Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore file

file

Published by 41 Phairus Tayoh, 2023-06-18 06:55:59

Description: file

Search

Read the Text Version

รายงานการวจิ ยั เร่ือง รปู แบบการเรียนร้ดู ว้ ยตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเพือ่ การสื่อสาร ทางการทอ่ งเทีย่ วเชงิ อนรุ กั ษ์ ในพื้นทต่ี าบลท่าคา อาเภออมั พวา จังหวัดสมทุ รสงคราม โดย อญั ชลี อตแิ พทย์ ไดร้ ับทุนอดุ หนนุ จากมหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา ปงี บประมาณ 2553

(1) บทคัดยอ่ ช่อื รายงานการวจิ ยั : รูปแบบการเรยี นรดู้ ้วยตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่อื การสื่อสาร เพือ่ การทอ่ งเท่ยี ว เชิงอนุรกั ษ์ในพืน้ ทีต่ าบลท่าคา อาเภออัมพวา ช่ือผู้วจิ ยั ปีที่ทาการวจิ ัย จงั หวดั สมทุ รสงคราม : อญั ชลี อติแพทย์ : 2553 การวิจยั เร่ือง “รปู แบบการเรียนร้ดู ้วยตนเองในการใชภ้ าษาอังกฤษเพ่ือการสือ่ สารทาง การทอ่ งเท่ียวเชงิ อนรุ ักษ์ ในพืน้ ท่ีตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จังหวดั สมุทรสงคราม” มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื (1) สารวจสภาพปัญหา การใชภ้ าษาองั กฤษเพอ่ื การสือ่ สาร ทางการทอ่ งเทย่ี ว เชิงอนุรกั ษ์ ในพ้นื ท่ีตาบลท่าคา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม (2) เพอ่ื สารวจความต้องการในการใช้ภาษาองั กฤษ เพื่อการสอ่ื สารทางการทอ่ งเท่ียวเชิงอนรุ ักษ์ ในพื้นทต่ี าบลทา่ คา อาเภออมั พวา จังหวดั สมทุ รสงคราม (3) เพื่อศึกษายทุ ธศาสตรแ์ ละนโยบายการส่งเสรมิ การ ใช้ภาษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สารทางการท่องเทีย่ วเชงิ อนรุ ักษ์ ตาบลทา่ คา อาเภออัมพวา จงั หวัดสมุทรสงคราม (4) เพอื่ นาไปสร้างรปู แบบการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่อื การสือ่ สารทาง การท่องเทยี่ วเชงิ อนรุ ักษ์ ในพ้ืนที่ตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จังหวัดสมทุ รสงคราม การวจิ ยั คร้งั น้ีเป็นการวจิ ยั แบบผสม ( Mixed methods research) ทัง้ การวิจยั เชิงปรมิ าณและการวิจัยเชงิ คุณภาพ โดย (1) การสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ แบบกงึ่ โครงสรา้ ง( In- depth interview se-mi structure) (2) ใช้แบบสอบถาม ( Questionnaire) และ (3) ศึกษาวจิ ัยเอกสาร (Documentary research) กลุ่มตัวอย่างที่ เลอื กสาหรบั การวจิ ยั เชงิ คุณภาพไดจ้ ากการใช้เทคนคิ การสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive sampling) จากนักท่องเทย่ี วชาวตา่ งชาติทเี่ ป็นเจ้าของภาษา และทใี่ ช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทสี่ อง และผู้ ใหบ้ ริการ จานวน 60 คน โดยใชก้ ารสมั ภาษณเ์ ชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง (In-depth Interview Semi-Structure) และวิเคราะหข์ ้อมลู เชงิ เนอ้ื หา ( Content Analysis) สาหรบั การวจิ ัยเชิงปริมาณ ใชเ้ ทคนคิ การสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive sampling) จาก ผใู้ หบ้ ริการในชุมชน 8 กลมุ่ จานวน 252 คน โดยการสารวจดว้ ยแบบสอบถาม (Questionnaires) ผลการวิจัยพบวา่ ผลการวิจยั พบวา่ (1) สภาพ ปญั หาหลกั เกดิ จากตวั บุคคล คือ ผใู้ ห้บรกิ ารและ นักทอ่ งเทีย่ วชาวตา่ งชาติท้งั ผทู้ เ่ี ป็นเจา้ ของภาษาและผทู้ ใ่ี ช้ภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาทีส่ องตา่ งไม่สามารถเข้าใจซง่ึ www.ssru.ac.th

(2) กนั และกันไดถ้ ูกตอ้ งตามสาระทีต่ อ้ งการสอ่ื สาร ปัญหาทีเ่ กดิ มากทส่ี ดุ คือผู้ให้บรกิ ารไม่สามารถสื่อสารด้วย ภาษาอังกฤษได้ ถึงแมว้ ่าจะมกี ารใหค้ วามช่วยเหลือในด้านการฝกึ อบรม แตผ่ ้ใู ห้บรกิ ารไม่ได้นาความรูด้ ังกล่าว มาใช้ สาเหตุของปัญหาของการใชภ้ าษาองั กฤษเพอ่ื การสือ่ สารเกิดจากผใู้ หบ้ รกิ ารสว่ นมากมอี ายสุ งู ไม่มคี วามรู้ พน้ื ฐานด้านภาษาอังกฤษ ไมส่ ามารถจาได้ ขาดความตอ่ เนื่องในการใช้ ไมไ่ ดน้ าไปใช้ในทนั ที หรือเกิดจากความ เหนอื่ ยจากการทางานจึงไมส่ นใจท่ีจะฝึกฝนหรอื เกิดจากความอายความไมม่ ัน่ ใจในตนเองทจี่ ะส่อื สารใช้ ภาษาไทยในการโต้ตอบบ้างซงึ่ เป็นปญั หาต่อนักท่องเที่ยวทีไ่ มเ่ ข้าใจภาษาไทย ผลกระทบของปัญหาที่มีต่อการ ทอ่ งเทย่ี ว คอื ไม่สามารถให้ข้อมลู เกย่ี วกบั สถานทีท่ ่องเท่ียว บรกิ าร ผลิตภณั ฑ์ กบั นกั ทอ่ งเท่ียวได้ นักทอ่ งเทยี่ ว เองกไ็ ม่ได้ข้อมูลท่ีตอ้ งการ ผใู้ ห้บรกิ ารจึงขาดโอกาสในการประชาสัมพันธ์สินคา้ หรือบริการของตนเองได้อย่าง ละเอยี ด (2) ความต้องการในการใชภ้ าษาองั กฤษเพ่ือการสื่อสารทางการท่องเท่ียวเชิงอนรุ ักษ์ ของผ้ใู หบ้ รกิ าร คอื ต้องการการสนับสนนุ จากหนว่ ยงานทเี่ ก่ียวขอ้ ง ท้ังดา้ นงบประมาณและการจดั การ ในการให้ความร้ทู เ่ี นน้ ทักษะการพดู และการฟงั โดยใช้สอื่ ท่ีเหมาะสมกบั แต่ละกลุ่มอาชพี นอกจากน้ีการจัดทาป้ายท่เี ปน็ ภาษาอังกฤษ บอกสถานทส่ี าคญั ๆ กเ็ ป็นสว่ นหนึง่ ของการให้ความรู้ โดยมีขอ้ เสนอแนะในการนาแนวทางดังกล่าวไปใช้กับ ภาษาอ่ืน เชน่ ภาษาจนี ภาษาญ่ปี ุน่ ภาษาเกาหลี เปน็ ตน้ (3) ชุมชนทา่ คามยี ุทธศาสตร์และนโยบายการสง่ เสรมิ การใชภ้ าษาองั กฤษ เพื่อการสือ่ สารทางการทอ่ งเทยี่ วเชงิ อนรุ ักษ์ (4) รูปแบบการเรยี นรู้ด้วยตนเองในการใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สารทาง การท่องเทยี่ วเชิงอนรุ ักษ์ ในพื้นที่ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จังหวดั สมทุ รสงคราม คอื การใช้ส่อื สมุดภาพประกอบดว้ ยคาศพั ท์หรือคาอธบิ ายทม่ี ีท้งั ภาษาอังกฤษและภาษาไทย แต่ ละเลม่ จดั ทาเปน็ ชดุ แยกตามกลุม่ อาชีพรวม 8 กลุ่ม นอกจากคาศัพท์แล้ว ควรจดั ทาเอกสารภาษาองั กฤษฉบบั ยอ่ เพื่ออธบิ ายสรรพคณุ ของผลิตภัณฑ์ของชุมชน หรือประวตั ยิ ่อ ๆ ของสถานท่ีสาคัญ ๆ ในชมุ ชน โดยมีหนา้ บนั ทกึ กรณีที่ผู้ใช้พบคาศัพทใ์ หม่ ๆ เม่ือจดั ทาแล้ว องค์กรภาครฐั หรอื ภาคเอกชนควรสนบั สนุนงบประมาณและ ผเู้ ชีย่ วชาญใหก้ ารอบรมการใชเ้ พอื่ ผใู้ ห้บรกิ ารในพืน้ ที่สามารถนาไปใช้ไดเ้ อง www.ssru.ac.th

(3) Abstract Research Title : A Self-directed Learning Model for Communicative English Using for Eco-Tourism and Cultural Heritage Tourism in Tha-ka, Amphawa Researcher District, Samut- Songkhram Province Research Year : Anchali Atibaedya : 2010 The purpose of the research on A Self-directed Learning Model for Communicative English Language Using for Eco-tourism in Thaka, Amphawa, Samutsongkram, aims (1) to study the problems of communicative English using for Eco-Tourism in Thaka, Amphawa, Samut Songkram; (2) to survey the need of communicative English using for Eco-Tourism in Thaka, Amphawa, Samut Songkram; (3) to study the province strategy and policy on encourage their people to use communicative English; and (4) to form a Self- directed Learning Model for Communicative English Language Using for Eco-tourism in Thaka, Amphawa, Samutsongkram. The research is an applied research. The researcher uses a mixed method: a semi-structured in-depth interview questions, a qualitative method for 20 English native speaker tourists, 20 English as second language tourists, and 20 Thai entrepreneurs selected by a purposive sampling technique, and questionnaires, a quantitative method for 252 Thai entrepreneurs selected by a purposive sampling technique. The qualitative data is verified by content analysis and the quantitative data is analyzed by SPSS program. The findings of this research are that (1) Major problems arising from the individual are: Thai entrepreneurs and tourists who are both native speakers and English as second language tourists failed to understand each other; some entrepreneurs cannot communicate in English, although there were some language training courses provided but they did not apply to their business. (2) The causes of these problems are aging, lack of basic knowledge of English, memory capability, lack of consistency in using, and lack of direct application. Some causes are the fatigue from working; therefore they do not desire to practice English. Some are the shyness and lack of confidence to communicate. The effects to the tourism are: some Thai entrepreneurs use Thai language that the tourists do not understand. The impacts of these problems are: the lack of opportunity to publish information of the major attractions of the Tha Kha tourism services, including community product details. of www.ssru.ac.th

(4) communicative English using for Eco-Tourism in Thaka, Amphawa, Samut Songkram; the need of communicative English using for Eco-Tourism in Thaka, Amphawa, Samut Songkram; the strategy and the policy of the province to support their people to use communicative English; and a Self-directed Learning Model for Communicative English Language Using for Eco-tourism in Thaka, Amphawa, Samutsongkram can be: a picture-book contained of illustration and its vocabulary both in English and Thai. Each book is particularly designed for specific area from 8 groups. Moreover, it will be useful to publish English leaflets containing the information of the local product or the history of the community attractions including a memo page for the user to note down new words. Most of all, financial support and technical experts prior to the launching of this model from both public and private organizations would be a great contribution. www.ssru.ac.th

(5) กิตตกิ รรมประกาศ งานวจิ ยั ฉบบั นี้สาเรจ็ ลุล่วงได้ด้วยความอนุเคราะห์ของผู้มีพระคุณท่ีได้ใหค้ วามช่วยเหลอื อย่างมากมาย ขอขอบคณุ ผู้บรหิ ารของมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาท่ีสนับสนนุ งบประมาณในการดาเนินการวิจยั ขอขอบคณุ ผทู้ รงคุณวุฒิ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ดร.เทิดชาย ชว่ ยบารุง ท่ใี ห้คาปรึกษาใน การดาเนนิ การวจิ ัยเชิง คณุ ภาพอย่างไม่ย่อท้อ โดยตลอดจนทีมงานสานกั วจิ ยั ที่ไดม้ ุ่งมั่นทีจ่ ะร่วมสรา้ งนักวิจยั ขอกราบขอบพระคณุ คณุ ลุงจรญู เจอื ไทย ผแู้ ทนชมุ ชนท่าคา อาเภออมั พวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่อนุเคราะหใ์ ห้ข้อมูลเบ้ืองตน้ ที่ เปน็ ประโยชน์อย่างย่ิงตอ่ งานวิจัย ขอขอบคุณ รศ. เสาวภา ไพทยวฒั น์ คณบดีคระมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ ดร.สริ พิ ร ฤกษว์ รี ะ วฒั นา อาจารยส์ วุ รรณฤทธิ์ วงศ์ชอุม่ อาจารย์ภสู ทิ ธ์ ขนั ติกลุ อาจารยช์ ดิ สภุ างค์ อังสวานนท์ และอาจารยส์ จุ ติ รา รมิ ดสุ ติ ที่ใหค้ าปรึกษาในการทาวิจยั และเปน็ กาลังใจดว้ ยดีโดยตลอดมา ท้ายสดุ นขี้ อขอบคุณสมาชกิ ทุกคนในครอบครัวทใ่ี ห้กาลงั ใจในการทางาน และเสยี สละเวลาเพื่อให้ งานวจิ ัยฉบบั น้ี เสรจ็ ส้ินสมบรู ณ์ คุณประโยชนข์ องงานวจิ ยั ฉบบั น้ี ผ้วู จิ ยั ขอมอบให้เป็นคณุ ความดขี องบพุ การี คือ คณุ พอ่ คุณแม่ และผ้มู พี ระคุณ ทุกท่าน อญั ชลี อติแพทย์ www.ssru.ac.th

(6) สารบญั บทคัดยอ่ หนา้ (1) ABSTRACT (3) (5) กิตตกิ รรมประกาศ (6) (10) สารบัญ (11) 1 สารบัญตาราง 1 สารบญั ภาพ 7 8 บทที่ 1 บทนา 8 9 1.1 ความนา 1 11 1.2 ความ เป็นมาและความสาคัญของปญั หา 11 11 1.3 วัตถปุ ระสงคข์ อง การวิจัย 14 14 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 14 16 1.5 สมมติฐานการวิจัย 16 16 1.6 นิยามทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย 1.7 ประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ บั จากการวิจัย 10 1.8 การนาเสนอบทวิจัย 10 บทท่ี 2 เอกสารและวรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง 2.1 ความนา 2.2 ประวตั ิและความเป็นมาของตาบลท่าคา อาเภออมั พวา จงั หวัดสมทุ รสงคราม 2.3 ยุทธศาสตรน์ โยบายของการสง่ เสริมการท่องเที่ยวของจงั หวดั สมุทรสงคราม 2.3.1 วิสยั ทัศน์ของจงั หวัด 2.3.2 ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาจังหวดั 2.4 แนวคดิ และทฤษฎเี กีย่ วกับการมสี ว่ นร่วมของประชาชน 2.4.1 ความหมายการมสี ่วนรว่ มของประชาชน 2.4.2 กระบวนการของการมีสว่ นร่วม www.ssru.ac.th

(7) 2.4.3 องค์ประกอบของการมีส่วนร่วม 17 2.4.4 รูปแบบของการมสี ว่ นร่วม 17 2.4.5 ขนั้ ตอนการมสี ว่ นรว่ ม 18 2.4.6 ระดบั การมีสว่ นรว่ มของประชาชน 18 24. .7 ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การมสี ่วนร่วมของประชาชน 18 2.4.8 เง่อื นไขพ้ืนฐานของการมีสว่ นรว่ ม 18 2.4.9 ประโยชน์ของการมสี ่วนรว่ ม 19 2.5 แนวคิดทฤษฎีรปู แบบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-directed Learning Model หรอื SDL) 19 2.5.1 ความหมายของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-directed learning) 19 2.5.2 กระบวนการการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 20 2.5.3 ลักษณะรปู แบบการเรียนรดู้ ้วยตนเอง 20 2.5.4 ลกั ษณะของผู้ที่มกี ารเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 21 2.5.5 ศักยภาพของการรับรู้ดว้ ยตนเอง 22 2.6 แนวคดิ เกี่ยวกับการสอ่ื สาร 22 2.6.1 ความหมายของการส่อื สาร 22 2.6.2 ความสาคญั ของการสอื่ สาร 24 2.6.3 การสอ่ื สารกับการศกึ ษา 25 2.6.4 พัฒนาการของการสอ่ื สาร 26 2.6.5 การสื่อสารในยคุ ปัจจบุ นั 26 2.6.6 ประเภทของการสื่อสาร 26 2.6.7 การสื่อสารส่วนบคุ คล 28 2.6.8 การส่ือสารระหวา่ งบุคคล 29 2.6.9 หลกั เบอื้ งตน้ ในการส่ือสารกับผอู้ นื่ กบั ทกั ษะการส่ือสารภายในบคุ คล 29 2.7 งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง 29 2.8 กรอบแนวความคิดในงานวิจยั 31 www.ssru.ac.th

(8) บทที่ 3 ระเบียบวิธีวจิ ยั 33 33 3.1 ความนา 33 34 3.2 รูปแบบการวจิ ยั 34 3.3 ประชากร และกลุม่ ตัวอย่าง 34 3.3.1 ประชากร 35 35 3.3.2 กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการสารวจสภาพการใช้ภาษาอังกฤษ 36 36 เพ่ือการสอ่ื สารทางการทอ่ งเท่ยี วเชิงอนุรักษ์สาหรับนักทอ่ งเทย่ี ว 36 39 และผู้ให้บริการ 39 41 3.3.3 กล่มุ ตวั อยา่ งที่ใช้ในการสารวจความต้องการในการใช้ภาษาอังกฤษ 41 41 ทางการสื่อสารทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สาหรับผ้ใู ห้บริการ 41 42 3.4 เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั 42 42 3. 5 การสร้างเครอ่ื งมือวจิ ัย 42 3.3.1 การสร้างเคร่อื งมือวิจยั เชงิ คณุ ภาพ 43 45 3.3.2 การสร้างเครอื่ งมือวจิ ัยเชิงปริมาณ 3.6 การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือทดสอบแบบสอบถาม 3.7 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมลู 3.8 การวิเคราะหข์ ้อมลู 3.8.1 การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ 3.8.2 การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณ 3.8.3 สถิตทิ ีใ่ ชก้ ารวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณที่ไดจ้ ากแบบสอบถาม บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 4.1 คานา 4.2 ผลการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ 4.2.1 ข้อมลู พ้ืนฐานส่วนบคุ คลของผูต้ อบแบบสอบถาม 4. 2.2 ข้อมูลปญั หาในการสือ่ สารทางการทอ่ งเทยี่ วดว้ ยภาษาอังกฤษ ของผู้ให้บริการในตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จังหวัด สมทุ รสงคราม 4. 2.3 การแก้ไขปญั หาในการสือ่ สารทางการทอ่ งเท่ียวดว้ ยภาษาอังกฤษ www.ssru.ac.th

(9) 4.2.4 การพัฒนาทักษะการใช้ภาษาทางการส่อื สาร 45 45 4.3 ผลการวิจัยเชิงปรมิ าณ 46 48 4.3.1 ขอ้ มูลด้านประชากรศาสตร์ 48 4.3.2 ข้อมูลความต้องการทกั ษะการส่อื สารภาษาองั กฤษ 49 4.3.3 ขอ้ มูลสาเหตสุ าคัญในการเรียนรู้ 55 4.3.4 ข้อมลู คาศพั ทท์ ผี่ ใู้ หบ้ รกิ ารมีความตอ้ งการในการใช้ 60 เพื่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยว ในพ้นื ท่ตี าบลท่าคา อาเภออมั พวา 61 63 จงั หวัดสมทุ รสงคราม 68 4.3.5 รปู แบบการเรยี นร้ทู ี่ผตู้ อบแบบสอบถามตอ้ งการใช้ภาษาองั กฤษ เพื่อการสื่อสาร บทท่ี 5 สรุป และอภิปรายผล 56 5.1 สรุปผลการวิจยั 5.2 อภปิ รายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ประวตั ิผทู้ ารายงานวจิ ยั 69 www.ssru.ac.th

(10) สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 3.1 รายละเอยี ดคาถามความต้องการในการพฒั นาภาษาองั กฤษ เพื่อใช้ในการสื่อสารทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของผู้ให้บริการ 38 40 ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จังหวัดสมทุ รสงคราม 43 3.2 วิธกี ารเก็บข้อมลู 4.1 ลักษณะสว่ นพืน้ ฐานสว่ นบคุ คลของผ้ตู อบแบบสอบถาม 47 เพศ อายุ และระดับการศึกษา 48 4.2 ค่าจานวนและรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถามงานวิจยั เร่ือง 49 รูปแบบการเรียนร้ดู ว้ ยตนเองในการใชภ้ าษาองั กฤษทางการส่ือสาร 49 ทางการทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรกั ษ์ในพื้นท่ตี าบลทา่ คา อาเภออมั พวา 53 จงั หวัดสมทุ รสงคราม จาแนกตามเพศ อายุ ระดับการศกึ ษา และ 55 ก ลมุ่ ผู้ใหบ้ รกิ าร 4.3 ระดับความตอ้ งการทักษะการสอื่ สารภาษาองั กฤษของผตู้ อบแบบสอบถาม 4.4 ระดบั ปัญหาของ ผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามสาเหตสุ าคัญของปัญหา ในการเรียนรู้ 4.5 ขอ้ มูลคาศพั ทท์ ่ีผใู้ หบ้ รกิ ารมีความต้องการใช้ในการสื่อสาร โดยแยกตามกลุ่ม ผู้ให้บริการ 4.6 คาศัพท์ที่ผู้ให้บริการตอ้ งการใช้ โดยแยกเป็นหมวดหมู่ 4.7 ค่ารอ้ ยละผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามรูปแบบการเรียนรทู้ ่ีทา่ นต้องการใช้ ภาษาอังกฤษทางการส่อื สาร www.ssru.ac.th

(11) หนา้ 5 สารบัญภาพ 12 13 ภาพที่ 32 1.1 บรรยากาศตลาดน้าทา่ คา 2.1 ท่ีทาการชุมชน และบรรยากาศการทาบุญตักบาตรยามเช้าที่ท่าคา 2.2 การขนึ้ ตาล และการเคย่ี วตาล 2.3 กรอบแนวคดิ ในงานวจิ ยั www.ssru.ac.th

บทที่ 1 บทนา 1.1 ความนา การวิจัยเรือ่ งรปู แบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่อื การสอ่ื สารทางการ ทอ่ งเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษใ์ นพน้ื ทีต่ าบลทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวัดสมทุ รสงคราม ฉบบั น้เี ปน็ งานวจิ ัย เชิงประยกุ ต์ โดยมีวตั ถุประสงค์ เพอ่ื สารวจสภาพการใชภ้ าษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารทางการ ท่องเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษข์ องนกั ทอ่ งเที่ยวและผ้ใู หบ้ ริการ เพื่อวิเคราะห์ ความต้องการ ในการใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อการส่อื สารทางการทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนุรักษ์ ของผใู้ หบ้ ริการ และเพอื่ ศึกษายุทธศาสตร์ และนโยบายการส่งเสรมิ การใชภ้ าษาอังกฤษ เพ่อื การส่ือสารทางการทอ่ งเที่ยวเชิงอนรุ กั ษ์ ตาบล ท่าคา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม เพื่อนาไปสู่การสรา้ ง รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในการใช้ภาษาองั กฤษเพอื่ การส่อื สาร ทางการทอ่ งเท่ียวเชงิ อนุรกั ษ์ ให้กับผใู้ หบ้ ริการในพนื้ ท่ตี าบล ทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวัดสมุทรสงคราม ซึ่งอาจนาไปประยุกตใ์ ช้กับพ้นื ทก่ี ารท่องเท่ยี วอน่ื ๆ ได้ ตามความเหมาะสม 1.2 ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา การพฒั นาการท่องเที่ยวทาใหก้ ารทอ่ งเทยี่ วของประเทศตา่ งๆ ทวั่ โลกเจริญเติบโตอยา่ ง รวดเร็วในชว่ งเวลา 3 ทศวรรษที่ผ่านมา และจะเจริญเติบโตต่อไปอยา่ งไม่หยุดย้งั การทอ่ งเที่ยว นับเปน็ อุตสาหกรรมท่สี ร้างรายไดอ้ ย่างมหาศาลให้แก่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศไทย เรามี รายได้ทีเ่ ปน็ เงนิ ตราต่างประเทศจากการทอ่ งเที่ยวเป็นอนั ดบั หนึ่ง มาตง้ั แต่ปี พ.ศ.2525 จนถงึ ปจั จบุ นั แต่การทอ่ งเทีย่ วเจรญิ เตบิ โตอยา่ งมีขอบเขต ซึง่ เปน็ หลักประกันว่าการท่องเที่ยว สามารถ สรา้ งรายได้ และ สามารถ ชว่ ยอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อม ในขณะเดยี วกนั ชว่ ยให้มผี ล กระทบต่อ สภาพแวดลอ้ มนอ้ ยที่สุด เพอ่ื มใิ ห้การทอ่ งเทย่ี วถูกทาลายจนไมส่ ามารถเปน็ อุตสาหกรรมทยี่ ั่งยืนอีก ต่อไป ในปัจจบุ นั มกี ระแส เรยี กรอ้ งใหอ้ นุรักษท์ รพั ยากรกรการท่องเทย่ี ว มากข้นึ และต่อเน่อื ง มกี ารโจมตกี ารท่องเที่ยววา่ เป็นอตุ สาหกรรมทกี่ ่อผลเสยี ตอ่ สภาพแวดลอ้ มของแหล่งท่องเที่ยวและ วัฒนธรรมชมุ ชน จึงเปน็ ที่มาของการทอ่ งเท่ียวเชงิ อนรุ กั ษ์ (Ecotourism) www.ssru.ac.th

2 การท่องเทย่ี วเชงิ อนุรักษเ์ ปน็ รปู แบบหน่งึ ของการทอ่ งเทีย่ วแบบยงั่ ยืน หมายถึง การท่องเท่ียวทก่ี ่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ โดยการใชท้ รพั ยากรการท่องเทย่ี วอย่างมีประสทิ ธภิ าพ เพ่ือให้การทอ่ งเทีย่ วมีความมัน่ คงยัง่ ยืนอย่คู ู่สังคมมนุษย์ และกอ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตที่ดี ขนึ้ ฉะนนั้ แนวคดิ ของการท่องเที่ยวเชิงอนรุ ักษจ์ ึงไม่ใช่เพยี งการท่องเที่ยวเพ่ือผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจที่มุ่งเสนอขายสินค้า หรอื บริการทางการทอ่ งเท่ยี วใหแ้ กน่ ักทอ่ งเทยี่ ว เพยี งอย่างเดียว หาก ยังมงุ่ ประสานผลประโยชน์ทางการอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอีกดว้ ย จงึ นับ ไดว้ า่ การท่องเทยี่ วเชงิ อนรุ ักษม์ ีสว่ นสาคัญในการสนับสนุนให้การทอ่ งเทย่ี วพัฒนาไปอย่างมี ประสิทธภิ าพ กล่าวคือ สามารถสนองความตอ้ งการของนกั ทอ่ งเทย่ี ว สามารถสร้างรายไดเ้ ขา้ สู่ ประเทศ และ สามารถ สรา้ งความ พงึ พอใจให้แก่ประชาชนเจ้าของทอ้ งถิ่น ในขณะเดยี วกนั ยัง สามารถรกั ษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมทางการท่องเทีย่ วให้คงอย่คู ่สู งั คมมนษุ ย์ ให้นานทสี่ ดุ การท่องเท่ยี วเชงิ อนุรักษม์ จี ดุ ม่งุ หมายหลักในการสร้างความสมดุลใหเ้ กิดข้นึ ระหว่าง กระแสการพฒั นาทางเศรษฐกิจกบั กระแสอนรุ ักษ์ จึงสมควรอย่างยิง่ ทต่ี ้องชว่ ยกนั สง่ เสรมิ เพอ่ื ให้ การทอ่ งเท่ียวบรรลุจดุ มุ่งหมายดงั กล่าว ทงั้ นจ้ี าตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื สนบั สนุนส่งเสริมจาก ทกุ ฝา่ ยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเทีย่ ว ท้งั ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายเอกชน และนกั ท่องเท่ียว ซึ่งทงั้ 3 ฝา่ ย ต่างมบี ทบาทสาคญั ต่อการสง่ เสริมการทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรักษ์ ยงั ประโยชน์สูงสุดทั้งในปัจจุบันและ อนาคต (บญุ เลิศ จติ ตั้งวัฒนา, มาช่วยกันสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี วเชิงอนุรกั ษก์ นั เถิด, 2539: 60-63) บทบาทของรฐั บาลในการสง่ เสรมิ การทอ่ งเท่ยี วเชงิ อนุรักษ์ หมายถึง การที่ รฐั บาล ทาการศกึ ษาวจิ ยั ผลกระทบของการทอ่ งเทย่ี วทม่ี ตี อ่ เศรษฐกจิ วฒั นธรรม และสง่ิ แวดลอ้ ม เพอ่ื นามาใชใ้ นการวางแผนแม่บทสง่ เสรมิ พัฒนาการท่องเท่ียวเชิงอนุรกั ษอ์ ยา่ งจริงจงั มกี ารรว่ มมอื กับ ธุรกิจการทอ่ งเท่ียวภาคเอกชนในการสง่ เสริมให้เกดิ การท่องเท่ียวเชงิ อนรุ ักษม์ ากขนึ้ ใหค้ วามสาคัญ กับการศึกษาและปลกู ฝงั จิตสานกึ ของคนในชาตติ ่อการพัฒนาการทอ่ งเท่ยี วเชงิ อนรุ กั ษ์ ออก กฎหมายในการควบคุมดแู ลผลกระทบท่ีจะเกดิ ข้ึนจากการท่องเทีย่ ว และควรกาหนดมาตรฐาน การออกแบบกอ่ สร้าง พรอ้ มท้งั ออกแบบ ระบบตรวจสอบขีดความสามารถในการรองรบั นักท่องเทีย่ ว (Carrying Capacity) ของแตล่ ะพืน้ ท่กี ารทอ่ งเท่ยี ว และมีมาตรการปรบั เปลยี่ นเพื่อให้ เหมาะสมกบั แต่ละพ้ืนท่ีด้วย บทบาทของเอกชนในการสง่ เสริมการท่องเที่ยวเชงิ อนุรกั ษ์ หมายถึง การท่ี ผปู้ ระกอบ ธุรกจิ การทอ่ งเที่ยวและประชาชนเจา้ ของทอ้ งถนิ่ มีจติ สานึกในการใช้ทรพั ยากรการทอ่ งเท่ียวอยา่ ง หวงแหนในคุณคา่ ดแู ลไมใ่ ห้เกดิ ผลกระทบด้านลบต่อการท่องเทีย่ ว มีโครงการสง่ เสริมการ ทอ่ งเที่ยวเชงิ อนรุ กั ษ์ ตลอดจนให้คาแนะนาแกน่ กั ท่องเท่ยี วที่มาใช้บริการ เพ่ือลดผลกระทบทีอ่ าจมี www.ssru.ac.th

3 ต่อสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมทอ้ งถนิ่ หมน่ั ตรวจสอบและประเมินผลเก่ยี วกบั การรักษา สภาพแวดล้อมในหน่วยงานตา่ ง ๆ ภายในธุรกจิ ของตนเองอย่างสม่าเสมอ โดยเฉพาะระบบกาจัด ขยะและน้าเสยี และใหค้ วามร่วมมอื กับภาครัฐในการสนับสนนุ โครงการ หรือกจิ กรรมท่สี ง่ เสรมิ การทอ่ งเท่ยี วเชิงอนุรักษใ์ หม้ ากท่ีสุดเท่าท่จี ะทาได้ บทบาทของนกั ท่องเที่ยวในการสง่ เสริมการทอ่ งเทยี่ วเชิงอนรุ ักษ์ หมายถึง การท่ี นักท่องเทยี่ วเลอื กใชบ้ รกิ ารของผปู้ ระกอบธรุ กิจการท่องเทยี่ วทีแ่ สดงให้เหน็ ถึงความร่วมมือ สนบั สนุนในการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี วเชิงอนรุ ักษ์ ทอ่ งเทีย่ วอยา่ งมีจิตสานกึ ตอ่ สิง่ แวดล้อม โดย ไมท่ าลายทรัพยากรทางการท่องเทย่ี ว ควรปฏิบตั ิตามกฎข้อบังคบั และขอ้ แนะนาของแหลง่ ท่องเท่ยี วอยา่ งเครง่ ครดั งดซอื้ สินคา้ หรือบรกิ ารท่ที าลายนเิ วศวิทยาและวัฒนธรรมของท้องถน่ิ นน้ั และ ให้ความร่วมมอื กับรัฐบาลและผู้ประกอบธรุ กจิ การทอ่ งเที่ยวในโครงการหรือกจิ กรรม ทสี่ ่งเสรมิ การทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรักษใ์ ห้ท้องถ่ินที่ไปท่องเท่ยี ว (ททท., 2539: 64 – 65) จากนโยบายหลักของ การทอ่ งเท่ยี วแห่งประเทศไทย (ททท.) ดงั ท่กี ลา่ วมาแล้วจะเห็นวา่ หนว่ ยงานของรัฐใหค้ วามสนใจกบั กระบวนการท่องเทีย่ วเชิงอนุรักษ์ โดยมีแผนระดับประเทศ แต่ การดาเนินงาน ตอ้ งอาศยั ทั้งภาครัฐและภาค เอกชนร่วมกนั ดาเนินการในด้านการบริการทุกระดบั ด้านศลิ ปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ด้านภมู ิปัญญาในทอ้ งถน่ิ เพือ่ แสดงศักยภาพในด้าน เศรษฐกิจสงั คม ในขณะ เดียวยัง สามารถรักษาเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมแลระบบนเิ วศไวไ้ ด้ ดว้ ย (http://info.arc.dusit.ac.th) จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นจงั หวดั เลก็ ๆ จงั หวดั หนึ่ง ท่มี ศี ักยภาพด้านการทอ่ งเทย่ี วสงู อย่หู ่างจากกรุงเทพ มหานคร ประมาณ 63 กิโลเมตร มีพื้นท่ี 416 ตารางกิโลเมตร ประกอบดว้ ย 3 อาเภอ คอื อาเภอเมือง อาเภออมั พวา และอาเภอบางคนที มแี ม่นา้ แมก่ ลองเป็นแมน่ า้ สายหลกั คุณคา่ และความสาคญั ของจังหวดั สมทุ รสงคราม มีทงั้ ดา้ นประวัตศิ าสตร์ทีเ่ กย่ี วกบั ราชวงศจ์ กั รี ศลิ ปวฒั นธรรม ดัง้ เดิมทท่ี รงคณุ ค่า และเอกลักษณเ์ ฉพาะถ่ิน เป็นสถานทท่ี อ่ งเที่ยวตามธรรมชาติ ทอี่ ดุ มสมบรู ณข์ องเมืองสามน้า คอื นา้ จดื นา้ เค็ม และน้ากรอ่ ย ตลอดจนวถิ ีชวี ติ ทเี่ กี่ยวพนั กับ ธรรมชาตริ อ บๆ ชมุ ชนทอ้ งถ่ิน ซ่ึงสะท้อนถึงชวี ติ ท่พี อเพียงแบบไทยๆ จึ งเปน็ สิง่ ที่ ทาให้ นกั ท่องเทยี่ วหลั่งไหล เขา้ มาเท่ียวจังหวัดสมทุ รสงคราม กนั มากขน้ึ ก่อใหเ้ กดิ การกระจายรายได้ สู่ ท้องถิ่น ศกั ยภาพ ความพร้อม และทนุ ทางสังคม ทกี่ ลา่ วขา้ งต้นเ ปน็ การนารอ่ ง ประกอบกบั ชุมชน ตาบล อมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม เป็นชมุ ชนหน่งึ ทปี่ ระสบความสาเรจ็ ระดบั หนึง่ ในการมี สว่ นรว่ ม ของประชาชน ภายใตส้ านกั งานการดูแลของจงั หวัดสมุทรสงคราม (วไิ ลลักษณ์ รัตนเพยี รธมั มะ และคณะ, 2550: 12-18) www.ssru.ac.th

4 นอกจากนี้ยงั ปรากฏ คุณลกั ษณะทางกายภาพ 2 ดา้ น คือ ดา้ นสภาพแวดล้อมท่วั ไปของ แหล่งทอ่ งเทย่ี ว คอื ความสวยงามและความน่าสนใจอนั เป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะถ่นิ ของตลาดน้า และ ดา้ นบริการการท่องเทย่ี ว คอื อัธยาศัยของคนในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ กับการสง่ เสรมิ ใหเ้ ยาวชนมจี ติ สานึก ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณอี ันดงี าม และคงรปู แบบการจัดการตลาดน้าในแบบ ท่ีเรยี บงา่ ยให้ อยสู่ บื ไป คลา้ ยคลงึ กับในอดีตซ่ึงเรยี กไดว้ า่ เป็นเศรษฐกิจชมุ ชน ส่งผลให้นกั ทอ่ งเท่ียวท่ีเดินทางเขา้ มาท่องเท่ียวในจงั หวัดสมุทรสงครามมคี วามพึงพอใจมากที่สุด (มธวุ รรณ พลวัน, 2546: บทคดั ยอ่ ) ชุมชนท่าคา ตัง้ อย่ทู ี่บา้ นหมู่ 2 (บา้ นคลองศาลา ) ตาบลท่าคา อาเภออมั พวา จังหวดั สมทุ รสงคราม ซงึ่ มคี ลองท่าคาเป็นคลองสายสาคัญของหม่บู า้ นท่พี าดไหลผ่านกลางหมู่บา้ น ในแนวทศิ ตะวนั ออกไปทศิ ตะวันตก โดยมีคลองย่อยอ่ืนๆ เช่อื มตอ่ กันได้แก่ คลองพันลา คลอง สวนทุ่ง คลองขดุ เจ็ก เปน็ ตน้ การมคี ลองต่างๆ ไหลผ่านทาใหบ้ า้ นหมู่ 2 มีลกั ษณะพิเศษ คอื ชาวบา้ นนยิ มเดนิ ทางโดยใช้เรอื เปน็ พาหนะ แมว้ า่ จะมถี นนลาดยางเชื่อมหมบู่ ้านกบั ภายนอก นอกจากชาวบ้านใช้คลองในการเดนิ ทางแล้วยังใช้คลองเพอื่ รกั ษาลักษณะเด่นของหมูบ่ า้ น โดยเฉพาะตลาดนา้ ทา่ คาหรอื ท่ชี าวบา้ นเรียกติดปากว่านัดทา่ คา ชุมชนตลาดน้าทา่ คาแห่งน้ีมีความ เปน็ ชมุ ชนสงู มาก ชาวบ้านมคี วามสามคั คีกัน ปจั จุบันสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของตาบลท่าคาขนึ้ อยู่ กบั ภาคเกษตรกรรม รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม โดยทวั่ ไปประชาชนในตาบลท่าคาเปน็ เกษตรกรชาวสวน อาทิ สวนมะพรา้ ว ฝรัง่ ลาไย ล้ินจี่ ผลผลติ ทมี่ ีชอ่ื เสยี งมาก ไดแ้ ก่ หอม กระเทยี ม พรกิ สด พรกิ แหง้ ข้าวโพด ถวั่ ลิสง ถั่วเหลอื ง ในฤดูกาลทานาชาวบ้านที่อย่เู หนอื ทานบจะปลูกขา้ ว ในท้องร่อง บนหลังร่องจะปลกู พชื ลม้ ลุกตา่ งๆ และทายาจืด พอ่ คา้ แม่ค้าจะซอื้ สนิ คา้ สว่ นหนงึ่ จาก ชาวบา้ น อกี สว่ นหน่งึ ชาวบา้ นจะนาไปขาย และแลกเปล่ยี นกบั สนิ คา้ ชนดิ อืน่ ๆ ของชาวบ้านทอี่ ยู่ ใตท้ านบ เชน่ นา้ ตาลมะพร้าว (นา้ ตาลปกึ ) และอาหารทะเล โดยสถานทที่ ่ีพบกนั คอื นดั ทานบ ท่าคา ซึ่งเป็นชอื่ เรียกในสมัยกอ่ น เดิมการเดินทางไปนัดทานบทา่ คา ชาวบ้านที่อยู่ใต้ทานบจะพายเรอื มาคา้ งคนื ทีน่ ัด ซึ่งมี แผงขายสินค้า มหี ลังคาเรียบร้อยตง้ั อยูบ่ นฝั่ง ส่วนชาวบา้ นท่อี ยู่เหนือทานบจะออกเดินทางตง้ั แต่เชา้ มืดไปถงึ นดั ตั้งแต่ตีหา้ เรมิ่ คา้ ขายแลกเปลีย่ นสินค้ากัน ใครขาย สนิ ค้าหมดหรอื ซ้อื สินคา้ ไดต้ าม ต้องการจะเดนิ ทางกลบั โดยปกตติ ลาดจะวายประมาณบ่ายสามโมง จากนดั ทานบทา่ คา เรือจะจอด ติดร่นมาเร่ือยๆ ตามลาคลองศาลา เพราะพอ่ ค้าแม่ค้ามาดกั ซื้อสินค้าก่อนถึงนัด ในที่สดุ จะมาตดิ ตลาดเปน็ กล่มุ กอ้ นท่คี ลองพนั ลา หรือคลองศาลาตลอดมา โดยมีเรอื ทุกลาคลองเดนิ ทางมาคา้ ขาย เป็นจานวนมากทุกวันนัด การพบปะกันจะมขี ้ึน ทุก 5 วนั ทัง้ น้ีเพือ่ เป็นการเลยี่ งไม่ให้ตรงกับวนั สาคัญทางศาสนา กาหนดวันนดั ท่มี ีมาตั้งแต่เดมิ คอื มีในวันข้างข้ึน -ข้างแรม 2 ค่า 7 ค่า และ 12 ค่า ของทุกเดอื น กิจกรรมนด้ี าเนินเรื่อยมาจนเปน็ วถิ ชี ีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดงี ามสืบต่อ www.ssru.ac.th

5 กันมาจนถงึ ยคุ ของตลาดน้าท่าคาในปัจจบุ นั “ตลาดนา้ ท่าคา ” จึงยังเปน็ ตลาดน้าท่คี งสภาพของ ชมุ ชนริมน้าท่มี วี ถิ ีชวี ติ ของการหาเลี้ยงชพี ทีด่ าเนินไปอยา่ งเรยี บงา่ ย ตามครรลองของธรรมชาติ ท่มี ี สายนา้ เป็นตวั กาหนดดงั เชน่ ในอดีต วตั ถปุ ระสงค์ของตลาดน้ายงั คงเป็นไปเพอ่ื การซื้อขาย แลกเปล่ียนระหวา่ งผูค้ นในท้องถิ่นเป็นสาคญั ภาพที่ 1.1 บรรยากาศตลาดน้าท่าคา www.ssru.ac.th

6 “ตลาดน้าทา่ คา ” เป็นแหล่งทอ่ งเทีย่ วซึง่ เป็นท่รี ู้จักและไดร้ บั ความสนใจจากนักทอ่ งเท่ยี ว ในชว่ งทม่ี ตี ลาดนดั และนอกเหนือจากการเดนิ ทางไปเท่ียวชมเพือ่ ซอื้ หาสนิ คา้ พน้ื บา้ นสนิ ค้าบริการ เกษตรและผลิตผลจากการเกษตรแลว้ ชมุ ชนตลาดน้าท่าคายงั มีการรวมตวั กันเปน็ กลุ่มเพื่อ ใหบ้ รกิ ารแก่นกั ท่องเท่ียวและผู้ทีส่ นใจในการนาเท่ียวชมสวนมะพร้าว สวนผลไม้ การทานา้ ตาล มะพรา้ ว การนัง่ เรือพายเพอื่ ชมความงดงามของบรรยากาศสองฝง่ั คลอง และวิถชี ีวติ ของชุมชน ริมนา้ รวมถงึ การให้บรกิ ารบา้ นพกั คา้ งคืนที่เรียกกันว่า Home stay (การพกั คา้ งคนื รว่ มกับเจ้าของ บา้ น กินอาหารพ้ืนบ้าน และศกึ ษาเรยี นร้วู ิถีชวี ติ ในชมุ ชน ) หรอื บริการบ้านพกั แบบใหเ้ ชา่ สาหรับ นกั ท่องเทย่ี วที่ตอ้ งการความเปน็ สว่ นตัว และตอนค่ามีการบริการล่องเรอื นาเท่ียวเพื่อชมหง่ิ ห้อย การให้บรกิ ารเพื่อการท่องเทยี่ วตา่ งๆ เหล่าน้ี เป็นกจิ กรรมซ่งึ ดาเนนิ การชมุ ชนท้งั สนิ้ ลกั ษณะของ การจดั การการท่องเท่ียวท่เี ปน็ อยใู่ นปจั จบุ ัน คอื ชมุ ชนรวมตวั กนั เป็นกลุม่ เลก็ ๆ จัดการ การทอ่ งเทีย่ วซ่ึงมจี านวนสมาชกิ ไมม่ ากนกั แบ่งสมาชิกออกเป็นกล่มุ ๆ ได้แก่ กล่มุ กองทุนหมู่บา้ น กลุ่มประเพณีวฒั นธรรม กลุม่ สตรี กลุม่ เรือพาย กลมุ่ ทอ่ งเทยี่ วและโฮมสเตย์ กล่มุ จกั สาน ก้านมะพรา้ ว กล่มุ ขนมไทย และกลมุ่ วสิ าหกจิ และออมทรพั ย์ โดยให้บรกิ ารแก่ชมุ ชนและนาเงิน บางส่วนเข้ากองทุน ผูว้ จิ ยั สนใจการวจิ ยั ในพ้ืนท่ตี าบลทา่ คา อาเภออัมพวา จังหวดั สมุทรสงคราม เพราะ เป็น แหลง่ ท่องเทยี่ วทม่ี ีความสาคัญแห่งหนึง่ ของประเทศไทย พัฒนาจากความเปน็ ชมุ ชนท้องถ่นิ ทีม่ ี ภมู ิปญั ญาท่เี ปน็ เอกลกั ษณ์ของตนเอง จนนามาสกู่ ารดาเนินธุรกจิ ทอ่ งเทยี่ วมีลกั ษณะท่ีหลากหลาย ประเภท นบั เปน็ สถานทีท่ อ่ งเทย่ี วแห่งหนงึ่ ท่ีดึงดดู ใจชาวตา่ งชาติเป็นอย่างยง่ิ ดงั นนั้ การสอ่ื สารดว้ ย ภาษาสากลหรอื ภาษาองั กฤษจงึ เป็นเครือ่ งมอื สาคญั ในการเจรจาระหว่างนกั ท่องเที่ยวกับผู้ให้บริการ ในสถานท่ที อ่ งเทยี่ วตา่ งๆ ช่องวา่ งในการสอื่ สารก่อให้เกิดความเข้าใจผดิ ในการเจรจาไดบ้ ่อย ครั้ง สาเหตสุ ่วนใหญม่ กั เกดิ จากความแตกตา่ งของสภาพแวดลอ้ ม การศกึ ษา เจตคติ เปน็ ตน้ สาเหตุหลัก ที่สาคัญอกี เรอื่ งหน่ึงคอื ชอ่ งวา่ งระหวา่ งภาษา ซ่งึ ผลกระทบที่ตามมาอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ กิจกรรมของท้งั สองฝา่ ยได้ ภาษาองั กฤษเป็นสากลท่ีเป็นท่ียอมรับกันวา่ เป็นภาษากลางทใ่ี ชใ้ นการ สือ่ สารของชนชาตติ า่ งๆ เพอื่ ส่ือความเขา้ ใจกันในเรอื่ งตา่ งๆ อาทิ การค้า การศกึ ษา สังคม เศรษฐกจิ เป็นต้น การทากิจกรรมทางการทอ่ งเที่ยวโดยไม่คานงึ ถึงขดี ความสามารถในการรองรบั จะนาความ เสื่อมโทรมมาให้ทรพั ยากรการทอ่ งเทีย่ ว การจัดการข้อสรุป การจดั การท่องเที่ยวตลาดนา ในจงั หวดั สมุทรสงคราม ยงั มปี ญั หาอยูบ่ ้างในด้านการสรา้ งความเข้าใจร่วมกัน การสอื่ สารและการ ประชาสัมพนั ธ์ระหว่างผใู้ ห้บริการและนักทอ่ งเท่ียวทังไทยและตา่ งประเทศ ( วิไลลักษณ์ รัตนเพียร ธมั มะและคณะ, 2550: 12-18) www.ssru.ac.th

7 ดังนนั้ ความสามารถในการใชภ้ าษาจึงเปน็ ปจั จยั ท่ีนาไปสรู่ ะดับของความสาเรจ็ หรือความ ลม้ เหลวได้ ทีส่ าคญั การส่อื ถึงวฒั นธรรมความเปน็ อยู่และการรักษาไวซ้ งึ่ เอกลักษณ์ด้านวิถีชีวิต รวมถึงทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมใหค้ งอย่คู กู่ ับชุมชนเป็นสงิ่ ท่คี วรเร่งให้เกิดขนึ้ โดยเร่งดว่ นผวู้ ิจยั เลง็ เหน็ ถึงความสาคัญดงั กลา่ ว จึงสนใจท่จี ะทาวิจัยเร่อื ง การวเิ คราะห์ความต้องการในการใช้ ภาษาองั กฤษเพือ่ การสือ่ สาร ทางการทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนรุ กั ษ์ ในพนื้ ทต่ี าบลอัมพวา เพอื่ ให้ไดม้ าซ่งึ คณุ ภาพของนกั ท่องเทยี่ วที่สูงขึ้น ลดพฤตกิ รรมการทาลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และเข้าใจในวฒั นธรรมทช่ี าวอมั พวาไดอ้ นรุ ักษไ์ ว้ ดังท่ี สวุ ิทย์ ยอดมณี ( Online, 2551) กล่าวถงึ อัมพวาว่า จดุ ขายของอัมพวาคอื วถิ ชี ีวิตทม่ี ีองค์ความรทู้ ง้ั ด้านวัฒนธรรมและนเิ วศ จึงมีแนวคดิ ในการจดั ทาแผนพัฒนาและยกระดบั พน้ื ทดี่ ังกลา่ วขน้ึ เปน็ มรดกโลก เพอื่ รักษาความเป็น เอกลักษณ์ด้านวถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยูท่ างน้าทส่ี บื ทอดกันมายาวนาน รวมถงึ ทรัพยากรและ ส่ิงแวดลอ้ มให้คงอยู่ นอกจากนยี้ ังไดก้ ลา่ วถึงการสะทอ้ นปญั หาเกี่ยวกับนกั ทอ่ งเทยี่ วตา่ งชาตทิ ม่ี ี คณุ ภาพลดลง เพราะส่วนใหญม่ พี ฤตกิ รรมที่ทาลายสิ่งแวดลอ้ มแล ะทรัพยากรธรรมชาติ กระทรวงการทอ่ งเท่ยี วฯ จงึ เน้นเป้าหมายการจูงใจนกั ท่องเที่ยวทมี่ คี ณุ ภาพเดินทางมาเทย่ี ว มากกว่าความสาคญั ตอ่ รายไดแ้ ละจานวนนกั ทอ่ งเที่ยวจานวนมากแต่ไม่มคี ณุ ภาพ จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงควร มีการศึกษาสภาพการใชภ้ าษาองั กฤษ เพอ่ื การส่อื สาร ทางการท่องเที่ยวเชิงอนรุ ักษ์สาหรบั นักทอ่ งเที่ยว ทังในอดตี และปัจจบุ ันในพนื ทตี่ าบลท่าคา อาเภอ อัมพพวา จงั หวัดสมุทรสงคราม และทาการวเิ คราะห์ความต้องการในการพัฒนาภาษาอังกฤษเพ่ือใช้ ในการสอื่ สารทางการท่องเทย่ี วเชิงอนรุ ักษ์ของผใู้ หบ้ รกิ าร เพื่อนาไปสกู่ ารพฒั นารูปแบบการเรียนรู้ ด้วยตนเองในการใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสือ่ สาร ทางการท่องเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษ์ ให้กับผ้ใู ห้บริการ ในพนื ที่ดงั กลา่ ว เพ่ือให้ สอดคลอ้ งกับนโยบาย และยุทธศาสตรก์ ารวิจัยของชาติ พ.ศ. 2551 - 2553 กลุ่มเร่ืองท่ี 10 การบรหิ ารจัดการทอ่ งเทยี่ ว การวจิ ยั การบรหิ ารจัดการด้านการทอ่ งเทย่ี วเชิงอนรุ ักษ์ และการมีสว่ นร่วมของชมุ ชนกบั การพฒั นาการทอ่ งเทีย่ วที่มีคณุ ภาพอย่างยงั่ ยนื สืบไป 1.3 วตั ถุประสงค์ของการวิจยั วตั ถุประสงค์ในการวจิ ยั คร้งั นี้ คอื 1.3.1 เพอื่ สารวจสภาพการใชภ้ าษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สารทางการท่องเทย่ี วเชงิ อนุรักษข์ อง นกั ทอ่ งเทีย่ ว ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม 1.3.2 เพอ่ื วิเคราะห์ ความต้องการ ในการใช้ ภาษาอังกฤษ เพ่อื ใชใ้ นการสอ่ื สารทางการ ทอ่ งเทย่ี วเชิงอนรุ กั ษ์ของผ้ใู ห้บรกิ าร ตาบลท่าคา อาเภออมั พวา จังหวดั สมทุ รสงคราม www.ssru.ac.th

8 1.3.3 เพอ่ื ศึกษายุทธศาสตรแ์ ละนโยบายการสง่ เสรมิ การใช้ภาษาองั กฤษ เพอ่ื การสอ่ื สาร ทางการทอ่ งเทีย่ วเชิงอนรุ ักษ์ ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม 1.3.4 เพื่อสร้าง รปู แบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ในการใชภ้ าษาองั กฤษเพือ่ การส่ือสาร ทางการ ท่องเทย่ี วเชิงอนรุ ักษ์ใหก้ บั ผู้ให้บรกิ าร ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จังหวดั สมทุ รสงคราม 1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั 1.4.1 ขอบเขตในดา้ นพ้ืนท่ี การสารวจสภาพการใชภ้ าษาอังกฤษ เพ่อื การสือ่ สารทางการท่องเทีย่ วเชงิ อนุรกั ษ์ สาหรบั นักท่องเที่ยว และการวิเคราะหค์ วามต้องการในการพฒั นาภาษาองั กฤษเพอื่ ใช้ในการส่อื สาร ทางการท่องเท่ียวเชิงอนุรกั ษ์ ของผใู้ หบ้ ริการ ในพื้นทต่ี าบลท่าคา อาเภออมั พวา จงั หวัด สมุทรสงคราม เพอื่ พัฒนารูปแบบการเรยี นรู้ด้วยตนเองในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่อื การส่อื สารให้กบั ผ้ใู หบ้ รกิ าร ทางการทอ่ งเท่ยี วเชงิ อนรุ กั ษ์ สาหรบั ผู้ใหบ้ ริการได้แก่ ประชาชน ผ้ใู หบ้ ริการและ หนว่ ยงานในชุมชนทีม่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การจดั การทอ่ งเทย่ี ว โดยจะทาการศึกษาในพ้นื ที่ ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมทุ รสงคราม เทา่ น้ัน โดยมีจานวนประชากรทังสนิ 684 คน และจานวน นกั ทอ่ งเทยี่ วชาวตา่ งชาตจิ านวน 19,064 คน 1.4.2 ขอบเขตในด้านเน้ือหา การวจิ ยั ในคร้งั นีเ้ ป็นการศกึ ษาคน้ ควา้ จากแนวคิดทฤษฎี และวรรณกรรมทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การใชภ้ าษาองั กฤษเพ่อื การสอื่ สาร ทางการท่องเท่ยี ว แนวคดิ เกีย่ วการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ( Self Directed Learning หรอื SDL) เพ่อื นามาสร้างรูปแบบการเรียนรดู้ ้วยตนเองในการใชภ้ าษาองั กฤษ เพ่อื การส่ือสารทางการทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษ์ให้กับผใู้ ห้บริการ 1.5 สมมตุ ฐิ านการวจิ ัย สมมตุ ิฐานของงานวจิ ัยนี้ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ดังน้ี 1.5.1 ลกั ษณะประชากรศาสตร์ ลกั ษณะประชากรของผ้ใู หบ้ รกิ ารในพื้นท่ตี าบลท่าคา อาเภออมั พวา จังหวดั สมุทรสงคราม ท่ีแตกต่างกัน มี ความต้องการ ในการใช้ ภาษาอังกฤษ เพ่อื ใชใ้ นการส่ือสารทางการทอ่ งเท่ยี วเชิง อนรุ ักษ์ของผใู้ หบ้ ริการแตกตา่ งกนั www.ssru.ac.th

9 1.5.2 ขอ้ มูลการวิเคราะห์ สภาพการใชแ้ ละความตอ้ งการในการใชภ้ าษาองั กฤษเพ่ือการส่ือสารทางการทอ่ งเท่ียวเชิง อนรุ กั ษ์ ตลอดจนยุทธศาสตรแ์ ละนโยบายการส่งเสริม การใช้ภาษาองั กฤษ เพ่ือการสื่อสารทางการ ท่องเทย่ี วเชงิ อนรุ ักษ์ สามารถนามาสร้าง รูปแบบการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ในการใช้ภาษาองั กฤษเพื่อ การส่ือสารทางการท่องเทยี่ วเชิงอนรุ ักษ์ใหก้ บั ผูใ้ หบ้ รกิ ารในพ้นื ทต่ี าบลทา่ คา อาเภออัมพวา จงั หวดั สมทุ รสงครามได้ 1.6 นิยามทีใ่ ช้ในการวิจยั รูปแบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง หมายถึง การเรยี นรทู้ ีเ่ กิดจากแรงจงู ใจของแตล่ ะบุคคล เหมาะสมกบั สภาวการณ์ โดยความสาเร็จของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองมีเงื่อนไขและปัจจัยหลักอยทู่ ี่ ผู้เรยี นทีต่ อ้ งมวี ินัย ความมงุ่ มัน่ และนสิ ยั ใฝ่เรียน ใฝร่ ู้ โดยการกาหนดส่งิ ท่ีตอ้ งการเรียนรู้ (Specifying learning content) โดยกาหนดระดับความยากง่าย ชนดิ ของส่ิงทีต่ ้องการเรียน โดย พจิ ารณาจากความตอ้ งการความช่วยเหลือ แหลง่ ทรัพยากร ประสบการณ์ ทจี่ าเปน็ ในการเรียน เพ่ือ พฒั นาผเู้ รียนให้มที ักษะในการอ่าน และการพดู เพื่อใหข้ ้อมลู แสดงความคิดเห็น โต้ตอบ ทัง้ อย่าง เปน็ ทางการ และไมเ่ ปน็ ทางการในเร่ืองตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ระดบั การปฏบิ ัตงิ านจริง ภาษาอังกฤษเพอ่ื การสือ่ สารทางการท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ ห มายถงึ โครงสร้างศัพท์ และ สานวนภาษาอังกฤษท่ใี ชใ้ นการฟัง การพดู การอ่าน และการเขียนภาษาอังกฤษเพอ่ื การทอ่ งเที่ยว เชิงอนุรักษ์ ความตอ้ งการในการ ใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สาร ทางการทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรักษข์ อง ผูใ้ หบ้ ริการ หมายถงึ การประเมินความต้องการของตนเอง ( Assessing Needs) การกาหนด จดุ มุ่งหมาย ( Setting goals) การกาหนดส่งิ ทีต่ ้องการเรยี นรู้ (Specifying learning content) โดย กาหนดระดบั ความยากง่าย ชนิดของสง่ิ ทีต่ อ้ งการเรียน ความต้องการความช่วยเหลือ และแหลง่ ทรัพยากร สภาพการใช้ภาษาองั กฤษเพือ่ การสอ่ื สาร ทางการทอ่ งเทีย่ วเชิงอนุรกั ษ์สาหรับนักท่องเที่ยว หมายถงึ ความคิดเหน็ ในการประเมินตนเองในดา้ นความสามารถพฒั นาทกั ษ ะในการฟัง การพูด ภาษาอังกฤษเพื่อสือ่ สาร การประยุกต์ทกั ษะการเรียนร้ภู าษาอังกฤษ โดยใช้เปน็ เครื่องมอื สอ่ื สาร ในการประกอบการปฏิบัติงานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ และนาความรู้เกย่ี วกบั ภาษาองั กฤษไป www.ssru.ac.th

10 พฒั นาการส่อื สารของตนเองได้อยา่ งถกู ตอ้ ง และทราบถึงขนบธรรมเนียมในการโต้ตอบ ภาษาอังกฤษเชิงธุรกจิ การท่องเท่ยี ว ผใู้ หบ้ ริการ หมายถึง พอ่ ค้า แมค่ ้า และกลุ่มผู้ให้บริการ 8 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มออม ทรัพย์ กลุ่มกองทนุ หมบู่ า้ น กลมุ่ ประเพณีวฒั นธรรม กล่มุ สตรี กลุ่มพายเรอื กลุ่มทอ่ งเที่ยวและ โฮมสเตย์ กลมุ่ ขนมไทย กล่มุ จักสานกา้ นมะพร้าว กลุ่มวิสาหกจิ นกั ทอ่ งเทีย่ ว หมายถึง ชาวตา่ งชาตทิ เ่ี ขา้ มาท่องเท่ยี วในจังหวัดสมุทรสงครามทใ่ี ช้ ภาษาองั กฤษท่ีเปน็ เจา้ ของภาษา และนักท่องเท่ียวชาวต่างชาตทิ ีใ่ ช้ภาษาองั กฤษเปน็ ภาษาทส่ี อง นโยบายการส่งเสรมิ การใช้ภาษาองั กฤษเพือ่ การสื่อสาร ทางการทอ่ งเที่ยวเชิงอนุรัก ษ์ สาหรับ ผู้ใหบ้ รกิ าร หมายถงึ ยทุ ธศาสตร์ นโยบายขอ งการส่งเสรมิ การทอ่ งเทย่ี วของจังหวัด สมุทรสงคราม 1.7 ประโยชนท์ จ่ี ะได้รบั จากการวจิ ยั ผลการวจิ ยั จากโครงการนี้สามารถนาไปสรา้ งองคค์ วามรู้ให้เกิดประโยชนก์ ับการจดั การ ทอ่ งเทย่ี วเชิงอนุรกั ษ์ในพ้นื ทต่ี าบลท่าคา อาเภออัมพวา จงั หวัดสมทุ รสงคราม และสามารถนา องค์ความรู้ไปปรบั และประยุกตใ์ ช้ในการสง่ เสรมิ การทอ่ งเท่ียวเชิงอนรุ ักษ์ได้อีกรูปแบบหนง่ึ 1.8 การนาเสนอบทวจิ ัย การวจิ ยั เร่อื งรูปแบบการเรียนร้ดู ้วยตนเองในการใชภ้ าษาอังกฤษเพ่อื การสอ่ื สารทางการ ท่องเท่ียวเชงิ อนรุ ักษ์ในพน้ื ที่ตาบลทา่ คา อาเภออัมพวา จังหวัดสมทุ รสงคราม นาเสนอดังนี้ บทท่ี 1 บทนา บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กี่ยวขอ้ ง บทที่ 3 ระเบียบวธิ ีวิจยั บทที่ 4 การวิเคราะห์ขอ้ มลู และบทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ www.ssru.ac.th

11 บทที่ 2 เอกสารและวรรณกรรมทเี่ กีย่ วขอ้ ง 2.1 คานา การวจิ ยั เรื่อง รปู แบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ในการใช้ภาษาองั กฤษเพ่อื การสื่อสาร ทางการ ทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรกั ษใ์ นพ้นื ท่ตี าบลท่าคา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม ผวู้ จิ ัยไดก้ าหนด ขอบเขตในการทบทวนวรรณกรรมเก่ียวขอ้ งตามลาดับดงั นี้ ประวัตแิ ละความเปน็ มาของตาบลทา่ คา อาเภออัมพวา จังหวดั สมทุ รสงคราม ยุทธศาสตรน์ โยบายของของจังหวัดสมทุ รสงคราม แนวคิด ทฤษฎเี ก่ยี วกับการมสี ว่ นร่วมของประชาชน แนวคดิ ทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยตนเอง ( Self-directed Learning Model หรอื SD) แนวคดิ ทฤษฎีการสื่อสาร และงานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ ง 2.2 ประวตั แิ ละความเปน็ มาของตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จงั หวัดสมทุ รสงคราม ตาบลทา่ คา ตง้ั อยใู นเขตการปกครองของอาเภออัมพวา จังหวัดสมทุ รสงคราม อยูห่ ่างจาก อาเภออมั พวา ประมาณ 10 กโิ ลเมตร มเี นือ้ ท่ีทงั้ หมด 9 ตารางกโิ ลเมตร มีอาณาเขตดังนี้ - ทิศเหนือ ตดิ กับ ตาบลดอนมะโนรา และ ตาบลจอมปลวก อาเภอบางคนที - ทิศใต้ ตดิ กบั ตาบลบางชา้ ง อาเภออมั พวา - ทศิ ตะวันออก ตดิ กบั ตาบลคลองเขิน และตาบลนางตะเคียน อาเภอเมอื ง - ทศิ ตะวนั ตก ตดิ กับ ตาบลบางกระบือ อาเภอบางคนที จงั หวัดสมุทรสงคราม ภูมปิ ระเทศสว่ นใหญเ่ ปน็ ทีร่ าบลุม่ ประกอบด้วย 12 หมู่บา้ น ตาบลทา่ คา เป็นตาบลเก่าแก่ ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2460 จนถงึ ปัจจุบนั นบั เปน็ เวลาประมาณ 85 ปี ปจั จุบนั ประชากรในเขต อบต. ทา่ คา มีจานวนประมาณ 5,655 คน อาศยั อย่ใู นบ้านจานวน 2,796 หลังคาเรือน มีสาธารณูปโภคครบครัน ชาวบา้ นสว่ นใหญ่พดู ภาษาไทย นบั ถือศาสนาพุทธ มีอาชีพหลกั คอื ทาสวน และอาชพี เสริม คือ การทาธรุ กจิ หรอื คา้ ขาย และรบั จ้าง www.ssru.ac.th

12 การเดินทางไปยงั ตลาดน้าท่าคา สามารถเดนิ ทางไดอ้ ยา่ งสะดวกและงา่ ยโดยเดินทางจาก ตัวจงั หวัดประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เสน้ ทางหลวงหมายเลข 325 (สมทุ รสงคราม-บางแพ) เสน้ ทาง เดยี วกับ การเดนิ ทาง ไปอาเภอดาเนินสะดวก หรือเลยจากทางแยกเข้าอาเภออัมพวาประมาณ 4 กิโลเมตร มีทางแยกอย่ขู วามอื มปี ้าย แสดงชอ่ื ตลาดนา้ ท่าคา่ และเดินทางเขา้ ไปจากแยกประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนการเดนิ ทางดว้ ยรถประจาทางจากตัวจังหวดั สามารถข้นึ รถหนา้ ธนาคารทหารไทย เพ่อื ไปลงท่ตี ลาดน้าท่าคา ท่าคามกี ารบริหารของ อบต. ในรูปสภา อบต. มีประธานสภา รองประธานสภา นายก อบต. ปลัด อบต. ประธานกรรมการบริหาร อบต. และกรรมการ จานวน 2 คน รวมทง้ั หมด 7 คน ท่ีมาจาก การเลอื กตงั้ ของชมุ ชน สว่ นการจดั เครือข่ายองคก์ รและกล่มุ ต่างๆในตาบลทา่ คา มีองคก์ รและกลุ่ม ต่างๆ จานวนทัง้ หมด 8 กลุ่ม ประกอบด้วย กล่มุ ออมทรพั ย์ กลมุ่ กองทุนหมู่บ้าน กล่มุ ประเพณี วฒั นธรรม กลมุ่ สตรี กลมุ่ เรอื พาย กลุม่ ท่องเที่ยวและ โฮมสเตย์ กลมุ่ ขนมไทย กล่มุ จักสาน กา้ นมะพร้าว และกลุ่มวิสาหกิจชมุ ชนท่าคา ท่ที าการชมุ ชนตั้งอยูเ่ ลขที่ 1 หมทู่ ี่ 2 ตาบลทา่ คา อาเภอ อมั พวา จังหวดั สมุทรสงคราม 75110 ผู้นาชุมชนและกลุ่มในปจั จบุ ัน คือ นางอุไร สีเหลือง สถานท่สี าคญั ในตาบลทา่ คา ได้แก่ วดั มณสี รรค์ วัดเทพประสทิ ธคิ ณาวาส อนามัยท่าคา อนามยั คลองพลับ โรงเรียนวัดมณีสรรค์ไสวประชานสรณ์ โรงเรยี นวดั เทพประสิทธต์ิ ณาวาส โรงเรยี นเทพสุวรรณชาญวทิ ยา และทสี่ าคัญย่งิ คอื ตลาดน้าท่าคา ซึง่ เปน็ แหลง่ ท่องเทย่ี วทีส่ าคญั ท่สี ดุ ของท่าคา มลี ักษณะเป็นตลาดนดั ทีช่ าวบ้านไดพ้ ายเรอื นาอาหาร ผกั และผลไมท้ อ้ งถน่ิ มาขาย ตลอดจนมบี ริการท่องเทย่ี ว เชน่ การพายเรือเที่ยวชมหมบู่ า้ นและสวนผลไม้รอบๆ ตลาดน้าทา่ คา ภาพท่ี 2.1 ท่ที าการชุมชน และบรรยากาศการทาบุญตกั บาตรยามเช้าที่ทา่ คา www.ssru.ac.th

13 สิง่ หน่ึงทค่ี มู่ ากับจังหวดั สมทุ รสงคราม คอื แม่น้าลาคลอง ซึ่งมีอยมู่ ากมาย ทาให้วิถีการ ดาเนนิ ชีวิตของชาวบ้านผกู พันกบั แม่น้าลาคลองเร่ือยมา ทง้ั การสัญจร การประกอบอาชพี ตา่ งๆ การ ซื้อขายแลกเปล่ยี นสินคา้ และส่ิงท่สี ะทอ้ นภาพชุมชนริมน้า คือ ตลาดนา้ ทมี่ มี าต้ังแต่ สมยั กรงุ ศรี อยุธยา ต่อเนื่องถงึ สมัยกรุงธนบรุ ี และกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ก่อนทต่ี ลาดน้าจะคอ่ ยๆ ลดนอ้ ยลงไปราว 60 ปีที่แล้ว เม่อื การสัญจรทางบกสะดวกขนึ้ คงเหลืออยู่แต่ “ตลาดนา้ ทา่ คา” ในวนั ข้นึ หรอื แรม 2 ค่า 7 ค่า และ 12 คา่ ต้งั แตเ่ วลาประมาณ 06.00- 12.00 น. และวันเสาร์-วันอาทิตย์ สนิ คา้ ของตลาดน้าท่า คาจะเป็นสินค้าทีผ่ ลติ จากมะพร้าว ได้แก่ น้ามะพรา้ วสด นา้ ตาลสด น้าตาลมะพร้าว หรือนา้ ตาลป๊บี และเนื้อมะพร้าวตากแหง้ อาชีพขึ้นตาลและทาน้าตาลมะพรา้ วเป็นอาชีพด้ังเดมิ ขอ งชาวท่าคา เหน็ ได้จากสวน มะพร้าวท่ีอยู่ระหว่างทาง เตาตาลหรือเตาเค่ยี วตาลเป็นสง่ิ ท่ียงั คงอย่คู ูก่ ับท่าคา เดมิ จะเปน็ เตาเดยี่ ว เคีย่ วไดท้ ลี ะกระทะ เรยี กวา่ “เตาโดด” และพฒั นามาเป็น “เตาดนุ ” มี 2 กระทะ แล้วตอ่ ชอ่ งไฟให้ถึงกนั จน กระท่ัง พัฒนาเปน็ “เตาปลอ่ ง” ท่ีสามารถเคย่ี วไดห้ ลายกระทะ ตามความมากน้อยของนา้ ตาล และทาให้ ประหยดั ฟนื กว่าเตาแบบเดิม ภาพท่ี 2.2 การข้ึนตาล และการเคยี่ วตาล www.ssru.ac.th

14 2.3 ยุทธศาสตรน์ โยบายของการส่งเสรมิ การทอ่ งเทยี่ วของจงั หวดั สมุทรสงคราม 2.3.1 วสิ ยั ทัศนข์ องจังหวัด วสิ ยั ทัศน์ของจังหวดั สมุทรสงคราม คือ “เป็นเมืองแหง่ อาหารทะเลและผลไม้ปลอดภยั จาก สารพษิ ศนู ย์กลางการพักผ่อนและการท่องเทยี่ วเชิงอนรุ ักษท์ างลาคลองระดบั ชาติ ดินแดนแหง่ ประชาชนรกั ถิน่ กาเนิด อนุรักษ์สงิ่ แวดลอ้ มและวฒั นธรรมอันดงี าม” 2.3.2 ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาจังหวดั จังหวัดสมุทรสงครามมยี ุทธศาสตรก์ ารพฒั นาจงั หวัด 4 ยทุ ธศาสตร์ ดังนี้ 2.3.2.1 ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 1 “การพฒั นาและสง่ เสริมจังหวัดใหเ้ ปน็ เมืองอาหารทะเลและ ผลไม้ปลอดภยั จากสารพิษ” โดยมีเป้าประสงค์ 5 ด้าน คือ 1) รายไดภ้ าคประมงและเกษตรเพ่ิมข้ึนร้อยละ 1.5 2) อาหารทะเลและผลไม้ปลอดภยั จากสารพิษ ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 95 จาก จานวนตัวอย่าง 3) อาหารสดปราศจากสารปนเป้ือน 6 ชนิด ไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ 95 4) สถานที่ผลิตอาหารแปรรปู 54 ประเภท ผา่ นเกณฑ์ GMP รอ้ ยละ 100 5) รา้ นอาหารและแผงลอยผา่ นเกณฑม์ าตรฐานอาหารสดรสชา ติอรอ่ ย ไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 40 สาหรบั กลยทุ ธ์หลัก 4 ด้าน คือ 1) การพัฒนาและยกระดบั การผลติ ภาคประมงปลอดภัยจากสารพิษและ แปรรูปผลผลิตให้ไดม้ าตรฐาน 2) การพฒั นาและยกระดับการผลิตผลไมป้ ลอดภยั จากสารพิษและแปรรูป ผลผลติ ให้ได้มาตรฐานเสรมิ สรา้ งเครือข่ายการเรยี นรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตร 3) การส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ 4) การพัฒนาและสง่ เสริมการประกอบการอาหารปลอดภยั 2.3.2.2 ยทุ ธ์ศาสตร์ที่ 2 “การพฒั นาให้จงั หวัดเปน็ ศนู ยก์ ลางการพกั ผ่อนและการ ท่องเทีย่ วเชิงอนรุ ักษท์ างลาคลอง ” เป้าประสงค์ คือ รายได้จากการท่องเทีย่ วเพม่ิ ขน้ึ ปีละ 1.5 เปอรเ์ ซ็นต์ www.ssru.ac.th

15 สาหรับ กลยทุ ธห์ ลกั 3 ดา้ น คือ 1) การพฒั นาแหลง่ ท่องเที่ยวให้มกี ารฟืน้ ฟแู ละอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยการเสรมิ สรา้ งความเข้มแข็งของชุมชนและท้องถนิ่ ห้ามประกอบธรุ กิจบางประเภทท่มี ี ผลกระทบต่อการทอ่ งเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษ์ดา้ นส่ิงแวดล้อมและวฒั นธรรมอนั ดงี าม 2) การสง่ เสรมิ การตลาดและประชาสัมพันธ์ 3) การพัฒนาขีดความสามารถของภาคบรกิ ารและองคก์ รชมุ ชน /เครือขา่ ย เพ่ือเสริมสรา้ งการ จา้ งงานและเพมิ่ รายได้ 2.3.2.3 ยุทธ์ศาสตรท์ ี่ 3 “การปลูกจิตสานึกใหช้ าวจังหวดั สมทุ รสงครามรักถิน่ กาเนิด อนุรกั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มวฒั นธรรมอนั ดงี าม” มีเปา้ ประสงค์ 4 ดา้ น คือ 1) ชาวสมทุ รสงครามพงึ พอใจตอ่ การซอ้ื ของกนิ ของใช้ทีผ่ ลิตในจังหวดั ไม่ น้อยกวา่ ร้อยละ80 2) ครัวเรือนยากจนไดร้ บั การยกระดบั หรอื ดแู ลอย่างทั่วถึงตอ่ เนื่อง 3) ประชาชนมสี ุขภาพดีมกี ารศกึ ษา มคี วามมัน่ คงปลอดภัยในชีวติ และ ทรพั ยส์ นิ 4) ประชาชนไดร้ บั บริการทดี่ ี และมีคณุ ภาพจากภาครัฐ สาหรบั กลยุทธห์ ลัก 7 ด้าน คอื 1) การปลกู จิตสานึกใหป้ ระชาชนรักและสนบั สนุนความเจริญของถน่ิ กาเนิด 2) การสง่ เสรมิ การมีงานทา เพ่ิมรายได้และแกไ้ ขปัญหาความยากจน 3) การส่งเสรมิ ความเป็นเมืองนา่ อยู่ ประชาชนมสี ุขภาพดี มกี ารศึกษา มี ความมนั่ คงปลอดภัยในชวี ติ และทรพั ยส์ ิน 4) การกาหนดผังเมอื ง ควบคมุ ประเภทและพืน้ ท่ีของโรงงานอตุ สาหกรรม อนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม 5) การอนุรักษส์ ืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมทดี่ งี าม ส่งเสรมิ กิจกรรมของ เยาวชนในทอ้ งถนิ่ สรา้ งปฏิสัมพันธร์ ะหว่างมวลชน 6) การพัฒนาระบบการบริหารงาน การบริการองค์กรและบคุ ลากรภาครฐั 7) การพฒั นาระบบการบริหารขอ้ มลู ทุกสาขาอาชีพให้เช่อื มโยงกนั เพื่อให้ เกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งต่อเนือ่ ง www.ssru.ac.th

16 2.3.2.4 ยทุ ธศ์ าสตร์ที่ 4 “การดารงรักษาความเปน็ เมืองทม่ี รี ะบบนิเวศ 3 นา้ ” มีเปา้ ประสงค์ คือ การดารงรักษาความเป็นเมอื งท่ีมีระบบนเิ วศ 3 นา้ สาหรับกลยทุ ธ์หลกั 2 ด้าน คอื 1) การแก้ไขและฟ้นื ฟรู ะบบนเิ วศ 3 น้า 2) การบริหารจัดการนา้ อยา่ งเปน็ ระบบ 2.4 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกับการมีสว่ นร่วมของประชาชน แนวคดิ เกีย่ วกบั การมสี ่วนรว่ มของประชาชนP(eople’s Participation) ไดเ้ ข้ามามบี ทบาทสาคญั ในการพัฒนาชนบท ทงั้ น้ี ตง้ั แตแ่ ผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 5 ทีม่ ่งุ เน้นคนเป็น สาคญั มากกวา่ การเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ไดพ้ ยายามเปล่ยี นแปลงแนวทางการพฒั นาจากระดับบนลง ล่าง (Top – down) มาเปน็ จากระดบั ล่างขน้ึ บน B( ottom - up) แนวทางดังกลา่ วสอดรับกับแนวคิดของ โอคเลย์ (Oakley, 1984: 17) ท่ีกลา่ วว่า แนวทางจากระดบั ล่างข้ึนบนน้เี กย่ี วขอ้ งอย่างยิง่ กบั แนวคิดการ มีส่วนรว่ มของประชาชน ซง่ึ เป็นส่งิ ทข่ี าดหาย (Missing ingredient) ในกระบวนการพัฒนาการมีส่วน รว่ มของประชาชนน้นั มนี กั วิชาการไดอ้ ธิบายและใหค้ วามหมาย กระบวนการ รูปแบบ ข้นั ตอน ระดับ และปัจจยั เง่อื นไข ประโยชน์และทฤษฎกี ารมีสว่ นรว่ มของประชาชน ซึ่งผู้วิจยั ไดน้ ามากล่าวไว้ ดงั น้ี 2.4.1 ความหมายการมสี ่วนรว่ มของประชาชน การมสี ่ วนร่วม คือ การพิจารณาถงึ การมีสว่ นช่วยเหลอื โดยสมคั รใจโดยประชาชนต่อ โครงการใดโครงการหนึ่งของโครงการสาธารณะต่างๆ ทีค่ าดวา่ จะสง่ ผลต่อ การพัฒนาชาติแต่ ไมไ่ ดห้ วังวา่ จะใหป้ ระชาชนเปล่ียนโครงการหรือวจิ ารณ์เนือ้ หาโครงการ หรือ หมายถึง การให้ ประชาชนในชนบทรูส้ ึกตน่ื ตัว เพอ่ื ทจ่ี ะทราบถึงการยอมรบั การชว่ ยเหลือ และตอบสนองต่อ โครงการพฒั นา ขณะเดยี วกนั ก็สนบั สนุนความคดิ รเิ ริม่ ของคนในท้องถน่ิ หรอื การให้ประชาชนเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งในกระบวนการตดั สนิ ใจ กระบวนการดาเนินโครงการและร่วมรับผลประโยชนจ์ าก โครงการพัฒนา นอกจากนีย้ ังเกีย่ วขอ้ งกบั ความพยายามที่จะประเมินผลโครงการนั้นดว้ ย(สิรพิ รสงบ ธรรม, 2544: 19) 2.4.2 กระบวนการของการมีส่วนรว่ ม การมีสว่ น รว่ มพิจารณาถึงเร่อื ง ท่ีเกย่ี วข้องกับการตดั สนิ ใจและดาเนนิ การ แล ะ การดาเนนิ งานในกระบวนการพัฒนา ประกอบด้วย ประชาชน การพฒั นาและกระบวนการพัฒนา www.ssru.ac.th

17 มีประชาชน เปน็ ผ้กู าหนดปัญหาและความต้องการของปญั หาของตนเอง มงุ่ เนน้ การ พฒั นาขดี ความสามารถ ของประชาชนในการออกข้อบญั ญัติทอ้ งถ่ิน เพื่อการพึ่งและพฒั นาตนเอง และเป็น การพฒั นาท่เี ริม่ จากประชาชนโดยรฐั ต้องกระจายอานาจใหแ้ กช่ มุ ชน กระบวนการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนว่า มคี วามจาเป็นอยา่ งย่งิ เพราะเปน็ การสรา้ งภมู ิคุ้มกนั ตอ่ ความรูส้ กึ การสญู เสียอานาจ เป็นการฝึกอบรมผทู้ ี่จะเปน็ ผูน้ าในอนาคตเป็นการสรา้ งสภาพของ ความเปน็ ชมุ ชนท่สี ร้างสรรค์ และก่อให้เกิดแนวทางท่จี ะแกป้ ญั หา อยา่ งชาญฉลาด(สุริยนั ต์ สุวรรณ ราช (2548: 45) กระบวนการมีสว่ นร่วมนับเป็นหวั ใจสาคญั ของการพัฒนาในทกุ ระดับ ตั้งแตร่ ะดบั ชมุ ชน จนถงึ ระดับประเทศโดยจะตอ้ งรบั ฟังความคดิ เห็นและยอมรบั สทิ ธิของประชาชนในการเข้ามามสี ว่ น ร่วมทกุ ขั้นตอนในการปฏิบัตงิ าน 2.4.3 องค์ประกอบของการมีสว่ นร่วม องค์ประกอบของการมสี ่วนร่วมมี 3 ด้าน คือ วตั ถปุ ระสงค์หรอื จุดมุ่งหมายชดั เจน กิจกรรมเปา้ หมาย การใหบ้ คุ คลเข้ามีส่วนร่วม และบุคคลหรอื กลุม่ เปา้ หมาย และการตดั สินใจ ดังนั้นการมสี ว่ นร่วมของบุคคลจงึ มอี ยู่ในเกอื บทกุ กิจกรรมของสังคม ข้ึนอยกู่ ับความสนใจ และประเดน็ ในการพิจารณา แตม่ ีเงือ่ นไขพ้นื ฐานในการมสี ่วนรว่ มวา่ ต้องมอี ิสรภาพ ความเสมอภาค และความสามารถในการเข้าร่วมกิจกรรมนอกจากน้ีการมีส่วนร่วมตอ้ งมวี ัตถปุ ระสงคห์ รือจุดมงุ่ หมาย ต้องมีกิจกรรมเป้าหมายและตอ้ งมีกลุ่มเป้าหมาทย้งั นีเ้ พอ่ื ให้กระบวนการมสี ่วนรว่ มดาเนินไปได้อยา่ งมี ประสิทธิภาพสงู สดุ การมสี ่วนรว่ มเปน็ การกระจายโอกาสใหบ้ ุคคลมีส่วนร่วมและการบริหาร เกีย่ วกบั การตัดสนิ ใจในเร่อื งต่างๆรวมท้งั การจดั สรรทรัพยากรซ่งึ จะส่งผลกระทบตอ่ วถิ ชี วี ิตและความเป็นอยู่ โดยการใหข้ อ้ มูลแสดงความคิดเหน็ ให้คาแนะนาปรึกษา ร่วมวางแผน รว่ มปฏิบัติ รวมตลอดจนการ ควบคุมโดยตรงจากบคุ คล 2. 4. 4 รปู แบบของการมีสว่ นร่วม นกั วชิ าการได้อธิบายรปู แบบของการมีสว่ นรว่ มไว้ หลายรปู แบบ แต่โคเฮนและอพั ฮอฟฟ์ (Cohen & Uphoff, 1944: 2-9) ไดเ้ สนอรปู แบบการมี ส่วนร่วม 4 รปู แบบ คอื การมีส่วนรว่ มในการ ตัดสนิ ใจ (Decision making) การมสี ว่ นรว่ มในการดาเนนิ งาน (Implementation) การมีสว่ นร่วม ใน การรบั ผลประโยชน(์ Benefits) และการมสี ่วนรว่ มในการประเมนิ ผลE(valuation) รปู แบบของการมีสว่ นรว่ มของประชาชนที่โคเฮนและอพั ฮอฟฟ์ได้กลา่ วไว้ แสดงให้เหน็ ว่า การมีส่วนรว่ มในขั้นตัดสินใจมคี วามสาคัญมาก เนอ่ื งจากการตดั สนิ ใจจะมีผลตอ่ การปฏิบตั กิ ารและ www.ssru.ac.th

18 จากการปฏิบัติจะมผี ลตอ่ ไปยงั การรบั ผลประโยชน์และการประเมนิ ผล เพราะฉะนน้ั กตาดั รสนิ ใจจงึ มี ผลโดยตรงต่อ การรับผลประโยชนแ์ ละการประเมินผลโคเฮนและอพั ฮอฟฟ์ ได้แสดงความสมั พนั ธ์ ของการมีส่วนร่วมวา่ มีความสัมพนั ธ์และส่งผลต่อกเนัสมอแมจ้ ะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป 2.4.5 ขน้ั ตอนการมีส่วนร่วม การมสี ่วนรว่ ม ของประชาชนในชมุ ชน เพ่ือทากจิ กรรมทกี่ ่อใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ ชมุ ชนน้ัน มนี กั วชิ าการไดเ้ สนอแนวคิด เกีย่ วกบั ข้ันตอนการมสี ่วนรว่ มอาทิ สนทิ สุทนต์ (2547: 23-24 อ้างถงึ ใน ปริวัฒน์ สจั จาพนั ธ์, 2544: 36) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมมคี วามสาคญั ทกุ ขัน้ ตอนของการทางาน ตั้งแตข่ น้ั ตอนรเิ รมิ่ นาทางความคิด เป็นกรรมการและสมาชกิ เป็นผ้ชู กั ชวน ประชมุ แสดงความ คิดเหน็ ประสานงาน ทางานท่ตี อ้ งออกแรงกายในการดาเนนิ งาน นาวัสดอุ ปุ กรณ์ท่ีตนมีอยูเ่ ข้า สมทบทนุ สนบั สนุน ประเมนิ ผล ตดิ ตามผล และดูแลรกั ษา ทะนุบารุง หรอื รว่ มเป็นเจา้ ของ 2.4.6 ระดบั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน ระดบั การมสี ่วนรว่ มของประชาชน คือกระบวนการที่คนในชมุ ชนเขา้ ไปเปน็ สมาชิกร่วมในการ ตดั สินใจ ดาเนินงาน รบั ผลประโยชน์ ร่วมในการประเมนิ ผลจากแผนงาน โครงการ กิจกรรมของ ชมุ ชน อาจเป็นการมสี ว่ นรว่ มในทุกขน้ั ตอนหรือขนั้ ตอนใดขน้ั ตอนหนง่ึ ของกระบวนการ เพใือ่ ห้เกดิ การจดั สรรทรพั ยากรในชุมชน และดารงตามวัตถุประสงค์ ของคนในชมุ ชน สว่ นระดับการมีสว่ นร่วม ของประชาชนจะมากหรือน้อยขน้ึ กบั สภาพปัญหาของแต่ละบุคคลหรือชมุ ชน 2.4.7 ปจั จยั ทมี่ ีผลต่อการมสี ่วนรว่ มของประชาชน ปจั จัยทเ่ี สรมิ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นา แบ่งออกเป็น 4 กลุม่ ดังต่อไปนี้ 2.4.6.1 ปัจจัยดา้ นกลไกของรฐั คือ การกาหนดนโยบาย ที่มคี วามสอดคลอ้ งกับ สภาพแวดลอ้ ม ทางเศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง 2.4.6.2 ปัจจยั ดา้ นประชาชน โดยประชาชนในชมุ ชนตอ้ งมคี วามรู้ความเข้าใจและ มี ประสบการณใ์ นการทางานพัฒนา 2.4.6.3 ปัจจัยด้านนกั พัฒนาโดยนักพัฒนาตอ้ งศกึ ษาชมุ ชน เพื่อนามาใชเ้ ป็นข้อมลู พืน้ ฐานและได้เรียนรู้ สภาพแวดลอ้ มในทุกๆ ดา้ นของชมุ ชน 2.4.6.4 ปัจจยั จูงใจการได้รับผลประโยชนจ์ ากการไดเ้ ข้ามามีส่วนรว่ มใน กิจกรรม การพฒั นาและโครงการพฒั นา (ปารชิ าติ วลยั เสถยี ร และคณ,ะ2543: 216-217) www.ssru.ac.th

19 2.4.8 เงอ่ื นไขพนื้ ฐานของการมีสว่ นร่วม การมสี ว่ นร่วม เกิดจากเงื่อนไข 3 ประการ คือความสนใจและความหว่ งกงั วลร่วมกนั ความ เดอื ดร้อน และความไมพ่ ึงพอใจร่วมกันทม่ี ตี ่อสถานการณ์ ท่เี ปน็ อยู่ และการตกลงใจร่วมกนั ทจี่ ะ เปลี่ยนแปลงกลุ่มหรือชมุ ชนไปในทศิ ทางท่พี ึงปรารถน(าสุนิตย์ มะลิวัลย,์ 2541: 13) 2.4.9 ประโยชนข์ องการมสี ่วนร่วม ประโยชน์ของการพฒั นาแบบมีส่วนรว่ มวา่ สามารถช่วยในเรอื่ ง ตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การสะทอ้ น ปัญหา สาเหตุและความตอ้ งการทแี่ ท้จริงของคนในชุมชน กเารรียนรวู้ ิธแี กไ้ ข ปญั หาด้วยตนเองฉันทา มตริ ่วมกัน ในหม่เู หล่า ความรสู้ กึ เป็นเจ้าของผลงาน ความร้สู กึ รกั ท้องถิ่นและความรับผดิ ชอบ ตอ่ สังคม การได้เรยี นรเู้ กี่ยวกับขอ้ มูลตา่ งๆ ของชมุ ชน เช่น ประวตั ิของชุมชน ทรัพยากรของชมุ ชน และ ช่วยพัฒนาความเปน็ ผู้นาและศักยภาพของชมุ ชน (ชัชรี นฤทมุ , 2551: 29) ขอ้ ดีของการมีส่วนรว่ ม คือ การกอ่ ใหเ้ กดิ การผลิตนโยบายและบริการสาธารณะทส่ี อดคลอ้ งกบั ความต้องการของสาธารณชนเป็นการเพิ่มประสทิ ธภิ าพของการจดั สรรทรัพยากรของสาธารณะให้สงู ข้ึน การมสี ่วนรว่ มของประชาชนก่อใหเ้ กิดประโยชนด์ า้ กนารเพม่ิ คุณภาพตอ่ การตัดสนิ ใจ การลดคา่ ใช้จา่ ย และการสญู เสยี เวลา การสรา้ งฉันทามติ ความสาเร็จและผลในการปฏิบตั ขิ องโครงการ การหลีกเล่ยี ง การเผชญิ หน้าหรือหลกี เลยี่ ง ความขดั แย้งท่รี นุ แรง และความน่าเชอ่ื ถอื และความชอบธรรม(วนั ชัย พัฒนาศัพท,์ 2544: 7-10) สรปุ ไดว้ ่าประโยชนข์ องการมสี ว่ นรว่ ม จะก่อให้เกิด การพฒั นาทีม่ ีประสทิ ธิภาพและย่งั ยืน การมสี ่วนร่วมของประชาชนจงึ เปน็ กลไกสาคัญในการขับเคลอ่ื นของสังคมเทศบาลตาบล ดงั น้ัน จึงจาเปน็ ตอ้ งสร้างกลไกหรอื เคร่ืองมือในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอยา่ งเหมาะสม และ พอเพียงในการพัฒนาชุมชน 2.5 แนวคดิ ทฤษฎีรูปแบบการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-directed Learning Model หรอื SDL) 2.5.1 ความหมายของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-directed learning) ในสงั คมแหง่ การเปล่ียนแปลง ขา่ วสารขอ้ มูลตา่ งๆ สง่ ผลกระทบต่อการดาเนินชีวติ และ การตัดสินใจของผู้คนอย่างหลกี เลยี่ งไม่ได้ ผทู้ ่สี ามารถเข้าถงึ และมีความแมน่ ตรงของขา่ วสารและ ขอ้ มลู มากกว่า จะตัดสินใจในสงิ่ ต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสมและถูกต้อง การรบั รู้ขา่ วสารและขอ้ มูล เหล่านเี้ กยี่ วขอ้ งโดยตรงกับการเรียนรู้ตลอดชวี ติ บนพ้นื ฐานของการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง www.ssru.ac.th

20 การเรียนรูด้ ้วยตนเอง มีแนวคดิ พ้ืนฐานมาจากทฤษฎกี ลุ่มมนุษยนิยม ( Humanism) ซง่ึ มี ความเชื่อเรือ่ งความเป็นอิสระ และความเปน็ ตวั ของตัวเองของมนษุ ย์ ดังที่มีผู้กล่าวไว้วา่ มนุษย์ทุก คนเกดิ มาพร้อมกับความดี มคี วามเป็นอสิ ระ เป็นตวั ของตัวเอง สามารถหาทางเลอื กของตนเอง มีศกั ยภาพและพฒั นาศักยภาพของตนเองอยา่ งไม่มขี ีดจากดั มีความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและตอ่ ผูอ้ ื่น ซงึ่ เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกบั นักจติ วทิ ยามานุษยนยิ ม ( Humanistic Psychology) ทีใ่ ห้ ความสาคัญในฐานะที่ผู้เรียนเปน็ ปัจเจกบุคคล และมแี นวคิดวา่ มนุษยท์ ุกคนมศี กั ยภาพ และมีความ โนม้ เอียงที่จะใสใ่ จ ใฝร่ ู้ ขวนขวายเรียนรู้ด้วยตนเอง มนษุ ยส์ ามารถรับผิดชอบพฤตกิ รรมของตนเอง และถอื วา่ ตนเองเปน็ คนทีม่ ีค่า 2.5.2 กระบวนการการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง กระบวนการการเรยี นรูด้ ้วยตนเองเรม่ิ จากการประเมินความตอ้ งการของตนเอง ( Assessing Needs) แล้วกาหนดจุดมุ่งหมาย ( Setting goals) กาหนดสิง่ ที่ตอ้ งการเรยี นรู้ ( Specifying learning content) โดยกาหนดระดบั ความยากง่าย ชนิดของสิ่งทตี่ อ้ งการเรยี น พจิ ารณาเก่ยี วกับค่าใชจ้ ่ายท่ี ต้องใช้ในการเรยี น ความตอ้ งการความชว่ ยเหลือ แหล่งทรัพยากร ประสบการณ์ทจ่ี าเปน็ ในการ เรียน ขัน้ ตอนตอ่ ไปคอื กาหนดปริมาณเวลาทตี่ อ้ งการให้อาจารย์สอน ปริมาณเวลาที่ต้องการใหม้ ี ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างอาจารยก์ บั ผเู้ รียน ปรมิ าณเวลาท่ีตอ้ งการใหม้ ีปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รียนกับ ผูเ้ รียน ปรมิ าณเวลาท่ีต้องการให้กับกจิ กรรมการเรยี นด้วยตนเองของแต่ละคน โดยกาหนดกจิ กรรม การเรยี นตามประสบการณท์ ผ่ี า่ นมา พร้อมทง้ั กาหนดวา่ กิจกรรมควรสน้ิ สดุ เมอื่ ใด โดยเลอื กวธิ ีการ เรยี นและส่อื การเรยี นการสอน อปุ กรณก์ ารสอน เทคนคิ การสอน ทรัพยากรการเรยี นรทู้ ตี่ อ้ งใช้ กาหนดวิธกี ารควบคุมสิ่งแวดล้อมในการเรยี นรู้ ทั้งส่ิงแวดล้อมทางกายภาพและทางด้านอารมณ์ กาหนดวิธกี ารตรวจสอบตนเอง โดยกาหนดวิธีการรายงาน/บันทึกการสะทอ้ นตนเอง จะใช้เทคนิค การฝกึ คิดหาคาตอบ (reflective practitioner techniques) แบบไหน การให้โอกาสได้ฝกึ ตดั สนิ ใจ การแก้ปญั หา และการกาหนดนโยบาย การเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นสามารถ แจกแจงความคดิ ใหช้ ดั เจน ขนึ้ ข้นั ตอนสุดทา้ ยของกระบวนการ คอื กาหนดขอบเขตบทบาทของ ผูช้ ่วยเหลือ การกาหนด วิธีการประเมนิ ผลการเรียน โดยเลือกประเภทของการทดสอบ ลักษณะของการ Feedback ทีจ่ ะใช้ วิธีการประเมินความถกู ต้องของผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน และการติดตามประเมินผล 2.5.3 ลกั ษณะรูปแบบการเรยี นรู้ด้วยตนเอง รูปแบบการเรียนรู้ดว้ ยตนเองมีหลายลกั ษณะดว้ ยกนั เช่น การทาสมดุ บันทกึ ส่วนตวั เพ่ือใช้ บันทกึ ข้อมลู ความคิดเรอื่ งราวตา่ งๆ ท่ีเราได้เรียนรหู้ รือเกดิ ข้นึ ในสมองของเรา สมดุ นี้จะชว่ ยเกบ็ สะสมความคิดทลี ะน้อยเขา้ ไว้ดว้ ยกันเพือ่ เปน็ แนวทางในการศกึ ษาเพิม่ เติมให้กวา้ งไกลออกไป โดยกาหนดโครงการเรียนรูร้ ายบุคคล ท่มี ีการวางแผนไวล้ ่วงหน้าวา่ จะเรียนรอู้ ยา่ งไร โดยพจิ ารณา www.ssru.ac.th

21 ว่าความรูท้ ี่เราจะแสวงหาน้นั ช่วยให้เราถึงจุดประสงค์ที่ตั้งไว้หรอื ไม่ ทาใหเ้ กิดความพงึ พอใจ ความ สนุกสนานที่จะเรยี นหรอื ไม่ ประหยัดเงินและเวลามากนอ้ ยเพยี งใด มกี ารทาสัญญาการเรยี นเป็น ขอ้ ตกลงระหวา่ งผ้สู อนกบั ผเู้ รียน โดยอยูบ่ นพืน้ ฐานความต้องการของผูเ้ รียนทีส่ อดคล้องกับ เป้าหมายและหลกั การของสถาบันการศกึ ษา โดยกาหนดกจิ กรรมการเรยี นท่เี หมาะสม มีการสร้าง หอ้ งสมุดของตนเอง หมายถงึ การรวบรวมรายชือ่ ข้อมลู แหลง่ ความรตู้ ่างๆ ทค่ี ิดวา่ จะเป็น ประโยชนต์ รงกับความสนใจเพ่อื ใช้ในการศกึ ษาค้นควา้ ตอ่ ไป การหาแหล่งความรู้ในชุมชน เช่น ผูร้ ู้ ผู้ชานาญในอาชพี ต่างๆ ห้องสมุด สมาคม สถานที่ราชการ ฯลฯ ซ่ึงแหล่งความรูเ้ หล่านจี้ ะเป็น แหลง่ สาคัญในการค้นควา้ การหาเพื่อนรว่ มเรียน เพือ่ แลกเปลยี่ นความรกู้ นั การเรียนรู้จากการฝกึ และปฏิบัติ ซึ่งจะกอ่ ใหเ้ กิดความรู้และประสบการณ์ทเี่ ปน็ ประโยชน์กเ็ ปน็ รปู แบบหนึง่ ของการ เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 2.5.4 ลักษณะของผทู้ มี่ กี ารเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ผู้ทม่ี กี ารเรยี นรู้ดว้ ยตนเองจะมีลักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี คอื มคี วามสมคั รใจทจ่ี ะเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Voluntarily to Learn) มิไดเ้ กดิ จากการบังคบั แตม่ เี จตนาทีจ่ ะเรียนดว้ ยความอยากรู้ ใช้ตนเองเป็น แหลง่ ขอ้ มลู ของตนเอง (Self Resourceful) นั่นคือผู้เรยี นสามารถบอกไดว้ ่าสิ่งท่ตี นจะเรยี นคืออะไร รู้ว่าทักษะและขอ้ มลู ทตี่ อ้ งการหรือจาเป็นตอ้ งใช้มอี ะไรบา้ ง สามารถกาหนดเปา้ หมาย วิธีการ รวบรวมขอ้ มูลทต่ี อ้ งการ และวิธกี ารประเมินผลการเรียนรู้ ผ้เู รยี นตอ้ งเปน็ ผ้จู ดั การการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ดว้ ยตนเอง ( Manage of Change) ผู้เรยี นมคี วามตระหนักในความสามารถ สามารถตดั สินใจ ได้ มีการรบั ผิดชอบต่อหนา้ ท่ีและบทบาทในการเป็นผ้เู รยี นร้ทู ่ีดี รู้ \"วธิ ีการท่ีจะเรยี น\" ( Know how to Learn) น่ันคือ ผเู้ รยี นควรทราบข้นั ตอนการเรียนรขู้ องตนเอง รู้วา่ จะไปสู่จดุ ท่ที าใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ได้อยา่ งไร มีบุคลกิ ภาพเชิงบวก มีแรงจงู ใจ และการเรียนแบบร่วมมอื กบั เพื่อนหรือบคุ คลอ่ืน ตลอดจนการใหข้ อ้ มูล (ปฐมนเิ ทศ) ในเชิงบวกเกย่ี วกับสิง่ แวดลอ้ มในการเรียน( Charismatic Organizational Player) มีระบบการเรยี นและการประยกุ ต์การเรียน และมกี ารชื่นชมและสนุกสนาน กบั กระบวนการเรียน (Responsible Consumption) มกี ารเรยี นจากขอ้ ผดิ พลาดและความสาเรจ็ การ ประเมนิ ตนเองและความเข้าใจถึงศกั ยภาพของตน (Feedback and Reflection) มีความพยายามใน การหาวิธกี ารใหม่ๆ ในการหาคาตอบ การประยุกตค์ วามรูท้ ่ไี ดจ้ ากการเรียนไปใช้กบั สถานการณ์ ของแต่ละบคุ คล การหาโอกาสในการพฒั นา และคน้ หาขอ้ มูลเพื่อแก้ปญั หา( Seeking and Applying) มีการชแ้ี นะ การอภิปรายในห้องเรียน การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว และการพยายาม แสดงความเห็นท่ีแตกตา่ งไปจากผูส้ อน ( Assertive Learning Behavior) และมีการรวบรวมขอ้ มลู จากการไดป้ ฎิสมั พันธก์ บั บุคคล และมวี ิธีการนาข้อมูลท่ไี ด้ไปใช้ (Information Gathering) ลักษณะ www.ssru.ac.th

22 ดงั กลา่ วข้างตน้ บง่ บอกถึงคณุ ลักษณะของผู้ทม่ี ีการเรยี นรูด้ ้วยตนเองและสอดคล้องกับกระบวนการ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองทง้ั สน้ิ 2.5.5 ศกั ยภาพของการรบั รู้ดว้ ยตนเอง ส่งิ ท่ีเป็นตัวกาหนดศักยภาพของการเรียนแบบ Self-Directed Learning คือ ความสามารถ และความตั้งใจของบุคคล น่นั คือ ผ้เู รยี นมที างเลือกเกย่ี วกบั ทิศทางท่ตี ้องการ แตส่ ง่ิ ที่ตอ้ งมีควบคู่ กันไปดว้ ย คือ ความรับผดิ ชอบ และการยอมรบั ตอ่ สิง่ ทจ่ี ะตามมา จากความคดิ และการกระทาของ ตนเอง ผูเ้ รยี นแบบ Self-Directed จะประสบความสาเร็จได้มกั จะมีลักษณะทม่ี ี Self-concept ทางบวก พรอ้ มท่ีจะเรยี นแบบ self-direction มีประสบการณ์ และมี รปู แบบการเรยี นเปน็ ของตนเอง โดยการเรยี นแบบน้จี ะเนน้ ท่ลี ักษณะของผเู้ รยี น (ปจั จัยภายใน) ที่จะช่วยสร้างให้ผู้เรียนยอมรบั ความ รับผิดชอบต่อความคดิ และกระทาของตน และจะใหค้ วามสาคญั กับปจั จยั ภายนอกที่ช่วยใหผ้ เู้ รยี น สามารถรบั ผดิ ชอบต่อการเรียนได้ ปจั จยั ท้ังภายในและภายนอกนส้ี ามารถเห็นได้จากความต่อเน่ือง ในการเรียนรแู้ ละสถานการณก์ ารเรียนท่ีเหมาะสม ขณะทีล่ ักษณะบุคลกิ ของบคุ คล การสอน กระบวนการเรยี นรู้เปน็ จดุ เริ่มต้นของการทาความเข้าใจ การเรยี นแบบ Self-directed บริบททาง สังคมจะเปน็ ตัวกาหนดกิจกรรมการเรยี น หรือผลท่จี ะได้ รบั เพือ่ จะเข้าใจกจิ กรรมการเรียนแบบ Self-directed อยา่ งแทจ้ รงิ ทั้งน้เี ราตอ้ งตระหนกั ถึงปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างผู้เรยี น ผูส้ อน แหลง่ ทรพั ยากร และมติ ทิ างสังคมด้วยการทางานวจิ ัยเพ่อื ศกึ ษาหารปู แบบของการเรียนรู้ดว้ ยตนเองให้ ละเอียดยง่ิ ขนึ้ หาวิธใี นการนาและหาวิธีการวัดคณุ ภาพของการเรยี นดว้ ยวธิ นี ใี้ ห้ชัดเจนขนึ้ และ ศึกษาว่าควรกาหนดบทบาทของผู้สอนและหน่วยงานทรี่ บั ผิดชอบอยา่ งไรบ้าง กลา่ วโดย สรปุ ไดว้ า่ การเรียนร้ดู ว้ ยตนเองเป็นสงิ่ ท่สี าคัญอย่างมากเพราะจะทาให้กลายเป็น คนท่ขี ยันแสวงหาความรใู้ ส่ตัวเอง และความร้ทู ีไ่ ดม้ าอาจจะนามาใช้ประโยชนไ์ ดเ้ มอ่ื มีความจาเปน็ เพราะการเรียนร้ดู ้วยตนเองเปน็ สิ่งที่ไม่ยากถา้ มีความขยันหมน่ั เพยี ร การเรียนรู้ด้วยตนเองมวี ธิ ีการที่ หลากหลายซ่ึงข้นึ อยูก่ บั ความสามารถและความสนใจของแต่ละบุคลล 2.6 แนวคดิ เกยี่ วกับการสือ่ สาร 2.6.1 ความหมายของการสอ่ื สาร การส่อื สารมคี วามหมายเชน่ เดียวกับคาวา่ การส่ือความหมาย ในภาษาองั กฤษใชค้ าวา่ Communication ซ่งึ รากศพั ท์มาจากภาษาลาตินว่า Communis หมายถึง การร่วม (Common) เมื่อมี www.ssru.ac.th

23 การสอ่ื สารหรือการสือ่ ความหมาย จงึ หมายความถึง การกระทาร่วมกนั ในบางส่ิงบางอยา่ ง นนั่ คือ การถ่ายทอดหรือการแลกเปลยี่ นข่าวสาร ความรู้ ความคดิ ของคนเรานนั่ เอง (Webster Dictionary 1978: 98) การใหค้ วามหมายของการสอื่ สารตามรปู คาข้างตน้ ยังไมใ่ ช่ความหมายทส่ี มบรู ณ์เพราะ การสือ่ สารท่ีแท้จริงมคี วามหมายกวา้ ง ครอบคลมุ เกย่ี วขอ้ งกับชวี ิตและสังคมมนษุ ย์ในทกุ ๆ เรอ่ื ง นักวชิ าการด้านการส่ือสารได้ใหค้ วามหมายไว้ตา่ งกันตามแงม่ ุมทแ่ี ตล่ ะคนพิจารณาให้ความสาคัญ (ปรมะ สตะเวทนิ , 2529: 5-7) วลิ เบอร์ ชแรมม์ (Wilber Schramm) ใหค้ วามหมายวา่ การสือ่ สาร คือ การมีความเขา้ ใจ รว่ มกัน ตอ่ เครื่องหมายท่ีแสดงข่าวสาร โดยที่ ยอรจ์ เอ มิลเลอร์ (Goorge A. miller) กล่าววา่ การ สือ่ สารเปน็ การถา่ ยทอดข่าวสารจากทห่ี นง่ึ ไปยงั อีกทห่ี นงึ่ ส่วนชาร์ล อี ออสกดุ (Charl E. Osgood) ให้ความหมายวา่ การสื่อสารเกิดข้ึนเมอื่ ฝ่ายหนึ่ง คือ ผสู้ ง่ สารมอี ทิ ธพิ ลต่ออกี ฝ่ายหนง่ึ คือ ผูร้ บั สาร โดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ซงึ่ ถกู ส่งผา่ นส่อื ทีเ่ ช่ือมตอ่ สองฝา่ ย ในขณะท่ี วอรเ์ รน ดบั เบลิ ยู วเี วอร์ (Worren W. Weaver) สนบั สนนุ ว่า การสอื่ สารมคี วามหมายกว้าง ครอบคลุมถงึ กระบวนการทุก อยา่ งที่จติ ใจของคนๆ หนงึ่ อาจมผี ลตอ่ จติ ใจของอกี คนหนงึ่ ไม่ใชเ่ พียงการพดู และการเขยี นเท่านนั้ แต่รวมถึงดนตรี ภาพ การแสดง และพฤตกิ รรมอื่นๆ ของมนษุ ย์ หรือ เจอรเ์ กน รอย และ เกกอรี เบทสนั (Jurgen Ruesch and Gregory Bateson) กลบั กล่าววา่ การสือ่ สารว่า ไม่ใช่การถา่ ยทอด ขา่ วสารดว้ ยภาษาพูดและเขียนโดยมีเจตนาชัดเจนเทา่ นน้ั แต่หมายถึงพฤติกรรมทกุ อย่างท่ีบุคคล หนึ่งกระทา แล้วสง่ ผลให้บคุ คลอื่นเกดิ ความเขา้ ใจ นัน่ หมายความวา่ ไมใ่ ช่แต่เพียงสญั ลกั ษณต์ าม ความหมายของ ชาร์ล อี ออสกุด จากข้อสรุปดงั กล่าวข้างตน้ อาจสรุปได้วา่ การสือ่ สารครอบคลุมสญั ลกั ษณ์ถงึ ภาษาพูดและ ภาษาเขยี น พฤตกิ รรม การแสดงออกทกุ อยา่ ง ทผี่ ู้อนื่ เข้าใจไดว้ ่า ไมว่ า่ การแสดงจะมีเจตนาใหผ้ อู้ ่ืน เข้าใจหรอื ไม่กต็ าม แต่เป็นการถา่ ยทอดความรู้ ความคิด หรอื ประสบการณ์ของตน ไปยังบุคคลอื่น และการรับความรคู้ วามคิดจากบคุ คลอืน่ มาปรับพฤติกรรมของตนเอง โดยกระบวนการของการ สอื่ สาร ซึง่ การถา่ ยทอด และการรบั ความรู้ ความคดิ มีอยู่ 3 ลกั ษณะ คือ การใชร้ หัสสัญญาณโดยตรง เชน่ การใชส้ ัญญาณเสยี ง ภาษาพดู สญั ลกั ษณ์ ภาษาเขียน ภาษาทา่ ทาง ตลอดจนรหัสสัญญาณอ่นื ๆ ที่กระทาโดยตรง ระหว่างผถู้ ่ายทอดกบั ผรู้ ับ การใช้เครอื่ งมือในการถ่ายทอด เปน็ การส่อื สารโดย ผ่านทางเครอื่ งมอื เชน่ การใชโ้ สตทศั นูปกรณ์ วทิ ยุกระจายเสียง คอมพิวเตอร์ หรอื เครือ่ งมือสือ่ สาร อื่นๆ และการถ่ายทอดโดยกระบวนการทางสงั คม เช่น การปฏบิ ัติสบื ทอดทางประเพณี ศาสนา วัฒนธรรม และระบบอื่นๆ ของสังคม www.ssru.ac.th

24 2.6.2 ความสาคญั ของการส่ือสาร การสื่อสารเป็นกระบวนการเกิดขนึ้ เป็นปกติวสิ ัยของ มนุษย์ และมคี วามเก่ยี วขอ้ งไปถงึ บุคคลอน่ื ตลอดจนถงึ สงั คมทแี่ ต่ละคนเก่ยี วขอ้ งอยู่ ไมว่ า่ จะทาสิ่งใด ลว้ นตอ้ งอาศยั การส่ือสารเป็น เคร่ืองมือช่วยใหบ้ รรลุจุดประสงค์ท้ังส้นิ จะเห็นไดจ้ ากการท่ี มีการพยายามคิดคน้ และพฒั นาวธิ กี าร สื่อสารมาตงั้ แตส่ มยั โบราณ ท้งั ภาษาพดู ภาษาเขยี น ตลอดจนเครอ่ื งมือหรือเทคนิควิธกี ารต่างๆ ล้วนเกดิ จากความพยายามอย่างสงู ของคน ต่อเนือ่ งมาหลายชั่วอายุ หากการสื่อสารไม่มีความสาคัญ และจาเป็นอย่างยง่ิ แลว้ เคร่ืองมอื และวิธกี ารสาหรบั การส่ือสารตา่ งๆ เหล่านก้ี ็คงไมเ่ กิดขึ้นและ พฒั นามาใหเ้ ห็นดงั เชน่ ในปจั จุบนั ดงั นัน้ การส่อื สารจงึ มีความสาคญั สาหรับบุคคลและสังคมหลายดา้ น คอื ดา้ น ชวี ติ ประจาวนั ด้านสงั คม ดา้ นธุรกจิ อุตสาหกรรม ดา้ นการเมอื งการปกครอง และดา้ นการเมอื ง ระหวา่ งประเทศ ดา้ นชีวติ ประจาวนั พบวา่ วนั หนึง่ ๆ แตล่ ะคนตอ้ งสือ่ สารกบั ตัวเองและสอ่ื สารกบั ผู้อนื่ ตลอดเวลา นบั ตั้งแตเ่ วลาตนื่ นอนต้องสื่อสารกับตัวเองและคนอืน่ ที่อยูใ่ กล้ตัว การฟังวิทยุ อา่ น หนังสือ ออกจากบา้ นไปปฏบิ ตั ิ ภารกจิ ประจาวนั ตอ้ งพบปะบุคคลและเหตุการณต์ ่างๆ ลว้ นแตเ่ ปน็ เร่ืองทต่ี อ้ งทาการส่ือสารอยู่ตลอดเวลา หากไม่ใชอ่ ยู่ในฐานะผสู้ ่งสารก็ อยู่ในฐานะผรู้ บั สาร หาก คนเราขาดความรูห้ รอื ทักษะการสือ่ สารอาจทาใหก้ ารปฏบิ ัติภารกิจประจาวนั อาจบกพรอ่ งได้ ด้านสงั คม การรวมกลุม่ ในสังคมทัง้ ในระดบั ครอบครัว ชุมชน จนถงึ ระดบั ประเทศต้องมี การส่ือสาร ท่ีทาให้เกิดความเขา้ ใจรว่ มกนั ในเรื่องตา่ งๆ มีกระบวนการ ท่ีทาใหค้ นยอมอยใู่ น กฎเกณฑ์กติกาของสงั คม มีการถ่ายทอดความรแู้ ละทานุบารงุ ศิลปวฒั นธรรม ดา้ นธรุ กิจอตุ สาหกรรม ท่ีเก่ยี วกับการโฆษณาสินคา้ การประชาสัมพนั ธท์ ง้ั ภายในและ ภายนอกองค์กร การบริหาร การ ติดตอ่ ประสานงาน การฝึกอบรมพนักงาน การใช้เครอ่ื งมอื เทคโนโลยีการสอ่ื สาร ฯลฯ และกิจการดา้ นธุรกจิ อุตสาหกรรมตอ้ งมีการส่อื สารทด่ี ีจงึ จะประสบ ผลสาเรจ็ ได้ ด้านการเมืองการปกครอง จะเหน็ ว่ากิจกรรมดา้ นการเมืองการปกครองตอ้ งใช้การสอ่ื สาร ทุกขัน้ ตอน เช่น การประชาสมั พันธผ์ ลงานของรัฐบาล การสรา้ งความเขา้ ใจกบั ประชาชนในเรอ่ื ง ตา่ งๆ การบงั คับบัญชาสัง่ การ การใหบ้ ริการประชาชน การชกั ชวนให้ปฏิบัติตามระเบยี บ กฎหมาย ซ่งึ ล้วนต้องใช้เทคนิควิธีการของการสื่อสารทั้งสิ้น www.ssru.ac.th

25 ด้ านการเมืองระหว่างประเทศตอ้ งมีการตดิ ตอ่ สรา้ งความสัมพันธ์ในดา้ นต่างๆ เช่น การค้า การทหาร การทาสนธสิ ัญญา ฯลฯ การมีนกั การ ทตู ประจาในประเทศตา่ งๆ ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง ประเทศในเร่อื งตา่ งๆ เหลา่ นี้ มคี วามจาเป็นต้องใช้การตดิ ต่อสอื่ สารระหวา่ งกนั อยู่เสมอ หาก ผเู้ กย่ี วข้องมีความรูแ้ ละทักษะในการส่อื สารเพียงพอยอ่ มสามารถสรา้ งความสัมพนั ธ์ท่ดี ีตอ่ กนั ได้ สรุปได้ว่า ในสภาพสงั คมที่ มกี าร เกี่ยวขอ้ งกั บการติดต่อส่ือสาร การส่อื สารก็ย่ิงมี ความสาคัญต่อบุคคลและสังคมมากข้นึ หากคนในสงั คมขาด ทักษะในการสื่อสาร ไม่สามารถ ถ่ายทอดความรคู้ วามคดิ หรือทาใหเ้ กิดความเข้าใจระหวา่ งกันได้ ยอ่ มจะทาให้เกิดปญั หาต่างๆ มากมาย ปญั หา ที่เกิดขนึ้ กบั บุคคลและสังคมทุกวันน้ี มีอย่ไู ม่นอ้ ยท่เี ป็นสาเหตุมาจากความลม้ เหลว ของการสื่อสาร 2.6.3 การสือ่ สารกับการศกึ ษา การเรยี นการสอนเปน็ การสือ่ สารอีกรปู แบบหนง่ึ ที่มีท้ังผสู้ ง่ สาร อนั ไดแ้ ก่ ครผู ู้สอน มสี าร คือ ความรหู้ รอื ประสบการณท์ ่จี ัดขึ้น ผู้รับสาร คือ ผเู้ รยี น มกี ระบวนการเรียนการสอนประกอบด้วย เครือ่ งมือ ส่อื การเรียนการสอนต่างๆ ภายใตส้ ถานการณ์ท่จี ัดข้ึนในหอ้ งเรยี น หรอื สถานการณ์ทจ่ี ัด ขน้ึ ในสถานทอ่ี น่ื และมจี ุดหมายของหลักสูตรเป็นเคร่ืองนาทาง จุดมงุ่ หมายของการส่อื สารในการเรยี นการสอน คอื การพยายามสรา้ งความเขา้ ใจ ทักษะ ความรู้ ความคดิ ตา่ งๆ รว่ มกัน ระหว่างผเู้ รียนกบั ผู้สอน ความสาเร็จของการเรียนการสอน พิจารณา ไดจ้ ากพฤตกิ รรมของผเู้ รยี นทีเ่ ปลย่ี นแปลงไปตามจุดมงุ่ หมายทต่ี ้งั ไว้แต่ต้น ตามลักษณะการเรียนรู้ นน้ั ๆ ปัญหาสาคัญของการสื่อสารในการเรยี นการสอน คือ ทาอยา่ งไรจงึ จะสามารถสรา้ งความ เขา้ ใจระหว่างครกู บั นักเรียนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ครูผสู้ อนจะต้องมคี วามรคู้ วามสามารถ มที กั ษะในการ ส่ือสาร และท่ีสาคัญอีกอย่างหน่งึ สาหรับครู คือ การใช้ส่ือการเรียนการสอนตา่ งๆ อยา่ งเหมาะสม นอกเหนือการใชค้ าพูดของครูแตเ่ พียงอยา่ งเดียว ทง้ั นเี้ พราะส่อื หรือโสตทัศนปู กรณ์ มคี ุณลักษณะ พเิ ศษบางประการท่ีไม่มีในตัวบุคคล คอื จับยดึ ประสบการณ์ เหตุการณ์ กิจกรรมต่างๆ ทเี่ กดิ ข้ึน สามารถใช้สือ่ ต่างๆ บนั ทกึ ไว้เพือ่ นามาศกึ ษาไดอ้ ย่างกว้างขวาง เช่น การบันทกึ ภาพ บนั ทกึ เสียง การพิมพ์ ฯลฯ หรอื ดดั แปลงปรงุ แตง่ เพอื่ ทาสิ่งทเ่ี ขา้ ใจยาก ใหอ้ ยูใ่ นลักษณะที่ศกึ ษาเข้าใจได้ง่าย ขน้ึ เช่น การย่อส่วน ขยายสว่ น ทาใหช้ ้าลง ทาใหเ้ รว็ ขึน้ จากไกลทาใหด้ ใู กล้ จากสง่ิ ทม่ี คี วาม ซับซอ้ นสามารถแสดงใหเ้ หน็ ได้อย่างชัดเจนข้นึ หรอื ขยายจา่ ยแจก ทาสาเนา หรือเผยแพรไ่ ด้ จานวนมาก เช่น รายการวทิ ยุ โทรทศั น์ หนังสอื พิมพ์ ภาพถา่ ย จึงชว่ ยใหค้ วามร้ตู า่ งๆ เข้าถงึ ผูร้ ับได้ เป็นจานวนมากพรอ้ มกนั www.ssru.ac.th

26 2.6.4 พัฒนาการของการส่ือสาร การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของโลก นบั ตัง้ แตม่ นษุ ยไ์ ดม้ กี ารรวมกลมุ่ กนั เปน็ สงั คมขนาด ใหญ่น้ัน อาจแบง่ ออกเปน็ 3 ยคุ ทสี่ าคัญตามลาดบั คือ เรมิ่ แรกเป็นยคุ ของเกษตรกรรม ต่อมา เปล่ียนแปลงเป็นยคุ อตุ สาหกรรม และถงึ ปจั จุบันไดช้ ่อื ว่าเป็นยคุ ของการส่อื สาร เหตุทีย่ ุคปจั จบุ ันได้รับการเรียกขานว่าเปน็ ยุคของการส่ือสาร เพราะเป็นยคุ ที่เทคโนโลยี ด้านการส่ือสารขอ้ มูลต่างๆ มคี วามเจรญิ กา้ วหน้าอยา่ งมาก และอตั ราความเจริญเป็นไป อย่างรวดเรว็ หลายอย่าง แทบไมน่ ่าเชอื่ วา่ มนุษย์จะสามารถคดิ ค้นขึน้ มาได้ในศตวรรษนี้ ความเจรญิ กา้ วหน้าของการสอ่ื สารดังกลา่ ว ก่อนทจ่ี ะมาถงึ จดุ นี้ย่อมมพี ฒั นาการมายาวนาน พรอ้ ม กับการเกิดขน้ึ ของสังคมมนุษยต์ งั้ แต่ยุคโบราณ 2.6.5 การส่อื สารในยคุ ปจั จบุ นั ปัจจบุ นั ได้ชอ่ื วา่ เปน็ ยคุ ของการสื่อสารอยา่ งแทจ้ ริง การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ สังคม และการเมอื ง ตลอดจนความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีทกุ ๆ ดา้ น ทาใหก้ ารสอื่ สารกลายเปน็ ปัจจยั ท่มี ี ความสาคญั อยา่ งมาก สภาพของสังคมปจั จบุ ัน ทง้ั ในระดับชมุ ชน ระดับประเทศ หรอื ระดับโลก เกดิ การขยายตัวทางดา้ นเศรษฐกิจ การแกง่ แย่งทางการค้า จากอดตี ทเ่ี คยทาสงครามรบพงุ่ ฆา่ ฟันกนั ด้วยอาวุธ เพ่ือครอบครองดนิ แดน และหาแหลง่ ทรัพยากร กลายมาเปน็ การทาสงครามทางการคา้ และสงครามทางวัฒนธรรม สภาพของสังคมเชน่ นี้ ผ้ทู ีท่ ราบหรือครอบครองขา่ วสารข้อมูลมากกวา่ ยอ่ มเป็นผูไ้ ดเ้ ปรยี บ ขา่ วสารขอ้ มลู ตา่ งๆ ยอ่ มได้มาโดยวิธกี ารของการส่ือสาร ซง่ึ นับว่าปจั จบุ นั มี ความกา้ วหนา้ อย่างยิ่ง ท้ังในด้านเทคนิควธิ กี ารและเคร่อื งมอื สอ่ื สารอนั ทันสมยั เชน่ การใช้ คอมพิวเตอร์ประสทิ ธิภาพสงู และใชง้ านไดอ้ ย่างหลากหลาย การสอื่ สารทางไกล ไม่ว่าจะเปน็ วิทยุ โทรทศั น์ ไม่เพียงเฉพาะการส่ือสารระหว่างอาเภอ จังหวดั หรอื ระหวา่ งประเทศ ขา้ มทวีปเทา่ นั้น ปจั จุบันเราสามารถสือ่ สารได้ถึงระดับดวงดาว ท้งั ภาพและเสียง 2.6.6 ประเภทของการสอื่ สาร นักวิชาการด้านการส่อื สารมวลชนไดจ้ าแนกประเภทของการสื่อสารไวแ้ ตกต่างกนั หลาย ลกั ษณะ ทง้ั น้ขี น้ึ อยูก่ บั ว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑใ์ นการจาแนก (ปรมะ สตะเวทนิ , 2526: 18-48) ในท่นี ้ีจะแสดงการจาแนกประเภทของการสื่อสารโดยอาศัยเกณฑ์ในการจาแนกท่สี าคัญ 3 ประการ คอื จาแนกตามกระบวนการ หรือการไหลของขา่ วสาร จาแนกตามภาษาสญั ลกั ษณท์ ี่ แสดงออก และจาแนกตามจานวนผูส้ ือ่ สาร www.ssru.ac.th

27 2.6.6.1 การ จาแนกตามกระบวนการ หรือการไหลของขา่ วสาร แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ การสื่อสารทางเดยี ว (One-Way Communication) และ การสอื่ สารสองทาง (Two-way Communication) 1) การสื่อสารทางเดยี ว (One-Way Communication) การสื่อสารทางเดียว คือ การสือ่ สารทขี่ า่ วสารจะถูกส่งจาก ผู้ส่งสารไปยงั ผ้รู ับ สาร ในทศิ ทางเดยี วโดยไม่มกี ารตอบโต้กลบั จากผรู้ ับ สาร เชน่ การสื่อสารผา่ นส่ือ วิทยุ โทรทศั น์ หนงั สอื พมิ พ์ การออกคาสง่ั หรือมอบหมายงานโดยผู้รับ สารไมม่ ีโอกาสแสดงความ คิดเหน็ ซ่ึง ผู้รบั สารอาจไม่เข้าใจขา่ วสาร หรอื เขา้ ใจไม่ถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่ง สาร และเมอื่ ผสู้ ง่ สารไมท่ ราบปฏิกริ ิยาของผู้รบั สารจึงไม่อาจปรับการสือ่ สารให้เหมาะสมได้ การส่อื สารแบบนี้ สามารถทาไดร้ วดเร็วจงึ เหมาะสาหรบั การสอื่ สารในเร่ืองทเี่ ขา้ ใจง่าย ในสถานการณข์ องการสอื่ สารบางอยา่ งมคี วามจาเปน็ ตอ้ งใช้การสอื่ สาร ทางเดียว แม้วา่ เรือ่ งราวท่สี อื่ สารจะมคี วามซับซ้อนกต็ าม เชน่ กรณีผรู้ ับ สารและผูส้ ง่ สารไมอ่ าจ พบปะ หรอื ตดิ ต่อสื่อสารกันได้โดยตรง การส่อื สารแบบกลมุ่ ใหญ่ และการสอ่ื สารมวลชนซึ่ง ไมอ่ าจทราบผรู้ บั สารทแี่ น่นอน 2) การสอ่ื สารสองทาง (Two-way Communication) การสื่อสารสองทาง คือ การส่อื สารทมี่ กี ารสง่ ขา่ วสารตอบกลบั ไปมา ระหวา่ ง ผสู้ อื่ สาร ดงั น้นั ผู้สือ่ สารแต่ละฝา่ ยจงึ เปน็ ทง้ั ผสู้ ง่ สารและผู้รับ สารในขณะเดยี วกัน ผู้ส่ือสารมีโอกาสทราบปฏกิ ิริยาตอบสนองระหวา่ งกนั ทาให้ทราบผลของการส่อื สารวา่ บรรลุ จดุ ประสงคห์ รอื ไม่ และชว่ ยให้สามารถปรบั พฤตกิ รรมในการสอ่ื สารใหเ้ หมาะสมกับสถานการณ์ ตวั อยา่ งการส่อื สารแบบสองทาง เชน่ การพบปะพูดคยุ กัน การพดู โทรศัพท์ การออกคาส่ังหรอื มอบหมายงานโดย ฝ่ายรบั สารมโี อกาสแสดงความคดิ เหน็ การส่อื สารแบบนจ้ี ึงมโี อกาสประสบ ผลสาเรจ็ ไดม้ ากกว่า แตห่ ากเรอ่ื งราวที่จะส่ือสารเปน็ เรอื่ งงา่ ย อาจทาให้เสยี เวลาโดยไม่จาเป็น ในสถานการณ์ของการส่อื สารบางอย่าง เช่น ในการสอื่ สารมวลชน ซึ่งโดย ปกตมิ ีลกั ษณะเป็นการสอ่ื สารทางเดียว แต่นักส่อื สารมวลชนก็มคี วามพยายามท่จี ะทาใหม้ ี การสอ่ื สาร แบบ 2 ทาง เกิดขน้ึ ด้วยการใหป้ ระชาชนส่งจดหมาย โทรศพั ท์ ตอบแบบสอบถาม กลับไปยังองคก์ รสอ่ื มวลชน เพือ่ นาผลไปปรบั ปรุงการสอื่ สารใหบ้ รรลุผลสมบรู ณ์ยิ่งข้นึ 2.6.6.2 การจาแนกการส่อื สาร ตามภาษาสญั ลกั ษณ์ทแี่ สดงออก แบง่ เป็น 2 แบบ คือ การสื่อสารเชงิ วจั นะ (Verbal Communication) และก ารส่อื สารเชงิ อวัจนะ (Non-Verbal Communication) www.ssru.ac.th

28 1) การสื่อสารเชงิ วัจนะ (Verbal Communication) หมายถึง การสอื่ สารด้วย การใชภ้ าษาพดู หรือเขียนเป็นคาพูดในการสือ่ สาร 2) การส่อื สารเชงิ อวจั นะ (Non-Verbal Communication) หมายถงึ การ สอื่ สารโดยใช้รหสั สญั ญาณอย่างอ่นื เช่น ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอด จนถึงน้าเสียง ระดับเสยี ง ความเรว็ ในการพูด เปน็ ต้น (ปรมะ สตะเวทิน, 2529: 31) 2.6.6.3 การจาแนกตามจานวนผสู้ ือ่ สาร กิจกรรมตา่ งๆ ของบุคคลและสังคมถอื ว่าเป็นผลมาจากการสอ่ื สารท้งั สนิ้ ดงั นั้น การสือ่ สารจงึ มีขอบข่ายครอบคลมุ ลักษณะการสอื่ สารของมนษุ ย์ 3 ลกั ษณะ คือ การสือ่ สารส่วน บคุ คล (Intrapersonal Communication) การส่อื สารระหวา่ งบุคคล (Interpersonal Communication) และการสอื่ สารมวลชน (Mass Communication) (อรณุ ปี ระภา หอมเศรษฐ,ี 2530: 49-90) 2.6.7 การสอ่ื สารสว่ นบคุ คล การสอื่ สารสว่ นบคุ คล หมายถงึ การคิด การตดั สินใจของบุคคลใด บคุ คลหนง่ึ ท่ีจะแสดง พฤติกรรมอยา่ งใดอย่างหนึ่งออกมา เป็นกระบวนการทเ่ี กดิ ข้ึนอยเู่ ป็นประจาในตัวบคุ คล ไมว่ า่ จะ โดยตั้งใจหรือไมก่ ต็ าม การส่ือสารส่วนบุคคลเปน็ พน้ื ฐานของการติดต่อกับผ้อู ื่น ทงั้ นเี้ พราะการท่ี เราจะติดต่อส่ือสารกบั บคุ คลอ่ืนน้นั ในขน้ั แรกตอ้ งมกี ารเรยี นรู้ หรือตดั สินใจในตนเองเสียกอ่ น และเม่ือใดก็ตามท่ีมกี ารตดิ ต่อสือ่ สารกบั คนอื่น คนเราต้องสือ่ สารกบั ตวั เองไปดว้ ยในขณะเดยี วกนั การส่อื สารส่วนบคุ คลเกิดข้นึ ทนั ทที บ่ี คุ คลมีการคิด ผลของการคดิ นาไปสู่การตดั สินใจแสดง พฤติกรรมของคน การส่อื สารสว่ นบคุ คลจึงมคี วามสาคัญตอ่ การศกึ ษาในเรอ่ื งของการสือ่ สาร ทง้ั น้ี เพราะเกี่ยวพนั ไปถึงความรสู้ กึ นกึ คดิ คา่ นยิ ม ซงึ่ ยอ่ มมีผลสะท้อนตอ่ บุคคลอืน่ และสังคมด้วย ลกั ษณะของการสือ่ สารสว่ นบคุ คลอาจเป็นไปแบบของการปกปิด เชน่ การคดิ การพดู การเขียนท่ไี มม่ เี จตนาให้ผอู้ ่ืนทราบ หรือเปน็ แบบเปิดเผย แต่ไม่มีจดุ ประสงค์ที่เกย่ี วข้องกบั ผู้อน่ื มบี คุ คลเพียงคนเดยี วเทา่ นน้ั ที่อยู่ในกระบวนการของการสื่อสาร จึงไมอ่ าจวัดหรอื ทราบความ ต้องการข่าวสารจากภายนอกได้ การรับสารในการส่ือสารส่วนบุคคลมีช่องทางการรับได้ 2 รปู แบบ คือ การรบั สาร เฉพาะตัว เชน่ ความคิดคานึง ความกลวั ที่เกิดขนึ้ ภายในตัวเอง ซ่ึงแตกตา่ งกันไปตามประสบการณ์ และสภาพจติ ใจของแตล่ ะบุคคล และการรบั สารจากภายนอก เป็นการรับรู้สิง่ ทีอ่ ยู่รอบตวั บุคคล ทั่วไปมปี ระสบการณเ์ หมอื นกัน เชน่ ความหอมของดอกไม้ ความเจ็บปวด ฯลฯ แต่ปฏกิ ริ ิยา ตอบสนองอาจไม่เหมือนกัน www.ssru.ac.th

29 2.6.8 การส่อื สารระหวา่ งบคุ คล การสื่อสารระหวา่ งบคุ คลเป็นการส่อื ความหมายของบคุ คลต้ังแต่ 2 คนข้ึนไป เช่น การพูดคยุ อภปิ ราย โตว้ าที การประชมุ สมั มนา การเรียนการสอน การสัง่ งาน ตลอดจการ ตดิ ตอ่ สอ่ื สารอืน่ ๆ ในชวี ิตประจาวนั การสอ่ื สารลักษณะน้ถี ือวา่ เป็นการส่ือสารทส่ี มบรู ณ์ และมี โอกาสบรรลุจุดประสงค์ได้ดที ีส่ ุด ผ้สู ่ือสารสามารถแสดงปฏิกริ ิยาตอบสนองต่อกัน ความหมาย ของการส่อื สารโดยท่วั ไปหมายถงึ การสอื่ สารประเภทนี้ 2.6.9 หลักเบอ้ื งตน้ ในการสื่อสารกับผอู้ ่นื กับทักษะการสอ่ื สารภายในบคุ คล ทักษะการสื่อสารภายในบุคคล คือ เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสิ่งที่คนคิด รู้สึก ตอ้ งการหรือ อยากไดใ้ ห้ผู้อืน่ รบั ทราบ 2.7 งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง ปัญหาการใชภ้ าษากับนกั ท่องเทย่ี วชาวตา่ งประเทศท่ีพ่อค้าแมค่ ้า และผ้ใู ห้บริการไม่ชานาญ พอ บางคนพดู ไม่ไดเ้ ลย ตอ้ งอาศยั ลา่ ม หรือภาษาปากและ ภาษามอื ทาใหพ้ ลาดโอกาสไปอยา่ ง นา่ เสียดาย ต้องเสียลกู คา้ ดว้ ยความจาเป็นและจาใจ ดงั น้นั เพื่อพลิกวิกฤตใหเ้ ปน็ โอกาส เทศบาล ตาบลอัมพวาจึงร่วมกับมหาวิทยาลยั ราชภัฎบ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา จดั ทาโครงการอบรมเชิง ปฏิบตั ิการเพอ่ื ถ่ายทอดเทคโนโลยจี ากงานวิจยั เรือ่ ง การอบรมภาษาองั กฤษเพือ่ การท่องเทีย่ ว โดย การจัดอบรมหรอื สอนภาษาองั กฤษเบอ้ื งตน้ ให้กบั บรรดาพอ่ ค้าแมค่ ้าและผใู้ ห้บริการแขนงตา่ งๆ ใน ตลาดนา้ ยามเยน็ อัมพวา พ่อคา้ แมค่ า้ ในตลาดนา้ อัมพวา เห็นวา่ การอบรมภาษาเปน็ ประโยชนต์ ่อ ผู้ประกอบการการทอ่ งเท่ียวในตลาดน้ายามเย็นเปน็ อย่างมาก เพราะบรรดาพ่อค้าแม่คา้ สว่ นใหญ่ไม่ สันทัดภาษาองั กฤษ เวลามีนักท่องเที่ยวมาทกั ทายและซอื้ ขายสินคา้ เปน็ ปญั หามาก ซึ่งบางครั้งทาให้ เสียโอกาส (สราวฒุ ิ ศรธี นานันท์, 2549) พัชโรดม อุนสวุ รรณ (2549) กล่าววา่ ปจั จุบนั ภาษาอังกฤษ และภาษาจนี กลาง รวมท้ัง ภาษาญี่ป่นุ และภาษาฝรัง่ เศสมีความจาเปน็ ตอ่ การท่องเท่ียวเปน็ อย่างมาก เพราะนักท่องเทยี่ วสว่ น ใหญเ่ ป็นชาวต่างประเทศทีม่ าเท่ยี วตลาดน้ายามเย็นอมั พวา และมีเพ่ิมมากข้นึ ทกุ วนั บางวัน ท่ีไม่ใช่ วนั ศกุ ร์ วันเสาร์ วนั อาทิตย์ และวันหยดุ พิเศษกม็ ีนกั ทอ่ งเท่ียวทง้ั ชาวไทยและต่างประเทศเขา้ มา เทย่ี วพกั ผอ่ นหย่อนใจ การให้บริการกับนักทอ่ งเทีย่ วถอื วา่ เป็นหวั ใจสาคญั ของการสง่ เสริมการ ทอ่ งเทีย่ ว ผ้ทู าธุรกจิ สง่ เสริมการทอ่ งเทย่ี วในตลาดนา้ ยามเย็นอมั พวา กล่าวสนบั สนุนวา่ ตนเองมวี ิชาความรดู้ า้ นภาษาต่างประเทศไม่มากนัก หากเทศบาลตาบลอมั พวา และมหาวทิ ยาลยั www.ssru.ac.th

30 ราชภัฎ บ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา จดั ทาโครงการสอนและอบรมเรยี นรูภ้ าษาตา่ งประเทศอย่าง ต่อเนอ่ื งจะเป็นการดีมาก ตนเอง อยากได้ความรู้เพิม่ เติม เพราะทุกวนั น้มี ีความจาเป็นตอ้ งใช้ ภาษาองั กฤษ ปจั จุบันธรุ กิจการทอ่ งเทย่ี วทั้งทางนา้ ทางบกใน จงั หวัดสมุทรสงคราม ถือไดว้ า่ กาลงั เปน็ ที่ นยิ ม นกั ท่องเท่ียวต่างพากนั มาเท่ยี ว จังหวัด สมทุ รสงครามเปน็ จานวนมาก โครงการฟ้นื ฟู การทอ่ งเทีย่ วทางน้าท่เี รียกกนั ว่า ตลาดนา้ กาลังถูกปลกุ ข้ึนมาขายอีกครง้ั หน่ึง เร่มิ ต้นจากตลาดน้า ยามเย็นอัมพวา ตลาดน้าท่าคา ตลาดนา้ บางน้อย ตลาดนา้ บางนกแขวก ตลาดนา้ วดั ดอนมโนรา และตลาดน้าวัดอนิ ทาราม หากหนว่ ยงานท่ีเกีย่ วขอ้ งของ จังหวัดสมุทรสงครามคอยดแู ลและอานวย ความสะดวกใหก้ ับนักทอ่ งเท่ยี วในทกุ ๆ ดา้ น แม้แตด่ ้านการใช้ภาษาก็จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การ ประกอบธรุ กิจดา้ นการทอ่ งเทีย่ วเปน็ อย่างยิ่ง ชลดา และคณะ (2541) สรปุ ว่า ภาษาองั กฤษเป็นภาษาตา่ งประเทศท่ีได้รบั การ จดั ลาดับจาก ผู้ว่าจา้ งว่าเป็นภาษาทส่ี าคัญท่ีสดุ ในการทางาน ตามด้วยภาษาจีน และภาษามลายู ภาษาดงั กลา่ ว พบมากในการทางาน 4 ประเภท คือ 1) งานบรกิ าร 2) งานประชาสมั พนั ธ์ 3) งานการตลาด/การขาย 4) มัคคเุ ทศก์ ผ้วู า่ จ้างและพนกั งานเหน็ วา่ ทักษะการพดู และการฟังยังต้องพฒั นาใหม้ ากข้ึน การเพิ่มพนู ความสามารถทางด้านภาษาของคนเกิดจากการพัฒนาจากการทางานมากทีส่ ดุ ผวู้ า่ จ้างสง่ เสริมด้วย การจดั หาสอ่ื ส่ิงพิมพ์ คอมพวิ เตอร์ การเรียนเสริม และการฝึกอบรม สาหรบั คาศัพทเ์ ฉพาะที่ตอ้ งการ 3 ด้านคือ 1) คอมพิวเตอร/์ เทคโนโลยีการสอ่ื สาร 2) การทอ่ งเท่ยี ว/การโรงแรม 3) ธุรกิจ บัญชี และการเงิน แตม่ อี ปุ สรรคทพ่ี บคือ การไม่มเี วลา การขาดการสนบั สนนุ จากหน่วยงานและการขาดทนุ ทรัพย์ จากงานวจิ ัยดงั กลา่ วได้ใหข้ ้อเสนอแนะวา่ ควรจัดการเรียนการสอนให้สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการ ของแรงงานในสถานประกอบการ ควรเนน้ การสอนทักษะการพดู และฟัง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ให้มากกว่าทกั ษะภาษาอนื่ ใหส้ ามารถนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันและการทางาน ควรจัดอบรม หลกั สูตรภาษาตา่ งประเทศเฉพาะทางให้หลากหลาย และไม่ควรคดิ ค่าใชจ้ า่ ย จดั ศนู ย์การเรยี นรู้ www.ssru.ac.th

31 ประจาชมุ ชน จดั พิมพค์ ูม่ ือการใชภ้ าษาต่างประเทศ เฉพาะสาขาอาชพี เพือ่ แจกจา่ ยไปยังสถาน ประกอบการ สรุปได้ว่า ผลกระทบดา้ นเศรษฐกิจพบว่า การท่องเท่ยี วทาใหเ้ กดิ ปญั หาราคาทีด่ ินสูงข้นึ มี การขยายตวั ของธรุ กิจท่องเทยี่ วในชุมชน เกิดการเปล่ียนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เกิด ประโยชน์ต่อการกระจายรายไดส้ ูช่ ุมชน การสร้างอาชพี และการสรา้ งงาน ผลกระทบดา้ นสงั คม พบวา่ การทอ่ งเที่ยวกอ่ ใหเ้ กิดความสะดวกสบายในชุมชน เช่น ถนน ไฟฟ้า เปน็ การยกระดับ มาตรฐานการครองชพี เกดิ การเปล่ียนแปลงแบบแผนการประกอบอาชีพ ผลกระทบดา้ นวฒั นธรรม พบว่า มกี ารใชว้ ัฒนธรรมชุมชนดงึ ดดู ใจนกั ทอ่ งเท่ียว มกี ารสง่ เสรมิ และจาหน่ายงานศิลปะและ วัฒนธรรม สรา้ งความเข้าใจใหก้ บั นกั ท่องเทีย่ วในเชงิ วฒั นธรรมชมุ ชน เกิดความร่วมมอื รว่ มใจ ในการอนุรักษว์ ฒั นธรรม สร้างความรัก ความหวงแหน และความภาคภูมใิ จของวัฒนธรรม ประเพณชี ุมชน และผลกระทบด้านสงิ่ แวดลอ้ มพบว่า อุตสาหกรรมท่องเทย่ี วกอ่ ให้เกดิ ปัญหาใน การทาลายทรพั ยากรธรรมชาติ คณุ ภาพน้า ขยะมลู ฝอยและส่ิงปฏกิ ูล นามาซงึ่ การปรบั ปรุงและ พฒั นาส่ิงแวดล้อม ชุมชนรว่ มกนั รกั ษาสิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูและเสรมิ คุณคา่ ของสิ่งแวดล้อมในชุมชน ภาพลกั ษณเ์ กาะสมุยเป็นแหล่งของสินคา้ คณุ ภาพราคาถกู อาหารหลากหลายและ อร่อย ธรรมชาตสิ วยงาม คา่ คนื เต็มไปด้วยสีสนั เปน็ ทร่ี วมทุกอย่างทต่ี อ้ งการและการบรกิ าร นกั ทอ่ งเที่ยวมีคณุ ภาพมาก และไมม่ ปี ญั หาเกี่ยวกับการใชภ้ าษา (นติ ย์ หทยั วลวี งศ์ สุขศรี, 2550) จากการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎที เี่ กย่ี วข้องและงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้องดังกล่าวข้างตน้ แล้ว ผู้วจิ ัย ได้รบั ความร้แู ละแนวความคิดจากเร่อื งดงั กล่าว ซึ่งจะเปน็ แนวทางประกอบการศกึ ษา วิเคราะห์หา คาตอบใหก้ บั คาถามงานวจิ ัยเพื่อที่จะนาไปสูว่ ัตถปุ ระสงคท์ ่ีต้งั ไว้ 2.8 กรอบแนวคิดในงานวจิ ัย การวจิ ยั เรอื่ งรปู แบบการเรียนร้ดู ้วยตนเองในการใชภ้ าษาอังกฤษเพือ่ การสอื่ สารทางการ ทอ่ งเที่ยวเชงิ อนุรักษ์ในพน้ื ท่ีตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวดั สมทุ รสงคราม ในครง้ั น้ี อาศยั กรอบ แนวคดิ ทฤษฎกี ารมสี ว่ นร่วมของประชาชน แนวคิดทฤษฎกี ารเรียนรดู้ ้วยตนเอง (Self-directed Learning Model หรอื SD) แนวคดิ ทฤษฎกี ารส่อื สาร และงานวจิ ัยที่เกยี่ วขอ้ ง ดังภาพท่ี 1.1 www.ssru.ac.th

32 Input Output ตวั แปรอิสระ ตัวแปรตาม สภาพการใชภ้ าษาอังกฤษเพือ่ การ สอื่ สารเพอื่ การทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนุรักษ์ (1) สารวจสภาพการใชภ้ าษาองั กฤษของ สาหรับนักทอ่ งเท่ยี ว และผู้ ใหบ้ ริการในพน้ื ที่  นกั ท่องเท่ยี วชาวต่างชาตทิ ่ีเปน็ เจ้าของ ภาษา (เชิงคุณภาพ)  นกั ท่องเทย่ี วชาวต่างชาติที่ใช้ ภาษาองั กฤษเป็นภาษาท่สี อง  ผูใ้ หบ้ รกิ ารในพ้ืนท่ี (2) สารวจความต้องการในการใช้ภาษาองั กฤษ ความตอ้ งการในการใช้ ของผ้ใู หบ้ รกิ ารในพื้นที่ 8 กลุ่ม ภาษาอังกฤษเพื่อการส่อื สารเพื่อการ ท่องเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษ์ ของผู้ให้บริการ  ออมทรพั ย์ ในพน้ื ท่ี  กองทนุ หม่บู ้าน  ประเพณีวฒั นธรรม (เชงิ ปรมิ าณ)  สตรี  เรอื พาย รปู แบบการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองในการใช้  ท่องเท่ียวและโฮมสเตย์ ภาษาอังกฤษเพือ่ การส่ือสารทางการ  ขนมไทย ท่องเทย่ี วเชงิ อนุรกั ษ์ ในพื้นทีต่ าบลทา่ คา  จักสานก้านมะพร้าว อาเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม  วสิ าหกจิ (3) ศึกษายทุ ธศาสตร์และนโยบายการ ส่งเสริมการใชภ้ าษาอังกฤษเพอ่ื การ สอื่ สารเพอ่ื การท่องเทยี่ วของจังหวดั สมุทรสงคราม ภาพที่ 2.3 กรอบแนวคิดในงานวจิ ัย www.ssru.ac.th

33 บทที่ 3 ระเบียบวธิ ีวจิ ยั 3.1 ความนา การวจิ ัยครง้ั น้ีเป็นการวิจัยเพอ่ื เพ่ือสารวจสภาพการใช้ภาษาอังกฤษ เพอื่ การสอ่ื สารทาง การท่องเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษ์ ของนักท่องเท่ียว เพือ่ วิเคราะห์ความตอ้ งการในการใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื ใช้ ในการสื่อสารทางการทอ่ งเทย่ี วเชิงอนรุ ักษ์ ของผ้ใู หบ้ รกิ าร เพื่อศึกษายทุ ธศาสตรแ์ ละนโยบาย การสง่ เสริม การใช้ภาษาอังกฤษ เพ่ือการสอ่ื สารทางการทอ่ งเท่ียวเชงิ อนุรกั ษข์ องจังหวัด สมุทรสงครามเพ่อื นาไปสร้าง รปู แบบการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ในการใชภ้ าษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ทางการท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ใหก้ ับผ้ใู หบ้ รกิ าร ตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จังหวดั สมุทรสงคราม 3.2 รปู แบบการวิจยั การวจิ ยั คร้ังน้ี เป็นการวจิ ัยแบบผสม ( Mixed methods research) กล่าวคือ เปน็ การวจิ ัย เชิงปริมาณและการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ โดย 3.2.1 การสารวจสภาพการใชภ้ าษาองั กฤษเพื่อการสื่อสารทางการท่องเท่ียวเชงิ อนรุ กั ษ์ของ นักทอ่ งเท่ียวชาวตา่ งชาติท่เี ป็นเจ้าของภาษา และนักทอ่ งเท่ียวชาวตา่ งชาติทีใ่ ชภ้ าษาองั กฤษเปน็ ภาษาท่ีสอง และผู้ใหบ้ รกิ ารโดยใช้การสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ แบบก่ึงโครงสรา้ ง( In-depth interview se-mi structure) 3.2.2 การวเิ คราะห์ความตอ้ งการ ในการพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการ สื่อสารทางการ ทอ่ งเท่ยี วเชิงอนรุ กั ษส์ าหรับผู้ให้บริการ จานวน 8 กลมุ่ ในพื้นที่ตาบลทา่ คา อาเภออัมพวา จงั หวัด สมทุ รสงคราม โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) 3.2.3 การศึกษายทุ ธศาสตรแ์ ละนโยบายการส่งเสริม การใชภ้ าษาองั กฤษ เพอื่ การส่อื สาร ทางการทอ่ งเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จังหวดั สมุทรสงคราม ใช้การวิจัยเอกสาร (Documentary research) เพ่ือศึกษายทุ ธศาสตร์และนโยบายการสง่ เสรมิ การใช้ภาษาอังกฤษ เพือ่ การสื่อสารทางการท่องเท่ยี วเชิงอนุรักษ์ ตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จังหวัดสมทุ รสงคราม www.ssru.ac.th

34 การวจิ ัยแบบผสมครง้ั นเ้ี ป็นการวิจยั เชิงลาดบั ขัน้ ( Sequential procedures) คอื การ ค้นหา คาอธิบาย หรอื ขยายข้อค้นพบจากวิธีการวจิ ัยแบบหนึง่ ด้วยวธิ กี ารวิจยั อีกแบบหนง่ึ การวิจัยเชงิ คณุ ภาพด้วยการสมั ภาษณ์แบบก่งึ โครงสรา้ ง (In-depth interview se-mi structure) เพือ่ ศกึ ษาสภาพ การใช้ภาษาอังกฤษเพอื่ การสอื่ สารทางการทอ่ งเที่ยว เชงิ อนุรักษ์ของนักท่องเท่ียวชาวตา่ งชาตทิ เี่ ปน็ เจา้ ของภาษา และนกั ท่องเทยี่ วชาวต่างชาติท่ีใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาท่สี อง และผใู้ หบ้ ริการ หลงั จากนนั้ ใช้การวจิ ยั เชิงปรมิ าณด้วยการสารวจข้อมลู ด้วยแบบสอบถาม (Questionnaire) กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งที่เลือกโดยใช้เทคนิคแบบเจาะจง (Purposive sampling) เพื่อวิเคราะห์ความตอ้ งการในการ ใชภ้ าษาองั กฤษเพ่อื การสื่อสาร ทางการท่องเทย่ี วเชิงอนรุ กั ษ์สาหรบั ผใู้ ห้บริการ และศกึ ษาเอกสาร เพอื่ การศกึ ษายุทธศาสตร์และนโยบายการสง่ เสริมการใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื การส่อื สาร ทางการ ท่องเทีย่ วเชงิ อนรุ กั ษส์ าหรับผู้ใหบ้ ริการจังหวัดสมุทรสงครามแลว้ นาไปสู่ 3.2.4 การสร้างรปู แบบการเรยี นรดู้ ้วยตนเองในการใชภ้ าษาอังกฤษเพือ่ การส่อื สาร ทางการ ทอ่ งเทยี่ วเชิงอนรุ กั ษ์ สาหรบั ผ้ใู หบ้ ริการในพ้ืนที่ตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จงั หวดั สมุทรสงคราม 3.3 ประชากร และกลมุ่ ตวั อยา่ ง 3.3.1 ประชากร ไดแ้ ก่ จานวนประชากรในพน้ื ทีท่ ง้ั สน้ิ 684 คน ไดแ้ ก่ ประชาชน ข้าราชการ กลมุ่ เครือขา่ ยองค์กรและกลุ่มต่าง ๆ และองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จงั หวัดสมทุ รสงคราม และนกั ทอ่ งเท่ียวชาวตา่ งชาตทิ ี่เป็นเจ้าของภาษา และนักท่องเท่ยี ว ชาวตา่ งชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาท่ีสอง จานวน 19,064 คน จากจานวนนักทอ่ งเทยี่ วทีเ่ ขา้ มา เทยี่ วในจังหวัดสมทุ รสงครามปี 2550 พบวา่ มจี านวนผเู้ ย่ียมเยอื น 558,326 คน เพม่ิ ขึน้ ร้อยละ 23.36 โดยแบ่งเปน็ ผ้เู ยย่ี มเยือนชาวไทย จานวน 539,262 คน และชาวต่างชาติ จานวน 19,064 คน ( ที่มา : ไม่มชี ื่อเรื่อง.( 2553). จำนวนนกั ท่องเทีย่ วจงั หวดั สมุทรสงครำม . จาก http://kaset.chandra.ac.th/inside.php.Online, 2551 สบื ค้น เม่อื วันท่ี 17 มกราคม 2553) 3.3.2 กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใชใ้ นการสารวจ สภาพการใชภ้ าษาองั กฤษเพ่อื การสื่อสาร ทางการ ทอ่ งเทยี่ วเชงิ อนรุ ักษส์ าหรบั นักทอ่ งเท่ยี วและผใู้ ห้บริการ ใชก้ ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive sampling) คือ ผูท้ ี่ตอ้ งใช้ภาษาอังกฤษในการสือ่ สารเพือ่ การท่องเท่ียวในพน้ื ทตี่ าบลท่าคา อาเภอ อัมพวา จังหวัดสมทุ รสงคราม โดยเลือกเฉพาะกลุ่มทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั งานวจิ ัยครง้ั น้ี 3 กลุ่ม คือ นกั ท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เป็นเจา้ ของภาษา นกั ทอ่ งเทีย่ วชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาองั กฤษเป็นภาษา www.ssru.ac.th

35 ทีส่ อง และผใู้ หบ้ รกิ าร (กล่มุ เครอื ข่ายองคก์ ร และกล่มุ ต่างๆ องค์การบรหิ ารส่วนเทศบาลตาบล อัมพวา) จานวน 60 คน 3.3.3 กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการสารวจความต้องการใน การใช้ภาษาองั กฤษ ทางการสอื่ สาร ทางการท่องเที่ยวเชิงอนรุ กั ษ์ สาหรับ ผู้ให้บรกิ าร ใช้การสุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง ( Purposive Sampling) จากประชากรที่มลี กั ษณะตรงตามวตั ถปุ ระสงคท์ จี่ ะศกึ ษา คือ ผใู้ หบ้ รกิ ารจากกลุม่ องคก์ รตา่ งๆ ในพน้ื ทตี่ าบลท่าคา อาเภออมั พวา จงั หวัดสมุทรสงคราม การสุม่ ตวั อย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) หรอื บางคร้งั เรียกวา่ การส่มุ แบบพิจารณา ( judgment sampling) เป็นการส่มุ ตัวอยา่ งโดยใชด้ ุลพินจิ ของผวู้ ิจยั ในการกาหนดสมาชกิ ของประชากรท่จี ะมาเป็นสมาชกิ ในกลมุ่ ตัวอย่างว่ามีลกั ษณะสอดคลอ้ งหรือเป็นตวั แทนทจ่ี ะศึกษาหรอื ไม่ ขอ้ จากัดของการสมุ่ ตวั อย่างแบบ น้ี คือ ไมส่ ามารถระบไุ ด้ว่าตวั อย่างทเี่ ลือกจะยงั คงลกั ษณะดงั กล่าวหรือไมเ่ มื่อเวลาเปลี่ยนไป โดย กลุม่ ตัวอยา่ งที่ใชใ้ นการศกึ ษาวิจัยครั้งน้ี แบ่งออกเป็น 8 กลมุ่ โดยคานวณขนาดกลุ่มด้วยสตู รของ Taro Yamane (พิชติ พทิ กั ษ์เทพสมบตั ิ , 2544: 140) เพื่อหากลมุ่ ตวั อย่างซ่งึ ไดจ้ านวนท้งั หมด 252 คน กาหนดระดบั นัยสาคัญทางสถติ ิท่ี 0.05 ดังนี้ n=N 1 + N(e)2 เมือ่ n = จานวนตัวอย่าง N = จานวนประชากร e = ค่าเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลอ่ื นจากการสมุ่ ตวั อย่างท่ี ยอมรับ5 % ฉะนนั้ คา่ e = 0.05 แทนคา่ สูตรไดด้ ังนี้ = 684 1 + 684 (0.05)2 = 252.39 หรอื 252 คน 3.4 เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการ วิจัยครั้งน้แี บ่งออกเปน็ 2 สว่ น คอื เครื่องมอื วจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ ใช้แบบ สมั ภาษณเ์ ชิงลกึ ( In-depth Interview Questions) และเครอื่ งมือวิจัยเชิงปรมิ าณ ใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) www.ssru.ac.th

36 3.5 การสรา้ งเครื่องมือวิจัย 3.5.1 การสรา้ งเคร่อื งมือ การวิจัยเชงิ คุณภาพ ผ้วู จิ ยั ศึกษารวบรวมขอ้ มูลจากเอกสารท่เี กยี่ วข้องกบั ทฤษฎแี นวคิด รวมถึงเอกสารต่างๆ เพ่ือออกแบบคาถาม ใช้ในการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ (In-depth Interview Questions) เปน็ ลักษณะคาถาม แบบปลายปดิ ( Open end) และคาถามท่ใี ช้ในการสัมภาษณ์เดย่ี ว โดยมีสาระตรงกับวัตถุประสงค์ และครอบคลมุ กรอบแนวคิดในการวิจัย เพอ่ื สอบถามผูท้ ม่ี ปี ระสบการณ์ตรงและเกีย่ วขอ้ งกับสภาพ การใช้ภาษาองั กฤษเพื่อการสือ่ สารทางการท่องเที่ยวเชงิ อนรุ ักษ์ ตาบลทา่ คา อาเภออัมพวา จังหวัด สมทุ รสงคราม โดยถามขอ้ มลู ดังนี้ 3.5.1.1 ลักษณะประชากรศาสตร์ 3.5.1.2 ปญั หาในการสอ่ื สารทางการท่องเท่ยี วด้วยภาษาองั กฤษ 3.5.1.3 วธิ ีการแก้ปญั หาในการสอ่ื สาร 3.5.1.4 การพฒั นาทกั ษะการใช้ภาษาเพื่อการส่อื สาร 3.5.2 การสร้างเครอ่ื งมอื การวจิ ยั เชิงปรมิ าณ เครอ่ื งมือที่ใช้คอื แบบสอบถาม (Questionnaires) เพอื่ สารวจขอ้ มูล ความต้องการ ในการ พัฒนาภาษาองั กฤษ เพ่อื ใช้ในการสอ่ื สารทางการท่องเทีย่ วเชิงอนรุ กั ษ์ ของผใู้ หบ้ ริการ ตาบลทา่ คา อาเภออมั พวา จังหวดั สมุทรสงคราม โดยการนาผลทไ่ี ดจ้ ากการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก ผลการ ศึกษาและ วเิ คราะห์แนวคิดเกย่ี วกบั การใชภ้ าษาอังกฤษเพอ่ื การสื่อสารทางการทอ่ งเที่ยวเชิงอนรุ ักษ์ งานวจิ ยั ที่ เกีย่ วขอ้ ง มาประมวลสร้าง แบบสอบถาม ท่ีตรงกับวตั ถปุ ระสงค์ ของการวจิ ยั โดยมี ฐาน ของ แบบสอบถาม 3 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ลกั ษณะทางดา้ นประชากรศาสตร์ ประกอบดว้ ย ขอ้ มูลส่วนบคุ คล ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา กล่มุ ผู้ใหบ้ รกิ าร เปน็ ลักษณะคาถามท่ีกาหนดคาตอบใหเ้ ลอื Cกhe(ck List) ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับความตอ้ งการในการใชภ้ าษาอังกฤษเพ่อื การสื่อสาร ทางการทอ่ งเทยี่ วเชิงอนุรักษ์สาหรบั ผ้ใู หบ้ ริการ แบ่งออกเปน็ 4 ข้อ ดงั นี้ ข้อที่ 1 คาถามแบบมาตราส่วนประมาณคา่ 4 ระดบั ของลิเคอรส์ เกล คะแนนตามเกณฑท์ ีก่ าหนดภายในแบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม คือ ระดบั ความความตอ้ งการ 4 หมายถงึ มากที่สุด ระดับความต้องการ 3 หมายถึง มาก ระดับความต้องการ 2 หมายถงึ นอ้ ย www.ssru.ac.th

37 ระดับความต้องการ 1 หมายถึง นอ้ ยท่สี ุด เกณฑใ์ นการกาหนดค่าคะแนนใชห้ ลกั คณติ ศาสตรก์ าหนด ดงั นี้ คะแนนเฉล่ยี 3.26 – 4.0 คะแนน หมายถงึ มากทสี่ ุด คะแนนเฉล่ีย 2.51 – 3.25 คะแนน หมายถงึ มาก คะแนนเฉล่ีย 1.76 – 2.5 คะแนน หมายถงึ นอ้ ย คะแนนเฉล่ีย 1 – 1.75 คะแนน หมายถึง น้อยท่ีสุด ข้อที่ 2 คาถามปลายเปดิ ท่คี าตอบจะแตกตา่ งกันไปตามกลมุ่ ของผู้ตอบ ตอนที่ 3 เป็นลักษณะคาถามใหเ้ ลอื กตอบ เพอ่ื สอบถามเกีย่ วกบั รปู แบบการเรียนรู้ดว้ ย ตนเองทตี่ ้องการในการใชภ้ าษาองั กฤษเพื่อการส่ือสารทางการท่องเที่ยว ตอนท่ี 4 เป็นลกั ษณะคาถามแบบปลายเปดิ เพอื่ สอบถามความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะ รายละเอียดคาถาม ความตอ้ งการ ในการพัฒนาภาษาอังกฤษ เพอ่ื ใช้ในการสอื่ สารทางการ ทอ่ งเทีย่ วเชิงอนรุ กั ษ์ ของผู้ใหบ้ รกิ าร ตาบลท่าคา อาเภออัมพวา จงั หวัดสมุทรสงคราม สาหรับ ผูใ้ หบ้ รกิ ารตามตารางที่ 3.1 www.ssru.ac.th

38 ตารางท่ี 3.1 รายละเอียดคาถามความตอ้ งการในการพัฒนาภาษาองั กฤษเพอ่ื ใชใ้ นการส่อื สาร ทางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของผใู้ หบ้ รกิ าร ตาบลทา่ คา อาเภออัมพวา จงั หวัด สมุทรสงคราม แบบสอบถาม ขอ้ ที่ ตอนที่ 1 ลักษณะทางดา้ นประชากรศาสตร์ 1–4  เพศ  อายุ  ระดับการศกึ ษา  กลุม่ ผใู้ ห้บรกิ าร ตอนที่ 2 การสารวจความตอ้ งการในการใช้ภาษาองั กฤษเพอื่ การสื่อสารทางการ 1–4 ทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนรุ กั ษ์สาหรับนักทอ่ งเท่ียว ดังนี้ 2.1 ระดบั ความตอ้ งการในทักษะตา่ ง ๆ  ทักษะการฟัง เพ่ือใหส้ ามารถฟังนักทอ่ งเที่ยวสอบถามขอ้ มลู สนิ คา้ หรอื การ บริการ  ทักษะการพดู เพอ่ื ให้สามารถพพูดโตต้ อบ ตอบคาถาม ให้ข้อมลู สนิ คา้ หรือการบรกิ าร  ทักษะการอ่าน เพอ่ื ให้สามารถอา่ นเอกสารเก่ยี วกับขอ้ มูลสินค้า หรือ บรกิ าร  ทักษะการเขยี น เพอื่ ให้สามารถเขยี นช่ือสินคา้ หรือเขียนบอกขอ้ มูลสนิ คา้ หรอื อื่น ๆใหน้ กั ท่องเที่ยวเขา้ ใจ 2.2 สาเหตุสาคัญของปญั หาในการเรียนรู้ 2.3 คาศัพท์เกีย่ วกับสนิ ค้า หรือบรกิ ารท่ตี ้องใชใ้ นการใหบ้ รกิ ารนกั ทอ่ งเทย่ี ว 2.4 รูปแบบการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองในการใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื การส่ือสาร ตอนที่ 3 ความคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะ 1 www.ssru.ac.th


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook