Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สังคมศึกษา ม.5

สังคมศึกษา ม.5

Published by วชิรวิชญ์ กวดนอก, 2021-08-30 10:53:40

Description: สังคมศึกษา ม.5

Search

Read the Text Version

สัปดาห์ที่ 11 ใบความรู้วชิ า สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5) ช่ือหน่วยการเรียนรู้ท3่ี . เร่ือง สวดมนต์แปลแผ่เมตตาและการบริหารจติ และการเจริญปัญญา ........................................................................................................................... เร่ืองการสวดมนต์แปล และแผ่เมตตา ข้อปฏบิ ัตเิ บื้องต้น ก่อนทีจ่ ะไหว้พระสวดมนต์ เป็ นพธิ กี าร ควรมกี ารเตรียมการดงั นี้ 1. จดั ต้งั โตะ๊ หมบู่ ชู าและอญั เชิญพระพุทธรูปมาต้งั 2. ต้งั กระถางธูป และธูป 3 ดอก หมายถึง การบูชาพระคุณของพระพทุ ธเจา้ ทีทรงมตี ่อชาวโลก 3 ประการ คอื 1) พระบริสุทธิคณุ 2) พระปัญญาคณุ 3) พระกรุณาคุณ 3. เทียน 2 เล่ม หมายถงึ การบชู าพระธรรมและพระวนิ ยั 4. ประดบั ดว้ ยแจกนั ดอกไม้ หมายถึง การบชู าพระสงฆ์ (สิ่งเหลา่ น้ีถา้ ไมม่ กี ไ็ มจ่ าเป็นเช่นการไหวพ้ ระกอ่ นนอนกราบลงทห่ี มอนกไ็ ด)้ เม่ือพร้อมแลว้ หัวหนา้ เร่ิมจุดเทียนเล่มดา้ นขวาพระหัตถพ์ ระพุทธรูปก่อนแลว้ จึงจุดเล่มซ้ายพระหัตถ์ ของพระพุทธรูป จุดธูป 3 ดอก ตามลาดับ ขณะที่หัวหน้าจุดธูปเทียนบูชาพระ ให้นักเรียนชายน่ังกระโหย่ง ประนมมือ นักเรียนหญิงนัง่ พบั เพียบประนมมือ เมื่อหัวหนา้ ดบั เทียนชนวน (ห้ามใช้หากเป่ า) เรียบร้อยแลว้ ให้ นกั เรียนกราบพระพร้อมกนั ตามข้นั ตอน คอื อญั ชลี วนั ทา อภิวาท ดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ ดงั น้ี - กราบคร้งั แรกใหภ้ าวนาว่า พทุ โธ เม นาโถ - กราบคร้งั ทีส่ องใหภ้ าวนาว่า ธมั โม เม นาโถ - กราบคร้ังท่สี ามให้ภาวนาว่า สงั โฆ เม นาโถ ดว้ ยจิตที่เป็นสมาธิดว้ ยความต้งั ใจ ดว้ ยความสารวมเพราะว่าพระพุทธเจา้ ช่ือว่าเป็นศาสดาผูย้ ิ่งใหญข่ อง ชาวโลก เป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชาใด ๆ ในโลก การท่เี ขา้ เฝ้าพระพุทธองคจ์ ะตอ้ งสารวมระวงั กาย วาจา ใจ แลว้ เปล่งวาจาไหวพ้ ระสวดมนต์

สัปดาห์ท่ี 11 ใบงานวิชา สงั คมศึกษา 3 ส32101 (ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 5) ช่ือหน่วยการเรียนรู้ท3ี่ . เรื่อง สวดมนตแ์ ปลแผ่เมตตาและการบริหารจิตและการเจริญปัญญา ช่ือ.............................นามสกุล......................เลขท.ี่ ........... .................................................................................................................................................................. คาช้ีแจง ให้นกั เรียนตอบคาถามทกี่ าหนดใหถ้ กู ตอ้ ง 1.การสวดมนตไ์ หวพ้ ระและแผเ่ มตตา มีจุดมุ่งหมายเพ่อื อะไร ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... 2.เพราะเหตใุ ด การสวดมนตไ์ หวพ้ ระจึงทาใหจ้ ิตใจสงบ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... 3.ผทู้ ี่แผ่เมตตาเป็นประจา จะมีลกั ษณะนิสยั อยา่ งไร ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... 4.ขณะสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา ควรสารวจกาย วาจา และใจอยา่ งไร พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบให้ชดั เจน ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................

เอกสารประกอบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) รายวชิ า ส๓๒๑๐๑ (สังคมศึกษา ๓) (ชื่อครู) นายธวัชชยั พทุ ธวงศ์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นวัดพระแก้วดอนเต้าสชุ าดาราม สังกดั สำนกั งานเขตการศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา เขต ๖ สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ตำบลเวยี งเหนอื อำเภอเมืองลำปาง จงั หวดั ลำปาง

เอกสารประกอบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รายวชิ า ส๓2๑01 (สังคมศกึ ษา๓) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๕ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 ลงช่อื ............................................................ (นายธวัชชยั พุทธวงศ์) ครผู ู้สอน ความคดิ เห็นของคณะผบู้ ริหาร  เหน็ ชอบ  ไม่เห็นชอบ เพราะ.................................... …………………………………………… .......................................................................... (นายณฐั พล สุทธนะ) หัวหนา้ ฝ่ายวิชาการ …………/……………../…………….  ควรอนุมตั ิ  ไม่ควรอนมุ ตั ิ เพราะ.................................. …………………………………………… .......................................................................... (พระมหาปยิ พงษ์ สริ วิ ริ ยิ วํโส) รองผ้อู ำนวยการโรงเรียน …………/……………../…………….  อนมุ ตั ิ  ไม่อนุมตั ิ …………………………………………… (พระครูสริ ริ ตั นโสภติ , ดร.) ผู้อำนวยการโรงเรียน …………/……………../…………….



สัปดาห์ที่ 12 ใบความรู้วิชา สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5) ชื่อหน่วยการเรียนรู้ท่ี3. เรื่อง สวดมนต์แปลแผ่เมตตาและการบริหารจิตและการเจริญปัญญา ...................................................................................................... เรื่อง วธิ ปี ฏบิ ตั ิและประโยชน์ของการบริหารจิตและเจริญปัญญา จิตท่ีไม่ได้รับการฝึ กมักจะหวนั่ ไหว เอนเอียงได้ง่าย โดยเฉพาะเม่ือมีอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึงมา กระทบ เช่น หากมีใครมาทาให้โกรธ กม็ กั จะโกรธจนหนา้ ดาหนา้ แดง ใชค้ าดา่ ที่กา้ วร้าว หยาบคาย ซ่ึงโดยปกติ แลว้ จะไม่มีอาการเช่นน้ี หรือบางคร้ังเมอื่ เกิดความรู้สึกเสียใจกบั เหตุการณ์อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง กอ็ าจบ่นเพอ้ ถงึ กบั เสียสติไปก็มี หรือเมื่อดีใจก็ระงบั ตวั เองไม่อยู่ พลอยกระโดดโลดเตน้ ถึงกบั ร้องไห้ไปเลยก็มี ลกั ษณะอาการ เช่นน้ี เรียกว่าเป็นจิตอ่อนแอ การที่จะฝึกจิตให้เขม้ แข็งไม่อ่อนแอไดน้ ้นั จะตอ้ งหมน่ั พยายามฝึกฝนอยเู่ สมอ เพราะจิตของคนเราเป็นสภาพที่ กลบั กลอก ไม่อยกู่ บั ที่ ห้ามยาก โอนเอนง่าย สังเกตดูว่า เม่ือเราถูกเพ่ือนชกั ชวนไปเที่ยว หากมีจิตอ่อนแอไม่ เขม้ แข็ง หรือไมเ่ คยผ่านการบริหารฝึกฝนอบรมจิตมาก่อน กอ็ าจโอนเอนหนีไปเที่ยวตามเพื่อนได้ ความหมายของสมาธิ สมาธิ แปลว่า “ความมใี จต้งั มนั่ ” หมายถึง การทาให้ใจสงบแน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน หรือการมีจิตกาหนดแน่ว แน่อยใู่ นส่ิงใดส่ิงหน่ึงโดยเฉพาะระดบั ของสมาธิ สมาธแิ ยกออกเป็ น 3 ระดบั คือ 1. ขณิกสมาธิ หมายถึง สมาธิช่ัวขณะ (momentary concentration) เป็นสมาธิข้นั ตน้ ซ่ึงคนทวั่ ไปอาจใช้ ประโยชนใ์ นการปฏิบตั หิ นา้ ท่ีการงานในชีวติ ประจาวนั ใหไ้ ดผ้ ลดี และจะใชเ้ ป็นจุดต้งั ตน้ ในการเจริญวิปัสสนา กไ็ ด้ 2. อุปจารสมาธิ หมายถึง สมาธิเกือบจะแน่วแน่ (access concentration) เป็ นสมาธิข้ันระงบั นิวรณ์ (อกศุ ลกรรมทปี่ ิ ดก้นั จิตไมใ่ ห้บรรลุความดี เช่น ความพอใจในกาม ความพยาบาท ฯลฯ) ได้ ก่อนท่ีจะเขา้ ภาวะ แห่งฌาน 3. อปั ปนาสมาธิ หมายถึง สมาธิแน่วแน่ หรือสมาธิที่แนบสนิท (attainment concentration) เป็ นสมาธิ ระดบั สูงสุด ซ่ึงมใี นฌานท้งั หลาย ถือว่าเป็นผลสาเร็จที่ตอ้ งการของการเจริญสมาธิ ลกั ษณะของจติ ท่เี ป็ นสมาธิ จิตทีเ่ ป็นสมาธิ หรือมีคุณภาพดีมสี มรรถภาพสูงน้นั มีลกั ษณะทีส่ าคญั ดงั น้ี

1. แข็งแรง มีพลงั มาก ท่านเปรียบไวว้ า่ เหมือนกระแสน้าท่ถี ูกควบคุมให้ไหลพ่งุ ไปในทศิ ทางเดียว ยอ่ ม มีกาลงั แรงกว่าน้าทถ่ี กู ปลอ่ ยใหไ้ หลพร่ากระจายออกไปหลายทิศทาง 2. ราบเรียบ สงบซ้ึง เหมือนสระหรือบงึ น้าใหญ่ ที่มีน้านิ่ง ไม่มีลมพดั ตอ้ ง ไม่มีสิ่งรบกวนให้กระเพื่อม ไหว 3. ใส กระจ่าง มองเห็นอะไร ๆ ไดช้ ดั เมอ่ื น้าสงบนิ่ง ไม่เป็นริ้วคลืน่ และฝ่ ุนละอองทีม่ ีกต็ กตะกอนหมด 4. นุ่มนวล เหมาะแกก่ ารใชง้ าน เพราะไม่เครียด ไม่กระดา้ ง ไม่วุ่นวาย ไม่ขุ่นมวั ไม่สับสน ไม่เร่าร้อน ไมก่ ระวนกระวาย จิตท่ีเป็ นสมาธิข้นั สมบูรณ์ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งสมาธิทถี่ ึงข้นั ฌาน คือจิตทป่ี ระกอบดว้ ยองค์ 8 คือ 1) จิต ต้งั มนั่ 2) จิตท่ีบริสุทธ์ิ 3) จิตท่ีผ่องใส 4) จิตที่ปลอดโปร่ง 5) จิตทป่ี ราศจากส่ิงมวั หมอง 6) จิตท่ีนุ่มนวล 7) จิตที่ ควรใช้งาน 8) จิตที่สงบน่ิงไม่วอกแวกหวนั่ ไหว จิตข้นั น้ีเหมาะท่ีจะนาเอาไปใช้งานไดด้ ีที่สุด โดยเฉพาะ งาน ทางปัญญา หรืองานทใี่ ชป้ ัญญา ความม่งุ หมายและประโยชน์ของสมาธิ ความมุ่งหมายของสมาธิที่ใชอ้ ย่างถูกตอ้ ง คือ เพื่อเตรียมจิตให้พร้อมที่จะใช้ปัญญาอย่างได้ผลดี หรือ สมาธิเพ่อื ปัญญา นอกจากจุดม่งุ หมายดงั กลา่ วแลว้ สมาธิยงั มีคณุ ประโยชนด์ งั น้ีคือ 1. ประโยชน์ที่เป็นจุดหมายหรืออุดมคติทางศาสนา : ประโยชน์ท่ีเป็นความมุ่งหมายแทจ้ ริงของสมาธิ ตามหลกั พระพุทธศาสนา คือเป็ นส่วนสาคญั อย่างหน่ึงแห่งการปฏิบตั ิเพ่ือบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด อนั ได้แก่ ความหลดุ พน้ จากกิเลสและทกุ ข์ ท้งั ปวง ประกอบ ดว้ ย 1.1) ประโยชน์หลกั คือ การเตรียมจิตให้พร้อมที่จะใชป้ ัญญาพิจารณาให้รู้แจง้ สภาวธรรมตามความเป็น จริง 1.2) ประโยชนร์ อง คือ การบรรลุภาวะที่จิตหลุดพน้ จากกิเลสชวั่ คราว ท่ีเรียกกวา่ เจโตวิมุตติประเภทยงั ไม่เดด็ ขาด กล่าวคอื หลุดพน้ จากกิเลสดว้ ยอานาจพลงั จิต โดยเฉพาะกาลงั ของฌาน กิเลสถูกกาลงั สมาธิ กด ข่ม หรือทบั ไว้ ตลอดเวลาที่อยใู่ นสมาธิน้นั 2. ประโยชน์ในดา้ นการสร้างความสามารถพิเศษเหนือสามญั วิสัย ท่เี ป็นผลสาเร็จอยา่ งสูงในทางจิตหรือ เรียกส้ัน ๆ ว่า ประโยชน์ในดา้ นอภิญญา ได้แก่ การใช้สมาธิระดบั ฌานสมาบตั ิเป็ นฐาน ทาให้เกิดฤทธ์ิและ อภิญญาข้ันโลกีย์อย่างอื่น ๆ คือ หูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจคนอื่นได้ ระลึกชาติได้ ซ่ึงปัจจุบันเรียกว่า ESP (Extrasensory Perception) 3. ประโยชนใ์ นดา้ นสุขภาพจิตและการพฒั นาบุคลกิ ภาพ เช่น

3.1 ทาให้เป็นผมู้ ีจิตใจและมีบุคลิกลกั ษณะท่เี ขม้ แขง็ หนกั แน่น มน่ั คง สงบ เยือกเยน็ สุภาพนุ่มนวล สด ช่ืน ผอ่ งใสกระฉบั กระเฉง กระปร้ีกระเปร่า เบกิ บาน งามสง่า มเี มตตากรุณา มองดูรู้จกั ตนเองและผูอ้ ่นื ตามความ เป็ นจริ ง 3.2 เตรียมจิตใหอ้ ยใู่ นสภาพพร้อมและง่ายแก่การปลกู ฝังคุณธรรมต่าง ๆ และเสริมสร้างนิสยั ท่ดี ี 3.3 รู้จกั ทาใจให้สงบและสะกดย้งั ผ่อนเบาความทุกขท์ ่ีเกิดข้ึนในใจได้ ปัจจุบนั เรียกวา่ มีความมนั่ คงทาง อารมณ์ (EQ.) และมีภูมิคุม้ กนั โรคทางจิตหรือเกราะป้องกนั จิตประโยชน์ขอ้ น้ีจะเพ่ิมพูนย่ิงข้นึ ในเมื่อใชจ้ ิตที่มี สมาธิน้ันเป็ นฐานปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน คือดาเนินชีวิตอย่างมีสติตามดูรู้ทันพฤติกรรมทางกายวาจา ความรู้สึกนึกคิดและภาวะจิตของตนที่เป็นไปตา่ ง ๆ 4. ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั เช่น 4.1 ใชช้ ่วยทาให้จิตใจผ่อนคลาย หายเครียด เกิดความสงบ หายกระวนกระวาย หยุดย้งั จากความกลดั กลุม้ วิตกกงั วล เป็ นเคร่ืองพกั ผ่อนกาย ให้ใจสบายและมีความสุข เช่นบางท่านทาอานาปานสติ (กาหนดลม หายใจเขา้ ออก) ในเวลาท่ีจาเป็นตอ้ งรอคอยและไม่มีอะไรท่ีจะทา เหมือนกงั เวลานั่งติดในรถประจาทาง หรือ ปฏิบัติสลับแทรกในเวลาทางานท่ีใช้สมองหนัก เป็ นตัน หรืออย่างสมบูรณ์แบบได้แก่ ฌานสมาบัติท่ี พระพุทธเจา้ และพระอรหนั ต์ท้งั หลาย ใชเ้ ป็นทพี่ กั ผ่อนกายใจเป็นอยอู่ ยา่ งสุขสบายในโอกาสวา่ งจากการบาเพญ็ กิจ ที่เรียกวา่ ทฏิ ฐธรรมสุขวิหาร 4.2 เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทางาน การเลา่ เรียน และการทากิจทุกอยา่ ง เพราะจิตท่ีเป็นสมาธิ แน่วแน่อยกู่ บั สิ่งที่กาลงั กระทา ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก ไม่เล่ือนลอย ยอ่ มช่วยใหเ้ รียน ให้คิด ให้ทางานไดผ้ ลดี การงานก็เป็นไปโดยรอบคอบ ไม่ผิดพลาด และป้องกนั อบุ ตั เิ หตุไดด้ ี เพราะเม่ือมีสมาธิยอ่ มมีสติกากบั อยดู่ ว้ ย ท่ี เรียกว่า จิตเป็นกมั มนียะ หรือกรรนีย์ แปลว่าควรแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งาน ยิ่งไดป้ ระโยชน์ในขอ้ ที่ 4.1 มาช่วยเสริมก็ย่งิ ไดผ้ ลดีมากยิ่งข้ึนไปอกี 4.3 ช่วยเสริมสุขภาพกายและใชร้ ักษาโรคได้ ร่างกายกบั จิตใจอาศยั กนั และมีอิทธิพลต่อกนั บุคคลทวั่ ไป เม่ือกายไม่สบาย จิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมองขุ่นมวั คร้ันเสียใจไม่มีกาลงั ใจ ก็ย่ิงซ้าให้โรคทางกายน้ันทรุด หนกั ลงไปอกี แมใ้ นเวลาที่ร่างกายเป็นปกติ พอประสบเร่ืองราวให้เศร้าเสียใจรุนแรง กล็ ม้ ป่ วยเจ็บไขไ้ ปได้ ส่วน ผทู้ ี่มีจิตใจเขม้ แข็งสมบูรณ์ (โดยเฉพาะท่านท่ีมีจิตหลุดพน้ เป็นอิสระแลว้ ) เมื่อเจ็บป่ วยกายก็ไม่สบายอยแู่ ค่กาย เท่าน้ัน จิตใจไม่พลอยป่ วยไปด้วยยิ่งกว่าน้ันกลับใช้ใจท่ีสบายมีกาลังจิตเข้มแข็งน้ันหันกลับมาส่งอิทธิพล บรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้อีกดว้ ย อาจทาให้โรคหายง่ายและไวข้ ้ึน หรือแมแ้ ต่ใชก้ าลงั สมาธิระงบั ทกุ ขเวทนาทางกายไวก้ ็ได้ ในดา้ นดีผูม้ จี ิตใจผอ่ งใสเบิกบาน ยอ่ มช่วยให้กายเอบิ อิม่ ผิวพรรณผอ่ งใส สุขภาพกาย ดี เป็ นภูมิตา้ นทานโรคไปในตัว ความสัมพันธ์น้ีมีผลต่ออัตราส่วนของความต้องการและการเผาผลาญใช้ พลงั งานของร่างกายด้วย เช่น จิตใจที่สบายผ่องใสสดชื่นเบิกบานน้ัน ตอ้ งการอาหารน้อยลงในการท่ีจะทาให้

ร่างกายสมบูรณ์ผอ่ งใส เช่น คนธรรมดามีเรื่องดีใจ ปลาบปล้ืมอิ่มใจ ไม่หิวขา้ ว หรือพระท่ีบรรลธุ รรมแลว้ มีปี ติ เป็นภกั ษา ฉันอาหารวนั ละม้อื เดียว แตผ่ ิวพรรณผอ่ งใส เพราะไมห่ วนละห้อยความหลงั ไม่ เพอ้ หวงั อนาคต ไม่ เฉพาะจิตใจดี ช่วยเสริมให้สุขภาพกายดีเท่าน้ัน โรคกายหลายอยา่ งเป็ นเรื่องของกายจิตสัมพนั ธ์ เกิดจากความ แปรปรวนทางจิตใจ เช่น ความมกั โกรธบา้ ง ความกลมุ้ กงั วลบา้ ง ทาใหเ้ กิดโรคปวดศีรษะบางอยา่ ง หรือโรคแผล ในกระเพาะอาหารอาจเกิดได้ เป็ นตน้ เม่ือทาจิตใจให้ดีดว้ ยวิธีอย่างใดอย่างหน่ึงก็ช่วยแก้ไขโรคเหล่าน้ันได้ ประโยชนข์ อ้ น้ีจะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีปัญญาท่รี ู้เทา่ ทนั สภาวธรรมประกอบอยดู่ ว้ ย การเจริญปัญญา ปัญญา แปลว่า “ความรู้ทว่ั ” หมายถึง ความรู้ความเขา้ ใจชดั เจน รู้ตามสภาพความเป็ นจริงเกี่ยวกบั เรื่อง ต่าง ๆ ทว่ั ถึงหรือรู้ตลอดท้งั ในเรื่องโลกและชีวิต ปัญญาหรือความรู้น้ี แต่ละคนมีไม่เท่ากนั มากบา้ ง นอ้ ยบ้าง ข้นึ อยกู่ บั การไดร้ ับการฝึกฝนและอบรม การขยนั หมน่ั เพยี รในการศกึ ษาหาความรู้ หรบั แนวทางพฒั นาปัญญาให้ เจริญงอกงามน้นั สามารถทาได้ 3 ประการ คือ 1. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง หมายถึง ความรอบรู้ท่ีเกิดจากการฟัง ท้งั ฟังครูสอน ฟังการพูด ฟังการอภปิ ราย นอก จากน้นั การอ่านหนงั สือ ส่ิงพิมพ์ การไดเ้ ห็นปรากฎการณ์ต่าง ๆ ตลอดถึงการศึกษาเล่าเรียนความรู้ทุกชนิด ซ่ึง ความหมายโดยออ้ มก็ถอื วา่ เป็นการฟังดว้ ยเช่นเดียวกนั 2. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด หมายถึง ความรอบรู้ท่เี กิดจากการคิด พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามทีไ่ ดร้ บั รู้มา ท้งั การฟัง การอา่ น การศึกษาคน้ ควา้ แลว้ นามาคิดวิเคราะห์ทบทวนหาเหตผุ ลรวบรวมเป็ นความรู้ใหม่ เราก็ จะเกิดความเขา้ ใจที่ถกู ตอ้ งมากย่ิงข้ึน 3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิ หมายถึง ความรอบรู้ที่เกิดจากการลงมือทา เพราะ การฟัง หรือการคิดตามเพียงอยา่ งเดียวไมส่ ามารถทาให้เรากระจ่างแจง้ ได้ ตอ้ งลงมอื ทาหรือลงมอื ปฏิบตั ิตามจึง จะสามารถเขา้ ใจไดม้ ากข้ึน เนื่องจากความรู้ลกั ษณะน้ีเป็นท้งั ทฤษฎีและการปฏิบตั ิ เช่น การคน้ ควา้ ทดลองต่าง ๆ ทางดา้ นวิทยาศาสตร์ การฝึกปฏบิ ตั ิงานช่างฝีมือต่าง ๆ เป็นตน้ การท่ีเราจะพฒั นาปัญญาท้งั สามประการให้เจริญไดน้ ้ัน ตอ้ งอาศยั การฝึ กหัดอบรมจิตให้เขม้ แข็ง หรือ ฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิ เพราะสมาธิเป็ นบ่อเกิดแห่งปัญญา นนั่ คือ หากเรามีจิตใจวอกแวก เอนเอียงอ่อนไหวง่าย การฟัง กจ็ ะไมเ่ กิดประโยชน์ เหมือนกบั ที่พูดกนั ว่า “ฟังเขา้ หูซ้าย ทะลุหูขวา” เม่ือฟังไม่รู้เรื่องเสียแลว้ การคิดก็ ตาม การลงมือทาก็ตาม ก็เกิดความเสียหายผิดพลาดและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะฉะน้ัน การฝึ กหัด อบรมจิตใหเ้ ป็นสมาธิจึงเป็นความดีงามทเ่ี ราทุกคนควรหมนั่ ฝึกฝนอบรมอยเู่ สมอ

สัปดาห์ที่ 12 ใบงานวชิ า สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 5) ชื่อหน่วยการเรียนรู้ท่ี3. เรื่อง สวดมนต์แปลแผ่เมตตาและการบริหารจิตและการเจริญปัญญา ช่ือ..................................นามสกลุ ............................เลขที่ ................................................................................................................. คาช้ีแจง ให้นกั เรียนตอบคาถามที่กาหนดให้ถูกตอ้ ง 1. การบริหารจิตและเจริญปัญญา หมายถึงอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. สติ หมายถึงอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สมาธิ หมายถึงอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การบริหารจติ และเจริญปัญญา มีประโยชน์อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………

เอกสารประกอบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) รายวชิ า ส๓๒๑๐๑ (สังคมศึกษา ๓) (ชื่อครู) นายธวัชชยั พทุ ธวงศ์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นวัดพระแก้วดอนเต้าสชุ าดาราม สังกดั สำนกั งานเขตการศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา เขต ๖ สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ตำบลเวยี งเหนอื อำเภอเมืองลำปาง จงั หวดั ลำปาง

เอกสารประกอบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รายวชิ า ส๓2๑01 (สงั คมศกึ ษา๓) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ลงช่อื ............................................................ (นายธวัชชยั พุทธวงศ์) ครผู ู้สอน ความคดิ เห็นของคณะผบู้ ริหาร  เหน็ ชอบ  ไม่เห็นชอบ เพราะ.................................... …………………………………………… .......................................................................... (นายณฐั พล สุทธนะ) หัวหน้าฝา่ ยวิชาการ …………/……………../…………….  ควรอนุมตั ิ  ไม่ควรอนมุ ตั ิ เพราะ.................................. …………………………………………… .......................................................................... (พระมหาปยิ พงษ์ สิริวิริยวโํ ส) รองผู้อำนวยการโรงเรียน …………/……………../…………….  อนมุ ตั ิ  ไม่อนุมตั ิ …………………………………………… (พระครสู ริ ริ ตั นโสภิต, ดร.) ผอู้ ำนวยการโรงเรียน …………/……………../…………….



สัปดาห์ที่ 13 ใบความรู้วิชา สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5) ชื่อหน่วยการเรียนรู้ท่3ี . เร่ือง สวดมนต์แปลแผ่เมตตาและการบริหารจติ และการเจริญปัญญา ...................................................................................................... การบริหารจิตและเจริญปัญญาตามหลักสติปัฏฐานเน้นอานาปานสติ การเนน้ การบริหารจิตและเจริญปัญญาตามหลกั อานาปานสติ มเี หตุผลดงั น้ี คือ 1. เป็ นวิธีเจริญสมาธิที่ปฏิบตั ิไดส้ ะดวกย่ิง เพราะใชล้ มหายใจซ่ึงอยกู่ บั ตวั ของทุกคน ใช้ไดท้ ุกเวลาทุก สถานท่ีในทนั ทีที่ตอ้ งการ ไม่ตอ้ งตระเตรียมวสั ดุอุปกรณ์ ในขณะเดียวกนั ก็เป็ นอารมณ์ประเภทรูปธรรม ซ่ึง กาหนดไดช้ ัดเจนพอสมควร ไม่ละเอียดลึกซ้ึงอยา่ งกรรมฐานประเภทนามธรรมทีต่ อ้ งนึกข้ึนมาจากสัญญา และ ถา้ ตอ้ งการปฏิบตั อิ ยา่ งง่าย ๆ กไ็ ม่จาเป็นตอ้ งใช้ความคดิ อะไรเพียงใชส้ ติคอยกาหนดลมหายใจท่ีปรากฏอยแู่ ล้ว ไม่ตอ้ งคิดแยกแยะพจิ ารณาสภาวธรรม ผทู้ ใี่ ชส้ มองเหน่ือยมาแลว้ ก็ปฏิบตั ิไดส้ บาย 2. พอเร่ิมลงมือปฏิบัติ ก็ได้รับผลเป็ นประโยชน์ทันทีต้ังแต่ตน้ เร่ือยไป ไม่ตอ้ งรอจนเกิดสมาธิท่ีเป็ น ข้นั ตอนชดั เจน กล่าวคือ กายใจผ่อนคลายไดพ้ กั จิตสงบสบายลึกซ้ึงลงไปเรื่อย ๆ ทาให้อกุศลธรรมระงบั และ ส่งเสริมให้กศุ ลธรรมเกิดข้ึน 3. ไม่กระทบกระเทือนต่อสุขภาพ แต่เก้ือกูลสุขภาพ ท้ังช่วยให้ร่างกายไดร้ ับการพกั ผ่อนอยา่ งดี และ ระบบการหายใจทีป่ รบั ใหเ้ รียบเสมอประณีตดว้ ยการปฏบิ ตั ิกรรมฐานน้ีก็ช่วยส่งเสริมสุขภาพใหด้ ียิง่ ข้ึน เช่นลอง นึกอยา่ งง่าย ๆ ถึงคนทว่ี ่งิ มาหรือข้นึ ลงจากท่ีสูงกาลงั เหนื่อย หรือคนต่นื เตน้ ตกใจ เกร้ียวกราด หวาดกลวั เป็นตน้ ลมหายใจหยาบแรงกว่าคนปกติ บางทีจมกู ไม่พอตอ้ งหายใจทางปากดว้ ย ในทางตรงขา้ ม คนท่ีกายผ่อนคลาย ใจ สงบสบาย ลมหายใจจะละเอียดประณีตกว่าคนปกติ การบาเพ็ญอานาปานสติช่วยทาให้กายใจสุ ขสงบ จนลม หายใจละเอยี ดประณีตลงไปเรื่อย ๆ ยิง่ กว่าน้นั อีก จนถึงข้นั ทแ่ี ทบจบั ไม่ไดเ้ ลยว่ามีลมหายใจ ในเวลาน้นั ร่างกาย ดารงอยไู่ ดด้ ีโดยใชพ้ ลังงานน้อยท่ีสุด ไม่เรียกร้องการเผาผลาญ เตรียมความสดชื่นไวใ้ ห้แก่การทากิจในเวลา ถดั ไป และช่วยใหแ้ กช่ า้ ลง หรือช่วยให้ทางานไดม้ ากข้นึ พร้อมกบั ทส่ี ามารถพกั ผอ่ นนอ้ ยลง 4. เป็นกรรมฐานขอ้ หน่ึงในจานวนเพยี ง 12 อยา่ งท่สี ามารถให้สาเร็จผลในดา้ นสมถะไดจ้ นถึงข้ึนสูงสุด 5. ใชไ้ ดท้ ้งั ในทางสมถะและวปิ ัสสนา คือจะปฏิบตั ิเพื่อมุง่ ผลฝ่ ายสมาธิแน่วแน่อยา่ งเดียวกไ็ ด้ จะใชเ้ ป็ น ฐานปฏิบตั ิตามแนวสติปัฏฐานจนครบท้งั 4 อยา่ งก็ได้ เพราะเป็นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีเอ้ืออานวยให้สามารถใช้สมาธิจิต เป็นสนามปฏบิ ตั กิ ารของปัญญาไดเ้ ต็มท่ี 6. เป็ นวิธีเจริญสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมาก ทรงสนับสนุนบ่อยคร้ังให้พระภิกษุท้ังหลาย ปฏิบตั ิ และพระพุทธองคเ์ องกไ็ ดท้ รงใชเ้ ป็นวหิ ารธรรมมากท้งั ก่อนและหลงั ตรัสรู้

วิธเี จริญสมาธติ ามหลักอานาปานสติ 1. การเตรียมการ 1.1 สถานที่ เร่ิมตน้ ถา้ จะปฏิบตั อิ ยา่ งจริงจงั พึงหาสถานที่สงบสงดั ไม่ให้มเี สียงและอารมณ์อ่ืนรบกวน เพ่ือให้บรรยากาศแวดลอ้ มช่วยเก้ือกูลแก่การปฏิบตั ิ โดยเฉพาะผูเ้ ริ่มใหม่ เหมือนคนหัดว่ายน้าไดอ้ าศยั อุปกรณ์ ช่วย หรือเริ่มหัดในน้าสงบไม่มีคลื่นลมแรงก่อน แต่ถา้ ขดั ขอ้ งโดยเหตุจาเป็ นหรือปฏิบตั ิเพ่ือประโยชน์จาเพาะ สถานการณ์ ก็จายอม 1.2 ทา่ นง่ั หลกั การอยทู่ ว่ี ่าอริ ิยาบถใดกต็ ามท่ีทาใหร้ ่างกายอยใู่ นภาวะผ่อนคลายสบายที่สุด แมป้ ฏิบตั อิ ยู่ นาน ๆ ก็ไม่เมื่อยลา้ และท้ังช่วยให้การหายใจคล่องสะดวก ก็ใช้อิริยาบถน้ันการณ์ปรากฏว่าอิริยาบถท่ีท่าน ผสู้ าเร็จนบั จานวนไมถ่ ว้ นไดพ้ สิ ูจน์กนั มาตลอดกาลนานนกั หนาวา่ ไดผ้ ลดีท่สี ุดตามหลกั การน้นั ก็คอื อิริยาบถนงั่ ในทา่ ทเี่ รียกกนั ว่า ขดั สมาธิ หรือทพ่ี ระเรียกว่านง่ั คบู้ รรลงั ก์ ต้งั กายตรง คือ 1.2.1 ร่างกายท่อนบนต้งั ตรง กระดกู สันหลงั 18 ขอ้ มีปลายจดกนั การนง่ั อย่างน้ี หนงั เน้ือและเอน็ ไมข่ ด ลมหายใจเดินสะดวก เป็นท่านัง่ ที่มน่ั คง เม่ือเขา้ ที่ดีแลว้ จะมีดุลยภาพอยา่ งย่งิ กายจะเบาไมร่ ู้สึกเป็นภาระ นง่ั อยู่ ไดน้ านไมม่ ีทกุ ขเวทนารบกวน ช่วยใหจ้ ิตเป็นสมาธิง่ายข้นึ กรรมฐานไม่ตกเดินหนา้ ไดเ้ ร่ือย ๆ หรือ 1.2.2 เป็นทา่ นงั่ ท่เี พ่ิมเติมขอ้ ที่ 1.2.1 โดยให้ส้นเทา้ ชิดทอ้ งนอ้ ย ถา้ ไมเ่ อาขาไขวก้ นั (ขดั สมาธิเพชร) กเ็ อาขาขวาทบั ขาซ้าย วางมือบน ตกั ชิดทอ้ งน้อย มือขวาทบั มือซ้าย นิ้วหัวแม่มือจดกนั หรือนิ้วช้ีขวาจดหัวแม่มือซ้าย ลกั ษณะเช่นน้ีข้ึนต่อดุลย ภาพ ร่างกายไม่เคยนง่ั เช่นน้ีหากทนหัดไดจ้ ะดีมาก หรือ 1.2.3 หากไม่อาจทาไดต้ ามขอ้ 1.2.2 และ 1.2.2 ให้นัง่ บนเกา้ อ้ีให้ตวั ตรงสบาย หรืออยใู่ นอริ ิยาบถอน่ื ทส่ี บายพอดี มีหลกั การเพิม่ เตมิ วา่ ถา้ ยงั นงั่ ไม่สบาย มีอาการเกร็ง หรือเครียด พึงทราบว่าปฏิบตั ิไม่ถูกตอ้ ง พึงแกไ้ ขให้เรียบร้อยก่อนปฏิบตั ิต่อไป ส่วนจะหลบั ตาหรือลืมตาก็ได้ สุดแต่สบาย และใจไม่ฟุ้งซ่าน ถา้ ลืมตาก็อาจทอดลงหรือมองที่ปลายจมูกให้เป็ นที่สบาย เมื่อนั่งเขา้ ที่สบายดี พร้อมแล้ว ก่อนจะเร่ิมปฏิบัติ ปราชญ์บางท่านแนะนาว่าควรใจยาวลึก ๆ และช้า ๆ เต็มปอด 2-3 คร้ังพร้อม กบั ต้อั งความรู้สึกให้ตวั โลง่ และสมองปลอดโปร่งสบายเสียก่อน แลว้ จึงหายใจโดยกาหนดนบั ตามวิธีการ 2. ข้นั ปฏบิ ตั ิคือลงมอื กาหนดลมหายใจ 2.1 การนบั (คณนา) เร่ิมแรกในการกาหนดลมหายใจออกเขา้ ยาวส้ันน้นั ท่านว่าให้นบั ไปดว้ ย เพราะการ นบั จะช่วยตรึงจิตไดด้ ี การนบั แบง่ เป็น 2 ตอน คอื 2.2.1 ช่วงแรก ท่านให้นับช้า ๆ การนบั มีเคล็ดหรือกลวธิ ีว่า อยา่ นบั ต่ากว่า 5 แต่อย่าเกิน 10 และให้เลข เรียงตามลาดบั อยา่ ขา้ มไป (ถา้ ต่ากวา่ 5 จิตจะดิ้นรนในโอกาสอนั แคบ ถา้ เกิน 10 จิตจะไปพะวงทีก่ ารนบั แทนท่ี จะจบั อย่กู บั กรรมฐานคือลมหายใจ ถา้ นบั ขาด ๆ ขา้ ม ๆ จิตจะหวน่ั จะวุ่นไป) ให้นับที่หายใจเขา้ ออกอยา่ งสบาย

ๆ เป็ นคู่ คือลมเขา้ ว่า 1-ลมออกว่า 1 ลมเข้าว่า 2-ลมออกว่า 2 ……. อยา่ งน้ีเร่ือยไปจนถึง 5-5 แล้วต้ังตน้ ใหม่ จนถึง 6-6 เพิ่มทีละคู่ไปจนครอบ 10 คู่ แลว้ กลบั ยอ้ นที่ 5 คู่ใหม่ จนถงึ 10 คู่อยา่ งน้ีเร่ือย ๆ พอจะเขยี นไดด้ งั น้ี 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 6-6 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 6-6 7-7 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 6-6 7-7 8-8 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 6-6 7-7 8-8 9-9 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 6-6 7-7 8-8 9-9 10-10 1-1 2-2 3-3 4-4 5-5 ฯลฯ 2.2.2 ช่วงสอง ทา่ นให้นบั เร็ว กล่าวคือ เมอ่ื ลมหายใจเขา้ ออกปรากฏแก่ใจชดั เจนดีแลว้ (จิตอยกู่ บั ลมกาย ใจ โดยลมหายใจช่วยตรึงไวไ้ ด้ ไม่ส่าวฟ้งุ ซ่านไปภายนอก) ก็ใหเ้ ลิกนบั ชา้ อยา่ งขา้ งตน้ น้นั เสีย เปลี่ยนเป็นนบั เร็ว คราวน้ีไม่ตอ้ งคานึงถงึ ลมเขา้ หรือออกนอก กาหนดแต่ลมท่ีไม่ถึงช่องจมูก นับเร็ว ๆ จาก 1 ถึง 5 แลว้ ข้นึ ใหม่ 1 ถึง 6 …. เพิ่มทีละหน่ึงเร่ือยไปจน 1 ถึง 10 แลว้ เร่ิม 1 ถึง 5 ใหม่อีก จิตจะแน่วแน่ดว้ ยกาลงั การนบั เหมือนเรือต้งั ลาแน่วแน่ในกระแสน้าเชี่ยวดว้ ยอาศยั ถ่อ เมื่อนับเร็วอยา่ น้นั กรรมฐานก็จะปรากฏต่อเน่ืองเหมือนไม่มีช่องว่า พงึ นับเร็ว ๆ อยา่ งน้ันเร่ือยไป ไม่ตอ้ งกาหนดว่าลมเขา้ ใน ออกนอก เอาสตกิ าหนด ณ จุดที่ลมกระทบคอื ที่ปลาย จมกู หรือริมฝีปากบน (แห่งใดแห่งหน่ึงแลว้ แตท่ ใ่ี ดรู้สึกชดั ) เทา่ น้นั ท้งั น้ี พอจะเขยี นไดด้ งั น้ี 12345 123456 1234567 12345678 123456789 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 12345 ฯลฯ

กาหนดนบั อยา่ งน้ีเร่ือยไป จนกวา่ ว่าเม่ือใดแมไ้ มน่ บั แลว้ สตกิ ็ยงั ต้งั แน่วอยไู่ ดใ้ นอารมณ์ คอื ลม หายใจเขา้ ออกน้ัน (วตั ถุประสงคข์ องการนบั ก็เพ่ือให้สตติ ้งั มน่ั อยไู่ ดใ้ นอารมณ์ ตดั ความคิดฟ้งุ ซ่านไป ภายนอกไดน้ น่ั เอง) 2.2 การติดตาม (อนุพนั ธนา) เมื่อสตอิ ยทู่ ่ีแลว้ คือ จิตอยูก่ บั ลมหายใจโดยไม่ตอ้ งนับแลว้ ก็หยดุ นับ แลว้ ใช้สติติดตามลมหายใจไม่ให้ขาดระยะ ที่ว่าติดตามไม่ใช่หมายความว่าตามไปกบั ลมที่เดินผ่านจมูก เขา้ ไปจุด กลางตรงหัวใจลงไปสุดแถวสะดือ แลว้ ตามลมจากทอ้ งข้ึนมาท่ีอกแลว้ ออกมาท่ีจมูก เป็นตน้ ลม กลางลม ปลาย ลม จะทาใหก้ ายใจป่ันป่ วนวุ่นวาย เสียผล วิธีติดตามทถี่ กู ตอ้ งคอื ใชส้ ตติ ามลมอยตู่ รงจุดที่ลมกระทบ (ปลายจมูก หรือริมฝีปากบน) เปรียบเหมือนคนเล่ือยไม้ ต้งั สติไวต้ รงท่ีฟันเลื่อยกระทบไมเ้ ท่าน้ัน จะไดใ้ ส่ใจฟันเล่ือยที่มา หรือไป เขาก็ตระหนกั รู้ ดังน้ันเมื่อต้งั สติไวท้ ี่จุดลมกระทบ ก็ตระหนักรู้ถึงลมท่ีมาและไปน้นั ได้ โดยวิธีน้ีการ ปฏบิ ตั จิ ึงจะสาเร็จ ในระยะน้ี สาหรับผูป้ ฏิบตั บิ างทา่ น นิมิตจะเกิดและสาเร็จอปั ปนาสมาธิโดยเร็ว แต่บางทา่ นจะค่อยเป็ น ค่อยไป คือต้งั แต่ใช้วิธีนับมาลมหายใจจะละเอียดย่ิงข้ึน ๆ ร่างกายผ่อนคลายสงบเต็มที่ ท้ังกายและใจรู้สึกเบา เหมือนดงั ตวั ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อลมหายใจท่ีหยาบหมดไปแลว้ จิตของผูป้ ฏิบัติจะยงั มีนิมิตแห่งลมหายใจท่ี ละเอียดเป็นอารมณอ์ ยู่ แมน้ ิมิตจะหมดไป กย็ งั มนี ิมิตแห่งลมทล่ี ะเอียดกว่าน้นั อยใู่ นใจตอ่ ๆ ไปอกี เปรียบเหมือน เมอื่ เอาแท่งโลหะเคาะกงั สดาลหรือเคาะระฆงั ใหม้ เี สียงดงั ข้ึนฉบั พลนั จะมนี ิมิตคอื เสียงแวว่ เป็นอารมณ์อยใู่ นใจ ไปไดน้ าน เป็นนิมิตเสียงที่หยาบแลว้ ละเอียดเบาลงไป ๆ ตามลาดบั แต่ถงึ ตอนน้ี จะมปี ัญหาสาหรับกรรมฐาน ลมหายใจน้ีโดยเฉพาะ กล่าวคือ แทนท่ีย่ิงกาหนดไปอารมณ์ย่ิงจะชัดมากข้ึนเหมือนกรรมฐานอ่ืน แต่สาหรับ กรรมฐานน้ี ยิ่งเจริญไป ลมหายใจย่ิงละเอียดข้ึน ๆ จนไม่รู้สึกเลย ทาให้ไม่มีอารมณ์สาหรับกาหนด เมื่อ ปรากฏการณ์อย่างน้ีเกิดข้ึน ท่านแนะนาว่าอยา่ เสียใจเลิกไปเสีย พึงเอาลมกลบั มาใหม่ วิธีเอาลมคืนมาก็ไม่ยาก ไม่ตอ้ งตามหาที่ไหน เพียงต้งั จิตไว้ ณ จุดท่ีลมกระทบตามปกติ มนสิการคอื กาหนดนึกถงึ ว่า ลมหายใจกระทบท่ี ตรงน้ี ไม่ชา้ ลมก็จะปรากฏแลว้ กาหนดอารมณ์กรรมฐานน้นั ต่อไปเร่ือย ๆ ไม่นานนิมิตก็จะปรากฏ นิมิตน้ัน ปรากฏแกผ่ ูป้ ฏิบตั ิไมเ่ หมือนกนั รู้สึกเหมือนปุยนุ่นบา้ ง ปุยฝ้ายบา้ ง สายลมบา้ ง เหมือนดวงดาวบา้ ง เหมือนเม็ด มณีบา้ ง เหมือนไขม่ ุกบา้ ง ฯลฯ ทเ่ี ป็นเช่นน้ีเพราะนิมติ น้นั เป็นของเกิดจากสัญญา และสัญญาของคนแต่ละคนก็ ตา่ งๆ กนั ไป

สัปดาห์ท่ี 13 ใบงานวิชา สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5) ช่ือหน่วยการเรียนรู้ท่ี3. เร่ือง สวดมนต์แปลแผ่เมตตาและการบริหารจิตและการเจริญปัญญา ช่ือ..................................นามสกลุ ............................เลขท่ี ................................................................................................................. คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนอธิบายข้นั ตอนการฝึกสามธิตามหลกั อานาปนสติ 1.ทา่ นงั่ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 2.วิธีกาหนดลมหายใจ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................

เอกสารประกอบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ในสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) รายวชิ า ส๓๒๑๐๑ (สังคมศกึ ษา ๓) (ชื่อครู) นายธวัชชยั พุทธวงศ์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นวัดพระแก้วดอนเต้าสชุ าดาราม สังกดั สำนกั งานเขตการศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา เขต ๖ สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ตำบลเวยี งเหนอื อำเภอเมืองลำปาง จงั หวดั ลำปาง

เอกสารประกอบการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รายวิชา ส๓2๑01 (สงั คมศึกษา๓) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ลงชอื่ ............................................................ (นายธวัชชัย พุทธวงศ์) ครผู ู้สอน ความคดิ เหน็ ของคณะผ้บู ริหาร  เห็นชอบ  ไม่เห็นชอบ เพราะ.................................... …………………………………………… .......................................................................... (นายณัฐพล สุทธนะ) หัวหน้าฝา่ ยวิชาการ …………/……………../…………….  ควรอนุมตั ิ  ไมค่ วรอนุมัติ เพราะ.................................. …………………………………………… .......................................................................... (พระมหาปิยพงษ์ สริ วิ ิรยิ วํโส) รองผู้อำนวยการโรงเรยี น …………/……………../…………….  อนุมตั ิ  ไมอ่ นุมตั ิ …………………………………………… (พระครูสิรริ ัตนโสภิต, ดร.) ผู้อำนวยการโรงเรยี น …………/……………../…………….



สัปดาห์ที่ 14 ใบความรู้วิชา สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 5) ชื่อหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4. เรื่อง . หลักธรรมในการอย่รู ่วมกนั อย่างสันติของแต่ละศาสนา ...................................................................................................... เร่ือง หลักธรรมทางศาสนากบั การอย่รู ่วมกนั อย่างสันตสิ ุข ๑` ค่านยิ ม จริยธรรม เพอ่ื การอย่รู ่วมกันอย่างสันตสิ ุข ศาสนาทุกศาสนามีเป้าหมายการสอนเพื่อให้คาสนิกชนเป็นคนดี เม่ือคาสนิกชนของแต่ละศาสนาเป็น คนดีตามหลกั ศาสนาแลว้ ยอ่ มส่งผลดีต่อสังคม คอื ความสามคั คีปรองดอง ไม่แบ่งแยกเพียงเพราะขบั ถอื ศาสนา แตกตา่ งกนั แตอ่ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งสงบสนั ตโิ ดยปฏบิ ตั ติ ามหลกั ดาสอนในศาสนาท่ตี นทบั ถืออยา่ งเคร่งครดั ๑.๑ คณุ ค่าและความสาคัญของค่านิยมและจริยธรรมทางศาสนา ศาสนานอกจากจะสอนให้คาสนิกชนเป็นคนดีแลว้ ยงั ช่วยหล่อหลอมปลูกฝังค่านิยมและจริยธรรมอนั ดี งามให้แก่ศาสนิกชนดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในสังคมที่มีความหลากหลายทางการทบั ถือศาสนา ศาสนิกชนแต่ ละศาสนายอ่ มมีคา่ นิยมทแ่ี ตกต่างกนั อนั เป็นผลมาจากการหล่อหลอมของศาสนาท่ีมคี วามเช่ือและหลกั คาสอน แตกตา่ งกนั ถึงแม้แต่ละศาสนาจะมีหลกั จริยธรรมเฉพาะแตกต่างกันก็ตาม แต่หลักความดีและเป็ นสากลย่อมมี เหมือนกนั ในทุกศาสนา เช่น หลกั ดาสอนเร่ืองความเมตตาซ่ึงไดช้ ่ือว่าเป็นหลักจริยธรรมสากล ทุกศาสนาจะ สอนให้ศาสนิกชนมีเมตตา เอ้ือเฟ้ื อช่วยเหลือกันในสังคม เมตตาจึงเป็ นสายใยเส้นเล็ก ๆ ท่ีศาสนิกชนต้อง ช่วยกนั ถกั ทอให้เป็นเกราะป้องกนั ความรุนแรงในสังคมซ่ึงประกอบดว้ ยสมาชิกต่างศาสนา รวมท้งั หลกั ความดี เพอ่ื การเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม การใหค้ วามเคารพนบั ถือกนั ตามฐานะ และหลกั การยอมรับในความแตกตา่ ง นนั่ คอื เป้าหมายของคาสนาท่ีสอนให้คนเป็นคนดีเช่นเดียวกนั ในทุกศาสนา จึงอาจกล่าวได้ว่าค่านิยมและจริยธรรมน้ันฐานลว้ นเป็ นผลมาจากการหล่อหลอมของศาสนาท้ังสิ้น จริยธรรมเป็ นคุณค่าภายในตัวบุคคลสามารถรู้เห็นไดด้ ว้ ยการแสดงออก เป็ นพฤติกรรมทางการพูดและการ กระทา พฤติกรรมการแสดงออกเป็นตวั สะทอ้ นถึงจริยธรรมและค่านิยมของบุคลว่ามีพ้ืนฐานเป็นมาอยา่ งไรดงั สานวนไทย \"สาเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล\" แมจ้ ริยธรรมเป็นคณุ คา่ ภายในทมี่ องไมเ่ ห็น แต่กม็ ีความสาคญั และ

จาเป็ นอย่างย่ิงที่ตอ้ งอบรมให้เกิดมีข้ึนในตวั บุคคล จริยธรรมจึงเปรียบเสมือนน้าที่คอยหล่อเล้ียงและประสาน สังคมให้เป็นหน่ึงเดียวกนั รวมท้งั เป็นฐาน เป็นแกน่ และเป็นแกนให้สงั คมอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมี ความสุข จริยธรรมเป็ นจุดประสานสัมพนั ธ์ของคนในสังคมให้อยูร่ ่วมกนั โดยสันติ จึงกล่าวไดว้ ่าปัญหาทาง จริยธรรมของตงั คมประการหน่ึงเกิดจากความห่างเหินจากศาสนาของคาสนิกชนอนั หมายถึงความไมต่ ระหนกั รู้ ในคุณค่าของศาสนาจนกลายเป็นสังคมที่ขาดท่ีพ่งึ ทางใจ ขาดหลกั ทางใจในการควบคมุ พฤตกิ รรม ปัญหาต่างๆ ทเ่ี กิดข้นึ ในสังคมลว้ นมาจากดวามบกพรุองทางจริยธรรมของสมาชิกในสังคม นอfาจากจริยธรรมจะเป็นผลมาจากการหล่อหลอมของคาสนาแลว้ ค่านิยมท่ีดีอนั พึงประสงคข์ องสงั คมก็ ลว้ นเป็ นผลผลิตของศาสนาดว้ ยเช่นกนั ความเชื่อตามหลกั ศาสนาไดก้ ่อให้เกิดค่านิยมในดา้ นต่างๆ เช่น ความ เชื่อในเรื่องความดี ความชว่ั บุญ บาป นรก สวรรค์ การเกิดใหม่ เป็นตน้ ส่งผลให้เกิดค่านิยมในการทาความดีเพื่อ หวงั ผลให้ไดร้ ับความสุข อยา่ งน้อยท่ีสุดคา่ นิยมเหลา่ น้ียอ่ มควบดุมพฤติกรรมของศาสนิกชนมิให้กระทาความ ชวั่ และก่อความเดือดร้อนให้เกิดแกส่ ังคมในทางตรงกนั ขา้ ม หากศาสนิกชนในศาสนาละเลยหลกั ดาสอนในคาส นา ไมเ่ ช่ือในเรื่องการทาความดี ยอ่ มมองเห็นสิ่งตา่ งๆ ว่าไร้คุณคา่ รวมท้งั การมองเพ่ือนมนุษยด์ ว้ ยกนั ดว้ ยความ แบ่งแยกอนั จะนาไปสู่การประทุษร้ายและการไมเ่ ขา้ ใจกนั ในทสี่ ุด ๑.๒ ค่านยิ มและจริยธรรมที่กาหนดความเช่ือ พฤตกิ รรมท่แี ตกต่างของศาสนิกชน ศาสนาแมจ้ ะมีความมงุ่ หมายเดียวกนั คือ สอนคาสนิกชนให้เป็นคนดี แต่ก็มีลกั ษณะเฉพาะแตกต่างกนั ใน แต่ละศาสนา ความเป็นคนดีในแต่ละคาสนาจึงอาจแตกตา่ งกนั ในรายละเอียดและการปฏิบตั ิ อนั เป็นผลมาจาก ความเช่ือและค่านิยมทางคาสนาแตกต่างกนั เราจึงเห็นความหลากหลายทางค่านิยมและจริยธรรมทางคาสนาใน ดา้ นต่างๆ ดงั น้ี ๑) ความเช่ือเกี่ยวกบั ความศรัทธา หรือความเช่ือถอื หลกั เป็นพ้ืนฐานของศาสนา จุดเริ่มตน้ ของการยอมรับ นบั ถือและปฏบิ ตั ิตามหลกั ดาสอนในศาสนา คอื ศรัทธา ความเลื่อมใสศรัทธาในแต่ละศาสนาแตกตา่ งกนั ออกไป เช่น คาสนาพราหมณ์-ฮินดู สอนหลกั ศรัทธาว่าพระพรหมเป็นผูส้ ร้าง พระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็นผูพ้ ิทักษ์ รกั ษา และพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นผทู้ าลาย เรียกวา่ \"ตรีมูรติ\" ส่วนพระพุทธศาสนาสอนหลกั ศรัทธาใน พระรัตนตรัย ศาสนาคริสตส์ อนหลกั ศรทั ธาในพระตรีเอกภาพ คือ พระบดิ า พระบตุ ร และพระจิต ส่วนศาสนา อิสลามสอนหลักศรัทธา ๖ ประการ และศาสนาสิขสอนหลักศรัทธาองค์ไตรรัตน์ได้แก่ พระเจ้า ศีลหรือ หลกั ธรรม และอกาลความแน่นอนของพระเป็นเจา้ เป็นตน้

๒) การแต่งกาย นอกจากจะเป็นพฤติกรรมอนั สะทอ้ นคา่ นิยมและความเช่ือทางศาสนาแลว้ ยงั แสดงถึง เอกลกั ษณ์หรือลกั ษณะเฉพาะทางศาสนาและวฒั นธรรมการแต่งกายทางศาสนาของศาสนิกชนอีกดว้ ย เช่นการ นุ่งขาวห่มขาวของชาวฮินดู การแต่งกายดว้ ยชุดคลุมใส่หมวกแบบมุสลิม การโพกคีรษะของชาวสิข ลว้ นเป็ น วฒั นธรรมการแตง่ กายตามหลกั ศาสนา ๓) การแสดงความเคารพ เป็นพฤติกรรมทางศาสนาที่แสดงถึงความศรทั ธาเชื่อมนั่ ในศาสนาที่ตนขบั ถือ แมจ้ ะแตกต่างกนั ในวิธีปฏิบตั ิ แต่ก็มีเป้าหมายเดียวกนั คือ แสดงถึงความศรทั ธาและจงรักภกั ดี รวมท้งั เป็ น การเคารพบูชาส่ิงเคารพสกั การะในศาสนาท่ีตนนับถือ การแสดงความเคารพดงั กลา่ วเรียกอกี อย่างหน่ึงว่า \"การ บูชา\" ซ่ึงมีปฏบิ ตั ิในทุกศาสนา เร่ืองน่ารู้ การไมต่ ดั ผม ไม่ถอนค้ิวของชาวสิข ศาสนาสิขให้ความสาคัญกับ เกศาหรีอผม (คิ้ว หนวดเครา) ซ่ึงเป็ นหน่ึงในห้าของศาสนา สัญลกั ษณ์ที่ชาวสิขตอ้ งมีประจากายคือ ผม หวีไม้ กาไล กางเกงขา ส้ัน และกริช ชาวสิขตอ้ งรักษาผมไม่ สามารถตดั หรือเล็มผมได้ เพียงแต่รักษาความสะอาดให้เป็นประจาเท่าน้ัน เพราะการรักษาผมถือว่าเป็ น การแสดงถึงการดารงชีวิตที่สอดคลอ้ งกบั เจตจานงตามธรรมชาติท่พี ระเจา้ ระทานผมให้แกม่ นุษย์ การตดั ผมเป็นการแสดงถึงเจตนาทจ่ี ะทาลายสิ่งประเสริฐทีธ่ รรมชาติให้มา และสาคญั ตนผิดว่าฉลาด กว่าพระเป็ น เจา้ ผชู้ ายชาวสิขจะโพกศรี ษะตามบญั ญตั ิ ๔) การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา ทุกคาสนาไดก้ าหนดพิธีกรรมเพื่อเป็นเคร่ืองน้อมนาศรัทธา และหลัก ปฏิบตั ิเพอื่ ความดีงามและเป็นสิริมงคลในชีวิตของศาสนิกชนการปฏิบตั ิพิธีกรรมทางศาสนาจึงเป็นส่วนสาคญั ประการหน่ึงในวิถีการดารงชีวติ ของศาสนิกชน ๒. การขจัดความขดั แย้งเพือ่ การอย่รู ่วมกนั อย่างสันตสิ ุข ทกุ ศาสนาไดช้ ้ีเป้าหมายสูงสุดที่เป็นความสุขท่ีแทจ้ ริงไว้ ดงั น้ี

ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ช้ีไปทีก่ ารไดก้ ลบั ไปเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกลมกลนื กบั พรหม ศาสนาพุทธ ช้ีไปทพ่ี ระนิพพานว่าเป็นที่สุดของการปฏบิ ตั ิธรรม ศาสนาคริสต์ ช้ีไปทก่ี ารมชี ีวิตนิรันดรอยใู่ นอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ บนสวรรค์ ศาสนาอิสลาม ช้ีไปที่การไดอ้ ยรู่ ่วมกบั พระอลั ลอฮ์ในสวรรค์ ศาสนาสิข ช้ีไปท่ีการหลอมมนุษยร์ วมเขา้ เป็นหน่ึงเดียวกบั พระเป็นเจา้ หากพิจารณาเป้าหมายสูงสุดของศาสนาใหญ่ๆ ท้งั ๕ ศาสนาในสังคมไทย สามารถแบ่งออกฺเป็นประเภท ใหญ่ๆ ได้ ๒ ประเภท ดงั น้ี ประเภทแรก ศาสนาที่เช่ือพระเป็ นเจ้า เรียก “เทวนิยม” ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนา คริสต์ ศาสนา อสิ ลาม และศาสนาสิข ประเภทก่ีสอง ศาสนาที่ไมเ่ ช่ือพระเป็นเจา้ เรียก “อเทวนิยม” ไดแ้ ก่ พระพทุ ธศาสนา ๒.๑ การเข้าใจมลู เหตุและแก่นแท้ของศาสนา ความแตกตา่ งเก่ียวกบั ความเชื่อหรือไม่เช่ือพระเป็นเจา้ น้นั เป็นเพียงส่ิงทอ่ี ยภู่ ายนอกที่มองเห็นได้ แต่สิ่งที่ ศาสนาท้งั ทเ่ี ช่ือและไมเ่ ช่ือพระเป็นเจา้ ยอมรับเหมือนกนั คอื ให้ความสาคญั กบั จิตใจซ่ึงเป็นเรื่องภายในมากท่สี ุด ศาสนาท่ีเป็นเทวนิยมเน้นว่าพระเป็นเจา้ ประทับอย่ใู นตวั เรา เราตอ้ งฟังเสียงของพระองค์ในตวั เรา และ สอนให้เรารู้จกั ภาวนาเพื่อขาระจิตใจให้บริสุทธ์ิ ดว้ ยการอ่านหรือศึกษาคมั ภีร์ของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนา พราหมณ์-ฮินดู คริสต์ อิสลาม หรือสิข คาสอนน้ีแทจ้ ริงแลว้ ไมไ่ ดแ้ ตกตา่ งจากศาสนาทีเ่ ป็นอเทวนิยม ซ่ึงสอนว่า ตนเป็ นท่ีพ่ึงแห่งตน ฉะน้ัน จะตอ้ งฝึกอบรมจิตใจของตนให้บริสุทธ์ิจากความโลภ ความโกรธ และความหลง เขา้ ใจผิด เพื่อท่ีจะไดเ้ ข้าถึงแก่นแทข้ องชีวิต โดยสอนให้ปฏิบตั ิเริ่มจากการให้ทาน ซ่ึงเป็ นการให้ออกไปขา้ ง นอกตวั ก่อน เพื่อเป็ นการพฒั นาจิตใจให้ลดความเห็นแก่ตวั ลงเป็นอนั ดบั แรก ,แลว้ จึงค่อยกลบั มาฝึกอบรมจิต

ขา้ งในภายหลงั ดว้ ยการปฏบิ ตั ิธรรม ข้นั ตอนในการทาความดีเพ่ือชาระจิตใจให้บริสุทธ์ิจึงดูเหมือนแตกต่างกนั จากขา้ งนอกมาขา้ งในและจากขา้ งในออกไปขา้ งนอก ส่วนเรื่องพิธีกรรมท่ีแตกต่างกันน้ัน พิธีกรรมเป็ นเพียงเครื่องมือสร้างความสามคั คีและความรู้สึกเป็ น อนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของศาสนิกชนในศาสนาเดียวกนั เทา่ น้นั ซ่ึงแตกต่างกนั ไปตามจารีตประเพณี หาใช่จุดหมาย ปลายทางทีเ่ ป็นคณุ คา่ สูงสุดที่แทจ้ ริงของคาสนาไม่ ฉะน้นั โดยหลกั การแล้ว ทุกศาสนาไม่ได้แตกต่างกนั คือ ทุกคาสนาสอนให้ทาดี ไม่ให้ทาช่ัวให้มีความ เมตตา ลดความเห็นแก่ตวั เอ้ือเฟ้ื อเผ่ือแผ่กัน นึกถึงใจเขาใจเรา ศาสนาสอนให้คนดาเนินชีวิตอยา่ งมีศีลธรรม เหมือนกนั การสอนใหค้ นมศี ลี ธรรมก็เพือ่ ให้อยรู่ ่วมกนั ในสังคมไดอ้ ยา่ งสงบสุขไม่เบยี ดเบียนกนั ความแตกต่าง ของศาสนาต่างๆ ที่เห็นจึงเป็นเพียงความแตกต่างภายนอก และสมควรท่ีจะมองว่าการมีหลายศาสนาน้ันเป็ น โอกาสมากกว่าเป็ นความขดั แยง้ ' คือ เป็ นโอกาสให้มวลมนุษยส์ ามารถเขา้ ถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิตท่ีเป็ น ความสุขทแี่ ทจ้ ริง ดว้ ยวิถที างที่เหมาะสมกบั ความตอ้ งการของเขามากทส่ี ุดตามลกั ษณะเฉพาะของแต่ละสงั คม ๒.๒ การปฏบิ ัติต่อกนั ระหว่างศาสนิกชนเพอ่ื การอย่รู ่วมกันอย่างสันติสุข เม่ือเขา้ ใจมูลเหตุและแก่นแทข้ องศาสนาทุกศาสนาแลว้ การอย่รู ่วมกนั ของศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ ดว้ ยสนั ติสุขจึงเป็นส่ิงที่เกิดข้ึนไดไ้ ม่ยาก หากวา่ ศาสนิกชนในทุกศาสนายดึ หลกั ปฏิบตั ติ อ่ กนั ดงั ต่อไปน้ี ๑)อยา่ พยายามเปล่ียนศาสนิกชนศาสนาอืน่ มาทบั ถือศาสนาของตน โดยหลกั การแลว้ ทกุ ศาสนาลว้ น สอนให้ทาความดี ละเวน้ ความชว่ั สอนว่าจิตใจซ่ึงเป็ นเร่ืองขา้ งในสาคญั ที่สุด สอนให้พฒั นาจิตใจ ให้รู้จกั ละ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเหมือนกนั รวมท้งั สอนใหร้ ักความยตุ ธิ รรม ความเทา่ เทยี มกนั ถา้ เราเขา้ ใจว่าทุก คาสนามีประวตั ศิ าสตร์อนั ยาวนานที่เป็นบอ่ เกิดของจารีตประเพณีและวฒั นธรรม รวมถึงพธิ ีกรรมของศาสนาที่ อาจแตกต่างกนั ไป แต่หัวใจของทุกศาสนาเหมือนกนั คื'อ สอนให้แสวงหาความสุขที่แทจ้ ริงที่เป็นนิรันดร แต่ อะไรคือความสุขท่ีแท้จริงน้ี แต่ละคาสนาอาจต่างกนั รวมไปถึงวิธีการท่ีจะนาไปสู่ความสุขนิรันดรน้ีก็อาจ แสดงออกในรูปแบบทีต่ ่างกนั ดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวแลว้ วา่ ความแตกตา่ งน้ีน่าจะมองว่าเป็นโอกาสให้มนุษยเ์ ลือกศาสนา ที่เหมาะสมกบั ความตอ้ งการของตนมากท่ีสุด มากกว่าท่ีจะมองว่าเป็นความขดั แยง้ เม่ือใครเลือกเคารพนับถือ ศาสนาใดก็ควรให้เกียรติการเลือกของเขา เน่ืองจากเป็นเสรีภาพของเขาอยา่ งแทจ้ ริง และประเทศไทยก็ยอมรับ เสรีภาพในการนับถือศาสนา ดงั น้ันไม่ว่าใครจะฉับถือศาสนาใด ขอเพียงให้ทาหนา้ ท่ีของการเป็นคนไทยที่มี ความรักชาตศิ าสนา และสถาบนั พระมหากษตั ริยเ์ ท่าน้นั ก็สามารถอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งสนั ตสิ ุข

๒) อยา่ เปรียบเทียบว่าศาสนาใดดีกว่ากนั ศาสนิกชนท่ีดีไม่ควรพยายามเปล่ียนความเช่ือทางคาสนา ของศาสนิกชนศาสนาอน่ื ในการคิดหรือพูดเปรียบเทยี บวา่ คาสนาของใครดีกว่ากนั ไม่ควรยกย่องแตศ่ าสนาของ ตนและลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอ่ืน หรือส่ิงที่ผูอ้ ื่นนับถือและเคารพ เพราะไม่มีใครชอบถูกเปรียบเทียบ โดยเฉพาะ เปรียบในทางทด่ี อ้ ยกว่าหรือแปลกแยกแตกต่างจากคนทวั่ ไปในสังคม ศาสนาเป็ นเร่ืองของความศรัทธา ความเชื่อทบี่ ุคคลพึงพอใจและถอื ว่าส่ิงใดมีคุณค่าสูงสุดสาหรับเขา และดาเนินชีวิตเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายทเ่ี ห็นวา่ มีคุณค่า ไม่วา่ ความเชื่อหรือพธิ ีกรรมก็ลว้ นมสี าเหตทุ ่ีมาที่เหมาะสม กบั แต่ละศาสนาท้งั สิ้น ศาสนาเป็นเร่ืองของความสงบสุขทางจิตใจไม่วา่ จะทบั ถือศาสนาใด ก็ให้ความสาคญั แก่ จิตใจท่ีสะอาดบริสุทธ์เหมือนกนั และจิตใจจะสงบไดก้ ายก็ต้องมีความปกติสุขดว้ ย ทุกคนควรร่วมมือร่วมใจ ประพฤติปฏิบตั ิตนแต่ในทางที่จะเป็นประโยชน์เป็นธรรมต่อทุกคน เพื่อให้เกิดความสามคั คี ความสงบสุขใน ชาตแิ ละตนเอง ซ่ึงสามารถประพฤติปฏิบตั ิตามคาสอนของศาสนาทต่ี นนบั ถือได้ ๓) ตอ้ งมีความจริงใจต่อกนั ศาสนิกชนทกุ ศาสนาควรอยรู่ ่วมกนั ดว้ ยความจริงใจตอ่ กนั ความจริงใจน้ี ควรเริ่มจากการมีความจริงใจต่อตนเองก่อน คอื มีความละอายและเกรงกลวั ต่อการทาความช่วั ความจริงใจต่อ, ตนเองน้ีจะทาให้เป็นคนมีศีลธรรม มคี ุณธรรมมีความจริงใจตอ่ ผูอ้ ่ืน ไม่ทาสิ่งใดที่ทาให้ผูอ้ ื่นเดือดร้อน นึกถึงใจ เขาใจเรา ให้นึกวา่ ถา้ เราไม่ชอบให้ใครทาอย่างไรกบั เรา คนอ่ืนก็ไม่ชอบให้ ใครทาอยา่ งน้นั กบั เขาเช่นกนั ความ จริงใจต่อกนั จะทาให้สามารถอย่รู ่วมกนั ไดอ้ ย่างสนั ติสุขไม่ต้องคอยระแวงว่าจะมผี ูใ้ ดกระทาส่ิงท่ีไม่ดี ,ลบั หลงั และจะไม่มกี ารใหร้ ้ายกนั นอกจากน้ี เมอ่ื มคี วามจริงใจในการอยรู่ ่วมกนั กค็ วรศกึ ษาขอ้ ห้ามของศาสนาต่างๆไวด้ ว้ ย เพือ่ จะไดไ้ ม่ ผิดใจกัน หรือเขา้ ใจผิดว่าเขาดูถูกดูหมิ่นสิ่งเคารพหรือบุคคลท่ีเราเคารพนับถือเช่น ศาสนาอิสลามห้ามกราบ บคุ คลไม่วา่ จะเป็นเจา้ นาย บิดามารดา หรือผใู้ หญ่ทเี่ คารพนบั ถอื การกราบมไี วส้ าหรับกราบพระอลั ลอฮ์แต่เพียง องค์เดียวเท่าน้ัน และห้ามการบูชารูปเคารพใดๆ เป็นตน้ ความจริงใจประการสุดท้ายคือ ตอ้ งมีความจริงใจต่อ ประเทศชาติ รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่กระทาส่ิงใดท่ีเป็ นการบ่อนทาลายความสงบสุขมั่นคงของ ประเทศชาติ หรือทาใหป้ ระเทศชาตเิ สื่อมเสีย ๔) อย่ายดึ ความเหน็ ของตนเป็ นใหญ่ หลายคร้ังท่ีเกิดความไม่สงบสุขในสังคมเพราะต่างคนต่างถอื ว่า ความคิดของตนหรือพวกพอ้ งของตนถูกต้องที่สุด และคนที่คิดต่างออกไปตอ้ งผิด การคิดเช่นน้ีเป็ นการใช้ อารมณ์ ไมใช้เหตุผล ทาให้ขาดความอดทนอดกล้ัน เราจึงตอ้ งไม่ให้อารมณ์เป็ นใหญ่ และพยายามใช้เหตุผล เขา้ ใจความคิดและการกระทาของบุคคลอ่ืนทต่ี ่างไปจากเรา ให้หัดมองโลกในแงด่ ี ไมม่ องว่าเขาตอ้ งมีเจตนาร้าย

ตอ้ งรู้จกั เปิ ดใจกวา้ งรับฟังเหตุผลเของผูอ้ ื่น เพราะอาจมีคาอธิบายท่ีเราไม่รู้หรือนึกไม่ถึง ซ่ึงเมื่อรู้แลว้ จะเขา้ ใจ การกระทาและเหตุผลของเขาได้ เม่ือเขา้ ใจแลว้ ความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตาก็เกิดข้ึน ทาให้ข่มความโกรธ ความไมพ่ อใจได้ การใช้เหตุผลไม่ยึดความเห็นของตนเป็นใหญ่จะช่วยยบั ย้งั การโตเ้ ถียงทะเลาะวิวาทช่วยบรรเทาความ โกรธ ซ่ึงอาจจะกลายเป็นความเกลียดชังต่อไปภายหลงั และช่วยพฒั นาความเห็นอกเห็นใจ ความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ได้ ๓. หลักธรรมทางศาสนากบั การพัฒนาสังคม ศาสนาทุกศาสนาลว้ นสอนเร่ืองการพฒั นาดา้ นจิตใจ สอนความมีเมตตา เอ้ือเฟ้ื อเผื่อแผ่ไม่ละเลยคนทด่ี อ้ ย โอกาส ส่งเสริมความยุติธรรม และอ่ืนๆ การพัฒนาสังคมน้ันควรยึดหลักธรรมของศาสนาที่ตนฉับถือมา ประกอบการพฒั นาทางเทคโนโลยีและวตั ถุ เพื่อใหส้ งั คมไทยเป็นสงั คมที่เจริญรุ่งเรือง และขณะเดียวกนั ทุกคนก็ สามารถดารงชีวิตอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมไดอ้ ยา่ งผาสุก ๓.๑ หลกั ธรรมของศาสนาคริสตก์ บั การพฒั นาสังคม เป้าหมายสูงสุดของศาสนาคริสต์ คอื การรอดพ้นจากบาปและกลับไปมีชีวิตนิรันดรในอาณาจักรของพระ เป็นเจ้าบนสวรรค์ สังคมในอุดมคติ คือ สังคมที่เรียกว่า \"อาณาจกั รพระเป็นเจา้ \"เป็นอาณาจกั รทางจิตใจที่เป็ น สากล คนที่กลบั ตวั กลบั ใจพน้ จากบาป สามารถเดินเขา้ สู่อาณาจกั รน้ีไดเ้ ป็ นอาณาจกั รท่ีเดินตามกฎเกณฑข์ อง พระเป็นเจา้ นั่นคือ กฎแห่งความรัก พระเยซูเป็นสญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงถึงความรกั ท่ีพระเป็นเจา้ ทรงมีต่อมนุษย์ ช่วย ให้มนุษยพ์ น้ จากบาป ความรกั ของพระเป็ นเจา้ ที่มีตอ่ มนุษยเ์ ป็ นพ้ืนฐานของความรกั ทมี่ นุษยม์ ตี ่อพระเจา้ และมี ตอ่ เพือ่ นมนุษยด์ ว้ ยกนั หลกั คาสอนท่ีว่าดว้ ยความรกั และความเมตตาถือเป็นแก่นดาสอนขอ้ หน่ึงของศาสนาคริสต์ พระเยซูทรง กล่าวว่า บัญญัติขอ้ ท่ีสาคัญที่สุดของศาสนาคริสต์ คือ \"จงรักพระเป็ นเจา้ ด้วยสุดจิตใจ ดว้ ยสุดกาลงั และสุด ความคิด และจงรกั เพ่อื นมนุษยเ์ หมือนรักตนเอง\" บญั ญตั ิน้ีแมไ้ ม่มีอยูใ่ นบญั ญตั ิ ๑๐ ประการ แต่พระเยซูไดท้ รง กล่าวว่าบญั ญัติแห่งความรกั ก็คือขอ้ สรุปของบญั ญัติ ๑๐ ประการที่ทาให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึนนั่นเอง ความรักที่มีต่อ เพ่ือนมนุษยใ์ นที่น้ีหมายถึง การรักศตั รูดว้ ย เพราะว่ามนุษยท์ ุกคนเป็ นลูกของพระเป็ นเจา้ เท่าเทียมกนั ความรัก ต่อเพ่ือนมนุษยจ์ ึงเป็นสิ่งทม่ี ีความหมายสูงส่งเพราะแสดงถึงความรัก ความเชื่อฟัง และความศรัทธาท่ีมีตอ่ พระ เป็ นเจา้

การปฏิบตั ิตามคาสอนเร่ืองความรักต่อเพื่อนมนุษยข์ องชาวคริสต์ มีให้เห็นไดท้ ว่ั ไปในรูปแบบของการ สร้างสาธารณประโยชน์ ศาสนาคริสตส์ อนให้พฒั นาขงั คมท้งั ดา้ นรูปธรรมและนามธรรม ทาให้เกิดความเจริญ แก่สังคมโดยส่วนรวม เช่น การสร้างโรงเรียน มหาวิทยาลยั องค์กรต่างๆ ด้านสังคมสงเคราะห์ ตวั อยา่ งชาวคริสตท์ ่ีโลกรู้จกั กนั ดี คือ แม่ชีเทเรซา ชาวแอลเบเนีย ซ่ึงต่อมาไดโ้ อนสัญชาติเป็นอินเดีย ได้ อุทิศชีวิตต้งั แต่วยั รุ่นตราบจนวนั สุดทา้ ยของชีวิต เพื่อช่วยเหลือเด็กและคนยากไร้ที่ขาดโอกาส คนป่ วยที่ไม่มี ใครเหลยี วแลในอินเดียและประเทศอ่ืนๆ ทว่ั โลก และไดร้ ่วมก่อต้งั องคก์ รการกศุ ลต่างๆ จนกระทงั่ ไดร้ ับรางวลั โนเบลสาขาสนั ตภิ าพเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ๓.๒ หลกั ธรรมของศาสนาอสิ ลามกบั การพฒั นาสงั คม หลกั คาสอนของศาสนาอิสลามอาจถือไดว้ า่ มีลกั ษณะเป็นวถิ ีชีวิตที่มสุ ลมิ จะตอ้ งปฏิบตั ิตาม แตเ่ กิดจนตาย หลกั คาสอนท่ีสาคญั ของคมั ภีร์อลั กุรอานมี ๒ อยา่ ง คือ หลกั ศรัทธาและหลกั ปฏิบตั ิ มุสลิมที่แทจ้ ริงตอ้ งมีครบ ท้งั สองหลกั หลกั ศรัทธาท่ีสาคญั คือ ศรัทธาในเอกานุภาพขององคอ์ ลั ลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว และศรัทธาในเทวทูตผู้ ประกาศโองการของพระเป็นเจา้ หรือพระศาสดาเป็นตน้ ส่วนหลกั ปฏิบตั ิตามคาสอนมี ๕ ประการ คือ การปฎิ ญาณตน การละหมาด การถอื ศีลอด การบริจาคซะกาต และการประกอบพิธีฮจั ญ์ หลกั ปฏิบตั ิท่ีถือว่าเป็นการพฒั นาสังคมท่ีเห็นไดช้ ดั ก็คือ การบริจาคซะกาต ดาว่า \"ชะะกาต\"แปลว่า การ ซกั ฟอก การทาให้สะอาดบริสุทธ์ิและการเจริญเติบโต มุสลิมท่ีปฏิบัติละหมาดแต่ไม่ยอมจ่ายซะกาตจะถือว่า ความเป็นมสุ ฺลิมของเขายงั ไม่สมบูรณ์ การบริจาคซะกาตหรือการให้ทาน แสดงถงึ ความศรัทธาท่ีมีต่ออลั ลอฮ์มี วตั ถุประสงค์เพื่อซักฟอกทรัพยส์ ินท่ีหามาได้ด้วยความสุจริตให้บริสุทธ์ิ และชาระขัดเกลาจิตใจของผูเ้ ป็ น เจ้าของทรัพย์สิ นให้สะอาด ลดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ไม่ให้เกิดความละโมบ และให้มีความ เอ้ือเฟ้ื อเผ่ือแผ่ ผูท้ ่ีตอ้ งบริจาคซะกาต คือ ผูท้ ี่มีทรัพยส์ ินเกินท่ีกาหนดเม่ือครบรอบปี ย่ิงมีฐานะทางเศรษฐกิจดี เทา่ ใด ก็ย่งิ ตอ้ งจา่ ยซะกาตมากเท่าน้นั ผมู้ สี ิทธิไดร้ บั การบริจาคซะกาต ไดแ้ ก่ คนอนาถาไม่มที รัพยส์ ิน คนขดั สนหาไดไ้ ม่พอเล้ยี งชีพ คนทีท่ ามา หากินอย่างสุจริตแต่มีหน้ีสินลน้ พน้ ตวั คนที่เป็ นทาสหรือเชลยท่ีควรไดร้ ับการไถ่ตวั เป็ นอิสระ เป็ นตน้ รวมถึง การบริจาคเพ่ือสร้างสาธารณประโยชน์ตามแนวทางของพระเป็ นเจา้ เช่น สร้างโรงเรียน สาธารณสถานต่างๆ

ดงั น้นั ถา้ พิจารณาจากแงส่ ังคม การบริจาคซะกาตเป็นการกระจายรายไดใ้ ห้แก่คนที่ดอ้ ยโอกาสทางเศรษฐกิจให้ ไดร้ บั การดูแล ไมถ่ ูกทอดทิง้ นอกจากน้ี คาสนาอสิ ลามยงั มีขอ้ หา้ มเรื่องดอกเบ้ยี ผูท้ ี่ใหก้ ูเ้ งนิ โดยคดิ ดอกเบ้ียจะตอ้ งไดร้ บั โทษอยา่ งหนกั จากอลั ลอฮ์ ขอ้ หา้ มน้ีเพราะคาสนาอสิ ลามตอ้ งการให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษยท์ ่ีตกอยใู่ นความยากลาบากท่ีไม่มเี งิน โดยให้เขาขอยืมเงิน การให้ยืมไม่ใช่การให้กู้ ผูท้ ี่มีเงินให้ยืมแสดงว่ามี ทรัพยส์ ินที่จะทาให้ดารงชีวิตอยู่ไดโ้ ดย ไม่ตอ้ งทาอะไร การคิดดอกเบ้ียเงินกูเ้ ท่ากบั สนบั สนุนใหค้ นไมต่ อ้ งขยนั ทางาน และใชว้ ิธีง่ายๆ หาทรัพยส์ มบตั ิ ดว้ ยการเอาเปรียบผทู้ ส่ี มควรไดร้ บั ความเห็นอกเห็นใจและการช่วยเหลอื ๓.๓ หลกั ธรรมของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดกู ับการพัฒนาสังคม คมั ภีร์พระเวท มีหลกั ดาสอนเกี่ยวกบั จุดมุ่งหมายของชีวิตที่เรียกว่า \"ปุรุษารถะ\"มี ๔ ประการ คือ ธรรม อรรถ กาม และโมกษะหลกั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั การแสวงหาทรัพยส์ มบตั ิหรือส่ิงที่เราตอ้ งการในโลกน้ี คือ หลกั ทีส่ อง ท่เี รียกว่า \"อรรถ\" กล่าวคือ เมอ่ื บุคคลประสบความสาเร็จทางวตั ถุ มีความมงั่ คงั่ และมสี ถานภาพทางสงั คมสูงถึง ระดบั หน่ึงแลว้ เขาไม่สามารถดารงชีวิตอยใู่ นสังคมโดยไม่ทาอะไรดา้ นจิตวิญญาณเลย เป้าหมายของศาสนาใน ทีน่ ้ีคือ เมอ่ื ผใู้ ดสร้างฐานะจนมง่ั คงั่ แลว้ เขาจะตอ้ งใชเ้ งินช่วยเหลือจนให้มชี ีวิตท่ดี ีข้ึน ให้ไดร้ ับการศึกษามากข้ึน และเพ่ือเปลี่ยนสภาพ คมใหด้ ีข้ึน จะตอ้ งออกกฎหมายท่ีจะสร้างความเป็นธรรมและความสุขใหเ้ กิดข้นึ ในสงั คม เป้าหมายเหลา่ น้ีเป็นเป้าหมายเพ่อื การพฒั นาสงั คมใหด้ ีข้นึ ท้งั สิ้น ๓.๔ หลกั ธรรมของศาสนาสิขกบั การพฒั นาสังคม คมั ภีร์อาทิครันถส์ อนว่าเม่ือพระเป็นเจา้ ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่ง พระองค์ทรงแบ่งส่ิงมีชีวิตท้งั หลาย ออกเป็น ๕ ตระกูลใหญ่ๆ คอื พชื ผกั สตั วจ์ าพวกมด ปลวก แมลง'สัตวจ์ าพวกนก สัตวน์ ้าและสตั วบ์ ก ซ่ึงรวมถึง เทพ มนุษย์ เปรต และผี โลกน้ีเปรียบเหมือนเรือนจาที่ขงั มนุษยใ์ ห้ตอ้ ง เวียนว่ายตายเกิดอยขู่ า้ งในไม่มีทางหลุด พน้ เพราะกรรมที่กระทาไว้ แต่มนุษยม์ ีโอกาสมากกว่าสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ ท่ีจะหนีออกจากเรือนจาน้ี เพราะมนุษย์ เป็ นสิ่งสูงสุดในบรรดาสิ่งที่พระเป็ นเจา้ ทรงสร้างและการท่ีจะหลุดพน้ จากการเวียนว่ายตายเกิดน้ีได้ ก็ต่อเมื่อ มนุษยร์ ู้จดุ ประสงคท์ ่ีแทจ้ ริงทพี่ ระเป็นเจา้ ทรงส่งเรามาเกิดเป็ นมนุษย์ นน่ั คอื เพ่ือให้วญิ ญาณของเรากลบั สู่บา้ นท่ี แทจ้ ริง แต่มนุษยม์ วั หลงเพลิดเพลินอยู่กบั ความสุขทางโลก ยึดถือวตั ถุ บุตรภรรยา ญาติมิตร ทรัพยส์ มบตั ิว่า เป็นของตน ท้งั ท่ีเมื่อตายไปแลว้ ก็ไม่สามารถเอาส่ิงเหล่าน้ีติดตวั ไปได้ ทุกคนลว้ นไปมือเปล่า ดังน้ัน เม่ือยงั มี

ชีวิตอยจู่ ึงควรทางานท่ีเป็นหน้าทที่ แี่ ทจ้ ริงของเรา คอื การทาสมาธิภาวนาอยกู่ บั พระเป็ นเจา้ แสวงหาพระเป็นเจา้ ในตวั เรา ควรมีดวามสุภาพออ่ นโยน นอบนอ้ มถอ่ มตน ไมห่ ยง่ิ ยะโส คมั ภรี ์สอนว่าเมื่อใดความอ่อนนอ้ มถอ่ มตน เกิดข้ึนภายในตวั เรา เราจะหันไปสู่พระเป็ นเจา้ โดยธรรมชาติ อยา่ งไรก็ตาม นี่เป็นความกรุณาของพระเป็ นเจา้ องคเ์ ดียวเท่าน้นั เละมนุษยต์ อ้ งภกั ดีต่อพระองค์ หลักธรรมของศสนาสิขมีพ้ืนฐานอยู่ที่การพัฒนาจิตใจ เมื่อมีชีวิตอยู่ในโลก เราต้องมีจิตใจท่ีพร้อม จะ \"ให้ \"หรือ \"ตอบแทน\" แก่ผูอ้ ่ืนถือว่าบุคคลเป็ นส่วนหน่ึงของดังคมและมีพันธะผูกพันต่อสังคม จึงให้ ความสาคญั กับการเป็นพลเมืองดีและการรับใช้ส่วนรวม ชาวสิขพร้อมที่จะทาตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม เสียสละ ,อุทิศแรงงาน แรงใจ และทุน เพ่ือส่วนรวม ชาวสิขได้อุทิศผลกาไรจากรายไดข้ องตนส่วนหน่ึงมอบ ให้แกก่ ิจกรรมสาธารณกุคล เพ่อื ช่วยพฒั นาสังคมใหเ้ จริญรุ่งเรืองข้นึ สมาคมศรีคุรุสิงห์ ภาซ่ึงเป็นศูนยร์ วมสิขศาสนิกชนในประเทศไทย ไดช้ ่วยเหลือผปู้ ระสบทกุ ขย์ ากอยเู่ ป็น ประจา ไดส้ ร้างโรงเรียน สถานพยาบาล รบั รักษาคนไขท้ ยี่ ากจนโดยไม่ตอ้ งเสียเงิน และไม่จากดั ช้นั วรรณะ และ ศาสนา มีการสร้างห้องสมุด สถานสงเคราะห์คนชรา ช่วยเหลือผูส้ ูงอายุท่ียากจน ขัดสน และขาดแคลนผู้ อุปการะ ต้งั มลู นิธิเพ่ือช่วยเหลือนกั เรียนที่เรียนดีแต่ขดั สนทนุ ทรัพย์ ให้ความร่วมมอื กบั หน่วยงานตา่ ง ๆ ในการ ช่วยเหลือสังคม เช่น กรมการศาสนาสภากาชาดไทย เพอ่ื ให้เกิดความสมคั รสมานสามคั คีในหมู่ศาสนิกชนคาส นาตา่ งๆ ดว้ ย ๔. แนวทางในการจดั กิจกรรมทางศาสนาเพอ่ื การพฒั นาสังคม ในช่วงทป่ี ระเทศไทยตอ้ งเผชิญวิกฤต โดยเฉพาะทางดา้ นสงั คมและการเมืองอยา่ งทไี่ ม่เคยเป็นมากอ่ น และ ยงั หาทางออกไมไ่ ด้ ศาสนาเป็นที่พ่ึงของจิตใจ ทุกศาสนาไดม้ ีบทบาทช่วยกอบทวู้ กิ ฤตทางสังคม สร้างศรัทธาใน ศลี ธรรม ส่งเสริมคณุ ธรรมและคา่ นิยมท่ีดีในสงั คม รวมท้งั ช่วยใหเ้ กิดความสมานฉันทร์ ะหว่างศาสนิกชนในศา สนตา่ ง ๆ เพ่ือให้ประเทศกา้ วหนา้ ต่อไปอยา่ งมน่ั คงและประชาชนในชาตมิ คี วามสนั ตสิ ุข การจดั กิจกรรมทางศาสนาเพื่อพฒั นาสังคม อาจทาไดห้ ลายแนวทาง เป็ นต้นว่า การบริจาคเงินเพื่อการ กศุ ล การสละเวลาทากิจกรรมทางศาสนาท่เี ป็นสาธารณประโยชน์ หรือการจดั กิจกรรมทางคาสนาเพอ่ื ถวายเป็น พระราชกุศลแด่พระมหากษตั ริย์ ในท่ีน้ีขอเสนอแนวทางในการจดั ทากิจกรรมทางศาสนาเพ่ือพฒั นาสังคมไทย ดงั น้ี

๑) การจดั นิทรรศการประกอบการสัมมนา เรื่อง \"ความสุขนิรันดรกบั การพฒั นาจิตใจในมมุ มองของ ศาสนา\"โดยเชิญผสู้ อนศาสนาหรือผทู้ รงคุณวุฒิของทุกศาสนามาร่วมสมั มนา โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อใหศ้ าสนิก ชนแตล่ ะคาสนาเห็นวา่ โดยหลกั การแลว้ ศาสนาทุกศาสนาไม่ไดแ้ ตกต่างกนั และยงั เป็นการแลกเปล่ียนขอ้ มูลท่ี ถกู ตอ้ งจากผรู้ ู้ หรือแลกเปลี่ยนทศั นคติของกนั และกนั เพ่ือเสริมสร้างความเขา้ ใจทถ่ี ูกตอ้ ง อนั จะนาไปสู่การอยู่ ร่วมกนั อยา่ งสันติสุข เป็ นการแลกเปลี่ยนข้อมูลท่ีถูกตอ้ งจากผูร้ ู้ หรือแลกเปลี่ยนทศั นคติของกนั และกนั เพื่อ เสริมสร้างความเขา้ ใจท่ถี กู ตอ้ ง อนั จะนาไปสู่การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันตสิ ุข ๒) การจดั งานวนั กินเจของคนไทยทุกศาสนาร่วมกนั ไดท้ าบุญร่วมกันดว้ ยการลดการเบียดเบียน ชีวิต ให้กาหนดวนั และสถานที่ให้ทุกศาสนิกชนร่วมรับประทานอาหารเจดว้ ยกนั โดยไม่มีการแบ่งแยกศาสนา เช่น จดั งานที่ลานพระบรมรูปทรงม้า แนวถนนราชดาเนิน หรือสนามหลวง เพ่ือส่งเสริมความสัมพนั ธ์อนั ดี ระหวา่ งศาสนิกชนทกุ ศาสนา ใหไ้ ดม้ ีโอกาสพบปะพูดคุย ๓) การรับบริจาคเงินเพ่ือนาไปใชใ้ นการกุศลในโอกาสวนั สาคญั เช่น วนั เฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั หรือสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถโดยสมาคม หรือมลู นิธิ หรือศูนย์ ของแต่ละคาสนาจดั รถรับบริจาคไปตามสถานท่ีต่างๆ โดยมีการประชาสัมพนั ธ์ให้ประชาชนรับทราบทวั่ กัน รวมถึงให้ทราบว่าจะนาเงินบริจาคที่ไดไ้ ปใช้ในกิจการใดเช่น สร้างศาสนสถาน สร้างโรงพยาบาล เป็ นค่า พาหนะเดินทางให้แก่พระภิกษุสงฆ์ไปแสวงบุญท่ีสังเวชนี ยสถาน (สาหรับชาวพุทธ) หรื อบาเพ็ญ สาธารณประโยชน์อนื่ ๆ เป็นตน้

สัปดาห์ที่ 14 ใบงานวิชา สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5) ชื่อหน่วยการเรียนรู้ท่ี4. เรื่อง . หลักธรรมในการอยู่ร่วมกนั อย่างสันตขิ องแต่ละศาสนา ชื่อ................................นามสกุล.....................................เลขท่ี ...................................................................................................... คาชี้แจง ให้นักเรียนตอบคาถามที่กาหนดให้ถูกต้อง 1.ศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเดียวกนั คือสอนศาสนิกชน ให้เป็นคนดี แต่มีความแตกต่างกนั ในเรื่องใด …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… 2.เพราะเหตุใดพิธีกรรมของศาสนาจึงมีความสาคญั มากท่ีสุด …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… 3.หลกั ธรรมของศาสนาอิสลามมีส่วนสาคญั ในการพฒั นาสังคมอยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………

สัปดาห์ท่ี 15 ใบความรู้วิชา สังคมศึกษา 3 ส32101 (ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5) ช่ือหน่วยการเรียนรู้ท่ี 4. เรื่อง . หลักธรรมในการอย่รู ่วมกันอย่างสันตขิ องแต่ละศาสนา ...................................................................................................... เร่ือง สาราณียธรรม 6 : หลกั การในการอย่รู ่วมกนั สาราณียธรรม คือ คาสอนของพระพุทธเจา้ ที่ว่าด้วยแนวทางปฏิบตั ิของผูท้ ่ีอยู่ร่วมกนั เป็นกลุ่ม ต้งั แต่ ขนาดเลก็ เช่น ครอบครัวไปจนถึงระดบั ประเทศ หรือแมก้ ระทงั่ ในระดบั โลกมีอยู่ 6 ประการ ซ่ึงป.ปยตุ ฺโต หรือ สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์ ในปัจจุบนั ไดน้ ามารวบรวม และอธิบายความไวใ้ นหนังสือพจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรมดงั ต่อไปน้ี 1. เมตตากายกรรม ต้งั เมตตากายกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ ท้งั ต่อหนา้ และลบั หลงั คือ ช่วยเหลือกิจธุระ ของผรู้ ่วมหม่คู ณะดว้ ยความเตม็ ใจ แสดงกิริยาอาการสุภาพ เคารพนบั ถือกนั ท้งั ต่อหนา้ และลบั หลงั 2. เมตตาวจีกรรม ต้งั เมตตาวจีกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ ท้งั ต่อหน้าและลบั หลงั คือ ช่วยบอกแจง้ สิ่งท่ี เป็นประโยชน์ ส่ังสอน แนะนาตกั เตือน ดว้ ยความหวงั ดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนบั ถือท้งั ต่อหน้า และลบั หลงั 3. เมตตามโนกรรม ต้งั เมตตามโนกรรมในเพ่ือนพรหมจรรย์ ท้งั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั คือ ต้งั จิตปรารถนา ดี คดิ ทาส่ิงท่เี ป็นประโยชน์แกก่ นั มองกนั ในแงด่ ี มีหนา้ ตายิม้ แยม้ แจม่ ใสต่อกนั 4. สาธารณโภคิตา ไดส้ ิ่งของใดมาก็แบ่งปัน คอื เมือ่ ไดส้ ่ิงใดมา แมเ้ ป็นของเล็กนอ้ ย ก็ไม่หวงไวผ้ ูเ้ ดียว นามาแบ่งปันเฉล่ยี เจือจานให้ไดม้ ีส่วนร่วมใชส้ อยบริโภคทวั่ กนั 5. สีลสามญั ญตา มีศีลบริสุทธ์ิเสมอกนั กบั เพื่อนพรหมจรรยท์ ้งั หลาย ท้งั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั คอื มคี วาม ประพฤตสิ ุจริตดีงาม ถกู ตอ้ งตามระเบียบวินยั ไม่ทาตนใหเ้ ป็นทรี่ งั เกียจของหม่คู ณะ 6. ทิฏฐิสามัญญตา มีทิฏฐิดีงามเสมอกันกับเพ่ือนพรหมจรรย์ท้ังหลาย ท้ังต่อหน้าและลบั หลัง คือ เห็นชอบร่วมกนั ในขอ้ ทีเ่ ป็นหลกั การ อนั จะนาไปสู่ความหลุดพน้ สิ้นทกุ ข์ ขจดั ปัญหา โดยนยั แห่งสาราณียธรรม 6 ประการขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ ่า พระพุทธเจา้ ทรงเนน้ ให้ผทู้ ี่อยูร่ ่วมกนั เป็นหมู่ คณะ หรือทางานร่วมกนั จะตอ้ งมีเมตตา คือ ความหวงั ดีต่อกนั ไม่ริษยากนั ไม่ชิงดี ชิงเด่นตอ่ กนั และกนั ไม่ว่า จะดว้ ยการกระทาหรือจะดว้ ยการพูด หรือแมก้ ระทง่ั การคิดใน 3 ประการแรก ส่วน 3 ประการหลงั เป็นการวางเงือ่ นไขหรือกติกาในการอยรู่ ่วมกนั โดยกาหนดให้ผทู้ ่ีอยรู่ ่วมกนั ตอ้ ง รู้จกั การแบง่ ปัน เอ้ือเฟ้ือเผ่อื แผ่ และจะตอ้ งมคี วามประพฤติอนั ดีงามเสมอภาคกนั และทส่ี าคญั ทีส่ ุดคอื จะตอ้ งมี ความคิดเห็นถูกตอ้ ง และเป็นไปในแนวทางเดียวกนั กบั ผอู้ ่ืนประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ เน่ืองจากประชากรของ ประเทศส่วนใหญน่ บั ถอื ศาสนาพทุ ธ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง นิกายเถรวาทหรือหินยาน

ดว้ ยเหตุน้ี วิถีชีวติ ของคนไทยจึงผูกพนั อยู่กบั คาสอน และพิธีกรรมตามแนวทางของศาสนาพุทธ จึงทาให้ผูค้ น ในสงั คม โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ในชนบทอยอู่ ยา่ งสงบ และเรียบง่าย ซ่ึงเป็นไปตามหลกั สนั โดษ 3 ประการคือ 1. ยถาลาภสันโดษ คอื ยินดีตามทหี่ ามาไดโ้ ดยชอบธรรม 2. ยถาพลสันโดษ คอื ยินดีตามกาลงั ของตน เช่น กาลงั กายมีนอ้ ยก็ทาแต่นอ้ ย และกาลงั ทรพั ยม์ นี อ้ ย ก็ จ่ายแตน่ อ้ ย เป็นตน้ 3. ยถาสารุปปสันโดษ คือ ยินดีตามสมควรแก่สถานะของตนเอง ท้งั ในดา้ นสงั คม และทางเศรษฐกิจ นอกจากอยอู่ ยา่ งสงบ และเรียบง่ายแลว้ คนไทยผูเ้ ป็ นพุทธมามกะจะอยู่ร่วมกนั และมีความสามัคคี ภายในกลุ่ม เน่ืองจากได้รับอิทธิพลจากคาสอนของศาสนาพุทธที่เรียกว่า สาราณียธรรม 6 ประการข้างต้น โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในชนบทซ่ึงเป็นสังคมปฐมภูมิที่มีความสัมพนั ธ์ภายในกลุ่มในรูปแบบขององค์กรอรูปนัย (Informal Organization) แตใ่ นปัจจุบนั การอยู่ร่วมกนั ในรูปแบบขา้ งตน้ ไดเ้ ปล่ยี นไป โดยเฉพาะในสังคมเมือง ซ่ึงเป็นสังคมทตุ ิย ภูมิ ดงั น้นั ความสัมพนั ธ์ภายในกลุ่มจึงขาดหายไป สมาชิกภายในกลุ่มต่างคนต่างอยู่ จะรวมกนั ไดก้ ็โดยมีการ จดั ต้งั อยา่ งเป็ นทางการ หรือที่เรียกว่า องค์กรรูปนัย (Formal Organization) และสังคมในรูปแบบน้ีเองท่ีขาด เอกภาพ จึงทาให้ความสามคั คภี ายในกลุ่มเกิดข้ึนไดย้ าก เน่ืองจากขาดหลกั สาราณียธรรมขอ้ สาธารณโภคติ า คือ การแบ่งปัน จึงทาให้ผคู้ นในสงั คมตา่ งคนตา่ งอยู่ ไมพ่ ่งึ พาอาศยั กนั ดงั น้ัน ถา้ จะให้ผูค้ นในสังคมลักษณะน้ีมีเอกภาพ และเกิดความสามคั คี ก็จะต้องให้ผูค้ นเรียนรู้ และ ปฏิบตั ติ ามหลกั สาราณียธรรม 6 ประการ โดยเฉพาะขอ้ ที่ 5 และขอ้ ท่ี 6 กอ่ น แลว้ ขอ้ 1-4 กจ็ ะเกิดข้ึนตามมาเอง

ใบงานวิชา สังคมศกึ ษา 3 ส32101 (ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5) ช่อื หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 4 เร่อื ง หลกั ธรรมในการอยูร่ ่วมกนั อย่างสันติของแต่ละศาสนา (สัปดาหท์ ่ี 15) ............................................................................................................................................................. คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนอ่านกรณีศึกษา แล้วตอบคำถาม กรณศี กึ ษเรื่อง รู้จกั สามคั คี โรงเรียนสามัคคีเป็นโรงเรียนที่มีช่ือเสียงทางด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพเยาวชน นักเรียนท่ีจบ การศึกษาจากโรงเรียนจะสามารถอยู่รว่ มกับผู้อืน่ ในสังคมไดเ้ ป็นอย่างดี เพราะโรงเรยี นจะเน้นการพฒั นา ทักษะชีวิตควบคู่กับการพัฒนาด้านวิชาการและด้านคุณธรรม กิจกรรมท่ีเด่นของโรงเรียน ได้แก่ การ ร่วมกันปลูกต้นไม้รอบสวนสาธารณะ การสร้างศาลาพักร้อนริมทาง การบริจาคส่ิงของช่วยเหลือเด็ก กำพร้าและเด็กพกิ าร การรณรงค์ตอ่ ต้านยาเสพตดิ การร่วมกิจกรรมบรรเทาสาธารณภยั การทำกิจกรรม รว่ มกนั ของนกั เรียนน้ันตา่ งก็ช่วยเหลือกันในการท างานและพูดจาให้ก าลงั ใจกัน ปฏบิ ัติตนตามกฎกตกิ า ของหมู่คณะ เม่ือมีข้อตกลงอะไรกันทุกคนก็ปฏิบัติตาม ดังน้ันไม่ว่านักเรียนโรงเรียนสามัคคีจะไปร่วม กิจกรรมกบั หนว่ ยงานหรอื องค์กรใดกจ็ ะได้รบั การช่ืนชมอย่เู สมอ ทม่ี า : คมู่ ือครแู ละแผนการจัดการเรียนรรู้ ายวชิ าพระพุทธศาสนา 2555 : 57 คำถาม นกั เรยี นโรงเรียนสามคั คปี ฏิบตั ติ นตามหลกั ธรรมเรอ่ื งสาราณยี ธรรม 6 ขอ้ ใดบ้าง และส่งผลดอี ย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook