Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม

มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-11-08 00:45:32

Description: มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

พันธุ์ทุเรียน การปฏิบัติดูแลรักษา ตั้งแต่เร่ิมปลูกจนถึง ถา จะปลกู ทเุ รยี นประเภทหนกั และพนั ธกุ ลาง ตอ้ งเอาดนิ ให้ผล การเก็บเก่ียวผล แต่ละข้ันตอนต้องใช้ภูมิปัญญา ทตี่ ดิ กบั รากออกเสยี บา้ ง วางกงิ่ ลงตรงกลางโคก ใชไ มป ก ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ รวมท้ังการเอาใจใส่ดูแล ตามระยะที่กะไว้ ฟันดินให้เป็นรูปมนกลม มีเส้นผ่าน อย่างใกลช้ ดิ ศนู ย์กลางประมาณ ๑.๕ เมตร ย่อยดินใหเ้ ลก็ ลง พนู ดนิ ภมู ปิ ญั ญาการท�ำ สวนแบบสวนยกรอ่ ง เนอื่ งจาก ให้เป็นโคก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร สภาพแวดลอ้ มของพน้ื ทส่ี วนเปน็ ทร่ี าบลมุ่ รมิ แมน่ า้ํ เจา้ พระยา สงู ๕๐ - ๖๐ เซนติเมตร บางคนเตรยี มดนิ แบบยกโคก มคี ลองเชอ่ื มตอ่ หลายสาย ท�ำ ใหน้ าํ้ พดั พาตะกอนมาทบั ถม โคกไม่สูงมาก เมื่อทุเรียนโตข้ึน รากจะแผ่ออกและ อยตู่ ลอด สง่ ผลใหล้ �ำ คลองตน้ื เขนิ เรยี กวา่ เปน็ สวนเชงิ เลน จะตอ้ งตง้ั ใหต้ ง้ั ตรงโดยใชไ มป้ กั ขนาบไว้ จดั รากใหเ้ รยี บรอ้ ย ชาวสวนได้ใช้ประโยชน์จากดินเชิงเลน ลอกข้ึนมาพอก แล้วกลบให้มิดราก นอกจากน้ียังมีการเตรียมดินแบบ โคนตน้ ไมเ้ ปน็ สารอาหารหรอื ปุย๋ แก่ตน้ ไม้ และปลูกต้นไม้ ขดุ หลมุ ท�ำ คอกขนึ้ มาเอาทเุ รยี นไวใ้ นคอก บางคนท�ำ ราง แบบยกรอ่ ง เพอ่ื ปอ้ งกนั นาํ้ ทว่ มในชว่ งนาํ้ หลาก สว่ นบรเิ วณ เอาน้ําขังคอกไว้เพ่ือป้องกันปลวกและแมลงไปกินราก ท่ีดินบนตลิ่งเป็นสวนดอน ดินที่อยูขางในเปนดินเหนียว บางคนใชไ้ มไ้ ผ่ ไม้หมาก รองหลมุ ท�ำ ให้ดินโปร่ง หรือดินดาน เน้ือแน่น น้ําไหลผ่านไม่ได้ ต้องปลูกต้นไม้ (ข) ข้ันตอนการปลูก ทุเรียนที่นำ�มาปลูก แบบยกรอ่ งโดยการขดุ หนา้ ดนิ ขน้ึ มากลบใหส้ งู ปดิ ดนิ ดาน ควรเปน ทเุ รยี นทช่ี �ำ ไวจนตงั้ ตวั ไดด้ แี ลว้ แตไ มค่ วรเกนิ ๑ ปี การท�ำ สวนแบบยกรอ ง คอื การขดุ ดนิ ขนึ้ มาถมใหเ้ ปน็ คนั สงู ใช้ทางมะพร้าวปักริมโคก เพ่ือให้ร่ม ใส่ปุ๋ยและข้ีเลน เรียกว่า “อกร่อง” พ้ืนท่ีท่ีขุดดินข้ึนมาถมจะเกิดเป็นรอง การเตรียมดินแบบขุดหลุมควรปลูกในต้นฤดูฝน คือ เรยี กวา “ทองรองสวน” สวนทเี่ ปน เชิงเลนไมนิยมใหมนี ํ้า ราวเดือนพฤษภาคม และควรปลูกเวลาเช้าหรือเย็น รอบคันสวนทั้งส่ีดาน แต่จะมีด้านหรือสองด้านท่ีเปน โดยให้หน้าใบสู้แดด คือ ให้หันไปทางทิศตะวันตก ท้องรอง เพ่ือที่จะอาศัยรองสวนยันนํ้าชวงน้ําหลากไมให ในอดีตมีความเช่ือว่าทุเรียนควรปลูกในวันพฤหัสบดี คนั สวนลม ทกุ รอ่ งสวนสว่ นใหญจ่ ะเชอ่ื มโยงถงึ กนั หมดและ กอ่ นปลกู ทเุ รยี นควรปลกู ตน้ กลว้ ยนาํ้ วา้ ใกล้ ๆ ทงั้ ๔ ดา้ น เช่ือมต่อไปยังลำ�ธารสาธารณะขนาดเล็กหรือลำ�ประโดง ก่อนสัก ๒ เดือนและควรปลูกต้นทองหลางไปด้วยกัน ซง่ึ เปน็ แนวแบง่ พน้ื ทส่ี วนดว้ ย โดยมที อ่ นา้ํ น�ำ นา้ํ เขา้ ออกสวน ต้นกลว้ ยจะช่วยเปน็ ร่มบังแดดในฤดูแลง้ เม่อื ตน้ ทเุ รียน ชาวสวนนิยมปลูกต้นทองหลางตามแนวร่องและปลูกพลู มีอายุได้ ๒ ปี ต้นทองหลางเจริญเติบโตพอจะเป็นร่ม หรือพริกไทยใต้ต้นทองหลาง พลูจะเลื้อยข้ึนตาม ได้แลว้ จึงตดั กล้วยออก ต้นทองหลาง โดยอาศัยนํ้าเล้ียงจากต้นทองหลาง (ค) การบริหารจัดการนํ้า ร่องสวนส่วนใหญ่ ต้นทองหลางจะช่วยพรางแสง ส่วนของรากจะเป็นปุ๋ย จะเช่ือมโยงถึงกันต่อไปยังลำ�ธารสาธารณะขนาดเล็ก ช่วยอุ้มนํ้าเอาไว้ และใบของต้นทองหลางจะร่วงหล่นลง หรอื ลำ�ประโดง ซึง่ ต่อจากคลองใหญ่เขา้ มา โดยมที อ่ นํา้ ในท้องร่องสวน ทำ�ใหเ้ กดิ การทับถมของใบทองหลางและ นำ�น้ําเขา้ ออกสวนเพื่อบรหิ ารจดั การนํา้ ใหเ้ หมาะสมกบั ใบไมอื่น ๆ ในสวน รวมท้งั วัชพืช เม่ือหมักอยใู นทอ งรอง ความตอ้ งการของตน้ ทเุ รยี นและสภาพแวดลอ้ ม ในอดตี เปนเวลา ๑ ปี จะกลายเปนธาตุอาหารมีประโยชนกับ ชาวสวนจะใชต นตาลต้นใหญ่ ยาวประมาณ ๕ - ๖ ศอก ตนไมหรอื เรียกวาปยุ ตามรองสวน หรอื ความยาวทมี่ ขี นาดมากกวา่ ทอ งคนั สวน ทะลวงเอา ภมู ปิ ญั ญาการปลกู ทเุ รยี น ชาวสวนทเุ รยี นนนทบรุ ี ไสแ กนออกใหก ลวงเหมอื นทอ่ นา้ํ แลว้ น�ำ ไปวางตามขวาง ได้สืบทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษมาทุกขั้นตอน ตั้งแต่ กับทองคันสวน เรียกว่า ทอน้ําเขา - ออก ทอปลาย การเตรียมดิน การเลือกชนิดพันธุ์ทุเรียน การปฏิบัติ อีกดานถากใหกลมเล็กกว่าทอนํ้าประมาณ ๒ ศอก ดแู ลรักษา ตัง้ แตเ่ ร่มิ ปลกู จนถงึ ให้ผล และการเก็บเกย่ี วผล ทํากระบังเปนวงกลมหนาขนาดฝามือ ปลายอีกดาน (ก) ขั้นตอนการเตรียมดิน กอนเตรียมดิน ถากเปนส่ีเหลี่ยมผืนผาหนาจนสุดปลายไม เจาะรู จะตองถางหญาบริเวณสวนและรองสวนใหสะอาด ถาจะ ตรงกลางเปนวงกลม ใหไมไผลําใหญสอดไดใกลกับ ปลูกทเุ รยี นประเภทเบา ใชร้ ะยะหา่ งระหวางตน ๓ เมตร กระบงั แลว้ เอาใบหมากแหง ลอ มเปน วงกลม เอาใบตองแหง 49

พนั รอบใบหมาก เรยี กวา “เสวยี น” เสวยี นจะแนบกบั กระบงั ภูมิปัญญาในการคัดเลือกสายพันธ์ุทุเรียน ชวยกันนํ้าไมใหไหลเขาหรือออก แต่ถาจะใหน้ําออก พันธ์ุทุเรียนนนท์เป็นชนิดทุเรียนปลูก ปัจจุบันมี จากสวน ตอ้ งเอาลกู ทอ ไวน อกสวน ตอ งหมน่ั สงั เกตเสวยี น ๒ ลกั ษณะ คอื พนั ธท์ุ างการคา้ ไดแ้ ก่ กา้ นยาว หมอนทอง และคอยเปลยี่ นเสมอเมื่อใบตองแหง เปอย การเก็บกักนํ้า ชะนี กระดมุ และพนั ธด์ุ ง้ั เดมิ ไดแ้ ก่ กบแมเ่ ฒา่ กบชายนา้ํ ในร่องสวนเป็นภูมิปัญญาสำ�คัญที่ทำ�ให้ทุเรียนนนท์ ย่าํ มะหวาด กํ่าปัน่ ขาว ก�ำ ปนั่ พวง มีรสชาติอร่อยต่างจากแหล่งอ่ืน ในปัจจุบันชาวสวน ภูมิปัญญาในการบริโภคทุเรียน การทำ�เป็น ทเุ รยี นนนทห์ ลายสวนยงั คงใช้วธิ ีนี้ อาหารและการแปรรูป (ง) การลอกทองรอง เป็นการนําขี้โคลนที่ ภูมิปัญญาในการสร้างค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เกิดจากการทับถมของใบไมขึ้นมาเปนปุยใหกับต้นไม้ ร่วมกัน เพื่อการอยู่ร่วมกันโดยสันติ แสดงออกผ่าน ผลประโยชนท์ ตี่ ามมาคอื ปลาและสตั วน์ า้ํ ตา่ งๆในรอ่ งสวน ประเพณี พธิ กี รรม ไดแ้ ก่ ประเพณลี งแขกลอกทอ้ งรอ่ งสวน ชาวสวนท่ีมีลำ�ประโดงร่วมกันจะช่วยกันลอกท้องร่อง (ค่านิยมเร่ืองความสามัคคี การช่วยเหลือเก้ือกูลกัน) หรือในกรณีท่ีไม่สามารถมารว่ มชว่ ยได้ ก็จะช่วยเป็นเงนิ ประเพณีทำ�บุญสลากภัตทุเรียน (ค่านิยมเรื่องความ (จ) การปฏิบัติดูแลรักษา ต้ังแต่เร่ิมปลูกจน กตัญญแู ละการท�ำ บุญท�ำ ทานเม่อื ได้ผลผลติ ) ถงึ ใหผ้ ล (ฉ) การเก็บเก่ยี วผล ปัจจุบันนอกจากชาวสวนทุเรียนดั้งเดิมยังคงรักษาพื้นที่สวนทุเรียนไว้ ได้ ในบางสวน ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากท่ีพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานความช่วยเหลือแก่เกษตรกร เช่น การพระราชทานก่ิงพันธุ์ การจัดทำ�โครงการอนุรักษ์สวนทุเรียนไทย (ทุเรียนนนท์) รวมท้ังจากองค์กรภาครัฐและเอกชน เช่น ชมรมอนุรักษ์และฟ้ืนฟูทุเรียนไทย (ทุเรียนนนท์) ได้ดำ�เนินการอบรม แจกจ่ายพันธุ์ ไม้ และให้คำ�ปรึกษา จนทำ�ให้ชาวสวนเร่ิมต่ืนตัวที่จะพลิกฟ้ืนสวนทุเรียนให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ อกี คร้ังหน่งึ 50

โดยสรุปแล้ว จังหวัดนนทบุรีเป็นแหล่งปลูก ปจั จบุ นั มกี ารปลกู ทเุ รยี นนนท์ในพน้ื ทอ่ี �ำ เภอ ทเุ รยี นทม่ี ชี อ่ื เสยี งของประเทศไทยมาแตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ต่าง ๆ ของจังหวัดนนทบุรี เป็นจำ�นวนท้ังส้ินกว่า อันเนื่องมาจากต้ังอยู่ในพ้ืนท่ีที่มีความอุดมสมบูรณ์และ ๑,๐๐๐ ไร่ “ทเุ รียนนนท”์ ได้รับการอนรุ กั ษ์ และเผยแพร่ จากภูมิปัญญาในการทำ�สวนของชาวสวนนนทบุรีและ รวมทั้งให้การสนับสนุนโดยตรงจากสำ�นักงานเกษตร ภูมิปัญญาในการคัดเลือกสายพันธุ์ทุเรียนจึงทำ�ให้ได้ผล จงั หวดั นนทบรุ ใี นโครงการฟน้ื ฟแู ละอนรุ กั ษส์ วนทเุ รยี นนนทบรุ ี ทุเรียนเน้ือหนา ละเอียดนุ่ม รสชาติหวานอร่อย เป็นที่ อย่างย่ังยืนตามแผนปฏิบัติราชการประจำ�ปีงบประมาณ เล่ืองลือ ทุเรียนนนท์จึงมีราคาสูง และเป็นที่ต้องการ พ.ศ. ๒๕๖๐ ท�ำ ใหเ้ กษตรกรไดร้ บั ความรแู้ ละขอ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ ง ของตลาด นำ�รายได้เข้าสู่ชุมชนและจังหวัดนนทบุรี ในการปลกู ขยายพนั ธ์ุ รวมทงั้ ดา้ นการตลาด ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก เม่ือชาวสวนนนทบุรีประสบปัญหาในเร่ืองน้ําท่วม การประมลู ทเุ รยี นในแตล่ ะปมี รี าคาสงู มาก และการจ�ำ หนา่ ย หลายครงั้ หลายหน ท�ำ ใหต้ น้ ทเุ รยี นลม้ ตายไปจ�ำ นวนมาก ไม่ได้กำ�หนดราคาต่อกิโลกรัมเหมือนทุเรียนทั่วไป แต่เป็น จึงได้แสวงหาแหล่งผลิตใหม่ท่ีจังหวัดในภาคตะวันออก การจำ�หน่ายยกลูก ซ่ึงราคาปัจจุบันอยู่ท่ีลูกละ ๓,๐๐๐ - และได้นำ�ภูมิปัญญาการทำ�สวนทุเรียนไปปรับสร้างสวน ๕,๐๐๐ บาท อีกทั้งในฤดูทุเรียนให้ผลผลิตในแต่ละปี ทเุ รยี นตอ่ ไปในจงั หวดั ภาคตะวนั ออก เชน่ จนั ทบรุ ี ระยอง จะมีการจองซื้อถึงสวน ซึ่งในด้านการตลาดถือว่า ปราจนี บรุ ี เป็นต้น ประสบความสำ�เร็จอย่างมาก จึงควรม่งุ เน้นในด้าน ดังนั้น อัตลักษณ์ของชาวสวนนนทบุรี คือ การส่งเสริมและให้ความสำ�คัญกับการอนุรักษ์ วัฒนธรรมชาวสวนท่ีมีความประณีตในการทำ�สวน สายพันธุด์ ้ังเดมิ มากกวา่ รวมทัง้ การพัฒนาสายพันธุ์ การดำ�เนินวิถีชีวิต การสร้างค่านิยม ประเพณีและ ใหม่ให้มีรสชาติท่ีดี ซึ่งถือเป็นการต่อยอดในเร่ือง วฒั นธรรมของการอยู่รว่ มกัน โดยมพี น้ื ฐานของการดูแล การพัฒนาพนั ธ์ทุ เุ รียนนนท์ รักษาพันธ์ุทุเรียน คู คลอง ร่องสวน วัดและชุมชน เป็นสำ�คัญ โดยในขณะนี้ชาวสวนทุเรียนนนทบุรี ได้รวม ตัวกันกอ่ ตัง้ กลุ่มอนุรกั ษท์ เุ รียนไทย (ทเุ รียนนนท์) โดยมี การประทบั ตราสวนบนกา้ นทเุ รยี น เพอ่ื รบั ประกนั คณุ ภาพ ให้แก่เจ้าของสวน การจัดงานเทศกาลทุเรียนไทย (ทุเรียนนนท์) ท่ีวัดใหญ่สว่างอารมณ์ และหน่วยงาน เอกชนตา่ ง ๆ นอกจากการรวมกลุ่มเพือ่ จ�ำ หน่ายทเุ รยี น ท่ีมคี ุณภาพแลว้ ยงั มีการแลกเปลย่ี นองค์ความร้รู ะหวา่ ง ชาวสวนทุเรียนไทย (ทุเรียนนนท์) ด้วยกัน นอกจากน้ี ทางสถาบนั การศกึ ษา กไ็ ดร้ ว่ มกนั สบื สานมรดกภมู ปิ ญั ญา ทางวัฒนธรรมการปลูกทเุ รยี นไทย โดยใชภ้ ูมิปัญญาของ สวนทเุ รยี นไทย (ทเุ รยี นนนท)์ แบบเดมิ เชน่ การยกโคนตน้ เปน็ โคก การใชป้ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ การปลกู ตน้ ทเุ รยี นในโรงเรยี น ได้แก่ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม โรงเรียนสตรีนนทบุรี โรงเรยี นเขมพทิ ยา 51

ปลาสลดิ หรอื ปลาใบไม้ ปบลาางสบลิดอ่ เป็นปลาสายพันธุ์ ไทยโบราณที่มักนิยม ชื่อเรียกในท้องถิน่ เล้ียงกันในพื้นที่น้ําจืด จึงทำ�ให้พื้นที่ใน ปลาสลดิ บางบ่อ ลักษณะของมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม อำ�เภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งแต่เดิม ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล เปน็ พน้ื ทเ่ี กษตรกรรม สามารถเพาะเลย้ี งปลาสลดิ ประเภท ด้วยวิธีการแบบธรรมชาติท่ีเกษตรกรได้รับ รายการมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมท่ตี อ้ งไดร้ ับ การถา่ ยทอดจากบรรพบรุ ษุ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ท้ังด้าน การสง่ เสรมิ และรักษาอยา่ งเรง่ ด่วน การขยายพันธ์ุ การเจริญเติบโตประกอบกับ จงั หวดั ผู้เสนอข้อมลู ขนึ้ บญั ชี มีภูมิปัญญาในการแปรรูปทั้งปลาสลิดแดดเดียว จงั หวัดสมุทรปราการ และปลาสลิดหอม จึงทำ�ให้ปลาสลิดบางบ่อ พ้นื ทปี่ ฏบิ ัติ มีชื่อเสียงเป็นท่ีรู้จักไปท่ัวประเทศและทั่วโลก อำ�เภอบางบ่อ จังหวดั สมทุ รปราการ ส่งผลให้อาชพี เพาะเลย้ี งปลาสลิดไดก้ ลายมาเป็น อาชพี ส�ำ คญั เคยี งคกู่ บั วถิ ชี วี ติ ของชาวสมทุ รปราการ ท้ังน้ี พ้ืนท่ีอำ�เภอบางบ่อเล้ียงปลาสลิดได้ผลดี เพราะมีสภาพภมู ศิ าสตรท์ ่เี หมาะสม คือ น้ํากรอ่ ย และน้ํามีคุณภาพเหมาะกับการเกิดของไรแดง แพลงก์ตอนสัตว์ ตะไคร่นํ้า ซึ่งเป็นอาหารท่ีดี ส�ำ หรบั ปลาสลิด ทำ�ให้ปลาสลิดโตเร็ว ตอ่ มาได้มี การขยายพ้ืนท่ีเพาะเล้ียงและแปรรูปปลาสลิด ไปยงั อ�ำ เภอใกลเ้ คยี ง คอื อ�ำ เภอเมอื ง อ�ำ เภอบางพลี และอำ�เภอบางเสาธง แต่ผู้บริโภคยังนิยม เรียกปลาสลิดแห้งจากจังหวัดสมุทรปราการ ว่า “ปลาสลดิ บางบ่อ”

(ทีม่ าของภาพ : รักบา้ นเกดิ ดใู น www.rakbankerd.com) พันธ์ปุ ลา ภายใน ๒๔ ชว่ั โมง ปลาจะเริม่ กอ่ หวอดวางไข่ ซ่ึงตัวผู้จะดูแลไข่ ส่วนตัวเมียจะกินไข่ จึงเป็นเหตุผลว่า อำ�เภอบางบ่อ จึงเป็นแหล่งปลาสลิด ต้องปล่อยเพศผู้เยอะกว่า ทำ�ให้อัตรารอดของลูกปลา ดีกว่า (ถ้าพบว่าลูกปลาไม่ค่อยติด สามารถซ้ือลูกปลา ที่มีช่ือเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในด้านรสชาติท่ีอร่อย มาปล่อยเพ่ิม) และจะปรับสภาพสีนํ้าให้มีสีชาอ่อน ๆ และมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ภายใต้ชื่อ “ปลาสลิด ภายใน ๔๘ ช่ัวโมง โดยการฟันหญ้าบริเวณท่ีวางไข่ บางบ่อ” จากภูมิปัญญาของคนในท้องถ่นิ น้เี อง ทำ�ให้ หลงั จากนนั้ ๗วนั ลกู ปลาจะขยายออกไปทวั่ บอ่ แลว้ คอ่ ยๆ ผู้เล้ียงปลาสลิดในอำ�เภอบางบ่อมีการพัฒนาแปรรูป เติมนํ้าให้เต็มบ่อ (ซ่ึงลูกปลาจะมาเล่นน้ํา แต่ถ้าลูกปลา ปลาสลิดสด โดยการทำ�เป็นปลาเค็มและตากปลา หายต้องหยุดทันที แสดงว่าคุณภาพนํ้านั้นไม่เหมาะสม) ทห่ี มกั เกลอื ถ้าตากไว้ ๑ วัน เรียกว่า ปลาสลิดแดดเดียว หลงั จากนน้ั ฟนั หญา้ ใหเ้ ปน็ อาหาร โดยชว่ งแรก ๆ ฟนั หญา้ มเี นอื้ นมุ่ อรอ่ ยและยงั มนี าํ้ หนกั ทดี่ ีมคี วามแหง้ พอหมาดๆ ครงั้ หนึง่ อาจจะอยไู่ ปถึง ๗ - ๑๕ วัน ขึ้นอยกู่ บั สขี องนาํ้ เหมาะสำ�หรับทอด และเน้ือปลาไม่แข็งกระด้างเกินไป ซ่ึงถ้านํ้าดำ�มาก ลูกปลาจะตาย พอปลาอายุ ๑ เดือน เม่ือเปรียบเทียบกับปลาท่ีตาก ๒ วัน นอกจากนี้ ลูกปลาเร่ิมโต จะฟันหญ้าให้ประมาณเดือนละคร้ัง ชาวอำ�เภอบางบ่อยังได้คิดค้นการแปรรูปปลาสลิด โดยฟนั เป็นรอ่ ง กว้างประมาณ ๑.๕๐ เมตร และเว้นไว้ จนได้สูตรปลาสลิดหอมบางบ่อท่ีถือเป็นส่ิงบ่งช้ีทาง ๕๐ เซนติเมตร เวลาร้อนปลาจะได้หลบบริเวณหญ้าได้ ภูมศิ าสตรข์ องประเทศไทยอีกดว้ ย ซง่ึ ปลาจะกนิ แพลงกต์ อนทเ่ี กดิ จากหญา้ หมกั เมอ่ื ผา่ นไป วิธีการเล้ียงปลาสลิด อำ�เภอบางบ่อ จังหวัด ๓เดอื นหญา้ ทเ่ี วน้ รอ่ งไวเ้ หลอื ใหฟ้ นั ออกหมดเปน็ การเพมิ่ สมทุ รปราการ พบวา่ บอ่ จะมขี นาด ๒ ไร่ และมกี ารเตรยี ม อาหารใหม้ ากขน้ึ และปลาสามารถวง่ิ ไปหากนิ ไดท้ ว่ั ทง้ั หมด บอ่ ก่อนเลี้ยง โดยตากบ่อประมาณ ๒๐ วัน ให้ดินแหง้ ของบรเิ วณบอ่ แตห่ ญา้ กจ็ ะมขี น้ึ มาใหม่ โดยการแหวกรอ่ ง และฟันหญ้าบริเวณนั้น เช่น หญ้าแพรกทะเล ธูปฤาษี ใหแ้ สงสอ่ งลงไป หญา้ กจ็ ะแทงขน้ึ มาใหม่ ซง่ึ ท�ำ ใหม้ หี ญา้ สุมไว้ในลักษณะท่ีปลาจะวางไข่ แล้วปล่อยนํ้าดีเข้าใน ตลอดทั้งปี ต้องอาศัยประสบการณ์ในการสังเกตว่า ระดับความสูง ๓๐ - ๔๐ เซนติเมตร แล้วสังเกตสีนํ้า ควรฟนั หญา้ โดยความถีเ่ ทา่ ใดในสถานการณ์นัน้ ๆ ทง้ั น้ี ว่าใช้ได้หรือไม่ ถ้าเป็นแบบตะกอนสนิมจะใช้ไม่ได้ มีข้อสังเกตว่าปลาลายเสือจะโตสู้ลายอื่นไม่ได้และรอบ ตอ้ งปลอ่ ยทงิ้ (นา้ํ เปรยี้ วลกู ปลาจะตายหมด) ซง่ึ ถา้ นา้ํ ได้ การเลี้ยงปลาขึน้ อยกู่ ับสภาพของนา้ํ เปน็ ปัจจัยส�ำ คญั จะเร่ิมเกิดกระบวนการหมักกับหญ้า แล้วจึงปล่อย ปลาสลิดเป็นปลาที่ไม่นิยมรับประทานสด พอ่ พนั ธุ์ : แมพ่ นั ธปุ์ ลาในอตั ราสว่ นประมาณ ๒๐ กโิ ลกรมั แต่นิยมนำ�มาทำ�เค็มและตากแห้ง อย่างไรก็ตาม หากมี ในเนื้อท่ี ๓ ไร่ (อัตราส่วนพ่อพันธ์ุ : แม่พันธ์ุปลา กรรมวิธีในการแปรรูป การเก็บรักษาหรือมีสภาพ ประมาณ ๒ : ๑) ทงั้ น้ี พอ่ พนั ธุ์และแมพ่ ันธจุ์ ะมาจาก แวดลอ้ มตา่ ง ๆ ทไ่ี มเ่ หมาะสม เชน่ ถา้ อยใู่ นอณุ หภมู สิ งู จะ การคัดในบ่อตัวเอง แต่จะมีการเอาปลาที่อ่ืนจากแถว จังหวัดฉะเชิงเทราและนครนายกมาผสมหลังจากใช้ พันธ์ุปลาเดิมไป ๒ ปีแล้ว หลังจากปล่อยพ่อพันธุ์แม่ 53

(ท่ีมาของภาพ : เทคโนโลยชี าวบ้าน ดใู น www.technologychaoban.com) เกิดการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์หรือจากสัตว์ก่อโรคต่าง ๆ ๓) รสชาติหรือรสสัมผัสของปลาสลิด ย่อมทำ�ให้ปลาสลิดท่ีผ่านการแปรรูปแล้วเน่าเสียได้ง่าย อนั เกดิ จากการแปรรปู คอื รสเคม็ เนอ้ื แนน่ ไมม่ กี ลนิ่ กรรมวิธีในการแปรรูปและการเก็บรักษา จึงเป็นปัจจัย สาบกลน่ิ คาว มไี ขมนั แทรกอยู่ในเนื้อปลา เนื่องจาก สำ�คัญในการทำ�ให้ปลาสลิดสามารถเก็บไว้รับประทาน การเลยี้ งปลาสลิดด้วยกรรมวิธแี บบธรรมชาติ ทำ�ให้ ไดน้ าน ไมเ่ นา่ เสยี งา่ ย ดงั นนั้ การแปรรปู ปลาสลดิ จะตอ้ งมี ปลาตอ้ งแหวกวา่ ยหาอาหารอยตู่ ลอดเวลา ส่งผลให้ กรรมวิธีท่ีถูกต้องและการเก็บรักษาท่ีถูกวิธี เพื่อยืดอายุ ปลามกี ลา้ มเนอ้ื แนน่ ตลอดจนการใชบ้ อ่ ปลาซง่ึ เคยเปน็ ของปลาสลิดให้นานท่ีสุด ปลาสลิดจึงเป็นท่ีนิยมของ ดินทะเลมาก่อน จึงช่วยลดกลิ่นสาบซ่ึงเป็นลักษณะ ผ้บู ริโภค ทั้งปลาสดและแปรรปู เปน็ ผลิตภัณฑต์ า่ ง ๆ เช่น ประจำ�ตัวของปลาสลิดลง รวมถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ปลาสลดิ แดดเดยี วหรอื ปลาสลดิ ตากแหง้ ปลาสลดิ รมควนั ของหญ้าที่หมักในน้ําจะติดอยู่ที่ตัวปลา เป็นการลด ปลาเค็มปลาสลิด โดยเฉพาะอย่างย่ิงปลาสลิดตากแห้ง กล่ินคาวของปลาน้ําจืดชนิดนี้ลงไปได้มาก และ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ปลาสลิดแปรรูปที่นิยมรับประทาน ที่สำ�คัญคือ ปลาสลิดท่ีเล้ียงโดยวิธีธรรมชาติจะมี มากทส่ี ดุ เนอ่ื งจากสามารถเกบ็ รกั ษาไวไ้ ดน้ าน มรี สมนั อรอ่ ย ไขมันแทรกอยู่ในกล้ามเน้ือ จึงทำ�ให้เน้ือปลาไม่ร่วน และนำ�มาปรุงเป็นอาหารได้หลายอยา่ ง และไม่มไี ขมันแทรกอยู่ในท้องปลามากเกินไป กล่าวโดยสรุปแล้ว เอกลักษณ์ของปลาสลิด ปัจจุบันจังหวัดสมุทรปราการ ได้จัดต้ัง บางบ่อ จังหวดั สมุทรปราการ จงึ ประกอบด้วย ศูนย์เรียนรู้การเพาะเล้ียงและแปรรูปปลาสลิด ๑) รูปพรรณสัณฐานของปลาสลิดจังหวัด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ให้แก่เด็ก เยาวชนและ สมุทรปราการ คือ ตัวปลามีสคี ล้ํา เรยี บ แบน ครบี กาง ประชาชนทวั่ ไปใหท้ ราบถงึ ภมู ปิ ญั ญาแบบดงั้ เดมิ หางฉีก เนื่องด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ ซ่ึงบ่อเลี้ยง รวมถึงองค์ความรู้การประกอบอาชีพท่ีสร้าง ปลาสลิดจะอยู่ในเขตใกล้ชายทะเล ทำ�ให้น้ําในบ่อ รายได้ใหแ้ กป่ ระชาชนและชมุ ชนในอ�ำ เภอบางบอ่ มีสีออกคลํ้าคล้ายสีชา ตลอดจนการเล้ียงปลาสลิด และอ�ำ เภอตา่ ง ๆ ของจงั หวดั ดว้ ยเหตผุ ลส�ำ คญั แบบดั้งเดิมของชาวสมุทรปราการ เป็นระบบพ่ึงพิง ทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ การสบื ทอดองคค์ วามรภู้ มู ปิ ญั ญา ธรรมชาติ สง่ ผลใหแ้ สงแดดส่องลงไปในบ่อได้นอ้ ย และรักษาอาชีพด้ังเดิมของบรรพบุรุษให้คงอยู่ ๒) การแปรรปู ปลาสลดิ แบ่งออกเปน็ ๒ ชนิด สืบไป คือ ชนิดปลาสลิดแดดเดียว โดยการหมักเกลือและ การดองนา้ํ เกลอื และชนดิ ปลาสลดิ หอม ทง้ั นี้ การแปรรปู ปลาสลดิ ของชาวสมทุ รปราการ เกดิ ขน้ึ จากความตอ้ งการ ถนอมอาหารไวบ้ รโิ ภคนอกฤดกู าลหรอื ในชว่ งทไ่ี มส่ ามารถ จับปลาสลิดได้ 54

หมอ้ น้าํ ดินเผา ชาวไทยรามัญเกาะเกร็ด เกาะเกรด็ มีวิถีชีวิตเก่ียวพันกับการทำ�เครื่องป้ันดินเผา มาแต่อดีต นับต้ังแต่ได้อพยพจากดินแดนมอญ ช่อื เรียกในทอ้ งถ่ิน เขา้ มาพง่ึ พระบรมโพธสิ มภารพระมหากษตั ริย์ไทย หมอ้ น้ําลายวิจิตร โอง่ นํ้าลายวจิ ติ ร ต้ังแต่สมัยกรุงธนบุรี รัชสมัยพระบาทสมเด็จ ชาวไทยรามัญเรยี กวา่ “เนิง่ ” พระเจ้าตากสินมหาราช เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๑๗ ลักษณะของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งถิ่นฐานที่เกาะเกร็ดนนทบุรี งานช่างฝมี อื ดั้งเดมิ กระท่ังถึงปัจจุบัน ทุกครอบครัวได้ยึดถือการทำ� ประเภท เครื่องปั้นดินเผาเป็นอาชีพหลักและทำ�อาชีพอื่น รายการตัวแทนมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม เป็นอาชีพรองหรืออาชีพเสริม การทำ�เครื่องป้ัน จงั หวัดผเู้ สนอขอ้ มลู ขึ้นบัญชี ดนิ เผาจงึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ในการด�ำ เนนิ ชวี ติ ประจ�ำ วนั จังหวดั นนทบุรี ที่ทุกคนในครัวเรือนต้องช่วยกันทำ� ต้ังแต่เช้า พื้นท่ีปฏบิ ัติ จ ร ด เ ย็ น มี ก า ร แ บ่ ง ห น้ า ท่ี กั น ทำ � แ บ บ เ ก้ื อ กู ล ต�ำ บลเกาะเกร็ด อำ�เภอปากเกรด็ จังหวัดนนทบุรี ให้ความเคารพนับถือกันและสืบทอดการทำ� เครื่องป้ันดินเผา ขนบธรรมเนียมและพิธีกรรม อนั สืบเนื่องจากการทเครื่องป้นั ดินเผาไปพรอ้ มกัน 55

หมอ้ นา้ํ ดนิ เผาเกาะเกรด็ หรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ ลักษณะพิเศษของหม้อน้ําดินเผาเกาะเกร็ด อนั เปน็ เอกลกั ษณข์ องชา่ งปน้ั ชาวไทยรามญั เกาะเกรด็ “หม้อนํ้าลายวิจิตร” ซึ่งชาวไทยรามัญเรียกว่า “เน่ิง” มีหลายประการ ดังนี้ เปน็ เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาประเภทสวยงาม ประดษิ ฐล์ วดลาย ๑) ส่วนประกอบของหม้อน้าํ ดินเผาเกาะเกร็ด อยา่ งวจิ ติ รงดงาม สแี ดง ชนดิ ไมเ่ คลอื บ ท�ำ จากดนิ เหนยี ว ซงึ่ สว่ นใหญ่นิยมทำ�เปน็ ๓ สว่ น ประกอบด้วย มีความพรุนตัวสูง นิยมเรียกว่า หม้อนํ้าหรือโอ่งนํ้า - ฐ านรองหรือขารอง เป็นส่วนรองรับ สว่ นมากมขี นาดไมใ่ หญ่ มรี ปู ทรงและประดษิ ฐล์ วดลาย อยา่ งประณตี เปน็ พเิ ศษ โดยภายหลงั จากปนั้ ขน้ึ รปู แลว้ ตัวหม้อน้ํา ส่วนมากจะฉลุลวดลายโปร่ง จะน�ำ ไปผง่ึ พอหมาด ๆ เนอ้ื ดนิ ไมน่ ม่ิ หรอื แขง็ จนเกนิ ไป เป็นการเพ่ิมความงดงามและช่วยให้ น�ำ มาประดบั ตกแตง่ ลวดลาย เสรจ็ แลว้ ตอ้ งเกบ็ ไวใ้ นรม่ มีการระบายอากาศใต้หม้อนํ้า ทำ�ให้ ทไ่ี มม่ ลี มพดั ผา่ น ใชใ้ บตองกลว้ ยแหง้ คลมุ ไวอ้ ยา่ งมดิ ชดิ นํา้ เยน็ และไม่ให้เกิดความชื้นบนพื้นท่ตี งั้ อีกระยะหนึ่ง เมื่อแห้งแล้วทำ�การขัดผิวให้เป็นมัน หม้อน้ํา ซึ่งเป็นพื้นบ้านท่ีเป็นแผ่นไม้ จากนน้ั เกบ็ รายละเอยี ดอน่ื ๆ อกี แลว้ เกบ็ ตอ่ ไปจนแหง้ กระดาน เปน็ การปอ้ งกนั มใิ หพ้ นื้ บา้ นผพุ งั สนิทดี จึงน�ำ ไปเขา้ เตาเผาได้ เพราะอาจเกดิ ความชน้ื ไดถ้ า้ ตง้ั หมอ้ นา้ํ ไว้ บนพน้ื บา้ นทเ่ี ปน็ แผน่ ไมก้ ระดานโดยตรง จดุ ประสงคข์ องการท�ำ หมอ้ นา้ํ ดนิ เผาเกาะเกรด็ นบั เปน็ แหง่ เดยี วในประเทศไทยทห่ี มอ้ นา้ํ ในครง้ั แรกนน้ั ชา่ งปน้ั มไิ ดท้ �ำ การปน้ั ขน้ึ มาเพอ่ื การคา้ ขาย ดินเผามีฐานรองหรือขารอง แสดงถึง แต่ทำ�ข้ึนด้วยความต้ังใจด้วยใจรักและความศรัทธาต่อ ภมู ปิ ัญญาพ้ืนบ้านของชา่ งปั้น พระพุทธศาสนา โดยมักจะทำ�ขึ้นในโอกาสพิเศษ - ตวั หมอ้ หรอื ตวั โอง่ เปน็ สว่ นทอ่ี ยตู่ รงกลาง เพอ่ื น�ำ ไปถวายพระภกิ ษสุ งฆ์ และเพอ่ื เปน็ สงิ่ ของก�ำ นลั ออกแบบเป็นหลากหลายรูปทรงและ หรือสิ่งของบรรณาการแก่บุคคลผู้ที่เคารพนับถือ ประดบั ตกแตง่ ลวดลายตา่ งๆอยา่ งประณตี บคุ คลระดบั สงู สว่ นมากจงึ ท�ำ เปน็ หมอ้ นา้ํ ดมื่ หมอ้ ขา้ วแช่ บริเวณไหล่ พ้ืนท่ีว่างตรงกลาง ขอบบน และหม้อนํ้ามนต์ จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “หม้อนํ้า” หรือขอบปาก และขอบล่าง โดยเฉพาะ แต่บางคร้ังก็เรียกว่า “โอ่งน้ํา” ในปัจจุบันนิยมนำ� ทข่ี อบปากตวั หมอ้ หรอื ตวั โอง่ มกี ารท�ำ เปน็ หม้อน้ําดินเผาเกาะเกร็ดมาเป็นเคร่ืองประดับตกแต่ง ลักษณะเหมือนเส้นลวดบนขอบอีก บ้านเรือน วัด และสถานที่ทำ�งาน จนกระท่ังนำ�ไปสู่ ชั้นหนึ่ง เป็นการเพิ่มความงดงามมาก การเป็นส่วนหน่ึงของเคร่ืองป้ันดินเผาเกาะเกร็ด ยงิ่ ขน้ึ ดว้ ยการตกแตง่ ใหเ้ ปน็ ลายสรอ้ ยคอ ท่ีได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรอื ลายพวงมาลัย ทัง้ นี้ การท�ำ เส้นลวด (GI : Geographical Indication) จากกรมทรพั ย์สนิ ทำ�โดยการใช้ผ้าชุบนํ้าจับที่ขอบหรือ ทางปัญญา ตรงบรเิ วณทจี่ ะท�ำ ใหเ้ ปน็ เสน้ ใชป้ ลายนวิ้ หวั แมม่ อื ทง้ั สองกดลงบนผา้ ดว้ ยปลายเลบ็ ทั้งสอง ให้เล็บนิ้วหัวแม่มือท้ังสองเกือบ ชนกัน กดปลายเล็บทั้งสองบนผ้าขณะ แปน้ หมนุ จะเกดิ เปน็ เสน้ นนู ขน้ึ เสน้ ลวด มีขนาดเล็กหรือใหญ่นั้น ข้ึนอยู่กับการ วางนํ้าหนักมือและระยะของปลายเล็บ ทง้ั สอง 56

- ฝา นิยมทำ�รูปทรงยอดแหลม เรียกว่า - การแกะสลักลาย ใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น “ฝายอด” ประดับตกแต่งลวดลายอย่าง ไม้แกะสลักที่ทำ�จากไม้ไผ่ การใช้มีดหรือ งดงาม ทำ�ให้หม้อนํ้ามีความวิจิตรงดงาม เหล็กส�ำ หรับท�ำ ลวดลายต่าง ๆ ย่ิงขึ้น ไม่เหมือนกับหม้อนํ้าท่ีพบจาก แหลง่ อืน่ ๆ - การฉลุลาย ใชอ้ ุปกรณ์มดี ปลายแหลมตดั ดนิ ออกหรือเซาะดนิ ออกให้เปน็ รูปต่าง ๆ ๒) รปู ทรงของหมอ้ นา้ํ ดนิ เผาเกาะเกรด็ ข้ึนอยู่ เพ่อื ใหไ้ ดล้ วดลายโปรง่ กับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของช่างปั้น โดยที่พบน้ันสามารถจำ�แนกรูปทรงได้ ๑๑ แบบ ได้แก่ - การกดลายหรอื การประทบั ลาย มี ๒ แบบ ทรงกน้ กลมคอสงู ทรงกน้ กลมคอสนั้ ทรงโอง่ สลกั เอวใหญ่ คอื แบบที่ ๑ การน�ำ ดนิ เหนยี วมากดลาย ทรงโอ่งสลักเอวคอด ทรงโอ่งสลักทรงสูงเอวคอดหรือ หรือประทับลายจากแม่พิมพ์ท่ีแกะสลัก โอ่งก๊อก ทรงขวดโหล ทรงฟักทองคอส้ันหรือทรงป้อม ไว้แล้วนำ�ลายท่ีได้มาติดกับตัวหม้อนํ้า คลา้ ยใบฟกั ทอง ทรงฟกั ทองคอสงู ทรงมะยม ทรงกระบอก เรียกว่า “กระแหนะลาย” ส่วนแบบ และทรงตลก ทั้งน้ี หม้อนํ้าดินเผาเกาะเกร็ด เป็นทรง ท่ี ๒ ลายบางส่วนบนตัวหม้อเกิดจาก กน้ กลมคอสงู ตวั หมอ้ มลี กั ษณะกลมคลา้ ยบาตรพระสงฆ์ การกดลายหรือประทับลายด้วยแม่พิมพ์ สว่ นคอหมอ้ ยกสงู ขน้ึ และแบง่ เปน็ ชนั้ ๆ แตล่ ะชน้ั ของคอ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ส่วนมากเป็นลาย ประดบั ตกแตง่ ลวดลายกลบี บวั นนู เลก็ ๆ คลา้ ยลายกระจงั ขนาดเลก็ เพอื่ เพม่ิ ความเดน่ ของลายหลกั ที่ว่างใต้ขอบปากหม้อมักจะตกแต่งเป็นลายพวงมาลัย เช่น บริเวณพ้ืนที่ว่างระหว่างลายหลัก คาดรอบคอหม้ออีกช้ันหนึ่ง ปากหม้อผายเล็กน้อย หรอื ทขี่ อบของตวั หมอ้ นา้ํ หรอื ทส่ี ว่ นยอด ขอบปากหม้อประดับตกแต่งเป็นลายพวงมาลัยหรือ ลายพมู ะยม หมอ้ นาํ้ ดนิ เผาเกาะเกรด็ นน้ี บั วา่ เปน็ รปู แบบ ของฝาของหม้อน้ํา เปน็ ต้น ทสี่ วยงามทง้ั รปู ทรงและลวดลาย เมอื่ ทางราชการก�ำ หนด - การใช้แม่พิมพ์ลาย แม่พิมพ์ลายทำ�จาก ใหม้ ตี ราประจ�ำ จงั หวดั ขน้ึ ใช้ คณะกรรมการจงั หวดั นนทบรุ ี จึงได้เลือกรูปหม้อน้ําดินเผาเกาะเกร็ดมาเป็นตราประจำ� หนามทองหลางป่า (ที่โคนของหนาม จังหวัดนนทบุรี โดยเร่ิมใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ มีขนาดใหญ่) นำ�มาแกะสลักลายสำ�หรับ ตราบจนกระทั่งปัจจุบัน เป็นแม่พิมพ์ ใช้แม่พิมพ์กดลายลงบน ๓) วธิ กี ารประดบั ตกแตง่ ลวดลายลงบนหมอ้ นา้ํ ตัวหม้อน้ํา เพื่อเพิ่มความงดงามให้ลายท่ี ดินเผาเกาะเกร็ด มีกรรมวิธีการทำ�อย่างประณีต แกะสลักหรือขูดขีดให้มีความสวยงาม ด้วยความสามารถทางศิลปะเชิงช่างช้ันสูงของช่างปั้น ยง่ิ ขน้ึ เปน็ การท�ำ ใหเ้ กดิ ลายนนู เพม่ิ ความ ภายหลังจากการป้ันขึ้นรูปเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้หมาด งดงามให้แก่ลายแกะสลักหรือขูดขีดท่ีอยู่ (ไม่นำ�ออกผึ่งแดด) ต้องตกแต่งผิวภายนอกให้เรียบร้อย ในแนวราบใหม้ ลี ายนนู สลบั หรอื สอดแทรก ใช้กะลา หินขัด หรือลูกสะบ้าขัดก็ได้ ส่วนก้นหม้อนํ้า อยู่ท้ังภายในลายแกะสลัก หรืออยู่เป็น ต้องขูดตกแต่งให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน จากน้ันช่างปั้น อสิ ระนอกลายแกะสลัก จึงจะทำ�การประดับตกแต่งลวดลายให้เกิดความงดงาม ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ดงั น้ี 57

- ก ารขดู ขดี ใหเ้ กดิ ลายเสน้ ใชอ้ ปุ กรณง์ า่ ย ๆ - ลายรูปสัตว์ ไม่ค่อยทำ�กันมากนัก เช่น ไมแ้ กะสลักทีท่ �ำ จากไม้ไผ่ การใช้มดี เนื่องจากชาวไทยรามัญมีความเช่ือ หรือเหล็กเช่นเดียวกับการแกะสลักมา เกย่ี วกบั การท�ำ รปู คน รปู ตกุ๊ ตา รปู เทพนม ขดู ขดี ท�ำ ใหเ้ กิดลายเสน้ ตา่ ง ๆ หรอื รูปสตั ว์ จะทำ�เฉพาะหม้อน้าํ ทใี่ ชใ้ น พระพทุ ธศาสนา หรอื ในราชสำ�นัก ๔) ลวดลายที่ประดับตกแต่งลงบนหม้อนํ้า ดินเผาเกาะเกร็ด เป็นส่ิงท่ีสืบทอดต่อ ๆ กันมา - ล ายพวงมาลัย ใช้ประดับตกแต่งที่ จากบรรพบุรุษ ซ่ึงเป็นลวดลายแบบมอญ มีจำ�นวน ขอบปากท่ีคอของหม้อนํ้า ที่ส่วนยอด หลากหลายลาย ดังน้ี ของฝา และที่ขอบบนของฐานรอง - ล า ย ก ลี บ บั ว เ ป็ น ภ า ษ า ม อ ญ ว่ า หรือขารอง “กาวฮะเกาะฮ์” เป็นลวดลายหลักของ - ล ายไขป่ ลา ใชป้ ระดบั ตกแตง่ ในพน้ื ทว่ี า่ ง ก า ร แ ก ะ ส ลั ก ล ว ด ล า ย ห ม้ อ น้ํ า ข อ ง ของลายที่ตัวหม้อนํ้า ฝา และฐานรอง ชาวไทยรามัญเกาะเกร็ด มี ๒ แบบ หรอื ขารอง คือ ลายบัวคว่ํา ใช้ประดับตกแต่งที่ไหล่ หรอื บา่ ของหมอ้ นา้ํ ทฝ่ี าโอง่ และทฐ่ี านรอง - ล ายพวงดอกไม้ ใช้ประดับตกแต่งตาม หรือขารอง และลายบวั หงาย ใช้ประดบั คอ หรือขอบปาก และขอบบนของฐาน ประดาตกแต่งบริเวณส่วนล่างของหม้อ รองหรือขารองคลา้ ยกบั ลายพวงมาลยั น้ําทรงขวดโหลและหม้อนํ้าทรงสูง เอวคอดหรอื โอ่งกอ๊ ก หรือทรงกระบอก - ล ายเครือเถาหรือลายพรรณพฤกษา สำ�หรับประดับตกแต่งที่ไหล่หรือท่ีฐาน รองหรือขารอง ของหมอ้ นาํ้ - ล ายดอกไม้ (ดอกพิกุล ดอกรัก ดอกขจร ฯลฯ) ใช้ประดับตกแต่งท่ีคอ ไหล่ หรือ ท่ีขอบปากของหม้อน้ํา หรือตามเส้น ทีเ่ ปน็ กรอบหรือแบง่ พ้ืนท่ีของลาย - ลายสรอ้ ยคอหรอื ลายลกู กะหลา่ํ เปน็ ลาย กลมนูนเล็ก ๆ ติดต่อกันคล้ายสร้อยมุก หรือลูกกะหลา่ํ ใชป้ ระดบั ตกแต่งบริเวณ กรอบแบ่งแนวลายหลกั - ล ายใบไม้ (ใบเทศ ผกั กดู ฯลฯ) ใชป้ ระดบั ตกแตง่ ประกอบลายหลกั คอื ลายกลบี บวั และทเ่ี ส้นแบง่ ลายหรือที่ขอบลาย - ล ายเทพนม ใช้ประดับตกแต่งตรงกลาง ลายกลีบบัวหงาย ทส่ี ่วนล่างของหมอ้ นา้ํ ทรงขวดโหล หรอื โอง่ ทรงสงู เอวคอด สว่ น ใหญ่เป็นหม้อนํ้าที่ใช้ในวัด หรือสำ�หรับ พระภิกษุสงฆ์ หรอื ในราชส�ำ นกั 58

- ลายพูมะยม ใช้ประดับตกแต่งท่ีขอบปาก การปั้นหม้อนํ้าดินเผาเกาะเกร็ดนั้น ยอดของฝา ขอบบนของฐานรองหรอื ขารอง เป็นการสะท้อนให้เห็นส่ิงท่ีดีงามและเป็น และขอบลา่ งของฐานรองหรือขารอง การสืบทอดการดำ�เนินชีวิตประจำ�วันตามหลัก - ล ายกากบาท ใช้ประดับตกแต่งในช่องว่าง คำ�สอนในพระพุทธศาสนาคุณธรรมจริยธรรม ระหว่างลายใหญ่ ๆ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและภูมิปัญญาท้องถ่ิน - ล ายวงกลม เป็นลายท่ีมีความเหมือนกับ และในอดีตการทำ�เคร่ืองป้ันดินเผาเกาะเกร็ด ลายสร้อยคอ แต่มีลักษณะกลมแป้น ๆ เป็นอาชีพท่ีสามารถทำ�รายได้เล้ียงครอบครัว ภายในวงกลมอาจมีลายเล็กเหมือนดอกไม้ ได้เป็นอย่างดี การทำ�หม้อนํ้าดินเผาเกาะเกร็ด หรือลายขีด ใช้ตกแต่งประกอบในช่องว่าง ทช่ี า่ งปน้ั จดั ท�ำ ขน้ึ ในโอกาสพเิ ศษเปน็ ศลิ ปะพน้ื บา้ น ระหวา่ งลายหลัก ที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดนนทบุรีก็มีความเจริญ - ล ายขีดแบ่งพื้นที่ บางส่วนของหม้อนํ้าที่มี ร่งุ เรืองตามไปด้วย ปัจจุบันความเจริญทางด้าน พน้ื ทมี่ าก เพอ่ื ไมใ่ หม้ องดโู ลง่ ๆ จงึ มกี ารขดี เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการผลิตเคร่ืองใช้ แบ่งพื้นที่ว่างด้วยเส้นตรงจากบนลงล่าง ในครัวเรือน จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมาใช้วัสดุท่ี หรือทำ�เป็นเส้นคู่ ระหว่างเส้นคู่ประดับ มีความทนทาน น้ําหนักเบา ผลิตได้รวดเร็วและ ลายเล็ก ๆ เช่น ลายสรอ้ ยคอ ลายกา้ งปลา จำ�นวนมาก มีประสิทธิภาพการใช้งานสูง ผู้คน เปน็ ต้น จึงไม่ใช้เคร่อื งป้นั ดินเผาอีกต่อไป ทำ�ให้เกิดภาวะ - ล ายกา้ งปลา เปน็ ลวดลายขดี รปู สามเหลย่ี ม ซบเซาและขาดผู้สืบทอดการทำ�เคร่ืองป้ันดินเผา เลก็ ใชก้ ดเพ่อื ตกแต่งพ้ืนทเ่ี ล็ก ๆ ระหว่าง เกาะเกรด็ ตลอดจนขาดแคลนชา่ งปน้ั เปน็ อยา่ งมาก พื้นทล่ี ายใหญ่ ต่อมาศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี โรงเรียน - ล ายกรวยเชิงหรือลายอุบะ เป็นลวดลาย สตรนี นทบรุ ี ไดข้ อความรว่ มมอื จากหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ประทับเพ่ือตกแต่งให้เป็นลายลึก หรือ เพอ่ื ด�ำ เนนิ การกจิ กรรมและโครงการอนรุ กั ษ์ ฟนื้ ฟู กดพิมพ์เปน็ ลายตามขอบล่างของลายหลัก การทำ�เครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ดอย่างเร่งด่วน ตา่ ง ๆ เพอ่ื เน้นลายหลักใหด้ งู ดงามยิง่ ขน้ึ รวมถึงการเปิดศูนย์เคร่ืองปั้นดินเผาข้ึนท่ี วดั ปรมยั ยกิ าวาสวรวหิ าร มกี ารสง่ เสรมิ ใหช้ าวบา้ น ไดร้ วมตัวกันฟน้ื ฟกู ารปั้นหม้อนา้ํ ดนิ เผาเกาะเกร็ด ขนึ้ มาอกี ครงั้ เพอื่ รกั ษาสบื สานอาชพี และภมู ปิ ญั ญา ของบรรพบุรุษไม่ให้เกดิ การสูญหายไป จนกระท่งั ในท่ีสุด หม้อนํ้าดินเผาเกาะเกร็ดได้กลับมา มีช่ือเสียงโด่งดังและเป็นท่ีรู้จักอย่างแพร่หลาย แก่คนทวั่ ไปอีกคร้งั หนึง่ 59

งานปูนปั้นสกุลช่างเมืองเพชร งานปูนป้นั สกุลชา่ งเมอื งเพชร เป็นงานประณีตศิลป์ในกล่มุ งานช่างฝีมือ ด้ังเดิม จากการศึกษาของนักวิชาการทาง ชอ่ื เรยี กในท้องถ่ิน ปูนปนั้ ปูนต�ำ ปนู เพชร ปน้ั ปนู สด ประวัติศาสตร์ ได้ระบุถึงหลักฐานเกี่ยวกับปูนปั้น ลกั ษณะของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม ท่ีเก่าท่ีสุดว่าอยู่ในยุคทวารวดีและมีพัฒนาการ งานช่างฝมี ือดัง้ เดิม เรอื่ ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั โดยเมอื งเพชรบรุ ีไดร้ บั การ ประเภท ขนานนามว่าเป็นอยุธยาที่มีชีวิต เพราะมีความ รายการตวั แทนมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม โดดเดน่ และเปน็ เอกลกั ษณท์ แี่ สดงถงึ ความรงุ่ เรอื ง จงั หวดั ผเู้ สนอขอ้ มูลขนึ้ บัญชี และรุ่มรวยของงานศิลปกรรมหลากหลายแขนง จังหวัดเพชรบรุ ี โดยเฉพาะงานปูนป้ันที่ถือว่าเป็นงานสกุลช่าง พ้ืนทีป่ ฏิบตั ิ เมืองเพชรโดยแท้ เพราะงานปูนปั้นสกุลช่าง จังหวัดเพชรบุรี เมืองเพชรมีเอกลักษณ์เฉพาะในด้านกรรมวิธี การผลิตปูน ความพิถีพิถันในการสร้างงาน การออกแบบลวดลายให้พล้ิวไหว มีการแทรก แนวความคดิ ของชา่ งปน้ั ลงไปในผลงาน ประกอบกบั ช่างผู้สร้างงานปูนปั้นสกุลช่างเมืองเพชรได้รับ แรงบันดาลจากผลงานปูนปั้นช้ันครูที่ถือว่า เป็นเสมือนเพชรน้ํางามของเมือง มีปูนปั้น สมยั อยุธยา วัดเขาบนั ไดอิฐ วัดสระบัว วัดเกาะ วดั ใหญส่ ุวรรณาราม เป็นต้น 60

ห ลั ก ฐ า น เกี่ยวกับงานปูนปั้นใน สงิ่ กอ่ สรา้ งทางสถาปตั ยกรรม ซง่ึ มที ง้ั ทเ่ี ปน็ ลวดลาย รปู คน รูปสัตว์ต่าง ๆ ไปจนถึงพระพุทธรูป ปูนปั้นนี้เป็นที่นิยม จงั หวดั เพชรบรุ ี สว่ นใหญเ่ ปน็ งานสรา้ งสรรคท์ ตี่ อบสนอง ในเมืองเพชรบุรีเพราะสามารถป้ันเป็นลวดลายต่าง ๆ เรือ่ งความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ดงั จะเหน็ ให้อ่อนช้อยได้ดังใจนึก โดยในกลุ่มของสำ�นักช่างต่าง ๆ งานปูนปั้นต้ังแต่อดีตมาจนปัจจุบันมักจะปรากฏตาม ก็ต้องมีกรรมวิธีในการตำ�ปูนท่ีเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละ ถาวรวตั ถแุ ละปน้ั ประดบั ศาสนสถานในทางศาสนา เชน่ สำ�นัก ซ่ึงช่างปูนปั้นสกุลช่างเมืองเพชรทุกคนจะต้องผ่าน พระพทุ ธรปู เทวรปู ฐานพระประธาน หนา้ บนั ซมุ้ ประตู กรรมวธิ ที ส่ี �ำ คญั ของงานปนู ปน้ั คอื การต�ำ ปนู ซงึ่ ตอ้ งอาศยั หนา้ ตา่ งพระอโุ บสถ วหิ าร ฯลฯ การศกึ ษาคน้ ควา้ เกย่ี วกบั ท้ังเวลา ความอดทน และต้องเป็นคนช่างสังเกต จนเกิด หลักฐานและร่องรอยของงานปูนป้ันในจังหวัดเพชรบุรี การเรยี นรวู้ า่ เมอ่ื ใดปนู ทตี่ �ำ จะน�ำ ไปใชง้ านได้ การต�ำ ปนู นน้ั พบว่า งานปูนป้ันชิ้นเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี เม่ือตำ�เสร็จจะต้องนำ�ไปใส่ภาชนะที่ปิดมิดชิดไม่ให้ มีพัฒนาการท่ีสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยทวารวดี อากาศเขา้ มิเช่นนัน้ ปูนท่ตี ำ�จะแข็งตัว ปัจจุบนั ช่างปั้นนยิ ม (พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ - ๑๗) เช่น ประติมากรรมปูนปัน้ ใส่ปูนลงในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น และนำ�ไปแช่ จากโบราณสถานทงุ่ เศรษฐี อ�ำ เภอชะอ�ำ ประติมากรรม ในถงั น้าํ ทั้งถงุ เพ่อื ใหเ้ นอ้ื ปนู นิ่มอยูต่ ลอดเวลา ปนู ปน้ั ถา้ํ ยายจงู หลาน อ�ำ เภอบา้ นลาด ตอ่ มาคอื ปนู ปนั้ การต�ำ ปนู ปนั้ คอื การน�ำ สว่ นผสม ๕ ชนดิ ไดแ้ ก่ ประดับปราสาทหินกำ�แพงแลง อำ�เภอเมือง ซึ่งเป็น ปนู ขาว ทรายละเอียด นา้ํ ตาลโตนด กาวหนัง กระดาษฟาง ปราสาทขอม สมัยลพบุรี อายุราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ใส่ลงในครกหิน คือ ครกท่ีหล่อด้วยปูนหรือจะใช้ครกไม้ เรอ่ื ยมาจนถงึ สมยั อยธุ ยาตอนตน้ ราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี อยา่ งครกสอ้ มขา้ ว จากนน้ั กต็ �ำ จนกวา่ สว่ นผสมทงั้ ๕ อยา่ ง ๑๙ - ๒๐ คือ งานปูนปั้นประดับเจดีย์แปดเหลี่ยม จะเขา้ กนั เป็นเนอื้ เดียวกนั ทัง้ นี้ การเตรยี มปูนขาว ตอ้ งนำ� ในถาํ้ เขาหลวง งานปูนปนั้ ประดบั พระอุโบสถวดั สระบวั ปูนขาวไปแช่นํ้าหมักทิ้งไว้เป็นเวลา ๑ เดือน เรียกว่า ราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี๒๓ งานปนู ปน้ั ประดบั พระอโุ บสถ การหมักปูน ก็เพ่ือลดความเค็มของปูน ท้ังยังช่วยให้ วัดเขาบันไดอิฐ ราวปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ ถึงต้น ปูนเหนียว เมื่อนำ�ไปใช้จะจับตัวได้ดี จากน้ันจึงนำ�ปูน พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ สมยั อยธุ ยาตอนปลาย ในกลมุ่ ปนู ปน้ั ท่ีผ่านการหมักมาร่อนบนตะแกรงไม้ เพ่ือแยกเศษปูน วัดเกาะ วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดไผล่ ้อม รวมถึงปูนปั้น ก้อนใหญ่ออกแล้วนำ�ไปตากแดดจนเน้ือปูนแห้ง เรียกว่า ประดับอาคารวัดมหาธาตุวรวิหาร ท่ีมีการผสมผสาน ตากปูน สำ�หรับการเตรียมนํ้าตาลโตนดและกาวหนังนั้น ฝีมือของช่างรุ่นเก่ากับช่างรุ่นใหม่สมัยรัตนโกสินทร์ ให้นำ�น้ําตาลและกาวหนังมาเคี่ยวไฟให้เหนียวแบบ ไวอ้ กี หลาย ๆ ทา่ น ยางมะตูมใส่ภาชนะเก็บไว้ ส่วนกระดาษฟางต้องนำ�ไป งานปนู ปน้ั สกลุ ชา่ งเมอื งเพชรเรม่ิ มพี ฒั นาการ แช่นาํ้ จนเป่ือยแล้วเกบ็ ไว้ในภาชนะเตรยี มใช้งาน ต่อเนื่องจากช่วงปลายสมัยอยุธยาอย่างชัดเจนจนถึง ปูนป้ันเมอื งเพชร มีชอ่ื เรียกหลายชื่อ คอื ปูนป้นั สมยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ และพบวา่ มชี ว่ งรอยตอ่ ทย่ี งั ขาด ปูนตำ� ปูนเพชร เหตุท่ีเรียกปูนเพชรอาจจะเป็นเพราะว่า หลักฐานเก่ียวกับงานปูนปั้นในช่วงรัชกาลที่ ๑ - ๓ มีนํ้าตาลโตนดเป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งในเนื้อปูน สำ�หรับ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นตน้ มา พบว่ามีการศึกษา ช่างปูนปั้นสกุลช่างเมืองเพชร ใช้ส่วนผสมพ้ืนฐาน ข้อมูลตลอดจนประวัติศาสตร์ของงานปูนปั้นสกุลช่าง อย่างเดียวกัน ได้แก่ ปูนขาว ทรายละเอียด กาวหนัง เมอื งเพชรท่เี ร่มิ มคี วามชัดเจนมากยงิ่ ขนึ้ ตามลำ�ดับ กระดาษฟางที่แช่นํ้าจนเป่ือยแล้วและน้ําตาลโตนด โดยงานปนู ปน้ั สกลุ ชา่ งเพชรบรุ ี เปน็ กรรมวธิ ี โดยมอี ตั ราสว่ นทใ่ี ชใ้ นการก�ำ หนดสว่ นผสมนน้ั มคี วามแตกตา่ ง สรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะอยา่ งหนง่ึ ทม่ี มี าแตโ่ บราณ โดยใชป้ นู กนั ไปดังน้ี อัตราส่วนแบบท่ี ๑ ใชป้ ูนขาว ๓ ขนั ทรายกบั ท่ีทำ�มาจากเปลือกหอยเผาไฟผสมนํ้าอ้อยหรือส่ิงอ่ืน ๆ กระดาษ ๑ ขนั นาํ้ ตาล ๑ ซองมอื (มอื ทรี่ วมนวิ้ มอื ใหห้ อ่ เขา้ ) เชน่ นา้ํ มนั ตงั อวิ้ แตม่ ปี นู ผสมเปน็ สว่ นใหญ่ปนู ผสมนา้ํ ออ้ ย อัตราส่วนแบบท่ี ๒ ใช้ปูนขาว ๓ กระป๋องนม ทรายกับ หรอื นา้ํ ตาลอยา่ งปนู เพชรนจ้ี ะมคี วามเหนยี ว สามารถปน้ั น้ําตาล ๑ กระป๋องนม นํ้าตาล ๑ ทัพพี และอัตราส่วน เปน็ รปู ตา่ งๆไดแ้ ละเมอ่ื แหง้ แลว้ จะแขง็ ตวั ทนแดดทนฝน แบบที่ ๓ ใช้ปนู ขาว ๓ สว่ น ทราย ๑ ส่วน กระดาษ ๕ แผน่ ได้ดี ปูนปัน้ ส่วนมากใชเ้ ป็นเคร่อื งตกแต่งประดับอาคาร นา้ํ ตาล ๑ กะลา 61

โดยการนำ�ปูนขาวท่ีตากแห้งแล้วพร้อมกับ ๑) การรา่ งแบบ ชา่ งจะรา่ งแบบด้วยการวาด ทรายใสค่ รกโขลกใหเ้ ขา้ กนั ฉกี กระดาษฟางทแี่ ชน่ าํ้ แลว้ ลวดลายลงในกระดาษเท่าขนาดของพ้ืนที่ใช้งานจริง เป็นช้ินเล็ก ๆ ใส่ครกโขลกต่อไปจนกระดาษฟางที่ฉีก ด้วยดินสอ จากน้ันก็ใช้ปากกาเคมีเส้นใหญ่วาดทับลงไป ผสมกลมกลนื กบั ปนู ดี แลว้ กน็ �ำ เอานาํ้ ตาลและกาวหนงั อกี ชน้ั เพอ่ื ไมใ่ หล้ บ ขน้ั ตอนวาดลายนช้ี า่ งตอ้ งหดั เขยี นและ ที่เคี่ยวแล้วหยอดลงไป โขลกต่อไปให้เข้ากันดี ในขั้นน้ี ออกแบบลวดลายเอง แตก่ ม็ บี างกลมุ่ ทช่ี า่ งปน้ั ใหช้ า่ งเขยี น ผตู้ �ำ ปนู จะตอ้ งคอยสงั เกตและจบั เนอื้ ปนู ดวู า่ ไดท้ หี่ รอื ยงั รว่ มในการออกแบบและเขียนลายให้ เพราะงานบางอยา่ ง หากเห็นว่าแก่หรืออ่อนส่วนผสมใดก็ให้เพิ่มสิ่งนั้น ตอ้ งใชช้ า่ งฝมี อื หลายแขนงรว่ มกนั ในการท�ำ งาน การฝกึ หดั ลงไปแล้วโขลกต่อไปจนเข้ากันดี เม่ือเห็นว่าปูนที่ตำ� เขียนลายช่างปั้นจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับลายไทย ใช้ได้ดีแล้วก็ตักปูนใส่ภาชนะหรือพลาสติกปิดฝามิดชิด พนื้ ฐาน ประกอบดว้ ย ๔ หมวด ไดแ้ ก่ กระหนก นารี กระบี่ แล้วก็เริ่มตำ�ปูนชุดใหม่ต่อไป เหตุท่ีต้องเก็บรักษาปูน คชะ กล่าวคือ ในภาชนะปิดมิดชิดน้ัน เพราะปูนท่ีตำ�เสร็จแล้วจะเร่ิม แขง็ ตวั ภายในเวลา ๑๐ นาที เมอ่ื ปนู แขง็ ตวั จะไมส่ ามารถ น�ำ กลบั มาใช้งานไดอ้ กี ขนั้ ตอนของการป้ันปูน สว่ นใหญก่ ารปัน้ ปูน ของสกุลช่างเมืองเพชรก็มีกรรมวิธีที่คล้าย ๆ กัน ซง่ึ ท�ำ ตามอยา่ งทค่ี รขู องแตล่ ะส�ำ นกั สง่ั สอนมา แตอ่ าจมี ช่างป้ันบางกลุ่มท่ีมีกรรมวิธีที่แตกต่างกันไปบ้าง ส่วนใหญ่ปนู ป้ันทพี่ บเหน็ มขี ้นั ตอนในการปน้ั ดงั นี้ - หมวดกระหนก เป็นลวดลายไทยต่าง ๆ อาทิ ลายกระหนก ลายประจำ�ยาม ลายกระจัง ลายดอกพดุ ตาน - หมวดนารี หมายถงึ ปนั้ รปู พระนางเทวดา - หมวดกระบ่ี หมายถึง รูปลงิ ยักษ์ อสรู และพวกอมนุษย์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ ในวรรณกรรมเร่อื งรามเกยี รต์ิ - หมวดคชะ หมายถึง รูปสัตว์ตา่ ง ๆ ได้แก่ สัตว์ท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ช้าง ม้า ววั ควาย เสือ สงิ ห์ กระทงิ และสัตวใ์ น วรรณคดีท่ีเกิดจากจินตนาการที่เรียกว่า สตั วห์ มิ พานต์ เชน่ ราชสีห์ คชสหี ์ กนิ รี ครุฑ หงส์ เป็นตน้ ๒) การโกลนปนู กอ่ นท่ีชา่ งจะลงมอื ป้นั ปนู ด้วยปูนตำ� ช่างจะนำ�ตะปูไปปรุตามลวดลายท่ีเขียนไว้ จนท่ัว เรียกว่า การปรุลาย จากนั้นก็จะใช้ลูกประคบ มีทั้งลูกประคบดำ� - ขาว ลูกประคบดำ�ทำ�จากถ่าน หุงข้าวตำ�จนละเอียด ส่วนลูกประคบขาวทำ�จาก ดินสอพองเผาไฟจนสุกแล้วบดให้ละเอียด จากน้ัน กห็ ่อดว้ ยผ้าขาวบาง 62

รวบชายผ้าทำ�เป็นลูกประคบ ใช้ลูกประคบตบลงเบา ๆ - หนา้ บนั ปนู ปน้ั อโุ บสถวดั ไผล่ อ้ ม มกี ารปน้ั ปนู จนทว่ั แบบทร่ี า่ ง เพอื่ ใหล้ ายตดิ ลงบนผนงั แลว้ จงึ โกลนลาย ประดับภายในอาคารหลังพระประธาน โดยใช้ปูนเทือก คือ ปูนปั้นผสมนํ้ากาวในปริมาณมาก เต็มผนัง เป็นภาพรอยพระพุทธบาท ใช้เกรียงป้ายเทือกป้ันบาง ๆ เป็นเช้ือไปตามแบบท่ีร่าง เขาสมุ นกฏู ในลงั กาทวปี ประกอบกบั ภาพ พอหยาบ ๆ ใหเ้ หน็ พอเปน็ รปู รา่ ง การโกลนจะชว่ ยใหป้ นู ปน้ั เรอ่ื งพทุ ธโฆสนทิ าน คอื ต�ำ นานพระสงฆไ์ ทย ยึดเกาะกับผนัง ปัจจุบันช่างจะใช้ปูนซีเมนต์โกลนลาย ไปลงั กา ดา้ นบนปนั้ เปน็ ภาพพระนารายณ์ แต่ถึงจะใช้ปูนซีเมนต์ เวลาป้ันปูนก็จะต้องใช้ปูนเทือก ทรงครุฑ แวดล้อมลายพุ่มช่อหางโต ปา้ ยบาง ๆ ลงบนปนู ทโ่ี กลนอกี ครง้ั เพอ่ื ประสานเนอื้ ปนู เกา่ ส่วนหน้าบันด้านหลังสุดปั้นเป็นภาพ กบั เนอื้ ปนู ใหม่ ปจั จบุ นั มเี ทคโนโลยที ท่ี นั สมยั คอื ชา่ งนยิ มใช้ นกยงู ร�ำ แพนหาง แวดลอ้ มลายพมุ่ ชอ่ หางโต กาวผสานซีเมนต์ท่ีมีขายตามท้องตลาดแทนน้ํากาวและ เทือกช่วยผสานเนื้อปูน เพราะใช้ง่ายและสะดวกกว่า - หน้าบันปูนป้ันวิหารหลวงวัดมหาธาตุ การโกลนปูนนี้ ช่างท่ีโกลนจะต้องมีความแม่นยำ�เรื่อง วรวิหาร ฝ่ังตะวันออกป้ันเป็นภาพ ลวดลายอย่างมาก เพราะจะต้องรู้ว่าลายใดอยู่ล่าง พ ร ะ น า ร า ย ณ์ ท ร ง สุ บ ร ร ณ มี ห นุ ม า น ลายใดเป็นตัวทับ เพราะถ้าโกลนผิดรูปแบบ เวลาปั้นปูน แบกครุฑอีกหน่ึงช้ัน แวดล้อมด้วยลาย ก็จะเข้าใจลวดลายได้ยาก ยิ่งถ้าให้ช่างรุ่นใหม่ ๆ ที่ยัง ก้านขด มีหางหงส์ และช่อฟ้า ป้ันเป็น ไม่ชำ�นาญก็จะปั้นไม่ได้ ทำ�ให้ลายท่ีป้ันผิดเพ้ียนไป รูปเทพนมและงานปูนปั้นของวัดมหาธาตุ การโกลนน้ีต้องใช้กับงานปั้นปูนทุกประเภททั้งแบบนูนต่ํา น้ีแต่เดิมคงเป็นงานศิลปะสมัยอยุธยา นูนสงู และแบบปน้ั ลอยตัว และมีการปฏิสังขรณ์มาโดยตลอดจน ๓) การปนั้ ปนู ประดบั ตกแตง่ เมอื่ ปนู ทโ่ี กลนไว้ ถึงปัจจุบนั เรมิ่ แขง็ ตวั ชา่ งจะน�ำ ปนู ปนั้ ทเ่ี กบ็ ใสภ่ าชนะมดิ ชดิ โดยตกั ปนู ออกมาเท่าที่จะใช้งานแล้วนำ�มานวดจนเนื้อปูนนั้นนิ่ม - หน้าบันปูนป้ันพระอุโบสถฝั่งตะวันตก แล้วก็ค่อยปั้นไปตามลวดลายท่ีโกลนไว้ ในระหว่างน้ี วัดมหาธาตุวรวิหาร ศิลปะอยุธยาตอน กจ็ ะตอ้ งตกแตง่ ลายใหส้ วย ใชเ้ กรยี งทม่ี ขี นาดตา่ ง ๆ ลบู ไล้ ปลาย ลายสว่ นบนเปน็ ลายแบบไฟพะเนยี ง เนื้อปูนจนเรียบ แล้วดูจังหวะในการบากลายให้สวยงาม สว่ นลา่ งตอนชน้ั ลดเปน็ ลายกา้ นขด ในวงขด การลูบปูนจะใช้เกรียงแตะน้ําสะอาดลูบเบา ๆ ไปในทาง เปน็ ลายเทวดา แบบลายผา้ ในสมยั อยธุ ยา เดียวกัน ช่างจะต้องแม่นลายแม่นปูน เพราะถ้าป้ันช้า ปูนก็จะแข็งตัวแก้ไขยาก ถ้าลูบปูนมากไปทรายก็จะข้ึน ๔) การปั้นตัวทับลาย ตัวทับลายเป็นจุดเด่น เปน็ เมด็ ท�ำ ให้ผลงานดูไมส่ วย สิ่งส�ำ คญั คอื การบากลาย ของภาพ หรอื เรียกวา่ เป็นประธานของภาพ ตัวทบั ลายน้ี เป็นวิธีใช้ด้านข้างของเกรียงกดลงไปในเน้ือปูนให้เป็นร่อง เป็นเรื่องที่ช่างป้ันสกุลช่างเมืองเพชรใช้สำ�หรับอวดฝีมือ มคี วามลกึ ตนื้ ตามนาํ้ หนกั ของมอื การบากลายทไ่ี ดจ้ งั หวะ และปนั้ ประชนั กนั อยมู่ าก การปน้ั ตวั ทบั ลายตอ้ งโกลนหนุ่ และพลว้ิ ไหว จะท�ำ ใหล้ ายทป่ี น้ั มคี วามงดงามดเู ปน็ ธรรมชาติ หรอื ตวั ภาพใหล้ อยเดน่ ออกมาจากผนงั ดไู ดร้ อบตวั ปน้ั ยาก ลวดลายทชี่ า่ งนยิ มน�ำ มาเปน็ แบบในการปน้ั ปนู ต้องใช้ฝมี อื และความชำ�นาญมาก เพราะต้องออกแบบให้ ของสกลุ ชา่ งเมอื งเพชร สว่ นใหญไ่ ดแ้ บบลายมาจากผลงาน เหมาะสมกับลายและความกว้างความใหญ่ของหน้าบัน ปนู ปน้ั ชน้ั ครขู องจงั หวดั เพชรบรุ ี โดยเปน็ ลายแบบประเพณี ส่วนใหญ่ตัวทับลายนิยมปั้นเป็นประธานของหน้าบัน หรอื ลวดลายดง้ั เดมิ ซงึ่ เปน็ ลวดลายสมยั อยธุ ยาตอนปลาย ชายคาปีกนก ซ้มุ ประตู ซมุ้ หนา้ ต่าง ตวั ทบั ลายทีส่ กุลชา่ ง สืบมาจนถึงรตั นโกสินทร์ตอนตน้ ไดแ้ ก่ เมืองเพชรนยิ ม คอื ภาพพระนารายณ์ทรงสบุ รรณ ภาพ - หนา้ บนั ปนู ปน้ั อโุ บสถวดั เขาบนั ไดอฐิ ปนั้ เปน็ จบั จากเรอ่ื งรามเกียรต์ิทมี่ ีท้ังภาพจับ ๒ จบั ๓ ไปจนถึง จบั ๖ ภาพเทวดา อสรู สตั วห์ มิ พานต์ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ตน้ ภาพครฑุ ยดุ เหนย่ี ว ลายกา้ นขดพมุ่ ชอ่ หางโต ซง่ึ ตวั ทบั ลายนจ้ี ะแวดลอ้ มดว้ ยลายชนดิ ตา่ ง ๆ มลี ายกา้ นขด ลายเครือเถา หางไหล เปลว พุ่มช่อหางโต เปน็ ตน้ 63

๕) การป้ันลอย จะใช้เทคนิคการผูกเหล็ก ใหบ้ รรดาลกู ศษิ ย์ ทัง้ พระ เณร คฤหัสถ์กไ็ ดร้ บั การฝึกฝน หรือลวด ทำ�เป็นโครงสร้างให้ยื่นออกมาจากนอกผนัง ฝมี อื ทางเชงิ ชา่ งและเกดิ การซมึ ซบั งานศลิ ปะไปพรอ้ ม ๆ กนั หรอื หนา้ บนั แลว้ โกลนปนู หมุ้ เหลก็ ทด่ี ดั เปน็ รปู รา่ งตา่ ง ๆ ในสมัยที่ยังไม่มีโรงเรียนก็เน้นฝึกหัดแต่วิชาช่าง กระทั่ง จากนน้ั จงึ ปน้ั ใหไ้ ดส้ ดั สว่ นตา่ ง ๆ ทอ่ี อกแบบ ยงั มกี ารปน้ั ลอย มีโรงเรียนสอนวิชาความรู้ต่าง ๆ แบบแผนกสามัญ ในลักษณะของงานลอยตัว ๓ มิติ ท่ีดูได้รอบด้าน เช่น ก็มีสำ�นักช่างหลายแห่ง มีการก่อต้ังโรงเรียนข้ึนและ ชอ่ ฟ้า หางหงส์ ภาพจบั ภาพสตั วห์ ิมพานต์ ก็สอนวิชาช่างควบคู่ไปด้วย การเรียนการสอนวิชาช่าง จะเห็นได้ว่างานปูนป้ันสกุลช่างเมืองเพชร ของเมืองเพชรแสดงความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ มลี กั ษณะเดน่ ในเรอ่ื งของการถา่ ยทอดองคค์ วามรเู้ ชงิ ชา่ ง อย่างแบบแน่น และด้วยความที่แต่ละสำ�นักช่างต่างก็มี ดว้ ยรปู แบบมขุ ปาฐะ คอื ใชป้ ากเปลา่ ในการสง่ั สอน อธบิ าย ความเชยี่ วชาญในงานชา่ งทแี่ ตกตา่ งกนั นน้ั ยงั สง่ ผลใหเ้ กดิ และปฏิบัติจริงด้วยการทำ�ตามแบบและตามคำ�แนะนำ� การถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างช่างต่างสำ�นัก ครูช่างหรือช่างรุ่นพี่ท่ีมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ซ่ึงส่วนใหญ่กลุ่มช่างในจังหวัดเพชรบุรีสามารถทำ�งาน การตำ�ปูน การตวงส่วนผสม การสร้างสรรค์ผลงาน รว่ มกนั กบั ชา่ งตา่ งกลมุ่ ได้ ท�ำ ใหเ้ กดิ การเรยี นรนู้ อกส�ำ นกั การผูกลาย การใช้อุปกรณ์สำ�หรับงานป้ันปูน เป็นต้น เกดิ ขน้ึ สว่ นใหญค่ นทเ่ี ปน็ ชา่ งนน้ั ยอ่ มจะมคี วามรใู้ นวชิ าชา่ ง ลักษณะของการถ่ายทอดดังกล่าวจะใช้วิธีบอกกันต่อมา แขนงอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ เป็นช่างไม้ก็ป้ันปูนได้ ในระบบเครอื ญาตแิ ละลกู ศษิ ยใ์ นสายส�ำ นกั นนั้ ๆ สว่ นใหญ่ วาดภาพลายไทยได้ ตอกกระดาษได้ แกะสลกั เคร่ืองสด ลูกศิษย์และช่างรุ่นน้องจะใช้วิธีทำ�ตามอย่างงานโบราณ แทงหยวกได้ ซึ่งช่างปูนป้ันของเมืองเพชรบุรีก็มักจะมี การคิดสร้างสรรค์ลวดลายในระยะแรกๆ ของการฝึกหัด คณุ ลกั ษณะดงั กลา่ วนี้ จะใช้วิธีทำ�ตามอย่างงานเก่าที่ครูในยุคก่อนๆ ทำ�ไว้ การถา่ ยทอดงานปนู ปน้ั ของสกลุ ชา่ งเมอื งเพชร หลักการทำ�งานก็คือ ศึกษารูปแบบของลวดลาย การจัด พบวา่ เมื่อวัดเรม่ิ หมดความสำ�คญั ของการเปน็ ส�ำ นกั ชา่ ง วางลาย จังหวะในการบากลายให้เหมือนกับงานเก่า ท�ำ ใหว้ ธิ กี ารถา่ ยทอดองคค์ วามรไู้ ดเ้ รม่ิ มกี ารปรบั เปลย่ี นไป เพราะงานปูนป้ันส่วนใหญ่ที่ทำ�ในกลุ่มของช่างปั้น คอื องคค์ วามรไู้ มไ่ ดอ้ ยตู่ ดิ กบั วดั อกี ตอ่ ไป แตค่ วามรตู้ า่ ง ๆ สกลุ เมืองเพชรจะมีรูปแบบเดิม ๆ ซา้ํ ๆ กัน เพราะเปน็ ได้สืบทอดส่งต่อมายังกลุ่มช่างพ้ืนบ้าน โดยช่างเหล่านี้ งานประเพณี และที่สำ�คัญคือ งานโบราณเป็นงานที่มี มีบทบาทสำ�คัญในฐานะช่างรับจ้างที่ทำ�งานรับเหมา คุณค่าอยู่ในตัวชิ้นงาน จึงเหมาะสมที่ช่างจะเลือกหรือ หรือตามแต่มีผู้ว่าจ้าง ทำ�ให้ลูกศิษย์คนสำ�คัญของ หยิบเอาจุดเด่นของงานโบราณมาทำ�ต่อ นอกจากน้ี สำ�นักช่างต่าง ๆ ทำ�หน้าท่ีเป็นผู้รับและถ่ายทอดความรู้ การศกึ ษาจากงานเกา่ ยงั ท�ำ ใหช้ า่ งรนุ่ ใหมซ่ มึ ซบั องคค์ วาม ทางเชงิ ช่างแทนพระช่างท่อี ยู่ในวดั รตู้ า่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ เรอ่ื งองคป์ ระกอบศลิ ป์ ความเหมาะสม ผลงานของครูช่างเกี่ยวกับงานปูนป้ันของ ของลายกับความลงตัวของส่ิงปลูกสร้าง แนวคิด เมอื งเพชรบรุ ีในอดีต ย้อนไปก่อนสมยั รัชกาลท่ี ๗ นับว่า คตคิ วามเชอ่ื ตา่ ง ๆ จากงานเก่าอย่างครบครนั โดยจะมี ไมโ่ ดดเด่นเท่ากบั งานจิตรกรรม งานไม้ และการก่อสรา้ ง ครชู า่ งคอยเปน็ คนแนะน�ำ แลว้ ให้ลกู ศษิ ยท์ �ำ ตาม อาคารสถาปตั ยกรรม เนอื่ งจากการสรา้ งสรรคง์ านปนู ปน้ั การเรียนรู้งานปูนป้ันในสกุลช่างเมืองเพชร ในเมืองเพชรบุรีในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา จะใช้สถานท่ีจริงเป็นห้องเรียนให้ผู้ฝึกหัดได้ทดลองและ ส่วนใหญ่เป็นงานประดับตกแต่งและเน้นท่ีงานป้ันซ่อม ลงมอื ปฏิบตั ิในสถานการณ์จริงทกุ ขนั้ ตอน โดยต้ังแตร่ าว จะสรา้ งงานชน้ิ ใหญ่ ๆ จงึ ไมค่ อ่ ยไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งปจั จบุ นั พ.ศ. ๒๕๐๔ เปน็ ตน้ มา ชา่ งปน้ั จะเรยี นรจู้ ากการท�ำ งานจรงิ จึงเป็นโอกาสให้งานศิลปะแขนงอ่ืนได้รับความนิยม ในฐานะเป็นลูกมือของครูช่างหรือช่างรุ่นพ่ี ซ่ึงวิธีนี้ มากกว่า ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลท่ี ๔ - ๕ งานปูนป้ัน ก็ยังคงถือปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เร่ิมปรากฏชัดข้ึน แต่ก็ยังอยู่ในวงจำ�กัดและมีอยู่เพียง การถา่ ยทอดงานปนู ปน้ั สกลุ ชา่ งเมอื งเพชรนน้ั มกี ารสบื ทอด ไมก่ แ่ี หง่ เชน่ การบรู ณปฏสิ งั ขรณพ์ ระเจดยี แ์ ละพระพทุ ธรปู ผ่านการบวชเรียนจากสำ�นักช่างกลุ่มต่าง ๆ การท่ีได้ ในถ้าํ เขาหลวง งานป้ันหนา้ บนั อโุ บสถวดั ต่าง ๆ การปน้ั บวชเรยี นหรอื อาศยั อยใู่ นวดั ทเ่ี ปน็ ส�ำ นกั ชา่ ง ยอ่ มหลอ่ หลอม ซอ่ มฐานพระพทุ ธรปู วหิ าร พระปรางคว์ ดั มหาธาตวุ รวหิ าร ที่มกี ารปั้นซ่อมมาอย่างตอ่ เนอื่ ง 64

ผลงานปูนป้ันของครูช่างส่วนใหญ่สร้างขึ้น จงั หวดั เพชรบรุ ี จงึ เปน็ เมอื งทม่ี ชี า่ งปนู ปน้ั ในชว่ ง พ.ศ. ๒๔๖๐ - ๒๔๘๐ แทบทง้ั สน้ิ เชน่ ปนู ปนั้ หนา้ บนั อยคู่ กู่ บั เมอื งมาอยา่ งยาวนาน ซง่ึ ชา่ งปนู ปน้ั ตง้ั แต่ อโุ บสถวดั ปากคลอง จงั หวดั เพชรบรุ ี ของครแู ปว๋ บ�ำ รงุ พทุ ธ โบราณกาลสบื มาจนถงึ ปจั จบุ นั มสี ว่ นในการช่วย (พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๘๘) ปูนป้ันลงสีศาลาการเปรียญ สรา้ งบา้ นแปงเมอื งใหม้ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งสบื มา วัดเขมาภิรัตติการาม (วัดหัวสะพาน) จังหวัดเพชรบุรี โดยลำ�ดับความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของ ของครเู ลศิ พว่ งพระเดช (พ.ศ. ๒๔๓๗ - ๒๕๓๑) โดยครชู า่ ง ผลงานปนู ปนั้ สกลุ ชา่ งเพชรบรุ ยี งั เปน็ เครอ่ื งจงู ใจ คนส�ำ คญั ทน่ี บั วา่ เปน็ บคุ คลแรก ๆ ทมี่ ผี ลงานปนู ปนั้ โดดเดน่ ใหบ้ รรดาผทู้ สี่ นใจศกึ ษาใฝร่ เู้ กย่ี วกปั ระวตั ศิ าสตร์ ทส่ี ดุ คอื ครพู นิ อนิ ฟา้ แสง (พ.ศ. ๒๔๓๘ - ๒๕๑๕) ทเ่ี รม่ิ มี ศิลปะและผู้ท่ีหลงใหลในงานปูนป้ันเข้ามาเรียนรู้ ผลงานตั้งแต่การปั้นซ่อมบูรณะพระปรางค์วัดมหาธาตุ เขา้ มาศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง สว่ นใหญใ่ หค้ วามส�ำ คญั เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เร่ือยมาจนถึงผลงานชิ้นสุดท้าย กับลวดลายที่งดงามของปูนป้ัน การออกแบบ คือ ปูนป้ันหน้าบันฝั่งทิศตะวันออกของหอปริยัติธรรม ที่ลงตัว การแทรกเน้ือหาแนวคิด ลูกเล่นท่ีเป็น วดั พลบั พลาชยั จงั หวดั เพชรบรุ ี พ.ศ. ๒๕๑๐ ผลงานปนู ปนั้ เอกลักษณ์ ซ่งึ มีท้งั ผลงานยุคเก่าและสร้างสรรค์ ของครูพนิ อนิ ฟ้าแสง ในช่วงท้าย ๆ ไดส้ ่งตอ่ องค์ความรู้ ขน้ึ ใหมท่ ผ่ี สมผสานแนวคดิ ไดอ้ ยา่ งลงตวั งานปนู ปน้ั มายังรุ่นช่างสอย ศิลปกอบ (พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๕๔๐ เมืองเพชร จึงเป็นงานศิลปะท่ีมีความคงทน เสียชีวิตแล้ว) ช่างเหิน เกสรา (พ.ศ. ๒๔๗๕ - จนกลายเป็นที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ เสียชีวิตแล้ว) ช่างทองร่วง เอมโอษฐ (พ.ศ.๒๔๘๖ - อดตี จนถึงปัจจุบนั ปจั จบุ นั ) ชา่ งเฉลมิ พง่ึ แตง(พ.ศ. ๒๔๘๗ - ปจั จุบัน) ครูชา่ ง เหล่าน้ีส่วนใหญ่ชำ�นาญงานเขียน หัดป้ันบ้าง เมื่อฝึกหัด จนชำ�นาญก็ออกมารับทำ�อาชีพช่างป้ัน โดยนำ�พื้นฐาน ความรู้ด้านงานเขียนมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ ลวดลายปูนป้ัน ปัจจุบันงานปูนปั้นเมืองเพชรนับว่า มคี วามแพรห่ ลายและนบั วา่ มพี ฒั นาการทกี่ า้ วหนา้ ไปมาก เน่ืองจากกลุ่มของครูช่างต่าง ๆ ได้มีการถ่ายทอดและ สืบทอดงานปูนปั้นกันมาอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงช่างแต่ละกลุ่ม ก็ได้สร้างลูกศิษย์ออกไปทำ�งานปูนป้ันกันเป็นจำ�นวนมาก แสดงถึงความสืบเน่ืองของงานปูนปั้นต้ังแต่อดีตจนถึง ปจั จบุ นั อยา่ งไมเ่ คยขาดสายไปจากเมอื งเพชรบรุ ี 65

เครื่องปัน้ ดินเผาด่านเกวยี น เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผา ดา่ นเกวียน เป็นงานท่ีสร้างสรรค์ข้ึนจากภูมิปัญญา ซึ่งใช้ ดินเหนียวและดินทรายจากบริเวณท่ีเรียกว่า ชื่อเรยี กในท้องถนิ่ ตะกุด หรือ กุด ของลุ่มแม่นํ้ามูลในพ้ืนท่ีตำ�บล เคร่ืองปัน้ ดินเผาดา่ นเกวียน ดนิ เผาด่านเกวียน ด่านเกวียน อำ�เภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ลักษณะของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม โดยเป็นภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง (Stone Ware) งานช่างฝีมอื ดั้งเดมิ ทเ่ี ผาด้วยอณุ หภูมิ ๑,๕๐๐ องศาเซลเซยี ส ภายใน ประเภท เตาเผาท่ีใชฟ้ นื ผวิ ภาชนะมีความมนั วาว เมอื่ เคาะ รายการมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมที่ต้องได้รับ จะมเี สยี งดงั กังวานคล้ายเสยี งเคาะโลหะ สามารถ การสง่ เสริมและรักษาอยา่ งเร่งดว่ น อ้มุ นาํ้ ไดด้ ี ไม่รั่วซมึ และไม่แตกร้าวงา่ ย นอกจากน้ี จังหวัดผเู้ สนอข้อมูลขน้ึ บัญชี ยังมลี กั ษณะเฉพาะในดา้ นวิธีการผลติ โดยเรม่ิ จาก จงั หวดั นครราชสมี า การเตรียมดิน การนวดดิน การข้ึนรูป การป้ัน พ้ืนท่ปี ฏิบัติ การตกแตง่ การผงึ่ และการเผา ต�ำ บลดา่ นเกวยี น ต�ำ บลท่าอา่ ง ตำ�บลทา่ จะหลุง ชาวข่า (กลุ่มชาติพันธุ์บรู ถูกเรียกอีกชื่อ ต�ำ บลละลมใหมพ่ ฒั นา อ�ำ เภอโชคชยั วา่ สว่ ย) เป็นคนกลุ่มแรกทม่ี าตง้ั รกรากอยบู่ รเิ วณ จังหวดั นครราชสมี า ลมุ่ แมน่ า้ํ มลู โดยชาวขา่ นจ้ี ะมเี ชอ้ื สายมอญ - เขมร เขา้ มาท�ำ งานกอ่ สรา้ งอโุ บสถและพกั อยู่ท่ี “ตะกุด” ใกล้กับสถานท่ีก่อสร้างอุโบสถน้ัน และได้นำ�ดิน บริเวณนั้นมาป้ันเป็นภาชนะและเผาเก็บไว้ ใช้สอย ในครวั เรอื น ไดแ้ ก่ โอง่ ใสน่ า้ํ กระถางรนิ นา้ํ ขา้ ว ครก ไหปลาร้า และแป้ใส่น้ํา เม่ือชาวบ้านที่อยู่อาศัย มาแต่เดิมเห็นชาวข่าทำ�เคร่ืองป้ันดินเผาก็สนใจ ทจี่ ะปน้ั อปุ กรณ์ไว้ใช้ในครวั เรอื นบา้ ง จงึ ฝกึ ฝนฝมี อื การทำ�เครื่องป้ันดินเผาจากชาวข่าจนเกิดความ ช�ำ นาญในการปน้ั จนสามารถปน้ั เองได้ ตอ่ มาชาวขา่ ได้ย้ายถิ่นฐานกลับไป บริเวณนั้นจึงเรียกว่า “ตะกุดข่า” (ปัจจุบันมีสภาพเป็นสระอยู่ด้าน ทิศตะวนั ออกของวดั ดา่ นเกวียน)

เครอื่ งปน้ั ดนิ เผาดา่ นเกวยี นสามารถแบง่ แหลง่ ดนิ ทสี่ �ำ คญั ทใ่ี ชใ้ นการท�ำ เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา ด่านเกวียน นำ�มาจากกุดต่าง ๆ ซึ่งอยู่ฝ่ังตรงกันข้ามกับ ตามลักษณะของผลิตภัณฑ์และการใช้ประโยชน์ได้เป็น หมู่บ้านด่านเกวียนไปทางทิศตะวันออก ระยะทางราว ๓ ยุค คือ ยุคแรก (พ.ศ. ๒๔๖๑ - ๒๔๗๐) การผลิต ๒ - ๓ กิโลเมตร บริเวณที่ราบริมฝ่ังแม่นํ้ามูล ซึ่งเป็น เคร่ืองป้ันดินเผาด่านเกวียนเริ่มเปลี่ยนจากการใช้สอย แหล่งดินที่เกิดจากกระแสน้ําลดเร็วลง ไหลไปอย่างช้า ๆ ในครัวเรือน กลายเป็นการผลิตเพ่ือจำ�หน่าย เม่ือชาว ไมม่ กี ารกดั เซาะทางดา้ นลกึ มแี ตก่ ารกดั เซาะทางดา้ นขา้ ง ด่านเกวียนเห็นว่าเครื่องปั้นดินเผาสามารถผลิตเป็น บางบริเวณโค้งตวัดประชิดกันมาก กระแสนํ้าอาจเซาะ สินค้าได้จึงทำ�ให้มีผู้สนใจเรียนรู้และผลิตเคร่ืองป้ันดินเผา ตรงคอคอดจนขาด เกดิ ล�ำ นาํ้ ไหลตดั ตรงไป สว่ นทโ่ี คง้ ออ้ ม เพิ่มมากข้ึน ต่อมายุคกลาง (ยุคการเปล่ียนแปลง นา้ํ กลายเปน็ บงึ รปู โคง้ หรอื ทะเลสาบรปู แอก(Oxbowlake) พ.ศ. ๒๕๐๐) มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความ ซ่งึ ภาษาอสี านเรยี กวา่ “กุด” หรอื ล�ำ น้ําด้วน หลากหลายและมรี ปู ทรงทแ่ี ปลก เชน่ มา้ รองนงั่ ตะเกยี งหนิ สว่ นประกอบของเครอื่ งปน้ั ดนิ เผาดา่ นเกวยี น แจกันลวดลายเรขาคณิต แต่กระบวนการผลิตท้ังหมด ประกอบดว้ ย ยังคงใช้แบบท่ีมีมาแต่ดั้งเดิมทั้งหมด และยุคปัจจุบัน ๑) ดินเหนียว เป็นดินที่มีความเหนียวสูง (เมอื่ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เปน็ ตน้ มา) ซงึ่ เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผา เนื้อละเอียด มีแร่เหล็กออกไซด์อยู่ โดยเป็นดินที่ขุด ด่านเกวียนเป็นท่ีรู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นท่ี จากแหลง่ ดนิ ในพน้ื ทขี่ องอ�ำ เภอโชคชยั ในอดตี มแี หลง่ ดนิ ต้องการของลูกค้า ด้วยคุณสมบัติพิเศษของเนื้อดิน ที่สำ�คญั ๑๐ แหลง่ ดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ กุดลอนตาล กดุ สองคืน ที่แตกต่างจากที่อื่น คือ เมื่อเผาสุกแล้วจะแกร่งและ กดุ เสอื ตาย (กดุ สายตาย) กดุ หนองโชติ กดุ เวยี น กดุ ตะเกยี ด ทนทานใช้งานได้นาน ลูกค้าจึงมักเรียกโอ่งจากบ้านด่าน คลองตำ�แย กุดน้อย กุดตาเล็กและมูลหลง ปัจจุบัน เกวยี นวา่ “โอง่ หนิ ” มกี ารพฒั นาผลติ ภณั ฑเ์ พอ่ื ตอบสนอง ใชด้ นิ ทวั่ ไปในเขตพนื้ ทขี่ องอ�ำ เภอโชคชยั เพราะกดุ บางกดุ ความตอ้ งการของตลาด มกี ารผลติ เครอ่ื งแขวนหรอื โมบาย ทใี่ ชม้ าแตโ่ บราณไดม้ คี นจบั จองเปน็ เจา้ ของ จงึ ไมส่ ามารถ ตกแต่งบ้าน ใส่ตน้ ไมแ้ ขวน เชน่ ปลาแขวน นกฮูกแขวน น�ำ ดินมาใชไ้ ดอ้ กี ดนิ ทไี่ ด้จากแหล่งดนิ ใหม่นี้จะมคี ุณภาพ แมว ตุ๊กตาชาวนา โคมไฟงานฉลุ งานป้ันนูนสูงนูนตํ่า ดกี วา่ ดนิ ทไ่ี ดจ้ ากกดุ เพราะไมม่ รี ากไมเ้ จอื ปนหรอื มรี ากไม้ ปน้ั แบบลอยตวั กระเบอ้ื งดนิ เผา การปน้ั แจกนั การปน้ั โอง่ เจือปนนอ้ ยมาก บรเิ วณทุ่งนาจะเปน็ พน้ื ท่ที ่ีปลกู ข้าวหรอื จากเดิมที่มีขนาดใหญ่ก็ลดขนาดลงเพื่อความรวดเร็วใน พืชท่ีขึ้นอยู่บนผิวดินก็เป็นพืชท่ีมีรากสั้น ก่อนที่จะขุดดิน การปน้ั ปจั จบุ นั มกี ารนำ�เทคโนโลยสี มยั ใหม่เขา้ มาชว่ ยใน นำ�มาใช้สำ�หรับป้ันน้ัน จะต้องมีการเปิดหน้าดินหรือ กระบวนการผลติ รว่ มกบั สถาบนั การศกึ ษาในพนื้ ทจ่ี ดั การ ขดุ หน้าดนิ ลึกลงไปประมาณ ๓๐ เซนติเมตร – ๑ เมตร เรยี นการสอนเกยี่ วกบั เซรามกิ ท�ำ ใหเ้ กดิ ความหลากหลาย เพื่อให้พ้นรากพืชที่ขึ้นอยู่บนผิวดิน และดินที่นำ�มาใช้ปั้น ในรูปแบบของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ไม่ว่าจะเป็น เคร่ืองป้ันดินเผาจะขุดลึกลงไปได้อีกประมาณ ๒ เมตร อ่างน้ําผดุ อา่ งบัว การป้ันตัวสตั ว์ต่าง ๆ เปน็ ตน้ 67

หากขุดลึกกว่าน้ี ดินจะมีหินและกรวดเจือปนอยู่ ในโรงเรือน เพื่อปอ้ งกนั ลม แดด ฝน ระยะแรกในการผงึ่ ซง่ึ ไมเ่ หมาะส�ำ หรบั การน�ำ มาปน้ั ในปจั จบุ นั กดุ ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสภาพอากาศ ฤดูแล้งใช้เวลาผ่ึง ยังมีการใช้งานอยู่และเพ่ิมจำ�นวนในการนำ�ดินมาใช้ ประมาณ ๑๕ - ๒๐ วัน แตถ่ า้ ฤดูฝนจะใชเ้ วลาอย่างน้อย อีกหลายจุดด้วยกัน เช่น กุดโคน โดยมีเจ้าของท่ีดิน ๓๐ วนั การผง่ึ ตอ้ งไมใ่ หแ้ หง้ หรอื ชน้ื เกนิ ไป เพราะจะท�ำ ให้ ในการขดุ จำ�หนา่ ย เครือ่ งปัน้ ดนิ เผาแตกเสียหายไดเ้ วลานำ�ไปเผา ๒) ดินทราย มีลักษณะเป็นดินปนทราย สำ�หรับอุปกรณ์ท่ีใช้ในการข้ึนรูปและปั้น ละเอียด มีส่วนผสมของซิลิกา ใช้เป็นส่วนผสมเพ่ือลด เครอ่ื งปั้นดินเผาดา่ นเกวยี น ไดแ้ ก่ ความหนาแนน่ ของดนิ เหนยี วใหป้ ั้นงา่ ยและเผาไมแ่ ตก - พะมอนไม้ (ไม้พฤกษ์) เป็นแป้นหมุน โดยการเตรียมดินหรือการปนดิน มีการนำ�ดิน จากแหลง่ ดนิ เลอื กเศษวสั ดุ เศษใบไม้ รากไม้ กรวด หิน กลมแบน ขอบแปน้ หนา ๔ - ๕ เซนติเมตร หรือสิ่งเจือปนอื่น ๆ ออก นำ�ดินเหนียว ๒ ส่วน และ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๕๐ เซนติเมตร ดนิ ทราย ๑ ส่วน มาผสมกันรดน้ําใหช้ มุ่ แล้วน�ำ ไปหมกั หนา ๑๕ เซนติเมตร ทำ�ด้วยไม้เนื้อแข็ง ในหลมุ ขนาด ๑ x ๑ เมตร ลกึ ๒๐ เซนตเิ มตร ใชเ้ วลาหมกั ด้านบนเรียบ ด้านล่างถากเป็นก้นสอบ ๒๔ ชว่ั โมงข้ึนไป ทง้ั นี้ ส่วนผสมของดินข้นึ อยู่กบั ลกั ษณะ รูปหกเหล่ียม มีลักษณะเหมือนหมวกปีก งานท่ีปั้น เช่น การป้ันโอ่งจะใช้ดินเหนียว๒ - ๓ ส่วน วางหงายข้ึน ตรงกลางเจาะรูเพื่อวาง ผสมกบั ดนิ ทราย ๑ สว่ น เพ่ือเวลารีดดนิ จะขนึ้ รูปไดง้ า่ ย สวมลงบนเดือยไม้แหลมท่ีฝังโคนเดือย สว่ นการปนั้ ครกจะใช้ดนิ เหนยี ว ๑ สว่ นผสมกบั ดนิ ทราย ไวใ้ นดนิ ใหแ้ นน่ เพอ่ื เปน็ แกนใหแ้ ปน้ หมนุ ได้ ๒สว่ นเพอื่ ลดความหนาแนน่ ของดนิ เหนยี วเมอ่ื อณุ หภมู สิ งู เวลาใช้งานต้องใช้ไขวัวหล่อล่ืนและใช้ จะทำ�ให้เผาแลว้ ไม่แตก มอื หมุน ส่วนการนวดดินหรือเหยียบดิน ทำ�โดยใช้ - ผ้าชุบนํ้าสองช้ิน ใช้สำ�หรับชุบนํ้ารองมือ เท้าเหยียบลงบนเน้ือดิน โดยการนำ�ดินท่ีหมักไว้มาวาง ทง้ั สองข้าง เพ่ือใหล้ ่นื เวลารีดดนิ ขึ้นรูป บนกระดานดินแล้วใช้เท้าเหยียบลงบนเนื้อดิน เพื่อให้ - ห วีทำ�จากไม้ไผ่ เหลาจนบางคล้ายหวี ดินเหนียวและดินทรายผสมเป็นเน้ือเดียวกัน ปัจจุบัน แตไ่ มม่ ซี ่ี ส�ำ หรับตกแตง่ ผวิ ช้ินงานใหเ้ รยี บ น�ำ เขา้ เครอ่ื งโมด่ นิ หรอื บดดนิ ออกมาเปน็ แทง่ ๆ ขนาดยาว - ผ้าจับปาก คือ ผ้าชุบนํ้าพับเรียบร้อย ประมาณ ๘๐ เซนติเมตร และกว้าง ๑๐ เซนติเมตร เพื่อตกแต่งขอบปากภาชนะให้เรียบร้อย จากนั้นนำ�มาห่อด้วยกระสอบป่านชุบนํ้าเก็บพักไว้ สวยงาม ประมาณ ๒ วนั - กระดานวางดิน หรืออ่างยางที่ทำ�จาก วิธีการข้ึนรูปและการป้ัน เครื่องมือที่ใช้ข้ึนรูป ยางนอกของรถยนต์ มีลักษณะเป็นแป้นหมุนวงกลม เรียกว่า “พะมอน” - โ อง่ ใส่นํ้า (ทำ�จากไม้พฤกษ์) โดยช่างปั้นจะข้ึนรูปทรงพร้อม ๆ - น้ําสลิป ทำ�จากนํ้าผสมดินเหนียวจนเหลว กับการหมุนแป้นพะมอนให้เป็นไปตามจังหวะที่ต้องการ ใชส้ �ำ หรับเชอื่ มดนิ ให้ตดิ กนั โดยใช้ทรายละเอียดแดงโรยบนแป้นหมุน เพื่อกันไม่ให้ ดินติดแป้นแล้วขึ้นรูปโดยตีดินให้แบนบนแป้นหมุน ระหว่างการข้ึนรูป ช่างป้ันจะต้องใช้ผ้าชุบน้ําซับดิน เอาไวต้ ลอด เพอ่ื ไมใ่ หด้ นิ แหง้ และแตกออกมาจากรปู ทรง ช่างป้ันจะแต่งดินโดยการรีดจนเป็นเนื้อเดียวกันให้ได้ ความหนา บางตามต้องการ เมื่อปั้นเสร็จแล้วใช้ไม้ ตัดตูด (ไม้ไผ่เหลาบางลักษณะคล้ายมีด) ตัดตีนตุ๊กแก (สว่ นลา่ งของชนิ้ งาน) แลว้ น�ำ ชนิ้ งานทปี่ นั้ เสรจ็ แลว้ ไปผงึ่ ไว้ 68

สว่ นอปุ กรณท์ ใ่ี ชใ้ นการตกแตเ่ ครอื่ งปนั้ ดนิ เผา โดยสรุปแล้ว เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ดา่ นเกวียน ได้แก่ มีความโดดเด่นแตกต่างจากเครื่องปั้นดินเผาแหล่งอื่น - ไ มแ้ ตง่ ลาย เปน็ ไมท้ ท่ี �ำ ปลายแบบฟนั ปลา ดังน้ี ๑) สี เป็นสีของดินตามธรรมชาติ เช่น ใช้สกั หรอื เขียนลาย สเี ปลอื กมงั คดุ (ขเ้ี ถา้ ไมร้ กฟา้ ) สดี �ำ มนั วาว (เกดิ จากแรงไฟ - ล ูกกลิ้ง ลูกพู เป็นไม้ทำ�ลายชนิดหนึ่ง และแรท่ อี่ ยใู่ นเนอ้ื ดนิ ) สเี ลอื ดปลาไหล (เกดิ จากขเ้ี ถา้ ไมไ้ ผ่ หรอื ทางมะพร้าว) เป็นต้น ปลายขา้ งหนงึ่ เปน็ ลกู กลงิ้ อกี ขา้ งหนง่ึ เปน็ ๒) ลวดลาย ไดแ้ ก่ ลกู พู เวลามอื จบั แกนตรงกลางกดลกู กลงิ้ - ลวดลายจากการใช้ลูกกล้ิง เป็นลวดลาย หรือลูกพูกับเคร่ืองปั้นที่จะทำ�เป็นลาย (ขณะดนิ หมาดๆ)ลกู กลงิ้ หรอื ลกู พจู ะหมนุ ท่มี ีลักษณะเหมือนกนั รอบผลติ ภณั ฑ์ ได้โดยอิสระ ลายที่เกิดขึ้นเหมือนรอย - ลวดลายจากการแกะลาย เช่น ลวดลาย ล้อรถบดถนนท่ีเป็นปุ่ม ๆ ลายลูกกล้ิง จะมี ๒ แถว ลายลูกพูเป็นปุ่ม ๖ แถว ขดนาํ้ วน ลวดลายเรขาคณติ และลวดลาย ลู ก ก ลิ้ ง แ ล ะ ลู ก พู มั ก ทำ � จ า ก ไ ม้ เ รี ย ง ประดษิ ฐ์ เป็นตน้ ไม้พยุง ไมร้ วก - ลวดลายจากการฉลุลาย เป็นการฉลุ - อุปกรณ์อืน่ ๆ ตามความเหมาะสม ลวดลายจนทะลเุ ปน็ ลายโปร่ง การตกแต่งเครื่องป้ันดินเผาด่านเกวียน - ลวดลายจากการปั้นแปะ เป็นการใช้ ในยคุ แรกมรี ปู แบบของลายเพยี งแบบเดยี ว คอื ลายตะเกยี ง ดินเหนียวป้ันประดับหรือติดแปะบน ทเ่ี กดิ จากการใชไ้ มข้ ดี ลงไปบนเครอื่ งปนั้ ดนิ เผาในขณะที่ เครอื่ งป้นั ดนิ เผาที่ยังไม่แห้ง พะมอนก�ำ ลงั หมนุ อยู่ ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารเพม่ิ ลวดลายใหม่ ๆ เคร่ืองป้ันดินเผาด่านเกวียน จึงเป็นมรดก เขา้ ไปตามจนิ ตนาการของชา่ งปนั้ อกี ทงั้ มกี ารเพม่ิ วธิ สี รา้ ง ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษท่ีได้ส่ังสม ลวดลาย โดยใช้เทคนิคการขูด การฉลุ และการปัน้ แปะ และพัฒนาจนก่อรูปเป็นช้ินงานอันทรงคุณค่า อีกท้ังยัง เข้ามาช่วย ซ่ึงการปั้นแปะจำ�เป็นต้องใช้น้ําโคลนของดิน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความสามารถของช่างท้องถิ่น (น้ําสลปิ ) หรือ “ขห้ี ว”ี (เศษเครอื่ งปั้นจากการแกะลาย) ในการบูรณาการองค์ความรู้ แสดงถึงทักษะฝีมือ เข้ามาใชเ้ ปน็ ตัวประสานลายทต่ี อ้ งการน�ำ ไปแปะ การปั้นท่ีมีความประณีต ผนวกกับความสร้างสรรค์ ในสมัยก่อนชาวบ้านจะขุดเตาบริเวณ งานฝมี อื ของชา่ งทเี่ ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ความช�ำ นาญ จอมปลวกลึกลงไปใต้ดิน โดยใช้ปากปล่องของ ในวิชาชีพ รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม จอมปลวกเปน็ ปลอ่ งเตา เรยี กวา่ “เตาทเุ รยี ง” คอื ่ในแตล่ ะยคุ สมยั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ โครงสรา้ งของเตาเผา เตาส�ำ หรบั เผาเครอ่ื งถว้ ยชามตา่ ง ๆ ในสมยั สโุ ขทยั เครื่องมืออำ�นวยความสะดวกในการป้ันและการขึ้นรูป หรอื รู้จกั กันในนามเคร่อื งสงั คโลก แต่ในปจั จุบนั นิยมใช้ ตา่ ง ๆ เตาเผาทท่ี �ำ จากอฐิ ดบิ แทน ซง่ึ ยงั คงสภาพลกั ษณะของเตา ปจั จบุ นั มหี นว่ ยงานภาครฐั เอกชนตลอดจน แบบด้ังเดิมอยู่ เพียงแต่เตาเผายุคใหม่จะอยู่บนผิวดิน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินตระหนักถึงคุณค่า หลังคาเตาโค้งมน ปล่องตรงกลาง พ้ืนเตาลาดเอียง อตั ลกั ษณข์ อง “เครอื่ งปน้ั ดนิ เผาดา่ นเกวยี น” จงึ ได้ แบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ ปากเตา กลางเตา และท้ายเตา บูรณาการความร่วมมือในการอนุรักษ์ สืบทอด โดยมีการสร้างหลังคาคลุมเตา ทำ�ให้เตาม่ันคงแข็งแรง ความเป็นช่างฝีมือดั้งเดิม และรูปแบบการป้ัน มีอายุการใช้งานนาน วัสดุที่สำ�คัญท่ีใช้เป็นเชื้อเพลิง เครอื่ งปน้ั ดนิ เผาดา่ นเกวยี น ส�ำ หรบั ใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี ว ในการเผา คือ ไม้ฟืน เท่าน้ัน และผสู้ นใจทว่ั ไปไดเ้ ขา้ ชมและศกึ ษา โดยการสง่ เสรมิ ใหเ้ ปน็ เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรมของหมบู่ า้ น ด่านเกวียน ตำ�บลด่านเกวียน อำ�เภอโชคชัย จังหวัดนครราชสมี า น่ันเอง 69

ผ ้าซ่ินวเปัฒ็นนวัฒธนรธรรมรมกดา้ังรเดนิมุ่งขซองิ่นผหู้คนรใือน ซ่นิ หม่ีคนั่ น้อย ไทหล่ม หลากหลายกลุ่มชนในภูมิภาคอุษาคเนย์ ชื่อเรยี กในทอ้ งถิ่น ร ว ม ถึ ง ก ลุ่ ม ผู้ ค น ใ น วิ ถี วั ฒ น ธ ร ร ม ล้ า น ช้ า ง ที่ ใ น ซ่นิ หมีค่ นั่ นอ้ ย ซ่นิ หวั แดงตีนก่าน จังหวัดเพชรบูรณ์มีกลุ่มชนท่ีเรียกตนเองว่า ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม “ไทหลม่ ” อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นในบริเวณพื้นท่ี งานช่างฝมี อื ดงั้ เดิม ตอนบนของจงั หวดั ไดแ้ ก่ บริเวณอ�ำ เภอหล่มสกั ประเภท และอำ�เภอหล่มเก่า วัฒนธรรมไทหล่มถือเป็น รายการมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรมทตี่ ้องได้รบั วัฒนธรรมดัง้ เดิมของผู้คนในท้องถน่ิ ซงึ่ มีประวตั ิ การส่งเสริมและรักษาอยา่ งเรง่ ดว่ น และพฒั นาการของบา้ นเมอื งทมี่ มี าอยา่ งยาวนาน จังหวดั ผ้เู สนอขอ้ มลู ขน้ึ บญั ชี หลายรอ้ ยปี ดังปรากฏหลักฐานเปน็ โบราณสถาน จงั หวดั เพชรบรู ณ์ โบราณวตั ถุ จติ รกรรม และประตมิ ากรรม อนั บง่ บอก พน้ื ทป่ี ฏบิ ตั ิ ถึงอารยธรรมของผู้คนในถิ่นนี้ ซึ่งมีเอกลักษณ์ บา้ นพร้าว บ้านวัดทุ่งธงไชย บา้ นภูผกั ไซ่ เฉพาะตวั ทัง้ ทางด้านภาษา ประเพณี ความเชือ่ บา้ นนาซำ� อ�ำ เภอหล่มเกา่ จงั หวดั เพชรบูรณ์ ตลอดจนถงึ การแตง่ กาย บา้ นติว้ บ้านห้วยโปร่ง บา้ นหวาย บ้านนํ้าดกุ ในวฒั นธรรมไทหลม่ มคี �ำ ผญา (สภุ าษติ ) บา้ นท่ากกแก บา้ นขวัญโยน อ�ำ เภอหล่มสกั โบราณ กล่าวไว้ว่า “ไทหล่มนั้น แต่ก่อนกี้ผู้ชาย จงั หวัดเพชรบรู ณ์ ตเี หลก็ ผหู้ ญงิ ทอผา้ ” หมายถงึ คณุ สมบตั ขิ องผคู้ น ในเมอื งหลม่ สมยั โบราณ ถา้ เปน็ ผชู้ ายตอ้ งเชย่ี วชาญ ในด้านการตีเหล็กให้เป็นมีดหอก ดาบ ตลอดถึง อุปกรณ์การเกษตร เช่นจอบและเสียม เป็นต้น ส่วนผู้หญิงไทหล่มน้ันจะต้องเช่ียวชาญด้านการ ตาํ่ หกู หรอื การทอผา้ ดว้ ยเสน้ ใยท่ีไดจ้ ากธรรมชาติ ได้แก่ เสน้ ไหม ท่ีไดจ้ ากการปลูกหมอ่ นเล้ยี งไหม และเส้นฝ้ายที่ได้จากการปลูกฝ้าย

เอกลักษณ์อันโดดเด่นของสตรีชาวไทหล่ม สาระทางศาสนา ศลิ ปะ และวฒั นธรรม โดยมอี งคป์ ระกอบ ๓ สว่ น คือ หวั ซิน่ แดง ตัวซิน่ หมค่ี ัน่ นอ้ ย และตีนซิน่ ก่าน น้ันก็คือการนุ่งซ่ิน อันได้แก่ “ซ่ินหมี่ค่ันน้อย” เรียกอีก อตั ลักษณ์ท่โี ดดเดน่ ของซน่ิ หม่ีคนั่ นอ้ ยไทหล่ม คือ อย่างหนึ่งว่า “ซิ่นหัวแดงตีนก่าน” ซึ่งปรากฏในคำ�ผญา ๑) มลี ายเอกลักษณ์ที่ไมพ่ บทใ่ี ด ไดแ้ ก่ ลายหลา โบราณวา่ “ไทหลม่ นน้ั หญงิ นงุ่ ซน่ิ หวั แดงตนี กา่ นผมเกลา้ มว้ น (ไน) หรือลายหงส์ ส่วนลายพื้นฐานที่ได้รับแรงบันดาลใจ ถือผา้ เบยี่ งแพร” หมายถึง ผ้หู ญงิ ชาวไทหลม่ แต่โบราณ จากวิถีชาวพุทธของชุมชนไทหล่ม เพชรบูรณ์ คือ นาค นน้ั นยิ มนงุ่ ผา้ ซน่ิ ทม่ี หี วั ซนิ่ สแี ดง มตี นี กา่ น นยิ มเกลา้ มวยผม หอปราสาท/ปราสาทผึง้ และเบยี่ งผา้ สไบ ผา้ ซนิ่ ทใ่ี ชส้ �ำ หรบั นงุ่ ของสตรชี าวไทหลม่ ๒) ในพนื้ ถน่ิ ไทหล่มจะมีการทอค่นั ด้วยหมน่ี ้อย น้ันมีอยู่หลายชนิด หากแต่มีซิ่นชนิดหน่ึงท่ีถือว่า หมกี่ ลาง หมใ่ี หญ่ ซง่ึ จะตา่ งจากผา้ ซน่ิ ในกลมุ่ ไท - ลาว ทว่ั ไป มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีคุณค่าทางจิตใจ ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอสี านจะมีการทอหมี่คัน่ ไดแ้ ก“่ ซนิ่ หมค่ี นั่ นอ้ ย” ซงึ่ เปน็ ผา้ ซนิ่ ทมี่ ลี วดลายทเี่ กดิ จาก เหมือนกนั แต่เปน็ หม่คี น่ั ลายใหญ่เท่านน้ั เสน้ ไหมท่ใี ช้เป็น การมัดหม่ีที่มีความละเอียดอ่อนวิจิตรบรรจงจนเกิดเป็น เส้นไหมนอ้ ยซึ่งมคี ุณภาพดีทส่ี ุดของไหมพ้นื บา้ น คณุ คา่ ทางศลิ ปะทบ่ี ง่ บอกถงึ ความประณตี และแฝงไปดว้ ย ๓) หัวซ่ินที่เป็นเอกลักษณ์ คือ หัวมัดยุ้ม หรือ คตคิ วามเชอ่ื และคา่ นยิ มตา่ ง ๆ ของชาวไทหลม่ ทปี่ รากฏอยู่ หัวดอกยุ้ม พบเฉพาะกลุ่มไทหล่ม เพชรบูรณ์เท่านั้น ในลวดลายบนผืนผ้า ทั้งนหี้ วั ซ่นิ ของไทหล่ม จะมี ๓ แบบ คอื หลักฐานท่ียืนยันถึงความเก่าแก่ของผ้าซ่ินหมี่ - ห ัวมัดย้อม ลายดอกยุ้มสีแดงคร่ัง การมัด คั่นน้อย ปรากฏอยู่บนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในสิม (อุโบสถ) วัดศรีมงคล บ้านนาทราย ตำ�บลวังบาล ต้องคมชัดเป็นรูปส่ีเหลี่ยม ดอกเล็กหรือ อ�ำ เภอหล่มเกา่ และวัดศรบี ญุ เรือง บ้านต้ิว ต�ำ บลบา้ นติ้ว ใหญ่ข้ึนอยู่กับความสวยงามและจำ�นวนคี่ อำ�เภอหล่มสัก แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต เช่น ๗, ๙, ๑๑, ๑๓ เป็นต้น ที่ผูกพันกับพระพุทธศาสนา และค่านิยมการนุ่งซ่ินหมี่ - ห ัวซ่ินขดิ เกดิ จากการทอยกขิดลายพนื้ ฐาน คน่ั นอ้ ยอนั เปน็ เอกลกั ษณข์ องกลมุ่ ชนทม่ี มี าอยา่ งยาวนาน เช่น กระจับ สามเหล่ียม ลักษณะการทอ โดยเป็นหลักฐานยืนยันที่สำ�คัญว่าซ่ินหม่ีคั่นน้อยไทหล่ม ลายค่นั เลก็ ใหญ่ สพี ้นื แดงเปน็ หลัก แต่เดิม เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีสืบทอดกันมาจาก จะย้อมด้วยคร่ัง อาจจะให้สีท่ีแตกต่างกัน บรรพชนสู่สังคมยคุ ปจั จุบันจากรุ่นสู่รนุ่ อย่างแท้จริง เช่น สีแดงอมม่วง สีแดงเข้มออกน้ําตาล ซิ่นหมี่คั่นน้อยไทหล่ม ถือเป็นคุณลักษณะของ เพราะวา่ คร่ังตง้ั แต่ ๑ ปีข้นึ ไป จะให้สีออก ผา้ ทอทม่ี คี วามหลากหลายและมเี อกลกั ษณพ์ เิ ศษตา่ งจาก น้ําตาล และขึ้นอยู่กับน้ําด่างที่ผสมลงไป กลุ่มผา้ ทออน่ื ๆ โดยซ่ินหมี่คนั่ น้อยมกี ารทอดว้ ยลวดลาย มคี วามเปน็ กรด – ดา่ งจะใหไ้ ดส้ ที ต่ี า่ งไปบา้ ง แบบโบราณ การค่ันแบบโบราณด้ังเดมิ ตวั ซิน่ เป็นลายตงั้ แตโ่ ดยหลกั คอื ใชค้ รงั่ ยอ้ มหวั ซน่ิ ใหเ้ กดิ สแี ดง คั่นทางยืน หรือทางล่อง บ่งบอกถึงความมีอัตลักษณ์ หวั ซนิ่ ไทหลม่ จะมเี อกลกั ษณท์ แ่ี ตกตา่ งจาก ทโี่ ดดเดน่ โดยมรี ปู แบบส�ำ คญั ของลวดลาย คอื ลวดลายทไี่ ด้ ของท่ีอนื่ จากธรรมชาติ ลวดลายจากความเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนา - ห วั ซนิ่ คนั่ เกดิ จากการทอคนั่ สลบั สไี มย่ กขดิ และลวดลายจากวถิ ีชีวติ ของชาวไทหล่ม จะใช้สีแดงเป็นหลักค่ันสลับกับสีอ่ืน ๆ ซิ่นหมี่ค่ันน้อยไทหล่ม มีการออกแบบด้วย ท่ีคนทอชอบ แต่นิยมใช้สีหลัก ๆ คือ สุนทรียศาสตร์ ลวดลายหมี่จึงมีการเช่ือมโยงระหว่าง เขียว ขาว เหลือง นํ้าเงิน จะทำ�ให้สีที่คั่น ดูโดดเดน่ สวยงาม ตัวซน่ิ หม่คี ่นั น้อย เรยี กตามวิธกี ารสร้างลวดลาย หมี่ที่มีลักษณะพิเศษ คือ การมัดเส้นไหมเส้นฝ้ายขาว ที่ไม่มีลวดลายก่อนนำ�ไปย้อมสี ทำ�ให้เกิดลวดลายท่ีมัดมี ขนาดเลก็ ละเอยี ด โดยใชฝ้ า้ ยหรอื ไหมพน้ื บา้ นจากธรรมชาติ ไหมทีใ่ ช้มดั หมเี่ ปน็ ตวั ซน่ิ จะเป็นไหมน้อย เสน้ บางเปน็ ไหม 71

คุณภาพดี เส้นใยมีความสมํ่าเสมอ หากเป็นฝ้ายต้องเข็น วัสดุทอทั้งผืนใช้ไหมน้อยพื้นบ้าน หรือ ฝา้ ยเสน้ เล็ก ส�ำ หรบั สียอ้ มใชส้ จี ากธรรมชาติ คร่ังใหส้ แี ดง ไหมหลบื พน้ื บา้ น หากเปน็ ฝา้ ยเขน็ เสน้ เลก็ สที ใี่ ชม้ ดั ยอ้ ม ต้นครามให้สีนํ้าเงินคราม ไม้เขหรือแก่นขนุนให้สีเหลือง มัดหมี่ ย้อมด้ายเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ หรือหากใช้ สเี ขยี วและด�ำ นยิ มใชส้ เี คมี สว่ นเสน้ ยนื หรอื เครอื จะไมม่ ดั หม่ี สีเคมีจะต้องไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของวัสดุที่ใช้ บางผืน จะใช้เป็นสีพ้ืน นยิ มเครอื สกี รมท่า สดี �ำ สเี มลด็ มะขาม ท่ีพิเศษกว่าท่ัวไป จะใช้ไหมเงินไหมคำ�คั่นสลับด้วย ในซิ่นหนึ่งผืนจะปรากฏลายหมี่ต้ังแต่ ๗ ลาย ในยุคปัจจุบันจะใช้เป็นด้ินอินเดีย ดิ้นฝรั่งเศส และ ขนึ้ ไป หรอื บางผนื อาจจะมากถงึ ๑๘ ลาย ทอสลบั คนั่ ดว้ ย ด้ินพลาสติก ส่วนตัวซ่ินทอด้วยวัสดุไหมน้อยพ้ืนบ้าน เส้นไหมหลากสีจำ�นวนถ่ี ๆ แบบฉบับเมืองหล่ม เรียกว่า ลวดลายหมค่ี นั่ นอ้ ยใน๑ผนื จะมแี บบแผนการออกแบบ ห้องลาย คือ หนึ่งห้องประกอบด้วยหม่ีน้อย หมี่กลาง การทอดว้ ยการแบง่ หอ้ งเพอื่ สลบั ลายหมนี่ อ้ ย หมกี่ ลาง หมี่ใหญ่ และสอดสลับมะไม (มะไม คือ ไหมสองสีเข็น และหมใี่ หญ่ ให้เกดิ ลาย บางถิน่ เรียกเขน็ ควบ) หมใ่ี หญ่มขี นาดประมาณ๗ล�ำ (ล�ำ ละ๔เสน้ ) การคนั่ ตัวซน่ิ ประกอบด้วย หม่ีกลาง ๕ ลำ� หมี่น้อย ๓ ลำ� ทอด้ายสีต่าง ๆ - ล ายหมี่ใหญ่ ได้แก่ ลายหลา (ไน) หรือ ตามจินตนาการสลับค่ันระหว่างลายหม่ีด้วยจำ�นวน เส้นพุ่งท่ีเท่า ๆ กันทุกห้อง ระหว่างหม่ีใหญ่ ๒ ลาย หมห่ี งส์ และลายปราสาทผึ้ง จะมีหมก่ี ลาง ๓ ลาย หมีน่ อ้ ยอีก ๔ ลาย ทอสลบั ไป - ลายหมน่ี อ้ ย ไดแ้ ก่ ลายกระจับ ลายขอ้ ตลอดผืน ท้ังนี้ ช่างทอลายหมี่อาจจะมีการมัดหม่ี - ลายหม่ีกลาง ได้แก่ เอือ้ เฟย้ี ง นาคลายขอ แต่ละรูปทรงแตกต่างกันไป แต่จะรักษารูปแบบ ลายหมี่ที่ทอค่ันกันไปบนผืนผ้าซิ่น มีจำ�นวน การทอค่ันไว้ให้เหมือนแบบดั้งเดิม เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ไม่น้อยกว่า ๗ ลาย โดยมัดหม่ีลายต่าง ๆ ที่นิยม คือ แล้วก็นำ�ไปต่อกับหัวซ่ินและตีนซิ่นให้ครบสมบูรณ์ ลายหมี่ข้อ หมี่กระจับ หม่ีเอ้ือ หมี่เฟ้ียง / กระเบ้ือง ซ่ินท่ีทอเรียบร้อยจะมีขนาดยาว ๑๘๐ เซนติเมตร หมีห่ อปราสาทผ้ึง หมตี่ ้นผ้งึ หมน่ี าค หมน่ี าคนอ้ ย หม่ีหงส์ หรือ ๒ หลา ความกว้างของตัวซ่ิน ๗๐ เซนติเมตร หมี่เสาหลา หมี่หีบอ้อย หมี่ขอหรือตะขอ การมัดหม่ี หัวซิ่น ๑๕ - ๑๘ เซนติเมตร และตีนกว้างประมาณ ขึ้นอยู่กับความชำ�นาญของช่างทอผ้า บางช่างจะชำ�นาญ ฝ่ามอื หรอื ๘ เซนตเิ มตร การมดั หมีห่ ลายชนดิ บางช่างจะชำ�นาญน้อยชนิด ดังนน้ั “ตีนซ่ิน” ใช้กรรมวิธีทอตีนด้วยฟืมขนาด ซ่นิ บางผืนจงึ มีลายหม่ีทนี่ อ้ ยลาย ซง่ึ ตา่ งจากการทอผา้ ซ่ินในกลุ่มไท - ลาวทว่ั ไปที่จะใช้ “ตนี และ” สาเหตทุ ใี่ ช้ “ฟมื ” อาจจะมาจากความนยิ ม ของไทหลม่ เพราะตนี ซน่ิ ทใี่ ชฟ้ มื แบบนจี้ ะตดั แบง่ ครงึ่ ได้ ๒ ตนี และมีความรวดเร็วในการทอ “ตีนซิ่น” เรยี กวา่ “ตนี กา่ น” คำ�ว่า “ก่าน” หมายถงึ ลายขวาง ลายแถบ ตา่ งสี ประกอบดว้ ย ๕ แถบสี คอื แถบสีแดง สีเขยี ว สนี าํ้ เงนิ สเี หลอื ง สขี าว โดยมกี ารออกแบบใหม้ สี อี อ่ นแก่ ต่างกัน เชน่ แดงออกม่วง เหลอื งออ่ นสม้ เปน็ ตน้ สำ�หรับเทคนิคการสร้างลวดลายผ้าซ่ิน หม่ีคั่นน้อย มีกรรมวิธีการทอผ้าท่ีใช้เทคนิคการมัด และย้อม เร่ิมจากการนำ�เส้นด้ายหรือไหมมาย้อมสี แล้วมัดบริเวณที่ต้องการท่ีเก็บไว้ เมื่อนำ�ไปย้อมสีอื่น จะได้ไม่ติดสี เพียงซึมเข้ามาบางส่วน โดยย้อมเรียง จากสีอ่อนไปหาสีเข้มจนครบตามลวดลายที่กำ�หนด หลงั จากนนั้ จงึ น�ำ ดา้ ยกรอเขา้ หลอดตามล�ำ ดบั แลว้ น�ำ ไปทอค่ันตามแบบเมืองหล่มจะเกิดลวดลายบนผืนผ้า 72

อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของซ่ินหม่ีคั่นน้อยไทหล่ม เสน้ ใยในการทอผา้ ซนิ่ หมคี่ นั่ นอ้ ย ประกอบดว้ ย การทอผา้ ชนดิ นตี้ อ้ งอาศยั ความช�ำ นาญในการมดั ยอ้ ม ๑) ไหมเสน้ ไหมเปน็ วตั ถดุ บิ ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณแ์ ละ และการทอเป็นอย่างมาก การมัดหม่ีนิยมเฉพาะซิ่น ถือเป็นวัตถุดิบที่สำ�คัญในการทอผ้าไหมของชาวไทหล่ม เท่านั้น การมดั หมข่ี องช่างไทหลม่ นยิ มมดั โอบ และ อดีตชาวไทหล่มต้องเลี้ยงไหมเอง เพื่อสะสมในการผลิต แต้มสี เพ่ือให้เกิดสีสันท่ีหลากหลายและนํ้าแต้ม ผ้าไหม ซึ่งยอมรับกันว่าผ้าไหมถือเป็นผ้าท่ีมีความสำ�คัญ (สีเคม)ี มีคณุ สมบตั ิที่ดีขึ้น ไมต่ อ้ งย้อมในความรอ้ นสูง และมีมูลค่ามากกว่าผ้าที่ทอจากเส้นใยชนิดอ่ืนและจะใช้ นอกจากนี้ ยงั มกี ารขดิ ซง่ึ ถอื เปน็ กรรมวธิ ใี นการทอผา้ ในกิจกรรมสำ�คัญเท่าน้ัน ปัจจุบันไหมท่ีใช้ทอผ้าแบ่งได้ เพือ่ ใหเ้ กดิ ลวดลายตา่ ง ๆ ขึ้นมา โดยวิธีเพ่มิ เส้นด้าย หลายชนดิ คอื พุ่งพิเศษในระหว่างการทอ เพื่อให้เกิดลวดลาย - ไหมสาวมอื ไดจ้ ากการน�ำ รงั ไหมพนั ธพ์ุ น้ื บา้ น ท่โี ดดเดน่ กว่าสีพ้นื วธิ กี ารทำ� คอื ใชไ้ ม้เข่ียหรือสะกิด เพอ่ื ชอ้ นเสน้ ดา้ ยยนื ขน้ึ แลว้ สอดเสน้ ดา้ ยพงุ่ ไปตามแนว และไหมปรบั ปรุงพันธม์ุ าเลย้ี ง และมาสาว ทถี่ กู จดั ชอ้ น จงั หวะการสอดเสน้ ดา้ ยพงุ่ ท�ำ ใหเ้ กดิ เปน็ รงั ไหมดว้ ยพวงสาวไหมพน้ื บา้ น โดยการใช้ ลวดลายต่าง ๆ อดีตนิยมการเก็บขิดบนฟืมพ้ืนฐาน ภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีสืบทอดกันมาจาก แบบ ๒ ตะกอ (ขดิ ถอด) ปัจจุบนั นยิ มท�ำ ผา้ ขิดบนฟมื รุ่นสู่รุ่น ทำ�ให้สามารถคัดสรรเส้นใย ท่ีแยกเขาพิเศษออกจากเขาพื้นฐานหรือท่ีเรียกว่า ได้หลายประเภท ทั้งไหมลืบ ไหมสาวเลย เขาต้ัง การสอดเสน้ ด้ายพิเศษเขา้ ไปผา่ นกระบวนการ ไหมนอ้ ย และไหมแลง ยกเขา ไม่ต้องเก็บขิดหรือสะกิดทีละเส้น เทคนิคน้ี - ไหมโรงงาน ได้จากการซ้ือไหมต่อจาก ใช้ทอหัวซนิ่ ขดิ ไทหลม่ โรงงานอุตสาหกรรมท่ีนำ�รังไหมมาจาก การเลี้ยง สาวด้วยเคร่ืองสาวในระบบ อุตสาหกรรม โดยสามารถผลิตเส้นใย ได้หลายขนาด ปัจจุบันช่างทอผ้าไทหล่ม จะใชไ้ หมโรงงานนเ้ี ป็นหลกั ๒) ฝา้ ย ดว้ ยคณุ สมบตั ขิ องฝา้ ยทม่ี คี วามยาวนอ้ ย มีความเหนียวปานกลางและจะเหนียวเพ่ิมข้ึนเมื่อเปียก ทนต่อด่าง ดูดซับนํ้าได้ดี ทนต่อความร้อนสวมใส่สบาย ไม่ร้อน จึงทำ�ให้ผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำ�วันของชาวไทหล่ม นิยมผลิตจากเส้นใยฝ้าย โดยสามารถแยกเส้นฝ้ายได้ ๒ ประเภท คอื - ฝ า้ ยเขน็ มอื หมายถงึ ฝา้ ยทปี่ ลกู และน�ำ ดอก มาอิ้วและเข็นด้วยมือ อดีตมีการใช้ฝ้าย ในเสน้ ยนื และเสน้ พงุ่ โดยการมดั หมี่ เสน้ ใย ท่ีได้จึงมีขนาดตามแต่ช่างทอต้องการ แต่ไม่ได้มีเส้นใยสม่ําเสมอกัน โดยเส้น ขนาดเลก็ จะใช้เป็นเสน้ ยนื และมัดหม่ี - ฝ ้ายโรงงาน หมายถึง ฝ้ายท่ีปลูกและ น�ำ ผลติ เสน้ ใยดว้ ยระบบโรงงานอตุ สาหกรรม มีหลายขนาดและตอบสนองในการใช้งาน ของช่างที่สะดวกสบาย โดยเส้นใยฝ้าย โรงงานมีท้ังนำ�มาย้อมสีและฝ้ายสีที่ผ่าน การยอ้ มในระบบอตุ สาหกรรมกระบวนการ 73

ผลิตซิ่นหมี่คั่นน้อยในสมัยโบราณน้ัน นอกจากนี้ ซนิ่ หมคี่ นั่ นอ้ ยยงั เปน็ ปจั จยั ส�ำ คญั ถือเป็นตัวกำ�หนดบทบาทความสัมพันธ์ ในการหล่อหลอมบุคลิกภาพทางสังคมให้กับสมาชิก หรอื พฤตกิ รรมมนษุ ย์ โดยผา่ นกระบวนการ ในกลุ่มบุคลิกภาพของชาวไทหล่มเป็นผลมาจาก อบรมให้รู้ระเบียบทางสังคม ในระดับ การได้รับการอบรมขัดเกลาทางสังคมจากกลุ่ม ครอบครัวมีการถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยเฉพาะการหล่อหลอมให้เกิดสำ�นึกในกลุ่มชน กระบวนการผลติ จากแมไ่ ปสลู่ กู ในระบบ และถ่ินกำ�เนิด มีการสนับสนุนการนุ่งซิ่นหม่ีคั่นน้อย เครือญาติมีการถ่ายทอดและเก้ือกูล ที่มีอัตลักษณ์ของชาวไทหล่ม ทำ�ให้ชาวไทหล่มและ วัตถุดิบในการผลิต ในระดับชุมชน ลูกหลาน มีความรักในการแต่งกายตามวัฒนธรรม มีกระบวนการถ่ายทอดการแลกเปล่ียน ของตนเอง จนนำ�ไปส่กู ารสง่ เสริมและรักษาวัฒนธรรม องค์ความรู้ รวมทั้งมีการซื้อขายวัตถุดิบ การแตง่ กายของชาวไทหล่ม ระหว่างกันในชุมชน ส่วนในระดับชุมชน ในปัจจุบัน ซิ่นหม่ีค่ันน้อยได้รับการ ต่อชุมชนกระบวนการทอผ้ายังสร้าง สง่ เสริมใหเ้ ป็นชดุ พ้ืนเมอื งประจำ�อ�ำ เภอหล่มสกั ความสัมพันธ์ในด้านการผลิตในกลุ่ม และหลม่ เกา่ จนเปน็ ทร่ี จู้ กั ของสงั คมอน่ื ๆ มากขน้ึ เชอื้ สายเมอื งหลม่ ดว้ ยกนั การแลกเปลย่ี น จงึ ท�ำ ใหเ้ กดิ การผลติ เพอ่ื จ�ำ หนา่ ยขนึ้ น�ำ ไปสกู่ าร กับกลุ่มถิ่นอื่น รวมทั้งเช่ือมโยงผลผลิต รวมกลุ่ม การแลกเปล่ียน ตลอดจนการพ่ึงพา ทางวัฒนธรรมไปสู่ผู้บริโภคหรือคนกลาง อาศยั องคค์ วามรู้ในดา้ นตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหผ้ า้ ทอของ ในการซื้อขายผ้า ดังน้ัน ซ่ินหมี่คั่นน้อย กลุ่มสามารถตอบสนองต่อลูกค้า การรวมกลุ่ม ไทหล่ม จึงทำ�หน้าท่ีเป็นเครื่องหมาย และการพ่ึงพาเหล่านี้ ช่วยทำ�ให้เกิดความเป็น หรือสัญลักษณ์ท่ีแสดงว่าสังคมหนึ่ง อันหน่ึงอันเดียวกันในเมืองหล่ม การอุทิศตน แตกต่างไปจากอีกสังคมหน่ึง โดยมี ให้กับกิจกรรมของกลุ่มทำ�ให้กลุ่มอยู่รอดได้ เอกลักษณ์ วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การมีจิตสำ�นึกของความเป็นเจ้าของร่วมกัน ลวดลาย ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างจาก จงึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความรกั และความหวงแหน พรอ้ มที่ กลมุ่ อ่ืน ๆ หรอื มีอิทธพิ ลท�ำ ใหก้ ลมุ่ อน่ื ๆ จะปกปอ้ งและคมุ้ ครองใหม้ รดกผา้ ซนิ่ หมคี่ น่ั นอ้ ย นำ�ไปผลิตและฟนื้ ฟูทอ้ งถ่ินของตน อันเป็นสมบัติของท้องถิ่นยังคงอยู่คู่ชาวไทหล่ม ตลอดไป 74

อน้ิ กอนฟอ้ นแคน “อน้ิ กอน” หรอื เลน่ คอน “ ฟ้ อ น แ ก น ” ห รื อ ฟ้ อ น แ ค น ช่อื เรียกในทอ้ งถิน่ อิ้นกอนฟอ้ นแกน เป็นภาษาพูดการละเล่นของหนุ่มสาว ลักษณะของมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม ไทยทรงดำ�มีความหมายว่าการเล่น การเลน่ พน้ื บา้ น กฬี าพน้ื บา้ น และศลิ ปะการตอ่ สปู้ อ้ งกนั ตวั ลูกช่วง และการฟ้อนร�ำ ประกอบดนตรี ประเภท คือ แคน ซง่ึ เปน็ เครื่องดนตรขี องไทยทรงดำ� รายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม จังหวัดผเู้ สนอข้อมูลข้นึ บัญชี ทเ่ี ลน่ กนั มาตง้ั แตค่ รง้ั ทต่ี ง้ั ถน่ิ ฐานอยู่ในเมอื งแถง จงั หวัดนครปฐม (เดียนเบียนฟูของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) พื้นที่ปฏบิ ตั ิ ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น ก า ร ล ะ เ ล่ น ช่ ว ง เ ท ศ ก า ล ปี ใ ห ม จงั หวัดนครปฐม ได้แก่ ไทยทรงดำ� หรือช่วงเทศกาลสงกรานต์ของ บา้ นแหลมกระเจา ตำ�บลสามงา่ ม อำ�เภอดอนตมู คนไทย จะเริ่มเล่นกันในช่วงเดือนห้าของทุกปี บา้ นหวั ถนน ต�ำ บลดอนพุทรา อำ�เภอดอนตูม เปน็ กจิ กรรมของหนมุ่ สาวทจี่ ะไดม้ ีโอกาสพบปะ บา้ นหนองหมู ตำ�บลสระพฒั นา อ�ำ เภอกำ�แพงแสน พูดคุยกันอย่างเปิดเผย โดยความยินยอมของ บ้านสระส่มี ุม ตำ�บลสระสี่มุม อ�ำ เภอกำ�แพงแสน ครอบครวั และสงั คม เปน็ ภมู ปิ ญั ญาท่ีใหห้ นมุ่ สาว บ้านดอนทอง ตำ�บลดอนขอ่ ย อำ�เภอกำ�แพงแสน ไดเ้ รยี นรกู้ ารเตรยี มตวั สกู่ ารมคี รอบครวั ทง้ั หนมุ่ บ้านดอนทราย ต�ำ บลสระกระเทยี ม อ�ำ เภอเมอื ง และสาวได้ศกึ ษาอัธยาศยั ซ่ึงกันและกัน ในช่วง บ้านสะแกราย ตำ�บลดอนยายหอม อ�ำ เภอเมือง ทม่ี กี ารลงขว่ งกจ็ ะเขา้ มาเกย้ี วพาราสี นอกจากน้ี บ้านไผห่ ชู ้าง ต�ำ บลไผ่หูช้าง อ�ำ เภอบางเลน ยังเป็นการสานความรักและความสามัคคีให้ บา้ นเกาะแรต ตำ�บลบางปลา อ�ำ เภอบางเลน เกิดในชุมชน เพราะการ “อิ้นกอนฟ้อนแคน” มีการกำ�หนดข้อตกลงเป็นกฎกติกาท่ีรับรู้กัน ในหมู่ไทยทรงด�ำ 75

“อ้ิน” หมายถึง “เล่น” และ “กอน” ประเพณี ด้วยการสวมเสื้อฮี และสวมส้วงกอ้ มหรอื สว้ งเต้น ทรงผม ยังคงรักษาประเพณีการเกล้าแบบป้ันเกล้าตามวัย หมายถึง “มะกอน” (ลูกช่วง) ดังน้ัน “อ้ินกอน” ต่าง ๆ ทั้งสับปล้ิน จุกผม ผมขอดกระตอก ผมขอดซอย จงึ เปน็ การเลน่ โยนลกู ชว่ ง (“ตอดมะกอน”) ทแ่ี บง่ การเลน่ ผมปนั้ เกลา้ ซอย และปน้ั เกลา้ ตก๊ ทา่ ฟอ้ นยงั คงยดึ แบบอยา่ ง เปน็ สองฝา่ ย คอื ฝา่ ยชายและฝา่ ยหญงิ สว่ นการฟอ้ นแคน การฟ้อนของเดิมไว้ ท้ังการก้าวเท้า การใช้แขนและมือ เป็นการฟ้อนรำ�เพ่ือความสนุกสนาน ผ่อนคลาย จังหวะในการฟ้อนใช้การก้าวเท้าส่ีจังหวะ ทั้งโดยการก้าว ความตงึ เครยี ด เปดิ โอกาสใหห้ นมุ่ กบั สาวไดอ้ ยใู่ กลช้ ดิ กนั การยํ่า และการแตะเท้าแทนการเดิน การใช้ลำ�ตัวขณะรำ� และเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน มีข้อตกลงในการฟ้อนแคน ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของผู้รำ� ปัจจุบันมีการนำ� หนุ่มจะไม่ถูกต้องตัวสาว สามารถฟ้อนเก้ียวพาราสีได้ การฟ้อนแคนมาเป็นการแสดงบนเวที จึงมีการประยุกต์ ถูกใจก็สามารถไปน่ังพูดคุยกันได้ เพลงแคนท่ีใช้ ท่าทางมากขึ้น เพ่ือให้เกิดความสนุกสนาน และเพื่อเป็น ในการฟ้อนแคน ได้แก่ แคนญ่าง แคนแกร แคนแล่น การฟื้นฟูประเพณีของกลุ่มชาวไทยทรงดำ� ดนตรีที่ใช้ และแคนระบำ� ท่วงท่าฟ้อนก็จะเป็นท่วงท่าเฉพาะ ประกอบการฟอ้ น ใชแ้ คนเปน็ หลกั ในการบรรเลง ของแต่เพลง อปุ กรณ์ในการอ้นิ กอน ประกอบด้วย ปจั จบุ นั การออกเสยี งของไทยทรงด�ำ สามารถ - มะกอน หรอื ลูกช่วง ออกเสยี งเปน็ “การเลน่ คอนฟอ้ นแคน” เทศกาลเลน่ คอน - แกน หรอื แคน ซง่ึ จะมีแคน ๒ ชนดิ จะเป็นช่วงปิดข่วง การลงข่วง คือ ช่วงหลังจาก คือ แคน ๗ กบั แคน ๘ การเก็บเก่ยี วข้าวข้นึ ยุ้งแล้ว ในหนา้ แล้งชาวไทยทรงด�ำ - ข ่วง คือ ลานบ้านของสาวหัวหน้าหนุ่มสาว วา่ งจากงานท�ำ นา กจ็ ะต�ำ ขา้ ว ปนั้ ฝา้ ย ทอผา้ ท�ำ เครอื่ งใช้ ในครวั เรอื น ซง่ึ ไทยทรงด�ำ เรยี กวา่ ลงขว่ ง โดยจะท�ำ กนั ในหมู่บ้านน้ัน ในหน่ึงหมู่บ้านอาจจะมีได้ ในช่วงเดือนห้าถึงเดือนหก เม่ือจะเข้าสู่ฤดูฝนจะมี หลายขว่ ง ขว่ งหน่ึงสาวก็ไม่ควรเกนิ ๒๐ คน การปิดข่วง หนุ่มสาวได้ออกมา “อิ้นกอนฟ้อนแคน” - ผ อู้ นิ้ กอน (ฝงู กอน) คอื ชายหนมุ่ ทม่ี อี ายตุ ง้ั แต่ ชายหนมุ่ ๕-๑๐คนชกั ชวนกนั ไปเลน่ คอนตามหมบู่ า้ นอนื่ ๑๕ ปีขึ้นไป จนไม่จำ�กัดอายุ ท้ังหนุ่มโสด จะต้องประกอบด้วย หมอแคน (คนเป่าแคน) หมอขับ และไมโ่ สด ประมาณ ๑๕ - ๒๐ คน (คนร้องเพลงแบบลำ�นำ�) และหมอลำ� (ผู้ท่ีร้องเพลง - แคร่ และกองฟนื แครเ่ อาไวส้ �ำ หรบั นง่ั รบั แขก ทเี่ รยี กวา่ แอ่ว) อย่างน้อย ๑ - ๒ คน เดินทางไปลานขว่ ง ฟืนใช้ส�ำ หรับกอ่ ไฟให้เหน็ แสงสวา่ ง เจรจาตกลงเลน่ คอน ฝา่ ยชายปรบมอื เปา่ แคน ฝา่ ยหญงิ การอ้ินกอน มักจะโยนลูกช่วงตอนหัวคํ่า ไปแตง่ ตวั แลว้ ออกมาร�ำ (ฟอ้ น) เปน็ แถว ๆ มกี ารรอ้ งเพลง ก่อนตะวันตกดิน เพราะหนุ่มมารอต้ังแต่ตอนสาย ๆ (แอ่ว) ประมาณ ๓ ชั่วโมง หยุดกินอาหารกลางวัน หรอื ตอนกลางวัน กิจกรรมต่าง ๆ ในการเล่นลกู ชว่ งมีดังนี้ พอบ่ายมาโยนลูกช่วงและเซ้ิงกันไป การเล่นคอน ๑) การเจรจาขอเล่นลูกช่วงและการรับเล่น ฟ้อนแคน บางครั้งเล่นกันจนเที่ยงคืน แล้วจึงแยกย้าย ลกู ชว่ ง ฝา่ ยชายจะปรบมอื หรอื เปา่ แคนเดนิ มาตามตรอก หรือจะเป็นการเลือกคู่คุย (เป็นกิจกรรมให้หนุ่มสาว หากมาพบข่วงท่ีมีลูกช่วงห้อยไว้หน้าข่วง แสดงให้รู้ว่าสาว ต่างถิ่นได้รู้จักกัน) ซึ่งการอ้ินกอนและฟ้อนแคนของ รับเล่นลูกช่วงกับหนุ่มบ้านอื่นแล้ว ฝูงกอนน้ันก็จะเข้าไป ชาวไทยทรงดำ� จังหวัดนครปฐม ยังคงมีการละเล่น ทักทายหรือขอจองไว้เล่นวันอื่นก็ได้ หากเป็นข่วงที่ว่าง ในงานประเพณเี ดือน ๔ - ๕ ของหมู่ชาวทรงดำ�ทกุ ปี ฝูงกอนจะใช้เสื้อฮพี นั แคนเข้าไปในบรเิ วณบา้ นทตี่ ั้งเป็นข่วง การแต่งกายและการไว้ทรงผมของชาวไทย ซงึ่ จะมหี วั หนา้ ขว่ งตอ้ นรบั มกั เปน็ สาวสงู อายหุ รอื มลี กั ษณะ ทรงดำ�ส่วนใหญ่ยังคงยึดแบบอย่างการแต่งกายของ เป็นผู้นำ�กล้าตัดสินใจ เป็นที่ยอมรับของสาวกลุ่มน้ัน บรรพบุรุษไว้ สีหลักคือสีดำ� เช่น การแต่งกาย ข่วงควรอยู่ย่านศูนย์กลางของสาวท้ังหมด ข่วงมีลักษณะ ในชีวิตประจำ�วัน ยังคงใช้ผ้าลายแตงโม สวมเสื้อฮ่อย คล้ายลานสาวกอดของชาวแม้ว ข่วงเป็นสัญลักษณ์ หรอื เสอื้ หอ้ ย และนงุ่ ผา้ เปยี วหรอื ผา้ ฮา้ งนม การแตง่ กาย แห่งการพบปะ สถานท่ีร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับความรัก ในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่งงาน งานศพ ยังคงรักษา ความบันเทิงความสนุกสนานความคุ้นเคยสนิทสนมกัน 76

โดยอิสระ โดยประกอบด้วยบุคคลหลายประเภท หรือหน้าผาก หากไม่มีไมตรีตอบจะโยนเรี่ย ๆ พ้ืนดิน คือ ท้ังหนุ่มสาว พ่อแม่ ญาตผิ ู้ใหญแ่ ละเด็ก ส�ำ หรับขว่ ง เพื่อให้รับไม่ได้ ฝ่ายหญิงมักเป็นฝ่ายโยนก่อนหรือจะเป็น ทใี่ ชใ้ นการเลน่ ลกู ชว่ ง (แตข่ ว่ งทใี่ หโ้ อกาสหนมุ่ สาวพดู คยุ ฝ่ายชายก็ไม่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว ลูกช่วงของชาวไทย กันได้ตลอดปีจะไม่มีเด็กและผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง) ทรงดำ�มีสายยาวประมาณ ๑ ช่วงแขน จับลูกช่วงหมนุ ไป อำ�นาจในการตัดสินใจว่าจะเล่นลูกช่วงหรือไม่อยู่ท่ี ข้างหลัง ยามจะปล่อยก็ย่อตัวลง ลูกช่วงจะหมุนไปหา หัวหน้าข่วง จะปรึกษาหรือไม่ปรึกษาสาวในข่วงก็ได้ ฝ่ายตรงข้าม หากยัดด้วยนุ่นจะเบาโยนไม่ไป แต่หากจะ แล้วแตเ่ หตุการณ์เฉพาะหนา้ การท่ีหนุม่ ใช้เสือ้ ฮพี นั แคน ยัดด้วยนุ่นต้องหาก้อนหินใสล่ งไปด้วย การโยนลูกช่วงมกั เข้ามาเจรจา ก็ถือเป็นการเคารพให้เกียรติประเพณี ใช้เวลาตะเวนรอพู คือ ตะวันยอแสง คือ อาทิตย์อัสดง มิใช่เป็นการเล่นเพื่อเล่น แต่เป็นการเล่นเพ่ือประเพณี หรือก่อนพระอาทิตย์ตกจนถึงตกไปแล้ว เวลาโยนลูกช่วง การเดินเข้ามาขอเล่นลูกช่วงในฝูงกอนมักมีหมอขับ ประมาณ ๑ ช่ัวโมงเศษหรือไม่จำ�กัดเวลา เล่นเบ่ือแล้วก็ ก็ขับสายแปง เป็นการฝากเน้ือฝากตัว มาด้วย เลกิ กัน การโยนแล้วรบั ไมไ่ ด้ กม็ กี ตกิ าวา่ โยน ๓ ครั้งแลว้ ความปรารถนาดี อยากท�ำ ความรจู้ กั เพราะทา่ นทงั้ หลาย รับไมไ่ ด้ติดต่อกนั ทง้ั สามครงั้ หรอื ฝา่ ยใดฝ่ายหน่งึ เปน็ ฝา่ ย เป็นคนดีทำ�นองนั้น เม่ือเดินเข้ามาถึงบริเวณข่วง รบั ไมไ่ ดจ้ �ำ นวนครงั้ มากกวา่ กนั กป็ รบั เปน็ แพ้ ผแู้ พต้ อ้ งโดน ก็จะมีแคร่ให้น่ัง สาวก็ออกมาต้อนรับทักทายกันว่า ปรบั โดยแลกเปลย่ี นของท่ีระลึก มกั เปน็ ผา้ เช็ดหน้า สไบ เปน็ หนุ่มบ้านไหน มากันอยา่ งไร หน่มุ กจ็ ะตอบทม่ี าทไี่ ป ผา้ ขาวมา้ นาฬกิ าข้อมอื ชาย (หากยดึ เอาไวจ้ ะไดม้ าเจรจา แล้วก็จะกล่าวว่า “ม่ือนี่พวกอีพูไต๋บ้านตาจ้าง ขอคืน เป็นเหตุให้คุ้นเคยกันมากยิ่งข้ึน) ขณะโยนลูกช่วง จีมาสออ่ินกอนนำ�ปีน้องบ้านตาลเญียน อีซูจะมัก ก็จะมีคำ�เจรจาหยอกล้อ ทำ�นองว่าทอดไมตรีอย่ารังเกียจ แปงแองหลูอ่ินกอนนำ�แอ่ยะ” แปลว่า วันน้ีพวกเรา กัน ต่างฝ่ายต่างโยน ต่างพูดคำ�หยอกล้อและจะเปลี่ยนคู่ คนบ้านห้วยท่าช้างจะมาขอเล่นลูกช่วงกับพี่น้อง ในการโยนกไ็ ด้ ขณะหน่มุ นอ้ ยสาวนอ้ ยออกไปโยนลกู ช่วง บ้านตาลเญียน (หนองจิก) พวกคุณจะเมตตาเล่นด้วย หมอขับซึ่งในฝูงกอนมักเป็นคนที่มีภรรยาแล้ว มีอายุแล้ว ไหมละ่ หากสาวตกลงเลน่ ดว้ ยกจ็ ะกลา่ ววา่ “อน้ิ กอ็ นิ้ กอน มาสอนคนรุ่นหลังให้รู้จักประเพณีจะน่ังขับอยู่ที่แคร่หรือ นำ�เจนละเล้ยปีน้องเอ้ย” แปลว่า เล่นก็เล่นลูกช่วง ใต้ถุนบ้าน เป็นการบอกกล่าวให้แถนรับทราบว่าจะมีการ ด้วยกันนะพ่ีน้องนะ หรือหากรับไม่ได้ก็จะว่า เลน่ ทส่ี นกุ สนานเพอื่ ความดงี ามดว้ ยมติ รไมตรี อยา่ ถอื โทษ “อ่ินนำ�มะล่ัยเลาะฮับอ้ินนำ�ฝูง กอนไต๋บ้านตาล โกรธข้งึ อยา่ มีการผิดพลาดสงิ่ ใดเกิดขึน้ เอาไว้ก่อนแล้ว วันอื่นค่อยมาใหม่นะ” หากฝูงกอน ๓) การร�ำ แคน จะประกอบดว้ ยเสยี งแคนและ ทีร่ ับเลน่ ด้วยแล้ว ฝงู กอนจะตบมือรอ้ งเพลงส่งสัญญาณ เสียงปรบมือ การร้องเพลงแก้กันเรียกว่า “เซ้ิงกอน” บอกสาวบ้านใกลใ้ ห้รบั รู้ เซิ้งกอนเป็นการร้องเพื่อประกอบการเล่นลูกช่วง มาจาก ๒) การโยนลกู ชว่ ง หรอื ต๊อดกอน หากจะใช้ ค�ำ วา่ “แซว”เพราะมกี ารพดู ประชดประชนั เสยี ดสีหยอกลอ้ ค�ำ วา่ ทอดกอน เปน็ ศพั ทท์ บั ศพั ท์ โดยแบง่ ผเู้ ลน่ ออกเปน็ เพื่อให้โกรธ คนใดไม่โกรธถือว่าเป็นยอดหญิงยอดชาย สองฝ่าย ฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ผู้ทำ�หน้าที่โยนลูกช่วง รจู้ กั ขม่ อารมณต์ นไดเ้ ปน็ ยอดคน สาวคนนนั้ จะถกู เลอื กเปน็ ควรจะเปน็ สาวนอ้ ยอายไุ มเ่ กนิ ๑๘ ปี ซงึ่ สาวทโี่ ยนลกู ชว่ ง สะใภ้บ้านใด สะใภ้บ้านนั้นจะไม่เถียงแม่สามี หนุ่มคนใด ควรมสี าวที่มีทรงผม สับปลนิ้ จกุ ต๊บ ขอดกระตอ๊ กและ ถกู เลอื กเป็นลูกเขยกไ็ มม่ ีเรือ่ งกบั ลงุ ตา (พ่ีชายของภรรยา) ขอดซอย ถงึ จะมผี มทรงปนั้ เกลา้ คอื อายุ ๒๐ ปี แลว้ กไ็ มผ่ ดิ ชาวไทยทรงด�ำ มกี ศุ โลบายใหค้ นเปน็ เขยยอมใหก้ บั พภ่ี รรยา ที่ใช้สาวน้อยโยนลูกช่วง เพราะสาวใหญ่มักทำ�กับข้าว และครอบครวั นน้ั จะราบรนื่ คอื มคี วามเกรงใจ การไปเทยี่ ว เลี้ยงแขกและเป็นกิจกรรมท่ีสาวน้อยจะได้คุ้นกับหนุ่ม ลงขว่ งกเ็ ชน่ กนั หากหนมุ่ ใดมาลวนลามสาว พช่ี ายของสาว แปลกหน้า โดยมีลูกช่วงเป็นสื่อสัมพันธ์ ลูกช่วงมักยัด จะส่งั สอนด้วยการปิดตรอกตศี ีรษะ ด้วยเมล็ดฝา้ ยจะเกบ็ ได้ทนและมอดไม่กนิ หรอื เมล็ดน่นุ ชนิดน้ีมอดมักกิน หรือเมล็ดมะขามจะหนักกว่าทุก ประเภท เอาไวโ้ ยนแกลง้ หนมุ่ ใหโ้ ดนหนา้ แง คอื ฟนั หนา้ 77

(ทีม่ าของภาพ : ฐานขอ้ มูลประเพณที อ้ งถ่ินในประเทศไทย ศูนยม์ านุษยวิทยาสิรนิ ธร (องคก์ ารมหาชน)) สำ�หรบั ประเภทของการอน้ิ กอน มี ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ - อ นิ้ กอนเตยี ว คอื การทฝ่ี งู กอนมาขอเลน่ ลกู ชว่ งแลว้ กลบั ไปนอนบา้ นตนเอง โดยไมม่ ารว่ มรบั ประทานอาหารดว้ ย แต่หากจะมีของหวานเลี้ยงก็เป็นการดี โดยผู้ที่มาเล่น มักรับประทานอาหารเย็นมาแล้ว และมักเป็นหนุ่ม บ้านใกล้เรือนเคียง - อ ้ินกอนสู่แลง คือ การที่ฝูงกอนมาขอเล่นลูกช่วงด้วย และรับประทานอาหารเย็นด้วย เม่ือเล่นเสร็จแล้ว ก็กลับบ้านตนเอง - อ ิ้นกอนค้าง คือ การที่ฝูงกอนมาขอเล่นลูกช่วง มาขอ รับประทานอาหาร จะเป็นมื้อเช้า กลางวันและเย็น และนอนค้างที่บ้านสาวหรือบริเวณข่วง เน่ืองจาก หนุ่มมาจากท่ีไกล ต่างอำ�เภอ ต้องเดินทางด้วยเท้า และจักรยาน และแตเ่ ดิมไม่มีการเลน่ ขา้ มจังหวัด ดังน้ัน การอ้ินกอนก็จะแบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ อ้ินกอนค้างกับ อิน้ กอนกลบั แต่ในปัจจุบัน “อน้ิ กอน” จะมกี ารเล่นเฉพาะแบบแรก คอื เลน่ เสรจ็ แลว้ ก็แยกย้ายกลับบ้านของตนเอง เน่ืองจากการคมนาคมสะดวก และเป็นการเล่น เพื่อความสนกุ สนาน รวมถึงเพอื่ การอนุรกั ษ์และสืบทอดการละเลน่ เท่าน้ัน 78

วกา่ารวแดข่งยุ๊ ขดันยุ่ ชาวบ้านตำ�บลพลับพลา ช่อื เรยี กในทอ้ งถ่ิน นิ ย ม เ ล่ น ว่ า ว ดุ๊ ย ดุ่ ย อั น มี อั ต ลั ก ษ ณ์ การแขง่ ขันอูดวา่ วด๊ยุ ดยุ่ พลงั เสยี งจากอดู ว่าวที่ไพเราะ ดงั กงั วาน การแข่งขันเสียงอูดวา่ วดุ๊ยด่ยุ ฟงั เหมอื นเสยี งดนตรที ม่ี กี ารสบื ทอดกนั มา ลกั ษณะของมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยได้รวมกลุ่มกัน การเล่นพ้ืนบา้ น กฬี าพน้ื บ้าน และศิลปะกาตอ่ สู้ปอ้ งกนั ตวั เป็นชมรมรักษ์เสียงอูดว่าวดุ๊ยดุ่ยจันทบุรีมีการ ประเภท ถ่ายทอดองค์ความรู้เร่ืองว่าวดุ๊ยดุ่ยให้กับเด็ก รายการตวั แทนมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ท้ังเรื่องการประดิษฐ์ว่าว จงั หวดั ผูเ้ สนอขอ้ มลู ข้ึนบญั ชี แ ล ะ อู ด ว่ า ว ดุ๊ ย ดุ่ ย ที่ ไ ด้ นำ � ค ว า ม รู้ พื้ น ฐ า น ท า ง จงั หวดั จันทบรุ ี วิทยาศาสตร์เข้ามาปรับประยุกต์ ใช้ท้ังส้ิน พ้นื ที่ปฏบิ ตั ิ ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นฟสิ กิ สแ์ ละการค�ำ นวณโครงสรา้ ง ตำ�บลพลับพลา อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั จนั ทบรุ ี วา่ ตอ้ งท�ำ อยา่ งไรใหว้ า่ วขน้ึ ลอยได้ และการเลน่ วา่ ว ท่ีมีอูดว่าวดุ๊ยดุ่ย ซ่ึงเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ เชื่อมโยงกับวิถีธรรมชาติในท้องถ่ิน ชาวบ้าน นยิ มเลน่ วา่ วดยุ๊ ดยุ่ ในฤดหู นาว ซ่ึงเป็นช่วงที่ผลไม้ ผลิดอกออกผลและเป็นช่วงการเก็บเก่ียวข้าว ในนาดว้ ย จากการรวบรวมข้อมูลทางสถิติ พบวา่ ลักษณะในการติดลมของว่าวดุ๊ยดุ่ยสอดคล้อง กบั ผลผลติ ทางการเกษตรของพน้ื ที่ ในการเลน่ วา่ ว ถ้าเล่นผ่านข้ามคืน (ว่าวลอยอยู่บนฟ้าตลอดคืน โดยไม่ตก) เช่ือว่าในปีน้ันผลผลิตทางการเกษตร ผลไมจ้ ะตดิ ผลดก แตถ่ า้ เลน่ ไมผ่ า่ นขา้ มคนื แสดงวา่ ผลไม้ไม่ดกเทา่ ท่คี วร 79

ว่าวดุ๊ยดุ่ย จึงเป็นว่าวพยากรณ์เร่ือง วิทยาศาสตร์และธรรมชาติอย่างลงตัว ซ่ึงเป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์อันทรงคุณค่าคู่ควรกับการอนุรักษ์ไว้เป็นมรดก ดิน ฟ้า อากาศ และทำ�นายผลผลิตทางการเกษตรได้ ทางวัฒนธรรมสืบไป จงึ ไดม้ กี ารรวมกลมุ่ กันของผทู้ ีช่ น่ื ชอบ ซง่ึ เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งมากตอ่ เกษตรกรในพน้ื ท่ี ชาวบา้ น เสียงอูดและว่าวดุ๊ยดุ่ย จัดให้มีการแข่งขันว่ิงว่าวและ ตำ�บลพลับพลา จึงได้เร่ิมจัดการแข่งขันเสียงอูด ประชนั เสยี งอดู วา่ วดยุ๊ ดยุ่ โดยผนู้ �ำ ของหมบู่ า้ น ซง่ึ แขง่ ขนั กนั ว่าวดุ๊ยดุ่ยมาต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบัน เป็นการภายใน เริ่มทำ�การแข่งขันครั้งแรกในเดือน อย่างต่อเน่อื ง นับเป็นกลไกหลักท่สี ำ�คัญในการอนุรักษ์ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่ีบริเวณลานโล่งหน้าบ้าน การละเล่นพ้ืนบ้าน คือ การเล่นว่าวดุ๊ยดุ่ยให้เยาวชน ของนายธงชยั อตัญที ผใู้ หญ่บ้าน หม่ทู ี่ ๑๐ (บ้านดาวเรอื ง) รนุ่ หลงั หรอื ประชาชนทว่ั ไปไดร้ จู้ กั อยา่ งแพรห่ ลายมากขน้ึ ตำ�บลพลับพลา และจัดให้มีการแข่งขันกันมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นการส่งเสริมให้คนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะเด็ก ต่อมาจึงไดม้ กี ารรวมกล่มุ กนั จัดตง้ั เปน็ “ชมรมรักษ์เสียงอดู และเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ รวมถึงเป็น ว่าวดุ๊ยดุ่ยจันทบุรี” เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๓ โดยมี การส่งเสริมอาชีพให้มีรายได้เพ่ิมแก่คนในท้องถ่ิน นายหาญ ชา่ งเรอื น เปน็ ประธานชมรมรกั ษเ์ สยี งอดู วา่ วดยุ๊ ดยุ่ (ท�ำ วา่ วและอดู ขาย) อกี ดว้ ย จันทบรุ ี (คนแรก) ดงั กล่าว นายหาญ ช่างเรือน อดีตประธานชมรมรักษ์ การจัดการแข่งขันว่าวดุ๊ยดุ่ยของจังหวัดจันทบุรี เสียงอูดว่าวดุ๊ยดุ่ยจันทบุรี (คนแรก) ได้ให้ข้อมูลว่า ในแต่ละครั้งได้กำ�หนดจัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๕ สมัยท่ียังเป็นเด็กอายุประมาณ ใช้เวลาในการแข่งขันเป็นเวลาท้ังสิ้น ๒ วัน โดยจะมี ๕ – ๖ ขวบ ได้เหน็ ลุงศาสตร์ กสกิ รรมเจริญ เล่นว่าว การประชาสัมพันธ์การจัดงานล่วงหน้าไปยังสมาชิก เป็นครั้งแรก ซ่ึงตัวว่าวมีลักษณะของปีกยาวรี ๆ ในชุมชนต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดจันทบุรีและเครือข่ายจังหวัด เหมือนว่าวจุฬา แต่มีเสียงไพเราะดังกังวานฟังเหมือน ใกล้เคียง ได้แก่ จังหวัดระยองและจังหวัดตราด โดยมี เสียงดนตรี จึงไดส้ อบถามจากผ้เู ฒา่ ผ้แู ก่ว่าคือว่าวอะไร หลักเกณฑ์กตกิ าและวิธกี ารแข่งขนั เสยี งอดู วา่ วดุย๊ ดยุ่ ดังนี้ ซงึ่ กไ็ ดค้ �ำ ตอบเรียกวา่ “วา่ วดยุ๊ ดุ่ย” และท่ีท�ำ ให้ก�ำ เนิด ประเภทของการแขง่ ขนั แบง่ เปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ เสยี งดงั ฟงั เหมอื นดนตรเี รยี กวา่ “อดู ” จงึ เกดิ แรงบนั ดาลใจ ประเภทอูดยาว มีใบอูดยาวต้ังแต่ ๑๐๐ เซนติเมตรข้ึนไป ท่ีจะทำ�อูดและว่าวดุ๊ยดุ่ยขึ้นมาให้ได้ เร่ิมแรกท่ีทำ� และประเภทอูดส้ัน มใี บอูดยาวตงั้ แต่ ๙๐ เซนตเิ มตร ลงมา ว่าวดุ๊ยดุ่ยนั้น ลักษณะของว่าวมีรูปร่างแบบของเดิม โดยวา่ วทใี่ ชใ้ นการแขง่ ขนั ตอ้ งเปน็ วา่ วดยุ๊ ดยุ่ ทม่ี ี ๒ หางเทา่ นนั้ เม่ือสมัยก่อน ใช้กระดาษปูนปะท่ีตัวว่าวและสายป่าน ทำ�การแข่งขันเป็นทีม ๆ ละ ๒ คน (ไม่จำ�กัดเพศและวัย ใชเ้ ปน็ ลวด อดู กเ็ ปน็ หวาย อปุ กรณท์ ใี่ ชเ้ กบ็ เชอื กเรยี กวา่ เป็นทีมผสมได้ท้ังชาย หญิง เด็กและผู้ใหญ่) ผู้เข้าแข่งขัน “เข็ด” (ทำ�จากไม้ไผ่ สันนิษฐานว่าอาจจะมาจาก จะประกอบด้วย คนวิ่งว่าว ๑ คน และคนส่งว่าว ๑ คน การเก็บเชือกซึ่งต้องใช้กำ�ลังเป็นอย่างมากในการเก็บ เปิดรับลงทะเบียนสมัครเข้าแข่งขัน ผู้สมัครต้องนำ�ใบอูด ก็จะร้องว่า โอย “เข็ด”) ปัจจุบัน นายหาญ ช่างเรือน มาดว้ ย (วา่ ว ๑ ตวั สามารถใชอ้ ดู ไดห้ ลายใบ ไมจ่ �ำ กดั จ�ำ นวน ได้เปล่ียนแปลงรูปร่างลักษณะของว่าวดุ๊ยดุ่ยให้ปีกบน ใบอูดที่สมัคร โดยผู้เข้าแข่งขันจะเสียค่าสมัครอูดใบละ และปกี ลา่ งมชี ว่ งปลายปกี มน (ไมแ่ หลมเหมอื นของเดมิ ) ๒๐ บาท) เพอ่ื ใหค้ ณะกรรมการตรวจสอบและลงนามก�ำ กบั เมื่อขึ้นอยู่บนท้องฟ้า มองเหมือนรูปพานรัฐธรรมนูญ โดยใบอดู แตล่ ะใบจะไดห้ มายเลขเพอ่ื ใชป้ ระกอบในการแขง่ ขนั การปะว่าวใช้ผ้ายางแทนกระดาษ ซ่ึงสามารถตกแต่ง ใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรม ซง่ึ คณะกรรมการตดั สนิ จะไมม่ โี อกาส ไดห้ ลายสี ดว้ ยความคดิ สรา้ งสรรคเ์ พมิ่ ลวดลายประดษิ ฐ์ ทราบว่าอดู วา่ วทก่ี �ำ ลงั แขง่ ขนั น้ันเป็นอดู วา่ วของบุคคลใด ท�ำ ใหว้ า่ วมคี วามสวยงามมากยงิ่ ขนึ้ วา่ วดยุ๊ ดยุ่ ตอ้ งมี๒หาง การแข่งขันแบ่งเปน็ ๓ รอบ ได้แก่ โดยใช้ผ้าทำ�เป็นหาง (ว่าวดุ๊ยดุ่ยเม่ือขึ้นอยู่บนท้องฟ้า - ร อบคัดเลือก จัดการแข่งขันโดยเรียงลำ�ดับ หางของวา่ วชว่ ยใหก้ ารทรงตวั ไดน้ ง่ิ สงา่ งาม ไมส่ า่ ยไปมา เหมอื นวา่ วจฬุ า) สว่ น “อดู ” ยงั คงอนรุ กั ษไ์ วแ้ บบดงั้ เดมิ ตามหมายเลขท่สี มคั ร คร้งั ละทีม ตามล�ำ ดบั คือ ใช้หวายในการทำ�ความรู้เรื่องการทำ�ว่าวดุ๊ยดุ่ย จนครบทีมผู้สมัครทั้งหมด คัดเลือกให้เหลือ ไดถ้ กู น�ำ มาถา่ ยทอดตอ่ ไปยงั คนในชมุ ชน รวมทงั้ เดก็ และ เยาวชนรนุ่ ใหมด่ ว้ ย ทงั้ เรอื่ งการประดษิ ฐว์ า่ วและการท�ำ ๕๐ ทีม โดยทำ�การแข่งขันสลับกันระหว่าง อูดให้มีความไพเราะ และการเล่นว่าวที่ต้องสัมพันธ์กับ ประเภทอดู ยาวและอดู สน้ั 80

- รอบท่ีสอง จัดการแข่งขันโดยจับสลาก ผ้ชู นะในการแขง่ ขัน ทมี ใดตกรอบแรก สามารถมาสมัคร หมายเลขผเู้ ขา้ แขง่ ขนั ทผ่ี า่ นรอบคดั เลอื ก เข้าแขง่ ขนั ใหมไ่ ด้อกี วดั กนั ทค่ี ะแนนทีไ่ ด้ แขง่ ขนั กนั ใหเ้ หลอื ๑๐ ทมี กำ�หนดการขั้นตอนการจดั การแขง่ ขัน ช่วงเช้า วันแรกของการแข่งขัน เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. - รอบชงิ ชนะเลศิ จดั การแขง่ ขนั โดยจบั สลาก จะเป็นพิธีทำ�บุญถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสงฆ์ หมายเลขผู้เข้าแข่งขันท่ีผ่านรอบท่ีสอง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แด่บรมครูในการทำ�ว่าวที่ได้ล่วงลับ เพอ่ื ตดั สนิ หาผชู้ นะรางวลั ท่ี ๑ - ๕ และ ไปแล้ว เพ่อื แสดงกตัญญุตาต่อบรมครูก่อนจดั การแขง่ ขนั รางวลั ชมเชย ซึ่งเป็นกิจกรรมท่ีแสดงถึงวัฒนธรรมอันดีงามท่ีได้ ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นประจำ�ทุกปี ท้ังนี้ การข้ึนว่าว จะใช้ธงเขียว – ธงแดง เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. จะเริ่มลงทะเบียนเปดิ รบั สมัคร เปน็ สญั ลกั ษณใ์ นการปลอ่ ยวา่ ว โดยธงแดงเปน็ สญั ลกั ษณ์ ผู้เข้าร่วมแข่งขัน จากนั้นเวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ใหเ้ ตรยี มความพรอ้ ม หรอื มเี หตฉุ กุ เฉนิ ทที่ �ำ ใหไ้ มส่ ามารถ เป็นพิธีเปิดการแข่งขันและเริ่มดำ�เนินการแข่งขัน ข้ึนว่าวได้ และเม่ือคณะกรรมการยกธงเขียว จะเป็น ประเภทต่าง ๆ จะมกี ารคัดเลือกผเู้ ขา้ รอบและจัดแข่งขนั สญั ลกั ษณใ์ นการจบั เวลา ๓๐ วนิ าที หากวา่ วไมส่ ามารถ ร อ บ ชิ ง ช น ะ เ ลิ ศ กั น ใ น วั น สุ ด ท้ า ย ข อ ง ก า ร แ ข่ ง ขั น ข้ึนได้จะถือว่าแพ้ฟาล์ว (แต่สามารถสมัครใหม่ได้) พร้อมรับถ้วยรางวัลและเงินรางวัลในพิธีปิดการแข่งขัน กรณที ยี่ กเวน้ ไดแ้ ก่ หางขาด เชอื กขาด หรอื ลมื บดิ ใบอดู โดยการแข่งขันนี้จะมุ่งเน้นท่ีความสมัครสมานสามัคคี ให้ขึ้นว่าวใหม่ได้ ส่วนกรณีตัดสิทธิ์เข้าแข่งขัน ได้แก่ เชื่อมความสัมพันธ์อนั ดตี ่อกันเป็นสำ�คัญ อูดขาด ไหมขาด เพราะถอื วา่ ไม่มีความพร้อม ชาวบา้ นตำ�บลพลับพลา ไดร้ ่วมกับทกุ ภาคส่วน วิธีการแข่งขัน จัดการแข่งขันครั้งละ ๑ ทีม สืบสานภูมิปัญญาจัดการแข่งขันว่าวดุ๊ยดุ่ยอย่างต่อเนื่อง เม่ือเร่ิมการแข่งขัน ให้ทีมผู้เข้าแข่งขันนำ�ว่าวไปประจำ� เป็นประจำ�ทุกปี โดยในปัจจุบันได้ใช้สนามบ้านดาวเรือง จุดส่งเตรียมความพร้อม รอสัญญาณธงเขียวข้ึน และ พลับพลา (ทุ่งโล่งหนองสิทธิ์) เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน เมื่อธงเขียวข้ึน ให้ทีมผู้เข้าแข่งขันวิ่งและปล่อยว่าว เน่ืองจากมีผู้เข้าร่วมแข่งขันเพ่ิมมากขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ขนึ้ สทู่ อ้ งฟา้ ภายในเวลา๓๐วนิ าทีถา้ วา่ วไมส่ ามารถขนึ้ ได้ ยังมีการสร้างและขยายภาคีเครือข่ายทั้งภายในจังหวัด จะถอื วา่ แพฟ้ าลว์ ทมี ผเู้ ขา้ แขง่ ขนั วง่ิ วา่ วตอ่ ไประยะหนง่ึ ตามความยาวของสนามแข่งขัน (๒๐๐ - ๓๐๐ เมตร) และจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง ตลอดจนผสู้ นใจทว่ั ไปเขา้ รว่ มดว้ ย ไม่เกนิ ๕ นาที เป็นอนั เสร็จสิน้ การแข่งขัน ๑ ทีม การแข่งขันว่าวดุ๊ยดุ่ย จึงนับเป็นมรดกภูมิปัญญา กตกิ าการตดั สนิ ในการแขง่ ขนั มคี ณะกรรมการ ทางวฒั นธรรมทมี่ กี ารถา่ ยทอดจากคนรนุ่ หนง่ึ ไปยงั ตัดสิน ๓ คน โดยคณะกรรมการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ คนอีกรุ่นหนึ่ง เป็นสิ่งท่ีผู้นำ�ชุมชนและชาวบ้าน ที่มีความเช่ียวชาญและมีประสบการณ์ในการฟังเสียง ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ สั่งสม ปลูกฝังและสืบทอด อดู วา่ ว คณะกรรมการจะนงั่ ในต�ำ แหนง่ เหนอื ลม หา่ งจาก กนั มา เพอื่ ตอบสนองตอ่ สภาพแวดลอ้ มของตนเอง จดุ สง่ วา่ ว ประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ เมตร โดยแบง่ หน้าท่ี จนกลายเป็นอัตลักษณ์ท้องถ่ินที่ ได้รับการอนุรักษ์ ให้คณะกรรมการแต่ละคนรับผิดชอบในการพิจารณา และสบื สานใหค้ งอย่คู ชู่ ุมชนตลอดไป ให้คะแนนผู้เข้าแข่งขันทุกหมายเลขตามเกณฑ์การให้ คะแนนกันคนละด้าน คำ�ตัดสินของคณะกรรมการ ถอื เปน็ ทส่ี นิ้ สดุ ทงั้ นี้ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนจะประกอบดว้ ย คณะกรรมการคนที่หน่ึง ให้คะแนนเสียงดังกังวาน คณะกรรมการคนท่ีสอง ให้คะแนนเสียงคมชัดและ คณะกรรมการคนที่สาม ให้คะแนนการเปลี่ยนเสียง (การเปล่ยี นเสียงโดยไมซ่ ํา้ อูดวา่ วใดเปลย่ี นเสียงได้มาก กว่ากัน จะได้คะแนนมาก ปัจจุบันมีการเปลี่ยนเสียง ไล่ตามระดับเสียงโน้ตดนตรีได้มากสุดถึง ๕ เสียง) ซึ่งแต่ละด้านจะมีคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน การตัดสิน จะน�ำ ผลคะแนนของคณะกรรมการท้งั ๓ คนมารวมกัน (คะแนนเตม็ ๓๐ คะแนน) ใครไดค้ ะแนนรวมสงู สดุ จะเปน็ 81

ภาคผนวก 82

เล่ม ๑๓๖ ตอนพเิ ศษ ๑๙๕ ง ราชกหิจนจ้าานเุ๔บกษา ๒ สิงหาคม ๒๕๖๒ ประกาศกรมส่งเสริมวฒั นธรรม เร่ือง การขนึ้ บญั ชมี รดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๘ (๕) และมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๙ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เมื่อวันท่ี ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ จงึ ประกาศขึ้นบญั ชีมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม จานวน ๑๘ รายการ ดังต่อไปนี้ ๑. ประเภทรายการมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ตี ้องไดร้ ับการส่งเสรมิ และรกั ษาอย่างเรง่ ด่วน ๑.๑ ศลิ ปะการแสดง ๑.๑.๑ ลาแมงตับเตา่ ไทเลย ๑.๒ แนวปฏิบัติทางสงั คม พธิ กี รรม ประเพณี และเทศกาล ๑.๒.๑ ประเพณีแหน่ างดาน ๑.๓ ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ กย่ี วกบั ธรรมชาติและจักรวาล ๑.๓.๑ ทเุ รยี นนนท์ ๑.๓.๒ ปลาสลิดบางบอ่ ๑.๔ งานชา่ งฝีมอื ดงั้ เดิม ๑.๔.๑ เครอื่ งปัน้ ดินเผาด่านเกวียน ๑.๔.๒ ซ่นิ หมคี่ น่ั น้อยไทหล่ม ๒. ประเภทรายการตัวแทนมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม ๒.๑ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ๒.๑.๑ ตานานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) ๒.๑.๒ ตานานเมืองลพบรุ ี ๒.๒ ศลิ ปะการแสดง ๒.๒.๑ โปงลาง ๒.๒.๒ กลองอดื ๒.๒.๓ รามอญ ๒.๒.๔ ราตรด๊ ๒.๓ แนวปฏิบัติทางสังคม พธิ กี รรม ประเพณี และเทศกาล ๒.๓.๑ ประเพณีอฏั ฐมีบชู า ๒.๓.๒ โจลมะมว้ ต 83

เล่ม ๑๓๖ ตอนพเิ ศษ ๑๙๕ ง ราชกหจิ นจ้าานเุ๕บกษา ๒ สิงหาคม ๒๕๖๒ ๒.๔ งานช่างฝีมอื ดงั้ เดิม ๒.๔.๑ หมอ้ น้าดินเผาเกาะเกรด็ ๒.๔.๒ งานปนู ปั้นสกลุ ชา่ งเมืองเพชร ๒.๕ การเล่นพนื้ บา้ น กฬี าพ้ืนบา้ น และศิลปะการตอ่ สู้ป้องกันตวั ๒.๕.๑ อ้ินกอนฟอ้ นแคน ๒.๕.๒ การแขง่ ขนั วา่ วดุ๊ยดยุ่ ประกาศ ณ วนั ท่ี 12 กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖2 ชาย นครชยั อธิบดกี รมสง่ เสริมวฒั นธรรม 84

85

86

87

88

89

90

รายการมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมที่ไดร้ บั การประกาศขน้ึ บัญชี (ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๖๒) จำ�นวน ๓๕๔ รายการ ล�ำ ดบั ท่ี ปที ่ขี นึ้ บัญชี ลักษณะมรดกภมู ิปัญญา ช่อื รายการ ภมู ิภาค/จงั หวัด ๑ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง โขน ทั่วประเทศ ๒ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง ๓ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง หนงั ใหญ่ ระยอง สงิ หบ์ รุ ี ราชบรุ ี กรงุ เทพ ฯ ๔ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง ละครชาตรี ภาคกลาง ภาคตะวนั ออก ๕ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง ภาคใต้ ๖ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง โนรา ภาคใต้ ๗ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง หนงั ตะลงุ ลา้ นนาตะวนั ออก วงสะลอ้ ซอปนิ ภาคเหนใอนื แภลาะคชกมุลชางนไทยวน ๘ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง ซอลา้ นนา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๙ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๑๐ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง หมอล�ำ พน้ื มกุ ดาหาร ๑๑ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง หมอล�ำ กลอน นครราชสมี า ๑๒ ๒๕๕๒ ศลิ ปะการแสดง ภาคใตต้ อนลา่ ง ๑๓ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ล�ำ ผญา เพลงโคราช ภาภคากคลเหานงภอื าภคตาคะกวนัลาองอกภเาฉคยี เงหเนหอืนอื ๑๔ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ดเี กรฮ์ ลู ู กาฬสนิ ธ์ุ ๑๕ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ซน่ิ ตนี จก ตรงั ๑๖ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ล�ำ ปาง ๑๗ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ผา้ แพรวา ๑๘ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ผา้ ทอนาหมน่ื ศรี นครศรธี รรมราช ๑๙ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ กอ่ งขา้ วดอก เชยี งราย ๒๐ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ เครอ่ื งจกั สานยา่ นลเิ ภา ๒๑ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาเวยี งกาหลง พระนครศรอี ยธุ ยา ๒๒ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ราชบรุ ี อบุ ลราชธานี ๒๓ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ มดี อรญั ญกิ ๒๔ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ กระดง่ิ ทองเหลอื ง ภาคใต้ ๒๕ ๒๕๕๒ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ ยโสธร ๒๖ ๒๕๕๓ ศลิ ปะการแสดง กรชิ ภาคใต้ ๒๗ ๒๕๕๓ ศลิ ปะการแสดง เกวยี นสลกั ลาย เพชรบรุ ี ๒๘ ๒๕๕๓ ศลิ ปะการแสดง รปู หนงั ตะลงุ ล�ำ ปาง ๒๙ ๒๕๕๓ ศลิ ปะการแสดง เครอ่ื งทองโบราณ สกลุ ชา่ งเพชรบรุ ี ทว่ั ประเทศ ๓๐ ๒๕๕๓ ศลิ ปะการแสดง ปราสาทศพ สกลุ ชา่ งล�ำ ปาง ภาคกลาง ๓๑ ๒๕๕๓ ศิลปะการแสดง ภาคกลาง ๓๒ ๒๕๕๓ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดิม ปพ่ี าทย์ ภาคกลาง ๓๓ ๒๕๕๓ งานช่างฝมี ือดง้ั เดิม ละครใน ทว่ั ประเทศ ๓๔ ๒๕๕๓ งานช่างฝีมอื ด้ังเดมิ หนุ่ กระบอก ทว่ั ประเทศ ลเิ กทรงเครอ่ื ง ทัว่ ประเทศ ๓๕ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพ้นื บา้ นและภาษา ร�ำ เพลงชา้ -เพลงเรว็ ทั่วประเทศ ๓๖ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา แมท่ ่ายกั ษ-์ ลิง ภาภคากคลเหางนภือาภคตาคะกวันลาองอกภเาฉคยี เงหเนหอืนือ ผ้ายก ทัว่ ประเทศ ผา้ มัดหมี่ ท่ัวประเทศ การปัน้ หลอ่ พระพุทธรปู 91 นทิ านศรธี นญชัย นทิ านสังขท์ อง

ล�ำ ดบั ท่ี ปที ี่ข้ึนบัญชี ลักษณะมรดกภมู ปิ ัญญา ช่อื รายการ ภมู ภิ าค/จงั หวัด ๓๗ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา นทิ านขนุ ช้างขุนแผน ภาคกลาง ๓๘ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา ตำ�นานพระแกว้ มรกต ๓๙ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ตำ�นานพระเจา้ หา้ พระองค์ ภาคกลาง ภาคเหนือ ๔๐ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ทั่วประเทศ ๔๑ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ตำ�นานดาวลูกไก่ ภาคกลาง ๔๒ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ต�ำ นานพระเจ้าเลียบโลก ๔๓ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพ้ืนบ้านและภาษา ต�ำ นานพระบรมธาตุ นครศรธี รรมราช ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ๔๔ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ตำ�นานพระพุทธสิหงิ ค์ นครศรธี รรมราช ๔๕ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ๔๖ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ตำ�นานพญาคนั คาก เชยี งใหม่ นครศรีธรรมราช ๔๗ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา บททำ�ขวญั ข้าว ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคเหนือ ๔๘ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา บททำ�ขวัญนาค ๔๙ ๒๕๕๓ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา บททำ�ขวัญควาย ทั่วประเทศ ๕๐ ๒๕๕๓ การเลน่ พน้ื บา้ น กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการตอ่ ส้ปู ้องกันตัว ตำ�ราแมวไทย ท่วั ประเทศ ๕๑ ๒๕๕๔ ตำ�ราเลขยนั ต์ ทั่วประเทศ ๕๒ ๒๕๕๔ ศิลปะการแสดง มวยไทย ภาคกลาง ๕๓ ๒๕๕๔ ศิลปะการแสดง กระจบั ปี่ ทว่ั ประเทศ ๕๔ ๒๕๕๔ ศิลปะการแสดง เปย๊ี ะ ทว่ั ประเทศ ๕๕ ๒๕๕๔ ศิลปะการแสดง ขับเสภา ภาคกลาง อีสานใต้ ภาคเหนอื ๕๖ ๒๕๕๔ ศลิ ปะการแสดง ละครนอก ภาคเหนอื ๕๗ ๒๕๕๔ งานชา่ งฝมี ือดง้ั เดิม ทวั่ ประเทศ ๕๘ ๒๕๕๔ งานช่างฝมี ือดง้ั เดมิ การแสดงในพระราชพธิ ี ทว่ั ประเทศ ๕๙ ๒๕๕๔ งานชา่ งฝีมอื ดงั้ เดิม ผ้ายอ้ มคราม กรงุ เทพ ฯ ๖๐ ๒๕๕๔ งานชา่ งฝมี ือด้งั เดมิ ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๒๕๕๔ งานชา่ งฝมี ือดั้งเดิม เครอื่ งจกั สานไม้ไผ่ ทั่วประเทศ ๖๑ ๒๕๕๔ ศิลปะการแสดง เรือนไทยพืน้ บ้านด้งั เดิม ทว่ั ประเทศ ๖๒ ๒๕๕๔ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ๖๓ ๒๕๕๔ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา เรือกอและ ภาคใต้ ๖๔ ๒๕๕๔ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา งานชา่ งแทงหยวก ตาก ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๖๕ ๒๕๕๔ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคใต้ ๖๖ ๒๕๕๔ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา เปี๊ยะ ๖๗ ๒๕๕๔ การเลน่ พื้นบ้าน กีฬาพนื้ บ้านและศลิ ปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตวั นทิ านปลาบูท่ อง ทั่วประเทศ ๖๘ ๒๕๕๔ การเลน่ พ้ืนบา้ น กฬี าพื้นบา้ นและศลิ ปะการตอ่ สปู้ ้องกันตวั ตำ�นานจามเทวี ภาคเหนอื ๖๙ ๒๕๕๔ การเลน่ พื้นบ้าน กีฬาพ้นื บ้านและศลิ ปะการตอ่ ส้ปู อ้ งกันตัว ตำ�นานผาแดงนางไอ่ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ๗๐ ๒๕๕๔ การเล่นพนื้ บา้ น กฬี าพน้ื บา้ นและศิลปะการตอ่ สู้ปอ้ งกนั ตัว ต�ำ นานแม่นาคพระโขนง กรุงเทพ ฯ ๗๑ ๒๕๕๔ การเล่นพน้ื บ้าน กีฬาพื้นบา้ นและศลิ ปะการตอ่ สู้ปอ้ งกนั ตัว ตำ�นานนางเลอื ดขาว ภาคใต้ ๗๒ ๒๕๕๔ แนวปฏบิ ัติทางสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ทวั่ ประเทศ ๗๓ ๒๕๕๔ แนวปฏิบตั ิทางสังคม พธิ กี รรม ประเพณี และงานเทศกาล ว่าวไทย ทั่วประเทศ แนวปฏบิ ัติทางสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ตะกร้อ ทั่วประเทศ ๗๔ ๒๕๕๔ ต่จี ับ ทว่ั ประเทศ ๗๕ ๒๕๕๔ แนวปฏิบตั ิทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล แยล้ งรู ทั่วประเทศ แนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล กระบกี่ ระบอง ทวั่ ประเทศ 92 การแสดงความเคารพแบบไทย ทว่ั ประเทศ ทำ�ขวญั ข้าว ทว่ั ประเทศ พธิ ไี หวค้ รู ทั่วประเทศ สงกรานต์ ทัว่ ประเทศ ลอยกระทง

ล�ำ ดบั ท่ี ปีท่ีขึน้ บญั ชี ลักษณะมรดกภูมปิ ัญญา ชื่อรายการ ภมู ิภาค/จังหวัด ๗๖ ๒๕๕๔ ความรู้และการปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล นํ้าปลาไทย ทั่วประเทศ ๗๗ ๒๕๕๔ ความรู้และการปฏบิ ตั ิเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ต้มย�ำ ก้งุ ทั่วประเทศ ๗๘ ๒๕๕๔ ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั ธรรมชาตแิ ละจักรวาล ผดั ไทย ทว่ั ประเทศ ๗๙ ๒๕๕๔ ความรู้และการปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ฤๅษีดดั ตน ทว่ั ประเทศ ๘๐ ๒๕๕๔ ความรแู้ ละการปฏิบตั ิเกย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล การนวดไทย ทว่ั ประเทศ ๘๑ ๒๕๕๕ ภาคเหนอื ๘๒ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง ดนตรขี องกลุ่มชาติพนั ธุ์ลีซู ทว่ั ประเทศ ๘๓ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง ซอสามสาย ทั่วประเทศ ๘๔ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง อสี านใต้ ๘๕ ๒๕๕๕ ศลิ ปะการแสดง เพลงหนา้ พาทย์ อสี านใต้ ๘๖ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง กนั ตรึม ภาคใต้ ๘๗ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง เจรียง ๘๘ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง กาหลอ เชยี งใหม่ แม่ฮ่องสอน ๘๙ ๒๕๕๕ ศลิ ปะการแสดง ทั่วประเทศ ๙๐ ๒๕๕๕ ศลิ ปะการแสดง ก้านกกิงกะหรา่ ทั่วประเทศ ๙๑ ๒๕๕๕ ศลิ ปะการแสดง ฟ้อนมา่ นมุ้ยเชยี งตา ทั่วประเทศ ๙๒ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง ภาคใต้ ๙๓ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง ร�ำ ฝรงั่ คู่ ๙๔ ๒๕๕๕ ศิลปะการแสดง ละครดึกดำ�บรรพ์ ภาคใต้ตอนล่าง ๙๕ ๒๕๕๕ งานชา่ งฝีมือดั้งเดิม ภาคใต้ ๙๖ ๒๕๕๕ งานช่างฝีมอื ดั้งเดิม โนราโรงครู ภาคกลาง ๙๗ ๒๕๕๕ งานชา่ งฝีมอื ดั้งเดมิ มะโยง่ ภาคเหนือ งานชา่ งฝีมอื ดงั้ เดมิ รองเง็ง ๙๘ ๒๕๕๕ ราชบุรี ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ๙๙ ๒๕๕๕ งานช่างฝีมอื ดั้งเดมิ ผา้ ทอไทครงั่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ๑๐๐ ๒๕๕๕ งานช่างฝีมอื ดง้ั เดมิ ผ้าทอไทลอื้ ๑๐๑ ๒๕๕๕ งานชา่ งฝมี ือดั้งเดิม ผ้าทอกะเหรยี่ ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ๑๐๒ ๒๕๕๕ งานชา่ งฝีมอื ดง้ั เดิม ผา้ ทอไทยวน ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๑๐๓ ๒๕๕๕ งานชา่ งฝมี ือดัง้ เดมิ ๑๐๔ ๒๕๕๕ งานช่างฝมี ือด้งั เดิม ผ้าทอผู้ไทย ภาคกลาง ๑๐๕ ๒๕๕๕ งานชา่ งฝีมอื ดั้งเดิม เครอื่ งมกุ ไทย ทว่ั ประเทศ ๑๐๖ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา กรงุ เทพ ฯ ๑๐๗ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา เครือ่ งรัก กรุงเทพ ฯ ๑๐๘ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา ขนั ลงหินบา้ นบุ ภาคเหนอื ๑๐๙ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา บาตรบา้ นบาตร ภาคเหนือ ๑๑๐ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา สตั ตภัณฑ์ล้านนา ภาคเหนอื ตอนลา่ ง ๑๑๑ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ทว่ั ประเทศ ๑๑๒ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา โคมลา้ นนา ประจวบครี ขี ันธ์ ๑๑๓ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา นิทานพระรว่ ง ทัว่ ประเทศ ๑๑๔ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา นทิ านวรวงศ์ ๑๑๕ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา นิทานตาม่องล่าย ภาคใต้ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา พระสุธนมโนหร์ า-ภาคใต้ เชยี งใหม่ นิทานเรื่องวันคาร เชยี งราย ต�ำ นานเจ้าหลวงค�ำ แดง ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ต�ำ นานพระธาตดุ อยตุง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ต�ำ นานเจ้าแมส่ องนาง ภาคใต้ ต�ำ นานอุรังคธาตุ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวนั ออก ต�ำ นานหลวงปู่ทวด นางโภควดี : ต�ำ นานสรา้ งโลกและจกั รวาล 93

ล�ำ ดบั ท่ี ปที ่ีขึน้ บญั ชี ลกั ษณะมรดกภูมปิ ญั ญา ชอื่ รายการ ภมู ภิ าค/จังหวัด ๑๑๖ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ต�ำ นานสร้างโลกภาคใต้ ภาคใต้ ๑๑๗ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ภาคเหนือ ๑๑๘ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ปกั ขะทนึ ลา้ นนา ๑๑๙ ๒๕๕๕ การเล่นพ้ืนบ้าน กฬี าพ้นื บ้านและศลิ ปะการตอ่ สู้ปอ้ งกันตวั ตำ�ราศาสตรา ทั่วประเทศ ๑๒๐ ๒๕๕๕ การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพน้ื บ้านและศลิ ปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตัว ภาคกลาง ๑๒๑ ๒๕๕๕ การเลน่ พื้นบา้ น กฬี าพน้ื บ้านและศลิ ปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตวั ไมห้ ึ่ม ทั่วประเทศ ๑๒๒ ๒๕๕๕ การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพื้นบา้ นและศิลปะการต่อสปู้ ้องกันตัว หมากเกบ็ ภาคกลาง ๑๒๓ ๒๕๕๕ การเลน่ พื้นบ้าน กฬี าพื้นบา้ นและศิลปะการตอ่ สปู้ อ้ งกันตัว เสือกนิ วัว ทวั่ ประเทศ ๑๒๔ ๒๕๕๕ การเลน่ พื้นบา้ น กฬี าพื้นบ้านและศิลปะการตอ่ สู้ป้องกนั ตวั หมากรกุ ไทย ทัว่ ประเทศ ๑๒๕ ๒๕๕๕ การเล่นพื้นบา้ น กฬี าพืน้ บ้านและศลิ ปะการต่อสปู้ ้องกนั ตัว ตะกร้อลอดหว่ ง ชลบรุ ี ๑๒๖ ๒๕๕๕ การเล่นพืน้ บ้าน กฬี าพื้นบา้ นและศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว วิง่ ควาย ภาคกลาง ๑๒๗ ๒๕๕๕ แนวปฏิบัติทางสังคม พธิ กี รรม ประเพณี และงานเทศกาล ภาคเหนอื ๑๒๘ ๒๕๕๕ แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล วงิ่ วัว ภาคใต้ ๑๒๙ ๒๕๕๕ แนวปฏบิ ัตทิ างสงั คม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล เจิง ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ๑๓๐ ๒๕๕๕ แนวปฏบิ ัติทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล การผูกเกลอ ทั่วประเทศ ๑๓๑ ๒๕๕๕ แนวปฏบิ ัติทางสงั คม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล การผกู เส่ยี ว ท่ัวประเทศ ๑๓๒ ๒๕๕๕ แนวปฏิบตั ทิ างสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล เทศน์มหาชาติ ๑๓๓ ๒๕๕๕ แนวปฏบิ ัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล พธิ ีทำ�บญุ ต่ออายุ ภเู กต็ ๑๓๔ ๒๕๕๕ ความรู้และการปฏิบตั ิเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล การแตง่ กายบาบ๋า-เพอรานากนั ภาคใต้ ๑๓๕ ๒๕๕๕ ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ กย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล สารทเดอื นสบิ สมุทรปราการ ๑๓๖ ๒๕๕๕ ความร้แู ละการปฏิบตั ิเกย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ประเพณีรบั บวั ทว่ั ประเทศ ๑๓๗ ๒๕๕๕ ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั เิ กี่ยวกบั ธรรมชาติและจกั รวาล สำ�รับอาหารไทย ทั่วประเทศ ๑๓๘ ๒๕๕๕ ความรู้และการปฏบิ ตั ิเก่ยี วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล แกงเผด็ ทว่ั ประเทศ ๑๓๙ ๒๕๕๕ ความรแู้ ละการปฏบิ ัตเิ กี่ยวกับธรรมชาติและจกั รวาล แกงเขยี วหวาน ทว่ั ประเทศ ๑๔๐ ๒๕๕๕ ความรู้และการปฏิบตั เิ กย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล สม้ ต�ำ ทัว่ ประเทศ ๑๔๑ ๒๕๕๕ ความรู้และการปฏบิ ัติเกยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล นํ้าพริก ท่วั ประเทศ ๑๔๒ ๒๕๕๕ ความรู้และการปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ปลาร้า ท่วั ประเทศ ๑๔๓ ๒๕๕๕ ความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล ลูกประคบ ทั่วประเทศ ๑๔๔ ๒๕๕๕ ความรแู้ ละการปฏิบัตเิ กีย่ วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล ยาหอม ทว่ั ประเทศ ๑๔๕ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา หมอพ้นื บา้ นรักษากระดกู หกั สรุ ินทร์ บรุ ีรมั ย์ ๑๔๖ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา คชศาสตรช์ าวกยู ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๑๔๗ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ดอนปู่ตา ภาคเหนอื ๑๔๘ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา อกั ษรธรรมลา้ นนา ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ๑๔๙ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา อักษรธรรมอีสาน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๑๕๐ ๒๕๕๕ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา อกั ษรไทยน้อย นครราชสมี า ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ๑๕๑ ๒๕๕๖ ภาษาญฮั กรุ อทุ ยั ธานี สุพรรณบุรี ๑๕๒ ๒๕๕๖ ศิลปะการแสดง ภาษาก๋อง จันทบรุ ี ๑๕๓ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง ภาษาชอง ภาคเหนือ ๑๕๔ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง วงปี่จุ่ม พิษณโุ ลก สุโขทัย อุตรดติ ถ์ ๑๕๕ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง วงมงั คละ ทั่วประเทศ ศลิ ปะการแสดง วงมโหรี ทว่ั ประเทศ 94 แคน มหาสารคาม พณิ

ล�ำ ดบั ท่ี ปีท่ขี ้นึ บญั ชี ลักษณะมรดกภมู ิปัญญา ชือ่ รายการ ภูมภิ าค/จงั หวดั ๑๕๖ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง กรอื โต๊ะ ภาคใตต้ อนลา่ ง ๑๕๗ ๒๕๕๖ ศิลปะการแสดง ล�ำ ตดั ทว่ั ประเทศ ๑๕๘ ๒๕๕๖ ศิลปะการแสดง เพลงอีแซว ทั่วประเทศ ๑๕๙ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง ๑๖๐ ๒๕๕๖ ศิลปะการแสดง สวดสรภญั ญ์ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๑๖๑ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง เพลงบอก ภาคใต้ ๑๖๒ ๒๕๕๖ ศิลปะการแสดง เพลงเรือแหลมโพธ์ิ สงขลา ๑๖๓ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง รำ�ประเลง ๑๖๔ ๒๕๕๖ ศลิ ปะการแสดง ฟอ้ นกลองตุ้ม ท่ัวประเทศ ๑๖๕ ๒๕๕๖ ศิลปะการแสดง ลเิ กป่า ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ๑๖๖ ๒๕๕๖ งานช่างฝีมอื ดง้ั เดิม ฟอ้ นเลบ็ ๑๖๗ ๒๕๕๖ งานชา่ งฝีมือด้งั เดมิ ผา้ ทอไทพวน ภาคใต้ ๑๖๘ ๒๕๕๖ งานชา่ งฝมี อื ดั้งเดิม ผา้ ขาวมา้ ทว่ั ประเทศ ๑๖๙ ๒๕๕๖ งานชา่ งฝมี อื ดั้งเดิม ตะกรอ้ หวาย ทั่วประเทศ ๑๗๐ ๒๕๕๖ งานช่างฝมี ือดง้ั เดิม ขัวแตะ ทั่วประเทศ ๑๗๑ ๒๕๕๖ งานช่างฝีมือดง้ั เดิม ฆ้องบา้ นทรายมูล ปทุมธานี ๑๗๒ ๒๕๕๖ งานชา่ งฝมี อื ดัง้ เดมิ ประเกือมสุรนิ ทร์ ภาคเหนอื ๑๗๓ ๒๕๕๖ งานชา่ งฝมี อื ดง้ั เดมิ งานคร�่ำ อุบลราชธานี ๑๗๔ ๒๕๕๖ งานช่างฝมี ือดั้งเดิม เคร่ืองทองเหลืองบ้านปะอาว ๑๗๕ ๒๕๕๖ งานช่างฝมี ือดั้งเดมิ หวั โขน สุรนิ ทร์ ๑๗๖ ๒๕๕๖ บายศรี นครศรีธรรมราช กรงุ เทพ ฯ นนทบรุ ี ๑๗๗ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา นิทานยายกะตา ๑๗๘ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา นิทานปัญญาสชาดก อุบลราชธานี ๑๗๙ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา นทิ านกอ่ งขา้ วน้อยฆา่ แม่ ภาคกลาง ๑๘๐ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ต�ำ นานเจา้ แมล่ ้มิ กอเหนี่ยว ทัว่ ประเทศ ๑๘๑ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา ต�ำ นานเจ้าแม่เขาสามมุก ภาคกลาง ๑๘๒ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ต�ำ นานกบกินเดือน ทั่วประเทศ ๑๘๓ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา บทเวนทาน ยโสธร ๑๘๔ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ผญาอีสาน ปัตตานี ๑๘๕ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา ต�ำ ราพรหมชาติ ชลบุรี ๑๘๖ ๒๕๕๖ การเลน่ พื้นบา้ น กฬี าพื้นบ้านและศลิ ปะการตอ่ สู้ป้องกนั ตัว กาฟักไข่ ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๑๘๗ ๒๕๕๖ การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพืน้ บา้ นและศลิ ปะการต่อสปู้ อ้ งกันตัว หนอนซอ้ น ทว่ั ประเทศ การเล่นพื้นบา้ น กีฬาพน้ื บ้านและศิลปะการตอ่ สปู้ ้องกนั ตวั มวยตับจาก ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ๑๘๘ ๒๕๕๖ ทั่วประเทศ ๑๘๙ ๒๕๕๖ การเลน่ พื้นบ้าน กีฬาพืน้ บา้ นและศลิ ปะการต่อส้ปู ้องกนั ตวั มวยทะเล ภาคกลาง ๑๙๐ ๒๕๕๖ การเลน่ พ้นื บา้ น กฬี าพืน้ บา้ นและศลิ ปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตัว ซีละ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ๑๙๑ ๒๕๕๖ การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพน้ื บา้ นและศลิ ปะการต่อสู้ป้องกันตวั ทว่ั ประเทศ ๑๙๒ ๒๕๕๖ แนวปฏบิ ัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล มวยโบราณสกลนคร แนวปฏบิ ัตทิ างสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณตี ักบาตรเทโว ทัว่ ประเทศ ประเพณีการละเล่นผีตาโขนในงาน ภาคใต้ ๑๙๓ ๒๕๕๖ แนวปฏบิ ัตทิ างสังคม พธิ กี รรม ประเพณี และงานเทศกาล บญุ หลวง จังหวดั เลย สกลนคร ๑๙๔ ๒๕๕๖ แนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณกี วนขา้ วทิพย์ ทั่วประเทศ ประเพณบี ญุ บ้งั ไฟ เลย ทั่วประเทศ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคเหนือ 95

ล�ำ ดบั ท่ี ปีท่ีขึน้ บัญชี ลักษณะมรดกภมู ิปัญญา ชื่อรายการ ภูมิภาค/จังหวดั ๑๙๕ ๒๕๕๖ แนวปฏบิ ตั ิทางสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล พิธีโกนจุก ทั่วประเทศ ๑๙๖ ๒๕๕๖ แนวปฏิบัตทิ างสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ทว่ั ประเทศ ๑๙๗ ๒๕๕๖ แนวปฏิบัติทางสงั คม พธิ กี รรม ประเพณี และงานเทศกาล พิธีบายศรีสูข่ วัญ ทว่ั ประเทศ ๑๙๘ ๒๕๕๖ แนวปฏิบัตทิ างสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล พิธที ำ�ขวญั นาค ๑๙๙ ๒๕๕๖ แนวปฏบิ ัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณีลงเล ภาคตะวนั ออก ภาคใต้ตอนล่าง ๒๐๐ ๒๕๕๖ แนวปฏิบตั ทิ างสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณกี องขา้ วศรรี าชา จงั หวดั ชลบรุ ี ชลบุรี ๒๐๑ ๒๕๕๖ ประเพณแี หพ่ ญายมบางพระ จงั หวดั ชลบรุ ี ชลบุรี ๒๐๒ ๒๕๕๖ ความรแู้ ละการปฏิบัตเิ กี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล อาหารบาบา๋ ภูเกต็ ๒๐๓ ๒๕๕๖ ความรู้และการปฏบิ ตั ิเก่ียวกับธรรมชาติและจกั รวาล กระยาสารท ๒๐๔ ๒๕๕๖ ความรู้และการปฏิบตั เิ กยี่ วกบั ธรรมชาติและจักรวาล ทั่วประเทศ ๒๐๕ ๒๕๕๖ ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั ิเก่ยี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ขนมเบ้อื ง ภาคกลาง ๒๐๖ ๒๕๕๖ ความรแู้ ละการปฏิบตั เิ กย่ี วกบั ธรรมชาติและจักรวาล ขา้ วย�ำ ท่วั ประเทศ ๒๐๗ ๒๕๕๖ ความรแู้ ละการปฏิบตั ิเกยี่ วกับธรรมชาติและจกั รวาล ขา้ วหลาม ทั่วประเทศ ๒๐๘ ๒๕๕๖ ความรแู้ ละการปฏิบัติเก่ียวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล ยาหมอ่ ง ทั่วประเทศ ๒๐๙ ๒๕๕๖ ความรู้และการปฏิบตั ิเก่ียวกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล คึฉื่ยของกะเหรีย่ ง ภาคเหนอื ๒๑๐ ๒๕๕๖ ความรแู้ ละการปฏิบัติเกย่ี วกับธรรมชาติและจกั รวาล ขา้ วหอมมะลิ ทั่วประเทศ ๒๑๑ ๒๕๕๖ ปลากัดไทย ท่ัวประเทศ ๒๑๒ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ภาษาเลอเวอื ะ เชยี งใหม่ แมฮ่ ่องสอน ๒๑๓ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพนื้ บ้านและภาษา ภาษาโซ่ (ทะวงื ) สกลนคร ๒๑๔ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ภาษาตากใบ (เจ๊ะเห) นราธิวาส ปตั ตานี ๒๑๕ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ภาษาสะกอม สงขลา ๒๑๖ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพนื้ บ้านและภาษา ภาษาอูรกั ลาโวยจ ภเู กต็ พงั งา กระบ่ี ๒๑๗ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา ภาษามานิ (ซาไก) ตรัง พทั ลงุ สตูล ยะลา นราธวิ าส ๒๑๘ ๒๕๕๖ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ภาษาไทยโคราช (ไทยเบิ้ง) นครราชสีมา ชัยภมู ิ บรุ รี ัมย์ ลพบุรี ๒๑๙ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพ้นื บา้ นและภาษา ภาษาพิเทน อำ�เภอทงุ่ ยางแดง จงั หวดั ปตั ตานี ๒๒๐ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ภาษาเขมรถิ่นไทย อสี านใต้ ๒๒๑ ๒๕๕๗ เค่ง ชาตพิ ันธ์มุ ง้ ๒๒๒ ๒๕๕๗ ศลิ ปะการแสดง เพลงฉอ่ ย ทว่ั ประเทศ ๒๒๓ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง เพลงเรอื ภาคกลาง ๒๒๔ ๒๕๕๗ ศลิ ปะการแสดง เพลงนา ภาคใตต้ อนบน ๒๒๕ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง แตรวง ทั่วประเทศ ๒๒๖ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง ฟอ้ นโยคีถวายไฟ ทัว่ ประเทศ ๒๒๗ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง ระบ�ำ สบี่ ท ทว่ั ประเทศ ๒๒๘ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง รำ�แม่บท ท่ัวประเทศ ๒๒๙ ๒๕๕๗ ศลิ ปะการแสดง ร�ำ โทน ทั่วประเทศ ๒๓๐ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง หนงั ประโมทยั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๒๓๑ ๒๕๕๗ ศิลปะการแสดง ผา้ ทอเกาะยอ สงขลา ๒๓๒ ๒๕๕๗ งานชา่ งฝมี ือดง้ั เดมิ ผ้าทอเมอื งอุบล ฯ อบุ ลราชธานี ๒๓๓ ๒๕๕๗ งานช่างฝีมือด้งั เดิม รปู หนงั ใหญ่ ภาคกลาง ๒๓๔ ๒๕๕๗ งานชา่ งฝีมอื ด้ังเดมิ งานช่างแกะกะโหลกซอ สมทุ รสงคราม งานชา่ งฝมี ือดง้ั เดิม งานชา่ งตอกกระดาษ ทวั่ ประเทศ 96 งานชา่ งฝมี ือดงั้ เดมิ งานช่างแกะสลกั ผกั ผลไม้ ทัว่ ประเทศ งานชา่ งฝีมอื ดั้งเดิม

ล�ำ ดบั ท่ี ปีที่ข้นึ บญั ชี ลกั ษณะมรดกภูมิปญั ญา ช่อื รายการ ภูมภิ าค/จังหวดั ๒๓๕ ๒๕๕๗ งานชา่ งฝีมอื ดง้ั เดิม งานชา่ งดอกไมส้ ด ทว่ั ประเทศ ๒๓๖ ๒๕๕๗ งานช่างฝีมอื ดงั้ เดมิ งานตีทองค�ำ เปลว ๒๓๗ ๒๕๕๗ งานช่างฝมี ือด้ังเดิม งานผ้าลายทองแผ่ลวด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ๒๓๘ ๒๕๕๗ งานช่างฝมี อื ดั้งเดมิ เคร่ืองแต่งกายมโนห์รา นครปฐม ๒๓๙ ๒๕๕๗ ภาคใต้ ๒๔๐ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา นทิ านนายดัน ภาคใต้ ๒๔๑ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ต�ำ นานพญากงพญาพาน นครปฐม ๒๔๒ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ตำ�นานพันทา้ ยนรสิงห์ ภาคกลาง ๒๔๓ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพ้นื บา้ นและภาษา พจิ ติ ร ๒๔๔ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ต�ำ นานชาละวนั ภาคเหนอื ๒๔๕ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ต�ำ นานปแู่ สะย่าแสะ ทั่วประเทศ ๒๔๖ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา เพลงแหน่ างแมว ๒๔๗ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๒๔๘ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา กาพย์เซิ้งบ้ังไฟ ทั่วประเทศ ๒๔๙ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา บททำ�ขวัญช้าง ภาคกลาง ๒๕๐ ๒๕๕๗ การเลน่ พื้นบา้ น กฬี าพืน้ บ้านและศิลปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตวั ต�ำ ราพชิ ัยสงคราม ทั่วประเทศ ๒๕๑ ๒๕๕๗ การเล่นพน้ื บา้ น กฬี าพื้นบา้ นและศิลปะการต่อสปู้ อ้ งกนั ตัว ต�ำ รานรลกั ษณ์ ภาคเหนือ ๒๕๒ ๒๕๕๗ การเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพน้ื บ้านและศลิ ปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตัว แนดข้ามส้าว ๒๕๓ ๒๕๕๗ การเลน่ พ้นื บา้ น กฬี าพื้นบา้ นและศิลปะการต่อสู้ปอ้ งกันตวั โคง้ ตีนเกวยี น ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ๒๕๔ ๒๕๕๗ การเลน่ พ้ืนบ้าน กฬี าพน้ื บ้านและศลิ ปะการตอ่ สปู้ ้องกันตวั เสือขา้ มหว้ ย ภาคกลาง ๒๕๕ ๒๕๕๗ การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพน้ื บ้านและศลิ ปะการตอ่ สปู้ ้องกันตวั ท่วั ประเทศ ๒๕๖ ๒๕๕๗ การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพน้ื บา้ นและศิลปะการต่อสู้ปอ้ งกนั ตวั งูกนิ หาง ทว่ั ประเทศ ๒๕๗ ๒๕๕๗ การเลน่ พน้ื บ้าน กีฬาพ้นื บ้านและศิลปะการตอ่ สปู้ อ้ งกนั ตวั อตี กั ทั่วประเทศ ๒๕๘ ๒๕๕๗ การเล่นพ้นื บ้าน กีฬาพ้ืนบา้ นและศลิ ปะการตอ่ สปู้ ้องกนั ตวั แขง่ เรอื ภาคใต้ ๒๕๙ ๒๕๕๗ การเล่นพ้นื บ้าน กีฬาพน้ื บา้ นและศลิ ปะการตอ่ ส้ปู อ้ งกนั ตวั ตขี อบกระด้ง ทั่วประเทศ ๒๖๐ ๒๕๕๗ แนวปฏิบัตทิ างสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ตไี ก่คน ภาคเหนือ ๒๖๑ ๒๕๕๗ แนวปฏบิ ตั ิทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล รถม้าชาวเสียม พทั ลงุ ๒๖๒ ๒๕๕๗ แนวปฏบิ ตั ิทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล แข่งโพน จงั หวัดพทั ลงุ ทว่ั ประเทศ ๒๖๓ ๒๕๕๗ แนวปฏบิ ัติทางสงั คม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณีแห่เทยี นพรรษา ภาคใต้ ๒๖๔ ๒๕๕๗ แนวปฏิบตั ิทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณลี ากพระ ๒๖๕ ๒๕๕๗ แนวปฏิบัติทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเพณแี หผ่ า้ ข้ึนธาตุ นครศรธี รรมราช ๒๖๖ ๒๕๕๗ แนวปฏิบัตทิ างสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล การแตง่ งานแบบไทย ทั่วประเทศ ๒๖๗ ๒๕๕๗ แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล สวดพระมาลยั ภาคใต้ ภาคใต้ ๒๖๘ ๒๕๕๗ ความรแู้ ละการปฏิบตั เิ กย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล พิธบี ชู าแม่โพสพ ท่ัวประเทศ ๒๖๙ ๒๕๕๗ ความรแู้ ละการปฏิบตั เิ กี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล ประเพณีการทำ�บญุ ในพุทธศาสนา ทัว่ ประเทศ ๒๗๐ ๒๕๕๗ ความรูแ้ ละการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล พิธกี รรมขอฝน ทวั่ ประเทศ ๒๗๑ ๒๕๕๗ ความรู้และการปฏิบัตเิ กย่ี วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล ขา้ วต้มมัด ท่ัวประเทศ ๒๗๒ ๒๕๕๗ ความรแู้ ละการปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจักรวาล เม่ียงคำ� ทั่วประเทศ ๒๗๓ ๒๕๕๗ ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ กย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล มงั คดุ คัด ๒๗๔ ๒๕๕๗ ความรแู้ ละการปฏิบัตเิ กย่ี วกับธรรมชาติและจักรวาล แกงพุงปลา นครศรธี รรมราช ความรแู้ ละการปฏบิ ตั เิ ก่ียวกับธรรมชาติและจักรวาล น้าํ ตาลมะพรา้ ว ภาคใต้ การย่างไฟ การสกั ยา สมุทรสงคราม โหราศาสตร์ไทย ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ทว่ั ประเทศ 97

ล�ำ ดบั ท่ี ปีที่ขน้ึ บญั ชี ลักษณะมรดกภมู ปิ ัญญา ช่ือรายการ ภมู ิภาค/จงั หวดั ๒๗๕ ๒๕๕๗ ความรู้และการปฏิบัตเิ กี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ๒๗๖ ๒๕๕๗ ความรแู้ ละการปฏิบัตเิ กี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล ไก่ชนไทย ทั่วประเทศ ๒๗๗ ๒๕๕๗ แมวไทย ทั่วประเทศ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ภาษาญ้อ หนองคนาคยรมพหนามสาสรกคลานมคกราฬสนิ ธุ์ นครพนม ๒๗๘ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพ้ืนบ้านและภาษา ภาษาแสก ภาษาอึมปี้ แพร่ ๒๗๙ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา ภาษาบีซู เชียงราย ภาษากะซอง ตราด ๒๘๐ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ภาษาซมั เร ตราด ภาษาชองุ กาญจนบุรี ๒๘๑ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ภาษามลาบรี น่าน แพร่ ภาษามอแกน ระนอง พงั งา ๒๘๒ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา ภาษาผู้ไทย อีสานเหนอื กลองยาว ทัว่ ประเทศ ๒๘๓ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ภาคเหนือ ขับลือ้ ภาคใตต้ อนลา่ ง ๒๘๔ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา บานอ ทั่วประเทศ เพลงปรบไก่ ทั่วประเทศ ๒๘๕ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ละครพนั ทาง ทั่วประเทศ ฟ้อนเง้ยี ว ราชบุรี ๒๘๖ ๒๕๕๗ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา โอง่ มงั กรราชบุรี ท่ัวประเทศ เครอ่ื งเงินไทย ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ๒๘๗ ๒๕๕๘ ศลิ ปะการแสดง ปราสาทผงึ้ กรุงเทพ ฯ งานช่างสนะ ทั่วประเทศ ๒๘๘ ๒๕๕๘ ศลิ ปะการแสดง เคร่ิองบูชาอย่างไทย ท่ัวประเทศ นิทานพระรถ-เมรี นครราชสมี า ๒๘๙ ๒๕๕๘ ศิลปะการแสดง นทิ านทา้ วปาจติ ต-์ อรพิมพ์ ทว่ั ประเทศ ต�ำ นานสงกรานต์ ภาคเหนือ ๒๙๐ ๒๕๕๘ ศิลปะการแสดง ตำ�นานพระธาตปุ ระจำ�ปเี กดิ ล้านนา ภาคกลาง ตำ�นานพระพุทธรปู ลอยนํา้ รอ้ ยเอด็ ๒๙๑ ๒๕๕๘ ศิลปะการแสดง โคมลอยลอดห่วง จันทบรุ ี ชกั เย่อเกวยี นพระบาท ภาคเหนือ ๒๙๒ ๒๕๕๘ ศิลปะการแสดง ลูกขา่ ง ทั่วประเทศ ตาเขยง่ หรอื ตั้งเต ล�ำ พนู ๒๙๓ ๒๕๕๘ งานช่างฝมี อื ดั้งเดมิ ประเพณีสลากยอ้ มเมืองล�ำ พูน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประเพณีแหป่ ราสาทผึ้ง ยโสธร ๒๙๔ ๒๕๕๘ งานชา่ งฝมี อื ด้ังเดมิ ประเพณแี หม่ าลัยข้าวตอกในเทศกาล วนั มาฆบูชา จังหวดั ยโสธร ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ๒๙๕ ๒๕๕๘ งานช่างฝีมอื ด้ังเดิม เหยา กรุงเทพ ฯ สวดโอเ้ อว้ ิหารราย ๒๙๖ ๒๕๕๘ งานชา่ งฝมี ือดั้งเดมิ ภูมิปญั ญาการท�ำ ปลาดกุ ร้า พัทลุง นครศรีธรรมราช ภูมปิ ัญญาการอย่ไู ฟ ทัว่ ประเทศ ๒๙๗ ๒๕๕๘ งานช่างฝมี อื ดั้งเดมิ ภูมิปัญญาการทำ�เหมืองฝาย ภาคเหนอื ๒๙๘ ๒๕๕๘ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ๒๙๙ ๒๕๕๘ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา ๓๐๐ ๒๕๕๘ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา ๓๐๑ ๒๕๕๘ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ๓๐๒ ๒๕๕๘ วรรณกรรมพื้นบา้ นและภาษา ๓๐๓ ๒๕๕๘ การเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตัว ๓๐๔ ๒๕๕๘ การเล่นพน้ื บ้าน กฬี าพนื้ บา้ นและศลิ ปะการตอ่ ส้ปู ้องกันตัว ๓๐๕ ๒๕๕๘ การเลน่ พนื้ บ้าน กีฬาพื้นบ้านและศิลปะการตอ่ สปู้ ้องกันตัว ๓๐๖ ๒๕๕๘ การเล่นพนื้ บ้าน กฬี าพน้ื บ้านและศลิ ปะการต่อส้ปู อ้ งกันตวั ๓๐๗ ๒๕๕๘ แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ๓๐๘ ๒๕๕๘ แนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล ๓๐๙ ๒๕๕๘ แนวปฏบิ ัตทิ างสังคม พิธกี รรม ประเพณี และงานเทศกาล ๓๑๐ ๒๕๕๘ แนวปฏิบัติทางสังคม พธิ ีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ๓๑๑ ๒๕๕๘ แนวปฏิบตั ทิ างสังคม พธิ กี รรม ประเพณี และงานเทศกาล ๓๑๒ ๒๕๕๘ ๓๑๓ ๒๕๕๘ ความรแู้ ละการปฏบิ ัตเิ กีย่ วกบั ธรรมชาตแิ ละจักรวาล ความรู้และการปฏบิ ัติเก่ยี วกับธรรมชาติและจักรวาล ๓๑๔ ๒๕๕๘ ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั ิเกีย่ วกับธรรมชาติและจกั รวาล 98


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook