การประชมุ วิชาการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรม Publication Data วริ ชั เลิศไพฑรู ย์พันธ์. (บรรณาธกิ าร). หนงั สือประมวลบทความในการประชุมวิชาการ (Proceedings) ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563. กรุงเทพฯ: สมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย รว่ มกับ สำนกั งานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ัยและนวตั กรรม, 2563. 81 หนา้ . ISBN: 978-616-93336-1-6 หนังสอื ประมวลบทความในการประชมุ วิชาการ (Proceedings) ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 บรรณาธิการ วริ ัช เลศิ ไพฑรู ย์พันธ์ จดั ทำโดย สมาคมเครือข่ายการพฒั นาวชิ าชพี อาจารยแ์ ละองคก์ รระดับอุดมศกึ ษาแหง่ ประเทศไทย สำนกั งานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตั กรรม http://thailandpod.org/ ก
การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 หนงั สอื ประมวลบทความในการประชมุ วชิ าการ (Proceedings) ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 การพฒั นาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุคพลกิ ผนั “Developing Thai Higher Education System and Mechanism for Disruptive Era” วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ณ ห้องประชุมศาสตราจารยว์ ิจิตร ศรีสะอา้ น ช้นั 5 อาคารอดุ มศกึ ษา 1 สำนักงานปลดั กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพมหานคร และการประชมุ ระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom จัดโดย สมาคมเครอื ข่ายการพฒั นาวชิ าชพี อาจารย์และองคก์ รระดบั อดุ มศกึ ษาแห่งประเทศไทย สำนกั งานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม ข
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 คณะทำงาน จดั ประชมุ วชิ าการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 1. คณะกรรมการทีป่ รกึ ษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย 1.1 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สดุ าพร ลักษณียนาวิน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 1.2 รองศาสตราจารย์ นพ.อนุภาพ เลขะกลุ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี 1.3 รองศาสตราจารย์ ดร.บณั ฑติ ทพิ ากร 2. คณะกรรมการจดั การประชมุ และพจิ ารณาบทความวิชาการ 2.1 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วิรชั เลศิ ไพฑรู ย์พนั ธ์ มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม 2.2 รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลี เจรญิ ลาภนพรตั น์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ 2.3 รองศาสตราจารย์ ดร.อนริ ุทธ์ สตมิ ่ัน มหาวิทยาลัยศิลปากร 2.4 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วลั ยา ธเนศพงศธ์ รรม มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 2.5 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มารุจ ลมิ ปะวัฒนะ มหาวิทยาลยั สยาม 2.6 ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.โอภาส เกาไศยาภรณ์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ 2.7 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พนติ า สรุ ชยั กุลวฒั นา มหาวทิ ยาลัยหอการคา้ ไทย 2.8 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.นศิ านาถ มง่ั ศิริ มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ติ 2.9 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชลธดิ า เทพหนิ ลัพ มหาวิทยาลัยพะเยา 2.10 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤติกา ตนั ประเสริฐ มหาวิทยาลัยเทคโลยีพระจอมเกล้าเจ้าพระธนบรุ ี 2.11 ดร.จรงค์ศักด์ิ พุมนวน สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั 2.12 ดร.อธิศ สวุ รรณดี มหาวทิ ยาลยั เกษมบณั ฑติ 2.13 อาจารย์วนิดา คูชยั สิทธ์ิ มหาวทิ ยาลัยกรงุ เทพ 2.14 ดร.ภัทรชาติ โกมลกิติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 2.15 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สริ นิ ธร สนิ จินดาวงศ์ มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม 3. ฝา่ ยจัดการ และเลขานุการกองบรรณาธิการ สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจา้ คุณทหารลาดกระบัง 3.1 ดร.จรงคศ์ กั ด์ิ พุมนวน มหาวทิ ยาลัยศรปี ทุม 3.2 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สริ นิ ธร สินจนิ ดาวงศ์ ค
การประชุมวิชาการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 สารจากปลัดกระทรวงการอดุ มศกึ ษา วิทยาศาสตร์ วจิ ัย และนวตั กรรม การจัดการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการอุดมศึกษา ที่มุ่งเน้นผู้เรียนตามแนวคิดการศึกษาไทย 4.0 ซ่ึงต้องมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในหลายด้านท้ัง ทักษะการอ่าน การเขียน การคำนวณ การคิดวิเคราะห์ วิพากษ์ ความรู้ในศาสตร์คอมพิวเตอร์ การ สืบค้น ตลอดจนทักษะการทำงานเป็นทีม การรับฟังปัญหารอบด้าน เพื่อวิเคราะห์สู่การแก้ปัญหา ทักษะด้านภาษา การส่ือสารและเทคโนโลยีดจิ ิทัล เปน็ ต้น บทบาทของอาจารยผ์ สู้ อนจงึ เปลี่ยนไป จากผ้สู อนกลายเป็นผู้แนะนำ ออกแบบกิจกรรมที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ต้องพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนจาก งานวิจัยและเทคโนโลยีใหม่ๆ นำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ การเรียนการสอน เพื่อสร้างบัณฑิตให้ตรงตามคุณลักษณะของบัณฑิตที่ดีมีคุณภาพ ตอบรับสังคมการเรียนรู้ ที่ปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยเฉพาะการได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ใน กระบวนการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งปรับตัวทางการศึกษาเพื่อรองรับการแข่งขันใน โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำหน้าที่ของอาจารย์ในด้านการสอนจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และกา้ วออกสู่สงั คมท่ีมีความหลากหลายได้อย่างลงตวั สามารถอยู่รอดและสร้างประโยชน์ใหส้ ังคมได้อย่างย่ังยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเผยแพร่ผลงาน วิชาการนวัตกรรมการเรียนการสอนของเครือข่ายพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดั บอุดมศึกษาแห่ง ประเทศไทย (ควอท) ครั้งนี้ คณาจารย์จะได้แนวทางในการจดั การเรียนรู้ให้เกิดแกผ่ ู้เรียนและสง่ เสรมิ คุณภาพ การจัดการศึกษาของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาตลอดทั้งเกิดความร่วมมือระหว่างคณาจารย์ ท้ังภายในและระหว่างมหาวิทยาลยั ในการพฒั นาการเรยี นการสอนของสถาบนั อดุ มศึกษาอย่างย่ังยนื ต่อไป (รองศาสตราจารย์ สรนิต ศลิ ธรรม) ปลดั กระทรวงการอุดมศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ง
การประชมุ วิชาการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 สารจากนายกเครอื ข่ายการพฒั นาวชิ าชีพอาจารย์และองค์กรระดับอดุ มศึกษา แหง่ ประเทศไทย (ควอท) โดยที่โลกยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบพลิกผัน (Disruptive) ด้วยกลไกและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ซึง่ ไม่เพยี งแต่สง่ ผลกระทบต่อแวดวงธุรกจิ เท่านน้ั ธุรกจิ ท่กี า้ ว ทนั ตอ่ การเปล่ียนแปลงจะสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด ในขณะที่บางธรุ กิจตอ้ งปิดตวั ลงอยา่ งรวดเร็ว ระบบ การศึกษาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ระบบการศึกษาแบบเดิมต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับตัวและก้าวให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคพลิกผัน การเรียนการสอนแบบดั้งเดิม การบรรยาย การมอบหมายงาน จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการและดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้อีกต่อไป ระบบการศึกษาต้อง ปรบั เปลย่ี น เน้ือหาของหลกั สตู รตอ้ งออกแบบ (Design & Facilitate) ให้ทันสมยั สอดรับกับความต้องการและ สถานการณ์ปัจจุบัน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง อาจารย์ต้องเปลี่ยนบทบาทจากการ ควบคุม สั่งการ มาเป็นที่ปรึกษา (Coaching) ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุน ชี้แนะแนวทางและสร้างแรงจูงใจ อาจารย์ต้องมจี ติ วิญญาณแห่งความเป็นครู สามารถแลกเปล่ยี นความคดิ ได้ (Motivate & Inspire) เพ่ือให้ผู้เรียนเกิด ความสุข สนกุ ในการเรียนรู้เนน้ การปฏิบตั ิและลงมือจรงิ (Mentoring) และใช้เทคโนโลยดี ิจทิ ลั เปน็ แนวทางใน การจัดการเรียนรู้ตามกระแสสังคมปัจจุบันที่เป็นสังคมดิจิทัล และใช้อินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง การเรียนรู้ผ่านโลกออนไลน์จะเป็นวิถีทางที่น่าสนใจและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนได้ เปน็ อยา่ งดี ผลงานนวัตกรรมการเรียนการสอนของอาจารย์ระดับอุดมศึกษาที่นำเสนอนี้เป็นแนวทางหน่ึง ในการจัดการเรียนรู้ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในสงั คมปัจจุบันและก่อให้เกิดการเรยี นรู้ สมดังเป้าประสงค์ของผู้สอน สมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษา แหง่ ประเทศไทย (ควอท) จึงเปิดเวทเี พอื่ เผยแพร่ผลงานนวัตกรรมการสอนและการจดั การเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ให้แก่ผู้เรียนเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหมู่อาจารย์ผู้สอนและผู้สนใจทั่วไป แและหวังเป็นอย่างย่ิงว่า จะยังประโยชน์ตอ่ การอดุ มศึกษาสบื ไป (รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต ทพิ ากร) นายกสมาคมเครือขา่ ยการพัฒนาวชิ าชีพอาจารย์ฯ จ
การประชมุ วชิ าการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 บทบรรณาธกิ าร การประชุมวิชาการครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 ของสมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และ องค์กรระดบั อุดมศกึ ษาแห่งประเทศไทย (ควอท) ร่วมกบั สำนักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา (สกอ.) เร่ือง การพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุคพลิกผัน (Developing Thai Higher Education System and Mechanism for Disruptive Era)” มีการเปิดโอกาสให้ผู้บริหารและคณาจารย์ในระดับอุดมศึกษาได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง ในการจัดการเรียน การสอนทมี่ ุ่งเนน้ การเรยี นรู้ของผู้เรยี น ผ่านการนำเสนอบทความวจิ ยั เกย่ี วกับนวัตกรรมการเรียนการสอนและ การประเมินผลที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุคพลิกผัน ในรูปแบบ Online Presentation ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหาร อาจารย์และนักวิชาการส่งบทความมานำเสนอเพื่อเผยแพร่สู่ สาธารณะ โดยในปีนี้นักวิจัยหรือนักวิชาการ ให้ความสนใจเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนการสอนเป็นการสอน ออนไลนม์ ากขนึ้ ประกอบกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตโควดิ -19 จึงทำใหม้ บี ทความทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การปรับตัว ในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ได้แก่ ความคิดเห็นของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่มีต่อการเรียนการสอน ออนไลน์ในช่วงโควอด-19 เพื่อออกแบบแนวทางการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ และการยอมรับการเรียนแบบ ออนไลน์ในยุคโควิด-19 ของนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการ รวมถึงการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสําหรับการศึกษา แบบออนไลน์: นวตั กรรมการสอนใหม่ในยุคพลิกผัน และนอกจากน้ี ยงั มีบทความเกย่ี วกบั นวัตกรรมการสอนท่ี น่าสนใจ อาทิ การพัฒนาสมรรถนะดา้ นการบริหารจัดการผ่านการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการโคช้ ร่วมกับการ เรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน, ผลการจัดการเรียนรู้วิชาทักษะทางสังคมและการจัดประสบการณ์เรยี นรู้ โดย ใช้โครงการเป็นฐาน, การศึกษาการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะทางอาชีพท่ีสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง นวัตกรรมอย่างพลิกผัน ในรายวิชากลยุทธ์การสร้างสรรคเ์ พ่อื การโฆษณา, และการพฒั นารูปแบบการเรียนการ สอนแบบผสมผสานรว่ มกับการสอนแบบโค้ชและสะเต็มศึกษา เพ่ือสง่ เสรมิ ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม ของนักศึกษา และบทความอื่น ๆ ด้านการพัฒนาการสอนที่น่าสนใจอีกด้วย ซึ่งผู้อ่านสามารถติดตามเนื้อหา และรายละเอียดของบทความได้ในหนังสือประมวลบทความในการประชมุ วิชาการฯ ฉบับน้ี ในนามของคณะทำงานจัดประชุมวิชาการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 ของสมาคมเครือข่ายการพัฒนา วิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (ควอท) และกองบรรณาธิการของหนังสือ ประมวลบทความในการประชุมวิชาการฯ นี้ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณาผลงานทางวิชาการ รวมถึงคณะทำงานจัดประชุมวิชาการฯ ทุกท่าน ที่ช่วยดำเนินการจัดการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้บริหาร คณาจารย์ นักวิชาการและผู้อ่านทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากผลงานทาง วิชาการและวิจัยที่เผยแพร่ในหนังสือประมวลบทความในการประชุมวิชาการฯ นี้ โดยผลงานที่เผยแพร่ใน หนังสือประมวลบทความในการประชุมวิชาการนี้ มีคุณภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด หากท่านมีข้อคิดเห็น หรอื ขอ้ เสนอแนะ ประการใด ท่ีจะนำไปสู่การพัฒนา ปรบั ปรุงใหม้ คี ณุ ภาพดยี ิ่งขึ้น กองบรรณาธกิ ารยินดีรับคำ แนะนำ เพือ่ ปรับปรุงตอ่ ไป ขอขอบคณุ มา ณ ที่นี้ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วิรชั เลศิ ไพฑูรยพ์ ันธ์ ประธานคณะอนกุ รรมการวชิ าการ ควอท บรรณาธกิ าร ฉ
การประชมุ วิชาการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 โครงการประชมุ วชิ าการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 สมาคมเครอื ขา่ ยการพัฒนาวชิ าชพี อาจารย์และองค์กรระดับอุดมศกึ ษาแหง่ ประเทศไทย (ควอท) เรื่อง การพฒั นาระบบและกลไกอดุ มศกึ ษาไทย ในยคุ พลิกผัน “Developing Thai Higher Education System and Mechanism for Disruptive Era” วันพฤหัสบดที ี่ 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2563 ผ่านระบบออนไลน์ …………………………………………………………………. 1. หลกั การและเหตุผล การเปล่ยี นแปลงที่เกิดขนึ้ ในปัจจบุ ันหลายเหตกุ ารณ์ ส่งผลกระทบตอ่ การบรหิ ารจดั การ การดำรงชีวิต การทำงานของบุคคลในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง จึงถูกกำหนดไว้ ในยทุ ธศาสตรช์ าติ สภาวะการณท์ ่ีเปลีย่ นแปลงรอบดา้ นกระทบเป็นวงกว้างในระดบั มหภาค ดังนั้น ทรัพยากร บุคคลจึงมีคุณค่ายิ่งต่อหน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศชาติ โดยการเปลี่ยนแปลงนน้ั สามารถส่งผลกระทบต่อองค์กรได้ในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบที่มีสัญญาณเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือ แบบที่มาเยือนแบบกระทันหันไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยจนถึงผลกระทบที่รุนแรง เรียกว่า วกิ ฤต” ซึ่งวกิ ฤตการณ์ เป็นสภาวะการณ์การเปลี่ยนแปลงท่ีทกุ องค์กรไม่พงึ ปรารถนา และมักส่งผลกระทบต่อ องค์กรอยา่ งเลยี่ งไม่ได้ และจำเป็นตอ้ งได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที รวมถึงบางเหตุการณย์ ังไม่ได้รวบรวมองค์ ความรู้ไว้ ดังเช่น ปรากฎการณ์ไวรัสโคโรน่า (COVID-2019) ที่ส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งประเทศและ ต่างประเทศ เป็นจุดเปลี่ยนการเรียนการสอน การทำงานของบุคคลในองค์กร และยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง และ เป็นเรื่องที่ผู้บริหารหลายฝ่ายยังไม่มีประสบการณ์ในการรับมือ อีกทั้ง การทำความเข้าใจกับประชาชนทุกคน ทุกฝ่ายให้เกิดความร่วมมือกันอย่างจริงจัง นอกจากนี้ สถาบันอุดมศึกษาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ได้แก่ การ รับมือกับผู้ที่ติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ผู้บริหาร อาจารย์และบุคลากร รวมถึงวิธีการป้องกันและแก้ไข ซึ่ง ผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน จำเป็นต้องเปล่ียนไป ผลกั ดนั ใหใ้ ช้การจัดการเรียนการสอน ด้วยระบบออนไลน์อย่างเร่งด่วน การวัดและประเมินผลที่เคยใช้การจัดสอบกับนักศึกษาจำนวนมากในห้อง จำเป็นต้องศกึ ษาหาวิธกี ารวดั ผลใหม่ ๆ และหลากหลายมากข้นึ แต่ยงั คงรกั ษาคุณภาพการเรยี นรูก้ ับนกั ศึกษา สมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (ควอท) ได้ทำงานในลักษณะของเครือข่ายเพื่อสนับสนุนอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในนานาศาสตร์ เพื่อการ พัฒนาตนเองด้านการจัดการเรียนการสอนในฐานะอาจารย์ระดับอุดมศึกษา โดยได้รับการส่งเสริมและ สนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) (2556) มาตั้งแตก่ ารแตง่ ตง้ั ในรปู คณะทำงาน จน ภายหลังได้กอ่ ต้ังและทำงานในรูปแบบของสมาคมฯ สมาคมฯ มีภารกิจในการจัดการประชุมวิชาการเป็นประจำทุกปี เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ทั้งในด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ แนวคิดและแนวปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างที่ดี ตลอดจนการนำเสนอการวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษามาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 15 ในการประชุมวิชาการประจำปี 2563 สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไดใ้ ห้การสนับสนนุ สมาคมฯ จัดการประชมุ วิชาการประจำปีในหวั ข้อ การพัฒนาระบบและกลไก อุดมศึกษาไทย ในยุคพลิกผัน “Developing Thai Higher Education System and Mechanism for Disruptive Era” ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักในกับผู้บริหาร อาจารย์ และบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษา ร่วมกันพัฒนาระบบและกลไก ในการปรับตัวและรับมือกับยุคพลิกผันที่เกิดขึ้น เพื่อเรียนรู้และพัฒนาให้ก้าว ช
การประชมุ วชิ าการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ข้ามภาวะวิกฤตดังกล่าวไปได้ โดยคำนึงถึงผู้เรียนและบุคลากรเป็นสำคัญ ในการประชุมวิชาการในครั้งน้ี ประกอบด้วย การนำเสนอบทความวิจัย บทความวิชาการเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน ในยุคพลิกผัน การ ส่งเสริมการเรียนรู้และเปิดโอกาสให้ผู้บริหารและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเหล่านี้ ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และ ถ่ายทอดองค์ความรู้ตลอดจนประสบการณ์ในการจัดการกระบวนการเรียนการสอน ทม่ี งุ่ เนน้ การเรียนรู้ จากการ ปฏิบัติจริงกบั คณาจารย์ระดับอุดมศึกษาหลากหลายสถาบันทั่วประเทศท่เี ข้ารว่ มประชมุ ในครั้งนี้ มอบหมายให้ สมาคมเครือข่ายการพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (ควอท) ดำเนินการจัด ประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมดังกล่าว จะเป็นหนทางสำคัญที่รองรับการขับเคลื่อนการสร้างเครือข่าย ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งการพัฒนาองค์กรให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ อยา่ งมคี ณุ ภาพ ซึง่ จะนำไปส่คู วามตระหนักรู้ในความสำคัญของเรื่องนี้ จนเกดิ การสร้างหน่วยงานรองรับหน้าท่ี การพฒั นาดงั กล่าวในแต่ละสถาบนั ของตนเองไดเ้ ปน็ อย่างดใี นอนาคต 2. วตั ถปุ ระสงค์ 2.1 เพื่อให้ความรู้และแนวคิดด้านการพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุคพลิกผันใน ระดบั อดุ มศึกษา โดยผู้ทรงคุณวุฒทิ ง้ั ชาวไทยและชาวต่างประเทศ 2.2 เพื่อกระตุ้น ส่งเสริม การพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย และการจัดการเรียนการสอนใน ยุคพลิกผนั ในสถาบนั อดุ มศกึ ษา 2.3 เพื่อสรรหาและเชิดชูเกียรติมหาวิทยาลัยที่มีการส่งเสริมพัฒนาการจัดการเรียนการสอน และ เชิดชูเกยี รตอิ าจารยต์ น้ แบบทคี่ ดิ คน้ พัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนใหม่ ๆ 2.4 เพื่อเป็นเวทีเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ ด้านนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน ในยคุ พลกิ ผัน ของอาจารย์ในสถาบนั อุดมศึกษา 2.5 เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือแลกเปลย่ี นเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ เก่ียวกับ การเรยี นการสอนทจี่ ำเป็นต่อการเปลย่ี นแปลงดา้ นการศึกษาระหว่างสถาบันและคณาจารย์อดุ มศึกษาท่วั ประเทศ 2.6 เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้คณาจารย์ตระหนักในบทบาทและหน้าที่ในการจัดการเรียนการสอน ให้มคี ณุ ภาพสอดคล้องตามกรอบมาตรฐานคณุ วุฒริ ะดบั อุดมศกึ ษา 3. ขอบเขตและรูปแบบการดำเนินงาน การจัดประชุมวิชาการ จะประกอบดว้ ยกิจกรรมดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 การรับฟังการบรรยายพิเศษ การพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุคพลิกผัน โดย ผู้ทรงคุณวุฒิท้ังชาวไทยและตา่ งประเทศ 3.2 การมอบรางวลั เชิดชูเกยี รติมหาวิทยาลยั ที่มีการส่งเสริมพัฒนาอาจารย์ จนมีอาจารย์ต้นแบบด้าน การเรียนการสอน 3.3 การมอบรางวัล Best Practice สำหรบั ผ้ผู ่านการอบรมจาก ควอท แล้วนำความรูก้ ลับไป ต่อยอด และนำมาแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ 3.4 การนำเสนอบทความวิจัย บทความวิชาการ เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอน ในยุคพลิกผัน ของอาจารย์จากสถาบนั อดุ มศกึ ษา โดยมีการคัดเลอื กใหร้ างวัลบทความดเี ด่น จำนวน 3 บทความ 4. ผู้เขา้ ร่วมประชุม จำนวน 500 คน ประกอบด้วย 4.1 ผู้บรหิ ารระดับกระทรวงท่ีกำกับดูแลการอดุ มศึกษา ซ
การประชมุ วชิ าการ ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 4.2 ผบู้ รหิ ารระดับสงู ของสถาบนั อุดมศกึ ษาทั่วประเทศ 4.3 ตัวแทนของมหาวิทยาลยั ท่ีไดร้ บั การคัดเลือกใหร้ บั รางวลั 4.4 สมาชิกสมาคม ควอท 4.5 คณาจารย์และบุคลากรจากสถาบันอดุ มศึกษา 4.6 คณะกรรมการของ ควอท และผู้ปฏิบัติงาน 4.7 นสิ ติ นักศกึ ษาระดับบัณฑิตศกึ ษา 5. ระยะเวลาดำเนนิ การและสถานที่ วนั พฤหัสบดที ี่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ผา่ นระบบออนไลน์ 6. หน่วยงานทีร่ ับผิดชอบ 6.1 สำนกั งานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม 6.2 สมาคมเครือข่ายการพฒั นาวิชาชีพอาจารยแ์ ละองคก์ รระดบั อุดมศกึ ษาแหง่ ประเทศไทย (ควอท) 7. งบประมาณ 7.1 สมาคมเครอื ข่ายการพฒั นาวิชาชพี อาจารยแ์ ละองค์กรระดับอดุ มศกึ ษาแหง่ ประเทศไทย (ควอท) 7.2 เกบ็ คา่ ลงทะเบยี น บุคคลทว่ั ไปคนละ 300 บาท สมาชิกควอท ไม่มีคา่ ลงทะเบยี น 8. ผลทค่ี าดว่าจะได้รบั 8.1 สถาบันอุดมศึกษาและคณาจารย์มีแนวทางในการพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุค พลิกผนั ในสถาบนั อดุ มศกึ ษา 8.2 สถาบันอุดมศึกษาและคณาจารย์เกิดแนวความคิดการพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทยและ การจัดการเรียนการสอน ในยุคพลิกผัน ในสถาบันอดุ มศึกษา 8.3 สถาบันอุดมศึกษาและคณาจารย์มีแนวทางในการพัฒนาระบบและกลไกอุดมศึกษาไทย ในยุค พลิกผัน ในสถาบันอุดมศึกษา การส่งเสริมการเรียนรู้จากงานวิจัย เพื่อขยายผลให้อาจารย์ในสถาบันนำไป ประยกุ ต์ใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนใหม้ คี ุณภาพ 8.4 สถาบันอุดมศึกษาและคณาจารย์ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในกระบวนการการ จดั การเรยี นการสอนท่มี ีประสทิ ธิภาพ 8.5 สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยพัฒนาการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้เห็นตัวอย่างของ การดำเนินการจดั การเรียนรูใ้ นรปู แบบที่หลากหลาย เกิดความคิดอันจะนำไปใช้และวิจยั เชงิ ปฏบิ ัติการต่อยอด ใหเ้ กิดนวตั กรรมการเรยี นรทู้ ่ไี ดผ้ ลเลิศตอ่ ไป 8.6 เกิดเครือข่ายผูร้ ู้ในกระบวนการในการจัดการเรยี นการสอนในศาสตร์ต่าง ๆ และเกิดความร่วมมือ ระหวา่ งคณาจารยท์ ั้งในและระหว่างมหาวิทยาลยั ในการพฒั นาการเรียนการสอนในภมู ิภาคต่าง ๆ ของประเทศ อยา่ งยัง่ ยนื ตอ่ ไป ฌ
การประชุมวิชาการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 กำหนดการการประชมุ วชิ าการครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 สมาคมเครอื ข่ายการพฒั นาวิชาชพี อาจารยแ์ ละองคก์ รระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (ควอท) เรือ่ ง การพฒั นาระบบและกลไกอดุ มศึกษาไทย ในยคุ พลิกผัน “Developing Thai Higher Education System and Mechanism for Disruptive Era” วนั พฤหสั บดีที่ 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2563 ระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom วนั พฤหสั บดที ่ี 30 กรกฏาคม 2563 08.00 - 09.00 น. ลงทะเบียน 09.00 - 09.45 น. พธิ ีเปิดการประชุมวชิ าการ - กลา่ วรายงาน โดย รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑติ ทิพากร นายกสมาคมเครอื ขา่ ยการพัฒนาวิชาชพี อาจารย์ และองค์กรระดบั อุดมศึกษาแหง่ ประเทศไทย (ควอท) - กลา่ วเปิด โดย ศาสตราจารย์ สมั พันธ์ ฤทธิเดช เลขาธกิ ารคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา มอบโล่ประกาศเกยี รตคิ ุณและใบประกาศเกยี รติคณุ มหาวทิ ยาลยั และอาจารย์ 09.45– 10.15 น. ปาฐกถาพิเศษ เรอ่ื ง “การปรบั ตัวในยคุ ปกตใิ หม่ (New Normal /Next Normal)” โดย ศาสตราจารย์คลนิ กิ เกียรตคิ ณุ นายแพทย์อุดม คชินทร 10.15 – 10.30 น. พักเบรค 10.30 – 12.00 น. นำเสนอผลงานนวตั กรรมการเรียนการสอนของอดุ มศึกษาในยคุ พลิกผัน 12.00 – 13.00 น. พกั รบั ประทานอาหารกลางวนั 13.00 – 15.00 น. การประชุมเชิงปฏิบตั ิการ เรื่อง Active learning in online classes: jigsaw technique โดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธนิตา เลิศพรกุลรัตน์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ 15.00 – 15.15 น. พกั เบรค 15.15 – 16.00 น. การบรรยายพเิ ศษ เรอื่ ง Crisis Management in Higher Education โ ด ย Professor Robert Paton, Director of Development, Adam Smith Business School; Deputy Dean Graduate Studies, College of Social Sciences, University of Glasgow 16.00 น. ปดิ การประชมุ **หมายเหตุ กำหนดการอาจเปลยี่ นแปลงตามความเหมาะสม ญ
การประชมุ วชิ าการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 สารบัญ สารจากปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วจิ ัย และนวัตกรรม หน้า สารจากนายกเครือข่ายการพัฒนาวชิ าชพี อาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแหง่ ประเทศไทย (ควอท) ง บทบรรณาธกิ าร จ โครงการประชุมวิชาการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 ฉ กำหนดการการประชมุ วชิ าการครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 ฌ ญ บทความวจิ ยั 1 ➢ ผลการจัดการเรยี นรตู้ ามกระบวนการแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรคท์ ่ีมตี ่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 11 และความสามารถในการแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ของนักศกึ ษาสาขาวิชาปฐมวยั ช้ันปีที่ 3 20 รวี ศริ ปิ รชิ ยากร*, อญั ชษิ ฐา ปิยะจิตติ, จริ าภรณ์ ยกอนิ ทร์, ชนมธ์ ดิ า ยาแกว้ และ จริ ะ จิตสภุ า 27 ➢ ผลการจัดการเรียนรู้วิชาทกั ษะทางสงั คมและการจัดประสบการณ์เรียนรู้ โดยใช้โครงการเป็น 36 ฐานของนักศกึ ษาคณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต 48 จิราภรณ์ ยกอนิ ทร์*, อญั ชษิ ฐา ปิยะจิตติ, รวี ศริ ปิ รชิ ยากร, ชนม์ธดิ า ยาแกว้ และ จริ ะ จิตสภุ า 55 66 ➢ การพัฒนาความสามารถในการอ่านคา่ โนต้ สากล โดยใช้เทคนคิ การอ่านสัญลกั ษณ์จังหวะของโค ดาย ร่วมกบั การเรียนรจู้ ากการปฏบิ ตั ิจรงิ ของนกั ศกึ ษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีท่ี 3 75 คณะครุศาสตร์ อัญชิษฐา ปยิ ะจติ ต*ิ , รวี ศิรปิ รชิ ยากร, จริ าภรณ์ ยกอินทร์, ชนมธ์ ิดา ยาแกว้ และ จิระ จิตสภุ า ➢ การศกึ ษาการเรียนรู้เพอ่ื สง่ เสริมทักษะทางอาชพี ทส่ี อดคล้องกบั การเปลี่ยนแปลงนวตั กรรม อย่างพลิกผนั ในรายวิชากลยุทธก์ ารสร้างสรรค์เพ่ือการโฆษณา กรชนก ชดิ ไชยสุวรรณ* ➢ การสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ท่มี ีต่อการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงโควิท 19 เพ่อื ออกแบบแนวทางการจัดการเรียนรู้รปู แบบใหม่ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม เสถียร พูลผล* และ ปฏิพล อรรณพบรบิ รู ณ์ ➢ การยอมรับการเรียนแบบออนไลน์ในยคุ โควิด-19 ของนักศึกษาสาขาวชิ าการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรธี รรมราช ภทั ราวรรณ วังบญุ คง* และ เพยี งใจ คงพันธ์ ➢ การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนแบบผสมผสานรว่ มกบั การสอนแบบโค้ชและสะเต็มศึกษา เพ่อื ส่งเสริมทกั ษะด้านการเรียนรู้และนวตั กรรมของนักศึกษาวชิ าชีพครู มสั ยา ร่งุ อรณุ * และ อนริ ุทธ์ สติมน่ั ➢ การพัฒนาสมรรถนะด้านการบรหิ ารจดั การผา่ นการเรียนรู้ โดยใชก้ ระบวนการโค้ช ร่วมกบั การเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ก้องกาญจน์ วชริ พนงั , วรรณชร ไชยเดช* และ ธีมา เหลอื งอรณุ บทความวิชาการ ➢ การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุกสำหรับการศกึ ษาแบบออนไลน:์ นวตั กรรมการสอนใหม่ในยุคพลิกผนั ชนัตถ์ พูนเดช* 1 ฎ
การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 ผลการจดั การเรียนรูต้ ามกระบวนการแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรคท์ ีม่ ีต่อผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน และความสามารถในการแกป้ ัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ของนกั ศกึ ษาสาขาวชิ าปฐมวัยชน้ั ปที ี่ 3 The Effect of Creative Problem Solving Process Learning towards Academic Achievement and Creative Problem Solving Ability of the 3rd Year Students Majoring Early Childhood Education รวี ศิริปรชิ ยากร1*, อญั ชษิ ฐา ปิยะจิตติ1, จริ าภรณ์ ยกอินทร์1, ชนม์ธดิ า ยาแกว้ 1 และ จิระ จิตสุภา1 บทคัดยอ่ การวจิ ัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1. เพือ่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรอ่ื ง จรรยาบรรณวิชาชีพครู ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ในรายวิชาวิชาชีพครูปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ 2. เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิ ชาชีพครู ของนกั ศึกษาช้ันปีที่ 3 ในรายวิชาวชิ าชพี ครูปฐมวัย หลงั การจัดการเรียนรกู้ ารแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ 3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ในรายวิชาวิชาชีพครูปฐมวัย ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาขั้นปีที่ 3 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ ตั้งนครนายกท่ี ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิชาชีพครูปฐมวัย รหัสวิชา 1075702 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 60 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผน การจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู, แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู, แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ ในงานวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ 1. วเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้คา่ เฉลีย่ ( x ) และสว่ น เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่าทีชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent group) และหาค่าคะแนนพัฒนาการ 2. วเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ โดยใช้ ค่าเฉลีย่ ( x ) และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ 3. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็น ของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยมีดังนี้ นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ ก่อนการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์มีคะแนนเฉลี่ยความรู้ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู เท่ากับ 10.38 และหลังการจัดการเรียนรู้มีคะแนนเฉลี่ยความรู้ เรื่องจรรยาบรรณ วิชาชีพครู เท่ากับ 14.75 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย สรุปได้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้ตาม กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ นักศึกษามีความรู้เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู สูงกว่าก่อนเร่ิม การจดั การเรยี นร้อู ย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั 0.05 คะแนนพฒั นาการของนกั ศกึ ษาร้อยละ 75 มีพัฒนาการ ระดับปานกลาง นักศึกษาร้อยละ 18.33 มีพัฒนาการระดับสงู และนักศึกษาร้อยละ 3.33 มีพัฒนาการระดับสูง มากและระดับต้น ผลการศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู ที่จัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พบว่า นักศึกษามีกระบวนการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( x =3.91, S.D.=0.65 ) และผลความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั สวนดุสติ * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 1
การประชมุ วิชาการ ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พบว่า นักศึกษาตอบแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักศึกษาปฐมวัยชั้นปีที่ 3 ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อยู่ในระดับพอใจ มาก มคี ่าเฉลี่ยเทา่ กับ 4.49 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.57 คำสำคญั : การจัดการเรียนร้ดู ้วยการแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ กระบวนการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ABSTRACT The purposes of this research were 1. to compare the academic achievement in the professional ethics for teachers of the 3rd year students in the early childhood teacher professional course before and after using creative problem solving process learning, 2. to study the creative problem solving ability of the students about the professional ethics for teachers before and after using creative problem solving process learning and 3. to study the students’ opinions towards creative problem solving process learning. The sample group used in this research was the 3rd year undergraduate students, majored in early childhood education, faculty of education at Suan Dusit University, Nakhonnayok campus who enrolled in the early childhood teacher professional course (1075702) in the second semester of the 2018 academic year. There were 60 students who were selected from the purposive sampling method. The research instruments were lesson plans with creative problem solving process on the professional ethics for teachers, an achievement test about the professional ethics for teachers, a creative problem solving ability assessment form and a questionnaire of students' opinions towards creative problem solving process learning. The statistics used in this research were 1. to analyze the data from the achievement test by using the mean ( x ) and standard deviation (S.D.), testing the t-test dependent group and evaluating the development score, 2. to analyze the data from the creative problem solving ability assessment form by using mean ( x ) and standard deviation (S.D.) and 3. to analyze the data from the questionnaire by using mean ( x ) and standard deviation (S.D.). The results of this study showed that before using the creative problem-solving process, the average score of knowledge on professional teaching ethics was 10.38. After using the creative problem- solving process, the mean score of knowledge on professional teaching ethics was 14.75. In conclusion, upon completion of using the creative problem solving process, the students’ knowledge about the professional ethics for teachers was higher than before with the statistically significant at the 0.05 level. The developmental scores of students had 75% of moderate level, 18.33% of high level and 3.33% of very high level and beginner level. The results of the creative problem solving ability the professional ethics for teachers found that the students had the creative problem solving process in the high level ( x =3.91, S.D=0.65). Lastly, the results of the students’ opinions towards creative problem solving process found that the organizing learning activities was at a highest level with an average of 4.49 and the standard deviation 0.57 Keywords: creative problem solving process learning, creative problem solving process, academic achievement 2
การประชมุ วชิ าการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 บทนำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 ยุทธศาสตร์ที่ 1 ด้าน การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทนุ มนุษย์ ไดร้ ะบวุ ่า การพฒั นาประเทศต้องให้ความสำคัญกับการวางรากฐาน การพัฒนาคน ให้มีความสมบูรณ์ เริ่มตั้งแต่กลุ่มเดก็ ปฐมวัยที่ต้องพัฒนาให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี มีทักษะทาง สมอง ทกั ษะ การเรียนรู้ และทักษะชีวิต เพ่ือใหเ้ ติบโตอยา่ งมีคุณภาพ ควบค่กู บั การพฒั นาคนไทยในทกุ ชว่ งวยั ให้ เป็นคนดี มีสุขภาวะที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวนิ ัย มีจิตสำนึกที่ดตี ่อสงั คมส่วนรวม มีทักษะความรู้และ ความสามารถปรับตัวเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงรอบตัวที่รวดเร็ว บนพื้นฐานของการมีสถาบันทางสังคม ที่เข้มแข็งทั้งสถาบนั ครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันชุมชน และภาคเอกชนท่ีร่วมกันพัฒนา ทุนมนุษย์ให้มีคุณภาพสูง อีกทั้งยังเป็นทุนทางสังคมสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ (สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ, 2559) นอกจากนี้แผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ยุทธศาสตร์ที่ 3 ยังกล่าวถึงยกระดับคุณภาพบัณฑิต โดยกำหนดกระบวนทัศน์ การเรียนรู้ของบัณฑิตใหเ้ ป็นไปตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาอย่างน้อย 5 ด้าน คือ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านความรู้ ด้านทักษะทางปัญญา ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบด้าน ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (สำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา, 2556) ดังนน้ั ในการจดั การเรยี นการสอนของครใู นแต่ละครง้ั นอกเหนือจากความรใู้ นเนื้อหาสาระ ท่ตี อ้ งการใหน้ ักเรยี นไดร้ บั แล้ว ครูยงั ต้องคำนงึ ถึงทักษะและความสามารถของนักเรยี นที่พงึ จะได้รับและอีกท้ังยัง สามารถนำความสามารถนนั้ ไปใชไ้ ดใ้ นชีวติ ประจำวันอีกด้วย สภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน มีความจำเป็นต่อการผลิตครูรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นทักษะใน ศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนาสู่ความเป็นครูมืออาชีพ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (2559) กล่าวถึงคณุ ภาพคนในปัจจบุ นั พบว่ายงั มีปัญหาในแตล่ ะช่วงวัยและส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกนั ตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่พัฒนาการ ไม่สมวัยในเด็กปฐมวัย ผลลัพธ์ทางการศึกษาของเด็กวัยเรียนค่อนข้างต่ำ การพัฒนาความรูแ้ ละทักษะของ แรงงานไม่ตรงกับตลาดงานขณะทีผ่ สู้ งู อายุมปี ัญหาสุขภาพและมแี นวโน้มอยู่คน เดียวสงู ขนึ้ ครอบครัว มีรูปแบบทีห่ ลากหลายและเปราะบางสงู ส่งผลต่อการบม่ เพาะให้เด็กเตบิ โตอย่างมีคุณภาพ นักศึกษาครูในปัจจุบันนอกจากต้องมีทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 แล้ว การเรียนรูเ้ กี่ยวกับจรรยาบรรณครู ซ่งึ เป็นขอ้ กำหนดเกี่ยวกับความประพฤติหรอื การปฏิบตั ติ นของผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครู เพือ่ รักษาและสง่ เสรมิ เกียรติ คุณชื่อเสียงและฐานะของความเป็นครูไทยเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเมื่อนักศึกษาครูเข้าสู่วิชาชีพแล้วก็ต้อง ประกอบวชิ าชพี ภายใตข้ ้อบงั คับ ข้อจำกดั และเงอ่ื นไข ตลอดจนประพฤติปฏบิ ตั ติ นตามจรรยาบรรณ วชิ าชีพและ มาตรฐานของวิชาชพี ทางการศกึ ษาท่กี ำหนดไว้ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่นักศึกษาครูสามารถพัฒนาและสามารถฝึกฝนได้ เนื่องจากคน เป็นครูมีหน้าที่ในการปลูกฝังทั้งความรู้และทักษะชีวิตให้ผู้เรียนอย่างเด่นชัดที่สุด ครูมีอิทธิพลต่อการเรียน การสอนของนักเรียน ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ความรู้ พัฒนาทักษะและความสามารถใน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ให้กับนักเรียนเช่น การเป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน แนะนำวิธีการเสาะ แสวงหาความรู้ ปลูกฝงั จิตวญิ ญาณ คณุ งามความดแี ละถา่ ยทอดลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2556) ได้กล่าวถึงทักษะการแกป้ ัญหาไว้ในหนงั สอื การคิดเชงิ สรา้ งสรรค์ ว่า “ทักษะการแกป้ ญั หาเป็นส่ิงจำเป็น ทตี่ ้องสร้างใหเ้ กดิ ขนึ้ ในเด็กและเยาวชนไทย เพ่ือสามารถเผชญิ ปัญหาตา่ ง ๆ ได้ มิใช่เพกิ เฉยต่อปัญหา หนีปัญหา หรอื แกป้ ัญหาด้วยวิธีการไม่เหมาะสมจนเกดิ ผลเสียต่อตนเองหรือส่วนรวมได้และอาจพฒั นาเด็กและเยาวชนให้มี ความสามารถแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมส่วนรวมได้” ดังนั้นนักศึกษาครูจึงควรมีทักษะในการแก้ปัญหาและ การแก้ปัญหานั้นควรเป็นการแก้ปัญหาที่เหมาะสม และไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ซึ่งการแก้ปัญหาอย่าง สรา้ งสรรคก์ อ่ ใหเ้ กดิ แนวทางทสี่ ามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันไดท้ งั้ ในปจั จบุ นั และอนาคต 3
การประชุมวิชาการ ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 รายวิชาวชิ าชพี ครูปฐมวัย เป็นรายวิชาเฉพาะด้านของหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต พุทธศักราช 2554 (หลักสูตร 5 ปี) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาการศึกษาปฐมวัย ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดผลลัพธ์ การเรียนรู้ใน 3 ด้าน คือ ด้านสาระ ด้านการเชื่อมโยง และด้านความสามารถและคุณลักษณะ ในส่วนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ได้กำหนดไว้ 3 ลักษณะ คือ กิจกรรมด้านทฤษฎี กิจกรรมด้านการปฏิบัติ และกิจกรรม การศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งมีแนวทาง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และอาศัย หลักการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง การผสมผสานภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเข้าด้วยกัน การระดมความคิด การทำงานเปน็ กลุ่ม การแกป้ ัญหา และการสรา้ งองคค์ วามรู้ ตลอดจนการปลกู ฝงั ความรบั ผิดชอบ ความมคี ณุ ค่า ในตนเองและในวิชาชพี ครปู ฐมวยั ดังนั้น ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สำหรับนกั ศึกษาครูจงึ มี ความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาพบว่านักศึกษายังมีปัญหาในการคิด วิเคราะห์เพื่อให้ได้ คำตอบที่แตกต่าง หลากหลาย และเป็นวิธีการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เหมาะสมกับสถานการณ์และปัญหา ใหม่ๆทเี่ กดิ ขน้ึ ในปจั จุบนั ผูว้ จิ ัยจงึ เลง็ เหน็ ถึงประโยชน์ของการพฒั นากระบวนการแก้ปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ซึ่ง เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เริ่มต้นด้วยการเสนอเหตุการณ์หรือสถานการณ์แล้วให้ผู้เรียนค้นหาปั ญหาท่ี แท้จริง จนกระทั่งได้แนวทางการแก้ปัญหา และยอมรับข้อค้นพบในที่สุด วิธีการนี้สามารถส่งเสริมและพัฒนา ทักษะการสร้างปัญญา (Cognitive Skills) ทักษะเจตคติ (Affective Skills) และทักษะการรู้เกี่ยวกับการคิดหรอื วธิ คี ิดของตัวเอง (Metacognitive Skills) ซง่ึ ทกั ษะเหล่านีม้ ีความสำคัญต่อการดำรงชีวติ ทีบ่ คุ ลากรทางการศึกษา พึงมีและปลูกฝังก่อนออกไปประกอบวิชาชีพในอนาคต (วัชรา เล่าเรียนดี, 2554) จากความสำคัญของ กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะศึกษาผลการพัฒนากระบวนการแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ในรายวิชาชีพครูปฐมวัย ซึ่งส่งผลส ำคัญต่อ กระบวนการผลติ ครู และใหไ้ ดค้ รูท่มี ีคุณภาพในการพัฒนาประเทศตอ่ ไป วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ในรายวิชาวชิ าชพี ครปู ฐมวยั ก่อนและหลงั การจดั การเรียนรู้การแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ 2. เพ่อื ศกึ ษาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชพี ครู ของนักศึกษา ชน้ั ปีท่ี 3 ในรายวชิ าวชิ าชพี ครปู ฐมวยั หลงั การจัดการเรียนรู้การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ 3. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ในรายวิชาวชิ าชีพครูปฐมวัย ที่มีต่อการจัดการเรยี นรู้ การแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ วิธีดำเนนิ การวจิ ัย ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากรทีใ่ ชใ้ นการศึกษาครัง้ นี้เป็นนกั ศึกษาช้นั ปที ี่ 3 สาขาการศึกษาปฐมวยั มหาวิทยาลัยสวนดุสติ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิตดุสิต ศูนย์การศึกษา นอกที่ตั้ง นครนายก หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิชาชีพครู ปฐมวัย รหัสวิชา 1075702 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 60 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครอ่ื งมือวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู รายวิชาชีพครู จำนวน 2 แผน แผนละ 4 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที มขี นั้ ตอนในการสรา้ ง ดงั น้ี 4
การประชมุ วชิ าการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 1.1 ศึกษา ตำรา เอกสาร งานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู 1.2 สร้างแผนและแนวทางการจัดการเรยี นรตู้ ามข้นั ตอนการจดั การเรยี นร้ดู ้วยโครงงาน มีรายละเอียด ดงั น้ี 1.2.1 ช่อื กจิ กรรม 1.2.2 จุดมงุ่ หมายการจดั กจิ กรรม 1.2.3 ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรม 1.2.4 สอื่ /แหลง่ เรียนรู้ 1.2.5 การประเมนิ ผล 1.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องตามเนื้อหาแล้ว นำมา ปรับปรุงแกไ้ ขกอ่ นนำไปใช้ 1.4 นำแผนการจดั การเรยี นรไู้ ปใช้เปน็ เครื่องมือในการจัดการเรยี นร้กู ับกลุ่มตัวอย่าง ดงั ตาราง คาบ ข้ันตอนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี การแก้ปญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ กิจกรรมการเรียนรู้ ผลผลิต 1 ขนั้ ท่ี 1 1. ผสู้ อนนำเสนอสถิติความรนุ แรงจากการกระทำ ค้นพบปัญหา การเข้าถึงปัญหา ของครูกบั เด็กในปจั จบุ ัน และชม วิดีทัศน์ เรื่อง ทแ่ี ท้จริง 1.1 การเหน็ ความสำคัญ ปัญหาจรรยาบรรณวิชาชีพครูทพี่ บในปัจจุบัน 1.2 การสำรวจข้อมลู 2. แบ่งกลุ่มนกั ศกึ ษาตามความสมัครใจกลุ่มละ 1.3 การระบุปญั หา ประมาณ 5-6 คน 2 ขน้ั ท่ี 2 3. นักศึกษาเสนอความคิดเกยี่ วกับวิธีการและแหล่ง พบข้อมูลที่เกย่ี ว การคิดวธิ ีการแก้ปญั หา สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับปัญหา ขอ้ งกบั ปัญหาซง่ึ 2.1 ผลติ ความคิด 4. นักศึกษาแตล่ ะคนสืบค้นหาข้อมูลท่ีเกี่ยวกบั ปัญหา เป็นประเดน็ ปญั 2.2 พัฒนาความคิด โดยใช้วิธีการและแหล่งข้อมูลท่ไี ด้เสนอร่วมกนั หาทีต่ ้องแก้ไข 5. นักศึกษาร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับข้อมูลของปัญหา ที่ได้จากการสืบคน้ และสรุปประเด็นของปัญหา ทต่ี ้องแกไ้ ข 6. นักศึกษาระดมความคิดร่วมกันอภิปรายและเสนอ แนวทางที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา เลขาของกลมุ่ จดบนั ทกึ ทกุ ความคดิ เหน็ โดยยงั ไมม่ ีการลงข้อสรปุ ทนั ที ผสู้ อนกระตุ้นใหน้ กั ศึกษารว่ มแสดงความคดิ เห็น รวมทง้ั เลา่ เหตกุ ารณแ์ ละแนะนำเทคนคิ เพอ่ื ใหเ้ กิด การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ข้นั ท่ี 3 7. เม่ือไดข้ ้อเสนอแนะเกี่ยวกบั วิธีการแก้ปญั หา พบแนวทางการ การเลอื กและเตรียมการ ในระดบั หนึง่ แลว้ ให้นกั ศึกษาร่วมกนั ลงความเห็น แกป้ ญั หา 3.1 การเลือกวิธีการแก้ปัญหา เลือกแนวทางท่คี ดิ วา่ ดที ่ีสดุ ในการทจี่ ะนำมาใช้ ทีห่ ลากหลาย 3.2 การคาดการณผ์ ลกระทบ แกป้ ญั หาโดยผสู้ อนใหข้ ้อเสนอแนะวา่ วธิ ีการแก้ปัญหา อาจจะไมใ่ ช่ความคดิ ของใคร คนใดคนหนึ่ง แตอ่ าจเปน็ การนำแนวคดิ ทด่ี ๆี สามารถแก้ปญั หาได้ ของเพ่ือนหลายๆ คนมารวมกนั เกดิ เปน็ การแกป้ ญั หา แนวใหม่ ทไี่ มเ่ คยมใี ครทำมากอ่ น 8. จากน้ันจึงให้นักศึกษาตัดสินใจเลือกวิธกี าร แกป้ ญั หาทเ่ี หมาะสมมากที่สดุ 9. ผู้สอนถามคำถามให้นักศกึ ษากลับไปคิดวา่ “รไู้ ด้อย่างไรว่าวิธกี ารทเ่ี ลือกจะสามารถแก้ปญั หา ไดจ้ ริง” โดยให้นักศกึ ษากลับไปคิดหาเหตผุ ลมา อภปิ รายภายในกลมุ่ ในคาบเรยี นตอ่ ไป 5
การประชมุ วชิ าการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 คาบ ข้ันตอนการจัดการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ผลผลิต ท่ี การแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ 3 ขนั้ ที่ 4 นกั ศึกษาร่วมกนั อภิปราย เสนอความคดิ แลกเปลีย่ น พบแนวทางทด่ี ี การวางแผนการแก้ปัญหา ความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั แนวทางการแก้ปญั หาที่กลุม่ ตน และเหมาะสม 4.1 การประเมนิ งาน เองเลอื กว่าสามารถแกป้ ญั หาได้จริงหรือไม่ อย่างไร ทส่ี ดุ ในการ 4.2 การออกแบบกระบวนการ แกป้ ัญหา 4 ข้ันท่ี 5 เม่อื ตัดสนิ ใจได้แนน่ อนถึงวิธกี ารแก้ปญั หาแล้ว โครงการ การลงมอื ปฏบิ ตั ิ ให้นกั เรียนร่วมกันวางแผน โครงการ “ครปู ฐมวัย 5.1 การลงมือปฏบิ ัติ “ครูปฐมวัยมอื อาชพี ” โดยการนำแนวทางการ มืออาชพี ” 5.2 การเผชญิ ปัญหา แก้ปญั หาทก่ี ลมุ่ ของตนรว่ มกันคดิ ไปใช้ในการ เขยี นแผนโครงการ 2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู จำนวน 20 ข้อ ใช้วัดก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ มีข้ันตอนในการสร้าง ดงั น้ี 2.1 ศึกษาเนื้อหาตำราและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ งทางจรรยาบรรณวชิ าชีพครู 2.2 นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพ่อื กำหนดแบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรู้ จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู 2.3 สรา้ งแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ เรอ่ื ง จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู 2.4 นำแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผล จำนวน 3 ท่านพิจารณา ข้อสอบ พร้อมหาคา่ IOC ได้เทา่ กับ 0.67 – 1.00 2.5 เลือกข้อสอบที่ผ่านการพิจารณา และจัดทำแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง จรรยาบรรณ วชิ าชีพครู แบบปรนัย 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ข้อ 2.6 นำไปทดลองใช้กับกลุ่มทดลองที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาค่าดัชนีความยากง่าย (p) มีค่า อยู่ในช่วง .20 ถึง .80 ค่าดัชนีอำนาจจำแนก (r) มีค่าตั้งแต่ .20 และค่าความเที่ยง (Reliability) มีค่า ตั้งแต่ .50 โดยข้อสอบมีค่า ความยากง่ายอยูร่ ะหว่าง 0.28-0.53 ซึง่ เปน็ ข้อสอบที่ใชไ้ ด้ ขอ้ สอบมีคา่ จำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.53 และค่าความเท่ยี ง ไดเ้ ท่ากบั 0.61 ซึง่ เปน็ ค่าความเชื่อม่ันปานกลาง 2.7 นำไปใช้กับกลุ่มตวั อยา่ งจรงิ ก่อนการทดลอง (Pretest) และหลงั การทดลอง (Posttest) 3. แบบประเมนิ กระบวนการแกป้ ญั หาอย่างสร้างสรรค์ มขี ั้นตอนการสร้างดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารเก่ียวกับการสรา้ งแบบประเมินกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ 3.2 นำขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการศึกษามากำหนดวตั ถปุ ระสงคแ์ ละสรา้ งแบบประเมนิ กระบวนการแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ 3.3 นำแบบประเมินกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเพื่อตรวจหาความ เทย่ี งตรงเชงิ เนอ้ื หาของแบบสอบถาม จำนวน 3 ทา่ น (IOC เทา่ กบั 0.67 – 1.00) 3.4 นำข้อคำถามจากแบบประเมนิ กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ที่ผา่ นการประเมินมาคัดเลือกไป ใช้กับกล่มุ ตวั อย่างโดย ใช้แบบมาตรตราสว่ นประมาณค่า (Rating scale) แบ่งออกเป็น 5 ระดบั ดงั นี้ 4.50 – 5.00 หมายถงึ มกี ระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคอ์ ยใู่ นระดับมากที่สดุ 3.50 – 4.49 หมายถงึ มีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคอ์ ยู่ในระดับมาก 2.50 – 3.49 หมายถงึ มีกระบวนการแก้ปญั หาอย่างสร้างสรรคอ์ ยใู่ นระดบั มากปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง มกี ระบวนการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรคอ์ ยใู่ นระดับนอ้ ย 1.00 – 1.49 หมายถงึ มีกระบวนการแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรคอ์ ย่ใู นระดบั นอ้ ยท่ีสุด 6
การประชมุ วชิ าการ ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 4. แบบสอบถามความคิดเหน็ ของนักศึกษาที่มีต่อการจดั การเรียนรู้การแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรค์ มีขั้นตอน การสร้างดงั นี้ 4.1 ศกึ ษาแบบสอบถามความพึงใจจากเอกสารงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วกับ เพอ่ื เปน็ แนวทางในการในการสร้างคำถาม 4.2 นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์และสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ ให้สอดคล้องกับ การจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่าง แบ่งหัวข้อในการสอบถามความคิดเห็นเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ บรรยากาศในการจัดการเรยี นรู้ และประโยชน์จากการเรยี นรู้ 4.3 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเพื่อตรวจหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของ แบบสอบถาม จำนวน 3 ท่าน (IOC เทา่ กบั 0.67 – 1.00) 4.4 นำขอ้ คำถามจากแบบสอบถามความพงึ พอใจทผี่ ่านการประเมินมาคดั เลือก แบง่ ออกเป็น 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหา อยา่ ง สร้างสรรค์ และตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะ 4.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจ ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง หลังจากผ่านการเรียนการสอนโดย ใชแ้ บบส่วนประมาณคา่ (Rating scale) แบ่งออกเป็น 5 ระดบั ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถงึ พอใจมากทสี่ ุด 3.50 – 4.49 หมายถงึ พอใจมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง พอใจปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถงึ พอใจนอ้ ย 1.00 – 1.49 หมายถงึ พอใจนอ้ ยที่สดุ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. ศึกษาข้อมูลจากตำรา เอกสาร งานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ และ จรรยาบรรณวิชาชีพครู การสร้างเครื่องมือ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู 3) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา อย่างสรา้ งสรรค์ และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศกึ ษาทมี่ ตี อ่ การจดั การเรยี นรกู้ ารแก้ปญั หาอย่างสร้างสรรค์ 2. ดำเนินการตามโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยใช้เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นในขั้นตอนที่ 1 ไปเก็บรวบรวม ขอ้ มูลจากกลุ่มตวั อย่าง นำมาตรวจสอบความถกู ต้อง วเิ คราะหข์ ้อมูล ทางสถติ ิและแปลผลวิเคราะห์ข้อมลู ทางสถิติ 3. รายงานผลการวจิ ัย และจัดทำรา่ งรายงานผลการวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ การวิเคราะหข์ ้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนโดยใช้สูตร t – test และเปรียบเทียบความรู้รายวิชาชีพ ครูปฐมวยั เรอ่ื ง จรรยาบรรณวิชาชีพครู กอ่ น และหลงั การจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์โดยใช้สถิติ การวดั ความเปล่ยี นแปลงสัมพัทธ์ (ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี, 2538) ใช้สตู ร Si = [(Y-X)/(F-X)]x100 โดย Si คอื คะแนน การเปลีย่ นแปลงสัมพัทธ์, Y คือ คะแนนดิบวัดหลังเรียน, X คอื คะแนนดิบวัดก่อนเรยี น และ F คือ คะแนนสูงสุด ท่ีเปน็ ไปได้ (คะแนนเต็ม) 2. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบประเมินกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้ ค่าเฉลี่ย ( x ) และส่วน เบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) 3. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้การแก้ปัญหา อยา่ งสร้างสรรคโ์ ดยใช้คา่ เฉลย่ี ( x ) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) 7
การประชมุ วชิ าการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 สรปุ ผลการวิจยั การวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนและความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ของนักศึกษาปฐมวยั ชัน้ ปีที่ 3 มีผลการวิจัย ดังน้ี 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู หลังการจัดการเรียนรู้ตามกระบวน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ 0.05 2. กระบวนการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู ของนักศึกษาปฐมวัยชน้ั ปีที่ 3 ที่มีการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยภาพรวมมีกระบวนการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์อยู่ในระดับมาก โดยกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู ของนักศึกษาหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักศึกษามีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในขั้นที่ 5 การลงมือปฏิบัติ สูงเป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ ขั้นที่ 4 การวางแผนการแก้ปัญหา ขั้นที่ 2 การคิดวิธี การแก้ปัญหา เป็นลำดบั สดุ ทา้ ย 3. ผลความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พบว่านักศึกษา ตอบแบบประเมินความพึงพอใจ โดยภาพรวม อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด โดยนักศึกษามีความพึงพอใจต่อคือ ด้านประโยชน์จากการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับพอใจมากท่ีสุด รองลงมา คือ คือ ด้านสื่อการเรียนการสอน และบรรยากาศการเรยี นรู้ และพงึ พอใจน้อยทสี่ ดุ คอื ด้านการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ อภิปรายผลวิจยั และข้อเสนอแนะ ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้ง นครนายกที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิชาชีพครูปฐมวัย รหัสวิชา 1075702 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 60 คน ได้พัฒนากระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ผา่ นแผนการจัดการเรยี นรูจ้ ำนวน 2 แผน แผนละ 4 คาบเรียน คาบเรยี นละ 50 นาที ซงึ่ มปี ระเดน็ การอภปิ ราย ดังน้ี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู หลังการจัดการเรียนรู้ตาม กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ อรวรรณ ตันสุวรรณรัตน์ (2552) ที่ได้ทำ วิจัยเรื่อง ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ท่ี มีต่อ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์มี ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญท างสถิติท่ีระดับ 0.05 2) นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์มีความคิดสร้างสรรค์ทาง คณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียน โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และความคิด สร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและดีขึ้น นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับผลงานวิจัยของทัศนพร วิบูลย์อรรถ และคณะ (2558) ที่ได้เปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานและการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนโดย การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มีความสามารถในการคิด แก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.01 8
การประชุมวชิ าการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 เมื่อนักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ตามลำดับทั้ง 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การเข้าถึงปัญหา ขั้นที่ 2 การคิดวิธีการแก้ปัญหา ขั้นที่ 3 การเลือกและเตรียมการ ขั้นที่ 4 การวางแผน การแก้ปัญหา ขั้นที่ 5 การลงมือปฏิบัติ ซึ่งทำให้การจัดการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง และส่งเ สริมทักษะ การคิดซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ที่สำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 21 และในการประกอบอาชีพ เพราะ วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพที่ใช้สติปัญญาและความรู้ความสามารถสูงในการให้บริการแ ละการแก้ปัญหาที่พบใน วิชาชีพในเชิงสร้างสรรค์โดยเฉพาะในระดับการศึกษาปฐมวัย ซึ่งกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู ของนักศึกษาหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่า อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับ วรพจน์ วงศ์ กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์ (2556) ที่กล่าวถึง ทักษะสำคัญพื้นฐานที่ครูผู้สอนต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นเพื่อ เตรียมความ พร้อมของผเู้ รยี น และทกั ษะทกี่ ล่าวถงึ ในกรอบทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 คอื การคดิ อย่างมี วิจารณญาณ (Critical Thinking), การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking), การคิดแก้ปัญหา (Problem Solving Thinking) และการคิดที่ครอบคลุมกระบวนการคิดของทักษะการคิด ขั้นสูงทั้ง 3 การคิดคือ การคิด แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving Thinking) ซึ่งเป็นกระบวนการทางความคิดที่ช่วยใน การออกแบบและพัฒนา แนวคิดใหม่ๆ อย่างหลากหลาย โดยผลการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วย การจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถพัฒนาองค์ความรู้ เก่ียวกับ จรรยาบรรณวิชาชพี ครู ได้ ผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของ นกั ศกึ ษา โดยภาพรวม อยูใ่ นระดับพอใจมากทีส่ ุด มคี ่าเฉลยี่ เทา่ กับ 4.57 สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.53 เม่ือแยก พิจารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ ในข้อที่มคี ่าเฉลี่ยมากทีส่ ุด คือ ด้านประโยชน์จากการจัดการเรยี นรู้ มีคา่ เฉลย่ี 4.62 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.51 อยใู่ นระดับพอใจมากทส่ี ุด รองลงมา คอื ดา้ นสอ่ื การเรียนการสอนและบรรยากาศ การเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย 4.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.52 อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อย ที่สดุ ด้านการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ มีค่าเฉล่ยี 4.49 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.57 อยใู่ นระดบั พอใจมาก โดยผล ความพึงพอใจด้านประโยชน์จากการจัดการเรียนรู้ ในหัวข้อ นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา จรรยาบรรณวิชาชีพครู เพิ่มขึ้นจากการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ย 4.77 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.46 อยูใ่ นระดับพอใจมากทสี่ ดุ ซงึ่ สอดคล้องกับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักศึกษา เร่ือง จรรยาบรรณวิชาชีพครู หลังการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการจัด การเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยนักศึกษาเหน็ ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่สามารถพัฒนาองค์ความรู้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพครู อย่างชัดเจนและเห็นจากผลคะแนนทดสอบหลังเรียน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับชุลีพร ปิ่นธนสุวรรณ (2556) ที่ได้ศึกษาผลการเรียนรู้แบบอีเลิร์นนิงด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะเพื่อการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ของ นักศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี วชิ าชีพครู ซงึ่ พบวา่ ผลคะแนนหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.01 และผลความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการเรียนอยู่ในระดับมาก ( x =4.18 และ S.D.= 0.17) นอกจากนี้ผลด้านสื่อการเรียนการสอนและบรรยากาศการเรียนรู้ ในหัวข้อการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรคช์ ่วยให้นักเรยี นมปี ฏสิ มั พนั ธท์ ี่ดีกบั เพ่อื น ๆ มคี า่ เฉลีย่ มากท่ีสดุ คือ 4.68 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน คือ 0.47 อยู่ในระดบั พอใจมากทสี่ ุด เนอ่ื งจากกิจกรรมเนน้ การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มกับเพ่ือน โดยใหน้ ักศึกษา คัดเลือกสมาชิกกลุ่มด้วยตนเองและแบ่งหน้าท่ีกันให้ชัดเจน ในขณะที่นักศึกษาจับกลุ่มระดมความคิด สืบค้น วางแผน หาวิธีแก้ปัญหาร่วมกัน ผู้สอนพยายามกระตุ้นให้นักศึกษาทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และเคารพในความคิดเห็นของแต่ละคน ทุกคนสามารถใช้ความสร้างสรรค์ความคิดและจินตนาการใน การแก้ปัญหาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ นิพิฐพร โกมลกิติศักดิ์ (2553) ที่ได้ศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์ผลกระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ท่ีมีต่อความสามารถในการแกป้ ัญหาเชงิ สร้างสรรค์ ทักษะ 9
การประชุมวิชาการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การทำงานกลุ่มและการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น และพบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมี ความสามารถในการแก้ปัญหาเชงิ สร้างสรรค์ ทักษะการทำงานกลุ่มและการเหน็ คุณค่าในตนเองหลังการทดลอง สงู กวา่ ก่อนการทดลอง แตกต่างอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะ 1. จากผลการวจิ ัย พบวา่ หลังการจดั การเรยี นรู้ตามกระบวนการแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์ นักศึกษา มีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เรื่อง จรรยาบรรณวิชาชีพครู อยู่ในระดับมากดังนั้น ผู้สอนควรนำ การจัดการเรยี นรกู้ ารแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์มาใช้ โดยจดั สถานการณ์ปัญหาท่ีมคี วามหลากหลาย สอดคลอ้ ง กับการดำเนินชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพของครูปฐมวัย และเลือกใช้เทคนิคหรือกิจกรรมการจัด การเรียนรู้ที่น่าสนใจ มีแหล่งเรียนรู้ และเทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูลได้สะดวกรวดเร็ว รวมทั้งจัดเวลาให้ เหมาะสมกบั สถานการณ์นนั้ ๆ เพอ่ื ให้นักศึกษาได้แสวงหาความรู้ที่เก่ียวกบั วชิ าชีพและค้นคว้าด้วยตนเองจาก แหลง่ เรียนรู้ทห่ี ลากหลายไดอ้ ย่างเต็มที่ 2. จากผลการวิจัย พบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์อยู่ในระดับมาก ดังน้ัน ผู้สอนควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะเป็นรูปแบบการสอนที่สามารถพัฒนาคุณภาพ การเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ในรายวิชาสาหรับ นักศกึ ษา รายการอ้างองิ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. 2556. การคิดเชิงสร้างสรรค์. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2561. จากwww.bb.go.th/information/ speech/new_book/. ชุลีพร ปิ่นธนสุวรรณ. 2556. ผลการเรียนรู้แบบอเี ลิร์นนงิ ด้วยการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะเพื่อการแก้ปญั หาเชิงสร้างสรรค์ของ นักศึกษาระดับปริญญาตรี วิชาชีพครู. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร. ทัศนพร วิบูลย์อรรถ, อาจินต์ ไพรีรณ และ ประสาท เนืองเฉลิม. 2558. การเปรียบเทียบการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ระหวา่ งการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ปญั หาเป็นฐานร่วมกบั การจัดการ เรยี นรูแ้ บบโครงงานและการจดั การเรียนรู้แบบปกต.ิ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. 9(3). 42-53. นิพิฐพร โกมลกิติศักดิ์. 2553. การวิเคราะห์ผลกระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาเชิง สร้างสรรค์ ทักษะการทางานกลุ่มและการเห็นคุณค่าในตนเองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น.วิทยานิพนธ์ปริญญา การศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชาวธิ วี ทิ ยาการวิจัยการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์. 2556. ทักษะแห่งอนาคตใหม่: การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21 (พิมพ์ครั้งที่ 2). โอเพ่น เวลิ ดส.์ กรงุ เทพฯ. วัชรา เล่าเรียนดี. 2554. รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด. (พิมพ์ครั้งที่ 7). นครปฐม: โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร . สำนกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา. 2556. แผนพัฒนาการศึกษาระดับอดุ มศกึ ษา ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559). โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. กรุงเทพฯ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 2559. ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2558. ข่าว เศรษฐกิจและสงั คม. ศิรชิ ยั กาญจนวาสี. 2538. การวัดการเปลี่ยนแปลง. การประชมุ เชิงปฏบิ ัตกิ ารครั้งที่ 3 เร่อื ง “หลักและวธิ ีวิจยั ขัน้ สงู เฉพาะการวิจัย และพฒั นาระบบพฤติกรรมไทยด้านต่างๆ” สำนักงานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาตริ ว่ มกบั คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการ วจิ ัยและพัฒนาระบบพฤตกิ รรมไทย. กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. อรวรรณ ตันสุวรรณรัตน์. 2552. ผลของการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ท่มี ีต่อ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและความคดิ สรา้ งสรรค์ทางคณติ ศาสตร์ของนกั เรียนมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2. 10
การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ผลการจัดการเรียนรวู้ ิชาทักษะทางสังคมและการจัดประสบการณ์เรียนรู้ โดยใช้โครงการเปน็ ฐาน ของนกั ศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต The Effect of learning management on Social Skills and Learning Experience Management By using The Project-Based Learning of Faculty Education at Suan Dusit University จริ าภรณ์ ยกอนิ ทร์1*, อญั ชิษฐา ปยิ ะจติ ติ, รวี ศิริปรชิ ยากร, ชนมธ์ ิดา ยาแก้ว และ จริ ะ จิตสภุ า บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสามารถในการทำโครงการ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศกึ ษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ ทั้งก่อนและหลังไดร้ บั การจัดการเรียนรูแ้ บบโครงการเปน็ ฐาน และ เพื่อศึกษาการมีจิตสาธารณะของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ หลังได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งนครนายก ที่ลงทะเบียน เรียนในรายวิชาทักษะทางสังคมและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 28 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ 1) แบบประเมินความสามารถในการ ทำโครงการ 2) แบบวัดการมีจิตสาธารณะ ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Paired t-test ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า 1) ผลการศึกษา ความสามารถในการทำโครงการ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ โดยการ จดั การจัดการเรยี นรู้แบบโครงการเปน็ ฐาน หลงั การจดั การเรยี นรู้แบบโครงการเปน็ ฐานนักศึกษามีความสามารถ ในการทำโครงการสูงขึ้นกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติ ระดับ 0.05 2) ผลการศึกษาการมีจิตสาธารณะ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ โดยการ จดั การเรียนร้แู บบโครงการเปน็ ฐาน นกั ศกึ ษาความมจี ิตสาธารณะโดยภาพรวมทุกข้อ อยู่ในระดับมาก คำสำคัญ: การจดั การเรียนรู้, การเรยี นรูแ้ บบโครงการเป็นฐาน, การมจี ติ สาธารณะ ABSTRACT The purpose of this research is to study the ability to do a project of the 3rd year students in an early childhood education program, faculty of education at Suan Dusit University before and after using the project-based learning activities and to study public morale of the students after learning through project-based learning activities. The research sample was a group of undergraduate 3rd year students in an early childhood education program, faculty of education at Suan Dusit University, Nakhonnayok campus who enrolled in the Social Skills and Learning Experience Management course during the second semester of 2018. All twenty-eight students were selected from the purposive sampling. The tools in this research were 1) an ability assessment of doing project and 2) a public mind assessment form. The statistics used in data analysis were percentage, average, standard deviation and hypothesis testing using paired t-test 1 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 11
การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 to analysis the data. The research results showed that 1) after using the project-based learning activities, the students had higher ability to do the project than before with a statistical significance of 0.05 and 2) after learning through project-based learning activities, the students had a high level of public mind as a whole. Keywords: learning management, project-based learning activities, public mind บทนำ ความสำคัญของจิตสาธารณะที่มีต่อนักศึกษาคณะครุศาสตร์ จิตสาธารณะเป็นการปลูกฝังให้บุคคลมี ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เป็นการสร้างคุณธรรมจริยธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดจากภ ายใน “จิต สาธารณะ” เป็นจิตสำนึกให้คนรู้จักเสียสละ ร่วมแรงร่วมใจ มีความร่วมมือในการทำประโยชน์เพื่ อส่วนรวม พัฒนาคุณภาพชีวิต ช่วยป้องกัน แก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สุขแก่สังคม จิตสาธารณะจึงเป็น คุณลักษณะของนักศึกษาทีส่ ำคญั ในการพัฒนาคนให้เป็นผูม้ ีจิตใจเอือ้ เฟื้อเผื่อแผ่ และสร้างสรรค์สงั คมให้เปน็ สุข สังคมจะพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืนคนในสังคมต้องร่วมมือร่วมใจกัน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ ส่วนตนมีจิตสำนึกที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม รักและหวงแหนทรัพยากรท้องถิ่น และสาธารณ สมบัติของชมุ ชน นกั ศกึ ษาสาขาวชิ าการศึกษาปฐมวัย คณะครศุ าสตร์ จงึ นับได้วา่ เปน็ กลุ่มบุคคลทจ่ี ะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ใน สังคม และออกไปทำงานรับใช้สังคมในฐานะครู การปลูกฝังจิตสาธารณะให้แก่กลุ่มนักศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างยง่ิ เพราะในการทำงานจะต้องรจู้ ักเสียสละ รว่ มแรง รว่ มใจ มีความร่วมมือในการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือการคำนึงถึงผู้อื่นท่ีร่วมสัมพันธ์เป็นกลุ่มเดียวกัน ตลอดจนการเป็นแบบอยา่ งที่ให้กับเยาวชนในรุ่นต่อ ๆ ไป การปลกู ฝังจติ สาธารณะใหเ้ กิดขน้ึ กับนักศกึ ษาไดน้ ัน้ ตอ้ งให้นักศึกษาได้เปน็ ผู้การลงมือกระทำ มีอิสระในการริเร่มิ ความคิด ตามแนวคิดของ จอห์น ดิวอี้ (John, D., 1897) ที่ว่า บรรยากาศที่เอือ้ ต่อการเรียนรู้ เด็กได้รับอิสระใน การริเรมิ่ ความคดิ และลงมอื ทำตามทีค่ ิด เพ่อื ให้ส่งผลตอ่ การเปลีย่ นแปลงทางพฤตกิ รรม วิธีการสอนที่สามารถช่วยให้นักศึกษามีจิตสาธารณะ รู้จักเสียสละ และมีความร่วมมือในการทำ ประโยชน์เพ่อื สว่ นรวม คือการจัดการเรียนรแู้ บบโครงการเปน็ ฐาน (Project Based Learning) ซ่ึงเปน็ กจิ กรรมที่ นักศึกษาจะได้การศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัด ความสนใจ รู้จักการ ทำงานรว่ มกนั การแบง่ หน้าท่ี การรบั ฟังความคิดเหน็ ของผู้อนื่ และการทำงานเพ่ือผอู้ ื่น โดยมีอาจารย์ผู้สอนคอย กระตุ้น แนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด การจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน เหมาะสำหรับ เด็กยุคใหม่ที่อยู่ในสังคมของแหล่งข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย จำเป็นจะต้องมีความสามารถในการเลือกสรรให้ ถูกต้องและเหมาะสม รวมไปถึงความสามารถที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง และการจัดการ เรียนรู้แบบโครงการเป็นฐานยังสามารถส่งเสริมเด็กยุคใหม่ในสังคมไทยให้รู้จักสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วย ตนเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนที่เรียกว่า การศึกษาตลอดชีวิต (Life-Long Education) (ลัดดา ศิลาน้อย และ อังคณา ตุงคะสมิต, 2553) นอกจากนี้ยังเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ทักษะและ ประสบการณ์ มาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นประโยชน์ ตามความถนัดและความสนใจ สามารถ ทำงานได้อย่างมีระบบ มีกระบวนการทำงานและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถนำเสนอผลงานของตน และกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์และประเมินผลงานของตนเองได้ นำเสนอผลการวิเคราะห์ การ ประเมินผล พรอ้ มข้อเสนอแนะ เพ่อื หาแนวทางในการพฒั นาและแกไ้ ขผลงานต่อไป ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน (Project Based Learning) นักศึกษาจะสามารถนำความรู้ และประสบการณม์ าออกแบบวางแผนการดำเนินงานโครงการอย่างสรา้ งสรรค์เพื่อส่งเสรมิ ทักษะและพัฒนาการ ของเดก็ ปฐมวยั ตลอดจนเปน็ โครงการท่ีเกดิ ประโยชนแ์ ก่ครู บุคลากร สถานศึกษา และผปู้ กครองของเดก็ ปฐมวัย 12
การประชมุ วชิ าการ ครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 จากกระบวนการโครงการจะสามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจิตสาธารณะทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ ด้านการใช้ ผู้เรียนจะ ตระหนักถึงการใช้ของส่วนรวม การดูแลรักษา การไม่ทำลายสาธารณสมบัติ ด้านการถือเป็นหน้าที่ผู้เรียนจะ แสดงออกถงึ การปฏิบตั เิ พื่อส่วนรวม และให้ความร่วมมอื ตอ่ สว่ นร่วม ดา้ นการเคารพสิทธิ ผเู้ รียนจะแสดงออกถึง การเคารพสิทธิในการใช้ของส่วนรวม การไม่ยึดครองและไม่ปดิ กั้นโอกาสของบุคคลอื่นที่จะใช้ของส่วนรวม และ ด้านการปฏิบัติกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ผู้เรียนจะได้ทำประโยชน์ต่อผู้อื่น และสังคมส่วนรวมโดยไม่ หวังผลตอบแทน วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการทำโครงการของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 3 คณะครศุ าสตร์ ก่อนและหลังได้รับการจดั การเรยี นรู้แบบโครงการเป็นฐาน 2. เพื่อเปรียบเทียบจิตสาธารณะของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ ก่อนและหลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนร้แู บบโครงการเปน็ ฐาน วิธดี ำเนินการวจิ ัย ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มประชากรได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งนครนายก ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาทักษะทางสังคมและ การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2561 จำนวน 56 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3 สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ ศนู ยก์ ารศึกษานอกทต่ี ้งั นครนายก ที่ลงทะเบยี นเรียนในรายวชิ าทักษะทางสังคม และการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2561 ตอนเรียน NA จำนวน 28 คน ได้มาจากการเลือก แบบเจาะจง เครือ่ งมือวจิ ัย 1. แบบประเมินความสามารถในการทำโครงการของนักศึกษา ทั้งก่อนและหลังจัดการเรียนรู้แบบโครงการ เป็นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง ที่ใช้การประเมินแบบรูบริค (Rubric Assessment) บรรยายคุณภาพงานที่ แสดงความสามารถของผู้เรียนออกมาเป็นมาตรวัด แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านความรู้ความเข้าใจ 2) ด้าน ความคิดสร้างสรรค์ 3) ด้านทักษะการปฏิบัติงาน 4) ด้านการนำเสนอผลงาน โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC อยู่ ระหว่าง 0.66 - 1.00 แปลผลว่า มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 2. แบบวัดความมีจติ สาธารณะของนกั ศึกษา หลงั จัดการเรียนรูแ้ บบโครงการ เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ของลเิ คอรด์ แบง่ ออกเป็น 4 ด้าน ดงั น้ี 1) ดา้ นการใช้ 2) ดา้ นการถอื เป็นหนา้ ท่ี 3) ด้านการเคารพสิทธิ 4) ด้านการปฏิบัติกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม โดยมีจำนวนด้านละ 5 ข้อ รวมเป็น 20 ข้อ ซึ่งการวิเคราะห์ ความมีจิตสาธารณะของนักศึกษาโดยกำหนดระดับคะแนน 5 ระดับ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC อยู่ระหว่าง 0.66 - 1.00 แปลผลว่า มคี วามสอดคล้องกบั จุดประสงค์ และมคี า่ ความเชื่อมน่ั ของแบบวดั ความมีจติ สาธารณะท้ังฉบับ มคี ่า 0.98 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน ในรายวชิ าทกั ษะทางสงั คมและการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2561 ดงั น้ี 1. ผู้วิจัยประเมินความสามารถในการทำโครงการของนักศึกษา ก่อนการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ เปน็ ฐาน โดยแบบประเมนิ ความสามารถในการทำโครงการของนักศึกษา 13
การประชมุ วิชาการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 2. ผู้วิจัยดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ใช้ระยะเวลา 15 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ช่ัวโมง ดงั น้ี ระยะที่ 1 การกำหนดหวั ข้อการทำโครงการ ระยะเวลา 3 สัปดาห์ ระยะที่ 2 การวางแผนในการทำโครงการ ระยะเวลา 6 สัปดาห์ ระยะที่ 3 การดำเนนิ การจดั กิจกรรม ระยะเวลา 4 สปั ดาห์ ระยะที่ 4 การนำเสนอผลการดำเนนิ การ ระยะเวลา 2 สัปดาห์ 3. ผู้วิจัยประเมินความสามารถในการทำโครงการของนักศึกษา หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ เปน็ ฐาน โดยแบบประเมนิ ความสามารถในการทำโครงการของนักศึกษาชดุ เดิม 4. ผวู้ จิ ยั วัดการมีจิตสาธารณะของนักศึกษา หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐาน โดยแบบวัด ความมีจิตสาธารณะของนักศึกษา 5. นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดไปทำการวิเคราะห์ผลการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐานที่มีต่อ ความสามารถในการทำโครงการ และการมจี ติ สาธารณะของนกั ศึกษา ตามเกณฑ์ทกี่ ำหนด การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 1. การวิเคราะห์ผลการจัดการเรียนรู้แบบโครงการเป็นฐานที่มีต่อความสามารถในการทำโครงการ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ ทั้งก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ โครงการเปน็ ฐาน โดยใชส้ ถติ ิ Paired t-test 2. การวเิ คราะห์การมีจติ สาธารณะของนักศึกษาช้ันปีท่ี 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ ท้ัง ก่อนและหลังไดร้ บั การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงการเป็นฐาน โดยหาค่ารอ้ ยละ (Percentage) คา่ เฉลีย่ (Mean) และ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สรปุ ผลการวจิ ยั จากผลการจดั การเรียนรู้แบบโครงการที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำโครงการ และการมีจติ สาธารณะ ของนักศึกษาคณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต สรปุ ผลการวจิ ยั ได้วา่ ผลการประเมินความสามารถในการทำโครงการ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ ทั้งก่อนและหลังจัดการเรียนรู้แบบโครงการ มีค่าเฉลย่ี เทา่ กบั 8.25 และ 17.93 ตามลำดบั และ เมื่อเปรยี บเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลงั จดั การเรียนรู้แบบโครงการ พบว่า คะแนนความสามารถในการทำ โครงการหลังการจดั กจิ กรรมสูงกวา่ ก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ 0.05 (ตารางท่ี 1) ความสามารถในการทำโครงการของนกั ศกึ ษาชนั้ ปีท่ี 3 ของนกั ศึกษาช้นั ปที ่ี 3 สาขาวิชาการศกึ ษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.48 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 เมื่อ พิจารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ ดา้ นทีน่ กั ศกึ ษามีความสามารถในการทำโครงการสูงที่สดุ คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 มีความสามารถในการทำโครงการอยู่ในระดับดีมาก ที่สุด รองลงมาคือ ด้านทักษะการปฏิบัติงาน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51 มี ความสามารถในการทำโครงการอยู่ในระดับดีมากท่ีสุด และนอ้ ยทส่ี ุดคือ ดา้ นความรคู้ วามเข้าใจ มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.32 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 มีความสามารถในการทำโครงการอยใู่ นระดบั ดีมาก (ตารางที่ 2) การมีจิตสาธารณะ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ หลังจัดการ เรยี นรู้แบบโครงการ โดยภาพรวมค่าเฉล่ยี เทา่ กับ 4.57 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.50 อยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด เม่อื พิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ในข้อที่มีค่าเฉลี่ยการมีจิตสาธารณะมากที่สุด คือ ด้านการปฏิบัติกิจกรรมที่เป็น ประโยชน์ต่อส่วนร่วม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.49 อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการถือเป็นหน้าท่ี ค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 4.61 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.49 อยู่ในระดับมากท่ีสุด และน้อยท่ีสุด คือ ดา้ นการใช้ คา่ เฉลี่ยเท่ากับ 4.48 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.50 อยใู่ นระดับมาก (ตารางที่ 3) 14
การประชมุ วชิ าการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ตารางท่ี 1 ผลการประเมนิ ความสามารถในการทำโครงการ ของนักศึกษาชนั้ ปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ ท้ังก่อนและหลงั จัดการเรยี นรูแ้ บบโครงการ การทดสอบ ก่อนเรยี น 8.25 0.70 หลงั เรยี น 17.93 0.66 9.68 0.98 52.08* 0.00 ตารางที่ 2 แสดงคะแนนเฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ความสามารถในการทำโครงการ ของนักศึกษาช้นั ปที ี่ 3 สาขาวชิ าการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ ทัง้ ก่อนและหลังจดั การเรียนรู้แบบโครงการ กอ่ นการจัดกจิ กรรม หลงั การจัดกิจกรรม ความสามารถในการทำโครงการ S.D. สรปุ ผล S.D. สรปุ ผล 1. ด้านความรู้ ความเขา้ ใจ 1.71 0.53 น้อย 4.32 0.48 มาก 2. ดา้ นความคิดสร้างสรรค์ 2.25 0.44 น้อย 4.61 0.50 มากท่ีสดุ 3. ด้านทกั ษะการปฏบิ ตั งิ าน 2.39 0.50 น้อย 4.54 0.51 มากที่สุด 4. ดา้ นการนำเสนอผลงาน 1.89 0.57 น้อย 4.46 0.51 มาก รวม 2.06 0.57 น้อย 4.48 0.50 มาก ตารางท่ี 3 ผลการวดั การมจี ิตสาธารณะ ของนกั ศกึ ษาช้ันปที ่ี 3 สาขาวชิ าการศึกษาปฐมวัย คณะครศุ าสตร์ หลังจดั การเรียนรแู้ บบโครงการ โดยภาพรวม รายการท่จี ะประเมิน S.D. สรุปผล 1. ดา้ นการใช้ 4.48 0.50 มาก 2. ด้านการถือเปน็ หนา้ ที่ 4.61 0.49 มากทสี่ ุด 3. ดา้ นการเคารพสทิ ธิ์ 4.56 0.50 มากทสี่ ดุ 6. ดา้ นการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม 4.62 0.49 มากทส่ี ดุ รวม 4.57 0.50 มากทีส่ ดุ การมีจิตสาธารณะ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ หลังจัดการ เรยี นรแู้ บบโครงการ โดยจำแนกเป็นรายดา้ นสามารถอธบิ าย (ตารางท่ี 4) ไดด้ งั นี้ ด้านการใช้นักศึกษามีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.48 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.50 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่นักศึกษามีจิตสาธารณะสูงที่สุดคือ นักศึกษาจัดเก็บสถานที่ โต๊ะ และอุปกรณ์ให้เข้าที่ หลังเสร็จโครงการ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 มีจิต สาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ นักศึกษาจัดเตรียมสถานท่ี โต๊ะ และอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานใน โครงการ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.57 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 มีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด และ น้อยที่สุดคือ นักศึกษาดูแล และทำความสะอาดบริเวณที่ใช้จัดโครงการ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเทา่ กบั 0.48 มจี ติ สาธารณะอยู่ในระดับมาก ด้านการถือเป็นหน้าที่นักศึกษามีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่นักศึกษามีจิตสาธารณะสูงที่สุดคือ นักศึกษาแต่งกายถูกต้องตามระเบยี บมหาวิทยาลัย ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.44 มีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ นักศึกษาให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมอย่างดี ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.68 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 มีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด และน้อยที่สุดคือ นักศกึ ษารบั ผิดชอบงานท่ีได้รบั มอบหมายให้เสร็จส้ินภายในเวลาที่กำหนด ค่าเฉลยี่ เท่ากับ 4.43 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.50 มีจติ สาธารณะอย่ใู นระดับมาก 15
การประชุมวิชาการ คร้ังที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ด้านการเคารพสิทธินักศึกษามีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเท่ากบั 0.50 เมอ่ื พิจารณาเป็นรายขอ้ พบว่า ข้อท่นี กั ศกึ ษามจี ติ สาธารณะสูงท่ีสุดคือ นกั ศกึ ษาแบง่ ปัน ของใช้ส่วนร่วมแก่ผู้อื่น ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 มีจิตสาธารณะอยู่ในระดับ มากที่สุด รองลงมาคือ นักศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้แสดงความคิดเห็น ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.50 มีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด และน้อยที่สุดคือ นักศึกษาปฏิบัติตามข้อตกลงใน การทำกจิ กรรม ค่าเฉลี่ยเท่ากบั 4.43 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.50 มจี ติ สาธารณะอยใู่ นระดับมาก ด้านการปฏิบัติกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมนักศึกษามีจิตสาธารณะอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่นักศึกษามีจิต สาธารณะสูงที่สุดคือ นักศึกษาจัดโครงการด้วยความสุข และมีความเป็นมิตร ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75 ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.44 มจี ติ สาธารณะอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ รองลงมาคือ นักศึกษาแสดงออกด้วยการ กระทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ค่าเฉลยี่ เทา่ กับ 4.71 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.46 มจี ิตสาธารณะอยู่ใน ระดับมากที่สุด และน้อยที่สุดคือ นักศึกษาให้คำแนะนำแก่ผู้อื่นด้วยความหวังดีอย่างจริงใจ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.51 มจี ติ สาธารณะอยใู่ นระดับมากท่ีสดุ ตารางที่ 4 ผลการวัดการมีจิตสาธารณะ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ หลงั จดั การเรยี นรู้แบบโครงการ โดยจำแนกเป็นรายดา้ น การมจี ิตสาธารณะ S.D. สรปุ ผล 1. ด้านการใช้ 4.48 0.50 มาก 1.1 นักศึกษาจดั เตรยี มสถานท่ี โตะ๊ และอปุ กรณ์ใหพ้ รอ้ มใช้งานในโครงการ 4.57 0.50 มากทส่ี ุด 1.2 นักศกึ ษาใช้สถานที่ โตะ๊ และอปุ กรณ์ ดว้ ยความระมดั ระวงั 4.46 0.51 มาก 1.3 นักศกึ ษาไมน่ ำกาวหรอื กระดาษตดิ บนฝาผนัง หรือกำแพงจนสกปรก 4.43 0.50 มาก 1.4 นกั ศกึ ษาจัดเกบ็ สถานที่ โตะ๊ และอุปกรณใ์ ห้เขา้ ที่ หลงั เสร็จโครงการ 4.61 0.50 มากที่สดุ 1.5 นักศึกษาดแู ล และทำความสะอาดบรเิ วณทใ่ี ชจ้ ดั โครงการ 4.32 0.48 มาก 2. ด้านการถือเปน็ หน้าที่ 4.61 0.49 มากท่ีสดุ 2.1 นกั ศกึ ษาแต่งกายถูกต้องตามระเบียบมหาวทิ ยาลยั 4.75 0.44 มากที่สดุ 2.2 นักศกึ ษามคี วามตรงต่อเวลา 4.61 0.50 มากที่สดุ 2.3 นกั ศกึ ษาใหค้ วามรว่ มมอื ในการทำกจิ กรรมอยา่ งดี 4.68 0.48 มากทสี่ ดุ 2.4 นักศึกษามสี ่วนร่วมในการทำกจิ กรรมด้วยความเต็มใจ 4.57 0.50 มากท่สี ุด 2.5 นักศกึ ษารบั ผิดชอบงานที่ไดร้ บั มอบหมายให้เสรจ็ สนิ้ ภายในเวลาท่กี ำหนด 4.43 0.50 มาก 3. ดา้ นการเคารพสทิ ธิ 4.56 0.50 มากที่สดุ 3.1 นกั ศึกษาแบ่งปันของใช้สว่ นรว่ มแกผ่ อู้ นื่ 4.64 0.49 มากทส่ี ดุ 3.2 นักศกึ ษาปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลงในการทำกจิ กรรม 4.43 0.50 มาก 3.3 นักศกึ ษาเปิดโอกาสใหผ้ ูอ้ ่นื ไดแ้ สดงความคดิ เหน็ 4.61 0.50 มากท่ีสุด 3.4 นักศกึ ษายนิ ดีรับความช่วยเหลอื จากผู้อน่ื 4.57 0.50 มากท่ีสุด 3.5 นกั ศึกษามรี ะเบยี บวินยั และรจู้ กั การรอคอย 4.54 0.51 มากที่สุด 4. ด้านการปฏบิ ัติกิจกรรมที่เปน็ ประโยชน์ต่อส่วนรวม 4.62 0.49 มากทีส่ ุด 4.1 นักศกึ ษาใหค้ วามชว่ ยเหลือผอู้ ืน่ อย่างเตม็ ความสามารถ 4.54 0.51 มากที่สุด 4.2 นกั ศกึ ษาใหค้ ำแนะนำแก่ผ้อู นื่ ดว้ ยความหวงั ดอี ย่างจริงใจ 4.50 0.51 มากที่สุด 4.3 นักศกึ ษาแสดงออกด้วยการกระทำโดยไมห่ วังผลตอบแทน 4.71 0.46 มากทส่ี ดุ 4.4 นกั ศกึ ษาจัดโครงการด้วยความสุข และมีความเปน็ มิตร 4.75 0.44 มากทส่ี ุด 4.5 นกั ศึกษามีความเสยี สละและเออื้ เฟื้อเผ่อื แผต่ อ่ ผูอ้ ่ืน 4.61 0.50 มากทส่ี ุด รวม 4.57 0.50 มากท่สี ดุ 16
การประชุมวชิ าการ คร้ังท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 อภิปรายผลวจิ ัยและขอ้ เสนอแนะ จากผลการจัดการเรียนรู้แบบโครงการที่ส่งผลต่อความสามารถใน การทำโครงการและการมีจิต สาธารณะ ของนกั ศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต อภปิ รายผลการศกึ ษาไดด้ งั น้ี 1. ความสามารถในการทำโครงการโดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบโครงการ นักศึกษามีความสามารถใน การทำโครงการสงู ข้ึน ซึ่งผลการทดสอบก่อนเรียนมคี ่าเฉลีย่ เท่ากบั 2.06 และหลังเรียนมีค่าเฉล่ียเทา่ กบั 4.48 ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการเรียนรูแ้ บบโครงการ ผู้เรียนได้เป็นผู้ลงมอื ปฏิบตั ิด้วยตนเอง ส่งเสริมความสามารถใน การทำโครงงานของผู้เรียนท้ัง 4 ด้าน ดงั นี้ 1.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ ในการทำโครงการผู้เรียนจะได้ลงมือสืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง วาง แผนการดำเนินงาน แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ในการดำเนินงานมีการพบปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน ซึ่งผู้เรียนจะต้องช่วยกันแก้ปัญหา ด้วยวิธีการที่หลากหลาย โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้คำแนะนำ ผู้เรียนจะสามารถ แก้ปัญหาได้ และพบวิธีการดำเนินการที่หลากหลาย มีความสุขกับการเรียนรู้และต้องการที่จะพัฒนาการ เรียนรอู้ ย่างต่อเนื่อง ซงึ่ สอดคล้องกบั แคทช์ และคณะ (Katz and Other, 2001 อา้ งถงึ ใน ทิพย์มณี เลขาขำ, 2549) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการเป็นการเรียนรู้ จากประสบการณ์ด้วยตนเองของเด็กและครู เป็น ความคิดที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ด้วยการกระทำ มีการพูดคุยกันเป็นกลุ่ม เป็นความคิดที่ดี ทำให้เข้าใจสิ่งที่ เรียนรู้ เปน็ แนวทางในการจัดประสบการณ์ในการเรยี นร้ทู ่ีดีทีส่ ุด 1.2 ด้านความคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะต้องทำงานรว่ มกับผู้อื่น การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นจง เป็นสิ่งจำเป็นในการประชุมวางแผนการทำงานร่วมกัน โดยการแบ่งหน้าที่ การศึกษาข้อมูลและนำมา แลกเปลี่ยนกัน ทำให้ได้รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกคนอื่นเพิ่มขึ้น ผลงานของผู้เรียนที่ออกมาจงมีรูปแบบ กิจกรรมที่มีความหลากหลาย สร้างสรรค์ และแปลกใหม่ ดูน่าสนใจ จากการมีผู้เรียนบางคนที่ไม่กล้าแสดง ความคิดเห็นเลย เมื่อได้โอกาสในการแสดงความคิดเห็น มีสมาชิกคนอื่น ๆ ให้ความสนใจในความคิดเห็นน้ัน และนำไปปรับใชก้ ับโครงการ ทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ และมั่นใจในการเสนอความคดิ เห็นคร้ังต่อไป ซึ่ง สอดคล้องกับ ชาร์ต (Chard, 1992 อ้างถึงใน จิรภรณ์ วสุวัต, 2540) ได้เสนอกิจกรรมที่สำคัญในโครงการไว้ โดยพูดถึงกิจกรรมการพูดคุยสนทนาสำหรับเด็กปฐมวัย การพูดคุยสนทนาเป็นกิจกรรมที่สำคัญมากเพราะ นำมาส่กู ารพัฒนาในโครงการ โดยเฉพาะการพูดคุย แลกเปลีย่ นความคดิ เห็นรว่ มกนั ในชั้นเรียนหรือในกลุ่มเด็ก จะช่วยให้เด็กพัฒนาความคิดได้ดีขึ้นและช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโครงการรวมถึงการเปิดโอกาสให้เด็ก แสดงออกทางความคดิ และรับรคู้ วามคดิ ของผอู้ ืน่ 1.3 ดา้ นทกั ษะการปฏบิ ัติงาน การจดั การเรียนการสอนรูปแบบหนง่ึ ทเี่ นน้ ใหผ้ ู้เรียนเป็นผู้การอ่าน การเขียน การโตต้ อบ และการวเิ คราะหป์ ัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง อีกทั้งให้ผู้เรียนยังได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ในการคิดการวเิ คราะห์ คิดการสังเคราะห์ และคิดประเมินค่า ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เหน็ ความรู้ ความเข้าใจใน เรื่องต่าง ๆ ของตนเองให้ปรากฏออกมาโดยการเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งจากผลการทดสอบหลังเรียนที่ผู้เรียน ผลสมั ฤทธท์ิ ่ดี ีขึ้นนน้ั มาจากการท่ีผู้เรียนได้ใช้ความรูจ้ ากการค้นควา้ ด้วยตนเอง ซง่ึ ปทั มา ศภุ กำเนิด (2545) ได้ กล่าวถึงเพียเจต์ว่า ได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และส่งเสริมการทำงาน และการ แกป้ ญั หารว่ มกัน จากการวางแผนคน้ ควา้ ทดลอง การทำงานและการแก้ปญั หาร่วมกัน ซ่งึ นอกจากจะเป็นการ ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาแล้วยังเป็นการส่งเสริมทักษะในการทำงานการปรับตัวและการอยู่ร่วมกันอีก ดว้ ย และยังสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของไวก็อตสก้ี ทเี่ ช่ือว่าเด็กเกดิ กระบวนการเรยี นรู้และแก้ไขปัญหาได้จากการ มีปฏิสัมพันธ์และการทำงานร่วมกับผู้อื่น และสอดคล้องกับ John, D. (1897) ที่ว่า เด็กเรียนรู้จากการกระทำ 17
การประชมุ วิชาการ ครั้งท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 และมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้นมาจาก ความสนใจของเด็กจะไดร้ ว่ มมือกัน วางแผน คดิ ตดั สินใจ และแก้ปัญหาต่าง ๆ อยา่ งมีเหตุผล 1.4 ด้านการนำเสนอ จากการที่ผู้เรียนได้ลงมือทำตั้งแต่การสืบค้นข้อมูล การวางแผนดำเนินการ การลงมือปฏิบัติ จงทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการดำเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และการแก้ไขอย่างลึกซึ้ง จนสามารถถ่ายทอดให้ผู้อน่ื เกิดความเขา้ ใจได้ และกลา้ ท่ีจะออกมานำเสนอผลงานมากย่ิงขึ้น จากการที่ตนเอง ได้มสี ว่ นร่วมในการทำโครงการน้นั ดังนั้น การที่จะสอนและให้ผู้เรียน นำความรู้ไปใช้ได้ ก็จะต้องให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มชัด ซึ่งอาจต้องหมายรวมถึงการเน้นผู้เรียนให้ลง มือปฏิบัติขณะที่เรียน และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้ในการทำ กิจกรรมต่าง ๆ ก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญ และการนำไปใช้บ่อย ๆ ก็ทำให้ ผู้เรียนเกิดความมั่นคงในสิ่งที่เรียน ความรู้ คงทนถาวร ซึ่งจากการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการทำโครงการ ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้ การสร้างความเข้าใจ และเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ สามารถบูรณาการความรู้ใหม่ที่ได้รับกับความรู้เก่าที่สามารถสร้าง เป็นองค์ความรขู้ องตนเองได้ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ร่งุ ทิพ จันทรม์ ุณี (2552) ไดก้ ล่าวถงึ ผลการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี ประสบการณ์ของจอห์น ดิวอี้ สรุปได้ดังนี้ผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยผ่าน กิจกรรมที่หลากหลาย ตามความสนใจ ตามความถนัด ด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติจนเกิดทักษะ อีกทั้ง การจัดกิจกรรมกลุ่มจะชว่ ยเสริมสร้างการทำงาน การวางแผน การมีความรับผิดชอบ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีวนิ ัย รู้จกั รบั ฟังความคดิ เห็นของผู้อื่น ได้รบั กำลงั ใจ และไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากเพื่อน ทำใหเ้ กดิ ความมั่นใจ แม้ว่าจะมคี วามแตกตา่ งระหว่างบุคคลในการเรยี นร้แู ละการปฏบิ ตั ิงาน แตก่ ็สามารถทำใหผ้ ูเ้ รียนเรียนรไู้ ด้อย่าง เตม็ ตามศักยภาพของตน 2. ความมจี ิตสาธารณะของนักศกึ ษาชนั้ ปีที่ 3 สาขาวชิ าการศึกษาปฐมวยั คณะครศุ าสตร์ เกดิ จากการ ได้รบั การจดั การเรียนรู้แบบโครงการ ซ่งึ นกั ศกึ ษาจะต้องปฏิบัติตามระเบียบการอยู่ร่วมกนั ของคนในสังคม ทำ ตนให้เป็นประโยชน์ และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม โดยสอดคล้องกับ Lawrence Kohlberg (อ้างถึงใน แพรภัทร ยอดแก้ว, 2551) ที่กำหนดพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับก่อนกฎเกณฑ์สังคม โดยบุคคลจะตอบสนองต่อกฎเกณฑ์ซึ่งผู้มีอำนาจทางกายเหนือตนเองกำหนดขึ้น ระดับตามกฎเกณฑ์สังคม เพราะกลวั วา่ ตนจะไม่เป็นที่ยอมรบั ของผู้อ่ืน ระดับเหนอื กฎเกณฑส์ ังคม บคุ คลตดั สินข้อขัดแย้งของตนเองโดย ใช้ความคิด ไตร่ตรองอาศัยค่านิยมที่ตนเชื่อและยึดถือเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งนักศึกษาได้ปฏิบัติตน ในเกณฑ์ตั้งแต่ระดับตามกฎเกณฑ์สังคม ไปจนถึงระดับเหนือกฎเกณฑ์สังคม แสดงออกมาในรูปแบบการให้ ความช่วยเหลือผู้อื่น การรู้สึกเห็นอก เห็นใจผู้อื่น และความมีน้ำใจ จิตสาธารณที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาแบ่ง ออกเปน็ 4 ดา้ น ดงั น้ี 2.1 ด้านการใช้ ผู้เรียนรู้จักรักษาทรัพย์สินการดูแลรักษาความสะอาด การไม่ทำลายทรัพย์สินที่ เป็นสาธารณสมบัติ ชว่ ยกันดูแลรักษาสมบัติของส่วนรวม เมื่อมีการใชแ้ ล้ว มกี ารเกบ็ รักษา ใช้แลว้ เกบ็ เขา้ ท่ีเดิม การไม่ทิ้งเศษขยะในบริเวณที่จัดโครงการ รู้จักใช้วัสดุ อุปกรณ์อย่างทะนุถนอม ระมัดระวัง เพื่อให้ของใช้ ส่วนรวมมีความคงทนใช้ได้นาน ตระหนักถึงหนา้ ที่ทีจ่ ะมีสว่ นรว่ มในการดูแลรักษาของสว่ นรวม 2.2 ด้านการถือเป็นหน้าที่ ผู้เรียนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดีมีความตั้งใจความ พยายาม และมีส่วนร่วมอย่างเต็มใจ สามารถรับผดิ ชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้สอนและสมาชิกในกลุ่มให้ สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด โดยการรกั ษาเวลาและกติกา ตลอดจนการแต่งกายที่ถูกระเบยี บ 2.3 ด้านการเคารพสทิ ธ์ิ ผเู้ รียนให้ความสำคญั ตอ่ การใชข้ องสว่ นรวมท่ตี อ้ งใช้ประโยชนร์ ่วมกนั โดย ไม่ยึดครองมาเป็นของตนเอง และรู้จักแบ่งปันของส่วนรวมให้กับผูอ้ ื่นได้มีสิทธิ์ใช้ เคารพกฎกติกา ปฏิบัติตาม 18
การประชุมวิชาการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ระเบียบ วินัย ข้อตกลงในชั้นเรียนหรือในการทำกิจกรรม รู้จักรอคอยเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้แสดงความคิดเห็น และยินดียอมรบั ความช่วยเหลือจากสมาชกิ คนอื่น 2.4 ด้านการปฏิบตั ิกจิ กรรมทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อสว่ นรวม ผเู้ รียนอาสาปฏิบัติหนา้ ที่ในการช่วยเหลือ หน้าที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเต็มใจ สามารถให้คำแนะนำ คำปรึกษาแก่ผู้อื่นด้วย ความหวังดีอย่างจริงใจ มีความเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นซึ่งกระทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อสิ้นสุด กิจกรรมผู้เรียนได้แสดงออกถึงความสุขที่ได้จากการเป็นผู้จัดโครงการเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยเด็กและครูใน โรงเรยี นอนบุ าล ตลอดจนมีความเป็นมิตรกบั ทกุ คน รายการอ้างองิ จริ ภรณ์ วสวุ ัต. 2540. การพฒั นาโปรแกรมการส่งเสริมจริยธรรมทางสังคมของเดก็ วัยอนบุ าลตามแนวคดิ คอนสตรัคติวสิ ต์ โดยการ ใช้การจัดประสบการณ์แบบโครงการ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ: บัณฑิต วิทยาลัยจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ทิพย์มณี เลขาขำ. 2549. การศึกษาสาระการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงการ. ปริญญานิพนธ์ การศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาการศกึ ษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ปัทมา ศภุ กำเนิด. 2545. การศึกษาพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดประสบการณแ์ บบโครงการ. ปริญญานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑติ สาขาการศึกษาปฐมวยั . กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. แพรภัทร ยอดแก้ว. 2551. พฤติกรรมทางจริยธรรมกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของนักศึกษามหาวิทยาลัยสยาม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั สยาม. รุ่งทิพ จันทร์มุณี. 2552. ปรัชญาประสบการณ์ตามแนวคิดของจอห์น ดิวอี้ (John Dewey) สู่การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. สืบค้นเม่ือ 10 มถิ นุ ายน 2562, จาก www.punyasophy.blogspost.com. ลัดดา ศิลาน้อย และอังคณา ตุงคะสมิต. 2553. เอกสารประกอบการอบรม เรื่องการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยโครงงาน. ขอนแก่น: คณะศึกษาศาสตรม์ หาวิทยาลัยขอนแกน่ . John, D. 1897. My pedagogic creed. The school journal. New York: Teachers Colage, Columbia University. 19
การประชุมวิชาการ ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 การพฒั นาความสามารถในการอ่านค่าโนต้ สากล โดยใช้เทคนคิ การอา่ นสญั ลกั ษณจ์ งั หวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏบิ ตั จิ รงิ ของนักศกึ ษาสาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวยั ชัน้ ปที ่ี 3 คณะครุศาสตร์ The Development of the Ability to Read Musical Notes Using Kodaly Symbol Reading Approach Together with Learning from Real Experiences of 3rd Year Students Majored in Early Childhood Education, Faculty of Education อญั ชษิ ฐา ปยิ ะจิตติ1*, รวี ศริ ปิ ริชยากร, จริ าภรณ์ ยกอนิ ทร์, ชนม์ธิดา ยาแก้ว และ จิระ จติ สภุ า บทคดั ย่อ การวจิ ัยครง้ั นี้มีวัตถุประสงค์ ดงั นี้ 1. เพอื่ เปรยี บเทียบความสามารถในการอ่านโน้ตสากลโดยใช้เทคนิค การอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง 2. เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง ของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านโน้ต โดยใช้การศึกษาคะแนนสัมพัทธ์ในการอ่านโน้ตสากลโดยใช้เทคนิค การอา่ นสญั ลักษณจ์ งั หวะของโคดาย รว่ มกับการเรยี นร้จู ากการปฏบิ ัติจริง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี เป็นนักศึกษาสาขาปฐมวัย ชั้นปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 2 ห้อง 52 คน ในรายวิชา 1071303 ทักษะทางดนตรีพื้นฐานสำหรับครู มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งนครนายก เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย 1. แบบทดสอบความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากล 2. แผนการเรียนการสอนการ เรียนรู้ตามปฏิบัติจริง สถิติที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ 1. การหาค่าสถิติพื้นฐานของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่าน ค่าโน้ตก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง ซึ่งได้แก่ คะแนนค่าเฉลี่ย (Mean) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนจาก แบบทดสอบการอ่านค่าโน้ตภายในกลุ่มทดลอง โดยใช้การศึกษาคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ (relative gain score) ผลการวิจัยมีดังนี้ นักศึกษาคะแนนความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากล ก่อนการใช้เทคนิคการอ่าน สัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.33 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 3.51 และ คะแนนความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากล หลังการใชเ้ ทคนิคการอา่ นสญั ลักษณ์จังหวะ ของโคดาย ร่วมกบั การเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัตจิ ริง มคี ่าเฉลย่ี เทา่ กบั 23.67 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 4.06 และเมื่อ เปรยี บเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังการทดลอง พบวา่ คะแนนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่าง มีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ 0.05 คำสำคญั : ความสามารถในการอ่านโน้ตสากล, สญั ลกั ษณ์จังหวะของโคดาย, การเรียนรูจ้ ากการปฏิบตั ิจริง ABSTRACT The purpose of this research was to compare the ability to read musical notes using Kodaly symbol reading approach together with learning from real experiences. The research group in this study was 52 of 3rd year students who were studying in the Basic Music Skills for Teachers course (1071303) of early childhood education program in the second semester of the academic year 2018, Suan Dusit University Nakhonnayok campus. The research instruments in this research were 1) a test of reading ability for musical notes and 2) lesson plans with learning from real experiences. The statistics in the research were 1) to determine the basic statistics of 1 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ติ * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 20
การประชุมวิชาการ คร้งั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 scores from the test before and after the experiment of the experimental group which were Mean and Standard Deviation and 2) to compare the differences of scores from the test within the experimental group by using the relative gain score. The research results of the students’ ability to read musical notes before Kodaly symbol reading approach together with learning from real experiences were the average of 12.33 and the standard deviation of 3.51. The scores of the ability to read musical notes after Kodaly symbol reading approach together with learning from real experiences were the average of 23.67 and the standard deviation of 4.06. When comparing the scores before and after the experiment, it was found that the scores after the experiment were significantly higher than before the experiment at the level of 0.05. Keywords: the ability to read musical notes, Kodaly symbol reading approach, learning from real experiences บทนำ เมื่อกล่าวถึงดนตรีหลายคนอาจนึกถึงบทเพลงที่ตนเองฟัง อยู่ในปัจจุบนั ไม่ว่าจะเป็นเพลง ป๊อบ แจส๊ ร็อค คันทรี่ นั้น คือ ดนตรี ดนตรีเป็นสิ่งที่ให้ความสุขความสบายใจเวลาได้ยิน แต่ในทางกลับกันลองมอง ย้อนกลับไปดไู ปฟังดนตรใี นยุคหลายร้อยปีก่อน ยกตัวอย่างเช่น ดนตรีคลาสกิ ยุคโบราณสิ่งเหลา่ นั้นเปน็ ตน้ แบบ ของดนตรีที่เราฟังกันในปัจจุบัน ถือว่าเป็นแม่แบบเลยทีเดียว จากอดีต – ปัจจุบัน ก็ได้มีผู้คิดค้นสร้างทฤษฎี ดนตรี ขึ้นมาและปรับปรุงแกไ้ ข เพื่อว่าให้มนั มีแบบแผนเดียวกัน จนทำให้เกิดเป็นทฤษฎีดนตรีสากลขึน้ มา และ ไดใ้ ชม้ าจนถงึ ทกุ วันนี้ เสยี งดนตรีไม่วา่ จะเป็นเสียง นกรอ้ ง เสยี งรอ้ งของคนเรา หรือแม้แต่เสยี งฟ้าผ่า นั้นก็ถือว่า เปน็ เสยี งดนตรจี ะเห็นวา่ เปน็ สิ่งที่เกดิ ข้ึนและอยู่กบั รอบตวั เราทุกเวลา ความเข้าใจเกีย่ วกบั ทฤษฎดี นตรีนนั้ นับว่า มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ที่เล่นดนตรี อย่างน้อยที่สุดควรอ่านโน้ตได้ เพราะโน้ตเป็นภาษาที่ใช้เขียน บันทึกเสียงดนตรีให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ต่างๆ ทำให้สามารถศึกษาดนตรีได้เข้าใจง่ายขึ้นและผู้ที่อ่านโน้ตได้ ย่อมสามารถพัฒนาทักษะทางดนตรีได้ดีขึ้นด้วย (ธนโชติ เกื้อเสนาะ, 2556) ดังนั้นการอ่านภาษาดนตรีได้จึงมี ความสำคญั เช่นเดียวกบั การเรียนภาษาทั่วไป การอ่านภาษาออกทำให้ผ้นู น้ั มีความเข้าใจและเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ได้ไม่ รู้จบ เช่นเดียวกับการอ่านภาษาดนตรีได้ทำให้มีโอกาสเรียนรู้ดนตรีได้ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน จุดมุ่งหมายสำคัญ ประการหนึ่งในการสอนดนตรี คือ ความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีได้ของผู้เรียน โดยนัยนี้หมายถึง ความสามารถของผเู้ รยี นทีส่ ามารถอ่านโน้ตดนตรีทไ่ี มเ่ คยเห็นเป็นระดับเสยี งท่ีถูกต้องในลักษณะของการร้องหรือ การเล่นเครื่องดนตรีได้ นอกจากนี้ยังหมายรวมไปถึงการอ่านโน้ตดนตรีและตีความออกมาเป็นเสียงจากผลงาน การประพนั ธ์เม่ือได้ฟังเพลงดังกลา่ ว ซ่งึ เปน็ ทกั ษะที่ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นรบั รู้ดนตรจี ากการฟังอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ณรุทธ์ สทุ ธจติ ต,์ 2540) ดนตรีเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่จะช่วยให้มีสุนทรียภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฟังดนตรี การร้องเพลง การเล่น เครอ่ื งดนตรี การเคล่อื นไหวรา่ งกายประกอบดนตรี การสร้างสรรคด์ นตรี ตลอดจนการอา่ นโน้ตและการเขียนโน้ต กจิ กรรมทางดนตรเี หล่าน้ีนำไปสู่ความซาบซง้ึ ในดนตรีทั้งสิ้น ในการสอนดนตรนี ั้นไม่ได้มุ่งให้นักศึกษาทุกคนต้อง เล่นดนตรีเก่ง แต่จะมุ่งให้นักศึกษาอ่านโน้ตเพื่อใช้ในการปฏิบัติดนตรีแบบง่ายได้ ปัจจุบันการเรียนการสอน ดนตรีมีรูปแบบการสอนที่หลากหลาย เช่น วิธีการสอนดนตรีของ Orff วิธีการสอนของ Dalcroze และ วิธีการ สอนของ Kodaly หลักการอ่านโน้ต มีหลายวิธีที่สามารถช่วยให้สามารถอ่านได้เองอย่างคล่องแคล่ว โคดาย นักประพันธ์ เพลง ชาวฮังการี ได้มีวิธีการ เทคนิคต่างๆ ในการสอนดนตรี โดยมีขั้นตอนจากง่ายไปหายาก เน้นการสอนร้อง เพลงเป็นหลัก ซ่งึ เชือ่ วา่ เป็นการใชเ้ สียงท่ีมอี ยูแ่ ลว้ ตามธรรมชาติ ฝึกควบคไู่ ปกับการอ่านโน้ตจนสามารถอ่านและ เขียนโน้ตดนตรีได้ โดยมีวิธีการใช้สัญลักษณ์มือ และการใช้สัญลักษณ์ของจังหวะในเรื่องของการอ่านโน้ต ซ่ึง 21
การประชมุ วชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 สามารถฝึกโสตประสาททางดนตรีของผู้เรยี นได้ทง้ั เรื่องจังหวะ ระดบั เสียง ทำนอง และการประสานเสยี งโดยการ ร้องเพลงตามแบบฝึกหัดของโดดายซึ่งมีการแบ่งเป็นระดับขั้นตา่ งๆ ให้เหมาะสมกับผู้เรียน (Kodaly, Z., 1882) ดังเช่น อภินันท์ สำเภาน้อย และ อสมา มาตยบุญ (2559) ได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาชุดกิจกรรมเพื่อ ส่งเสริมทกั ษะการอา่ นและการบรรเลงโน้ตสากลสำหรับคียบ์ อร์ด โดยนำ แนวคิดวิธีการสอนของโซลตาน โคดาย และคาร์ล ออร์ฟมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่านโน้ตสากล อันจะทำ ให้สามารถ พัฒนา ทกั ษะในการเลน่ เครือ่ งดนตรีได้ด้วยตนเอง และจะเป็นประโยชน์ต่อการเรยี นดนตรีในระดับทีส่ งู ขึน้ จากหลกั การสอนของ โคดาย ผูว้ ิจยั จึงไดน้ ำมาใชใ้ นการพัฒนาทกั ษะการอา่ นโน้ตของนักศึกษา ซงึ่ ผู้วิจยั ได้เล็งเห็นถึงปัญหาของนักศึกษาในเรื่องของการอ่านโน้ตสากล เพื่อจะนำไปปฏิบัติเครื่องดนตรี โดยนำมาใช้ ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง เพื่อเป็นการฝึกทักษะในเรื่องของอ่านโน้ตได้แม่นยำยิ่งขึ้น และเป็นการต่อ ยอดให้นกั ศกึ ษานำไปประยุกตใ์ ช้กบั การสอนดนตรเี ด็กปฐมวยั ต่อไป วัตถุประสงค์การวจิ ัย 1. เพ่ือเปรยี บเทยี บคะแนนความสามารถในการอ่านโน้ตสากลโดยใชเ้ ทคนคิ การอ่านสญั ลักษณ์จงั หวะ ของโคดาย ร่วมกับการเรียนรจู้ ากการปฏิบตั ิจริง 2. เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านโน้ต โดยใช้การศึกษาคะแนน สมั พัทธใ์ นการอ่านโนต้ สากลโดยใชเ้ ทคนคิ การอ่านสัญลักษณจ์ งั หวะของโคดาย ร่วมกับการเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัตจิ รงิ วธิ ีดำเนินการวจิ ัย กลมุ่ เป้าหมาย กลมุ่ เป้าหมายท่ใี ช้ในการศึกษาครงั้ น้เี ปน็ นกั ศึกษาสาขาปฐมวยั ชัน้ ปีที่ 3 ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 2 ห้อง 52 คน ในรายวิชา 1071303 ทักษะทางดนตรีพืน้ ฐานสำหรับครู มหาวิทยาลัยสวนดุสติ ศูนย์การศึกษา นอกทีต่ ง้ั นครนายก เครือ่ งมอื วิจัย 1. แบบทดสอบความสามารถในการอา่ นค่าโน้ตสากล 2. แผนการเรียนการสอนการเรียนรตู้ ามปฏบิ ัตจิ รงิ แบบทดสอบความสามารถในการอ่านคา่ โนต้ 1. ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยศึกษาทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางดนตรีและ การอ่านค่าโนต้ ตามทฤษฎีของโคดาย เพื่อเปน็ แนวทางในการกำหนดกิจกรรมใหส้ อดคล้องกบั นักศกึ ษา 2. ผ้วู จิ ัยสรา้ งแบบทดสอบการอา่ นค่าโนต้ ตามทฤษฎีของโคดาย 3. ผู้วิจัยนำแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ตที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเพื่อตรวจหาความเที่ยงตรงเชิง เนอื้ หาของแบบทดสอบ จำนวน 3 ท่าน ทา่ นพิจารณาได้คา่ IOC ไดเ้ ท่ากบั 0.67 – 1.00 4. นำแบบสอบถามแบบทดสอบการอ่านคา่ โน้ตมาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 5. นำแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ตที่ปรับปรุงเหมาะสมแล้วไปจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้ กับกลุม่ เป้าหมายในการทดลอง แผนการเรยี นการสอนการเรยี นร้ตู ามปฏิบตั จิ รงิ 1. สร้างแผนการเรยี นการสอนการเรยี นรู้ตามปฏิบตั จิ รงิ ซ่งึ มรี ายละเอยี ด ไดแ้ ก่ ชื่อกจิ กรรม จุดมุ่งหมาย ของกิจกรรม ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรม (ขั้นนำ ขัน้ สอน และขนั้ สรปุ ) สอ่ื วัสดุ อุปกรณ์ ทีใ่ ช้ในการทำกจิ กรรม และ การ ประเมนิ ผล โดยการสังเกตและการแสดงออกของความคดิ เหน็ ในผลงาน 2. นำแผนการจัดกจิ กรรมเสนอต่อผูเ้ ช่ียวชาญเพ่ือตรวจสอบ ปรับปรุงแกไ้ ข โดยผู้เช่ียวชาญ 3 ทา่ น 22
การประชุมวชิ าการ คร้งั ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 3. ปรับปรุงแก้ไขแผนให้มีความสมบูรณ์โดยในขั้นปฏิบัติให้มีการเพิ่มเงื่อนไขข้อตกลงในการทำกิจกรรม กับนักศกึ ษา และใชภ้ าษาท่ีทำใหเ้ ขา้ ใจในเร่ืองของขั้นตอนการเรยี นรู้การปฏบิ ัตจิ ริง 4. นำแผนการเรยี นการสอนการเรยี นรู้ตามปฏิบตั ิจรงิ ท่ไี ดป้ รับปรุงเรยี บร้อยแลว้ ไปใชก้ บั กลมุ่ ตวั อยา่ ง การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. ผ้วู จิ ยั ทำการประเมนิ นักศึกษาก่อนการทดลอง (Pretest) ดว้ ยแบบทดสอบการอา่ นค่าโนต้ 2. ผู้วิจัยทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โดยผู้วิจัยนำเทคนิคการอ่านสัญลักษณ์โน้ต ตามทฤษฎขี องโคดาย มาทำการฝึกอ่านคา่ โน้ตให้กับกลุ่มเป้าหมาย เมือ่ ดำเนินการทดลองตามครบจำนวนสัปดาห์ ที่กำหนดแล้ว ผู้วิจัยให้นักศึกษามาทำการประเมินการอ่านค่าโน้ตด้วยแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ต หลังการ ทดลอง (Posttest) เชน่ เดยี วกับการทดสอบก่อนทดลอง (Pretest) 3. นำแบบทดสอบท่ีได้ไปตรวจให้คะแนนและนำคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์หาค่าทางสถติ ิ การวเิ คราะห์ข้อมลู การหาค่าสถิติพนื้ ฐานของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ตก่อนและหลังการทดลองของกลุม่ ทดลอง ซง่ึ ได้แก่ คะแนนคา่ เฉลย่ี (Mean) ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คือเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ต ภายในกลมุ่ ทดลอง โดยใชก้ ารศึกษาคะแนนพฒั นาการสัมพัทธ์ relative gain score (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2538) ใช้สูตร ใช้สูตร Si = [(Y-X)/(F-X)]x100 โดย Si คือ คะแนนการเปลี่ยนแปลงสัมพัทธ์, Y คือ คะแนนดิบวัดหลัง เรียน, X คือ คะแนนดิบวัดก่อนเรียน และ F คือ คะแนนสูงสุดที่เป็นไปได้ (คะแนนเต็ม) และแปลคะแนนตาม เกณฑร์ ะดับพัฒนาการ (ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี, 2552) โดยใชเ้ กณฑด์ งั น้ี คะแนน 76-100 พัฒนาการระดับสงู มาก คะแนน 51-75 พฒั นาการระดับสงู คะแนน 26-50 พัฒนาการระดับปานกลาง คะแนน 0-25 พฒั นาระดบั ต้น สรุปผลการวจิ ยั การพัฒนาความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากล โดยใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ โดย ผวู้ ิจยั ไดร้ วบรวมขอ้ มูลมาวเิ คราะห์และนำเสนอผลการศกึ ษา ดงั นี้ ตอนที่ 1 ผลของการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากลก่อนและหลังการใช้ เทคนคิ การอ่านสัญลักษณ์จงั หวะของโคดาย รว่ มกบั การเรียนรู้จากการปฏิบัติจรงิ ตอนที่ 2 ผลของการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ตภายใน กลุ่มทดลอง โดยใช้การศึกษาคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ก่อนและหลังการใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะ ของโคดาย ร่วมกับการเรยี นรู้จากการปฏบิ ัติจรงิ นักศึกษามคี ะแนนความสามารถในการอา่ นค่าโน้ตสากล ก่อนการใชเ้ ทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะ ของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 12.33 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.51 และ คะแนนความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากล หลังการใช้เทคนิคการอ่านสญั ลกั ษณ์จงั หวะของโคดาย ร่วมกับ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.67 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.06 และเมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างคะแนนก่อนและหลังการทดลอง พบว่า คะแนนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมี นัยสำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ 0.05 (ตารางท่ี 1) 23
การประชุมวชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ตารางที่ 1 ผลของการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการอ่านค่าโน้ตสากลก่อนและหลังการใช้เทคนิค การอา่ นสัญลกั ษณจ์ งั หวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏบิ ัติจริง (n=52) กลมุ่ เปา้ หมาย S.D. df t sig ก่อนการทดลอง 12.33 3.51 หลังการทดลอง 23.67 4.06 51 36.39 0 *p< .05 ผลของการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านคา่ โน้ตภายในกลุ่มทดลอง โดยใช้การศึกษาคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ก่อนและหลังการใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง คะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งการแปลงคะแนนหลังการอบรม (Y) เป็น คะแนนการเปลี่ยนแปลงสัมพัทธ์ (Si) ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ การอ่านค่าโน้ตจากแบบทดสอบ มี คะแนนพัฒนาการอ่านค่าโน้ตโดยใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการ ปฏิบัติจริง สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ จากคะแนนพัฒนาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเข้าใจวิธีการอ่านค่าโนต้ เพิม่ มากขึ้น เมื่อพิจารณาคะแนนสัมพัทธ์แล้ว ทำให้รู้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีคะแนน พฒั นาการเพ่ิมขน้ึ เฉล่ีย ร้อยละ 66.55 ซึง่ อยใู่ นเกณฑพ์ ฒั นาการระดับสูง (ภาพที่ 1) ภาพที่ 1 การเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนจากแบบทดสอบการอ่านค่าโน้ตภายในกลุ่มทดลอง โดยใช้การศกึ ษาคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ นักศึกษาที่ได้รบั ไดร้ ับการจัดการเรยี นรู้การอ่านค่าโน้ต โดยใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณจ์ ังหวะของโค ดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัตจิ ริงก่อนเรียนและหลงั เรียน พบว่า นกั ศึกษาจำนวน 14 คน คิดเป็นร้อย ละ 26.92 ของนักศึกษาทั้งหมด มีพัฒนาการระดับปานกลาง นักศึกษาจำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 38.46 ของนกั ศึกษาท้ังหมด มพี ฒั นาการระดับสงู และ นักศกึ ษาจำนวน 18 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 34.62 ของนักศึกษา ทัง้ หมด แสดงว่านกั ศกึ ษาทไ่ี ด้รบั การจัดการเรียนรู้การอ่านค่าโน้ต โดยใช้เทคนิคการอ่านสญั ลักษณ์จังหวะของ โคดาย รว่ มกบั การเรยี นร้จู ากการปฏบิ ตั จิ ริง มคี ะแนนเพิ่มข้ึนอยู่ในระดับสูง (ตารางท่ี 2) 24
การประชุมวิชาการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละของนักศึกษาที่มีคะแนนพัฒนาการหลังจากการได้รับการจัดการเรียนรู้การอ่าน ค่าโน้ต โดยใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง แตล่ ะระดับพัฒนาการ เกณฑ์คะแนนพัฒนาการสมั พัทธ์ ระดบั พฒั นาการ นกั ศกึ ษา (คน) รอ้ ยละ 76-100 พฒั นาการระดบั สงู มาก 18 34.62 51-75 พฒั นาการระดบั สูง 20 38.46 26-50 พัฒนาการระดับปานกลาง 14 26.92 0-25 พฒั นาการระดับตน้ 00 อภิปรายผลวิจัยและขอ้ เสนอแนะ ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาสาขาปฐมวัย ชั้นปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 2 ห้อง 52 คน ในรายวิชาทักษะทางดนตรีพื้นฐานสำหรับครู (1071303) ได้พัฒนาความสามารถในการอ่านค่า โน้ตสากล หลังการใช้เทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย ร่วมกับการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ผ่าน แผนการจดั การเรียนรจู้ ำนวน 2 แผน แผนละ 4 คาบเรยี น คาบเรยี นละ 50 นาที รวมท้งั หมด 8 คาบเรียน ซึ่ง มีประเดน็ การอภปิ ราย ดงั น้ี ในคาบเรยี นที่ 1 เมอื่ นกั ศกึ ษาไดเ้ ห็นโน้ตสากลคร้ังแรก นักศึกษายงั ไมส่ ามารถอ่านโน้ตได้ ตามจังหวะ ที่กำหนด ในคาบเรียนที่ 2 ผู้วิจัยจึงนำเทคนิคการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดายมาอธิบายวิธีการ โดยให้ นักศึกษาปฏิบัติตาม และ หลังจากนั้น ให้นักศึกษาแบ่งกลุม่ ออกแบบสัญลกั ษณ์จังหวะของโคดาย มานำเสนอ หน้าชนั้ เรียน ในคาบเรียนที่ 3-4 นักศึกษาทำการนำเสนอ พรอ้ มกับตบจังหวะตามสัญลักษณ์ที่ได้ออกแบบ ใน คาบเรียนที่ 5 ผู้วิจัย ให้นักศึกษาปฏิบัติซ้ำในการอ่านสัญลักษณ์จังหวะของโคดาย เพื่อให้เกิดทักษะการอ่าน โน้ตมากขึ้น คาบเรียนที่ 6-8 ผู้วิจัยนำแบบฝึกหัดการอ่านโน้ตสากล มาให้นักศึกษาอ่านพร้อมกับตบจังหวะ นักศึกษาสามารถอ่านโน้ตได้ดีขึน้ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเม่ือทำการทดลองผลการเปรยี บเทียบคะแนนความสามารถ ในการอา่ นโน้ตสากล หลงั การใชเ้ ทคนิคการอ่านสัญลกั ษณจ์ ังหวะของโคดาย รว่ มกบั การเรียนรู้จากการปฏิบัติ จริง ระหว่างกอ่ นการทดลองและหลังการทดลอง พบวา่ คะแนนเฉลย่ี ของคะแนนความสามารถในการอ่านโน้ต สากลสงู ข้นึ กว่าก่อนทดลง อย่างมนี ัยสำคญั ท่รี ะดับ 0.05 ซ่งึ สอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของ มารยี า ปัณณะกิจการ (2557) เร่อื ง การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้เพอื่ พฒั นาทักษะการอ่านโน้ตตามแนวคิดโคดายสำหรับ ผู้เรียนเปียโนวัยผู้ใหญ่ตอนต้น พบว่า กลุ่มการทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านโน้ตและ ความรู้ความเข้าใจ สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ สอดคล้องกับ วรรณวุฒิ วรรณารุณ (2553) เรื่อง ผลของการใช้กิจกรรมดนตรีตามแนวคิดของโคได ที่มีต่อทักษะทางดนตรีของนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นวัดทรงธรรม อำเภอพระประแดง จงั หวัดสมุทรปราการ พบว่า 1. นกั เรียนมที กั ษะทางดนตรมี ากขึน้ หลงั จากไดร้ บั การใชก้ ิจกรรมดนตรีตามแนวคิดของโคได อย่างมี นยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดับ 0.01 2. นกั เรียนมที ักษะทางดนตรีมากขนึ้ หลังจากได้รับการให้ขอ้ สนเทศ อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.01 3. นกั เรยี นทไ่ี ดร้ ับการใชก้ ิจกรรมดนตรีตามแนวคิดของโคได มีทักษะทางดนตรีมากขึ้นกว่านักเรียนท่ี ได้รับการใหข้ ้อสนเทศอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดับ 0.01 ในระหว่างการทดลองผู้วิจัยได้ใช้กระบวนการสอนร่วมกับการปฏิบัติจริง ซึ่งให้ความสำคัญกับตัว ผู้เรียนในการได้มสี ่วนร่วมในการคิดวเิ คราะห์ปัญหา มีการใชค้ ำถามช่วยกระตุ้นให้ผู้เรยี นได้ วิเคราะห์ในแต่ละ ขน้ั ตอน หลังจากน้นั นำไปสู่การแกป้ ัญหาด้วยการลงมือปฏบิ ัตจิ ริง แต่ละขน้ั ตอนของการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เริ่มจากกระบวนการกลุ่ม จากนั้นร่วมกันศึกษาว่าจะศึกษาปัญหาใด และร่วมกันปฏิบัติแก้ปัญหาให้บรรลุ 25
การประชมุ วชิ าการ ครงั้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 เป้าหมายที่วางแผนเอาไว้ ซึ่งสอดคล้องกับ จิตติรัตน์ แสงเลิศอุทัย (2555) เรื่อง การเสริมสร้างทักษะการ จัดการความรู้โดยใชก้ ระบวนการเรียนรจู้ ากการปฏบิ ตั ขิ องนกั ศึกษาวิชาชีพครู (ระยะท่ี 2) ผลการวิจยั พบว่า 1. ทักษะการจัดการความรู้ของนักศึกษาระหว่างกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติกับกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และโดยกลุ่มนักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการ เรยี นรู้จากการปฏบิ ัติมที กั ษะการจดั การความร้สู ูงกว่ากลุ่มทไี่ ด้การจัดการเรยี นการสอนแบบปกติ 2. ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเสริมสร้างทักษะการจัดการความรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ จากการปฏบิ ตั ิอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจยั ไปใช้ จากผลการวิจัยผวู้ ิจัย ได้แนวทางในการพฒั นาความสามารถในการอ่านคา่ โน้ตสากลใหก้ ับนักศึกษา โดยการใช้เทคนคิ การอ่านสญั ลักษณ์จงั หวะของโคดาย ทีเ่ น้นการปฏิบัติจริง เพ่ือให้นกั ศึกษาอา่ นโน้ตได้ คล่องแคล่ว และถูกจังหวะมากข้นึ ในการปฏิบัตคิ ีย์บอร์ด โดยมีข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งตอ่ ไป 1. ควรมกี ารนำเทคนิคการสอนของโคดาย ไปใช้กบั สาระอื่นๆ ที่เนน้ ในเรื่องของทกั ษะด้านต่างๆ เพ่ือ พฒั นาทักษะด้านดนตรใี ห้กับนกั ศึกษาเพิ่มมากขึ้น 2. ควรมีการให้นักศึกษาฝึกออกแบบทักษะการอ่านเพิ่มขึ้นและ แลกเปลี่ยนให้กับนักศึกษาภายใน ช้นั เรียน เป็นผู้ปฏิบตั ิ เพอ่ื เปน็ การฝึกทักษะด้านการอา่ นโนต้ ท่ีหลากหลายเพม่ิ มากขนึ้ รายการอ้างอิง จติ ตริ ัตน์ แสงเลิศอุทยั .2555. การเสรมิ สรา้ งทกั ษะการจัดการความร้โู ดยใช้กระบวนการเรียนรู้จากการปฏบิ ตั ิของนักศึกษาวิชาชีพ ครู (ระยะที่ 2). วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . 34(3-4): 14-20. ณรทุ ธ์ สุทธจิตต์. 2540. สงั คีตนิยมความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. พิมพลักษณ์. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. 291 หน้า. ธนโชติ เกอื้ เสนาะ. 2556. ทฤษฎเี บ้อื งต้นเกยี่ วกบั ดนตรี. จาก http://ton2556.blogspot.com/2013/07/musical-theory.html . สบื ค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2561. มารยี า ปณั ณะกิจการ. 2557. การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ พ่ือพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตตามแนวคิดโคดายสำหรับผู เรียนเปยี โนวัยผูใ้ หญต่ อนตน้ . วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบณั ฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . กรุงเทพฯ วรรณวฒุ ิ วรรณารุณ. 2553. ผลของการใชก้ จิ กรรมดนตรตี ามแนวคิดของโคได ทม่ี ตี ่อทกั ษะทางดนตรขี องนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนวัดทรงธรรม อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ศิริชัย กาญจนวาสี. 2538. การวิเคราะห์ข้อมูลแบบพหุระดับ. การประชุมเชิงปฏบิ ัติ ครั้งที่ 3 เรื่องหลักการและวิธีการวิจยั ขั้นสงู เฉพาะการวิจยั และพฒั นาระบบพฤติกรรม ในดา้ นต่าง ๆ. กรงุ เทพมหานคร : สำนกั งานคณะกรรมการวิจัยแหง่ ชาต.ิ ศิริชยั กาญจนวาสี. 2552. ทฤษฎีการทดสอบแบบดงั้ เดมิ . พิมพค์ ร้ังท่ี 6. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . อภินันท์ สำเภาน้อย และ อสมา มาตยาบุญ. 2559. การพัฒนาชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและการบรรเลงโน้ตสากล สำหรบั คยี ์บอรด์ ของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยใช้แนวคดิ ของโคดายและคาร์ลออร์ฟ. วทิ ยานิพนธ์. ศกึ ษาศาสตร บณั ฑิต. วิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑิตย์. Kodaly, Z. 1882. The Selected Writhing of Zoltan Kodaly. Budapest: Corvine. 26
การประชุมวชิ าการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 การศึกษาการเรียนรเู้ พือ่ สง่ เสรมิ ทักษะทางอาชีพทส่ี อดคล้องกบั การเปลยี่ นแปลงนวัตกรรม อย่างพลิกผนั ในรายวิชากลยุทธก์ ารสร้างสรรค์เพื่อการโฆษณา A Study for learning to enhance ability Career skills for Disruptive Innovation in Creative Strategies for Advertising Course กรชนก ชิดไชยสวุ รรณ1* บทคัดยอ่ โครงการนี้ เป็นการศึกษากิจกรรมการเรียนรู้การสร้างประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติงาน ช่วยเพ่ิม ทักษะทางอาชีพและความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เพื่อใช้ในการทำงานสายอาชีพโฆษณาสำหรับนักศึกษา ระดับปริญญาตรีที่ลงทะเบียนเรียนวิชากลยุทธ์การสร้างสรรค์เพื่อการโฆษณา ประกอบด้วย 1) Simulation based learning: ใช้การสร้างสถานการณ์เสมือนจริงของการทำงานฝ่ายต่าง ๆ ในการทำงาน สรา้ งสรรค์งานโฆษณา ทม่ี ีรูปแบบและขั้นตอน ตลอดจนเรยี นรูเ้ ทคโนโลยีเสมือนการทำงานจรงิ ในบริษัทโฆษณา 2) Project based learning: ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติงานตามกระบวนการสร้างสรรค์และผลิตผลงานโฆษณา และเผยแพร่ทางสื่อใหม่ ผลการจดั การเรยี นรู้ พบวา่ มผี ลทเ่ี กดิ ข้ึนกบั ผู้เรียนในด้านตา่ ง ๆ อันได้แก่ 1) นักศึกษา เกิดประสบการณ์ในกระบวนการทำงานโฆษณา อยใู่ นระดับทด่ี ีข้ึน 2) นกั ศึกษามีทกั ษะในการทำงานจากการลง มือปฏิบัติงานจริง ทำให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ และการนำเสนองาน รวมถึงประสิทธิภาพของผลงาน ที่ทำสำเรจ็ ลลุ ว่ ง และได้นำไปเผยแพรจ่ ริงทางชอ่ งทางสอ่ื ใหม่ในระดับท่ีดีขนึ้ คำสำคญั : ความเทา่ ทันเทคโนโลยี, ทักษะทางอาชพี , ประสบการณ์, การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์เสมอื นจรงิ ABSTRACT This project is a study of learning activities through experience to enhance career skills and technical abilities on Creative Strategies for Advertising Course of undergraduate students. The instructional model consisted of learning approaches: 1) Simulation-based learning: Using simulation for the work of various departments. Creative work There are variations and simulated steps that work in advertising companies. 2) Project-based learning: Actual work based on the process of creating and focusing on the production of creative works to be present on new media channels. The results of learning management found that there were effects on the students in various areas, including 1) The students have experience in the advertising process. 2) The students have the skills to work from the actual work (Learning by Doing), allowing the ability to create and presentations Including work efficiency accomplished achievements, and published it on new media at a better level. Keywords: technical, career skills, experience, simulation based learning 1 คณะเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศลิ ปากร * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 27
การประชุมวิชาการ ครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 บทนำ ในยุคที่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ไม่ว่า จะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อม โดยมีตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน ก็คือ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือ AI ซ่ึง จิม สเติร์น (Jim Sterne ผู้เขียนหนังสือ Artificial Intelligence for Marketing) หนังสือด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพโฆษณา ให้คำจำกัดความว่ า “ปัญญาประดิษฐ์ เป็นขั้นตอนที่เป็นตรรกะในการคำนวณ โปรแกรมที่สามารถค้นหาสิ่งต่าง ๆ สำหรับตัวมันเอง เป็นโปรแกรมท่ีสามารถตั้งโปรแกรมใหม่ได้” ปัญญาประดิษฐ์เป็นการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่มีความฉลาดในการ สั่งการให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถคิดและทำงานได้ใกล้เคียงมนุษย์ เช่น สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก ได้อย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันบริษัทและกิจการหลายแห่งได้นำปัญญาประดิษฐ์มาทำงานแทนคนมากขึ้น มีการ คาดการณว์ ่าในอนาคตอนั ใกล้จะมีการนำระบบปัญญาประดิษฐ์เหล่าน้ีมาทำงานในอาชีพต่าง ๆ มากขึ้น (Salate, 2562) เช่น ที่ปรึกษากฎหมาย นักข่าวหรือผู้อ่านข่าว ที่ปรึกษาด้าน Cyber security พนักงานแปลภาษา พนักงานเสิร์ฟอาหาร การตรวจวิเคราะห์โรค การตลาดเฉพาะบุคคล เป็นต้น สำหรับวงการโฆษณาก็ได้มีการนำ ปัญญาประดิษฐ์มาใช้มากขึ้น อาทิ การวางแผนสื่อ การเชื่อมโยงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม ควบคุมการซื้อและขาย โฆษณาแบบเรียลไทม์ รวมถงึ การเชื่อมโยงแลกเปลี่ยน ข้อมูล เช่น การโฆษณาบน Facebook การกำหนดความถี่ ในการโฆษณา การควบคุมงานโฆษณาในการเข้าถึงผู้บริโภค ข้อมูลเหล่านี้ใช้อัลกอริทึมในการควบคุมและคิด ค่าใช้จ่าย เป็นต้น (Kaput, M., 2019) หรือการสร้างสรรค์งานโฆษณา ได้มีการนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาใช้ ประมวลผลการใช้ภาษาโฆษณา เพอ่ื ช่วยในการเขียนข้อความโฆษณา (Jessi, J., 2018) นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการโฆษณา ในงานเสวนา“คนโฆษณา...เส้นทางนอกตำรา” หัวข้อ “The New Renaissance of Advertising” ซึ่งจัดโดย คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรม การจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ร่วมกับสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำสำหรับนักศึกษาที่ สนใจเข้าทำงานในบริษัทโฆษณา ควรมีทักษะสำหรับการทำงานเป็นนักโฆษณาในอนาคต ดังน้ี 1) มี Art + Scientific คือ ความสามารถในการใช้ศิลปะผสมกับความเข้าใจวิทยาศาสตร์ เพื่อหารูปแบบใหม่ ๆ นำมาใช้หรือเป็นองค์ประกอบของชิ้นงาน เพื่อแก้ปัญหาให้กับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์มากขึ้น 2) เปิดรับส่ือรับ เทคโนโลยีใหม่ ๆ มี Analogical การคิดเทียบเคียงเพื่อหาความเป็นไปได้ของเรื่องต่าง ๆ เข้าใจกลยุทธ์ตลอดจน ยุทธวิธีในการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผล 3) เป็น Digital Native เข้าใจและสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 4) มีศักยภาพในการแข่งกับเทคโนโลยีได้ ต้องมีความรวดเร็วในทักษะด้านการสื่อสาร การใช้ภาษาและไหวพริบ ในการสื่อสารผ่านสื่อต่าง ๆ และมีความยืดหยุ่น มุมมองที่รอบด้าน และความสามารถในการคาดการณ์เพื่อลงมือ ปฏบิ ตั ิไดจ้ ริง เนื่องจากวิชากลยุทธ์การสร้างสรรค์เพื่อการโฆษณา เป็นวิชาที่มุ่งเน้นในด้านทักษะของการทำงาน ในฝ่ายต่าง ๆ ของบริษัทโฆษณา ผู้วิจัยจึงได้ออกแบบการเรียนการสอนให้เน้น การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ใน การทำงานเกี่ยวกับการสื่อสารของบริษัทโฆษณา เนน้ การไดล้ งมือปฎิบัติงานจรงิ ในทุกกระบวนการเพื่อสร้างสรรค์ ชิ้นงาน ทำการเผยแพร่ผลงานผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก และสื่อเสริมตามความเหมาะสมของวัตถุประสงค์ เพื่อ เตรียมความพร้อมให้นักศึกษาสามารถเข้าใจถึงปัญหา ตลอดจนวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในการ ทำงาน เพ่ือให้มปี ระสบการณ์พร้อมสำหรบั การออกไปประกอบอาชีพทางสายงานที่นกั ศึกษาเลือกเรียน โดยผู้วิจัยได้นำแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง มาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดการศึกษาในครั้งน้ี ได้แก่ ทักษะสำคัญเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ของศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช (2555) ประกอบ ด้วย 1) ทักษะชีวิตและอาชีพ เป็นการเตรียมความพร้อมให้เกิดความสามารถในการทำงานและการ ดำรงชีวิตอยู่กับสังคมและความหลากหลายได้ ด้วยการออกแบบการเรียนรู้ของผู้สอนเพื่อให้เกิดการพัฒนา ใน เรื่องความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัว มีความริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง ทักษะด้าน 28
การประชุมวิชาการ ครัง้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 สังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผลิตและความรับผิดชอบเชื่อถือได้ มีภาวะผู้นำและความ รับผิดชอบ 2) ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม อยู่ที่ยอดของ Knowledge-and-Skills Rainbow ซึ่งเป็น หวั ใจของทักษะเพ่ือการดำรงชวี ติ ในศตวรรษท่ี 21 เป็นทักษะที่ทกุ คนต้องเรียน เพราะโลกจะย่งิ เปล่ียนแปลงเร็ว ขึ้นเรื่อย ๆ และมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีทักษะนี้เพื่อช่วยในการทำงานในอนาคต อันประกอบไป ด้วย ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา การสื่อสารและการ ร่วมมอื 3) ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี การมีทกั ษะในการใช้สื่อ รว่ มถึงความสามารถในการปฎิบัติ ในเทคโนโลยีต่าง ๆ สิ่งสำคัญควรเป็นการคิดและการใช้อย่างมีวิจารณญาณ ด้วยความรู้ ในเรื่องเกีย่ วกบั ความรู้ ดา้ นสารสนเทศ ความรเู้ กี่ยวกบั สื่อ ความรู้ดา้ นเทคโนโลยี ทกั ษะด้านการเรยี นรู้และนวตั กรรม ทกั ษะดา้ นสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี ทักษะด้านชวี ติ และอาชีพ จากทักษะที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้นำมาเป็นแนวทางในการกำหนดและออกแบบแผนกิจกรรมการเรียนรูแ้ ละ แบบทดสอบและประเมนิ เพื่อใหเ้ หมาะสมกับผเู้ รียน และผูเ้ รยี นได้มีทักษะท่สี อดคลอ้ งกับแนวคิดดังกล่าว ทฤษฎีการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์เสมือนจริง (Simulation Based Learning: SBL) ซึ่งเป็น กระบวนการที่ผู้สอนนำมาใชเ้ พื่อให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยผู้เรียนได้ทดลองสวม บทบาทในสถานการณ์ ที่ประกอบดว้ ย บทบาท ข้อมูล และกฎกติกาท่สี ะท้อนจากความเป็นจริง ได้มีปฏิสัมพันธ์ กบั รายละเอียดต่าง ๆ ที่ปรากฎในสถานการณ์ โดยมกี ารใชข้ ้อมลู ทีใ่ กล้เคียงกับข้อมูลในความเป็นจริง มาช่วยใน การปฏิบัติ การตัดสินใจและแก้ปัญหา ซึ่งการตัดสินใจจะส่งผลต่อผู้เล่นในลักษณะเดียวกับที่จะเกิดขึ้นได้ใน สถานการณจ์ รงิ (Admin, 2557)การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณเ์ สมือนจริงหรือสถานการณ์ จำลองสามารถ จดั ได้หลากหลายรปู แบบ สำหรับการศึกษาครัง้ น้ี ผ้วู ิจยั สนใจศกึ ษาเฉพาะรปู แบบการจดั กิจกรรม ดังนี้ 1) การใช้สถานการณ์เป็นหลัก (paper based scenario) ในการเรียนการสอน ใช้การประยุกต์การเรียน โดยใช้บทเรยี นทีม่ ีปัญหาเปน็ หลัก 2) การแสดงบทบาทสมมติ (role play) การเรียนรู้ด้วยบทบาทสมมติเหมือน สถานการณ์จริง ประกอบด้วย การมอบหมายให้นักศึกษาแสดงบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน โดยผู้วิจัยกำหนด บทบาทให้นักศึกษาต้องแสดงในสถานการณ์ โดยแบ่งออกเป็น 5 ฝ่าย ได้แก่ 1) ฝ่ายสร้างสรรค์งานโฆษณา 2) ฝ่ายผู้บริหารงานลูกค้า 3) ฝ่ายผลิต 4) ฝ่ายสื่อ 5) ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะสังเกตพฤติกรรมเมื่อ ฝ่ายอื่นแสดง ผู้สอนมีหน้าที่ควบคุมห้องเรียนให้ผู้เรียนทุกคนสนใจบทบาท ที่เพื่อนทำการแสดงในแต่ละ สถานการณแ์ ละเนื้อหาที่ใช้มีความถูกต้องใกล้เคียงกับสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นไดจ้ ริง 3) การฝึกทีละวิธีการ (single task trainer) การสอนที่ผู้สอนจะปูพื้นฐานให้ผู้เรียนมีความรู้ครบถ้วนในกิจกรรมเฉพาะ มีการสาธิตและสาธิต ยอ้ นกลับ โดยฝึกทีละวธิ ีการหรอื กิจกรรม ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคอล์บ (Kolb’s experiential learning theory, 1984) การ เรียน รู้เชิงประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยผู้เรียนนำความรู้มาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ เชื่อมโยงและจัด ระเบียบ ประสบการณ์ต่าง ๆ ให้เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์เพื่อให้สามารถเข้าใจประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (John, D., 1974; Kolb, D.A., 1984 อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2559) การเรียนรู้เชิงประสบการณ์มี จุดมุ่งหมาย คือ การทำให้ผู้เรียนได้เกิดความตระหนกั ถึงปรากฎการณ์ในชวี ติ จริง นำไปสู่การเรียนรู้ทีม่ ีชีวิตชีวา โดยใชป้ ระสบการณใ์ นภาคสนามเปน็ ตวั เชอ่ื มโยงการเรยี นรู้ รวมความคิดกบั การกระทำเข้าดว้ ยกนั การเรียนรเู้ ชงิ ประสบการณ์ จึงสัมพันธ์กับการเรียนรู้จากการกระทำ วิธีการเรียนการสอนจะเชื่อมโยงทักษะการเรียนรู้เข้ากับ ประสบการณ์จริงในโลกของการทำงาน (ชัยวฒั น์ สทุ ธริ ตั น์, 2559) มีข้นั ตอนการเรียนการสอน ดังน้ี 1) การสรา้ ง ประสบการณ์ (Do) โดยการสรา้ งความสนใจให้กับผู้เรียน กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากการกระทำมาก กว่าการ บรรยาย ผู้สอนเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก ช่วยเตรียมข้อมูล แนะนำ และตอบข้อสงสัยของผู้เรียนขณะทำ กิจกรรม 2) แบ่งปัน (Share) ผู้เรียนได้นำประสบการณ์มาแลกเปลีย่ นกัน 3) กระบวนการ (Process) ผู้เรียนนำ ประสบการณ์ที่ได้รับมาอภิปรายและวิเคราะห์ เพื่อนำมากำหนดเป็นหลักการ แนวทาง สามารถนำไปปรับใช้ใน 29
การประชุมวิชาการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 ประสบการณ์จริง 4) การสรุป (Generalize) ร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้รับใหส้ ามารถนำมาใช้ในสถานการณ์จริงได้ และ 5) ประยุกต์ (Apple) ผู้เรียนได้มีกิจกรรมในการประยุกต์ความรู้ที่ได้รับในสถานการณ์ ที่จะทำให้ผู้เรียนมี ประสบการณ์ต่อไป แนวคิดการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ของคอล์บ เป็นการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับการนำมาใช้ ร่วมกับการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้สถานการณ์เสมือนจริงเป็นฐาน เพราะเป็นการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้นำการแสดง บทบาทในสถานการณ์เสมือนจริงซึ่งถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง เมื่อนำมาจัดรูปแบบวิธีการคิดตามแนวคิด ของคอล์บ ก็จะทำให้ผูเ้ รียนมีความเข้าใจอย่างลึกซึง้ ในบทบาทที่ได้แสดงออกไป รวมถึงอาจเกิด องค์ความรูใ้ หม่ หรือแนวทางใหม่ ที่ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้สำหรับการทำงานในสาขา อาชีพโฆษณาได้ในอนาคต ซ่ึง ผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบของการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ โดยการนำประสบการณ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สำคัญ ในงานโฆษณา มาปรับใช้ร่วมกับรูปแบบและวิธีของการทำงาน เมื่อผู้เรียนแสดงบทบาทในแต่ละครั้ง ก็จะนำ ความรู้ที่ได้มาเข้ากระบวนการทั้ง 4 ขั้นตอน เพื่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ สำหรับนำไปทดลองปฏิบัติในการจำลอง สถานการณ์ครั้งต่อไป วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย เพื่อศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานการณ์เสมือนจริง โดยสร้างประสบการณ์การลงมือ ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มทักษะทางอาชีพ และความเท่าทันทางเทคโนโลยีในการทำงานสายอาชีพโฆษณาสำหรับ นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ัย ประชากร ประชากรเปน็ นักศึกษาระดับปริญญาตรี เอกโฆษณา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร มหาวิทยาลัย ศลิ ปากร วิทยาเขตเพชรบรุ ี ทล่ี งทะเบยี นใน รายวชิ า 803 214 กลยุทธ์การสรา้ งสรรค์เพ่ือการโฆษณา จำนวน 49 คน เครอ่ื งมอื วิจัย การศึกษาวิจยั คร้ังนีเ้ ครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในวิจยั ประกอบด้วย 1. หลักเกณฑก์ ารพิจารณาในการรบั บัณฑติ จบใหม่ เขา้ ทำงานในสายอาชีพโฆษณา โดยผู้วจิ ัยไดน้ ำข้อมูลจาก การสอบถาม นักโฆษณา ผู้บริหารและเจ้าของบริษัทโฆษณา จำนวน 7 ท่าน มาสรุปเป็นกรอบความรู้ ทักษะรวมถึง เทคโนโลยีสำหรับใช้ในการทำงานในปัจจุบัน ที่ผู้เรียนมีเพื่อการทำงานในสายอาชีพโฆษณา เพื่อนำมาใช้ออกแบบ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์เสมือนจริงเป็นฐาน ผู้วิจัยได้ทำการกำหนดสาระการ เรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ และขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นแนะนำ 2) ขั้นเข้าร่วม 3) ขั้นกิจกรรม และ 4 ขั้นสรปุ หลังจากนั้นจึงนำเสนอแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ตู อ่ ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญสายอาชีพโฆษณา 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอน 2 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องและความตรงของแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 3. สรุปความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก ต่อผลงานและการนำเสนองานของนักศึกษา ที่ผู้วิจัยรวบรวม โดยการจดบันทึกจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญสายอาชีพโฆษณาที่มีต่อผลงานสร้างสรรค์ของนักศึกษา ในการ นำเสนองานโครงการ UNC#5 จำนวน 2 ครั้ง 4.แบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการเรียนการสอนด้วยกิจกรรมโดยใช้สถานการณ์เสมือนจริง เป็นฐาน ผู้วิจัยได้ทำการสร้างแบบสอบถามแล้วนำเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ ความถกู ตอ้ งและความตรงของแผน 30
การประชุมวชิ าการ ครัง้ ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 5. ผลตอบรับตอ่ ผลงานท่ีได้รับการเผยแพร่ส่สู าธารณชน เป็นการรวบรวม การเรยี นรขู้ องนกั ศึกษา ตั้งแต่การ วางแผน การสร้างสรรค์และผลิตชิ้นงาน และการวางแผนการสื่อสารโดยใช้สื่อใหม่ ทางออนไลน์ การประยุกต์ ใช้ เทคโนโลยีต่าง ๆ ทน่ี กั โฆษณาสายอาชีพจำเป็นต้องมคี วามรแู้ ละทักษะเหล่านี้ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู รวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนการสอนแบบสังเกตพฤติกรรมโดยผู้สอน และตัวแทนนักศึกษาแบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์ เสมือนจริงเป็นฐาน นอกจากนี้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ตามขั้นตอนการสังเกตพฤติกรรมและจากการตอบรับ ของชนิ้ งานสร้างสรรค์ ท่ีไดร้ บั การเผยแพร่บนสื่อใหม่ ได้แก่ เว็บไซต์ Facebook YouTube เป็นตน้ และการตอบ แบบสอบถามความคิดเหน็ จากนักศึกษา เพ่ือให้ตอบวัตถุประสงค์และคำถามของการศึกษาครงั้ นี้ การวเิ คราะห์ข้อมูล ผู้วจิ ัยไดท้ ำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถติ ิโดยประเมนิ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ ตามวิธีการของลิเคอร์ท (Likert) 5 ระดับ จากนั้นนำมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยทำการวิเคราะห์ทั้งรายข้อ และภาพรวม (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) การประเมินการสร้างสรรค์และการผลติ ช้ินงานของนักศึกษา โดยเกณฑ์ การประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาตามแนวคิดของ กิลฟอร์ด (Guilford, 1967) และจากผู้เชี่ยวชาญสาย อาชพี โฆษณา สรุปผลการวจิ ัย 1. ผลสรุปจากการใช้แผนการจัดเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยใช้สถานการณ์เสมือนจรงิ เป็นฐาน (ภาพที่ 1) เมอ่ื ไดใ้ ช้โดยเรยี งลำดับขน้ั ตอนในการทำงานของบริษัทโฆษณา เพื่อประเมนิ ความสามารถ ของการพฒั นาทักษะทางอาชพี โฆษณา ซงึ่ ประเมนิ โดยผู้สอน พบวา่ ผลรวมของนักศกึ ษาทงั้ 5 ฝ่ายในประเด็น ที่นักศึกษาได้ใช้ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับค่อนข้างดีถึงดีมาก (7.5-9.0) ผลรวมของการ แก้ปัญหา อยู่ที่ระดับค่อนข้างดีถึงดี (7.0-8.5) ด้านการนำเสนอ อยู่ในระดับดีถึงดีมาก (8.0-9.0) ซึ่งสังเกตได้ จากการนำเสนอทั้งในสถานการณ์สมมติในห้องเรียน และการนำเสนองานจริงนอกห้องเรียน ทุกฝ่ายมีการ เตรียมตัวทั้งด้านข้อมูลและด้านการเตรียมตัว โดยมีการฝึกซ้อมการนำเสนอ โดยอัดคลิปส่งให้ผู้สอนเพื่อขอ คำแนะนำติ-ชม ก่อนการนำเสนอจริงทุกครั้ง ด้านประสิทธิภาพของช้ินงานและผลการที่เผยแพร่ทางสื่อใหม่ อยู่ในระดบั ทดี่ ีถงึ ดมี าก (8.0-9.0) ภาพที่ 1 บรรยากาศการทำของนกั ศกึ ษาภายในและนอกหอ้ งเรยี น 31
การประชุมวชิ าการ ครงั้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ที่ 30 กรกฎาคม 2563 2. ผลสรุปจากการใช้แผนการจัดเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้สถานการณ์เสมือนจริง เป็นฐาน เมื่อได้ใช้โดยเรียงลำดับขั้นตอนในการทำงานของบริษัทโฆษณา เพื่อประเมินความสามารถของการ พัฒนาทักษะทางอาชีพโฆษณา สรุปตามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกในสายงานโฆษณา พบว่า การ นำเสนอคร้ังที่ 1 ดา้ นการนำเสนอ นกั ศกึ ษามีความมน่ั ใจ นำเสนอได้อย่างเปน็ ลำดบั ขนั้ ตอน มีความชัดเจนตรง ประเดน็ และการ ออกแบบสไลด์การนำเสนอได้อย่างนา่ สนใจ ด้านทกั ษะความรู้ นกั ศึกษามีลำดับขั้นตอนการ ทำงาน มีการหาข้อมลู อย่างเป็นระบบ มีข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย มีการนำเสนอ Key message (ทักษะที่ต้อง มใี นการทำงานโฆษณา) สำหรับประเด็นการแก้ปัญหา นกั ศกึ ษามีข้อมลู อ้างอิงชว่ ยใหก้ ารตอบคำถามน่าเชื่อถือ ตอบคำถามได้ตรงประเดน็ และตอบไดอ้ ย่างม่ันใจแสดงถึงการมีความรู้ในเรื่องที่ทำเปน็ อยา่ งดี และในส่วนของ ผลงาน (ภาพที่ 2) ผู้เช่ียวชาญให้ความเห็นว่า ผลงานมีความเหมาะสมกับแผนที่วางไว้ ส่วนความคิดเห็นจาก ผู้เชี่ยวชาญสำหรับการนำเสนอครั้งที่ 2 พบว่า ด้านการนำเสนอ นักศึกษามีความมั่นใจ นำเสนออย่างเป็น ลำดับขั้นตอนสไลด์และผลงานที่นำเสนอมีความน่าสนใจ ด้านทักษะความรู้ นักศึกษามีลำดับขั้นตอนก าร ทำงาน ทำงานได้ตรงตามกลุม่ เป้าหมาย ผลงานที่ผลิตตอบ Key message ที่ตั้งไว้ (ตามการนำเสนอครัง้ ที่ 1) มีความรู้ความเข้าใจในการเผยแพร่ผลงานอย่างเป็นขั้นตอนชัดเจน ด้านการแก้ปัญหา นักศึกษามีการเตรียม แก้ปัญหาล่วงหน้าจากการนำเสนอครั้งที่ผ่านมา มีไหวพริบในการใช้ข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการตอบคำถามได้ดี และในส่วนของผลงาน นักศึกษาทำได้ดีกว่าที่กำหนดไว้ ผลงานมีการเผยแพร่แล้ว ได้รับความสนใจ ทำให้ สามารถนำผลของการเผยแพรม่ านำเสนอไดอ้ ย่างนา่ สนใจ ภาพที่ 2 บรรยากาศการนำเสนองานนอกสถานที่กบั ผเู้ ชี่ยวชาญจากโครงการ UNC#5 4. ผลสรุปผลงานสร้างสรรค์ การผลิต และเผยแพร่สื่อใช้เมื่อได้สังเกตพฤติกรรมการทำงานเป็นราย กลุ่มของนักศึกษา (ภาพที่ 3) หลังการแสดงบทบาทในสถานการณ์เสมือนจริง ตามเกณฑ์ด้านต่าง ๆ พบว่า นักศึกษาแต่ละฝ่ายสามารถนำเสนองาน รวมถึงประสิทธิภาพของชิ้นงานและผลงานที่ทำสำเร็จและนำไป เผยแพร่จรงิ ทางสอื่ ใหม่ อยูใ่ นระดบั ดีถงึ ดีมาก (8.0-9.0) ผลความคิดเห็นของนักศกึ ษาที่มตี ่อการใช้แผนการจัด เรียนรู้ด้วยกิจกรรม ในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า นักศึกษามีความเห็นด้วยมากท่ี สุด ที่ค่าเฉล่ีย 4.53 นอกจากนี้ นักศึกษาได้เรียนรู้และลงมือผลิตชิ้นงาน ทั้งการออกแบบสื่อสำหรับเผยแพร่ทางสื่อใหม่ คือ การใช้ QR code ในการสื่อสาร สร้างสรรค์ผลงานทางช่องทางออนไลน์ โดยสร้างเพจ Facebook ชื่อไฟ เหลือง ใช้เป็นช่องทางการเผยแพร่สื่อที่นักศึกษาจัดทำขึ้นสำหรับการเรียนรู้ในโครงการนี้ พบว่ามีผู้ติดตาม 4 พันกว่าคน โดยในแต่ละเนื้อหา (content) ที่นำเสนอ infographic และคลิป เมื่อเผยแพร่มียอดผู้ดแู ละผ้แู ชร์ 32
การประชมุ วชิ าการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 จำนวนมาก ตัวอย่างเช่นคอนเทนท์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด มียอดผู้ชมถึง 5 ล้านกว่าคน มียอดการกดไลค์ 22,000 คน คอมเมนท์ 11,000 คน และแชร์ตอ่ จำนวน 13,000 คน ภาพท่ี 3 การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีสำหรับการผลิตงานและผลงานบนส่อื ใหม่ 4. ผลสรุปกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ของนักศึกษา (ภาพที่ 4) ตามทฤษฎขี องคอลบ์ 4 ขนั้ ตอน ตามที่ผู้วิจัยได้วางกรอบไว้ คือ ข้ันตอนท่ี 1 การเรียนรู้ประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรม โดยผู้สอนบรรยายรายละเอียด ของตำแหน่งและหน้าท่ีของฝ่ายต่าง ๆ ในบริษทั โฆษณา พร้อมเปิดคลิปโครงการ UNC ทผี่ ่านมาเพื่อเป็นแนวทาง ให้นักศึกษาเลือกตำแหน่งงานที่สนใจ ซึ่งนักศึกษาสามารถเลือกตำแหน่งที่สนใจ และร่วมกันเลือกประเด็นปัญหา ที่จะนำมาออกแบบสร้างสรรค์และรณรงค์โฆษณา และสามารถสร้างสรรค์และผลิตผลงานได้ครบตามแผนการ สอน ข้ันตอนที่ 2 การสงั เกตอย่างใคร่ครวญ ผูเ้ รียนไดส้ งั เกตใคร่ครวญการทำงานท้ังในฝ่ายของตนเองและฝ่ายอื่น ๆ มาสะท้อนความคิดเห็นและอภิปราย ทั้งในและนอกห้องเรียน และแสดงความคิดเห็นเชิงประจักษ์และการจด บันทึกข้อคิดเห็นและสรุปผลเป็นรายงานทุกสัปดาห์ เพื่อให้ทั้งผู้เรียนทุกฝ่ายและอาจารย์ผู้สอนได้รับรู้ร่วมกัน ขั้นตอนที่ 3 สร้างมโนทัศน์เป็นแนวคิดนามธรรม ผู้เรียนได้ทบทวนการเรียนรู้ทั้งหมด ตั้งแต่ เรื่องที่ได้เรียนรู้ วิธีการแก้ปัญหา องค์ความรู้ที่ได้รับ โดยสามารถเขียนสรุปเป็นแผนภาพเพื่ออธิบายได้ ข้ันตอนที่ 4 การประยุกต์ หลักการ ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ เมื่อจบโจทย์ปัญหาแรกของโครงการที่วางไว้ ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอด หลักการและสมมติฐานไปปฏิบัติจริงและสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ โดยการทวนกิจกรรมการตาม แผนการสอนที่ผสู้ อนวางไว้ จนเกดิ เปน็ ประสบการณ์ในเชิงรูปธรรมกับผเู้ รยี น ภาพที่ 4 กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณข์ องนักศึกษาตามทฤษฎขี องคอลบ์ 33
การประชมุ วิชาการ ครั้งที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 อภิปรายผลวจิ ัยและข้อเสนอแนะ การศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชส้ ถานการณ์เสมือนจริงเป็นฐาน เพื่อสร้างประสบการณ์ลง มือปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มทักษะทางอาชีพและความเท่าทันทางเทคโนโลยี โดยมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถ นำไปใชใ้ นการทำงานสายอาชีพโฆษณาในอนาคต สามารถอภิปรายผล ได้ดงั นี้ 1. ผลการใชแ้ ผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชส้ ถานการณ์เสมือนจรงิ เพ่ือสร้างประสบการณ์ท่ีได้ลง มือปฏิบัติจริง เรียงลำดับขั้นตอนในการทำงานโฆษณาตามกระบวนการจริงในบริษัทโฆษณา เมื่อนำมาใช้ใน การเรียนการสอน เมื่อผู้วิจัยได้สังเกตพฤติกรรมการทำงานของนักศึกษาเป็นรายกลุ่มที่ได้แบ่งออกเป็น 5 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายสื่อ ฝ่ายบริหารงานลูกค้า ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ฝ่ายสร้างสรรค์งานโฆษณา และฝ่ายผลิต พบว่า มีการใช้ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน การแก้ปัญหา การนำเสนองาน รวมถึงประสิทธิภาพของผลงาน อยู่ในระดับค่อนข้างดีถึงดีมาก เมื่อนำมาเทียบเคียงความสอดคล้องตามทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ตามแนวคิด ของศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช (2555) ในทักษะสำคัญ 2 ด้าน คือ 1) ทักษะด้านการเรียนรู้และ นวัตกรรม ที่ช่วยเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมเข้าสู่โลกการทำงานที่มีความซับซ้อนมาก ได้แก่ ความริเร่ิม สรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม การแกป้ ัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ รวมถึงการสื่อสารและการร่วมมือ 2) ทักษะ ด้านชีวิตและอาชีพ ด้วยรูปแบบของกิจกรรมสามารถช่วยให้ผู้เรียน มีความยืดหยุ่นในการปรับตัว เป็นตัวของ ตัวเอง เป็นผู้สร้างและผลิตผลงาน และมีภาวะผู้นำ และความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผู้เรียนยังได้สร้างและ พัฒนาระบบแฟม้ สะสมงาน (Portfolios) ที่มคี ณุ ภาพและเปน็ มาตรฐาน นำไปใช้เพื่อสมคั รงานได้ในอนาคต 2. ความสามารถทางการใช้เทคโนโลยี ที่ผู้เรียนได้มีความรู้นำมาประยุกต์ใช้สำหรับการทำงานต่าง ๆ ตามกระบวนการทำงานในสายอาชีพโฆษณา โดยการเรยี นรู้ Data หรอื ข้อมูลซึง่ ปจั จุบนั เข้ามามบี ทบาทมากใน การทำการตลาดและงานโฆษณา ผเู้ รยี นมีความรู้แหล่งหาข้อมลู Data สามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีจำเป็น และสำคัญนำมาใช้ได้ มาใชเ้ พอื่ การวางกลยุทธ์ วางแผนช่องทางการสื่อสาร จนสามารถผลิตผลงานส่ือสาร ทำ ให้มีผู้ชมชื่นชอบเป็นจำนวนมาก การเรียนรู้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ผสานกับความเข้าใจมนุษย์ที่มีเพียงมนุษย์ เทา่ น้ันท่ีจะเขา้ ใจได้ เช่น ปญั หาที่อยู่ภายในของกลุ่มเปา้ หมาย (Target insight) ทไี่ มส่ ามารถพดู ออกมาตรง ๆ แต่ทำความเข้าใจได้ ซึ่งเป็นสิง่ ที่ปัญญาประดิษฐ์ยังไม่สามารถทำความเข้าใจความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ ตวั อยา่ งเช่น เบอร์เกอรค์ ิง ทดลองให้ปัญญาประดิษฐ์ออกแบบภาพยนตร์โฆษณา โดยวธิ กี ารใชร้ ะบบอัลกอริธึม เรียนรู้ Big data ข้อมูลเชิงลึก ของภาพการสื่อสารอาหารรวมถึงข้อความทีน่ ิยมใช้ และนำมาประมวลผลผลิต เป็นภาพยนตร์ 4 เรื่อง โดยระบุว่า ทั้งหมดเปน็ โฆษณาที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งผลงานที่สร้างสรรค์ เน้น ใช้ภาษาที่สร้างความขบขันมากกว่าจะเป็น การสื่อสารที่สร้างความประทับใจให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย บริหารฝ่ายการตลาดของแบรนด์เบอร์เกอร์คิง ได้ออกอีเมลแถลงการณ์วา่ “ปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถแทนท่ี ความคดิ สรา้ งสรรค์ที่ยอดเยีย่ มท่ีมาจากคนจรงิ ได้” (Artificial intelligence is not a substitute for a great creative idea coming from a real person.) (AdAge, 2018) จากผลการเรยี นรู้น้ีสอดคล้องกบั ทักษะด้าน สารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี ที่ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและปฏิบัติงานได้ หลากหลายโดยอาศัยความรู้หลายด้าน เช่น ความรู้เกี่ยวกับสื่อ ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้ด้านเทคโนโลยี เป็นตน้ ทำให้สามารถเผยแพร่ขอ้ มลู ขา่ วสาร ผา่ นทางสอ่ื และเทคโนโลยไี ด้ (วจิ ารณ์ พานิช, 2555) ข้อเสนอแนะในการนำผลวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์ 1. ผลการศกึ ษานี้ สามารถนำไปเป็นตัวอย่างการใช้สถานการณ์เสมือนจรงิ เพ่ือกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดการ เรยี นร้แู ละแก้ปัญหาการทำงานได้ จึงสามารถนำไปปรับใช้ในรายวชิ าอน่ื ๆ ทีต่ อ้ งการใหน้ ักศึกษาลงมือปฏิบตั งิ าน 2. ผลการศกึ ษาเปน็ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ สามารถสร้างการเรยี นรู้และลงมือปฏบิ ัติ เพือ่ แกป้ ัญหาตาม ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 34
การประชุมวิชาการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครง้ั ต่อไป 1. ควรทำการศึกษาความพึงพอใจในประเด็นปัญหา ที่นักศึกษามีความสนใจก่อนเริ่มกระบวนการ เรียนรู้ เพอ่ื ใหน้ ักศกึ ษามคี วามกระตือรือรน้ ในการลงมือปฏิบตั งิ านมากขึ้น 2. ควรมีการแบ่งกลุ่มโดยพิจารณาจำนวนคนอยา่ งเหมาะสมกับปริมาณงาน โดยอาจใช้วิธีการแบ่ง งานออกเป็นสว่ นย่อย ๆ เพื่อใหก้ ารดำเนนิ งานและบรรยากาศในการเรยี นรขู้ องนักศึกษาดีข้ึน 3. ควรมีสำรวจความพึงพอใจระหว่างการเรียนการสอนในรูปแบบการใช้กิจกรรมกับการเรียนการ สอนในแบบการบรรยาย เพอ่ื หาสัดสว่ นการเรียนรู้ทง้ั 2 วิธกี ารท่ีเหมาะสม กิตตกิ รรมประกาศ ขอขอบคุณนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ เอกการโฆษณา ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา 803 214 กลยุทธ์การสร้างสรรค์เพื่อการโฆษณา ท้งั 49 คน ทีใ่ ห้ความร่วมมือในการทำการศึกษาและเกบ็ ขอ้ มลู เป็นอย่างดี รายการอ้างองิ ชัยวฒั น์ สุทธริ ัตน.์ 2559. 80 นวตั กรรมการจดั การเรยี นรูท้ ่เี น้นผ้เู รียนเป็นสำคญั นนทบรุ .ี พี บาลานซ์ดไี ซดแ์ อนปร้นิ ต้ิง. บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545. การวิจัยเบือ้ งต้น (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 7) กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาส์น. วิจารณ์ พานิช. 2555. วิถีสรา้ งการเรยี นรเู้ พอ่ื ศษิ ยใ์ นศตวรรษท่ี 21 มลู นธิ ิสดศร-ี สฤษดวิ์ งศ์. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั ตถาตา พับลเิ คช่ัน จำกดั . Admin. 2014. การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาการสอนโดยใช้ Simulation-Based Learning (SBL)” การประชุมเชงิ ปฏิบัติการพัฒนาอาจารย์ด้านบริหารจัดการหลักสูตรของวิทยาลัยในสังกัดสถานบันพระบรมราชชนก . จาก http://61.19.73.142/km/?p=1053. สบื ค้นเม่อื 20 กุมภาพนั ธ์ 2560. Salate. 2562. 13 อาชพี ท่ี AI ทำแทนได้. จาก https://www.noozup.me/993771/. สบื ค้นเมอื่ 10 พฤษภาคม 2563. AdAge. 2018. Burger King’s A.I.-Created Campaign Pokes Fun At A.I. Retrieved from: https://adage.com/creativity/ work/burger-king-ai-ad-whopper/950441. May 10, 2020. Guilford, J.P. 1967. The Nature of Human Intelligence. New York : McGraw-Hill Book Co. Jessi, J. 2018. ArtificialIntelligenceFor Advertising: Everythink You Need to Know. Retrievedfrom: https://medium.com/ @jessicajessi0329/artificial-intelligence-for-advertising-everything-you-need-to-know-98cb039d2d7.May 10, 2020. Kolb, D.A. 1984. Experience learning: Experience as the source of learning and development. New Jersey: Prentic-Hall. Kaput, M. 2019. How to Use Artificial Intelligence in Advertising. Retrieved from: https://www.marketingaiinstitute.com/ blog/how-to-use-artificial-intelligence-in-advertising. May 10, 2020. 35
การประชมุ วิชาการ ครงั้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วันที่ 30 กรกฎาคม 2563 การสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาเภสชั ศาสตรท์ ีม่ ตี อ่ การเรยี นการสอนออนไลนใ์ นชว่ งโควทิ 19 เพือ่ ออกแบบแนวทางการจดั การเรยี นรู้รูปแบบใหมข่ องคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม Survey of Pharmacy Students' Opinion Towards Online Learning During the Covid 19 to Design a New Learning Management Approach of the Faculty of Pharmacy, Siam University เสถยี ร พลู ผล1* และ ปฏิพล อรรณพบรบิ รู ณ์ บทคดั ยอ่ งานวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย สยาม ทม่ี ีตอ่ การเรยี นการสอนในช่วงโควทิ 19 และนำข้อมลู ที่ได้มาออกแบบการจัดการเรียนรรู้ ูปแบบใหม่ กลุ่ม ตัวอยา่ ง คอื นักศึกษาเภสัชศาสตร์ ช้ันปีที่ 1-5 จำนวน 180 คน คัดเลือกกลมุ่ ตัวอยา่ งโดยใชว้ ิธีการสุ่มแบบแบ่ง ชน้ั เครอื่ งมือที่ใช้ในงานวิจัย คือแบบสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษา สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นงานวิจัยคือสถิติเชิงพรรณนา และการวเิ คราะหเ์ นือ้ หา ผลการศึกษา พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 77.2) ทุกคนมี อินเทอร์เน็ตในการใช้งาน ส่วนใหญ่เคยเรียนและเคยสอบในรูปแบบออนไลน์ (ร้อยละ 95.6, 91.1 ตามลำดับ) อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนและการสอบออนไลน์ คือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนใหญ่ใช้ อินเตอร์เน็ทในการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเรียน และการพูดคุยทางออนไลน์ (ร้อยละ 93.29, 92.2) และใช้ บ้านและหอพักเปน็ สถานทีเ่ รียนออนไลน์ (ร้อยละ 96.1, 34.4) รปู แบบการเรียนท่ีนักศึกษาชอบมากท่ีสุดคือการ เรียนในช้ันเรยี น รองลงมาคือการเรียนออนไลน์แบบคลปิ สอน (ร้อยละ 46.7, 31.1 ตามลำดับ) ผลความคิดเห็น เกี่ยวกบั การเรยี นการสอนออนไลน์ พบว่า นกั ศกึ ษาค่อนข้างเห็นด้วยว่าเรียนออนไลน์ทำใหร้ ู้สึกสะดวกและรู้สึก ผ่อนคลาย (มัธยฐาน = 4 และ 3.5 ตามลำดับ) และนักศึกษาไม่ค่อยเห็นด้วยว่าการเรียนออนไลน์ทำให้มี ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากยิ่งขึ้น มีแรงกระตุ้นทางการเรียน และอยากให้มีการปรับการเรียนการสอนเป็นแบบ ออนไลน์ในอนาคต (มธั ยฐาน = 2) ด้านผลความคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบออนไลน์ พบว่า นักศกึ ษาเห็นด้วยมาก ที่สุดว่ามคี วามกังวลในการสอบออนไลน์ (มัธยฐาน = 5) และค่อนข้างเห็นด้วยว่าการตรวจสอบของการสอบถกู ลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวหรือความเป็นส่วนตัว (คะแนนมัธยฐาน 4) จากข้อมูลความคิดเห็นผู้วิจัยได้นำมาออกแบบ แนวทางการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ 3 รูปแบบดังนี้ 1) การสอนในชั้นเรียนโดยอัดคลิปไว้ให้ทบทวนบทเรียน 2) การเรยี นแบบผสมผสาน 3) การใชร้ ปู แบบของการสอนผา่ นแหลง่ ทรัพยากรการเรียนรู้ออนไลน์ในระบบเปดิ คำสำคญั : การเรยี นการสอนออนไลน์, การสอบออนไลน์, นักศึกษาเภสชั ศาสตร์, การจัดการเรยี นรู้ ABSTRACT The purposes of this survey research were to survey the opinions of pharmaceutical students Siam University towards online learning during the covid 19 and using the information to design a new learning management. Sample were 180, 1st-5th pharmacy students were selected by random stratified method. The research instruments were the pharmacy student’s opinion survey form. A descriptive analysis and content analysis were used for data analyses. 1 คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม * Corresponding Author, E-mail: [email protected] 36
การประชุมวิชาการ ครง้ั ท่ี 15 ประจำปี 2563 วันท่ี 30 กรกฎาคม 2563 The results show that most of the students are female (77.2%). Everyone had internet use. Most of them had studied and tested in the online format (95.6%, 91.1% respectively). The equipment used for learning and testing online were computers, tablets and mobile phones. Most of them use the internet to search for information about their studies and online chat (93.29%, 92.2% respectively) and use their home and dormitory as an online place of study (96.1%, 34.4%). The most preferred learning style were lecture classroom. Next were online recorded session (46.7%, 31.1 respectively). The opinions of online learning were that students agreed that online learning made them feel comfortable and relaxed (median score = 4 and 3.5 respectively) and students rarely agree that online learning can increase interaction with friends, increasing student motivation in learning and would like to change all of lecture class to be online in the future (median score = 2). In the opinion of the online exam, it is found that the students agree with most about the online exam make them concerns (median score = 5) and rather agree that the examination process was intruded by private space or privacy (median score = 4). From the data, the researcher has released 3 new learning management approaches as follows: 1) Teaching in the classroom with record clips to review the lessons 2) blended learning 3) Using the style of learning through massive online open courses. Keywords: online learning, online exams, pharmacy students, learning management บทนำ ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019, COVID-19) ซึง่ เป็นเชื้อท่ีมีแพร่อยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวางไปหลายประเทศท่ัวโลก ซึ่งมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ประกอบกับองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดของโรคโควิด 19 เป็นการระบาดใหญ่ (pandemic) ในส่วนของประเทศไทยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศให้โรค โควดิ 19 เปน็ โรคตดิ ตอ่ อนั ตราย ส่งผลให้จำเป็นต้องมีมาตรการในการป้องกันเพื่อลดการแพร่ระบาดของเช้ือ จาก มาตรการดังกล่าวสง่ ผลให้ กระทรวงการอดุ มศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวัตกรรม ไดอ้ อกประกาศมาตรการและ การเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ฉบับที่ 3 : การปฏิบัติการของ สถาบันอุดมศึกษาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ณ วันที่ 17 มีนาคม 2563 (กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2563) มีใจความสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า “ให้หยุดการดำเนินงานด้านการเรียน การสอนของมหาวิทยาลยั ทั้งรฐั บาลและเอกชนทกุ รปู แบบ ยกเว้นการเรยี นการสอนแบบออนไลน์ (online) เพื่อให้ สถาบันอุดมศึกษาได้รับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนจากแบบปกติเป็นแบบออนไลน์โดยสมบูรณ์ครบทุก หลักสูตรภายในวันที่ 1 เมษายน 2563 ยกเว้นบางหลักสูตรที่ต้องมีการปฏิบัติการ ให้อยู่ในดุลยพินิจของแต่ละ สถาบัน โดยให้บริหารจัดการให้สามารถเรียนและปฏิบัติการที่บ้านให้ได้มากที่สุด สำหรับการฝึกงานทุกรูปแบบ ขอให้พิจารณายกเลิก หรือปรับเปลี่ยนกำหนดระยะเวลาและกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมทดแทน” สถาบันอุดมศึกษา ทุกแห่งจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประกันคุณภาพของผู้เรียนและบัณฑิตที่จะสำเร็จจากการศึกษาในระยะวิกฤตินี้ ซึ่งคณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สยาม เป็นหนว่ ยงานหนึ่งของสถาบนั อดุ มศึกษาที่ไดร้ ับผลกระทบข้างตน้ นดี้ ว้ ยเชน่ กัน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปัจจุบัน มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทท่ี สำคัญในฐานะการเป็นเครื่องมอื ในการพัฒนาประเทศ และได้มีการนำมาประยกุ ต์ใช้ในด้านการศึกษาเกดิ เป็นการ เรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ (online learning) หรือการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ซึ่งเป็น 37
การประชมุ วิชาการ ครงั้ ที่ 15 ประจำปี 2563 วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2563 รูปแบบสําหรับการเรียนการสอนทางไกลที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่จำเป็นต้องไปยังสถานศึกษา ก่อให้เกิดความ สะดวกสบายและเขา้ ถงึ ได้อยา่ งรวดเร็ว ทกุ สถานที่ ทุกเวลา โดยมีการนาํ เสนอด้วยตวั อกั ษร ภาพนง่ิ ผสมผสานกับ การใช้ภาพเคล่ือนไหว วีดิทัศน์และเสียง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมทั้งการใช้ เทคโนโลยรี ะบบการจดั การรายวิชาในการบริหารจดั การการสอนดา้ นตา่ ง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ โดยมคี วามมุ่งหวัง ให้ผู้เรยี นมีความรู้ความเขา้ ใจในเน้ือหาจากช้นั เรียนเพมิ่ มากขนึ้ สามารถประยุกต์ใช้ความรแู้ ละทำให้เกดิ การเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง รวมทง้ั ยังสนบั สนุนการเรียนรโู้ ดยเน้นผู้ปว่ ยเปน็ ศนู ยก์ ลาง นอกจากนก้ี ารเรียนรู้ออนไลน์ยังช่วยผู้เรียน และสถาบันการศึกษาในแง่ของการบริหารจัดการ คือ ช่วยลดต้นทุนในเรื่องของค่าเดินทางและสามารถรองรับ นกั ศึกษาไดไ้ ม่จำกดั เป็นช่องทางในการสร้างและขยายโอกาสทางการศึกษาใหเ้ ข้าถึงผู้ท่ีมคี วามต้องการในวงกว้าง ขึ้นโดนเฉพาะนักศึกษาที่อาศัยในต่างจังหวัด (พิเชฐ คูชลธารา, 2559; พัชรี ดวงจันทร์ และลลิตา วีระเสถียร, 2556; สุวัฒน์ บรรลือ, 2548; กระทรวงศึกษาธิการ, 2548; ชนินทร์ ตั้งพานทอง, 2560; ปัณฑิตา อินทรักษา, 2562) ซึ่งการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์เป็นวิธีที่เหมาะสมในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 เนื่องจากทั้งผู้เรียนและผู้สอนสามารถสื่อสารกันจากที่บ้านผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุค๊ โทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ี เปน็ ตน้ โดยคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ได้มกี ารจดั การเรยี นการสอนออนไลน์ขึ้นตาม ประกาศมาตรการและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จากการสำรวจรูปแบบการเรียนการสอนของคณาจารย์ในคณะ พบว่ามีรูปแบบ การเรียนการสอนออนไลน์ 2 รูปแบบคือ 1) การสอนออนไลน์แบบสอนสด (online live session) โดยผ่าน โปรแกรม Zoom, Line หรือ Google meet ซึ่งอาจารย์จะสอนตามตารางเรียนเดิมโดยใช้วิธกี ารถ่ายทอดสดผา่ น โปรแกรมท่ีใช้และให้นักศึกษาเข้าชั้นเรียนออนไลน์มาเรียน ซึ่งมีข้อดีคือมีความเหมือนกับการเรียนในชั้นเรียน นักศึกษาสามารถถามคำถามระหว่างเรียนได้ แต่ก็พบปัญหาเรื่องของสัญญานอินเตอร์เน็ตทั้งของอาจารย์และ นักศึกษาที่ไม่เสถียร ทำให้การเรียนไม่ต่อเนื่องหรือนักศึกษาบางคนไม่สามารถเข้าชั้นเรียนได้ รูปแบบการเรียน ออนไลน์แบบที่ 2) การเรยี นออนไลน์แบบคลปิ สอน (online recorded session) วธิ กี ารนีอ้ าจารย์จะสอนโดยการ อัดคลิปสอนแล้วเผยแพร่คลิปสอนในกลุ่มสังคมออนไลน์ของนักศึกษาที่สร้างกลุ่มแบ่งตามชั้นปีหรือวิชาที่เรียน เช่น Facebook group, Google classroom, Line group วิธีการนี้มีข้อดีคือนักศึกษาสะดวกในการเข้าเรียน สามารถปรับตารางเรียนได้ด้วยตนเองและสามารถทบทวนบทเรียนได้ตลอดเวลา ส่วนปัญหาที่พบในการสอน รูปแบบน้ีคือ อาจารย์เผยแพร่คลิปสอนช้าใกล้ช่วงสอบ ผู้เรียนกับผู้สอนไมม่ ีปฏิสัมพันธก์ ัน รู้สึกเหมอื นไม่ได้เรยี น ในห้อง ส่วนวิธีการสอบออนไลน์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยามใชว้ ธิ ีการสอบเสมือนจริงโดยต้องใช้อุปกรณ์ ในการสอบ 2 เครื่องเปน็ อยา่ งน้อย โดยเครื่องท่ี 1 ใชถ้ ่ายทอดสถานที่สอบของนักศึกษาเพื่อใหเ้ ห็นสภาพแวดล้อม ระหว่างการสอบ ส่วนเครื่องที่ 2 เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำขอ้ สอบออนไลน์ โดยมีการตรวจอุปกรณ์และสถานที่สอบท้งั กอ่ นและหลังการสอบ เนื่องจากการเรียนการสอนและการสอบออนไลน์ในช่วงโควิด 19 ที่ผ่านมาของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม เป็นการเรียนการสอนและการสอบออนไลน์โดยสมบูรณ์เป็นครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขน้ึ อย่างเฉียบพลันนี้ เป็นความท้าทายอย่างยิง่ ทั้งสำหรับอาจารย์ผู้สอนและนักศกึ ษาเภสชั ศาสตร์ท่ีต้องปรับตวั ซึง่ ย่อม ตอ้ งมปี ัญหาและอุปสรรคทเี่ กิดขน้ึ ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง แต่ในขณะเดยี วกันกท็ ำให้ทัง้ ผเู้ รยี นและผ้สู อนเกิดการ เรยี นรู้ดา้ นเทคโนโลยกี ารศึกษาอนั เป็นพ้นื ฐานของรูปแบบการการเรียนรใู้ นอนาคต ซ่งึ ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มี ต่อรูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์น้สี ามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นการพัฒนาการเรยี นการสอนของคณะตอ่ ไปได้ วตั ถุประสงค์การวจิ ัย 1. เพอื่ ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สยาม ทม่ี ีตอ่ การเรยี นการสอนในชว่ ง โควิท 19 2. เพอื่ นำขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาออกแบบการจดั การเรยี นรรู้ ูปแบบใหม่ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนารปู แบบการเรียน การสอนของคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สยาม 38
Search