ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชดุ ที่ โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7 ขน้ั (7E) รายวชิ า ชวี วิทยา 3 ว32243 ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 หนว่ ยการเรยี นรู้ การสบื พนั ธ์ขุ องพืชดอกและการเจริญเติบโต เรอื่ ง การถ่ายละอองเรณแู ละการปฏิสนธิ ของพชื ดอก นางสาวเพชราพรรณ สืบสนั ต์ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนเทพอุดมวิทยา ตาบลดม อาเภอสงั ขะ จังหวัดสรุ ินทร์ สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 33 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ก การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นภารกิจที่สาคัญยิ่งในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กระบวนการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความสามารถทางวิทยาศาสตร์นั้น ครูผู้สอนจะต้อง พัฒนากระบวนการเรยี นร้อู ย่างเป็นระบบให้กับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพการ เรยี นรู้ของตนเองใหไ้ ดม้ ากท่สี ุดเทา่ ทจี่ ะมากได้ และการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของผู้เรยี นเป็นการจัดกระบวนการเรียนร้ทู เี่ น้นผ้เู รียนเป็นสาคญั ครผู สู้ อนสามารถออกแบบการ จัดการเรียนรู้ในลักษณะต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย เพ่ืออานวยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชญิ สถานการณ์และการประยุกต์ความร้มู าใช้ให้เกิดประโยชน์ สูงสดุ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เร่ือง การสืบพันธ์ุของพืชดอก และการเจรญิ เติบโต สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ สาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ซ่ึงเป็นชุดกิจกรรมท่ีเน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งเสริมทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ทักษะการสืบค้นข้อมูล กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ โดยครูเป็นผู้ให้คาปรึกษา แนะนาและคอยอานวยความสะดวก ตลอดจนตดิ ตามผลการศึกษาอยา่ งใกลช้ ดิ ผ้จู ัดทาขอขอบพระคณุ ท่านผอู้ านวยการโรงเรียนเทพอุดมวิทยา ตลอดจนคณะครูทุก ทา่ นทไี่ ด้ใหค้ าปรกึ ษาในการจดั ทาชุดกิจกรรมการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรส์ าเรจ็ ลุล่วงด้วยดี และหวัง เปน็ อย่างยิ่งว่าชดุ กจิ กรรมการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตรช์ ุดนี้ จะสง่ ผลให้นักเรียนมีทักษะกระบวนการ คิด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการพัฒนาจิตวิทยาศาสตร์และสามารถนาไป ประยกุ ต์ใช้อยา่ งมีเหตผุ ล มคี ุณธรรม และดาเนินชีวติ อยู่ในสังคมอยา่ งมีความสุข เพชราพรรณ สบื สันต์
ข เร่ือง หนา้ 1. คานา ก 2. สารบญั ข 3. คาชแี้ จงในการใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ 1 4. คาแนะนาในการใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับครู 2 5. คาแนะนาในการใชช้ ุดกจิ กรรมการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี น 3 6. ขน้ั ตอนในการใชช้ ุดกิจกรรม 4 7. ผลการเรียนรู้ / สาระสาคญั / จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 5 8. แบบทดสอบก่อนเรียน ชุดที่ 3 เร่ือง การถ่ายละอองเรณูและ การปฏสิ นธขิ องพชื ดอก 6 9. กระดาษคาตอบ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ชุดท่ี 3 เร่ือง การถา่ ยละอองเรณู และการปฏิสนธิของพืชดอก 8 10. ใบความร้ทู ่ี 3.1 เรอ่ื ง การถา่ ยละอองเรณู 9 11. ใบความรู้ท่ี 3.2 เรือ่ ง การปฏิสนธขิ องพชื ดอก 13 12. ใบกิจกรรมท่ี 3.1 เรือ่ ง รูปรา่ งลกั ษณะของเรณู 15 13. ใบกิจกรรมที่ 3.2 เร่ือง การงอกของหลอดเรณู 17 14. แบบฝกึ หดั ที่ 3.1 เรื่อง การถ่ายละอองเรณู 19 15. แบบฝกึ หัดท่ี 3.2 เร่ือง การปฏิสนธิของพืชดอก 20 16. แบบทดสอบหลังเรยี น ชดุ ท่ี 3 เรือ่ ง การถา่ ยละอองเรณูและการปฏสิ นธิ ของพชื ดอก 21 17. กระดาษคาตอบแบบทดสอบหลงั เรยี น ชุดท่ี 3 เรอ่ื ง การถา่ ยละอองเรณู และการปฏสิ นธิของพชื ดอก 23 18. บรรณานุกรม 24 19. ภาคผนวก 26
1 ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ รายวิชาชวี วิทยา 3 รหัสวิชา ว32243 เรอื่ ง การสืบพันธุ์ของพชื ดอกและการเจรญิ เตบิ โต ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ รายวชิ าชวี วิทยา 3 รหสั วชิ า ว32243 เรอื่ ง การสบื พันธุข์ องพชื ดอก และการเจรญิ เตบิ โต ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย ชดุ กจิ กรรมท้ังหมด 8 ชุด ใช้เวลาในการเรยี นรูท้ ง้ั หมด 18 ชั่วโมง ดังน้ี ชดุ ที่ 1 โครงสร้างของดอก 3 ชั่วโมง ชุดที่ 2 การสร้างเซลล์สบื พนั ธุ์ของพชื ดอก 2 ชว่ั โมง ชดุ ท่ี 3 การถ่ายละอองเรณูและการปฏสิ นธิของพืชดอก 2 ชั่วโมง ชุดท่ี 4 การเกดิ ผลและโครงสร้างของผล 3 ชว่ั โมง ชุดท่ี 5 การเกิดเมล็ดและโครงสรา้ งของเมล็ด 3 ชั่วโมง ชุดที่ 6 การงอกของเมลด็ และระยะพักตัวของเมลด็ 2 ชั่วโมง ชดุ ที่ 7 การสบื พันธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศ 1 ชวั่ โมง ชุดที่ 8 การวดั การเจรญิ เติบโตของพชื 2 ชั่วโมง ชุดกิจกรรมทง้ั 8 ชดุ เปน็ ชดุ กจิ กรรมทีเ่ นน้ ใหผ้ ้เู รียนได้ลงมือปฏิบตั ิจริง มีสว่ นรว่ มใน กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยจัดใหม้ ีความยาก ง่าย เหมาะสมกบั วัยและความสามารถของผู้เรียน เหมาะสมกับผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ ให้ผ้เู รยี นสามารถนาความร้ทู ่ไี ดไ้ ปปรับใช้ใน ชีวิตประจาวัน
2 คาแนะนาการใชช้ ุดกจิ กรรมสาหรบั ครู ชดุ ที่ 2 โครงสรา้ งของดอก บทบาทครู 1. ครูควรศกึ ษาข้นั ตอนในการจัดกิจกรรมโดยละเอยี ด และเตรยี มสอื่ การเรียนรู้ทใี่ ช้ ประกอบการจัดการเรียนรู้ 2. การจดั กระบวนการเรียนรู้ จะต้องจดั กิจกรรมใหค้ รบตามทีร่ ะบไุ ว้ในแผนการจัดการ เรียนรู้ เพื่อให้กิจกรรมบรรลุวัตถุประสงค์ 3. กอ่ นการจัดกิจกรรมครูตอ้ งอธิบาย ช้แี จงวธิ ปี ฏิบัติกิกรรมให้ชดั เจน เพื่อให้นักเรยี น เข้าใจตรงกนั 4. ครูเน้นใหท้ กุ คนมสี ว่ นรว่ มในการปฏิบตั ิกิจกรรม เพื่อใหน้ ักเรยี นร้จู ักการทางาน รว่ มกัน รบั ผิดชอบหน้าทแี่ ละกลา้ แสดงออก 5. ขณะดาเนนิ กจิ กรรมครตู อ้ งสังเกตกระบวนการทางานของกลมุ่ นักเรยี น เพอ่ื บนั ทกึ ผลการประเมินนักเรียน 6. หลงั จากจดั กิจกรรมการเรยี นรเู้ สรจ็ สน้ิ ในแตล่ ะชดุ กิจกรรม ครเู ปน็ ผ้ปู ระเมนิ ผลการ เรยี นของนกั เรยี น โดยใหน้ ักเรยี นทาใบกิจกรรม และทาแบบทดสอบหลังเรยี นแต่ละชุด สง่ิ ท่คี รตู ้องเตรยี ม 1. แผนการจัดการเรียนรู้ 2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3. แบบบนั ทกึ ผลการประเมินนกั เรยี น 4. ใบกิจกรรม 5. กระดาษคาตอบ การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบกจิ กรรม 2. ประเมนิ พฤติกรรมการทางาน 3. ประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 4. ประเมินผลการทาแบบทดสอบ
3 ชดุ ท่ี 2 โครงสรา้ งของดอก ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ชวี วิทยาทีน่ ักเรยี นจะได้ศึกษาต่อไปนี้ เปน็ กิจกรรมการเรียนรู้ เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้นักเรยี นได้สืบเสาะหาความรู้และสามารถสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง โดยเนน้ การ ใชค้ าถามและทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใหน้ ักเรียนไดค้ ิดและลงมอื ปฏบิ ัตติ ามขั้นตอนท่ี กาหนดไว้ในชดุ กิจกรรมการเรียนรตู้ ามลาดบั ดังนี้ 1. นักเรยี นศกึ ษาจุดประสงค์การเรยี นรแู้ ละขอบข่ายเนื้อหาสาระของชดุ กจิ กรรมการ เรยี นรู้ 2. การเรยี นด้วยชดุ กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จะตอ้ งปฏิบัติตามข้นั ตอนท่ี กาหนดให้อยา่ งเคร่งครัดและมีความซอ่ื สัตย์ต่อตนเอง 3. นกั เรยี นศกึ ษาวิธีการใชช้ ุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ถ้านกั เรียนคนใดสงสัยหรือมีคาถาม ไมเ่ ข้าใจ สามารถขอคาแนะนาจากครูผู้สอนไดต้ ลอดเวลา 4. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น จานวน 10 ข้อ 5. นักเรียนศึกษาเนื้อหาและลงมอื ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยสามารถตรวจคาตอบได้จาก เฉลยในภาคผนวกของกจิ กรรมและต้องมคี วามซื่อสตั ยใ์ นการทากิจกรรม 6. เมื่อศึกษาครบทุกกจิ กรรมนกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น จานวน 10 ขอ้ 7. เวลาทใี่ ชใ้ นการศึกษาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ชุดที่ 3 จานวน 2 ชวั่ โมง
4 ไปศลกึ ษยุ ากจดุ นั ปเรละสยงคก์เยาร้ เรียนรู้ของชุดกิจกรรม ตรวจคาตอบ แบบทดสอบ ทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น กอ่ นเรียน ศกึ ษาเนอ้ื หาจากใบความรู้ ไม่ผา่ น ทากิจกรรมในใบกิจกรรม/แบบฝกึ หดั ตรวจคาตอบ/หาแนวคาตอบ คะแนนตา่ กว่า รอ้ ยละ 80 ทาแบบทดสอบหลงั เรียน คะแนนตา่ กวา่ ตรวจคาตอบแบบทดสอบหลงั เรียน ร้อยละ 80 ศึกษาชุดกิจกรรมต่อไป
5 ผลการเรยี นรู้ สบื ค้นข้อมลู ทดลอง อธบิ าย อภปิ ราย และสรปุ เกย่ี วกบั โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องดอก การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศของพชื ดอก การขยายพนั ธพุ์ ืช และการวัดอตั ราการ เจริญเตบิ โต สาระสาคญั การถ่ายละอองเรณู หมายถึง ปรากฏการณ์ท่ีละอองเรณูปลิวมาตกบนยอดเกสรเพศเมีย ของดอกชนดิ เดยี วกันหรอื ข้ามต้นการถา่ ยละอองเรณูเกดิ ข้นึ เมอ่ื ละอองเรณูเจรญิ เตม็ ท่ี อับเรณูจะ แตกออกทาใหล้ ะอองเรณูกระจายออกไป โดยอาศยั ลม น้า โดยเฉพาะแมลง การปฏิสนธิของพืช ดอกเปน็ การปฏิสนธคิ ู่ โดยค่หู น่งึ เปน็ การรวมกันของสเปิร์มเซลลห์ นึ่งกับเซลล์ไข่ได้เป็นไซโกต ซ่ึง จะเจริญและพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ และอีกคู่หน่ึงเป็นการรวมกันของสเปิร์มอีกเซลล์หนึ่งกับ โพลาร์นิวคลีไอ ได้เป็นเอนโดเสปิร์มนิวเคลียส ซง่ึ จะเจริญและพัฒนาตอ่ ไปเป็นเอนโดสเปิรม์ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ดา้ นความรู้ (K) 1. นกั เรียนสามารถนยิ ามความหมายของการถา่ ยละอองเรณไู ด้ 2. นกั เรียนสามารถอธบิ ายการปฏสิ นธขิ องพืชดอกไดถ้ กู ต้อง 3. นักเรียนสามารถศกึ ษา ทดลอง และเปรยี บเทียบรปู ร่างของเรณูและจานวนเรณูในดอก ชนดิ ตา่ งๆและบนั ทกึ ผลโดยการวาดภาพได้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) 1. นักเรียนไดพ้ ฒั นาทักษะการทดลอง 2. นักเรียนได้พฒั นาทักษะกระบวนการกลุ่ม 3. นกั เรียนไดพ้ ัฒนาทักษะการใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) 1. ซ่ือสัตยส์ ุจริต 2. มรี ะเบียบวินัย 3. ใฝ่เรยี นรู้ 4. มุ่งมน่ั ในการทางาน 5. มจี ติ สาธารณะ
6 คาช้แี จง 1. แบบทดสอบเปน็ แบบเลอื กตอบ 5 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ 10 คะแนน ใช้เวลา 10 นาที 2. ใหเ้ ลือกคาตอบทถี่ ูกตอ้ งเพยี งข้อเดียว แลว้ ทาเครื่องหมายกากบาท (X) ลงใน กระดาษคาตอบ 1. ภายในถุงเอ็มบรโิ อ (Embryo sac) ของพืชดอกประกอบดว้ ยจานวนเซลลแ์ ละนิวเคลียสเรยี ง ตามลาดับ ดังน้ี ก. 1 เซลล์ 8 นิวเคลียส ข. 8 เซลล์ 8 นิวเคลียส ค. 8 เซลล์ 6 นิวเคลียส ง. 8 เซลล์ 7 นวิ เคลียส จ. 7 เซลล์ 8 นวิ เคลยี ส 2. ข้อใดตอ่ ไปนเี้ ปรยี บเทยี บปัจจัยท่เี ก่ยี วข้องระหว่างการถ่ายละอองเรณูโดยลม และการถ่าย ละอองเรณูโดยอาศยั แมลงไมถ่ กู ต้อง การถา่ ยละอองเรณโู ดยอาศยั ลม การถ่ายละอองเรณโู ดยอาศัยแมลง ก กลีบเลย้ี งและกลีบดอกลดขนาดหรือ กลีบเล้ยี งและกลบี ดอกมีสีสนั สวยงาม หายไป และเดน่ ชดั ข ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งมนี า้ หวานและกลิน่ ของดอก มกั มีนา้ หวานและดอกมีกลิน่ หอม ค จาเป็นตอ้ งมีน้าหวานและกลิ่นของดอก ยอดเกสรเพศเมยี ตวั เล็กและเหนยี วเกี่ยว ติดงา่ ย ง ละอองเรณมู ผี วิ นอกขรุขระและเหนียว ละอองเรณมู ผี ิวนอกเรยี บและแห้ง เก่ยี วติดง่าย ยอดเกสรเพศเมียเล็กและเหนยี วเกี่ยวติด จ ยอดเกสรเพศเมียขนาดใหญแ่ ละเบา งา่ ย เหมอื นขนนก
73 3. การผสมภายในตน้ เดยี วกนั มีประสิทธิภาพสงู กวา่ การผสมข้ามตน้ ในขอ้ ใด ก. ลูกผสมมีโอกาสในการปรับตวั ได้ดีกวา่ ข. มีลกู ทแี่ ขง็ แรงและทนทานกว่า ค. มีโอกาสในการปฏิสนธสิ ูงกวา่ ง. ลูกทเ่ี กดิ มโี อกาสสืบพนั ธต์ุ อ่ ไปได้ดกี วา่ จ. ลกู ท่เี กดิ มีโอกาสในการกระจายพันธ์ุไดด้ กี ว่า 4. การถา่ ยละอองเรณูเกดิ ข้ึนเม่อื ละอองเรณูถูกถา่ ยทอดไปยังข้อใด ก. ออวุล ข. รังไข่ ค. ยอดเกสรตวั เมยี ง. ก้านชูเกสรตวั เมีย จ. ยอดเกสรเพศผู้ 5. การปฏสิ นธิ หมายถึงอะไร ก. การท่ีละอองเรณปู ลวิ ตกบนเกสรเพศเมีย ข. การทอ่ี บั ละอองเรณูแตก แลว้ ละอองเรณปู ลิวอกไป ค. การทีล่ ะอองเรณงู อกหลอดละอองเรณเู ข้าไปในออวลุ ง. การทผ่ี ง้ึ ดูดนา้ หวานเพ่อื นาละอองเรณไู ปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย จ. การที่เซลลส์ บื พันธเุ์ พศผู้ เขา้ ไปผสมกับเซลลส์ บื พนั ธ์ุเพศเมีย 6.การงอกของหลอดละอองเรณูเขา้ ไปยังออวุลในรงั ไข่ของพชื ดอกเปน็ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าใน ข้อใด ก. ไข่ ข. สารเคมีบางอย่าง ค. plug ในหลอดละอองเรณู ง. ความชื้นและแรงโนม้ ถว่ งของโลก จ. แสงแดด 7. โครงสรา้ งในข้อใดตอ่ ไปนไ้ี ม่ไดพ้ ัฒนามาจากไซโกต ก. ใบเลี้ยง ข. รากออ่ น ค. เอนโดสเปริ ์ม ง. ยอดออ่ น จ. ไฮโพคอลทลิ 8. สว่ นใดของดอกจะเจริญเปน็ เมล็ด ก. ออวุล ข. รังไข่ ค. ไซโกต ง. ถุงเอม็ บรโิ อ จ. แอนติโพแดล 9. หลังจากเกิดการปฏิสนธแิ ล้วส่วนของเกสรตวั เมยี ทีจ่ ะเจริญไปเป็นเอม็ บรโิ อ เอนโดสเปิรม์ เมลด็ และผล เรียงตามลาดบั คอื ขอ้ ใด ก. ออวลุ รงั ไข่ ไข่ โพลาร์นวิ เคลียส ต้ังใจทาขอ้ สอบให้ ข. โพลาร์นเิ คลียส ออวลุ ถงุ เอ็มบริโอ รังไข่ ได้คะแนนเยอะๆ ค. ไข่ ถุงเอ็มบริโอ รังไข่ ออวุล ง. ไข่ โพลาร์นวิ คลไี อ ออวลุ รังไข่ นะเดก็ ๆ จ. รังไข่ ไข่ ออวลุ โพลาร์นิวเคลยี ส 10. ข้อใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกีย่ วกบั การปฏสิ นธซิ อ้ น ก. การผสมกนั ระหวา่ งสเปิร์มกับไขแ่ ละสเปริ ม์ กบั ซินเนอร์จิด ข. การผสมกันระหว่างสเปิรม์ กบั ไข่และสเปิร์มกับแอนติโพแดล ค. การผสมกนั ระหวา่ งสเปิร์มกบั ไข่และสเปิร์มกับโพลาร์นิวคลไี อ ง. การผสมกนั ระหว่างสเปิรม์ กบั ซนิ เนอรจ์ ิดและสเปริ ม์ กบั โพลาร์นวิ เคลยี ส จ. การผสมกนั ระหว่างสเปิร์มกบั ไข่และเปริ ม์ กบั ถงุ เอม็ บรโิ อ
84 คคะแะแนนนททไ่ี ด่ีได้ ้ คะแนน คคะแะแนนนเตเต็มม็ 1100คคะแะแนนน คาตอบ ขอ้ ก ข ค ง จ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
9 การถา่ ยละอองเรณู 1. การถา่ ยละอองเรณขู องพชื ดอก (Pollination) การถ่ายละอองเรณู หมายถึง ปรากฏการณ์ที่ละอองเรณปู ลวิ มาตกบนยอดเกสรตวั เมยี ของดอกชนดิ เดียวกนั การถ่ายละออกเรณูเกิดขน้ึ เม่อื ละอองเรณเู จริญเตม็ ที่ อบั เรณูจะแตกออกทาใหล้ ะอองเรณู กระจายออกไป โดยอาศัยลม นา้ โดยเฉพาะ แมลง มคี วามสาคัญมากในการถา่ ยละอองเรณขู องพชื ดอก และบนยอดเกสรตวั เมยี โดยจะมนี ้าเหนียวๆ(Stigma) ทมี่ ีนา้ ตาลเป็นส่วนประกอบ ซง่ึ ชว่ ยใน การดักละอองเรณู (ภาพที่ 1) ภาพท่ี 1 โครงสรา้ งของดอก ภาพที่ 1 ละอองเรณชู นิดต่างๆ ท่มี า : https://sites.google.com/site/chiwwithya5/home/phu-cad-tha
10 การถ่ายละอองเรณู มี 2 แบบ คือ 1. การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกนั หรือคนละดอกในตน้ เดยี วกนั (Self pollination) การ ถา่ ยละอองเรณูแบบนจ้ี ะทาให้ร่นุ ลูกมีสมบัติทางกรรมพันธ์เุ หมือนเดมิ ถ้าเป็นพนั ธุ์ดีกจ็ ะถ่ายทอด ลกั ษณะพันธุ์ดีไปเรอ่ื ยๆ การถา่ ยละอองเรณแู บบนอ้ี าจจะเกดิ ขน้ึ ได้ ดังนี้ 1.1 ในดอกเดียวกัน ได้แก่ พวกธัญพืชทง้ั หลายและถัว่ ลนั เตา ยกเวน้ ข้าวโพด ขา้ ว 1.2 คนละดอกแตอ่ ยูใ่ นต้นเดยี วกัน ละอองเรณจู ากอับเรณูของดอกหนึ่งไปยงั ยอดเกสรเพศ เมียของอกี ดอกหนง่ึ ซง่ึ อยภู่ ายในตน้ เดยี วกัน ส่วนใหญ่จะเปน็ พืชท่มี ดี อกสมบูรณเ์ พศ (Perfect flower) หรือดอกแยกเพศแต่อยู่ในตน้ เดียวกัน (Monoecious plant) ได้แก่ พืชพวกแตง และพชื ใบเลย้ี งเดยี่ ว เปน็ ต้น 1.3 คนละดอกแต่ตา่ งตน้ กัน โดยละอองเรณจู ากอับเรณจู ากดอกหน่งึ ภายในตน้ หนึ่ง ไปยัง ยอดเกสรเพศเมียของอกี ดอกหน่ึงซ่งึ อยตู่ า่ งต้นกันและมีสายพันธเ์ ดยี วกนั ในกรณเี ช่นนอ้ี าจเกิดขึ้น ได้ 2 อยา่ ง คอื 13.1 พชื สองต้นนนั้ เป็นกงิ่ หรอื หน่อหรือชิ้นส่วนได้มาจากตน้ แม่เดยี วกันเช่น ก่ิงชาของ ภาพที่ 1 โครงสรา้ งของดอกหม่อน มันสาปะหลัง ถึงแม้การถา่ ยละอองเรณูจะข้ามตน้ กัน แตท่ ัง้ สองต้นนเี้ ปน็ สว่ นหน่อท่ีมาจาก ตน้ แมเ่ ดยี วกนั (clone) เช่นนี้กเ็ ป็น self-pollination ได้ 13.2 พืชสองต้นเปน็ พนั ธ์แุ ท้ท่ีเรยี กว่า pure line เช่น ข้าวจา้ ว ขา้ วสาลี โดยปกตจิ ะมี การถ่ายละอองเรณแู บบ self-pollination เม่อื มเี มลด็ เกิดข้นึ แล้วนาเมล็ดท่ีเกดิ ขนึ้ ไปปลกู จนออก ดอก แตล่ ะดอกก็จะมี self-pollination เกดิ ขึน้ อีก เมลด็ ท่ีเกิดขน้ึ ทงั้ หมดจึงเป็น pure line ถ้า นาเอาละอองเรณูจากตน้ หนึ่งไปใสท่ ี่ยอดเกสรเพศเมยี ของอีกตน้ หนง่ึ ก็จะเปน็ self-pollination ได้ ภาพที่ 2 การถา่ ยละอองเรณูแบบ Self pollination ท่ีมา : https://byjus.com/biology/difference-between-cross-pollination- and-self-pollination/
11 2. การถ่ายละอองเรณูคนละดอกของต้นไมค้ นละตน้ ในพชื ชนดิ เดยี วกัน (Cross pollination) เป็นการถา่ ยละอองเรณแู บบขา้ มดอก หรือต่างตน้ กนั ก็จะทาให้พชื มีลักษณะตา่ งๆ หลากหลาย และอาจจะไดพ้ ืชพนั ธุ์ใหม่ ๆขึ้นมาได้ ภาพท่ี 3 การถา่ ยละอองเรณูแบบ Cross pollination ที่มา : https://byjus.com/biology/difference-between-cross-pollination- and-self-polliภnaาtioพn/ท่ี 1 โครงสร้างของดอก การงอกของหลอดละอองเรณู พืชแต่ละชนิดมีละอองเรณทู ีแ่ ตกต่างกัน ความมชี ีวิตอยขู่ องละอองเรณกู แ็ ตกตา่ งกนั ความชืน้ และอณุ หภมู มิ ีความสาคัญต่อความมชี ีวิตของละอองเรณดู ้วย ปรากฏว่าอณุ หภูมติ ่าๆในที่ แหง้ ๆละอองเรณูจะมีชีวติ ได้นานกว่าในทๆี่ ช้นื และอณุ หภูมิสูงๆ ละอองเรณขู องพชื หลายชนดิ สามารถงอกไดด้ ใี นน้าธรรมดา ละอองเรณบู างชนิดเชน่ ละออง เรณขู องมะพรา้ วจะงอกได้ดใี นนา้ ทมี่ ีน้าตาลอยู่ 10-20% อตั ราความเร็วของการงอกหลอดเรณู (pollen tube) กแ็ ตกตา่ งกันไปตามชนิดของพืช เชน่ ละอองเรณขู องข้าวจ้าวใช้เวลางอกหลอด เรณู 1-2 วนั หลังการถ่ายละอองเรณู ส่วนละอองเรณูของข้าวโพดงอกหลอดเรณไู ดย้ าว 6 นว้ิ ใน 1 วนั ละอองเรณูของสม้ และไม้ยินตน้ ใหญ่ๆใช้เวลานานมากในการงอกอาจจะเป็นอาทิตย์หรือเป็น เดือนกไ็ ด้
12 การถ่ายละอองเรณขู องพชื อาศัยส่งิ ต่อไปน้คี ือ 1. ลม ละอองเรณขู องพืชจานวนมากทแี่ พรก่ ระจายและไปยงั เกสรเพศเมยี นน้ั ส่วนใหญจ่ ะปลิวตามลมไป พืชที่มีละอองเรณปู ลวิ ตามลม ส่วนมากมักจะมดี อกขนาดเล็ก กลบี ดอกไมม่ สี สี นั สวยงาม ไมม่ กี ล่นิ หอม ไม่ มตี อ่ มน้าหวานสาหรบั ลอ่ แมลง ละอองเรณูจะแหง้ และเบามาก ละอองเรณูของพชื บางชนิดจะมีโครงสรา้ ง คลา้ ยปีกยื่นออกมาสองข้างทาให้ปลิวตามลมไปไดไ้ กลๆยอดเกสรเพศเมยี ของพืชเหล่านมี้ กั จะแตกกงิ่ คลา้ ยขนนกหรือมีขนมาก มนี ้าหวานเหนยี วๆเพื่อจับละอองเรณทู ปี่ ลวิ ตามสมมา 2. น้า พาละอองเรณตู วั ผู้ทร่ี ว่ งลงน้าไปส่ยู อดเกสรตวั เมยี ได้แก่ พืชน้าพวกสนั ตะวา สาหรา่ ย 3. แมลง มสี ่วนชว่ ยในการถ่ายละอองเรณูอย่างมาก โดยแมลงจะมาดูดนา้ หวานจากดอกไม้ ขณะที่แมลง มาดูดนา้ หวานนีต้ วั ของแมลงก็จะมาคลุกเคล้าตดิ เอาละอองเรณูไปตามส่วนตา่ งๆของแมลงด้วย เม่ือแมลง ไปดูดน้าหวานของดอกอ่นื ตอ่ ไปละอองเรณูทต่ี ดิ มาก็จะหลดุ จากตวั แมลงตกลงบนยอดเกสรเพศเมียของ ดอกนั้น ดังน้นั ดอกไม้ชนดิ นจี้ งึ มักเปน็ ดอกท่มี สี ีสวย หรือมกี ลิน่ หอม หรือมีตอ่ มนา้ หวานเพอ่ื ลอ่ แมลง ละอองเรณูจะตอ้ งมีลกั ษณะเหนยี วเลก็ น้อยเพ่ือตดิ ตามตวั แมลงไป แมลงท่ีเปน็ สอ่ื น้ีสว่ นมากได้แกผ่ ง้ึ และ ผเี สือ้ ด้วยเหตุน้ีในต่างประเทศพวกทีท่ าการปลกู ไม้ผลจึงนยิ มเลยี้ งผึ้งไปด้วย ขณะที่เรามีการทดลองเลี้ยง ผึ้งและทดลองวา่ ผงึ้ จะชอบดอกไมช้ นดิ ใดบ้าง โดย ดร.สุธรรม อารีกุล ทาการทดลองทีด่ อยอ่างขาง ภาพที่ 1 โครงสร้างของดอกจังหวัดเชียงใหม่ เพือ่ ประโยชน์ในการทจี่ ะใหผ้ ึง้ เปน็ ผูถ้ า่ ยละอองเกสรใหไ้ ด้ผลมากยิ่งขนึ้ 4. คน มีสว่ นชว่ ยในการนาเกสรมาผสมพันธ์ุกนั ทาให้เกดิ พันธุพ์ ืชท่ีดี หรือเกดิ พันธุพ์ ชื ใหม่ 5. สตั ว์ เชน่ นก
13 6 การปฏสิ นธขิ องพืชดอก เมอ่ื ละอองเรณู ตกลงสู่ ยอดเกสรตัวเมยี ละอองเรณูจะงอกทอ่ ยาว เรียกวา่ พอลเลน ทวิ บ์ (Pollen tube) ลงส่กู ้านเกสรตัวเมีย ทวิ บน์ ิวเคลยี สจะเคลอื่ นตัวไปตามทอ่ ผ่านทางรู ไม โครไพล์ (Micropyle) ของออวุล ในขณะน้ีเจเนเรทีฟนิวเคลียส (Generative nucleus) จะ แบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโทซีสได้สเปริ ม์ นวิ เคลยี ส (Sperm nucleus) 2 ตวั เข้าผสมกนั นวิ เคลียส ของไข่ (Egg cell) ได้ไซโกต (2n) ซ่งึ จะเจรญิ เปน็ เอมบรโิ อต่อไป ส่วนอีกนวิ เคลยี สจะผสมกบั โพลาร์นิวคลไี อ (Polar nuclei) เจริญเปน็ เอนโดสเปิรม์ (3n) ซงึ่ เปน็ อาหารสาหรบั เลี้ยงเอมบริ โอ เป็นดอกทมี่ แี ต่เกสรเพศเมยี สเปิรม์ (n) + ไข่ ( n ) ไซโกต ( 2n ) เอม็ บริโอ สเปริ ์ม (n) + โพลารน์ วิ คลไี อ ( 2n ) เอนโดสเปริ ม์ ( 3n ) ภาพที่ 2 การปฏสิ นธขิ องพชื ดอก ทม่ี า : ประสงค์ หลาสะอาด และจิตเกษม หลาสะอาด,
14 6 การผสมซง่ึ เกดิ จากการผสม 2 ครัง้ นีเ้ รยี กว่า การปฏสิ นธซิ ้อน (Double Fertilization) ซ่งึ พบเฉพาะใน พืชดอกเท่าน้นั หลังจากปฏสิ นธิแล้ว รังไข่ (ovary) เจริญเปน็ ผล ผนงั รังไข่ (ovary wall) เจรญิ เปน็ เปลือกและเน้อื ของผลไม้ ออวุล (ovule) เจรญิ เปน็ เมลด็ ไข่ (egg) เจริญเป็น ต้นอ่อนอยภู่ ายในเมลด็ โพลาร์นิวเคลียส (polar nucleus) เจริญเปน็ เอนโดสเปริ ์ม เย่อื หุม้ ออวลุ (integument) เจริญเปน็ เปลือกหุ้มเมล็ด สาหรบั สว่ นประกอบอืน่ ๆ ของดอกจะเหย่ี วแหง้ และสลายตวั ไป การปฏิสนธิซอ้ นของพืชดอก มีความสาคัญเปน็ อย่างมาก เนอื่ งจากเปน็ การสรา้ งอาหาร ให้แก่สิ่งมชี ีวิตอื่นๆ เช่น ผลไม้ท่ีเราใชร้ บั ประทานก็เกิดมาจากการปฏสิ นธิ อาหารพวก เป็นดอกทม่ี ีแต่เกสรเพศเมยีจา้ ว ขา้ วโพด ก็เป็นสว่ นของเอนโดสเปิร์ม อาหารในเมล็ดถวั่ หลายชนิดกเ็ ป็นอาหารท่ี สะสมอยใู่ นใบเลีย้ งของเอ็มบริโอของถว่ั ดอกครบส่วนคือดอก สมบรู ณ์เพศเสมอ และดอก ไมส่ มบรู ณ์เพศ คอื ดอกไม่ ครบสว่ นเสมอ
15 คคะแะแนนนทท่ีไดีไ่ ด้ ้ 1100คคะแะแนนน คคะแะแนนนเตเตม็ ม็ จุดประสงค์ของการศกึ ษา 1. ศกึ ษา ทดลอง และเปรยี บเทยี บรปู ร่างของเรณแู ละจานวนเรณใู นดอกชนิดตา่ งๆและ บนั ทึกผลโดยการวาดภาพ วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละสารเคมี เปน็ 21ด.. ดจอาอนกกเไพมทาช้ ะนม่ี เดิช้ือตีแ่าตงๆเ่ทกย่ี งั สตูมรอเยพู่ เชศน่ เแมพงียพวยฝรงั่ พทุ ธรกั ษา ชบา เปน็ ต้น 3. กลุ้องจุลทรรศน์ 4. แว่นขยาย 5. เขม็ เขยี่ 6. ปากคบี 7. ใบมดี โกน 8. สไลดแ์ ละกระจกปิดสไลด์ วธิ กี ารศกึ ษา 1. หยดน้าลงบนแผน่ สไลด์ แล้วนาอบั เรณูของดอกไมแ้ ตล่ ะชนดิ มาวางบนสไลด์ 2. ใช้ปลายเขม็ เขย่ี สะกดิ อบั เรณูให้แตกหรอื เคาะเบาๆใหเ้ รณูรว่ งลงบนหยดนา้ 3. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ นาไปศกึ ษาด้วยกล้องจุลทรรศน์กาลงั ขยายตา่ 4. บนั ทกึ ผลและวาดภาพรปู รา่ งลกั ษณะของเรณู
16 ตารางบันทกึ ผลการศกึ ษา รูปรา่ งเรณดู อก………………………………… รูปร่างเรณูดอก……………………………… รปู ร่างเรณูดอก…………………………………. รูปร่างเรณูดอก……………………………… เป็นดอกที่มีแตเ่ กสรเพศเมีย …………………………………………………………………………………………………………………………………… .................................................................................................................................................... 1. ลกั ษณะรูปร่างของเรณู และจานวนเรณู มคี วามเหมาะสมในการถ่ายเรณอู ยา่ งไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………………. .......................................................................................................................................................... 2. เพราะเหตใุ ดเรณจู ึงมีจานวนมากกว่าเซลล์ไข่มาก ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………………… ....................................................................................................................................................
17 คคะแะแนนนททีไ่ ดี่ได้ ้ 1100คคะแะแนนน คคะแะแนนนเตเตม็ ม็ จดุ ประสงค์ของการศึกษา ศกึ ษา ทดลอง และเปรยี บเทียบการงอกของหลอดเรณขู องดอกชนิดต่างๆและบันทกึ ผล โดยการวาดภาพ วสั ดอุ ุปกรณ์และสารเคมี 1. ดอกไมช้ นดิ ตา่ งๆทีย่ ังตูมอยู่ เช่น แพงพวยฝรง่ั พุทธรกั ษา ชบา เป็นตน้ เป็นด2.อสากรลทะลม่ี ายีแนา้ตตา่เลกซโูสครรสเคพวามศเขเ้มมขน้ีย5% 3. จานเพาะเช้ือ 4. กลุ้องจลุ ทรรศน์ 5. แวน่ ขยาย 6. เขม็ เข่ยี 7. ปากคบี 8. ใบมดี โกน 9. สไลด์และกระจกปดิ สไลด์ วิธีการศึกษา 1. หยดสารละลายน้าตาลซูโครสความเขม้ ข้น 5% ลงบนกระจกสไลด์ 2 หยด แลว้ นาอบั เรณขู องดอกไม้แต่ละชนดิ มาวางบนสไลด์ 2. ใชป้ ลายเข็มเข่ยี อบั เรณใู ห้แตกหรอื เคาะเบาๆให้เรณรู ่วง บนสารละลายน้าตาลซโู ครส 3. ปิดดว้ ยกระจกปดิ สไลด์ นาไปศกึ ษาด้วยกล้องจุลทรรศนก์ าลังขยายต่า 4. สังเกตการเปลย่ี นแปลงของละอองเรณูจากกล้องจลุ ทรรศนใ์ นนาท่ีท่ี 5 20 และ 30 นาที โดยทุกครัง้ ทีส่ ังเกตใหว้ าดภาพลกั ษณะของละอองเรณดู ว้ ย (หยดสารละลายน้าตาลลง ข้างๆกระจกปดิ สไลด์อย่เู สมอเพ่อื ไมใ่ ห้สารละลายแหง้ )
18 ตารางบนั ทกึ ผลการศึกษา เวลาผา่ นไป ลกั ษณะของละอองเรณู ดอกแพงพวยฝรั่ง ดาวเรอื ง กหุ ลาบ 5 นาที 20 นาที เปน็ ดอกที่มีแต่เกสรเพศเมีย 30 นาที …………………………………………………………………………………………………………………………………… .................................................................................................................................................... 1. จากการทดลองเรณขู องดอกชนดิ ตา่ งๆมกี ารงอกของหลอดเรณหู รือไม่และในระยะแรกมีการงอก กีห่ ลอด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………….. ................................................................................................................................................... 2. ในการทดลอง เห็นการงอกของหลอดเรณูในดอกทกุ ชนดิ หรอื ไม่ ตอบ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ...................................................................................................................................................
19 9 คาชีแ้ จง :อธิบายกระบวนการถ่ายละออง คคะแะแนนนทท่ีไดีไ่ ด้ ้ 1100คคะแะแนนน เรณขู องพชื มาพอสังเขป คคะแะแนนนเตเตม็ ม็ 1. การถา่ ยเรณู หมายถึงอะไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การถา่ ยละอองเรณู เกิดขนึ้ ไดก้ ี่ลกั ษณะ อะไรบา้ ง ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… เป็นดอกที่มแี ตเ่ กสรเพศเมีย…………………………………………………………………………………………………………………………………… 3.การถา่ ยละอองเรณทู ี่เกิดข้ึนนอกเหนอื จากธรรมชาตแิ ล้วเกิดข้นึ โดยวธิ ีใดได้อีก ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………- 4. การถา่ ยเรณูมคี วามสาคญั ต่อการสืบพันธข์ุ องพชื อยา่ งไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การถา่ ยเรณูในดอกเดียวกันมีผลดี ผลเสยี ตอ่ พืชอย่างไร ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. มีวธิ ีการอยา่ งไรที่จะป้องกันการถา่ ยเรณูในดอกเดยี วกนั ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. มวี ิธีการอย่างไรทจ่ี ะปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ รณูจากดอกอนื่ มาผสม ตอบ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………
20 9 คาชแ้ี จง จงตอบคาถามเก่ยี วกบั การ คคะแะแนนนทท่ไี ด่ีได้ ้ 1100คคะแะแนนน ปฏสิ นธขิ องพืชดอก คคะแะแนนนเตเต็ม็ม 1. การปฏสิ นธซิ ้อน หมายถงึ ......................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... 2. พิจารณาภาพแลว้ เติมคาในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง เปน็ ดอกทม่ี แี ต่เกสรเพ1ศ……เม……ยี ……………………… 2………………………………… 3……………………………… 6………………………………… 4……………………………… 7………………………………… 5………………………………… 3. จงระบุว่าหลังจากเกิดการปฏสิ นธิ ส่วนต่างๆของดอกไม้จะมกี ารเปลยี่ นแปลงไปอย่างไร 3.1 รังไข่ เจรญิ ไปเปน็ ………………………………………………………………………………………….. 3.2 ออวลุ เจริญไปเปน็ ………………………………………………………………………………………. 3.3 ไข่ เจริญไปเปน็ …………………………………………………………………………………………….. 3.4 โพลาร์นิวคลไี อ เจรญิ ไปเป็น …………………………………………………………………………… 3.5 ผนังออวุล เจรญิ ไปเปน็ …………………………………………………………………………………. 3.6 ผนังรงั ไข่ เจริญไปเป็น …………………………………………………………………………………… 3.7 แอนติโพแดลและซนิ เนอรจ์ ดิ …………………………………………………… 3.8 กลบี เลีย้ ง กลีบดอก ยอดเกสารเพศเมยี และกา้ นชูเกสรเพศเมีย……………………………
21 16 คาช้แี จง คาชแี้ จง 1. แบบทดสอบเป็นแบบเลอื กตอบ 5 ตัวเลือก จานวน 10 ขอ้ 10 คะแนน ใชเ้ วลา 10 นาที 2. ใหเ้ ลือกคาตอบทีถ่ ูกตอ้ งเพยี งข้อเดยี ว แล้วทาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงใน กระดาษคาตอบ 1. การถา่ ยละอองเรณเู กดิ ข้ึนเมอ่ื ละอองเรณูถกู ถา่ ยทอดไปยงั ข้อใด ก. ออวลุ ข. รงั ไข่ ค. ยอดเกสรตัวเมยี ง. ก้านชูเกสรตัวเมีย จ. ยอดเกสรเพศผู้ 2. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้เี ปรียบเทยี บปจั จยั ทเ่ี กี่ยวข้องระหว่างการถา่ ยละอองเรณโู ดยลม และการถ่าย ละอเอปงเน็รณดูโดอยอกาศทยั แีม่ มีแลงตไมเ่ถ่ กูกตส้องรเพศเมยี การถา่ ยละอองเรณูโดยอาศัยลม การถ่ายละอองเรณูโดยอาศยั แมลง ก กลบี เล้ยี งและกลบี ดอกลดขนาดหรือ กลบี เลย้ี งและกลบี ดอกมสี ีสันสวยงามและ หายไป เด่นชัด ข ละอองเรณูมีผวิ นอกขรขุ ระและเหนียว ละอองเรณูมีผิวนอกเรียบและแหง้ เกย่ี วตดิ งา่ ย ค จาเป็นตอ้ งมีนา้ หวานและกลน่ิ ของดอก ยอดเกสรเพศเมยี ตวั เลก็ และเหนยี วเก่ียว ตดิ งา่ ย ง ไม่จาเปน็ ต้องมนี ้าหวานและกล่นิ ของดอก มกั มนี า้ หวานและดอกมกี ลิ่นหอม จ ยอดเกสรตัวเมียขนาดใหญแ่ ละเบาเหมือน ยอดเกสรคัวเมียเลก็ และเหนยี วเกย่ี วติด ขนนก งา่ ย 3. การผสมภายในต้นเดยี วกัน มีประสิทธิภาพสงู กวา่ การผสมข้ามต้นในข้อใด ก. มโี อกาสในการปฏสิ นธสิ ูงกวา่ ข. มีลูกทแ่ี ขง็ แรงและทนทานกว่า ค. ลูกผสมมโี อกาสในการปรบั ตวั ไดด้ ีกวา่ ง. ลกู ทเี่ กดิ มีโอกาสสบื พนั ธตุ์ ่อไปไดด้ ีกว่า จ. ลกู ที่เกดิ มีโอกาสในการกระจายพันธ์ุไดด้ กี วา่
22 17 4. ภายในถุงเอม็ บริโอ (Embryo sac) ของพืชดอกประกอบดว้ ยจานวนเซลล์และนิวเคลียส เรยี งตามลาดับ ดังนี้ ก. 7 เซลล์ 8 นิวเคลยี ส ข. 8 เซลล์ 8 นวิ เคลยี ส ค. 1 เซลล์ 8 นิวเคลยี ส ง. ง. 8 เซลล์ 7 นวิ เคลยี ส จ. 8 เซลล์ 6 นิวเคลียส 5. การงอกของหลอดละอองเรณูเข้าไปยงั ออวลุ ในรังไขข่ องพืชดอกเป็นการตอบสนองต่อสง่ิ เร้าใน ข้อใด ก. ไข่ ข. สารเคมีบางอยา่ ง ค. plug ในหลอดละอองเรณู ง. ความช้ืนและแรงโน้มถ่วงของโลก จ. แสงแดด 6. การปฏิสนธิ หมายถงึ อะไร ก. การท่ีละอองเรณปู ลิวตกบนเกสรเพศเมยี ข. การทอ่ี บั ละอองเรณูแตก แลว้ ละอองเรณปู ลิวอกไป ค. การท่ลี ะอองเรณูงอกหลอดละอองเรณูเข้าไปในออวลุ ง. การท่ีผ้ึงดูดน้าหวานเพอื่ นาละอองเรณไู ปตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย เป็นดอกทมี่ ีแต่เกสรเพศเมยีจ. การทเี่ ซลล์สบื พันธ์เุ พศผู้ เข้าไปผสมกบั เซลล์สืบพันธเ์ุ พศเมยี 7. โครงสร้างในข้อใดตอ่ ไปน้ไี ม่ได้พฒั นามาจากไซโกต ก. ใบเล้ียง ข. รากออ่ น ค. ยอดอ่อน ง. เอนโดสเปริ ม์ จ. ไฮโพคอลทิล 8. สว่ นใดของดอกจะเจริญเป็นเมลด็ ก. ออวลุ ข. รงั ไข่ ค. ไซโกต ง. ถงุ เอม็ บรโิ อ จ. แอนติโพแดล 9. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเก่ยี วกับการปฏสิ นธิซ้อน ก. การผสมกนั ระหว่างสเปิรม์ กบั ไขแ่ ละสเปิรม์ กับซินเนอรจ์ ดิ ข. การผสมกนั ระหวา่ งสเปิร์มกับไขแ่ ละเปริ ม์ กบั ถงุ เอม็ บรโิ อ ค. การผสมกนั ระหวา่ งสเปิรม์ กบั ไข่และสเปิร์มกับโพลาร์นวิ คลีไอ ง. การผสมกันระหว่างสเปริ ม์ กบั ซนิ เนอรจ์ ดิ และสเปริ ม์ กับโพลาร์นวิ เคลียส จ. การผสมกันระหวา่ งสเปริ ์มกบั ไขแ่ ละสเปิรม์ กับแอนติโพแดล 10. หลงั จากเกดิ การปฏิสนธแิ ล้วส่วนของเกสรตัวเมยี ท่จี ะเจริญไปเปน็ เอม็ บรโิ อ เอนโดสเปริ ม์ เมล็ด และผล เรยี งตามลาดับคอื ข้อใด ก. ออวลุ รังไข่ ไข่ โพลาร์นิวเคลียส ข. โพลารน์ ิเคลยี ส ออวุล ถุงเอ็มบริโอ รังไข่ ค. ไข่ ถงุ เอม็ บริโอ รังไข่ ออวุล ง. ไข่ โพลาร์นวิ คลีไอ ออวลุ รงั ไข่ จ. รงั ไข่ ไข่ ออวลุ โพลาร์นวิ เคลียส
เป็นดอกทม่ี แี ตเ่ กสรเพศ 23 18 ข้อ คะแนน 1100 คคะะแแนนนน คำตอบ จ ก คคะะแแนนนนทที่ไีไ่ ดด้ ้ คคะะแแนนนนเเตตม็ ม็ ข คาตอบ ค คง ง จ ขอ้ ก ข 11 22 3 3 4 45 56 67 78 89 9 10 10 เมยี
24 19 บรรณานกุ รม กระทรวงศกึ ษาธิการ (ม.ป.ป.). ตวั ชีว้ ัดและสาระแกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ตาม หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ึ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. พมิ พค์ รั้งท่ี 1. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. กระทรวงศกึ ษาธิการ (2552). ตัวช้ีวัดและสาระแกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ตาม หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขึ้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพฯ : สานักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษาสานกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขัน้ พน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. จิรสั ย์ เจนพาณชิ ย์. (2558). BIOLOGY for high school students. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 19). กรุงเทพมหานคร : บูมคลั เลอร์ไลน์. ปรีชา สุวรรณพินจิ . (2556). High School Biology ชีววิทยา ม.4-6 เลม่ 3 (รายวิชา ชวี วทิ ยา เพิ่มเตมิ ), 254- 257. กรุงเทพฯ: ไฮเอ็ดพับลชิ ชิง. ฤทธเ์ิ วปัฒ็นนชดยั ยอิ่งเจกรญิทแ่มี ลแีะเกตศ่เทกพิ ยส์ อริศเราพงกศูร เณมอียยธุ ยา, บรรณาธกิ าร. (ม.ป.ป.) หนงั สอื เสริมสร้าง ศักยภาพและทกั ษะ รายวิชาเพิ่มเตมิ ชีววทิ ยา เล่ม 3 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ึ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2561. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 1. กรุงเทพ ฯ : บรษิ ัท ไทยร่มเกลา้ จากดั . สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2553). ค่มู อื ครู รายวิชา เพ่ิมเตมิ ชีววทิ ยา เล่ม 1 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 -6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ตาม หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 1). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว. สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพม่ิ เตมิ ชวี วทิ ยา เลม่ 1 ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 -6 กลมุ่ สาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. (พิมพค์ รั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว. อักษร ศรเี ปล่ง และคณะ. (2547). ชีววทิ ยา 2 (ความหลากหลายของส่ิงมีชวี ติ อาณาจักรมอเนอรา แบคทเี รยี พนั ธูศาสตร์ของแบคทีเรีย อาณาจกั รโพรทสิ ตา อาณาจักรฟังใจ ยีสต์ อาณาจกั รพชื สาหรา่ ย ไบรโอไฟต์ เทรคโี อไฟต์ ลาต้นและโครงสร้างของลาตน้ ราก ใบ ดอก ชอ่ ดอก ผล เมล็ด). ม.ป.ป. กรงุ เทพฯ : บริษทั ด่านสทุ ธาการพิมพ์ จากดั .
25 19 ณฐั กานต์ ไชยการ. (ม.ป.ป.). การถ่ายละอองเรณู. [ออนไลน์] . แหล่งท่มี า : https://sites.google.com/site/chiwwithya5/home/phu-cad-tha. [25 ตลุ าคม 2560]. เป็นดอกทม่ี แี ต่เกสรเพศเมยี
26 20 เปน็ ดอกท่ีมแี ตเ่ กสรเพศเมยี
27 21 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น ข้อ คาตอบ ข้อ คาตอบ 1จ 1ค 2ง 2ข 3ค เป็นดอก3 ทีม่ แี ตเ่ กสก รเพศเมยี 4ก 5ข 4ค 6จ 5จ 7ง 6ข 8ก 7ค 9จ 8ก 10 ง 9ง 10 ข
28 คคะแะแนนนททีไ่ ด่ไี ด้ ้ 1100คคะแะแนนน คคะแะแนนนเตเต็มม็ จดุ ประสงค์ของการศึกษา 1. ศึกษา ทดลอง และเปรียบเทียบรูปรา่ งของเรณูและจานวนเรณูในดอกชนดิ ตา่ งๆและ บนั ทึกผลโดยการวาดภาพ วสั ดุอุปกรณแ์ ละสารเคมี เป็นด21..อกดจทาอนก่ีมเไพมีแา้ชะนตเดิชเ่อ้ืตก่างสๆทรยี่ เงั ตพมู อศยเู่ เมชน่ ียแพงพวยฝรง่ั พุทธรักษา ชบา เปน็ ตน้ 3. กลุ้องจลุ ทรรศน์ 4. แวน่ ขยาย 5. เข็มเขีย่ 6. ปากคบี 7. ใบมดี โกน 8. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ วิธกี ารศึกษา 1. หยดนา้ ลงบนแผ่นสไลด์ แล้วนาอับเรณูของดอกไม้แต่ละชนดิ มาวางบนสไลด์ 2. ใชป้ ลายเขม็ เขยี่ สะกิดอับเรณใู หแ้ ตกหรอื เคาะเบาๆใหเ้ รณรู ว่ งลงบนหยดน้า 3. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ นาไปศกึ ษาดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์กาลงั ขยายต่า 4. บันทกึ ผลและวาดภาพรูปร่างลกั ษณะของเรณู
29 ตารางบนั ทกึ ผลการศึกษา รูปร่างเรณูดอก………แพงพวยฝร่ัง………………… รปู ร่างเรณดู อก…………ชบา…………… รูปรา่ งเรณูดอก………พทุ ธรกั ษา……………………. รูปร่างเรณูดอก…………หญ้า……………… เปน็ ดอกที่มแี ต่เกสรเพศเมีย ละอองเรณูของพชื แตล่ ะชนิดทีศ่ ึกษามรี ปู รา่ งแตกตา่ งกนั โดยละอองเรณขู องแพงพวยฝร่งั มลี ักษณะ มรี ูปร่างกลม ผนงั ช้นั นอกเรียบ ชบา มรี ปู ร่างค่อนขา้ งกลม ผนงั ชนั้ นอกมีหนาม มีสีเหลอื ง 1. ลักษณะรูปรา่ งของเรณู และจานวนเรณู มคี วามเหมาะสมในการถา่ ยเรณูอย่างไร แนวคาตอบ…เรณจู ะมีขนาดเล็กมากท่ีมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เรณูในดอกแตล่ ะชนิดอาจมรี ปู รา่ ง แตกต่างกนั บางชนิดอาจมรี ปู รา่ งกลม รี หรอื ชรุขระ บางชนดิ เรณอู าจมีขอบผิวเรียบหรือขรุขระ เป็นตน้ ซ่งึ รปู ร่างลักษณะของเรณูนี้จะมีผลตอ่ รูปแบบของการถา่ ยเรณู และเรณใู นแต่ละดอกจะมี อยูจ่ านวนมาก ดงั นน้ั ทาใหม้ ีโอกาสในการถา่ ยเรณูและเกดิ ปฏสิ นธไิ ด้มากข้ึน 2. เพราะเหตุใดเรณูจึงมจี านวนมากกว่าเซลลไ์ ขม่ าก แนวคาตอบ เนื่องจากการถา่ ยเรณูในธรรมชาติจะเกิดขึ้นไดต้ อ้ งอาศยั ปัจจยั ต่างๆและการทีเ่ รณมู ี รูปร่างและขนาดทเ่ี ลก็ มาก โอกาสทีเ่ รณูจะปลวิ ไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมียเกดิ ขน้ึ ไดค้ ่อนข้างยาก ดงั น้นั การท่ีเรณมู จี านวนมากจึงเปน็ การเพิ่มโอกาสให้เรณสู ามารถทจี่ ะถูกถา่ ยไปเกสรเพศเมียทง้ั ใน ดอกเดียวกันและขา้ มดอกโดยวธิ กี ารต่างๆกนั จึงเปน็ ไปไดย้ าก
30 คคะแะแนนนททีไ่ ด่ีได้ ้ 1100คคะแะแนนน คคะแะแนนนเตเตม็ ม็ จดุ ประสงคข์ องการศึกษา ศกึ ษา ทดลอง และเปรยี บเทยี บการงอกของหลอดเรณูของดอกชนิดตา่ งๆและบนั ทกึ ผล โดยการวาดภาพ วสั ดอุ ุปกรณแ์ ละสารเคมี 1. ดอกไมช้ นิดตา่ งๆทยี่ งั ตูมอยู่ เชน่ แพงพวยฝรงั่ พทุ ธรักษา ชบา เป็นตน้ เป็นด2.อสากรลทะลมี่ ายีแนา้ตตา่เลกซโูสครรสเคพวามศเขเม้มขน้ีย5% 3. จานเพาะเช้ือ 4. กลุ้องจุลทรรศน์ 5. แวน่ ขยาย 6. เข็มเขี่ย 7. ปากคบี 8. ใบมีดโกน 9. สไลด์และกระจกปิดสไลด์ วิธีการศึกษา 1. หยดสารละลายนา้ ตาลซูโครสความเข้มขน้ 5%ลบบนกระจกสไลด์ 2 หยด แล้วนาอบั เรณขู องดอกไมแ้ ต่ละชนิดมาวางบนสไลด์ 2. ใชป้ ลายเข็มเขีย่ อับเรณใู หแ้ ตกหรอื เคาะเบาๆให้เรณูร่วง บนสารละลายนา้ ตาลซโู ครส 3. ปิดด้วยกระจกปิดสไลด์ นาไปศกึ ษาดว้ ยกล้องจุลทรรศนก์ าลังขยายต่า 4. สงั เกตการเปล่ียนแปลงของละอองเรณจู ากกลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ นนาท่ที ี่ 5 20 และ 30 นาที โดยทกุ ครง้ั ทสี่ งั เกตให้วาดภาพลักษณะของละอองเรณูดว้ ย (หยดสารละลายนา้ ตาลลง ข้างๆกระจกปิดสไลดอ์ ยเู่ สมอเพื่อไม่ใหส้ ารละลายแหง้ )
31 ตารางบันทึกผลการศึกษา เวลาผ่านไป ลกั ษณะของละอองเรณู ดอกแพงพวยฝร่งั ดาวเรือง กุหลาบ 5 นาที 20 นาที เป็น3ด0อนากทที ม่ี ีแต่เกสรเพศเมยี จากการทากิจกรรม พบวา่ ละอองเรณขู องดอกแพงพวยฝร่ังมีการงอกหลอดเรณูเม่อื เวลาผ่านไป 5 นาที ในขณะทล่ี ะอองเรณขู องดอกอ่ืนๆยงั ไม่มกี ารงอกหลอกเรณู
32 1. จากการทดลองเรณูของดอกชนดิ ต่างๆมีการงอกของหลอดเรณูหรอื ไมแ่ ละในระยะแรกมกี ารงอก ก่หี ลอด แนวคาตอบ มี 2 หลอด 2. ในการทดลอง เหน็ การงอกของหลอดเรณูในดอกทกุ ชนดิ หรอื ไม่ แนวคาตอบ ไมท่ ุกชนดิ จากการทดลองพบวา่ แพงพวยฝรัง่ งอกหลอดเรณไู ดง้ ่ายและสมบรู ณท์ ี่สดุ สว่ นดอกไมช้ นดิ อน่ื งอกหลอดเรณเู ปน็ ตมุ่ สัน้ ๆเท่าน้ัน สว่ นดอกไม้ท่ีเหลอื จากการทดลองนี้ไม่มกี าร งอกหลอดเรณู เป็นดอกทมี่ แี ตเ่ กสรเพศเมยี
33 9 คาชแ้ี จง : อธิบายกระบวนการถา่ ย คคะแะแนนนททไ่ี ด่ีได้ ้ 1100คคะแะแนนน ละอองเรณขู องพืชมาพอสงั เขป คคะแะแนนนเตเตม็ ม็ 1. การถ่ายเรณู หมายถงึ อะไร แนวคาตอบ การที่ละอองเรณจู ากอับเรณูไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมยี …………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การถา่ ยละอองเรณู เกิดข้ึนได้ก่ลี กั ษณะ อะไรบ้าง แนวคาตอบ 2 ลักษณะ คือ การถา่ ยละอองเรณูในดอกเดย่ี วกนั หรอื ต้นเดียวกัน และการถา่ ย เรณขู ้ามตน้ ……………………………………………………………………………………………………………………. เป็นดอกทีม่ แี ต่เกสรเพศเมีย3.การถา่ ยละอองเรณทู ีเ่ กดิ ขึ้นนอกเหนอื จากธรรมชาตแิ ลว้ เกดิ ข้ึนโดยวิธใี ดไดอ้ ีก แนวคาตอบ การถา่ ยเรณทู ่เี กดิ ขนึ้ โดยมนษุ ย์ช่วยในการถา่ ยเรณู……………………………………… 4. การถา่ ยเรณูมคี วามสาคญั ต่อการสบื พันธข์ุ องพชื อยา่ งไร แนวคาตอบ ทาให้เซลลส์ ืบพันธเ์ุ พศผมู้ ีโอกาสมาผสมกบั เซลล์สบื พันธุ์เพศเมยี ได้………………… 5. การถา่ ยเรณูในดอกเดียวกนั มผี ลดี ผลเสียตอ่ พชื อยา่ งไร แนวคาตอบ มผี ลดี คอื ถ้าตน้ พันธ์ุเป็นพนั ธุแ์ ท้ รุ่นลกู จะมพี นั ธกุ รรมเหมอื นเดิม ผลเสยี คอื ทาให้รุ่นลกู มีความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมนอ้ ยกวา่ การผสมข้ามต้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้การ ต้านทางโรคลดลง และลักษณะดอ้ ยปรากฏในรนุ่ ต่อๆไปได้งา่ ย………………………………………… 6. มีวธิ กี ารอยา่ งไรทจ่ี ะป้องกนั การถ่ายเรณูในดอกเดียวกนั แนวคาตอบ…โดยการเดด็ เกสรเพศผทู้ ้งิ ไปก่อนทดี่ อกจะบาน หรือก่อนเกสรเพศผูจ้ ะเจรญิ เต็มท…่ี ………………………………………………………………………………………………………………………… 7. มวี ธิ กี ารอย่างไรที่จะปอ้ งกันไม่ใหเ้ รณจู ากดอกอืน่ มาผสม แนวคาตอบ…วิธีการป้องกันไมใ่ หเ้ รณูจากดอกอนื่ มาผสม คือ ควรใชถ้ ุงพลาสติกใสคลุมดอกที่ ตอ้ งการให้ติดผลไว้ โดยปลอ่ ยให้เกสรเพศเมยี และเพศผู้ภายในดอกเดียวกันผสมกันเอง แลว้ จงึ เปดิ ถงุ พลาสติกออกเม่ือเหน็ วา่ เร่ิมจะตดิ ผล……………………………………………………………………
34 9 คาชแ้ี จง จงตอบคาถามเก่ยี วกบั การปฏิสนธิ คคะแะแนนนทที่ได่ีได้ ้ 1100คคะแะแนนน ของพชื ดอก คคะแะแนนนเตเตม็ ็ม 1. การปฏสิ นธซิ ้อน หมายถึง .... กระบวนการทสี่ เปิร์มนิวเคลียสอันหนงึ่ เขา้ ไปผสมกับนวิ เคลียสของเซลลไ์ ข่ และสเปิร์ม นวิ เคลยี สอกี อันหนึ่งเข้าผสมกับเซลล์โพลาร์นิวเคลยี ส 2. พจิ ารณาภาพแล้วเติมคาในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ ง เป็นดอกทีม่ ีแต่เกสรเพ1ศ. สเเปมริ ยี์มนวิ เคลียส…… 2. ทวิ ปน์ ิวเคลียส….. 3…แอนตโิ พแดล 6…โพลารน์ วิ คลีไอ…. 4…สเปริ ์มนิวเคลียส. 7…เซลล์ไข…่ …. 5…ซนิ เนอรจ์ ดิ 3. จงระบุวา่ หลงั จากเกดิ การปฏสิ นธิ สว่ นต่างๆของดอกไมจ้ ะมกี ารเปล่ียนแปลงไปอย่างไร 3.1 รังไข่ เจรญิ ไปเป็น ผล 3.2 ออวุล เจริญไปเปน็ เมลด็ 3.3 ไข่ เจรญิ ไปเป็น ตน้ อ่อนอยภู่ ายในเมล็ด. 3.4 โพลาร์นิวคลไี อ เจรญิ ไปเปน็ เอนโดสเปริ ม์ ทอี่ ยู่ภายในเมล็ด 3.5 ผนงั ออวลุ เจริญไปเป็น เปลือกหุม้ เมลด็ 3.6 ผนงั รังไข่ เจรญิ ไปเปน็ เปลอื กและเนอื้ ของผล 3.7 แอนติโพแดลและซนิ เนอรจ์ ิด จะสลายไป 3.8 กลีบเล้ยี ง กลีบดอก ยอดเกสารเพศเมีย และกา้ นชูเกสรเพศเมีย จะแหง้ เหย่ี วไป
35 24 ชื่อ-นามสกุล....................................................................................เลขท.ี่ ................ชนั้ ........... โรงเรียน…………………………………………………............... แบบทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนทไี่ ด้ หมายเหตุ ก่อนเรยี น 10 หลงั เรยี น 10 เป็นดผอลกกาทรพี่มัฒนแี าต่เกสรเพศเมยี กจิ กรรม คะแนนเตม็ คะแนนท่ไี ด้ หมายเหตุ ใบกิจกรรมท่ี 3.1 10 ใบกิจกรรมที่ 3.2 10 แบบฝึกหัดที่ 3.1 5 แบบฝกึ หดั ท่ี 3.2 5 40 รวมคะแนน
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชดุ ที่ โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 7 ขน้ั (7E) รายวชิ า ชวี วิทยา 3 ว32243 ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 หนว่ ยการเรยี นรู้ การสบื พนั ธ์ขุ องพืชดอกและการเจริญเติบโต เรอื่ ง การถ่ายละอองเรณแู ละการปฏิสนธิ ของพชื ดอก นางสาวเพชราพรรณ สืบสนั ต์ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ โรงเรียนเทพอุดมวิทยา ตาบลดม อาเภอสงั ขะ จังหวัดสรุ ินทร์ สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 33 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: