Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบงานที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา 5.6

ใบงานที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา 5.6

Published by นฤมล บัวขาว, 2021-05-25 04:10:30

Description: เรื่อง มัทนะพาธา พร้อมใบงาน 5.6

Search

Read the Text Version

มัทนะพาธา ๑. สาระสำคัญ สาระสำคัญ : มทั นะพาธา เป็นวรรณคดีประเภท “บทละครพดู ” พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอย่หู ัว รัชกาลท่ี ๖ ทแ่ี สดงให้เหน็ ถึงพระปรีชาสามารถทางด้านอกั ษรศาสตร์ของ พระองค์ บทละครเรื่องนี้ ได้รบั ยกย่องจากวรรณคดีสโมสรวา่ “เปน็ ยอดของบทละครพดู คำฉันท์”ด้วย การเลอื กถอ้ ยคำท่สี ่ืออารมณ์ความรู้สกึ ของตัวละครไดด้ ีเยี่ยม ตลอดจนมกี ารวางโครงเรื่องท่ชี วนให้ ติดตาม ทง้ั ยงั สอดแทรกคติสอนใจเรอ่ื งความรกั ไดอ้ ยา่ งซาบซง้ึ กนิ ใจอกี ดว้ ย ๒. ความเป็นมา ความเปน็ มา : มทั นะพาธา แปลวา่ “ความเจ็บปวดหรอื ความเดอื ดร้อนเพราะความรกั ” บทละครพูดคำฉนั ท์ เรอื่ ง มทั นะพาธา หรือ ตำนานดอกกุหลาบ มีลักษณะเป็นบทละครพดู คำฉันท์ จำนวน ๕ องค์ (ตอน) แบ่งเปน็ ๒ ภาค คอื ภาคสวรรค์และภาคพน้ื ดิน เป็นบทพระราชนพิ นธจ์ าก จินตนาการในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั (รชั กาลท่ี ๖)

นางเอกของเรื่องมีนามว่า “มทั นา”ซึง่ มีความหมายว่า “ความลมุ่ หลง หรอื ความรัก”แทนคำ วา่ “กพุ ชกะ” ท่แี ปลวา่ ดอกกุหลาบ บทละครพูดคำฉนั ท์ เรื่อง มัทนะพาธา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ทรงเร่ิมพระราชนิพนธเ์ ม่ือวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖ ณ พระราชวงั พญาไท และเสร็จ สมบูรณใ์ นวนั ท่ี ๑๘ ตุลาคม ปเี ดียวกัน ( ๑ เดือน ๑๖ วัน ) เม่อื พระราชนิพนธ์เสรจ็ กพ็ ระราชทานแก่ สมเด็จพระนางเจ้าอนิ ทรศักด์ิศจพี ระวรชายา แนวคดิ ของเร่ือง เปน็ เรอื่ งท่ีเกี่ยวกับความรัก ความลมุ่ หลง ความเจ็บร้าวระทมเพราะความ รัก ซง่ึ ตัวละครทุกตัวจะตอ้ งไดร้ บั รสดังกลา่ วนี้ ๓. ประวตั ิผู้แต่ง ประวตั ิผ้แู ตง่ : พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๖ มีพระนามเดมิ วา่ มหา วชิราวุธ เปน็ โอรสองค์ท่ี ๒๙ ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว รชั กาลที่ ๕ ทรงพระราช สมภพเมือ่ วันท่ี ๑ มกราคม ๒๔๒๓ ทรงศกึ ษาในประเทศไทยจนพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา ก็เสด็จไปศกึ ษาตอ่ ทปี่ ระเทศอังกฤษ ต่อมาเสดจ็ นิวตั ปิ ระเทศไทยเม่อื วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๔๓๘ เพอ่ื รับการสถาปนาเป็นเจา้ ฟ้ามหา วชริ าวุธสยามมกฎุ ราชกุมาร ( ผูท้ ี่จะไดเ้ ป็นพระมหากษัตรยิ ์องค์ตอ่ ไป ) และทรงกลบั ไปศกึ ษาวชิ า ทหาร ณ โรงเรียนทหารบกที่แซนดเ์ ฮซิ ต์ เมือ่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เขา้ ศึกษาวชิ าประวัติศาสตรแ์ ละวิชา กฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ทรงพระปรชี าสามารถทางด้านอักษรศาสตร์เปน็ พิเศษ จน แต่งบทละครเป็นภาษาอังกฤษได้ เมอื่ สำเร็จการศึกษา พระองคท์ รงเสด็จประพาสยโุ รปก่อน แลว้ จงึ เสดจ็ นิวตั ปิ ระเทศไทย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันท่ี ๒๓ ตลุ าคม ๒๔๕๓ ขณะมพี ระชนมายุ ๓๐ พรรษา สวรรคตเมือ่ วันที่ ๒๕ พฤศจกิ ายน ๒๔๖๘ ( ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๕ พรรษา) วัตถปุ ระสงคใ์ นการพระ ราชนิพนธ์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา ทรงต้ังพระทัยเพ่ือเปน็ หนังสืออา่ นกวีนิพนธ์ที่สนุกสนานในดา้ นเน้อื หา และเปน็ คตสิ อนใจให้เหน็ ถึงอานุภาพของความรกั ผลงานพระราชนพิ นธ์ : พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรชี าสามารถ ทางด้านอกั ษรศาสตร์เป็นเลิศ จึงทรงมีพระราชนพิ นธ์ทัง้ รอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง กวา่ ๒๐๐ เร่อื ง เชน่

