การเลย้ี งกงุ รหสั วิชา 2601-2104 สมชาติ ชมู าก ครูชาํ นาญการ วท.บ. การประมง แผนกวิชาเพาะเลีย้ งสตั วนาํ้ วทิ ยาลัยประมงติณสลู านนท สํานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร
คํานาํ เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเลี้ยงกุง ไดจัดทําเรียบเรียงขึ้นโดยมีวัตถุประสงคเพ่ือให นักเรียนไดใชประกอบการเรียนรูดวยตนเองอยางครบถวนท้ังทฤษฎีและปฏิบัติ ท้ังมีเน้ือหารวมทั้งหมด 9 บท ไดแก หลักการเลี้ยงกุง การเตรียมบอ การคัดเลือกพันธุ อาหารและการใหอาหาร การจัดการคุณภาพน้ํา โรคและการปองกันรักษา การเก็บเก่ียวผลผลิต การบันทึกขอมูล และการคํานวณตนทุนการผลิต การตลาด และการจําหนาย นอกจากน้ีนักเรียนสามารถคนควาเทคนิคการเล้ียงกุงในปจจุบันเพ่ิมเติมไดจากสื่อโซเซียล ตางๆได เพอ่ื พัฒนาประยกุ ตใ หท ันสมัยยงิ่ ขนึ้ ผเู ขยี นขอขอบคุณ ศ.ดร ชะลอ ลม่ิ สวุ รรณ ทร่ี วบรวมเทคนิคประสบการณก ารเล้ยี งกงุ ซ่ึงผเู รียบเรียง ไดนํามาประยุกตใชใ หเ หมาะสมกับพ้ืนท่ี เพ่ือเปนแนวทางในการพัฒนาการเรยี นการสอนผูเขียนเรียบเรียงแลว วาเอกสารเลมนี้จะเปนประโยชนตอการเรียนการสอน และบูรณาการกับประกอบอาชีพดานการเพาะเล้ียง สัตวนาํ้ ตอไป สมชาติ ชมู าก พฤศจิกายน 2561
สารบัญ หนา บทท่ี 1 หลักการเลย้ี งกุง 1 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 1 21 บทท่ี 2 การเตรียมบอ 23 บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 2 35 บทที่ 3 การคดั เลอื กพันธุก ุง 36 บทปฏิบัตกิ ารที่ 3 42 บทที่ 4 อาหารและการใหอาหาร 43 บทปฏิบตั กิ ารท่ี 4 51 บทที่ 5 การจัดการคุณภาพนํ้าในบอ เลยี้ งกุง กลุ าดํา 52 บทปฏิบตั ิการที่ 5 60 บทท่ี 6 โรคและการปอ งกันรักษา 62 บทปฏิบัติการท่ี 6 70 บทท่ี 7 การเก็บเกี่ยวผลผลติ 72 บทปฏบิ ัตกิ ารท่ี 7 74 บทท่ี 8 การบันทึกขอมลู และการคํานวณตน ทุนการผลติ 76 บทที่ 9 การตลาดและการจําหนายตลาดตางประเทศทไี่ ทยสงออกกุง 79 อางองิ 81
บทท่ี 1 หลบกั ทกทาี่ 1รเลีย้ งกุ้ง หลกั การเลี้ยงกงุ ความเปนมาของการเลยี้ งกงุ การเลีย้ งกุงในประเทศไทย ชวงแรกเปนการทํานากุงแบบธรรมชาติ โดยสูบนํ้าทะเลเขา สบู อขนาดใหญ ขนาด 50-100 ไร กักเก็บไวประมาณ 20-30 วันแลวเก็บและเก็บเก่ียวผลผลิต นับต้ังแตกรมประมงไดประสบ ผลสาํ เรจ็ ในการเพาะพันธกุ งุ แชบว ยในป พ.ศ. 2515 จากน้ันไดส ง เสริมใหเกษตรกรเล้ยี งปลอ ยเสรมิ ใหเ กษตรกร เลยี้ งทําใหผ ลผลติ เพิ่มข้ึน จากนั้นกไ็ ดพ ัฒนารูปแลลการเลยี้ งจนถึงปจ จุบนั สาํ หรบั รปู แบบการเลีย้ งจากอดีตถึง ปจจุบันสามารถสรุปได 3 รูปแบบ 1. การเล้ียงแบบธรรมชาติ (intensive Farm) เปนการเลี้ยงกุงโดยอาศัยธรรมชาติ การขึ้นลงของ น้ําทะเล อาศัยลูกกุงจากธรรมชาติ ไมมีการใหอาหารเสริม ปลอยใหกุงหากินเอง จากธรรมชาติ โดยเลี้ยงไว ในบอ ขนาดใหญสกั ชว งหนึง่ กท็ าํ ใหก ารเก็บเกยี่ วผลผลติ ผลผลติ ท่ีไดก ไ็ มม ากนัก 2. การเล้ียงแบบกึ่งธรรมชาติ (Semi-intensive Farm) เปนการเล้ียงแบบอาศัยลูกกุงจากธรรมชาติ และมีการปลอยเสริมบาง มีการใหอาหารเสริมบางบางชวง ชนิดพันธุสัตวนํ้าท่ีจับไดก็ยังมีหลา กหลาย อยูเ หมือนกนั แตผลผลิตกุง กไ็ ดป ริมาณมากข้ึน 3. การเลี้ยงแบบพัฒนา (Development intensive Farm) เปนการเล้ียงสัตวแบบชนิดเดียวคือ กงุ อาศัยลูกพนั ธุจากโรงเพาะฟกมีการใหอาหารเสริมตลอดการเลีย้ ง และมกี ารใหอากาศอยางเพียงพอ ผลผลิต ท่ีไดมากข้ึนหลายเทาตัว เน่ืองจากเปนการเล้ียงที่ใชหลักวิชาการ พัฒนาปรับปรุงประยุกตใหทันกับเหตุการณ ตลอดเวลา ทั้งในเรื่องการสรางบอ การทําฟารมที่ทันสมัย ทําใหเกิดนวัตกรรมใหม ๆ เกิดขึ้นเสมอในการเลี้ยง กงุ แบบพัฒนา ประวัติการเลย้ี งกุง การเลี้ยงกุงเกิดขึ้นครงั้ แรกในป ค.ศ. 1930 เมื่อ Motosaku Fujinaga จบการศึกษาจากมหาวิทยาลยั โตเกียว สามารถทําใหกุงคูรุมา (Penaeus japonicus) มีการวางไข ฟกเปนตัว และเลี้ยงจนไดขนาดที่ตลาด ตองการไดในหองปฏิบัติการและสามารถทําเปนการคาในปริมาณมากๆ ได ฟูจินากาจึงไดทดลองและเผยแพร ผลงานของตัวเอง ใน ค.ศ. 1935, 1941, 1942 และ1967 จนไดรับรางวัลจากพระจักรพรรด์ิญี่ปุนวาเปนบิดา ของการเลี้ยงคูรุมา (Father of Inland Japonicus Farming) ป ค.ศ. 1954 ไดรับปรญิ ญาเอกจาก Research Bureau of the Japanese Fisher Agency ดร.ฟูจินากา จึงลาออกและไปทําฟารมเลี้ยงกุง และไดรับเกียรติ ใหเปน บิดาแหงการเลยี้ งกุง \"Father of Modern Shrimp Farming\" และในป ค.ศ. 1960 ฟารมเลยี้ งกงุ คูรุมา เกิดขึ้นท่วั ไปในประเทศญ่ปี นุ ป ค.ศ. 1950 ถึง 1965 (พ.ศ. 2493-2508) ป ค.ศ. 1950 ประเทศสหรัฐอเมริกาไดตั้งหองปฏิบัติการท่ี Galveston มลรัฐเท็กซัสและกลายเปน สถานที่ท่ีเปนผูนําทางดานเทคนิคการเพาะลูกกุง การเล้ียงแพลงกตอน และในป ค.ศ. 1958 ไดเปนผูนํา ทางดานโรงเพาะฟก จนเกิดเทคโนโลยีดานการเพาะและอนุบาลกุงช่ือวา \" Galveston Hatchery Technology\"
2 การเล้ียงกุง้ 2 ป ค.ศ. 1965 ถึง 1975 (พ.ศ. 2508-2518) นักวิทยาศาสตรจากประเทศฝรั่งเศส จีน ไตหวัน เร่ิมสนใจการทํานากุงตั้งแตปลายป ค.ศ. 1960 ถึง 1970 โดยนักวิจัยชาวฝรั่งเศสที่ Centre Oceanologique Pacifique ในตาฮิติ ซ่ึงอยูทางมหาสมุทรแปซิฟก ตอนใต ทาํ การวิจัยเก่ียวกับกุงพีนิอิดหลายชนิด เชน Penaeus japonicus, Penaeus monodon, Penaeus stylirostrisและ Penaeus vannamei จนประสบความสําเร็จในการผสมพันธุกุงในบอเล้ียง ทําให General Charles Charles De Gaulle ท่ีเปนประธานาธิบดีของฝร่ังเศสในขณะนั้น เปนผูตัดสินใจจัดหาอุปกรณ การเล้ยี งกงุ ใหตาฮิติ สวนประเทศจนี ในระยะแรกการเลย้ี งกงุ ยังไมคอยเปนทสี่ นใจ จนกระทง่ั ค.ศ. 1980 สถานี ประมงท่ี Yellow Seas Fishery Research Station ไดคนพบวิธีการเลี้ยงกุงขาวจีน Penaeus chinensis ใหได ปริมาณมากโดยเลี้ยงแบบก่ึงหนาแนน (Semi-intensive) ทางตอนเหนือของจีน การเล้ียงกุงของจีนจึงมี การพัฒนานับแตนั้นมา นอกจากนี้นักวิจัยชาวไตหวันของ Tungkang Marine Laboratory ไดทดลองเลี้ยงกุง กุลาดําในบอขนาดเล็ก และมีการปรับปรุงเทคนิคเปนการเล้ียงแบบพัฒนาดวยระบบการเลี้ยงแบบหนาแนน (intensive) ตอมาในประเทศสหรัฐอเมริกา Department of Commerce's (DOC) National Marine Fisheries Service ซึ่งควบคุม Galveston Lab และ DOC ใหทุนกับนักวิจัยของ National Sea Gram College Program เพื่อวิจัยเกี่ยวกับการทําฟารมกุงหลายมหาวิทยาลัยที่ต้ังอยูบริเวณชายฝง รวมท้ังมหาวิทยาลัย Texas A&M จึงทําใหสหรัฐอเมริกาเปนผูนําทางวิชาการในการเลี้ยงกุงขาวตะวันตก และการวิจัยเก่ียวกับไวรัส ที่มหาวิทยาลัยอริโซนา เทคโนโลยี เกี่ยวกับการทําฟารมกุง (Shrimp Farming) คอยๆ มีความคืบหนา และมีความรวมมือกันมาก และมีบริษัทผลิตอาหารเปนผูนําเทคโนโลยีไปสูประเทศในกลุมลาตินอเมริกา ประเทศ ฮอนดูรัส ปานามา และประเทศเอกวาดอร และมีนายทุนทองถ่ินเขารวมในการสรางฟารมกุง โรงเพาะฟก โรงงานผลิตอาหารและหองเย็น จากน้ันงานวิจัยเก่ียวกับฟารมกุงก็มีการแพรหลายไปทั่วโลก สวนมากเปนกุง ในกลุมพีนีอิค เร่ิมตั้งแตการผสมพันธุ (Breeding) วางไข (Spawning) อนุบาลเลี้ยงในบอดิน (Growout) อาหารโภชนาการ และเรอื่ งโรคมาเกือบ 3 ทศวรรษ ป ค.ศ. 1975 ถงึ 1985 (พ.ศ. 2518-2528) ประมาณกลางป ค.ศ. 1970 เกษตรกรสามารถผลิตลูกกุงใหฟารมกุงเพิ่มมากข้ึน และรูวาการเพ่ิม ออกซิเจนเปนอุปกรณสําคัญใหผลผลิตเพิ่มขึ้น ทําใหเกิดโรงงานทําอุปกรณตีน้ําขึ้น จากน้ันการทําฟารมกุง จึงแพรหลายอยางรวดเร็ว บางรายเม่ือทําแลวเกิดความคุมทุนในการเล้ียงเพียงแครุนเดียว หรือ 2 รุน ในระยะเวลา 1 ป มีคนรวยเพราะการทาํ ฟารมกุงมาก เชน เดยี วกบั ในประเทศไตหวนั มีการทําฟารมแบบพัฒนา ขนาดเล็ก สวนประเทศจนี ก็มีการทาํ ฟารมแบบก่งึ พฒั นารอบๆ อาวโบไฮ (Gulf of Bohai) มีรายงานวาผลผลติ กุงในป ค.ศ. 1975 มีปรมิ าณ 50,000 เมตรกิ ตนั เพม่ิ ขึ้น 2.5 เปอรเ ซน็ ตข องผลผลิต รวมที่ 20,000 ตนั และในป ค.ศ. 1975 ขณะทป่ี ระเทศสหรัฐอเมริกาเปน ผูนาํ ทางเทคโนโลยีฟารมกุง ประเทศ เอกวาดอรก็กลายเปนประเทศผูนําทางผลผลิตในกลุมประเทศทางตะวันตกหรือประเทศฝงตะวันตก (West Hemisphere) และนาเกลือรอบๆ Gulf of Guayaquil เปลีย่ นเปน ฟารม กุง ปจจุบนั ประเทศเอกวาดอร ก็ยังคงเปนประเทศที่มีผลผลิตกุงขาวตะวันตกมากมาเกือบ 3 ทศวรรษ กลุมประเทศตะวันออก (Eastern Hemisphere) เชน ประเทศไตหวันและจีนเปนผูนําในการทําฟารมกุง แตจริงๆแลว ประเทศ ฟลิปปนส ประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซีย มีการเลี้ยงกุงแบบธรรมชาติมาเกือบศตวรรษแลว โดยมี การทดลองเล้ียงกุงแบบชนิดเดียวเลี้ยงแบบก่ึงพัฒนา และขยายพื้นท่ีมากข้ึนทําใหระหวางป ค.ศ. 1975 ถึง 1985 มีผลผลิตรวมเติบโตข้ึนถึง 50,000 ถงึ 200,000 เมตรกิ ตัน
การเลีย้ งกุ้ง 3 3 ป ค.ศ.1985 ถึง 1995 (พ.ศ. 2528-2538) ป 1985 ผลผลิตรวมจํานวน 200,000 เมตริกตนั ประมาณ 10% ของผลผลิตทว่ั โลก 75% มาจากกลุม ประเทศในเอเซีย และคาดวาผลผลิตจะเพิ่มข้ึนเปน 300,000 เมตริกตันในป ค.ศ. 1986 และป ค.ศ. 1988 ผลผลิตท้ังหมด จํานวน 450,000 ตัน ประเทศที่ผลิตไดมาก คือประเทศจีน เอกวาดอร และประเทศไตหวัน เปน ผนู าํ สว นประเทศไทย อินโดนเี ซีย และประเทศฟล ปิ ปน สก ําลังเริม่ ตน อุตสาหกรรมฟารมกุง เร่ิมสะดุดในป ค.ศ. 1987 ถึง 1988 ในประเทศไตหวันเกิดการระบาดของโรค ไวรัสในกุงท่ีเล้ียง ทําใหอัตราการตายของกุงสูงมากเกือบทุกๆฟารม และเกิดอยางกะทันหันไมสามารถแกไข ไดทัน ทําใหผลผลิตรวม 100,000 เมตริกตัน ลดลงเหลือเพียง 20,000 เมตริกตัน แมตอมาเกษตรกรไดเปลี่ยน มาเลย้ี งกงุ ครู ุมาของญป่ี นุ กย็ ังประสบปญหาเชน เดมิ เม่ือเกดิ โรคระบาดในประเทศไตหวัน ในป ค.ศ. 1987 ถึง 1988 ทําใหเ กษตรกรไตหวันก็ไดเปลย่ี นฐาน การผลิตกุง โดยนําเทคโนโลยีไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ไดแก ประเทศอินโดนีเซีย ฟลิปปนส และ ประเทศไทย และไปยงั ประเทศตะวันตก เชน ประเทศบราซิลจึงเกิดเทคนคิ แบบไตห วันข้ึน ในป ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ไดเกิดเหตุราคากุงตกลงเทาตัว จากราคาประมาณ 8.5 เหรียญสหรัฐ ตกลงมาเหลอื เพยี ง 4 ถึง 5 เหรียญสหรฐั อนั เนือ่ งมาจากการเสดจ็ สวรรคตของพระจักรพรรด์ิของประเทศญ่ีปุน และจํานวนประชากรลดการบรโิ ภคกุง เพราะถอื วา เปนของฟุมเฟอย เปน ระยะเวลา 1 ป ซง่ึ ในขณะนน้ั ประเทศ ญ่ีปุนเปนตลาดใหญที่สุด ทําใหประเทศญ่ีปุนมีการปรับกระบวนการการผลิตและการตลาดกันใหมทั่ว โลก ป ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) ในประเทศไทยก็มีการทําฟารมกุงกันอยางแพรหลาย ท้ังขนาดเล็กและ ขนาดใหญเปน จาํ นวนนับพนั ราย ประเทศไทยจงึ กลายเปนประเทศผูนําในเอเชีย ป ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536)ประเทศจีน ซ่ึงมีผลผลิตตอเฮกเตอรเพ่ิมข้ึนจาก 100 ตันในป ค.ศ. 1988 เปน 200 ตัน ในป ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535)และผลผลิตรวมเปน 50,00 ตนั ในป ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) และ ป ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) ไดเกิดโรคไวรสั ในประเทศจนี เนื่องจากพ้ืนทใ่ี นการเลย้ี งมรี ะดับต่ํา ทาํ ใหร ะบายนํ้า ลําบาก และอาหารท่ีใชคือหอยซ่ึงเปนของเหลือจากการประมง เปนสาเหตุทําใหเกิดโรคจากไวรัส และฆากุง เกือบท้ังหมดเกือบทุกประเทศท่ีทําฟารมกุงแบบพัฒนา และไดเกิดปญหาแบบเดียวกันในประเทศ จีน เม่ือป ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) โดยเจาของกิจการจํานวนมากตองหยุดและเลิกกิจการฟารมกุงไป โดยเฉพาะ ใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม และไมสามารถจะมีผลผลิตกุง ไดเลย สวนทางตอนเหนือของชวาหรือประเทศอินโดนีเซีย ในขณะน้ันสามารถผลิตกุงไดผลผลิตสูง ดังน้ัน จะเห็นไดวาในประวัติการเล้ียงกุงที่ผานมากกวา 2 ทศวรรษ และเกิดปญหาเดียวกันในตางพื้นท่ีและตางเวลา เก่ียวกบั เรื่องนํา้ ซ่ึงเกษตรกรไมมที างเลือก นอกจากปม นํ้าจากธรรมชาติเขามาเพ่ือการทําฟารมกุงซึ่งมีไวรัสอยู และสงผลไปทําลายกุงเหมือนกนั ในแถบทวีปเอเชีย ในป ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) มีประเทศใหมๆ ทําฟารมกุง เชน ประเทศเวียดนาม อินเดีย ประเทศบังคลาเทศ ก็กลายเปนผูผลิตรายใหม เชนเดียวกับประเทศเม็กซิโก ฮอนดูรัส โคลัมเบีย ในซกี โลกตะวนั ตก ป ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) ผลผลิตกุงจากฟารม เพ่ิมข้ึนเปน จํานวน 700,000 เมตริกตัน และอยูใน ระดบั นจ้ี นถึงป ค.ศ. 1995 คดิ เปนประมาณ 25 เปอรเ ซ็นตของผลติ ผลทว่ั โลก ป ค.ศ. 1995 ถึง 2005 (พ.ศ. 2538-2548) ตัง้ แตป ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) โรคทีเ่ กดิ จากเช้อื ไวรัสและแบคทเี รีย ทําใหจํานวนฟารมกงุ ลดนอ ยลง ในแถบทงั้ ในทวีปเอเชียและตะวันตก มกี ารปรบั เปล่ียนเทคนิคการเลี้ยงเพอื่ ใหไดมาตรฐานโลกเกย่ี วกบั คุณภาพ ผลผลิตและสภาพแวดลอม ดังนั้นการเล้ียงกุงของประเทศไทยนาจะมีการเตรียมปรับกลยุทธในการเล้ียงและ
4 การเลีย้ งกุ้ง 4 วางแผน การผลิตเพื่อใหสอดคลองกับความตองการของผูบริโภคและสอดคลองกับมาตรฐานของฟารมกุง ท่วั โลกดวย การเลีย้ งกงุ ของไทย การเล้ียงกุงของไทยในชวงเร่ิมตนเปนการทํานากุงแบบธรรมชาติ โดยการสูบนํ้าทะเลเขาสูบอ ขนาดใหญประมาณ 50-100 ไร กักเก็บไวประมาณ 20-30 วัน แลวเก็บเก่ียวผลผลิตโดยใชถุงอวนก้ันในขณะที่ ปลอยน้ําออก ผลผลิตท่ีไดมีทั้งกุง ปลา และสัตวอื่นๆ ไดผลผลิตประมาณ 40-50 กิโลกรัม/ไร ท้ังน้ีนับตั้งแต ป พ.ศ. 2515 ทก่ี รมประมงประสบผลสาํ เรจ็ ในการเพาะพนั ธุก งุ แชบว ยไดในโรงเพาะฟก จึงสงเสรมิ ใหเกษตรกร ที่ทํานากุงธรรมชาติ นําลูกกุงท่ีไดจาการเพาะฟกไปปลอยเสริม ทําใหผลผลิตของนากุงธรรมชาติเพ่ิมเปน 200 กิโลกรัม/ไร จากนั้นการเล้ียงกุงไดเริ่มพัฒนาจากนาธรรมชาติมาสูระบบการเล้ียงแบบพัฒนาเต็มรูปแบบ ในป พ.ศ. 2525 โดยใชบอขนาดเล็กลงเหลือขนาด 4-6 ไร ใชพันธุกุงจาโรงเพาะฟกเพียงอยางเดียว และมีการ ใหอาหาร และมีการขยายตัวอยางรวดเร็วในป พ.ศ. 2528-2531 โดยมีการขยายตัวในจังหวัดทางภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใตฝ งอา วไทย ซงึ่ การเลยี้ งกงุ เชงิ พาณชิ ยข องภาคใตน ยิ มเล้ยี งกุง 2 ชนิด คอื กงุ ขาวแวนาไม กุงขาวแปซิฟก (Litopenaeus Vannamei) หรือ Pacific white Shrimp หรือที่เรียกกันท่ัวไปวา White Leg sShrimp เปนกุงพื้นเมืองในทวีปอเมริกาใต พบอยูทั่วไปในบริเวณชายฝงของมหาสมุทรแปซิฟก ตะวันออก จากตอนเหนือของประเทศเม็กซิโกจนถึงตอนเหนือของประเทศเปรู กุงชนิดนี้มีการเลี้ยงกันมาก ในประเทศเอกวาดอร เม็กซิโก เปรู ปานามา ฮอนดูรัส โคลัมเบีย และประเทศบราซลิ ซง่ึ ประเทศบราซิลเปน ประเทศ ท่ีเริ่มเลี้ยงกุงขาวไมกี่ปมานี้ แตมีผลผลิตเปนจํานวนมาก เนื่องจากรัฐบาลประเทศบราซิลใหการสนับสนุน การเล้ียงกุงขาวแปซิฟกอยางจริงจัง ทําใหผลผลิตของประเทศบราซิลเพิ่มอยางรวดเร็วจนเปนอันดับ 1 ของ ประเทศในทวีปอเมริกาใตในขณะนี้ เนื่องจากกุงขาวแปซิฟกที่เกษตรกรในประเทศไทยนิยมเรียกวากุงขาวแวนนาไม หรือเรียกกันวา “กุงขาว” เปนกุงท่ีเล้ียงงาย มีการเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว เนื่องจากพอแมพันธุไดรับการพัฒนาสายพันธุ มาเปนเวลาชานาน และทําใหมีการนําเขาไปเลี้ยงในหลาย ๆ ประเทศ และกุงชนิดน้ีไดมีการนําเขามาเล้ียง ในทวีปเอเชียครั้งแรกในประเทศไตหวัน ป พ.ศ. 2539 และตอมาไดนําเขาไปในประเทศจีนในป พ.ศ. 2541 สําหรับประเทศไทยไดมีการนํากุงขาวเขามาทดลองเล้ียงในป พ.ศ. 2541 แตการทดลองในคร้ังนั้นไมประสบ ความสําเร็จมากนัก จนกระท่ังเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 กรมประมงไดอนุญาตใหนําพอแมพันธุที่ปลอดเชื้อ (Specific Pathogen Free, SPF) จากตางประเทศเขามาทดลองเลี้ยง ระยะเวลาการนําเขาพอแมพันธุ ที่ปลอดเชื้อจากจากเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 ถึงเดือนกุมภาพันธ พ.ศ. 2546 ซ่ึงเปนชวงเวลาเดียวกันที่ การเล้ียงกุงกุลาดําในประเทศไทยกําลังประสบปญหาในเรื่องกุงโตชา โดยเฉพาะในขณะท่ีจับกุงจะพบวามีกุง ขนาดเล็กน้ําหนักประมาณ 3 ถึง 5 กรัมเปนจํานวนมาก ทําใหเกษตรกรสวนใหญประสบปญหาภาวะ ขาดทุน ในขณะเดียวกันเกษตรกรบางสว นไดทดลองเลี้ยงกุงขาว ซึ่งสวนใหญใหผลคอนขางดี และจากกระแส การเล้ียงกุงขาวท่ีไดผลดีกวากุงกุลาดํา สงผลใหเกษตรกรจาํ นวนมากหันมาเลย้ี งกุงขาวกันมากข้ึน แตเน่ืองจาก กุงขาวเปนกุงชนิดใหมท่ีไมเคยเลี้ยงในประเทศไทยมากอน รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรม การเลี้ยง การให อาหาร ตลอดจนปจจัยอื่น ๆ ที่มีผลเก่ียวกับการเลยี้ งยงั ไมมีการศึกษามากอน ทําใหเกษตรกรบางสวนมีปญหา ในเรอื่ งของกงุ เปนโรค ในเร่อื งของลกู พนั ธุทมี่ ีคณุ ภาพไมด ีหลงั จากเลยี้ งไปแลวมีปญหากุงโตชา และมลี ักษณะ ผดิ ปกติบางอยา งเกดิ ขน้ึ เนื่องจากกุง ขาวเปนกงุ ท่ีมีการเลี้ยงอยา งแพรหลายทัว่ โลกมากกวา 30 ประเทศ ดังนน้ั ในอนาคตการผลิตกุงขาวออกสูตลาดโลกจะมีปริมาณมาก โดยเฉพาะในป พ.ศ. 2546 ประเทศจีนซึ่งเปน
การเล้ยี งกงุ้ 5 5 ประเทศท่ีมีการผลิตกุงมากที่สุดในโลกถึง 400,000 ตันตอป พบวาจํานวนมากกวาครึ่งหนึ่งของผลผลิตจะมา จากกุงขาว สวนในประเทศไทยเม่ือป พ.ศ. 2545 มีการผลิตกุงขาวประมาณ 20,000 ตัน แตในป พ.ศ. 2546 ประเทศไทยสามารถผลิตกุงขาวไดจํานวนประมาณ 170,000 ตัน จะเห็นไดวามีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก และ ในขณะนีป้ ระเทศไทยเปน ประเทศท่ผี ลติ กงุ ขาวไดมากเปน อนั ดับสองรองจากประเทศจนี ลักษณะเฉพาะของกุงขาวท่ีสามารถสังเกตเห็นเดนชัดคือ บริเวณฟนกรี (หนาม) ดานบนจะหยัก และถี่ ปลายกรีจะตรง โดยท่ีฟนกรีดานลาง 2 อันและดานบน 8 อัน ความยาวของกรีจะยาวกวาลูกตาไมมาก และท่สี ังเกตเหน็ ไดชัดคือ จะเห็นลําไสกงุ ชนิดนชี้ ัดกวา กุงขาวอนื่ ๆ ขณะทีโ่ ตเต็มวัยสมบูรณเต็มที่ของกุงชนิดน้ี จะมคี วามยาวทั้งหมด (Total Length) 230 มลิ ลิเมตร (9 นว้ิ ) กุงกุลาดาํ เร่ิมตนจากการท่ีกรมประมงประสบความสําเร็จในการเพาะขยายพันธุกุงไดในโรงเพาะฟก ต้ังแต ประมาณ พ.ศ. 2515 ทําใหเกษตรกรเริ่มมีการนําลูกกุงไปปลอยเลี้ยงในบอกุง หรือนากุงธรรมชาติเพื่อเพ่ิม ผลผลิตจากระดับ 40 ถึง 50 กิโลกรัมตอไร มาเปนมากกวา 200 กิโลกรัมตอไรตอปตามลําดับ และไดพัฒนา ตอมาจนเปนการเล้ียงกุงโดยใชพันธกุ ุงจากโรงเพาะฟกอยางเดียวในชว งประมาณ พ.ศ. 2525 โดยในระยะนัน้ ยังคงเปนการปลอยกุงแบบไมหนาแนนมากนัก (ประมาณ 15 ถึง 20 ตัวตอตารางเมตร) ซ่ึงไดผลผลิตสูง เกษตรกรมีรายไดเพ่ิมข้ึนจากการเลี้ยงกุงแบบเดิมอยางเห็นไดชัด ประกอบกับมีเทคโนโลยีจากประทศไตหวัน เขามาสนับสนุนในการผลิต และการสงออกกุงมีการขยายตัวอยางรวดเร็ว ราคากุงที่ขยับสูงขึ้นทําให ผลประกอบการของแตละหนวยธุรกิจที่เก่ียวของสูงขึ้นมาก จึงมีการขยายตัวอยางรวดเร็วมากในระหวาง ป พ.ศ. 2528 ถึง 2531 ซ่ึงนับวาเปนยุคทองของการเล้ียงกุงในระยะที่ 1 โดยมีการขยายตัวในจังหวัดทาง ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใตฝ งอา วไทย ซึ่งจากการขยายตัวอยางรวดเร็วของฟารมเลี้ยงทําใหมีผลผลิตออกมามาก จนทําใหไมสามารถ หาตลาดสงออกไดทัน เน่อื งจากโรงงานแปรรปู และหองเย็นยังขยายตัวตามไมทัน สง ผลใหเกดิ ภาวะกงุ ราคาตก เปนครั้งแรกในชวงป พ.ศ. 2532-2533 เกษตรกรประสบกับปญหาการขาดทุนในแทบทุกพ้ืนท่ีโดยเฉพาะ ฟารมขนาดกลางถึงขนาดใหญ เน่ืองจากมีการลงทุนสรางระบบฟารมสูงมากหลังจาก ภาวะกุงราคาตกต่ํา ไดไมนาน เกษตรกรก็ประสบปญหาการเกิดโรคไวรัสหัวเหลืองระบาดในพ้ืนที่ภาคกลาง โดยเฉพาะบริเวณ “สามสมุทร” คือสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ และไดขยายไปภาคตะวันออกและภาคใต ตามลําดับ ทําใหเกษตรกรขาดทุนและปดฟารมขายอุปกรณการเลี้ยงกุงเพ่ือชดใชหน้ีสินกันมากในชวงต้ังแต ประมาณป พ.ศ. 2533-2535 ในระยะน้ีภาควิชาการก็ไดเขามามีบทบาทมากในการพัฒนาระบบและวิธีการ เลี้ยงตางๆ เพ่ือลดปญหาในเร่ืองโรคระบาด โดยเริ่มมีการเล้ียงกุงระบบปด หรือระบบถายน้ํานอย การจัด การฟารมเริ่มเปลี่ยนมาเปนการใชยาและเคมีภัณฑในการแกปญหามากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาการเลี้ยงกุง ในระบบปด บริเวณพ้นื ท่ีความเค็มตา่ํ เกดิ ขน้ึ มามาก โดยเฉพาะแถบลุมนํา้ บางปะกง ในปถัดมาก็เกิดปญหาการระบาดของโรคไวรัสชนิดใหมคือ โรคดวงขาว (ตัวแดงดวงขาว) ข้ึนอีกซ่ึง โรคนไ้ี ดทาํ ความเสยี หายเปนบรเิ วณกวางครอบคลุมในทุกพืน้ ท่ีการเลยี้ ง ทง้ั เขตความเค็มตํ่าจนถึงความเค็มสูง ซ่ึงโรคนี้ก็ยังคงทําความเสียหายใหกับการเลี้ยงกุงจนถึงในปจจุบัน ในชวงดังกลาว (พ.ศ. 2536) จนถึงปจจุบัน ระบบการเลี้ยงแบบตางๆ ไดมีการพัฒนาหลากหลายมากขึ้น แตสวนมากยังคงเปนการเลี้ยงกุงแบบปดหรือ แบบถายนํ้านอย ยกเวนในพื้นที่ภาคใตฝงทะเลอันดามัน การเล้ียงกุงแบบระบบปดโดยใชน้ําหมุนเวียนเร่ิมมี มากขนึ้ โดยเฉพาะในเขตพ้ืนทคี่ วามเคม็ ต่ํา และไดเ ริ่มมกี ารพฒั นาระบบการเล้ียงแบบอิงธรรมชาติเกิดขนึ้ ตอมาในป พ.ศ. 2540-2541 ซึ่งเปนชวงหลังจากคาเงินบาทลดตํ่าทําใหราคากุงสูงข้ึนมาก เกษตรกร มีรายไดสูงขึ้น ประกอบกับการเล้ียงกุงในเขตพื้นท่ีความเค็มตํ่าประสบความสําเร็จสูง จึงมีการขยายตัวของ
6 การเลี้ยงกุ้ง 6 การเล้ียงกุงเขตพื้นที่ความเค็มตํ่าหรือพ้ืนที่น้ําจืดจนเกิดกระแสตอตาน จนกระทั่งรัฐบาลประกาศหามการเลย้ี ง กุง กลุ าดาํ ระบบความเคม็ ต่าํ ในพ้นื ท่ีนาํ้ จืดข้นึ ในป พ.ศ. 2541 การขยายตัวของการเลี้ยงกุงตั้งแตป พ.ศ. 2541 ไดเพิ่มข้ึนอยางมากในหลายๆ ประเทศทั่วโลก เน่ืองจาก ราคากุงและผลตอบแทนที่สูงมาก แตอยางไรก็ตามไดเกิดโรคไวรัสดวงขาวระบาดข้ึนในกลุมประเทศอเมริกา กลางและอเมริกาใต สงผลใหผลผลิตกุงจากกลุมประเทศดังกลาวลดลงมากกวา 50 เปอรเซ็นต ทําใหราคากุง ในประเทศไทยยังคงสูงตอเนื่องจากในระยะป พ.ศ. 2540 จนถึง พ.ศ. 2543 ทําใหเกษตรกรยังคงมีการขยาย พน้ื ทกี่ ารเลย้ี ง และพยายามเพ่ิมผลผลติ ตอ พื้นที่มากข้นึ แตอยางไรก็ตามหากยอนมาดูประสิทธิภาพการผลิตกุงในระยะต้ังแตป พ.ศ. 2540 เปนตนมา จะพบวาขนาดของกงุ ทีจ่ ับขายหนา ฟารม จะเลก็ ลงเร่ือยๆ ทง้ั น้ีอาจเน่อื งมาจากเปนกุงทไี่ ดจากการเลี้ยงในระบบ ปดท่ีมีการปลอยลูกกุงในความหนาแนนสูง ประกอบกับภาวะราคากุงที่ยังคงสูงตอเน่ือง เกษตรกรก็ยังคงได กําไรแมว าจะจับกุงขนาดขนาดเล็กก็ตาม นอกจากนั้นผลผลิตตอพ้ืนท่ีการเลี้ยงก็เร่ิมลดลงตามมาดวย เพราะอัตรา รอดของกุงเมื่อจับขายก็มีแนวโนมต่ําลงจาก 80-90 เปอรเซ็นต จนเหลือประมาณ 50-60 เปอรเซ็นต โดยสาเหตุ หน่ึงท่ีทําใหอัตรารอดตายของกุงต่ําลงก็คือปญหาในเร่ืองโรค และคุณภาพของลูกกุงที่ลดลงจากราคาลูกกุง ทตี่ ํ่าลงดวย จากเหตุผลที่กลาวมาขางตน ทําใหเกษตรกรสวนใหญเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงเขาสูระบบปด มากข้ึน และมีการปลอยลูกกุงหนาแนนมากข้ึนเพ่ือชดเชยกับอัตรารอดท่ีตํ่าลง ซึ่งถือไดวาเปนจุดเปล่ียนแปลง อีกครั้งหนึ่งในระยะป พ.ศ. 2543 โดยมีการใชยาและเคมีภัณฑในการแกปญหาการเล้ียงมากข้ึน แตอยางไร ก็ตามเกษตรกรก็ยังคงมีกําไร ถึงแมตนทุนการผลิตจะสูงข้ึนก็ตาม เพราะราคาขายยังคงสงู และยังคงผลิตกุงได มากกวา ปละ 300,000 ตัน จนกระท่ังป พ.ศ. 2544 ราคากุงเร่ิมลดต่ําลงเร่ือยๆ จากผลผลิตกุงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและผูซื้อเร่ิมใช มาตรการการตรวจสอบสารตกคางในผลิตภณั ฑกุงทําใหแนวโนม ราคาตํ่าลงประกอบกับประสิทธิภาพการเลี้ยง ทล่ี ดต่าํ ลงดว ย (ชลอ และนติ ิ, 2553) พ.ศ. 2545 เกษตรผูเลีย้ งกุงตอ งประสบปญหากงุ กุลาดี่โตชา แตกไซด จนประสบกับปญหาการขาดทุน และเริ่มเปลี่ยนมาเล้ียงกุงขาวเพ่ิมขึ้น เพราะในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 กรมประมงไดอนุญาตใหนําพอแมพันธุ ท่ีปลอดเชื้อ (Specific Pathogen Free, SPF) จากตางประเทศเขามาทดลองเล้ียง นอกจากนี้กุงขาว ยังสามารถปลอยในอัตราหนาแนน สูง ทาํ ใหไ ดผลลิตสูงกวากุงกุลาดํา 2-3 เทา ดังนั้นผลผลิตกุงขาวจึงเพิ่มมากขึ้น ทุกป ปจ จบุ นั ผลลิตกงุ สวนใหญป ระมาณ 96 % จึงเปนกงุ ขาว พ.ศ. 2551 การเลี้ยงกุงขาวเร่ิมประสบปญหาในเร่ืองโรคข้ีขาว ทําใหตนทุนสูงข้ึนและผลผลิตลดลง เกษตรกรบางสวนเรมิ่ กลบั มาเล้ียงกุงกุลาดาํ ในขณะที่บางสว นเริม่ นํากุง นํา้ เงินเขา มาเล้ยี ง ความสําคัญทางเศรษฐกิจ กุงไทยเปนสินคาท่ีมีศักยภาพการแขงขันในตลาดโลกสูงมาก ชวง 5 ปท่ีผานมาการสงออกกุงของไทย เตบิ โตเฉล่ยี ราว 12% ตอ ป สูงกวา อัตราการเติบโตเฉลีย่ ของโลกท่ี 4% ตอ ป ปจ จบุ ันประเทศไทยผลิตกงุ ไดราว 500,000 ตันตอป ผลผลิตสวนใหญ 80% หรือ 400,000 ตัน ใชเพื่อการสงออก สามารถสรางรายได เขาประเทศไดปละกวา 90,000 ลานบาท สงผลใหไทยเปนประเทศผูผลิตและสงออกกุงรวมถึงผลิตภัณฑ แปรรูปใหญเปนอันดบั 1 ของโลกโดยในป\" 52 กงุ และผลติ ภัณฑแ ปรรูปของไทยครองสวนแบง ในตลาดโลกสูงถึง 23.9% โดยมีปริมาณการสงออก 389,999 ตัน คดิ เปนมูลคา 94,149 ลานบาท หรือสูงราว 12.23% ของมลู คา สงออกสินคาอาหารท้ังหมดของไทย ตลาดสงออกกุงของไทยที่สําคัญอันดับ 1 ไดแก สหรัฐอเมริกา 48.9% รองลงไปคอื ญป่ี นุ 20.4% สหภาพยุโรป 12.5% แคนาดา 5.6% ออสเตรเลยี 2.4% และเกาหลีใต 2.1%
การเล้ียงกุ้ง 7 7 มูลคา สินคาเกษตรสง ออกทส่ี ําคัญ พ.ศ. 2552-2553 รายการสินคา 2552 2552 2553 อัตราการเพ่ิม/ลด (ม.ค. - พ.ค.) (ม.ค. - พ.ค.) (%) 1. ยางธรรมชาติ 146,264 49,365 94,508 91.45 2. ขาวและผลิตภัณฑ 183,422 71,772 70,596 -1.64 3. นํ้าตาลและผลิตภัณฑ 68,748 27,282 47,526 74.20 4. ปลาและผลิตภัณฑ 97,585 38,817 38,999 0.47 5. มนั สําปะหลงั และผลิตภณั ฑ 51,641 15,843 33,880 113.84 6. กงุ และผลติ ภณั ฑ 94,149 30,278 33,785 11.58 7. ผลไมและผลิตภัณฑ 60,757 23,765 26,393 11.05 8. ไมและผลิตภัณฑ 41,549 14,791 20,272 37.05 9. ไกแปรรปู 47,456 19,069 18,459 -3.20 10. ผกั และผลติ ภัณฑ 19,483 8,058 8,329 3.36 ความสาํ คญั ทางสงั คม การเลี้ยงกุงนับเปนอาชีพท่ีกอใหเกิดธุรกิจตอเนื่องมากมาย อาทิเชน โรงเพาะฟกกุง โรงงานท่ีผลิต อาหารกุง บริษัทยาและสารเคมีที่ใชในการเล้ียงกุง แพจับกุง โรงงานแปรรูป (หองเย็น) จึงนับเปนอาชีพท่ีมี การกระจายรายไดไปสูคนในสังคมในวงกวา ง มคี นท่ีเก่ียวขอ งกบั ธุรกจิ นหี้ ลายแสนคน ขอคิดในการเลีย้ งกุงอยา งยง่ั ยืน เราไดไดฟงกันอยูเสมอและบอยคร้ังวา เราตองเลี้ยงกุงเพ่ือมุงสูความย่ังยืน (sustainability) และเรา พอเขาใจกันวา ความยั่งยืนคือการท่ีเราเล้ียงกุงไดผลผลิตจากการเลี้ยงกุงตอเนื่องและยาวนานไปเร่ือย โดยที่ การเล้ียงกุงของเราตองไมสงผลเสยี หาตอสง่ิ แวดลอมและสังคมแตใ นเรอ่ื งของระยะเวลาเลีย้ งสูความยั่งยนื แลว คงเปนเรื่องท่ีบอกไดยากมากกวาการเล้ียงกุงของเรายั่งยืนแลวหรือยัง ถายังอาจตองใชเวลาอีกนานกวาท่ีเรา คาดหลัง เชน อีก 20 ป หรอื 50 ป แตใ นชว ง 10 กวา ปท่ผี า นมาผลผลิตการเล้ียงกุงของเราสวนมากยังประสบ ปญ หาลุม ๆ ดอนๆ ไมส ามารถทําผลผลติ ไดมากเหมอื นที่เคยทาํ ได แมว าจะปลอยหนาแนน มากข้นึ เลี้ยงแลวจับ ออกหลายคร้ังหรือพาเซี่ยล (partial harvest) ขุนลูกกุงเพื่อเลี้ยงใหมากรอบข้ึนในรอบป ลงทุนเพ่ิมเพ่ือ ปรับเปลี่ยนระบบนํ้าใช ระบบทําความสะอาดพ้ืนบอ ใสเพ่ิมจุลินทรียมากข้ึน ใสเติมแรธาตุสารเคมี แมกระท่ัง ใชยาฆาเช้ือบางประเภทอยางมากมาย ผลผลิตท่ีเราคาดวาจะกลับมาและมุงสูความยั่งยืนก็ยังไมเกิดข้ึนใหเห็น อยางจริงจังแตอ ยางใด เราลองมาดูและทําความขาใจกับคําวา ความย่ังยืน (sustainability) จากวิกิพีเดียสารสุกรมเสรี ท่ีให ความหมายไวว า “ในวิชานิเทศวิทยา ความย่ังยนื คือความสามารถในการคงทน เปน วธิ ีระบบชวี ทิ ยายงั คงความ หลากหลายและมผี ลผลิต (productive) ไดไมจ ํากดั พื้นทีช่ ุมนาํ้ และปาท่ีอยูนานเปนตัวอยางของระบบชวี วิทยา ท่ียั่งยืน ในคําท่ีใชทั่วไปมากกวาความย่ังยืนคือ ความคงทนของระบบและกระบวนการ หลักการการจัดความ ยั่งยืน คือ การพัฒนาอยางยั่งยืน ซ่ึงรวมส่ีโดเมน (Domain) ที่เชื่อมสัมพันธกัน คือ นิเวศวิทยา เศรษฐศาสตร การเมืองและวฒั นธรรม” ในบทความน้ีจะพูดถึงความย่ังยืนในเชิงนิเวศวิทยาโดยทั่วไป ซ่ึงมีประเด็นสําคัญคือ ยังคงความ หลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity หรือ Biological Diversity) หมายความถึงตองมีความหลากหลายของ
8 การเลยี้ งกงุ้ 8 สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน พอจะกลาวไดคือ ในระบบนิเวศนน้ันตองมีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดอาศัยอยูรวมกัน อยางเหมาะสม ในชนิดหรือประเภทของสายพันธและปริมาณแมแตในบอเล้ียงกุงที่เราเขาใจวามีแตกุงท่ีเปน สิ่งมีชีวิตใดเพียงสายพันธุเดียวที่อยูไดในระบบนิเวศนบอเลี้ยงที่เราจัดเตรียมใหในสภาพเพื่อรองรับการเติบโต และผลผลิตกุงท่ีเลี้ยงดวยความหนาแนนแตกตางกันไป ความเปนจริงแลวในระบบนิเวศนของบอเลี้ยงกุงนั้นมี ส่ิงมีชีวิตอื่น เชน แพลงกตอนพืช แพลงกตอนสัตว สาหรายขนาดเล็ก สัตวหนาดิน แบคทีเรียกลุมตางๆ อาศัย อยูรวมกันเพ่ือใหระบบนิเวศกน้ันเกิดสมดุลในระดับที่กุงปลอยลงเลี้ยง สามารถเติบโตและใหผลผลิตภายใน ระยะเวลาการเล้ียงชวงหน่ึง และโดยมากส่ิงมีชีวิตอ่ืนในบอกุงมักไมไดรับความสนใจจากผูเล้ียงกุงแตอยางใด มกั โดนทาํ ลายหรือกําจัดทงิ้ เพราะกลวั วา จะเปนผลเสียตอการเลี้ยง ทง้ั ๆ ที่สง่ิ มีชีวิตตา งๆ เหลาน้ีรว มกนั ชวยค้ํา จุนการเล้ยี งกงุ ของเราใหยั่งยนื ได เปนสงิ่ จาํ เปนทเี่ ราตอ งคงความหลากหลายไว ประเดน็ ตอ มาคือ การมีผลผลติ ไมจํากัด (productive) เมื่อระบบนิเวศกคงความหลากหลายไดก็จะให ผลผลิตไมจํากัดตามมา เห็นไดชัดเจนในระบบนิเวศกของพื้นท่ีชุมน้ํา พ้ืนท่ีปาชายเลน เปนตน เพราะส่ิงมีชีวิต หลากหลายท่ีอยูรวมกันในระบบนิเวศนที่ยั่งยืนนั้นจะชว ยกันสรางผลผลิตออกมาอยางตอเน่ืองไมจํากัดเพ่ิมพูน ข้ึนเรื่อยๆ ใหเราเห็นในรูปของความอุดมสมบูรณน่ันเอง แตในบอเล้ียงกุงเปนระบบนิเวศกท่ีมีความลากหลาย ของส่ิงมีชีวิตมีต่ํากวาระบบนิเวศนของแหลงน้ําตามธรรมชาติอยูมากผลผลิตกุงท่ีเลี้ยงจึงเปนไปตามขอจํากัด ของความสมารถของบอในการรองรับผลผลิต (carrying capacity) ในระยะเวลาชวงหนึ่ง (90-120 วัน) ท่ีผู เล้ียงคาดหวังวาในการเก็บเกี่ยวผลผลิต (harvesting) และในระยะเวลาท่ีเล้ียงกุงนั้น สิ่งมีชีวิตอ่ืนในบอก็สราง ผลผลิตไมจํากัดเชนกัน เราจะเห็นผลผลิตของส่ิงมีชีวิตอ่ืนในนิวศนบอกุงปรากฏในสภาพของสีนํ้าท่ีเขมขึ้นจน เขมจัด เปนผลผลิตจากแพลงกตอนพืชและสาหราย และปรากฏในสภาพพื้นบอท่ีเกิดการหมักหมมจนมีสีดํา และกลิ่นเหม็นจากผลผลิตของแบคทีเรียท่ียอยสลายของเสียที่เกิดข้ึนในบอ เปนตน ผลผลิตจากสิ่งมีชีวิตที่ หลากหลายรวมทั้งกุงหากอยใู นสภาวะสมดุลก็สง เสริมใหกุงท่ีเราเลย้ี งเตบิ โตตอไปไดจนถงึ เวลาเก็บเกีย่ วผลผลิต หากผลผลิตจากสง่ิ มีชวี ติ อ่ืนและกุงดวยเชนกัน เชน กุงเกิดความเครียด ไมกินอาหาร ติดเชื้อ ออนแอ และตาย ในท่ีสุดการบริหารจัดการลดผลผลิตที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตอื่นในนิเวศนบอกุงจึงเปนเรื่องจําเปน เพื่อสราง สภาพแวดลอ มทสี่ มดุลตอการอยอู าศยั ของกุงและสามารถเติบโตตอไปจนไดข นาดจบั ขาย ท้ังสองประเด็นหลักที่กลาวมาแลวจึงเปนสวนหนึ่งของคําตอบวา เราจะเลี้ยงกุงมุงสูความย่ังยืนได อยา งไร เราคงเคยไดฟงทานผูรูในวงการเลี้ยงกุงแนะนํากันมากมายในภาพรวมวา ถาอยากใหธุรกิจการ เพาะเลีย้ งสัตวนํา้ ดาํ เนนิ ตอไปไดอ ยางยั่งยนื น้ัน คงจะตอ งใชส ภุ าษิตที่วา “สูงสุดคืนสสู ามัญ” เม่ือการเลีย้ งกุงใน ตอนเริ่มแรกเราใชทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป ไดแก การเลี้ยงกุงแบบหนาแนน เนนผลผลิตสูงๆ ดึงส่ิงดีๆที่ มีอยูในธรรมชาติไปใช นําส่ิงแปลกปลอมใสลงในธรรมชาติ เลยทําใหสภาพของดินนํ้าในธรรมชาติเกิดมลพิษที่ ไมเหมาะสมตอการเล้ียงกุงในรุนตอไป เรียกวาไมสามารถเลี้ยงใหไดผลผลิตดีเหมือนรุนแรกท่ีเร่ิมขุดบอเลี้ยง ใหมๆ ส่งิ ที่เราปฏิบตั ิกนั ไดคอื การคืนธรรมชาตใิ หกับส่งิ แวดลอมและไมทาํ ใหสภาพแวดลอมเสียหายเพิ่มมากขึ้น อยางตอเนื่องอีก อาจเร่ิมจากการทําบอบําบัดนํ้าท่ีใชเลี้ยงกุง บอบําบัดตะกอนเลนของเสีย การบําบัดทั้งนํ้าท่ี ผา นการเลี้ยงกุง จับกุง และตะกอนเลนของเสียกอนะบายออกสูแหลงนํ้าภายนอก จะชวยรกั ษาสภาพแวดลอม ของแหลง น้าํ ไมไดเสื่อมโทรมอยา งรวดเร็วได รวมถงึ การเริ่มชว ยกันปลูกตน ไมในบริเวณบอกุงและบรเิ วณรอบๆ บอกุง และการลดความหนาแนนในการเลี้ยง การเนนความสะอาดหรือสุขอนามัยทุกดานในพื้นที่เล้ียง เพ่ือ ปองกันการแพรระบาดของโรค เปนตน ส่ิงเหลานี้ตองเนนทํารวมกันอยูเสมอ ไมใชเนนแตผลผลิตกุงมากๆ เพียงอยางเดยี ว
การเลยี้ งกุ้ง 9 9 เรามองขาม การฟน ฟู (regeneration) การฟนฟู (regeneration) หมายถึง การเกดิ ใหม การสรางใหมเพื่อทดแทนของเดิมเพื่อใหร ะบบน้ันได กลับมาทํางานไดเต็มที่หรือกลับมาอยูในภาวะสมดุลใหมอีกคร้ังไดตามธรรมชาติ ตัวอยางเชน เราปลูกปาชาย เลนข้ึนมาใหมเพ่ือทดแทนพ้ืนที่ปาชายเลนที่ถูกทําลายโดยกิจกรรมของมนุษยและนําพ้ืนที่ปาชายเลนบางสวน ไปใชเลี้ยงกุง การปลูกปาชายเลนทดแทนเพ่ือฟนฟูความสมบูรณของระบบนิเวศนปาชายเลน และความเปน ธรรมชาติของปาชายเลนใหกลับคืนมาใหม (แตตองใชเวลานานมากทีเดียว) เม่ือระบบนิเวศนปาชายเลนถูก ฟน ฟูแลว ความหลากหลายทางชีวภาพของสิง่ มีชีวติ ท่ีอาศัยในปา ชายเลนก็จะเกิดขน้ึ ผลผลิตตามธรรมชาติจาก นิเวศนป า ชายเลนกจ็ ะเกดิ ขนึ้ แบบไมจ าํ กัดตามมา ดงั นิยามที่พดู ถงึ ขางตน บทความ ในการเล้ียงกุงเปนเวลานานหลานรุนหลายป พบวาผลผลิตกุงที่ไดจากบอมีแนวโนมจะลดลงจนถึงไม สามารถเลี้ยงตอได ย่ิงเกษตรกรมีการใชสารปรับสภาพดิน สูตรปรับสภาพนํ้า ท่ีมีวางขายเกลื่อน ตลาดเพื่อให เลี้ยงกุงตอไปไดน้ัน เปนการแกปญหาปลายเหตุในบอเลี้ยงกุง ซึ่งมักไมไดผลดีตามตองการ และไมใชแนว ทางการจัดการทีด่ สี คู วามยั่งยนื การฟนฟูเปนเร่ืองสําคัญตอการเลี้ยงกุงที่มุงสูความยั่งยืน โดยเฉพาะอยางย่ิงการฟนฟูแหลงน้ําใช คุณภาพดินพื้นบอ ผานกระบวนการบําบัดทางชีวภาพ (Biological Treatment) ทั้งนํ้าและดินกอนนํามาใช ใหมหรือระบายทิ้งออกสูแหลงนํ้าภายนอกฟารม และการฟนฟูสภาพแวดลอมของชุมชนทีอยูในพ้ืนที่เล้ียงกุง เดยี วกนั เพ่ือลดความแปลกแยกในชุมชน การฟน ฟูแหลงนํา้ ใช (Water Resource Regeneration) เกษตรกรเล้ียงกุงไทยสว นมากใชนํ้าเพื่อการเลย้ี งกุงจากแหลง นา้ํ ธรรมชาติท่ีอยูในพื้นทไ่ี มไกลจากทีต่ ้งั ฟารม หรืออยูในชุมชนที่มีฟารมเล้ียงกุงต้ังอยู เปนแหลงนํ้าธรรมชาติที่ชมุ ชนใชรว มกันในกิจกรรมตางๆ แหลง น้ําธรรมชาติมักถูกใชประโยชนดานเดียวอยูตลอด ขาดการพื้นฟู บําบัด ปรับปรุงสภาพแวดลอมแหลงนํ้าและ คุณภาพของแหลงนํ้าใหดีข้ึน สวนมากสภาพและคุณภาพแหลงน้ําใชตามธรรมชาติของชุมชนจึงมักเส่ือมโทรม จากการใชประโยชนจากกิจกรรมของชุมชนมากเกินไป ความคิดสวนใหญของชุมชนมองวาแหลงน้ําตาม ธรรมชาติ นอกจากถูกสูบข้ึนมาใชประโยชนแลว ยังเปนแหลงระบายหรอื รองรับน้ําทง้ิ นํ้าเสียจากบอเล้ียงสตั ว น้ําและของชุมชน เพราะเขาใจวาปริมาณนํ้าท้ิง นํ้าเสียที่ตัวเองระบายลงไปมีปริมาณไมมาก แหลงนํ้านั้น สามารถปรับสภาพตัวเองใหดีข้ึนได แตในความเปนจริงแลวชุมชนและเกษตรกรชวยกันระบายน้ําทิ้งนํ้าเสียใน แตล ะครั้งรวมกนั แลวปริมาณมากจนแหลงนาํ้ ไมสามารถฟอกตวั (purification) ใหก ลบั มาสะอาดเหมอื นเดิมได ในเวลาอันน้ัน และที่เกิดปญหาหนักจนแกไขไดยากคือ ขยะและดินตะกอนของเสียจากบอกุงที่ระบายทิ้งลงไป ทําใหแหลงนํ้านั้นตื้นเขินเร็วข้ึน ไปขวางทางระบายนํ้าทําใหเกิดนํ้าทวมขังในชุมชนเปน เวลานานเม่ือเกิดฝนตก หนกั เพราะนาํ้ ฝนทต่ี กลงมาระบายลงสูแหลงนา้ํ แลว ไมส ามารถจะระบายไหลออกสแู หลง น้าํ ที่ลึกกวา ได ผลเสียที่ขาดการฟนฟูแหลงนํ้าใชตอเกษตรกรเลี้ยงกุงคือ เวลาสูบน้ํามาใชหรือเก็บพักไวในบอพักนํ้า มักไดปริมาณนํ้านอยลง มีขยะและตะกอนปนมากับน้ํามากข้ึน คุณภาพนํ้าแยลงมากตองนําไปพักนานข้ึน กวาเดิม หรือผานกระบวนการบําบัดนํา้ กอนใช ซึ่งโดยสวนมากนิยมใชสารเคมีเพราะสะดวกและรวดเร็ว ทําให สิ้นเปลืองคาใชจายและพลังงานในการบําบัดนํ้าที่สูบเขามากอนใชเลี้ยงกุง ตางกับในอดีตมักไมมีคาใชจายใน การบาํ บดั นํ้ามากนัก ในกรณีเกษตรกรรายยอยทีไ่ มมีบอพักน้าํ มักจะเสียคาใชจ ายเพิ่มมากขน้ึ ในการซื้อสารเคมี หรือน้ํายาปรับสภาพนํ้าทีโ่ ฆษณาขายกันทว่ั ชุมชน เพื่อใหม่ันใจวาซ้ือมาใชแลวจะไดคุณภาพน้ําเหมาะสมและดี พอนํามาใชเลี้ยงกุงในบอของตน ทั้งท่ีสารเคมีหรือนํ้ายาปรับสภาพนํ้าไมมีประสิทธิภาพเพียงพอจะบําบัดหรือ ฟอกน้าํ ใหสะอาดอยางที่โฆษณาและเปน การแกปญหาทีป่ ลายเหตุ
10 การเล้ียงกุง้ 10 การฟน ฟแู หลง นํ้าใช ตองเริม่ จากสรา งจติ สํานึกรวมกันในการไมท้ิงนํ้าใชแลว ซึง่ เปน นํ้าเสียทิง้ ขยะ และ ถายตะกอนของเสียลงในแหลง นํ้าเปน อันดบั แรก รวมถึงน้าํ ใชแ ลวหรอื ผา นการเลีย้ งกุงหรือจับกุงแลวตองบําบัด กอนเสมอใหคุณภาพดีกอนระบายท้ิงออกนอกฟารม มีพนที่เก็บขยะเปนสัดสวนที่งายตอการกําจัดหรือทําลาย บนดิน ไมใชท้ิงลงแหลงน้ํา ตะกอนของเสียจากบอกุงตองถายหรือระบายลงในบอเก็บตะกอนในฟารม และหา วิธีการบําบัดรวมทั้งนํามาใชประโยชนดานปุยสําหรับปลูกพืช เนื่องจากตะกอนเลนข้ีกุงมีธาตุอาหารสวนเกิน มาก โดยเฉพาะไนโตรเจนฟอสฟอรัส เกลือ และอินทรียวัตถุ อาจตองมีพ้ืนท่ีมากพอทําเปนลานตากและลาง ดวยน้ําจืดหรือนํ้าฝนใหหมดความเค็มกอนนํามาใชเปนปุย เปนตน นอกจากน้ันการใชระบบน้ําหมุนเวียนแบบ ปด (Recirculating Aquaculture System หรือ RAS) จะชวยใหเราประหยัดการใชนํ้าจากแหลงน้ําธรรมชาติ ไดมาก และยังชวยปองกันโรคกุงท่ีมากับแหลงน้ําภายนอกอีกดวย ระบบ RAS น้ีเริ่มใชกันอยางแพรหลายใน สหรัฐอเมริกา ยุโรป และในเอเชียบางประเทศท่ีเลี้ยงกุง และเม่ือจับกุง นํ้าในบอเลี้ยงยังคงถูกระบายไปเก็บไว อีกบอหนึ่งเพื่อทําการบําบัดใหม ีคุณภาพดี ดวยกระบวนการทางชีวภาพและฟสิกสเคมี เพ่ือนําน้ําน้ันกลับมาใช ใหมหรือระบายท้ิงลงแหลงนํ้าธรรมชาติ ลดการแบกรับภาวะ (loading) ของแหลงน้ําธรรมชาติในการบําบัด หรอื ฟอกตัวเองจากนํ้าท้งิ ของบอกุงของเราไดมาก วิธีการบําบัดน้ําที่ผานการเลี้ยงกุงหรือจับกุงแลว (Waste Water Treatment before Discharging) ที่ดีท่ีสุด มีประสิทธิภาพ และคาใชจายตํ่า รวมทั้งเพิ่มรายไดเสริมคือ ใชกระบวนการบําบัดทางชีวภาพ (Biological Treatment) ไดแก การบําบัดน้ําทิ้งผานสาหรายหอย ปลากินพืชเศรษฐกิจ รวมทั้งใชจุลินทรีย การจะเลือกใชสาหราย หอย หรือปลา และรวมกับจุลินทรีย ข้ึนอยูกับคุณภาพของน้ําท่ีจะบําบัด ไดแก ความ เค็ม ความขุน ของนา้ํ ปริมาณน้าํ ขนาดพ้นื ทบี่ อ บาํ บัด เปน ตน รายละเอียดในเรอ่ื งนสี้ ามารถหาอานไดท ่วั ไป การฟน ฟคู ณุ ภาพดนิ ในบอ (Pond Soil Regeneration) ดินในบอท่ีผานการเล้ียงกุงมานานหลายรุนหลายรอบการเล้ียงและหลายป คุณภาพดินน้ันจะเส่ือม คุณภาพ เพราะเกิดการหมักหมกของเศษซากตะกอน อาหารเหลือท่ีสะสมอยูพื้นบอและไมสามารถกําจัดออก ไดหมด โดยเฉพาะสารอาหารเหลือกจากการเล้ียงกุงท่ีสะสมตัวและมีปริมาณเพิ่มมากข้ึนในดินช้ันลาง แมจะมี การดูดเอาตะกอนขี้เลนที่พื้นบอออกเปนระยะตลอดรอบเวลาการเลี้ยงก็ตาม หลังจับกุงแลว ควรมีการลางบอ ดวยนํ้าจืดเปนเวลานานเปนอาทิตยเพื่อใหเช้ือวิบริโอกอโรคท่ีชอบความเค็มไดถูกกําจัดออกไปกับนํ้าจืด ถาน้ํา จดื หายากอาจใชน าํ้ ฝนแทนได โดยชุดบอเกบ็ นํ้าฝนไวใชลางบอหลงั จับกงุ หรอื ใชเพ่อื กจิ กรรมอืน่ ในฟารม หลังจับกุงแลวบอมักถูกสูบน้ําใหแ หง ใสปูนขาวเพ่ือปรับความสมดุลของดิน ตากแดด และจําเปนตอง มีการปบพลิกหนาดินใหดินดานลางไดสัมผัสอากาศบาง บอเล้ียงกุงท่ีปูพื้นดวยพีอีที่เล้ียงไปนานๆ จําเปนตอง ลางพื้นบอไดพีอีดวยนํ้าจืดหรือนํ้าฝน แลวตากบอใหแหง พรอมพลิกหนาดินใหดินชั้นลางไดโดนแดดและ อากาศเชน กัน เพ่อื ลดปญ หาของเสียและแกส ท่ีอาจสะสมตัวเพ่ิมปริมาณไดพน้ื บอท่ปี ดู ว ยพีอเี ปน เวลานานๆ การเล้ียงกุงของไทยในชวงหลังเกิด EMS ระบาดจนผลผลิตกุงไทยหายไปเกินคร่ึงจากที่เคยผลิตไดน้ัน เกษตรกรสวนใหญหันมาใหความสําคัญกับการระบายขี้กุงตะกอนเลนของเสียที่พื้นบอออกกันมากข้ึนใน ระหวางการเลี้ยง ขี้กุงตะกอนเลนของเสียที่ระบายออกมาตองมีบอหรือพ้ืนที่เก็บกักไวในฟารมเสมอ ไมใช ระบายท้ิงโดยตรงลงสูแหลงนํ้าธรรมชาติหรือนอกฟารม บางรายแอบตักใสรถบรรทุกไปท้ิงในพื้นท่ีปาชายเลน อยางท่ีเคยเปนขาวเมื่อหลายปกอน ซึ่งเปนการสรางความเสียหายใหกับระบบนิเวศนของแหลงน้ําธรรมชาติ และพื้นท่ีชายฝง การมีพื้นที่เก็บกักข้ีกุงตะกอนเลนของเสียยังไมเพียงพอ ตองมีวิธีการบําบัดหรือลดความเปน ของเสียใหนอยลงดวย เชน ใชจุลินทรียชวยในการยอยสลาย ปลอยปลานิล ปลาหมอเทศชวยกรองกินตะกอน รวมถึงการใหเวลาพักนานข้ึนเพ่ือใหตกตะกอนในบอหรือพ้ืนที่เก็บกักกอน น้ําท่ีปนอยูกับตะกอนชั้นบนจึงถูก สูบไปบําบัดตอไป เพ่ือนําไปหมุนเวียนใชตอหรือบําบัดจนคุณภาพดีพอแลว จึงระบายท้ิงออกลงแหลงน้ํา
การเลีย้ งกงุ้ 11 11 ธรรมชาตินอกฟารมได สวนตะกอนอาจนํามาลางดวยน้ําจืดหรือน้ําฝน ผ่ึงลม ตากแดด เพื่อใหธาตุอาหาร สว นเกนิ หรือสารอนิ ทรยี ไดถ กู ยอ ยสลายไปบาง หรอื นํามาเปนปุยปลูกพชื ในฟารม ตอไป ตองไมร ะบายข้ีกงุ ตะกอนเลนลงสูแ หลงนํ้าสาธารณะโดยตรง เพราะมผี ลเสียทําใหแหลงน้ําต้ืนเขินและ ขวางการไหลเวียนของน้ํา เพิ่มภาระความสกปรกใหแหลงนํ้าตองใชเวลาฟอกตัวเองนานมากขึ้น ระหวางน้ัน คุณภาพของน้ําในแหลงนํ้าจะเส่ือมสภาพลงไปจากความสกปรกที่แบกรับอยู นอกจากน้ันข้ีกุงตะกอนเลนยัง เปน แหลงสะสมเชอ้ื โรคมากมาย ท่ีเออ้ื ตอการเกดิ โรคระบาดในพนื้ ท่ีเล้ียงกุงที่ใชแหลงนํา้ ธรรมชาติรว มกนั ได การฟนฟูแหลงนํ้าธรรมชาติและคุณภาพดินในบอ รวมถึงพื้นที่เล้ียงดังกลาว เกษตรกรอาจขอ คําแนะนํา เขาไปดูและศึกษาหลักการทําของเสียเปนศูนย หรือ ZERO WASTE ที่พันธุโพธิ์ฟารม อ.กะเปอร จะ.ระนอง ซึ่งคุณอดุลย พันธุโพธิ์ ใชวิธีการลดของเสียจากการเล้ียงกุงเปนศูนยไดจริง นําข้ีกุงตะกอนเลนไป เปนปยุ ปลกู ขาวไรซเ บอรรี มะพราวนํา้ หอม ขา วโพดหวาน พืชผกั สวนครัวอ่ืนๆ และตน ปาลมนํา้ มัน และบาํ บัด นํ้าหลังจับกุงจนมีคุณภาพดีพอกอนระบายลงสูคลองตามแนวปาชายเลนธรรมชาติขางฟารมที่ไหลออกสูทะเล ทําใหคลองบริเวณน้ันมีลูกพันธุสัตวน้ําซุกชุมและอุดมสมบูรณ รวมถึงชวยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ของคลองปาชายเลนธรรมชาติไดมาก ทําใหชาวบานในชุมชนที่ฟารมต้ังอยูไดอาศัยจับสตั วน้ําคลองปาชายเลน ธรรมชาตเิ ปนการยังชีพและเพม่ิ รายไดข องครัวเรอื นอกี ดว ย การฟนฟสู ภาพแวดลอมของชมุ ชน (Community Regeneration) ฟารมหรือบอเล้ียงกุงเปนสวนหนึ่งของชุมชน เดิมอาจเปนพ้ืนที่ปาหรือพ้ืนที่วางของชุมชนเม่ือเปล่ียน มาเปนบอเล้ียงกุง จึงกลายเปนพ้ืนท่ีโลงและอาจดูแปลกแยกจากชุมชนอยูบางโดยเฉพาะไมมีตนไมใหความรม ร่ืน มีแตรั้วลอมรอบ เต็มไปดวยเครื่องตนี ํ้า บางแหงดูแหงแลงและบางรายท่เี ลิกเลี้ยงกุง ปลอยพ้ืนท่ีรางไมนาดู สงผลตอสภาพแวดลอมของชมุ ชนดวยเชนกัน การปลูกตนไมในฟารม และพ้ืนท่วี างตางๆในฟารม ชวยใหฟารม กุงดูรมรืน่ ไมแหง แลงตนไมช ว ยคลุมดิน ปองกันการพังทลายของดินตามแนคันบอและถนนในฟารมได เม่ือเกิดฝนตกหนักและลมแรงอยูเสมอ นอกจากนั้นหากเลือกปลูกตนไมท่ีใหดอกผลที่บริโภคได ก็ชวยลดคาใชจายดานซื้อหาอาหารในฟารมไดมาก บางแหงอาจขายผลผลติ จากตนไมท่ีปลูกไวใ นฟารม เปน รายไดเสริมไดอีกดวย การท่ีฟารมกุงชวยกันฟนฟูความรมร่ืน สวยงาม สบายตา ใหกลับคืนสูชุมชน เสมือนหนาบานนมอง และในบานเชียวรมร่ืน สะดาดตา ไรขยะ มลพิษของเสียตางๆ ทําใหฟารมกุงดูเปนมิตรกับส่ิงแวดลอมมากขึ้น และสรา งภาพพจนท่ีดใี นสายตาผูสงออก ผูน ําเขา และผบู ริโภคกุง ทงั้ ในประเทศและตางประเทศวา กงุ ทบี่ ริโภค ถกู ลี้ยงมาจากบอทีส่ ะอาด ผานการเลี้ยง การบําบัดทีด่ ี ไรม ลพิษ สงิ่ ปนเปอ น และสารเคมีใดๆ เกษตรกรเอาใส ใจตอสภาพแวดลอมอยางแทจริงชวยเปลี่ยนภาพพจนจากฟารมเลี้ยงกุงที่มีร้ัวรอบขอบชิด มีน้ําเนานํ้าเสีย ดิน ตะกอนเลนดําๆ ขยะเกล้ือนพ้ืนที่ แหงแลง ไมมีตนไม ขาดความรมรื่น มาเปนฟารมเล้ียงกุงสีเขียวสะอาดตา (Clean-Green Shrimp Farm) ได การฟน ฟูชวยสรา งความตา งใหกงุ ไทย และมุงสูความยัง่ ยืนได Differentiation to Sustainability) บริษัทเลี้ยงกุงรายใหญของมาเลเซียไดเนนกระบวนการบําบัดน้ําท้ิงจากโรงเพาะฟกลูกกุงและบอเลีย้ ง กงุ รวม 264 บอ กอ นนําไปหนุนเวยี นใชใหมหรอื ระบายทิ้งลงสูแหลงน้ําธรรมชาตกิ ระบวนการบาํ บัดดังกลาวใช เวลา 12 วัน มีพ้ืนท่ีบําบัด เคร่ืองมือ และบุคลากรพรอม เพื่อใหไดคุณภาพทิ้งจากโรงเพาะฟกกุง (ถือวาเปน แหงแรกของโลก) และบอกุงตามมาตรฐานของกรมควบคุมส่ิงแวดลอมมาเลเซีย โดยเนนวาการดําเนินงาน ดังกลาวเปนยกระดับมาตรฐานการเล้ียงกุงของมาเลเซีย (Raising the bar in Malaysia) เปนไปตามคําขวัญ ของบริษัท “Quality/Safety/Ecology” เพื่อสรางคุณคาท่ีเหมาะสมอยางยั่งยืน (sustainability ticket) และ
12 การเลยี้ งก้งุ 12 เนนสรางภาพพจนอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุงของมาเลเซียวาใหความสําคัญและใสใจตอสิ่งแวดลอมสงผลให ผลผลิตกุงสง ออกเปน ทย่ี อมรับในระดบั สากล สําหรับไทยเราเอง จําเปนที่เราตองบําบัดและฟนฟูท้ังนํ้า และดิน รวมทั้งสภาพแวดลอมฟารมอยาง จริงจังและตอเนื่อง เพ่ือใหคุณภาพกุงของเราท่ียอมรับกันทั่วโลกวามีคุณภาพดีนั้น มีความแตกตาง (differentiation) ชัดเจนจากประเทศคูแขงขันท่ีผลิตกุง ก็เช่ือวาการเล้ียงกุงของเราจะยั่งยืนตอไปได กุงไทย ยงั คงเปน อาหารทะเลฟรีเม่ียมสนองความตองการของผูบริโภคทีม่ ีกําลังซื้อทั้งในประเทศและตา งประเทศไดอีก ยาวนาน โดยเฉพาะกุงไทยท่ีผานกระบวนการฟนฟูดังกลาวนอกจากไดสรางความแตกตางเฉพาะตัว ไมเ หมือนกบั กงุ ทัว่ ไปของประเทศอื่นแลว ยงั ชวยเพิ่มและตอกยํ้าภาพพจนท ่ดี ีสําหรบั กงุ ไทยใหม ากขน้ึ อกี ดว ย การฟนฟูสภาพแวดลอมของฟารมในชุมชน ยังชวยสรางและรักษาความรักในอาชีพเลีย้ งกุงท่ีเปนมติ ร กับส่ิงแวดลอมของเกษตรกรอยางตอเนื่อง และสงเสริมการไดมีสวนรวมในการชวยกันพัฒนาชุมชนในพ้ืนที่ เลี้ยงกุงนั้น โดยไมถือวาฟารมเล้ียงกุงเปนพื้นท่ีแปลกแยกของชุมชนและสรางความนาอยูรวมกันในชุมชนที่ รักษาไวซง่ึ ความเขียวสะอาดจากตน ไมท รี่ วมดว ยชว ยกันปลกู และดูแลรักษาอยูต ลอดไป
การเลี้ยงกุง้ 13 13 ชนดิ ของกุง 8 ชนิดทีส่ ําคญั ทางเศรษฐกจิ กุงขาววานาไม อนุกรมวธิ าน ชื่อวทิ ยาศาสตร : Litopenaeus vannamei Phylum Arthropoda Class Crustacea Subclass Malacostraca Superorder Eucarid Ecarida Order Decapoda Suborder Natantia Section Penaeidea Family Penaeidae Genus Penaeus Litopenaeus Species vannamei ชือ่ วิทยาศาสตรข องกุงขาววานาไม กุงขาวลิโทพีเนียส แวนนาไม เปนสายพันธุกุงทะเลท่ีมีการเพะเล้ียงกันอยางแพรหลายในหลายประเทศ เชนสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก กัวเตมาลา นิคารากัว คอสตาริกา ปานามา โคลัมเปย อิควาดอร เปรู กุงสายพันธนุ ี้ เปนสัตวท่ีมีความแข็งแรงและทนทานจึงมีการขยายพันธุตามธรรมชาติไดกวางไกล ในแถบแนวชาย ฝง ตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟก ต้ังแตเม็กซิโกถึงเปรู เน่ืองจากภูมิภาคในแถบน้ีท่ีระดับความลึกจากเสนแนว ชายฝงลงไปประมาณ 72 เมตร หรือ 235 ฟุต มีพ้ืนทองทะเลเปนเหมือนโคลนท่ีเหมาะสมแกการเจริญเติบโต และเปนแหลงอาหารท่ีอุดมสมบรู ณ ประเทศอิควาดอรเปนประเทศผูผลิตรายใหญที่มีฟารม เพาะเล้ียงกงุ ลูกกุง พอ -แมพ นั ธุ ลกั ษณะของกุง ขาววานาไม ลักษณะท่ัวไปของกุงขาวลิโทพีเนียส แวนนาไม ลําตัวมี 8 ปลองและมีสีขาว หนาอกใหญ การเคลื่อนไหวเร็ว สวนหัวมี 1 ปลอง มีกรีอยูในระดับยาวประมาณ 0.6 เทาของความยาวเปลือกหัวสันกรีสูง ปลายกรีแคบ สวนของกรีมีลักษณะเปนสามเหลี่ยมมีสีแดงอมน้ําตาล กรีดานบนมี 8 พัน กรีดานลางมี 2 ฟน รองบนกรี มองเห็นไดชัด เปลือกหัวสีขาวอมชมพูถึงแดง ขาเสนมีสีขาวเปนลักษณะท่ีโดดเดน หนวดแดง 2 เสนยาว ตาแดงเขม สวนตัวมี 6 ปลอง เลือกตัวสีขามอมชมพูถึงแดง เปลือกบาง ขาวายนํ้า 5 คู มีสีขาวขางในท่ีปลายมี สีแดง สวนหางมี 1 ปลอง ปลายหางมีสีแดงเขม แพนหางมี 4 ใบ และ 1 กรีหาง ขนาดตัวท่ีโตสมบูรณเต็มท่ี
14 การเลย้ี งกุ้ง 14 ของกุงสายพันธุนี้จะมีขนาดที่เล็กกวา กุงกุลาดํา หากินทุกระดับความลึกของนํ้า ขอบวายลองนํ้าแกงลอกคราบ เร็วทุก ๆ สัปดาหไมห มกตวั แหลง ทอี่ าศัย กุงขาวแปซิฟกเปนกุงท่ีเล้ียงไดท้ังระบบธรรมชาติ และระบบกึ่งหนาแนน ลักษณะพิเศษของกุง สายพันธุน้ีคือสามารถสรางความคุยเคยหรือปรับลักษณะนิสัยภายใตระบบการเพาะเล้ียงได เชน สามารถทํา การเพาะเล้ียงไดท้ังในนํ้าท่ีมีระดบั ความเค็มท่ี 5-35 สวนในพันสวน และระดบั ความเค็มต่ํา 0-5 สว น แตระดับ ความเค็มท่สี ามารถเจริญเติบโตไดดี คือ 10-22 สว นในพนั สวน สวนอุณหภมู ิทีส่ ามารถเจริญเติบโตดีคือ 26-29 องศาเซลเซียส กงุ กลุ าดาํ อนกุ รมวธิ าน กุงกุลาดาํ หรอื กุงมา ลาย (อังกฤษ: Tiger prawn; ช่อื วทิ ยาศาสตร: Penaeus monodon[2]) เปน กุง ทะเล ขนาดประมาณ 18 - 25 เซนตเิ มตร มขี นาดใหญทสี่ ดุ ในวงศ Penaeidae มีอนกุ รมวธิ าน ดงั นี้ Phylum - Arthropoda Class - Crustacia Subclass - Malacostraca Order - Decapoda Suborder - Dendrobranchiae Superfamily - Penaeoidea Family - Penaeidae ชอื่ วิทยาศาสตรข องกุงกลุ าดํา กุงกุลาดําเปนกุงทะเลที่มีขนาดใหญท่ีสุดในตระกูล Penaeidae มีชื่อทางวิทยาศาสตรแตกตางกัน หลายช่ือตามนักวิทยาศาสตรที่คนพบ แตที่เปนท่ียอมรับกันทั่วไป คือ Penaeus Monodon Frabricius และ มีชื่อภาษาอังกฤษท่ีองคการอาหารและเกษตรแหงสหประชาชาติ (FAO) ใชอยูคือ Giant Tiger Prawn สวนแหลงกําเนิดด้ังเดิมอยูในทะเลแถบอินโดแปซิกฟกตะวันตก อัฟริกาตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต และ คาบสมุทรอินเดีย ลักษณะของกุงกุลาดําวัยรุนอาศัยตามปากแมนํ้า และเม่ือเต็มวัยชอบอาศัยในทะเลที่มีพื้นท่ี มีโคลนปนทราย ระดับความลึกไมเกิน 110 เมตร กุงกุลาดําชอบฝงตัวในเวลากลางวันและหากิน ในเวลากลางคนื วางไขไดตลอดท้ังป แตว างไขชุกชมุ ระหวางเดือนพฤษภาคมถงึ เดอื นธันวาคม ในแถบนํา้ กรอย กินอาหารไดทั้งพืชและสตั วมคี วามแขงแรงและทนทาน
การเลีย้ งก้งุ 15 15 ลกั ษณะของกุงกงุ ลาดํา กุงกุลาดํามีหนวดลายจางมากไมเดนชัด แกมอยูในแนวระนาบ และสันท่ีอยูสองขางโคนกรี ยาวเกือบ ถึงฟนกรีอันหลังสุด ซึ่งมีสันแนวขางเฉียงช้ีไปทางนัยนตา นอกจากนี้มีลักษณะอื่น ๆ ท่ีเดนชัดคือ ลําตัวสีแดง อมน้ําตาลถึงน้ําตาลเขม เปนเปลือกเกลี้ยงไมมีขน มีลายพาดขวางดานหลังประมาณ 9 ลาย และสีออกน้ําตาล เขมขางแถบสีขาว ดานบนของกรีมีฟน 6-8 ซี่ ดานลางมี 2-4 ซ่ี ขอบปลายหางและขาวายน้ํามีขนสีแดง และมี ขนาดตัวประมาณ 18 - 25 เซนติเมตร สันกรียาวเกือบถึงคาราเปส มีสันตับ (Hepatic Crest) ยาวตรงขนาน ไปกับลําตัว หนวดยาวสีดําไมมีลายชัดเจน ขาเดินมีสีแดงปนดํา ขาวายนํ้ามีสีนํ้าตาลปนน้ําเงิน โคนสีขาว ขาเดนิ คูทหี่ า ไมม ี exopod แหลงทอ่ี ยอู าศยั กุงกุลาดําอาศัยอยูทั่วไปในทวีปเอเชีย ในประเทศไทยพบแพรกระจายท่ัวไปในอาวไทย แตจะพบมาก บริเวณเกาะชาง บริเวณนอกฝงจังหวัดชุมพรถึงจังหวัดนครศรีธรรมราชและทางฝงมหาสมุทรอินเดีย (ทะเลอันดามัน) บริเวณนอกฝงของจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดระนอง ชอบอาศัยอยูในบริเวณท่ีมีพ้ืนดินเปนทรายปนโคลน สวนแหลงกําเนิดด้ังเดิมอยูในทะเลแถบอินโดแปซิกฟกตะวันตก อัฟริกาตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต และ คาบสมุทรอินเดีย ลักษณะของกุงกุลาดําวัยรุนอาศัยตามปากแมน้ํา และเม่ือเต็มวัยชอบอาศัยในทะเลที่มีพื้นท่ี มีโคลนปนทราย ระดับความลึกไมเกิน 110 เมตร กุงกุลาดําชอบฝงตัวในเวลากลางวันและหากินในเวลาคืน วางไขไดตลอดทั้งป แตวางไขชุกชุมระหวางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ในแถบน้ํากรอยกินอาหารได ทงั้ พืชและสัตวมีความแขง็ แรงและทนทาน กุงลอ็ บสเตอร อนกุ รมวิธาน Phylum Arthopoda Subphylum Crustacea Clas Malacostraca Order Decapoda Suborder Astacidea Family Nephropidae ชีววิทยา ลอ็ บสเตอร (Lobster) เปน สตั วทะเลน้ําเค็มขนาดใหญ ลกั ษณะลาํ ตัวจะมสี ีดาํ ปนแดง[1]ช่ือของกุงชนิด นี้มาจากคําในภาษาอังกฤษสมัยโบราณวา Loppestre เปนคําสมาสของคําภาษาละตินวา Locusta แปลวา ตั๊กแตน และ Loppe ในภาษาอังกฤษ ท่ีแปลวา แมงมุม ล็อบสเตอรเปนสัตวขาปลอง สายพันธุที่เปน ที่รูจักกันดีท่ีสุดคือล็อบสเตอรย ุโรปกับล็อบสเตอรอเมริกา เจริญเติบโตดวยการลอกคราบ เน่ืองจากฟนที่ใชบด อาหารในกระเพาะอาหาร เปนสวนหน่ึงของโครงกระดูกภายนอก จึงจําเปนตองดึงเอาเน้ือเยื่อของลําคอ กระเพาะ และทวารหนกั ออกมาดว ย แตไมใชทุกตัวทจี่ ะรอดชวี ิตจากกระบวนการลอกคราบน้ี[2] นอกจากนแี้ ลว ล็อบสเตอรย งั ถอื วาไดว า เปนครสั เตเชยี นท่มี ีอายยุ นื ยาวท่ีสดุ ดว ย มีอายุขัยโดยเฉล่ีย 100 ป[ 3]
16 การเลยี้ งกุง้ 16 กุง เครยฟ ช กุงกามแดง อนกุ รมวิธานของกงุ เครยฟ ช Phylum Arthopoda Subpylum Crustacea Class Malacostraca Order Decapoda Suborder Pleocyemata Family Astacoidea Parastacoidea ชวี วิทยาของกงุ เครยฟช เครยฟช หรอื หรือ ล็อบสเตอรนาํ้ จดื (องั กฤษ: Crayfish, Crawfish, Freshwater lobster, Crawdad, Mudbug, Freshwater yabby) เปนกุงนํ้าจืดจําพวกหน่ึง มีรูปรางโดยรวมลําตัวใหญ เปลือกหนา กามใหญ แลดูแข็งแรง มีถ่ินกําเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ, ทวีปยุโรป, โอเชียเนียและบริเวณใกลเคียง เชน อีเรียนจายา และ เอเชียตะวันออก ปจจุบันมีการอนุกรมวิธานเครยฟชไปแลวกวา 500 ชนิด ซ่ึงกวาครึ่งนั้นเปนเครยฟชท่ีมี ถิ่นกําเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ แตก็ยังมีอีกหลายรอยชนิดท่ียังไมไดรับการอนุกรมวิธาน อีกทั้งหลายชนิดยังมี ความหลากหลายทางสสี ันมากอีกดว ย ลกั ษณะท่วั ไปของกุงเครยฟ ช รางกายเครยฟชนั้นแบงออกไดเปน 3 สวน คือ สวนหัว สวนกลาง หรือ ทอแร็ก คือสวนท่ีมีขา ใชสําหรับเดิน สวนสุดทายคือ สวนทองซึ่งเปนสวนท่ีมีเนื้อเยอะมากท่ีสุด ซึ่งสวนหัวกับสวนกลางนั้นเช่ือมติด รวมกันเปนช้ินเดียว เรียกวา เซฟาโลทอแร็ก (ขอมูลบางแหลงอาจระบุวาเครยฟชนั้นมีลําตัวเพียง 2 สวนก็ได) ทั้งตัวน้ันจะถูกหุมดวยเปลือก หรือ คาราเพซ ซึ่งทําหนาท่ี 2 อยาง คือ ใชสําหรับปกปองลําตัว และเปนท่ีตั้ง ของอวัยวะหายใจ คือ เหงือกที่มีลักษณะคลายขนนกอยูใกลบริเวณปาก ซึ่งเปนสวนสําคัญในระบบหายใจ คือ เปนทางผานของน้าํ เพอื่ ใหนาํ้ ไหลผา นชอ งเหงือกน่นั เอง การกําเนดิ หลักฐานของซากดึกดําบรรพของเครยฟชมีมาอยางยาวนานมากกวา 30 ลานป ลวนแตเปนของ หายาก แตโพรงซากดึกดําบรรพมีการตรวจพบจากช้ันหินเกาแกจากยคุ ปลายพาเลโอโซอิกหรือตน ยุคมโี ซโซอิก หลกั ฐานเกาแกท ่ีสดุ ของวงศ Parastacidae พบในออสเตรเลียมคี วามเกา แกก วา 115 ลานป
การเล้ยี งกุ้ง 17 17 กงุ กามกราม อนกุ รมวิธาน กุงกามกรามหรือ กุงกามคราม (อังกฤษ : Giant Malaysian prawn; มีช่ือทางวิทยาศาสตรวา Macrobrachium rosenbergiide Man เปนกุงนํา้ จดื ชนดิ หนึ่ง อยใู นวงศ Palaemonidae มอี นุกรมวธิ านดงั นี้ Phylum Arthropoda Cass Crustacean Order Decatoda Trbe Caridea Family Palaemonidae Genus Macrobrachium Species Macrebrachium rosenbergii (de Man) ชวี วิทยาของกุงกามกราม กุงกามกรามมีชื่อเรียกหลายชื่อเชนกุงนาง, กุงหลวง, กุงกามเกลี้ยง, กุงแห, กุงใหญเปนสัตวท่ีอยูใน phylumArthropoda Class Crustacea SubclassMalacostraca มีชื่อทางวทิ ยาศาสตรวา Macrobrachium rosenbergii De man มีชอ่ื สามญั เรยี กวา Giant Freshwater Prawn กุงกามกรามเปน กุงนํ้าจดื ที่มีขนาดใหญ ของประเทศไทย ตัวโตที่สุดเทาท่ีเคยพบมีความยาวจากหัวถึงหางประมาณ 25 เซนติเมตร หนัก 470 กรัมพบ ทจ่ี ังหวดั พระนครศรีอยุธยา ลักษณะทัว่ ไป ลักษณะภายนอกโดยท่ัวไปของกุงกามกราม กุงกามกรามมีลําตัวเปนปลอง สวนหัวและอกคลุม ดวยเปลือกชิ้นเดียวกัน สวนของลําตัวมีลักษณะเปนปลองๆมี 6 ปลองกรีมีลักษณะโคงขึ้นมีลักษณะหยัก เปนฟนเล่ือยโดยดานบนมีจํานวนระหวาง 13 - 16 ช่ีดานลางมีจํานวนระหวาง 10-14 ชี่โคนกรีกวางและ หนากวา ปลายกรียาวถึงแผนฐานหนวดคูที่ 2กุงกามกรามมีหนวด 2 คู หนวดคูแรกสวนของโคนหนาแบงเปน 3 ขอปลอง ปลองท่ี 3 แยกเปนเสนหนวด 2 เสน หนวดคูท่ีสองยาวกวาหนวดคูที่หน่ึงแบงเปน 5 ขอปลอง ความยาวของแผนฐานหนวดคูท่ีสองยาวเปน 3 เทาของความกวางแผนฐานหนวดคูท่ีสองขาเดินของ กุงกามกรามมี 5 คู โดยขาคูหนึ่งและที่สอง ตรงปลายมีลักษณะเปนกาม สวนคูที่สามสี่ หาตรงปลายมีลักษณะ เปนปลายแหลมธรรมดา ขาเดินคูที่สองที่มีลักษณะเปน กามน้ันถาเปน กุงตัวผูจ ะมีลักษณะใหญมากโดยทั่วๆ ไป สวนของกามทําหนาที่ในการจับอาหาร ปอนเขาปากและปองกันศัตรู ขาวายของกุงกามกรามมี 5 คูสวน แพนหางมีลักษณะแหลมตรงปลายดานขางเปนแพนออกไป 2 ขาง ลักษณะของสี สีของกุงกามกรามโดยท่ัวไป มีสีนํ้าเงินอมเหลืองโดยเฉพาะขาเดินคูท่ีเปนกามและสวนของลําตัวมีสีนํ้าเงินเขม ปลายขามักเปนชมพูอมแดง แพนหางตอนปลายมีสชี มพอู มแดงทวั่ ๆ ไป
18 การเลีย้ งก้งุ 18 แหลงที่อยูอาศัย กุงกามกรามอาศัยในแหลงน้ําจืด ซ่ึงมีทางน้ําไหลติดตอกับนํ้าทะเล จึงสามารถดํารงชีพไดทั้งใน น้ํากรอยและนํา้ จดื เคยมีชุกชมุ ในแมนํา้ เจาพระยา แมน าํ้ ทา จีน แมน้าํ บางปะกง ทางภาคใตพบทแ่ี มนํ้าปตตานี แมน้ําตาป โดยเฉพาะในทะเลสาบสงขลาและพัทลุง มชี กุ ชุมมากที่สุด ความอุดมสมบูรณของกุงกามกราม ในแหงน้ําธรรมชาติมีจํานวนลดลง เนื่องมาจากสาเหตุหลายประการ เชน การทําการประมงมากเกินควร การทําการประมงผิดวิธี ปญหาจากมลภาวะตางๆ การเพิ่มข้ึนของประชากรดังน้ัน การเพาะเล้ียงเพ่ือชดเชย จากธรรมชาติ ไดพ ฒั นาการขึ้นมาตามลําดบั ทาํ ใหการเลีย้ งกงุ กามกรามเปนอาชพี หน่ึงซ่งึ ทํารายได กงุ แชบว ย อนุกรมวธิ าน กุงแชบวย (อังกฤษ: Banana shrimp; ชื่อวิทยาศาสตร: Fenneropenaeus merguiensis อดีตใช Penaeus merguiensis) เปนกุงธรรมชาติ ที่เติบโตในทะเล แตสามารถกักเก็บไดตามริมชายฝง เราเรียกวา วังกุง บริเวณ มหาชยั แมก ลอง สมุทรปราการ เปนตน กินแพลงตอนเปน อาหาร และมอี ุกรมวธิ านดังน้ี Phylum Arthopoda Subphylum Crustacea Order Decapoda Suborder Dendrebranchiata Family penaeidae Genus Fenneropenaeus Species F.merguiensis ชวี วทิ ยาของกุงแชบวย กุงแชบวย มีลําตัวคอนขางเรียวยาว หัวคอนขางเล็กความยาวของหัวประมาณคร่ึงหนึ่งของ ลาํ ตัว นยั นต าโต กรมี ีปลายเรียวแหลมโคนกรีมลี กั ษณะเปนรูปสามเหล่ียม ปลายกรจี ะยาวเลยปลายกา นหนวด คูท ี่ 1 เล็กนอ ย ขอบบนและลา งหยกั เปนฟน เล่ือย ขอบดา นบนมีฟน 7-8 ซ่ี ขอบดา นลางมฟี น 4-5 ซ่ี ลาํ ตัวมสี ขี าว อมเหลืองออน และมีจุดสีนํ้าตาล สีเขียวแกและเขียวออน กระจายอยูทั่วไปสันบนปลองทองและกรีมีสีน้ําตาล ปนแดง โคนกรีมีสีดํา หนวดคูท่ี 2 มีสีนํ้าตาลแดงไมมีลาย ขาเดินและรยางควายน้ํามีสีเหลืองออกน้ําตาล ปลายของขาวายน้ําสีแดงเร่ือๆ แพนหางใหญมีสีแดง แหลงอาศัยมักอยูบริเวณพ้ืนทะเลท่ีเปนดินโคลน ความลึกของนา้ํ ระหวาง 16-25 เมตร
การเลีย้ งกงุ้ 19 19 ลกั ษณะของกงุ แชบวย กุงแชบวย มีลําตัวคอนขางเรียวยาว หัวคอนขางเล็กความยาวของหัวประมาณคร่ึงหนึ่งของลําตัว นัยนตาโต กรีมีปลายเรียวแหลมโคนกรีมีลักษณะเปนรูปสามเหลี่ยม ปลายกรีจะยาวเลยปลายกานหนวดคูที่ 1 เล็กนอย ขอบบนและลางหยักเปนฟนเลื่อย ขอบดานบนมีฟน 7-8 ซ่ี ขอบดานลางมีฟน 4-5 ซ่ี ลําตัวมีสีขาว อมเหลืองออน และมีจุดสีน้ําตาล สีเขียวแกและเขียวออน กระจายอยูท่ัวไปสันบนปลองทองและกรีมีสีนํ้าตาล ปนแดง โคนกรีมีสีดํา หนวดคูท่ี 2 มีสีนํ้าตาลแดงไมมีลาย ขาเดินและรยางควายน้ํามีสีเหลืองออกนํ้าตาล ปลายของขาวายน้ําสีแดงเรื่อ ๆ แพนหางใหญมีสีแดง แหลงอาศัยพักอยูบริเวณพื้นทะเลท่ีเปนดินโคลน ความลกึ ของนํา้ ระหวา ง 16-25 เมตร แหลง ท่อี ยอู าศยั บริเวณพื้นทะเลท่เี ปน ดนิ โคลน ความลึกของนํา้ ระหวา ง 16-25 เมตร กุงตะกาด ชื่อสามัญ GREASY –BACK SHRIMP ชอื่ วทิ ยาศาสตร: Metapenaeus affinis อนกุ รมวธิ านของกุงตะกาดหิน Phylum Arthopoda Subphylum Crustacea Class Malacostraca Order Decapoda Suborder Dendrobranchiata Family penaeidae Species M.affinis ชีววิทยาของกุงตะกาดหนิ กุงตะกาด (ช่ือวิทยาศาสตร: Metapenaeus affinis) อยูในวงศ Penaeidae เปนกุงขนาดกลาง กรยี าวตรง มีฟนดานบน 8-9 อัน ดานลางไมมีฟน สันทา ยกรยี าวประมาณรอ ยละ 75 ของเปลอื กหัว สันทป่ี ลอง ทองตั้งแตปลองท่ี 4-6 สวนกลางของอวัยวะเพศเมียรูปวงรี ดานขางโคงและยกตัวสูงขึ้นสี น้ําตาลออน กรีและ รยางคต าง ๆ สนี ้ําตาลแดง บางตัวมสี แี ดงบรเิ วณดา นลา งของสว นหวั รยางคแ ละแพนหางสีแดงคลา้ํ
20 การเล้ยี งกุ้ง 20 ลักษณะท่ัวไป ลักษณะของกุงตะกาดหิน ลําตัวยาวมีสีเทาออน มีจุดสีน้ําเงินกระจายอยูขางตัว กรีและเปลือกหัว มีสีจางโคนกรีมีสัณฐานเปนสามเหลี่ยมดานบนของกรีมีฟน 8-10 ซี่ ดานลางเรียบ หางสีฟาเขียวปนแดง สวนลักษณะที่นับวา แตกตางจากุงตะกาดในสกุลเดียวกัน คือ กรีของกุงตะกาดหินจะมีลักษณะเรยี วยาวเชดิ ขน้ึ เลก็ นอ ย หางไมม หี นาม และสันทอ่ี ยจู ากโคนกรีจะเปนสีขาวจรดขอบหลงั ถ่ินอาศัยแหลงทพ่ี บ พบชุกชมุ ในแมน าํ้ -ลาํ คลองแทบทุกจงั หวัดในเขตอา วไทย ทง้ั ในนา้ํ จืดและนา้ํ กรอย กงุ้ เหลอื งหา้ งฟ้ า ชือ่ สามัญภาษาองั กฤษ BLUE TAIL YELLOW SHRIMP ชือ่ วิทยาศาสตร Penaeus latisulcatus ชวี วิทยาของกุงเหลืองหางฟา กุงทะเลชนดิ Penaeus latisulcatus ในวงศ Penaeidae ขนาดเลก็ กวา กุงกลุ าดาํ ลาํ ตัวสีเหลืองปน น้ําตาล ขอบของสวนทองสีมวง แพนหางสีฟา, กงุ เหลอื งหางฟา ลกั ษณะทั่วไป ลักษณะของกุงเหลืองหางฟา เปนกุงทะเลท่ีมีลําตัวสีเหลือง โคนขาวายน้ํามีลายสีนํ้าตาลแดงเปน แถบ สั้น ๆ อาจมีจุดสีแดง 3 จุด อยูดานขางของลําตัว ปลายแพนหางสีฟา กรีมีฟนดานบน 10-11 ซ่ี ดานลาง 1 ซี่ มรี อ งขางกรีและท่ีโคนกรเี หน็ ไดช ัดเจน กุงเหลอื งเปนกุงที่มีขนาดใหญ ถ่ินอาศยั แหลง ทีพ่ บ กุงเหลือหางฟาเปนกุงที่ชอบอาศัยอยูตามพ้ืนทรายหรือทรายปนโคลน และตามโขดหิน ชุกชุมทาง ฝง ตะวันออกของอาวไทย
การเล้ยี งก้งุ 21 21 บทปฏบิ ตั ิการที่ 1 เรอ่ื ง ชีววทิ ยาของกุง และการวางผังฟารม กุงเปนส่ิงมีชีวิตที่อาศัยอยูในน้ําจืดถึงน้ํากรอยและนํ้าเค็มซ่ึงและนํ้าท่ีกุงอาศัยอยูจึงมีอิทธิพลตอ การสรา งวางผังรูปแบบของฟารม เพื่อใหเ หมาะสมกบั ชวี วิทยาของกุง จุดประสงค 1. เพอื่ ศึกษาชวี วทิ ยาภายนอกภายในของกงุ 2. เพื่อศกึ ษาการวางผงั ออกแบบการทําฟารม เลีย้ งกุง อปุ กรณ 1. ตัวอยางกงุ น้ําจดื น้าํ เค็ม 2. กลอ งสํารวจ 3. สายวดั วธิ กี าร 1. ใหนกั เรยี นแบง กลุม ๆ ละ 3-4 คน 2. ใหน กั เรียนแตละกลุมสํารวจพ้ืนทบ่ี อ เล้ยี งกงุ ในสถานศกึ ษา จดบันทกึ ขอมูลลกั ษณะของบอ พรอ มวาดภาพประกอบ 3. ใหนกั เรียนวาดภาพชีววทิ ยาภายนอกของกงุ พรอมวาดภาพประกอบ บอ ที่ แบบรายงานการสํารวจพนื้ ที่ทําฟารม รูปแบบของบอ กลุมที.่ ..........ชน้ั .........วันที.่ ............................................. ขนาดของพน้ื ท่/ี บอ ภาพบอ สว นภายนอกกงุ สวนประกอบ
22 การเลยี้ งกงุ้ 22 ภาพวาด คําถามทายบท 1. บอกหลกั การเลีย้ งกงุ 2. อธบิ ายความหมายและหนาทีข่ องคําตอไปน้ี 2.1 Carapace คอื ........................................................................หนาท.่ี .......................................... .............. 2.2 Pleopod คอื ........................................................................หนาท.ี่ ........................................................ 2.3 Uropod คอื ........................................................................หนาท.่ี ........................................................ 3. อธบิ ายความสมั พันธการออกแบบฟารมกับการอนุรักษส่ิงแวดลอ ม ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ..............................................................................................................................................................................
บทที่ 2 การบเตทรทยี่ี 2มบอ่ การเตรยี มบอ การเตรียมบอกอนปลอยลูกกุงสําหรับบอใหมเพื่อการเล้ียงครั้งแรกหรือการเตรียมบอหลังจากจับกุง ในแตละครั้ง เพ่ือใหพ้ืนกนบอสะอาดเหมาะสมกับการเล้ียงในครั้งตอไป แตละฟารมและแตละพื้นท่ีจะมี การเตรียมบอท่ีแตกตางกันออกไปขึ้นกับ ลักษณะของดินพื้นบอ เชนดินเปนกรด ดินทราย ดินลูกรัง หรือ ดินเหนยี วแขง็ และความสะดวกดา นอื่นๆ ดวย หลังจากจับกุงแตละรอบสวนใหญจะมีการตากบอใหแหงแลวใชรถตักดินกลางบอออกไป โดยอาจจะ เอามาอัดไวท่ีมุมบอ บนคันบอหรือเก็บไวในพ้ืนท่ีเก็บเลนภายในฟารมแลวปรับระดับบอใหเรียบเตรียมพรอม สาํ หรับการเลี้ยงตอ ไป บางพ้ืนที่ไมใชการตากบอ แตใชวิธีการฉีดเลนหลังจากจับกุงเสร็จเรียบรอยแลวโดยไมตองรอให พื้นบอแหง ท่ีเห็นไดบอย คือ พ้ืนท่ีทางภาคระวันออกในจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ ที่อยูในบรเิ วณปาชายเลนทางภาคใตการเตรยี มบอในลักษณะเชนนีส้ ิ้นเปลืองเวลานอยและประหยดั แตผ ลเสีย จะเกิดตามมามาก ถาหากมีการฉีดเลนและปลอยของเสียงสูแหลงน้ําสาธารณะจะทําใหคุณภาพน้ําเนาเสีย ในเวลาตอมามีผลตอการเล้ียงกุงในบริเวณนั้นดวย ดังน้ันการเตรียมบอโดยวิธีการฉีดเลนจะตองมีพื้นท่ีบอ เก็บเลนภายในฟารม อยางเพียงพอ การเตรียมบออีกแบบหนึ่งไมมีการนําเลนออกจากบอแตจะมีการไถพรวนใหดินที่อยูชั้นล างข้ึนมา สมั ผสั อากาศและแดดเปน เวลานานพอเพียงท่จี ะทําใหด ินชั้นลา งเปลย่ี นจากสดี ําเปนสปี กติแลวมกี ารปรับระดับ อดั ดินใหแนนตามเดมิ พรอมสาํ หรับการเลีย้ งครงั้ ตอ ไป มคี วามจําเปน หรือไมท ี่จะตอ งเตรียมบอทกุ คร้ังโดยเอาเลนออกหรือฉีดเลนหลงั จับกุงแลว เปนคําถามท่ีเกษตรกรสวนใหญยังของใจวา ถาไมเตรียมบอหรือไมเอาเลนออกจะเล้ียงกุงไดระยะ เวลานานตามปกตปิ ระมาณ 120 วันหรือไม กอนอ่ืนตองมาพิจารณาวาเลนกลางบอหลังจากจับกุงจะมีมากบางนอยบางขึ้นอยูกับลักษณะของ ดินกนบอ ถาเปนดินที่มีการพังทลายจากขอบบอและคันบอจากแรงของกระแสน้ําจากการเปดเคร่ืองใหอ ากาศ จะทําใหดนิ เลนกลางบอมปี ริมาณมาก แตถ า เปน ดนิ ลูกรังหรือดนิ เหนียงแข็ง ปรมิ าณเลนกลางบอจะมีนอยมาก สําหรบั ดนิ ทรายตะกอนจากซากแพลงกตอน เศษอาหารและสานอินทรยี ต า งๆ จะแทรกตวั อยใู ตพ ื้นบอในระดับ ที่ลึกมากกวาบอที่มีพื้นแข็ง การเลี้ยงกุงมักจะมีปญหาตองจับกุงกอนกําหนด เนื่องจากพ้ืนบอเนาเสีย ในระดับ ลางลงไปจะมสี ดี าํ มาก แตเมอ่ื จับกุงจะไมพบเลนกลางบอมาก เพราะการแทรกตวั อยใู ตท รายพ้ืนบอโดยทว่ั ไป จากการวิเคราะหเ ลนกลางบอซึ่งมักจะมสี ดี ํา พบวา มสี วนประกอบของดนิ ทราย ดนิ รวนและดินเหนียว ในเปอรเซ็นตที่แตกตางกันไป ซึ่งรวมกันแลวประมาณ 98 เปอรเซ็นต สวนสารอินทรียจะมีประมา ณ 1-2 เปอรเซ็นต เทานั้นเอง ซึ่งไมไดแตกตางจาการนําเอาดินปกติมาวิเคราะหมากนัก แตดินเลนเหลาน้ีมีสีดํา เนื่องจากอยูในภาวะขาดออกซิเจนและมีกลิ่นเหม็น เน่ืองจากใชเครื่องใหอากาศเพื่อทําความสะอาดพื้นบอ ความแรงของน้ําจะกัดเซาะขอบบอ และพ้ืนบอใหดินตะกอนตางๆหลุดออกมารวมกันกลางบอ หลังจากตาก บอใหแหงจนดินเลนเหลานี้แตกระแหง อากาศแทรกตัวเขาไปในดินเลนไดดินเลนเหลานี้จะมีสีจางลงจนเปน สีของดินปกติ เกษตรกรมักจะคิดวาดินเลนกลางบอคือข้ีกุงเปนสวนใหญ แตความจริงแลวขี้กุงและสารอินทรีย ตางๆ มีในปรมิ าณที่เพ่มิ ข้ึนจากดินปกติเพยี งเลก็ นอยเทานั้น หลังจากจับกุงถาเปนพ้ืนบอแข็ง เชน ดินลูกรังหรือดินเหนียว พื้นบอในแนวหวานอาหารสะอาด เปนบริเวณกวางและปริมาณเลนกลางบอมีไมมาก ไมมีความจําเปนที่ตองตักเอาเลนออกทุกคร้ัง เพียงแตตาก บอใหแหงเทาน้ันก็พรอมท่ีจะเตรียมน้ําสําหรับปลอยลูกกุงตอไปได แตถามีฝนมากไมสามารถจะตากบอให
24 การเลี้ยงกงุ้ 24 แหงได หลังจากจับกุงเสร็จแลวเติมน้ําเขาไปในบอไมตองเต็มบอ เติมจุลินทรียในบริเวณเลนกลางบอเพ่ือ ยอยสลายสารอินทรียตางๆท่ีหลงเหลืออยูโดยเปดเครื่องใหอากาศเต็มท่ีอยางตอเน่ืองประมาณ 2 สัปดาห เม่ือคุณภาพนํ้าอยูในระดับปกติ คือสีน้ําไมเขม แอนโมเนียอยูในระดับปกติก็พรอมท่ีจะเตรียมนํ้าสําหรับปลอย ลูกกุงตอ ไป แตควรจะปลอยลูกกงุ ในปรมิ าณท่ีนอ ยกวาเลยี้ งรอบทีผ่ า นมา ประโยชนของการไมเอาเลนออก คือ ไมตองเสียเวลานานในการเตรียมบอประหยัดคาใชจายสีนํ้า จะเกิดเร็วขึ้นและนิ่งเร็วกวาการเอาเลนออกทุกคร้ัง สามารถลดการใชวัสดุปูนและปุยได นอกจากน้ําจะทําให คา อลั คาไลนอ ยใู นระดบั ทีส่ งู ตะกอนแขวนลอยตางๆลดลง บอที่มีตะกอนกระจายท่ัว บอแล ะมีปริมาณเลนมากเนื่ องจากลั กษณะของดินพ้ืนบอไมแนนหรือ เน่ืองจากเคร่ืองใหอากาศไมสามารถรวมเลนตะกอนตางๆ ได ผลการเลี้ยงมักจะไดผลไมดี หลังจากจับกุงแลว ควรจะทําการปรับปรุงสภาพพ้ืนบอโดยการตากบอใหแหงเอาเลนที่กระจัดกระจายออกปรับระดับพื้นบอใหม ควรจะนําเลนกลางบอลบมุมบอใหปานมากข้ึนเพื่อจะทําใหการใชเคร่ืองใหอากาศมีประสิทธิภาพมากข้ึน รวมเลนไดดขี ึ้นดวย บอท่ีมีเลนพื้นบอมาก เพราะคันบอดินไมแนน เม่ือปดเครื่องใหอากาศจะชะเอาดินขอบบอโดยรอบ เขามากระจายในบอทําใหพ้ืนบอมีเลนมาก อาจจะตองปลูกหญายึดเกาะดินปองกันการพังทลายกัดเซาะดิน ลงมาในบอ บางฟารมมีการนําพลาสติกมาปูคลุมเฉพาะบริเวณขอบบอ ปองกันการพังทลายแลถูกกระแสนํ้า กดั เซาะดินลงไปในบอ ก็สามารถลดปริมาณตะกอนและเลนในบอ ไดม าก การเตรียมบอท่ีเหมาะสมกบั สภาพพนื้ ดนิ อาจจะเลือกโดยใชวิธีการดงั น้ี ดินเหนียวแข็ง หลังจากจับกุง เลนรวมดกี ลางบอ เลนมีไมมาก ตากบอแหงกเ็ พยี งพอ ดินเหนียงปนทราย เลนออก ตากบอใหแหง ปรับระดับใหม บดอัดใหแนนหรือใชวิธีการฉีดเลนโดยมี บอเกบ็ กักเลน ดินลูกรังพ้ืนแข็ง ตากบอใหแหงไมตองเอาเลนออกเลี้ยงตอไปไดเลย หรือจะใชการฉีดเลนเอาตะกอน ทีช่ น้ั ลางออกไป โดยมบี อ เก็บเลน ดินทราย ไถพรวนทั้งบอใหลึกลงไปจนถึงระดับท่ีมีสีดํา ตากบอใหแหง ปรับระดับบอใหมและอัดบด ใหแนน หรือจะใชว ธิ ีการฉดี เลนใหต ะกอนสีดาํ ท่อี ยูใ นระดับลางออกไปและเกบ็ ไวใ นบอเกบ็ เลน การเตรียมบอท่ีกลาวมาทั้งหมดนี้มักจะพบไดท่ัวไปในหลายพ้ืนท่ี นอกจากนั้นบางฟารมจะมี การดดั แปลง นอกเหนอื จากทก่ี ลาวไปแลว คือ ขุดกลางบอเปนแองกระทะไวรวมเลน ขอควรระวังอยาใหแองลึกเกินไป ตองประเมินใหความลึกและ ขนาดของแองพอดีกับตะกอนเลนทีมารวมกันเมื่อตอนจับกุง ถาแองลึกหรือมีขนาดใหญเกินไป เม่ือจับกุงเลน ยงั ไมเ ตม็ แอง กุงจะคา งอยูในแองเปน จาํ นวนมากตองเสยี เวลาสูบน้าํ ออกเพื่อจบั กงุ การเตรียมวัสดุอปุ กรณ วสั ดอุ ปุ กรณสําคัญท่ีใชใ นการเลีย้ งกุงในปจ จุบนั หลกั ๆ มีดังน้ี 1. วสั ดุปูน 2. เคมภี ณั ฑเ ตรียมน้ํา 3. เครื่องใหอากาศ
การเลี้ยงก้งุ 25 25 วสั ดปุ นู ท่ีนาํ มาใชใ นการเลีย้ งกงุ วสั ดปุ นู เปน สารประกอบออกไซด (O) ไฮดรอกไซด (OH) และคารบอเนต (CO3) ของธาตุ Ca และ Mg สามารถแบงเปน กลุม ไดด งั น้ี 1. ปนู เผากลุม ออกไซด เกดิ จากการเผาปูนชนิด CO3 ท่ีอณุ หภูมิประมาณ 900 ๐C ปฏกิ ิริยาท่เี กิดขึ้น จะเปน ดังนี้ เผา CaCO3 CaO + CO2 900 ๐C เผา CaMg (CO3)2 CaO + CO2 + MgO 900 ๐C 2. ปนู เผากลุม OH เปน ปูนกลุม O ผสมกบั นาํ้ ทาํ ใหเกิดปฏิกริ ยิ าท่รี ุนแรง ควรใชอยา งระมดั ระวงั 3. ปนู กลุม CO3 ปูนกลุม นี้ ไดแ ก ปนู แคลไซด (CaCO3) ปนู โคโลไมท (CaMg(CO3)2) บดละเอียด แต การสลายตวั ชา มาก โดยเฉพาะปนู โดโลไมท หรอื อาจจะเรยี กวาปนู เยน็ ดังนัน้ การใชป นู ใหถ ูกตองตามความตอ งการนับวาสําคัญอยา งย่งิ สําหรับการเลี้ยงกุง การทีแ่ นะนาํ ใหใช ปูนเผาหรอื ปนู รอนมีเหตผุ ลอยู 2 ประการคอื 1. ปูนเผา (Burnt lime) มีอํานาจการทําลายความเปนกรดไดดีกวา ปูนบด (ปูนเย็น) ดูไดจากตาราง ที่ 3.1 ดังนนั้ จึงสามารถปรบั สภาพดินพ้ืนบอ หรอื นา้ํ ที่เปนกรดไดดีกวา เร็วกวา 2. เม่ือปูนเผาละลายในน้ําจะใหคา pH ของน้ําท่ีสูงข้ึนมาก (ระดับ 11-12) ซ่ึงคา pH จะคงอยูใน ระดบั สงู ประมาณ 2-3 วัน เทาน้นั กจ็ ะลดลงเปนปกติ ขอ ควรจาํ การทํา pH ของดินใหอยูระดับ 7 น้ัน จะทําใหสารอินทรียยอยสลายไดโดยงาย และวัสดุปูนถือเปน สงิ่ จําเปนในการสรา งคา pH ของดนิ และนํ้า ตารางท่ี 3.1 คา ทาํ ลายความเปนกรด (% เมอ่ื เทียบกบั ปูนขาว) ชนิด 100 179 หินปนู บด (CO3) 136 ปนู เผา CaO 109 ปูนขาว (CaCOH2) 80 ปนู โดโลไมท (CaMg(CO3)2) ปูนมารล (CaCO3) ผสมดนิ เหนียว
26 การเลย้ี งก้งุ 26 ตารางที่ 3.2 แสดงปริมาณปนู ขาวที่ใชปรบั ระดับความเปน กรดของดนิ pH ของ ปริมาณปูนขาว (กิโลกรัม/พืน้ ท่ี 1 ไร) กอ นการใช พเี อส (pH) ของดนิ หลงั การใชป นู ปนู ขาว 7.9 7.8 7.7 7.6 7.5 7.4 7.3 7.2 7.1 7.0 5.7 145 130 115 100 88 75 58 44 30 15 5.6 200 180 160 140 120 100 80 40 40 20 5.5 325 260 258 220 195 160 130 97 65 33 5.4 465 420 370 325 278 323 186 140 93 47 5.3 545 490 436 380 327 273 217 164 110 55 5.2 712 562 500 438 375 312 250 188 125 63 5.1 705 635 565 490 424 353 283 210 142 70 5.0 806 326 645 656 484 403 323 242 162 81 4.9 1,050 956 840 735 630 525 420 315 210 105 4.8 1,075 968 862 752 645 538 430 323 215 108 4.7 1,130 1,026 907 790 678 565 452 340 226 113 คณุ สมบัตบิ างประการของเคมีภัณฑที่นยิ มใชในการเลย้ี งกุง กลุ าดํา คลอรีน เปนสารเคมีท่ีมีคุณสมบัติในการออกซิไดสท่ีดีและยังสามารถฆาเช้ือโรคไดดวยรูปสารประกอบของ คลอรีนที่ใชก นั คอื 1. คลอรีนผง หรือ แคลเซยี มไฮโปคลอไรท (Ca(OCl)2) 2. คลอรนี แกส 3. คลอรนี นา้ํ แคลเซยี มไฮโปคลอไรท 4. โซเดยี มไฮโปคลอไรท (Na(OCl)2) 5. คลอรนี ไดออกไซด (ClO2) รปู ท่ีเหมาะในการใชในบอกุงอยูในรูปแคลเซียมไฮโปคลอไรท และโซเดยี มไฮโปคลอไรท ซงึ่ จะเปนผงสี ขาวละเอยี ดละลายนํ้าได เมอ่ื คลอรนี ผงทง้ั สองรปู ละลายน้ําจะเกดิ การแตกตัวตามสมการเคมีตอไปนี้คือ (Ca(OCl)2) + 2H2O 2HOCl + Ca(OH)2 (Na(OCl) + H2O HOCl + NaOH Cl2 + H2O HOCl + H+ + Cl- HOCl H+ + OCl- รปู คลอรนี ทที่ ําหนา ท่ใี นการออกซไิ ดซไดคอื รปู ไฮโปรคลอรัสแอซิด (HOCl) สว นรูปท่ีจะฆา เชือ้ ไดสงู กวา HOCl และ OCl- แตรูปของ HOCl จะฆาเช้ือไดสูงกวา OCl- 80 เทา การใชคลอรีนในสภาพที่เปนกรดสูง (พีเอช ต่ํากวา 7) จะเกิดรูป HOCl มากกวา OCl- คลอรีนออกฤทธ์ติ อ สิ่งตา งๆ ไดอ ยางรนุ แรงโดยเฉพาะสารอนิ ทรยี ในนาํ้ คลอรีนทาํ ลายสิ่งมีชีวิตตางๆไมว าจะเปน ไขปลา ไขหอย โปรโตซวั เชอ้ื รา แบคทเี รยี ไวรัส ปจจุบันเกษตรกรทั่วไปนิยมใชคลอรีนในอัตรา 30-50 กิโลกรัมตอไรที่น้ําลึก 1 เมตร ซ่ึงเทียบได ประมาณ 15-20 พีพีเอ็ม ระดับความเขมขนนี้มีผลตอการทําลายส่ิงมีชีวิตและเชื้อโรคในนํ้า ถานํ้านั้นไมมี ตะกอนแขวนลอยมากหรือสารอินทรยี ม าก
การเลยี้ งกงุ้ 27 27 ใชค ลอรีนผงทรตี น้าํ กอนปลอยกุง คลอรีนออกฤทฺธ์ิไดดี ที่พีเอชต่ํา 7-8 ในชวงเวลาที่มีแสดงแดดนอ ย พีเอชสูงไมควรใชคลอรนี เน่ืองจาก คลอรีนมีคุณสมบตั เิ ปนสารออกซิไดซอยางแรง ดงั นน้ั จงึ สามารถออกซไิ ดซสารไดหลายชนดิ -ถาใชคลอรีนในน้ําท่ีมีแอมโมเนีย (NH3) คลอรีนจะออกซิไดซแอมโมเนียใหอยูในรูปของคอมไบน คลอรีนหรือเรียกวา คลอรามนี NH2Cl , NHCl2 NCl3 ซ่งึ มคี วามเปนพษิ กบั สัตวนํ้าและกงุ ถา นํ้ามีความกระดาง นอย และพเี อชตาํ่ จะทําใหค วามเปนพิษของคลอรามนี มคี วามรนุ แรงมากขึน้ -คลอรนี สามารถออกซิไดซโฮโดรเจนซลั ไฟด (แกสไขเ นา) ไดด งั สมการ H2S + Cl2 + 2H2O 2Cl- + 4H+ + S + 2OH- -คลอรนี จะออกซิไดซเหลก็ อิออนบวกสอง Fe2+ ไดเ ปน Fe3+ ซึ่งเปน รูปทไ่ี มค อ ยไปเกิดปฏิกิริยา กับสารตวั อื่นใหเ ปน พษิ ตอสตั วนาํ้ -คลอรนี จะออกซไิ ดซ ไซยาไนท (CN-) เปนสารไมมพี ษิ ดงั สมการ CN- + Cl2 + H O 2HCl + CNO- -คลอรีนจะออกซิไดซสารอินทรียพวกข้ีกุงหรือเศษอาหาร โดย HOCl จะออกซิไดซสารอินทรีย จนสุดทา ยไดเปนคารบ อนไดออกไซด (CO2) นอกจากความสามารถในการออกซิไดซสารตางๆแลว คลอรีนยังสามารถฆาเชื้อแบคทีเรียปรสิตตางๆ ท้ัง ส่ิงมีชีวิตขนาดเล็กเชนแพลงกตอนพืชและแพลงกตอนสัตวรวมท้ังพาหะตางๆท่ีนําเชื้อไวรัส หากใชคลอรีน ในการปรับปรุงคุณภาพนํ้าในบอพักนํ้าจะสามารถฆาเช้ือตางๆในนํ้า ทําใหน้ําท่ีใชเล้ียงกุงมีความปลอดภัยตอ การเกดิ โรคตางๆได ปริมาณการใช ในกรณีเพ่อื ทรีตน้ําสําหรับโรงเพาะฟกจะใชคลอรีนผง Ca(OCl2) 60 มิลลิกรมั ตอ นาํ้ 1 ตนั สําหรับการใชในบอเลี้ยงกุงน้ันจะใชประมาณ 30-50 กิโลกรัมตอไรเพ่ือเตรียมน้ําและกําจัดพาหะ นําเช้ือดวงขาวและหัวเหลอื ง ซ่ึงเกษตรกรผูที่ใชคลอรีนในการเตรียมบอน้ันตองพักน้ําไวอยางนอย 7 วัน จึงจะ ปลอยลูกกุง ได อีกทั้งยังใชคลอรีนผงในปริมาณ 100 กรัมถึง 500 กรัมตอไร (1-5 –ขีดตอไร) เพ่ือลดปริมาณแพลงก ตอน (ความเขมของสีนา้ํ ๗ ในบอ ขณะมกี ุงแลว ฟอรมาลิน เปนสารเคมีท่ีใชกันมานานในการเพาะเล้ียงสัตวนาํ้ และกุงของประเทศไทย สําหรบั กาํ จัดปรสิตจําพวก โปรโตซวั หลายชนดิ ฟอรมาลินประกอบดวยสวนผสมของฟอรมาลดีไฮด (CH2O) ความเขมขน 37-40% ผสมอยูกับเมทธา นอล 12-15% เพื่อปองกันการเปล่ียนรูปเปนพาราฟอรมาลดีไฮตสีขุนขาวซ่ึงมีพิษมากกวาฟอรมาลินและไมใช
28 การเลย้ี งกุ้ง 28 ใสในน้ําท่ีมีสัตวน้ําอยู ฟอรมาลินเปนสารท่ีอยูในรูปสารละลานใส ไมมีสีสังเกตไดเพราะมีกล่ินฉุนทําใหเกิด การแสบจมกู และตาไดเม่ือสัมผัสกับไอของสาร ในปจ จุบันนฟี้ อรมาลินสามารถนํามาใชในการปอ งกนั และแกปญ หาตา งๆในการเลย้ี งกงุ กุลาดาํ คอื -กรณีบอเล้ียงท่ีมีสีน้ําเขมและนํ้ามีพีเอชสูง สามารถใสฟอรมาลิน 3 ลิตรตอไร ในชวงเย็นประมาณ 5 โมงเยน็ ในบรเิ วณทายลม แลวใสอ กี ชว งหนงึ่ ตอน 1-2 ทมุ เกษตรกรสมารถใสฟอรม าลนิ ได 2-3 วนั ติดตอกัน สีน้าํ จะจางลงและพเี อชน้ําจะลดลงตามตองการ -กรณีกําจัดซูโอแทมเนียมในโรงเพาะฟก โดยใสฟอรมาลินดวยความเขมขน 40 พีพีเอ็ม กอนการแพ็ค ลูกกงุ ขาย 6-12 ชัว่ โมง จะสามารถลดปริมาณซโู อแทมเนียมได -กรณีตองการคัดลูกกุงออนแอออก กอนปลอยลูกกุงในบอเลี้ยงจะใชฟอรมาลิน 60 ซีซีตอน้ํา 400 ลิตร แชลกู กงุ นาน 30 นาที -สําหรับการใชฟอรมาลินเพ่ือกระตุนใหกุงปวยท่ีเปนโรคดวงขาวลอยข้ึนมา หรือลดปญหาซูโอแทม เนียมบนตัวกุง รวมทั้งการควบคุมปริมาณแบคทีเรียในนํ้า การใชฟอรมาลินในปริมาณที่แนะนําคือ 25 สวน ในลา นสว น(พีพีเอม็ ) หรอื ปรมิ าณ 40 ลิตรตอ ไรน า้ํ ลกึ 1 เมตร ใชไดเ ฉพาะในบอ ท่ีมนี ้าํ ความเคม็ ปกตมิ ีเคร่ืองให อากาศเต็มที่ ตองเปด เครื่องใหอากาศติดตอกันอยางนอย 48 ช่ัวโมง ในกรณฉี ุกเฉินตองมนี ํ้าไวเติมดว ย หา มใช ความเขมขน สงู ระดบั นใี้ นบอกุงท่ีเล้ยี งดวยความเค็มตํ่าหรอื บอท่ีมีเคร่ืองใหอากาศนอ ย โพวโิ ดนไอโอดนี โพวิโดนไอโอดีน มีลักษณะเปนผงสีนํ้าตาลแดงละลายน้ําจะไดสารละลายสีเดียวกันหรือออกเหลือง ถามคี วามเขมขน ตํา่ มีการใชโ พวิโดนไอโอดนี ในวงการแพทยม าเปน เวลานานตลอดมาเพื่อฆาเชื้อโรคที่ตดิ ตอกับ เครื่องมือแพทยหรือเพ่ือฆาเชื้อทั่วไป รวมท้ังมีการใชในวงการเลี้ยงสัตวบกและสัตวปก เร่ิมมีการนําเขามาใช ในวงการเพาะเลย้ี งกุง กลุ าดาํ หลงั เบนซัลโคเนยี มคลอไรดเ ล็กนอ ย โพวิโดนไอโอดีนมีฤทธิ์ในการฆาเชื้อโรคท่ัวไป โดยเฉพาะไดมีการใช ทําความสะอาดบอกอนการเลี้ยง คอนขางแพรหลาย ปริมาณท่ีใช คือ 0.6 ถึง 1 พีพีเอ็ม หรือประมาณ 1 ถึง 1.6 กิโลกรัม ของโพวิโดนท่ีเปนผง หรอื 1 ถึง 1.6 ลิตร ในกรณีทีเ่ ปนสารละลาย ในบอ เน้ือที่ 1 ไร นํา้ ลกึ 1 เมตร ซาโปนิน (Saponin) และกากชา ซาโปนินเปนสารเคมีท่ีพบในพืชประมาณ 400 ชนิด ที่กระจายอยูทั่วโลก พืชบางชนิดสะสมซาโปนิน ที่เปลือกบางชนิดสะสมมากท่ีเมล็ด ในประเทศไทยมีการใชชาโปนินจากกากเมล็ดชาสําหรับกําจัดปลาในบอ เล้ียงกุงทะเลอยางไดผล และใชกันอยางแพรหลาย เนื่องจากซาโปนินมีความเปนพิษตอปลามากกวากุงทะเล หลายเทาจึงสามารถใชชาโปนินกําจัดปลาในบอที่มีกุงอยูโดยไมเปนอันตรายตอกุงท่ีเลี้ยง ชาโปนินเปนสาร ท่ีสลายตัวงาย และจะเสื่อมพิษภายใน 7-15 วัน ซาโปนินความเขมขนระดับ 25-100 พีพเอ็ม ซ่ึงสามารถ ฆา ปลาไดโ ดยไมเ ปน อันตรายตอ กงุ ทเี่ ลย้ี ง ซาโปนินมีคุณสมบัติท่ีเปนพิษตอสัตวเลือดเย็นมากกวาสัตวเลือดอุนและจะเปนพิษกับสัตวท่ีมี เลือดแดง มากกวาสตั วท่ีมีเลือดสีน้าํ เงนิ ประสิทธิภาพของกากชาในประเทศไทยมักใชในรูปของกากชา ซึ่งกากชาจะมีชาโปนินอยู 12-15 เปอรเ ซน็ ต ประสิทธิภาพของกากชาและชาโปนินจะลดลงตามความเค็มของนํ้าท่ีลดลงอัตราการใชกากชา คือ 20-30 กโิ ลกรัมตอไร น้าํ ลึก 1-2 เมตร ถาความเค็มตาํ่ กวา 15 พีพีที
การเลี้ยงกงุ้ 29 29 เม่อื เกษตรกรจะใชก ากชาในการเบอ่ื ปลาหรอื ฆา ปลาในบอนั้น ควรนํากากชามาแชใ นนา้ํ เค็มประมาณ 6 ชวั่ โมง เพ่อื ใหชาโปนนิ ออกมากอนทีจ่ ะไปใสใ นบอกงุ เพ่ือฆา ปลา คอปเปอร คเี ลทติ้ง เปน ผลติ ภัณฑของคอปเปอรที่ถูกคเี ลทใหอ ยูในรปู ของคอปเปอรอ ัลคาโนลามีนคอมแพล็กซ ทาํ ใหมี ความคงตัวสงู และใหผ ลในการใชไ ดดี ไมกอใหเ กิดมลภาวะ ลักษณะทีน่ ํามาใชในบอ เลี้ยงกงุ -ใชกําจัดสาหราย ตะไครนํ้าท่ีมีมากเกินไป ซึ่งจะเปนตัวกอใหเกิดการขาดออกิเจนในบอหรือเขาไป เกะตามเหงอื ก รยางค และตัวกงุ ทาํ ใหก งุ ออ นแอ ลอกคราบไมออก -ใชคมุ สนี ํ้าปองกนั การเกิดน้ําเขยี วเขมจดั ชว ยกระตนุ การลอกคราบ ขนาดและวิธใี ช -กําจดั สาหรายขนาดเล็กและแพลงกต อนพชื ที่แขวนลอยในนา้ํ ใช 0.2-0.5 พพี ีอ็ม -กําจดั สาหรายขนาดใหญแ ละสาหรายเสน ใย 0.5-1.0 พพี เี อ็ม วิธีการใชสารเคมีดังกลาว ผูใชควรนํายา 1 สวน มาเจือจางโดยนํามาละลายในนํ้า 10-20 สวน กอน แลว จงึ นําไปสาดใหทวั่ บอ เปด เคร่อื งใหอากาศทิ้งไวเพ่ือใหต ัวยากระจายท่ัวถึง โดยใชในชวงเชา ในวนั ท่มี ีแดดจา ขอควรระวังหลังจากการใชในแตละคร้ังควรเปดเคร่ืองใหอากาศเต็มท่ีติดตอกันเพื่อใหแนใจวาไมมี ปญหาการขาดออกซิเจนเนื่องจากแพลงกตอนไมสังเคราะหแ สง แตสีนํ้ายังเปน ปกตกิ ุงที่อยูในระยะใกลจับขาย ไมค วรใชส ารเคมีในบอ การเตรยี มบอ ดวยวสั ดุปูพ้นื พีอี 100% การซอมแซมผายางพีอที ี่ชํารดุ
30 การเลี้ยงกุ้ง 30 ฉีดนํา้ ทาํ ความสะอาดพนื้ บอ ใชว สั ดุปูนซีเมนตเททบั รอยขาดตามแนวพน้ื บอกรณีทีชํารุดมากๆ เพอื่ ประหยดั คาใชจา ยในการซลี
การเล้ยี งก้งุ 31 31 การเตรยี มและประกอบเครื่องใหอ ากาศสําหรบั บอ เล้ียงกุง
32 การเลีย้ งกุง้ 32 นาํ นาํ้ ท่ีผา นการฆา เชอ้ื เขาบอเลยี้ งระดบั ความลกึ ประมาณ 1 เมตร ถงึ 1.2 เมตร
การเล้ยี งก้งุ 33 33 ลักษณะหลุมกลางบอดักจับของเสียของการเล้ยี งกงุ ในปจจบุ นั
34 การเล้ยี งกุง้ 34 บทปฏบิ ตั ิการท่ี 2 เร่ือง การเตรียมบอ และวสั ดอุ ปุ กรณการเลีย้ งกงุ บอท่ีใชในการเลี้ยงนั้น มขี นาดรูปรา งแตกตางกันไปตามความเหมาะสมของพ้นื ที่ และความพรอมของ ผูทําฟารม เพื่อใหเหมาะสมกับวัสดุอุปกรณท่ีมีอยู ฉะน้ันผูเรียนตองเขาใจหลักการปฏิบัติที่ถูกตองเหมาะสม และตองฝกฝนปฏบิ ตั กิ ารเพอื่ ใหเกดิ ทกั ษะในการทํางานอยา งเปนขัน้ เปน ตอน จดุ ประสงค 1. บอกลักษณะรปู แบบทีเ่ หมาะสมของบอเลยี้ งกงุ ได 2. บอกอุปกรณท ี่ใชในการเลยี้ งกงุ ได 3. เตรยี มบอ และตดิ ตง้ั อุปกรณภ ายในบอเลี้ยงได อุปกรณ 1. บอเลยี้ งขนาด 1.5 ไร 1 บอ 2. อปุ กรณตีนาํ้ 3. เคร่อื งสูบนํ้า 4. มอเตอร 3 HP 5. ตูควบคุมระบบไฟฟา 6. เครื่องมือชา ง วธิ ีการ 1. นักเรียนรว มกับปฏิบัตกิ ารเตรียมบอ กอ นปลอ ยกุง 2. นักเรยี นแบง กลมุ กันปฏิบัติการเตรยี มอปุ กรณทใ่ี ชเ ล้ยี ง 3. นกั เรยี นรว มกันปฏบิ ตั ิประกอบอปุ กรณต ีน้าํ โดยใชเครอ่ื งชา ง 4. นกั เรียนรวมกันประกอบเครอ่ื งสบู น้ํา โดยใชเคร่อื งมอื ชาง 5. นกั เรียนรว มกันปฏบิ ัตศิ ึกษาระบบตคู อนโทรลมอเตอร
การเลีย้ งกุ้ง 35 35 แบบบนั ทึกการปฏบิ ัติงาน 1. วัสดทุ ใ่ี ชใ นการเตรียมบอ 1.1 1.2 1.3 1.4 2. ลักษณะของบอเล้ียง ขนาดพ้ืนที่ กวา ง..........................ม. ยาว............................ม. ลกึ .............................ม. รปู รา งของบอ................................................................................... 3. บนั ทกึ ขั้นตอนการทาํ งาน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ส่ิงที่ตองระวังเกี่ยวกบั ความปลอดภัยในการปฏิบัติ .............................................................................................................................................. ................................ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................... ........................................... 5. เครอื่ งมือทใ่ี ชใ นการปฏบิ ตั งิ าน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................... ......... คาํ ถามทา ยบท 1. บอกขนาดมอเตอรทีใ่ ชในการประกอบเคร่ืองตนี ํ้า 2. จะคาํ นวณหาขนาดพื้นทข่ี องบอ 3. อธิบายขน้ั ตอนการเตรียมบอ 4. ขอ ควรคาํ นึงถึงความปลอดภัยในฟารม มีอะไรบาง
36 บทท่ี 3 การคบัดทเลท่ีอื 3กพันธ์กุ ้งุ การคดั เลอื กพนั ธกุ งุ ลกู กงุ จาการทร่ี าคากงุ ตลอดป 2543 นอี้ ยูในระดับสูงมาก เมอื่ เปรียบเทยี บกบั ปกอนๆและธรุ กิจอน่ื ๆประสบ ปญหาการขาดทุน ทําใหฟารมเลีย้ งกุงกลุ าดํามีการขยายตัวมาก เกิดปญ หาลกู กงุ ขาดแคลนเน่ืองจากแมพันธุกุง มีจํานวนไมเพียงพอในขณะที่มีการปลอยลูกกุงกันอยางหนาแนน เน่ืองจากราคากุงขนาดเล็กมีราคาสูง ปญหา ทพ่ี บโดยทวั่ ไปในป 2543 คอื 1. ลูกกุงมีอตั ราลอดตํา่ ปลอยแลวกงุ ไมตดิ พบโดยทว่ั ไปแทบทุกแหง 2. กุงโตชา โดยสภาพรวมแลว แทบทุกพื้นที่กุงโตชา ในปจจุบันนี้ตอ งยอมรบั วา ลูกกุงมีคุณภาพไมดีเหมือนเม่ือสิบกวาปที่แลว ทําไมจึงเปนอยางน้ัน สาเหตุ มาจากหลายๆอยา งทเี่ ก่ียวของกันพอจะอธบิ ายไดด งั น้ี ในยุคแรกๆที่มีการเล้ียงกุงกุลาดําแบบพัฒนา ไมมีไวรัสเอ็มบีวี(MBV) และไวรัสเอชพีวี(HPV) ไวรัส สองชนิดน้ีอยูเซลลตับและตับออน มีผลการทํางานของตับและตับออนทําใหอัตรารอดและการเจริญเติบโต ของกุงลดลง สิบกวาปที่แลวแมพันธุกุงราคาตัวละ1,000 บาท อารมีเมียโหลละ 2,000 บท แตลูกกุงตัวละ 30 สตางค (ลูกกุงพี 17-20) ปลอยลูกกุง 100,000 ตัว เลี้ยงนานประมาณ 120 วัน จะจับกุงไดขนาดประมาณ 30-35 ตวั /กก. และผลผลติ ประมาณ 2,500 กิโลกรัม ปจจุบันนี้แมกุงตัวละ 5,000-8,000 บาท อารทีเมียโหลละกวา 20,000 บาท แตลูกกุงตัวละ 14 สตางค (พี12-13) ปลอยลูกกุง 100,000 ตัว เลี้ยงนาน 120 วัน จะจับกุงไดขนาดประมาณ 50-60 ตัว/กก. และผลผลิตประมาณ 500-1,000 กโิ ลกรมั คงจะเห็นความแตกตางแลว ถาผลผลิตการเลี้ยงยังอยูในลักษณะเชนน้ีตอไปเม่ือไรราคากุงลดลง มามาก เกษตรกรผูเลี้ยงกุงจะตองประสบปญหาการขาดทนุ อยางแนน อนธุรกิจนี้จะเปนอยางไร ทําอยางไรจะทําใหลูกกุงมีคุณภาพใกลเคียงกับแตกอน เปนคําถามที่ผูเกี่ยวของทุกฝายโรงเพาะฟก ผูเ ลยี้ งและหนวยงานวจิ ยั ตางๆ ตอ งเรง หาทางแกไข กอ นทอ่ี ตุ สาหกรรมกุง ของไทยจะเกิดปญหา โรงเพาะฟกจะผลิตลูกกุงคุณภาพไดเหมือนเดิมหรือไม ถึงไมไดเหมือนเดิมแตขอใหดีกวาที่เปนอยู ในขณะนี้ก็จะทําใหทุกอยางดีข้ึนแตผูเล้ียงกุงตองยอมรับวาราคาลูกกุงที่ผานมาในบานเราถูกมาก จนโครงเพาะฟก ไมสามารถผลิตลูกกุงคุณภาพได ถาทาํ ใหล ูกกุงคุณภาพดีขน้ึ ราคาก็ตอ งยตุ ธิ รรมตอโรงเพาะฟก ดวย ลูกกุงนับเปนปจจัยท่ีมีความสําคัญอยางยิ่งตองปลอยอยางหนาแนนเผื่อตายมาก เพราะลูกกุงคุณภาพดี อัตรารอดจะสงู การเจริญจะเปน ปกติ การเล้ียงกไ็ มใชเวลานานมากจะเปน การลดตนทนุ ไดมากกวา การใชล ูกกุง ราคาถกู แตหาความแนนอนไมไดทาํ ใหการวางแผนการผลติ ทําไดย าก ปน้ีเร่ิมมีการพูดถึงปญหาตางๆจากลูกกุงมากกวาทุกป ผูประกอบการเองก็ไมไดน่ิงนอนใจ จะเห็นได จากมกี ารสมั มนาและจดั ตงั้ ชมรมขน้ึ มาเพื่อระดมความคิด หาทางแกไขเก่ียวกบั คุณภาพลกู กงุ และอนบุ าลลูกกุง ทะเลจงั หวัดฉะเชิงเทรา คอื คุณบรรจง นสิ ภาวณิชย มคี วามตงั้ ใจจรงิ ท่ีจะทําใหอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุง กุลาดําไทยยั่งยืน ความรูประสบการณดานการเพาะฟกลูกกุงมาเปนเวลาชานาน และถือไดวา เปนมือหนึ่งของ วงการเพาะลูกกุงของเมืองไทย จะทําใหผูประกอบการโรงเพาะฟกตางๆใหความรวมมืออยางจริงจังท่ีจะมี การพฒั นาคุณภาพลูกกุงใหด ขี ้ึนในขณะที่ผเู ลี้ยงเองกต็ องยอมรับราคาทสี่ มเหตสุ มผลดว ย ควรมีการวิจัยถึงการใชอาหารชนิดอ่ืนทดแทนอารทีเมียหรือสดั สวนที่เหมาะสมของอารทีเมียท่ีจําเปน จรงิ ๆ ในการนุบาลลกู กงุ
การเลี้ยงกุ้ง 37 37 ในอนาคตอันใกลงานวิจัยตางๆท่ีกําลังมีการวิจัยกันอยางจริงจังในขณะน้ีเพ่ือท่ีจะนําเอาแมพันธุท่ีมา จากการคัดพันธใหไดสายพันธุท่ีโตเร็วและปลอดเชื้อไวทดแทนแมกุงจากธรรมชาติ โดยเฉพาะในชวงที่แมกุง ชาดแคลนและในระยะท่ีมีปญหาโรคดวงขาวใชวงปลายปของทุกป หวังวาแมกุงจากโครงการวิจัยตางๆ จะสามารถทดแทนแมกุงจากธรรมชาติเปน จํานวนมากเหมือนกบั ท่ีเปนอยใู นขณะนี้ หลักในการเลอื กซอ้ื ลูกกุง 1. เกษตรกรควรเดินทางไปโรงเพาะฟกดวยตนเอง เลอื กดคู วามสะอาดของโรงเพาะฟกน้ันๆ เพราะถา โรงเพาะฟกแหงน้ันมีความสะอาดถูกสขุ ลักษณะลูกกุงที่ไดจากการผลติ ของฟารมเพาะนี้ก็นาจะมีสุขภาพดีและ ความสะอาดเชน กนั แตถ าฟารมเพาะน้ันมีความสกปรกมากแลวเราจะมนั่ ใจไดอยา งไรวา กงุ ที่มาจากฟารมเพาะ ดังกลา วน้ันจะใหลูกกงุ ท่ดี ีกับเรา 2. เครอื่ งมือทีใ่ ชใ นการเพาะอนบุ าลตองมคี วามสะอาด 3. เปดบอเพาะลูกกุงแลวดูวามีลูกกุงตายอยูท่ีกนบอหรือไม ถามีลูกกุงตายที่กนบอความหมายคือ ลกู กุง บอ นีอ้ อ นแอ ไมค วรเอา 4. ใหเกษตรกรสังเกตสีของสายใหอากาศในบอเพาะ วาสายอากาศสวนที่อยูเหนือน้ํากับใตน้ํา สีเดียวกันหรือไม ถาพบวาสายอากาศเสนเดียวกันสีของสายเหนือนํ้ากับใตน้ําไมเหมือนกันเชนเหนือน้ําสีขาว แตในน้ํามีสีมวงหรือแดง หรือสีน้ําเงินเปนตน แสดงวาลูกกุงบอน้ีไดถูกใชยาบอย (ดองยา) บอดังกลาวเราจะ ไมเอาเปน อนั ขาด 5. ตกั ลกู กงุ ใสแกว ดูลักษณะดังตอไปนี้ -ลูกกุงในแกวตองวานนํ้าแบบกุงคือทุกตัวตองวายนาํ้ ปกติ(ควํ่าหนาวาย) ถากุงท่ีตักมาพบวามีการ วา ยแบบนอนหงาย(กรรเชยี ง)หรอื วาพลกิ ตวั ไปพลิกตัวมาแสดงวากงุ ในบอ ออนแอ -ลําตัวลูกกุงตองสะอาด มีอาหารเตม็ ลําไส 6. ดูหนวดคูหนาของลูกกุงถาแข็งแรงตองหุบชิดกัน แตถากุงมีปญหาหรือออนแอหนวดคูดังกลาว จะแยกออก 7. ทดสอบความแข็งแรงลูกกุงโดยการดักเฉพาะลูกกุงมา 20-30 ตัวมาใสภาชนะท่ีบรรจุน้ําจืดไว เชนชามหรอื กะละมงั เล็ก ทิ้งไวป ระมาณ 30 นาที (ครงึ่ ชั่วโมง) แลวดูลูกกงุ นั้นหากตายมากกวา 10 เปอรเซ็นต แสดงวาไมแ ข็งแรง 8. หากสามารถดูพอแมก ุงได แมก งุ ทใี่ ชเพาะฟกควรมีขนาด 10 น้วิ ขนึ้ ไป โดยวดั จากปลายกรีถังปลายหาง หมายเหตุ ควรจะปลอยลูกกุงอยางนอยพี 15 สําหรับผูที่จะเลี้ยงที่ความเค็มต่ํา หรือลูกกุงมีขนาดความยาว 1.3-1.5 เซนติเมตรหรือแพนหางแตก 5 แฉก อัตรารอดจะสุงกวาลูกกุงขนาดเล็กเชน พี8-10 แตสําหรับผูที่ ปลอยลูกกุงมีความเค็มสูงปกติ ลูกกุงเล็กกวาพี 15 ก็พอใชไดและอัตรารอดก็จะสูงกวาปลอยลูกกุงดังกลาวที่ ความเค็มต่าํ แตอ ยางไรก็ตามไมควรซื้อลกู กุง พี8-10 ไปเลีย้ งเพราะอัตรารอดจะต่ํากวาลูกกุงท่ใี หญก วา น้ี การจดั การกอ นการบรรจุถุง -กอนที่จะนําลูกกุงมาบรรจุถุง 6-12 ชั่วโมง ควรใสฟอรมาลิน 40 พีพีเอ็ม(40 ซีซีตอนํ้า 1 ตัน) เพ่ือกาํ จดั ลูกกงุ ทีอ่ อนแอออกและเปนวธิ ีท่ีสามารถฆาซูโอแทมเนียมจากบอเพาะฟก -ควรเตรียมนํ้าใหมเพ่ือใสถุงบรรจุลูกกุง ไมควรใชน้ําเกาที่เลี้ยงเพราะจะทําใหสุขภาพลูกกุงออนแอลง เน่ืองจากนา้ํ เกามีของเสยี จากกุง เศษอาหารท่ีเหลอื ซูโอแทมเนียมที่ฆา ทิ้ง การใชน า้ํ ใหมตอ งคํานึงถงึ -ควรผสมน้าํ ใหไดร ะดบั ความเค็มตรงตามความตอ งการ กอน 6 ชม. หรอื 1 วนั -ควรเชค็ พเี อช โดยอยางนอ ยพีเอชตอ งมากกวา 8.5 เพราะเม่ือบรรจุถงุ แลพเี อชจะลดลง
38 การเล้ยี งกุ้ง 38 การจดั การลําเลียงลูกกงุ ควรใชกระสอบพรมน้าํ แผน โฟม แผนยางกนั ความรอนกรุกนั ความรอนไมใหเขามาถงึ ลกู กุงโดยเฉพาะ บริเวณตอนหนาของรถกระบะรถ หรือถาลําเลียงลูกชวงกลางวัน ควรกันไมใหโดนแสงแดดและควรลําเลียง ถึงฟารมเลยไมค วรแวะพัก การตรวจคุณภาพลกู กุง 1. ดลู ักษณะภายนอก ระยางคคูหนา (อวัยวะท่ีอยูปลายตรงสวนหัวของกุง) ลูกกุงที่มีคุณภาพดี ลักษณะของรยางค คูห นาตอ งชิดตดิ กันหรือแยกจากกนั ชวงคราวแลว กจ็ ะปดสนทิ เหมือนเดมิ แพนหาง ลูกกุงคณุ ภาพดีแพนหางตองการแผออก(หางแตก) 2. พฤติกรรมการวายนํ้าของลูกกุง โดยตองทดสอบดวยการดักลูกกุงใสกะละมัง เอามือกวนนํ้า ใหหมุนชาๆ ถาลูกกุงแข็งแรงเม่ือน้ําหมุนชาลงจะกระจายกันไปยึดเกาะติดกับพ้ืน หรือวายทวนกระแสน้ําและ ถาน้ําหยุดหมุนสวนมากจะวายขึ้นไปเกาะท่ีขอบกะละมัง ถาพบวาเม่ือนํ้าหมุนชาลง มีกุงบางตัวท่ียังลอย ไรท ิศทาง หรอื กองอยูก ับกน กะละมงั ลกู กงุ ทวี่ าน้จี ดั เปน กงุ ออนแอ 3. การตดิ เชื้อและความสกปรก การตรวจส่ิงนตี้ อ งอาศัยกลองจุลทรรศน ลกู กุงท่ีดคี วรมีสุขภาพแข็งแรงโดยปราศจากพาราสิต และพวกแบคทีเรียเสนสาย นั่นคือลูกกุงท่ีดีเม่ือนํามาสองกลองจุลทรรศนแลวพบวาไมมีอะไรเกาะตัวกุงเลย เชน ซูโอแทมเนียม อิพิสไตลิส วอรดิเซลลา อะซินีตา เปนตน เน่ืองจากถาเราพบวาลูกกุงมีสิ่งเหลานี้เกาะอยู หมายความวา อาจเปนไปไดทกี่ งุ เริ่มออ นแอ 4. อตั ราสวนความหนาของกลา มเนอ้ื กับทางดนิ อาหารของกุง (MGR) การวัดอัตราสวนดังกลาวทําไดโดยใชกลองจุลทรรศนเชนกัน โดยดูขนาดของกลามเนื้อและ ขนาดของลําไสในปลองกลามเนื้อท่ี6 ของกุง โดยวัดจากขอบเปลือกในดานบน มาส้ินสุดตรงขอบเปลือก ในดานลาง และทางเดินอาหารดานบนสุดและลางสุด เพื่อนํามาหาอัตราสวน หากคา MGR มากกวา 4 : 1 จดั วาลูกกุงชุดนั้นมีสขุ ภาพดี 5. การตรวจสอบความแขง็ แรงของลูกกุงโดยการทําใหลกู กงุ อยใู นสภาวะเครยี ด การตรวจสอบใชฟอรมาลินเขมขน 100 พีพีเอ็ม แชลูกกุงนาน 2 ช่ัวโมง ถาผาน 2 ช่ัวโมง ไปแลวกุงยงั ไมตาย แสดงวาลูกกุง แข็งแรงสุขภาพดี เกณฑในการใหค ะแนนลกู กงุ ลกั ษณะทตี่ รวจ จํานวนลูกกุงทใ่ี ช คะแนนเตม็ เงื่อนไขในการตัดคะแนน ลกั ษณะรยางคค ห นา 200 ตวั 10 พบ2ตัวตดั 1 คะแนน ลกั ษณะหางไมแ ตก 200 ตวั 10 พบ2ตัวตดั 1 คะแนน ลักษณะการลอยของลูกกุงแบบไมมที ศิ ทาง 200 ตัว 10 พบ1ตวั ตดั 1 คะแนน ลักษณะของพาราสิต 50 ตัว 10 พบ1ตวั ตัด 4 คะแนน อัตราสวนของกลามเนื้อปลองท่ี6 ตอลําไส 50 ตัว 20 พบ1ตัวตดั 2 คะแนน นอ ยกวา 4 : 1 การทนตอ สภาพความเครยี ด 150 ตัว 40 ตาย 1 ตวั ใหคะแนน 31 ตาย 2 ตัว ใหค ะแนน 22 ตาย 3 ตัว ใหคะแนน 13 ตาย 4 ตัว ใหค ะแนน 4 ตาย 5 ตวั หรือมากกวา ให 0
การเล้ยี งกุ้ง 39 39 การปลอยลูกกุงลงในบออยางงายๆ ทําไดโดย 1. นํ้าในบอท่ีจะลงลูกกุงเล้ียง เตาตองใหอากาศตีน้ําใหเขากัน โดยเฉพาะชวงอากาศรอนท่ีผิวน้ํา อณุ หภมู จิ ะสูงมาก 2. ปรับอุณหภมู นิ ้าํ ในถุงลูกกุงใหใ กลเ คยี งกบั นํ้าในบอ โดยนําถงุ กงุ ไปแชน้าํ -กรณีท่ีฟารมไมมีอุปกรณ หลังจากที่แชถุงลูกกุงนานพอประมาณก็ใหแกะปากถุงแลวใสนํ้าลงไป เล็กนอยพลิกถุงไปมา แลวจึงปลอยทีละถุง เนนอยาใหถุงบรรจุลูกกุงตากแดด อยาเปดปากถุงแชนํ้าเหมือน แตกอน ปจจุบันน้ีหลังจากนําถุงแชนํ้า โดยไมเปดปากถุงเมื่อคิดวานํ้าในถุงกับนํ้าในบอไมนาจะแตกตางกัน เม่อื เปดถุงไหนรีบปลอ ยถงุ นนั้ ทันที -กรณที ่ีมีอปุ กรณ (ถงุ น็อก ปม ใหอากาศ) นําถงั ขนาด 500 หรอื 1000 ลิตร ใสปมใหอ ากาศ นาํ ถุง กุงเทลงถังประมาณ 100 ลิตร ลูกกุงประมาณ 50,000 ตัว ถาออกซิเจนมากพอก็ใสไดเต็มท่ี 100,000 ตั ว แลวคอยๆสูบนํ้าใส ประมาณ ครึ่งชั่วโมง จะเต็มพอดี ถาไมมีก็ใชกระปองตัก ยกหัวลมออกแลวนําตัวออนแอออก ปลอ ยลกู กงุ แข็งแรงสบู อโดยใชสายยาง ขัน้ ตอนการปฏบิ ัติการคัดลูกกุงออนแอทิ้ง 1. เลือกลกู กงุ ท่ีตองการปลอยขนาดอายุต้ังแตพี 12 ขน้ึ ไปหรอื ความยาวไมตาํ่ กวา 1.3 เซนติเมตรและ ไดผ า นการตรวจพีซอี ารแ ลวไมต ดิ เชอื้ ดวงขาว 2. หลังจากที่ลูกกุงขนาดอายุไมต่ํากวาพี12 ลําเลียงมาถึงบอในตอนเชามืดหรือตอนเย็นตักน้ําในบอ ที่จะปลอ ยลูกกงุ ใสถงั นอคพอประมาณ พรอมเปด เครอื่ งใหออกซิเจนดว ยตลอดเวลา 3. ปลอยลูกกุงลงไปในถังนอคซึ่งบรรจุลูกกุงไดถังละ 200,000 (สองแสนตัว) ถึง 250,000 (สองแสน หาหมื่นตวั ) แลว เติมนาํ้ ในบอ จนไดร ะดับประมาณ 400 ลิตร 4. เติมอารทีเมียที่ทางโรงเพาะฟกเตรียมมาดวยลงไปในถัง รอนานประมาณ 10-15 นาที ใหลูกกุง แข็งแรงฟนตัวจากการขนสง 5. ใชก ระบอกฉีดยาดูดฟอรมาลิน 60 ซีซี ใสลงไปในถงั ที่มีน้ําจากบอกงุ ประมาณ 5 ลิตร 6. คอ ยๆรนิ น้าํ ในถงั ใสถงั นอคท่ีมีลกู กงุ แลวท้งิ ไวน าน 30 นาที 7. เอาหวั ทรายข้นึ จากถงั นอค ใชมือกวนนํา้ รมิ ขอบถังใหน ํ้าหมนุ 8. รอจนนํ้าน่งิ 9. ตักลูกกงุ ท่ไี มก องพน้ื กน ถงั ดวยสวิงลงปลอยในบอ สว นลูกกุงทกี่ องทีก่ ลางถงึ นาํ ออกทิง้ 10. เอาสายยางดูดลูกกุงกนถังใสในกะละมัง สวนลูกกุงที่เหลือปลอยลงบอเลี้ยง สําหรับลูกกุงที่ดูด ออกมาใสกะละมังจะนํามาคัดอีก 1-2 คร้ัง เอาเฉพาะตัวท่ีตายและตัวที่กองกนกะละมังออกทิ้ง พวกท่ีวายน้ํา แยกตัวออกมาตักออกไปปลอยลงบอได หมายเหตุ ถาลูกกุงที่ขนลําเลียงมาแข็งแรงขนาดอายุไมตํ่ากวาพี 12 ปริมาณลูกกุงท่ีถูกคัดออกท้ิงสวนใหญไม เกนิ 5 เปอรเ ซน็ ต การปลอยลูกกุงตอนเชาออกซิเจนในบอเลี้ยงอาจจะตํ่าควรเปดเคร่ืองใหอากาศ เต็มท่ีตั้งแตกลางคืน กอนวนั ทป่ี ลอยลูกกงุ เพ่ือใหแนใ จวา ออกซเิ จนในชวงทป่ี ลอยลกู กุงตอนเชายังอยูใ นระดับทสี่ ูงและเหมาะสม
40 การเลยี้ งกุ้ง 40 การลําเลยี้ งลกู กุงในปจจุบนั โดยบรรจลุ งถังพลาสตกิ ขนาด 200-400 ลติ ร
การเลี้ยงกุ้ง 41 41 การขนยา ยและการคดั เลอื กพันธุกุง ลงบอเลี้ยง การสุมตรวจนบั จํานวนลูกกุงกอนปลอยเล้ียง
42 การเล้ยี งกุ้ง 42 บทปฏิบตั ิการท่ี 3 เร่ือง การคดั เลอื กพันธุกงุ ในการเลี้ยงกุงในปจจุบันเร่ืองของการจัดหาหรือรวบรวมพันธุกุงที่นํามาใชเลี้ยงถือวาสําคัญอยางยิ่ง เพราะฉะน้นั เจา ของฟารมตอ งมีความรูในการคัดเลอื กลูกพันธุมาเลีย้ ง ตลอดจนทกั ษะการปลอ ยกงุ ลงเลย้ี ง จดุ ประสงค 1. นักเรยี นบอกลักษณะพนั ธุก งุ ท่ีแขง็ แรงสมบูรณได 2. นกั เรยี นบอกข้ันตอนการปลอยลูกกงุ ลงเลยี้ งได 3. นักเรียนขอกขั้นตอนการปลอยลูกกุงมายังบอ เล้ยี งได วิธีการ 1. ใหนักเรยี นแบงกลุมๆ ละ 3 คน ชว ยกนั นบั จํานวนกงุ ตอกุง แลว คาํ นวณกุง ทั้งหมด 2. ใหนกั เรยี นรว มกันปรับสภาพแวดลอ มของกงุ ในถงั กบั สภาพแวดลอมภายในบอเลยี้ ง 3. ใหนักเรียนทําการทดสอบสภาพความแข็งแรงของลูกกุงกอนปลอยเลี้ยง แลคํานวณหาอัตรารอด เบอ้ื งตน 4. ใหนกั เรยี นตวงน้าํ รวมทัง้ ลกู กงุ มาจาํ นวน 1 ลิตร แลวนับจํานวนตวั แบบบันทึกการนับจาํ นวนลูกกุง โดยใชรอยขีด จาํ นวนรอยขดี รวม/ตัว 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ถงั ท1ี่ ถงั ที2่ ถงั ท่3ี คาํ ถามทา ยบท 1. อธบิ ายการคํานวณอตั รารอดเบื้องตน 2. อธิบายการทดสอบความเครยี ดของลูกกงุ
บทท่ี 4อาหาอรแาลหบะาทกรทาแี่ร4ลใหะกอาาหราใหรอ้ าหาร การใหอาหารกุงกุลาดําในการเล้ียงแบบพัฒนาจะแตกตางกันไปในแตละฟารม จากประสบการณ ที่ผานมาและการเก็บขอมูลจากฟารมตางๆ วิธีการใหอาหารและปริมาณอาหารสําหรับกุงแตละขนาด รวมทั้ง ปริมาณอาหารที่ใสในยอไดมีการปรับปรุงแกไขเปลี่ยนแปลงใหดีขึ้นเร่ือยๆ จนอยูในระดับที่นาพอใจท้ังในดาน การผลติ อตั รารอด การเจริญเติบโต และคาอตั ราแลกเน้อื สําหรบั การใหอ าหารกุงกลาดาํ ในปจจบุ ันมีดังนี้ การใหอ าหารกุงระยะแรก หลงั จากเตรยี มสีน้ําไดต ามทตี่ องการและปลอยลกู กุงลงไปแลวเรมิ่ ใหอาหาร ลูกกุงในม้ือถัดมา ปริมาณอาหารท่ีใหสําหรับลูกกุงพี 15 จนลูกกุงที่ปลอยในบอมีอายุประมาณ 1 เดือน จะให อาหารเมด็ ในอตั รา ดงั ตอ ไปนี้ อายุกงุ (วัน) ปลอยลกู กงุ พี 12-15 1-5 ใหอ าหาร 1 กิโลกรัม/100,000 ตัว/วนั 6-13 เพม่ิ 100 กรัม(1 ขดี )/100,000 ตัว/วัน 14-21 เพ่มิ 200 กรมั (2 ขดี )/100,000 ตวั /วนั 22-30 เพ่มิ 300 กรัม(3 ขดี )/100,000 ตัว/วัน กุงควรมีนํ้าหนัก = 1.5-2.5 กรัม หลงั จากน้นั จะเริ่มใชยอและปรบั อาหารตามยอ การใหอาหารลูกกุงในระยะแรก ควรใชอาหารกุงเล็กผสมกับอาหารกุงวัยออนชนิดแผน (Flake) อาจจะใชอาหารสดเสริมบางก็ไดเชนเน้ือหอยแมลงภูปนละเอียดอาจจะใช 1-2 กิโลกรัมตอวันตอลูกกุง 100,000 (หน่ึงแสนตัว) จํานวนมื้อที่ใหอาหารน่ันสวนใหญแลวควรจะใหประมาณ 3-4 ม้ือ การหวานอาหาร ควรผสมอาหารกับนํา้ แลว สาดกระจายใหท วั่ บอ การใหอาหารในระยะแรกในปรมิ าณที่กลาวมาแลวนั้น การเจริญเติบโตของลูกกุงหลังจากอายุ 30 วัน จะขึ้นอยูกับอัตรารอด การควบคุมสีนํ้าความเค็มฤดูกาล ซ่ึงจากอัตราปลอยในระดับความหนาแนน 30-60 ตัว ตอตารางเมตร หลังจาก 30 วนั กงุ จะมนี า้ํ หนักระหวา ง 1.5-2.5 กรมั จากขอมูลในฟารมในรอบ 3 ปท่ีผานมาพบวาการปลอยลูกกุง 100,000 ตัวจับกุงไดนํ้าหนักรวม ประมาณ 1,000 กิโลกรัม เปนสวนใหญ มีเพียงเปอรเซ็นตท่ีนอยมากที่ปลอยลูกกุง 100,000 ตัวไดนํ้าหนักกุง ตอนจับเกิน 2,000 กิโลกรัม เห็นไดชัดเจนวาคุณภาพลูกกุงในชวง 2-3 ปที่ผานมไมดีเทาที่ควรการใหอาหาร มากๆ ตง้ั แตต น ถา หากลูกกุงคุณภาพไมดีจริง พอเร่มิ ปรบั ใชยอกงุ จะกนิ อาหารไมหมดตองลดอาหารลงมามาก ดังนั้นขอใหเกษตรกรเริ่มทดสอบใสอาหารในยอตั้งแตกุงอายุประมาณ 10-14 วัน และตรวจดูทุกวันวาลูกกุง เขามาในยอมากนอยแคไหน กินอาหารในยอหรือเปลา เม่ืออายุประมาณ 20 วัน ถาพิจารณาดูแลวกุงไมได กนิ อาหารในยอเลยกค็ งอาหารไวห รืออาจจะลดลงได ไมจําเปน ตอ งเพ่มิ อาหารตามโปรแกรมท่วี างไว แตในกรณีท่ีบางฟารมมีการใหอาหารในระยะ 7 วันแรกสูงมากเชน 2-3 กิโลกรัมตอ 100,000 ตัว ตอวัน คิดวาเปนอัตราท่ีสูงเกินความจําเปนเพราะถาลูกกุงไมดีจริง หรือมีอัตรารอดสูงมากและโตดีจะทําให คณุ ภาพนา้ํ ในบอ แยล งและมปี ญหาซโู อแทมเนียมสงู มาก เกษตรที่เลี้ยงดวยระบบความเค็มต่ําตองปลอยลูกกุงในคอกพลาสติกนานประมาณ 5-14 วัน พื้นท่ี คับแคบน้ํามีการถายเทไดนอย อัตราการใหอาหารเพียง 500 กรัม(ครึ่งกิโลกรัม) ตอลูกกุง 100,000 ตัวตอวัน ก็เพียงพอแลว ไมจําเปนตองใหมากกวานี้เพราะท่ีแคบๆ ลูกกุงหาอาหารกินไดแน และตลอดเวลาท่ีอยูในคอก ไมต องเพ่ิมอาหารคงไวในระดับเทาเดมิ ตลอด เมอื่ เปด คอกออกมาแลว จึงเร่ิมเพม่ิ อาหาร
44 การเลยี้ งกุ้ง 44 ถาจะใหอาหารมาก 2-3 กิโลกรัมตอ 100,000 ตัวตอวันในระยะแรกตองแนใจวาลูกกุงมีอัตรารอด สูงมากและโตดีจริง แตถาไมแนใจการใหอาหารนอย ในชวงแรกเมื่อปรับยอสามารถเพ่ิมไดตามความเปนจริง กุงก็ไมมีปญหาอะไร ดีกวาใหอาหารมากๆในชวงแรก และพอปรับยอไดตองลดอาหารลงมามาก นอกจาก จะเปน การสิน้ เปลอื งแลว ยังกอ ใหเกดิ ปญ หาเร่ืองพื้นบอและคุณภาพน้าํ ดวย การใหอาหารเมื่อเริ่มใชยอ โดยปกติจะเริ่มใชยอกันอยางจริงจังเม่ือกุงเขายออยางสมํ่าเสมอ ซงึ่ โดยทัว่ ไปแลวเมอ่ื กุงมีอายปุ ระมาณ 1 เดือนหรอื ประมาณ 35 วนั โดยกุง มนี า้ํ หนกั ประมาณ 2 กรมั ควรจะให อาหาร 4 มื้อ จนกระทั่งอายุประมาณ 60 วันแลวเพิ่มเปน 5 ม้ือจนกระท่ังจับขาย สําหรับเกษตรกรที่มี ความชํานาญในการปรับอาหารตามยออาจจะใหอาหารเพียงวนั ละ 4 มื้อ จนถึงจับขายได การใหอาหารจะเริม่ จากประเมินอัตรารอดอยางคราวๆ ของกุงในบอกอนเชน 70 เปอรเซ็นต คํานวณอาหารโดยเริ่มจากกุงขนาด 2 กรัมใหอาหาร 6 เปอรเซ็นตของน้ําหนักตัวตอวัน เช็คอาหารในยอวากุงกินหมดหรือไมตามเวลาที่กําหนดไว แลวปรับอาหารเพิ่มข้ึนหรือลดลง เน่ืองจากในระยะแรกยังไมสามารถประเมินปริมาณกุงอยางแนน อนไดดังนนั้ ควรจะปรับอาหารเพิ่มข้ึนหรือลดลงคร้ังละ 5 เปอรเซ็นตของปริมาณกุง เชนใหอาหารที่ ประเมินกุงไว 70 เปอรเซ็นต กุงกินอาหารหมดก็เพ่ิมอัตรารอดเปน 75 เปอรเซ็นต ถากุงกินอาหารหมดอีกจากการเช็คยอ ในเวลาทก่ี ําหนดไวก ็เพิ่มอัตรารอดเปน 80 เปอรเ ซ็นต ในทํานองเดียวกันถากนิ อาหารในยอไมหมดกล็ ดอาหาร ลงคร้ังละ 5 เปอรเซ็นตของปริมาณกุงการปรับอาหารในระยะแรกเชนนี้จะทําใหทราบปริมาณกุงในบอได อยางรวดเร็วกวาการปรับอาหารคร้ังละนอยเกินไปสําหรับการกินอาหารของกุงในสภาวะปกติตามน้ําหนัก ของตัวกงุ ดงั น้ี เปอรเ ซน็ ตการใหอ าหารตอ น้ําหนกั ตวั และปรมิ าณอาหารในยอ เบอรอาหาร นน.กงุ เฉล่ีย น้าํ หนกั เพมิ่ %อาหาร/นน.ตวั %อาหารในยอ เวลาเช็คยอ (กรมั ) ตอ วนั 2.0 3 ชม. 3 2 0.15-0.2 6 2.4 2.5 ชม. 4S 5 0.2-0.25 5 2.8 2 ชม. 4 10 0.25-0.3 4.0 3.2 2 ชม. 5 15 0.3-0.35 3.0 3.6 2 ชม. 5 20 0.35-0.4 2.5 3.8 1.5 ชม. 5 25 0.4-0.45 2.3 4.0 1.5 ชม. 5 30 0.45-0.5 2.1 4.2 1 ชม. 5 35 0.5 2.0 จากตารางดงั กลา วจะเห็นไดว า อาหารในยอจะเพม่ิ ขึน้ เรอื่ ยๆตามขนาดของกงุ คือ กงุ ขนาดเลก็ เม่อื เริ่ม ใชย อ อาหารในทกุ ยอรวมกนั เพียง 2.0 เปอรเซน็ ตแ ตเวลาเช็คยอนานถงึ 3 ช่วั โมง แตก ุงขนาด 30 กรัม อาหาร ในยอจะมถี ึง 4 เปอรเซน็ ตแตเวลาเช็คยอเพยี ง 1 ชั่วโมงครงึ่ จาํ นวนยอและขนาดของยอ ตามปกติควรจะใชยอ 1 ยอ ตอเนื้อที่บอ 1 ไร เชน บอ 4 ไรใชยอ 4 ยอ บอ 6 ไรใชยอ 6 ยอ แตใน กรณีบอที่มีขนาดเล็กกวา 2 ไร ก็ใชยอ 2 ยอ แตเวลาคํานวณอาหารสําหรับบอที่มีขนาดเล็กกวา 2 ไร เม่ือคํานวณอาหารที่ใสใ นยอทงั้ หมดไดเทา ไหรเอาจาํ นวนไรไปหารไดเ ทาไหรเ อาไปใสในแตล ะยอ
การเลีย้ งกงุ้ 45 45 ตัวอยาง บอเล้ียงกุงขนาด 3 ไร(ใชยอ 3-4 ยอ) ปลอยกุง 150,000 ตัว คาดวาอัตรารอดระหวาง การเลยี้ งประมาณ 65 เปอรเ ซน็ ต เม่ือน้าํ หนักกงุ เฉลย่ี 15 กรัม ใหอาหาร 3 เปอรเ ซ็นตของนํา้ ตัว โดยใหอ าหาร วนั ละ 5 ม้อื แบง อาหารใสยอ 3.2 เปอรเ ซ็นตของอาหารทีใ่ หจะตองใสอาหารยอละเทาไร จาํ นวนกงุ ในบอ 150,000 ตัว อตั รารอด 65 เปอรเซน็ ต นํ้าหนักกงุ เฉลยี่ 15 กรมั นาํ้ หนกั กุงทั้งหมดในบอ เทา กับ 150,000.65/100x15 กรัม = 1,462,500 กรัม หรอื 1,462 กโิ ลกรัม ปรมิ าณอาหารท่ีกงุ ขนาด 15 กรมั เทา กับ 3 เปอรเ ซ็นตข องนา้ํ หนกั ตัว ปรมิ าณอาหารท่ีให = 1,462,500x3/100 = 43.875 กรัม หรอื ประมาณ 44 กิโลกรัม ใหอาหารวันละ 5 ม้ือ (สมมตใิ หอาหารแตล ะมอื้ เทากัน) ปรมิ าณอาหารที่ใหแตละมื้อ = 44/5 = 8.8 กิโลกรัมอาหาร ปรมิ าณอาหารทใ่ี สในยอ 3.2 เปอรเ ซ็นตข องอาหารทใ่ี ห ปรมิ าณอาหารในยอท้งั หมด = 8.8x3.2/100 = 0.28 กโิ ลกรัม = 280 กรัม บอ ขนาด 3 ไร เพราะฉะนน้ั ตองแบงอาหารใสในแตล ะยอเทากบั = 280/3 กรมั = 93 กรัม หลักสําคัญในการคํานวณอาหารที่ใสในแตละยอ คือคํานวณอาหารทั้งหมดท่ีจะใสในยอแลวหาร ดว ยจํานวนไรไ ดเ ทา ไหร คอื ปริมาณทีจ่ ะใสในแตล ะยอ ขนาดขอยอท่ีใชตามปกติอยูระหวาง 70 x 70 ตารางเซนติเมตร ถึง 80x80 ตารางเซนติเมตร สําหรับ บอ ท่มี ขี นาดยอใหญก วานค้ี อื 90x90 ตารางเซนติเมตร หรือ 100x100 ตารางเซนตเิ มตร ควรจะใสอ าหารในยอ มากกวาปกติ ตวั อยางเชน กุง ขนาด 10 กรมั ปรมิ าณอาหารในยอ 2.8 เปอรเ ซ็นตของอาหารท่ใี ห ถา ยอมขี นาดใหญ กวา 80x80 ซม. ควรจะเพมิ่ อาหารในยอขน้ึ มาอกี 1 ระดับ คอื 3.2 เปอรเ ซ็นตข องอาหารทใี่ ห ยอควรจะมีขอบโดยรอบเพอ่ื ปองกนั อาหารกระจาย ตกออกมาจากยอ ตําแหนงการวางยอ มีความสําคัญมากเน่ืองจากการปรับอาหารจะปรับเพ่ิมข้ึนหรือลดลงจาก การตรวจเช็คอาหารในยอ ดังน้ันตําแหนงในการวางยอจึงตองเลือกใหเหมาะสมถูกตองโดยหลีกเล่ียงบริเวณ ตางๆ ตอ ไปนี้คือ บริเวณหนาเครื่องใหอากาศ แรงคลื่นจากน้ําจะพัดพาอาหารในยอปลิวหรือหลุดออกมาจากยอหรือ จะทําใหในยอถกู พัดไปรวมอยูท่ีมุมใดมุมหน่ึงของยอ ทาํ ใหก งุ เขาไปกนิ อาหารในยอลําบากการเช็คอาหารในยอ อาจจะผิดพลาดไดง า ย บริเวณใกลขอบบอมากเกินไป การวางยอใกลขอบบอซึ่งเปนบริเวณลาดเอียงจะทําใหยอเอียงและ โอกาสท่ีอาหารหลุดออกไปจากยอมีมาก และบริเวณใกลขอบบอมาก กุงจะมีปริมาณนอยกวาบริเวณที่ระดับ พน้ื ราบเรยี บ บริเวณที่มีเลนมาก ตามมุมบอท่ีมีการสะสมของเลนซ่ึงเกิดจากตะกอนตางๆ หรือข้ีแดดซึ่งถูกกระแส ลมพัดพามารวมกันท่ีมุมใดมุมหนึ่งจะเกดิ การเนาเสยี ของพืน้ บอทําใหก ุงในบรเิ วณนมี้ นี อยกวา ปกติ ตําแหนงการวางยอที่เหมาะสม ควรจะหางจากขอบบอพอสมควร พนจากระดับขอบบอท่ีความลาด เอียง และไมไดร ับอิทธพิ ลจากเครอ่ื งใหอ ากาศมากจนทาํ ใหอาหารในยอหลุดออกมา
Search