44 แผนการเรียนรู้ประจาํ บท บทท่ี 8การปอ้ งกนั หลีกเลยี่ งโรค อาการผิดปกตทิ างกาย ทางจติ สารเสพตดิ เอดส์ และโรคทพี่ บบ่อยในครอบครวั และชุมชน สาระสาํ คญั ความรู้ ความเข้าใจ เรื่องโรคต่างๆในปัจจุบัน สามารถแยกแยะ บอกลักษณะอาการได้อย่าง ถูกต้องเป็นความรู้เบ้ืองต้น ต่อการหลีกเล่ียงโรคดังกล่าว รวมถึงสามารถป้องกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมของคนใน ครอบครวั และชุมชนใหด้ าํ เนินชีวิตและปฏิบัตติ นอยา่ งถูกต้อง ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง สามารถป้องกัน หลีกเล่ียงโรคอาการผิดปกติทางกาย ทางจิต สารเสพติด เอดส์ และโรคที่พบบ่อยใน ครอบครวั และชุมชน ขอบขา่ ยเนอื้ หา ตอนที่ 1 การป้องกัน หลกี เลี่ยงโรคอาการผิดปกติทางกาย ทางจติ สารเสพตดิ เอดส์ และโรคทีพ่ บ บอ่ ยในครอบครัวและชุมชน กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรยี นรู้ 2. ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามท่ไี ด้รบั มอบหมายในเอกสารการสอน สอ่ื และอปุ กรณ์ประกอบการสอน 1. ใบงาน 2. เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 3. อนิ เทอรเ์ นต็ การวัดและประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจในการเรยี นการสอน 2. การอภิปรายแสดงความคดิ เห็น 3. ตรวจแบบฝึกหดั ท้ายบท
45 ตอนท่ี 1 การป้องกัน หลกี เล่ยี งโรคอาการผดิ ปกตทิ างกาย ทางจิต สารเสพตดิ เอดส์ และโรคทพ่ี บบ่อยในครอบครวั และชมุ ชน โรคทางพันธุกรรม หรือ โรคติดต่อทางพันธุกรรม เป็น โรคท่ีเกิดข้ึนโดยมีสาเหตุมาจากการ ถ่ายทอดพันธุกรรมของฝั่งพ่อและแม่หาก หน่วยพันธุกรรมของพ่อและแม่มีความผิดปกติแฝงอยู่ โดยความ ผิดปกติเหล่าน้ีเกิดข้ึนมาจากการผ่าเหล่าของหน่วยพันธุกรรมบรรพบุรุษ ทําให้หน่วยพันธุกรรมเปลี่ยนไปจาก เดมิ ได้ ท้ังนี้ โรคทางพันธุกรรม น้ี เป็นโรคติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดย โรคทาง พันธุกรรม เกดิ จากความผิดปกติของโครโมโซม 2 ประการ คอื ความผิดปกตขิ องออโตโซม (โครโมโซมร่างกาย) และความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมเพศ โรคท่ีเกดิ จากความผดิ ปกตบิ นออโตโซม (Autosome) โรคที่เกิดจากความผิดปกติบนออโตโซม คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมในร่างกาย ท่ีมี 22 คู่ หรือ 44 แท่ง สามารถเกิดได้กับทุกเพศ และมีโอกาสเกิดได้เท่า ๆ กัน โรคท่ีเกิดจากความผิดปกติบนออ โตโซม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความผิดปกติท่ีจํานวนออโตโซม และความผิดท่ีรูปร่างโครโมโซม ประกอบด้วย 1.ความผดิ ปกตขิ องจํานวนออโตโซม เป็นความผิดปกติท่ีจํานวนออโทโซมในบางคู่ที่เกินมา 1 โครโมโซม จึงทําให้โครโมโซมในเซลล์ร่างกาย ทงั้ หมดเป็น 47 โครโมโซม เชน่ ออโทโซม 45 แท่ง 1 โครโมโซมเพศ 2 แท่ง ไดแ้ กก่ ล่มุ อาการดาวน์ หรือ ดาวน์ ซนิ โดรม ( Down's syndrome) เป็น โรคทางพนั ธุกรรม ท่ีเกิดจากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซม โดยสาเหตุส่วน ใหญ่เกิดจาก โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง คือ มี 3 แท่ง จากปกติท่ีมี 2 แท่ง ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า TRISOMY 21 นอกจากน้ันอาจมีสาเหตุมาจากการย้ายท่ีของโครโมโซม เช่น โครโมโซมคู่ท่ี 14 มายึดติดกับ โครโมโซมคู่ท่ี 21 เป็นต้น และยังมีสาเหตุมาจาก มีโครโมโซมท้ัง 46 และ 47 แท่ง ในคน ๆ เดียว เรียกว่า MOSAIC ซ่ึงพบได้นอ้ ยมาก ลกั ษณะของเด็กดาวนซ์ นิ โดรม จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ล้ิน มักยื่นออกมา ตัวเตี้ย มือส้ัน อาจเป็นโรคหัวใจพิการแต่กําเนิด หรือโรคลําไส้อุดตันต้ังแต่แรกเกิด มีภาวะต่อม ไทรอยด์บกพรอ่ ง และเป็นปญั ญาออ่ น พบบ่อยในแมท่ ่ีต้ังครรภเ์ มอ่ื อายมุ าก กล่มุ อาการเอด็ เวริ ์ดซนิ โดรม ( Edward's syndrome) เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา 1 โครโมโซม ทําให้เป็นปัญญาอ่อน ปากแหว่ง เพดานโหว่ คางเว้า นิ้วมือบิดงอ และกําแน่นเข้าหากัน ปอดและระบบย่อยอาหารผิดปกติ หัวใจพิการแต่กําเนิด ทารกมักเป็นเพศ หญงิ และมกั เสียชวี ิตตัง้ แตก่ ่อนอายุ 1 ขวบ กลมุ่ อาการพาทวั ซินโดม ( Patau syndrome) อาการนี้เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 โครโมโซม ทําให้เด็กมีอาการปัญญาอ่อน อวัยวะภายใน พกิ าร และมักเสียชวี ิตตง้ั แต่แรกเกิด หรือหากมชี วี ิตรอดก็จะมอี ายสุ นั้ มาก
46 2. ความผดิ ปกติของรูปรา่ งออโตโซม เป็นความผิดปกติที่ออโทโซมบางโครโมโซมขาดหายไปบางส่วน แต่มีจํานวนโครโมโซม 46 แท่ง เท่ากับคนปกติ ประกอบด้วยกลุ่มอาการคริดูชาต์ หรือ แคทครายซินโดรม (cri-du-chat or cat cry syndrome) เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 5 ขาดหายไปบางส่วน ทําให้ผู้ป่วยมีศีรษะเล็กกว่าปกติ เกิดภาวะปัญญา อ่อน หนา้ กลม ใบหูตํ่า ตาห่าง หางตาชี้ น้ิวมือสั้น เจริญเติบโตได้ช้า เวลาร้องจะมีเสียงเหมือนแมว จึงเป็นที่มา ของชื่อโรคนว้ี ่า แคทครายซนิ โดรม (cat cry syndrome) กลุ่มอาการเพรเดอร์-วลิ ลี (Prader-Willi syndrome) เป็น โรคทางพันธุกรรม ท่ีเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 15 ทําให้ผู้ป่วยมีรูปร่างอ้วนมาก มือ เท้าเลก็ กินจุ มีความบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา มีพฤติกรรมแปลก ๆ เชน่ พูดชา้ รวมทง้ั เปน็ ออทิสติกด้วย โรคท่เี กดิ จากความผดิ ปกติทถี่ า่ ยทอดทางพนั ธกุ รรมในโครโมโซมเพศ ( Sex chromosome) โครโมโซมเพศ ประกอบด้วย โครโมโซม 1 คู่ หรือ 2 แท่ง ในผู้หญิง เป็นแบบ XX ส่วนในผู้ชายเป็น แบบ XY โรคท่ีเกิดความผิดปกติในโครโมโซม สามารถเกิดได้ในทั้งหญิงและชาย แต่จะมีโอกาสเกิดข้ึนมากใน เพศใดเพศหนึ่ง โดยลักษณะที่ควบคุมโดยยีนด้อยบนโครโมโซม X ได้แก่ หัวล้าน ตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย โรค ภาวะพรอ่ งเอนไซม์ จี- 6- พีดี ( G-6-PD) โรคกลา้ มเนอื้ แขนขาลบี การเป็นเกย์ และอาการตา่ ง ๆ น้ี มักพบใน ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เน่ืองจากผู้ชายมีโครโมโซม x เพียงตัวเดียว โรคท่ีเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม เพศ ได้แก่ ตาบอดสี (Color blindness) เป็นภาวะการมองเห็นผิดปกติ โดยมากเป็นการตาบอดสีต้ังแต่กําเนิด และมักพบในเพศชายมากกว่า เพราะเปน็ การถา่ ยทอดทางพันธุกรรมแบบลกั ษณะดอ้ ยบนโครโมโซม ผู้ที่เป็นตาบอดสีส่วนใหญ่จะไม่สามารถ แยกความแตกตา่ งระหว่างสีเขียวและสีแดงได้ จึงมปี ัญหาในการดูสญั ญาณไฟจราจร รองลงมาคือ สีน้ําเงินกับ สเี หลอื ง หรืออาจเห็นแต่ภาพขาวดาํ และความผิดปกตินจี้ ะเกดิ ขน้ึ กบั ตาทั้งสองขา้ ง ไมส่ ามารถรักษาได้
47 ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) โรคฮีโมฟีเลียคือ โรคเลือดออกไหลไม่หยุด หรือเลือดออกง่ายหยุดยาก เป็น โรคทางพันธุกรรม ท่ีพบ มากในเพศชาย เพราะยีนท่ีกําหนดอาการโรคฮีโมฟีเลียจะอยู่ใน โครโมโซม X และถ่ายทอดยีนความผิดปกตินี้ ให้ลูก ส่วนผู้หญิงหากได้รับโครโมโซม X ที่ผิดปกติ ก็จะไม่แสดงอาการ เนื่องจากมี โครโมโซม X อีกตัวข่มอยู่ แตจ่ ะแฝงพาหะแทน ลักษณะอาการ คือ เลือดของผู้ป่วยฮีโมฟีเลียจะไม่สามารถแข็งตัวได้ เนื่องจากขาดสารที่ทําให้เลือด แข็งตัว อาการที่สังเกตได้ เช่น เลือดออกมากผิดปกติ เลือดกําเดาไหลบ่อย ข้อบวม เกิดแผลฟกชํ้าขึ้นเอง แต่โรคฮีโมฟเี ลียนี้ สามารถรักษาได้ โดยการใชส้ ารชว่ ยให้เลือดแขง็ ตวั ทดแทน การป้องกันโรคทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรม ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากจะติดตัวไปตลอดชีวิต ทําได้แต่เพียง บรรเทาอาการไม่ให้เกิดขึ้นมากเท่านั้น ดังนั้นการป้องกัน โรคทางพันธุกรรม ที่ดีท่ีสุด คือ ก่อนแต่งงาน รวมท้ัง ก่อนมีบุตร คู่สมรสควรตรวจร่างกาย กรองสภาพทางพันธุกรรมเสียก่อน เพื่อทราบระดับเสี่ยง อีกท้ังโรคทาง พันธุกรรม บางโรค สามารถตรวจพบได้ในช่วงก่อนตั้งครรภ์ จึงเป็นทางหน่ึงที่จะช่วยให้ทารกท่ีจะเกิดมา มีความเส่ียงในการเปน็ โรคทางพันธกุ รรมน้อยลง โรคจติ (Psychosis) โรคจติ คอื โรคทผ่ี ู้ป่วยมีอาการไม่อย่ใู นโลกแหง่ ความเป็นจรงิ อาการ 1. ความคิดผิดปกติ เน้ือหาของความคิดผิดปกติได้แก่คิดหวาดระแวง คิดว่ามีคนจะทําร้าย มีคน ควบคุมความคิดของตนเอง เชื่อว่าตนมีอํานาจพิเศษ เชื่อว่าอวัยวะของตนเองผิดปกติ รูปแบบของความคิด ผดิ ปกติ ความคดิ ไมต่ ่อเนือ่ ง คิดไมเ่ ปน็ เหตผุ ล ความคดิ ขาดหาย 2. การรบั รผู้ ดิ ปกติ มอี าการหแู ว่ว เห็นภาพหลอน 3. การกระทาํ ผดิ ปกติ ตามความคิด และการรับรทู้ ี่ผดิ ปกติเช่น พูดคนเดยี ว ทาํ ร้ายคนอ่ืน 4. ไมร่ ู้ตัวเองวา่ ผดิ ปกติ ไมต่ ้องการการรักษา ประเภทของโรคจติ 1. โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคจิตที่พบบ่อยท่ีสุด พบตั้งแต่อายุน้อย หลังวัยรุ่นหรือในวัย ผใู้ หญ่ตอนตน้ 2. โรคระแวง (Delusional Disorder) มอี าการเด่นคือมีความเชื่อผิด หลงผิดโดยที่การดําเนินชีวิตอื่น มักปกติ 3. โรคจิตจากโรคทางกาย (Organic Mental Disorder with Psychosis) เกิดอาการทางจิตทุก รูปแบบ โดยมีสาเหตุจากโรคทางกาย เช่น โรคมาเลเรียข้ึนสมอง จะมีอาการเพ้อคลั่งจากอาการของโรค มาเลเรยี หรอื โรคจิตจากฤทธ์ขิ องยาบ้า เปน็ ต้น 4. โรคจิตจากภาวะเครียดรุนแรง (Brief Reactive Psychosis) เกิดหลังจากภาวะกระทบกระเทือน จติ ใจอย่างรนุ แรง
48 การรักษา 1. การใช้ยา ยาต้านโรคจติ (Antipsychotic drugs) ปจั จบุ นั มมี ากมาย มปี ระสิทธภิ าพสูง ผลข้างเคียง ตา่ํ แพทย์จะใหก้ ินยานีต้ อ่ เนอื่ งนาน ไม่ควรหยดุ ยากอ่ นทแ่ี พทยจ์ ะส่งั 2. การปรบั เปล่ียนสง่ิ แวดลอ้ ม การให้คําแนะนําครอบครัวการปรับเปล่ียนการทํางาน 3. การรกั ษาแบบจิตบาํ บัด และพฤตกิ รรมบาํ บัด สารเสพติด สารเสพติด หมายถึงสง่ิ ทีเ่ สพเข้าไปในร่างกายแล้วทาํ ใหร้ ่างกายต้องการสารนั้นในปรมิ าณทเี่ พิ่มขึ้นไม่ สามารถหยดุ ได้ มผี ลทาํ ใหร้ า่ งกายทรุดโทรมและสภาวะจติ ใจผิดปกติ ประเภทของสารเสพติด ประเภทของสารเสพตดิ แบง่ ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี 1. สง่ิ เสพตดิ ตามธรรมชาติ ส่วนใหญไ่ ด้มาจากพืช เช่น ฝ่นิ กญั ชา กระท่อม เปน็ ตน้ 2 สิ่งเสพตดิ สงั เคราะห์ เกดิ จากมนุษย์จดั ทําขึ้น เชน่ เฮโรอนี ยานอนหลบั ยาระงบั ประสาท ยาบ้า เปน็ ตน้ ชนดิ ของส่ิงเสพติดที่พบในประเทศไทย สงิ่ เสพตดิ ทพ่ี บในประเทศไทยแบ่งออกได้ดังนี้ 1. สงิ่ เสพตดิ ประเภทฝ่นิ และอนุพันธ์ของฝน่ิ ไดแ้ ก่ ฝ่ิน มอรฟ์ นิ นํ้าตาลไหม้ 1.1) ฝนิ่ เป็นพชื ล้มลกุ สารเสพตดิ ได้จากยางฝิน่ ดบิ ซ่งึ กรดี จากผล มีลักษณะเหนียว สี 10 เท่า 1.2) มอรฟ์ นี เป็นสารแอลคาลอยดส์ กัดจากฝน่ิ เป็นผลึกสีขาวนวล มฤี ทธิ์รุนแรงกว่าฝิ่น 1.3) เฮโรอนี เป็นสารทส่ี งั เคราะหไ์ ด้จากมอร์ฟนี มพี ษิ รนุ แรงกวา่ มอร์ฟนี 10 เทา่ 2. สง่ิ เสพตดิ ประเภทยานอนหลับและยาระงบั ประสาท ไดแ้ ก่ 2.1) เชกโคนาล เปน็ แคปซลู สีแดงเรยี กวา่ เหลา้ แหง้ 2.2) อโมบาร์บทิ อล เปน็ ยานอนหลับบรรจใุ นแคปซูลสฟี ้าท่เี รยี กว่า นกสีฟ้า 2.3) เพนโทบาร์บิทอล เปน็ ยานอนหลบั บรรจใุ นแคปซลู สีเหลืองท่เี รยี กวา่ เสื้อสเี หลือง
49 3. สิ่งเสพติดประเภทแอมเฟตามนี เปน็ ยาประเภทกระตุ้นประสาท มีช่อื เรยี กหลายช่ือ เช่น ยาแก้ง่วง ยาขยัน ยาบ้า เปน็ ต้น ยาบ้าหรอื แอมเฟตามีนมีลกั ษณะ เป็นผง มผี ลกึ สขี าว บรรจุในแคปซูลหรอื อัดเม็ดอาจพบปลอมปนในยาคลอร์เฟนริ ามนี พาราเซตามอล ยาบ้า ยาเค โทษของยาเสพตดิ โทษเน่อื งจากการเสพส่ิงเสพติดแบ่งออกไดด้ ังน้ี 1. โทษต่อร่างกาย สงิ่ เสพติดทาํ ลายทั้งรา่ งกายและจติ ใจ เชน่ ทําใหส้ มองถูกทาํ ลาย ความจําเสอ่ื ม ดวงตาพรา่ มว่ั นา้ํ หนักลด รา่ งกายซบู ผอม ตาแห้ง เหมอ่ ลอย ริมฝปี ากเขียวคลํ้า เครยี ด เปน็ ต้น 2. โทษตอ่ ผใู้ กล้ชดิ ทาํ ลายความหวงั ของพ่อแมแ่ ละทกุ คนในครอบครวั ทาํ ใหว้ งศ์ตระกลู เสื่อมเสยี 3. โทษต่อสังคม เกดิ ปญั หาทางด้านอาชญากรรม สญู เสยี แรงงาน สนิ้ เปลอื งค่าใชจ้ ่ายในการ ปราบปรามและการบําบดั รกั ษา 4. โทษตอ่ ประเทศไทย ทาํ ลายเศรษฐกจิ ของชาติ การป้องกนั สิ่งเสพติด วิธกี ารปอ้ งกนั อันตรายจากสารเสพตดิ มีดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การปอ้ งกนั ตนเอง ต้องออกกาํ ลงั กายสมาํ่ เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผอ่ นให้ เพยี งพอ เลือกคบเพอ่ื นที่ไมม่ ่วั สมสิ่งเสพตดิ 2. การป้องกนั ในครอบครวั ต้องให้ความรกั ความเขา้ ใจ และอบรมสัง่ สอนใหร้ ้ถู งึ โทษของสิ่งเสพติด 3. การปอ้ งกนั ในสถานศึกษา ควรให้ความรซู้ ง่ึ ส่งิ เสพตดิ จดั นทิ รรศการและการรณรงค์ต่อต้านสิง่ เสพติด ไปศึกษาดงุ าน ณ สถานบาํ บัดผตู้ ิดยาเสพติด 4. การปอ้ งกนั ในชมุ ชน ควรจัดสถานทอ่ี อกกําลังกาย และจดั กลุ่มแมบ่ า้ นให้ความรู้เรือ่ งส่งิ เสพติด
50 แผนการเรียนรู้ประจาํ บท บทท่ี 9 สขุ ภาพบรโิ ภค สาระสาํ คญั ทุกชุมชนมวี ิถีการดํารงชวี ิตเปน็ ของตนเอง และมสี ภาพแวดล้อมท่ตี า่ งกนั การรับประทานอาหารทถ่ี ูก หลักโภชนาการ จะชว่ ยให้สขุ ภาพของเราและสมาชิกในครอบครวั สมบูรณแ์ ขง็ แรงปราศจากโรคภัยไขเ้ จ็บได้ เป็นอย่างดี ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั สามารถเลอื กบริโภคอาหารและผลติ ภัณฑส์ ุขภาพ ข้อมลู ขา่ วสารและบรกิ ารสขุ ภาพไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ขอบข่ายเนื้อหา ตอนที่ 1 การเลอื กใช้ภูมิปญั ญาไทยและสมนุ ไพรเพอื่ สขุ ภาพ ตอนท่ี 2 ขอ้ มลู ข่าวสารผลติ ภัณฑแ์ ละบริการสุขภาพ ตอนที่ 3 สทิ ธผิ ู้บริโภคและกฎหมายท่ีเกยี่ วข้อง กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศกึ ษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏบิ ัติกิจกรรมตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน ส่อื และอุปกรณป์ ระกอบการสอน 1. ใบงาน 2. เอกสารประกอบการเรียนรู้ 3. อนิ เทอร์เน็ต การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจในการเรียนการสอน 2. การอภิปรายแสดงความคิดเห็น 3. ตรวจแบบฝึกหัดท้ายบท
51 ตอนท่ี 1 การเลอื กใช้ภูมปิ ญั ญาไทยและสมุนไพรเพื่อสขุ ภาพ \"สมุนไพร\" ยาของคนไทยที่คนไทยควรทําความรู้จักและเข้าใจในสรรพคุณ ต้นไม้ท่ีเราคุ้นเคย ลงมือ ปลูกไว้ในบ้านหรือต้นไม้แปลกๆ ท่ีพบเห็นอยู่รอบตัว หากเราสนใจศึกษาข้อมูลจะทราบว่าต้นไม้ทุกต้นเป็น สมุนไพร สามารถหยิบฉวยมาใช้เป็นยาได้ท้ังสิ้น มาทําความรู้จักสมุนไพร ทําความเข้าใจในสรรพคุณ พร้อม หลักเกณฑ์และวิธีใช้ ด้วยหนังสือ \"สมุนไพรเพื่อสุขภาพ\" เล่มน้ี ที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของคุณและ สมาชกิ ในครอบครัวใหส้ มบูรณแ์ ขง็ แรงปราศจากโรคภยั ไขเ้ จ็บไดเ้ ป็นอย่างดี ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถของคนไทยท่ีเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ซ่ึงได้ผ่าน กานพฒั นาและสบื ทอดต่อๆกนั มา ความสาํ คญั ของภูมิปญั ญาไทยต่อการเสรมิ สร้างสุขภาพและการปอ้ งกันโรคในชมุ ชน ทุกชุมชนมีวิถีการดํารงชีวิตเป็นของตนเอง และมีสภาพแวดล้อมท่ีต่างกัน ทําให้สมาชิกในชุมชนมีภูม ปัญญาท่ีแตกตา่ งกนั ออกไป โดยภูมิปัญญาเหลา่ นั้นได้ผา่ นการลองผิดลองถูก และกลายมาเป็นภูมิปัญญาในการ สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ เช่น การรับประทานอาหารท่ีถูกหลักโภชนาการ หรือ การประคบสมุนไพรรักษาอาการปวด เมื่อยเป็นต้น ดังนั้นภูมิปัญญาไทยจึงมีความสําคัญต่อสุขภาพในเร่ืองของการบําบัด บรรเทา รักษาอาการ เจ็บป่วย การป้องกนั โรค และการเสรมิ สร้างสขุ ภาพ แนวทางการใช้ภูมปิ ัญญาไทยเพื่อการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและการปอ้ งกนั โรคในชมุ ชน การแพทย์แผนไทย ( Thai Traditional Medicine ) หมายถึง กระบวนการทางการแพทย์เกย่ี วกับการตรวจ วินิจฉัย บําบดั รกั ษา การปอ้ งกนั โรค หรือการฟื้นฟูสขุ ภาพ การแพทย์แผนไทยสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ชมุ ชนของตวั เองได้ เชน่ การนวดแผนไทย เป็นภูมิปญั ญาในการรกั ษาโรค การนวดไทยแบง่ ออกเป็น 2 แบบ ไดแ้ ก่ 1. การนวดแบบราชสาํ นัก 2. การนวดแบบเชลยศักดิ์ การนวดไทยมผี ลดตี อ่ สุขภาพในหลายๆด้าน เชน่ การกระตนุ้ ระบบประสาท และช่วยกระต้นุ การไหลเวยี น โลหติ และนํ้าเหลอื ง เปน็ ตน้ การประคบสมุนไพร เป็นการใช้สมุนไพรในการฟื้นฟูสุขภาพโดยการนําสมุนไพรมาห่อและนําไปประคบบริเวณ ทีม่ ีอาการปวดเม่ือย จะสามารถชว่ ยบรรเทาอาการได้ นํ้าสมุนไพร ผักพ้ืนบ้านและอาหารเพ่ือสุขภาพ นํ้าสมุนไพร และอาหารช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงอยู่ ในภาวะปกติ โดยเกิดจากความเฉลยี วฉลาดของบรรพบุรษุ เชน่ นํ้าขิงช่วยในการขับลม แก้ท้องอดื ท้องเฟอ้ การทําสมาธิ สวดมนต์ และภาวนาเพ่ือการรักษาโรค เป็นวิถีชีวิต และความเชื่อ จัดว่าเป็นภูมิปัญญาทาง การแพทยแ์ ผนไทยซงึ่ มีผลตอ่ สภาพจติ ใจเป็นอย่างดี เพราะการน่ังสมาธิ สวดมนตแ์ ละการภาวนาช่วยให้มีจิตใจ ที่บริสุทธิ์ และทาํ ให้จิตใจเกิดความสงบ กายบริหารแบบไทย หรือกายบรหิ ารทา่ ฤาษดี ดั ตน เปน็ ภูมปิ ัญญาเกิดขน้ึ จากการเล่าตอ่ ๆกันมาของผทู้ น่ี ิยมนั่ง สมาธิ เมอ่ื ปฏิบัตอิ ย่างถกู ตอ้ งจะช่วยรักษาอาการปวดเมื่อย ทาํ ใหเ้ ลอื ดหมุนเวยี นไดด้ ี สร้างสมาธิ และผอ่ น คลายความเครยี ดได้
52 สมุนไพรไทยกบั อาหารไทยๆ 1. หอมแดง โดยมากหากไม่เอามาโขลกทําน้ําพริก ก็หั่นฝอยโรยหน้าเป็นส่วนผสมหอมแดงสามารถต้านเช้ือหวัด ทําให้หายใจได้โล่ง สังเกตง่ายเวลาทานหอมแดงลงไป จมูก จะโล่ง นอกจากน้ันหอมแดงยังมีคุณสมบัติช่วยลดระดับ คอเลสเตอรอล ช่วยกําจัดไขมันเลว (LDL) ซึ่งเป็นต้นเหตุของ การเกิดโรคหัวใจวายและอัมพฤกษ์ อัมพาต และยังรักษา ระดับไขมันชนิดดี (HDL) ได้อีกด้วย และยังมีคุรสมบัติลด ระดับน้าํ ตาลในเลือดไดร้ ้สู รรพคณุ อยา่ งนอ้ี ยา่ เขีย่ ท้งิ นะครบั 2. หอมหัวใหญ่ อาหารหลายๆชนิดเช่นพวกยํานิยมใส่เช่นกัน หอมหัวใหญ่เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วย ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียมฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กํามะถัน ซีลีเนียม บีตาแคโรทีน กรดโฟลิกและฟลาโว นอยดเ์ ควอเซทิน หอมหัวใหญ่มีฤทธฆ์ิ ่าเชือ้ ลดอาการกระตุกของกล้มเนื้อ มีฤทธ์ิมากในการขับสารพิษทั้งที่เป็น โลหะหนักและ พยาธิ เควอเซทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระท่ีดีมากและ ยังสามารถลดโคเลสเตอรอลและความ ดนั เลือดสูง ไดอ้ ีกด้วยนับวา่ สรรพคุณไมธ่ รรมดาจรงิ ๆ 3. พริกช้ีฟ้าแดง แน่นอนอาหารไทยมีรสเผ็ด พริกจึงขาดไม่ได้ พริกเป็นสมุนไพรไทยท่ีมีสารแอนตี้ ออกซแิ ดนต์ มีวิตามินซี สูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซ่ึงคือกรดวิตามินซีซึ่งสารเหล่าน้ี ช่วยขยายเส้นโลหิต ในลําไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีข้ึน ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนําธาตุอาหารไปยัง เน้อื เย่ือตา่ งๆของร่างกาย สําหรบั พริกขี้หนสู ดและพรกิ ช้ฟี า้ ของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 – 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนพี้ ริกยังมีสารเบต้า– แคโรทนี หรอื วติ ามินเอ สงู 4. ตะไคร้ ส่วนใหญ่ใช้ส่วนของเหง้าและลําต้นแก่ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารท่ีสําคัญหลายชนิด เชน่ ตม้ ยํา และอาหารไทยหลายชนิดให้กล่ินหอมมีสรรพคุณทางสมุนไพรไทย ในหลายๆตําราคือ บํารุงธาตุ แก้ โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลําไสท้ าํ ให้เจริญอาหารแกโ้ รคหดื แก้อหิวาตกโรค บํารุงสมอง 5. สะระแหน่ สามารถแก้อาการปวดทอ้ ง ทอ้ งอืด ท้องเฟอ้ ช่วยขบั ลมในกระเพาะ หรือจะรับประทาน สดๆ เพ่ือดับกลิ่นปาก นํ้ามันหอมระเหย ของสะระแหน่ ยังเป็นยาที่ช่วยยับย้ังเช้ือโรค และลดอาการเกร็งของ ลําไส้ นอกจากน้ียังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง โล่งคอ ป้องกันไข้หวัด บํารุงสายตา และช่วยให้หัวใจแข็งแรงในใบ สะระแหนม่ ีเบตา้ -แคโรทีน มากถงึ 538.35RE แคลเซียม 40 กรัม วติ ามนิ ซถี งึ 88 มิลลกิ รมั เมือ่ ทาน 100 กรัม 6. ใบมะกรูด เป็นสมุนไพรท่ีนิยมนํามาปรุงอาหาร หลายๆอย่างมีประโยชน์ทางสมุนไพรเช่น ขับลม ทําให้เลือดลมไหลเวียนดี นอกจากทานแล้ว นํ้ามันหอมระเหยในมะกรูดทําให้ผ่อนคลายได้เหมือนกัน และทํา ใหก้ ลนิ่ ของหารนา่ ทานขึ้นมาก
53 ตอนท่ี 2 ข้อมลู ข่าวสารผลตภิ ณั ฑแ์ ละบริการสขุ ภาพ การศึกษาการเฝา้ ระวังขอ้ มลู ขา่ วสารด้านสขุ ภาพทางสอื่ การศึกษาเฝ้าระวังข้อมูลข่าวเกี่ยวกับสุขภาพทางสื่อวิทยุ มีวัตถุประสงค์เพ่ือติดตามเฝ้าตรวจสอบ ข้อมลู ขา่ วสารเกีย่ วกบั สขุ ภาพทางทางสือ่ วิทยุ สําหรับเยาวชน และเพื่อวิเคราะห์เชิงคุณภาพข้อมูลข่าวสารด้าน สุขภาพจากส่ือวิทยุที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของกลุ่มเป้าหมาย เยาวชน รวมท้ังเสนอแนะวิธีการแก้ไข การ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับสุขภาพทางสื่อวิทยุกลุ่มเป้าหมายในเชิงบวกตลอดจนเสนอแนะวิธีการเฝ้าระวัง ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพทางส่ือสาธารณะในระยะยาว วิธีการศึกษาใช้การรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่นําเสนอ ทางสถานวี ิทยุซ่งึ ไดร้ บั ความนยิ มสูงสดุ จากเยาวชน 4 อันดับ โดยพิจารณาเน้ือหาที่นําเสนอในรายการต่างๆ ท้ัง ในช่วงวันธรรมดาและวันเสาร์ - อาทิตย์ การวิเคราะห์จําแนกตามรายการประเภทต่างๆ ได้แก่รายการสุขภาพ โดยตรง รายการอน่ื ทม่ี ีการสอดแทรกเนอื้ หาดา้ นสุขภาพ โฆษณา และข่าว ผลการศึกษาพบว่า ไม่มีการนําเสนอรายการเพ่ือสุขภาพโดยตรง จากสถานีวิทยุยอดนิยมของเยาวชน รายการสว่ นใหญ่เกอื บรอ้ ยละ 80 เป็นรายการเพลงซ่ึงมี DJ. พูดคยุ กับผู้ฟังรวมทั้งตอบปัญหาเล่นเกมส์เก่ียวกับ เพลง การพูดสอดแทรกเนื้อหาด้านสุขภาพในรายการประเภทดังกล่าวมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการพูดพาดพิง ถึงมากกว่าต้ังใจนําเสนอ สําหรับรายการสนทนาท่ีมีเนื้อหาด้านสุขภาพสอดแทรกอยู่น้ันยังมีอยู่น้อย โดยเป็น การให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์และโทษของการบริโภคอาหาร และเครื่องด่ืม การให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และการป้องกันโรคทั่วๆ ไป การดูแลสุขภาพโดยรวม การออกกําลังกาย เป็นต้น ส่วนการนําเสนอ ข่าวสารที่เก่ียวกับสุขภาพมีการนําเสนอเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปเป็นข่าวเก่ียวกับสถานการณ์ของ โรคระบาดในต่างประเทศและเตรียมความพร้อมเพื่อการป้องกนในประเทศไทย รวมทั้งข่าวประชาสัมพันธ์ กจิ กรรมสง่ เสริมความรดู้ ้านสาธารณสขุ ของหน่วยงานต่างๆ เช่น การจัดประชมุ สัมมนา การจดั อบรม ข้อค้นพบ จากการวิจัย เป็นต้น สําหรับโฆษณาผลิตภัณฑ์ท่ีเก่ียวกับสุขภาพ มีความถ่ีในการออกอากาศมากกว่าโฆษณา สินค้าประเภทอื่นโดยมากเป็นการโฆษณาสินค้าอุปโภค และบริโภคของวัยรุ่น เช่น เคร่ืองสําอาง ขนมขบเคี้ยว เครือ่ งดื่มท่ีวัยร่นุ นิยม เชน่ ชาเขียว เนื้อหาของโฆษณา ใช้คําของข้อความ เชิญชวน และจูงใจที่มีผลกระทบเชิง ลบบา้ ง แตไ่ มร่ ุนแรงนกั
54 ตอนที่ 3 สทิ ธผิ ้บู รโิ ภคและกฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ ง สิทธแิ ละกฎหมายคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภค กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเป็นกฎหมายท่ีเก่ียวกับการดํารงชีวิตของคนในสังคม โดยท่ัวไปจะเกี่ยวข้อง กับการบริโภคสินค้าและการใช้บริการ เช่น มนุษย์ต้องบริโภคอาหาร เคร่ืองด่ืม ต้องใช้บริการรถประจําทาง รถไฟฟ้า รวมทั้งบริการอ่ืน ๆเพ่ืออํานวยความสะดวก เช่น การใช้บัตรเครดิต โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ดังนั้น การบริโภคหรือการใช้บริการต่าง ๆจะต้องได้มาตรฐานและมีคุณภาพครบถ้วนตามท่ีผู้ผลิตได้โฆษณาแนะนํา ไว้ ด้วยเหตุน้ี รัฐในฐานะผู้คุ้มครองดูแลประชาชน หากพบว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการบริโภค สินคา้ และบรกิ ารจะต้องรีบ เข้าไปแกไ้ ขเยียวยาและชดเชยความเสยี หายให้กบั ประชาชน หน่วยงานท่ีคุ้มครองผู้บริโภคมีอยู่หลากหลายและกระจายตามประเภทของการบริโภคสินค้าและ บริการ เช่น 1. กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับอาหาร ยา หรือเครื่องสําอาง เป็นหน้าที่สํานักงาน คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณาสขุ ที่ตอ้ งเข้ามาดูแล 2. กรณีท่ีประชาชนได้รับความเดือดร้อนเก่ียวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก็เป็นหน้าท่ีของ สํานักงานมาตรฐานผลติ ภัณฑอ์ ตุ สาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม ท่ตี ้องเข้ามาดูแล 3. กรณีท่ีประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจจัดสรรท่ีดิน อาคารชุด เป็นหน้าท่ีของ กรมทด่ี ิน กระทรวงมหาดไทยเข้ามาดูแล 4. กรณีท่ีประชาชนได้รับความเดือดร้อนเก่ียวกับคุณภาพหรือราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นหน้าท่ี ของกรมการคา้ ภายใน กระทรวงพานชิ ย์ ทต่ี อ้ งเข้ามาดูแล 5. กรณีท่ีประชาชนไดร้ ับความเดอื ดรอ้ นเกี่ยวกับการประกันภยั หรอื ประกันชวี ิต เปน็ หนา้ ทีข่ อง กรมการประกนั ภยั กระทรวงพานชิ ย์ ทีต่ ้องเข้ามาดแู ล สาํ หรับพระราชบัญญตั ิคุ้มครองผู้บรโิ ภค พ.ศ. 2522 จดั เป็นกฎหมายเฉพาะท่ีท่ไี ม่ซบั ซ้อนหรือขัดกบั อํานาจหน้าทขี่ องหนว่ ยงานที่คุม้ ครองผบู้ รโิ ภคในดา้ นตา่ งๆ ตามตัวอย่างข้างตน้ เพราะหากเกดิ กรณีจําเป็น หนว่ ยงานท่ีรับผิดชอบมิไดด้ าํ เนนิ การแกไ้ ขหรอื ดําเนินการไม่ครบถว้ นตามข้นั ตอนของกฎหมาย ผ้เู ดือดรอ้ น สามารถรอ้ งเรยี นตอ่ สํานกั งานคณะกรรมการคุ้มครองผ้บู ริโภค สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพอ่ื ใหส้ ่ังการแก้ไข แทนได้ เพราะสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหน่วยงานค้มุ ครองดา้ นการบรโิ ภคสินคา้ และ บริการท่วั ไปนอกเหนือจากการทํางานของหนว่ ยงานอื่นๆ กฎหมายคมุ้ ครองผ้บู ริโภค ได้บัญญตั สิ ิทธขิ องผ้บู ริโภคได้ 4 ประการคอื 1) สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร รวมท้ังคําพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเก่ียวกับสินค้าและบริการ เพื่อการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าหรอื รบั บรกิ ารอย่างถกู ต้อง ทาํ ให้ไม่หลงผดิ ในคณุ ภาพสนิ คา้ และบริการ 2) สิทธิที่จะมอี ิสระในการเลือกสนิ ค้าและบรกิ ารโดยปราศจากการชักจงู กอ่ นตดั สินใจซื้อสนิ ค้า 3) สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการสินค้าท่ีมีคุณภาพและได้มาตรฐาน เหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อใหเ้ กดิ อันตรายแกร่ า่ งกายหรอื ทรพั ย์สนิ ในกรณที ใี่ ช้ตามคําแนะนาํ ของผ้ผู ลิต 4) สิทธิท่ีจะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย อันหมายถึง สิทธิท่ีจะได้รับการคุ้มครอง และ ชดใช้ค่าเสยี หาย เม่อื มกี ารละเมิดสทิ ธิผ้บู รโิ ภค
55 นอกจากน้ี ผู้บริโภคจะต้องปฏิบัติหน้าท่ีของผู้บริโภค โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงหน้าท่ีของ ผูบ้ ริโภคท่ีควรปฏบิ ตั ิ คือ 1) ผู้บรโิ ภคต้องใชค้ วามระมัดระวงั ตามสมควรในการซอ้ื สนิ คา้ หรอื รับบริการ เชน่ ตรวจสอบฉลาก แสดงราคาและปริมาณ ไม่หลงเช่ือในคาํ โฆษณาคุณภาพสนิ ค้า 2) การเข้าทําสญั ญาผกู มัดการตามกฎหมาย โดยการลงมอื ชือ่ ตอ้ งตรวจสอบความชัดเจนของภาษาที่ ใชต้ ามสญั ญาให้เข้าใจรดั กุม หรอื ควรปรึกษาผรู้ ้ทู างกฎหมายหากไมเ่ ขา้ ใจ 3) ขอ้ ตกลงต่าง ๆ ท่ตี อ้ งการให้มผี ลบงั คบั ใช้ ควรทําเป็นหนงั สอื และลงลายมือชอ่ื ผูป้ ระกอบธรุ กิจด้วย
56 แผนการเรียนรปู้ ระจาํ บท บทที่ 10 การบริหารจดั การชีวติ เพ่อื สขุ ภาพ สาระสาํ คญั คนทกุ คนควรรกั ษาสุขภาพใหแ้ ข็งแรงอยเู่ สมอและสร้างภูมิคมุ้ กนั โรคด้านการบรหิ ารจัดการชวี ติ มีการ ประเมินภาวะสขุ ภาพและปรบั พฤติกรรมสุขภาพเพอื่ การมีสขุ ภาพที่ดี ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั 1. สามารถวางแผนชีวิตเพอื่ การมสี ขุ ภาพท่ดี ี 2. สามารถตรวจสอบและประเมินภาวะสขุ ภาพ 3. สามารถปรบั พฤติกรรมสขุ ภาพ ขอบขา่ ยเนอื้ หา ตอนท่ี 1 การวางแผนชีวติ เพ่ือการมีสขุ ภาพที่ดี ตอนที่ 2 การตรวจสอบและประเมนิ ภาวะสุขภาพ ตอนที่ 3 การปรบั พฤตกิ รรมสขุ ภาพ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบัติกจิ กรรมตามที่ได้รบั มอบหมายในเอกสารการสอน ส่อื และอปุ กรณ์ประกอบการสอน 1. ใบงาน 2. เอกสารประกอบการเรียนรู้ 3. อนิ เทอรเ์ นต็ การวัดและประเมินผล 1. สงั เกตความสนใจในการเรียนการสอน 2. การอภิปรายแสดงความคิดเห็น 3. ตรวจแบบฝึกหดั ท้ายบท
57 ตอนที่ 1 การวางแผนชวี ติ เพ่อื การมสี ขุ ภาพท่ีดี การวางแผนชวี ติ ในอนาคตควรเรมิ่ ต้นอยา่ งไรถึงจะดี ต้องมเี ปา้ หมายทีช่ ัดเจนสามด้านนี้ แล้ววางแผนว่าจะทําอย่างไรกจ็ ะเริม่ ต้นได้ 1. ปจั จยั เรือ่ งความสขุ ในชวี ติ จติ ใจ 2. ปจั จยั เรื่องการงานและการเงนิ 3. ปัจจัยเรื่องสงั คม ครอบครวั 1. ปัจจยั เร่อื งความสขุ ในชวี ิตจิตใจ หลักๆ แล้วมันก็คือการที่จะต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร ทําความรู้จักตัวเองเยอะๆ ถ้ายิ่งมีปรัชญาหรือ แนวคิดประจําใจดีๆ ก็จะช่วยได้มาก ของผมไม่ได้ดีเด่อะไรครับ แค่ \"Do what you love and make it works\" ก็พอแล้ว แคไ่ ด้ทาํ สิ่งท่ชี อบและมคี วามสขุ ไปกบั มัน ชวี ติ กม็ ีความสขุ มากแล้ว 2. ปัจจัยเรือ่ งการงานและการเงนิ อนั นี้ตอ้ งรูว้ ่าตวั เองชอบอะไร ถนดั อะไร ขีดจาํ กดั ของเราอยตู่ รงไหน จะเดนิ ขา้ มขีดจาํ กดั ไปไหม หรอื จะอยู่แค่ตรงน้ี ต้องประเมินตัวเองด้วยความม่ันใจก่อน จากนั้นก็ตั้งเป้าหมายว่าจะไปอย่างไร อาจจะวางแผน 3 ปีน้ีจะทําอะไรบ้างเพื่อไปถึงจุดนั้นๆ อายุเท่านี้ควรจะมีเงินออมเท่าไหร่ มีเงินลงทุนเท่าไหร่ มีเงินเก็บฉุกเฉิน เท่าไหร่ เปรียบเปรยกับการเดินเขา ถ้าเรารู้ว่าถ้าไปยอดเขามันมีอากาศดี และนอนสบาย เราอยากไปยอดเขา เราก็จะต้องรู้ว่าวิธีท่ีจะไปยอดเขาไปอย่างไร แล้วถ้าเราเป็นคนท่ีร่างกายไม่แข็งแรง จะห้องมีลูกหาบมาช่วย หิ้วของขึ้นไปไหม ก็จะต้องคิดแล้ว สําหรับผมเอง การมีความสุขคือการที่ได้ทําในส่ิงท่ีเรารัก แล้วทําออกมาได้ สําเร็จ และทําให้คนรอบข้างและสังคมดีขึ้น มันเลยผูกไปกับเรื่องงานค่อนข้างมาก เพราะผมจะเป็นคนที่ใช้เงิน ซื้อความสขุ ค่อนขา้ งเยอะ ซึ่งบางครัง้ ก็ไมใ่ ช่เร่ืองถูกตอ้ งนัก ตามตาํ ราว่ากนั วา่ เราควรจะสุขได้จากใจ 3. ปจั จัยเรือ่ งสังคม ครอบครวั ปัจจัยเร่ืองสังคมและครอบครัวเพื่อนฝูงคือปัจจัยในการผลักดันให้เราอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข และผลักดันให้เรามีความสุขด้วย แต่ที่ผมไม่รวมเอาข้อสามไปรวมกับข้อแรกและข้อที่สอง เพราะสังคมกับ ครอบครวั มีปจั จัยเรื่อง \"คน\" และ \"จิตใจ\" เขา้ มาเก่ียวข้องเยอะที่สุด บางคร้ังก็มีเหตุผล (การตัดสินใจเรื่องย้าย บ้าน และเร่อื งเพ่อื น จิปาถะ) บางคร้งั ก็ไม่มเี หตุผล (เชน่ ความรัก) ปัจจัยเรอื่ งครอบครัวน่กี ส็ ําคัญคอื พ่อแม่ และ บุตรภรรยา น่ีเป็นเร่ืองท่ีวางแผนดีก็ดีไป ไม่ดีน่ีพาล่มจมได้เหมือนกัน ผมเองแม้ยังไม่ผ่านมาทั้งหมด แต่ฟังจาก ผู้ใหญ่หลายๆ คนแล้วสรุปได้ว่าในเร่ืองของ \"คน\" เราไม่มีสูตรตายตัวในการวางแผนและจัดการครับ แต่เรา สามารถ \"ฝัน\" ไว้ได้ว่าเราอยากได้สังคมและครอบครัวอย่างไร เช่น ถ้าเราฝันไว้ว่าวันหน่ึงเราอยากจะอยู่ใน สังคมท่ีมีแต่ความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ ถ้าวันๆ เรามัวแต่ค้าขายหลักทรัพย์ผมว่าลําบากที่จะบรรลุข้อนี้ แต่ถ้าเรา ทํางานการกุศล ช่วยเหลือคนอ่ืนเม่ือตัวเองพร้อม สิ่งท่ีจะได้กลับมาก็คือความเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ ซ่ึงจะซ้อนกันกับ ข้อหนง่ึ ดว้ ย
58 ตอนท่ี 2 การตรวจสอบและประเมนิ ภาวะสขุ ภาพ การประเมินสภาวะสขุ ภาพ การซักประวัติ (history taking) และตรวจร่างกาย (physical examination) เป็นหัวใจสําคัญของ กระบวนการประเมินสภาวะสุขภาพความสําเร็จของกระบวนการดังกล่าวขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ และผู้ป่วย (patient-doctor relationship) และความสามารถในการคิดวิเคราะห์และใช้เหตุผลทางคลินิก (clinical reasoning) กระบวนการทัง้ หมดจะต้องดําเนินไปด้วยกันอย่างสอดคล้องทําให้ได้ข้อสรุปของประเด็น ท่เี ป็นปัญหาด้านสุขภาพของผปู้ ่วยในทุกๆดา้ นไมใ่ ชเ่ ฉพาะเพอื่ การวินิจฉยั โรค (disease) ให้ได้แต่จะต้องรวมถึง ความเจ็บป่วย (illness) ท่ีเกิดจากการรับรู้ของผู้ป่วยซ่ึงอาจมีความหมายมากกว่าการเป็นโรคประเด็นปัญหาที่ วิเคราะหไ์ ด้จะถกู นาํ มาใช้ในการวางแผนการรักษาให้ครอบคลุมอีกท้ังเป็นตัวกํากับทิศทางหากจําเป็นต้องมีการ ตรวจเพ่มิ เติมทางห้องปฏิบัติการและเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมทักษะทางคลินิกเหล่าน้ีเป็นหัวใจของแพทย์ เวชปฏิบัติที่ต้องทําความเข้าใจหมั่นฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ไปตลอดช่ัวชีวิตของการเป็นแพทย์เพราะ นอกจากจะต้องพบกับผู้ป่วยที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านอายุเพศภูมิหลังเศรษฐานะวัฒนธรรมความเช่ือและ ความคาดหวังของตัวผู้ป่วยเองแล้วยังต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความคาดหวังที่เกิดจากสังคมและปัจจัย แวดล้อมอ่ืนๆที่รุมเร้าเข้ามาในระบบการให้บริการทางสาธารณสุขเช่นระบบประกันสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคน ที่แตกตา่ งกนั อยา่ งมากนโยบายของรฐั ทต่ี ้องการลดคา่ ใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลส่ือสาธารณะและการโฆษณา ท่ีกระตุ้นความต้องการของผู้ป่วย (demand) เพ่ือให้มีโอกาสได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเพ่ือการรักษาและอัตราการ ฟ้องร้องที่สูงข้ึนปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและพฤติกรรมของแพทย์อย่างมากการ ประเมินสภาวะสุขภาพของผู้ป่วยจึงเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์จําเป็นต้องประเมินให้ครอบคลุมในทุกๆด้านให้ ความสําคัญกับการรับรู้ของผู้ป่วย (patient perception) เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของเขา (illness หรือ health problems) มากกว่าที่จะมุ่งจะวินิจฉัยโรค (diagnosis) และให้การรักษาตามความรู้การการแพทย์ (medical knowledge) ทไี่ ด้ร่าํ เรียนมาตามการรบั รขู้ องผูป้ ่วย
59 แบบประเมนิ สขุ ภาพและปจั จัยทส่ี ่งผลตอ่ สขุ ภาพ การประเมินภาวะสขุ ภาพด้วยตนเอง แบง่ วิธีการใหร้ ะดับภาวะสุขภาพ เปน็ 2 วธิ ี วิธีท่ี 1 ให้คะแนนในประเดน็ ย่อย และมหี ลกั เกณฑใ์ นการแบง่ ระดับคะแนน โดยมขี ั้นตอนดงั น้ี 1) แบ่งประเด็นย่อย และถามประเด็นย่อย ในแตล่ ะหัวข้อหลัก 2) ใหร้ ะดับคะแนนในแตล่ ะประเดน็ ยอ่ ย และมหี ลกั เกณฑ์หรอื คาํ อธบิ ายสําหรบั แตล่ ะระดับคะแนน โดย แบ่งเป็นคะแนน 1,2,3 โดยคะแนน 1 หมายถึง มีภาวะสุขภาพไมด่ ี คะแนน 3 หมายถึงมีภาวะสขุ ภาพ ดี 3) นาํ คะแนนของประเด็นยอ่ ย มารวมกัน เปน็ คะแนนของหัวขอ้ หลัก วิธีที่ 2 ให้คะแนนโดยรวมในแต่ละหัวข้อหลัก โดยแบ่งเป็นระดับ 1-10 แล้วให้ประมาณว่าภาวะสุขภาพอยู่ ในช่วงใด โดยระดับที่ 1 หมายถึงมีภาวะสุขภาพแย่ท่ีสุด และคะแนน 10 หมายถึงมีภาวะสุขภาพดีท่ีสุด ทั้งนี้ ระดับคะแนนท่ีได้ ไม่ได้เน้นเพ่ือการนําไปคํานวณเป็นดัชนีรวมด้านสุขภาพ (Composite Index) ซึ่งต้องอาศัย เครื่องมือท่ีผ่านการทดสอบความเที่ยงตรงและมีมาตรฐาน แต่เน้นเพ่ือการกระตุ้นให้เกิดความตระหนัก โดยมี คําแนะนําประกอบเพิ่มเติม สําหรับบุคคลท่ีมีภาวะสุขภาพที่ยังไม่สมบูรณ์ เพ่ือช่วยสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา ตนเองใหม้ ภี าวะสุขภาพทดี่ ียิง่ ขึน้ โดยเอกสารคาํ แนะนําเพมิ่ เตมิ จะระบไุ วใ้ นหมายเหตุของแตล่ ะประเด็นย่อย 1. ทา่ นมีสขุ ภาพร่างกายทแี่ ข็งแรง เพียงใด 1.1 ทา่ นมสี มรรถภาพรา่ งกายทีแ่ ขง็ แรงอยู่ในระดบั ใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน ** สามารถทาํ งานทต่ี ้องใช้กาํ ลงั มาก สามารถทาํ งานทีต่ ้องใช้กาํ ลังปาน ไม่สามารถทาํ งานทต่ี อ้ งใช้กาํ ลงั ปาน หรอื ออกกําลงั กายอย่างหนักโดย กลางหรอื ออกกาํ ลงั กายปานกลาง กลางหรือออกกาํ ลงั กายปานกลางได้ ไมเ่ หน่อื ยง่าย ได้ แต่ถ้าออกแรงมากจะร้สู กึ เน่อื งจากกลา้ มเนอ้ื ขาดกําลงั หรอื เหน่ือย รู้สึกเหน่อื ย * คู่มอื การเสรมิ สร้างสมรรถนะร่างกาย ** คู่มือการฟน้ื ฟสู ภาพกลา้ มเนอื้ และการเคล่อื นไหวรา่ งกาย 1.2 ทา่ นมคี วามเจ็บปว่ ยจากโรคเรอื้ รงั เชน่ โรคเบาหวาน ความดนั โลหิตสูง โรคหวั ใจหรือไม่ เพียงใด 3 คะแนน * 2 คะแนน ** 1 คะแนน ** ไมป่ ว่ ยดว้ ยโรคเบาหวาน ความ ปว่ ยด้วยโรคเบาหวาน และ/หรอื ปว่ ยด้วยโรคเบาหวาน และ/หรอื ดันโลหิตสูง และโรคหวั ใจ ความดันโลหติ สูง และ/หรือ ความดันโลหิตสงู และ/หรอื โรคหวั ใจ โรคหัวใจ แต่สามารถควบคุมโรคและอาการ และไม่สามารถควบคมุ โรคและ ของโรคได้ และสามารถทาํ งาน อาการของโรคได้ และ/หรือไม่ หรือใช้ชวี ิตได้ตามปกติ สามารถทํางานหรือใช้ชีวติ ได้ ตามปกติ * คมู่ ือการปอ้ งกนั และตรวจคดั กรองโรคเรอ้ื รัง ** ค่มู อื การดูแลรกั ษาโรคเรอ้ื รัง
60 1.3 ท่านสามารถช่วยเหลอื ตนเองในการทํากจิ วตั รประจําวนั ได้เพียงใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน ** สามารถชว่ ยเหลือตนเองในการ สามารถชว่ ยเหลอื ตนเองในการทํา ไมส่ ามารถช่วยเหลอื ตนเองในการทาํ ทํากิจวตั รประจําวนั ได้ตามปกติ กิจวัตรประจาํ วันได้ แต่ต้องมี กจิ วัตรประจําวันได้ ตอ้ งมีผู้ดแู ลใน อุปกรณ์พิเศษในการชว่ ยให้ การทํากจิ วตั รประจาํ วัน สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้ * คู่มือการใช้อปุ กรณ์ฟื้นฟูสภาพ ** คมู่ อื การใหก้ ารดูแลและฟน้ื ฟสู ภาพผู้ทช่ี ่วยเหลือตนเองไมไ่ ด้ รวมคะแนนข้อ 1.1. ถงึ 1.3 = …………… คะแนน จากคะแนนเตม็ 9 คะแนน 1.4 หากพิจารณาโดยรวม ท่านคิดวา่ ทา่ นมสี ขุ ภาพรา่ งกายทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณอ์ ยู่ในระดบั ใด คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 แขง็ แรงน้อยท่ีสดุ แขง็ แรงมากที่สดุ ไมส่ ามารถชว่ ยเหลือ สามารถทํางานหนกั ได้ 2. ท่านมสี ุขภาพจติ ทด่ี ีและมคี วามพึงพอใจในชวี ติ เพยี งใด 2.1 ปัจจุบนั ทา่ นมีความสุขและมคี วามพงึ พอใจในชีวติ ที่ทา่ นเปน็ อยเู่ พยี งใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน * มคี วามสุขและมีความพึงพอใจใน มีความสุขและมีความพงึ พอใจใน ไมม่ ีความสุขและไมม่ ีความพงึ พอใจ ชวี ิตมาก ไม่ต้องการสิง่ ใดทีม่ าก ชวี ิตอยู่บ้าง แต่ยงั ตอ้ งการบางส่งิ ในชวี ิต เนื่องจากชีวติ มีความทุกข์ ไปกว่าที่เปน็ อยู่ บางอยา่ งเพื่อให้ชีวิตมีความสขุ และขาดสงิ่ ท่จี ะทําใหช้ วี ติ มคี วามสุข มากยิ่งขนึ้ * คมู่ อื การเสรมิ สรา้ งความสขุ และความพอใจในชีวติ 2.2 ทา่ นสามารถจัดการกับความเครยี ดและปญั หาชีวิตทีเ่ กิดขึ้นไดม้ ากน้อยเพยี งใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน * ปญั หาชีวิตทีเ่ กดิ ขึ้น สามารถ ปัญหาชวี ิตทเี่ กดิ ข้ึน สามารถ ปญั หาชวี ติ ทเี่ กิดข้นึ ไมส่ ามารถ จดั การได้ โดยมีความเครียดในชีวิต จัดการได้ โดยอาศยั สติและ จดั การได้ บา้ งไม่ไดบ้ า้ ง โดยมี มาก ตอ้ งการการรักษาดว้ ยยา ตลอดเวลา โดยมผี ลกระทบต่อการ เหตุผล โดยมคี วามเครยี ดนอ้ ย ความเครียดในชวี ิตปานกลาง ทาํ งาน หรอื การใช้ชีวติ ประจําวัน และสามารถจดั การไดเ้ ปน็ อยา่ งดี บางคร้ังตอ้ งอาศัยการกินยาบา้ ง แต่ไม่กระทบตอ่ การทํางาน หรือ การใชช้ ีวติ ประจาํ วนั * คู่มอื การจดั การความเครียดและปัญหาชวี ติ
61 2.3 ทา่ นมคี วามภาคภมู ิใจในตนเองเพียงใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน * มีความภาคภมู ใิ จในชีวติ มาก มีความภาคภูมใิ จในชีวิตปานกลาง มีความภาคภูมใิ จในชีวิตน้อยหรอื ไม่ เนอื่ งจากประสบความสําเรจ็ ใน ประสบความสาํ เร็จบา้ ง โดยมี มี ไม่เคยประสบความสําเร็จในชีวิต การดํารงชวี ิต การงาน ภูมปิ ัญญา ความเคารพนับถอื ตนเอง และคดิ และคิดว่าตนเองไม่มสี ิ่งใดทค่ี วร หรือได้รบั ความเคารพยกย่องจาก ว่าจะสามารถพัฒนาตนเองได้ ไดร้ ับการเคารพยกย่องหรอื ผู้อน่ื ภาคภมู ใิ จ ทั้งจากตนเองและจาก ผู้อนื่ * คมู่ ือการสร้างความภาคภูมิใจใหต้ นเอง รวมคะแนนขอ้ 2.1. ถึง 2.3 = …………… คะแนน จากคะแนนเตม็ 9 คะแนน 2.4 หากพจิ ารณาโดยรวม ทา่ นคิดวา่ ทา่ นมีสุขภาพจิตและความพึงพอใจในชวี ิตอยใู่ นระดบั ใด คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไมม่ ีความพงึ พอใจในชีวติ ไม่ พงึ พอใจในชีวิตมาก สามารถ สามารถจดั การปัญหาชีวติ ได้ จดั การปัญหาชีวติ ได้ดี 3.ท่านมพี ฤติกรรมสขุ ภาพทเี่ หมาะสม เพียงใด 3.1 ท่านมพี ฤตกิ รรมการสูบบหุ ร่ี และด่ืมสรุ า มากน้อยเพียงใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน * ไม่สูบบุหรห่ี รือดมื่ สุรา หรือเคย แต่ปจั จุบนั เลกิ อยา่ งเด็ดขาด สูบบหุ ร่ี และ/หรอื ดื่มสรุ าบ้างเปน็ สบู บหุ ร่ี และ/หรือดม่ื สุราเปน็ ประจาํ บางครงั้ โดยเขา้ ใจในโทษ และ ไมส่ ามารถลดปริมาณหรือเลกิ ได้ * คมู่ อื การลดเลกิ บุหร่ี และสรุ า พยายามลดการสูบบหุ รหี่ รอื ด่ืม หากหยุดจะมีอาการ สุราลง 3.2. ทา่ นมกี ารปอ้ งกันความเส่ียงจากโรคตดิ ตอ่ และการบาดเจบ็ ทปี่ อ้ งกันได้ มากนอ้ ยเพยี งใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * คาํ นึงถงึ และปฏิบตั ิตามหลักความ คํานึงถึงและปฏิบัติตามหลักความ ไมค่ าํ นึงถงึ และไมป่ ฏบิ ัตติ ามหลกั ไม่ประมาทเพือ่ การป้องกันการ ไมป่ ระมาทเพอ่ื การป้องกันการเกดิ ความไมป่ ระมาทเพือ่ การปอ้ งกนั การ เกดิ โรคและการการบาดเจบ็ อยู่ โรคและการการบาดเจบ็ เป็นสว่ น เกดิ โรคและการการบาดเจ็บ เช่น มี ตลอดเวลา เช่น การมี ใหญ่ เช่น การมีเพศสัมพนั ธท์ ี่ เพศสัมพนั ธท์ ไ่ี ม่ปลอดภัย และ/หรอื เพศสัมพนั ธ์ท่ปี ลอดภยั และการ ปลอดภยั และการขับขี่โดยไม่ การขับขรี่ ถโดยประมาทและไม่มีการ ขบั ขโี่ ดยไม่ประมาท และมีการ ประมาท และมีการป้องกัน ป้องกนั อนั ตรายจากอุบตั เิ หตุ ป้องกันอนั ตรายจากอุบัตเิ หตุ อนั ตรายจากอุบัตเิ หตุ * คมู่ อื การมเี พศสัมพันธท์ ่ีปลอดภัย และคู่มอื การขบั ขป่ี ลอดภยั
62 3.3 ท่านมพี ฤตกิ รรมการออกกําลงั กาย และการบรโิ ภคผกั ผลไม้ มากน้อยเพียงใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * มีการออกกําลงั กายหรือใชก้ าํ ลัง มีการออกกาํ ลังกายหรือใช้กําลงั มีการออกกําลังกายหรือใชก้ ําลงั กาย กายอยา่ งสมาํ่ เสมอใน กายปานกลาง แตอ่ าจจะไม่ น้อยมาก และไมส่ ม่าํ เสมอ และ ชีวิตประจําวนั และบริโภคผกั สม่าํ เสมอ และบริโภคผักและ บริโภคผกั และผลไม้บ้างเพียง และผลไม้ในปริมาณทเี่ พยี งพอ ผลไมบ้ า้ ง แตป่ รมิ าณอาจจะไม่ เล็กน้อย เพยี งพอ * คู่มอื การออกกําลงั กาย และคมู่ อื การบริโภคอาหารท่ีถูกหลักโภชนาการ รวมคะแนนข้อ 3.1. ถงึ 3.3 = …………… คะแนน จากคะแนนเต็ม 9 คะแนน 3.4.หากพจิ ารณาโดยรวม ท่านคดิ วา่ ทา่ นมพี ฤตกิ รรมสขุ ภาพทเี่ หมาะสม อย่ใู นระดบั ใด คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 มีพฤตกิ รรมเสยี่ งตอ่ สขุ ภาพมาก และไม่ ไมม่ ีพฤติกรรมเส่ยี งตอ่ สขุ ภาพ และมี มีพฤตกิ รรมท่ีเป็ นผลดีตอ่ สขุ ภาพ พฤตกิ รรมเสริมสขุ ภาพท่ีเพียงพอ 4. ท่านมคี วามยึดมั่นและปฏบิ ัติตามหลักคุณธรรมหรอื หลักศาสนา เพยี งใด 4.1 ท่านมคี วามยดึ มั่นและปฏบิ ตั ิตามหลกั คุณธรรมในการอยรู่ ว่ มกบั ผู้อ่ืน เพียงใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * ยึดและปฏบิ ัติตามหลกั การให้ ยดึ และปฏิบัติตามหลกั การให้ทาน ไมไ่ ดย้ ดึ หรือปฏิบตั ติ ามหลักการให้ ทาน การใหอ้ ภยั ความสุจรติ การใหอ้ ภยั ความสจุ รติ และความ ทาน การให้อภัย ความสจุ รติ และ และความสาํ นกึ รบั ผิดชอบในการ สํานึกรับผิดชอบในการกระทาํ ของ ความสํานึกรบั ผิดชอบในการกระทํา กระทําของตนเอง อยา่ งสม่ําเสมอ ตนเอง เปน็ บางครั้ง ของตนเอง * คมู่ อื คณุ ธรรม 4.2 ทา่ นยดึ หลักศาสนาและปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนาทท่ี า่ นนับถือ เพยี งใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * ยึดและปฏิบัติตามหลักศาสนา ยดึ และปฏิบตั ติ ามหลักศาสนาบ้าง ยดึ และปฏบิ ตั ติ ามหลักศาสนานอ้ ย อยา่ งเครง่ ครดั ด้วยความเขา้ ใจใน โดยเข้ารว่ มกิจกรรมทางศาสนา โดยเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนานอ้ ย คําสอนและเหตผุ ลของคาํ สอน แตย่ งั มีความเข้าใจในคาํ สอนของ และไมเ่ ข้าใจในคาํ สอนของศาสนา ของศาสนา ศาสนาไมม่ ากนัก * หลกั การและแนวทางการปฏบิ ตั ิตามหลกั ศาสนา
63 4.3 ทา่ นคดิ วา่ ทา่ นมอี สิ รภาพในการดาํ รงชวี ิต ไม่ยดึ ตดิ หรือเปน็ ทาสตอ่ ปจั จัยภายนอก เพยี งใด 3 คะแนน 2 คะแนน 1 คะแนน มีอสิ รภาพจากสงิ่ ภายนอก มอี ิสรภาพจากสง่ิ ภายนอกปาน ไมม่ อี สิ รภาพจากส่ิงภายนอก ดํารงชวี ิตโดยไม่ยดึ ติดหรอื เป็น กลาง ดาํ รงชวี ิตโดยอาจจะยึดติด ดาํ รงชวี ิตโดยต้องยึดตดิ หรอื เปน็ ทาส ทาสวัตถุ และบุคคล เวน้ แตย่ ดึ ใน หรือเป็นทาสวัตถุ และบุคคล ใน วัตถุ และบุคคล ตลอดเวลา และยงั หลกั คณุ ธรรม บางคร้งั แตพ่ ยายามที่จะลดภาวะ ไมเ่ ห็นหนทางที่จะลดภาวะยึดติด ยดึ ตดิ หรือเปน็ ทาสน้นั ลง หรือเปน็ ทาสนั้นลงได้ * แนวทางลดอิทธพิ ลจากส่งิ ภายนอกและการสร้างอิสรภาพใหต้ นเอง รวมคะแนนข้อ 4.1 ถึง 4.3 = …………… คะแนน จากคะแนนเต็ม 9 คะแนน 4.4 หากพจิ ารณาโดยรวม ทา่ นคดิ วา่ ทา่ นยดึ มนั่ และปฏบิ ัตติ ามหลักคณุ ธรรมหรือหลักศาสนา ในระดบั ใด คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไมย่ ดึ หรือปฏิบตั ิตาม ยดึ และปฏิบตั ิตามหลกั หลกั คณุ ธรรม หรือ คณุ ธรรมหรือศาสนาในการ ศาสนาในการดํารงชีวิต ดํารงชีวติ อยา่ งเคร่งครัด 5. ท่านมีโอกาสศกึ ษาและเรยี นรอู้ ยา่ งเพยี งพอสาํ หรับการดํารงชวี ติ เพยี งใด 5.1 ท่านมโี อกาสไดร้ บั การศกึ ษาอย่างเพยี งพอสาํ หรบั การดาํ รงชวี ิตเพยี งใด 3 คะแนน 2 คะแนน * 1 คะแนน * ไดร้ บั การศึกษาตามความตอ้ งการ มีโอกาสไดร้ บั การศกึ ษาตาม มีปญั หาอุปสรรคในการไดร้ ับ และความสามารถ โดยไมม่ ี การศกึ ษาภาคบังคบั แตอ่ าจจะมี การศกึ ษาถงึ แม้จะเป็นการศึกษา อปุ สรรคทางการเงนิ หรือความ อปุ สรรคทางการเงินหรือความ ภาคบังคบั เน่ืองจากปญั หาทางการ พร้อมของครอบครัว พร้อมของครอบครวั ในการศกึ ษา เงนิ หรือความพรอ้ มของครอบครวั ในระดับทีส่ งู ขนึ้ * การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน 5.2 ท่านมีโอกาสเรียนรแู้ ละเขา้ ถึงแหลง่ ความรูท้ ี่นอกเหนอื จากการศกึ ษาในภาคปกติ เพียงใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * สามารถเข้าถงึ แหล่งความรทู้ งั้ ใน สามารถเข้าถงึ แหล่งความรูใ้ น ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งความรทู้ งั้ ใน ชมุ ชน และแหลง่ ความรู้ ชุมชน แตม่ ขี อ้ จํากดั ในการเข้าถึง ชมุ ชน และแหลง่ ความรู้สาธารณะ สาธารณะ ไดอ้ ย่างเพียงพอ ตาม แหลง่ ความรู้สาธารณะ ความต้องการ * คูม่ อื การเรียนร้ใู นชุมชน
64 5.3 ทา่ นมีการเรยี นรเู้ พอื่ การพัฒนาทกั ษะชวี ติ สาํ หรับการใชช้ ีวติ ประจําวนั เพียงใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * มีทักษะในการแสวงหาความรู้ มีทักษะในการแสวงหาความรู้ ขาดทกั ษะในการแสวงหาความรู้ แก้ไขปญั หาชีวิตโดยใช้เหตผุ ล มี แต่อาจจะประสบปญั หาในการ ส่วนใหญจ่ ะไมส่ ามารถแกไ้ ขปัญหา ความไมป่ ระมาทในการดาํ เนิน แก้ไขปญั หาชีวิต ไมส่ ามารถ ชวี ติ เองได้ ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื ชีวิต ทางออกใหก้ บั ชีวติ ในบางเรอื่ งท่ี จากบุคคลอืน่ แกไ้ ขได้ยาก * ค่มู อื การเสรมิ สรา้ งทักษะชวี ติ รวมคะแนนข้อ 5.1 ถงึ 5.3 = …………… คะแนน จากคะแนนเต็ม 9 คะแนน 5.4 หากพิจารณาโดยรวม ทา่ นคดิ ว่าทา่ นมีโอกาสในการศึกษาและการเรยี นรใู้ นการดาํ รงชีวติ ในระดับใด คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ขาดโอกาสในการศกึ ษา มีโอกาสในการศกึ ษา การ และไมส่ ามารถแก้ไข เข้าถงึ แหลง่ ความรู้ และมี ปัญหาชีวติ ได้ ทกั ษะในการดํารงชีวิต 6. ท่านมีปัจจยั ดาํ รงชวี ติ ทเี่ พยี งพอและมคี วามมัน่ คง เพียงใด 6.1 ทา่ นสามารถหาอาหารเพ่อื การบริโภคทเี่ พยี งพอต่อการดาํ รงชวี ติ เพยี งใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * มีอาหารและนา้ํ บริโภคอยา่ ง มีอาหารและนา้ํ บรโิ ภคอย่าง มีการขาดแคลนอาหารและนํ้า เพียงพอ ตามความตอ้ งการ โดย เพยี งพอ เป็นส่วนใหญ่ บางครง้ั ก็ บริโภค อนั เน่อื งจากขาดกาํ ลงั ซอื้ การซือ้ หรือผลติ อาหารดว้ ยตนเอง ขาดแคลนอาหารและน้ํา แต่ไม่ อาหารมาบริโภค และไมส่ ามารถ สง่ ผลต่อสุขภาพ ผลิตอาหารเพ่ือบรโิ ภคได้เพียงพอ อนั สง่ ผลต่อสขุ ภาพ * แนวทางการพัฒนาแหลง่ อาหารในชุมชน และคมู่ ืออาหารปลอดภัย 6.2 ทา่ นมีท่อี ยูอ่ าศัยที่มนั่ คง ปลอดภยั และถกู สุขลักษณะ เพยี งใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * มที อ่ี ยอู่ าศยั เปน็ ของตนเองท่ีมี มที ่ีอย่อู าศัยเป็นของตนเองแตม่ ี ไม่มที ีอ่ ย่อู าศัย หรอื มีไมอ่ ยู่อาศยั ท่ีไม่ ปลอดภยั หรือเปน็ อนั ตรายต่อชวี ติ พ้ืนท่เี พยี งพอกับสมาชกิ ใน พน้ื ที่ไมเ่ พียงพอกับสมาชกิ ใน และสุขภาพ ครอบครัว มคี วามมัน่ คงแข็งแรง ครอบครวั หรอื ขาดความมน่ั คง และถกู สขุ ลักษณะ แข็งแรง หรอื ไมถ่ ูกสขุ ลกั ษณะ หรอื มที ี่อยอู่ าศัยแตไ่ ม่ใช่ของ ตนเอง * มาตรฐานทอี่ ยอู่ าศยั ทถ่ี กู สขุ ลักษณะ
65 6.3 ท่านมรี ายไดท้ พ่ี อเพยี งกับรายจ่ายสาํ หรับการดาํ รงชวี ิตประจําวนั เพยี งใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * มีรายไดท้ ่ีมีความม่ันคงแนน่ อน มีรายได้ทเี่ พยี งพอกบั รายจา่ ยใน มีรายไดท้ ไ่ี ม่แนน่ อนและไม่เพยี งพอ และมคี วามเพยี งพอกับรายจ่ายใน ชวี ติ ประจาํ วัน แตม่ ภี าระหนสี้ ิน กบั รายจ่ายในชีวติ ประจาํ วนั มภี าระ ชวี ิตประจําวนั และมีเหลือ อันเนอื่ งมาจากรายจา่ ยประจําวัน หนสี้ ิน มคี วามขาดแคลนในการ บางสว่ นสาํ หรบั การออม หรอื การ และไมม่ เี หลอื สาํ หรับการออม แสวงหาเครือ่ งอปุ โภค บริโภค เพอื่ ลงทุน การดํารงชวี ิต * คูม่ ือการจดั การรายจา่ ย และบญั ชีรายจ่ายครัวเรอื น 6.4 ท่านมีอาชพี ทีม่ ่ันคงสามารถเลยี้ งตนเองและครอบครวั เพยี งใด 3 คะแนน * 2 คะแนน * 1 คะแนน * มอี าชีพท่ีสจุ ริต มีความมนั่ คง มอี าชีพทส่ี ขุ จรติ แต่มีความไม่ ไม่มอี าชพี ทจี่ ะสามารถเลย้ี งตนเอง จากวชิ าชพี หรือประสบการณ์ชวี ติ แน่นอน และประสบปญั หาเป็น และครอบครัวได้ หรอื มอี าชีพทไ่ี ม่ ที่สามารถเล้ียงตนเองและ บางครัง้ ในการเล้ยี งตนเองและ สจุ รติ ครอบครัวไดใ้ นระยะยาว ครอบครวั * ค่มู ืออาชพี ในทอ้ งถิน่ รวมคะแนนขอ้ 6.1. ถงึ 6.4 = …………… คะแนน จากคะแนนเตม็ 12 คะแนน 6.5 หากพจิ ารณาโดยรวม ทา่ นคิดว่าทา่ นมปี จั จัยในการดํารงชวี ิตทเี่ พยี งพอและมน่ั คง ในระดบั ใด คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ขาดอาหาร ไมม่ ีที่อยู่ มีอาหารเพียงพอ มีท่ีอยู่ ขาดรายได้ และไมม่ ี มน่ั คง มีรายได้เพียงพอ อาชีพ และมีอาชีพมนั่ คง
66 ตอนที่ 3 การปรับพฤติกรรมสขุ ภาพ การปรับพฤติกรรมสุขภาพ หมายถึงการเร่ิมสร้างพลังอํานาจแก่กลุ่มคน หรือปัจเจกบุคคลช่วยให้ ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพของเขาเอง และสามารถควบคุมตัวกําหนดสุขภาพด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซ่ึงต้อง อาศัยวิธีการท่ีหลากหลาย เช่นการส่ือความหมาย การศึกษา การเปล่ียนแปลง องค์กรการพัฒนาชุมชน กฎหมาย การพัฒนานโยบาย และมาตรการดา้ นการเงิน การช่วยให้คนเปลี่ยนรูปแบบการดําเนินชีวิตในการเลือกสิ่งท่ีเหมาะสมที่สุดสําหรับการดูแลสุขภาพทั้ง ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ การอยู่ร่วมกันในสังคม การใช้ความคิด สติปัญญา การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการ ดําเนนิ ชีวิต สามารถทําให้เกิดความคล่องตัวในการรับรู้ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม อนั จะนําไปสูก่ ารสนบั สนนุ ให้คนมีสขุ ภาพดี การปอ้ งกัน การป้องกนั ระดบั ปฐมภูมิ เพ่ือลดความเส่ียง - การให้ภูมิคุม้ กัน - การใหค้ วามรู้ การใหค้ ําปรกึ ษา - การใชเ้ ครอ่ื งป้องกันอันตรายส่วนบคุ คล การปอ้ งกันระดับทตุ ยิ ภมู ิ เปน็ การค้นหา และการวนิ ิจฉยั - การตรวจคัดกรอง - การตรวจก่อนเขา้ ทาํ งาน ตรวจระหว่างงาน - ใหก้ ารรักษา - การเฝ้าระวัง การป้องกันระดับตติยภูมิ เกิดปัญหาสุขภาพ เกิดความบกพร่องของร่างกายกลับสู่ สภาพปกติ - การฟนื้ ฟสู มรรถภาพรา่ งกาย การวางแผนการจดั บรกิ ารสง่ เสรมิ สุขภาพ 1. การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อความเจ็บป่วย หรือการโรค เป็นความเชื่อที่มีผลโดยตรงต่อการปฏิบัติตาม คําแนะนําดา้ นสขุ ภาพ 2. การรับรถู้ งึ ความรนุ แรงของโรค ความรู้สึกนึกคิด เก่ียวกบั โรคนนั้ ๆมผี ลตอ่ สุขภาพอยา่ งไร 3. การรบั รถู้ งึ ประโยชน์ตอ่ สง่ิ ท่ีจะนําไปปฏิบัติน้ันเป็นวิธกี ารทําให้เกิดความจงู ใจท่ีจะตดั สินใจปฏบิ ัติ 4. การรับรู้อุปสรรคการปฏิบัติพฤติกรรม ซ่ึงเป็นการคาดการณ์ว่าอาจจะมีปัญหาอุปสรรคและความ ไม่สะดวกเกดิ ข้ึน 5. ปัจจยั ที่ชกั นาํ ให้บคุ คลมีพฤตกิ รรมไปในทางทเ่ี หมาะสม 6. ปัจจยั ร่วม ช่วยเสริมหรอื เปน็ อุปสรรค ต่อการรบั รู้ ตอ่ การแสดงออก
67 แผนการเรียนรปู้ ระจําบท บทที่ 11 ขอ้ มลู สารสนเทศและแหลง่ บริการด้านสขุ ภาพความปลอดภัย การออกกาํ ลงั กาย และการเลน่ กฬี า สาระสาํ คญั ข้อมูลสารสนเทศและแหล่งบริการด้านสุขภาพความปลอดภัยการออกกําลงั กายและการเลน่ กฬี า สามารถนาํ มาใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นการวางแผน การพฒั นา การควบคมุ และการตัดสนิ ใจ การเลอื กใชข้ ้อมูล สารสนเทศ ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั 1. อธิบายความหมายและความสําคญั ของข้อมูลสารสนเทศ 2. สามารถบอกแหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ และแหล่งบริการด้านสขุ ภาพ การออกกําลงั กายและการ เลน่ กฬี า 3. อธิบายวิธแี สวงหาและวธิ เี ลือกใชข้ อ้ มลู สารสนเทศ 4. สามารถเผยแพรข่ ้อมลู ขา่ วสาร ดา้ นสุขภาพการออกกําลังกายและการเล่นกฬี า ขอบขา่ ยเนอ้ื หา ตอนท่ี 1 ความหมายและความสาํ คัญของขอ้ มูลสารสนเทศ ตอนที่ 2 แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ และแหลง่ บรกิ ารดา้ นสขุ ภาพ การออกกําลังกายและการเล่นกีฬา ตอนที่ 3 วธิ แี สวงหาและวธิ ีเลอื กใชข้ อ้ มูลสารสนเทศ ตอนท่ี 4 เผยแพรข่ อ้ มลู ข่าวสาร ด้านสขุ ภาพการออกกําลงั กายและการเล่นกีฬา กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ศกึ ษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏบิ ัติกจิ กรรมตามที่ไดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน สอ่ื และอุปกรณป์ ระกอบการสอน 1. ใบงาน 2. เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 3. อินเทอรเ์ นต็ การวัดและประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจในการเรียนการสอน 2. การอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น 3. ตรวจแบบฝึกหัดท้ายบท
68 ตอนที่ 1 ความหมายและความสาํ คญั ของขอ้ มลู ข่าวสารสนเทศ สารสนเทศ(Information) คือ ส่ิงท่ีได้จากการประมวลผลของข้อมูล เพ่ือให้สามารถนํามาใช้ ประโยชน์ ในด้านการวางแผน การพัฒนา การควบคุม และการตัดสินใจการแบ่งสารสนเทศสามารถแบ่งได้ หลายรปู แบบ เชน่ 1. การแบ่งสารสนเทศตามหลักแห่งคณุ ภาพ ไดแ้ ก่ สารสนเทศแขง็ และสารสนเทศอ่อน 2. การแบ่งสารสนเทศตามแหล่งกําเนิด ได้แก่ สารสนเทศภายในองค์กรและสารสนเทศ ภายนอก องค์กร 3. การแบ่งสารสนเทศตามสาขาความรู้ ได้แก่ สารสนเทศสาขามนุษยศาสตร์ สารสนเทศ สาขา สังคมศาสตร์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และสารสนเทศสาขาอ่ืน ๆ 4. การแบ่งตามการนําสารสนเทศไปใช้งาน ได้แก่ สารสนเทศด้านการตลาด สารสนเทศ ด้านการ วิจยั และพัฒนาบุคลากร และสารสนเทศด้านการเงิน 5. การแบ่งตามการใช้และการถ่ายทอดสารสนเทศ ได้แก่ สารสนเทศท่ีเน้น วิชาการ สารสนเทศ ที่เน้นเทคนคิ สารสนเทศท่เี นน้ บุคคล และสารสนเทศทเี่ นน้ การปฏบิ ัติ 6. การแบ่งตามข้ันตอนของการพัฒนาสารสนเทศ ได้แก่ สารสนเทศระยะแรกเร่ิมและสารสนเทศ ระยะยาว 7. การแบ่งสารสนเทศตามวิธีการผลิตและการจัดทํา ได้แก่ สารสนเทศต้นแบบและสารสนเทศ ปรงุ แต่ง 8. การแบ่งสารสนเทศตามรูปแบบที่นําเสนอ ได้แก่ สารสนเทศที่มีลักษณะเป็นเสียง สารสนเทศท่ีมี ลกั ษณะเป็นขอ้ ความ สารสนเทศทม่ี ีลักษณะเป็นโสตทศั นวสั ดุ และสารสนเทศทมี่ ลี ักษณะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ 9. การแบ่งสารสนเทศตามสภาพความต้องการท่ีจัดทําขึ้น ได้แก่ สารสนเทศท่ีทําประจํา สารสนเทศ ที่ต้องทําตามกฎหมาย และสารสนเทศทไี่ ด้รับหมอบหมายให้จัดทาํ ข้นึ โดยเฉพาะ ประโยชน์ของสารสนเทศ 1. ให้ความร้ทู าํ ให้เกดิ ความคิดและความเข้าใจ 2. ใชใ้ นการวางแผนการบริหารงาน 3. ใชป้ ระกอบการตัดสนิ ใจ 4. ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ 5. เพ่ือให้การบริหารงานมรี ะบบ ลดความซํา้ ซ้อน
69 ตอนท่ี 2 ข้อมลู สารสนเทศและแหลง่ บริการดา้ นสขุ ภาพ การออกกาํ ลงั กายและการเล่นกฬี า แหล่งที่มาของขอ้ มลู สารสนเทศ 1. ข้อมลู ภายใน หมายถงึ ขอ้ มูลทเ่ี กิดขึ้นภายในองคก์ รนั้น ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู การปฏบิ ัตงิ าน ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง เช่น ขอ้ มูลงานบุคลากร ข้อมลู งานกิจการนกั เรยี น 2. ขอ้ มลู ภายนอก หมายถงึ ขอ้ มลู ทเ่ี กดิ ขน้ึ นอกองคก์ ร ขอ้ มลู หน่วยงานอื่นๆ แนวทางในการจดั ทําระบบสารสนเทศ 1. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 2. การตรวจสอบข้อมลู 3. การประมวลผล 4. การจดั เก็บข้อมูล 5. การวิเคราะห์ 6. การนําไปใช้ ในปัจจุบันสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสําคัญต่อการดําเนินชีวิตประจําวันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะ เป็นทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การเมืองการปกครอง ที่สารสนเทศเข้ามามีส่วน เก่ียวข้อง ซึ่งอาจจะเรียกยุคนี้ว่าเป็น ยุคสังคมสารสนเทศ หรือ Information Age Society ที่ข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศเป็นหัวใจสําคัญในการพัฒนาให้มีความก้าวหน้าและพัฒนาประเทศ ซ่ึงมีเทคโนโลยี สารสนเทศเป็นพลังขับเคล่ือนหรือปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งทุกศาสตร์ ทุก วงการ ล้วนนําสารสนเทศเข้าไปใช้ประโยชน์หรือใช้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหาต่างๆ จากคํากล่าว ที่ว่า Information is Power หรือ สารสนเทศคืออํานาจ สามารถชี้วัดได้ถึงความสําเร็จหรือความล้มเหลว ขององค์กรได้ โดยสารสนเทศน้ันก่อให้เกิดแนวทางในการแก้ปัญหาต่างๆ และนําไปสู่การพัฒนาองค์กรให้มี ความยั่งยืนมากยิ่งข้ึน หากบุคคลากรในองค์กรรู้จักใช้สารสนเทศมาปรับปรุงการดําเนินงาน พัฒนางานที่ กําลังกระทําอยู่ ก็จะเป็นการช่วยพัฒนาองค์กรในทางอ้อม ทั้งนี้เพราะสารสนเทศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ในท่ีน้ีจะขอยกตัวอย่างกว้างๆ คือประเทศญ่ีปุ่น ซ่ึงประเทศที่เป็นตัวอย่างในการใช้หรือบริโภค สารสนเทศ เพ่ือนํามาใช้ในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนได้ดีท่ีสุดในปัจจุบัน เป็นท่ียอมรับกัน ว่าประเทศญ่ีปุ่น เป็นประเทศท่ีมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี และเศรษฐกิจ มากท่ีสุดในเอเชีย ปจั จยั ทที่ ําใหเ้ กิดความสาํ เรจ็ และพัฒนาใหป้ ระเทศญีป่ ุน่ อย่ใู นระดับชน้ั นาํ ของโลกได้นั่น เป็นเพราะว่า ประเทศ ญี่ป่นุ เห็นความสาํ คญั ของสารสนเทศ มีการเรียนรู้การใช้สารสนเทศได้เป็นอย่างดี สังคมในปัจจุบันมีลักษณะ เป็นสังคมข่าวสาร ท่ีมีการพัฒนาประเทศทุกด้านอย่างกว้างขวาง มีการค้นคว้า การวิจัย การคิดค้น สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ขึ้นมา ซ่ึงก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ ที่ล้วน ต้องการสารสนเทศมากขึ้น และทําให้ปริมาณสารสนเทศมีการเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว ซ่ึงส่งผลกระทบถึงผู้ใช้ หรอื ผ้บู รโิ ภคสารสนเทศอยา่ งมากในการทจ่ี ะเขา้ ตวั สารสนเทศไดต้ ามท่ตี อ้ งการ การรู้สารสนเทศ หมายถึง ความรู้ ทักษะ ความสามารถของบุคคลในการตระหนักถึงความ ต้องการสารสนเทศ การเข้าถึงสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศ การประเมินสารสนเทศ และนําสารสนเทศไป ใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ก่ตนเองและส่วนร่วม ในยุคสมัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างไร้ขีดจํากัด การรู้สารสนเทศในแต่ละคนแต่ ละพน้ื ท่ีจงึ เป็นส่ิงจําเปน็ และยง่ิ มีความสาํ คัญมากย่งิ ขน้ึ กบั การเปล่ียนของเทคโนโลยีในสังคมสารสนเทศ ได้มี
70 นักสารสนเทศศึกษาและเล็งเห็นความสําคัญของการรู้สารสนเทศ โดยสรุปถึงความสําคัญของการรู้สารสนเทศ ในแง่มมุ ทีน่ า่ สนใจ ดังน้ี 1. เปน็ การแสวงหาสารสนเทศตามความตอ้ งการได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 2. ได้รับรู้โอกาสในการเลือกใชแ้ หล่งสารสนเทศและแยกแยะแหล่งสารสนเทศได้ 3. ได้วิเคราะห์และเลือกใช้สารสนเทศจากเคร่ืองมือสืบค้นสารสนเทศ เช่น จากคอมพิวเตอร์ และจาก เทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอืน่ ๆ 4. มีความสะดวกตอ่ การใช้มวลชนที่หลากหลายทีเ่ หมาะสมที่สุด 5. มคี วามระมัดระวังต่อการใชส้ ารสนเทศท้งั ท่เี ช่ือถอื ไดแ้ ละเชือ่ ถอื ไมไ่ ด้ 6. สามารถถา่ ยทอดสารสนเทศทรี่ ู้ให้ผู้อนื่ ทราบได้ การรู้สารสนเทศมีบทบาทและความสําคัญต่อการศึกษาทุกระดับ ต้ังแต่ระดับประถมศึกษา ระดับ มัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา เนื่องจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ต่างตระหนักถึงความสําคัญของการรู้ สารสนเทศ ว่าเป็นพ้ืนฐานท่ีนําไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซ่ึงสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 เพราะการรู้สารสนเทศทําให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตซึ่ง เป็นกลไกนําพาให้บุคคลมีการพัฒนาคุณภาพของตนอยู่เสมอ และหากประเทศใดประชาชนมีการเรียนรู้ตลอด ชีวิต ถือว่าทรัพยากรมนุษย์ของประเทศนั้นย่อมมีคุณภาพดีกว่าประเทศอ่ืนๆ และการรู้สารสนเทศยังเป็นวิธี แห่งการมีอํานาจของบุคคลในสังคมสารสนเทศอีกด้วย ดังน้ันประชากรที่เป็นผู้รู้สารสนเทศจึงถือได้ว่าเป็น ทรัพยากรท่มี คี ณุ คา่ มากที่สุดของประเทศในยคุ น้ี
71 ตอนที่ 3 วธิ ีแสวงหาและวิธเี ลือกใช้ขอ้ มลู สารสนเทศ การแสวงหาสารสนเทศ เปน็ กระบวนการค้นหาความรู้ หรือคาํ ตอบในเร่อื งใด เร่อื งหนึ่ง โดยการซักถามผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ การ คาดเดาคําตอบเอง การรับฟังข้อมูลจากผู้อ่ืน การค้นหาคําตอบจากแหล่งสารสนเทศต่างๆ เช่น ห้องสมุด อินเตอรเ์ นต็ หรอื การเทยี่ วชมพพิ ธิ ภณั ฑ์ ทง้ั นีเ้ พือ่ ตอบสนองความต้องการสารสนเทศท่ตี นตระหนกั และเล็งเห็น ถึงความสาํ คัญ ความต้องการสารสนเทศ การแสวงหาสารสนเทศประกอบดว้ ยการะบวนการ 3 ขัน้ ตอน ได้แก่ 1. การตระหนกั หรือการเล็งเหน็ ถงึ ความต้องการสารสนเทศ 2. การพิจารณาถงึ แหล่งสารสนเทศ 3. การเลือกหนทางแสวงหาสารสนเทศ ระดับความต้องการแสวงหาสารสนเทศ 1.ระดับกว้าง ผู้ต้องการใช้สารสนเทศสามารถระบุได้เพียงความชอบ ไม่ชอบ ความไม่พึงพอใจอย่าง กวา้ งๆ แต่ผ้ใู ช้ไม่สามารถระบุความต้องการได้ ไม่รู้ว่าต้นตองการสารสนเทศอะไร แต่ถ้ามีผู้หาสารสนเทศมาให้ รู้ว่าตนสามารถบอกถึงความพึงพอใจท่ีมตี อ่ สารสนเทศท่ีไดร้ ับ 2. ระดับรคู้ วามต้องการ ผู้ต้องการใช้สารสนเทศรู้ว่าตนมีความต้องการ แต่ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน หรือบอกได้กระจา่ งว่าตนตอ้ งการอะไร ดังนัน้ เพ่ือให้ความคดิ ของตนกระจ่าง ผู้ใช้จะพูดกับผู้อ่ืนโดยหวังว่าฝ่าย หลังจะเข้าใจ และถามต่อเพอ่ื ลดความไมช่ ัดเจนท่ีมีอยู่ลง 3. ระดับบอกความต้องการได้ ในกรณีนี้ผู้ต้องการใช้สารสนเทศสามารถอธิบายคําถามหรือความ ต้องการสารสนเทศไดช้ ัดเจนขน้ึ ความกํากวมลดลง 4. ระดับรู้แจ้ง ผู้ใช้สามารถบอกความต้องการ ตลอดจนแหล่งสารสนเทศที่จะลดความต้องการ ผู้ปฏิบัติงานสารสนเทศจึงไม่ต้องสอบถามเพ่ือดูความคิด ความต้องการของผู้ใช้ท่ีซ้อนเร่นอยู่ เพียงแต่จับความ ตอ้ งการท่ีผใู้ ช้บอกและนาํ ไปคน้ สารสนเทศจากระบบสารสนเทศท่มี อี ยู่ แหล่งสารสนเทศ (Information Sources) หมายถึง แหล่งความรู้ต่างๆที่ผู้ใช้สามารถศึกษาค้นคว้า เรื่องใดเรื่องหน่ึง โดยสารสนเทศท่ีมีให้บริการน้ันอาจได้มาจากการรวบรวมและจัดหาจากที่มีอยู่เดิมหรือผลิต ข้ึนเอง แหล่งสารสนเทศหลักท่ีสําคัญ ได้แก่ แหล่งสารสนเทศที่เป็นองค์กรที่จัดให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้ โดยตรง เช่น ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ และหอศิลป์ เป็นต้น และแหล่งสารสนเทศอ่ืนท่ีไม่ได้จัด ให้บริการสารสนเทศโดยตรง เชน่ บคุ คล สถานที่ เหตุการณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแหล่งสารสนเทศอื่นที่ไม่ได้ เป็นองคก์ ร สถานที่ หรอื บุคคลแต่เปน็ ทนี่ ยิ มใช้มากในปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ อินเตอร์เน็ต การพจิ ารณาแหลง่ สารสนเทศ 1. แหล่งท่ีอยู่ของสารสนเทศ กล่าวคือ หากเราต้องการรู้สารสนเทศอย่างหน่ึง เราควรรู้ว่าสารสนเทศ นนั้ มีอยทู่ ีใ่ ด หรอื นา่ จะอยู่ทใ่ี ด และมีความน่าเช่อื ถอื มากนอ้ ยเพียงใด 2. วธิ ีการเข้าถึงแหลง่ สารสนเทศ แหล่งสารสนเทศแต่ละแห่งย่อมมีข้อจํากัดในการเปิดโอกาสให้บุคคล เขา้ ไปใช้
72 3. ขอบข่ายของเน้ือหาของสารสนเทศที่มีในแหล่งนั้นๆ ควรรู้ว่าแหล่งสารสนเทศน้ันมีสารสนเทศ เนอ้ื หาเกย่ี วกับอะไร ใหร้ ายละเอยี ดในลักษณะใด และมีความทันสมัยมากน้อยเพียงใด การศกึ ษาค้นคว้า หมายถงึ การหาข้อมูลและการหาความรู้เพ่ิมเติมเพื่อหาคําตอบ จากปัญหาใดปัญหา หน่ึง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้รับความรู้ในเร่ืองนั้นๆ การศึกษาค้นคว้าจึงเป็นการแสวงหาความรู้เพื่อให้ได้รับ คําตอบหรือเพ่ือนําความรู้น้ันไปใช้ในการแก้ไขปัญหาและประกอบการตัดสินใจ การศึกษาค้นความจึงมี ความสําคญั ทช่ี ่วยใหเ้ รามีความเขา้ ใจในเรือ่ งท่ีศกึ ษามากขน้ึ และขดั เจนข้นึ การสบื คน้ สารสนเทศ (Information Retrieval) เป็นกระบวนการในการแสวงหาทรัพยากรสารสนเทศ ที่ได้มีการบันทึก และเผยแพร่ไว้ในสื่อต่างๆ ได้แก่ ส่ือส่ิงพิมพ์ ส่ือโสตทัศน์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้วิธี ค้นหาในรปู แบบต่างๆ เพอ่ื ใหไ้ ดส้ ารสนเทศทเี่ ก่ียวขอ้ งกับเร่ืองทีต่ ้องการ กลยุทธ์ในการสืบค้นสารสนเทศ หมายถึง วิธีการเพ่ือให้ได้สารสนเทศตามวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว ครบถ้วน และตรงต่อความต้องการ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการสืบค้นสารสนเทศ กลยุทธ์ในการสืบค้น สารสนเทศมี 2 ลักษณะ คอื 1. ผู้สืบค้นสารสนเทศทราบรายละเอียดบางส่วนของทรัพยากรสารสนเทศท่ีต้องการ (know item search) เช่น ทราบช่ือผู้แต่งก็สามารถใช้ชื่อผู้แต่งค้น ถ้าทราบช่ือเรื่องก็สามารถใช้ช่ือเรื่องค้น เป็นต้น ทําให้ การค้นหาทําได้รวดเร็ว และไม่จําเป็นต้องมีความชํานาญในการค้นมาก การค้นลักษณะนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การคน้ แบบพ้นื ฐาน (Basic Search) 2. ผู้สืบค้นสารสนเทศไม่ทราบรายละเอียดของทรัพยากรสารสนเทศท่ีต้องการค้น (Un(know item search) ผู้สืบค้นสารสนเทศจะต้องคิดและกําหนดคําค้นที่เป็นคําหรือวลีเพ่ือใช้แทนเน้ือหาสาระหรือประเด็น หลกั ของคําถาม หรอื เร่ืองที่ต้องการคน้ หา เพื่อให้การคน้ หาขอ้ มลู มปี ระสิทธิภาพและรวดเร็ว คาํ คน้ ในลกั ษณะ น้ีมีหลายประเภท ได้แก่ หัวเรื่อง อรรถภิธาน และคําสําคัญ ซึ่งเป็นเคร่ืองมือช่วยค้นที่สําคัญในการเข้าถึง สารสนเทศที่ต้องการ การค้นลักษณะนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การค้นแบบขั้นสูง (Advanced search หรือ Enhanced Search) ดังนั้น อาจพอสรุปได้ว่า เราสามารถแสวงหาสารสนเทศได้จากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆ ตัวของเรา และ สามารถเข้าสารสนเทศที่เราได้รับนั้นมาพัฒนาให้เกิดเป้นความรู้ ความชํานาญ เพ่ือใช้ในการทํางานให้มี ประสทิ ธภิ าพได้
73 ตอนที่ 4 การเผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสารด้านสขุ ภาพ การออกกาํ ลงั กายและการเต้นกีฬา สื่อโฆษณาเก่ียวกับสุขภาพ หมายถึง ส่ือที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่เก่ียวกับสุขภาพโดยผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ ส่ือส่ิงพิมพ์ เช่น วารสาร นิตยสาร แผ่นพับ รวมท้ังการโฆษณา ผ่านสือ่ มวลชนตา่ งๆ เช่น หนงั สือพิมพ์ วารสาร วทิ ยุ และโทรทศั น์ เป็นตน้ รวมทง้ั สอ่ื ในลักษณะอ่ืนๆ เช่น ปา้ ย โฆษณา ทั้งน้ีเพ่ือให้ผู้บริโภครับรูข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพเพ่ือกระตุ้นจูงใจให้ผู้บริโภคซ้ือหรือใช้สินค้าหรือ บริการน้นั ความสาํ คญั ของสอื่ โฆษณา สื่อโฆษณานับว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้บริโภคเป็นอย่าง มาก กล่าวคือ ในการที่จะพิจารณาเลือกซื้อสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการเกี่ยวกับสุขภาพ ผู้บริโภคมักจะ เสาะหาข้อมูลเก่ียวกับสินค้าจากแหล่งต่างๆ รวมท้ังจากส่ือโฆษณา ดังนั้นข้อความเชิญชวนตามส่ือโฆษณา รูปแบบที่หลากหลาย จึงมีส่วนสําคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภคในการตัดสินใจซ้ือสินค้า ผลิตภัณฑ์ และใช้ บริการสุขภาพนั้นๆ ดังน้ันจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาส่ือโฆษณาให้ละเอียดรอบคอบว่ามีการให้ ข้อมูลท่ีเป็นจริงหรือมีโฆษณาชวนเช่ือเกินจริงหรือไม่ เนื่องจากหากขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ เชื่อถือ ข้อความบนส่ือโฆษณาโดยปราศจากการไตร่ตรอง ประกอบกับใช้ความต้องการ ความอยากได้และความ ปรารถนาของจิตใจเป็นตัวนําทางในการเลือกสินค้ามากกว่าความสมเหตุสมผลจะทําให้ได้รับสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการสุขภาพท่ีไม่สมประโยชน์ และอาจเกิดผลเสียหาย มีอันตรายต่อรางกายและจิตใจของผู้บริโภค ได้ ประเภทของสือ่ โฆษณา ในปจั จุบนั ผปู้ ระกอบการผลิตภณั ฑ์สุขภาพใช้กลยุทธท์ างการตลาดในรูปแบบท่ีหลากหลายในการจูง ใจให้ผู้บริโภคซ้ือสินค้าและบริการของตน การโฆษณาประชาสัมพันธ์จัดเป็นกลยุทธ์หน่ึงท่ีผู้ประกอบการ นํามาใช้เผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารอยา่ งสมา่ํ เสมอโดยผ่านส่ือหลายประเภท ดังน้ี 1. สื่อสิง่ พิมพ์ เชน่ วารสาร นติ ยสาร แผน่ พบั และโปสเตอร์ 2. ส่ือมวลชน เชน่ หนงั สือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ 3. สื่อบุคคล เช่น ครู แพทย์ พยาบาล วิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นําชุมชน อาสาสมัคร นักเรียน นกั ศกึ ษา ดารา และผู้มีช่อื เสียงในสงั คม 4. สื่ออินเตอรเ์ น็ต เชน่ เกมสอ์ อนไลน์ และเว็บไซต์ 5. สื่อกจิ กรรม เชน่ การจดั แถลงข่าว การพาส่ือมวลชนเยี่ยมชมโรงงาน เป็นตน้ 6. ส่อื อื่นๆ เชน่ ส่ือวีดทิ ัศน์ สือ่ ซดี ี แนะนาํ สนิ คา้ ส่อื ป้ายโฆษณากลางแจง้ สอ่ื โฆษณาเคลื่อนที่ องค์ประกอบของการสอื่ สาร ในโฆษณาสินค้าในส่ือต่างๆ ผู้ประกอบการได้ใช้กระบวนการสื่อสารเพื่อส่งสารไปยังผู้บริโภค โดยใช้ องคข์ องการสอื่ สาร ดงั น้ี 1. ผู้ส่งสาร (Sender) คือ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีทําหน้าท่ีในการเสนอข่าวสารโดย การพูด การ เขียน การแสดงท่าทางแกผ่ รู้ บั สาร ซงึ้ ผูส้ ง่ สารจะตอ้ งเป็นผูท้ ่มี ที ักษะในการส่อื สารเปน็ อย่างดี 2. ขา่ วสาร (Massage) คือ ขอ้ มูลหรือสารทถี่ ูกส่งผา่ นช่องทางสื่อ โดยการพูด การเขียน และรูปภาพ ขา่ วสารเปน็ สง่ิ สําคญั ทผี่ สู้ ง่ สารตอ้ งการส่งไปยังผรู้ บั ข่าวสาร 3. ช่องทางสื่อ (Channel) คือ ช่องทางที่นําข้อมูลข่าวสารไปยังผู้รับสาร เช่น หนังสื่อพิมพ์ วารสาร โทรทัศน์ วิทยุ รวมทั้งสือ่ บคุ คล เป็นต้น
74 4. ผู้รับข่าวสาร (Receiver) คือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีได้รับข่าวสารจากผู้ส่งสารโดยการฟัง ดู และ อ่าน ผ้รู ับข่าวสารต้องเป็นผูท้ ม่ี คี วามเขา้ ใจในข่าวสารทีผ่ สู้ ง่ สารส่งมาให้ อิทธิพลของส่ือโฆษณาเกี่ยวกับสขุ ภาพ การเลอื กรบั สื่อโฆษณามีผลตอ่ สขุ ภาพดังนี้ 1. ดา้ นสุขภาพร่างกาย ผลของการเลือกรับส่ือโฆษณาเกี่ยวกับสุขภาพทางกาย จากการที่ผู้ผลิตได้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน จํานวนมาก ทําให้เกิดการแข่งขันโดยมีการทําให้สินค้าของตนที่ผลิตออกมามีคุณภาพและราคาถูก ย่อมเป็น ผลดีต่อผบู้ รโิ ภคในการเลือกพิจารณาได้หลากหลาย และสามารถเปรยี บเทยี บขอ้ ดีและข้อเสยี ก่อนที่จะตัดสินใจ เชื่อ ซ้ือสินค้าและบริการเกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ เมื่อมีการบริโภคแล้วโอกาสท่ีจะเกิดความพอใจมีสูง เน่ืองจาก ไดส้ ินค้าที่มีคุณภาพ แตถ่ ้าสินคา้ บางชนิดมีให้เลือกน้อย ในขณะที่ผู้บริโภคมีความจําเป็นต้องกินและใช้มาก จะ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสามารถเอารัดเอาเปรียบได้ง่าย โดยการผลิตสินค้าที่ไม่มีคุณภาพมาขาย ทําให้ สง่ ผลต่อสุขภาพทางการ เช่น ดืม่ นมแล้วเกิดอาการทอ้ งเสีย ผงซกั ฟอกบางยี่ห้อ ซักแล้วเกิดการแพ้อย่างรุนแรง ดังนั้นสื่อโฆษณาจึงมีอิทธิพลให้คนตัดสินใจซ้ือผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการต่างๆ ซ่ึงส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของ ผู้บริโภคโดยตรง 2. ดา้ นสุขภาพจิต ผลของการเลอื กรบั สือ่ โฆษณาเกยี่ วกับสขุ ภาพจิต คือ ความรู้สึกพึงพอใจและความไม่พึงพอใจในการ บริโภคสินค้าและบริการเก่ียวกับสุขภาพต่างๆ มีผลอย่างยิ่งต่อสุขภาพจิตของผู้บริโภค เช่น มีการใช้สินค้าท่ีมี คุณภาพ มีคุณสมบัติเป็นจริงตามคําโฆษณาย่อมส่งผลให้เกิดความพึงพอใจ ส่วนสินค้าและบริการต่างๆ ที่ ผู้บริโภคเลือกใช้มีคุณภาพไม่เป็นจริงตามที่ผู้ผลิตโฆษณา ส่งผลเสียหายและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ย่อมทําให้ เกิดความไม่พึงพอใจในสินค้าและบริการต่างๆ นอกจากน้ี การซ้ือสินค้าหรือบริการสุขภาพบางชนิดอาจมีราคา สงู เมอ่ื ได้สินค้าและบรกิ ารทม่ี คี ณุ ภาพไม่เป็นไปตามทีค่ าดหวงั กจ็ ะก่อให้เกิดความเครียด วิตกกังวลหรือเสียใจ กับการตดั สนิ ใจทผ่ี ่านมาได้ ดังนนั้ สื่อโฆษณาจึงส่งผลตอ่ สุขภาพจิตของผู้บรโิ ภคโดยตรง 3. ดา้ นสุขภาพสงั คม ส่ือท่ีมีความสร้างสรรค์จะส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมสุขภาพในทางท่ีพึงประสงค์ ในขณะ ที่ส่ือท่ีนําเสนอพฤติกรรมสุขภาพท่ีไมเหมาะสม แต่พยายามนําเสนอว่าเป็นค่านิยมของสังคมที่จะส่งผลให้เกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพในทางท่ีไม่พึงประสงค์ เช่น การโฆษณาอาหารประเภทจานด่วน ซ่ึงเป็น อาหารทมี่ ีการแขง่ ขนั ในการโฆษณาท่ีสูงมากท้ังท่ีอาหารเหล่านี้มีปริมาณแคลอรีสูงและมีสารอาหารที่จําเป็นต่อ ร่างกายในปริมาณต่ํา เด็กหรือเยาวชนที่รับประทานอาหารเหล่านี้มากๆ จึงเส่ียงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิดในช่วงชวี ิตต่อไป ทําให้เปน็ ปัญหาสาธารณสขุ ของบคุ คลในสงั คมต่อไป 4. ด้านสขุ ภาพปัญญา สื่อโฆษณามีอิทธิพลต่อสุขภาพทางปัญญา เพราะมีสื่อโฆษณาจํานวนมากท่ีใช้กลวิธีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์จูงใจผู้บริโภคให้มีความต้องการสินค้า ส่งเสริมค้านิยมหรือแบบแผนการดําเนินชีวิตที่เป็นวัตถุ นิยมแทนท่ีจะเป็นการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ ัวท่เี นน้ การดําเนินชีวิตตามทางสายกลาง ด้วนความมีเหตุผล ความรู้จักพอประมาณ และมีภูมิคุ้มกันใน ตัวที่ดี เช่น การท่ีเราจะซ้ือสินค้าชิ้นหนึ่งเราจะต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผลที่เหมะสมว่าสมควรซื้อหรือไม่ ดัง
75 บทกลอนของสนุ ทรภ่ทู ี่วา่ ”ไมค่ วรซ้ือกอ็ ยา่ ไปพิไรซือ้ ให้เปน็ มือ้ เป็นคราวทังคาวหวาน” ความรู้จักพอประมาณ คือซ้ือในจํานวนเท่าที่จําเป็น ในราคาที่เหมาะสม การมี๓มิคุ้มกันคือ การมีสติสัมปชัญญะก่อนการตัดสินใจซื้อ ไม่หลงใหลหรือตกเป็นเหย่ือของคําโฆษณา หรือส่ิงจูงใจใดๆ ท่ีผู้จําหน่ายนํามาส่งเริมการขาย เช่น ของแถม การใช้ชนิ้ ส่วนชงิ รางวัล เป็นต้น เพราะจะทําให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าน้ันด้วยความต้องการทางจิตวิทยามากกว่า เปน็ การตดั สินใจซือ้ โดยใช้เหตผุ ลและปัญญา การเลือกการออกกาํ ลงั กายแบบเพมิ่ ความแขง็ แรงเพอื่ สุขภาพทีด่ ี การท่ีบุคคลใดบุคคลหน่ึงมีสุขภาพท่ีแข็งแรงเป็นปัจจัยที่สําคัญประการหน่ึงท่ีส่งเสริมให้บุคคลนั้น ประสบความสําเร็จในด้านต่างๆ อาทิเช่น ด้านการศึกษา ด้านการทํางาน เป็นต้น เน่ืองจากผู้มีสุขภาพแข็งแรง จะมคี วามสามารถทางร่างกาย จิตใจ และเวลามากกว่าคนที่ไม่แข็งแรง จึงอาจจะกล่าวได้ว่า การมีสุขภาพดีน้ัน เป็นเร่ืองท่ีคนทุกคนปรารถนา ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า “ อโรคา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ซ่ึงการที่เราจะมีสุขภาพท่ีได้นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการขอพรจากสิ่งศักด์ิ แต่เราทุกคนสามารถสร้างได้ด้วยตัวเอง คือการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง เช่น การพักผ่อนที่เพียงพอ รับประทานอาหารท่ีเป็นประโยชน์ หลีกเลี่ยง ปัจจัยเส่ียงต่างๆ และการออกกําลังกายอย่างสมํ่าเสมอ เป็นต้น โดยเฉพาะการออกกําลังกายน้ันเป็นท้ังยา ปอ้ งกันโรค ยารักษาโรค และยาบาํ รุงอยา่ งดที ไี่ มต่ ้องใชเ้ งนิ เป็นจํานวนมากไปหาซื้อ ดังนั้นการออกกําลังกายจึง เปน็ สงิ่ สําคญั ตอ่ คนทกุ เพศทกุ วัย
76 ใบงาน บทท่ี 11 ขอ้ มลู สารสนเทศและแหลง่ บริการดา้ นสขุ ภาพความปลอดภัย การออกกาํ ลงั กายและการเลน่ กฬี า คําส่งั ให้นกั ศกึ ษาตอบคาํ ถามและอธิบายคาํ ถามต่อไปนี้ 1. ใหน้ กั ศกึ ษา อธบิ ายความหมาย และความสําคญั ของขอ้ มลู สารสนเทศ มาพอสังเขป .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 2. ใหน้ กั ศึกษาบอกแหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ และแหล่งบรกิ ารด้านสุขภาพ การออกกําลังกายและการเลน่ กีฬา มาพอสงั เขป .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................
77 แผนการเรียนรูป้ ระจาํ บท บทที่ 12 การทดสอบและสร้างเสรมิ สมรรถภาพทางกายเพ่ือสุขภาพเบ้อื งตน้ สาระสาํ คญั ความสําคัญของการดูแลสมรรถภาพร่างกาย ของคนเรานั้นมีผลต่อการดําเนินชีวิต ด้านสุขภาพ เบ้ืองต้นของมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องทราบถึงหลักการวิธีการทดสอบเพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย อย่าง ถูกตอ้ ง ถกู หลกั ถูกวธิ ี ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. อธบิ ายความหมาย ความสาํ คัญของสมรรถภาพทางกาย 2. อธิบายหลกั การวิธีการทดสอบและสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพเบอื้ งต้น ขอบข่ายเนื้อหา ตอนท่ี 1 ความหมาย ความสําคญั ของสมรรถภาพทางกาย ตอนที่ 2 หลกั การวิธีการทดสอบและสรา้ งเสริมสมรรถภาพทางกายเพ่อื สุขภาพเบ้อื งต้น กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศกึ ษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามที่ได้รบั มอบหมายในเอกสารการสอน สื่อและอุปกรณป์ ระกอบการสอน 1. ใบงาน 2. เอกสารประกอบการเรียนรู้ 3. อนิ เทอรเ์ น็ต การวัดและประเมินผล 1. สังเกตความสนใจในการเรยี นการสอน 2. การอภปิ รายแสดงความคิดเห็น 3. ตรวจแบบฝึกหดั ทา้ ยบท
78 ตอนที่ 1 ความหมาย ความสาํ คัญของสมรรถภาพทางกาย ความหมายของสมรรถภาพทางกาย คําว่า สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) หมายถึง ภาพความสามารถของร่างกายในการ ประกอบการงานหรอื กิจกรรมทางกาย อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เปน็ อย่างดีโดยไม่เหน่ือยเร็ว สมรรถภาพทางกายเป็น ส่วนสําคัญในการพัฒนาการทางด้านร่างกาย ของมนุษย์ สมรรถภาพทางกายของบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นได้จาก การเคล่ือนไหวร่างกาย หรือออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ แต่ถ้าหยุดออกกําลังกายหรือเคล่ือนไหวร่างกาย นอ้ ยลงเม่ือใด สมรรถภาพทางกายจะลดลงทันที ความสาํ คัญของสมรรถภาพทางกาย ในช่วงชีวิตมนุษย์เราทุกคน มีความปรารถนาอยากให้ตนเองมีสุขภาพพลานามัยเเข็งเเรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง เหมือนดั่งคํากล่าวทางศาสนาท่ีว่าไว้ คือ “ อโรคยาปรมา ลาภา “ แปลว่า ความไม่มีโรค เปน็ ลาภอนั ประเสริฐ สง่ิ ทีก่ ล่าวมาน้ีนับวา่ เป็นเปา้ หมายท่สี าํ คญั อย่างหน่งึ ของชีวิตคนเรา ทุกคน แต่จะทําอย่างไรเราจึงจะเป็นผู้ท่ีมีสุขภาพดีอย่างท่ีตั้งความหวังเอาไว้ซึ่ง จะเเสดงออกมาโดยดูจากเเน วทางการปฏิบัติตนของเเต่ละบุคคล เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวบ้างก็พยายามรักษาความสะอาดของ รา่ งกายสงิ่ ของ เครือ่ งใช้ บ้างก็เลือกรบั ประทานอาหารท่ีดี หรือ ให้ประโยชน์ ตามทัศนะของตน บ้างก็เน้นเร่ือง การนอนหลับพักผ่อน บ้างก็เลือกการอาศัยอยู่ในห้องท่ีมีสภาพเเวดล้อมที่เหมาะสม บ้างก็หมั่นไปตรวจสุขภาพ หรอื ปรึกษาเเพทย์เปน็ ประจํา และบ้างก็หาเวลาวา่ งในการออกกําลงั กายอยา่ งเป็นประจําสม่ําเสมอ ทั้งน้ี ก็เเล้ว เเต่ภูมิหลังของเเต่ละบุคคลไปเเต่ทุกคนก็จะมุ่งไปที่เป้าหมายเรื่อง เดียวกันคือ ทําอย่างไรจะให้ตนเป็นผู้ที่มี สุขภาพดีสุขภาพร่างกายท่ีเเข็งเเรงสมบูรณ์ จําเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบพ้ืนฐานหลายด้าน เช่น สภาพทาง ร่างกาย สภาวะทางโภชนาการ สุขนิสัยและสุขปฏิบัติ สภาวะทางจิตใจ สติปัญญาเเละสภาวะทางอารมณ์ท่ีสด ชน่ื เเจม่ ใส ซ่ึงความสัมพันธ์ของร่างกายเเละจิตใจน้ี นักพลศึกษาได้มีคํากล่าวถึงเร่ืองน้ีไว้ว่า “ สุขภาพจิตที่เเจ่ม ใส อยู่ในร่างกายท่ีเเข็งเเรง“ หมายความว่า การที่บุคคลจะมีสุขภาพท่ีสดช่ืนเเจ่มใสได้น้ันจะต้องเป็นบุคคลท่ีมี ร่างกาย เเข็งแรงสมบูรณ์ด้วยสมรรถภาพทางกายที่ดี เมื่อรวมเข้ากับการมีสุขภาพจิตท่ีปกติ มีการทํางานของ ระบบต่างๆในร่างกายท่ีเป็นปกติตลอดจนทรรศนะของบุคคลทางด้าน คุณธรรม หรือศีลธรรมอันดีงาม จะเป็น ผลรวมให้ตัวบุคคลผู้น้ันเป็นประชากรท่ีมีคุณภาพ เป็นท่ีพึงปรารถนาของสังคมและประเทศชาติ ซ่ึงเป็น เปา้ หมายสําคญั ในการพฒั นาทรพั ยากรบคุ ลทุกระดับเราสามารถกลา่ วโดยสรุป ได้วา่ การมสี มรรถภาพทางกาย ที่ดีจะช่วยใหเ้ กดิ ผล 3 ด้าน ได้เเก่
79 ผลต่อสขุ ภาพทางร่างกาย 1. ระบบหัวใจเเละการไหลเวียนโลหิต - หัวใจมีขนาดใหญ่ข้ึน ปริมาณการสูบฉีดโลหิตมีมากขึ้น - กล้ามเน้ือหัวใจมีความเเข็งเเรงมีประสิทธิภาพในการทํางานมากข้ึน - อัตราการเต้นของหัวใจหรืออัตราชีพจร ต่ําลง - หลอดเลือดมคี วามยืดหย่นุ ตวั ดี - ปริมาณของเม็ดเลอื ดและสารฮีโมโกลบินเพ่ิมมากขนึ้ 2. ระบบการหายใจ - ทรวงอกขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจทํางานดีข้ึน - ความจุปอด เพ่ิมขึ้นเน่ืองจากปอดขยายใหญ่ข้ึน การฟอกเลือดทําได้ดีขึ้น - อัตราการหายใจต่ําลง เนื่องจากปอดมี ประสทิ ธภิ าพในการทาํ งานมากขึน้ 3. ระบบกล้ามเน้ือ - กล้ามเน้ือมีขนาดใหญ่ข้ึน เพราะมีโปรตีนในกล้ามเนื้อมากข้ึนเส้นใยกล้ามเนื้อโต ขึ้น - การกระจายของหลอดเลือดฝอยในกล้ามเนื้อมากข้ึน ทําให้กล้ามเน้ือสามารถทํางาน ได้นาน หรือมีความ ทนทานมากขึ้น 4. ระบบประสาท การทํางานเกิดดุลยภาพ ทําให้การปรับตัวของอวัยวะต่างๆ ทําได้เร็วกว่าการรับรู้สิ่ง เรา้ การตอบสนองทําไดร้ วดเรว็ และแม่นยาํ 5. ระบบต่อมไร้ท่อ การทํางานของต่อมท่ีผลิตฮอร์โมน ซ่ึงทําหน้าท่ีในการเคลื่อนไหวร่างกายได้เป็น ปกติ และมีประสทิ ธิภาพ เช่น ตอ่ มไทรอยด์ ตอ่ มหมวกไต และตอ่ มในตับออ่ นเป็นตน้ 6. ระบบต่อมอาหารและการขับถ่าย สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน การผลิตพลังงาน และการขบั ถ่ายของเสียเป็นไปได้ด้วยดี 7. รูปรา่ งทรวดทรงดี มกี ารทรงตัวดี บุคลิกภาพและอริ ิยาบถในการเคลื่อนไหวสง่างามเป็นท่ีประทับใจ เเก่ผู้พบเหน็ 8. มภี มู ิต้านทานโรคสงู ไม่มีการเจ็บป่วยง่าย ชว่ ยใหอ้ ายุยนื ยาว 9. มีสุขภาพจิตดี สามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่สร้างความกดดันทางอารมณ์ได้ดี ปรับตัวให้เข้ากับ ผ้อู นื่ ได้ดี มีความสดชื่นรา่ เรงิ อย่เู สมอ องค์ประกอบของสมรรถภาพทางกาย การท่ีคนเราจะทราบได้วา่ สมรรถภาพทางกายของตนจะดีหรือไม่นั้นจะตอ้ งพิจารณาท่ีองค์ประกอบ ต่าง ๆ ของสมรรถภาพ ทางกาย ซง่ึ กองสง่ เสริมพลศึกษาและสขุ ภาพกรมพลศึกษา ไดก้ ล่าว สมรรถภาทางกาย โดยทัว่ ไป ประกอบด้วยสมรรถภาพ ดา้ นยอ่ ย ๆ 9 ดา้ น 1. ความแขง็ แรงของกลา้ มเนื้อ 2. ความทนทานของกล้ามเนอ้ื 3. ความทนทานของระบบหมุนเวยี นของโลหิต 4. พลังของกล้ามเนื้อ 5. ความอ่อนตัว 6. ความเร็ว 7. การทรงตัว 8. ความว่องไว 9. ความสมั พันธ์ระหวา่ งมือกบั ตาและเทา้ กับตา องค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีกล่าวไวข้ ้างตน้ แต่ละดา้ น มีความหมายท่แี ตกต่างกนั ไป ดงั นี้ 1. ความแขง็ แรงของกล้ามเนอ้ื หมายถึง ความสามารถในการหดตวั หรอื การทํางานของกล้ามเนอื้ ทจี่ ะทาํ อย่างใดอยา่ งหนึ่ง ได้สงู สุดในแต่ละครงั้ เชน่ ความสามารถในการยกของหนัก ๆ ได้ มพี ลังบบี มือได้ เหนยี วแนน่ และสามารถออกแรง ผลักของหนกั ๆ ใหเ้ คลอ่ื นท่ไี ดเ้ ป็นต้น
80 2. ความทนทานของกล้ามเน้ือ หมายถึงความสามารถของกล้ามเนื้อในการทํางานอย่างใดอย่าง หน่ึงได้ติดต่อกัน เป็นเวลานาน ๆ ได้งานมาก แต่เหนื่อยน้อย ตัวอย่าง การทํางานที่แสดงถึงความทนทานของ กล้ามเน้ือ เช่น การแบกของหนักได้ เป็นเวลานาน ๆ การว่ิงระยะไกล การถีบจักรยานทางไกลการงอแขนห้อย ตัวเป็นเวลานาน ๆ เป็นตน้ 3. ความทนทานของระบบหมุนเวียนโลหิต หมายถึงความสามรถในการทํางานขอระบบ หมุนเวียนโลหิต ซ่ึงประกอบด้วย หัวใจ ปอด และเส้นเลือดท่ีจะทํางานได้นาน เหมื่อยช้า ในขณะที่บุคคลใช้ กําลังกายเป็นเวลานาน และเม่ือร่างกาย เลิกทํางานแล้ว ระบบหมุนเวียนโลหิตจะสามารถกลับคืนสู่สภาพปกติ ได้ในเวลารวดเร็ว ตัวอย่างกิจกรรมที่ปฏิบัติแล้วแสดงถึง การมีความทนทานของ ระบบหมุนเวียนโลหิต เช่น การว่ายนํ้าระยะไกล การวง่ิ ระยะไกล โดยการทํางานของระบบไหลเวยี นโลหติ และระบบหายใจไม่ผดิ ปรกติ 4. พลังกล้ามเน้ือ หมายถึง ความสามารถของกล้ามเนื้อในการทํางานในครั้งหนึ่งอย่างแรงและ รวดเร็ว จนทําให้วัตถุหรือร่างกาย เคล่ือนไหวอย่างเต็มท่ี การทํางานของร่างกายท่ีใช้พลังกล้ามเน้ือ จะเป็น กิจกรรมประเภทการดึง ดัน ทุ่ม พุ่ง ขว้าง และกระโดด ดังตัวอย่าง การกระโดดสูง การทุ่มน้ําหนัก พุ่งแหลน ขว้างจกั ร และการยืนกระโดดไกล เป็นตน้ 5. ความอ่อนตัว หมายถึง การประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อ เอ็น พังผืด และข้อต่อต่าง ๆ ที่มี ความยืดหยุ่นในขณะทํางาน หรือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นความสามารถในการเหยียดตัวของข้อต่อส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายในขณะทํางาน เช่น การก้มตัวใช้มือแตะพื้นโดยไม่งอเข่า การแอ่นตัวใช้มือแตะขาพับได้โดยไม่งอเข่า เป็นตน้ 6. ความเร็ว หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนท่ีในลักษณะเดียวกัน จากที่หนึ่ง ไปอกี ท่หี นง่ึ ในแนวเดียวกนั หรอื ในแนวตรงในระยะเวลาท่ีสน้ั ทสี่ ดุ เชน่ การว่งิ ระยะสัน้ 7. การทรงตัว หมายถึง การประสานงานระหว่างระบบของประสาทกับกล้ามเนื้อที่ทําให้ ร่างกายสามารถทรงตวั อยู่ใน ตําแหน่งต่าง ๆ อยา่ งสมดลุ ตามความตอ้ งการ กิจกรรมทีเ่ ป็นการทรงตัว เช่น การ เดินตามเสน้ ตรงดว้ ยปลายเทา้ การยนื ดว้ ยเท้าข้างเดียวกางแขน การเดินต่อเทา้ บนสะพานไม้แผ่นเดยี ว เป็นต้น 8. ความว่องไว หรือความคล่องตัว หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนทิศทาง หรือเปลี่ยน ตําแหน่งการเคล่ือนไหว ของร่างกายอย่างรวดเร็ว และตรงเป้าหมายตามท่ีต้องการ ดังตัวอย่างท่ีแสดงถึงความ ว่องไว เช่น การยนื และ น่งั สลบั กันด้วย ความรวดเรว็ เป็นต้น 9. ความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาแลเท้ากับตา หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการประสานงานของ ประสาทกับกล้ามเนอ้ื ในการทํางาน หมายถึง ความสามารถที่จะทําการเคล่ือนไหวมือและเท้าได้สัมพันธ์กับตา ในขณะทํางาน เช่น การจับ การปาเปา้ การยงิ ประตฟู ตุ บอล การส่งลูกบอลกรทบฝาผนงั แล้วรบั เปน็ ต้น ประโยชน์ของการมสี มรรถภาพทางกายดี การมสี มรรถภาพทางกายที่ดีนน้ั จะก่อให้เกิดประโยชนห์ ลายประการพอสรุปส่วนทีส่ าํ คญั ได้ดังน้ี 1. กล้ามเนื้อมีความสามารถในการทํางานได้ดีย่ิงข้ึน กล่าวคือ กล้ามเนื้อท่ีใช้ในการออกกําลัง กายหรอื ทาํ งานจะมี ขนาดใหญ่แขง็ แรงมากขนึ้ 2. กล้ามเนื้อหัวใจจะมีความแข็งแรงสามารถหดบีบตัวได้แรงขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของ โลหติ ดขี ึน้ หวั ใจ สามารถรับออกซเิ จนได้มากขึ้น 3. ระบบประสาทสามารถควบคุมการทํางานของร่างกายได้ดีข้ึน จะช่วยให้ประกอบกิจกรรม ตา่ ง ๆ ด้วยความชาํ นาญ 4. ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างเต็มท่ี กล้ามเน้ือต่าง ๆ ของร่างกายเจริญเติบโตได้สัดส่วน สามารถทาํ งาน อยา่ งมีประสิทธิภาพ
81 5. รา่ งกายมีภูมิตา้ นทานโรคสูง และลดการเจ็บป่วยเนื่องจากผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดีย่อมมี สุขภาพดไี ม่มีโรคเบียดเบยี น 6. มบี ุคลกิ ดี ผทู้ ี่มสี มรรถภาพทางกายดรี า่ งกายจะมีการทรงตัวดมี ที รวดทรงที่สงา่ งาม เปน็ การ ชว่ ยเสรมิ บุคลิกภาพ ไดท้ างหน่งึ 7. เกดิ ความม่ันใจในตนเองในการปฏบิ ตั งิ านหรือประกอบกจิ กรรมตา่ ง ๆ 8. เกิดการเรียนรู้ในเร่ืองต่าง ๆ ได้ดี เพราะผู้ท่ีมีสมรรถภาพทางกายดี ย่อมมีสุขภาพดี การที สุขภาพทดี่ ี สมบูรณ์ แขง็ แรงชว่ ยให้จิตใจแจ่มใส เมื่อจิตใจแจ่มใส ย่อมมีสมาธิเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างเต็ม ความสามารถ
82 ตอนท่ี 2 หลักการและวธิ กี ารทดสอบและสรา้ งเสรมิ สมรรถภาพทางกายเพอื่ สขุ ภาพเบอ้ื งตน้ การเสรมิ สร้างสมรรถภาพทางกายท่ัวไป (General Physical fitness) 1. การเสริมสร้างความเร็ว ( Speed ) ความเร็วของการเคลื่อนไหว ข้ึนอยู่กับการทํางานของระบบ ประสาท และระบบกล้ามเนื้อและการเปล่ียนแปลงความเร็ว ซึ่งเกิดจากระบบประสาทเป็นส่วนใหญ่เม่ือ กล่าวถึงความเร็วในการออกกําลังกายแล้ว จะต้องแยกการเคล่ือนไหวออกเป็น 2 อย่าง คือ การเคลื่อนไหวท่ี ต้องอาศัยความชํานาญเป็นพิเศษ กับการเคลื่อนไหวแบบธรรมดาง่ายๆ ดังนั้น การฝึกการเคลื่อนไหวที่ต้อง อาศัยความชํานาญพิเศษ เพ่ือเพ่ิมความเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ทําได้ง่ายกว่า เช่น ฝึกว่ายนํ้า ตีเทนนิส หรือ พิมพ์ดีด เป็นต้น ซ่ึงในช่วงแรกของการฝึกจะกระทําได้ช้า แต่ต่อมา จะสามารถเพ่ิมความเร็วขึ้นได้ เร่ือยๆ และในการเริ่มต้นของการฝึกถ้ากระทําให้ถูกวิธี จะเป็นส่วนผลักดันให้มีการพัฒนาไปได้ไกลและมี ประสิทธิภาพอีกด้วย สําหรับความเร็วท่ีใช้ในการเคล่ือนไหวแบบธรรมดาน้ัน ได้แก่ การแข่งขันวิ่งเร็ว ถ้า ต้องการจะว่ิงให้เร็วข้ึนจะต้องลดระยะเวลาของการหดตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้อ นั่นคือ ความยาว ของก้าวและความถ่ีของก้าวจะต้องเพ่ิมขึ้นความยาวของการก้าวเท้าขึ้นอยู่กับความยาวของเขา และความถ่ี ของการก้าวเท้าขน้ึ อยู่กบั ความเร็วในการหดตัวของกล้ามเน้ือ และการร่วมมือกันทํางานระหว่างระบบประสาท กับระบบกล้ามเนื้อความเร็วสูงสุดของคนเรานั้น จะอยู่ในช่วงอายุ 21 ปีสําหรับชาย และ 18 ปีสําหรับ หญงิ ในการที่จะเพม่ิ ความเรว็ อาจจะกระทําไดอ้ กี กลา่ วคือ 1. เพมิ่ กําลงั ของกล้ามเนื้อท่ีใชเ้ หยียดขา 2. ฝึกว่ิงด้วยความเร็วสงู สุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการร่วมงานกนั ของกลุ่มกลา้ มเน้ือ 3. แก้ไขขอ้ บกพรอ่ งต่าง ๆ เกยี่ วกับเทคนิคและกลไกของการวงิ่ 2. การเสริมสร้างพลังกล้ามเน้ือ (Muscle Power)พลังของกล้ามเน้ือเกิดจากการรวมของปัจจัย ต่อไปน้ี 1. แรงทเี่ กิดจากการหดตวั ของกลา้ มเนื้อหลาย ๆ มดั ทที่ ําให้เกดิ การเคลอื่ นไหวในกลุ่มเดียวกัน 2. ความสามารถของกลา้ มเน้อื ในกลุม่ เดยี วกนั ท่ีทาํ งานประสานกับกล้ามเนือ้ ของกลุ่มตรงขา้ ม 3. ความสามารถทางกลไกในการทาํ งานของระบบคนระหวา่ งกระดกู กบั กล้ามเนอ้ื ทีเ่ กยี่ วข้อง 3. การเสรมิ สร้างความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) จากหลกั การทวี่ ่า วธิ ีทจี่ ะทาํ ให้ เกดิ ความแขง็ แรงไดน้ ั้น จะตอ้ งฝึกให้กล้ามเนอื้ ทํางานตอ่ สู้กบั แรงตา้ นทานหรือน้าํ หนักทสี่ ูงขึน้ โดยวิธีเพิ่มแรง ตา้ นทานทลี ะน้อยเป็นระยะเวลานาน วธิ ีการฝกึ เพอื่ พัฒนาความแข็งแรงน้นั มหี ลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบต่างก็ยึดเอาแรงต้านทาน เป็นสําคัญ สําหรับพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือยึดหลัก “Overload Principle” โดยให้ร่างกายฝึกเลยขีด ความสามารถปกติ (Normal Capacity) สักเล็กน้อย ซึ่งการออกกําลังกายท่ีเกินขีดความสามารถนี้จะทําให้ ร่างกายเกิดการสับสน ในระยะ 2 – 3 วันแรก หลังจากน้ัน ร่างกายจะมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ โดย ปกติหากเราใหเ้ วลาแกร่ า่ งกาย เพ่ือการปรับตัวประมาณ 1 เดือน จะทําให้ร่างกายทํางานในขีดความสามารถ ธรรมดาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่ันคือ ร่างกายมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ขีดความสามารถก็สูงข้ึนด้วย ใน ปจั จุบนั วิธกี ารฝึกเพื่อพฒั นาความแขง็ แรง จะใช้การฝึกแบบ Isometric Exercise 4. การเสริมสร้างความอดทนของกล้ามเน้ือ (Muscle Endurance) ในการเสริมสร้างความอดทน หรือทนทานของกล้ามเนื้อ เท่ากับเป็นการเสริมสร้างการทํางานของระบบไหลเวียนเลือด ระบบหายใจ และ ระบบกล้ามเนื้อ ให้ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกเพ่ือเสริมสร้างคุณสมบัติดังกล่าว ก็คล้ายกับการฝึก เพ่ือเสริมสร้างความแข็งแรง เพราะต่างก็ยึดหลัก Overload Principle พร้อมทั้งมีความเข้มข้น ระยะเวลา และความบอ่ ยอย่างเพยี งพอ และเหมาะสมสําหรับแตล่ ะคน
83 5. การเสริมสร้างความคล่องตัว (Agility) ความคล่องตัวมีผลต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติ กิจกรรมทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ต้องอาศัยการเปลี่ยนทิศทางหรือเปล่ียนตําแหน่งของ ร่างกาย ท่ีต้องการความรวดเร็ว และถูกต้อง เช่น การออกวิ่งได้เร็ว หยุดได้เร็ว และเปล่ียนทิศทางการ เคล่ือนท่ีได้รวดเร็ว ฉะนั้น ความคล่องตัวจึงเป็นพ้ืนฐานของสมรรถภาพทางกาย และเป็นปัจจัยสําคัญต่อการ เล่นกฬี าหลายอยา่ ง เชน่ บาสเกตบอล แบดมนิ ตัน ยมิ นาสตกิ ฟตุ บอล วอลเลย์บอล เป็นตน้ 6. การเสรมิ สรา้ งความอ่อนตัว (Flexibility) ความอ่อนตัว หมายถงึ พิกัดการเคลื่อนไหวของข้อ ต่อ (The Range of Motion at a Joint) ซึง่ แบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 อย่าง คือ 1. Static Flexibility หมายถึง พกิ ดั การเคลือ่ นไหวขณะที่ขอ้ ตอ่ เคล่ือนไหวช้ามาก ๆ 2. Dynamic Flexibility หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวขณะท่ีข้อต่อเคล่ือนไหวเร็ว ๆ ซึ่งมักจะ มากกวา่ แบบแรกเล็กนอ้ ย ความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการเคล่ือนไหวได้อย่างกว้างขวาง ก็คือ ความสามารถในการอ่อน ตัว และการเคล่ือนไหวใด ๆ ถ้าไม่ได้ทําบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ข้อต่อบริเวณนั้นๆ จะมีผลทําให้ กล้ามเน้ือและเน้ือเย่ือท่ีอยู่บริเวณน้ันเสียความสามารถในการยืดตัว จึงทําให้การอ่อนตัวไม่ดีไปด้วย และทํา ให้มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการลดความสามารถของการอ่อนตัวลงไปด้วยโดยท่ัวไปผู้ที่มี สมรรถภาพทางกายดจี ะต้องมีความออ่ นตัวดี และความออ่ นตวั จะดีไดจ้ ะต้องปราศจากข้อจาํ กดั ตอ่ ไปน้ี คือ 1. โรคหรือการบาดเจบ็ ท่ีทําใหข้ ้อต่อรวมท้งั กระดูกออ่ นที่หมุ้ ปลายกระดูกเส่อื มลง 2. การมสี ารท่ีเปน็ อันตรายปรากฏอยทู่ ข่ี อ้ ต่อ 3. การอกั เสบของเยอ่ื หุ้มขอ้ ต่อ 4. น้ําหล่อลืน่ ในขอ้ ต่อแหง้ หรือมีนอ้ ยเกินไป 7. การเสริมสร้างความอดทนทั่วไป (General Endurance) ความอดทนหรือความ ทนทาน หมายถึง ความสามารถของร่างกาย ท่ีทนต่อการทํางานท่ีมีความเข้มข้นของงานระดับปานกลางได้เป็นระยะ เวลานานความอดทนแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื ความอดทนของระบบไหลเวียนและระบบหายใจ (Circulorespiratory Endurance) ความอดทนของกล้ามเนื้อแต่ละแหง่ ของรา่ งกาย (Local Muscle Endurance)
84 ใบงาน บทที่ 12 การทดสอบและสรา้ งเสริมสมรรถภาพทางกายเพ่ือสขุ ภาพเบ้ืองตน้ คําสงั่ ให้นักศกึ ษาตอบคําถามและอธิบายคําถามต่อไปน้ี 1. ใหน้ ักศึกษา อธิบายความหมาย และความสําคัญของสมรรถภาพทางกาย มาพอสงั เขป .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 2. การเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพทางกายท่วั ไป (General Physical fitness) มีกวี่ ิธี อะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................
85 แผนการเรียนรปู้ ระจําบท บทที่ 13 ความปลอดภัยในชวี ติ และการปอ้ งกนั หลีกเลีย่ งและการให้ ความช่วยเหลือเมอ่ื เกดิ อบุ ตั เิ หตุ การเกิดอัคคีภยั มลพษิ และสารเคมี สาระสาํ คญั การดํารงชีวิตในโลกปจั จบุ ันที่มแี ตค่ วามเปลีย่ นแปลง ต้องร้ถู งึ ปจั จัยเสีย่ งทีท่ ําใหเ้ กิดความไมป่ ลอดภัย ของชีวติ ตอ้ งเรียนรแู้ นวทางหลกี เลยี่ งปัจจยั เส่ยี งดังกลา่ วและรู้ถงึ แนวทางการป้องกนั ช่วยเหลอื เมือ่ เกดิ อุบตั เิ หตุ อัคคีภยั มลพษิ และสารเคมี ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั 1. สามารถบอกปจั จัยเสี่ยงในการดาํ รงชวี ิต 2. อธบิ ายการปอ้ งกันและหลกี เล่ียงปัจจัยเสี่ยง 3. อธิบายพฤติกรรมทีจ่ ะนาํ ไปส่คู วามเสย่ี งตอ่ สขุ ภาพการเกิดอบุ ตั ิเหตุ การเกิดอัคคภี ัยและ สามารถหลกี เลี่ยงได้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา ตอนท่ี 1 ปัจจัยเสยี่ งในการดาํ รงชีวติ ตอนท่ี 2 การป้องกนั และหลกี เล่ยี งปจั จยั เสี่ยง ตอนท่ี 3 การปอ้ งกัน หลกี เลีย่ งและการใหค้ วามชว่ ยเหลือเม่อื เกดิ อุบัติเหตุ การเกดิ อัคคีภัยมลพษิ และสารเคมี กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศกึ ษาเอกสารการเรยี นรู้ 2. ปฏิบตั ิกจิ กรรมตามที่ไดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน ส่ือและอปุ กรณ์ประกอบการสอน 1. ใบงาน 2. เอกสารประกอบการเรยี นรู้ 3. อินเทอร์เนต็ การวดั และประเมินผล 1. สังเกตความสนใจในการเรยี นการสอน 2. การอภิปรายแสดงความคิดเหน็ 3. ตรวจแบบฝึกหดั ท้ายบท
86 ตอนท่ี 1 ปจั จัยเส่ยี งในการดํารงชีวติ ปจั จยั ทีท่ ําใหเ้ กิดพฤติกรรมความเสีย่ ง H-Home คือ ครอบครัว ที่อยู่อาศัย ชุมชนแวดล้อม ความปลอดภัยภายในบ้าน เม่ือวัยรุ่นอยู่ในบ้าน อยู่ในชุมชนที่ดีก็จะทําให้พวกเขามีสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาต่างๆได้ E-Education / Employment การเรียน การทํางาน เป้าหมายอาชพี และความหวังในชวี ิต วยั รนุ่ ทกุ คนล้วนมเี ปา้ หมายในชีวติ แตล่ ะคนล้วนมเี ปา้ หมายแตกต่างกันออกไป และทกุ คนกห็ วงั วา่ จะทําเป้าหมาย น้ันใหป้ ระสบผลสําเร็จ แตเ่ นอื่ งด้วยปัจจยั หลายๆดา้ น ทําให้เขาไมส่ ามารถทาํ ได้ บางคนอาจหมดกาํ ลังใจท่ีจะ ทําตอ่ มีความทอ้ แท้สิ้นหวงั กอ่ เกดิ ความเสย่ี งได้ Eating คือ พฤติกรรมการกนิ ไมว่ า่ วยั รนุ่ หญิงหรอื วยั รุ่นชายลว้ นต้องการมีรูปร่างทีด่ ี ไมอ่ ้วนเกนิ และ ไม่ผอมเกนิ ทําให้มีความกงั วลในการกินตลอดเวลา และอาจก่อใหเ้ กดิ ความเส่ยี งต่อสุขภาพจติ ได้
87 Activities and friends คือ กิจวัตรประจําวันและการคบเพ่ือน การทํากิจวัตรประจําวันของวัยรุ่น เพ่ือนมีอิทธิพลอย่างมากหากคบเพ่ือนท่ีดีวัยรุ่นก็จะทํากิจกรรมที่ดีและมีประโยชน์แต่หากคบเพื่อนท่ีไม่ดีวัยรุ่น กม็ คี วามเสยี่ งทจ่ี ะมีทํากจิ กรรมทไี่ มด่ ีส่งผลตอ่ พฤตกิ รรมท่ไี ม่ดเี ชน่ กนั Drugs – abuse คือ การลองใช้สารเสพติด หรือ การลองบุหรี่และเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ แน่นอนว่า วยั รนุ่ เปน็ วัยท่มี คี วามอยากรอู้ ยากลอง มีความตอ้ งการในสง่ิ ทแ่ี ปลกใหม่ การคบเพือ่ นหรืออยู่ในกลุ่มหรอื ชุมชน ทม่ี ั่วสมุ ในเร่ืองของยาเสพตดิ และแอลกอฮอล์ วัยรนุ่ กม็ คี วามเสยี่ งอยา่ งมากท่จี ะตดิ สารเสพตดิ เหล่าน้ี
88 Sexual activities คือ พฤติกรรมทางเพศ การเรียนรู้เรื่องเพศเป็นสิ่งสําคัญ ถึงแม้ว่าเม่ือ พูดถึง เร่ืองน้ีวัยรุ่นบางคนอาจจะอายไม่อยากรับฟัง แต่การให้ความรู้เรื่อง เพศศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ อย่างมาก ต่อการดาํ เนินชีวิตของวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเปล่ียนแปลงของตนเอง การมี เพศสัมพันธ์ การป้องกัน พฤติกรรมและการแสดงออกทางเพศเปน็ ต้น Safety / violence / abuse คือ พฤติกรรมเสีย่ งต่อการเกดิ อุบัตเิ หตแุ ละความรนุ แรง อย่างที่หลาย คนไดร้ บั รวู้ ่าวัยรุ่นเปน็ วยั ที่ใจรอ้ น ววู่ าม ไมช่ อบทําตามคําสง่ั ทําใหเ้ สี่ยงต่อการเกิดอุบตั ิเหตุไดง้ ่าย อกี ทง้ั ยังชอบ ชกต่อย พกพาอาวุธ และบางคนกป็ ระสบปัญหาภายในครอบครัว ถกู ทารณุ กรรมและถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศ สง่ิ ต่างๆเหล่านลี้ ว้ นสง่ ผลต่อพฤติกรรมของวัยรนุ่ ได้ทัง้ น้ัน
89 Suicial idea คือ ความรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ในชีวิต ชีวิตของวัยรุ่นทุกคนล้วนแตกต่างกันบางคน ถึงแม้ยากจนเท่าไหร่แต่เขามีความอดทนมีพื้นฐานทางจิตใจที่มั่นคงไม่ว่ามีอุปสรรคเข้ามามากแค่ไหนเขาก็ผ่าน พ้นมันไปได้ แต่มีวัยรุ่นบางคนท่ีไม่มีความอดทน เป็นคนอ่อนแอ ไม่มีประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต เจอกับ สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย แล้วไม่สามารถทนต่อมันได้ก็อาจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายท้อแท้ ส้ินหวัง คิดฆ่าตัวตาได้ ได้ ซึง่ ถือเป็นความเสยี่ งท่อี นั ตรายมาก
90 ตอนที่ 2 การป้องกนั และหลีกเลีย่ งปัจจยั เสีย่ ง วธิ ลี ดความเส่ยี งและการสร้างเสรมิ สุขภาพของตนเอง ชุมชน และสังคม การมีสุขภาพอนามัยท่ีสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคและการเจ็บป่วยต่างๆ ในชุมชนและสังคมได้นั้น ทุกคนในชุมชนควรดูแลสุขภาพของตนเอง หลีกเล่ียงพฤติกรรมเส่ียงทางสุขภาพและร่วมกันสร้างเสริมสุขภาพ ให้เกิดข้ึนในชุมชนและสังคม ซ่ึงสามารถนํานโยบายยุทธศาสตร์สร้างสุขภาพ “คนไทยแข็งแรง เมืองไทย แข็งแรง” ด้วยหลักการ 6 อ. (ออกกําลังกาย อาหาร อารมณ์ อนามัยส่ิงแวดล้อม อโรคยา และอบายมุข) ของ กระทรวงสาธารณสขุ มาประยุกตใ์ ชใ้ นการดูแลสขุ ภาพ โดยมแี นวทางปฏิบัติดงั นี้ 1. ออกกําลังกาย การออกกําลังกายเป็นวิธีการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี ทําให้มีสุขภาพท่ีแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่นโรคหัวใจ โรคอ้วน โรควิตกกังวลซึมเศร้า โรคความดันเลือดสูง และ การออกกําลงั กายยังส่งผลทําให้รู้สึกสดชน่ื กระปรก้ี ระเปรา่ ผอ่ นคลายความตึงเครยี ดทางจติ ใจ ดงั น้ันทุกคนใน ชุมชนควรออกกําลังกายอย่างสมํ่าเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง คร้ังละไม่ตํ่ากว่า 30 นาที และควรเลือก วิธกี ารออกกําลังกายให้เหมาะสมกับเพศ วัย และสภาพร่างกายของตนเองดว้ ย 2. อาหาร อาหารเป็นหนง่ึ ในปัจจัยสท่ี ี่สาํ คัญของการดํารงชีวิต เพราะอาหารทําให้บุคคลมีกําลังในการ ทํางานหรือทาํ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจาํ วนั ไดอ้ ย่างปกตสิ ขุ การเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ต่อ สุขภาพจึงเป็นสิ่งจําเป็นต่อการสร้างเสริมสุขภาพของบุคคล โดยประชาชนทุก ๆ วัยในชุมชนทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่างหลากหลาย มีปริมาณท่ีเพียงพอกับความ ตอ้ งการของรา่ งกาย รวมท้ังเลอื กรบั ประทานแต่อาหารทีส่ ะอาด ปลอดภัย ไมม่ ีสารพษิ ปนเปอื้ น 3. อารมณ์ อารมณ์มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ ถ้าบุคคลมีอารมณ์ดี ย้ิมแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ร่างกายก็จะหล่ังสารแห่งความสุขออกมาส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดอารมณ์ขุ่นมัว โกรธฉุนเฉียว เศร้า เสียใจ ร่างกายจะทํางานผิดปกติ ความต้านทานโรคลดลง ดังน้ัน ทุกคนในชุมชนควรหมั่นดูแลและจัดการอารมณ์ของ ตนเองให้อยู่ในภาวะปกติอยู่เสมอ ด้วยวิธีการจัดการกับอารมณ์และความเครียด เช่น นอนหลับพักผ่อนให้ เพยี งพอ ฟังเพลง เดินทางทอ่ งเทีย่ ว น่ังสมาธิ ฝึกมองโลกในแง่ดี รวมกลมุ่ กับสมาชกิ ในชุมชนเพ่ือออกกําลังกาย ทาํ กจิ กรรมชมรม หรอื จดั งานเล้ยี งสังสรรค์ขน้ึ ในชุมชน หรือจดั สวนหย่อมเพื่อใช้เป็นสถานท่ีผ่อนคลายความตึง เครยี ดของคนในชมุ ชน เป็นต้น 4. อนามัยสิ่งแวดล้อม บุคคลจะมีสุขภาพดีไม่ได้ถ้าส่ิงแวดล้อมรอบตัวเป็นพิเศษ เกิดมลภาวะท่ีส่งผล ต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ดังนั้นทุกคนในชุมชนควรช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมให้มีความสะอาด ปลอดภัย น่าอยู่อาศัย โดยเริ่มจากการจัดการบ้านเรือน ท่ีพักอาศัยให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแลสิ่งแวดล้อมของ โรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ ปลอดภัยจากอุบัติเหตุและภัยอันตรายต่าง ๆ เก็บรวบรวมและกําจัดขยะมูลฝอยใน ชมุ ชนให้ถกู หลักสขุ าภบิ าล ควบคุมแมลงและสตั ว์นาํ โรคในชมุ ชนจัดสถานท่ีสาธารณะและถนนภายในชุมชนให้ มคี วามปลอดภยั เปน็ ต้น 5. อโรคยา หมายถึง การไม่มโี รคมาเบียดเบียน ซ่ึงหากมโี รคมาเบียดเบียนร่างกายแล้วถือว่าเป็นความ ทุกข์ของมนุษย์ทุกคนที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง ดังนั้นการหลีกเล่ียงพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยลดปัญหาการเกิดโรคและการเจ็บป่วยต่าง ๆ ท่ีไม่พึงประสงค์ได้โดยประชาชนในชุมชนในควรร่วมกัน รณรงค์เพื่อการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ต่อไปนี้ เช่นการสูบบุหร่ี การด่ืมสุรา การเสพสารเสพติด การสําสอ่ นทางเพศ การขับขี่รถโดยประมาท การรับประทานอาหารสกุ ๆ ดบิ ๆ หรอื เครง่ เครียดกับการทํางาน จนขาดการพกั ผอ่ นและการออกกําลังกาย
91 6. อบายมุขทกุ ชนิดส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่วา่ จะเป็นการเสพสารเสพติด การสูบบุหร่ี การดื่มสุรา หรือ การเล่นการพนัน ดังนั้น ผู้อยู่อาศัยในชุมชนควรดูแลตนเองและบุคคลในครอบครัวไม่ให้ไปยุ่งเก่ียวกับอบายมุข รวมทั้งสมาชิกของชุมชนควรร่วมมือกันป้องกันภัยจากอบายมุขต่าง ๆ ไม่ให้เกิดข้ึนในชุมชนของตนเองด้วย ตอนท่ี 3 การปอ้ งกนั หลีกเล่ียงและการใหค้ วามชว่ ยเหลอื เมอ่ื เกดิ อบุ ตั ิเหตุ การเกิดอคั คภี ัยมลพษิ และสารเคมี อบุ ตั ิเหตุ เป็นเหตุการณท์ ่เี กดิ ขึน้ โดยไม่คาดคิด หรือไมไ่ ด้ระมัดระวังมาก่อน อุบัติเหตอุ าจเกดิ ขึ้นไดท้ ุก เวลาและทกุ สถานท่ี เมอ่ื เกดิ อุบัตเิ หตขุ ึน้ จะทาํ ใหเ้ สียทรพั ย์สนิ และอาจเสียชวี ติ ได้ พฤตกิ รรมท่เี สยี งต่อการเกิดอุบัติเหตุ เกดิ จากหลายสาเหตุ ดงั น้ี 1. ความประมาท 2. ความคึกคะนอง 3. ขาดความรคู้ วามชาํ นาญ 4. เครื่องมือชํารดุ 5. ไม่ปฏิบตั ติ ามกฎ ระเบยี บ 6. อืน่ ๆ 1. อุบัติเหตใุ นบ้าน อบุ ัติเหตุในบ้าน เปน็ ภยั ท่เี กดิ จากการกระทําทีป่ ระมาทของสมาชิกในบา้ นหรอื เกิดจากสภาพบ้านและ บรเิ วณบ้านท่อี าจก่อใหเ้ กิดอันตรายได้ อบุ ตั ิเหตุในบา้ นนนั้ เกดิ จากสาเหตหุ ลายประการ ดงั นี้ 1. หลดั ตกจากบนั ไดหรอื ทส่ี ูง 2. เล่นกบั ไฟ น้ํารอ้ นลวก ไฟไหม้ จดุ ธปู เทียนท้ิงไว้ 3. จมนา้ํ ในสระน้าํ หรอื ในแมน่ ํา้ ลําคลองใกล้บา้ น 4. ถูกของมคี มทมิ่ แทงหรือบาดมอื 5. กินยาผิด ดมหรือกินสารเคมี ข้อควรปฏิบัตใิ นการปอ้ งกนั อบุ ตั ิเหตใุ นบา้ น 1. ไม่ว่งิ เล่นขณะขนึ้ หรอื ลงบันได 2. ใช้อุปกรณ์และเคร่อื งมอื เคร่ืองใชอ้ ย่างระมดั ระวงั และเกบ็ ไวใ้ นทีป่ ลอดภยั 3. ไมจ่ ุดไม้ขดี ไฟเลน่ และดับไฟทกุ คร้ังหลังใช้งานเสร็จแลว้ 4. ถอดปลก๊ั เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ทุกคร้ังเมอื่ ใช้เสรจ็ แล้ว 5. ไม่ว่งิ เล่นในบรเิ วณทีม่ หี ญา้ ขนึ้ รก เพราะอาจถกู สตั วม์ ีพษิ กดั ตอ่ ยได้ 6. ไมค่ วรหยิบยากนิ เอง ควรให้ผูใ้ หญห่ ยบิ ยามาให้ 7.ไม่ปีนต้นไม้หรือท่สี ูง เพราะพลดั ตกลงมาได้ 8. ไม่ท้ิงเศษกระเบื้องหรือของมีคมไว้ตามทาง เพราะอาจถกู บาดเทา้ ได้ 9. เมอ่ื พบสิ่งของในบ้านชาํ รุด ควรแจ้งให้พอ่ แม่ทราบทนั ที 10. ถา้ บ้านอยใู่ กลแ้ ม่นา้ํ ลําคลองควรฝึกว่ายนา้ํ ให้เป็น 2. อบุ ัติเหตุในโรงเรยี น อุบัติเหตุในโรงเรียน อาจเกิดข้ึนจากความประมาทและความคึกคะนองของตัวนักเรียนเอง หรือเกิด จากสภาพแวดลอ้ มของโรงเรียน เช่น โตะ๊ และเก้าอ้ีชาํ รุด อาคารเรยี นทรุดโทรม สนามของโรงเรียนมีหญ้าขึ้นรก เปน็ ตน้ ดังน้นั เราจึงควรเรยี นรขู้ อ้ ควรปอ้ งกันตนเองจากการเกิดอบุ ตั ิเหตใุ นโรงเรยี น ข้อควรปฏบิ ัตใิ นการป้องกนั อุบัติเหตุในโรงเรยี น
92 1. ไมเ่ ล่นรุนแรงกบั เพอื่ น 2. ปฏบิ ตั ติ ามกฎ ระเบียบของโรงเรียน เช่น ไมห่ ้อยโหนประตูหรอื หน้าต่าง 3. เกบ็ เคร่ืองมือหรืออปุ กรณ์ ทใี่ ชเ้ สรจ็ แลว้ ใหเ้ รียบรอ้ ย 4. ถา้ หากพบอุปกรณห์ รอื เครอื่ งมือเครื่องใช้ชาํ รุด ตอ้ งรีบแจง้ ใหค้ รทู ราบทนั ที 3. อุบตั ิเหตใุ นการเดนิ ทาง อุบัติเหตุในการเดินทาง เป็นอุบัติเหตุท่ีอาจเกิดข้ึนได้ จากการเดินถนนเดินทางโดยรถยนต์ หรือ เดินทางทางนํ้า อุบัติเหตุในการเดินทางอาจทําให้เราเสียชีวิตได้ ดังนั้น เราจึงควรรู้ข้อควรปฏิบัติในการป้องกัน อุบัตเิ หตจุ ากการเดินทาง ดงั น้ี 1. ข้ามถนนตรงทางขา้ ม เช่น ทางม้าลาย สะพานลอย ทางขา้ มทีม่ ีสญั ญาณไฟจราจร 2. กอ่ นข้ามถนนควรมองขวา มองซา้ ย และมองขวาอกี ครงั้ จงึ ข้ามถนน 3. ควรเดินบนทางเทา้ ไม่วงิ่ หรอื เล่นกันขณะเดินถนน 4. ใส่เสื้อผ้าสสี วา่ งในขณะเดินทางตามถนนในตอนกลางคนื 5. ไมค่ วรแยง่ กนั ขึ้นรถประจาํ ทาง 6. ไม่หอ้ ยโหนอยู่ท่ปี ระตูรถโดยสารประจาํ ทาง 7. รอขึน้ หรอื ลงเรอื เม่ือจอดเทียบท่าหรือริมฝง่ั เรยี บรอ้ ยแล้ว 8. ปฏิบตั ติ ามกฎหรอื ระเบยี บของการน่งั เรือ เช่น ไมน่ ง่ั บนกราบเรอื 4. เคร่อื งหมายเตือนอนั ตราย นักเรียนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า อุบัติเหตุอาจเกิดข้ึนได้ทุกสถานท่ีดังน้ัน เราจึงควรระมัดระวังตนเอง เม่ืออยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ควรปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และคําเตือนต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของเครื่องหมายเตือน อันตราย 5. วิธกี ารส่อื สารเพอ่ื ขอความช่วยเหลือ เมื่อนักเรียนเกิดอุบัติเหตุหรือพบผู้ท่ีบาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุ นักเรียนควรรู้วิธีขอความช่วยเหลือ เพื่อ จะไดล้ ดความสญู เสียที่จะเกิดข้นึ กบั ทรัพย์สินและชวี ติ ได้ ถา้ เกิดอบุ ตั ิเหตุ เราควรปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 1. รีบแจ้งให้พ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ทราบ โดยบอกรายละเอียดทั้งหมดเก่ียวกับสาเหตุและ อาการทเ่ี กิดขึ้น 2. ถ้าผู้ที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ในท่ีที่ผู้ช่วยเหลือมองไม่เห็นให้ผู้ท่ีเกิดอุบัติเหตุร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ เป็นระยะ ๆ หรือทาํ สัญญาณเสยี ง เชน่ เคาะพนื้ เคาะประตู เพ่ือให้ผ้ชู ว่ ยเหลือรับรู้ 3. นักเรียนควรรู้และจดช่ือ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่จะขอความช่วยเหลือเม่ือเกิดอุบัติเหตุ เช่น ช่ือ และทีอ่ ยขู่ องพอ่ แม่ เบอรโ์ ทรศพั ทข์ องสถานตี าํ รวจ เบอร์โทรศัพท์โรงพยาบาล เปน็ ตน้ การปอ้ งกนั อบุ ัติเหตุ ความปลอดภัยในห้องท่ีใช้ปฏิบัติการจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยผู้เก่ียวข้องหลายฝ่าย ตั้งแต่ผู้ออกแบบห้อง ผู้วางแผนการทดลอง ผู้ควบคุมกรทดลอง ผใู้ หบ้ ริการ และผูเ้ รียน หลกั การทัว่ ไปในการป้องกนั อบุ ัติเหตุ คือ 1. การวางระเบียบข้อบังคับ ระเบียบข้อบังคับคือมาตรการเบ้ืองต้นของการป้องกันอุบัติเหตุ เช่น การ ห้ามนําอาหารเข้าไปรับประทานในห้องปฏิบัติการ การห้ามสูบบุหร่ี การห้ามอยู่คนเดียวในห้อง แต่การมี
93 ระเบียบที่ดีจะไร้ความหมายหากมิได้มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ควรจะสร้างความเข้าใจให้เกิดข้ึนว่า การ ปฏิบัติตามระเบียบนี้ก็เพ่อื ผลประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม 2. การฝึกฝนให้เกิดเป็นนิสัย ในบรรดาสาเหตุของอุบัติเหตุ ความบกพร่องของคนเป็นสาเหตุสําคัญ ประการหน่ึง หากจะต้องการลดอุบัติเหตุและทําให้เกิดสภาพความปลอดภัยขึ้นได้อย่างถาวรจะต้องแก้ท่ีตัวคน เรื่องของการฝึกนิสัยการทํางานด้วยความปลอดภัยจึงจําเป็น เพราะไม่ว่าเราจะมีระเบียบ ข้อบังคับ หรือหาวิธี ป้องกันได้ดีเพียงใด หากผู้ปฏิบัติยังไม่มีนิสัยและเทคนิคการทํางานด้วยความปลอดภัยแล้ว ก็ยากท่ีจะ ควบคุมดแู ล 3. การรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการดูแลรักษา ความเป็นระเบียบย่อมเป็นการป้องกัน อุบัติเหตุเบื้องต้นได้ทั่วไปทุกแห่ง นอกจากการรักษาความเป็นระเบียบแล้วก็ยังต้องมีการดูแลรักษาสภาพห้อง และเคร่ืองใชท้ ่วั ไปให้อยใู่ นสภาพดดี ้วย โดยเฉพาะอย่างยิง่ เครือ่ งไฟฟ้า 4. การให้การศึกษาเร่ืองอันตรายจากสารเคมี การป้องกันและวิธีแก้ไขอุบัติเหตุจากสารเคมีย่อมเกิดขึ้น ได้ง่ายถ้าใช้ไม่ถูกวิธี ดังนั้นจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนต้องมีความรู้เร่ืองอันตรายของสารเคมี ส่วนใหญ่อุบัติเหตุ มักเกิดจากการใช้สารไวไฟอย่างไม่ระมัดระวัง ควรยํ้าเตือนถึงวิธีใช้ที่ถูกต้อง การหกรดของสารต้องมีวิธีแก้ไขที่ ถกู ตอ้ ง และเน้นให้ปฏิบตั ติ ามวิธีทดลองอยา่ งเครง่ ครดั 5. การจดั เตรยี มอปุ กรณ์ท่ีจําเป็น การป้องกันบางคร้ังจําเป็นต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมไว้ให้ เช่น แว่นนิรภัยเพื่อกันสารกระเด็นเข้าตา การจัดสภาพการระบายอากาศของห้อง ตู้ปฐมพยาบาล อุปกรณ์ดับเพลิง รวมท้งั เครอ่ื งมือทดลองทพี่ อเพยี ง และอยใู่ นสภาพใชง้ านไดอ้ ยา่ งปลอดภยั 6. การวเิ คราะหส์ าเหตขุ องอุบตั ิเหตุ บนั ทึกเหตุการณแ์ ละขอ้ เสนอแนะเหตุการณ์ที่ได้เกิดข้ึนแล้ว จะเป็น บทเรียนท่ีดีถ้าหากได้มีการวิเคราะห์หาสาเหตุ และจากสาเหตุจะมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขป้องกันมิให้เกิด อุบัติเหตุขึ้นอีก บันทึกเหตุการณ์จะเป็นประโยชน์ต่อผู้มาภายหลัง ซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงได้มาจาก ผ้เู คราะห์ร้าย 7. การส่งเสริมเพื่อให้เห็นความสําคัญของการป้องกัน หลักการข้ันสุดท้ายของการป้องกันอุบัติเหตุคือ การสง่ เสรมิ เพ่ือใหท้ ุกคนเหน็ ความสาํ คญั ของการปอ้ งกันอันตราย การทาํ งานด้วยความปลอดภยั เป็นเรื่องที่ควร ทํา เพราะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรเป็นเรื่องของการบังคับ เป็นต้น การส่งเสริมจะเป็นการ ช่วยปลูกฝังเจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การทาํ งานด้วยความปลอดภยั อุบตั ิเหตุมีกี่ประเภท การแบง่ ประเภทของอุบตั ิเหตุ เร่อื งราวทเ่ี กยี่ วข้องกับอบุ ตั ิเหตุ ได้แก่ 1. ตัวการหรืออุปกรณ์ทที่ าํ ใหเ้ กิดอบุ ตั ิเหตุ เช่น ยานยนต์ อาวุธปนื สารพษิ ไฟฟ้า ก๊าซหงุ ต้ม 2. ผลจากอุบัติเหตุ เช่น บาดแผลของผิวหนังศีรษะหรือสมองบาดเจ็บ กระดูกหัก แผลจากวัตถุระเบิด และกระสุนปืน แผลลวก - ไหม้ 3. ส่ิงแวดล้อมที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น การจราจร บ้าน โรงเรียน สถานที่ประกอบการ เช่น โรงงาน สถานทก่ี อ่ นสรา้ ง สนามกีฬา สนามรบ 4. ผู้ทปี่ ระสบอบุ ัติเหตุ เช่น อบุ ัติเหตุท่ีเกดิ แกผ่ ูใ้ ชร้ ถใช้ถนน อบุ ตั ิเหตุในเด็ก คนงาน นกั กีฬา คนชรา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118