เร่ืองศกุนตรา รามเกียรต์ิ บทละครเรอ่ื งเวนิสวานิช เปน็ ตน้ ในงานพระราชนิพนธท์ รงใช้ นามปากกาว่า อัศวพาหุ รามจติ ติ พนั แหลม ศรอี ยธุ ยานายแกว้ นายขวญั พระขรรค์เพชร นายแกว้ ณ อยุธยา น้อยลา ทา่ นราม ณ กรุงเทพ สำหรับบทละครพูดคำฉนั ท์ เรอื่ ง มทั นะพาธา ไดร้ บั การยกยอ่ ง จากวรรณคดสี โมสรว่าเป็นยอดของบทละครพูดคำฉนั ทน์ อกจากน้พี ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจ้าอย่หู ัวยังทรงได้รบั พระราชสมญั ญานามว่า “พระมหาธรี ราชเจ้า” ซึ่งมีความหมายว่า “นักปราชญ์ ผูย้ ิง่ ใหญ่” ๔. ลกั ษณะคำประพันธ์ ลกั ษณะคำประพนั ธ์ : บทละครพดู คำฉันท์ เรื่อง มทั นะพาธา ประกอบดว้ ยคำประพนั ธ์หลายชนิดดงั น้ี ๑. กาพย์ ๓ ชนดิ คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ ๒. ฉันท์ ๒๑ ชนิด เชน่ วิชชุมมาลาฉนั ท์ ๘ อินทรวิเชียรฉนั ท์ ๑๑ อุปชาตฉิ นั ท์ ๑๑ ภชุ งคประยาต ฉันท์ ๑๒ อนิ ทวงศ์ฉนั ท์ ๑๒ วสันตดลิ กฉันท์ ๑๔ เป็นตน้ หมายเหตุ : ตวั เลขทีต่ ามหลงั ชอื่ ฉันท์ หมายถงึ จำนวนคำใน ๑ บาท ๕. เรื่องย่อ ภาคสวรรค์ : กล่าวถงึ สุเทษณเ์ ทพบุตร ซงึ่ ในอดีตกาลเป็นกษัตรยิ ์ครองแควน้ ปัญจาล มทั นา เปน็ พระธดิ ากษตั ริยข์ องแคว้นสรุ าษฎร์ สุเทษณ์ไดส้ ง่ ทตู ไปสขู่ อนาง แตท่ ้าวสรุ าษฎรพ์ ระบดิ าของนาง ไมย่ อมยกให้ สเุ ทษณจ์ งึ ยกทพั ไปรบทำลายบ้านเมืองของท้าวสุราษฎรจ์ นยอ่ ยยับ และจบั ทา้ วสุราษฎร์ มาเปน็ เชลยและจะประหารชวี ติ แตม่ ทั นาขอไถ่ชีวิตพระบดิ าไว้ โดยยินยอมเป็นบาทบริจารกิ าของสุ เทษณ์ ทา้ วสรุ าษฎรจ์ ึงรอดจากพระอาญา จากน้นั มัทนากป็ ลงพระชนม์ตนเอง และไปเกิดเป็นเทพธิดา บนสวรรคน์ ามว่า มทั นา ส่วนท้าวสเุ ทษณก์ ็ทำพลีกรรมจนสำเรจ็ เม่อื ส้นิ พระชนม์ก็ไปบงั เกิดบน สวรรคเ์ ช่นกนั ด้วยผลกรรมทีเ่ คยไดน้ างมาเปน็ ค่ทู ำให้มโี อกาสได้พบกนั อกี บนสวรรค์ แตน่ างมัทนาก็ ยงั ไม่มใี จรักสเุ ทษณเ์ ทพบุตรเช่นเดมิ ณ วมิ านของสเุ ทษณ์ ได้มคี นธรรพ์เทพบตุ ร เทพธิดาท่ีเป็นบรวิ ารตา่ งมาบำเรอขบั กล่อมถวาย แตถ่ งึ กระนน้ั สุเทษณเ์ ทพบตุ รกไ็ ม่มคี วามสขุ เพราะรักนางมัทนา แตไ่ ม่อาจสมหวงั เพราะผลกรรมท่ที ำ ไวใ้ นอดีต จึงให้วทิ ยาธรช่ือมายาวินใชเ้ วทมนตร์คาถาไปสะกดให้นางมายงั วิมานของสุเทษณ์เทพบุตร ฝ่ายมทั นาเมือ่ ถกู เวทย์มนตรส์ ะกดมา สเุ ทษณจ์ ะตรัสถามอยา่ งไรนางกท็ วนคำถามอย่างนน้ั ทกุ คร้ังไป จนสุเทษณเ์ ทพพระบุตรขัดพระทยั รูส้ กึ เหมือนตรัสกับห่นุ ยนต์ จงึ ให้มายาวินคลายมนตรส์ ะกด เม่ือ

นางรู้สึกตัวกต็ กใจกลัวท่ลี ่วงล้ำเข้าไปถึงวิมานของสุเทษณเ์ ทพบตุ ร สุเทษณ์เทพบตุ รถือโอกาสฝากรกั มทั นาแสดงความจรงิ ใจว่านางไม่ได้รักสเุ ทษณ์เทพบุตรจึงไมอ่ าจรับรักได้ เมอื่ ไดย้ นิ ดงั น้ันสเุ ทษณ์ เทพบุตรร้สู กึ กร้วิ นางมทั นาเปน็ ที่สุด จึงสาปให้มัทนาจตุ ิจากสวรรคไ์ ปเกิดเปน็ ดอกกุหลาบในป่าหมิ า วนั ในโลกมนุษย์ และเปดิ โอกาสให้นางกลายร่างเป็นมนุษยไ์ ด้เมื่อถึงคืนวันเพ็ญเพยี งหน่ึงวันกบั หน่ึงคืน เทา่ น้นั เมอื่ ใดท่ีนางมรี กั เมื่อนนั้ จึงจะพ้นคำสาปและกลายร่างเปน็ มนษุ ยไ์ ดอ้ ยา่ งปกติ หากเม่ือใดทีน่ าง มที กุ ขเ์ พราะความรกั กใ็ ห้นางอ้อนวอนต่อพระองคจ์ ึงจะยกโทษทณั ฑ์ให้ ดังนัน้ จึงสรปุ ไดว้ า่ สาเหตขุ อง ปมขดั แยง้ ในเร่ือง คือ สเุ ทษณร์ ักนางมทั นาแตน่ างไมร่ กั ตอบ ภาคพื้นดนิ : พระฤๅษีไดข้ ุดเอาดอกกุหลาบจากป่าหิมาวนั ไปปลูกไวก้ บั อาศรม เม่ือคืนวนั เพ็ญ พระจนั ทรเ์ ต็มดวง นางจะปรากฏโฉมเปน็ มนุษยม์ าปรนนิบัติรบั ใชพ้ ระฤๅษี วันหนง่ึ ท้าวชัยเสนกษัตรยิ ์ แหง่ นครหสั ดนิ เสด็จประพาสป่ามาถงึ อาศรมพระฤๅษี ตรงกบั คนื วนั เพญ็ ทมี่ ทั นากลายร่างเปน็ มนษุ ย์ และได้พบกบั ท้าวชยั เสนและเกดิ ความรักตอ่ กัน พระฤๅษจี ึงจัดพิธีอภเิ ษกให้ ชยั เสนได้พานางกลบั นคร หัสดิน ทา้ วชยั เสนหลงใหลรกั ใครน่ างมทั นามาก ทำใหน้ างจณั ฑมี เหสี หงึ หวง และอจิ ฉาริษยา จงึ ทำ อุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจผิดว่ามทั นาเป็นชกู้ ับนายทหารเอก นางมทั นาจึงถกู ส่ังประหารชีวิต แต่ เพชฌฆาตสงสารจงึ ปล่อยนางไป นางมทั นากลับไปยังอาศรมพระฤๅษีและวิงวอนใหส้ เุ ทษณเ์ ทพบุตรช่วย สเุ ทษณเ์ ทพบตุ รไดข้ อ ความรกั นางอกี ครั้งหนึ่งแต่นางปฏเิ สธ สุเทษณ์เทพบตุ รจงึ สาปใหน้ างเปน็ ดอกกุหลาบตลอดไป บทวเิ คราะห์ ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา ๑. โครงเร่อื ง เปน็ บทละครพูดคำฉันทท์ พี่ ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดโครง เรอื่ งเอง ไม่ไดต้ ดั ตอนมาจากวรรณคดเี รื่องใด แก่นสำคัญของเรอ่ื งมีอยู่ ๒ ประการ คอื ๑) ทรงปราถนาจะกล่าวถึงตำนานดอกกุหลาบ ซึง่ เป็นดอกไม้ทส่ี วยงาม แต่ไม่เคยมี ตำนานในเทพนยิ าย จงึ พระราชนิพนธ์ให้ดอกกุหลาบมีกำเนิดมาจากนางฟ้าท่ถี กู สาปใหจ้ ุติลงมาเกดิ เป็นดอกไม้ช่ือว่า \"ดอกกุพฺชกะ\" คอื \"ดอกกุหลาบ\" ๒) เพื่อแสดงความเจ็บปวดอนั เกิดจากความรัก ทรงแสดงใหเ่ หน็ ว่าความรกั มอี นภุ าพ อย่างย่ิง ผู้ใดมคี วามรกั ก็อาจเกิดความหลงข้ึนตามมาด้วย ทรงใชช้ ่อื เรอ่ื งว่า \"มัทนะพาธา\" อนั เปน็ ชื่อ ของตวั ละครเอกของเรอ่ื ง ซึง่ มคี วามหมายว่า \"ความเจบ็ ปวดหรอื ความเดือดรอ้ นอนั เกิดจากความรกั \" มีการผกู เรอื่ งใหม้ คี วามขัดแยง้ ซึ่งเปน็ ปมปญั หาของเรื่อง คือ ๒.๑ สุเทษณเ์ ทพบุตรหลงรกั นางมัทนา แตน่ างไม่รบั รกั ตอบจงึ สาปนางเปน็ ดอกกพุ ชฺ กะ (กุหลาบ)

๒.๒ นางมัทนาพบรกั กับท้าวชยั เสน แต่ก็ตอ้ งพบกบั อุปสรรคเพราะนางจนั ทมี เหสขี องท้าวชยั เสนวางอุบายให้ท้าวชยั เสนเขา้ ใจนางมทั นาผิด สดุ ทา้ ยนางมทั นาได้มาขอความช่วยเหลือจากสเุ ทษณ์ เทพบุตร และสเุ ทษณ์เทพบุตรขอความรักนาง อีกคร้ังแตน่ างปฏเิ สธชน่ เคย เร่ืองจึงจบลงดว้ ยความ สูญเสยี และความเจบ็ ปวดด้วยกนั ทุกฝ่าย ๒. คุณค่าดา้ นวรรณศลิ ป์ ๑. การใช้ถ้อยคำและรูแบบคำประพนั ธเ์ หมาะสมกบั เน้อื หา ทำให้ผูอ้ า่ นเกดิ ความรสู้ กึ คล้อย ตาม เกิดความประทับใจอยากติดตามอ่าน เช่น เมือ่ มายาวินเล่าเรือ่ งราวในอดีตถวายสเุ ทษณ์วา่ เหตุ ใดมัทนาจึงไม่รกั สเุ ทษณ์ กวีเลือกใชอ้ ินทรวิเชยี รฉันท์ ๑๑ ท่ีมที ่วงทำนองเร็วเหมาะแกก่ ารเลา่ ความ หรือบรรยายเรอื่ ง ส่วนเน้ือหาตอนสเุ ทษณ์ฝากรกั นางมัทนาน้ันใชว้ สนั ตดลิ กฉันท์ ซึ่งมที ว่ งทำนองท่ี ออ่ นหวาน เมอ่ื สุเทษณ์กริ้วนางมัทนากไ็ ช้ กมลฉันท์ ซึ่งมีคำครุลหุทม่ี จี ำนวนเท่ากนั แต่ข้ึนต้นดว้ ยคำ ลหุ จงึ มที ำนองประแทกกระท้นั ถ่ายทอดอารมณโ์ กรธเกรีย้ วได้ดี ดังตวั อย่าง มะทะนาชะเจ้าเลห่ ์ ชิชิชา่ งจำนรรจา,.... .................................... กแ็ ละเจ้ามเิ ตม็ จิต จะสดบั ดนชู วน, ผวิ ะให้อนงคน์ วล ชนะหล่อนทนงใจ. บ่มยิ อมจะร่วมรัก และสมัครสมรไซร้, ก็ดะนูจะยอมให้ วนิดานวิ าศสวรรค์,.... ๒. การใชโ้ วหาร กวใี ช้อุปมาโวหารในการกลา่ วชมความงามของนางมัทนาทำให้ผ้อู า่ น มองเห็นภาพความงามของมทั นาเด่นชดั ข้ึน ดังตัวอยา่ ง งามผิวประไพผอ่ ง กลทาบศภุ าสพุ รรณ งามแก้มแฉล้มฉนั พระอรณุ แอร่มละลาน งามเกศะดำขำ กลนำ้ ณ ทอ้ งละหาน งามเนตรพนิ ิจปาน สมุ ณีมะโนหะรา งามทรวงสลา้ งสอง วรถันสมุ นสุมา- ลีเลิดประเสริฐกว่า วรุบลสะโรชะมาศ งามเอวอนงค์ราว สรุ ะศิลปชาญฉลาด เกลากลึงประหนึง่ วาด วรรปู พไิ ลยพะวง งามกรประหนง่ึ งวง สุระคชสเุ รนทะทรง นวยนาฏวิลาศวง ดุจะรำระบำระเบง ซ้ำไพเราะน้ำเสียง อรเพียงภริ มย์ประเลง,

ไดฟ้ ังกว็ งั เวง บ มิว่างมิวายถวิล นางใดจะมเี ทียบ มะทะนา ณ ฟ้า ณ ดนิ เป็นยอดและจอดจนิ - ตะนะแนว่ ณ อก ณ ใจ ๓. การใชล้ ีลาจังหวะของคำทำใหเ้ กิดความไพเราะ กวมี คี วามเชย่ี วชาด้านฉันทลกั ษณ์อยา่ ง ย่ิง สามารถแตง่ บทเจรจาของตัวละครให้เป็นคำฉันท์ไดอ้ ยา่ งดเี ยย่ี ม อีกทงั้ การใชภ้ าษากค็ มคาย โดยที่ บังคับฉนั ทลกั ษณ์ ครุ ลหุ ไม่เป็นอปุ สรรคเลย เช่น บทเก้ียวพาราสีตอ่ ไปน้ี แต่งด้วยวสันตดิลกฉนั ท์ ๑๔ มีการสลบั ตำแหน่งของคำ ทำให้เกดิ ความไพเราะได้อยา่ งยอดเยีย่ ม สเทษณ์ : พ่ีรักและหวังวธุจะรกั และบทอดบท้ิงไป มทั นา : พระรกั สมัครณพระหทัย ฤจะทอกจะท้ิงเสยี ? สเุ ทษณ์ : ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมอิ าจจะคลอเคลีย มัทนา : ความรักระทดอุระละเห่ยี ฤจะหายเพราะเคลยี คลอ ๔. การใช้คำทีม่ เี สียงไพเราะ อนั เกิดจากการเล่นเสยี งสัมผสั คลอ้ งจอง และการหลากคำทำให้ เกดิ ความำพเราะ เช่น ตอนมายาวินร่ายมนตร์ อา้ สองเทเวศร์ โปรดเกศข้าบาท ทรงฟงั ซ่งึ วาท ทีก่ ราบทลู เชอญ โปรดช่วยดลใจ ทรามวัยใหเ้ พลิน จนลมื ขวยเขนิ แล้วรบี เรว็ มา ดว้ ยเดชเทพไท้ ทรามวัยรูปงาม จงไดท้ ราบความ ขา้ ขอนนี้ า แมค้ ดิ ขดั ขนื ฝนื มนตร์คาถา ขอใหน้ ทิ รา เข้าสงึ ถึงใจ มาเถิดนางมา อย่าช้าเช่ืองช้อย ตูข้านค้ี อย ตอ้ นรบั ทรามวัย อ้านางโศภา อย่าช้ามาไว ตูขา้ สง่ั ให้ โฉมตรูรบี จร. โฉมยงอย่าขัด รบี รดั มาเถิด ขนื ขัดคงเกดิ ในทรวงเร่าร้อน มาเร็วบดั น้ี รบี ลีลาจร มาเรว็ บังอร ข้าเรียกนางมา จากตวั อย่างมกี ารเล่นเสยี งสมั ผสั ใน ท้งั สัมผัสสระและสมั ผัสอักษร และการหลากคำ

๓. คณุ ค่าด้านสงั คม ๑. สอดแทรกความคดิ เกย่ี วกบั ความเช่ือในสังคมไทย เช่น ๑.๑ ความเช่ือเร่อื งชาตภิ พ ๑.๒ ความเชื่อเรอื่ งการทำบุญมากๆ จะได้ไปเกิดในสวรรค์ และเสวยสขุ ในวมิ าน ๑.๓ ความเชื่อเรือ่ งทำกรรมสงิ่ ใดย่อมได้รับผลกรรมนัน้ ๑.๔ ความเชื่อเร่อื งเวทมนตรค์ าถา การทำเสนห่ เ์ ล่ห์กล ๒. แสดงกวที ัศน์ โดยแสดงใหเ้ หน็ ว่า \"การมรี กั เปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งย่ิง\" ตรงตามพทุ ธวัจนะที่ว่า \"ที่ใด มรี กั ทนี่ ั่นมที ุกข์\" เชน่ ๒.๑ สเุ ทษณ์รักนางมัทนาแต่ไม่สมหวงั กเ็ ปน็ ทกุ ข์ แมเ้ ม่ือได้เสวยสขุ เปน็ เทพบุตรกย็ งั รกั นางมัทนาอยู่ จึงทำทกุ อย่างเพื่อให้ไดน้ างมาแตไ่ ม่สมหวงั ก็พร้อมท่จี ะทำลาย ความรักเชน่ น้เี ป็น ความรักทเ่ี หน็ แกต่ วั ควรหลกี หนีให้ไกล ๒.๒ ทา้ าสรุ าษฎร์รักลูกและรกั ศักดิศ์ รี พรอ้ มที่จะปกป้องศกั ดศิ์ รแี ละลูกแมจ้ ะสไู้ มไ่ ด้ และต้องตายแน่นอนก็พรอ้ มทจ่ี ะสู้ เพราะรกั ของพ่อแม่เปน็ รกั ที่ลรสิ ทุ ธิ์และเทีย่ งแท้ ๒.๓ นางมทั นารกั บดิ า นางยอมท้าวสเุ ทษณเ์ พ่ือปกป้องบิดา รักศกั ดื์ศรีและรกั ษา สัจจะ เม่ือทำตามสัญญาแล้วจงึ ฆ่าตัวตาย รกั ของนางมัทนาเปน็ ความรกั ที่แทจ้ รงิ มนั่ คง กล้าหาญและ เสยี สละ ๒.๔ ท้าวชัยเสนและนางจันที เปน็ ความรักท่ีมคี วามใครแ่ ละความหลงอย่ดู ว้ ยจึงมี ความรสู้ กึ หงึ หวง โกรธแคน้ เมือ่ ถูกแยง่ ชิงคนรัก พร้อมที่จะตอ่ สทู้ ำลายทุกอย่างเพือ่ ให้ได้กลบั คืนมา ตวั ละครทั้งหมดในเร่ืองประสบแตค่ วามทุกระทมจากความรัก มีรักแลว้ รกั ไมส่ มหวงั กเ็ ป็นทกุ ข์ อยู่กบั คนทีไ่ ม่รกั กเ็ ปน็ ทกุ ข์ มรี ักแลว้ ไมไ่ ดอ้ ยูก่ บั คนรักก็เป็นทกุ ข์ มคี วามรักแล้วถกู แยง่ คนรกั กเ็ ปน็ ทกุ ข์ มีรกั แล้วพลดั พรากจากส่งิ ทีร่ ักก็เปน็ ทุกขแ์ กน่ ของเรอ่ื งมทั นะพาธาแสดงให้เห็นว่า ผู้ทม่ี ีความรักตอ้ ง เจ็บปวดจากความรักท้งั สิ้น ๓. ให้ข้อคิดในการครองตน หญิงใดอยใู่ นฐานะอยา่ งนางมทั นาจะต้องมคี วามระมดั ระวงั ตวั หลีกหนีจากผ้ชู ายมาราคะใหไ้ กล กวจี งึ กำหนดให้ทางมทั นาถูกสาปกลายเปน็ ดอกไมช้ ื่อดอกกุชฺ กะ (กหุ ลาบ) ซ่งึ สวยงามมีหนามแหลมคมเป็นเกราะป้องกนั ตนให้พน้ จากมอื ผูท้ ป่ี รารถนาจะหักหาญราน กิ่งหรอื เด็ดดอกไปเชยชม ดอกกหุ ลาบจึงเป็นสญั ลกั ษณแ์ ทนหญงิ สาวท่มี ีรปู สวยย่อมเปน็ ทห่ี มายปอง ของชายทัว่ ไป หนามแหลมคมเปรยี บเหมือนสติปญั ญา ดังนัน้ ถา้ หญิงสาวทีร่ ปู งามและมคี วามเฉลียว ฉลาดรู้ทันเลห่ ์เหลี่ยม ยอ่ มสามารถเอาตัวรอดจากผ้ทู ่ีหมายจะหยามเกียรติหรือหมิ่นศักดศ์ิ รไี ด้

๔. ใหข้ อ้ คิดในเรอื่ งการมีบรวิ ารทขี่ าดคุณธรรมอาจทำใหน้ ายประสบหายนะได้ เชน่ บริวาร ของทา้ วสเุ ทษณท์ ่ีเป็นคนธรรพ์ ชอ่ื จิตระเสนมหี น้าท่ีบำรุงบำเรอใหเ้ จ้านายมคี วามสุข มีความพอใจ ดงั น้นั จึงทำทุกอยา่ งเพือ่เอาใจผู้เป็นเจา้ นาย เชน่ แสวงหาหญงิ งามมาเสนอสนองกเิ ลสตณั หาของ เจ้านาย ให้วิทยาธรชอ่ื มายาวินใช้เวทมนตร์สะกดนางมัทนามาใหท้ ้าวสุเทษณ์ บรวิ ารลักษณะอย่างน้ีมี มากในสงั คมจรงิ ซ่ึงมสี ว่ นใหน้ าย หรือประเทศชาติ ประสบความเดือดรอ้ นเสยี หายได้ บทละครพูดคำฉันท์ เร่ือง มัทนะพาธาถอื เปน็ วรรณคดีเรอ่ื งเย่ียมและไดร้ บั การยกย่องจากวรรณคดี สโมสรให้เปน็ แบบอย่างของบทละครพูดคำฉนั ท์ โดยวรรณคดเี รอื่ งนี้ให้ความเพลดิ เพลนิ จากเนือ้ หาท่ี ชวนตดิ ตาม และวรรณศิลปอ์ นั ไพเราะแล้วยังให้ขอ้ คิดเกีย่ วกบั ความรักอยา่ งน่าสนใจ จึงควรศึกษา วรรณคดีเรอ่ื งนี้อย่างพนิ จิ พเิ คราะห์ เพือ่ ให้เกดิ ประโยชน์จากการอ่านอย่างครบถว้ นสมบูรณ์

ใบงานที่ ความเป็นมาและประวตั ิผแู้ ต่งบทละครพดู คาฉันท์ 2.1 เรอ่ื ง มทั นะพาธา คำช้ีแจง ให้นกั เรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี 1. บทละครพดู คำฉันท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา มีความเป็นมาอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. 2. ผ้แู ตง่ บทละครพูดคำฉันท์ เร่ือง มัทนะพาธา คือใคร มีประวัติเปน็ อยา่ งไร .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. 3. บทละครพดู คำฉันท์ เร่อื ง มทั นะพาธา แต่งขน้ึ เพอื่ จดุ มงุ่ หมายใด .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. 4. บทละครพดู คำฉันท์ เรื่อง มทั นะพาธา มรี ปู แบบในการแตง่ ด้วยลักษณะคำประพันธแ์ บบใด .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. 5. พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถทางดา้ นใด และทรงมีผลงานพระราช นิพนธ์เร่ืองใดบา้ ง .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................................. ……………………………………………….ให้นกั เรียนทำใบงานลงในสมุดได้เลยค่ะ.......................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook