Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Gene and Chromosome

Gene and Chromosome

Published by Tathathai_GN, 2019-02-23 02:24:05

Description: ในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจะมีหน่วยควบคุมลักษณะ ( genetic unit) ควบคุม สิ่งมีชีวิต ให้มีรูปร่าง และลักษณะเป็นไปตามเผ่าพันธุ์ของพ่อแม่ เรียกว่า ยีน สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แต่ละชนิดประกอบขึ้นด้วยเพศที่แตกต่างกัน คือ เพศผู้และเพศเมีย ลูกที่เกิดขึ้น จะพัฒนามาจากเซลล์เพศผู้ คือ สเปิร์ม(Sperm) และเซลล์เพศเมีย คือ เซลล์ไข่ (Egg) มารวมตัวกันโดยกระบวนการสืบพันธุ์

Keywords: Gene,Chromosome,ยีน,โครโมโซม

Search

Read the Text Version

ยนี และโครโมโซม วชิ า ชวี วิทยา 4 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ผู้สอน นางสาวทัศหทัย ใจชนะ

การถา่ ยทอดยนี และโครโมโซม • วอลเตอร์ ซดั ตัน (Walter Sutton) • เป็นบุคคลแรกที่เสนอ ทฤษฎีโครโมโซมในการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม คือ สิ่งท่ีเรียกว่า แฟกเตอร์ จาก ข้อเสนอของเมนเดลซึ่งต่อมาเรียกว่า ยีน นั้นน่าจะอยู่บน โครโมโซม เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยีน และ โครโมโซมมคี วามสอดคล้องกัน

ทฤษฎีโครโมโซมในการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม • ยีนมี 2 ชดุ และโครโมโซมก็มี 2 ชดุ (จานวนชุดของยีนเท่ากับจานวนชดุ ของโครโมโซม) • ยนี และโครโมโซมสามารถา่ ยทอดไปสูร่ ุ่นลูกหลานได้ • ขณะท่ีมกี ารแบง่ เซลล์แบบไมโอซิส (meiosis) โครโมโซมมกี ารเขา้ คู่กัน และต่างแยกกันไปยงั เซลลล์ กู แตล่ ะเซลล์ ยีนก็มกี ารแยกตวั ของแอลลีล • การแยกตัวของโครโมโซมท่เี ป็นคู่กันไปยังข้วั เซลลอ์ ย่างอสิ ระเชน่ เดียวกับ การแยกตัวของแอลลลี

• ขณะเกิดการสืบพันธ์ุ การรวมของเซลล์ไข่กับสเปิร์ม เป็นไซโกตเกิดแบบ สุ่ม ทาให้ชุดโครโมโซมจากเซลล์ไข่และสเปิร์มเป็นไปแบบสุ่มด้วย เช่นเดียวกบั การรวมชุดของแอลลลี จากเซลลไ์ ข่และสเปริ ์ม • ทุกเซลล์ที่พัฒนามาจากไซโกตจะมีโครโมโซมคร่ึงหน่ึงมาจากพ่อ และอีก ครงึ่ หนง่ึ มาจากแม่ เชน่ เดยี วกนั กบั ยนี ทค่ี รง่ึ หนง่ึ มาจากพ่อและคร่ึงหน่ึงมา จากแม่ สรปุ คือ ยนี อย่บู นโครโมโซม

การคน้ พบสารพันธุกรรม เฟรดริช มเิ ชอร์ (F. Miescher) • ศกึ ษาส่วนประกอบของนวิ เคลียสในเมด็ เลือดขาว • พบว่า เอนไซม์เพปซินไม่สามารถย่อยสารชนิด หนึง่ ใน นิวเคลียสได้ • เม่ือวิเคราะห์ส่วนประกอบ พบว่า มี N และ P เป็นองค์ประ กอบ จึงตั้งช่ือว่า นิวคลีอิน (nuclein) • ต่อมาได้เปล่ียนชื่อเป็น กรดนิวคลีอิก (nucleic acid) เพราะพบวา่ สารนม้ี สี มบัติเปน็ กรด

การค้นพบสารพันธุกรรม • โรเบริ ์ต ฟอยล์แกน (R. Feulgen) ได้พัฒนาสี ฟุคซิน ซ่ึงย้อมติด DNA ให้สีแดง ซ่ึงเม่ือนาไป ย้อมเซลล์ พบว่าติดที่นิวเคลียส และรวมกัน หนาแน่นที่โครโมโซม จึงสรุปว่า DNA เป็นสาร พันธุกรรมของสิง่ มชี ีวิต • แต่นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นส่วนใหญ่เช่ือว่า สารพันธุกรรมน่าจะเป็นโปรตีน เพราะมี จานวนชนิดมากพอที่จะควบคุมลักษณะของ สง่ิ มีชีวติ ได้อย่างครบถ้วน สีฟคุ ซิน

การคน้ พบสารพนั ธกุ รรม • เฟรเดอริก กริฟฟิท (F. Griffith) ทาการ ทดลองโดยการฉีดแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae ท่ีทาใหเ้ กิดโรคปอดบวมในหนู โดยใช้แบคทีเรยี 2 สายพนั ธุ์ • สายพนั ธ์ทุ มี่ ผี ิวหยาบ (R) • สายพันธ์ุที่มีผิวเรียบ (S) ซ่ึงเป็นสายพันธุ์ท่ีทา ใหเ้ กิดโรคปอดบวมรนุ แรง

การค้นพบสารพันธุกรรม • O.T.Avery และคณะ พบว่า กรดนิวคลีอิกชนิด DNA คือ สารพันธุกรรม เนอ่ื งจาก เมือ่ เติม DNase ลงไป แบคทีเรียจะไมส่ ามารถเพ่มิ จานวนได้

จากการคน้ พบสารพนั ธกุ รรม สรุปได้วา่ • ยนี หรอื สารพนั ธกุ รรม ซ่ึงทาหน้าทถ่ี า่ ยทอดลกั ษณะของสงิ่ มีชวี ติ ไปสู่ ร่นุ ต่อ ๆ ไปน้นั อยู่บนสารชีวโมเลกลุ ขนาดใหญ่ คอื DNA • DNA จะประกอบไปด้วย สว่ นทีค่ วบคุมลกั ษณะทางพันธกุ รรม เรียกว่า ยีน (gene) ยนี (gene) เปน็ เพียงส่วนหน่งึ ของสาย DNA เทา่ นั้น (เฉพาะส่วนที่มีการแสดงออกทางพันธุกรรม)

โครโมโซม (Chromosome)

ตารางแสดงจานวนโครโมโซมในเซลล์ ของสิ่งมชี ีวติ ชนิดตา่ งๆ



สว่ นประกอบของโครโมโซม • โครโมโซม ประกอบดว้ ย สัดสว่ นระหว่าง DNA : Protein = 1 : 2 • ฮีสโตน (Histone) เป็นโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีประจุบวก เป็นส่วนใหญ่ จึงเกาะจับได้ดีกับสาย DNA ซึ่งมีประจุเป็นลบ จึงทาให้เกิด การสร้างสมดลุ ประจุ • DNA ท่พี ันด้วยโปรตนี ฮสี โตน คลา้ ยเม็ดลูกปดั เรยี กว่า นวิ คลีโอโซม

• โปรตีนบางชนิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับ กระบวนการจาลองตัวเองของ DNA (DNA replication) หรือ เกี่ยวขอ้ งกับการแสดงออกของยนี • จีโนม (genome) คือสารพันธุกรรม หรือยีนท้ังหมดของสิ่งมีชีวิตชนิด หนึง่ ๆ ท่อี ย่ใู นโครโมโซม 1 ชดุ (คิดเปน็ จานวนคเู่ บส) จีโนม

องค์ประกอบทางเคมีของ DNA • DNA เปน็ กรดนิวคลอี ิก ซึง่ เปน็ พอลิเมอร์สายยาว ท่ีประกอบไปดว้ ย หน่วยย่อย (monomer) ที่เรียกวา่ นวิ คลีโอไทด์ (nucleotide)

นวิ คลโี อไทด์ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น ดังน้ี • หมฟู่ อสเฟต (PO3-4 ) • นา้ ตาลดอี อกซีไรโบส (deoxyribose) ซง่ึ เปน็ น้าตาลท่มี ี C 5 อะตอม • ไนโตรจนี ัสเบส (nitrogenous base) 4 ชนิด ไดแ้ ก่ อะดีนนี (A) กวานีน (G) ไซโทซีน (C) และไทมีน (T)

• การเชอ่ื มของนวิ คลีโอไทด์เกดิ จากการสร้างพันธะโฟสโฟไดเอสเทอร์ ระหวา่ งหมฟู่ อสเฟสท่ี C5 กับหมไู่ ฮดรอกซิล (-OH) ท่ี C3 • เมื่อหลายๆ นวิ คลีโอไทด์มาเชอ่ื ตอ่ กนั จะเกิดเป็นสายพอลนิ วิ คลโี อไทด์

• ปลายสายด้านหนงึ่ จะมีหมู่ฟอสเฟตเชื่อมกับนา้ ตาลดอี อกซีไรโบสท่ี C5 เรยี กปลายด้านน้วี ่า ปลาย 5’ • อีกปลายดา้ นหนึง่ จะมีหมไู่ ฮดรอกซทิ ่ี C3 เรียกปลายด้านน้วี า่ ปลาย 3’

การวิเคราะห์เบสในสาย DNA • เออร์วิน ชาร์กาฟฟ์ (Erwin Chargaff) ได้วิเคราะห์ปริมาณสารใน DNA พบว่าอัตราส่วนของน้าตาล และหมู่ฟอสเฟตค่อนข้างคงท่ี แต่อัตราส่วน ของเบส 4 ชนดิ ทีส่ กดั ไดใ้ นสิง่ มีชีวิตชนดิ ตา่ ง ๆ จะแตกตา่ งกนั

กฎของชาร์กาฟฟ์ (Chargaff’s Rule) • อตั ราสว่ นระหวา่ งเบส A จะใกล้เคียงกบั เบส T • อตั ราสว่ นระหว่างเบส G จะใกล้เคยี งเบส C • อตั ราส่วนระหวา่ ง A : T และ C : G จะคงท่เี สมอ

โครงสร้างของ DNA • มิวรัส H.F Wilkins และ โรลซาลินด์ แฟรงคลิน ใช้ เทคนิค X-ray diffraction โดยการฉายรังสีเอ็กซ์ผ่าน ผลึก DNA • สรุปได้ว่า โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วย สาย polynucleotide มากกว่า 1 สาย พันกันเป็นเกลียว โดยเกลียวแตล่ ะรอบมรี ะยะห่างเทา่ กนั

แบบจาลองโครงสร้าง DNA • Watson and Crick ได้เสนอแบบจาลองโครงสร้างของ DNA คือประกอบด้วย polynucleotide 2 สาย เป็น เกลียวคู่เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา (double helix) โดย มีทิศทางจากปลาย 5’ ไป 3’ สวนทางกัน • เบสในแต่ละสายของ DNA ท่ีเป็นเบสคู่สม จะยึดกันด้วย พนั ธะไฮโดรเจน (H-bond) โดย A = T และ C G • เกลียวคู่มีระยะห่าง 20 อังสตรอม เกลียวแต่ละรอบจะมี ระยะหา่ งเทา่ ๆ กัน 34 อังสรอม และมีคู่เบสจานวนเท่ากัน ห่างกัน 3.4 องั สตรอม



ใบงานท่ี 2.2 เรอ่ื ง การวิเคราะห์องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNA คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนสรุปการศกึ ษาเกย่ี วกบั การวเิ คราะห์องค์ประกอบทาง เคมขี อง DNA ของนักวทิ ยาศาสตรแ์ ต่ละท่าน 1. เออร์วนิ ชารก์ าฟฟ์ 2. มวั รสิ เอช เอฟ วลิ คินส์ และโรซาลนิ ด์ แฟรงคลิน 3. เจมส์ ดี วตั สนั และฟรานซิส คริก

สมบตั ิของสารพนั ธุกรรม คณุ สมบัติของการเป็นสารพันธกุ รรมของ DNA • ตอ้ งสามารถเพิม่ จานวนตัวเองได้ โดยมีลักษณะเหมือนเดิมเพ่ือให้สามารถ ถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมจากรนุ่ พอ่ แมไ่ ปยังลกู ได้ • สามารถควบคุมให้เซลล์สังเคราะห์สารต่าง ๆ เพื่อแสดงลักษณะทาง พนั ธุกรรมใหป้ รากฏ • ต้องสามารถแลกเปล่ียน เปล่ียนแปลงได้บ้าง โดยก่อให้เกิดลักษณะทาง พันธุกรรมท่ีต่างไปจากเดิม และเป็นช่องทางให้เกิดส่ิงมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ๆ ข้นึ (ทาให้เกิดววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ )

แบบจาลองโครงสรา้ งของ DNA ของวัตสนั และครกิ ได้รบั รางวัลโนเบล

การสงั เคราะห์ DNA (DNA replication ) • การจาลองตัวเองของ DNA โดย polynucleotide 2 สาย แยกออกจากกันโดยการ สลาย H-bond ระหว่าง เบสคู่สม เพ่ือให้ได้ polynucleotide แต่ละสายเป็น DNAแม่แบบสาหรับการสร้างสายใหม่ โดยนาเอา nucleotideอิ ส ร ะ ที่ อ ยู่ ใ น เ ซ ล ล์ เ ข้ า ม า จั บ กั บ polynucleotide สายเดิม ทาให้ได้ สายเดิม 1 สาย จับกับสายใหม่ 1 สาย เรียกการจาลองลักษณะนี้เป็น แบบกง่ึ อนุรักษ์ (semiconservative) • ทิศทางการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ คือ จาก 5’→ 3’



อาร์เธอร์ คอนเบิร์ก (Atrhur kornberg) • สามารถสังเคราะห์โมเลกลุ ของ DNA ในหลอดทดลองไดส้ าเร็จ • โดยนาเอนไซม์ DNA พอลเิ มอเรส ซ่ึงสกัดจาก E.coli ได้ DNA แม่แบบ และ นวิ คลีโอไทด์ 4 ชนิด คอื นวิ คลีโอไทด์ทม่ี เี บส A T C G และเอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส ซง่ึ ทาหนา้ ทีเ่ ช่อื มนวิ คลีโอไทด์ใหต้ อ่ กนั กลายเปน็ สาย ยาว • โดยมที ศิ ทางการสงั เคราะห์สายดเี อ็นเอสายใหม่ จากปลาย 5’ ไปยงั ปลาย 3’

อตั ราส่วนของเบสใน DNA ที่สงั เคราะหไ์ ดใ้ นหลอดทดลองและ DNA แมพ่ มิ พ์

• จากผลการทดลองพบว่า DNA ที่สังเคราะห์ได้ในหลอดทดลอง มอี ัตราสว่ นของเบส A+T ตอ่ C+G ใกล้เคยี งกับของ DNA แม่แบบ • การค้นพบเอนไซม์ที่ใช้ในการเชื่อมนิวคลีโอไทด์เข้าด้วยกัน พบว่าการ สังเคราะห์ DNA สามารถเกิดขึ้นได้ในหลอดทดลองโดยไม่จาเป็นต้อง เกิดขึน้ ภายในเซลล์เทา่ นน้ั • ปัจจุบันมีการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ท่ียืนยันได้ว่า DNA มี กระบวนการจาลองตัวของ DNA โดยกระบวนการดังกล่าวเป็นไปแบบก่ึง อนุรกั ษ์

• การสังเคราะห์ DNA สายใหม่ 2 สาย มสี ว่ นทีแ่ ตกตา่ งกนั คือ สายหนง่ึ จะ สร้างต่อเนือ่ งกนั เป็นสายยาว เรยี กสายนีว้ า่ ลดี ดิงสแตรนด์ (leading strand) • ส่วนสายใหมอ่ ีกสายหนึง่ ไม่สามารถสร้างต่อกนั เป็นสายยาวเนอื่ งจากทศิ ทางการสรา้ งการสรา้ งจากปลาย 5' ไปยงั ปลาย 3' นัน้ สวนทางกับทศิ ทางการคลายเกลยี วของ DNA โมเลกลุ เดมิ จงึ สรา้ งพอลนิ ิวคลีโอไทด์สาย สัน้ ๆ มีทิศทางจาก 5' ไป 3' จากนั้น เอนไซม์ไลเกส (ligase) จะเชอ่ื มตอ่ สายสัน้ ๆเหล่านี้ให้เปน็ สายเดยี วกัน เรียกสาย DNA ท่ถี กู สรา้ งขึน้ เป็นสาย ส้นั ๆว่า แลกกงิ สแตรนด์ (lagging strand)



DNA ควบคุมลักษณะทางพนั ธกุ รรมได้อย่างไร • V. M. Ingrame ไดศ้ กึ ษาโครงสร้างทางเคมขี องฮีโมโกลบินทผี่ ดิ ปกติของ คนทเ่ี ป็นโลหติ จางชนดิ ซิกเคลิ เซลล์ (sickle cell anemia) เปรียบเทยี บ กบั ฮีโมโกลบินของคนปกติ ในคนปกติ ในคนเปน็ sickle cell anemia

อาการของโรค • เปน็ ภาวะความผิดปกติตั้งแต่กาเนิดของ hemoglobin เป็นสาเหตุให้เซลล์เม็ด เลอื ดแดง กลายเปน็ C-shaped • โดยปกติแล้วตัวเม็ดเลือดแดงจะมีความยืดหยุ่น เพื่อง่ายต่อการเคล่ือนท่ีไปยัง หลอดเลือดต่างๆ ส่วนปลาย ซ่ึงจะมีขนาดเล็กและคดเค้ียว แต่ผู้ป่วยท่ีเป็นโรค นี้ RBC จะเสียความยืดหยุ่นไป ทาให้เกิดการอุดตันของRBC ในหลอดเลือด บริเวณต่างๆ อีกท้ัง Sickle cell จะตายและแตกง่ายกว่าเซลล์ปกติ ทาให้เกิด ภาวะโลหิตจาง เป็นผลให้ผปู้ ว่ ยรู้สกึ เจบ็ ปวด ออ่ นเพลยี ไมค่ อ่ ยมแี รง

การรกั ษา • ยังไม่มีวิธีการรกั ษาให้หายขาดได้ แตม่ วี ิธรี กั ษาที่ช่วยบรรเทาอาการและช่วย รักษาภาวะแทรกซอ้ น • รกั ษาอาการโดยการใช้ยาแก้ปวด • การปอ้ งกนั การติดเชื้อ • เร่มิ ให้ penicillin แก่เดก็ ทีเ่ ป็นโรคต้ังแตอ่ ายุ 2 เดือนตอ่ เนือ่ งไปจนอายุ 5 ปี • ใหว้ ัคซีนป้องกนั ไขห้ วดั ร่วมกบั วัคซนี ปอ้ งกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบทกุ ปี • สาหรบั ผ้ใู หญ่อาจป้องกันโดยการฉีดวัคซีนป้องกนั ไขห้ วัดและปอดอักเสบทกุ ปี • ปอ้ งกนั การเกิดภาวะแทรกซอ้ นอ่นื ๆ โดยผู้ป่วยต้องไปพบแพทยอ์ ย่างสม่าเสมอ

DNA กบั การสังเคราะหโ์ ปรตีน • นอกจาก DNA ท่ีเป็นกรดนวิ คลอี กิ แล้ว ก็ยัง มี RNA ที่เป็นกรดนวิ คลอี ิก • RNA แตกต่างจาก DNA ตรงที่น้าตาลเพน โทสที่ประกอบขึ้นเป็น RNA น้ันเป็นน้าตาล ไรโบส แทนท่ีน้าตาลดีออกซีไรโบส และจะ ไม่พบเบสไทมีน (T) เป็นองค์ประกอบ แต่ จะมีเบสยูราซลิ (U)

• สง่ิ มีชีวิตพวกยคู าริโอตมี DNA อยภู่ ายในนิวเคลียส แตก่ ารสังเคราะห์ โปรตนี เกดิ ในไซโทพลาสซมึ โดยเฉพาะบริเวณที่มเี อนโดพลาสมกิ เรติ คลู มั แบบผิวขรขุ ระ • DNA ส่งตวั แทนออกมายังไซโทพลาส ซึม เพอ่ื ทาหน้าทคี่ วบคมุ การสังเคราะห์ โปรตีน • ถ้าเป็นเช่นน้ันจรงิ สารที่เป็นตวั แทน ของ DNA คืออะไร ?

• จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์หลายคนพบว่า ข้อมูลทางพันธุกรรม ใน DNA ไม่ได้ส่งไปยังบริเวณท่ีมีการสังเคราะห์โปรตีนโดยตรง แต่จะมี ตวั แทนทาหนา้ ทีเ่ ป็นสื่อกลาง • F. Jacob and J. Monod ได้มีข้อเสนอว่า RNA เป็นตัวกลางท่ีอยู่ ระหว่าง DNA กบั ไรโบโซมตามสมมตฐิ านน้ันคือ RNA ภาพสมมติฐานของ F. Jacob and J. Monod

RNA ท่เี ปน็ ตัวกลางนเี้ รยี กว่า mRNA (messenger RNA) และ พยากรณว์ ่า mRNA จะเปน็ ตวั นาข้อมูลทางพันธุกรรมจาก DNA ไปยงั ไร โบโซม ซง่ึ เปน็ แหลง่ สังเคราะหโ์ ปรตนี ทอ่ี ยู่ในไซโทพลาสซึม ซึ่งได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์ 2 คน คือ เจราร์ด เฮอร์ วิทซ์ (Jerard Hurwitz) เจ เจ เฟอร์ธ(J. J. Furth) ศึกษาเกี่ยวกับท่ีอยู่และ หน้าที่ของ mRNA ของ F. Jacob and J. Monod ดังน้ัน กระบวนการ สังเคราะห์โปรตีนจึงประกอบด้วยการ สังเคราะห์ RNA จาก DNA แม่พิมพ์ และการสังเคราะห์โปรตีนท่ีไรโบโซม

การสงั เคราะห์ mRNA จาก DNA แม่พมิ พ์ • การสังเคราะห์ mRNA โดยมี DNA เปน็ แมพ่ มิ พ์ • การสังเคราะห์ mRNA ใช้ DNA เพียงสายเดยี วเปน็ สายแม่พิมพ์ ใช้ เอนไซม์อาร์เอน็ เอ พอลิเมอรเ์ รส (RNA polymerase) และ ไรโบนวิ คลี โอไทด์ 4 ชนดิ คือ ไรโบนวิ คลีโอไทด์ทม่ี เี บส A ไรโบนวิ คลีโอไทด์ที่มีเบส U ไรโบนิวคลีโอไทด์ทม่ี ีเบส C และไรโบนิวคลีโอไทด์ทม่ี เี บส G

ขน้ั ตอนการสงั เคราะห์ RNA ขัน้ เริ่มต้น • เอนไซม์อาร์เอ็นเอพอลเิ มอเรสจะเขา้ ไปจับกบั DNA ตรงบรเิ วณที่จะ สงั เคราะห์ RNA • ทาให้พันธะไฮโดรเจนระหวา่ งคู่เบสสลาย พอลนิ ิวคลีโอไทด์ 2 สาย ของ DNA จะคลายเกลยี วแยกออกจากกนั โดยมสี ายใดสายหน่ึงเปน็ แม่พิมพ์

ข้ันการตอ่ สายยาว • ไรโบนิวคลีโอไทด์ทมี่ ีเบสท่ีเข้าคู่กับนิวคลีโอไทด์ของ DNA สายแม่พิมพ์คือ เบส C เข้าคู่กับ G และเบส U เข้าคู่กับ A จะเข้ามาจับกับนิวคลีโอไทด์ ของ DNA สายแมพ่ ิมพ์ • เอนไซม์ RNA พอลิเมอเรสจะเช่ือมไรโบนิวคลีโอไทด์อิสระมาต่อกันเป็น สายยาว โดยมีทิศทางการสังเคราะห์สาย RNA จากปลาย 5' ไปยัง ปลาย 3' และการสร้างสาย RNA นั้น จะเรียงสลับทิศกับสาย DNA ที่เป็น แมพ่ มิ พ์

ข้นั สนิ้ สดุ • เอนไซม์อาร์เอน็ เอพอลิเมอเรสหยุดทางานและแยกตัวออกจาก DNA สาย แม่พิมพ์ • สาย RNA ทส่ี งั เคราะห์ไดจ้ ะแยกออกจาก DNA ไปยงั ไซโทพลาสซมึ • ส่วน DNA 2 สายจะจบั คูก่ ันและบดิ เปน็ เกลียวเหมือนเดมิ การสงั เคราะห์ RNA ดังกล่าว ขอ้ มลู ทางพนั ธกุ รรมใน DNA ได้ ถ่ายทอดให้กับ RNA เรยี กกระบวนการนี้ว่า การถอดรหสั /ทรานสคริปชัน (transcripiton)

เปรียบเทียบกระบวนการสังเคราะห์ DNA และ RNA กระบวนการสังเคราะห์ DNA กระบวนการสังเคราะห์ RNA 1. ใชพ้ อลนิ ิวคลีโอไทด์ทีเ่ ปน็ แม่แบบ 1. ใชพ้ อลินิวคลีโอไทด์ท่ีเป็นแมแ่ บบ ทัง้ 2 สาย สายเดียว 2. ใช้เอนไซม์ DNA พอลิเมอเรสใน 2. ใชเ้ อนไซม์ RNA พอลิเมอเรสใน การสงั เคราะห์ การสงั เคราะห์ 3. ใชด้ อี อกซีไรโบนิวคลีโอไทด์ 3. ใชไ้ รโบนิวคลีโอไทด์ประกอบดว้ ย ประกอบดว้ ยเบส 4 ชนิด คอื A T เบส 4 ชนดิ คอื A U C G CG 4. ผลผลิตได้ DNA สายใหม่ 2 สาย 4. ผลผลติ ได้ mRNA สายเดียว

ในการสงั เคราะห์ RNA โดยใช้ DNA สายหนง่ึ เป็นแมพ่ มิ พ์ มลี าดับเบส ดังน้ี • จงเขยี นลาดบั เบสของ RNA ที่สงั เคราะห์ได้โดยเร่มิ จากปลาย 5' ไปยงั ปลาย 3'

ชนดิ ของ RNA 1. เมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ ( messenger RNA : mRNA) • เปน็ อาร์เอ็นเอท่ไี ด้จากกระบวนการถอดรหัส ( transcription ) ของสาย ใดสายหนึง่ ของดเี อน็ เอ ซึง่ จะทาหน้าที่เปน็ รหสั พนั ธุกรรมท่ี ใชใ้ นการ สงั เคราะห์โปรตีน

2. ทรานสเฟอรอ์ าร์เอน็ เอ ( transfer RNA : tRNA) • อาร์เอ็นเอชนิดน้ีผลติ จากดีเอน็ เอเช่นเดยี วกัน • ทาหน้าท่ีในการนากรดอะมิโนตา่ งๆ ไปยงั ไรโบโซม ซึ่งเปน็ แหลง่ ที่มีการ สงั เคราะหโ์ ปรตีนในไซโทพลาสซึม

3. ไรโบโซมอลอาร์เอน็ เอ ribosomal RNA : rRNA ) • อาร์เอน็ เอชนดิ นผ้ี ลติ จากดีเอน็ เอโดยกระบวนการถอดรหสั เชน่ เดียวกนั • ทาหน้าท่ีเป็นองค์ประกอบของไรโบโซมโดยอาร์เอ็นเอรวมกับโปรตีน กลายเปน็ หนว่ ยของไรโบโซม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook