Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดกิจกรรมเล่ม1-61-3-30 โครงสร้างของดอก

ชุดกิจกรรมเล่ม1-61-3-30 โครงสร้างของดอก

Published by petcharaphan, 2020-06-14 11:14:20

Description: ชุดกิจกรรมเล่ม1-61-3-30 โครงสร้างของดอก

Search

Read the Text Version

ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชดุ ที่ โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) รายวิชา ชีววิทยา 3 ว32243 ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 หน่วยการเรยี นรู้ การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจรญิ เตบิ โต เรื่อง โครงสร้างของดอก นางสาวเพชราพรรณ สืบสันต์ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นเทพอุดมวทิ ยา ตาบลดม อาเภอสังขะ จงั หวดั สุรนิ ทร์ สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 33 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นภารกิจที่สาคัญย่ิงในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กระบวนการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความสามารถทางวิทยาศาสตร์นั้น ครูผู้สอนจะต้อง พฒั นากระบวนการเรียนรู้อย่างเปน็ ระบบให้กับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพการ เรยี นรู้ของตนเองใหไ้ ดม้ ากที่สุดเท่าทจี่ ะมากได้ และการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของผเู้ รยี นเป็นการจดั กระบวนการเรียนรู้ทเี่ น้นผ้เู รยี นเป็นสาคญั ครูผูส้ อนสามารถออกแบบการ จัดการเรียนรู้ในลักษณะต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย เพ่ืออานวยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยกุ ตค์ วามรู้มาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ สงู สดุ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การสืบพันธ์ุของพืชดอก และการเจริญเตบิ โต สาหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ สาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ซ่ึงเป็นชุดกิจกรรมท่ีเน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ทักษะการสืบค้นข้อมูล กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ โดยครูเป็นผู้ให้คาปรึกษา แนะนาและคอยอานวยความสะดวก ตลอดจนติดตามผลการศกึ ษาอย่างใกลช้ ดิ ผจู้ ดั ทาขอขอบพระคุณทา่ นผู้อานวยการโรงเรียนเทพอุดมวิทยา ตลอดจนคณะครูทุก ทา่ นทไี่ ด้ใหค้ าปรกึ ษาในการจดั ทาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์สาเร็จลุล่วงด้วยดี และหวัง เปน็ อย่างยง่ิ วา่ ชุดกิจกรรมการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรช์ ดุ น้ี จะสง่ ผลให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการ คิด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์และสามารถนาไป ประยกุ ต์ใชอ้ ยา่ งมเี หตผุ ล มคี ุณธรรม และดาเนินชวี ิตอยู่ในสังคมอยา่ งมคี วามสุข

ข เรอื่ ง หน้า 1. คานา ก 2. สารบัญ ข 3. คาชี้แจงในการใช้ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 1 4. คาแนะนาในการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับครู 2 5. คาแนะนาในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี น 3 6. ขน้ั ตอนในการใชช้ ุดกิจกรรม 4 7. ผลการเรยี นรู้ / สาระสาคัญ / จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 5 8. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ชดุ ที่ 1 เรอื่ ง โครงสร้างของดอก 6 9. กระดาษคาตอบ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ชุดที่ 1 เรือ่ ง โครงสร้างของดอก 8 10. ใบความรทู้ ี่ 1.1 เรื่อง โครงสร้างของดอก 9 11. ใบความรู้ที่ 1.2 เร่ือง ประเภทของดอก 14 12. ใบความรู้ที่ 1.3 เรือ่ ง ตาแหนง่ ของรังไขแ่ ละองคป์ ระกอบอืน่ ๆ 16 13. ใบกิจกรรมท่ี 1.1 เร่อื ง อุทยานดอกไม้ 18 14. ใบกจิ กรรมที่ 1.2 เรอ่ื ง เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย 19 15. ใบกจิ กรรมที่ 1.3 เรือ่ ง การศึกษาโครงสร้างของดอก 20 16. ใบกจิ กรรมท่ี 1.4 เรื่อง การศึกษาตาแหน่งของรังไข่ 23 17. แบบฝกึ หดั ที่ 1.1 เรอื่ ง โครงสรา้ งของดอก 25 18. แบบฝกึ หัดท่ี 1.2 เรื่อง ดอกเดีย่ ว ดอกชอ่ 26 19. แบบฝึกหดั ที่ 1.3 เร่อื ง ตาแหน่งของรังไข่ 27 20. แบบทดสอบหลงั เรียน ชดุ ท่ี 1 เรื่อง โครงสรา้ งของดอก 28 21. กระดาษคาตอบแบบทดสอบหลังเรียน ชุดที่ 1 เรอื่ ง โครงสรา้ งของดอก 30 22. บรรณานกุ รม 31 23. ภาคผนวก 33

1 ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ รายวิชาชีววิทยา 3 รหสั วิชา ว32243 เรื่อง การสืบพันธุ์ของพชื ดอกและการเจริญเตบิ โต ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ รายวิชาชวี วิทยา 3 รหสั วิชา ว32243 เรอื่ ง การสืบพนั ธขุ์ องพชื ดอก และการเจรญิ เตบิ โต ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย ชุดกจิ กรรมทั้งหมด 8 ชดุ ใช้เวลาในการเรียนรู้ท้งั หมด 18 ชัว่ โมง ดงั น้ี ชุดที่ 1 โครงสร้างของดอก 3 ชว่ั โมง ชุดที่ 2 การสรา้ งเซลล์สืบพนั ธข์ุ องพชื ดอก 2 ชว่ั โมง ชดุ ที่ 3 การถ่ายละอองเรณแู ละการปฏิสนธขิ องพชื ดอก 2 ชว่ั โมง ชดุ ท่ี 4 การเกดิ ผลและโครงสรา้ งของผล 3 ชั่วโมง ชุดที่ 5 การเกิดเมลด็ และโครงสรา้ งของเมล็ด 3 ชัว่ โมง ชุดที่ 6 การงอกของเมล็ดและระยะพกั ตวั ของเมล็ด 2 ชั่วโมง ชุดที่ 7 การสบื พันธุแ์ บบไมอ่ าศัยเพศของพืชดอก 1 ชัว่ โมง ชุดท่ี 8 การวดั การเจริญเติบโตของพืช 2 ชัว่ โมง ชดุ กจิ กรรมทง้ั 8 ชุด เป็นชดุ กิจกรรมทเ่ี นน้ ให้ผู้เรยี นไดล้ งมอื ปฏิบตั ิจรงิ มีสว่ นรว่ มใน กิจกรรมการเรยี นรู้ โดยจัดใหม้ คี วามยาก งา่ ย เหมาะสมกับวยั และความสามารถของผู้เรียน เหมาะสมกับผลการเรียนรู้และสาระการเรยี นรู้ ให้ผู้เรยี นสามารถนาความรูท้ ่ไี ดไ้ ปปรับใช้ใน ชวี ิตประจาวนั

2 คาแนะนาการใช้ชุดกจิ กรรมสาหรบั ครู บทบาทครู 1. ครูควรศึกษาขนั้ ตอนในการจัดกจิ กรรมโดยละเอยี ด และเตรียมสือ่ การเรียนรู้ทีใ่ ช้ ประกอบการจดั การเรียนรู้ 2. การจัดกระบวนการเรียนรู้ จะตอ้ งจัดกจิ กรรมใหค้ รบตามทร่ี ะบไุ ว้ในแผนการจดั การ เรยี นรู้ เพ่อื ให้กจิ กรรมบรรลุวตั ถุประสงค์ 3. ก่อนการจดั กิจกรรมครตู อ้ งอธบิ าย ช้แี จงวธิ ปี ฏบิ ตั ิกิกรรมให้ชดั เจน เพอ่ื ใหน้ ักเรยี น เข้าใจตรงกนั 4. ครูเนน้ ให้ทกุ คนมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิกจิ กรรม เพื่อใหน้ กั เรียนรู้จักการทางาน ร่วมกัน รับผิดชอบหน้าทแ่ี ละกล้าแสดงออก 5. ขณะดาเนนิ กิจกรรมครตู ้องสงั เกตกระบวนการทางานของกลมุ่ นักเรยี น เพอ่ื บันทกึ ผลการประเมินนกั เรยี น 6. หลงั จากจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ สร็จสน้ิ ในแตล่ ะชดุ กจิ กรรม ครูเปน็ ผู้ประเมินผลการ เรยี นของนักเรียน โดยใหน้ ักเรียนทาใบกจิ กรรม และทาแบบทดสอบหลังเรยี นแต่ละชุด สิ่งท่คี รตู ้องเตรยี ม 1. แผนการจดั การเรียนรู้ 2. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ 3. แบบบนั ทึกผลการประเมนิ นักเรยี น 4. ใบกจิ กรรม 5. กระดาษคาตอบ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบกิจกรรม 2. ประเมนิ พฤติกรรมการทางาน 3. ประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4. ประเมินผลการทาแบบทดสอบ

3 ชดุ ท่ี 2 โครงสรา้ งของดอก ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ชวี วิทยาทีน่ ักเรยี นจะได้ศึกษาต่อไปนี้ เปน็ กิจกรรมการเรียนรู้ เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้นักเรยี นได้สืบเสาะหาความรู้และสามารถสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง โดยเนน้ การ ใชค้ าถามและทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใหน้ ักเรียนไดค้ ิดและลงมอื ปฏบิ ัตติ ามขั้นตอนท่ี กาหนดไว้ในชดุ กิจกรรมการเรียนรตู้ ามลาดบั ดังนี้ 1. นักเรยี นศกึ ษาจุดประสงค์การเรยี นรแู้ ละขอบข่ายเนื้อหาสาระของชดุ กจิ กรรมการ เรยี นรู้ 2. การเรยี นด้วยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จะตอ้ งปฏิบัติตามข้นั ตอนท่ี กาหนดให้อยา่ งเคร่งครัดและมีความซอ่ื สัตย์ต่อตนเอง 3. นกั เรยี นศกึ ษาวิธีการใชช้ ุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ถ้านกั เรียนคนใดสงสัยหรือมีคาถาม ไมเ่ ข้าใจ สามารถขอคาแนะนาจากครูผู้สอนไดต้ ลอดเวลา 4. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น จานวน 10 ข้อ 5. นักเรียนศึกษาเนื้อหาและลงมอื ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยสามารถตรวจคาตอบได้จาก เฉลยในภาคผนวกของกจิ กรรมและต้องมคี วามซื่อสตั ยใ์ นการทากิจกรรม 6. เมื่อศึกษาครบทุกกจิ กรรมนกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น จานวน 10 ขอ้ 7. เวลาทใี่ ชใ้ นการศึกษาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ชุดที่ 1 จานวน 3 ชวั่ โมง

4 ไปศลึกษุยากจนั ดุ เปลรยะสเงยค้ก์ ารเรียนรู้ของชุดกิจกรรม ตรวจคาตอบ แบบทดสอบ ทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น กอ่ นเรียน ศึกษาเนอ้ื หาจากใบความรู้ ไม่ผา่ น ทากจิ กรรมในใบกิจกรรม/แบบฝกึ หดั ตรวจคาตอบ/หาแนวคาตอบ คะแนนตา่ กวา่ รอ้ ยละ 80 ทาแบบทดสอบหลงั เรียน คะแนนตา่ กว่า ตรวจคาตอบแบบทดสอบหลงั เรียน ร้อยละ 80 ศกึ ษาชดุ กจิ กรรมต่อไป

5 ผลการเรียนรู้ สบื ค้นข้อมลู ทดลอง อธบิ าย อภิปราย และสรปุ เกี่ยวกบั โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องดอก การ สืบพันธแ์ุ บบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศของพืชดอก การขยายพันธุ์พืช และการวดั อตั ราการ เจริญเตบิ โต สาระสาคญั โครงสร้างของดอกท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสบื พนั ธ์ใุ นพชื แตล่ ะชนดิ มีโครงสรา้ งของดอกแตกต่างกัน บางชนดิ มโี ครงสร้างหลกั ครบทงั้ 4 สว่ น ซึง่ ไดแ้ ก่ กลบี เลี้ยง (sepal) กลีบดอก (petal) เกสรเพศผู้ (stamen) และเกสรเพศเมยี (pistil) เรียกว่า ดอกสมบรู ณ์ (complete flower) ถ้าขาดสว่ นใด สว่ นหนงึ่ ไปไม่ครบ 4 ส่วน เรียกวา่ ดอกไม่สมบรู ณ์ (incomplete flower) และดอกทม่ี ีทัง้ เกสรเพศ ผู้และเพศเมียอยภู่ ายในดอกเดยี วกนั เรียกว่า ดอกสมบรู ณ์เพศ (perfect flower) ถ้ามีแต่เกสรเพศผู้ หรือ เกสรเพศเมยี อย่างเดยี ว เรยี กวา่ ดอกไม่สมบรู ณเ์ พศ (imperfect flower) จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) 1. นกั เรยี นสามารถอธิบายโครงสรา้ งและชส้ี ่วนประกอบของพืชดอกได้ 2. นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของดอกสมบรู ณเ์ พศและดอกไมส่ มบรู ณ์เพศได้ ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1. นักเรียนได้พัฒนาทกั ษะการตคี วามหมายและลงข้อสรปุ 2. นกั เรยี นไดพ้ ฒั นาทักษะกระบวนการกล่มุ 3. นกั เรียนได้พัฒนาทักษะความสามารถด้านการคดิ ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1. ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ 2. มรี ะเบียบวนิ ัย 3. ใฝเ่ รียนรู้ 4. มงุ่ มน่ั ในการทางาน 5. มีจติ สาธารณะ

6 คาชีแ้ จง 1. แบบทดสอบเปน็ แบบเลอื กตอบ 5 ตวั เลอื ก จานวน 10 ข้อ 10 คะแนน ใช้เวลา 10 นาที 2. ใหเ้ ลอื กคาตอบทถี่ กู ตอ้ งเพียงขอ้ เดียว แล้วทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงใน กระดาษคาตอบ 1. ดอกไมเ้ ปน็ สว่ นของพืชดอกท่ีทาหน้าที่อย่างไร ก. ชว่ ยผสมเกสรดอกไม้ ข. ใหค้ วามสวยงามแกพ่ ืช ค. เป็นอวยั วะสบื พันธ์ ง. ล่อแมลงใหเ้ กิดการผสมเกสร จ. ชว่ ยในการกระจายละอองเรณู 2. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกตอ้ ง ก. ดอกสมบรู ณ์ จะตอ้ งเป็นดอกสมบรู ณเ์ พศเสมอ ข. ดอกไมส่ มบูรณ์ จะตอ้ งเป็นดอกไม่สมบรู ณเ์ พศเสมอ ค. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ จะต้องเป็นดอกไมส่ มบูรณ์เสมอ ง. ดอกสมบูรณ์เพศ อาจจะเป็นดอกสมบูรณ์หรือไมส่ มบรู ณก์ ็ได้ จ. ดอกสมบูรณเ์ พศ มที ัง้ เกสรเพศผ้แู ละเพศเมยี . 3. ดอกไมใ้ นข้อใดเป็นดอกชอ่ ทม่ี ลี ักษณะคลา้ ยดอกเดีย่ ว 1. ดอกบานไม่ร้โู รย 2. ดอกดาวเรอื ง 3. ดอกทานตะวนั 4. ดอกบวั 5. ดอกมะเขอื 6. ดอกจาปี ก. 4 5 และ 6 ข. 3 4 และ 5 จ. 2 และ 4 ค. 2 3 และ 5 ง. 1 2 และ3 4. ข้อใดจัดเปน็ สว่ นประกอบท่ีสาคญั ทีส่ ดุ ต่อการดารงเผา่ พันธุ์ของพืชดอก ก. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ข. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย และกลบี ดอก ค. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย กลบี ดอก และกลีบเล้ยี ง ง. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย กลีบดอก กลีบเลี้ยง และฐานรองดอก จ. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย กลีบดอก กลบี เลย้ี ง และออวุล

73 5. ส่วนประกอบใดทพี่ บในดอกไม้ชนดิ imperfect flower เสมอ 1. เกสรเพศผู้ 2. เกสรเพศเมีย 3. กลีบดอก 4. กลบี เลย้ี ง ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3 ค. 3 และ 4 ง. 1 3 และ 4 จ. 1 และ 4 6. staminate flower เปน็ ดอกชนดิ ใด ก. มีเกสรเพศผู้ ข. มีเกสรเพศเมีย ค. มเี กสรเพศผแู้ ละเพศเมีย ง. มเี กสรเพศผู้เพยี งอยา่ งเดยี ว จ. มเี กสรเพศเมยี เพียงอยา่ งเดียว 7. สว่ นใดของดอกทาหน้าท่ีล่อแมลง ก. กลีบเล้ยี ง ข. กลบี ดอก ค. ฐานรองดอก ง. กา้ นชูดอก จ. เกสรเพศผู้ 8. ดอกไม้ชนิดใดเป็นดอกไม่สมบูรณเ์ พศ ก. ดอกพ่รู ะหง ข. ดอกต้อยต่งิ ค. ดอกมะเขอื ง. ดอกมะละกอ จ. ดอกชบา 9. ดอกชอ่ คอื ดอกในข้อใด ก. ดอกอัญชัน ข. ดอกผกั บ้งุ ค. ดอกหางนกยูง ง. ดอกฟกั ทอง จ. ดอกบวั 10. ข้อใดเปน็ ดอกชอ่ ท้งั หมด ต้งั ใจทาข้อสอบให้ ก. ดอกจาปี ดอกราชพฤกษ์ ได้คะแนนเยอะๆ ข. ดอกมะลิ ดอกกหุ ลาบ ค. ดอกเขม็ ดอกมะลิ นะเดก็ ๆ ง. ดอกกยุ ช่าย ดอกชบา จ. ดอกมะลิ ดอกเข็ม

84 คะคแะนแนนทเ่ไี ตดม็้ คะแนน คคะะแแนนนนเตท็มไ่ี ด้ 10 คะแนน 10 คะแนน คาตอบ ขอ้ ก ข ค ง จ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

9 โครงสรา้ งของดอก (Flower structure) ดอกเจรญิ และเปลี่ยนแปลงมาจากตาดอก (flower bud) ซึ่งอาจเกิดขึ้นท่ีปลายกง่ิ หรอื หรอื ส่วนลาต้น เมื่อพิจารณาดอกท่ัวๆไปจะมกี า้ นดอก 1 ก้าน บนกา้ นดอกจะมสี ่วนสาคญั 4 สว่ น คอื กลีบเล้ยี ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ซงึ่ ทง้ั 4 สว่ นน้จี ะตง้ั อยบู่ นฐานรอง ดอกและฐานรองดอกจะติดอยู่กับกา้ นชูดอก (ภาพที่ 1) ภาพท่ี 1 โครงสรา้ งของดอก ภาพที่ 1 โครงสร้างของดอก (ฤทธิ์ วฒั นชัยยง่ิ เจริญ และเกศทพิ ย์ อิศรางกูร ณ อยธุ ยา, (ม.ป.ป.)

10 1. กลีบเล้ยี ง (sepal) เป็นสว่ นของดอกท่อี ยู่นอกสดุ มีสเี ขียว เหมอื นใบ และทา หน้าทีส่ งั เคราะหด์ ้วยแสงได้ กลีบเลยี้ งทาหน้าท่ีห่อหมุ้ และป้องกนั อนั ตรายให้แก่ส่วนของดอกที่ อยู่ภายใน เมื่อดอกบานแลว้ สว่ นของกลบี เลย้ี งอาจหมดหนา้ ท่แี ล้วหลดุ รว่ งไป วงของกลบี เล้ียง เรยี กว่า แคลกิ ซ์ (calyx) กลบี เลีย้ งที่ไมใ่ ช่สเี ขยี วและทาหน้าทลี่ อ่ แมลงให้มาผสมเกสรได้ เช่นเดียวกบั กลีบดอก ใตก้ ลีบเลยี้ งมีกลีบสเี ขียวขนาดเล็กเรยี งตัวเปน็ วงอย่ดู ว้ ย เรียกวา่ ร้ิว ประดับ (epicalyx) เช่น ในดอกชบา และพรู่ ะหง (ภาพท่ี 2) ภาพท่ี 1 โครงสรา้ งของดอก ภาพที่ 2 ลักษณะของกลบี เล้ียง (สุพตั รา มหายศ, 2553)

11 2. กลบี ดอก (petal) เป็นสว่ นท่ีอยู่ถัดจากกลีบเลยี้ งเข้ามากลีบดอกมักมีสีสนั สวยงาม เนื่องจากมีรงควตั ถุ เชน่ แอนโทไซยานินละลายอยู่ใน sap vacuole ทาให้เกดิ สีแดง สีนา้ เงิน สีม่วง นอกจากน้ียังมสี ารแอนโทแซนทินละลายอย่ดู ว้ ยทาใหเ้ กิดสตี า่ งๆ ได้หลายสี ในดอกไม้สขี าว เนือ่ งจากในแซพแวคิวโอลไม่มีรงควตั ถชุ นดิ ใดบรรจุอยหู่ รอื มีแอนโทแซนทินก็ได้ สารสเี หลอื งหรอื สีแดง เกดิ จากรงควตั ถุชนดิ แคโรทนี อยด์ กลีบดอกบางชนดิ สามารถเปล่ียนสไี ด้ เช่น ดอกพุดตาน (ภาพท่ี 3) บางชนิดมีกลิ่นหอมเนือ่ งจากมตี ่อมกล่นิ อยูด่ ้วยและทโ่ี คนกลีบดอกมกั มีต่อมน้าหวานช่วยในการล่อ แมลง วงกลบี ดอกเรียกวา่ คอโรลา (corolla) ถ้าหากกลีบเล้ียงและกลบี ดอกเหมือนกนั จนแยกไม่ออก จะเรียกรวมกันวา่ วงกลบี รวม (perianth) ไดแ้ ก่ จาปี จาปา บัวหลวง ทิวลิป เปน็ ต้น ภาพท่ี 1 โครงสรา้ งของดอก ภาพที่ 3 ลกั ษณะของกลีบดอก (วุทธศิ ักด์ิ โภชนุกูล, ม.ป.ป.) รหู้ รอื ไม่ ดอกไม้บางชนดิ อาจมกี ลีบเลี้ยงและ กลบี ดอกสเี ดยี วกัน เรยี กว่า กลบี รวม (perianth or prtigone) แตล่ ะกลบี ท่ีสี เหมอื นกัน เรียกว่า tepal

12 3. เกสรเพศผู้ (stamen) เปน็ ส่วนท่ีจาเปน็ ต่อการสืบพันธ์ุ ทาหน้าทสี่ ร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ เพศผู้ เกสรเพศผู้มักมหี ลายอันและเรียงตัวเปน็ วงเรียกวา่ แอนดรีเซยี ม (androecium) เกสรเพศผู้ สว่ นใหญแ่ ยกกันเปน็ อันๆแต่บางชนดิ อาจตดิ กันหรืออาจตดิ สว่ นอื่นของดอก เชน่ เกสรตัวผู้เชือ่ มตดิ กบั กลบี ดอก พบในดอกเขม็ ดอกลาโพงหรือเกสรตวั ผู้ตดิ กบั เกสรตวั เมยี พบในดอกรัก ดอกเทยี น เกสรตวั ผ้แู ตล่ ะอันประกอบดว้ ย 2 สว่ น 3.1 กา้ นชเู กสรเพศผู้ (filament) เป็นส่วนทีม่ ลี กั ษณะเป็นเส้นอาจรวมกันเป็นกลุม่ หรอื แยกกันอาจยาวหรอื สั้นซึง่ กแ็ ลว้ แตช่ นิดของพืช ทาหน้าทชี่ อู ักเกสรตัวผหู้ รอื อบั เรณู 3.2 อบั เกสรเพศผู้ (anther) มลี กั ษณะเป็นแทงกลมยาวหรือค่อนข้างกลม 2 พู ภายใน แบง่ เปน็ ถงุ เล็กๆ 4 ถงุ เรยี กว่า ถงุ เรณู (pollen sac) บรรจุละอองเรณู (pollen grain) จานวนมากมี ลักษณะเป็นเมด็ เลก็ ๆ สีเหลืองๆ ผิวของละอองเรณแู ต่ละชนดิ จะแตกต่างกนั ละอองเรณทู าหน้าท่เี ป็น เซลลส์ บื พันธเุ พศผู้ เมือ่ ดอกเจรญิ เตม็ ท่แี ลว้ ถงุ ละอองเรณจู ะแตกออก ละอองเรณูกจ็ ะปลิวออกมา เกสรตวั ผ้ใู นพืชแตล่ ะชนิดมจี านวนมากนอ้ ยไมเ่ ทา่ กนั ในพชื โบราณ หรือพืชช้นั ต่าเกสรตัวผู้มกั มี จานวนมาก ส่วนพชื ท่มี วี วิ ัฒนาการสูงจานวนเกสรตัวผจู้ ะลดนอ้ ยลง ภาพที่ 4 สว่ นประกอบของเกสรเพศผู้ (มติ ราภรณ์ วัชโรทัย, 2553)

13 4. เกสรเพศเมยี (pistil) เป็นชัน้ ทอ่ี ยู่ในสุดเปล่ยี นแปลงมาจากใบเพอ่ื ทาหน้าที่สรา้ งเซลล์ สบื พันธเุ์ พศเมยี จงึ เป็นอวัยวะสาคัญต่อการสบื พันธ์ุ ในหน่ึงดอกเกสรเพศเมยี อาจมอี ันเดียวหรือ หลายอนั เรียงตวั เป็นวงของเกสรเพศเมีย เรียกวา่ จิเนเซียม (gynaecium) เกสรตวั เมียประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 4.1 ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) เป็นสว่ นทพี่ องออกมลี ักษณะเปน็ ตุ่มแผ่แบนเป็น แฉก เป็นพูและมนี า้ เหนยี วๆหรอื ขนคอยจับละอองเรณูทลี่ อยมาตดิ 4.2 ก้านชเู กสรเพศเมยี (style) เปน็ สว่ นทม่ี ีลักษณะเป็นเสน้ หรือกา้ นเล็กๆ อาจยาวหรอื สน้ั เช่ือมต่อจากยอดเกสรตวั เมียลงส่รู งั ไข่เป็นทางให้เสปริ ์มนวิ เคลียสเขา้ ผสมกบั ไข่ 4.3 รงั ไข่ (ovary) เปน็ สว่ นท่ีพองออกมาลักษณะเป็นกระเปาะยดึ กบั ฐานรองดอกหรือ อาจฝงั อยใู่ นฐานรองดอกภายในมลี กั ษณะเปน็ ห้องๆ เรยี กว่า โลคุล (locule) ซ่งึ ภายในมีออวลุ (ovule) บรรจุอยูแ่ ตล่ ะหน่วยของเกสรตวั เมียท่ีมโี ลคลุ ที่ห่อหมุ้ ไขไ่ วภ้ ายในเรยี กว่า คาร์เพล (carpel) ใน 1 โลคัลอาจมี 1 คาร์เพล หรอื หลายคาร์เพลก็ไดแ้ ลว้ แต่ชนิดของดอกไม้ เมอ่ื เกิดการ ปฏิสนธิแล้วรงั ไข่จะเจรญิ เป็นผล ส่วนออวุลเจรญิ เป็นเมลด็ ภาพที่ 5 ส่วนประกอบของเกสรเพศเมยี (อัญชลี ใจดี, 2554)

14 6 ดอกไม้จาแนกไดห้ ลายประเภท โดยใชเ้ กณฑ์ต่างๆ เชน่ 1. จาแนกโดยอาศัยเพศเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 2 ชนดิ  ดอกสมบูรณเ์ พศ (perfect flower) เปน็ ดอกไมท้ ี่มีเกสรเพศผู้และเกสเพศเมียอยใู่ นดอก เดยี วกนั เช่น ดอกชบา ดอกพรู่ ะหง ดอกถัว่ ดอกพริก ดอกพุทธรกั ษา ดอกข้าว ดอกมะเขือ (ภาพที่ 6 ก)  ดอกไม่สมบูรณเ์ พศ (imperfect flower) คอื ดอกท่ีมเี พียงเพศเดยี วเทา่ น้ัน คอื ถ้ามแี ต่เกสร เพศผตู้ อ้ งไมม่ ีเกสรเพศเมียหรอื มแี ต่เกสรเพศเมยี ต้องไม่มีเกสรเพศผู้ เชน่ ดอกตาลงึ ดอก เตย ดอกลาเจยี ก ดอกข้าวโพด ดอกฟักทอง ดอกแตงกวา ดอกบวบ ดอกหน้าวัว (ภาพท่ี 6 ข) เปน็ ดอกทม่ี ีแต่เกสรเพศเมยี ดอกครบสว่ นคือดอก สมบูรณเ์ พศเสมอ และ ดอกไมส่ มบูรณเ์ พศ คือ ดอกไมค่ รบสว่ นเสมอ ก. ข. ภาพที่ 6 ตัวอย่างดอกสมบรู ณเ์ พศ (ก. ดอกบัว) และดอกไมส่ มบูรณเ์ พศ (ข. ดอกมะละกอ) (สุพัตรา มหายศ, 2553) 2. จาแนกโดยอาศยั ส่วนประกอบของดอกเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น 2 ชนดิ  ดอกครบส่วนหรือดอกสมบูรณ์ (complete flower) เป็นดอกทีป่ ระกอบด้วยวง 4 ครบ คอื กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย ได้แก่ ดอกชบา กุหลาบ แค มะเขอื พรู่ ะหง  ดอกไมค่ รบสว่ นหรอื ดอกไมส่ มบรู ณ์ (incomplete flower) เป็นดอกท่ีมีส่วนประกอบ ทงั้ 4 วงไม่ครบ โดยขาดส่วนใดส่วนหน่งึ ไป เชน่ ดอกบานเยน็ (ขาดกลีบดอก) ดอกหน้าววั และดอกอตุ พิต (ขาดกลบี เล้ยี งและกลีบดอก) ดอกตาลงึ ฟักทอง บวบ แตง (ขาดเกสรเพศผู้ หรอื เกสรเพศเมีย)

15 7 จาแนกตามจานวนดอกทต่ี ิดอยู่บนกา้ นดอก แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ชนิดคือ  1 ดอกเดย่ี ว (solitary flower) คอื ภายในหน่ึงก้านดอกประกอบด้วยดอกเพียงดอกเดียว เชน่ ดอกกหุ ลาบ ดอกจาปี ดอกชบา ดอกบัว (ภาพท่ี 7) ภาพที่ 7 ลกั ษณะของดอกเดยี่ ว (มติ ราภรณ์ วชั โรทัย, 2553)  2 ดอกช่อ (inflorescence flower) คอื ดอกทปี่ ระกอบดว้ ยดอกยอ่ ยหลายๆ ดอกอยู่บน หนึง่ ก้านดอก แตล่ ะดอกมีดอกย่อย (floret) มดี ้านดอกยอ่ ยท่โี คนก้านดอกยอ่ ยมใี บประดับ เปน็ ดอกท่ีมีแต่เกสรเพศเมียรองรบั ด้วยก้านดอกยอ่ ยอยูบ่ นช่อดอก แกนกลางท่อี ยตู่ อ่ จากก้านช่อดอกท่อี ยู่ระหว่างดอก ย่อยแตล่ ะดอกเรยี กว่า ราคสิ (rachic) ชอ่ ดอกมีความหลากหลาย นักวิทยาศาสตร์ใชล้ ักษณะ การจัดเรียงตัวและการแตกก่งิ ก้านของช่อดอกออกเป็นแบบต่างๆ (ภาพท่ี 8) รอู้ ่ะปะ ดอกช่อบางชนิดมีลักษณะคล้าย ดอกเดีย่ ว มีดอกยอ่ ยเลก็ ๆจานวนมากอยู่ รวมบนฐานรองดอก ซงึ่ มีก้านดอกรวม เรยี กชอ่ ดอกแบบน้วี ่า ดอกรวม (composite flower or cavpitulum) ภาพท่ี 8 ลักษณะของดอกช่อ (มิตราภรณ์ วัชโรทยั , 2553)

16 รังไขท่ ี่อยู่ภายในดอกไม้จะมีตาแหน่งทีต่ ้ังบนฐานรองดอกต่างกนั (ภาพท่ี 9) ซงึ่ จาแนกได้เป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1.1 ดอกทมี่ ีรงั ไขอ่ ยเู่ หนอื ฐานรองดอก (superior ovary) เช่น ดอก จาปี ยหี่ บุ บัว บานบุรี พริก ถ่ัว มะละกอ ส้ม 1.2 ดอกที่มีรงั ไขอ่ ยูใ่ ตฐ้ านรองดอก (inferior ovary) เชน่ ดอก ฟกั ทอง แตงกวา บวบ ฝร่งั ทบั ทมิ กลว้ ย พลบั พลงึ 1.3 รงั ไข่ที่อยูก่ ่งึ ใตว้ งกลบี (half inferior ovary) ซงึ่ จะมกี ลีบเลยี้ ง กลบี ดอก และ เกสรเพศผูต้ ดิ กบั ฐานของดอกไม้ในบริเวณท่เี ทา่ กันกับรังไข่ เนือ่ งจากฐานรองดอกเว้าเปน็ แอง่ ลง ไhปtแtลpะม:ขี /อ/บwโคง้ wขึ้นเwปน็ .รdปู ถn้วยpอ.ยgรู่ อoบร.tังไhข่ /เชbน่ oดอtกaกหุnลyาบ/ดBอFกเCชอ/ร่ีflwer.html #Pistil ภาพท่ี 9 ฐานรองดอกและตาแหนง่ ของรงั ไขแ่ บบตา่ งๆ (มติ ราภรณ์ วัชโรทัย, 2553)

17 องค์ประกอบอนื่ ๆ ของดอก - ใบประดับคล้ายกลีบดอก (petaloid bract) ใบประดบั ท่มี สี ีสนั คลา้ ยกลบี ดอก เช่น ใบประดบั ของเฟื่องฟา้ - วงใบประดับ (involucres, involucral bract, phyllary) ใบประดับทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะ คลา้ ยเกลด็ ปลา หรอื หนาม เช่น ใบประดับของบานช่นื ดาวกระจาย ทานตะวัน - วงกลีบเล้ียงคลา้ ยกลีบดอก (petaloid calyx) วงกลีบเล้ียงที่มสี สี ันคล้ายกลีบดอก เชน่ กลีบเล้ยี ง ดอกดอนยา่ - กาบหุม้ ชอ่ ดอก (spathe) ใบประดบั ขนาดใหญท่ ่รี องรับชอ่ ดอกและมีสสี นั ตา่ งๆ เชน่ กาบหุม้ ช่อ ดอกของปลีกล้วย หนา้ ววั - ร้วิ ประดับ (epicalyx) ใบประดับท่ลี ดรปู เป็นริ้วเลก็ ๆ เชน่ ใบประดับของชบา พู่ระหง http://www.dnp.go.th/botany/BFC/flwer.html #Pistil ภาพที่ 10 องคป์ ระกอบอนื่ ๆของดอก (มติ ราภรณ์ วชั โรทัย, 2553)

18 9 คคะแะแนนนทท่ีได่ไี ด้ ้ 310คะคแะนแนนน คคะแะแนนนเตเตม็ ็ม คาชี้แจง : ให้นักเรียนฟงั เพลง อุทยานดอกไม้ แลว้ ตอบคาถามใหถ้ กู ต้อง 1. จากเพลง อทุ ยานดอกไม้มีชอ่ื ดอกไมท้ งั้ หมดก่ีชนิด อะไรบ้าง …………………………………………………………………………………………………………………………………………… เปน็ ดอกทม่ี ีแตเ่ กสรเพศเมยี…………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ดอกไม้แตล่ ะชนดิ มโี ครงสรา้ งและส่วนประกอบเหมือนกนั หรอื ไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………

19 9 คคะแะแนนนททไ่ี ด่ีได้ ้ 510คะคแะนแนนน คคะแะแนนนเตเต็ม็ม คาชี้แจง : ให้นกั เรยี นนาส่วนประกอบของเกสรเพศผ้แู ละเกสรเพศเมียของดอกไมท้ ่นี ักเรียน สนใจมาคนละ่ 1 ชนดิ ติดลงในกระดาษพรอ้ มชี้สว่ นประกอบตา่ งๆให้ถกู ต้อง ชอื่ ดอกไม้.................................................... เปน็ ดอกท่ีมีแตเ่ กสรเพศเมีย เกสรเพศเพศผู้ประกอบดว้ ย เกสรเพศเมียประกอบดว้ ย …………………………………………… …………………………………………… …………………………………………… …………………………………………… …………………………………………… …………………………………………… .…………………………………………… .……………………………………………

20 คคะแะแนนนทที่ไดไี่ ด้ ้ 710คะคแะนแนนน คคะแะแนนนเตเตม็ ็ม จดุ ประสงค์ของการศกึ ษา เพอื่ ศึกษาโครงสร้างของดอก ประเภทของดอก จานวนเกสรเพศผู้และเพศเมียและ ตาแหนง่ ของรงั ไขแ่ ตล่ ะดอกของพชื ได้ เปว1สั็น.ดดดุออุปกอกไมรกณช้ นท์แิดล่ีมตะา่สแีงาๆรตเเชคน่่เมกีกลส้วยรไเมพ้ พทุศธเรมกั ษยี า ชบา ดาวเรือง 2. ชุดเคร่ืองมอื ผ่าตัด 3. แวน่ ขยาย วิธีการศึกษา 1. สังเกตดอกไม้ที่นามาศึกษา ในประเดน็ ต่างๆดังน้ี - ประเภทของดอก - สว่ นประกอบท่เี ปน็ โครงสรา้ งหลกั - จานวนเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี - ลกั ษณะของรงั ไข่

21 ตารางบนั ทกึ ผลการศกึ ษา ชนดิ ของ ประเภทของดอก ส่วนประกอบท่ีเปน็ โครงสร้างหลัก จานวนเกสร จานวนรงั ดอก กลีบ กลบี เกสร เกสรเพศ เพศผู้ เพศเมยี ไขใ่ นแต่ ดอก ดอก เลย้ี ง ดอก เพศผู้ เมีย ละดอก เดยี่ ว ชอ่ กล้วยไม้ หางนกยงู พุทธรกั ษา ชบา เปเข็มน็ ดอกท่มี แี ตเ่ กสรเพศเมีย ทานตะวนั ปีบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ........................................................................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................................................

22 1. ดอกชนิดใดเป็นดอกสมบรู ณ์และดอกชนิดใดเป็นดอกไมส่ มบรู ณ์ ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 2. ดอกแต่ละชนดิ มโี ครงสร้างของดอกแตกต่างกันอย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………… .................................................................................................................................................... 3. ดอกชนิดใดมที ้ังเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 4. ดอกชนดิ ใดมีเฉพาะเกสรเพศผหู้ รอื เพศเมียอย่างใดอยา่ งหน่งึ ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. เปน็ ดอกทมี่ แี ตเ่ กสรเพศเมยี................................................................................................................................................... 5. ดอกชนิดใดเป็นดอกเดยี่ วและดอกชนดิ ใดเป็นดอกช่อ ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 6. ดอกแตล่ ะชนดิ ใน 1 ดอก มีจานวนรังไขเ่ ท่ากนั หรือไม่ อยา่ งไร ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 7. ถา้ บนก้านดอกมีดอกอยู่หลายดอก การแตกแขนงออกจากกา้ นช่อดอกมีลกั ษณะเหมือนหรือ ต่างกันอยา่ งไร ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ...................................................................................................................................................

23 จุดประสงคข์ องการศึกษา คคะแะแนนนทท่ีไดี่ได้ ้ 510คะคแะนแนนน เพอื่ ศกึ ษาตาแหน่ง คคะแะแนนนเตเตม็ ม็ ของรงั ไขแ่ ต่ละดอกของพชื วัสดุอุปกรณ์และสารเคมี 1. ดอกไม้ชนดิ ตา่ งๆ 2. ชุดเคร่ืองมอื ผ่าตดั 3. แวน่ ขยาย วิธกี ารศกึ ษา 1. นาดอกไม้ชนดิ ตา่ งๆมาผ่าตามยาวให้ผา่ นรังไข่ เพอื่ ศึกษาตาแหน่งของรังไข่ และจานวนท่ี ออวลุ ตดิ อยใู่ นรงั ไข่ เป็นดอกท่มี แี ต่เกสรเพศเมีย ตารางบนั ทกึ ผลการศึกษา ตาแหน่งของรังไข่ ชนิดของดอก เหนอื วงกลบี ใตว้ งกลบี จานวนออวลุ ตอ่ รังไข่

24 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ........................................................................................................................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ............................................................................................................................................................ 1. ดอกชนิดใดมรี งั ไขเ่ หนอื วงกลีบ และชนิดใดมีรงั ไขใ่ ตว้ งกลบี ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 2. ดอกชนดิ ใดท่ีในรงั ไขม่ เี พยี งออวลุ เดยี ว และดอกชนดิ ใดท่ีในรังไข่มีออวลุ จานวนมาก ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 3. จากดอกไมท้ น่ี ามาศกึ ษาในกจิ กรรมท่ี 1.4 จงระบุว่า ดอกชนิดใดเปน็ ดอกสมบรู ณ์หรอื ดอกไม่ สมบูรณ์ และดอกชนดิ ใดเป็นดอกสมบรู ณเ์ พศหรอื ดอกไมส่ มบูรณเ์ พศ ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ...................................................................................................................................................

25 9 คาช้แี จง : ระบุสว่ นประกอบของดอกไม้ คคะแะแนนนนทท่ีไดีไ่ ด้ ้ 510คะคแะนแนนน โดยนาคาท่ีกาหนดให้ไปใส่ในชอ่ งว่างให้ถูกตอ้ ง คคะแะแนนนนเตเตม็ ็ม เกสรเพศผู้ (stamen) อับเรณู (anther) กา้ นชเู กสรเพศผู้ (filament) กลีบดอก (petal) กลบี เล้ยี ง (sepal) เกสรเพศเมีย (pistill) ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) ออวลุ (ovule) รงั ไข่ (ovary) กา้ นชเู กสรเพศเมยี (style) 54 2 6 7 เปน็ ดอกที่มีแตเ่ ก1 ส3ร3เพศเมีย 9 10 8 หมายเลข 1 คอื …………………………………………….หมายเลข 6 คือ คอื ……………………………...… หมายเลข 2 คือ …………………………………………….หมายเลข 7 คือ …………………………………… หมายเลข 3 คือ …………………………………………….หมายเลข 8 คือ …………………………………… หมายเลข 4 คอื …………………………………………….หมายเลข 9 คือ …………………………………… หมายเลข 5 คอื …………………………………………….หมายเลข 10 คือ ……………………………………

26 9 คคะแะแนนนนทที่ไดไี่ ด้ ้ 510คะคแะนแนนน คคะแะแนนนนเตเต็ม็ม คาชีแ้ จง : จงจาแนกดอกไมท้ ีก่ าหนดใหเ้ ติมในตารางใหถ้ ูกต้อง เป็นดอกที่มแี ตเ่ กส รเเมีย ดอกเดี่ยว ดอกช่อ

27 คะคแะนแนทน่ีไทดีไ่ ้ด้ 51ค0ะคแะนแนนน คะคแะนแนเนตเม็ตม็ คาชี้แจง : จงจาแนกดอกไม้ที่กาหนดให้เตมิ ในตารางให้ถกู ตอ้ ง ดอกชบา ดอกทบั ทมิ ดอกบวั ดอกฝรง่ั ดอกฟกั ทอง ดอกชมพู รงั ไข่เหนอื ฐานรองดอก รงั ไขใ่ ตฐ้ านรองดอก

28 16 คาช้ีแจง คาชี้แจง 1. แบบทดสอบเปน็ แบบเลือกตอบ 5 ตวั เลือก จานวน 10 ขอ้ 10 คะแนน ใชเ้ วลา 10 นาที 2. ให้เลือกคาตอบที่ถกู ต้องเพยี งข้อเดยี ว แลว้ ทาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงใน กระดาษคาตอบ 1. ข้อใดจัดเป็นส่วนประกอบทส่ี าคญั ทีส่ ุดตอ่ การดารงเผ่าพนั ธุ์ของพชื ดอก ก. เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี ข. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย และกลบี ดอก ค. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย กลบี ดอก และกลีบเลีย้ ง ง. เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย กลบี ดอก กลบี เลี้ยง และฐานรองดอก เป็นจด. อเกสกรเทพศมี่ ผู้ีแเกตสรเ่เพกศสเมรีย เกพลบี ศดอเกมกยี ลบี เล้ียง และออวุล 2. ดอกไม้เป็นสว่ นของพชื ดอกที่ทาหน้าท่ีอย่างไร ก. ชว่ ยผสมเกสรดอกไม้ ข. ใหค้ วามสวยงามแกพ่ ืช ค. เป็นอวยั วะสบื พันธ์ ง. ลอ่ แมลงให้เกดิ การผสมเกสร จ. ชว่ ยในการกระจายละอองเรณู 3. ดอกไม้ในขอ้ ใดเป็นดอกช่อท่มี ลี กั ษณะคล้ายดอกเดยี่ ว 1. ดอกบานไม่รโู้ รย 2. ดอกดาวเรือง 3. ดอกทานตะวัน 4. ดอกบัว 5. ดอกมะเขอื 6. ดอกจาปี ก. 2 และ 4 ข. 4 5 และ 6 ค. 2 3 และ 5 ง. 3 4 และ 5 จ. 1 2 และ3 4. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ ูกตอ้ ง ก. ดอกสมบรู ณ์ จะต้องเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศเสมอ ข. ดอกสมบรู ณเ์ พศ มที ั้งเกสรเพศผแู้ ละเพศเมีย ค. ดอกไม่สมบูรณเ์ พศ จะต้องเปน็ ดอกไม่สมบรู ณ์เสมอ ง. ดอกไม่สมบูรณ์ จะต้องเปน็ ดอกไม่สมบูรณ์เพศเสมอ จ. ดอกสมบรู ณเ์ พศ อาจจะเป็นดอกสมบรู ณ์หรือไมส่ มบูรณก์ ไ็ ด้

29 17 5. staminate flower เป็นดอกชนิดใด ก. มเี กสรตัวผู้ ข. มีเกสรตัวเมยี ค. มเี กสรตัวเมยี เพยี งอยา่ งเดียว ง. มีเกสรตัวผูเ้ พียงอยา่ งเดยี ว จ. มีเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี 6. ส่วนประกอบใดทีพ่ บในดอกไม้ชนดิ imperfect flower เสมอ 1. เกสรเพศผู้ 2. เกสรเพศเมยี 3. กลบี ดอก 4. กลบี เล้ยี ง ก. 1 และ 2 ข. 2 และ 3 ค. 3 และ 4 ง. 1 3 และ 4 จ. 1 และ 4 7. ดอกไม้ชนิดใดเป็นดอกไมส่ มบูรณ์เพศ ก. ดอกพ่รู ะหง ข. ดอกมะละกอ ค. ดอกมะเขอื ง. ดอกต้อยต่ิง จ. ดอกชบา เป8็น. สด่วนอใกดกขท.อกงมี่ดลบีอีแกเลทตย้ี างเ่หกน้าขสท. ี่ลรกอ่ลเแบีพมดลอศงกเมียค. ฐานรองดอก ง. ก้านชดู อก จ. เกสรเพศผู้ 9. ขอ้ ใดเปน็ ดอกช่อทง้ั หมด ก. ดอกกุยชา่ ย ดอกชบา ข. ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ค. ดอกเข็ม ดอกมะลิ ง. ดอกจาปี ดอกราชพฤกษ์ จ. ดอกกล้วยไม้ ดอกเขม็ 10. ดอกช่อคือดอกในข้อใด ก. ดอกอญั ชนั ข. ดอกผกั บุ้ง ค. ดอกฟกั ทอง ง. ดอกหางนกยงู จ. ดอกบวั

เปน็ ดอกทม่ี แี ตเ่ กสรเพศ 30 18 ข้อ คะแนน 1100คคะะแแนนนน คาตอบ จ ก คคะะแแนนนนทที่ไีไ่ดด้ ้ คคะะแแนนนนเเตตม็ ม็ ข คาตอบ ค คง ง จ ข้อ ก ข 11 22 33 4 4 5 56 67 78 89 9 10 10 เมีย

31 19 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ (ม.ป.ป.). ตัวชว้ี ดั และสาระแกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขึน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพค์ รัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. กระทรวงศกึ ษาธิการ (2552). ตวั ชี้วัดและสาระแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตาม หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นึ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. กรุงเทพฯ : สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษาสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. จิรัสย์ เจนพาณิชย์. (2558). BIOLOGY for high school students. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 19). กรงุ เทพมหานคร : บมู คลั เลอร์ไลน์. ธนกร เชือ้ ทอง และคณะ. (2548). การสบื พันธุข์ องพืชดอก. [ออนไลน์]. แหลง่ ท่ีมา : https://sites.google.com/site/suxsngserimkarreiynru/khorngsrang-khxng-dxk เป็น[ด25อตกลุ าทคม่มี 2แี56ต0]เ่ กสรเพศเมยี ประดิษฐ์ เหล่าเนตร์ และณฐั ภสั สร เหล่าเนตร์ (ม.ป.ป.). หนงั สอื เรียน รายวชิ า เพ่ิมเติม วทิ ยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา เล่ม 3 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4-6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สตู ร แกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. ม.ป.ป. กรุงเทพฯ : บริษัท โกลด์ เพาเวอร์ พรน้ิ ต้ิง จากดั . มิตราภรณ์ วัชโรทยั . (2553). พฤกษศาสตร์สาหรบั เยาวชน. [ออนไลน์]. แหลง่ ที่มา : http://www.dnp.go.th/botany/BFC/flwer.html. [28 ตุลาคม 2560] ฤทธิ์ วัฒนชยั ยิ่งเจรญิ และเกศทพิ ย์ อศิ รางกูร ณ อยุธยา, บรรณาธิการ. (ม.ป.ป.) หนงั สอื เสริมสรา้ ง ศกั ยภาพและทักษะ รายวชิ าเพิ่มเตมิ ชวี วิทยา เลม่ 3 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขึ้นพ้นื ฐาน พ.ศ. 2561.พิมพ์คร้งั ท่ี 1. กรงุ เทพ ฯ : บรษิ ทั ไทยรม่ เกล้า จากัด. วุทธิศกั ด์ิ โภชนุกลู . (ม.ป.ป.). ดอกไม้. [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา : http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index [25 ตุลาคม 2560] สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). คู่มอื ครู รายวชิ า เพ่มิ เตมิ ชีววิทยา เล่ม 1 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 -6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ตาม หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551. (พิมพค์ รัง้ ที่ 1). กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.

32 19 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หนังสือเรยี น รายวชิ าเพิ่มเตมิ ชีววิทยา เลม่ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 -6 กลุ่มสาระการ เรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. (พมิ พ์ครัง้ ที่ 2). กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพรา้ ว. สพุ ัตรา มหายศ. (2553). ส่วนประกอบของดอกไม้ [ออนไลน์] . แหลง่ ทม่ี า : http://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/mcp/main_php/print informed.php?id_count_inform=16538. [25 ตุลาคม 2560]. สมเกยี รติ ภูร่ ะหงษ์ และวราภรณ์ ทว้ มด,ี บรรณาธิการ. (ม.ป.ป.). หนงั สือเรียน รายวิชา เพมิ่ เติม ชีววิทยา เลม่ 3 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4-6 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาข้นึ พื้นฐาน พ.ศ. 2551. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ : บริษัท ไทยรม่ เกลา้ จากัด. อกั ษร ศรีเปล่ง และคณะ. (2547). ชีววทิ ยา 2 (ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ อาณาจกั รมอเนอรา แบคทเี รยี พันธูศาสตรข์ องแบคทเี รีย อาณาจักรโพรทิสตา อาณาจักรฟังใจ ยสี ต์ เปน็ อดาณอากจักทรพี่มืชีแสาตหรเ่ ่ากยสไบรรเโอพไฟศต์เเมทรียคโี อไฟต์ ลาตน้ และโครงสรา้ งของลาตน้ ราก ใบ ดอก ช่อดอก ผล เมลด็ ). ม.ป.ป. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ดา่ นสุทธาการพมิ พ์ จากดั . อัญชลี ใจด.ี (2554). คมู่ ือประกอบส่ือการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ ระดับมธั ยมศึกษาตอน ปลาย วิชา ชีววิทยา เร่ือง โครงสรา้ งของดอก. [ออนไลน์]. แหล่งทีม่ า : http://www.phukhieo.ac.th/obec- media/2554/manual/pdf. [10 ตุลาคม 2560].

33 20 เปน็ ดอกท่ีมแี ตเ่ กสรเพศเมยี

34 21 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น ข้อ คาตอบ ข้อ คาตอบ 1ค 1ก 2ข 2ค 3จ เป็นดอก3 ทีม่ แี ตเ่ กสง รเพศเมยี 4ง 5ค 4ก 6ก 5ก 7ข 6จ 8ข 7ข 9จ 8ง 10 ง 9ค 10 จ

35 9 คคะะแแนนนนทท่ไี ดี่ได้ ้ 1100คคะะแแนนนน คคะะแแนนนนเตเต็ม็ม คาชี้แจง : จงตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้ถกู ตอ้ ง 1. จากเพลง อทุ ยานดอกไม้มีช่อื ดอกไม้ทง้ั หมดกีช่ นดิ อะไรบ้าง แนวคาตอบ มีดอกไม้ท้งั หมด มีดอกไม้ทง้ั หมด 49 ชนิด ไดแ้ ก่ 1. ผกากรอง 2. จาปา 3. จาปี 4. กุหลาบ 5. ราตรี 6. พะยอม 7. องั กาบ 8. กรรณิการ์ 9. ลาดวน 10. นมแมว 11. ซ่อนกลน่ิ 12. ยี่โถ 13. ชงโค 14. มณฑา 15. สายหยดุ 16. เฟ่ืองฟ้า 17. ชบา 18. สรอ้ ยทอง 19. บานบุรี 20. เป็นดอกทมี่ ีแตเ่ กสรเพศเมียย่สี ุน่ 21. ขจร 22. ประดู่ 23. พดุ ซ้อน 24. พลบั พลงึ 25. หงอนไก่ 26. พกิ ลุ 27. ทานตะวนั 28. รกั เร่ 29. กาหลง 30. ประยงค์ 31. พวงทอง 32. บานช่นื 33. พุทธชาด 34. พวงชมพู 35. กระดงั งา 36. รสสุคนธ์ 37. บญุ นาค 38. นางแย้ม 39. สารภี 40. อบุ ล 41. จนั ทร์กะพ้อ 42. ผเี สอ้ื 43. เล็บมือนาง 44. พุดตาน 45. กลว้ ยไม้ 46. ดาวเรอื ง 47. อญั ชนั 48. ยีห่ บุ 49. มะลวิ ัลย์ 2. ดอกไมแ้ ตล่ ะชนิดมโี ครงสรา้ งและสว่ นประกอบเหมือนกันหรอื ไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ ดอกไมแ้ ต่ละชนิดมลี กั ษณะท่ีแตกตา่ งกัน เชน่ ขนาด สี กล่ิน รปู ร่างของดอก เปน็ ต้น ซึ่งความแตกตา่ งเหล่าน้ีก่อให้เกดิ ความหลากหลายของดอกไม้

36 9 คคะแะแนนนททีไ่ ดี่ได้ ้ 1100คคะแะแนนน คคะแะแนนนเตเตม็ ็ม คาช้ีแจง : ใหน้ ักเรียนนาส่วนประกอบของเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี ของดอกไม้ท่ีนักเรียน สนใจมาคนล่ะ 1 ชนิด ติดลงในกระดาษพร้อมชี้สว่ นประกอบต่างๆใหถ้ ูกตอ้ ง ช่ือดอกไม้........ดอกชบา.................................. เปน็ ดอกท่มี ีแตเ่ กสรเพศเมยี เกสรเพศผู้ (stamen) ประกอบดว้ ย เกสรเพศเมยี (pistil) ประกอบด้วย 1. ก้านชูเกสรเพศผู้ (filament) 1. ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) ) 2. อบั เรณู (anther) 2. ก้านชูเกสรเพศเมีย (style) 3. รงั ไข่ (Ovary) 4. ออวลุ (Ovule)

37 คคะะแแนนนนททไ่ี ีไ่ ดด้ ้ 1100 คคะะแแนนนน คคะะแแนนนนเเตต็ม็ม จุดประสงคข์ องการศกึ ษา เพื่อศึกษาโครงสรา้ งของดอก ประเภทของดอก จานวนเกสรเพศผแู้ ละเพศเมียและ ตาแหนง่ ของรังไขแ่ ต่ละดอกของพืชได้ วเ1สั ป.ดดุอน็อปุ กกดไมรอณช้ น์แกิดลตทะ่าสงม่ีาๆรเเีแชค่นมตีก่เลก้วยสไมร้ พเุทพธรศกั ษเามชียบา ดาวเรอื ง 2. ชดุ เครอ่ื งมอื ผา่ ตดั 3. แว่นขยาย วธิ กี ารศึกษา 1. สังเกตดอกไมท้ น่ี ามาศกึ ษา ในประเดน็ ตา่ งๆดงั น้ี - ประเภทของดอก - สว่ นประกอบท่เี ป็นโครงสร้างหลัก - จานวนเกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมีย - ลักษณะของรังไข่

38 ตารางบนั ทกึ ผลการศกึ ษา ประเภทของ สว่ นประกอบทเี่ ปน็ โครงสร้างหลัก จานวนเกสร ดอก ชนิดของ กลีบ กลบี เกสร เกสร เพศผู้ เพศเมยี จานวนรัง ดอก ดอก ดอก เลี้ยง ดอก เพศผู้ เพศ ไขใ่ นแต่ เด่ียว ชอ่ เมีย 11 ละดอก 11 บเกลปานว้ ยเ็นยไน็มด้ อก--ท่ีมีแต่เกสรเพศ- เมีย  11 1  51 1 42 1 พทุ ธรักษา -      51 1 41 1 ชบา  -     1 ฟักทอง  -   (แยก (แยก 1 ดอก) ดอก) ทานตะวนั -      ปีบ -      …จากการทากจิ กรรมสรุปได้วา่ ดอกไม้แตล่ ะชนดิ ที่ศกึ ษามีลกั ษณะโครงสรา้ งของดอกทแี่ ตกตา่ งกนั โดยดอกไมท้ เ่ี ปน็ ดอกเด่ียวไดแ้ ก่ ดอกชบาและดอกฟักทอง ดอกช่อ ไดแ้ ก่ ดอกกล้วยไม้ ดอก บานเย็น ดอกพุทธรกั ษา ดอกทานตะวนั และดอกปบี ดอกไม้ที่มสี ่วนประกอบท่ีเปน็ โครงสร้างหลัก ครบ ไดแ้ ก่ ดอกกล้วยไม้ ดอกพุทธรักษา ดอกชบา ดอกทานตะวนั ดอกปีบ

39 1. ดอกชนิดใดเป็นดอกสมบรู ณ์และดอกชนดิ ใดเปน็ ดอกไม่สมบรู ณ์ แนวคาตอบ ดอกสมบรู ณ์ ไดแ้ ก่ ดอกกล้วยไม้ ดอกกล้วยไม้ ดอกบานเยน็ ดอกพุทธรกั ษา ดอก ชบา ดอกฟักทอง ดอกทานตะวนั ดอกปบี ดอกไม่สมบรู ณ์ ไดแ้ ก่ ดอกบานเยน็ ดอกฟักทอง 2. ดอกแต่ละชนิดมีโครงสร้างของดอกแตกตา่ งกนั อยา่ งไร แนวคาตอบ ดอกแต่ละชนดิ มโี ครงสร้างทแ่ี ตกต่างกนั คอื ดอกที่มีทัง้ กลบี เลยี้ งและกลีบดอกอยู่ ในดอกเดยี วกนั ได้แก่ กล้วยไม้ หางนกยูง กระดังงา ทานตะวนั พทุ ธรักษา 3. ดอกชนดิ ใดมที ัง้ เกสรเพศผ้แู ละเกสรเพศเมีย แนวคาตอบ กลว้ ยไม้ บานเยน็ พทุ ธรักษา ชบา ทานตะวัน ปีบ 4.เแดปนอวกน็ คชนาดติดออใดบมกฟีเฉทักพทา่มี อะงเีแกสตรเ่เพกศผสหู้ รรอื เเพพศศเมยีเอมยีย่างใดอย่างหน่ึง 5. ดอกชนิดใดเปน็ ดอกเดี่ยวและดอกชนิดใดเป็นดอกช่อ แนวคาตอบ ดอกเด่ยี ว ได้แก่ ชบา ฟกั ทอง ดอกชอ่ ได้แก่ กลว้ ยไม้ บานเย็น พทุ ธรกั ษา ชบา ฟักทอง ทานตะวัน ปบี 6. ดอกแตล่ ะชนดิ ใน 1 ดอก มจี านวนรงั ไข่เทา่ กันหรือไม่ อย่างไร แนวคาตอบ ชนดิ ท่ี 1 ดอกมจี านวนรังไข่ 1 รงั ไข่ เทา่ กนั ได้แก่ กล้วยไม้ บานเยน็ พทุ ธรกั ษา ชบา ฟกั ทอง ทานตะวัน ปีบ ชนดิ ท่ี 2 ดอกมีหลายรังไข่ ไดแ้ ก่ 7. ถ้าบนก้านดอกมีดอกอยูห่ ลายดอก การแตกแขนงออกจากกา้ นชอ่ ดอกมีลกั ษณะเหมือนหรอื ตา่ งกนั อยา่ งไร แนวคาตอบ มที ง้ั ทม่ี กี ารแตกแขนงออกจากก้านชอ่ ดอกท่เี หมือนกัน เช่น กล้วยไม้ หางนกยูง ท่ี ดอกยอ่ ยเกดิ ข้นึ บนแกนชอ่ ดอก (rachis) โดยมกี า้ นดอกยอ่ ยของแตล่ ะดอกยาวใกลเ้ คียงกัน

40 จดุ ประสงคข์ องการศึกษา คคะะแแนนนนททีไ่ ี่ไดด้ ้ 1100 คคะะแแนนนน เพ่อื ศกึ ษาตาแหน่ง คคะะแแนนนนเเตตม็ ็ม ของรังไขแ่ ต่ละดอกของพชื ได้ วสั ดุอปุ กรณแ์ ละสารเคมี 1. ดอกไมช้ นิดต่างๆ 2. ชดุ เครอ่ื งมือผา่ ตัด 3. แว่นขยาย วิธีการศึกษา 1. นาดอกไม้ชนดิ ตา่ งๆมาผา่ ตามยาวใหผ้ ่านรงั ไข่ เพอื่ ศกึ ษาตาแหนง่ ของรงั ไข่ และจานวนท่ี ออเวปลุ ตน็ ิดดอยอใู่ นกรังทไข่ม่ี ีแตเ่ กสรเพศเมีย ตารางบันทึกผลการศึกษา ชนิดของดอก ตาแหน่งของรงั ไข่ จานวนออวุลต่อรงั ไข่ กล้วยไม้ เหนอื วงกลีบ ใต้วงกลบี มาก เขม็ 1  มาก พุทธรักษา มาก ชบา  มาก ฝรง่ั มาก  มาก ทานตะวนั ปีบ    

41 …จากการทากจิ กรรมสรุปได้ว่า ดอกทมี่ ีรงั ไข่อยู่เหนอื วงกลีบ ไดแ้ ก่ ดอกชบาและดอกปบี ดอกทีม่ ี รังไข่ใตว้ งกลบี ได้แก่ ดอกกล้วยไม้ ดอกพทุ ธรักษา ดอกฝรงั่ ดอกทานตะวนั ดอกปบี ดอกทีม่ จี านวน ออวลุ ต่อรังไขจ่ านวนมาก ไดแ้ ก่ ดอกกล้วยไม้ ดอกพทุ ธรกั ษา ดอกชบา ดอกฝรงั่ ดอกทานตะวัน และดอกปีบ และดอกที่มีรังไข่จานวนออวุล 1 ออวลุ ต่อรงั ไข่ ไดแ้ ก่ ดอกเข็ม 1. ดอกชนิดใดมีรงั ไข่เหนอื วงกลีบ และชนิดใดมรี งั ไขใ่ ต้วงกลบี แนวคาตอบ ดอกที่มีรังไขเ่ หนือวงกลีบ ได้แก่ เข็ม ชบา ดอกทม่ี ีรังไข่ใตว้ งกลีบ ไดแ้ ก่ กลว้ ยไม้ พทุ ธรกั ษา ฝรงั่ ทานตะวนั ปีบ 2. ดอกชนิดใดท่ใี นรงั ไข่มีเพยี งออวุลเดียว และดอกชนิดใดท่ีในรังไขม่ ีออวุลจานวนมาก แนวคาตอบ ดอกทม่ี ีเพยี งออวุลเดียว ไดแ้ ก่ เขม็ มะลิ เปด็นอกดทใ่ี อนรกงั ไขท่มี่มีออีแวลุ ตจาเ่นกวนสมรากเพได้แศก่เทมานยี ตะวนั พุทธรกั ษา กลว้ ย 3. จากดอกไม้ท่ีนามาศกึ ษาในกจิ กรรมที่ 1.4 จงระบุว่า ดอกชนิดใดเปน็ ดอกสมบรู ณห์ รอื ดอกไม่ สมบรู ณ์ และดอกชนดิ ใดเป็นดอกสมบูรณ์เพศหรอื ดอกไมส่ มบรู ณ์เพศ แนวคาตอบ จากกิจกรรมที่ 1,4 ตัวอย่างของดอกในแตล่ ะกล่มุ ทีศ่ กึ ษาสรุปได้ดังตาราง ชนิดดอก ดอก ดอกไม่ ดอกสมบรู ณ์ ดอกไม่สมบรู ณ์ สมบูรณ์ สมบูรณ์ เพศ เพศ กล้วยไม้ เข็ม     พุทธรกั ษา   ชบา   ฝร่ัง     ทานตะวัน   ปีบ

42 9 คาชแ้ี จง ระบุส่วนประกอบของดอกไม้ คคะะแแนนนนทท่ีไดไ่ี ด้ ้ 1100คคะะแแนนนน โดยนาคาท่กี าหนดใหไ้ ปใสใ่ นชอ่ งว่างให้ คคะะแแนนนนเตเตม็ ็ม ถูกต้อง เกสรเพศผู้ (stamen) อบั เรณู (anther) ก้านชเู กสรเพศผู้ (filament) กลีบดอก (petal) กลบี เลย้ี ง (sepal) เกสรเพศเมีย (pistill) ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) ออวลุ (ovule) รงั ไข่ (ovary) ก้านชเู กสรเพศเมยี (style) 2 54 6 เปน็ ดอกท่มี แี ตเ่ ก1 ส3ร3เพศเมีย 7 9 10 8 หมายเลข 1 คอื เกสรเพศผู้ (stamen) หมายเลข 6 คือ กา้ นชูเกสรเพศเมยี (style) หมายเลข 2 คือ อับเรณู (anther) หมายเลข 7 คือ รังไข่ (ovary) หมายเลข 3 คอื กา้ นชูเกสรเพศผู้ (filament) หมายเลข 8 คือ ออวลุ (ovule) หมายเลข 4 คือ เกสรเพศเมีย (pistill) หมายเลข 9 คอื กลบี ดอก (petal) หมายเลข 5 คือ ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) หมายเลข 10 คือ กลบี เลี้ยง (sepal)

43 9 คะคแะนแนทนีไ่ทดี่ไ้ด้ 1010คะคแะนแนน คะคแะนแนเนตเ็มตม็ คาช้ีแจง : จงจาแนกดอกไมท้ ่กี าหนดให้เติมในตารางให้ถูกตอ้ ง เป็นดอกท่ีมแี ตเ่ กส รเเมยี ดอกเดยี่ ว ดอกชอ่ ดอกชบา ดอกชงิ ชัน ดอกบานบุรี ดอกอนิ ทนลิ น้า ดอกบวั หลวง ดอกศรีตรงั ดอกรองเท้านารีเหลอื งเลย ดอกชา้ งนา้ ว ดอกกาหลง ดอกทองกวาว

44 คคะะแแนนนนทท่ีไี่ไดด้ ้ 1100คคะะแแนนนน คคะะแแนนนนเตเต็ม็ม คาชแ้ี จง : จงจาแนกดอกไม้ทก่ี าหนดใหเ้ ติมในตารางใหถ้ ูกต้อง ดอกชบา ดอกทับทมิ ดอกบัว ดอกฝร่ัง ดอกฟกั ทอง ดอกชมพู่ รงั ไขเ่ หนือรองดอก รังไขใ่ ตฐ้ านรองดอก ดอกชบา ดอกพุทธรกั ษา ดอกบัว ดอกฝรงั่ ดอกทับทิม ดอกราชพฤกษ์ ดอกฟักทอง ดอกชมพู่

45 24 ชือ่ -นามสกุล....................................................................................เลขท.ี่ ................ช้ัน........... โรงเรียน…………………………………………………............... แบบทดสอบ คะแนนเตม็ คะแนนทไ่ี ด้ หมายเหตุ กอ่ นเรยี น 10 หมายเหตุ หลังเรยี น 10 เป็นผดลอกากรพทัฒนีม่ าแี ตเ่ กสรเพ- ศเมีย กิจกรรม คะแนนเต็ม คะแนนที่ได้ ใบกจิ กรรมท่ี 1.1 3 ใบกิจกรรมที่ 1.2 5 ใบกจิ กรรมที่ 1.3 7 ใบกจิ กรรมท่ี 1.4 5 แบบฝกึ หัดที่ 1.1 5 แบบฝกึ หัดที่ 1.2 5 แบบฝกึ หดั ที่ 1.3 5 รวม 35

ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชดุ ที่ โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) รายวิชา ชีววิทยา 3 ว32243 ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 หน่วยการเรยี นรู้ การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจรญิ เตบิ โต เรื่อง โครงสร้างของดอก นางสาวเพชราพรรณ สืบสันต์ ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นเทพอุดมวทิ ยา ตาบลดม อาเภอสังขะ จงั หวดั สุรนิ ทร์ สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 33 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook