดการอุทยานแหงชาติข้ึน โดยกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดใหความสําคัญกับเรื่องดังกลาว โดยไดจัดทําคูมือการมีสวนรวมในการบริหารจัดการอุทยานแหงชาติ และเขตรักษาพันธสุ ตั วป า ขนึ้ เมือ่ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2547 และไดสัง่ การใหห นว ยงานในสังกัดนําไปใชใ นการประกอบการปฏิบตั งิ านในพ้นื ที่ปาอนรุ ักษท่ีอยูในความดูแลรับผิดชอบ ตลอดจนไดมีการจัดทําโครงการนํารองการพัฒนาการมีสวนรวมเพื่อการจัดการอุทยานแหงชาติอยางยั่งยืนข้ึน เพ่ือเปนการทดลองดําเนินการใหประชาชนเขา มามบี ทบาทในการจัดการอุทยานแหง ชาติ และไดร ับการสนับสนุนจากองคกรDanish International Development Assistance (DANIDA) ประเทศเดนมารก ในการจัดทําโครงการจัดการพื้นที่คมุ ครองอยา งมสี วนรว ม โดยโครงการดังกลา วจะสนับสนุนกจิ กรรมที่สาํ คญั ทเี่ ก่ียวขอ งกบั การจดั การพนื้ ทคี่ มุ ครองท่ใี ชแ นวคิดเชิงระบบนิเวศ และแนวคิดการจัดการอยางมีสวนรวม และจากผลการดําเนินโครงการนํารอ งการพฒั นาการมีสว นรวมฯ และโครงการจัดการพืน้ ที่คุม ครองฯ ขางตน จึงอาจเปนตัวอยางในบางประเด็นท่ีอุทยานแหงชาติอื่นๆ จะไดพิจารณาหารือกับอุทยานแหงชาติดังกลาวเพ่ือประกอบการดาํ เนนิ การในเรอ่ื งนี้ได อยา งไรกต็ ามไดมีการสรุปประเดน็ หลกั ในบางเรอื่ ง เพื่อเปนแนวทางใหอทุ ยานแหงชาติไดพจิ ารณาวางแผนการดาํ เนินการของตนเองใหร อบคอบ เพ่ือความเปนไปไดในการใหประชาชนหรือชุมชนเขามามีสวนรวมในการบริหารจัดการพ้ืนที่อุทยานแหงชาติภายใตกฎหมายและสถานการณในปจจุบัน โดยปญหาอุปสรรคท่ีพบวามีผลตอการมีสวนรวมมาก พอสรุปไดเปนประเด็นหลกั 3 ประเดน็ คอืศูนยศกึ ษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาสงิ่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-22เพือ่ การจดั การอุทยานแหง ชาติดอยอินทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วของ 1. การขาดความรู ความเขาใจเก่ยี วกับกฎหมายที่เก่ยี วของ ซึ่งนับเปนปญหาหรืออุปสรรคหน่งึ ในการทีป่ ระชาชนหรอื ชมุ ชนเขา มามีสว นรว มในการบรหิ ารจัดการพนื้ ที่อุทยานแหงชาติถาไมส ามารถทําความเขา ใจท่ถี ูกตอ งได การเขามามสี ว นรวมก็ไมสามารถทําไดเ ตม็ ทต่ี ามที่ควรจะเปน 2. ปญหาดานขอมลู ขาวสาร ท้งั จากการขาดโอกาส และขาดประสิทธภิ าพท่ีดีในการส่ือสารของพ้ืนที่อุทยานแหงชาติไปสูทองถ่ิน และจากทองถิ่นมาสูพ้ืนที่อุทยานแหงชาติอันนับวาเปนอุปสรรคสําคัญย่ิงของการมีสวนรวมของประชาชนหรือชุมชนในการบริหารจัดการพ้ืนท่ีอทุ ยานแหงชาติ 3. ปญหาดานเศรษฐกิจและสังคม ท้งั น้ีหากประชาชนในทองที่มีฐานะยากจนการเขามามีสวนรวมกับภาครัฐหรือภาคราชการคงกระทําไดยาก โดยเฉพาะบริเวณท่ีอยูใกลเคียงพ้ืนท่ีอุทยานแหง ชาติ ซ่ึงแตเ ดมิ เคยเปนแหลงทํามาหากินหลกั ของเขา ดงั นัน้ หากประชาชนยังคงมีความยากจนอยู ความกดดนั ท่ีจะเขา มาหาประโยชนใ นพืน้ ที่ปา อนรุ กั ษด งั กลา วยอมจะเกดิ ขน้ึ ตอ ไปเร่ือยๆ ในการศกึ ษาวิจยั ครงั้ นี้จะประเมินคาความเต็มใจท่ีจะจายในดานการคุมครองพื้นท่ี ปรับปรุงและพัฒนาแหลงทองเท่ียว รวมท้ังศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติในอุ ท ย า นแ ห ง ช า ติ ข อ ง นั ก ท อ ง เ ที่ ย ว ช า ว ไ ท ย ที่ เ ข า ไ ป ใ ช ป ร ะ โ ย ช น ห รื อ เ ท่ี ย ว ช ม ธ ร ร ม ช า ติ ใ นอุทยานแหงชาติ ดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตามสถานที่หรือแหลงทองเท่ียวทางธรรมชาติที่สําคัญๆ จํานวน 7 แหง ไดแก 1) นํ้าตกแมยะ 2) นํ้าตกแมกลาง 3) น้ําตกวชิรธาร 4) ท่ีทําการอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท และลานกางเตนทดงสน 5) เสนทางเดินปาน้ําตกผาดอกเสี้ยว6) เสน ทางศึกษาธรรมชาติกิว่ แมป าน และ 7) ยอดดอยอนิ ทนนท และจากเจาหนาท่ีอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวดั เชียงใหม เพ่อื ใชเปนแนวทางหน่ึงในการจัดการอุทยานแหงชาติดอยอินทนนทเชยี งใหม ตอไปในอนาคต2.4 เอกสารและงานวิจัยท่เี กีย่ วของ งานศึกษามูลคา สงิ่ แวดลอมท่ผี านมาในประเทศไทยในกรณที ่ีใชเทคนิค CVM โดยสวนใหญจะแบงการศึกษาออกเปนสองสวน คือ การหาคาความเต็มใจท่ีจะจายในเชิงทัศนคติ โดยไมไดอยูบนพ้ืนฐานทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร และหาคาความเต็มใจที่จะจายตาม Difference utility model ซ่ึงในสวนที่สองนี้ยังมีการใชไมแพรหลายเทาที่ควร เน่ืองจากมีวิธีการและขั้นตอนการคํานวณท่ีซับซอนกวาแบบสอบถามท่ใี ชม กี ารใชแ บบสอบถามทีห่ ลากหลายแตวิธีท่ีนิยมใชคือ Iterative bid game (การเสนอราคาหลายคร้งั )ศนู ยศ กึ ษาและวจิ ัยอุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-23เพ่ือการจัดการอทุ ยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จังหวัดเชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ ง 2.4.1 ตัวอยา งการประเมินมูลคา สิง่ แวดลอมโดยใช CVM ในประเทศ นันทนา ลิ้มประยูร (2537) ประเมินมูลคาของเกาะเสม็ด ซ่ึงเปนสวนหนึ่งของอุทยานแหง ชาติเขาแหลมหญา -หมูเกาะเสม็ด โดยทําการประเมินมูลคาของอุทยานแหงชาติ 3 สวน คือมูลคาจากการใชป ระโยชนด านการทองเท่ยี วในปจ จุบัน (use value) มูลคาของการสงวนเกาะเสม็ดไวใชประโยชนด านการทองเทีย่ วในอนาคต (option value) และมูลคาความคงอยูตอไป (existence value)ดวยวิธีการศึกษา 2 วิธี คือ วิธีตนทุนการเดินทาง (Travel Cost Method: TCM) และวิธีการประเมินมูลคาจากการสํารวจที่เรียกวา Contingent Valuation Method (CVM) กับกลุมตัวอยางนักทองเที่ยวจาํ นวน 300 ตัวอยาง แบง เปน นกั ทอ งเทย่ี วบนเกาะเสม็ด 150 ตัวอยา ง และนักทองเทยี่ วทไ่ี มเคยเดินทางไปเท่ียวเกาะเสม็ดมากอ น 150 ตัวอยา ง ผลการประเมินมลู คา ของอทุ ยานแหง ชาติเขาแหลมหญา-หมูเ กาะเสมด็ พบวาเฉพาะมูลคา การใชป ระโยชนดานการทองเที่ยวในปจจุบันของอุทยานแหงชาติ จากวิธี TCMมีมูลคาประมาณ 27.15 ลา นบาท/ป และวธิ ี CVM ไดมูลคาประมาณ 23.06 ลานบาท/ป สวนมูลคาการสงวนเกาะเสม็ดไวใชประโยชนดานการทองเท่ียวในอนาคตมีมูลคาประมาณ 108.53 ลานบาท/ป และมลู คาความคงอยตู อ ไปของอุทยานแหงชาติ มีมูลคาประมาณ 3,604.86 ลานบาท/ป ทําใหไดมูลคาทางเศรษฐศาสตรรวมของอุทยานแหงชาติเกาะเสม็ดประมาณ 37,388.88 ลานบาท/ป สวนจํานวนเงินคา ธรรมเนียมท่นี ักทองเที่ยวชาวไทยยินดจี า ยเพ่อื ใชประโยชนจากเกาะเสม็ดในปจจุบันน้ันมีคาประมาณ53.93 บาท/ครั้ง และนกั ทองเที่ยวชาวตางประเทศ ประมาณ 178.86 บาท/คร้งั สถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาประเทศไทย (2539) ประเมินมูลคาของอุทยานแหงชาติเขาใหญ (พื้นที่ 1,355,397ไร) โดยใชวิธี Individual Travel Cost ในการประเมินมูลคา Use Valueและใช CVM ในการประเมินคา Non-Use Value ผลจากการศึกษาพบวา Use Value เทากับ1,420 บาท/คร้ัง สวนเกินของผูบริโภค (consumer surplus) เทากับ 870 บาท Non-Use Value ในสวนของประชาชนท่ัวไป (non-visitor) เทากับ 183 บาท/คน/ป สวนความยินดีท่ีจะจายคาผานประตูสําหรับนักทองเท่ียวไทยเทากับ 22 บาท/คน/คร้ัง และสําหรับนักทองเท่ียวตางชาติอยูระหวาง50-120 บาท/คน/ครั้ง มูลคาทางเศรษฐศาสตรรวมของอุทยานแหงชาติเขาใหญ (Total EconomicValue) เทา กบั 3,080 ลานบาท/ป สมบัติ แซเฮ (2539) ศึกษาอุปสงคตอการทองเท่ียวชมธรรมชาติและส่ิงแวดลอมกรณีศึกษาอุทยานแหงชาติเขาใหญ โดยวิธีการประเมินคุณคาจากความเปนไปได (ContingentValuation Method: CVM) เก็บรวบรวมขอมูลจากการสํารวจขอมูลปฐมภูมิดวยแบบสอบถามจํานวน625 ตัวอยาง ทําการสุมตัวอยางดวยวิธีการสุมตัวอยางอยางงาย (Simple Sampling) ทําการวิเคราะหโดยใชแ บบจําลองโลจิท (Logit Model) ประมาณคาพารามิเตอรดวยวิธีการภาวะความนาจะเปนสูงสุด(Maximum Likelihood Estimation: MLE) ผลการประมาณการจํานวนนักทองเท่ียวท่ีมีความตองการบริการ ระดับราคาคา บริการท่นี กั ทอ งเทีย่ วยนิ ดีจา ย และระดับรายไดจ ากการจดั บรกิ าร พบวาบริการหา งดูสตั ว บริการสะพานแขวนสาํ หรบั คนดนู ก บริการยานพาหนะนาํ เทยี่ วอุทยานแหง ชาติ บริการอปุ กรณพ กั ศูนยศ ึกษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา สงิ่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-24เพือ่ การจัดการอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วขอ งคา งแรม และบริการเจาหนาท่ีนําทางเดินปา แตละบริการจะมีนักทองเที่ยวที่มีความตองการใชบริการประมาณรอยละ 31.1; 20.6; 14.8; 38.1; และ 36.3 ของจํานวนนักทองเที่ยวทั้งหมด ตามลําดับระดับราคาคาบริการแตละชนิดท่ีนักทองเที่ยวยินดีจายอยูท่ีระดับ 20; 20; 10; 80; และ 50 บาทตามลําดับ และรายไดจากการจัดบริการแตละชนิดประมาณ 6.22; 4.12; 1.48; 30.48 และ 18.15ลา นบาท/ป ตามลําดบั ผการัตน เพ็งสวัสดิ์ (2542) ประเมินมูลคาทางเศรษฐศาสตรของพื้นที่อุทยานประวัติศาสตรพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปนตัวเงินใน 3 ดาน คือ 1) มูลคาการใชประโยชนปจจบุ นั 2) มลู คา การสงวนไวใชป ระโยชนในอนาคต 3) มลู คาการคงอยตู อไปดว ยวิธีตน ทนุ การเดนิ ทางและวิธีการสํารวจ ปจ จัยท่ีมีผลตอการประเมินมูลคา และระดับความพึงพอใจของนักทองเท่ียวและประชาชนทม่ี ตี ออุทยานประวตั ิศาสตรฯ ผลการศึกษาพบวามูลคาปจจุบันจากวิธีตนทุนการเดินทางประมาณ 390,660,649 บาท/ป และมูลคาโดยรวมทางเศรษฐศาสตรจากวิธีการสํารวจประมาณ7,591,360,603 บาท/ป และจากการศึกษายังพบอีกวาโครงสรางการอนุรักษและพัฒนานครประวัติศาสตร ควรท่ีจะดําเนินโครงการอยางตอเน่ืองและครอบคลุมพื้นท่ีทั้งหมด เมื่อพิจารณาจากผลประโยชนทางตรงคอื รายไดจ ากการทอ งเทยี่ ว และผลประโยชนทางออม เชนรายไดที่ตกแกทองถ่ินการจางงานในจังหวัดเพิม่ ข้นึ คุณคาทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร เปนตน และขอเสนอแนะอื่นๆ คือหนวยงานท่ีรบั ผิดชอบสามารถเพ่มิ อตั ราคาเขาชมอุทยานประวัตศิ าสตรฯ อีกได คือนักทองเท่ียวชาวไทยประมาณ 13 บาท/ครงั้ และนกั ทอ งเทย่ี วชาวตา งชาติ ประมาณ 57 บาท/ครัง้ สุธาวัลย เสถียรไทย (2542) ประเมินมูลคาทางเศรษฐศาสตรของปาอุทยานแหงชาติแมยม โดยใชวิธีการประเมินคุณคาทางเศรษฐศาสตร (Economic Valuation) จากมูลคาการใช(Use Value) ประกอบดว ย 3 สว น คอื 1) การเปนแหลงทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งแบงเปนแหลงผลิตภัณฑของปาสําหรับชุมชน และเปนแหลงพันธุกรรมไมสัก 2) เปนแหลงดูดซับคารบอน และ 3) การเปนแหลงทอ งเท่ยี วเชิงอนุรกั ษ(เชิงนิเวศ) และ มูลคาทไ่ี มมกี ารใช (Non Use Value) ไดแก มูลคาที่ประชาชนตอ งเกบ็ รกั ษาปาผนื น้ี เพือ่ เปน มรดกของประเทศและเพ่อื ลกู หลานสืบไป วธิ กี ารประเมินคุณคาของปาไมแตล ะดานจะใชว ธิ ีการที่แตกตางกนั ไป อยางไรกต็ าม กรณมี ลู คา การใชจะใชวธิ ีการคํานวณตามราคาตลาดสินคา (Market Price) ทม่ี กี ารซ้อื ขายสินคาชนดิ นน้ั สวนกรณีมูลคาท่ีไมมีการใชจะใชวิธีการคํานวณดวยวธิ ีการตลาดท่ีสมมติ (Hypothetical Market) หรือที่เรียกวา Contingent Valuation Method (CVM)ผลการศึกษาพบวา มูลคาทางเศรษฐกิจของปาไมไมใชมีเพียงการไดประโยชนจากการทําไม (Loggingbenefit) เพยี งดา นเดียว แตเ ม่อื พิจารณาประเด็นดา นสิ่งแวดลอมทอี่ าจจะเกดิ การเปลี่ยนแปลงแลว และคาเสียโอกาสทป่ี าไมไดถ ูกทําลายลงไปแลว จะพบวา ปาไมจะมีมูลคา เพ่มิ สูงข้นึ กวาประโยชนท่ีไดจากการทําไมอยา งเดียว เสาวลักษณ รุงตะวันเรืองศรี (2543) ประเมินมูลคาทางเศรษฐศาสตรของปาชุมชนในภาคใต : กรณีศกึ ษาปาชุมชนเขาหวั ชา ง ตาํ บลตะโหมด อาํ เภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง การประเมินมูลคา ศนู ยศึกษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา สิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-25เพอ่ื การจดั การอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จงั หวดั เชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ที่เกีย่ วขอ งเผ่อื จะใชใ นอนาคตประเมิน โดยใชเทคนิคการประเมินมูลคา CVM (Contingent Valuation Method)โดยการสอบถามความเตม็ ใจทจ่ี ะจา ยเพอ่ื รักษาปาชุมชนเขาหัวชางไวใ ชป ระโยชนใ นอนาคต ผลการศึกษาพบวา มูลคาเผื่อจะใชประโยชนในอนาคตสําหรับประชากรในเขต 14 จังหวัดภาคใต เทากับ247,008,300.80 บาท/ป และการประเมินมลู คา การคงอยู ประเมนิ โดยใชเ ทคนคิ การประเมินมลู คา CVMเชนเดียวกัน พบวา มลู คาการคงอยูสําหรับประชากร 14 จงั หวดั ภาคใต เทา กับ 139,286,548.80บาท/ป อิศเรศ บุญเดช (2543) ประเมินมูลคาของการอนุรักษเตาทะเลในรูปของตัวเงิน โดยใชContingent Valuation Method (CVM) และใชแบบสอบถาม 5 ประเภท หามูลคาความยินดีท่ีจะจายของประชาชน โดยใช Ordinary Least Square (OLS) วิเคราะหป จจัยตา งๆ ทีม่ ผี ลตอความยินดีทจี่ ะจายใชต วั อยางทง้ั หมด 300 ตวั อยา ง จาก 3 จังหวัด คือกรุงเทพมหานคร ชลบุรี และสระแกว ผลการศึกษาพบวา มลู คาของการอนรุ กั ษเตา ทะเลเฉลย่ี ตอคนตอ ป เทา กับ 263.13 บาท ขอ มูลเกี่ยวกับการอนรุ ักษเ ตาทะเลในประเทศไทย พบวาตัวอยางรอยละ 17 เคยไปแหลงอนุรักษเตาทะเลในประเทศไทย ซ่ึงมีผลตอความยินดีท่ีจะจายของประชาชนที่ระดับความเช่ือมั่นรอยละ 95 ปจจัยตางๆ ท่ีทําการศึกษาสามารถอธิบายไดถึงความยินดีท่ีจะจายที่ระดับความเช่ือมั่นรอยละ 95 มีผลตอคาความยินดีท่ีจะจายเพียงรอยละ 16 นอกจากนี้ยังมีปจจัยอ่ืนๆ ท่ียังไมไดทําการศึกษา เชน ประสบการณตอการเขารวมกลุมอนรุ ักษ ระดบั การเหน็ ความสําคัญของเตา ทะเล เปน ตน ทมี่ ผี ลตอความยินดีทีจ่ ะจา ยอกี ถึงรอยละ 84 โดยมีมูลคาความยินดีที่จะจายเฉล่ียตอคนตอป เพื่อการอนุรักษเตาทะเลของประชาชนในการศึกษาคร้ังน้ีเทากับ 263.13 บาท เมื่อนํามาคูณกับจํานวนประชากรท่ีอยูในวัยแรงงานของประเทศไทยประมาณ32.5 ลานคน ดังนัน้ มลู คาของการอนรุ กั ษเตา ทะเลในประเทศไทย จึงเทา กบั 8,552 ลานบาท/ป กิตติ โอฬารกจิ เจริญ (2544) ศึกษาความเต็มใจที่จะจายคาธรรมเนียมของนักทองเที่ยวเพื่อการใชป ระโยชนของแหลง ทอ งเทย่ี วธรรมชาติ กรณศี ึกษา : แหลงทอ งเท่ียวในจงั หวดั นครนายก ไดแกน้ําตก นางร อง น้ําตก สาลิ กา และอุ ทยาน วังต ะไคร โด ยศึกษาคา ความ เต็ม ใจท่ีจ ะจา ย(Willingness to Pay : WTP) ดวยวิธี Contingent Valuation Method (CVM) และวิธี ContingentRanking Method (CRM) รวมท้งั ศึกษาถึงความสัมพันธของปจจัยตางๆ ท่ีมีผลตอความเต็มใจท่ีจะจายของนักทอ งเทย่ี ว โดยใชแบบสอบถามเปน เคร่ืองมือเก็บรวบรวมขอมูลสุมตัวอยางนักทองเที่ยว 400 คนแยกเปนนํา้ ตกนางรอง 150 คน น้าํ ตกสาลิกา 138 คน และอุทยานวังตะไคร 112 คน ผลการศึกษาพบวานกั ทองเที่ยวท่นี ้ําตกนางรองเตม็ ใจที่จะจาย 23.4 บาท/คน โดยวิธี CVM และไดมูลคาของน้ําตกนางรองเทากับ 184.3บาท/คน (กรณีตองการเดินปา) และ 751.3 บาท/คน (ไมตองการเดินปา) โดยวิธี CRMสว นนักทอ งเที่ยวท่ีนํ้าตกสาลกิ าเต็มใจท่ีจะจายคาธรรมเนียม 25.1 บาท/คน โดยวิธี CVM และไดมูลคาของนาํ้ ตกสาลกิ าเทา กบั 662.9 บาท/คน โดยวิธี CRM และนักทอ งเทย่ี วทอี่ ทุ ยานวงั ตะไครเต็มใจทจี่ ะจาย26.4 บาท/คน โดยวธิ ี CVM และมลู คาของอุทยานวงั ตะไคร เทากบั 557.6 บาท/คน การประมาณรายไดของนักทองเที่ยวที่เขาไปใชประโยชนของแหลงทองเท่ียวดวยวิธี CRM คาดวารายไดจากนักทองเท่ียวสําหรับนํ้าตกนางรองจะประมาณ 91.8 ลานบาท/ป (นักทองเที่ยวตองการเดินปา) และ ศนู ยศ ึกษาและวจิ ัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคาส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-26เพ่ือการจัดการอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวัดเชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ ง374.2 ลานบาท/ป (ไมตองการเดินปา) น้ําตกสาลิกา จะไดประมาณ 304.5 ลานบาท/ป และอุทยานวงั ตะไครจ ะไดป ระมาณ 210.1 ลา นบาท/ป สว นรายไดท่ีไดจากวิธี CVM ของน้ําตกนางรองจะไดประมาณ 11.7 ลานบาท/ป นํ้าตกสาลิกา ประมาณ 11.5 ลานบาท/ป และอุทยานวังตะไคร ประมาณ9.9 ลา นบาท/ป ประภาพรรณ กําภู (2544) ประเมินมูลคาทางเศรษฐศาสตรของปากราด ประกอบดวยมูลคาการใชประโยชน และมูลคาการมิไดใชประโยชน ซึ่งมูลคาการใชประโยชนทางตรงจากปากราดไดแก 1) มูลคา ปริมาณไม ประกอบดวย มูลคา ไมใ หญ ทําการประเมนิ ดว ยวธิ รี าคาตลาด และมูลคาลูกไมและกลาไม ทําการประเมินดว ยวธิ รี าคาทนุ ทดแทน 2) มูลคาผลผลติ ในรปู ของปา ทําการประเมินดวยวิธีราคาตลาด และ 3) มูลคาการศึกษาวิจัย ทําการประเมินจากคาใชจายทั้งหมดที่เกิดข้ึน มูลคาการใชประโยชนทางออมจากปา กราด ในดา นการดูดซบั กา ซคารบ อนไดออกไซด ทําการประเมนิ จากคาใชจา ยในการปองกัน (Preventive Expenditure) สวนมูลคาเผื่อจะใชประโยชนในอนาคตจากปากราด ทําการประเมินดว ยวิธี Contingent Valuation Method (CVM) โดยใชคําถามแบบเปด สําหรับมูลคาการมิไดใชประโยชนจ ากปา กราด ทาํ การประเมินเฉพาะมลู คา การคงอยู พบวา การใชประโยชนจากปากราดดานปริมาณไม ในป พ.ศ. 2543 กรณีไมใหญ มีมูลคาสุทธิเทากับ 286,698,370.61 บาท กรณีลูกไมและกลาไมมีมูลคา เทากับ 47,109,707.11 บาท การใชประโยชนในดานผลผลิตในรูปของปา มีมูลคาผลประโยชนสุทธิรายปเทากับ 675,045.01 บาท/ป การใชประโยชนดานการศึกษาวิจัยมีมูลคาเทากับ791,813.82 บาท มูลคาการใชประโยชนในดานการดูดซับกาซคารบอนไดออกไซด มีมูลคาเทากับ3,615,945.36 บาทตอป สวนมูลคาเผ่ือจะใชมีมูลคาความเต็มใจที่จะจายเฉล่ียเทากับ 141.77 บาทตอ คน/ป และมูลคาการมิไดใชประโยชน กรณีมูลคาการคงอยูมีมูลคาความเต็มใจที่จะจายเฉล่ียเทากับ128.23 บาทตอ ป จรลั คุมพนั ธ (2547) ประเมินคาอุทยานแหง ชาติภูหินรองเกลา จังหวัดพิษณุโลก โดยใชZonal Travel Cost Method (ZTCM) และ Open-ended CVM ประเมินมูลคานันทนาการของอุทยานแหงชาติภูหินรองกลา จากการศึกษาพบวา มูลคาประโยชนทางนันทนาการของภูหินรองกลามีมูลคา เทา กับ 55,450,717.50 บาท/ป (ราคาป 2546) เม่ือประเมินดวยวิธี ZTCM และมีมูลคาเทากับ2,334,536.82 บาท/ป (ราคาป 2546) เม่อื ประเมินดวยวธิ ี CVM ศูนยศ ึกษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาตจิ งั หวัดเชียงใหม (2553) ประเมินมลู คาทางส่งิ แวดลอมเพ่ือการบริหารจัดการอุทยานแหงชาติหวยน้ําดัง จังหวัดเชียงใหม และจังหวัดแมฮองสอน โดยการถามคาํ ถามในลักษณะของความเต็มใจที่จะจาย (Willingness to Pay: WTP) หรือความเต็มใจที่ยอมรับเงินชดเชย (Willingness to Accept Compensation: WTAC) ใน 3 ทางเลือก ไดแก วิธีการปองกันวิธีการฟนฟู และวิธีการศึกษาวิจัยทรัพยากรในอุทยานแหงชาติ ไดผลดังน้ี วิธีการปองกัน วิธีท่ี 1(การสงเสรมิ การทองเท่ยี วเชงิ นเิ วศในอุทยานแหง ชาติหวยน้ําดัง โดยไมรบกวนเบียดเบียนพรรณพืชและพันธุสัตวปา หรือไมทําลายธรรมชาติและระบบนิเวศ) มีมูลคาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเทากับ ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา สิง่ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-27เพื่อการจดั การอุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วของ56,383,367.10 บาท/ป วิธีการปองกันวิธีที่ 2 (การคุมครองปองกันหรือดูแลรักษาทรัพยากรปาไมและสตั วปา และลดการเกดิ ปญหาไฟปาในอุทยานแหงชาติหวยน้ําดัง โดยการออกตรวจลาดตระเวนปองกันรักษาปาและดับไฟปา ประชุมฝกอบรมสัมมนาและศึกษาดูงาน ผลิตสื่อและประชาสัมพันธในรูปแบบตางๆ) มีมูลคาส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเทากับ 32,692,746.28 บาท/ป วิธีการฟนฟูวิธีที่ 1(การฟนฟูสภาพธรรมชาตขิ องแหลงทองเท่ียวตา งๆภายในอุทยานแหงชาติหวยนํ้าดงั โดยการสรางเสน ทางศึกษาธรรมชาติ สรางฝาย ปลกู แฝก ปลกู หวาย ปลูกตนไม เปนตน เพ่ือเพิ่มพ้ืนท่ีปาและจัดการคุณภาพส่ิงแวดลอมและระบบนิเวศใหที่ดีย่ิงข้ึนกวาเดิม) มีมูลคาส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเทากับ37,179,602.03 บาท/ป วิธีการฟนฟูวิธีท่ี 2 (การจัดใหมีรถบริการนําเที่ยวตามแหลงทองเท่ียวสําคัญๆภายในอทุ ยานแหงชาตหิ วยนาํ้ ดัง แทนการอนุญาตใหนักทองเทย่ี วนาํ พาหนะสวนบุคคลเขาไปเอง เพื่อลดปญหามลพิษทางเสียงและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในชวงเทศกาลปใหมซึ่งจะมีนักทองเที่ยวจํานวนมากหลง่ั ไหลเขาไปใชประโยชนห รอื เทยี่ วชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติหวยน้ําดัง รวมไปถึงการพัฒนาและปรับปรุงหรือเพิ่มส่ิงอํานวยความสะดวกตามแหลงทองเที่ยวตางๆ ภายในอุทยานแหงชาติหวยนาํ้ ดงั เพื่อไวสําหรบั บรกิ ารและอํานวยความสะดวกแกน กั ทองเทย่ี ว เชนที่นง่ั พักผอน ถังขยะ หองน้ํารานอาหาร รานขายของที่ระลึก จุดบริการนักทองเท่ียว) มีมูลคาส่ิงแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเทากับ28,479,566.63 บาท/ป และวธิ กี ารศึกษาวิจัย (การศึกษาวิจัยและสํารวจรวบรวมขอมูลทรัพยากร และความหลากหลายทางชีวภาพในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท เพื่อเปนฐานขอมูลในการบริหารจัดการพ้นื ท่ี รวมถงึ การสํารวจตดิ ตามการเปลย่ี นแปลง และประเมนิ สถานภาพของทรัพยากรในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท เพื่อการการคมุ ครอง ปรับปรุงพัฒนา และปองกนั ผลกระทบทอี่ าจจะเกิดขึ้น ทั้งท่ีเกิดจากการกระทําของมนุษยเอง หรือจากธรรมชาติ พรอมทั้งใหบริการในดานการศึกษากับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันตางๆ เพ่ือการศึกษาคนควาดานวิชาการตางๆ เชน การบรรยาย ฉายวีดีทัศน แจกเอกสารเผยแพร จัดนิทรรศการ และบริการหองสมุด เปนตน) มีมูลคาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเทากับ40,116,685.21 บาท/ป ศูนยศ กึ ษาและวจิ ยั อทุ ยานแหง ชาตจิ ังหวัดเชยี งใหม (2554) ประเมินมูลคาทางสงิ่ แวดลอมเพอื่ การจัดการอทุ ยานแหง ชาตดิ อยสเุ ทพ – ปุย จังหวัดเชียงใหม พบวา กลุมตัวอยางซ่ึงเปนนักทองเท่ียวชาวไทยมีความเต็มใจท่ีจะจายเพ่ือการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ – ปุย จังหวัดเชียงใหมในภาพรวม เทา กับ 428.29 บาท/ป และมีมูลคาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตรเทากับ 108,040,435.40บาท/ป โดยปจ จัยท่ีมีอทิ ธพิ ลตอความเตม็ ใจท่ีจะจายในทุกดาน ไดแก อายุ ระดับการศึกษา รายไดเฉล่ียตอเดอื น จาํ นวนสถานทท่ี นี่ กั ทอ งเที่ยวเคยไป จาํ นวนครง้ั ที่เขา รว มกิจกรรมเกี่ยวกบั การอนรุ กั ษสง่ิ แวดลอมและความพึงพอใจท่ีมีตอการจัดการอุทยานแหงชาติ โดยสามารถแยกแตละดานไดดังตอไปนี้1) นกั ทองเท่ียวชาวไทยมคี วามเต็มใจท่ีจะจายเพ่ือการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ – ปุย ดานการคมุ ครองพ้นื ที่ (วธิ กี ารปอ งกันหรือดแู ล) เทากับ 157.46 บาท/ป และมีมลู คาส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเทา กับ 39,645,181.60 บาท/ป โดยปจจัยท่ีมีอิทธิพลตอความเต็มใจที่จะจายในกรณีน้ี ไดแก เพศ อายุ ศูนยศกึ ษาและวจิ ัยอุทยานแหงชาติ จังหวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คา สิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-28เพื่อการจัดการอทุ ยานแหง ชาติดอยอินทนนท จังหวดั เชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วขอ งระดับการศกึ ษา รายไดเฉลย่ี ตอ เดือน จํานวนสถานท่ีที่นักทองเที่ยวเคยไป จํานวนครั้งท่ีเขารวมกิจกรรมเก่ยี วกบั การอนุรกั ษสง่ิ แวดลอ ม และความพงึ พอใจทม่ี ตี อการจดั การอทุ ยานแหงชาติ 2) มคี วามเต็มใจที่จะจายเพ่ือการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ – ปุย ดานการคุมครองพ้ืนท่ี (วิธีการฟนฟู) เทากับ141.86 บาท/ป และมีมูลคาส่งิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร เทากับ 35,785,603.60 บาท/ป โดยปจจัยท่ีมีอทิ ธิพลตอ ความเต็มใจท่ีจะจายในกรณีนี้ ไดแ ก อายุ ระดบั การศึกษา รายไดเฉล่ียตอ เดือน จํานวนสถานที่ท่ีนักทองเที่ยวเคยไป จํานวนครั้งท่ีเขารวมกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษสิ่งแวดลอม ความตองการที่จะกลับมาเท่ียวอุทยานแหงชาติใหมอีกคร้ัง และความพึงพอใจท่ีมีตอการจัดการอุทยานแหงชาติ3)มีความเต็มใจท่ีจะจายเพื่อการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ – ปุย ดานการปรับปรุงและพัฒนาแหลงทองเทย่ี ว เทา กบั 106.92 บาท/ป และมีมลู คาสิ่งแวดลอ มทางเศรษฐศาสตร เทากบั 26,971,639.20บาท/ป โดยปจจยั ที่มีอิทธพิ ลตอความเต็มใจท่ีจะจายในกรณีน้ี ไดแก เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายไดเฉลย่ี ตอเดือน จํานวนสถานท่ที นี่ ักทองเท่ียวเคยไป และความพึงพอใจที่มีตอการจัดการอุทยานแหงชาติและ4) มีความเต็มใจท่ีจะจายเพ่ือการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ – ปุย ดานการศึกษาวิจัยทรัพยากรและแหลงเรียนรูทางธรรมชาติ เทากับ 140.33 บาท/ป และมีมูลคาสิ่งแวดลอมทางเศรษฐศาสตร เทากับ 35,399,645.80 บาท/ป โดยปจจัยท่ีมีอิทธิพลตอความเต็มใจท่ีจะจายในกรณีนี้ไดแก อายุ ระดบั การศึกษา รายไดเฉลี่ยตอ เดอื น และจํานวนสถานท่ที นี่ ักทอ งเทย่ี วเคยไป 2.4.2 งานวิจัยทีเ่ กี่ยวของกับการประเมนิ มลู คา สิ่งแวดลอมในตางประเทศ การประเมินมูลคาส่ิงแวดลอมปรากฏขึ้นเม่ือประมาณ 50 ปท่ีผานมา โดย HaroldHotelling ไดเสนอวิธกี ารประเมินมูลคา เชงิ นันทนาการของอุทยานแหงชาติตอฝายอุทยานแหงชาติของสหรัฐอเมริกา ชวง ศ.ศ. 1930 โดยใชการศึกษาระยะการเดินทางของนักทองเทยี่ วแตละคนเดนิ ทางมาจากที่ใดบา ง ซ่งึ ตอมาชว ง ค.ศ. 1950 Marion Clawson ไดพ ัฒนาขอเสนอของ Hotelling ข้ึนจนเปนวิธีการประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมในนามของ Travel Cost Model สวนการประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมโดยการสมั ภาษณประชาชนไดเ ริ่มข้นึ ในป ค.ศ. 1963 เม่ือ Davis (1963 อางถึงใน อดิศร อิศรางกูล ณ อยุธยา,2542) ไดทําการประเมินมูลคาดานนันทนาการที่มลรัฐ Maine และมูลคาของการลาสัตว ประเทศสหรฐั อเมริกา ตอ มา Robert Mitchell and Richard Carson ไดพัฒนาเทคนิควิธีการสัมภาษณจนวิธีน้ีกลายเปนท่ีรูจักแพรหลายในนาม Contingent Valuation Method และในชวง ค.ศ. 1980s และ1990s ไดมีการศกึ ษาและพฒั นาการวิธีการประเมินมูลคาส่ิงแวดลอมใหมีความหลากหลายและแมนยํามากยิ่งขึ้น และมีการนําเอาวิธีการเหลานี้ไปใชในการประเมินมูลคาสิ่งแวดลอมในสถานการณตาง ๆหลากหลายยิ่งขึ้น ประเทศสหรัฐอเมริกามีการใช CVM (รวมถึงเทคนิคอื่นๆ ดวย) เพ่ือหามูลคาของส่ิงแวดลอมในทุกระดับ ต้ังแตระดับรัฐบาลกลาง (Federal Government) ระดับมลรัฐ(State) ระดับปจ เจกบุคคล และระดับองคกรตางๆ ทั้งสวนท่ีเปนทางการและไมเปนทางการมารวมสองศตวรรษแลว ศนู ยศ ึกษาและวจิ ัยอุทยานแหงชาติ จงั หวดั เชียงใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คาสงิ่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-29เพ่อื การจดั การอทุ ยานแหงชาตดิ อยอินทนนท จังหวดั เชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ งซึ่งในสมัยประธานาธิบดีเรแกน โดยความพยายามขององคกรปองกันสิ่งแวดลอมของสหรัฐอเมริกา(The US Environmental Protection Agency: EPA) ไดประกาศคําสง่ั ใหใชเทคนิค CVM เปน สว นหนงึ่ในการวิเคราะหตนทุน-ผลประโยชน (Cost Benefit Analysis) นอกจากน้ีสภาคองแกรสของส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า ไ ด อ นุ มั ติ พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ก า ร ช ด เ ช ย แ ล ะ ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ เ กี่ ย ว กั บ สิ่ ง แ ว ด ล อ ม(The Comprehensive Environmental Response, Compensation and Liability: CERCLA)ในป ค.ศ. 1980 โดยใชเทคนิคการประเมินคาสิ่งแวดลอม เชน CVM และ TCM ในการประเมินมูลคาความเสียหายทีเ่ กดิ ขน้ึ จากความสูญเสียช่วั คราวและถาวรในพื้นที่ที่มีของเสียเปนพิเศษหรือวัตถุอันตรายโดยยอมรบั วาเทคนิคดงั กลา วมคี วามนา เชือ่ ถอื และเปนเทคนิคทดี่ ีท่ีสดุ ในขณะน้นั ทจ่ี ะวดั มูลคา สง่ิ แวดลอ มเปนตัวเงนิ ได (สถาบันวิจยั เพื่อการพฒั นาประเทศไทย, 2543) Baldares, Manuel and Laarman (1991 Quoted in Thailand DevelopmentResearch Institution and Harvad Institute for International Development, 1995) ศึกษาเพ่ือหาความเปน ไปไดของการเพ่มิ รายไดสาํ หรบั อทุ ยานแหง ชาติ โดยผา นการเกบ็ คาธรรมเนยี มการเขา ชมของนักทองเที่ยวในทองถ่ิน และนักทองเที่ยวตางชาติ การศึกษาใชการสัมภาษณกลุมตัวอยาง 860 รายถงึ ความยนิ ดีจายในการเขา ชม (WTP) ซ่งึ พบวา ปจจัยทเ่ี ปนตวั กาํ หนด WTP ของคาธรรมเนียมในการเขาชมข้ึนอยกู บั ประเภทของนักทองเทยี่ วระหวางนกั ทองเที่ยวในทองถ่ินและนักทองเท่ียวตางชาติ ลักษณะของพ้ืนที่ท่ีตองการปกปองวาเปนของเอกชนหรือของรัฐ จุดประสงคการเขาชมความพึงพอใจท่ีไดรับจาํ นวนครงั้ การเทีย่ วชมกอ นหนา จํานวนครั้งการเทีย่ วสถานอ่ืนๆ ระยะเวลาการเท่ียวชม และปจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ไดแก ระดับการศึกษา ระดับรายได จํานวนสมาชิกในครอบครัว เปนตนผลการศึกษาพบวา รายได และอายุ มีความสัมพันธท างบวกกบั คา WTP ในกลมุ นักทอ งเท่ียวชาวตางชาติท่มี จี ุดประสงคของการเขาชมเพื่อทําการวิจัยทางวิทยาศาสตรจะใหคา WTP ที่สูงมาก สาเหตุเน่ืองจากกลุมตัวอยางนไี้ ดร บั การอนุญาตใหเขารับชมพนื้ ท่ีของอุทยานแหงชาติท่ีถูกจํากัดไวสําหรับคนท่ัวไป และจากการศกึ ษาไดแ นะนําใหทาํ การเก็บคาธรรมเนียมแตกตางกันระหวางกลุมนักทองเที่ยวในทองถ่ินและนกั ทอ งเทย่ี วตางชาติ Green and Tunstall (1991) ศึกษาคา ความยนิ ดีจาย (WTP) เพอื่ ฟน ฟคู ณุ ภาพแมน้ําท่ีไหลผานอังกฤษ โดยใช CVM ตัวอยาง จํานวน 386 ตัวอยาง และใชเทคนิค iterative bidding โดยตั้งคําถามที่จุดเร่ิมตนที่ 50 เพนส 1 ปอนด และ 6 ปอนด ผลการศึกษาไดคา WTP เม่ือจุดเริ่มตน50 เพนส เทากับ 135 ปอนดตอเดือน จุดเร่ิมตน 1 ปอนด เทากับ 166 ปอนด ตอเดือน จุดเริ่มตน6 ปอนด เทา กบั 100 ปอนดต อเดือน Sukharomana (1998 อางถึงใน เรณู สุขารมณ, 2541) ใช CVM โดยการใชแบบจาํ ลอง ของ Cameron ซงึ่ ใชว ิธีการตง้ั คาํ ถามแบบ Double bounded approach ประเมนิ คา ความเตม็ ใจจะจา ยเพื่อลดมลพษิ ในนา้ํ ใตดิน รฐั เนบราสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแบงระดับการลดมลพิษสองระดับ คือ ระดับท่ีมีการลดปริมาณสารไนเตรทกับระดับท่ียอมใหมีปริมาณสารปนเปอนทุกชนิด ศนู ยศึกษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาส่งิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-30เพอ่ื การจดั การอทุ ยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชยี งใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กย่ี วของตลอดจนแบคทเี รีย แตอ ยูในระดบั ทไ่ี ดม าตรฐานตามที่ทางการกาํ หนดท้ังสองระดับ จากการศึกษาพบวาไดค าเฉล่ยี WTP สาํ หรับระดบั การลดปริมาณสารไนเตรทในน้ํา เทากับ US$ 9.50 และระดับที่ยอมใหมีสารปนเปอ นทุกชนิดตลอดจนแบคทเี รยี ไดค า เฉล่ยี WTP เทา กบั US$ 9.72นนั ทนาการในเมือง Yaping (1998) ศึกษามูลคาของการปรับปรุงคุณภาพน้ําสําหรับการ East Lake เมืองWuhan ประเทศจีน โดยใชเ ทคนคิ CVM และ TCM ผลการศึกษาพบวา มูลคาที่วัดจาก CVM มีมูลคาสูงกวาวิธี TCM โดยเฉพาะกรณีการปรับปรุงคุณภาพนํ้าใหอยูในระดับท่ีสามารถเดินเรือไดสูงกวาถึงรอ ยละ 72.62 Hai and Thahh (1999 อางถึงใน นพดล จันระวัง, 2545: 53) ศึกษาหามูลคาทางนนั ทนาการของอทุ ยานแหงชาติ Cue Phuong โดยใชวธิ ี TVM ในรูปแบบของ function form สองแบบในการประมาณคาคือ linear form และ semi-lob พบวาคาท่ีไดจาก correlation แบบ linear formดกี วาแบบท่สี อง จงึ ไดเ ลอื กเอาฟง กช ั่นฟอรมแบบ linear ในการประมาณการแบบจําลอง TCM ท่ีอยูในรายงานของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (2543) มีอยู 5 แบบ คือ 1) linear 2) log-linear3) double log 4) negative exponential และ 5) hyperbolic และพบวา รูปแบบ log linear(log=a+bP) เปนรูปแบบท่ีนิยมใช เพราะเม่ือทําการ derive และ estimate หา Consumer surplus(CS) จะได CS= -q เม่ือ q คือจํานวนคร้ังท่ีเดินทางมาทองเท่ียว แสดงใหเห็นถึงจํานวนคร้ังที่เปนfinite number ท่ีมาเท่ียวสถานท่ีน้ี เม่ือไมมีการเก็บคาผานประตูและคาพยากรณของจํานวนคร้ังที่มาเท่ยี วสถานท่แี หงนจ้ี ะไมเ ปน ลบ แมจะมกี ารเรียกเกบ็ คา ธรรมเนียมผา นประตูทีส่ ูงมากก็ตาม2.5 ตวั แปรทีเ่ กีย่ วขอ ง 2.5.1 เพศ มิ่งสรรพ ขาวสะอาด และคณะ (Kaosa-ard et al., 1995:33) ไดศึกษาเร่ือง กรีนไฟแนนซ: กรณีศึกษาอุทยานแหงชาติเขาใหญ (Green Finance: A case study of Khao Yai) พบวาเพศมีผลตอความเต็มใจที่จะจายท่ีมีตออุทยานแหงชาติเขาใหญ กลาวคือ เพศชายมีแนวโนมเต็มใจท่ีจะจายสูงเมือ่ เทยี บกับเพศหญงิ อยา งมนี ยั สําคัญทางสถิติทร่ี ะดบั 0.5 ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2553) ไดประเมินมูลคาสิง่ แวดลอม เพอื่ การบริหารจดั การอทุ ยานแหงชาตหิ ว ยนา้ํ ดัง มีความสัมพันธใ นทศิ ทางบวกกับความเต็มใจท่จี ะจายทร่ี ะดบั นยั สําคัญทางสถิติ 0.10 ซ่ึงอธิบายไดว า ถา นกั ทอ งเทย่ี วเปน เพศชาย จะมีความเต็มใจท่จี ะจายจะเพ่มิ ข้ึน ทงั้ น้ีเนื่องจาก เพศหญิงจะมีความรอบคอบในการใชจายมากกวาเพศชาย และสวนใหญเพศหญงิ ตองจัดการกบั ภาระคา ใชจ ายภายในบา น ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาส่ิงแวดลอม ทางเศรษฐศาสตรเพ่ือการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหมความสัมพันธในทิศทางบวกกับความเต็มใจที่จะจายที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ 0.10 อธิบายไดวา ศูนยศึกษาและวิจยั อุทยานแหง ชาติ จังหวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคา ส่งิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-31เพื่อการจดั การอุทยานแหง ชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวดั เชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวของถา นักทองเที่ยวเปนเพศชายจะมีความเต็มใจที่จะจายจะเพ่ิมข้ึน เนื่องจากเพศหญิงจะมีความรอบคอบในการใชจ า ยมากกวาเพศชาย และสว นใหญเพศหญิงตอ งจักการกบั ภาระคาใชจา ยภายในครอบครัว 2.5.2 อายุ ผการตั น เพ็งสวสั ดิ์ (2542: 325) ไดศกึ ษาเรื่อง การประเมนิ มูลคาทางเศรษฐศาสตรของอุทยานประวัติศาสตรพระนครศรีอยุธยา พบวา อายขุ องนักทองเท่ยี วชาวตางชาติมีความสัมพันธเชิงบวกกับความเต็มใจที่จะจายเพื่อการคงอยูตอไปของอุทยานประวัติศาสตรฯ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่รี ะดบั 0.05 วสิ ุทธิ์ ใสสะอาด (2546: 90) ไดศึกษาเร่ือง ความพึงพอใจของนักทองเที่ยวไทยตอการจา ยคาธรรมเนียมการใหบริการและทรพั ยากรนันทนาการที่อทุ ยานแหง ชาติเวียงโกศัย พบวา นกั ทองเท่ียวทีม่ ีอายแุ ตกตา งกนั มีความพึงพอใจตอความเต็มใจท่จี ะจายเงินคาธรรมเนยี มแตกตางกัน อยางมีนยั สําคัญทางสถิติท่รี ะดบั 0.05 ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2553) ไดประเมินมูลคาส่งิ แวดลอม เพอื่ การบริหารจดั การอุทยานแหง ชาติหวยนํ้าดัง มคี วามสมั พันธในทิศทางบวกกับความเต็มใจที่จะจายที่ระดับนยั สาํ คญั ทางสถติ ิ 0.10 ซึง่ อธิบายไดว า ถา นกั ทองเทีย่ วอยูใ นวัยทํางานจะมคี วามเต็มใจที่จะจา ยมากกวาวยั เด็กและชรา ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาสิ่งแวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเ พอ่ื การจัดการอุทยานแหง ชาตดิ อยสเุ ทพ-ปยุ จังหวดั เชยี งใหม ความสัมพันธในทิศทางบวกกบั ความเต็มใจที่จะจายท่ีระดับนยั สาํ คัญทางสถิติ 0.01 อธิบายไดวาถานักทองเท่ียวอยูในวยั ทาํ งานจะมคี วามเตม็ ใจที่จะจายมากกวา วัยเด็กและวยั ชรา 2.5.3 สถานภาพสมรส ศนู ยวิจัยเศรษฐศาสตรประยุกต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร (2541: 91) ไดศึกษาเร่ืองโครงการประเมินคณุ คาทรพั ยากรในพน้ื ท่ีปา อนุรกั ษ กรณศี ึกษาในพ้ืนท่ีเขตรักษาพันธุสัตวปาหวยขาแขงพบวา สถานภาพสมรสของประชาชนท่วั ไปทไ่ี มเคยเขาใชประโยชนในพ้ืนที่มีความสัมพันธในทิศทางตรงขามกับความเตม็ ใจท่จี ะจายเพือ่ การอนุรักษทรพั ยากร ฯ อยา งมนี ัยสาํ คัญทางสถิติทรี่ ะดับ 0.1 2.5.4 จาํ นวนสมาชกิ ในครอบครัว วชริ าภรณ ทองสุขนาม (2550: 103) ไดศึกษาเร่ือง การประเมนิ มูลคา สิ่งแวดลอมในการอนุรักษอุทยานแหงชาติลําน้ํากก ในจังหวัดเชียงราย พบวา ตัวแปรจํานวนสมาชิกในครอบครัวมีความสัมพันธเ ชิงลบตอความเต็มใจที่จะจายในการปองคุมครองดูแลสัตวปา รวมกับการทําใหธรรมชาติตามลาํ นํ้ามีความอุดมสมบรู ณ เพื่อลดการเกิดไฟปา และการฟนฟูทรัพยากรธรรมชาติ อยางมีนัยสําคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ 0.1 ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2553) ไดประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอ ม เพอ่ื การบริหารจัดการอทุ ยานแหง ชาตหิ วยน้ําดงั มคี วามสมั พนั ธในทิศทางบวกกบั ความเตม็ ใจที่จะจา ยทร่ี ะดับนยั สาํ คัญทางสถิติ 0.10 ซ่งึ อธิบายไดว า ถา นกั ทอ งเที่ยวมีจาํ นวนสมาชกิ ในครอบครัวมากศูนยศ กึ ษาและวิจัยอุทยานแหง ชาติ จังหวดั เชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-32เพ่ือการจัดการอทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวดั เชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ งขึ้นจะมีความเต็มใจท่ีจะจายจะเพิ่มขึ้นท้ังนี้เนื่องจากการมีสมาชิกในครอบครัวมากจึงอยากใหสภาพธรรมชาตคิ งความสวยงามด้ังเดมิ เพ่ือเกบ็ ไวใ หลกู หลานไดมาสัมผสั ในอนาคต 2.5.5 ระดับการศกึ ษา ฉวีวรรณ สุขมงคลรัตน (2543: 113) ไดศึกษาเร่ือง ความเต็มใจท่ีจะจายเพื่อการใชประโยชนทรัพยากรปะการังดานการทองเท่ียว กรณีศึกษาอุทยานแหงชาติหมูเกาะชาง พบวา ระดับการศกึ ษาของกลุมผปู ระกอบการทอ งเทยี่ วทใ่ี หบ ริการอปุ กรณแ ละ/หรอื เรือเพอ่ื การเขาชมปะการังในเขตอุทยานแหงชาติฯ มีความสัมพันธเชิงลบกับความเต็มใจท่ีจะจายเพ่ือใหทรัพยากรปะการังคงอยูตอไปอยางมนี ัยสําคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.05 ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2553) ไดประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอม เพอื่ การบรหิ ารจัดการอทุ ยานแหงชาตหิ วยน้าํ ดัง มีความสัมพนั ธในทศิ ทางบวกกับความเต็มใจท่จี ะ จา ยที่ระดับนัยสําคญั ทางสถิติ 0.10 ซ่ึงอธิบายไดวา ถานักทองเที่ยวมีระดับการศึกษาที่สูงข้ึน จะมีความเต็มใจที่จะจายจะเพิ่มขน้ึ ทง้ั นเ้ี นอื่ งจากผูท ่มี รี ะดับการศึกษาสงู จะมีความรคู วามเขา ใจและตระหนักถงึ คณุ คา และประโยชนที่ไดจากการอนรุ ักษอุทยานแหงชาติ ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาสิ่งแวดลอม ทางเศรษฐศาสตรเพื่อการจัดการอุทยานแหงชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหมความสัมพันธในทิศทางบวกกับความเต็มใจที่จะจายที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ 0.05 อธิบายไดวาถานักทองเท่ียวมีระดับการศึกษาท่ีสูงขึ้นจะมีความเต็มใจที่จะจายจะเพ่ิมขึ้น เน่ืองจากผูท่ีมีระดับการศึกษาสูงจะมีความรูความเขาใจและตระหนักถึงคุณคาและประโยชนที่ไดจากการอนุรักษอทุ ยานแหงชาติ 2.5.6 รายได สมบตั ิ แซแฮ และคณะ (2541: 50) ไดศึกษาเร่ือง การตีคาบริการดานสิ่งแวดลอมของอุทยานแหงชาติ กรณีศึกษาดอยอินทนนท พบวา รายไดของนักทองเที่ยวมีความสัมพันธในทิศทางเดียวกบั ความเต็มใจท่ีจะจา ยคาธรรมเนยี มฯ อยางมีนัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ 0.01 ธานินทร ไชยเยชน (2546: 57) ไดศ ึกษาเร่ือง การประเมินมูลคา ทางเศรษฐศาสตรใ นการอนุรักษแ ละฟนฟสู ่งิ แวดลอ มศิลปกรรมชุมชน บริเวณคลองอัมพวา พบวา รายไดข องกลุม ประชาชนทั่วไปที่ไมไดใชประโยชน และกลุมประชาชนท่ีอาศัยอยูชุมชนบริเวณคลองอัมพวา มีความสัมพันธในทิศทางเดยี วกบั ความเตม็ ใจที่จะจายเพื่อการอนรุ ักษและฟน ฟูฯ อยางมนี ยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.05 อรรถกร (2548) ไดศึกษาเรื่อง การประเมินมูลคาความสูญเสียทางทัศนียภาพของโบราณสถานในเขตเทศบาลนครเชียงใหม พบวา รายไดข องประชาชนทม่ี ภี ูมลิ าํ เนาอยูในเขตเทศบาลนครเชียงใหม มคี วามสัมพันธในทิศทางเดียวกับความเต็มใจที่จะจายเพ่ือปรับปรุงทัศนียภาพโบราณสถานฯอยา งมีนัยสาํ คัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.05 ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2553) ไดประเมินมูลคาสิ่งแวดลอ ม เพ่ือการบริหารจัดการอุทยานแหงชาติหวยนํ้าดงั มีความสมั พันธในทศิ ทางบวกกบั ความเต็มใจศนู ยศ ึกษาและวจิ ัยอุทยานแหงชาติ จงั หวดั เชียงใหม, 2554
รายงานการประเมินมลู คาสง่ิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 2-33เพอื่ การจดั การอทุ ยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จังหวัดเชียงใหม บทที่ 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวของทจ่ี ะจา ยทรี่ ะดับนยั สําคัญทางสถติ ิ 0.01 ซ่งึ อธบิ ายไดว า ถา นักทอ งเทยี่ วมรี ะดับรายไดเ พิ่มข้นึ 5,000 บาทตอ เดอื น จะทําใหค วามเตม็ ใจท่ีจา ยเพิม่ ขนึ้ ทง้ั น้ีเน่ืองจากผูที่มีรายไดสูงจะมีอํานาจซื้อหรือกําลังซ้ือมากทาํ ใหมีความสามารถในการจบั จายใชสอยมากกวา ผทู ี่มรี ะดับรายไดต ํา่ กวา ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาส่งิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเ พอื่ การจัดการอทุ ยานแหงชาตดิ อยสุเทพ-ปยุ จงั หวัดเชยี งใหม ความสัมพันธในทิศทางบวกกับความเต็มใจที่จะจายที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ 0.05 อธิบายไดวา ถานักทองเท่ียวมรี ะดบั รายไดเพ่ิมข้นึ 5,000 บาทตอเดือน จะทําใหความเต็มใจท่จี ายเพิ่มขึน้ เนือ่ งจากผทู ม่ี ีรายไดสูงจะมีอํานาจซือ้ หรือกําลงั ซื้อมากทําใหมคี วามสามารถในการจับจายใชสอยมากกวาผูที่มีระดบั รายไดต ่ํากวา 2.5.7 จํานวนสถานท่ที น่ี กั ทอ งเทยี่ วเคยไป วชริ าภรณ ทองสขุ นาม (2550: 103) ไดศึกษาเรื่อง การประเมนิ มลู คา สง่ิ แวดลอมในการอนรุ กั ษอ ุทยานแหงชาติลาํ นา้ํ กก ในจงั หวัดเชยี งราย พบวา ตัวแปรจํานวนสถานท่ีท่ีนักทองเท่ียวเคยไปมีความสัมพนั ธเชิงบวกตอ ความเตม็ ใจที่จะจา ยในการปอ งคุมครองดูแลสัตวปา รวมกับการทําใหธรรมชาติตามลาํ น้าํ มคี วามอดุ มสมบูรณ เพื่อลดการเกิดไฟปา อยา งมนี ยั สําคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั 0.05 ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2553) ไดประเมินมูลคาสงิ่ แวดลอม เพอื่ การบริหารจัดการอุทยานแหง ชาติหว ยนํา้ ดงั มคี วามสัมพันธใ นทศิ ทางลบกับความเต็มใจที่จะจา ยที่ระดับนยั สําคัญทางสถติ ิ 0.10 ซึ่งอธิบายไดวา ถานกั ทองเท่ียวเคยไปแหลงทองเท่ียวอ่ืนท่ีอยูในเขตพื้นที่อทุ ยานแหง ชาตหิ วยนา้ํ ดงั ต้งั แต 3 แหง ขึ้นไป จะมีความเต็มใจท่ีจะจา ยจะลดลง ทั้งนีแ้ สดงใหเหน็วานักทองเที่ยวมีความช่ืนชอบการทองเท่ียวทางธรรมชาติ แตการตระหนักรูถึงคุณคาและประโยชนที่ไดรับจากการทองเทย่ี วในเชงิ อนรุ ักษยงั มีนอยมาก ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาส่ิงแวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเพอ่ื การจัดการอุทยานแหงชาตดิ อยสเุ ทพ-ปยุ จังหวดั เชียงใหม ความสมั พันธในทิศทางลบกบั ความเตม็ ใจท่จี ะจายทร่ี ะดับนยั สาํ คัญทางสถิติ 0.05 อธิบายไดวา ถานักทองเที่ยวเคยไปแหลงทองเท่ียวอ่ืนท่ีอยูในเขตพื้นที่อุทยานแหงชาติดอยสุเทพ-ปุย จังหวัดเชียงใหม ตั้งแต 3 แหงข้ึนไปจะมคี วามเต็มใจท่ีจะจา ยจะลดลง แสดงใหเ ห็นวานักทองเทีย่ วมีความชือ่ ชอบการทองเที่ยวทางธรรมชาติแตก ารตระหนกั รถู งึ คุณคา และประโยชนท ่ีไดรับจากการทองเท่ยี วในเชิงอนรุ กั ษยงั มนี อยมาก 2.5.8 การเขา รว มกิจกรมเกีย่ วกับการอนรุ ักษทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตรเ พื่อการจัดการอุทยานแหง ชาตดิ อยสเุ ทพ-ปยุ จงั หวัดเชยี งใหม ความสมั พันธใน ทศิ ทางบวกกับความเตม็ ใจที่จะจายท่รี ะดับนยั สําคญั ทางสถิติ 0.05 อธบิ ายไดวา ถานักทองเท่ียวเขารวมกิจกรรมการอนุรักษส่ิงแวดลอม 1คร้ังขึ้นไป จะมีความเต็มใจท่ีจะจายมากกวานักทองเที่ยวทไี่ มเคยเขา รวมกจิ รรมการอนุรกั ษสงิ่ แวดลอมศนู ยศึกษาและวจิ ยั อุทยานแหง ชาติ จงั หวัดเชยี งใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มลู คาสิง่ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตร 2-34เพ่ือการจดั การอุทยานแหง ชาติดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม บทท่ี 2 กรอบแนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วของ 2.5.9 ความตองการท่ีจะกลับมาเที่ยวอุทยานแหงชาตใิ หมอีกครัง้ ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเ พ่อื การจดั การอุทยานแหงชาตดิ อยสุเทพ-ปยุ จังหวัดเชยี งใหม ความสมั พันธในทิศทางลบกบั ความเต็มใจทจ่ี ะจายทรี่ ะดบั นยั สาํ คญั ทางสถติ ิ 0.10 อธบิ ายไดวา ถานักทองเท่ียวตอ งการที่จะกลบั มาเที่ยวอกี ครง้ั จะมคี วามเตม็ ใจที่จะจา ยลดลง 2.5.10 ความพึงพอใจตอการจัดการอุทยานแหง ชาติ ศูนยศึกษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จังหวัดเชียงใหม (2554) ไดประเมินมูลคาสง่ิ แวดลอ มทางเศรษฐศาสตรเ พือ่ การจัดการอทุ ยานแหงชาตดิ อยสเุ ทพ-ปยุ จังหวดั เชียงใหม ความสมั พันธในทศิ ทางบวกกับความเต็มใจท่ีจะจา ยทีร่ ะดับนัยสาํ คัญทางสถติ ิ 0.05 ถา นกั ทอ งเท่ียวมีความพึงพอใจตออุทยานแหงชาติอยูในระดับมากจะมีความเต็มที่จะจายจะเพิ่มข้ึน ความพึงพอใจพิจารณาจากความสะดวกของเสนทางในการเดินทาง ทัศนียภาพภายในอุทยานแหงชาติ ความสะอาดภายในอทุ ยานแหงชาตแิ ละในพ้ืนทโี่ ดยรอบ การอํานวยความสะดวกของเจาหนา ที่ ความเพยี งพอของสถานที่พักความเพียงพอของรานอาหาร ความเพยี งพอของหองนา้ํ และ สง่ิ อํานวยความสะดวกอื่น ๆ เชน โทรศัพทสาธารณะ ทจี่ อดรถ ทนี่ ่งั พักจุดชมววิ เปนตน ดังนน้ั หากอุทยานแหงชาติมกี ารเตรยี มพรอมส่งิ เหลานอ้ี ยางเพยี งพอ จะมสี วนชวยใหนกั ทองเที่ยวรูสึกสะดวกสบายและสงผลตอ การตระหนกั รูถ งึ คุณคา และประโยชนท่ีไดร บั จากการทอ งเท่ียวอทุ ยานแหงชาติศูนยศกึ ษาและวิจัยอุทยานแหงชาติ จงั หวัดเชียงใหม, 2554
รายงานการประเมนิ มูลคาสง่ิ แวดลอมทางเศรษฐศาสตร 3-1เพอ่ื การจดั การอุทยานแหง ชาติดอยอินทนนท จังหวดั เชียงใหม บทที่ 3 ระเบียบและวธิ กี ารศกึ ษา บทท่ี 3 ระเบยี บและวิธีการศึกษา โค ร ง กา ร ป ร ะ เ มิ นมู ล ค าส่ิ ง แ ว ดล อ ม ท า ง เ ศร ษ ฐ ศา ส ต รเ พ่ื อ ก าร จั ด กา ร อุ ท ย า น แห ง ช า ติ ดอยอนิ ทนนท จงั หวัดเชียงใหม ไดกําหนดระเบียบและวธิ กี ารศึกษา ดังน้ี 1. ระเบียบวธิ ีวิจยั ประกอบดวย การเกบ็ รวบรวมขอมลู และเครื่องมอื ทใี่ ชวัดประชากรเปาหมาย หนวยวเิ คราะห การสมุ ตวั อยา ง และการวิเคราะหขอ มูล 2. ขอบเขตของโครงการวจิ ัย 3. ระยะเวลาทที่ ําการวิจัย และสถานทว่ี ิจัย/เกบ็ ขอ มูล 4. แผนดาํ เนนิ การตลอดโครงการวิจัย 3.1 ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั การศึกษาวิจัยครั้งน้ี เปนการวิจัยเชิงสํารวจ โดยใชแบบสัมภาษณกับกลุมตัวอยางเปาหมาย โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี 3.1.1 การเก็บรวบรวมขอ มลู และเคร่ืองมือท่ีใชว ดั ทําการเก็บรวบรวมขอ มลู จาก 2 แหลง คือ ขอมูลทุติยภูมิ จากเอกสารวิชาการตางๆ ที่มี อยใู นหนว ยงานเกี่ยวของ เชน กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช กรมปาไม และขอมูลปฐมภูมิ จากการสัมภาษณแบบเจาะลึก โดยใชแบบสัมภาษณกับกลุมตัวอยางเปาหมาย เพื่อใหไดขอมูลท้ัง เชงิ คุณภาพและปริมาณ 3.1.2 ประชากรเปาหมาย ประชากรเปาหมาย คือ นักทอ งเทีย่ วชาวไทยที่เขาไปใชประโยชนหรือเทยี่ วชมธรรมชาติในอุทยานแหงชาติดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม ตามสถานท่ีหรือแหลงทองเที่ยวทางธรรมชาติท่ีสําคัญๆจํานวน 7 แหง ไดแก 1) น้ําตกแมยะ 2) น้ําตกแมกลาง 3) น้ําตกวชิรธาร 4) ที่ทําการอุทยานแหงชาติดอยอนิ ทนนท และลานกางเตนทดงสน 5) เสนทางเดินปานํ้าตกผาดอกเส้ียว 6) เสนทางศึกษาธรรมชาติกว่ิ แมปาน และ 7) ยอดดอยอินทนนท ซึ่งทําการเกบ็ ขอ มูลเปน จาํ นวนท้ังสิ้น 600 ตัวอยา ง รวมถงึ เจาหนา ที่อทุ ยานแหงชาตดิ อยอนิ ทนนท จังหวดั เชยี งใหม ดว ยศูนยศ กึ ษาและวจิ ยั อุทยานแหงชาติ จังหวดั เชียงใหม, 2554
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142