Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore mentalhealth

mentalhealth

Published by WONGSIRI JAMFA, 2018-08-16 23:23:50

Description: mentalhealth

Keywords: mentalhealth

Search

Read the Text Version

ปัจจัยท่มี อี ทิ ธิพลต่อสุขภาพจติ

บคุ คลมีความแตกตา่ งกนั ทงั้ ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสงั คม ความ แตกตา่ งเหลา่ นีม้ ีอทิ ธิพลตอ่ พฒั นาการทางสขุ ภาพจิตของบคุ คลมาก ปัจจยั ต่างๆทางร่างกายหรือปัจจยั ทางชีวะได้แก่ ตอ่ มไร้ทอ่ บางตอ่ ม สารเคมีบางชนิดในร่างกาย ความผิดปกติของร่างกาย ความต้องการพืน้ ฐาน เพศและวยั ปัจจยั ทางจิตใจได้แก่ การอบรมเลยี ้ งดู ความสามารถในการปรับตวั สว่ นปัจจยั ทางสงั คมได้แก่ การศกึ ษา เศรษฐกิจและสงั คม การ เคล่อื นย้ายถ่ินท่ีอยู่ ภยั สงครามและธรรมชาติ ตลอดจนมลภาวะ สิ่งแวดล้อม รวมทงั้ ปัจจยั ทางความเชื่อและศรัทธา

1. ปัจจยั ทางชีวภาพ 1. สารสือ่ ประสาท (neurotransmitter) 1.1 โดพามีน (Dopamine) ทาหน้าที่เก่ียวข้องกบั การเคล่ือนไหวทไ่ี ม่ อยใู่ นอานาจของจติ ใจ การตดั สินใจ การใช้เหตผุ ล การรู้จกั ตนเอง โดยระดบั ของโดพามนี ที่มากเกินไปมคี วามสมั พนั ธ์กบั การเจบ็ ป่ วยเป็นโรคจิตเภทและ อาการคล้มุ คลง่ั สว่ นระดบั ของโดพามีนทนี่ ้อยเกินไปมคี วามสมั พนั ธ์กบั โรค ซมึ เศร้า 1.2 นอร์อพี ิเนฟรีน (Norepinephrine) ทาหน้าทเี่ ก่ียวข้องกบั การ ตอบสนองตอ่ สถานการณ์ทีก่ อ่ ให้เกิดความเครียด การแสดงออกทางอารมณ์ เมือ่ ถกู กระต้นุ หรือความสามารถในการจดจอ่ กบั เร่ืองใดเรื่องหนง่ึ การทางาน ของนอร์อีพเิ นฟรีนมีความสมั พนั ธ์กบั โรควิตกกงั วลและโรคอารมณ์แปรปรวน โดยระดบั ของนอร์อีพเิ นฟรีนทีม่ ากเกินไปจะทาให้เกิดอาการคล้มุ คลงั่ และ ระดบั ของนอร์อพี ิเนฟรินท่นี ้อยเกินไปจะทาให้เกิดอาการซมึ เศร้า

1. สารส่อื ประสาท (neurotransmitter) 1.3 ซโี รโตนิน (Serotonin) ทาหน้าที่เก่ียวข้องกบั วงจรของการหลบั ตน่ื การควบคมุ ความรู้สกึ อยากอาหาร และการรับรู้ความเจ็บปวด ระดบั ของซีโร โตนินมีความสมั พนั ธ์กบั อารมณ์แปรปรวน โรคยา้ คดิ ยา้ ทาและอาจมีความ เกี่ยวข้องกบั การเกิดโรคจิตเภท 1.4 อะเซททลิ โคลีน (Acetyl choline) ทาหน้าท่ีเก่ียวข้องกบั การ เคล่ือนไหวและความจาซง่ึ มีความเก่ียวข้องกบั ผ้ปู ่ วยอลั ไซเมอร์ 1.5 กาบา (Gamma Aminobutyric Acid, GABA) ทาหน้าที่เก่ียวข้องกบั การตอบสนองของระบบประสาทที่มากเกินไป โดยทา หน้าท่ีให้สมองอยใู่ นสมดลุ ระดบั ของกาบาจะลดลงในผ้ปู ่ วยลมชกั และโรค วติ กกงั วล

2. ความผิดปกติของโครงสร้างและการทางานของสมอง จากผลการวิจยั เกี่ยวกบั โครงสร้างของสมอง พบว่า ในผ้ปู ่ วยจิตเภทเวนทริเคิล จะมขี นาดใหญ่ขนึ ้ (enlarged lateral ventricle) พบการไหลเวียนของเลอื ดโดยเฉพาะบริเวณ Frontal lobe ของผ้ปู ่ วย จิตเภทมีระดบั ลดลง 3. พนั ธกุ รรม เชื่อวา่ การเจ็บป่ วยทางจิตน่าจะเป็นผลมาจากการทางานของ กลมุ่ ยีนส์ทบี่ กพร่องมากกวา่ ความผิดปกตขิ องยีนส์เพยี งตวั ใดตวั หนง่ึ รวมทงั้ อาจจะเป็นผลมาจากปัจจยั ด้านส่งิ แวดล้อม การรักษาตามแนวคิดทฤษฎที างชีววิทยาทางการแพทย์มรี ูปแบบ เช่นเดียวกบั การรักษาโรคฝ่ ายกาย เชน่ การรักษาด้วยยา การรักษาด้วยไฟฟ้ า การผ่าตดั สมองเพอื่ ลดอาการทางจิตตา่ งๆของผ้ทู ่ีมอี าการทางจติ รุนแรงและ เรือ้ รัง การใช้ฮอร์โมนบาบดั และโภชนบาบดั โดยเชื่อวา่ การรักษาเหลา่ นีจ้ ะทา ให้การทางานของสมองเปลยี่ นแปลง โดยไปทาให้ระดบั ของสารส่ือประสาท กลบั สสู่ ภาพปกตจิ ะช่วยควบคมุ โรคได้

2.ปัจจัยด้านเศรษฐกจิ เป็ นปัจจยั ท่ีสาคญั ที่จะมีผลผลกั ดนั ให้เกิดความออ่ นไหวตอ่ สขุ ภาพจิตได้ และเป็ นดชั นีชีว้ ดั ตวั หนง่ึ ถงึ ปัญหาสขุ ภาพจติ ของคนในสงั คม เพราะถ้าสภาพเศรษฐกิจดียอ่ มหมายถึงการมีชีวติ ความเป็นอยทู่ ่ีดี ได้แก่ การมีงานทา มีรายได้ มีกิน มีใช้ เมื่อความเป็ นอยดู่ ีคนก็ไมค่ ดิ มาก ปัญหา สขุ ภาพจติ ก็จะไมเ่ กิด แตใ่ นสภาพเศรษฐกิจทม่ี ีการแขง่ ขนั ในอาชีพ ทาให้เกิดความเครียดจาก การทางาน หรือการที่ต้องมีหนีส้ นิ ก็เป็ นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้าน จิตใจ หากครอบครัวใดมีความพอเพยี งทางเศรษฐกิจ สขุ ภาพจิตก็จะดี

3.ปัจจัยด้านครอบครัว การเลยี ้ งดขู องครอบครัวเป็นปัจจยั เบือ้ งต้นท่ีจะสง่ ผลตอ่ สขุ ภาพจิต เพราะ ครอบครัวเป็นตวั กาหนดจิตของบคุ คลตงั้ แตใ่ นวยั เดก็ ครอบครัวจะเป็นตวั อยา่ งและแบบอยา่ งที่ดีให้แกเ่ ดก็ หากพืน้ ฐานของครอบครัวดี มคี วามรัก ความอบอนุ่ สมาชิกในครอบครัวเข้าใจ ซงึ่ กนั และกนั ดแู ลและให้กาลงั ใจกนั ถ้าพอ่ แมม่ ีเวลาในการเลยี ้ งดู อบรมสงั่ สอนในส่งิ ที่ดีลกู กจ็ ะรับแตส่ ง่ิ ที่ดี ซง่ึ จะช่วยหลอ่ หลอมให้เดก็ เป็นคนดี การมีแบบอยา่ งของชีวิตครอบครัวท่ีไมด่ ี มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง มีการ แสดงออกในทางก้าวร้าว ครอบครัวกจ็ ะอยอู่ ยา่ งไมม่ ีความสขุ เกิดการ แตกแยกหรือมีปัญหาหยา่ ร้างขนึ ้ ซง่ึ จะบนั่ ทอนสขุ ภาพจิตของคนในครอบครัว โดยเฉพาะเดก็ จะซมึ ซบั ส่งิ ไมด่ ีตา่ งๆ ได้ง่าย และนาไปสกู่ ารมีพฤติกรรมไม่ดีได้ หากสถาบนั ครอบครัวออ่ นแอจะสง่ ผลให้สขุ ภาพจิตของคนในสงั คมออ่ นแอไป ด้วย

4. ปัจจยั ทางด้านกายภาพและสังคม สภาพแวดล้อมทงั้ ด้านกายภาพและสงั คม จะเข้ามามีบทบาทสาคญั ตอ่ สขุ ภาพจิตของคนเรา เชน่ สง่ิ แวดล้อมทางกายภาพที่ดี มีความสะอาด มี ระเบียบวินยั ไมแ่ ออดั กจ็ ะทาให้คนไมเ่ ครียด แตใ่ นสภาพอากาศที่ร้อนเกินไป หนาวเกินไป หรือมีเสียงดงั มากๆ ก็จะรบกวน จิตใจของคนทาให้เครียด และหงดุ หงิดได้ การมีสภาพแวดล้อมทางสงั คมที่ไมด่ ี มีเพื่อนบ้าน เพ่ือนร่วมงานไมด่ ี แก่งแยง่ แขง่ ขนั ชิงดีชิงเดน่ คนกจ็ ะมีสขุ ภาพจิตไมด่ ี สงั คมท่ี มคี วามแตกต่างระหวา่ งชนชนั้ คนในสงั คมก็จะตา่ งคนตา่ งอยู่ ไมม่ ี ความสามคั คีกนั ไมช่ ่วยเหลอื เกือ้ กลู กนั และอยโู่ ดยไมม่ ีการพฒั นาร่วมกนั ไม่ ร่วมกนั ทากิจกรรมที่กอ่ ให้เกิดความผกู พนั ทางด้านจิตใจ ชมุ ชนกจ็ ะเกิดการ แตกแยก และเกิดปัญหาทางด้านจิตใจ

5. ปัจจัยท่เี ก่ียวกบั ตัวบุคคล นบั เป็ นปัจจยั ที่สาคญั ตอ่ สขุ ภาพจิตมากที่สดุ เพราะบคุ คลต้องมีความเข้าใจตนเอง เข้าใจในหน้าที่ และบทบาทของ ตนเอง ต้องลดความเป็ นอตั ตาลง ในการทางานต้องรู้จกั เอาใจเขามาใสใ่ จเรา และมีความเป็ นมิตรไมตรีไม่วา่ จะเป็ นในที่ทางาน หรือในครอบครัว นอกจากนีว้ ยั วฒุ แิ ละคณุ วฒุ กิ ็มีสว่ นสาคญั เชน่ ในกลมุ่ วยั รุ่นท่ีอายยุ งั น้อย การเรียนรู้และประสบการณ์ในการดแู ล ตวั เองยงั มีน้อย ยงั ไม่สามารถปรับตวั ได้ทนั ตอ่ สภาพปัญหาหรือเหตกุ ารณ์ ตา่ งๆ ที่เกิดขนึ ้ ได้ อาจเกิดปัญหาด้านสขุ ภาพจิตได้ คนท่ีมีการศกึ ษาดีกวา่ ก็มีแนวโน้มท่ีจะมีความรู้มีความเข้าใจที่จะดแู ล ตนเอง และสามารถปรับตวั ได้ดกี วา่

การประเมนิ สภาพจติ (Mental StatusExamination)  พยาบาลควรมีแนวทางการประเมินสภาพจิตท่ีถกู ต้อง รวมถงึ ทกั ษะตา่ ง ๆ ที่สง่ ผลให้สามารถ ประเมนิ สภาพจติ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพมากขนึ ้ เชน่  1. ทกั ษะการฟัง (audition) คือ พยาบาลควรตงั้ ใจรับฟังในส่ิงท่ีผ้ปู ่ วยต้องการบอกทงั้ ความหมายทางตรงและทางอ้อม โดยการบอกความหมายทางอ้อมอาจพบได้ในผ้ปู ่ วยโรคซมึ เศร้าที่ ต้องการฆ่าตวั ตาย สว่ นใหญ่จะไม่พดู วา่ “ฉนั จะฆ่าตวั ตาย” แตม่ กั จะพดู โดยบอกเป็ นความหมาย ทางอ้อมวา่ “ชีวิตฉนั ไมม่ ีคา่ อะไร ถ้าไมม่ ีฉนั อยกู่ ็ไมเ่ ป็ นไรหรอก”  2. ทกั ษะการถาม (inquiry) คือ เมื่อพยาบาลรับฟังข้อมลู จากผ้ปู ่ วยหรือญาติแล้ว ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อมลู ด้งกลา่ วตรงตามความเป็ นจริงหรือไม่ พยาบาลควรถามเพ่อื ให้ได้ข้อมลู ท่ีถกู ต้อง ซง่ึ การตงั้ คาถามพยาบาลจาเป็ นต้องมีทกั ษะในการตงั้ คาถามเชน่ กนั  3. ทกั ษะการสงั เกต (observation) คือ พยาบาลควรมีการสงั เกตอยา่ งรอบคอบ และไว ตอ่ การเปล่ียนแปลงของผ้ปู ่ วย เพ่ือนามาประเมินสภาพจติ ร่วมกบั ข้อมลู ท่ีได้จากการฟังหรือการ ถาม  การประเมินสภาพจติ ไมจ่ าเป็นต้องทาเป็ นแบบแผนท่ีชดั เจนหรือประเมนิ ให้เสร็จภายในครัง้ เดียว อาจทาการรวบรวมข้อมลู พร้อมกบั การตรวจร่างกาย หรือสงั เกตขณะท่ีผ้ปู ่ วยเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ภายในหอผ้ปู ่ วย หรือรวบรวมข้อมลู จากแหลง่ ข้อมลู อ่ืน ๆ เพิม่ เติม

แหล่งข้อมูลท่สี าคัญในการประเมนิ สภาพจติ 1.ผ้ปู ่ วย เป็นแหลง่ ข้อมลู สาคญั อนั ดบั แรกในการประเมินสภาวะทางจิต ในกรณีท่ี ผ้ปู ่ วยไมส่ ามารถให้ข้อมลู ตา่ ง ๆ ได้ เช่น อาการสาคญั หรือประวตั ิการเจบ็ ป่ วยในอดีต พยาบาลอาจบนั ทกึ ข้อมลู ในลกั ษณะพฤติกรรมของผ้ปู ่ วยได้ เชน่ ผ้ปู ่ วยมีภาวะสบั สนมาก ไมส่ ามารถพดู ได้ หรือไมร่ ู้สกึ ตวั 2.ญาติหรือผ้ดู แู ล เป็นผ้ทู สี่ ามารถให้ข้อมลู ในขณะทผ่ี ้ปู ่ วยอย่ทู ีบ่ ้านได้ดีทีส่ ดุ อย่างไรก็ตามพยาบาลควรตระหนกั ถงึ สมั พนั ธภาพของญาติหรือผ้ดู แู ลทมี่ ีต่อผ้ปู ่ วย หาก ญาติหรือผ้ดู แู ลมสี มั พนั ธภาพทไ่ี มด่ ตี อ่ ผ้ปู ่ วยอาจให้ข้อมลู ทีไ่ มเ่ ป็นจริงได้ ดงั นนั้ เพอื่ ให้ได้ ข้อมลู ทม่ี ีความถกู ต้องพยาบาลควรตรวจสอบข้อมลู กบั แหลง่ ข้อมลู อน่ื ๆ ร่วมด้วย 3.ประวตั กิ ารรักษา เป็นแหลง่ ข้อมลู ทสี่ ามารถบอกได้ถงึ อาการ และการรักษาตา่ ง ๆ ที่ผ้ปู ่ วยเคยได้รับ ซง่ึ สามารถนามาเป็นข้อมลู พนื ้ ฐานในการให้การดแู ลผ้ปู ่ วยได้ 4. ทมี ผ้ดู แู ล เช่น แพทย์ นกั อาชีวบาบดั นกั จิตวิทยา การตรวจสอบข้อมลู ร่วมกนั ใน ทีมผ้ดู แู ลจะสง่ ผลให้ได้ข้อมลู ของผ้ปู ่ วยในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ กนั รวมทงั้ ยงั เป็นการตรวจสอบ ความถกู ต้องของข้อมลู ทีป่ ระเมนิ ได้อกี ครัง้ 5. เจ้าหน้าที่ตารวจ ท่นี าผ้ปู ่ วยมาส่งท่โี รงพยาบาลในครัง้ แรก ซง่ึ จะสามารถให้ ข้อมลู ถงึ พฤติกรรมของผ้ปู ่ วยทน่ี ามาโรงพยาบาลได้

วิธีการรวบรวมข้อมูล 1.การสมั ภาษณ์ (Interview) พยาบาลใช้เทคนิคการสนทนา และการตงั้ คาถาม เพ่ือกระต้นุ ให้ ผ้ปู ่ วย ญาติ หรือบคุ คลท่ีเก่ียวข้องเปิ ดเผยเร่ืองราวท่ีเก่ียวกบั ผ้ปู ่ วย ซงึ่ หากพยาบาลมีทกั ษะในการตงั้ คาถามท่ีดีจะทาให้ได้รับข้อมลู ที่มีความถกู ต้อง นาไปสกู่ ารวางแผนการพยาบาลที่เหมาะสม ซงึ่ มี วิธีการดงั นี ้ การตัง้ คาถามในการประเมนิ พยาบาลอาจใช้คาถามปลายเปิด (Open-ended questions) เป็ นการเร่ิมต้นการ ประเมนิ ได้ เชน่ “มีอะไรใหช้ ่วยไหมคะ” หรือ “มีอะไรจะเล่าใหฟ้ ังไหมคะ” ซง่ึ จะชว่ ยลดความรู้สกึ กงั วลของผ้ปู ่ วยลงได้ แตถ่ ้าผ้ปู ่ วยไมส่ ามารถตอบคาถามปลายเปิ ดได้ พยาบาลอาจใช้คาถามท่ี ชดั เจนงา่ ย และเจาะจงพฤตกิ รรมหรืออาการใดอาการหนงึ่ ไมค่ วรใช้คาถามที่ถามในหลาย พฤติกรรมหรืออาการ เพราะอาจทาให้ผ้ปู ่ วยรู้สกึ สบั สนได้ เชน่ “คณุ มีปัญหาเกี่ยวกบั การรบั ประทาน อาหาร การนอน หรือยามีผลต่อการรบั ประทานอาหารหรือการนอนของคณุ อย่างไร” ตวั อยา่ งคาถามปลายปิ ด (closed-ended questions) “คณุ นอนหลบั ไดด้ ีไหม” “คณุ นอนหลบั วนั ละกีช่ วั่ โมง” “คณุ ดืม่ เหลา้ วนั ละเทา่ ไหร่” “คณุ ทานข้าววนั ละกีม่ ือ้

วธิ ีการรวบรวมข้อมูล พยาบาลไม่ควรใช้นา้ เสียงหรือทา่ ทางทต่ี ดั สนิ ผ้ปู ่ วย โดยเฉพาะเมอ่ื ถามคาถาม ทอี่ าจสง่ ผลต่อความรู้สกึ ของผ้ปู ่ วย เชน่ เรื่องการใช้สารเสพตดิ พฤติกรรมทางเพศ หรือพฤตกิ รรมก้าวร้าว เป็นต้น โดยเฉพาะในบางประเดน็ ซงึ่ อาจกระทบตอ่ ความรู้สกึ ของผ้ปู ่ วย พยาบาลควรพจิ ารณาความเหมาะสมของทงั้ สถานทใ่ี นการสมั ภาษณ์และ ความพร้อมของผ้ปู ่ วยร่วมด้วย รวมทงั้ การใช้คาถาม ควรถามในลกั ษณะเพ่ือ ประเมนิ ข้อมลู เช่น ต้องการประเมินพฤติกรรมการใช้สารเสพตดิ พยาบาลควรถามวา่ “ส่วนใหญ่คณุ ใชย้ าเสพติดชนิดไหน” มากกวา่ “ทาไมคุณ ถงึ ต้องใช้ยาเสพตดิ ” เน่ืองจากถามในคาถามแรกเป็นการถามเพ่อื ต้องการ ข้อมลู เกี่ยวกบั ชนิดของยาเสพตดิ ท่ผี ้ปู ่ วยใช้ สว่ นในคาถามท่สี องเป็นการถาม เชิงตาหนิมากกวา่ ซงึ่ อาจสง่ ผลให้ผ้ปู ่ วยให้ข้อมลู ทไ่ี ม่ตรงตามความเป็นจริง

2. การสงั เกต (Observation) เป็ นกระบวนการประเมินโดยพิจารณาถงึ ลกั ษณะเดน่ หรือการไมเ่ ข้ากนั ของลกั ษณะตา่ ง ๆ ของ ผ้ปู ่ วย รวมทงั้ อารมณ์และความรู้สกึ ของผ้ปู ่ วยที่แสดงออกทางกิริยาทา่ ทางด้วย เชน่ -สงั เกตสีหน้า ทา่ ทาง อาการแสดง การแตง่ กาย แววตา และการเคล่ือนไหว เป็ นต้น -ฟังลกั ษณะของนา้ เสียงและเนือ้ หาคาพดู เชน่ เสียงเบา-ดงั หรือสนั่ เครือ พดู วกวน หรือยา้ คา เป็ น ต้น -กล่นิ ท่ีผิดปกติ เชน่ กลน่ิ ตวั กลิ่นเหล้า หรือบหุ รี่ เป็ นต้น -การรับรู้รสชาติอาหารเพ่ือเปรียบเทียบการรับรู้ของผ้ปู ่ วยวา่ ถกู ต้องหรือไม่ -การรับรู้ทางการสมั ผสั เชน่ ผิวหนงั ร้อน อนุ่ เยน็ นมุ่ หรืออบั ชืน้ เป็ นต้น การสงั เกตอาจทาพร้อมกบั การสมั ภาษณ์ หรือสงั เกตในขณะท่ีผ้ปู ่ วยประกอบกจิ กรรมตา่ ง ๆ ได้ เชน่ รับประทานอาหาร เข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ ตา่ ง ๆ พดู คยุ กบั ญาติหรือผ้ปู ่ วยอื่น ในการตีความหรือวเิ คราะห์ จากสง่ิ ที่สงั เกตได้ควรมีการวิเคราะห์ร่วมกบั บคุ ลากรในทีมสขุ ภาพอ่ืน ๆ เพ่ือให้ข้อมลู ท่ีได้มีความถกู ต้อง มากขนึ ้ รวมทงั้ พยาบาลควรคานงึ ถงึ ปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่ีอาจสง่ ผลตอ่ การประเมินสภาพทางจติ ซง่ึ ได้แก่ ความ พร้อมของผ้ปู ่ วยและพยาบาล

1. ตวั ผ้ปู ่ วย การมีสว่ นร่วม (client participation/feedback ภาวะสขุ ภาพ (client’s health status) ประสบการณ์เดมิ (client’s previous experiences) ความสามารถในการทาความเข้าใจของผ้ปู ่ วย (client’s ability to understand)

2.พยาบาล วิธีการประเมนิ และทศั นคติของพยาบาล (nurse’s attitude and approach) วิธีการประเมนิ โดยเฉพาะการสมั ภาษณ์หากพยาบาลมีการใช้คาถามท่ีสนั้ ห้วน หรือเร่งรีบ ผ้ปู ่ วยอาจจะรู้สกึ วา่ พยาบาลไมส่ นใจ จงึ ให้ข้อมลู เพียงเบือ้ งต้นหรือ ปิ ดบงั ข้อมลู บางสว่ น ซงึ่ อาจเป็นปัญหาได้ และหากผ้ปู ่ วยรับรู้ได้วา่ พยาบาลมี อคติต่อบางเรื่อง ผ้ปู ่ วยจะละเว้นการให้ข้อมลู ในเรื่องดงั กลา่ ว บคุ ลกิ ภาพ กิริยาทา่ ทางและบคุ ลกิ ภาพของพยาบาลมีความสาคญั อย่างมาก ในการสื่อสารโดยพยาบาลควรมีทา่ ที เปิ ดเผย จริงใจ สนใจและตงั้ ใจรับฟังผ้ปู ่ วย ไมแ่ สดงทา่ ทีตกใจในสง่ิ ที่ผ้ปู ่ วยเลา่ หรือแสดงความไมส่ นใจ เชน่ เบื่อหน่าย หรือ เหม่อลอย พยาบาลควรมีการรับรู้และเข้าใจถงึ ความรู้สกึ ต่อสง่ิ ตา่ ง ๆ ในมมุ มอง ของผ้ปู ่ วย ซง่ึ การรับรู้และเข้าใจความรู้สกึ เป็นปัจจยั สาคญั ท่ที าให้เกิดความ ไว้วางใจ

3.สภาพแวดล้อม สถานท่ีในการประเมินสภาพจติ อาจเป็ นได้ทงั้ ในหอผ้ปู ่ วย ห้องฉกุ เฉิน ชมุ ชน หรือโรงเรียน ขนึ ้ อยกู่ บั สถานการณ์ในขณะที่ทาการประเมนิ เช่น หากผ้ปู ่ วยมีอาการเอะอะ อาละวาด สถานที่ในการประเมินครัง้ แรกอาจ เป็ นห้องฉกุ เฉิน ซง่ึ การประเมินสภาพจติ ไมจ่ าเป็ นต้องประเมินให้แล้วเสร็จ ภายในครัง้ เดียว สามารถใช้เวลาในการประเมินหลายครัง้ เพื่อให้ได้ข้อมลู ท่ี ควรถ้วนได้ รวมทงั้ สภาพแวดล้อมขณะประเมนิ ควรมีลกั ษณะท่ีสบาย เป็ นสว่ นตวั และมี ความปลอดภยั ทงั้ พยาบาลและผ้ปู ่ วย ไมค่ วรเสยี งดงั รบกวนหรือเป็ นทางผ่าน เข้าออกท่ีจะเบี่ยงเบนความสนใจของผ้ปู ่ วยในขณะประเมินซง่ึ จะทาให้การ ประเมินดาเนินไปอยา่ งไม่ราบร่ืน

เคร่ืองมอื และการใช้เคร่ืองมอื คดั กรองปัญหาสุขภาพจติ เครื่องมือคดั กรองปัญหาสขุ ภาพจิตอาจเป็ นแบบทดสอบ แบบสอบถาม หรือชดุ เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินเพื่อคดั กรองสขุ ภาพจิตทวั่ ไปและเฉพาะเร่ือง การใช้เคร่ืองมือต้องรู้และเข้าใจวตั ถปุ ระสงค์ เนือ้ หา วิธีการใช้ขนั้ ตอนการใช้ เครื่องมือนนั้ ๆ การประมวลผล การรายงานผลการตรวจแก่ผ้เู ก่ียวข้อง โดยเฉพาะผ้ปู ่ วยและครอบครัว เพ่ือเลอื กใช้ให้ถกู ต้อง มฉิ ะนนั้ การแปลผลคลาดเคลื่อน มีผลตอ่ การให้ความชว่ ยเหลอื ได้ รวมทงั้ อาจ ทาให้ผ้ใู ช้บริการและผ้เู ก่ียวข้องสงสยั วติ กกงั วลตอ่ ปัญหาสขุ ภาพของตนเองได้ รู้สกึ ถกู ตตี รา จงึ ไม่ควรใช้เคร่ืองมือเพียงอยา่ งเดียว เพ่ือสรุปวา่ มีปัญหา สขุ ภาพจิต พยาบาลต้องมีทกั ษะการสร้างความไว้วางใจ การสมั ภาษณ์ การ สงั เกตท่ีดี ที่สาคญั ต้องมีจริยธรรมในการใช้เครื่องมือด้วย

เคร่ืองมือท่ีพยาบาลจติ เวชควรรู้จกั และนาไปใช้ ท่ีสาคญั ได้แก่ 1. General Health Questionnaire เป็นเคร่ืองมือในการคดั กรองปัญหา สขุ ภาพจิตในชมุ ชน มีทงั้ ฉบบั เตม็ คอื ฉบบั เต็มคือ Thai GHQ-28 วตั ถปุ ระสงค์ของ แบบสอบถามนีส้ ร้างเพื่อคดั กรองปัญหาสขุ ภาพจิตของประชากรในชมุ ชน ท่ีสามารถคดั กรองปัญหา สาคญั 2 ประการ คอื 1) การไม่สามารถดาเนินชีวติ ในด้านตา่ ง ๆ ได้อย่างปกติสขุ ตามที่ควรจะเป็น 2) การมีปัญหาท่ีทาให้เกิดความทกุ ข์ใจ โดยเน้นถึงปัญหาท่ีผิดไปจากสภาวะ ปกตขิ องบคุ คลต่าง ๆ แบบสอบถามนีจ้ ะให้ประชาชนสามารถตอบด้วยตนเอง ข้อคาถามจะครอบคลมุ ปัญหาใหญ่ๆ 4 ด้าน คอื 1.ความรู้สกึ ไมเ่ ป็นสขุ (Unhappiness) 2.ความวติ กกงั วล (Anxiety) 3. ความบกพร่องเชิงสงั คม (Social impairment) 4.ความคิดวา่ ตนมีโรคภยั ไข้เจบ็ อย่หู รือไมอ่ ย่างไร (Hypocondriasis)

2. แบบวัดความเครียด เชน่ แบบประเมนิ ความเครียดของโรงพยาบาลสวนปรุง จานวน 20 ข้อ จากเหตกุ ารณ์ที่เกิดขนึ ้ ในชว่ ง 6 เดือนก่อนทาแบบทดสอบ เพื่อบอกให้ผ้ทู ดสอบรู้วา่ มีเครียดในระดบั ใด ตงั้ แต่ ต่า ปานกลาง สงู และขนั้ รุนแรง แตม่ ไิ ด้ระบสุ าเหตขุ องความเครียด แบบประเมนิ ความเครียดของกรมสขุ ภาพจติ จานวน 20 ข้อ เป็ นการ ประเมนิ ความเครียดในระยะเวลา 2 เดือนท่ีผ่านมา โดยให้ประเมนิ พฤตกิ รรมหรือความรู้สกึ

5. แบบคดั กรองภาวะซมึ เศร้าในวยั รุ่น CES-D (Center forEpidemiologic Studies-Depression Scale) เป็ นเคร่ืองมือวดั อาการซมึ เศร้าประเภท self-report เป็ นเครื่องมือที่ใช้ในการคดั กรองภาวะซมึ เศร้า เพ่ือแยกวยั รุ่น (อายุ ระหวา่ ง 15-18 ปี ) ที่ซมึ เศร้า ออกจากวยั รุ่นที่ไม่ซมึ เศร้า เคร่ืองมือนีป้ ระกอบด้วยข้อความ 20 ข้อ ซง่ึ เก่ียวกบั อาการซมึ เศร้าในระยะเวลา 1 สปั ดาห์ท่ีผา่ นมา ตวั เลือก เกี่ยวกบั ความรุนแรง ใช้ได้ในวยั รุ่นอายุ 15-18 ปี ตวั เลอื กเก่ียวกบั ความรุนแรง หรือความถี่ของอาการซมึ เศร้ามี 4 ระดบั

6. แบบคัดกรองโรคซมึ เศร้า 2 คาถาม (2Q) และแบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คาถาม (9Q) ซง่ึ กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ ได้พฒั นาขนึ ้ มาใหม่ เพื่อใช้ในการดาเนินงานดแู ลเฝ้ าระวงั โรคซมึ เศร้า ระดบั จงั หวดั ซง่ึ เป็ นแบบสมั ภาษณ์ ในชว่ งระยะเวลา 2 สปั ดาห์ท่ีผ่านมา

การส่งเสริมสุขภาพจติ การสง่ เสริมสขุ ภาพจิต คือการนาเอาความรู้ทางสขุ ภาพจิตไป ผสมผสานกบั เร่ืองเศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อกระต้นุ ให้เกิดการ เปลย่ี นแปลงทางพฤตกิ รรม และสง่ิ แวดล้อม เพื่อทีจ่ ะเอือ้ ให้ สขุ ภาพจิตดขี นึ ้ การสง่ เสริมสขุ ภาพจิต ดาเนินการใน 3 ระดบั ในแตล่ ะระดบั ประกอบด้วย กลมุ่ ประชาชนทว่ั ไป ผ้มู ีกลมุ่ เสย่ี ง และกลมุ่ ผ้มู ีปัญหา สขุ ภาพจิต

หลกั ของงานส่งเสริมสุขภาพจติ ควรประกอบด้วย 1. มีนโยบายการพฒั นา (policy development) คือ กาหนดนโยบาย ในการพฒั นาเรื่องตา่ ง ๆ เพ่ือสง่ เสริมให้ประชาชนมสี ขุ ภาพจิตท่ีดีขนึ ้ เพ่ือสง่ เสริมให้ ประชาชนมีสขุ ภาพจิตที่ดีขนึ ้ เช่น การพฒั นาคนและสงั คมท่ีมีคณุ ภาพ การรักษา ความมน่ั คงของรัฐ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การสง่ เสริมสขุ ภาพมารดา โครงการถงุ รับขวญั 2. มีการประเมินสถานภาพสขุ ภาพจิตชมุ ชน (mental health assessment) คือ มีการเก็บรวบรวมข้อมลู สขุ ภาพของชมุ ชน แล้วนามา วิเคราะห์ เพื่อเป็นข้อมลู พืน้ ฐานด้านสขุ ภาพจิตของชมุ ชน ตามสภาพการณ์ของ ความต้องการ 3. มีความแนน่ อนในการดาเนินงานสขุ ภาพจิต (mental health assurance) คือให้ความรับผดิ ชอบท่ีจะทาให้ประชาชนมสี ขุ ภาพที่ดี โดยการ กระต้นุ การดาเนินงานชมุ ชน ทงั้ ภาครัฐและเอกชนให้ทาอยา่ งจริงจงั ร่วมกบั การออก ระเบียบท่ีเหมาะสม

การสง่ เสริมสขุ ภาพจิต เป็ นการป้ องกนั ไม่ให้เกิดปัญหาสขุ ภาพจิต ต้องเริ่มตงั้ แตท่ ารกอยใู่ นครรภ์มารดา หรือเร่ิมตงั้ แตส่ ถาบนั ครอบครัว ซงึ่ เป็ นสถาบนั แห่งแรกที่มีอทิ ธิพลสาคญั ตอ่ พฤตกิ รรมของบคุ คล บคุ ลิกภาพและการปรับตวั ถ้าสภาวะภายในครอบครัวและสมั พนั ธภาพระหวา่ งสมาชกิ ใน ครอบครัวเป็ นไปด้วยดี พอ่ แมใ่ ห้ความรักความเข้าใจ เอาใจใสด่ แู ลลกู มีความรู้ความเข้าใจในการอบรมเลยี ้ งดลู กู อยา่ งเหมาะสม ครอบครัวนนั้ ยอ่ มจะสร้างเดก็ ท่ีมีชีวิตปกตสิ ขุ

การสง่ เสริมสขุ ภาพจิตท่สี าคญั โดยการเริ่มท่ตี นเองมวี ธิ ีการดงั นี ้ 1. ฝึ กควบคุมอารมณ์ 2. สะสมไมตรี มองผ้อู ื่นในแงด่ ี จะทาให้สร้างมิตรได้ง่าย ควรจาไว้วา่ คน ยอ่ มมีทงั้ ด้านดี และด้านไม่ดี ไม่มีใครสมบรู ณ์ไปทกุ อยา่ ง 3. ไม่หนีอุปสรรค การดาเนินชีวิตยอ่ มมีอปุ สรรคบ้างเป็ นธรรมดา 4. รู้จกั ฝึ กใจ ต้องหมนั่ ฝึกจติ ใจให้มีความมนั่ คงและยตุ ธิ รรม ด้วยการ ยอมรับฟังความคดิ เห็นของผ้อู ่ืน พยายามเข้าใจความรู้สกึ ของผ้อู ่ืน ไม่ถือ ความคดิ ของตนเองวา่ ถกู ต้องเสมอไป และยอมให้อภยั ในความผิดพลาด ของผ้อู ื่น

การสง่ เสริมสขุ ภาพจิตที่สาคญั โดยการเร่ิมที่ตนเอง มวี ิธีการดงั นี ้ 5. ใฝ่ เสริมคุณค่า การสร้างคณุ คา่ ให้ตนเอง คอื ทาตนให้เป็ น ประโยชน์ โดยหาโอกาสชว่ ยเหลือผ้อู ื่นหรือสว่ นรวม และทาบญุ ทา ทานด้วยความจริงใจ ไม่หวงั ผลตอบแทน 6. หาความสงบสุข ชีวติ จะมีความสขุ ได้ถ้ารู้จกั ลดความตงึ เครียด โดยสร้างอารมณ์ขนั ให้เกิดขนึ ้ หาโอกาสพกั ผอ่ นหยอ่ นใจให้ เพลดิ เพลนิ ไปกบั กิจกรรม เชน่ การเลน่ ดนตรี การละเลน่ 7. การท่องเท่ยี ว ออกกาลงั กาย และเลน่ กีฬาตา่ ง ๆ หรือหาความสงบด้วยการฝึกจติ ใจให้วา่ ง ฝึกทาสมาธิ เป็ นต้น

การป้ องกนั ปัญหาสุขภาพจติ1. การป้ องกนั ปัญหาสุขภาพจติ ในระยะแรก (Primary prevention) การป้ องกนั ปัญหาสขุ ภาพจิตในระยะแรก หมายถงึ การป้ องกนั โรคหรือ อนั ตรายที่จะเกิดขนึ ้ กบั สมอง เชน่ โรคตดิ เชือ้ ทเี่ กี่ยวกบั สมอง อบุ ตั เิ หตทุ าง สมอง และโรคไร้เชือ้ ที่เกิดกบั สมอง รวมทงั้ การป้ องกนั ไม่ให้เกิด ภาวะปัญญาออ่ น ซงึ่ ในแตล่ ะชว่ งอายุ จะมีการป้ องกนั พิเศษ ดงั นี ้

วยั ทารกและวัยเดก็ การให้การดแู ลสขุ ภาพแก่หญิงมีครรภ์ เพ่ือไม่ให้เกิดผลกระทบตอ่ เซลล์ สมองของทารกตงั้ แตอ่ ยใู่ นครรภ์ ป้ องกนั ความพิการตอ่ เดก็ ท่ีจะเกิดมา เช่น ทารกนา้ หนกั น้อยคลอดก่อนกาหนด เป็ นต้น และป้ องกนั ไม่ให้หญิงตงั้ ครรภ์ กระทบกระเทือนตอ่ จิตใจ เชน่ การถกู สามีทอดทงิ ้ หรือสามีไมย่ อมรับการตงั้ ครรภ์ เพราะจะทาให้หญิงตงั้ ครรภ์ไมส่ นใจดแู ลสขุ ภาพตนเอง หรือพยายาม หาทางทาแท้ง เชน่ กินยาขบั เลือด ซงึ่ ถ้าการทาแท้งไม่สาเร็จก็จะมีผลตอ่ เดก็ ท่ีจะเกิดตามมา ทาให้เกิดภาวะปัญญาอ่อนหรือเป็ นโรคที่เก่ียวกบั สมอง ได้แก่ โรคลมชกั โรคออทิซมึ (Autism)

วัยเรียน การให้พอ่ แม่ตระหนกั ถงึ การเลยี ้ งดเู ดก็ ให้เหมาะสมตามวยั โดยให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้ ได้ฝึกหดั ระเบียบวินยั พอ่ แม่ควรเข้าใจการให้อาหารเดก็ ที่มีคณุ ภาพและการป้ องกนั อบุ ตั เิ หตทุ างสมองที่อาจเกิดแก่เดก็

วัยผู้ใหญ่ การรู้จกั แก้ไขปัญหาและอปุ สรรคท่ีพบในการดารงชีวิต ได้แก่ ปัญหาในอาชีพการงาน ความขดั แย้งท่ีเกิดขนึ ้ ในชีวติ สมรสและ ครอบครัว การรู้จกั ปรับตวั อยา่ งเหมาะสม เม่ือมีความเครียดเกิดขนึ ้ หรือมีเหตกุ ารณ์รุนแรงท่ีต้องเผชิญในการดาเนินชีวติ วัยสูงอายุ การรู้จกั เตรียมตวั ใจก่อนการเกษียณอายุ รู้จกั การดารงชีวติ อยา่ ง เหมาะสมกบั วยั ท่ีไม่ต้องพงึ่ พาผ้อู ่ืนจนเกินไป รู้จกั ระวงั รักษาสขุ ภาพ ตอ่ สงั ขารท่ีเร่ิมเสอื่ ม เพื่อป้ องกนั ไม่ให้ป่ วยเป็ นโรคตา่ ง ๆ ท่ีพบบอ่ ย ในวยั สงู อายุ เช่น โรคหวั ใจ โรคความดนั โลหติ สงู เส้นเลอื ดตีบแข็ง และโรคข้อกระดกู ตา่ ง ๆ

2.การป้ องกนั ปัญหาสุขภาพจติ ในระยะท่สี อง(Secondary Prevention) หมายถึง สามารถตรวจสอบโรคได้ในระยะเร่ิมแรก การวนิ ิจฉยั โรคได้โดยไม่ลา่ ช้าเพื่อไมใ่ ห้โรคหรือการเจ็บป่ วยนนั้ ลกุ ลาม เป็ นมาก จนแก้ไขหรือรักษาได้ยาก ในทางสาธารณสขุ สามารถทราบหรือประเมินโดยดอู ตั ราความชกุ ของโรค (Prevalence rate) ซงึ่ พบวา่ ลดลงถ้าการป้ องกนั ระยะที่สองได้ผล โดยถือหลกั การดาเนินงาน ที่วา่ การรักษาแตเ่ ริ่มแรกคอื การป้ องกนั ที่ดี โดยมีการป้ องกนั ปัญหาสขุ ภาพจิตในระยะที่สอง ดงั นี ้

2.การป้ องกนั ปัญหาสุขภาพจติ ในระยะท่ีสอง (Secondary Prevention) วัยทารกและวัยเดก็ เล็ก ความตระหนกั และความเข้าใจในปัญหาทางอารมณ์และจิตใจของเด็ก เช่น อาการลงมือลงเท้า (Temper tantrum) ความกลวั ไม่ยอมไปโรงเรียน (School phobia) ปัญหาการพดู ช้าในเดก็ เป็ นต้น ซง่ึ ถ้าเข้าใจวา่ เป็ นเร่ืองท่ีสามารถแก้ไขได้แล้ว รีบให้ความช่วยเหลือแก้ไข ก็จะป้ องกนั การลกุ ลามไม่ให้เป็ นรุนแรง หรือเรือ้ รังได้

2.การป้ องกันปัญหาสุขภาพจิตในระยะท่ีสอง (Secondary Prevention) วัยเรียน สามารถตรวจและให้การรักษาแตเ่ ริ่มแรกการเจบ็ ป่ วยหรือปัญหาตา่ ง ๆ ทงั้ ทาง ร่างกายและทางจติ ใจของเดก็ เช่น พอ่ แม่ หรือครูตระหนกั ต่อปัญหาการเรียนใน เดก็ ควรสบื หาสาเหตวุ า่ ปัญหาผลการเรียนตกต่า มีสาเหตจุ ากอะไร เช่น จากความบกพร่องทางปัญญาหรือความพิการของระบบ ประสาท จนทาให้เดก็ เรียนไมไ่ ด้ หรือไมใ่ ชป่ ัญหาทางร่างกาย แตเ่ ป็นปัญหาทางอารมณ์และจติ ใจทีเ่ กิดจากครอบครัว เดก็ มีปัญหาจนมี ผลกระทบทาให้เด็กไมส่ นใจเรียน เพื่อจะได้ชว่ ยเหลอื แก้ไขให้ถกู ต้อง ปัญหาก็จะ ไมล่ กุ ลามต่อไปจนก่อให้เกิดปัญหาพฤตกิ รรมอื่น ๆ

2.การป้ องกนั ปัญหาสุขภาพจิตในระยะท่ีสอง (Secondary Prevention) วัยร่นุ สามารถตรวจให้ความชว่ ยเหลอื วยั รุ่นที่มีปัญหาในการปรับตวั ด้านตา่ ง ๆ เช่น ความไมส่ บายใจในเร่ืองเพศ ความซมึ เศร้าในวยั รุ่น เม่ือพบปัญหาแล้วควรรีบให้ความช่วยเหลอื รักษาแตเ่ ริ่มแรก ไมค่ วรมองข้ามหรือเพิกเฉย เชน่ การซมึ เศร้าในวยั รุ่น ในระยะท่ีเร่ิมเป็ น ถ้า ตรวจพบแล้วรีบรักษาแก้ไขก็จะช่วยไมใ่ ห้เป็ นมากขนึ ้ หรือเป็ นจนเรือ้ รังได้ เพราะในรายที่เป็ นเรือ้ รังแล้ว โอกาสการรักษาให้หายขาดจะทาได้ยากขนึ ้ จงึ ควรมีบริการสาหรับวยั รุ่นเพือ่ ให้วยั รุ่นสามารถพงึ่ ได้ทนั ทีเม่ือต้องการ เช่น บริการแนะแนวของโรงเรียน ศนู ย์สขุ ภาพจิตชมุ ชน บริการทางโทรศพั ท์

2.การป้ องกันปัญหาสุขภาพจติ ในระยะท่ีสอง (Secondary Prevention) วยั ผู้ใหญ่ การให้บริการปรึกษาปัญหาตา่ ง ๆ ในการดารงชีวิต เพื่อช่วยแก้ปัญหาภาวะวกิ ฤตในวยั ผ้ใู หญ่ เช่น ภาวะวกิ ฤตที่เกิด จากสมั พนั ธภาพระหวา่ งสามีภรรยา หรือในครอบครัว ภาวะวิกฤตที่ เกิดจากปัญหาการทางาน ภาวะวกิ ฤตท่ีเกิดจากปัญหาท่ีอยอู่ าศยั และเศรษฐกิจ เป็ นต้น

3.การป้ องกันปัญหาสุขภาพจติ ในระยะท่สี าม (TertiaryPrevention) หมายถงึ การดแู ลรักษาผ้ปู ่ วยโรคทางจิตเวชหรือมีปัญหาสขุ ภาพจิตให้หาย หรือทเุ ลาขนึ ้ จนสามารถกลบั ไปดาเนินชีวติ ในชมุ ชนได้ โดยการให้บริการฟื น้ ฟสู มรรถภาพทงั้ ทางร่างกายและจติ ใจ และสามารถ ตดิ ตามดแู ลผ้ปู ่ วยที่รักษาดีขนึ ้ แล้ว หรือจาหน่ายจากโรงพยาบาล ให้คงดาเนินชีวิตอยใู่ นชมุ ชนได้โดยไมต่ ้องกลบั ป่ วยกาเริบมาอีกหรือกลบั เป็ นซา้ อีก ด้วยวิธีการเฝ้ าระวงั ดแู ลติดตามผ้ปู ่ วยที่จาหน่ายไปแล้วเหลา่ นนั้ อยา่ ง สม่าเสมอ การประเมนิ เพื่อทราบวา่ การป้ องกนั ระยะที่สามได้ผลนนั้ ดไู ด้จากอตั ราความชกุ ของโรค ซง่ึ จะลดลงหรือหมดไปจากชมุ ชน

การดาเนินงานของกรมสุขภาพจติ การดาเนินงานของกรมสขุ ภาพจิต กรมสขุ ภาพจิตได้ดาเนินงานด้าน สขุ ภาพจติ 1.นโยบายประกนั สขุ ภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทกุ โรค โดยให้ดาเนินงานท่ี มงุ่ ให้ประชาชนเข้าถึงสถานบริการใกล้บ้าน ใกล้ใจ ในหนว่ ยบริการปฐมภมู ิ (Primary Care Unit: PCU) 2.การสร้างสขุ ภาพ โดยให้เน้นการดาเนินแผนงานสง่ เสริมสขุ ภาพใจ ที่สง่ ผลประโยชน์ถึงประชาชนโดยตรง โดยให้ประชาชนเป็ นคนดาเนินกิจกรรมสร้าง สขุ ภาพโดยประชาชนเอง (อสม., แกนนาครอบครัว ฯลฯ) 3.การควบคมุ และป้ องกนั ปัญหายาเสพตดิ 4. การควบคมุ และป้ องกนั โรค

บทบาทของบ้าน โรงเรียน และชุมชน ในการส่งเสริมสุขภาพจติ และการป้ องกันปัญหาสุขภาพจติ บทบาทของบ้านหรือครอบครัว การทาหน้าที่ ตามบทบาทท่ีอยใู่ นครอบครัวให้ครบถ้วน การเข้าใจธรรมชาติ และพฒั นาการทางจติ ใจมนษุ ย์ในแตล่ ะวยั การชว่ ยสง่ เสริม สนบั สนนุ และเลยี ้ งดบู ตุ รหลานให้เป็ นผ้มู ีวฒุ ิภาวะทาง อารมณ์รับผิดชอบ มีพฒั นาการทางร่างกาย จิตใจ ตามวยั อยา่ งเตม็ ท่ี การลดภาวะเสี่ยงที่เป็ น ตวั กระต้นุ ให้เกิดปัญหาสขุ ภาพจิต การสร้างสมั พนั ธภาพที่ดใี ห้แก่สมาชิกใน ครอบครัว

วธิ ีสร้างเสริมความสุขในครอบครัว (กรมสขุ ภาพจติ 2547) 1. ทาตวั ไม่ให้เป็ นปัญหากบั คนอื่น ได้แก่ การรับผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ี ของตนเอง ไม่นาความเดือดร้อนมาสคู่ รอบครัว ทาตวั ให้สมกบั บทบาทหน้าที่ 2. มีนา้ ใจ ชว่ ยเหลือกิจการงานของครอบครัวที่ทาได้ ไม่ดดู าย อดทน และเสียสละเพ่ือครอบครัว 3. การสร้างสมั พนั ธภาพในครอบครัว ทงั้ การพดู การสร้างอารมณ์ แจ่มใส ไม่หยมุ หยมิ 4. ใช้เวลาวา่ งท่ีอยรู่ ่วมกนั ในครอบครัวให้เกิดคณุ คา่

บทบาทของพ่อแม่ในการดแู ลเดก็ ในครอบครัว การดแู ลเดก็ ในครอบครัวให้มีคณุ ภาพ เป็ นงานที่สาคญั ของ ครอบครัว การดแู ลเด็กต้องใช้ทงั้ อาหารกายและอาหารใจ ได้แก่ 1. ความรักและความอบอนุ่ แสดงออกได้ด้วยการเอาใจใสด่ แู ล มี เวลาพดู คยุ กบั เดก็ น้อย ความเข้าใจ โอบกอด สมั ผสั ลบู ศีรษะ เลน่ หรือทากิจกรรมที่สนกุ สนาน 2. ความมน่ั คงทางจิตใจ ผ้ใู หญ่ที่มีอารมณ์คงท่ี ไม่ใช้อารมณ์ ฉนุ เฉียวลงโทษอยา่ งรุนแรง 3. อบรมด้วยเหตผุ ล 4. สนบั สนนุ ให้มีโอกาสได้รับการพฒั นา สง่ เสริมการเรียนรู้ การ พกั ผ่อน และการทากิจกรรมท่ีสง่ เสริมสขุ ภาพจิต

บทบาทของโรงเรียน 1. การกาหนดนโยบาย และปรัชญาของการเรียนการสอน ให้เดก็ ได้รับการ ฝึกอบรมเป็ นคนดี เก่ง และมีความสขุ 2. บคุ คลสาคญั คือครู จะต้องเข้าใจถึงธรรมชาติ และความแตกตา่ งของ นกั เรียนทงั้ รายชนั้ และรายบคุ คล เพอื่ จะได้ชว่ ยพฒั นาเดก็ ให้เป็ นผ้ใู ช้ศกั ยภาพ ของตนเองอยา่ งเตม็ ท่ี 3. กระบวนการจดั การเรียนการสอนควรมีเร่ืองท่ีชว่ ยสง่ เสริมสขุ ภาพจิต และ ป้ องกนั ปัญหาสขุ ภาพจิต 4. การจดั บริการด้านการสง่ เสริมสขุ ภาพจิตให้มีความเหมาะสม และตอ่ เน่ือง 5. ระบบการให้คาปรึกษาในโรงเรียนยงั คงมีความจาเป็น ที่จะช่วยให้เดก็ สามารถปรับตวั ลดความเครียด ก่อนท่ีจะนาไปสรู่ ะดบั ปัญหาที่รุนแรงมากขนึ ้

บทบาทของโรงเรียน 6. การสง่ ตอ่ ยงั สถานบริการสขุ ภาพจิตเฉพาะทาง ในกรณีท่ีพบวา่ เกิน ความสามารถของครู เชน่ เดก็ ออทิสติค เดก็ ตดิ สารเสพตดิ 7. การประสานงานกบั ผ้ปู กครอง และสมั พนั ธภาพระหวา่ งครูและผ้ปู กครอง เป็ นสง่ิ สาคญั ท่ีจะทาให้เกิดการพฒั นาศกั ยภาพเดก็ และสามารถช่วยเหลือ เดก็ ได้อยา่ งทนั ทว่ งที กรณีเดก็ ประสบกบั ความยากลาบากทางใจ 8. การจดั สภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้มีความผอ่ นคลาย สง่ เสริมสขุ ภาพจติ มีความปลอดภยั 9. การสร้างสมั พนั ธภาพทีด่ ีระหวา่ งเพื่อน และบคุ ลากรในโรงเรียน ให้เดก็ รู้สกึ อบอนุ่ อยากมาโรงเรียน 10. การสร้างระเบียบวนิ ยั ของโรงเรียนที่เอือ้ ตอ่ การสง่ เสริมสขุ ภาพจติ เช่น สง่ เสริม ให้รางวลั คนทาความดี

บทบาทของชุมชน 1. การรักษา และถ่ายทอดขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมท่ดี ี งามท่ีชว่ ยสง่ เสริมสขุ ภาพจติ เชน่ แบง่ ปัน การให้อภยั การละเลน่ นนั ทนาการ หรืออื่น ๆ ที่เป็ นระบบสนบั สนนุ ให้สขุ ภาพจิตของคนในชมุ ชนดี ขนึ ้ 2. การทาหน้าท่ีเป็ นตวั แบบท่ีดี ของคนรุ่นหลงั เช่น ผ้ใู หญ่ในสงั คมไมใ่ ช้ ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ให้คาชมเชยแก่เดก็ 3. จดั กิจกรรมที่สง่ เสริมสขุ ภาพจิตในชมุ ชน 4. การจดั ระบบการดแู ลสขุ ภาพจติ ให้แก่สมาชิกในชมุ ชน

บทสรุป ครอบครัว โรงเรียน ชมุ ชน และสงั คม เป็ นสถาบนั ท่ีมีกระบวนการ เปลี่ยนแปลงไมห่ ยดุ นิ่งและมีผลกระทบตอ่ กนั และกนั การเปล่ยี นแปลงสภาพสงั คม เชน่ การรับวฒั นธรรมตะวนั ตก การเผยแพร่ กระแสลทั ธิบริโภคนิยม ยอ่ มสง่ ผลถึงสถาบนั ครอบครัวอยา่ งหลีกเล่ียงไม่ได้ สถาบนั ครอบครัวท่ีมีปัญหายอ่ มสง่ ผลถงึ ชมุ ชนและสงั คมเช่นเดียวกนั เชน่ วยั รุ่นอนั ธพาลเกเร การสร้างเสริมสขุ ภาพจิตที่ดใี ห้แก่ประชาชนจงึ ต้อง ดาเนินการกบั ทกุ สถาบนั ทกุ ระดบั ซง่ึ ครอบครัวเป็ นหน่วยของสงั คมที่เลก็ ท่ีสดุ และเข้าถงึ ได้ง่ายท่ีสดุ ถ้าสถาบนั ครอบครัวได้รับการเสริมสร้างความมนั่ คงเข้มแข็ง และเกิดการ รวมตวั กนั ขนึ ้ ยอ่ มสง่ ผลกระทบถึงสงั คมให้มีความมน่ั คงเข้มแข็ง และเป็ น เกราะป้ องกนั ปัญหาตา่ ง ๆ ที่อาจเกิดขนึ ้ ในระดบั สงั คมได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook