NURNS09 การพยาบาลผใู้ หญ่ 2 จดั ทำโดย นำงสำวอำรสิ ำ รอดแจง้ นกั ศึกษำคณะพยำบำลศำสตรช์ น้ั ปี ที่2 เลขท่ี 34 Sec.2 รหสั นกั ศึกษำ 6117701001075 NURNS09
บทนำ สื่อนาเสนอในปัจจบุ ันนี้ไดม้ ีการพัฒนารปู แบบใหม้ ีความโดดเด่นน่าสนใจดว้ ย เทคโนโลยีมัลติมีเดียการนาเสนอขอ้ ความหรือเน้ือหาในปริมาณมากๆในลกั ษณะของส่ือ สิ่งพิมพห์ รือหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ e-book ก็มีการเปล่ียนแปลงรปู แบบจากสิ่งพิมพห์ รือ หนงั สือที่เป็ นไฟลเ์ น้ือหาเพียงอย่างเดียวตอ้ งดดู ว้ ยเทคนิคการเลื่อนภาพไปเป็ นเทคนิค การนาเสนอท่ีมีลักษณะการเปิ ดหนา้ หนังสือแบบเสมือน เน้ือหาที่นาเสนอเป็ นไปไดท้ ั้ง ขอ้ ความภาพน่ิงอันเป็ นการใชค้ วามสามารถของเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาผสมผสานกับ e-book ไดอ้ ย่างลงตัว และเป็ นสื่อท่ีไดร้ ับความนิยมสงู อย่างมากในปัจจบุ ัน ผจู้ ัดทาจึง เลือกโปรแกรม Flipbuilder เนื่องจากใชง้ ่าย สะดวกในการสามารถนาเสนอในรปู แบบ offline ได้ การจดั ทาหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ e-book ประกอบดว้ ยเนอื้ หา 12 บทผจู้ ดั ทาหวงั เป็ นอยา่ งยิ่งวา่ หนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ส์ e-book นจี้ ะเป็ นประโยชนต์ อ่ ผทู้ ่ีไดม้ าศึกษาเป็ น อย่างดี หากมสี ่งิ ใดจะตอ้ งปรบั ปรงุ ผจู้ ดั ทาขอนอ้ มรบั ในขอ้ ชแี้ นะและจะนาไปแกไ้ ขหรือ พฒั นาใหถ้ กู ตอ้ งสมบรู ณต์ อ่ ไป นางสาวอาริสา รอดแจง้ ผจู้ ดั ทา
สรปุ หนว่ ยท่ี 1 แนวคิด ทฤษฎี หลกั กำรพยำบำลในวยั ผใู้ หญ่ที่ มีภำวกำรณเ์ จ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต
ควำมหมำยภำวะเจ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต -ภาวะเจ็บป่ วยเฉียบพลนั ( Illness ) หมายถึง ภาวะเจ็บป่ วยท่ีเกิดขนึ้ อย่างกะทนั หนั -ภาวะเจ็บป่ วยวิกฤติ ( Critical ) หมายถึง ภาวะเจ็บป่ วยที่คกุ คามอนั ตรายถึงแกช่ ีวิต การพยาบาลภาวะวิกฤติ หมายถึง การพยาบาลใหผ้ ปู้ ่ วยที่มภี าวะเจ็บป่ วยคกุ คามอนั ตราย ถึงชีวิต โดยใหค้ รอบคลมุ ท้ังดา้ นร่างกายและจิตใจ เพื่อใหผ้ ปู้ ่ วยปลอดภยั และไม่มีภาวะแทรกซอ้ น วิวฒั นำกำรของกำรดแู ลผปู้ ่ วยภำวกำรณเ์ จ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต ปี ค.ศ.1950 : ICU จดั ตง้ั ครงั้ แรกใน USA = มีอปุ กรณช์ น้ั สงู มาใช้ เชน่ ยานอนหลบั ยาแก้ ปวด แตม่ ภี าวะแทรกซอ้ นตามมา ปัจจบุ นั : ดแู ลแบบคอ่ ยเป็ นคอ่ ยไป ส่อื สารกบั ผปู้ ่ วยและญาติ เนน้ การทางานแบบทีมสหวิชาชพี เพ่ือใหผ้ ปู้ ่ วยปลอดภยั และลดภาวะแทรกซอ้ นจากการรกั ษา ประเด็นปัญหำท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั กำรดแู ลผปู้ ่ วยภำวะกำรณเ์ จ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต 1.ปัญหาซับซอ้ นในการใชอ้ ปุ กรณ์ และความรู้ ความสามารถเฉพาะทางของทีมสขุ ภาพ และ ผปู้ ่ วยวิกฤตมจี านวนมากข้นึ 2.อบุ ตั กิ ารณค์ วามเสี่ยงจากการจดั การของทีมสขุ ภาพ ลาดบั ปัญหาที่พบบอ่ ยไดแ้ ก่ อนั ดบั ท่ี 1 : การจดั การทางเดนิ หายใจ อนั ดบั ที่ 2 : การดแู ลสายยางท่ีสอดใสเ่ ขา้ ไปในรา่ งกาย หรือเฝ้ าระวงั การเปลี่ยนแปลงของ ร่างกาย อนั ดบั ท่ี 3 : ปัญหาในการใชย้ า 3.โรคตดิ เชอื้ อบุ ตั ซิ า้ และตดิ เชอ้ื อบุ ตั ใิ หม่ โรคตดิ เช้อื ในโรงพยาบาล :HIV วัณโรคปอด ไขห้ วดั ใหญ่ ไวรสั แบคทีเรีย เช้ือกลายพนั ธ์ุ ในไทยพบการตดิ เชอื้ วัณโรค สมั พนั ธก์ บั HIV การระบาดโรค ตดิ เช้อื อบุ ตั ใิ หม่ : โรคไขห้ วัดใหญ่ 2019 MERS-CoV COVID-19 4.สงั คมโลกในปัจจบุ นั กาลงั เขา้ สสู่ งั คมของผสู้ งู อายุ และในวัยอ่ืนๆมกี ารบาดเจ็บทางจราจร อบุ ตั เิ หตเุ พ่ิมขน้ึ ประชาชนเขา้ ถึงบริการมากขน้ึ แตม่ ีประเทศตา่ งๆขาดแคลนบคุ คลากรท่ีมีความรู้ ความสามารถเฉพาะทาง 5.เกิด ICU delirium เพิ่มมากขนึ้ ทาใหเ้ กิดปัญหาทางจริยธรรม โดยเฉพาะในกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ ี่ ใชเ้ ครื่องชว่ ยหายใจ 6.ปัญหาการเสยี ชวี ิตจากโรคหวั ใจ
ควำมทำ้ ทำยของพยำบำลในกำรดแู ลผปู้ ่ วยภำวกำรณเ์ จ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต 1.คานงึ ความแตกตา่ งของวัฒนธรรมของกลมุ่ สมาชิกประชาคมอาเซียน 2.พฒั นาความรทู้ างวิชาการและคณุ ภาพการพยาบาลผปู้ ่ วยเฉียบพลนั วิกฤต และการ ปรบั ตวั ตอ่ สถานการณท์ างภยั ธรรมชาติ สาธารณภยั อบุ ตั เิ หตุ ความรนุ แรง การกอ่ การรา้ ยใน ประเทศ รวมทง้ั ตน่ื ตวั ในโรคตดิ เชื้อตา่ งๆ ในการวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสม 3.ยึดถือผปู้ ่ วยเป็ นศนู ยก์ ลาง ใชเ้ ทคโนโลยีทางการแพทยอ์ ยา่ งเหมาะสมและนอ้ ยที่สดุ และ ตอ้ งมคี วามรทู้ กั ษะการดแู ลผสู้ งู อายมุ ากขนึ้ ซ่ึงสว่ นมากจะมีความซบั ซอ้ นมากกว่า 1 โรค 4.สง่ เสริมการบริการ ท่ีมงุ่ เนน้ ใหผ้ ปู้ ่ วยฟื้ นสภาพเร็ว กลบั บา้ นไดเ้ ร็วขน้ึ 5.การเปิ ดการเรียนการสอนพยาบาลท่ีมคี ณุ ภาพ และการตอ่ เนอื่ งทงั้ เฉพาะทาง หลกั สตู ร ระยะสนั้ และการทาวิจยั สมรรถนะของพยำบำลท่ีดแู ลผปู้ ่ วยภำวกำรณเ์ จ็บป่ วย เฉียบพลนั วิกฤต 1.การประเมินสภาพ และวินจิ ฉยั การพยาบาล ตามกรอบแนวคดิ FANCAS ไดแ้ ก่ Fluid balance, Aeration, Nutrition , Communication , Activity , Stimulation 2.การวางแผนร่วมกบั สหวิชาชพี 3.ปฏิบตั กิ ารพยาบาลในการจดั การดแู ลชว่ ยเหลือในระยะวิกฤตแิ ละเฉียบพลนั ใน สถานการณต์ า่ งๆ การทาหตั ถการตา่ งๆตามแผนการรกั ษา ดแู ลความสขุ สบายทงั้ ดา้ นรา่ งกายและ จิตใจ 4.มีความรเู้ ขา้ ใจในพยาธสิ ภาพ แนวทางการรกั ษา และการดแู ลผปู้ ่ วย เพื่อไดใ้ หก้ ารพยาบาล ไดท้ นั ท่วงที 5.ดแู ลดา้ นจิตสงั คม ไดแ้ ก่ ใหก้ ารยอมรบั สรา้ งบรรยายกาศท่ีเป็ นกนั เอง จดั เตรียมขอ้ มลู เพ่ืออธิบาย กระตนุ้ และใหก้ ารสนบั สนนุ ผปู้ ่ วยและญาติในการตดั สิน การจดั การส่ิงแวดลอ้ ม การ เตรียมญาตแิ ละผปู้ ่ วยออกจากหอผปู้ ่ วย และการชว่ ยเหลอื ป้ องกนั ความเครียด 6.ประเมินผลการพยาบาลตามเกณฑท์ ี่ตงั้ ใจ 7.ตดั สินใจแกป้ ัญหาใหผ้ ปู้ ่ วยในสถานการณต์ า่ งๆ 8.เคารพกฎหมายและจริยธรรมแห่งวิชาชพี ใหก้ ารดแู ลอย่างเทา่ เทียม และเคารพใน วฒั นธรรมความแตกตา่ ง 9.รายงานอบุ ตั กิ ารณท์ ่ีเกดิ ขน้ึ ในการพยาบาล 10.มีทกั ษะในการสื่อสารและสามารถปฏิบตั ิหนา้ ที่ในการทางานเป็ นทีม 11.จดั สภาพแวดลอ้ มใหม้ ีความปลอดภยั 12.จดั การเกีย่ วกบั การประกนั คณุ ภาพทางการพยาบาล 13.นาหลกั ฐานเชิงประจกั ษแ์ ละงานวิจยั มาใชใ้ นการพยาบาล
กำรใชก้ ระบวนกำรพยำบำลผปู้ ่ วยภำวกำรณเ์ จ็บป่ วย เฉียบพลนั วิกฤต ASSESSMENT ;ประวตั กิ ารเจ็บป่ วย การตรวจพิเศษ monitor Nursing diagnosis ;ระบถุ ึงปัญหาของผปู้ ่ วย Planning ;จดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา และเขยี นบนั ทึกไวใ้ นรายงาน Implementation ;ปฏิบตั ดิ ว้ ยความรแู้ ละทกั ษะในการปฏิบตั ิ และตอ้ งบนั ทึกขอ้ มลู ทกุ ครง้ั Evolution ;กาหนดตวั ชว้ี ัด เพื่อประเมนิ ความสาเร็จในการพยาบาล กำรใชท้ ฤษฎกี ำรปรบั ตวั ของฟรอยด์ ในกำรดแู ลผปู้ ่ วยภำวกำรณเ์ จ็บป่ วย เฉียบพลนั วิกฤติ Person ;บคุ คล ครอบครวั ชมุ ชน สมาคม สงั คม Environment ;สภาวการณร์ อบๆบคุ คล Health ;ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบคุ คลกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ที่สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความมนั่ คงทางจิตใจ Nursing ;สง่ เสริมใหม้ กี ารปรบั ตวั ที่ดีขน้ึ แบบประเมินผปู้ ่ วยภำวะวิกฤต ที่นิยมใชม้ ำก : กรอบแนวคิดทางการพยาบาล FANCAS เป็ นแบบประเมินท่ีเนน้ และลาดบั ปัญหาสาคญั ตามการเปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพของรา่ งกาย ทา ใหป้ ระเมินไดร้ วดเร็วและครอบคลมุ ปัญหาสาคญั ท่ีคกุ คามกบั ชีวิตผปู้ ่ วย (Holloway, 1998) มีลา ดบั การประเมนิ ดงั น้ี F : Fluid balance = ความสมดลุ ของนา้ A : Aeration =การหายใจ N : Nutrition = โภชนาการ C : Communication = การตดิ ตอ่ ส่อื สาร A : Activity = การทากิจกรรม S : Stimulation = การกระตนุ้ แนวคดิ การการพยาบาลผปู้ ่ วยภาวการณเ์ จ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต (FAST HUG BID) เป็ นแนวคิด การดแู ลผปู้ ่ วยวิกฤตที่มีแนวทางชดั เจน ทาใหผ้ ปู้ ่ วยมีคณุ ภาพมากยิ่งขนึ้ FAST HUG มี 7 องคป์ ระกอบ ตอ่ มาไดน้ าเพิ่มเตมิ เป็ น 15 องคป์ ระกอบจึงกลายเป็ น FAST HUG and BANDAIDS เพื่อใหค้ รอบคลมุ ทกุ มิติ ของการพยาบาลไดแ้ ก Feeding : เร่ิม feed ใหเ้ ร็วท่ีสดุ Analgesia : ประเมินความปวดใหไ้ ดแ้ ละควบคมุ ใหไ้ ด้ Sedation : การใหย้ าระงบั ประสาท
Thromboembolic prevention : ป้ องกนั การเกิดล่มิ เลอื ดในหลอดเลือดดา Head of the bed evaluation : กำรปรบั เตียงใหห้ วั สงู Stress ulcer prophylaxis : การใหย้ าป้ องกนั เลือดออกในกระเพาะอาหาร Glucose control : ควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือดใหอ้ ยชู่ ว่ ง 80-200 mg% Bowels address : ดแู ลเร่ืองการขบั ถา่ ยเพื่อลดของเสยี คงั่ Increased daily activity : สง่ เสริมการเคล่อื นไหว Night time rest : ดแู ลเร่ืองการนอนหลบั Disability prevention and discharge planning :การป้ องกนั โรคแทรกซอ้ นและการวางแผน จาหนา่ ย Aggressive alveolar maintenance : การปกคลมุ ถงุ ลมในปอด Infection prevention : การป้ องกนั การตดิ เชื้อ Delirium assessment and treatment : การประเมินและการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั Skin and spiritual care : การดแู ลผวิ หนงั และการดแู ลมติ จิ ิตวิญญาณ แนวปฏิบตั ทิ างการพยาบาลผปู้ ่ วยภาวการณเ์ จ็บป่ วยเฉียบพลนั วิกฤต ไดแ้ กแ่ นวคิด ABCDE Bundle : ABCDE care Bundle คือการจดั การปัญหาสขุ ภาพ โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ เพื่อใหไ้ ด้ ผลลพั ธด์ ีที่สดุ (best practice ) ซ่ึงอย่บู นพื้นฐานสาคญั 3 ประการคอื -สะดวกในการสื่อสารระหว่างบคุ ลากรทีมสขุ ภาพ เป็ นมาตรฐานการพยาบาล -ลดการใชย้ านอนหลบั ลดการใชเ้ ครื่องชว่ ยหายใจเวลานาน ซึ่งอาจทา ใหเ้ กิดภาวะแทรกซอ้ นดา้ น ร่างกายและอาจ เกิด ICU Delirium การพยาบาลผปู้ ่ วยในระยะเฉียบพลนั วิกฤต ซ่ึงเป็ นภาวะคกุ คามตอ่ ชวี ิตผปู้ ่ วยและทาใหม้ ีผลตอ่ ผปู้ ่ วย และ ครอบครวั เป็ นการพยาบาลท่ีชว่ ยเหลอื ผปู้ ่ วยทง้ั ดา้ นร่างกายและจิตใจเพื่อใหผ้ ปู้ ่ วยปลอดภยั ผปู้ ่ วยและครอบครวั สามารถเผชญิ กบั ปัญหาและความเครียด เพราะถา้ ไมไ่ ดร้ บั การดแู ลที่ถกู ตอ้ ง จะทาใหร้ ะยะเวลาในการดแู ลผปู้ ่ วยนานขน้ึ อาจเสียชวี ิต อีกทงั้ เป็ นสงิ่ ทา้ ทายสาหรบั พยาบาลในการ ดแู ลผปู้ ่ วยท่ีตอ้ งปรบั ตวั เพอื่ ใหม้ ีสมรรถนะ เพื่อเผชญิ ปัญหาตา่ ง ๆ ในการดแู ลผปู้ ่ วยไดอ้ ย่างมี ประสิทธภิ าพ กำรประเมินภำวะสขุ ภำพของผปู้ ่ วยภำวกำรณเ์ จ็บป่ วย เฉียบพลนั วิกฤต EKG monitor ; hemodynamics monitoring , Pain score , แบบประเมนิ ความรนุ แรงของความ เจ็บป่ วยวิกฤต , แบบประเมนิ ความรนุ แรงของความเจ็บป่ วยวิกฤต , แบบประเมนิ ภาวะสบั สน เฉียบพลนั ในผปู้ ่ วย
APACHE II Score (ยอ่ มาจาก Acute Physiology And Chronic Health Evaluation) เป็ น เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการประเมินและจดั แบง่ กลมุ่ ผปู้ ่ วยตามความรนุ แรงของโรค เมื่อรวมคะแนนจากตารางดา้ นบนในแตล่ ะชอ่ ง (รวม 12 ชอ่ ง) แลว้ ก็จะเอามาใสใ่ นหวั ขอ้ A จากนน้ั ก็เอามารวมกบั คะแนนตามอายใุ นขอ้ B และคา่ คะแนน Chronic health point ในขอ้ C อีก ก็จะไดค้ ะแนนรวมออกมา ชว่ ง postoperative period ก็จะมคี า่ คะแนนใหต้ ามลกั ษณะของการผา่ ตดั (emergency ให้ 5 คะแนน หรือ elective ให้ 2 คะแนน) สว่ นในผปู้ ่ วย chronic disease ที่มี organ insufficiency ให้ 5 คะแนนสาหรบั ในแตล่ ะอวยั วะ แตก่ ็จะมีหลกั ท่ีสาคญั คือ จะตอ้ งเป็ นความผดิ ปกตทิ ี่ มมี ากอ่ น ที่จะไดเ้ ขา้ รบั การรกั ษาในครงั้ นเ้ี ท่านน้ั จึงจะนบั สว่ นเกณฑอ์ ่ืน ๆ ที่ตอ้ งพิจารณาสาหรบั อวัยวะแตล่ ะสว่ น ไดแ้ ก่ o Liver: จะตอ้ งไดร้ บั การวินจิ ฉยั ยืนยนั แลว้ ว่ามี cirrhosis และมี portal hypertension รวมถึงประวัตกิ ารมี upper GI bleeding จาก portal hypertension หรือประวัตกิ ารเกิด hepatic encephalopathy o Cardiovascular: ผปู้ ่ วยอย่ใู นกลมุ่ New York Heart Association Class IV o Respiratory: โรคปอดจากสาเหตใุ ด ๆ ที่ทาใหเ้ หนอ่ื ยจนไมส่ ามารถเดินหรือทากิจวัตร ประจาวนั ได้ หรือตรวจพบว่ามี chronic hypoxia, hypercapnia, pulmonary hypertension หรือตอ้ งใช้ home O2 หรือ ventilator o Renal: ไตวายและไดร้ บั การรกั ษาดว้ ย chronic dialysi o Immunosuppression: ไมว่ ่าจะเป็ นจากโรค (เชน่ HIV) หรือจากยาที่ไดเ้ พื่อการรักษา โรคอ่ืน ๆ (เชน่ steroid, chemotherapy หรือ immunosuppressive agent อื่น ๆ) โดย จะตอ้ งเป็ นมากพอท่ีจะเกิด opportunistic infection ได้ Immunosuppression: ไมว่ ่าจะเป็ นจากโรค (เชน่ HIV) หรือจากยาท่ีไดเ้ พื่อการรกั ษา โรคอ่ืน ๆ (เชน่ steroid, chemotherapy หรือ immunosuppressive agent อ่ืน ๆ) โดย จะตอ้ งเป็ นมากพอท่ีจะเกดิ opportunistic infection ไดจ้ ากขอ้ มลู ในการศึกษา พบว่า APACHE II score มีความสมั พนั ธก์ บั ระดบั mortality อยา่ งชดั เจนดว้ ย Score Death rate (%) 0-4 4 5-9 8 10-14 15 15-19 25 20-24 40 25-29 55 30-34 75 >34 85
สรปุ หนว่ ยที่ 3 กำรพยำบำลผปู้ ่ วยระยะทำ้ ย ของชีวิตในภำวะวิกฤต
กำรพยำบำลผปู้ ่ วยระยะทำ้ ยของชีวิต ในภำวะวิกฤต ( End of life care in ICU ) บรบิ ทของผปู้ ่ วยระยะทำ้ ยในหอผปู้ ่ วยไอซียู - ใหบ้ ริการผปู้ ่ วยท่ีมคี วามเจ็บป่ วยรนุ แรงมภี าวะคกุ คามตอ่ ชีวิตมกี ารใชเ้ ทคโนโลยีท่ี ทนั สมยั จะรบั ผปู้ ่ วยท่ี มโี อกาสหายสงู - ความยากลาบากที่ระบผุ ปู้ ่ วยวิกฤตรายใดเป็ นระยะสดุ ทา้ ย ลกั ษณะของผปู้ ่ วยระยะทำ้ ยในไอซียู - มีการรกั ษาท่ีซับซอ้ นเคร่ืองมือหลายชนดิ - โอกาสรอดนอ้ ยอาการแย่ลง แนวทำงกำรดแู ลผปู้ ่ วยระยะทำ้ ยในไอซียู - ดแู ลแบบองคร์ วมตามมาตรฐานวิชาชีพ - ใหก้ ารดแู ลญาตโิ ดยสอดคลอ้ งกบั บริบทวัฒนธรรมความเชอื่ ศาสนาและสงั คมของผปู้ ่ วย และญาติ กำรพยำบำลผปู้ ่ วยระยะทำ้ ยของชีวิตในผปู้ ่ วยเร้อื รงั ผปู้ ่ วยเร้ือรงั ระยะทา้ ยไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายขาดอย่ใู นภาวะพ่ึงพิงและดแู ลตนเองได้ - มปี ัญหาซับซอ้ นและมกั มอี าการที่แยล่ ง - ความสามารถในการทาหนา้ ท่ีของร่างกายลดลงจนทกุ ขท์ รมาน - ทอ้ แท้ วิตกกงั วล ซึมเศรา้ หมดหวัง กลวั ตาย และ การมภี ารกจิ คงั่ คา้ งท่ีไมไ่ ดจ้ ดั การกอ่ น ตาย แนวทำงกำรดแู ลผปู้ ่ วยเร้อื รงั ระยะทำ้ ย - ดแู ลใหค้ าแนะนา แกผ่ ปู้ ่ วยหรือญาติในการตอบสนองทางดา้ นรา่ งกาย - จดั สภาพแวดลอ้ มใหเ้ หมาะสม
- ดแู ลเพ่ือตอบสนองดา้ นจิตใจและอารมณท์ ง้ั ผปู้ ่ วยและญาตเิ ขา้ ใจปฏิกริ ิยาของผปู้ ่ วยตอ่ ความเจ็บป่ วยและความตาย - เป็ นผฟู้ ังที่ดไี วตอ่ ความรสู้ กึ แสดงปฏิกริ ิยาตอบรบั พอสมควร - ใหญ้ าตมิ คี วามรว่ มมอื ในการดแู ลผปู้ ่ วยในการเขา้ หาผปู้ ่ วยในชว่ งเวลาสดุ ทา้ ย - ใหก้ าลงั ใจแกญ่ าตขิ องผปู้ ่ วย หลกั กำรดแู ลผปู้ ่ วยเร้อื รงั ระยะทำ้ ยในมิติจิตวิญญำณ - การใหค้ วามรกั และกาลงั ใจจากญาตชิ ว่ ยลดความกลวั ทาใหผ้ ปู้ ่ วยจิตใจมนั่ คงขนึ้ - ใหเ้ วลาเตรียมตวั เตรียมใจเพ่ือใหผ้ ปู้ ่ วยยอมรบั ความตายจะมาถึง - ใหข้ อ้ มลู ท่ีเป็ นความจริงในทิศทางเดยี วกนั - ใหจ้ ิตใจจดจอ่ กบั ส่ิงดงี าม - ชว่ ยปลดสิ่งท่ีคา้ งคาใจชว่ ยใหป้ ลอ่ ยวางในสิ่งตา่ งๆ - ประเมินความปวดใหย้ าตามแผนการรกั ษา - สรา้ งบรรยากาศที่สงบ - การกลา่ วคาอาลาหรือขอขมาในกรรมใดๆท่ีลว่ งเกินเพื่อใหผปู้ ่ วยไดน้ อ้ มจิตตใ์ หม้ งุ่ ตอ่ สิ่ง ท่ีดีงาม
กำรพยำบำลผปู้ ่ วยดว้ ยหวั ใจควำมเป็ นมนษุ ย์ ความสาคญั ของจิตวิญาณในการดแู ลแบบประคบั ประคอง - จิตวิญญาณ (Spirituality) มคี วามซับซอ้ น เป็ นสิง่ ที่มีคณุ คา่ สงู สดุ ตอ่ มนษุ ยอ์ ย่บู นพ้ืนฐาน ความเชอื่ ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั ศาสนา - ตระหนกั รขู้ องบคุ คลตอ่ ประสบการณท์ ี่ผา่ นมา - โดยสรปุ ลกั ษณะบคุ คลที่มีจิตวิญญาณประคบั ประคองไดแ้ ก่ - ความสามารถในการตระหนกั รแู้ ละจิตศรทั ธามีความเขา้ ใจธรรมชาติของชีวิตและความ ตาย - การยอมรบั และเห็นอกเห็นใจตอ่ เพ่ือนมนษุ ยม์ ที ศนั คตทิ ่ีดมี ีเมตตาเห็นอกเห็นใจ - พฤตกิ รรมการพยาบาลที่มีจิตวิญญาณมีความรแู้ ละจากความเจ็บปวดของผปู้ ่ วย ควำมสำคญั ของกำรดแู ลผปู้ ่ วยดว้ ยหวั ใจควำมเป็ นมนษุ ย์ - ปฏิบตั ผิ ปู้ ่ วยดว้ ยความรกั ความเมตตา - เนน้ การใหค้ ณุ คา่ แกบ่ คุ คลมีความปรารถนาท่ีชว่ ยใหผ้ ปู้ ่ วยพน้ ความทกุ ขท์ รมาน - คานงึ ถึงสทิ ธแิ ละความแตกตา่ งทางวัฒนธรรม สาหรบั การดแู ลผปู้ ่ วยดว้ ยหวั ใจความ เป็ นมนษุ ย์
หลกั กำรดแู ลผปู้ ่ วยดว้ ยหวั ใจ - มจี ิตบริการใหบ้ ริการดจุ ญาตมิ ิตรอยา่ งเทา่ เทียม - ดแู ลทง้ั ดา้ นรา่ งกายและจิตใจ มีความเมตตากรณุ าใหผ้ รู้ บั บริการและญาติ มีส่วนร่วมใน การดแู ล ลกั ษณะของกำรเป็ นผดู้ แู ลผปู้ ่ วยระยะทำ้ ยดว้ ยหวั ใจควำมเป็ นมนษุ ย์ - มคี วามรสู้ กึ เมตตาสงสารเห็นอกเห็นใจ มจี ิตใจชว่ ยเหลอื แสดงออกทางกายและวาจา - รจู้ กั ผปู้ ่ วยและรจู้ กั ตนเองและเอาใจเขามาใสใ่ จเรา เขา้ ใจวฒั นธรรม เห็นความสาคญั ของ การตอบสนองดา้ นจิตวิญญาณ กำรพยำบำลแบบประคบั ประคอง - ดแู ลผปู้ ่ วยท่ีครอบคลมุ ทกุ มติ สิ ขุ ภาพทง้ั ร่างกายจิตใจ สงั คม และจิตวิญญาณ - เนน้ ป้ องกนั และบรรเทาความทกุ ขท์ รมานและ เพ่ิมคณุ ภาพชีวิตของผปู้ ่ วยและครอบครวั โดยเป็ นการดแู ลแบบองคร์ วม แนวทำงกำรพยำบำลแบบประคบั ประคอง - การรกั ษาตามอาการของโรค - พฒั นาคณุ ภาพชีวิตผปู้ ่ วยและญาตแิ ละ ชว่ ยใหผ้ ปู้ ่ วยรบั รวู้ ่า ความตายเป็ นเร่ืองปกตแิ ละ เป็ นเร่ืองธรรมชาติ แนวปฏบิ ตั ิกำรดแู ลผปู้ ่ วยเร้อื รงั ท่ีคกุ คำมชีวิตแบบประคบั ประคอง 1.ดำ้ นกำรจดั สง่ิ แวดลอ้ ม สง่ เสริมผปู้ ่ วยและครอบครวั มอี ิสรภาพในการจดั สภาพแวดลอ้ ม จดั แยกอยา่ งหอ้ งท่ีมีสดั สว่ น 2.ดำ้ นกำรจดั ทีมสหั วิชำชีพ เปิ ดโอกาสวิชาชพี อ่ืนมสี ว่ นร่วม โดยขน้ึ อยกู่ บั ปัญหาของผปู้ ่ วย 3.ดำ้ นกำรดแู ลแบบองคร์ วม สอดคลอ้ งกบั วัฒนธรรมของผปู้ ่ วยและครอบครวั จดั ใหม้ ี กจิ กรรมบาบดั ที่ชว่ ย ใหจ้ ิตใจผอ่ นคลายเปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ ่ วยและครอบครวั ปฏิบตั กิ จิ กรรมทางศาสนา 4.ดำ้ นกำรจดั กำรควำมเจ็บปวดดว้ ยใชย้ ำและไมใ่ ชย้ ำ การบรรเทาปวดโดยวิธีการที่ไมใ่ ชย้ า ร่วมกบั การใชย้ า เชน่ การผอ่ นคลายการกดจดุ และประเมินตดิ ตามความรสู้ ึกของผปู้ ่ วย
5.ดำ้ นกำรวำงแผนจำหน่ำยและกำรสง่ ต่อผปู้ ่ วย ประเมนิ ความพรอ้ มในการสง่ ตอ่ ไปใน โรงพยาบาลใกลบ้ า้ น หรือกลบั ไปพกั ท่ีบา้ น 6.ดำ้ นกำรติดต่อส่อื สำรและกำรประสำนงำนกบั ทีมวิชำชีพ จดั ระบบสอื่ สารและใหค้ วามรแู้ ก่ ผปู้ ่ วยและ ครอบครวั ตงั้ แตร่ บั ผปู้ ่ วยเขา้ รกั ษาและจาหนา่ ยหรือเสยี ชวี ิต 7.ดำ้ นกฎหมำยและจรยิ ธรรมในกำรดแู ลผปู้ ่ วย กาหนดขอ้ ตกลงรว่ มกนั ระหว่างผปู้ ่ วย ครอบครวั และทีมวิชาชีพ ในการเคารพการตดั สินใจของผปู้ ่ วย 8.ดำ้ นกำรเพิ่มสมรรถนะใหแ้ ก่บคุ ลำกรและผบู้ ริบำล สนบั สนนุ ใหม้ กี ารศึกษาวิจยั และเร่ืองการ ดแู ลแบบ ประคบั ประคองและใหค้ าแนะนาวิทยาการและทกั ษะมาใชใ้ นการพยาบาล 9.ดำ้ นกำรจดั กำรค่ำใชจ้ ่ำย สนบั สนนุ คา่ ใชจ้ า่ ยและระยะเวลาที่เหมาะสมของการนอนโรงพยาบาล ใหแ้ กผ่ ปู้ ่ วย หวั ใจของกำรดแู ลผทู้ ี่จะจำกไป - ทศั นคตขิ องตนตอ่ ชีวิตและความตาย - สารวจว่าตนเองมีความเขม้ แขง็ ท่ีจะรบั สภาพทางกายและอารมณข์ องผปู้ ่ วยไดห้ รือไม่ - มีความรแู้ ละเขา้ ใจส่งิ ที่เกิดขน้ึ ตอ่ ผปู้ ่ วย - คารพความเห็นความปรารถนาและสิทธขิ องผทู้ ี่กาลงั จากไป - อย่เู ป็ นเพ่ือน แบ่งปันความรสู้ กึ กนั รักอภยั ไมม่ ีเงอ่ื นไข - ใชน้ า้ เสยี งในการสมั ผสั ท่ีอ่อนโยน ทารา่ งกายและจติ ใจใหม้ นั่ คง
สรปุ หน่วยท่ี 4 และ 5 กำรพยำบำลผปู้ ่ วย ที่มีภำวะวิกฤติระบบหำยใจ
กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่มีภำวะวิกฤตระบบหำยใจ ระบบการหายใจ (Respiratoryair ) เป็ น ระบบท่ีมีทางตดิ ตอ่ กบั อากาศภายนอก โดยตรง ในการหายใจแตล่ ะครง้ั ตอ้ งสดู อากาศเขา้ ไปสสู่ ว่ นปลายสดุ ของ ทางเดินหายใจ คือ ถงุ ลมปอด สาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กดิ โรคของระบบประสาท ทางเดนิ หายใจ Tidal Volume หรือ Tidal air (VT) ปริมาตรอากาศท่ีหายใจเขา้ – ออก 10 มล. / นา้ หนกั ตวั 1 กก. Inspiratory reserve volume (IRV) ปริมาตรอากาศที่หายใจเขา้ ไดเ้ ต็มท่ีหลงั หายใจเขา้ ธรรมดา Expiratory reserve volume (ERV) ปริมาตรอากาศท่ีหายใจออกไดเ้ ตม็ ท่ีหลงั หายใจออกธรรมดา Vital capacity (VC) ปริมาตรอากาศที่หายใจออกไดเ้ ตม็ ท่ีหลงั หายใจเขา้ เตม็ ที่ ผชู้ าย4 – 5 ลติ ร/ผหู้ ญิง3 – 4 ลติ ร Residal Volume (RT) ปริมาตรอากาศท่ีเหลืออยใู่ นปอดหลงั หายใจออกเต็มท่ี 1 – 2.5 ลติ ร Inspiratory Capacity (IC) ปริมาตรอากาศท่ีหายใจเขา้ เตม็ ท่ีหลงั หายใจออกธรรมดา Functional Residual capacity (FRC) ปริมาตรอากาศในปอดหลงั จากการหายใจออกธรรมดา 2.4 ลิตร Total Lung capacity (TLC) ปริมาตรอากาศในปอดเมอื่ หายใจเขา้ เตม็ ท่ี 4 – 7 ลติ ร ·การสบู บหุ ร่ี ·มลภาวะทางอากาศ เชน่ PM2.5 ·การตดิ เช้ือของทางเดนิ หายใจ ·การแพ้ เชน่ แพน้ า้ หอม เกสรดอกไม้ อากาศหายใจเขา้ (Respiratory air) Tidal Volume หรือ Tidal air VT ปริมาตรอากาศที่หายใจเขา้ – ออกแตล่ ะครงั้ ปกตปิ ระมาณ 10 มล./นา้ หนกั ตวั 1 กก. หรือ ประมาณ 500 มล.
Inspiratory reserve volum IRV ปริมาตรอากาศท่ีหายใจเขา้ ได้ Expiratory reserve volume เต็มที่หลงั หายใจ เขา้ ธรรมดา Inspiratory Capacity ERV ปริมาตรอากาศท่ีหายใจออก เตม็ ที่หลงั หายใจ ออกธรรมดา IC ปริมาตรอากาศที่หายใจเขา้ เต็มที่หลงั หายใจออก ธรรมดา กำรตรวจรำ่ งกำย การดหู นา้ อก 1.ดลู กั ษณะทวั่ ๆ ไป เชน่ ขนาดของรปู ร่าง ทา่ ทาง ระดบั ความสงู การพดู สีผวิ หนงั ลกั ษณะการ หายใจ ความตงึ ตวั ของผวิ หนงั รปู ร่างกลา้ มเนอ้ื หนา้ อก และหนา้ อกทง้ั สองขา้ งเท่ากนั หรือไม่ 2. ดรู ปู ร่างของทรวงอก ลกั ษณะของทรวงอกผิดปกติ เชน่ ·อกนนู หรืออกไก่ (Pigeon Chest) ·อกบมุ๋ (Funnel Chest) ·อกถงั เบียร์ (Barrel Chest) ·หลงั โกง (Kyphosis) ·หลงั แอน่ (Lordosis) หลงั คด (Scoliosis) กำรคลำช่องอก 1. คลาตรวจสอบบริเวณทก่ี ดเจ็บ (Tenderness) 2. คลาหากอ้ น คลาตอ่ มนา้ เหลือง 3. คลาผิวหนงั คน้ หาลมใตผ้ วิ หนงั 4. คลาหาความกวา้ งหรือแคบของซี่โครง 5. คลาหาการเคล่อื นไหวของทรวงอกขณะหายใจ (Respiratory Excurtion) 6. คลาเสยี งสนั่ สะเทือนของทรวงอก (Vocal Fremitus หรอื Tactile Fremitus) การเคาะชอ่ งอก การเคาะจะเคาะทงั้ ดา้ นหนา้ ดา้ นขา้ ง ดา้ นหลงั แตป่ กตเิ ร่ิมเคาะดา้ นหลงั กอ่ น แลว้ เคาะดา้ นขา้ ง และ ดา้ นหนา้ ตามลาดบั
การฟังชอ่ งอก หฟู ัง (stethoscope) มี 2 ดา้ น คือ ดา้ นแบน (diaphragm) ใชฟ้ ังเสียงสงู อีกดา้ นเป็ นรปู ระฆงั (bell) ใช้ ฟังเสยี งตา่ แตใ่ นการฟังเสยี งปอดจะใช้ ดา้ นแบน เสียงหำยใจ (Breath Sound) 1. เสียงลมผา่ นหลอดลมใหญ่ (Bronchial, Tracheal หรือ Tubular Breath Sound) เกิดขณะหายใจมลี ม ผา่ นทาใหเ้ กดิ การสนั่ สะเทือนที่สายเสียง และเสียงประกอบตา่ งๆ ในชอ่ งคอสว่ น จมกู และหลอดลม คอ 2. เสียงลมผา่ นหลอดลมใหญ่ (Broncho Vesicular Sound) ฟังไดท้ ี่บริเวณชอ่ งซ่ีโครงที่สองดา้ นหนา้ หรือบริเวณกระดกู ไหปลารา้ ดา้ นขวา หรือรอยตอ่ กระดกู หนา้ อกสว่ นตน้ 3. เสียงลมผา่ นหลอดลมเล็ก (Vesicular Breath Sound) เกดิ จากขณะหายใจลมจะผ่านท่อหลอดลม ฝอย และวนเวียนอยใู่ นถงุ ลมปอด ฟังไดท้ วั่ ไปท่ีบริเวณปอดทงั้ 2 ขา้ ง โรคหวดั (Common cold or Acute coryza) สำเหต ุ เกดิ จากการตดิ ตอ่ โดยตรงจากฟองละอองเสมหะและ เชอื้ ไวรสั หลายชนดิ เรียกว่า Coryza Viruses ในผใู้ หญ่โรคหวัดเกิดจากเช้อื ไรโนไวรสั (Rhinovirus) อำกำร : คดั จมกู จาม คอแหง้ มนี า้ มกู ใสๆ ไหลออกมา รสู้ กึ ไมส่ บาย มกั ไมเ่ ป็ นนานเกิน 2 – 5 วัน แตอ่ าจมอี าการอย่ถู ึง 5 – 14 วนั ถา้ >14 วนั และมไี ข้ เป็ น Acute Upper Respiratory Infection = URI) กำรรกั ษำ : รกั ษาตามอาการเชน่ ใหพ้ กั ผอ่ น และใหย้ าตาม โรคปอดอกั เสบ (Pneumonia) การอกั เสบของเนอ้ื ปอด มหี นองขงั บวม จึงทาหนา้ ที่ไมไ่ ดเ้ ต็มท่ี ทาใหก้ ารหายใจสะดดุ เกดิ อาการ หายใจหอบมหี นองขงั บวม อาการหายใจหอบ อนั ตรายถึงชวี ิตได้ สำเหต ุเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบอ่ ยไดแ้ ก่ เชือ้ Pneumococcus เชื้อไวรสั เชน่ ไขห้ วัดใหญ่ หดั สกุ ใส เช้ือ ไวรสั ซารส์ (SARS virus) และ เชอ้ื ไมโคพลาสมา เกดิ ปอดอกั เสบชนดิ ท่ีเรียกว่า Atypical pneumonia เพราะมกั จะไมม่ ีอาการหอบอยา่ งชดั เจน พยำธิมี 3 ระยะ - ระยะท่ี 1 ระยะเลือดคงั่ มเี ช้ือแบคทีเรียเขา้ สกู่ ระแสเลือด (Bacteremia) - ระยะที่ 2 ระยะปอดแข็งตวั (Hepatization) เนอ้ื ปอดเปลี่ยนเป็ นสีเทา - ระยะที่ 3 ระยะฟื้ นตวั (Resolution) เกิดพงั ผดื ขนึ้ ในสว่ นท่ีเคยมีการอกั เสบ กำรรกั ษำ:ประคบั ประคองไมใ่ หโ้ รคลกุ ลามและป้ องกนั การตดิ เชอื้ ซา้ เตมิ
อาจเป็ นสาเหตทุ าใหเ้ กดิ โรคอื่นๆ ตามมา เชน่ ปอดแฟบ, ฝี ในปอด, เย่ือหมุ้ สมองอกั เสบ โรคฝี ในปอด (Lung abscess) การตดิ เช้ือรนุ แรงในเนอื้ ปอด มีการทาลายจนเนอ้ื ปอดเนา่ ตาย (necronizing pneumonia or lung gangrene) เกดิ เป็ นโพรงหนองและเกดิ หนองในเนอ้ื เย่ือปอด เช้อื ท่ีเป็ น สาเหตเุ ป็ นเช้ือแบคทีเรียชนิดไมใ่ ชอ้ อกซิเจน ฝี เดียว (single lung abscess) เกิดจากการสาลกั นา้ ลาย เศษ อาหาร ฝี หลำยอนั (multiple lung abscess) เกิดจากมีการตดิ เชอ้ื ท่ีล้นิ หวั ใจ หลอดเลอื ด เป็ นฝี ที่ตบั หรือใต้ กะบงั ลม เชอื้ โรคจะกระจายเขา้ สู่ กระแสเลือด (septic emboli) พยาธวิ ิทยา: เชอื้ โรคลงปอด(แบคทีเรียกระจายตวั ทางเลือด) มกี ารอกั เสบเกิดการอดุ กนั้ (หลอด เลอื ดที่เล้ยี งปอด) มหี นองออกทาง โพรงหลอดลม(เสมหะมกี ล่ินเหม็น) ถา้ หนองออกหมดฝี จะยบุ ตดิ กนั หนองไมอ่ อกมาฝี จะหนาแข็งมี เย่ือพงั ผืด อาจแตกทะลเุ ขา้ ไปในโพรงเยื่อหมุ้ ปอด กำรรกั ษำ 1.การรกั ษาการรกั ษาทางยา ประกอบดว้ ย - การใหย้ าปฏิชีวนะตามผลการเพาะเช้ือและการทดสอบความไวตอ่ ยา โรคหอบหืด (Bronchial asthma) การหดตวั ของกลา้ มเนอ้ื รอบหลอดลม ทาใหอ้ ากาศเขา้ สปู่ อด นอ้ ยลง สำเหต:ุ เชน่ แพเ้ กสรตน้ ไมแ้ ละหญา้ พยำธิวิทยำ :BronchospasmHypersecretionMucous Membrane Edema กำรรกั ษำ: มี 2 อย่างคือ หลกี เลีย่ งสารที่แพ้ และ ใชย้ าสดู อย่างสมา่ เสมอ โรคปอดอดุ กนั้ เร้อื รงั (Chronic Obstructive PulmonaryDisease) ถงุ ลมโป่ งพองตวั ออก ทาใหก้ ารแลกเปลยี่ นกา๊ ซผิดปกติ สาเหตุ คอื การสบู บหุ รี่ โดยโรคนปี้ ระกอบไปดว้ ยโรค 2 ชนดิ ยอ่ ย คือ โรคหลอดลอกั เสบ เรื้อรงั และโรคถงุ ลม โป่ งพอง โรคหลอดลมอกั เสบเร้ือรงั นน้ั ผปู้ ่ วยจะมีอาการไอและมีเสมหะเรื้อรงั เป็ นๆหายๆ อยา่ งนอ้ ยปี ละ 3 เดอื นและเป็ นอย่างนอ้ ย 2 ปี ตดิ ตอ่ กนั สว่ นโรคถงุ ลมโป่ งพองนน้ั เกดิ จากถงุ ลมโป่ งพองตวั ออกทาใหก้ ารแลกเปลี่ยนกา๊ ซผิดปกตไิ ป โดยทวั่ ไปเรามกั พบ 2 โรคนเ้ี กดิ รว่ มกนั และแยกออกจากกนั ไดย้ าก กำรรกั ษำดว้ ยยา/ออกซิเจน > 2 – 3 LPM ,ใสท่ ่อชว่ ยหายใจ
โรคปอดอดุ กน้ั เร้อื รงั (Chronic Obstructive PulmonaryDisease)ถงุ ลมโป่ งพองตวั ออกทาใหก้ าร แลกเปล่ยี นกา๊ ซผิดปกติ สาเหตุ คอื การสบู บหุ ร่ี โดยโรคนปี้ ระกอบไปดว้ ยโรค 2 ชนดิ ย่อย คอื โรคหลอดลอกั เสบ เร้ือรงั และโรคถงุ ลม โป่ งพอง โรคหลอดลมอกั เสบเรื้อรงั นน้ั ผปู้ ่ วยจะมอี าการไอและมีเสมหะเรื้อรงั เป็ นๆหายๆ อย่างนอ้ ยปี ละ 3 เดือนและเป็ นอยา่ งนอ้ ย 2 ปี ตดิ ตอ่ กนั สว่ นโรคถงุ ลมโป่ งพองนนั้ เกิด จากถงุ ลมโป่ งพองตวั ออกทาใหก้ ารแลกเปลีย่ นกา๊ ซผิดปกตไิ ป โดยทวั่ ไปเรามกั พบ 2 โรคนเี้ กิด รว่ มกนั และแยกออกจากกนั ไดย้ าก กำรรกั ษำดว้ ยยา/ออกซิเจน > 2 – 3 LPM ,ใสท่ ่อชว่ ยหายใจ ยา 1.1 Frist line Drug ซึ่งไดแ้ ก่ INH (Isoniazid), Ethambutol, Rifampin และ Streptomycin 1.2 Secondary Line Drug ไดแ้ ก่ Viomycin, Capreomycin, Kanamycin,Ethionamide, pyrazinamine, Para-Aminosalicylate Sodium (PAS) และ Cycloserine กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่มีภำวะวิกฤตจำกปัญหำปอดทำหนำ้ ท่ีผดิ ปกติและกำรฟ้ื นฟู สภำพปอด กำรพยำบำลผปู้ ่ วยภำวะปอดแฟบ ( Atelectasis ) Mechanism of atelectasis - Obstructiveatelectasisเป็ นสาเหตทุ ่ีพบไดบ้ ่อยท่ีสดุ สาเหตขุ องการอดุ กน้ั ของอวยั วะที่มี ลกั ษณะเป็ นทอ่ มีแนวคิดแบบเดียวกนั เกือบทงั้ หมดคอื อาจเป็ นจาก intraluminal,intramuralเกดิ จากความผดิ ปกตหิ รือโรคที่อยภู่ ายในผนงั ของหลอดลมเอง หรือ extraluminal causesเกิดจาก การกดเบียดของหลอดลม จากรปู ท่ีอย่นู อกหลอดลม Endobronchial obstruction เป็ นการอดุ กนั้ ของหลอดลมจากสาเหตุ แบบ intraluminal ตวั อยา่ งเชน่ mucus plug, foreign body หรือ broncholith เป็ นตน้ Intraluminal obstruction เกดิ จากความผิดปกติ หรือโรคที่อยภู่ ายในผนงั ของหลอดลมเอง เชน่ bronchogenic carcinoma, inflammatory หรือ posttraumatic bronchostenosisเป็ นตน้ Extraluminal obstruction เกดิ จากการกดเบียดของหลอดลมจากโรคที่อย่นู อกหลอดลม เชน่ lymph - Compressive atelectasisเคยขนึ้ จากการมีรอยโรคอย่ภู ายในทรวงอก ทาใหเ้ กดิ แรงกดเบียดเนอื้ ปอดท่ีอยขู่ า้ งเคยี งใหแ้ ฟบลง - Posse Atelectasisเกดิ จากรอยโรคภายใน Pleural cavity ทาใหเ้ ดมิ ภายใน pleural space มีแรงดนั เป็ นลบ ทาใหแ้ รงดงึ ที่ตามปกตชิ ว่ ยดึงปอดใหค้ งรปู หายไป - Adhesive Atelectasis เกดิ จากภาวะalveolar hypoventilation ทาใหห้ ลอดลมสว่ นปลายซึ่งขยายออก พรอ้ มพรอ้ มกบั ถงุ ลมไม่สามารถขยายออกไดจ้ ึงยบุ ตวั ลง
พยำธิ: การระบายอากาศในแขนงหลอดลมถกู ปิ ดกนั้ ทนั ทีทนั ใด,คอ่ ยเกิดขน้ึ = ความรนุ แรง ขนึ้ อยกู่ บั ตาแหนง่ ที่อดุ ตนั การป้ องกนั ปอดแฟบ o การจดั ทา่ นอนและเปล่ียนทา่ บอ่ ยๆ o การกระตนุ้ ใหล้ กุ นงั่ ลกุ เดิน o การพลกิ ตะแคงตวั o การฝึ กการเป่ าลกู โป่ ง o การกระตนุ้ การไออย่างมปี ระสิทธิภาพ เป็ นตน้ ขอ้ วินิจฉยั ทำงกำรพยำบำล -ไมส่ ามารถทา้ ใหท้ างเดนิ หายใจโลง่ ไดเ้ นอื่ งจากปอดถกู กด -ปริมาณโลหิตออกจากหวั ใจลดลง เนอ่ื งจากหลอดโลหิตในปอดท่ีแฟบถกู กด -มีความพร่องในการแลกเปล่ียนแกส๊ เนอื่ งจากเนอื้ ปอดท่ีใชใ้ นการแลกเปลยี่ นออกซิเจน ลดลง กำรพยำบำลผปู้ ่ วยภำวะล่มิ เลอื ดอดุ ตนั ในหลอดเลอื ดแดงปอด (Pulmonary embolism) Pulmonary Embolism หรือโรคล่ิมเลอื ดอดุ กนั้ ในปอด เกิดจากลิ่มเลอื ดหลดุ ไปอดุ กนั้ หลอดเลือดปอด ทาใหผ้ ปู้ ่ วยมกั หายใจหอบ เหนอื่ ย ไอ และเจ็บหนา้ อก - อาการ o หายใจลาบากหรือหายใจไมอ่ อก o อาการเจ็บหนา้ อก o ไอ/ไอแลว้ มีเลอื ดปนมากบั เสมหะ หรือไอเป็ นเลอื ด o ผวิ มีสีเขยี วคลา้ เป็ นตน้ - ปัจจยั ท่ีทาใหเ้ สยี่ งเกิดของโรค o อายุ o การประกอบ อาชพี o อว้ น o พนั ธกุ รรม o การเจ็บป่ วย การวินจิ ฉยั เชน่ การตรวจเลือด เพ่ือหาคา่ ดีไดเมอร์ แนวทางการรกั ษาโรค Pulmonary Embolism
- การใชย้ าตา้ นการแข็งตวั ของเลือด ไดแ้ ก่ Heparin Warfarin - การสอดทอ่ เขา้ ทางหลอดเลือดเพ่ือกาจดั ลิ่มเลอื ดที่อดุ ตนั - การผา่ ตดั Trauma กลไกการบาดเจ็บ (MOI = Mechanism of injuries) เป็ นการประเมนิ เพื่อพิจารณาถงึ ความรนุ แรงของ อาการ ในผปู้ ่ วยฉกุ เฉิน โดยแบ่งออกเป็ น ผบู้ าดเจ็บ (Trauma) และผเู้ จ็บป่ วย (Medical) กำรพยำบำลผปู้ ่ วยมีลมในช่องปอด (Pneumothorax / Hemothorax) Spontaneous Pneumothorax หมายถึง ภาวะลมรวั่ ในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอดเกดิ ขน้ึ เองในผปู้ ่ วยท่ีไมม่ พี ยาธิสภาพที่ปอดมากอ่ น (primary spontaneous pneumothorax; PSP) Iatrogenic Pneumothorax หมายถึง ภาวะลมรวั่ ในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอดเกิดภายหลงั การทาหตั ถการทางการแพทย์ เชน่ การเจาะดดู นา้ ในชอ่ งเย่ือหมุ้ ปอด เป็ นตน้ Traumatic Pneumothorax หมายถึง ภาวะลมรวั่ ในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอดเกิดในผปู้ ่ วยท่ีไดร้ บั อบุ ตั เิ หตุ โรคหลอดลมแบบเฉียบพลนั (Acute Bronchitis or Tracheobronchitis) การอกั เสบของหลอดลม ใหญ่ ระคายเคอื งหรือการตดิ เชื้อ เนอ่ื งจากมลภาวะทางอากาศ พยำธิ มีการบวมของเยื่อบหุ ลอดลมเยื่อบหุ ลอดลมอกั เสบขดั ขวางการทาหนา้ ที่ของขนกวกั ทาให้ เกิดเสมหะไอเอาเสมหะออกมา กำรรกั ษำ ประคบั ประคองไมใ่ หโ้ รคลกุ ลามและป้ องกนั การตดิ เชือ้ ซา้ เตมิ ผปู้ ่ วยภำวะมีของเหลวขำ้ งในเยอ่ื หมุ้ ปอด (Plural effusion) เป็ นภาวะนา้ ในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอดปริมาณมากเกนิ ไปจะไปกดทบั ปอดสง่ ผลใหป้ อดขยายตวั ไมเ่ ต็มที่ แบ่งออกเป็ น 2 ชนดิ หลกั ๆ ตามสาเหตทุ ่ีของเหลวเพ่ิมปริมาณขนึ้ ไดแ้ ก่ 1.ของเหลวแบบใส (Transudate) เกิดจากแรงดนั ภายในหลอดเลอื ดมากขน้ึ หรือโปรตนี ในเลือดตา่ ทาใหข้ องเหลวไหลเขา้ มาในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอด สำเหต ุ: ภาวะหวั ใจลม้ เหลว เป็ นภาวะท่ีสง่ ผลใหเ้ กิดความดนั ตา้ นกลบั ในหลอดเลือดดา มกั ทาใหเ้ กิด อาการบวมจากของเหลวอาจมีภาวะนา้ ในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอดร่วมดว้ ย ,โรคตบั แขง็ ระดบั โปรตนี ในเลือด
ที่ตา่ นนั้ จะสง่ ผลใหม้ ีของเหลวซึมออกมานอกหลอดเลอื ดและอาจทา้ ใหเ้ กิดภาวะ Pleural Effusion ตามมา, โรคลิ่มเลอื ดอดุ กน้ั ในปอด,หลงั การผา่ ตดั หวั ใจแบบเปิ ด 2.ของเหลวแบบข่นุ (Exudate)สว่ นใหญเ่ กิดจากการอกั เสบ มะเร็ง หลอดเลอื ดหรือทอ่ นา้ เหลืองอดุ ตนั มกั มีอาการท่ีรนุ แรงและรกั ษาไดย้ ากกว่าภาวะ Pleural Effusion ชนดิ ของเหลวแบบใส สำเหต ุ: โรคปอดบวมหรือโรคมะเร็ง อาจสง่ ผลใหป้ อดและเยื่อหมุ้ ปอดอกั เสบ จนเกดิ ของเหลว ภายในชอ่ งเยื่อหมุ้ ปอดตามมา ,สาเหตอุ ื่น ๆ โรคหรือภาวะท่ีนอกเหนอื จากขา้ งตน้ อาจกอ่ ใหเ้ กิด Pleural Effusion ได้ อำกำร: หอบ หายใจถ่ี หายใจลาบากเมอ่ื นอนราบไอแหง้ และมีไข้ สะอึกอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เจ็บหนา้ อก ทง้ั นี้ ผปู้ ่ วยบางรายอาจไมแ่ สดงอาการบง่ ชถ้ี ึงความผดิ ปกติ แตพ่ บว่ามภี าวะนา้ ในชอ่ งเย่ือหมุ้ ปอด จากการตรวจเอกซเรยห์ รือตรวจรา่ งกายได้ กำรรกั ษำ : ระบายของเหลวออกจากชอ่ งเย่ือหมุ้ ปอด,pleurodesis ,การผา่ ตดั ผปู้ ่ วยภำวะล่ิมเลอื ดอดุ ตนั ในหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary embolism) เกิดจาก ลิ่มเลือดหลดุ ไปอดุ กน้ั หลอดเลือดปอด สำเหต ุ: ลิ่มเลือดท่ีอดุ ตนั บริเวณหลอดเลือดขาหลดุ ไปอดุ กนั้ หลอดเลอื ดปอด อำกำร: หายใจลาบาก เจ็บหนา้ อก ไอ อาจมีเลอื ดปนมากบั เสมหะ มไี ข้ วิงเวียนศีรษะ เหงอื่ ออกมาก กระสบั กระสา่ ย หวั ใจเตน้ เร็วผิดปกติ ชีพจรเตน้ อ่อน ปวดขาหรือขาบวม ผิวเขยี วคลา้ กำรรกั ษำ : ใชย้ าตา้ นการแข็งตวั ของเลอื ด Heparin Warfarin , สอดท่อ เขา้ ทางหลอดเลอื ดเพ่ือกาจดั ล่มิ เลือดท่ีอดุ ตดั , การผา่ ตดั ผปู้ ่ วยท่ีมีลม,ลอื ดในช่องปอด (pneumothorax/ Hemothorax) ภาวะที่มลี มในชอ่ งเย่ือหมุ้ ปอด 1.Spontaneous Pneumothoraxภาวะลมรวั่ ในชอ่ งเย่ือหมุ้ ปอดซึ่งเกิดขนึ้ เองไดโ้ ดยที่ผปู้ ่ วยไมม่ พี ยาธิ สภาพมากอ่ น 2. Latrogenic Pneumothoraxภาวะลมรวั่ ในชอ่ งเยื้อหมุ้ ปอดซ่ึงเกิดภายหลงั ทา หตั ถการทาง การแพทย์ 3.Traumatic Pneumothoraxภาวะลมรวั่ ในชอ่ งเยื้อหมุ้ ปอดซ่ึงเกิดในผปู้ ่ วยที่ไดร้ บั อบุ ตั เิ หตุ อาการและอาการแสดงอาการท่ีพบไดแ้ ก่ เจ็บหนา้ อกขา้ งเดยี วกบั ท่ีมลี มรวั่ หายใจเหนอ่ื ย แนน่ หนา้ อก หากผปู้ ่ วยมีความผิดปกตขิ องสญั ญาณชพี ใหค้ ิดถึงภาวะ tension pneumothoraซึ่งเกดิ จากการที่มีลมอย่ใู นชอ่ งปอดปริมาณมาก
กำรวินิจฉยั : การเอกซเรยท์ รวงอก (CXR)การเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์ (CT-Scan)การอลั ตราซาวด์ กำรรกั ษำ: การระบายเลือดออกจากชอ่ งเย่ือหมุ้ การเจาะดดู เลือดในชอ่ งเย่ือหมุ้ ปอด การผา่ ตดั กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่มีภำวะอกรวน (Flail chest) เป็ นภาวะที่มี Fx rip 3ซ่ี(1 ซี่ หกั มากกว่า 1 ตาแหนง่ ) ขน้ึ ไปผนงั ทรวงอกจะยบุ เมอื่ หายใจเขา้ และ โป่ งเมื่อหายใจออก O2 ลดลง CO2 เพ่ิม Paradoxical RespiratoryFloating Segmentทาใหก้ ลไกของการหายใจผดิ ปกติ การหายใจเขา้ ผนงั ทรวงอกขา้ งท่ีไดร้ บั บาดเจ็บจะยบุ ลงหายใจออก ผนงั ทรวงอกขา้ งที่ไดร้ บั บาดเจ็บจะโป่ งพองขนึ้ อำกำร เจ็บหนา้ อกรนุ แรง , หายใจลาบา, หายใจเร็วต้ืน , Paradoxical respiration,Hropoxiaมีภาวะขาด ออกซิเจน, กดเจ็บ คลาไดก้ ระดกู กรอบแกรบ บริเวณท่ีหกั การดแู ลดรู ายการหายใจใหอ้ อกซิเจน, ยึดตงึ ผนงั ทรวงอกไมใ่ หเ้ คลือ่ นไหว, บรรเทาอาการปวด , หากมีภาวะขาดออกซิเจนรนุ แรงใหพ้ ิจารณาใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ, ใหส้ ารนา้ , ตดิ ตามอตั ราการหายใจ การพยาบาลผปู้ ่ วยท่ีมีภาวะการหายใจลม้ เหลว(Respiratory failure) ภาวะท่ีปอดไมส่ ามารถรกั ษาแรงดนั ของออกซิเจน (PaO2) และคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นเลือดแดง (PaCO2) ใหอ้ ยใู่ นระดบั ปกติ ภาวะการหายใจลม้ เหลว(Respiratory failure) ภาวะการหายใจลม้ เหลวเรื้อรงั (Chronic respiratory failure) ภาวะการหายใจลม้ เหลวอยา่ งเฉียบพลนั (Acute respiratory failure) สาเหตขุ องภาวการณห์ ายใจลม้ เหลว โรคของระบบประสาท เชน่ หลอดเลือดสมองแตก ตบี ตนั (CVA) โรคของปอด/ทางเดนิ หายใจ เชน่ ปอดไดร้ บั บาดเจ็บ อกรวน (Flail chest) ปอดอดุ กนั้ เรื้อรงั
พยำธิสรรี ภำพภำวกำรณห์ ำยใจลม้ เหลวเฉียบพลนั ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั 2 ประการคือ 1.Failure of oxygenation คอื ภาวะแรงดนั ออกซิเจนในเลอื ดแดง (PaO2) ลดลงตา่ กว่า 60 mmHg เนอื่ งจาก การหายใจขดั ขอ้ งหรือหายใจลดลง (hypoventilation) 2.ventilation or perfusion Failure คอื การระบายอากาศลดลง (hypoventilation) ทาใหม้ กี ารคงั่ คารบ์ อนไดออกไซด์ (hypercapnia) เกิด ภาวะร่างกายเป็ นกรดการกาซาบออกซิเจนในเลือดลดลง จึงเกิดภาวะพรอ่ งของออกซิเจน และมกี าร คงั่ ของคารบ์ อนไดออกไซดอ์ ย่างรนุ แรง เกดิ ภาวะกานหายใจลม้ เหลว ระบบหายใจ > หายใจเร็วตน้ื ถา้ เกดิ รว่ มกบั สมองขาดออกซิเจนผปู้ ่ วยจะหายใจแบบ Chyne-Stoke ระบบเลอื ดและผิวหนงั >เขยี ว (cyonosis) COMPOSURE C = conciousness: ประเมินระดบั ความรสู้ ติ O = oxygenation: ประเมนิ การหายใจว่าไดร้ บั ออกซิเจนเพียงพอหรือไม่ รวมทง้ั การมี คารบ์ อนไดออกไซดค์ งั่ หรือไมด่ ว้ ย M=motor function: ประเมินการเคลอื่ นไหวภายในอานาจจิตใจ และความความแขง็ แรงของกลา้ มเนอื้ แขน ขาแตล่ ะซีก P = pupils : ตรวจดปู ฏิกริ ิยาตอ่ แสงของรมู า่ นตาทง้ั สองขา้ งรวมกนั สงั เกตดวู ่ามีหนงั ตาตกหรือไม่ O = ocular movement : ประเมินการกลอกตา S = signs :ตรวจวดั สญั ญาณชพี U = urinary output : บนั ทึกว่ามปี ัสสาวะมากผดิ ปกตหิ รือไม่ R = reflexes :ต รวจดวู ่ามีรีเฟล็กซผ์ ดิ ปกตอิ ย่างใดหรือไม่ โดยเฉพาะ babinski reflex และ รีเฟล็กซ์ การกลนื E = emergency :เป็ นการวินจิ ฉยั สภาพของผปู้ ่ วยว่ามปี ัญหาท่ีจาเป็ นตอ้ งชว่ ยเหลือเรง่ ดว่ นหรือไม่ การอ่าน Arterial Blood Gas : ABG
การวิเคราะหแ์ กส๊ ในเลือดแดง พบว่าผปู้ ่ วยมภี าวะหายใจวายเฉียบพลนั จะมคี า่ ความดนั ย่อยออกซิเจนในเลือดแดงตา่ กว่าปกติ (ปกติ 80-100 mmHg) และคา่ ความดนั ยอ่ ยคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นเลอื ดแดงสงู กว่าปกติ (ปกติ 38-50 mmHg) ในขณะที่หายใจในอากาศธรรมดา การประเมนิ ภาวะขาดออกซิเจนในเลือดแดงมกั จะประเมนิ ไปพรอ้ มกบั ความสมดลุ กรดดา่ งในรา่ งกาย คอื คา่ pH (ปกติ 7.35-7.45) ถา้ นอ้ ยกว่า 7.35 แสดงว่ามภี าวะเป็ นกรดในร่างกาย จะทราบว่ามี สาเหตจุ ากการหายใจหรือขบวนการเมตาบอลิซึม จากคา่ ของไบคารบ์ อเนต และคารบ์ อนไดออกไซด์ ในเลอื ด คือ คา่ ความดนั ย่อยคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นเลอื ดแดง มากกว่า 45 mmHg แสดงว่าร่างกายมี ภาวะกรดจากการหายใจ (respiratory acidosis) ค่ำปกติ Blood Gas pH = 7.35 – 7.45 PaO2 = 80 – 100 mmHg (PaO2 = 100-0.25 X Age) PaCO2 = 35 – 45 mmHg HCO3 = 22 – 26 mmHg BE = + 2.5 mEq/L O2 Sat = 95 – 99 % คา่ PO2(mmHg) ปกต8ิ 0-100 Mild Hypoxemiaนอ้ ยกว่า 80 Moderate hypoxemiaนอ้ ยกว่า 60 Severe hypoxemiaนอ้ ยกว่า 60 ผปู้ ่ วยที่ใสส่ ำยระบำยทรวงอก (ICD): เพื่อระบายอากาศ สารนา้ หรือเลอื ด ในโพรงเยื้อหมุ้ ปอด ระบบการทางาน 1.ระบบขวดเดียว (ขวด subaqueous) ใชส้ าหรบั ระบายอากาศอยา่ งเดยี ว
2.ระบบสองขวด(ขวด reservoirและubaqueous) ใชส้ าหรับระบายอากาศและสารนา้ แตไ่ ม่มีแรงดจู าก ภายนอก 3.ระบบสามขวด (ขวด reservoir,subaqueous,pressure regulator) เหมอื นระบบสองขวดแตเ่ พ่ิมแรงดู จากภายนอก 4.ระบบส่ีขวด เพ่ิม(ขวด subaqueous) อีก1ขวด เพ่ือใหม้ ีการระบายอากาศไดถ้ า้ เคร่ืองดดู สญุ ญากาศ ไมท่ างานหรือไมใ่ หอ้ ากาศออกมามาก กำรฟ้ื นฟสู ภำพปอด (lung rehabilitation): การจดั ท่านอนและเปลย่ี นท่าบ่อยๆการกระตนุ้ ใหล้ กุ นงั่ ลกุ เดินการพลกิ ตะแคงตวั การฝึ กการเป่ าลกู โป่ งการกระตนุ้ การไออย่างมีประสทิ ธภิ าพ ·การจดั ท่านอนและเปล่ียนท่าบอ่ ยๆ ·การกระตนุ้ ใหล้ กุ นงั่ ลกุ เดนิ ·การพลกิ ตะแคงตวั ·การฝึ กการเป่ าลกู โป่ ง ·การกระตนุ้ การไออย่างมีประสิทธิภาพ
สรปุ หนว่ ยที่ 6 กำรจดั กำรเกี่ยวกบั ทำงเดินหำยใจและกำร พยำบำลผปู้ ่ วยที่ใช้ เครอ่ื งชว่ ยหำยใจ
กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่ใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหำยใจ ควำมหมำยและหลกั กำรทำงำนและชนิดของเครอ่ื งช่วยหำยใจ เครื่องชว่ ยหายใจ หมายถึง อปุ กรณท์ างการแพทยท์ ี่ทาใหเ้ กิดการควบคมุ ของอากาศเขา้ และ ออกจากปอด สาหรบั ผปู้ ่ วยที่หายใจเองไมไ่ ด้ หรือหายใจได้ แตค่ วามตอ้ งการไมเ่ พียงพอตอ่ ร่างกาย วงจรการทางานของเครื่องชว่ ยหายใจ o Trigger :กลไกกระตนุ้ แหลง่ จา่ ยgasทาใหเ้ กดิ การหายใจเขา้ o Limit :กลไกที่ดารงไว้ โดยมีเคร่ืองจากดั ตอ่ คา่ ตา่ งๆไมใ่ หเ้ กิดอนั ตายตอ่ ปอด o Cycle :กลไกที่เปลี่ยนจากระยะหายใจเขา้ เป็ นหายใจออก กาหนดดว้ ยความดนั หรือปริมาตร o Baseline :กลไกท่ีใชใ้ นการหยดุ จา่ ยgas เมอ่ื ส้ินสดุ การหายใจเขา้ การหายใจออก จะเร่ิมตน้ จนสิ้นสดุ การหายใจออก จะได้ baseline = 0 ชนดิ การทางานของเครื่องชว่ ยหายใจ โดยจาแนกตามตวั การหายใจเขา้ o เคร่ืองกาหนดอตั ราการไหลตามท่ีกาหนด (flow control variable) o เคร่ืองกาหนดปริมาตรตามท่ีกาหนด (Volume control variable) o เครื่องกาหนดความดนั ถึงจดุ ที่กาหนด (Pressure control variable) o เครื่องกาหนดเวลาในการหายใจเขา้ (Time control variable) ขอ้ บ่งช้ีในกำรใชเ้ ครอ่ื งช่วยหำยใจ ปัญหาระบบหายใจ o Bradypnea , Apnea o Astma , COPD : มีอาการรนุ แรง พน่ ยาไมด่ ีขนึ้ O2satตา่ o Respiratory failure , flail chest o การอดุ กน้ั ของทางเดินหายใจสว่ นบน ผปู้ ่ วยมปี ัญหาระบบไหลเวียน o Shock : BP = 70/50 – 80/60 mmHg , Vital signs unstable , ไดร้ บั vasopressure o Cardiac arrest พยาธสิ ภาพท่ีสมองรนุ แรง : GDC นอ้ ยกว่าหรือเท่ากบั 8 คะแนน ผปู้ ่ วยหลงั ผา่ ตดั ใหญแ่ ละไดร้ บั ยาระงบั ความรสู้ กึ นาน มีคา่ arterial blood gas ผดิ ปกติ
สว่ นประกอบของเครอ่ื งช่วยหำยใจ สว่ นที่ 1 เป็ นระบบการควบคมุ ของเครื่องชว่ ยหายใจ (Ventilation control system) ซ่ึงผใู้ ช้ สามารถปรบั ตง้ั คา่ (setting) ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพผปู้ ่ วย o มปี ่ ุมปรบั ตง้ั คา่ Mode ชว่ ยหายใจชนดิ ตา่ งๆ o สามารถกดป่ ุมเพ่ือตง้ั คา่ (setting) ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพ ผปู้ ่ วย ไดแ้ ก่ FiO2 rate Ti (เวลาชว่ งหายใจเขา้ ) , PEEP, Pressure control และ trigger (sensitivity) สว่ นท่ี 2 เป็ นระบบการทางานของผปู้ ่ วย (Patient monitor system ) o แสดงคา่ ตา่ งๆ สามารถวัดไดจ้ ากผปู้ ่ วยและจากเครื่องชว่ ยหายใจ o P peak (คา่ ความดนั สงู สดุ ) , PEEP (positive end expiratory pressure) , Vte (tidal volume ชว่ งหายใจ ออก) ค่า VE (minute volume) และ rate (อตั ราการหายใจ) สว่ นท่ี 3 เป็ นระบบสญั ญาณเตอื นทงั้ การทางานของเครื่อง (Alarm system) o high pressure alarm มีเสียงเตอื นเมอื่ ความดนั ในทางเดนิ หายใจผปู้ ่ วยสงู กว่าคา่ ท่ี กาหนดไว้ o low pressure alarm มเี สยี งเตอื นเมื่อความดนั ในทางเดนิ หายใจผปู้ ่ วยตา่ กว่าคา่ ท่ี กาหนดไว้ o Tidal volume หรือ minute volume จะมีเสียงเตอื นดงั ขน้ึ ถา้ ปริมาตรกา๊ ซท่ีจา่ ยใหผ้ ปู้ ่ วย ตา่ หรือสงู เกินคา่ ท่ีตง้ั ไว้ o apnea มีเสยี งเตอื นเมอ่ื ผปู้ ่ วยหยดุ หายใจนานเกิน 15-20 วินาที o Inoperative alarm มีเสยี งเตอื นเมอ่ื เกดิ ความผดิ ปกตภิ ายในเครื่อง สว่ นท่ี 4 เป็ นสว่ นท่ีใหค้ วามชมุ่ ชนื้ แกท่ างเดนิ หายใจ (Nebulizer or humidifier) o มีระบบพน่ ละอองฝอย โดยทาใหน้ า้ ระเหยเป็ นไอไปกบั กา๊ ซ o water trap:ดแู ลการระเหย การเทท้ิง โดยปราศจากเชอื้ โรคที่จะเขา้ สเู่ คร่ืองชว่ ยหายใจ o อณุ หภมู ิในหมอ้ นา้ ที่เหมาะสม ประมาณ 37 องศาเซลเซียล คำศพั ทห์ รอื ควำมหมำยของแต่ละพำรำมิเตอร์ (parameter) ท่ีใชใ้ นกำรตงั้ ค่ำเครอ่ื งช่วย หำยใจ F หรือ rate = คา่ อตั ราการหายใจ ควรตง้ั อตั ราการหายใจประมาณ 12-20 ครงั้ / นาที VT : tidal volume = เป็ นคา่ ปริมาตรอากาศท่ีไหลเขา้ หรือออก จากปอดผปู้ ่ วยหรือคา่ ปริ มาตรการหายใจเขา้ หรือออกใน 1 ครง้ั ของ การหายใจปกติ มหี นว่ ยเป็ นมลิ ลิลิตร -คา่ ปกตปิ ระมาณ 7-10 มลิ ลลิ ติ ร/ กโิ ลกรมั Sensitivity หรือ trigger effort = เป็ นคา่ ความไวของ เครื่องท่ีตง้ั ไว้ เพื่อใหผ้ ปู้ ่ วยออกแรงนอ้ ย ท่ีสดุ ในการกระตนุ้ เคร่ืองช่วยหายใจ ตงั้ คา่ ประมาณ 2 lit/min FiO2 (fraction of inspired oxygen) =คา่ เปอรเ์ ซ็นต์ ออกซิเจนที่เปิ ดใหผ้ ปู้ ่ วย ตงั้ ค่าประมาณ 0.4-0.5 หรือ 40-50 %
-ถา้ ผปู้ ่ วยมพี ยาธสิ ภาพรนุ แรง จะตง้ั คา่ ออกซิเจน 1 หรือ 100 % เมอื่ อาการดขี นึ้ จึงคอ่ ยๆ ปรบั ลดลงมา PEEP (Positive End Expiratory Pressure) =คา่ ที่ทาใหค้ วามดนั ในชว่ งหายใจออกสดุ ทา้ ยมี แรงดนั บวกคา้ งไวใ้ นถงุ ลมปอดตลอดเวลา -ป้ องกนั ปอดแฟบ และเพิ่มพื้นท่ีแลกเปลีย่ นกา๊ ซ -ปกตจิ ะตงั้ 3-5 เซนตเิ มตรนา้ -มพี ยาธิสภาพรนุ แรงอาจปรบั ตง้ั คา่ PEEP มากกว่า 5 เซนตเิ มตรนา้ Peak Inspiratory Flow (PIF) = อตั ราการไหลของอากาศเขา้ สปู่ อดของผปู้ ่ วยสงู สดุ ในการ หายใจเขา้ แตล่ ะครงั้ มหี นว่ ยเป็ นลิตร/ นาที I:E (inspiration : expiration) = อตั ราสว่ นระหว่างเวลาท่ีใชใ้ นการหายใจเขา้ ตอ่ เวลาที่ใช้ ใน การหายใจออก ในผใู้ หญ่ตงั้ 1:2, 1:3 Minute volume (MV) = เป็ นปริมาตรอากาศท่ีหายใจเขา้ / ออก ทงั้ หมด ใน 1 นาที -มีคา่ เทา่ กบั tidal volume x อตั ราการหายใจ -ในภาพหนา้ จอเคร่ือง ventilator ใชต้ วั ย่อ VE หลกั กำรตง้ั เครอ่ื งช่วยหำยใจ ชนิดช่วยหำยใจ (full support mode) continuous Mandatory Ventilation: CMV -ชว่ ยหายใจจะควบคมุ การหายใจหรือชว่ ยหายใจเองทงั้ หมด -ใชส้ าหรบั ผปู้ ่ วยท่ีมภี าวะวิกฤต -การควบคมุ ดว้ ยปริมาตร (Volume Control : V- CMV Mode) ตง้ั ปริมาตรอากาศชว่ งหายใจเขา้ (Vt: tidal volume)และอตั ราการหายใจ (Rate) set คา่ ปริมาตรอากาศชว่ งหายใจเขา้ (Vt : Tidal Volume 350 ml.) -การควบคมุ ดว้ ยความดนั (Pressure Control : P-CMV Mode) กาหนดคา่ ความดนั ในชว่ งหายใจเขา้ (P control)เวลาในการหายใจเขา้ (Ti: time inspiration) และอตั ราการหายใจ (rate) ไม่ set คา่ tidal volume ในการชว่ ยหายใจ Assisted /Control ventilation: A/C
-patient trigger = เครื่องจะเริ่มชว่ ยหายใจ โดยกาหนดเป็ นความดนั หรือปริมาตรตามท่ี ไดก้ าหนดไว้ แตอ่ ตั ราการหายใจจะกาหนดโดยผปู้ ่ วย ผปู้ ่ วยรสู้ กึ ตวั สญั ญาณชีพคงที่ และเร่ิมหายใจเองไดบ้ า้ ง ไม่ set คา่ tidal volume ในการชว่ ยหายใจ เคร่ืองกาหนดอตั ราการ หายใจชว่ ยผปู้ ่ วยเชน่ กนั และผปู้ ่ วยหายใจกระตนุ้ เครื่อง (patient trigger) รว่ มดว้ ย โดยกาหนดเป็ นความดนั หรือปริมาตร และอตั ราการ หายใจ ชนิดหยำ่ เครอ่ื งชว่ ยหำยใจ (weaning mode) Mode SIMV : synchronized intermittent mandatory ventilation เคร่ืองชว่ ยหายใจตามปริมาตร (V-SIMV) หรือความดนั (P-SIMV)ที่ตงั้ คา่ ไว้ และ ตามเวลาท่ีกาหนด ไมว่ ่าผปู้ ่ วยหายใจเองหรือไม่ การตง้ั คา่ จึงมี Tidal volume ใน V-SIMV และ pressure control ร่วมกบั inspiratory time ใน P-SIMV และFiO2 , rate ,PEEP 3-5 cmH2O Mode PSV: Pressure support ventilation เคร่ืองชว่ ยเพ่ิมแรงดนั บวก เพ่ือชว่ ยเพ่ิมปริมาตรอากาศขณะผปู้ ่ วยหายใจเอง การตง้ั คา่ FiO2 และ PEEP Mode CPAP: Continuous Positive Airway Pressure /Sponstaneous ผปู้ ่ วยกาหนดการหายใจเอง ไมต่ งั้ คา่ rate และเครื่องชว่ ยเพิ่มแรงดนั บวกตอ่ เนอื่ งตลอดเวลา แตก่ าหนดใหต้ งั้ PEEP กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่คำท่อชว่ ยหำยใจและใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหำยใจ กำรพยำบำลขณะคำท่อช่วยหำยใจ ตรวจวัดสญั ญาณชพี ตดิ ตามคลื่นไฟฟ้ า หวั ใจ และค่าความอิ่มตวั ของออกซิเจน (oxygen saturation) จดั ท่านอนศีรษะสงู 45- 60 องศา เพื่อใหป้ อดขยายตวั ดี ในผปู้ ่ วยที่รสู้ ึกตวั ดี ดขู นาดเบอรข์ องทา่ ชว่ ยหายใจ ความลกึ ของขดี ตาแหนง่ ลงบนั ทึกทกุ วัน ดกู ารผกู ยึดท่อชว่ ยหายใจดว้ ยพลาสเตอรใ์ หแ้ นน่ เพ่ือไมใ่ หเ้ ลือ่ นหลดุ ฟังเสยี งปอด (Breath sound ) เพ่ือประเมนิ วา่ มเี สียงผิดปกตหิ รือไม่ ประเมินลกั ษณะการหายใจ และดวู ่ามภี าวะขาด ออกซิเจนหรือไม่ ตดิ ตามผลเอกซเรยป์ อดขณะถา่ ยภาพหนา้ ตรงไมก่ ม้ หรือ แหงนหนา้ เพื่อดคู วามผิดปกติ ของปอด และดตู าแหนง่ ความลกึ ของทอ่ ชว่ ยหายใจที่เหมาะสม ปกตปิ ลายทอ่ อยเู่ หนอื carina 3-4 cms. (ระดบั Thoracic 2)
ตรวจสอบความดนั ในกะเปาะ (balloon) ของท่อชว่ ยหายใจ หรือวัด cuff pressure ทกุ เวร หรือ ทกุ 8 ชม. คา่ ปกติ 25-30 cm H20 หรือ 20-25 mmHg เคาะปอด และดดู เสมหะดว้ ยหลกั ปลอดเชือ้ เม่อื มีขอ้ บง่ ช้ี ทาความสะอาดชอ่ งปาก ดว้ ยนา้ ยา 0.12 % Chlorhexidine ทกุ 8 ชม หรืออย่างนอ้ ยวนั ละ 2 ครงั้ กำรพยำบำลขณะใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหำยใจ ดแู ลสายทอ่ วงจรเครื่องชว่ ยหายใจไมห่ กั พบั หรือหลดุ และหมนั่ เตมิ นา้ ในหมอ้ นา้ เครื่องชว่ ย หายใจใหม้ ีความชื้นเสมอ ดแู ลใหอ้ าหาร ทางสายยาง (nasogastric tube) อยา่ งเพียงพอ ตดิ ตามคา่ อลั บมู ิน คา่ ปกติ 3.5-5 gm/dL. ดแู ลใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ บั สารนา้ และอิเลคโตรไลตท์ างหลอดเลอื ดดา และตดิ ตามคา่ CVP ปกติ 6- 12 cmH2O ตดิ ตาม urine out put คา่ ปกติ 0.5-1 cc./kg/hr. และบนั ทึก Intake/output ตดิ ตามผล aterial blood gas ในหลอดเลือดแดง เพื่อดคู า่ ความผิดปกตขิ องกรด ดา่ งใน รา่ งกาย ถา้ ผปู้ ่ วยมีพยาธสิ ภาพท่ีปอดรนุ แรง และมี severe hypoxia แพทยจ์ ะตอ้ งรกั ษาแกไ้ ข โดยปรบั คา่ FiO2 เป็ น 100 % เมอ่ื ผปู้ ่ วยอาการดขี น้ึ จึงปรบั ลดคา่ FiO2 เป็ น 0.4-0.5 หรือ 40-50% เพื่อป้ องกนั ภาวะ oxygen toxicity การดแู ลดา้ นจิตใจ พดู คยุ ให้ กาลงั ใจ ตอบขอ้ สงสยั บอกวันและเวลาใหผ้ ปู้ ่ วยทราบ และอาจ ใหผ้ ปู้ ่ วยส่ือสารดว้ ยการเขยี น หรือใชภ้ าพ และสง่ เสริม การนอนหลบั พกั ผอ่ นกลางคนื 4-6 ช.ม 1.4 ภำวะแทรกซอ้ นจำกกำรคำท่อช่วยหำยใจและใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหำยใจ ระบบหวั ใจและการไหลเวียนเลอื ด ความดนั เลอื ดตา่ เนอ่ื งจากใหp้ ositive pressure สงู ระบบหายใจ คา่ cuff pressure ที่สงู กว่าปกติ ทาใหเ้ กิดการบาดเจ็บกลอ่ งเสยี ง หลอดลมบวม (laryngeal edema) เย่ือบหุ ลอดลมคอขาดเลอื ดไปเลยี้ ง tidal volume มากเกนิ ไป หรือตง้ั คา่ PEEP สงู กว่า 10 cmH2O ทาใหเ้ กิดภาวะถงุ ลม ปอดแตก (pulmonary barotrauma) ปริมาตรการหายใจตา่ หรือ จากการดดู เสมหะในท่อชว่ ยหายใจนาน ทาใหเ้ กดิ ภาวะ ปอดแฟบ (atelectasis) ตอ้ งใหอ้ อกซิเจนดว้ ยการบีบปอดชว่ ย หายใจหลงั จากการดดู เสมหะ (positive pressure with ambu bag 3-5 ครง้ั )
ความเขม้ ขน้ ของออกซิเจน FiO2 มากกว่า 0.5 (50%) หรือ 100 % ตดิ ตอ่ นาน 24- 48 ชม. ทาใหเ้ กดิ การทาลายเนอื้ ปอด ถงุ ลมขาดกา๊ ซไนโตรเจน หรือ ภาวะพิษ จากออกซิเจน (oxygen toxicity) ภาวะเลือดไมส่ มดลุ ของกรด (respiratory acidosis) หรือดา่ ง (respiratory alkalosis) ผปู้ ่ วยท่ีใสท่ ่อชว่ ยหายใจ และ ใชเ้ คร่ืองชว่ ยหายใจ ชว่ ง 4 วัน หรือนานกว่า ทาให้ เกิด ภาวะปอดอกั เสบจากการใชเ้ คร่ืองชว่ ยหายใจ (ventilator associated pneumonia : VAP) ระบบทางเดนิ อาหาร มแี ผล หรือเลือดออกในทางเดินอาหาร จากภาวะเครียดหรือขาดออกซิเจน แพทยจ์ ึง ใหย้ าลดการหลงั่ กรด เชน่ ยา Sucralfate, Omeprazole ระบบประสาท เครื่องชว่ ยหายใจใหแ้ รงดนั บวก ทาใหเ้ ลือดดาไหลกลบั จากสมองนอ้ ยลง อาจทาห้ ผปู้ ่ วย มคี วามดนั ในกะโหลกศีรษะสงู (increase intracranial pressure) ผลกระทบดา้ นจิตใจ ผปู้ ่ วยท่ีอยใู่ นหอผปู้ ่ วยวิกฤตเกนิ 3 วัน อาจมีอาการ ICU syndrome (ซึม สบั สน กระสบั กระสา่ ย) กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่หยำ่ เครอื่ งช่วยหำยใจ (Weaning) ควำมหมำยของกำรหยำ่ เครอื่ งช่วยหำยใจ (weaning) กระบวนการลด และเลิกใช้ เคร่ืองชว่ ยหายใจ หรือใหผ้ ปู้ ่ วยหายใจเอง ทาง T- piece หรือ หายใจเองโดยไมพ่ ่ึงพาเครื่องชว่ ยหายใจ หลกั กำรหยำ่ เครอ่ื งชว่ ยหำยใจ พยาธิสภาพของโรคหมดไปหรือดีขน้ึ กาลงั สารองของปอดเพียงพอ (adequate pulmonary reserve) ผปู้ ่ วยมีภาวะหายใจไดเ้ องอยา่ งปลอดภยั และไมม่ ีการทางานของระบบอื่นลม้ เหลว วิธีกำรหยำ่ เครอื่ งช่วยหำยใจ (Weaning Methods) วิธีที่ 1 Mode pressure support / CPAP/ Spontaneous เครื่องชว่ ยหายใจจะชว่ ยใหม้ ีแรงดนั บวกเท่าที่กาหนด ตลอดชว่ งเวลาหายใจเขา้ ดคู า่ rateและ VTE เป็ นหลกั เพื่อจะดวู า่ ผปู้ ่ วยหายใจเองไดป้ กตหิ รือไม่ วิธีที่ 2 Synchronize Intermittent Mandatory Ventilation (SIMV) นิยมใชร้ ว่ มกบั pressure support (SIMV+ PSV) ผปู้ ่ วยหายใจเองบางสว่ น โดยทางานประสานกนั กบั การชว่ ยหายใจของ เครื่องชว่ ย หายใจ ซ่ึงเคร่ืองจะชว่ ยหายใจเท่ากบั อตั ราท่ีกาหนดไว้
ตอ้ งดู f TOT หรืออตั ราการหายใจของผปู้ ่ วย และคา่ VTหรือ tidal volume ชว่ ง หายใจออก วิธีที่ 3 ใช้ O2 T-piece กำรเตรยี มอปุ กรณ์ - ชดุ อปุ กรณใ์ หอ้ อกซิเจน - นา้ กลนั่ (sterile water) และกระบอกใสน่ า้ ลนั่ ชนดิ ใหค้ วามชน้ื สงู (nebulizer) - - piece มีท่อยาว 1 อนั และ ทอ่ สน้ั 1 อนั ประกอบเขา้ กบั ขอ้ ตอ่ รปู ตวั T ชนดิ ที่ 1 Spontaneous Breathing Trial : SBT) ถา้ หายใจเองไดน้ านมากกว่า 30 นาที จึงมีโอกาสถอดเคร่ืองชว่ ยหายใจได้ ชนดิ ที่ 2 ใหผ้ ปู้ ่ วยฝึ กหายใจเอง ทาง T-piece ( traditional T-piece weaning) ให้ ผปู้ ่ วยหายใจเองเท่าท่ีทาได้ แตไ่ มค่ วรเหนอ่ื ย สลบั กบั การพกั โดยใชเ้ คร่ืองชว่ ยหายใจ กำรพยำบำลผปู้ ่ วยท่ีหยำ่ เครอื่ งช่วยหำยใจ กำรพยำบำลระยะกอ่ นหยำ่ เครอื่ งช่วยหำยใจ ผปู้ ่ วยควรจะรสู้ กึ ตวั พยาธสิ ภาพผปู้ ่ วยดขี นึ้ อตั ราการเตน้ ของหวั ใจ 50-120 ครงั้ /นาที หวั ใจเตน้ ไมผ่ ดิ จงั หวะ ความดนั โลหิต systolic 90-120 diastolic 60-90 mmHg และไมใ่ ชย้ ากระตนุ้ ความดนั โลหิต เชน่ ยา Dopamine, Levophed PEEP ไมเ่ กิน 5-8 cmH2O , FiO2 ≥ 40-50%, O2 Sat ≥ 90% ผปู้ ่ วยหายใจไดเ้ อง (spontaneous tidal volume > 5 CC./kg.) Minute volume > 5-6 lit/ min คา่ RSBI < 105 breaths/min/L (Rapid shallow breathing index) คือ ความสามารถในการ หายใจเอง ของผปู้ ่ วย คานวณไดจ้ ากอตั ราการหายใจ หนว่ ยครง้ั /นาที หารดว้ ย spontaneous tidal volume หนว่ ยเป็ นลติ ร (RR/TV)
คา่ อิเลคโตรไลท์ Potassium > 3 mmol/L ผปู้ ่ วยมี metabolic status ปกติ PaO2 > 60 mmHg O2 saturation > 90% ในขณะที่ตงั้ คา่ FiO2≤ 0.4 (40%) PH 7.35- 7.45, PaCO2 ปกติ albumin >2.5 gm/dL ไมม่ ภี าวะซีด Hematocrit > 30% ไมใ่ ชย้ านอนหลบั (sedative) หรือยาคลายกลา้ มเนอ้ื (muscle relaxant) ประเมิน cuff leak test ผา่ นหรือมเี สียงลมรวั่ ท่ีคอ (cuff leak test positive) แสดงว่า กลอ่ ง เสียง (larynx) ไมบ่ วม ผปู้ ่ วยควรนอนหลบั ตดิ ตอ่ กนั อยา่ งนอ้ ย 2-4 ชวั่ โมง หรือ 6-8 ชวั่ โมง /วนั ประเมินความพรอ้ มดา้ นจิตใจ เชน่ ผปู้ ่ วยกงั วลหรือกลวั หายใจเองไมไ่ ด้ ควรอธิบายใหเ้ ขา้ ใจ เพื่อใหเ้ กิดความมนั่ ใจ ซ่ึง จะมีโอกาสหยา่ ไดส้ าเร็จ กำรพยำบำลระยะหยำ่ เครอื่ งช่วยหำยใจ (wean) o พดู คยุ ใหก้ าลงั ใจ ใหค้ วามมนั่ ใจ o จดั ทา่ นอนศีรษะสงู 30- 60 องศา o ดดู เสมหะใหท้ างเดินหายใจโลง่ หรืออาจพน่ ยาขยายหลอดลม ตามแผนการรกั ษา o สงั เกตอาการเหงอ่ื แตก ซึม กระสบั กระสา่ ย o monitor หรือวดั ความดนั โลหิต อย่ใู นชว่ ง 90/60 - 180/110 mmHg HR 50-120 ครง้ั / นาที ไมม่ ีภาวะหวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะ (no arrhythmia) RR < 35 ครง้ั /นาที หายใจไมเ่ หนอ่ื ย O2 sat (SPO2) ≥ 90% o ขอ้ บ่งช้ที ่ีตอ้ งยตุ กิ ารหย่าเครื่องชว่ ยหายใจ ระดบั ความรสู้ ึกตวั ลดลงหรือเปล่ยี นแปลง อตั ราการหายใจ RR >35 ครงั้ / นาที และใชก้ ลา้ มเนอื้ ชว่ ยในการ หายใจ หายใจ เหนอื่ ย หายใจลาบาก ความดนั โลหิต คา่ diastolic เพ่ิมหรือลดจากเดิม > 20 mmHg HR เพ่ิมหรือลดจากเดมิ > 20 ครงั้ / นาที หรือ > 120 ครงั้ / นาที หรือหวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะ มีการเปลย่ี นแปลง tidal volume < 200 ml. O2 saturation < 90 % ,ค่า arterial blood gas PaO2 < 60 mmHg ถา้ ผปู้ ่ วยไมผ่ า่ นการ wean ใหด้ สู าเหตุ เชน่ เสมหะมากหรือเสมหะอดุ ตนั ให้ suction และชว่ ยหายใจโดยให้ positive pressure ดว้ ย self inflating bag (ambu bag) ถา้ ยงั หายใจเหนอ่ื ย ใหก้ ลบั ไปใชเ้ คร่ืองชว่ ยหายใจ ใน mode ventilator เดมิ ที่ใชก้ อ่ น wean หรือตามสภาพอาการผปู้ ่ วย ระยะกอ่ นถอดท่อชว่ ยหำยใจ ประเมินว่าผปู้ ่ วยความรสู้ กึ ตวั ดี มี reflex การกลืน การไอดี
ประเมนิ ปริมาณเสมหะผปู้ ่ วย เสมหะไมเ่ หนยี วขน้ และ การดดู เสมหะแตล่ ะครง้ั ห่างกนั > 2 ชวั่ โมง วดั cuff leak test มเี สียงลมรวั่ (cuff leak test positive) ใหผ้ ปู้ ่ วยงดนา้ และอาหาร 4 ชม. เพ่ือป้ องกนั การสาลกั เขา้ หลอดลม และปอด เตรียมอปุ กรณใ์ หอ้ อกซิเจน Check อปุ กรณใ์ สท่ ่อชว่ ยหายใจใหมพ่ รอ้ มใช้ ระยะถอดท่อชว่ ยหำยใจ และดแู ลหลงั ถอดท่อชว่ ยหำยใจ บอกใหผ้ ปู้ ่ วยทราบ Suction clear airway และบีบ ambu bag with oxygen 100% อย่างนอ้ ย 3-5 ครง้ั แลว้ บอก ใหผ้ ปู้ ่ วยสดู หายใจเขา้ ลกึ พรอ้ มบีบambu bag คา้ งไว้ และใช้ syringe 10 CC. ดดู ลมใน กระเปาะท่อชว่ ยหายใจออกจนหมด แลว้ จึงถอด ท่อชว่ ยหายใจออก หลงั ถอดท่อชว่ ยหายใจ ใหอ้ อกซิเจน mask with bag / mask with nebulizer และบอกใหผ้ ปู้ ่ วย สดู หายใจเขา้ ออกลึกๆ จดั ทา่ ผปู้ ่ วยนอนศีรษะสงู 45-60 องศา check Vital signs , O2 saturation สงั เกตลกั ษณะการหายใจ และบนั ทึก 15- 30 นาทีใน ชว่ งแรก ถา้ ผปู้ ่ วยหายใจเหนอื่ ย มีเสียงหายใจดงั (stridor) ตอ้ งรายงานแพทย์ กำรพยำบำลผปู้ ่ วยท่ีมีภำวะวิกฤตทำงเดินหำยใจสว่ นบน สำเหตขุ องทำงเดินหำยใจสว่ นบนอดุ กนั้ (Upper airway obstruction) บาดเจ็บจากสาเหตตุ า่ งๆ เชน่ ไดร้ บั อบุ ตั เิ หตรุ ถมอเตอรไ์ ซด์ รถยนต์ ไฟไหม้ (thermal burn) / กลืนหรือสาลกั นา้ กรดหรือสารเคมี (chemical burn) มกี ารอกั เสบตดิ เชอื้ บริเวณทางเดนิ หายใจสว่ นบน มกี อ้ นเนอ้ื งอกมะเร็ง
สรปุ หนว่ ยที่ 7 กำรพยำบำล ผปู้ ่ วยที่มีภำวะวิกฤตและ ฉกุ เฉินของหลอดเลือด หวั ใจ กลำ้ มเน้ือหวั ใจ
กำรพยำบำลผปู้ ่ วยระบบหวั ใจและหลอดเลือด การซักประวตั ิ -อาการหอบเหนอ่ื ย (dyspnea) บวม (edema) เจ็บหนา้ อก (chest pain) อาการออ่ น เปล้ยี (fatique) อาการบวม (edema) เป็ นลมหรือหมดสติ (syncope) หายใจลาบาก (dyspnea) อาการเหนอ่ื ยเม่อื ออกแรง (dyspnea on exertion: DOE) นอนราบไมไ่ ด้ (orthopnea) เมือ่ นอนราบไปประมาณ 2-3 ชม. มอี าการแนน่ อึดอดั หายใจไมท่ นั ตอ้ งลกุ ขน้ึ มานงั่ ไอ (paroxysmal noctunal dyspnea) อาการใจสนั่ (palpitation) ไอ หรือไอเป็ นเลือด (cough, hemoptysis) -ประวัตกิ ารเจ็บป่ วย เชน่ RHD, HT, Congenital Heart Disease -ประวตั คิ รอบครวั และปัจจยั เส่ียงตา่ งๆ - อาการที่ทาใหผ้ ปู้ ่ วยตอ้ งมาโรงพยาบาลโดยใหผ้ ปู้ ่ วยอธิบาย -ประวัตกิ ารเจ็บป่ วยปัจจบุ นั ระยะเวลาเร่ิมตน้ ท่ีเกดิ อาการ: ชว่ งเวลาที่เกดิ ในแตล่ ะวนั ระยะเวลาท่ีเกิดอาการ สาเหตุ หรือสาเหตสุ ง่ เสริมใหเ้ กิดอาการ -อาการและอาการแสดง (P,Q,R,S,T) O: Onset ระยะเวลาที่เกดิ อาการ P: Precipitate cause สาเหตชุ กั นาและการทเุ ลา Q: Quality ลกั ษณะของอาการเจ็บอก R: Refer pain อาการเจ็บรา้ ว S: Severity ความรนุ แรงของอาการเจ็บแนน่ อก หรือ Pain score T : Time ระยะเวลาที่เป็ น -ลกั ษณะสาคญั ของ angina pectoris .Quality เหมอื นมีของหนกั มาทบั อก ถกู รดั บริเวณหนา้ อก Location- substernal area รา้ วไปไดท้ งั้ 2 ขา้ ง มกั รา้ วไปที่ไหลซ่ า้ ย แขนซา้ ย คอ กราม หรือสะบกั ไหล่ บางรายมาดว้ ยอาการปวดกราม ปวดแขนอยา่ ง เดียว อย่างนอ้ ย 20 นาที -อาการเจ็บจากการอกั เสบ Pericarditis -เจ็บเหมือนมีดแทง รา้ วไปไหลซ่ า้ ย เจ็บมากเวลาหายใจเขา้ อาการดขี นึ้ เม่อื นงั่ โนม้ ตวั มาขา้ งหนา้
Pleuritis อกั เสบของเยื่อหมุ้ ปอด อาการเจ็บคลา้ ย pericarditis เจ็บมาก ชว่ งเวลาหายใจเขา้ -การเจ็บจากการฉีกขาดของอวัยวะในชว่ งอก Aortic dissection เจ็บตรงกลางหนา้ อกอยา่ งรนุ แรง ทนั ที เจ็บทะลไุ ปขา้ ง หลงั ระหว่าง scapula อาการเจ็บอย่นู านเป็ นชวั่ โมง เหงอ่ื ออก ตวั เย็น การตรวจร่างกาย -Cardiac cachexia (อาการผอมแหง้ มกั พบในผปู้ ่ วย chronic heart failure) สงั เกตอาการ เหนอ่ื ย ลกั ษณะการหายใจ -ดลู กั ษณะทรวงอก นนู ออกมาหรือยบุ ลงไป มีแผลเป็ นหรือไม่ เคยผา่ ตดั ใส่ PPM ตาแหนง่ ท่ีมองเห็นการเตน้ ของหวั ใจแรงท่ีสดุ ปกตอิ ย่ทู ่ี 5th ICS MCL -ดู cyanosis -สงั เกตผวิ หนงั เลอื ดออกบริเวณผวิ หนงั Varicose vein อณุ หภมู ิความเย็นผวิ หนงั แสดง ถึงการกาซาบของเลอื ดไมด่ ี -สงั เกตลกั ษณะนวิ้ Capillary refill คา่ ปกตนิ อ้ ยกว่า 3 วินาที สขี องเล็บ Clubbing fingers (นว้ิ ป้ ุม) -เสน้ เลอื ดดาท่ีคอ (neck vein) ว่าโป่ งหรือไม่ ถา้ โป่ งอยแู่ สดงว่า มี Rt.side heart failure -heart failure จะบวมเฉพาะบริเวณท่ีอยตู่ า่ -การคลา (Palpation) ชีพจรเบาขนึ้ และชา้ ลง (pulsus parvus et tardus) พบในโรคลน้ิ หวั ใจ Aortic stenosis, Mitral stenosis, Cardiac tamponade ชพี จรสมา่ เสมอแตแ่ รงสลบั เบา (Pulsus alternans) พบในผปู้ ่ วย severe LV dysfunction ชพี จรขนึ้ และลงเร็ว มลี กั ษณะกวา้ ง (Water hammer, bounding pulse) มกั พบ ในผปู้ ่ วยลนิ้ หวั ใจเอออรต์ คิ (Aortic insufficiency), HT, Thyrotoxicosis ชีพจรปกตสิ ลบั กบั เบาเป็ นชว่ งๆ แตไ่ มส่ มา่ เสมอ (pulse deficit) พบในผปู้ ่ วย ที่มีภาวะหวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะ เชน่ PVC การฟัง (Auscultation) Pulmonic area ชอ่ งซี่โครงที่ 2 ซา้ ย Tricuspid area ชอ่ งซี่โครงที่ 3-4 ซา้ ย Mitral area Apex Aortic area ชอ่ งซ่ีโครงท่ี 2 ขวา
Heart Sounds First heart sound (S1): การปิ ดของ mitral และ tricuspid valve ฟังเป็ น เสียงเดียว ,คลาcarotid pulse หรือ apex พรอ้ มๆกบั การฟัง Second heart sound(S2): การปิ ดของ aortic valve และ pulmonic valve ประกอบดว้ ย A2, P2 (เสียง S1,S2 เป็ นเสยี งหวั ใจปกติ โดยชว่ ง S1 จะสน้ั กว่า S2 ลกั ษณะเสยี งที่ไดย้ ินคือ ลบึ -ดบึ (lub-dub) Third heart sound(S3) เกิดตามหลงั เสยี ง S2 คอื ชว่ งตน้ ของ ventricle คลายตวั เป็ นเสียงสนั่ สะเทือนที่เกิดจากการไหลของเลือด อยา่ งรวดเร็ว: early diastolic filling of volume overloaded ventricle , heart failure, cardiomyopathy รปู แบบของเสียง ลบึ -ดบึ -ดฮั (lub- dub-duh) (ฟังดว้ ย bell- low pitch) Fourth heart sound(S4): เกิดตามหลงั atrial contraction (S1) รปู แบบ ของเสยี งคือ ดี-ลบึ -ดึบ (de-lub-dub) พบในผปู้ ่ วย heart failure, MI, AS, PS murmur คือเสียงผิดปกติ หรือเสยี งฟ่ ู เกดิ จากการสนั่ สะเทือนขณะท่ี มกี ารไหลของเลอื ดในหอ้ งหวั ใจ หรือผา่ นรเู ปิ ดของลิ้นหวั ใจท่ี ผดิ ปกติ อาจเกดิ ในชว่ ง หวั ใจบีบตวั (Systolic murmur) หรือชว่ ง หวั ใจคลายตวั (Diastolic murmur) การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ ารและการตรวจพิเศษตา่ งๆ o CKMB o Troponin T หรือ TNT ควบคมุ การหดตวั ของกลา้ มเนอ้ื ลาย พบไดใ้ นกลา้ มเนอื้ สว่ น ตา่ งๆของร่างกาย อยใู่ นกระแสเลือดไดน้ าน 10-14 วนั มคี วามไวและจาเพาะเจาะจง มากกว่า CK-MB o การทางานของตบั (LFT) ถา้ มคี า่ สงู ขน้ึ อาจมีสาเหตมุ าจาก Rt.side heart failure o การทางานของไต (BUN, Creatinine) ถา้ มีคา่ สงู ขนึ้ แสดงว่าไตสญู เสียหนา้ ที่ มผี ลทา ให้ Electrolyte และ calcium ผดิ ปกตซิ ึ่งมีผลตอ่ การนาสญั ญาณและการบีบตวั ของ หวั ใจ o การตรวจดู electrolyte โดยเฉพาะคา่ potassium ซึ่งมผี ลตอ่ การทางานของหวั ใจ มคี า่ ปกติ 3.5-5.5 mEq/L o Hyperkalemia มผี ลตอ่ การบีบตวั ของหวั ใจทาใหอ้ ตั ราการเตน้ ของหวั ใจชา้ ลง กดการ ทางานของ AV conduction o Hypokalemia พบในผปู้ ่ วยทม่ี ีการสญู เสียโปแตสเซียมทางระบบทางเดนิ อาหาร ไดร้ บั ยาขบั ปัสสาวะ o Hypercalcemia หวั ใจบีบตวั แรงขน้ึ , EKG พบ shortned QT interval
o Hypocalcemia มผี ลในทางตรงขา้ ม Prolong QT interval o Hypomagnesemia ไดร้ บั ยาขบั ปัสสาวะ อาจเกดิ ภาวะหวั ใจหอ้ งเตน้ ผิดจงั หวะ ชนดิ PVC, VT o Blood coagulation (PT,PTT)มกั ตรวจในผปู้ ่ วยโรคหวั ใจที่มีคลน่ื ไฟฟ้ าหวั ใจเป็ น AF o การตรวจคลืน่ เสียงสะทอ้ น (Echocardiography) : เป็ นการตรวจโดยใชค้ ลื่น เสียงผา่ นทาง transducer เขา้ ทางผนงั หนา้ อกเม่อื ไปกระทบสว่ นตา่ งๆ ของหวั ใจจะ สะทอ้ นกลบั สามารถบนั ทึกบนจอภาพบนแผน่ ฟิ ลม์ o Electrocardiogram: ECG เป็ นการบนั ทึกการเปลี่ยนแปลงของelectrical activity ที่ผวิ ของรา่ งกายจากการทางานของกลา้ มเนอ้ื หวั ใจ เพื่อชว่ ยวินจิ ฉยั โรคทางระบบหวั ใจ และบอกถึงพยาธสิ ภาพที่เกิดขน้ึ o Electrophysiologic studies (EPS): ตรวจคลนื่ ไฟฟ้ าหวั ใจจากภายในหอ้ งหวั ใจ o Cardiac catheterization และ CAG ประเมินภาวะเลอื ดออกจากตาแหนง่ ที่ใสส่ ายสวนโดยตรวจสอบบริเวณแผล ว่ามี bleeding, hematoma echymosisหากพบรีบรายงานแพทย์ หา้ มงอขาขา้ งที่ใสส่ ายสวนอยา่ งนอ้ ย 6 ชวั่ โมงหลงั นาสายสวนออก แต่ สามารถพลิกตะแคงตวั ได้ โดยไมง่ อสะโพก ศีรษะสงู ไมเ่ กิน 30 องศา หาก ขยบั ตวั , ไอจาม ใหใ้ ชม้ อื กดบริเวณแผล หากคลาบริเวณทอ้ งนอ้ ยแขง็ (ตอ้ งไมป่ วดปัสสาวะ) ปวดมึนศรีษะ หนา้ มืด คลา้ ยจะเป็ นลม (นอนพกั ไมด่ ีขน้ึ ) ปัสสาวะไมอ่ อก ระดบั ความรสู้ ึกตวั เปลี่ยนแปลงใหแ้ จง้ แพทย/์ พยาบาลทนั ที คาแนะนาเมอื่ กลบั บา้ น 1-2 วันแรก ไมค่ วรเดินมากหรือขน้ึ บนั ได หรือไม่ ควรเบ่งถา่ ยอจุ จาระเพราะอาจมเี ลอื ดออกบริเวณแผล หลงั ทา10 วันหา้ มวิ่ง จอ๊ กกิ้ง หา้ มสตารท์ รถจกั รยานยนต์ หา้ มยกของหนกั o การทดสอบการออกกาลงั กาย (Exercise test) เป็ นการทดสอบสมรรถภาพของหวั ใจและการไหลเวียนโลหิต ขอ้ หา้ มในการ ทดสอบการออกกาลงั กาย ภาวะหวั ใจวาย กลา้ มเนอ้ื หวั ใจตาย อาการเจ็บ หนา้ อก อาการเจ็บไมค่ งท่ี หลอดเลือดโป่ งพอง จงั หวะการเตน้ หวั ใจผิดปกติ Severe aortic stenosis อาการตดิ เช้อื เฉียบพลนั o การตรวจทางเวชศาสตรน์ วิ เคลยี ร(์ Radionuclide) เป็ นการตรวจโดยใชส้ าร กมั มนั ตรงั สีในการประเมนิ กลา้ มเนอื้ หวั ใจตาย o Doppler Ultrasound ตรวจในกรณีที่สงสยั ว่ามีการอดุ ตนั ของหลอดเลอื ด เชน่ Deep Vein Thrombosis (DVT), Carotid Artery Stenosis
กลำ้ มเน้ือหวั ใจเตน้ ผิดจงั หวะ กลา้ มเนอื้ หวั ใจมกี ารหดตวั ○มpี acemaker cell SA :ปลอ่ ยกระแสไฟฟ้ า 60-100 ครงั้ / นาที ผลติ ไฟฟ้ าเองได้ Av :ปลอ่ ยไฟ 40-60 ครง้ั /นาที ventricel :ตา่ กว่า 40 ครง้ั ในภาวะปกติSA ทางานตวั เดยี ว การบนั ทึกคล่นื ไฟฟ้ า ECG/EKG ความเร็ว = 25 มม./วินาที 1ชอ่ งเล็ก = 1/25 = 0.04 1 ชอ่ งใหญ่ ตามแนวนอน = 0.04× 5 = 0.2 วินาที - 0.20 วินาที การคานวณอตั ราการเตน้ ของหวั ใจใน 1 นาที เกดิ 30 ชอ่ งใหญ่ = 0.2 × 30 = 6 วินาที × 10 = 60 วินาที ลกั ษณะคลน่ื ไฟฟ้ าหวั ใจปกติ P Wave : Depo บีบขวาบนซา้ ยบน กวา้ งไมเ่ กนิ 2.5 มม. หรือไมเ่ กิน 0.10 วินาที PR Interval :ชว่ งระหว่าง P และ QRS เป็ นการวดั เวลาการบีบของหอ้ งบน ไปสู่ AV และ Bundle of his ไมเ่ กิน 0.20 วินาที คา่ ปกติ 0.12 -0.20 วินาที QRS Complex :หอ้ งลา่ งเกิดdepo ทงั้ ซา้ ยขวาเกิดพรอ้ มกนั ขนึ้ ลงไป กวา้ ง 0.06 - 0.10 หรือไมเ่ กิน หรือไมเ่ กนิ 0.12 วินาที ( 3 มม. ) ถา้ กวา้ งแสดงงา่ มีการปิ ดกน้ั Bundle of his ( Bundle Branch Block : BBB) T :หอ้ งลา่ งrepo สงู ไมเ่ กิน 5 มม.กวา้ งไมเ่ กิน 0.16 วินาที จะสงู ผิดปกตใิ น Hyperkalemia ถา้ กลา้ มเนอื้ หวั ใจขาดเลอื ดพบ T หวั กลบั ST :จดุ เชอ่ื มระหว่าง QRS กบั T สงู ไมเ่ กิน 1 มม. กวา้ งไมเ่ กนิ 0.12 วินาที ถา้ STยกขน้ึ หรือตา่ ลง จะเป็ นภาวะหวั ใจกลา้ มเนอื้ ขาดเลือด QT interval :ระยะเวลา Depo - Repo ของหอ้ งลา่ ง ปกติ 0.32-0.48 วินาที (12 ชอ่ งเล็ก ) ถา้ ยาวไป slower ventricular repo เกิดจาก K ตา่ E'lyet ไมส่ มดลุ ถา้ สนั้ ไป K สงู
RR Interval :การบีบตวั ของหวั ใจแตล่ ะรอบ 60-100 ครงั้ / นาที การแปลผล rate = 300 ครง้ั / จานวนชอ่ งของRR ใชใ้ นกรณีท่ีเสมอ ถา้ ไมเ่ สมอใช้ 0.2 × จานวนชอ่ ง RR × 10 จงั หวะ = นบั rate P-P และ rate R-R ว่าสมา่ เสมอไหม ระยะเวลานาสญั ญาณไฟฟ้ า : ดู PR ว่าคา่ ปกตไิ หม ถา้ สน้ั แสดงว่าไมไ่ ดอ้ ย่ใู น SA ถา้ ยาวแสดงว่า ผา่ นAV ชา้ รปู รา่ งและตาแหนง่ : ดใู นชว่ ง 6 วินาทีแรก ว่า Pว่ามรี ปู รา่ งเหมือนกนั ตลอดไหม ภาวะหวั ใจเตน้ ผดิ จงั หวะ เตน้ ชา้ กว่าปกติ ( Sinus bradycardia ) ปลอ่ ยชา้ กว่า 60 ครง้ั พบในคนปกติ ขาดเลอื ด หวั ใจตาย ยา Beta-Blocker นอ้ ยกว่า 50 ครง้ั จะเป็ นลม ตรวจคลื่นไฟฟ้ า : ทง้ั บนลา่ ง 40-60 ครงั้ หวั ใจเตน้ เร็วกว่าปกติ ( sinus tachycardia ) 100-150 ครงั้ ไมเ่ กนิ 150 ใจสนั่ หายใจลาบาก หอ้ งบนหอ้ งลา่ งเตน้ เร็ว หวั ใจเตน้ ไมส่ มา่ เสมอ ( Sinus arrhythmia ) ทง้ั หอ้ งบนหอ้ งลา่ งเปล่ยี นแปลงตามกนั ใน 60-100 ครง้ั จงั หวะท่ีเตน้ ไมส่ มา่ เสมอ P ปกติ นาหนา้ QRS ทกุ จงั หวะ หอ้ งบนเตน้ กอ่ นจงั หวะ ( Premature Atrial Contraction : PAC ) Atrium ทาหนา้ ท่ีแทน SA บางหวะ = ปลอ่ ยสญั ญาณนา SA Atrail flutter = ฟันเลื่อย แต่ AV มีสติ atrium 250-300 ครงั้ AV รบั สญั ญาณไดไ้ มห่ มดทกุ จงั หวะ P เหมอื นฟันเล่ือย
สาเหตมุ าจากการผา่ ตดั หวั ใจเป็ นหลกั ขนึ้ กบั ventricuraresponeถา้ QRS ปกตจิ ะไมม่ ีอาการ PRวัดไมไ่ ด้ Aerial fibrillation : AF หอ้ งบน 250-600 จงั หวะหอ้ งลา่ งไมป่ กติ ไมเ่ ห็น P วดั PR ไมไ่ ด้ QRS ปกตแิ ตไ่ มเ่ สมอ Supraventricular Tachycardia ( AVNRT ) rate 150-250 สมา่ เสมอ ในคนอายนุ อ้ ย P หวั ตง้ั or หวั กลบั or มองไมเ่ ห็น or ตามหลงั QRS QRS แคบ เกดิ ทนั ทีแลว้ ก็หยดุ ทนั มี อาจเกิดจาก PAC ใจสนั่ เจ็บอก หายใจขดั ปวดหวั เป็ นลม หนา้ มืด ผิดปกตทิ ี่ AV node ( Junctional rhythm or Nodal rhythm ) สง่ สญั ญาณ 2 ทาง คอื ยอ้ นกลบั ไปที่หอ้ งบน แลว้ สง่ ไปที่หอ้ งลา่ ง 40-60 ครั้ง SA node ขาดเลือด ไมม่ ี P PRสนั้ กว่าปกติ Premature Ventricular Contraction : PVC จดุ ในหอ้ งลา่ ง ปลอ่ ยกระแสแทน SA node ในบางจงั หวัด มากกว่า 6 ครง้ั อนั ตราบ Bi mul R or T ไมม่ ี P กอ่ นจงั หวะจะผดิ ปกติ ไมม่ ี R-R QRS มากกว่า 0.12 วินาที หรือ 3 ชอ่ งเล็ก Ventricular tachycardia : VT รนุ แรง หอ้ งลา่ งปลอ่ ยกระแสแทน SA PVC อย่างนอ้ ย 3ตวั ตดิ กนั rate มากกว่า 100 ครงั้
อาการเกิดขน้ึ ทนั ที หวั ใจเตน้ เร็ว หายใจลาบาก BP ตา่ หมดสติ หอ้ งซา้ ยลมเหลว ถา้ ไมร่ กั ษาจะเป็ น Ventricular fibrillatation Ventricular fibrillatation -หวั ใจเตน้ เร็วมาก ไมเ่ สมอ คลน่ื ขยกุ ขยิก = Coarse VF ถา้ ตอบสนองตอ่ การทา Defibrillation =กอ่ น หอ้ งลา่ งจะหยดุ เตน้ = EKG ตรง -ไมม่ ี P Q R S. -Pulseless Electrical Activity : PEA = คล่นื เตส้ ไมม่ ีชพี จร -เตน้ จงั หวะอะไรก็ได้ ที่ไมใ่ ช่ VF VT -เลือดออก -การขดั ขวางจาก SA ไป AV ระดบั ที่ 1 ( First - degree AV block ) -การนา SA ไป AV ชา้ -เกดิ ในผสู้ งู อายุ ผไู้ ดร้ บั ยา Quinidine , Procainamide -Secord degree AV block -type I : Mobitz type I or Wenckebach : หอ้ งลา่ งชา้ จะเจ็บหนา้ อก -type II :rat ชา้ หอ้ งลา่ งไมเ่ สมอ P มากกว่า Q
สรปุ หนว่ ยท่ี 8 กำรพยำบำลผปู้ ่ วยที่มีภำวะ วิกฤตหลอดเลอื ดเอออรต์ ำ้ ล้นิ หวั ใจ และกำรฟ้ื นฟสู ภำพหวั ใจ
กำรพยำบำลผปู้ ่ วยท่ีมีภำวะวิกฤตหลอดเลอื ดเอออรต์ ำ้ ล้นิ หวั ใจ และกำรฟ้ื นฟสู ภำพหวั ใจ โรคล้นิ หวั ใจไมตรลั ตีบ (Mitral stenosis) การตบี แคบของล้ินหวั ใจไมตรลั ทาใหม้ ีการขดั ขวางการไหลของเลอื ดลงสหู่ วั ใจหอ้ งลา่ งซา้ ย ในขณะท่ีคลายตวั คลายลิน้ เปิ ดบีบลน้ิ ปิ ด มอี าการและอาการแสดง ดงั น้ี Pulmonary venous pressure เพิ่มทาให้ มีอาการหายใจลาบากเมื่อออกแรง (DOE) อาการหายใจลาบากเม่อื นอนราบ (Orthopnea) หายใจลาบากเป็ นพกั ๆ ในตอนกลางคืน (Paroxysmal NoctunalDyspnea:PND)CO ลดลง ทาให้ เหนอื่ ยงา่ ย ออ่ นเพลยี มภี าวะหวั ใจเตน้ ผดิ จงั หวะแบบ AF ผปู้ ่ วยจะมีอาการใจสนั่ เกิดการอดุ ตนั ของหลอดเลอื ดใน ร่างกาย (Systemic embolism) โรคล้นิ หวั ใจไมตรลั รว่ั (Mitral regurgitation or Mitral insufficiency) เป็ นโรคท่ีมกี ารรวั่ ของปริมาณเลอื ด (Stroke volume) ในหวั ใจหอ้ งลา่ งซา้ ยเขา้ สหู่ วั ใจหอ้ งบน ซา้ ยในขณะท่ีหวั ใจบีบตวั คลายลน้ิ เปิ ดบีบล้นิ ปิ ด โรคล้นิ หวั ใจหวั ใจเอออรต์ ิคตีบ (Aortic stenosis) มกี ารตบี แคบของลิ้นหวั ใจเอออรต์ คิ ขดั ขวางการไหลของเลือดจากหวั ใจหอ้ งลา่ งซา้ ยไปสเู่ อ ออรต์ ารใ์ นชว่ งการบีบตวั โรคล้นิ หวั ใจเอออรต์ ิครวั่ (Aortic regurgitation) มกี ารรวั่ ของปริมาณเลอื ดท่ีสบู ฉีดออกทางหลอดเลอื ดแดงเอออรต์ ารไ์ หลยอ้ นกลบั เขา้ สู่ หวั ใจหอ้ งลา่ งซา้ ยในชว่ งหัวใจคลายตวั กำรถ่ำยภำพรงั สที รวงอก พบภาวะหวั ใจโต หรือมนี า้ คงั่ ที่ปอด การตรวจหวั ใจดว้ ยเสียงสะทอ้ น (Echocardiogram) เป็ นวิธีที่ชว่ ยในการวินจิ ฉยั โรค ลิ้นหวั ใจไดอ้ ย่างมาก ประเมินว่าลิ้นหวั ใจรวั่ หรือตบี มากแคไ่ หน บอกสาเหตทุ ี่แทจ้ ริง ของโรคลิน้ หวั ใจ คานวณขนาดลิ้นหวั ใจ วัดความดนั ในหอ้ งหวั ใจและมกั ทากอ่ นการ รกั ษาดว้ ยวิธผี า่ ตดั กำรรกั ษำ 1.การรกั ษาดว้ ยยา ไดแ้ ก่ Digitalis Nitroglycerine Diuretic Anticoagculant drug Antibiotic 2.การใชบ้ อลลนู ขยายล้นิ หวั ใจท่ีตบี โดยการใชบ้ อลลนู ขยายลิ้นหวั ใจ 3. การรกั ษาโดยการผา่ ตดั (Surgical therapy) ทาในผปู้ ่ วยท่ีมลี น้ิ หวั ใจพิการระดบั ปานกลาง ถึงมาก (ตงั้ แต่ functional class II)
Search