กระดงั งาไทย 1 มรี สหอมเยน็ สรรพคณุ แกล้ มวงิ เวยี น ชกู ำลงั บำรงุ หัวใจ แกอ้ อ่ นเพลีย กระหำยนำ แกไ้ ขจ้ ำกโลหติ เปน็ พษิ บำรุงโลหติ บำรงุ ธำตุ เปน็ ตน้ กระดงั งาไทย ช่อื สมนุ ไพร : กระดังงาไทย (KRADANG NGA THAI) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Cananga odorata (Lam.) Hook. f. & Thomson var. odorata ชือ่ วงศ์ : Annonaceae ชื่ออืน่ : กระดงั งาใบใหญ่ กระดังงาใหญ่ (ภาคกลาง), สะบันงา สะบันงาตน้ กระดังงา (ตรงั , ยะลา), Cananga tree, Ylang-ylang tree ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ต้น สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา มีรอยแผลใบขนาดใหญ่ตามลาต้น กิ่งมักต้ังฉากกับลาต้นปลาย ย้อยลู่ลง ก่งิ ออ่ นมขี นก่ิงแกค่ ่อนข้างเกลย้ี ง ใบ เป็นใบเด่ียว เรียงเวียน รูปรีหรือรูปไข่ กว้าง 4-8 เซนติเมตร ยาว 9-20 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมนหรือเว้าและ เบี้ยวเล็กน้อย ขอบเรียบหรือเป็นคล่ืน เส้นแขนงใบข้างละ 5-9 เส้นนูนเด่นชัดทางด้านล่างของใบ ปลายเส้นโค้งจรดกับเส้นถัดไป ก่อนถงึ ขอบใบ ใบออ่ นมขี นทั่วไป ใบแก่มักมีขนตามเส้นกลางใบและ เสน้ แขนงใบ กา้ นใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ดอก ช่อดอกแบบช่อกระจุกก่ึงช่อซ่ีร่ม ออกเหนือรอยแผลใบ ช่อสั้นและย้อยลู่ลง มี 3-6 ดอก ก้านช่อยาว 0.5-1 เซนติเมตร มีขน ใบประดับรูปไข่ปลายแหลม ร่วงง่าย ก้านดอกยาว 2-5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดใหญ่สีเขียวเมื่อเป็นดอกอ่อนแล้วเปล่ียนเป็นสีเหลือง เมื่อบาน กล่ินหอม กลีบเลี้ยง 3 กลีบ รูปสามเหลี่ยม มีขน ปลายกลีบ มักกระดกขึ้น กลีบดอก 6 กลีบ เรียงสลับ 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบ ช้ันนอกใหญ่กว่ากลีบชั้นในเล็กน้อย รูปขอบขนาน กว้าง 0.5-1.6 เซนติเมตร ยาว 5-9 เซนติเมตร ปลายแหลม ขอบเรยี บหรอื เปน็ คลนื่ เล็กน้อย มีขน โคนกลีบด้านในมักมีสีม่วงอมน้าตาล เกสรเพศผู้มีจานวนมาก ก้านชูอับเรณูส้ัน รงั ไข่เหนือวงกลบี มหี ลายคารเ์ พล อยูแ่ ยกกนั การ์เพลรปู รี มี 1 ช่อง มอี อวุลมาก ก้านเกสรเพศเมียเลก็ มาก
2 ผล เป็นผลกลุ่ม มี 4-15 ผล อยู่บนแกนค่อยข้างกลม ก้านช่อผลยาว 2-2.5 เซนติเมตร แต่ละผลรูปไข่ ถึงรูปรีหรือค่อนข้างกลม กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ก้านผลยาว 1-2 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียว ผลสกุ สีเขียวคลา้ จนเกือบดา มี 2-12 เมล็ด เมลด็ สนี ้าตาลออ่ น รูปไขแ่ บน กว้างประมาณ 6 มลิ ลเิ มตร ยาวประมาณ 9 มลิ ลเิ มตร ส่วนท่ีใช้ทายา กระดังงำมีลักษณะเป็นดอกแห้งอำจพบทังดอกที่สมบูรณ์และ ชนิ ส่วนของดอก ดอกที่สมบูรณ์มี 6 กลีบ กลีบรูปขอบขนำนสีเขียวแกม สีนำตำลถงึ สดี ำ หงกิ งอ กลิ่นหอมเฉพำะ สรรพคุณของแต่ละส่วนท่ใี ชท้ ายา ตาราสรรพคุณยาไทยว่า ดอกกระดังงา มีรสหอมเย็น สรรพคุณแก้ลมวิงเวียน ชูกาลัง บารุงหัวใจ แก้ออ่ นเพลีย กระหายนา้ แก้ไขจ้ ากโลหติ เปน็ พิษ บารุงโลหิต บารุงธาตุ เป็นต้น ตาราการแพทย์แผนไทยจัดเป็น ตัวยาชนดิ หน่งึ ในเกสรทั้ง 7 และเกสรทั้ง 9 รายงานการวิจัยปัจจุบัน ข้อมลู จำกกำรศกึ ษำวิจัยพรคี ลนิ ิกพบวำ่ นำมันดอกกระดังงำมีฤทธิต์ ำ้ นออกซิเดชัน (antioxidant) และ ตำ้ นกำรอกั เสบ (anti-inflammatory) ผ่ำนกลไกกำรยบั ยังเอนไซม์ไลพ็อกซิจเี นส (lipoxygenase inhibitory) ข้อมลู จำกกำรศึกษำวจิ ัยคลินกิ พบว่ำ นำมันดอกกระดงั งำมีผลทำใหเ้ กิดควำมสงบสบำยควำมดันโลหติ และชพี จร ลดลง นอกจำกนี ยงั ทำให้กำรตน่ื ตัวในกำรรับรู้ (alertness) เพิ่มขึน สารสาคัญ กระดังงามีองค์ประกอบทางเคมีหลักเป็นน้ามันระเหยง่าย (volatile oil) เรียกน้ามันดอกกระดังงา (ylangylang oil) ซ่ึงมีองค์ประกอบหลักเป็นสารกลุ่มเอสเทอร์ (esters) ที่สาคัญได้แก่ เมทิลเบนโซเอต (methyl benzoate) เบนซิลเบนโซเอต (benzyl benzoate) และเมทิลซาลิไซเลต (methyl salicylate) ในปริมาณเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังมีสารกลุ่มเทอร์พีน แอลกอฮอล์ (terpenealcohols) ที่สาคัญ ได้แก่ ไลนาโลออล (linalool) เป็นต้น รวมทง้ั สารกล่มุ อเี ทอร์ (ethers) ฟนี อล (phenols) และแอลดไี ฮด์ (aldehydes) อ้างอิงข้อมลู จาก : หนงั สอื คมู่ ือการกาหนดพน้ื ทส่ี ง่ เสรมิ การปลูกสมุนไพร เพ่ือใชใ้ นทางเภสัชกรรมไทย จัดทาโดย : กลุ่มงานวิชาการเภสัชกรรมแผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก
1 กระทือ กระทอื ชอ่ื วิทย์ Zingiber zerumbet (L.) Sm. ชอื่ วงศ์ ZINGIBERACEAE ช่ืออ่ืน กะทือป่า กะแวน กะแอน แฮวดา (ภาคเหนือ) เฮียวแดง เฮียวดา (แมฮ่ ่องสอน) เปลเพ้อ (กะเหร่ยี ง-แมฮ่ อ่ งสอน) เฮียววา่ (เงี้ยว-แมฮ่ อ่ งสอน) ลักษณะทว่ั ไป เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ใบเด่ียว รูปรียาว ขอบใบเรียบ ก้านใบ เป็นกาบหุ้มลาต้น ดอกออกเป็นชอ่ กลมรูปทรงกระบอก มีใบประดับสีเขียว แกมแดงเรียงซ้อนกันเป็นระเบียบ ดอกสีเหลือง ผลเป็นผลแห้งแตก ไดร้ ปู ทรงคอ่ นข้างกลม สแี ดง สรรพคุณ บารุงนา้ นม แกบ้ ิดปวดมวน หัวสดหรือเหง้าสด รสขมปร่า บารุงน้านม รักษาอาการ ท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด และปวดท้อง แก้ปวดมวน ในท้อง แกบ้ ดิ ขบั ผายลม ขับปัสสาวะ ใช้เหง้าหมกไฟ ผสม น้าปูนใส แก้บิดปวดเบ่ง แก้เสมหะเป็นพิษ แก้แน่นหน้าอก ขับนา้ ยอ่ ยใหไ้ หลสลู่ าไส้ ต้น รสขมขน่ื เจริญอาหาร ใบ รสขมขืน่ เลก็ นอ้ ย ขบั น้าคาวปลา ดอก รสขมข่ืน แกไ้ ขเ้ รือ้ รัง ไข้จับสั่น ไข้ตัวเย็น อ้างอิงขอ้ มลู จาก : หนงั สือประมวลสรรพคุณสมนุ ไพร 1 จดั ทาโดย : กลมุ่ งานวชิ าการเภสชั กรรมแผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
1 กระเทียม : ยาฆา่ เชอ้ื ลดโคเลสเตอรอล จัดทาข้อมลู โดย กลุ่มงานวชิ าการเภสชั กรรมแผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย กระเทียมเป็นส่วนหน่ึงในการปรุงอาหารไทยแทบทุกชนิด คนไทยทุกคนจึงรู้จักคุ้นเคยกับกระเทียมเป็นอย่างดี แต่ไม่ทุกคนที่จะรู้ว่ากระเทียมมีประโยชน์มากเพียงใด หากอ่านบทความนี้จบแล้ว เช่ือว่าหลายท่านท่ีไม่รับประทาน หรือไม่ชอบกระเทียมคงหันมารับประทาน กระเทียมอย่างแน่นอนที่เดยี วกระเทียม นอกจากจะเป็นเคร่ืองเทศให้กล่ินหอม ช่วยกลบ กลิ่นคาวในอาหารทั้งดิบและสุกแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ในกระเทียม มีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารฆ่าเช้ือ มีกล่ินฉุนจะเกิดเม่ือเราทุบหรือบดกระเทียม หากท้ิง ไว้นานๆ หรือปรุงสกุ ฤทธิ์ยากจ็ ะหายไป กระเทยี มโทนที่มีกล่นิ และรสเผด็ ร้อนกว่ากระเทยี มธรรมดาก็ให้ผลมากกว่า เช่นกัน จากการทดลองพบว่ากระเทียม สามารถฆ่าเชื้อได้ดีกว่าเพนิซิลลิน และ เตตร้าซัยคลิน ซ่ึงเปน็ ยาแกอ้ กั เสบทใี่ ช้โดยท่ัวไป นอกจากนี้ยังมีฤทธ์ิฆ่าเช้ือที่เป็นสาเหตุ ของโรคทอ้ งเสยี , แผลติดเชอ้ื , วณั โรค, ไทฟอยด์, เช้ือรา, กลากเกล้อื นด้วย กระเทียมไม่ได้มีเพียงฤทธิ์ฆ่าเชื้อเท่านั้น ยังช่วยลดการกาเริบของโรคหัวใจอีกด้วย โดยออกฤทธ์ิช่วยลดโคเลสเตอรอล และเพิ่มสารสาคัญในเลือดบางตัวท่ีมีผลต่อการสลายลิ่มในเส้นเลือด ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือดทาให้ป้องกัน การอุดตันของเส้นเลือด พบว่าการทานกระเทียมสด 12 กรัม ต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ คนท่ัวไป หนักประมาณ 50 กิโลกรัม ควรรับประทานกระเทียมประมาณ 50 กรัม หรือ ประมาณ 15 กลีบต่อวัน มีการทดลองพบว่า การรับประทานกระเทียม 1 หัว (ประมาณ 9 กลีบ) ต่อวัน จะช่วยลดโคเลสเตอรอลได้โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือน และ หลังจากโคเลสเตอรอลลดลงในระดับที่น่าพบใจแล้ว การรับประทานกระเทียมสดวันละ 2 กลีบ ก็สามารถป้องกันการเพิ่ม ของโคเลสเตอรอลได้ วิธีใช้กระเทียมรักษาอาการต่างๆ ก็ต่างกันไปตามสูตรและสถานท่ี เช่น ใช้เป็นยาขับลม บารุงธาตุ ใช้น้าคั้นหัว กระเทียมผสมน้าอุ่นและเกลือเล็กน้อย ใช้กล้ัวคอเพ่ือฆ่าเช้ือในปากและลาคอ รักษาทอนซิลอักเสบท่ีเร่ิมเป็น และการใช้ กระเทยี มสดทาบริเวณท่ีเป็นกลากเกล้ือนและการทารอบๆ วันละ 3-4 คร้ัง นอกจากน้ียังมีการทดลองท่ีน่าสนใจ คือ แพทย์ชาวจีน ใช้กระเทียมสกัดฉีดเข้ากระแสเลือด เพ่ือรักษาโรคสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus ซ่ึงมาจากนกพิราบได้ประโยชน์ จาก กระเทยี มมากมายขนาดนี้ ทา่ นที่ไม่นิยมรับประทานกระเทียมก็คงจะหันมาสนใจบ้างแล้ว เร่ิมง่ายๆ จากอาหารที่มีกระเทียม เป็นส่วนประกอบ เพราะอย่างถงึ น้อย กระเทียมสกุ จะไมม่ ฤี ทธ์ิฆ่าเช้อื แตช่ ว่ ยลดโคเลสเตอรอลและป้องกันโรค หัวใจได้ แต่ถ้า จะให้ดีที่สุดหนังสือ Critical Review in Food Science and Nutrition เคยทดลองและสรุปได้ในปี 1985 ว่า \"ไม่พบว่า ผลิตภณั ฑส์ กัดของกระเทยี มชนดิ ใด จะให้ผลการรกั ษาดีกวา่ กระเทยี มสด\"
กระวาน ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Amomum krevanh Pierre, Amomum cardamomum L. วงศ์ : ZINGBERACEAE ชอื่ สามัญ : Camphor Seed, Siam Cardamom, Best Cardamom, Round Siam Cardammon Clustered Cardamon ช่ืออื่น/ช่ือสามญั : กระวานโพธสิ ตั ว์ กระวานจนั ทร์ กระวานแดง กระวานดา กระวานไทย กระวานขาว (ไทยภาคกลาง-ตะวนั ออก) กระแอน ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ เป็นพชื ล้มลกุ มลี าต้นหรอื เหง้าอย่ใู ตด้ ิน สงู ประมาณ 1.5-3 ม. มีลาต้นสีเขยี วออ่ น มีรอยสาก โคนตน้ เปน็ กระเปาะ สขี าวปนเขยี ว หรอื สีเหลืองอ่อน ใบ คลา้ ยในข่าแตบ่ างกว่า ขอบใบเป็นคลน่ื เลก็ นอ้ ย ขนาดใบกว้าง 3 – 5 ซม. ยาว 30 – 40 ซม. ดอก ชอ่ ดอกแทงออกจากเหง้าใต้ดิน รูปทรงกระบอกสีขาวนวล กว้าง 2 – 3 ซม. ยาว 10 – 15 ซม. ออกดอก เมอื่ ต้นมอี ายุ 2 – 3 ปี ผล คอ่ นข้างกลม เปน็ พูต่นื ๆ 4 – 5 พู ขนาด 1 – 1.5 ซม. เปลอื กผลสขี าวนวล ภายในมีเมลด็ สนี าตาลไหม้ ติดกันเป็นกล่มุ ก้อน ผลจะอยู่ติดกับกา้ นรวมกนั เปน็ ช่อ ส่วนท่ใี ชป้ ระโยชน์ : ผลแก่จดั และ หนอ่ สรรพคุณทางยาและวิธีใช้ : แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เอาผลกระวานแก่ขจัดท่ีตากแห้งบดให้เป็นผง ประมาณ 1.5 - 3 ช้อนชา ชงกับนาอุ่น ดื่มหลังอาหาร หรือขณะมีอาการ นาผลกระวานประมาณ 6 - 10 ผลต้มกับนา 1 ถว้ ยแก้ว เคี่ยวใหน้ าเหลอื คร่งึ ถว้ ยแกว้ ใช้รับประทานไดค้ รังเดยี ว ใชข้ บั พยาธิ รบั ประทานหัวหรือหน่อกระวาน โดยนาไปประกอบอาหารหรอื เปน็ ผกั จิม สารเคมีและสารอาหารท่ีสาคัญ : นามันหอมระเหยท่ีได้จากการกลั่นด้วยไอนา นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครอื่ งด่ืมประเภท เหลา้ หวาน หรอื เหลา้ ยาดองของฝรั่ง (Liqueurs) และในนาหอม ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภท Oleoresin ท่ีได้จากการสกัดเมล็ดด้วยสารละลายอินทรีย์ นิยมใช้ในอาหารประเภทเนือสัตว์และไส้กรอก ผลกระวานเทศแห้งจะมีนามันหอมระเหย (Essential oil) อยู่ประมาณ 3.5 – 7% โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในเมล็ด มีลักษณะเป็นนามันสีเหลืองอ่อน องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็น 1.8 cineole (ซินีออล) (20 – 60%) และ α-terpinyl acetate (แอลฟา่ เทอไพนลิ อะซเิ ตท) (20 – 53 %) คุณค่าทางอาหาร - อา้ งอิงข้อมลู จาก หนงั สือผกั พนื บ้านตา้ นโรค เล่ม 1 จัดทาโดยกล่มุ สารนเิ ทศฯ กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก
กระวาน 1 เป็นยาขบั ลม และขบั เสมหะบารงุ ธาตุ ผสมกับยาระบายกันไซ้ท้องแก้คล่นื เหยี นอาเจียน ขบั โลหติ กระจายเลอื ดและลมใหซ้ า่ น กระวาน ชื่อสมุนไพร : กระวาน (KRA-WAN) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Amomum testaceum Ridl. ชือ่ วงศ์ : Zingiberaceae ชือ่ อืน่ : กระวานขาว กระวานโพธิสัตว์ (ภาคกลาง), ปล้ากอ้ (ปัตตาน)ี , best cardamom, Siam cardamom ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไมล้ ้มลกุ มีเหง้าทอดไปตามพื้นดิน กาบใบหุม้ ซอ้ นกันเปน็ ลาต้นเทยี มสูง 1.5-2 เมตร ใบ เปน็ ใบเด่ยี วเรยี งสลับระนาบเดียว รปู ใบหอกแกมรปู ขอบขนาน กวา้ ง 6-12 เซนตเิ มตรยาว 15-25 เซนตเิ มตร ปลายแหลมหรือเปน็ ตงิ่ แหลม โคนมนขอบเรียบ ผวิ ใบเกล้ยี ง ดอก ช่อดอก แบบช่อเชิงลด ออกจากเหง้าชูข้ึนมาเหนือพื้นดิน ใบประดับ บาง สีน้าตาลอ่อน มีขน รูปขอบขนาน หรือ รูปไข่ ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ปลายแหลม เรียงซ้อนสลับกันตลอดช่อ ในซอกใบประดับ มีดอก 1-3 ดอก กลีบดอกโคนเช่ือมติดกันเป็นหลอดแคบและยาวกว่าความยาวของหลอดกลีบเล้ียงเล็กน้อย ปลายแยกเป็น 3 แฉก รูปขอบขนานแกมรูปแถบ ยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ที่เป็นหมันเปลี่ยนไป คล้ายกลีบดอกขนาดใหญ่ รูปช้อนปลายมนสีขาว มีแถบสีเหลืองกลางกลีบ เกสรเพศผู้ท่ีสมบูรณ์ 1 อัน ก้านชู อับเรณูยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร อับเรณูรูปส่ีเหล่ียมกว้างประมาณ 4 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ปลายอับเรณูมีรยางค์คล้ายปีก 3 ปีก ปีกข้างรูปส่ีเหล่ียมปลายมนหรือตัดรังไข่ใต้วงกลีบมี 3 ช่อง แต่ละช่อง มอี อวลุ มาก ผล แบบผลแห้งแตกรูปค่อนข้างกลม อาจเป็นสันเล็กน้อย เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร สีนวล มี 3 พู ผลอ่อนมขี นผลแก่เกลีย้ ง เมล็ด เลก็ จานวนมาก เมื่ออ่อนสขี าว แก่สนี ้าตาลดา มีเยอ่ื หุม้ ส่วนที่ใชท้ ายา เมลด็ แก่แหง้
2 สรรพคุณของแต่ละสว่ นท่ีใช้ทายา ตาราสรรพคณุ ยาไทยว่ากระวานมรี สเผ็ดร้อน เป็นยาขบั ลม และขับเสมหะบารุงธาตุ ผสมกับยาระบาย กันไซท้ อ้ งแกค้ ล่ืนเหียนอาเจียนขบั โลหิต กระจายเลือดและลมใหซ้ า่ น รายงานการวจิ ยั ปัจจบุ ัน ขอ้ มลู จากการศึกษาวิจัยพรีคลนิ กิ พบว่ากระวานสามารถเสริมฤทธขิ์ องยาสเตรปโทมยั ซนิ (streptomycin) ในการรกั ษาวัณโรค และสารไดเทอร์พนี เพอร์ออกไซด์ซึ่งเป็นสารทีแ่ ยกไดจ้ ากกระวานมฤี ทธ์ิตา้ นเชื้อมาลาเรีย สารสาคญั กระวานมีน้ามันระเหยง่าย (volatile oil) ประมาณร้อยละ 5 ซ่ึงประกอบด้วยพิมเสน (borneol) และ การบูร (camphor) ท่ีมีปริมาณใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่ นอกจากน้ันมีสารในกลุ่มเทอร์พีน (terpenes) เช่น ไพนีน (pinene), แครโิ อฟลิ ลีน (caryophyllene) และไดเทอร์พนี เพอร์ออกไซด์ (diterpene peroxide) อา้ งอิงข้อมลู จาก : หนังสือคมู่ ือการกาหนดพ้ืนที่สง่ เสริมการปลูกสมนุ ไพร เพ่ือใช้ในทางเภสชั กรรมไทย จดั ทาโดย : กล่มุ งานวิชาการเภสชั กรรมแผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก
1 กลว้ ย : เรอื่ งกล้วยๆ เร่อื งปว่ ยเร่อื งเล็ก จดั ทำขอ้ มลู โดย กลุม่ งำนวชิ ำกำรเภสัชกรรมแผนไทย สถำบนั กำรแพทยแ์ ผนไทย กลว้ ย เปน็ พชื ท่พี บท่ัวไปในเขตรอ้ นทุกบรเิ วณของโลก กล้วยมมี ากกวา่ 100 สายพันธ์ุ จงึ ไมเ่ ป็นทนี่ ่าแปลกใจเลยว่า ทาไมประชากรในเขตอ่ืนๆ ของโลก จึงนิยมบริโภคกล้วยด้วยเช่นกัน ด้วยองค์ประกอบมากมาย ทง้ั มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีผลผลิตตลอดปี ราคาไม่แพง กลว้ ยจึงถกู นาเขา้ ประเทศในเขตอื่นอย่างมาก และที่ได้รับ ความนิยมมากท่ีสุด กค็ ือกลว้ ยหอม กลว้ ยสุก มีคาร์โบไฮเดรตถึง 22% เพราะฉะนั้นการรับประทาน กล้วยแทนอาหารเย็น เพ่ือลดความอ้วน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะ คาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่อยู่ในรปู ของนา้ ตาล ซ่งึ เป็นสาเหตขุ องความอว้ น อย่างหน่ึง นอกจากจะเปน็ แหลง่ ของคาร์โบไฮเดรตแลว้ กล้วยยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ คือเปน็ แหลง่ วติ ามินเอ บี และซี กล้วยเป็นผลไมท้ ่ีคนทว่ั ไปนยิ มรับประทาน แต่กลับไม่คอ่ ยมีใครศกึ ษาถงึ ประโยชน์ทางยาของกล้วยมากนัก อยา่ งไรกต็ าม พบวา่ ชาวอนิ เดยี ใช้แป้งจากกลว้ ยบางชนดิ ทา \"จาปาตี\" ซงึ่ เป็นโรตีจืด ท้ังน้ีมีสรรพคุณคือ ลดอาการท้องอืด หรือธาตุพิการ และยงั ใช้แป้งจากกล้วยผสมนมสด ใชเ้ ป็นอาหารท่ีย่อยงา่ ยในผู้ปว่ ยกระเพาะอกั เสบได้เป็นอย่างดี ในปี พ.ศ. 2473 นกั วิทยาศาสตร์ เชือ่ วา่ เนื้อกล้วยสามารถทาปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหาร ทาให้เหลือกรด ไมม่ ากพอที่จะทาให้เกิดอาการปวด แต่นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ กลับพบสาระสาคัญในกล้วยที่สามารถยับย้ังการหล่ัง ของกรดในกระเพาะได้ จึงช่วยลดการกาเริบของแผลในกระเพาะ และพบอีกวา่ หลงั จากให้หนทู ดลองกนิ กล้วยไประยะหนึ่ง ผนงั กระเพาะของหนูหนาขึ้นถึง 20% และให้กินยาแอสไพรินซึ่งมีฤทธิ์กัดกระเพาะ กระเพาะของหนูทดลองก็ไม่สามารถ กดั กระเพาะได้ นอกจากนี้ ในกลว้ ยดิบจะมีสารแทนนิน ทส่ี ามารถรักษาอาการทอ้ งเดินชนิดไมร่ นุ แรงได้ วธิ ใี ชค้ อื ใชก้ ลว้ ยนา้ วา้ ห่าม รบั ประทานดิบ ครงั้ ละคร่ึง-หนงึ่ ผล หรือใชก้ ลว้ ยน้าวา้ ดิบ ฝานเป็นแว่นบาง ๆ ตากแดดให้แหง้ บดเป็นผงใช้ชงน้าร้อนด่ืมคร้ังละ คร่งึ -หนึ่งผล ควรงดอาหารทกุ ชนิด ประมาณ 2 มอ้ื เพือ่ ให้ท้องไดพ้ กั ตวั เราใชก้ ล้วยดบิ ระงับอาการทอ้ งเดินแล้วก็ยังใช้กล้วยสุก เป็นยาระบายไดด้ ้วย เนือ่ งจากกลว้ ยสุกมีเพคตินสูงช่วยให้ถา่ ยคล่อง ผลไมท้ ี่ไมค่ อ่ ยมีใครให้ความสาคัญ กลับมีประโยชน์มากมาย หากรู้อย่างนี้แล้วก็หันกลับมารับประทานผลไม้ไทย ราคาถกู มากด้วยคุณคา่ ดีกว่าผลไม้นาเข้าราคาแพงกันเถิด
กะเพรา ช่ือวิทยาศาสตร์ : Ocimum tenuiflorum L. (O. sactum Linn.) วงศ์ : LABIATAE ช่อื สามญั : Holy Basil, Sacred Basil ชื่ออนื่ /ช่ือสามญั : (ภาคกลาง) กะเพราขาว กะเพราแดง กะเพราบ้าน (ภาคเหนือ) กอมกอ้ ก่ากอ กอมก้อดง (ภาคอีสาน) ผกั อีตไู่ ทย ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้น เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก พุ่มเตี้ยแตกกิงก้านสาขามาก ล่าต้นและใบมีขน (ส่วนทีอ่อนจะมีขนปกคลุม มากกวา่ ส่วนทแี ก่) ใบ ออกตรงกนั ขา้ ม ปลายใบแหลม ขอบใบหยกั มีกลนิ หอมฉนุ ดอก ออกเป็นช่อต้ังขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร คล้ายดอกใบโหระพาหรือแมงลัก กะเพราะมี 2 ชนิด คือ กะเพราขาว ล่าต้นและมีใบสีเขียว กลีบดอกสีขาว และกะเพราแดง ล่าต้นและใบมีสีม่วง กลีบดอก สชี มพูอมม่วง สว่ นที่ใช้ประโยชน์ : ราก เมล็ด และใบ สรรพคุณทางยาและวธิ ีใช้ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น แก้ลม ขับลม แจ้จุกเสียด แน่นในท้อง : ใช้ใบสดหรือยอดอ่อน 1 ก่ามือ (ประมาณ 25 กรัม) หรอื ใบแห้ง 4 กรัม ต้มพอเดือดแล้วกรองเอาน้า่ ดมื ขบั เสมหะ ขบั เหงอื่ : ใช้นา่้ ทคี น้ั จากใบสดดมื แก้โรคผิวหนงั กลาก เกลอ้ื น : ใชน้ ้า่ ทคี น้ั จากใบสด ทาบรเิ วณทเี ปน็ แก้ไขโ้ รคธาตพุ กิ าร : ใช้รากทีแหง้ แล้วเปน็ ยาชง หรอื ยาตม้ ดืมวันละ 3 คร้งั อาการจะทเุ ลา ฆา่ ยุง แมลง และเชือ้ จลุ ินทรีย์ : ใชน้ ่้ามนั หอมระเหยจากไปฉดี พ่น สารเคมีและสารอาหารท่ีสาคัญ : Apigenin, Ocimol, Phenols, Chavibetol, Linalool, Organic Acid มีวิตามนิ เอและฟอสฟอรัสคอ่ นข้างมาก นอกจากน้ันยังมีวติ ามินซี เกลือแร่ และวติ ามนิ อนื ๆ อีก กะเพราขาว
กะเพราแดง คุณค่าทางอาหาร ตารางแสดงคุณคา่ ทางอาหารสว่ นท่รี บั ประทานได้ 100 กรมั ขาว แดง พลงั งาน 46 41 กโิ ลแคลอรี โปรตนี 2.7 4.2 กรัม ไขมนั 0.3 0.5 กรมั คาร์โบไฮเดรต 8 4.8 กรัม แคลเซียม 310 2 มิลกิ รัม ฟอสฟอรัส 51 287 มลิ กิ รัม เหล็ก 2.2 1.87 มิลกิ รัม วติ ามินบ1ี - 0.04 มิลกิ รมั วติ ามินบ2ี - 0.34 มลิ ิกรัม ไนอาซนี - 1.8 มลิ กิ รัม วิตามินซี 2 22 มิลิกรมั เบตา้ -แคโรทนี 724 1,134 RE ใยอาหาร 4.30 4.30 กรัม * RE ไมโครกรมั เทยี บหนว่ ยเรตินอล - ไม่มกี ารวิเคราะห์ อา้ งอิงข้อมลู จาก หนงั สือผักพืน้ บ้านตา้ นโรค เล่ม 1 จัดทา่ โดยกลุ่มสารนเิ ทศฯ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
1 การกวาดยา การกวาดยา เปน็ เอกลักษณ์อยา่ งหนึ่งของวิธีการรักษาโรคเด็ก ของภูมิปัญญาไทย ด้วยเหตุว่ายาไทยรสไม่อร่อย ทาใหเ้ ด็กกนิ ยายาก อกี ทัง้ หากเป็นเดก็ เลก็ กินยาเองยังไมไ่ ด้จาต้องพายาเข้าสู่ร่างกายด้วยการกวาด โรคท่ีมักเกิด ในเด็กมีอยู่หลายระบบ เช่น เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบผิวหนัง อาการที่แสดง ให้เห็น เช่น ท้องอืดเฟ้อ ท้องเสีย ท้องผูก ล้ินเป็นฝ้า ละออง แผลในปาก กระพุ้งแก้ม ตุ่ม ผื่นคัน หวัด ไอ มีเสมหะ อาการเหล่านี้ทางการแพทย์แผนไทยและชาวบ้านทั่วไปทราบกันดีว่าอยู่ในกลุ่มโรค ซาง หละ ละออง เปน็ ตน้ ซึง่ โรคเปน็ โรคพ้ืนๆ ท่คี นในครอบครวั ชมุ ชนดแู ลกันในเบ้อื งตน้ ได้ ในอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองจะเป็นผู้กวาดยาให้ เวลาท่ีกวาดยาก็จะสังเกตภายในปากเด็ก ว่ามีแผล หนอง มคี วามรอ้ น ความเยน็ เปยี ก เหนียว แห้ง เป็นเม็ดเล็ก เม็ดใหญ่ จานวนเม็ดมากน้อย โดยสัมผัสจากน้ิวท่ีใช้กวาดยา ทาใหพ้ อ่ แมผ่ ูป้ กครองมีประสบการณ์มคี วามเชอ่ื ม่ันท่ีจะดูแลลกู ในเบอื้ งต้นเวลาเจ็บป่วย และถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น จนเป็นวฒั นธรรมการดูแลสุขภาพแบบไทยถงึ ปจั จบุ นั วันนี้ หากท่านเป็นคนหนึ่งที่มีบุตรหลานอยู่ในบ้าน ลองมีเรียนรู้วิธีการกวาดยาเด็กท่ีถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมกับยุคสมัยกัน ซ่ึงสามารถทาให้ได้ง่ายไม่ยุ่งยาก โดยมีองค์ประกอบ คือ ยาท่ีใช้กวาด วิธีการกวาดยา ตัวเด็ก และผูก้ วาดยา ยาทีใ่ ช้ในการกวาดยา ยาสามัญประจาบ้านหลายตารับท่ีมีขายตามร้านขายยาทั่วไปและมีสรรพคุณตามโรคและอาการท่ีเด็ก เปน็ บอ่ ยๆ เช่น - ยาเหลอื งปิดสมุทร ใช้ในกรณเี ดก็ ทอ้ งเสีย - ยาอมั ฤควาที ใชใ้ นกรณีทเ่ี ด็กไอ มีเสมหะ - ยาตรหี อม ใช้ในกรณีท่เี ด็กมีไข้ ทอ้ งผกู - ยามหานิลแทง่ ทอง ใชใ้ นกรณีเดก็ ปากเปือ่ ย ตัวรอ้ น - ยาแสงหมึก ใช้ในกรณเี ด็กเป็นฝา้ ละออง - ยาประสะกะเพรา ใชใ้ นกรณเี ด็กแพ้อากาศ มีน้ามูก นอกจากนย้ี ังมียาอีกมากมายหลายตารับที่เป็นยาสามัญ ประจาบ้านแผนโบราณ (ในฉลากยาจะระบุว่า ยาสามัญประจา บ้านแผนโบราณ) แต่มีชื่อการค้าต่างไปจากน้ี และสิ่งสาคัญ ประการหน่ึงในการใช้ยาไทยคือต้องใช้น้ากระสายเพื่อให้นามา ละลายยาและตรงกับโรคท่ีเป็นได้มากขึ้น ซ่ึงการใช้น้ากระสาย ยามีหลักการดังน้ี อาการไอ มีเสมหะ น้ากระสาย ใช้น้ามะนาว แทรกเกลือ เปน็ ต้น อาการไข้ นา้ กระสาย ใชน้ ้าดอกไมเ้ ทศ เปน็ ต้น อาการลิ้น ปากเป็นแผล น้ากระสาย ใช้เบญกานี เป็นต้น ถา้ ไมม่ นี ้ากระสายทก่ี ล่าวมา ใช้น้าต้มสุกเปน็ กระสายแทนได้ทกุ กรณี
2 การเตรยี มยา 1. เช็ดภาชะนะทีผ่ สมยาใหส้ ะอาดดว้ ยแอลกอฮอล์หรอื เหล้าปลอ่ ยให้แหง้ 2. ผสมยาโดยใช้ปริมาณยาตามขนาดการใช้ในแต่ละตารับ โดยใช้น้ากระสายยาคลุกเคล้าพอให้ยาเป็น เนื้อเดยี วกนั ไมใ่ หเ้ หลว หรือรว่ นเกนิ ไป พอให้ปา้ ยแล้วติดมอื อปุ กรณใ์ นการกวาดยา 1. ถุงมือ หรอื อาจจะเปน็ ถุงนว้ิ มือใส่เฉพาะน้วิ ที่จะป้ายยาสาหรับกวาด เพอ่ื ความสะอาดปอ้ งกันเล็บบาด หรือครดู ภายในปากเดก็ และปอ้ งกันโรคท่ีอาจจะติดตอ่ หากเกิดแผล 2. น้ิวมือของหมอผู้กวาดยา โดยมากใช้นิ้วชี้กับนิ้วก้อย แล้วแต่ขนาดของทารกและเด็ก ถ้าเป็นเด็กโต ก็ต้องใช้ยามากจึงต้องใช้น้ิวช้ี ถ้าเป็นเด็กเล็ก หรือทารก การใช้ยาก็น้อยลงจึงใช้น้ิวก้อย โดยตัดเล็บให้ส้ันและ ลา้ งมือดว้ ยน้าสบู่ใหส้ ะอาด ตาแหน่งทก่ี วาดยา เป็นตาแหน่งที่ผู้กวาดยาต้องการให้ยาถูกหรืออยู่ติดบริเวณนั้น มักเป็นโคนลิ้น เพ่ือให้เด็กกลืนยาเข้าไป หลงั การกวาดยา และบรเิ วณท่มี ีอาการของโรคปรากฏ ใหส้ งั เกตเห็นได้โดยการดแู ละสมั ผสั โดยปลายนิ้ว
3 ขอ้ ปฏิบัติในการกวาดยา สาหรับเดก็ 1. งดอาหาร น้า นม ข้าว ขนมกอ่ นกวาดยาประมาณ 20 – 30 นาที เพ่อื ป้องกนั เด็กอาเจียน 2. ควรปลุกเดก็ ให้ตื่นก่อนกวาดยา ถา้ เด็กหลับจะงมุ้ ปากและเอาลิ้นดนุ เพดานไว้ ทาให้กวาดยาไมไ่ ด้ 3. จับเด็กนอนหงาย บนตักผู้อุ้ม พร้อมจับมือท้ังสองข้างให้แนบแน่นกับลาตัวของเด็ก ป้องกันทารกหรือ เด็กปัดมอื ผกู้ วาดยา 4. หลงั จากกวาดยาแลว้ ให้อมุ้ อย่ใู นท่าเฉลียงเอาศรษี ะข้นึ 45 องศา จนกว่าเด็กจะกลืนยาหมด แต่ถ้าเด็ก อาเจียน ใหค้ อ่ ย ๆ ยกศรษี ะข้นึ สง่ิ ท่ีอาเจียนออกมาจะได้ไหลสะดวกไม่สาลักเขา้ หลอดลม 5. หลงั จากกวาดแลว้ ควรงดอาหารและน้า 5 นาที เพ่ือใหย้ าออกฤทธไิ์ ดด้ ขี ้นึ สาหรบั ผู้กวาดยา ก่อนท่ีจะกวาดยาต้องพูดให้เด็กเข้าใจเพ่ือให้เด็กร่วมมือในการกวาดยา และไม่ต่อต้านซึ่งจะช่วยให้เด็ก ไม่กลวั การกวาดยา 1. ทาความสะอาดมอื น้วิ มอื หรืออุปกรณท์ ี่ใชใ้ หส้ ะอาด 2. นายาท่ีเตรียมไว้ป้ายที่ปลายน้ิวชี้ หรือนิ้วก้อย ตามขนาดยาที่จะใช้ และการกวาดยาจะกวาดเพียง ครง้ั เดียวจะไม่กวาดใหม่ ดงั นน้ั จึงตอ้ งใช้ยาเพียงพอสาหรบั การกวาด 1 คร้ัง 3. เผยอปากเดก็ โดยใชน้ วิ้ แมม่ ือขา้ งทใี่ ช้กวาด กดลงที่ฟันหรอื เหงอื กลา่ งของเด็ก 4. มืออีกข้าง ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับที่หน้าเด็กใช้นิ้วท้ังสองอยู่ระหว่างแก้มเด็กท้ัง 2 ข้าง พร้อมกับ ประคองศรีษะเดก็ ใหน้ อนหงายขนึ้ ตรงๆ 5. เมือ่ เดก็ อา้ ปากออก ก็สอดนิว้ เข้าไปในลาคอเด็ก โดยป้ายยาลงบริเวณโคนล้ินเบา ๆ พอให้ยาติดอยู่ท่ี บรเิ วณโคนล้ินแล้วค่อย ๆ ดึงนวิ้ ออกพร้อมทง้ั ปลอ่ ยหัวแม่มือท่ีกดอยู่ฟันล่างหรือเหงือกออก เมือ่ กวาดยาเสรจ็ แลว้ ควรพูดปลอบใจ และชมเด็กเพ่ือให้เดก็ มีกาลังและไมร่ อ้ งไห้ การกวาดยาควรกวาดยาวันละ 1 ครั้ง ในตอนเย็น ถ้าอาการไม่มากให้กวาดวันเวน้ วัน
4 การป้องกันการถูกเดก็ กดั มอื ขณะท่ีกวาดยา 1. ควรรบี กวาดขณะท่ีเด็กกาลงั ร้องหรอื อ้าปาก 2. นว้ิ หัวแมม่ ือขา้ งทีก่ วาดให้กดฟนั ล่างของเดก็ ไว้ห้ามปลอ่ ย จนกว่าจะกวาดยาเสรจ็ 3. ขณะกวาดยาพยายามจับศรษี ะและมือเด็กให้อยกู่ บั ทนี่ ง่ิ ๆ 4. หากเด็กกัดนิ้วแรงมาก จนรับแรงกดไมไ่ หวใหร้ ีบเอานวิ้ ออกโดยเรว็ อา้ งองิ ขอ้ มลู จาก : หนงั สือภมู ิปญั ญาการแพทย์แผนไทยไทยใกล้ตัว จดั ทาโดย : กลุ่มงานวิชาการเภสัชกรรมแผนไทย สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก
1 การดูแลผิวพรรณดว้ ยสมุนไพร จัดทาขอ้ มลู โดย กลมุ่ งานวชิ าการเภสชั กรรมแผนไทย สถาบันการแพทยแ์ ผนไทย ความสวยความงาม นับเป็นเร่ืองที่มนุษย์เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คน หรือเรียกว่าเป็นจิตวิทยา ของโลกเลยทีเดยี ว การไดเ้ ห็นของสวยๆ งามๆ ยอ่ มทาใหจ้ ิตใจชมุ่ ช่นื แต่อย่างไรกต็ าม การดแู ลร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์ ด้วยการรบั ประทานอาหารที่ครบถว้ น กจ็ ะทาใหผ้ ิวพรรณสดใสงดงามได้ แต่ในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาไปมากด้วยเทคโนโลยีช้ันสูง ได้มีการสกัดสารสาคัญจากธรรมชาติ เพ่ือพัฒนา เป็นผลติ ภณั ฑเ์ สริมความงามตา่ งๆ ไมว่ ่าจะเปน็ โลชั่นบารุงผิวพรรณ หรอื เครื่องประทินความงามอื่นๆ มาวางตลาดให้เลือก แตย่ อ่ มมีราคาแพง จงึ เปน็ ผลใหค้ นที่ยดึ ติดกับเรื่องความสวยความงามต้องเสียค่าใชจ้ า่ ยเปน็ อันมาก สถาบนั การแพทย์แผนไทย เล็งเห็นความต้องการของประชาชน จึงพยายามค้นหาทางเลือกให้สาหรับคนรักสวย รักงาม แต่ตอ้ งการประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายก็อาจเลอื กใชส้ ารจากธรรมชาติในการดแู ลความงามด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปซ้ือหาให้มาก ดว้ ยราคา ฉะนน้ั ในฉบบั น้ี สถาบันการแพทยแ์ ผนไทย จงึ คดั เลอื กสมุนไพรทีม่ ผี ลตอ่ ความงามของผิวพรรณ พร้อมวิธใี ชม้ าเสนอ อาทิ ว่านหางจระเข้ ซ่ึงมจี ารึกไว้ว่า แมแ้ ต่พระนางคลีโอพัตราก็ยังใชว้ า่ นหางจระเข้ ในการบารุงผิวพรรณ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรู้สมัยใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมความงามนั้นก็ได้นาความรู้ดั้งเดิมมาประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาไทย หรือ ภมู ิปัญญาพน้ื บา้ นตา่ งๆ ทวั่ โลก ซง่ึ มสี ่วนเป็นอยา่ งมากในการพิจารณาผลติ ภณั ฑเ์ สริมความงาม สมนุ ไพรบารุงผวิ หน้าและผิวกาย 1. วา่ นหางจระเข้ คณุ คา่ ของว่านหางจระเข้มมี ากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บารุงผิว บารุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบันจะเหน็ ได้วา่ มแี ชมพูสระผม และเครอื่ งสาอางหลายอยา่ งท่ใี ช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกาลังเป็นท่ีนิยม ของคนท่ัวไป เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคณุ สมบัติ สามารถช่วยใหก้ ระบวนการเมตะโบลซิ ึมทางานได้ เปน็ ปกติ ลดการตดิ เชอ้ื สลายพิษของเชอื้ โรค กระต้นุ การเกดิ ใหมข่ องเน้อื เยื่อสว่ นที่ชารุด ฉะน้ันว่านหางจระเข้จึงถูกนามาใช้เพ่ือบารุงผิวพรรณ ผู้ท่ีใช้ ว่านหางจระเข้บารุงผวิ พรรณอย่เู ป็นประจา จะร้สู กึ ไดช้ ดั วา่ ว่านหางจระเข้มีสว่ นช่วยให้ผิวพรรณ ผุดผ่อง สดชื่น มีน้ามีนวล และยงั สามารถขจดั สิวและลบรอยจดุ ดา่ งดาไดด้ ว้ ย การใช้วา่ นหางจระเข้เพ่อื บารงุ ผวิ โดยปอกเปลอื กออกใชแ้ ตเ่ มอื กวุ้นสขี าวใสทอี่ ยูภ่ ายใน ท้ังน้เี พ่อื หลีกเลยี่ งไมใ่ หเ้ กดิ การแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบวา่ ตนเองจะเกดิ อาการแพ้หรอื ไม่ โดยใชน้ า้ ที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทาตรงบริเวณ โคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถา้ เกิดการระคายเคอื งเป็นผ่ืนแดงแสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะท่ีจะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ กส็ ามารถใช้ได้ตลอด แตบ่ างคนกจ็ ะเหน็ ผลได้เหมอื นกนั เมอื่ ใชว้ ่านหางจระเขท้ าบริเวณหวั สวิ จะทาให้หวั สิวแห้งเรว็ นอกจากนว้ี ่านหางจระเขย้ งั สามารถลดความแหง้ กรา้ นและลดความมันของผิวหนา้ ได้ โดยคนท่มี ีผิวท่มี นั ก็จะช่วยให้ ลดความมัน คนที่มีผวิ หนา้ แหง้ ก็ยังรักษาความชุ่มชน่ื ของผวิ ไวไ้ ด้
2 2. งา เปน็ พืชลม้ ลกุ ให้เมลด็ เปน็ จานวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดาและสีขาว ในเมล็ดงามีน้ามันอยู่ประมาณ 45-54 % น้ามนั งามีกล่ินหอมน่ารับประทาน วิธีใช้โดยการนาเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ามันงาออกโดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพอ่ื บารงุ ผิวพรรณให้ผดุ ผ่อง ชว่ ยประทินผวิ ให้นุม่ นวลไม่หยาบกร้าน 3. แตงกวา จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกว่ายังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีน ได้เอนไซม์ชนิดน้ีจะช่วยย่อย ผวิ หนงั ท่หี ยาบกรา้ น ใหห้ ลดุ ออกไป เพ่อื ให้ผวิ ใหมท่ อี่ อ่ นนุม่ เกดิ ขึ้นมาแทนท่ี บางคนใช้แตงกวาสดผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้า ที่ล้างสะอาดแทนน้าแตงกวา ปัจจบุ นั มนี า้ แตงกวาผสมในเครอื่ งสาอาง เชน่ ครีมล้างหน้า ครมี ทาตวั เพื่อชว่ ยให้ผวิ ไมห่ ยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมนุ ไพรท่ีหางา่ ยมีประโยชนร์ าคาถกู ใช้ติดตอ่ กนั เปน็ ประจาจะทาใหส้ วยสดช่ืนมนี ้ามนี วล 4. มะเขือเทศ ในมะเขือเทศจะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้าจากผลมะเขือเทศสุกจะมีสาร Licopersioin ซ่ึงมฤี ทธฆ์ิ ่าเชอ้ื ราและแบคทีเรยี ได้ และนา้ มะเขือเทศสด นามาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหนา้ กไ็ ด้ 5. ขมน้ิ ชนั ในขมนิ้ จะมสี าร Curcumin และมีน้ามันหอมระเหยซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขม้ินมีฤทธ์ิยับยั้งการเจริญเติบโต ของเช้ือแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนดิ ใชท้ าผวิ ทม่ี ีผดผน่ื คนั ผงขมิน้ ใช้ทาตัวเพ่ือให้มีสีเหลืองทองใช้บารุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ท่ีทาใหเ้ กิดโรคผิวหนังบางชนดิ ได้อีกดว้ ย
3 6. น้าผ้ึง ไดจ้ ากผึ้ง ในน้าผึ้งประกอบด้วยน้าตาลกลูโคส, ฟรุกโตส, ข้ีผ้ึง, อัลบูมินอยด์, ละอองเกสรดอกไม้ และ ฮอรโ์ มนเอสโตรเจนจานวนเลก็ น้อย นา้ ผงึ้ ใชเ้ ปน็ ส่วนประกอบของเครอ่ื งสาอาง ใชพ้ อกหน้าทาให้ผิวหน้าชุ่มช่ืน เปล่งปล่ังมี น้ามนี วลขึน้ น้าผงึ้ ยงั มคี ณุ สมบตั ิช่วยสมานผิว นา้ ผ้ึงเป็นเครอื่ งสาอางจากธรรมชาตทิ ใี่ ห้ประโยชน์สงู และหาง่าย นอกจากนยี้ ัง ใชน้ า้ ผึง้ บารงุ ผม ฮอรโ์ มนเอสโตรเจนจะชว่ ยบารุงหนังศรีษะ และกระตุ้นการงอกของเสน้ ผม 7. มะขามเปียก มะขามเปียกมีประวตั กิ ารใชม้ ายาวนาน ช่วยชาระสง่ิ สกปรกจากผวิ หนงั เพราะฤทธ์ิท่ีเป็นกรดอ่อนๆ ในมะขามจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผวิ หนังได้ดี ปจั จุบันได้มีหญิงไทยจานวนมากใช้มะขามเปียกผสมน้าอุ่นและนมสดผสม ใหเ้ ขา้ กนั ดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดา และบริเวณ รักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังทีเ่ ป็นรอยดาจางลง ทาใหผ้ วิ ขาวนุ่มนวลข้ึน และนมสดจะช่วยบารงุ ผิวให้นุ่มได้ จากที่กล่าวมาแล้ว เป็นภูมิปัญญาพ้ืนบ้านที่มีการใช้สืบต่อกันมาเป็นเวลานาน และได้ถูกลืมไปช่ัวระยะหน่ึง เน่ืองจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และค่านิยมของคนไทยต่อค่านิยมด้านวัตถุ ทาให้คนรุ่นใหม่สนใจสินค้า จากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันเป็นท่ีสังเกตว่าคนต่างประเทศสนใจภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม ซึ่งจะเหน็ บ่อยว่ามผี ลติ ภณั ฑ์เกีย่ วกบั ความงามทีม่ สี ่วนผสมของสมุนไพร การท่ีเราหันไปใช้ผลิตภัณฑ์สาเร็จรูป ใช้สะดวกราคามักจะสูง แต่ถ้าเรานาเอาวัตถุดิบท่ีมีอยู่ในบ้านเรามาใช้เอง ได้สารสาคญั ท่สี ดใหม่ ราคาถูก ไม่มีสารเคมีเจือปน อะไรที่เราหาได้ง่าย และเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีเราปลูกใช้ได้เราจะทาให้เรา พึง่ ตนเองได้ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เช่นปจั จบุ นั อ้างอิงรูปภาพประกอบ ดังนี้ - งาขาว งาดา http://www.meekhao.com/foods/sesame - แตงกวา http://www.oknation.net/blog/horti-asia/2013/09/09/entry-11 http://www.healthandtrend.com/healthy/health-food/cucumber-juice-easy-made - มะเขอื เทศ http://www.ladyguides.com - น้ามะเขอื เทศ http://women.sanook.com/35549/
การดูแลรกั ษาอาการเจ็บปว่ ยเบ้ืองต้นดว้ ยสมุนไพร การเจ็บป่วยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นโรคหรืออาการที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้ การแพทย์ แผนไทยซง่ึ เปน็ ภมู ิปัญญาด้ังเดิมของคนไทยสามารถเข้ามามีบทบาท มีส่วนรว่ มในการบาบัดรักษาโรคหรืออาการ เหลา่ นีเ้ บอ้ื งต้นได้ด้วยการใชส้ มนุ ไพร การนวดไทย การอบไอน้าสมนุ ไพร และการประคบสมุนไพร การใช้สมนุ ไพร ก่อนที่จะทราบถึงการใช้สมุนไพรเพื่อการบาบัดรักษาโรค เราควรทราบความหมายของคาที่เกี่ยวกับ การใชส้ มนุ ไพรอยา่ งถูกต้อง เพ่ือใหก้ ารดแู ลรักษาไดผ้ ลและมีประสิทธิภาพ ดงั น้ี ใบเพสลาด หมายถึง ใบไม้ทจ่ี วนแก่ ท้งั หา้ หมายถงึ ส่วนของราก ต้น ผล ใบ ดอก เหล้า หมายถงึ เหลา้ โรง (28 ดีกรี) แอลกอฮอล์ หมายถงึ แอลกอฮอลช์ นิดสขี าวสาหรบั ผสมยา ห้ามใช้แอลกอฮอลช์ นดิ จดุ ไฟ น้าปูนใน หมายถึง น้ายาที่ใช้ทาขึน้ โดยการนาปูนที่รับประทานกับหมากละลายน้าสะอาด ต้ังท้ิงไว้ แล้วรินนา้ ใสมาใช้ ตม้ เอาน้าดม่ื หมายถงึ ต้มสมนุ ไพรดว้ ยการใสน่ ้าพอประมาณ หรอื สามเท่าของปรมิ าณท่ตี อ้ งการใช้ ตม้ พอเดอื ดออ่ นๆ ให้เหลอื 1 สว่ นจาก 3 สว่ น ข้างต้นรินเอาน้าดม่ื ตามขนาด ชงเอาน้าด่ืม หมายถึง ใส่น้าเดือดหรือน้าร้อนจัดลงบนสมุนไพรท่ีอยู่ในภาชนะปิดฝาทิ้งไว้สักครู่ จึงใช้ด่ืม 1 กา้ มือ มีปริมาณเท่ากับสี่หยิบมือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรท่ีได้จาก การใช้มือเพยี งขา้ งเดยี ว กาโดยให้ปลายนิ้วจรดอ้งุ มือโหยง่ ๆ 1 กอบมอื มีปริมาณเท่ากับสองฝ่ามือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จาก การใช้มือทงั้ สองขา้ งกอบเข้าหากนั ใหส้ ว่ นของปลายน้วิ แตะกนั 1 ถ้วยแกว้ มีปรมิ าตรเทา่ กับ 250 มลิ ลิ ิตร 1 ถ้วยชา มปี รมิ าตรเท่ากับ 75 มลิ ลิ ิตร 1 ชอ้ นโต๊ะ มปี รมิ าตรเท่ากับ 15 มิลลิ ิตร 1 ชอ้ นคาว มปี รมิ าตรเท่ากบั 8 มลิ ลิ ิตร 1 ชอ้ นชา มีปรมิ าตรเท่ากบั 5 มลิ ลิ ิตร การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเบ้ืองต้นน้ี เป็นการใช้สมุนไพรที่ประชาชนสามารถใช้ได้แบ่งตามกลุ่ม อาการเจ็บป่วยของระบบต่างๆ ดังน้ี 1. สมุนไพรรักษาอาการปว่ ยในระบบทางเดินอาหาร 1.1 โรคกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง อาการปวดแสบปวดเสียด หรือจุกแน่นตรงบริเวณลิ้นป่ี หรือสะดือ อาจปวดก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานก็ได้ การรับประทานอาหารผิดเวลา และการ รับประทานอาหารหรือยาที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารหรือลาไส้ เช่น เหล้า เบียร์ ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ปวด ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
แอสไพริน ยาท่ีเข้าเสตียรอยด์ อาจทาให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร คอื ขม้นิ ชนั กลว้ ยนา้ วา้ ขมน้ิ ชัน : โดยการนาเหง้าขมนิ้ ชันแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปลอกเปลือก) หั่นเป็นช้ิน บางๆ ตากแดดจัด ประมาณ 1 - 2 วัน บดให้ละเอียด ผสมน้าผ้ึงปั้นเป็นลูกกลอน หรือ บรรจุแคปซูลเก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานคร้ังละ 500 มิลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลงั อาหารและกอ่ นนอน กลว้ ยน้าวา้ : นากล้วยน้าว้าดบิ ฝานเปน็ แวน่ ๆ ตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้ง ทอ่ี ณุ หภมู ิ 50 องศาเซลเซียส และบดผง แล้วนาผงกล้วยดิบคร้ังละครึ่งถึงหนึ่งผลชงน้าด่ืม หรืออาจผสมกับน้าผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ด่ืมก็ได้ หรืออาจนาผงกล้วยดิบป้ันลูกกลอน รบั ประทานคร้ังละ 4 เมด็ วนั ละ 4 คร้ัง กอ่ นอาหาร และก่อนนอน 1.2 อาการทอ้ งผกู เปน็ อาการท่ีไม่อุจจาระตามปกติ หรืออุจจาระแข็ง อาการเหล่านี้เกิดเน่ืองจากรับประทานอาหาร ที่มีเส้นใยน้อย หรือรับประทานผักที่มีรสฝาดหรือรสมันมาก หรือชอบกล้ันอุจจาระ มีความเครียดหรือออกกาลังกาย น้อยเกินไปจนทาให้ลาไส้บีบตัวน้อยลง สมุนไพรท่ีใช้รักษาอาการท้องผูก คือ ชุมเห็ดเทศ มะขาม ข้ีเหล็ก คูน มะขามแขก แมงลกั ชมุ เห็ดเทศ : ใชใ้ บและดอกชมุ เห็ดเทศ ไดด้ งั นี้ (1) ใช้ดอกชุมเหด็ เทศ 1 ชอ่ ตม้ รบั ประทานกับนา้ พรกิ (2) ยาต้ม : นาใบสด 12 ใบ หน่ั ตากแห้ง ใชต้ ม้ และเอานา้ ดื่ม (3) ยาชง : นาใบชุมเห็ดเทศมาบดเป็นผง ใช้ผงยา 3 – 6 กรัม บรรจุใส่ถุงกระดาษ เย็บเป็นลักษณะถุงชา นามาแช่ละลายในน้าเดือด 120 มิลิลิตร นาน 10 นาที และ ด่มื น้ายาชงในเวลาก่อนนอน หรอื เมอ่ื มอี าการทอ้ งผกู (4) ยาลูกกลอน : นาใบชุมเห็ดเทศมาบดเป็นผงแล้วนาผงยามาปั้นกับน้าผ้ึงเป็นลูกลอน ขนาดเทา่ กบั ปลายน้ิวก้อย รบั ประทานครงั้ ละ 3 เมด็ ก่อนนอนหรือเมือ่ มอี าการทอ้ งผูก มะขาม : ใช้มะขามเปยี กรสเปรย้ี ว 10 – 20 ฝัก (หนักประมาณ 70 – 150 กรัม) จิ้มเกลอื รับประทานแล้วด่มื น้าตามมากๆ หรอื นาเป็นนา้ มะขามใสเ่ กลอื เลก็ นอ้ ยด่ืมก็ได้ ข้ีเหล็ก : ใช้ใบข้ีเหล็กอ่อนและดอกตูม 4 – 5 กามือ ต้มเอาน้าด่ืมก่อนอาหารหรือ เวลามีอาการ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
1.3 อาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ แน่นจกุ เสยี ด เกิดจากการรับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย รับประทานมากเกินหรือเร็วเกินไป หรือเกิดจาก อาการเครยี ด วติ กกังกล สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด คือ ขิง กะเพรา ตะไคร้ ขา่ ขมน้ิ ชัน การพลู กระเทยี ม พริกไทย ดปี ลี กระชาย หญา้ แหว้ หมู กระวานไทย เร่ว มะนาว กระทอื ขงิ : ใชเ้ หงา้ ขิงแก่สด ขนาดเทา่ หัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรมั ) ทบุ ให้แตก ต้มเอาน้าดื่ม กะเพรา : ใช้ใบและยอด 1 กา (สดหนัก 25 กรัม แห้งหนัก 4 กรัม) ต้มเอาน้าด่ืม หรือ ประกอบเปน็ อาหาร ตะไคร้ : ใชล้ าต้นและเหง้าแก่สดๆ ประมาณ 1 กามือ (ราว 40 – 60 กรัม) ทุบพอแหลก ตม้ กับน้าประมาณครงึ่ ลติ ร (500 มลิ ลิ ติ ร) เอานา้ ด่มื หรือประกอบเปน็ อาหาร ข่า : ใชเ้ หง้าแกส่ ดหรอื แห้ง ครงั้ ละขนาดเท่าหัวแม่มอื (สดหนกั 5 กรัม แห้งหนัก 2 กรัม) ทุบใหแ้ ตก ต้มน้าดื่ม ขมน้ิ ชัน : ใช้เหง้าขมิ้นสด ล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) ห่ันเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดจัด สัก 1 – 2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้าผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย ผึ่งลมให้แห้ง และเก็บในขวดสะอาดมิดชิด รับประทานคร้ังละ 2 – 3 เม็ด วันละ 4 ครั้งหลังอาหาร และก่อนนอน หรือนาผงขมิ้นแคปซูล ขนาด 250 มิลิกรัม และรับประทานครั้งละ 2 แคปซลู วันละ 4 คร้งั หลังอาหารและก่อนนอน กานพลู : ใช้ดอกตูมแห้ง 5 – 8 ดอก (0.12 – 0.16 กรัม) ต้มน้าดื่ม หรือบดเป็นผงชงน้าดื่ม นอกจากน้ีดอกกานพลูยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กอ่อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ โดยใช้ดอกแห้ง 1 ดอก แชไ่ ว้ใน กระตกิ น้ารอ้ นทใ่ี ช้ชงนมให้เด็กอ่อน กระเทยี ม : ใชก้ ระเทียมสดครง้ั ละประมาณ 5 – 7 กลีบ หลงั อาหาร หรอื เวลามอี าการ ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
พริกไทย : นาผลแก่แห้ง บดเป็นผลและป้ันเป็นลูกกลอนรับประทานคร้ังละ 0.5 – 1 กรัม (ประมาณ 15 – 20 ผล) หรือใชว้ ิธบี ดเป็นผงและชงน้าด่มื ได้ ดีปลี : ใช้ผลแก่แห้งประมาณ 10 ดอก ใส่น้าประมาณครึ่งลิตร ต้มเอา น้าดื่ม ถ้าไม่มีดอก ใชเ้ ถาต้มแทนได้ กระชาย : ใช้เหง้าและรากของกระชายประมาณคร่ึงกามือ (สดหนักประมาณ 5 – 10 กรัม แห้งหนัก 3 – 5 กรัม) ทุบพอแหลก ต้มเอาน้าด่ืมเวลามีอาการหรือปรุงเป็นอาหาร รับประทาน หญ้าแห้วหมู : ใช้หัวครั้งละ 1 กามือ (60 – 70 หัว หรือหนักประมาณ 15 กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอาน้าดม่ื หรือใชห้ ัวสดครั้งละ 5 หัว โขลกใหล้ ะเอยี ดผสมนา้ ผึง้ รบั ประทาน กระวานไทย : เอาเมลด็ แก่ให้บดเปน็ ผงรับประทานคร้ังละ 1.5 – 3 ชอ้ นชา (หนัก 1 – 2 กรมั ) ชงกบั นา้ ดื่ม เรว่ : ปอกเปลือกผลเรว่ ออก ใช้เมล็ดบดเป็นผงรับประทานคร้ังละ 3–9 ผล (หนัก 1– 3 กรัม) รบั ประทานวันละ 3 ครั้ง มะนาว : นาเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอใช้น้ามันออก ชงนา้ ร้อน ดืม่ เวลามอี าการ กระทอื : นาเอาเหง้าหรือหัวสดขนาดเท่าหัวแม่มือ 2 หัว (ประมาณ 20 กรัม) ย่างไฟพอสุก ตากับน้าปนู ใสคั้นเอาน้าดื่มเวลามีอาการ 1.4 อาการเบอื่ อาหาร สมุนไพรท่ีช่วยรักษาอาการเบอื่ อาหาร จะชว่ ยทาให้เจริญอาหารมากข้ึน คือ บอระเพ็ด ข้ีเหลก็ มะระขีน้ ก สะเดา ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
บอระเพ็ด : ใช้เถาหรือต้นสด ครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30 – 40 กรัม) ตาค้ัน เอาน้าดื่ม หรือ ต้มกับนา้ โดยใชน้ า้ 3 ส่วน ต้มเค่ยี วให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือเวลามีอาการ หรืออาจใช้วิธีดองน้าผึ้ง หรือปั้นเป็นลูกลอน จะทาให้รับประทาน สะดวกขึ้น ขี้เหลก็ : ใชด้ อกตูมและใบอ่อนปรุงเป็นอาหาร แต่ไม่ควรค้ันน้าหลายคร้ัง จะทาให้รสขม หมดไป มะระขี้นก : ใช้ผลมะระอ่อนต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้าพริก ผลมะระสุก หา้ มรับประทานเพราะจะทาใหม้ อี าการคลนื่ ไส้ อาเจียน สะเดา : ใชย้ อดสะเดาและดอกสะเดาลวกหรอื ต้มรบั ประทานกบั น้าปลาหวาน 2. สมนุ ไพรรกั ษาอาการเจ็บป่วยในโรคระบบทางเดนิ หายใจ อาการไอ ระคายคอเนอ่ื งจากมเี สมหะ อาการเหล่านี้เกิดได้เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส หรือเป็นหวัด หรือเกิดจากสูบบุหร่ี มากเกินไป หรือรับประทานของมันมากเกินไป สมุนไพรท่ีช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยให้ลาคอชุ่มช่ืน คือ มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแวง้ ตน้ ขิง ดปี ลี เพกา มะขามป้อม : ใชผ้ ลแกส่ ดครง้ั ละประมาณ 2 – 3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเลก็ น้อย อมหรือเคีย้ ว รบั ประทานวันละ 3 – 4 ครงั้ มะขาม : ใชเ้ น้ือฝักแกข่ องมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียกรสเปร้ียว จิ้มเกลือรับประทาน พอสมควรหรืออาจค้ันเป็นน้ามะขามแทรกเกลือเล็กน้อยและจิบบ่อยๆ ก็ได้ (ห้ามใส่ นา้ แขง็ ) มะนาว : ใช้ผลสดคน้ั นา้ จะได้นา้ มะนาวเขม้ ขน้ และใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทา เป็นนา้ มะนาวใส่เกลอื และนา้ ตาลปรุงใหร้ สจดั ด่มื บ่อยๆ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
มะแวง้ ต้น : นาเอาผลแก่สด 5–10 ผล โขลกพอแหลกคน้ั เอาแตน่ ้า ใส่เกลือรบั ประทานน้อยๆ หรอื ให้ผลสดเคย้ี วแล้วกลืนทงั้ นา้ และเนื้อจนกว่าอาการจะดีขน้ึ มะแวง้ เครอื : นาเอาผลแกส่ ด 5 – 10 ผล โขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้า ใส่เกลือรับประทาน บ่อยๆ หรอื ให้ผลสดเค้ยี วแลว้ กลนื ทง้ั นา้ และเนอื้ จนกวา่ อาการจะดีข้นึ ขิง : ใช้เหง้าขิงแก่ฝนกับน้ามะนาว หรือเหง้าขิงสด ตาผสมน้าเล็กน้อย ค้ันเอาน้าและ แทรกเกลอื นดิ หน่อยใช้กวาดคอหรอื จบิ บอ่ ยๆ ดีปลี : ใช้ผลแก่แห้งของดีปลีประมาณครึ่งผลถึงหน่ึงผล ฝนกับน้ามะนาวแทรกเกลือ กวาดคอหรือจบิ บอ่ ยๆ เพกา : ใชเ้ มลด็ ครง้ั ละ 1/2 – 1 กามือ (หนัก 1.5 – 3 กรัม) ใส่น้าประมาณ 300 มิลิลิตร ตม้ ไฟออ่ นๆ พอเดอื ดนานประมาณ 1 ช่วั โมง รบั ประทาน วันละ 3 คร้งั 3. สมุนไพรรกั ษาอาการเจบ็ ป่วยอน่ื ๆ 3.1 อาการเคลด็ ขัด ยอก เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณรอบข้อและเอ็น มีอาการฟกช้าหรือฉีกขาด เน่ืองจากหกล้มหรือ ถูกกระแทก หรือทาให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อนรอบๆ ข้อ หรือเคล็ดยอกบริเวณกล้ามเน้ือ สมุนไพรท่ีใช้ รักษาอาการเคลด็ ขดั ยอก คือ ไพล ไพล : ใช้เหง้าไพลซึ่งแก่จัดประมาณ 1 เหง้า ตาแล้วค้ันเอาน้าทา ถูนวด บริเวณ ที่มีอาการหรือตาให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าแล้วนามาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้าใหค้ วามรอ้ น ประคบบริเวณทปี่ วดเมอ่ื ยและฟกชา้ เชา้ – เยน็ จนกวา่ จะหาย ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
3.2 อาการไข้ สมุนไพรทร่ี กั ษาอาการไข้ คอื ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร : ยาลูกลอน นาใบฟ้าทะลายโจรสดล้างใหส้ ะอาด ผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามตากแดด) บดเป็นผงให้ละเอียด ปนั้ กับนา้ ผง้ึ เก็บไว้ในขวดแห้งและมิดชิด รับประทาน ครั้งละ 1.5 กรัม วันละ 4 คร้ัง ก่อนอาหารและก่อนนอน : ยาดองเหล้า นาใบฟ้าทะลายโจรแห้งเขย่าให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในขวดแก้วใช้เหล้าขาว แช่ให้ท่วมยาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าหรือคนยาวันละ 1 ครั้ง พอครบ 7 วัน กรอง เอาแต่น้าเก็บไว้ในขวดที่มิดชิดและสะอาดรับประทานครั้งละ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 – 4 คร้งั ก่อนอาหาร บอระเพ็ด : ใช้เถาหรือใบสด ครั้งละ 2 คืบคร่ึง (30 – 40 กรัม) ตาคั้นเอาน้าด่ืม หรือต้ม กับน้าโดยใช้น้า 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ด่ืมก่อนอาหาร วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรอื เวลามอี าการ 3.3 อาการนอนไม่หลับ สมนุ ไพรที่รักษาอาการนอนไม่หลบั คือ ขี้เหล็ก ขเ้ี หลก็ : ใช้ใบขเี้ หลก็ แห้งหนัก 30 กรัม หรอื ใช้ใบสดหนัก 50 กรัม ต้มเอาน้ารับประทาน ก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทาเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยาแช่ไว้ 7 วัน คน ทุกวันๆ ใช้น้ายาสม่าเสมอ กรองกากยาออก จะได้น้ายาดองเหล้าข้ีเหล็กดื่มคร้ังละ 1 – 2 ช้อนชา นอกจากนีก้ ารใช้ยาสมุนไพรเดย่ี วแลว้ ยังมียาตารบั พ้นื บา้ นที่หมอพ้ืนบ้านใชร้ ักษาอาหารปวด ชา ดังน้ี ตา้ รบั ยาพน้ื บา้ น แก้อาการวงิ เวยี น (ของหมอประกอบ อุบลขาว จงั หวัดสงขลา) ต้ารบั ที่ 1 ขิงทัง้ เหง้า ตน้ ใบ สับใส่หมอ้ ต้มเอาน้ายาใช้ด่ืมแทนน้า เวลาดื่มน้าขิงให้แทรกน้าตาล ทรายพอหวาน สรรพคณุ แกอ้ าหารวิงเวยี นศรษี ะ อาการคอ่ ยๆ หายไป การดแู ลโรคกระดูก ข้อ และอาการปวดเม่อื ยกลา้ มเนอ้ื ต้ารับที่ 1 ขิงสดแก่ๆ พริกไทยดา ส่วนเท่ากัน ตาให้แหลกห่อผ้า ทาเป็นลูกประคบ จมุ่ นา้ สม้ สายชู ประคบตรงทป่ี วด รสู้ กึ รอ้ นใหเ้ อาเหลา้ นวดทาทแ่ี ผลปวดเขา่ ประคบเชา้ – เย็น สรรพคุณ บรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
ตา้ รบั ท่ี 2 ขงิ สดแกๆ่ มากน้อยตามตอ้ งการ หน่ั เป็นชน้ิ โขลกพอแหลกผสมกับเหล้าโรงพอเปียก ผสมด้วยขา้ วท่ีหงุ สุก 2 สว่ น ขิง 1 สว่ น คลุกใหเ้ ข้ากันพอดี วิธใี ช้ ห่อผ้าทาเป็นลูกประคบ หรือพอกไว้ตรงท่ีขัดยอก เอาผ้าห่อพันไว้ ถ้ามีอาการปวด หรือรอ้ น แกะออกจมุ่ เหลา้ โรง สรรพคณุ ใช้ประคบแก้อาการปวดเม่อื ย ชามอื ชาเท้า ต้ารับที่ 3 ขิงสดแก่ๆ ห่ันเป็นช้ิน ตาพอแหลก 2 ถ้วยกาแฟ ผสมกับทราย 2 ถ้วย ค่ัวในกระทะ พออนุ่ วิธีใช้ ห่อผ้าเปน็ ลูกประคบ และทาเหล้าโรงบริเวณท่ีชากอ่ นจึงประคบ หลังประคบเสรจ็ ทาเหลา้ โรงซ้าอีกครั้งประคบ เชา้ – เย็น สรรพคุณ แก้อาการชามือ ชาเทา้ ต้ารับที่ 4 ใบข่าสด (เพสลาด) มากน้อยตามต้องการ หั่นเป็นฝอยๆ ตาให้แหลกผสมเหล้าโรง คลกุ เขา้ กันพอเปยี ก วธิ ีใช้ ใช้พอกบรเิ วณท่ีปวด เปลย่ี นยาวันละ 1 คร้ัง ทาตดิ ตอ่ กันจนหายเป็นปกติ ต้ารบั ท่ี 5 เหง้าขา่ แกๆ่ หัน่ เป็นชิ้นบางๆ มากนอ้ ยตามตอ้ งการตาใหแ้ หลก วิธีใช้ เอานา้ มันมะพร้าวทาบรเิ วณทีป่ วดใหท้ วั่ (เพ่อื ป้องกนั ผงิ หนังไหม้) เปล่ียนยาวนั ละ 1 ครงั้ ติดตอ่ กัน 2 – 3 ครงั้ จะหายเป็นปกติ หมายเหตุ : ทุกครงั้ ท่ีเปล่ียนยา จาต้องทาน้ามนั มะพร้าวทกุ คร้งั จะทาใหห้ ายเรว็ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
การดูแลรกั ษาอาการเจ็บปว่ ยเบ้ืองต้นดว้ ยสมุนไพร การเจ็บป่วยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นโรคหรืออาการที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้ การแพทย์ แผนไทยซง่ึ เปน็ ภมู ิปัญญาด้ังเดิมของคนไทยสามารถเข้ามามีบทบาท มีส่วนรว่ มในการบาบัดรักษาโรคหรืออาการ เหลา่ นีเ้ บอ้ื งต้นได้ด้วยการใชส้ มนุ ไพร การนวดไทย การอบไอน้าสมนุ ไพร และการประคบสมุนไพร การใช้สมนุ ไพร ก่อนที่จะทราบถึงการใช้สมุนไพรเพื่อการบาบัดรักษาโรค เราควรทราบความหมายของคาที่เกี่ยวกับ การใชส้ มนุ ไพรอยา่ งถูกต้อง เพ่ือใหก้ ารดแู ลรักษาไดผ้ ลและมีประสิทธิภาพ ดงั น้ี ใบเพสลาด หมายถึง ใบไม้ทจ่ี วนแก่ ท้งั หา้ หมายถงึ ส่วนของราก ต้น ผล ใบ ดอก เหล้า หมายถงึ เหลา้ โรง (28 ดีกรี) แอลกอฮอล์ หมายถงึ แอลกอฮอลช์ นิดสขี าวสาหรบั ผสมยา ห้ามใช้แอลกอฮอลช์ นดิ จดุ ไฟ น้าปูนใน หมายถึง น้ายาที่ใช้ทาขึน้ โดยการนาปูนที่รับประทานกับหมากละลายน้าสะอาด ต้ังท้ิงไว้ แล้วรินนา้ ใสมาใช้ ตม้ เอาน้าดม่ื หมายถงึ ต้มสมนุ ไพรดว้ ยการใสน่ ้าพอประมาณ หรอื สามเท่าของปรมิ าณท่ตี อ้ งการใช้ ตม้ พอเดอื ดออ่ นๆ ให้เหลอื 1 สว่ นจาก 3 สว่ น ข้างต้นรินเอาน้าดม่ื ตามขนาด ชงเอาน้าด่ืม หมายถึง ใส่น้าเดือดหรือน้าร้อนจัดลงบนสมุนไพรท่ีอยู่ในภาชนะปิดฝาทิ้งไว้สักครู่ จึงใช้ด่ืม 1 กา้ มือ มีปริมาณเท่ากับสี่หยิบมือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรท่ีได้จาก การใช้มือเพยี งขา้ งเดยี ว กาโดยให้ปลายนิ้วจรดอ้งุ มือโหยง่ ๆ 1 กอบมอื มีปริมาณเท่ากับสองฝ่ามือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จาก การใช้มือทงั้ สองขา้ งกอบเข้าหากนั ใหส้ ว่ นของปลายน้วิ แตะกนั 1 ถ้วยแกว้ มีปรมิ าตรเทา่ กับ 250 มลิ ลิ ิตร 1 ถ้วยชา มปี รมิ าตรเท่ากับ 75 มลิ ลิ ิตร 1 ชอ้ นโต๊ะ มปี รมิ าตรเท่ากับ 15 มิลลิ ิตร 1 ชอ้ นคาว มปี รมิ าตรเท่ากบั 8 มลิ ลิ ิตร 1 ชอ้ นชา มีปรมิ าตรเท่ากบั 5 มลิ ลิ ิตร การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเบ้ืองต้นน้ี เป็นการใช้สมุนไพรที่ประชาชนสามารถใช้ได้แบ่งตามกลุ่ม อาการเจ็บป่วยของระบบต่างๆ ดังน้ี 1. สมุนไพรรักษาอาการปว่ ยในระบบทางเดินอาหาร 1.1 โรคกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง อาการปวดแสบปวดเสียด หรือจุกแน่นตรงบริเวณลิ้นป่ี หรือสะดือ อาจปวดก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานก็ได้ การรับประทานอาหารผิดเวลา และการ รับประทานอาหารหรือยาที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารหรือลาไส้ เช่น เหล้า เบียร์ ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ปวด ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
แอสไพริน ยาท่ีเข้าเสตียรอยด์ อาจทาให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร คอื ขม้นิ ชนั กลว้ ยนา้ วา้ ขมน้ิ ชัน : โดยการนาเหง้าขมนิ้ ชันแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปลอกเปลือก) หั่นเป็นช้ิน บางๆ ตากแดดจัด ประมาณ 1 - 2 วัน บดให้ละเอียด ผสมน้าผ้ึงปั้นเป็นลูกกลอน หรือ บรรจุแคปซูลเก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานคร้ังละ 500 มิลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลงั อาหารและกอ่ นนอน กลว้ ยน้าวา้ : นากล้วยน้าว้าดบิ ฝานเปน็ แวน่ ๆ ตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้ง ทอ่ี ณุ หภมู ิ 50 องศาเซลเซียส และบดผง แล้วนาผงกล้วยดิบคร้ังละครึ่งถึงหนึ่งผลชงน้าด่ืม หรืออาจผสมกับน้าผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ด่ืมก็ได้ หรืออาจนาผงกล้วยดิบป้ันลูกกลอน รบั ประทานคร้ังละ 4 เมด็ วนั ละ 4 คร้ัง กอ่ นอาหาร และก่อนนอน 1.2 อาการทอ้ งผกู เปน็ อาการท่ีไม่อุจจาระตามปกติ หรืออุจจาระแข็ง อาการเหล่านี้เกิดเน่ืองจากรับประทานอาหาร ที่มีเส้นใยน้อย หรือรับประทานผักที่มีรสฝาดหรือรสมันมาก หรือชอบกล้ันอุจจาระ มีความเครียดหรือออกกาลังกาย น้อยเกินไปจนทาให้ลาไส้บีบตัวน้อยลง สมุนไพรท่ีใช้รักษาอาการท้องผูก คือ ชุมเห็ดเทศ มะขาม ข้ีเหล็ก คูน มะขามแขก แมงลกั ชมุ เห็ดเทศ : ใชใ้ บและดอกชมุ เห็ดเทศ ไดด้ งั นี้ (1) ใช้ดอกชุมเหด็ เทศ 1 ชอ่ ตม้ รบั ประทานกับนา้ พรกิ (2) ยาต้ม : นาใบสด 12 ใบ หน่ั ตากแห้ง ใชต้ ม้ และเอานา้ ดื่ม (3) ยาชง : นาใบชุมเห็ดเทศมาบดเป็นผง ใช้ผงยา 3 – 6 กรัม บรรจุใส่ถุงกระดาษ เย็บเป็นลักษณะถุงชา นามาแช่ละลายในน้าเดือด 120 มิลิลิตร นาน 10 นาที และ ด่มื น้ายาชงในเวลาก่อนนอน หรอื เมอ่ื มอี าการทอ้ งผกู (4) ยาลูกกลอน : นาใบชุมเห็ดเทศมาบดเป็นผงแล้วนาผงยามาปั้นกับน้าผ้ึงเป็นลูกลอน ขนาดเทา่ กบั ปลายน้ิวก้อย รบั ประทานครงั้ ละ 3 เมด็ ก่อนนอนหรือเมือ่ มอี าการทอ้ งผูก มะขาม : ใช้มะขามเปยี กรสเปรย้ี ว 10 – 20 ฝัก (หนักประมาณ 70 – 150 กรัม) จิ้มเกลอื รับประทานแล้วด่มื น้าตามมากๆ หรอื นาเป็นนา้ มะขามใสเ่ กลอื เลก็ นอ้ ยด่ืมก็ได้ ข้ีเหล็ก : ใช้ใบข้ีเหล็กอ่อนและดอกตูม 4 – 5 กามือ ต้มเอาน้าด่ืมก่อนอาหารหรือ เวลามีอาการ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
1.3 อาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ แน่นจกุ เสยี ด เกิดจากการรับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย รับประทานมากเกินหรือเร็วเกินไป หรือเกิดจาก อาการเครยี ด วติ กกังกล สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด คือ ขิง กะเพรา ตะไคร้ ขา่ ขมน้ิ ชัน การพลู กระเทยี ม พริกไทย ดปี ลี กระชาย หญา้ แหว้ หมู กระวานไทย เร่ว มะนาว กระทอื ขงิ : ใชเ้ หงา้ ขิงแก่สด ขนาดเทา่ หัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรมั ) ทบุ ให้แตก ต้มเอาน้าดื่ม กะเพรา : ใช้ใบและยอด 1 กา (สดหนัก 25 กรัม แห้งหนัก 4 กรัม) ต้มเอาน้าด่ืม หรือ ประกอบเปน็ อาหาร ตะไคร้ : ใชล้ าต้นและเหง้าแก่สดๆ ประมาณ 1 กามือ (ราว 40 – 60 กรัม) ทุบพอแหลก ตม้ กับน้าประมาณครงึ่ ลติ ร (500 มลิ ลิ ติ ร) เอานา้ ด่มื หรือประกอบเปน็ อาหาร ข่า : ใชเ้ หง้าแกส่ ดหรอื แห้ง ครงั้ ละขนาดเท่าหัวแม่มอื (สดหนกั 5 กรัม แห้งหนัก 2 กรัม) ทุบใหแ้ ตก ต้มน้าดื่ม ขมน้ิ ชัน : ใช้เหง้าขมิ้นสด ล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) ห่ันเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดจัด สัก 1 – 2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้าผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย ผึ่งลมให้แห้ง และเก็บในขวดสะอาดมิดชิด รับประทานคร้ังละ 2 – 3 เม็ด วันละ 4 ครั้งหลังอาหาร และก่อนนอน หรือนาผงขมิ้นแคปซูล ขนาด 250 มิลิกรัม และรับประทานครั้งละ 2 แคปซลู วันละ 4 คร้งั หลังอาหารและก่อนนอน กานพลู : ใช้ดอกตูมแห้ง 5 – 8 ดอก (0.12 – 0.16 กรัม) ต้มน้าดื่ม หรือบดเป็นผงชงน้าดื่ม นอกจากน้ีดอกกานพลูยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กอ่อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ โดยใช้ดอกแห้ง 1 ดอก แชไ่ ว้ใน กระตกิ น้ารอ้ นทใ่ี ช้ชงนมให้เด็กอ่อน กระเทยี ม : ใชก้ ระเทียมสดครง้ั ละประมาณ 5 – 7 กลีบ หลงั อาหาร หรอื เวลามอี าการ ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
พริกไทย : นาผลแก่แห้ง บดเป็นผลและป้ันเป็นลูกกลอนรับประทานคร้ังละ 0.5 – 1 กรัม (ประมาณ 15 – 20 ผล) หรือใชว้ ิธบี ดเป็นผงและชงน้าด่มื ได้ ดีปลี : ใช้ผลแก่แห้งประมาณ 10 ดอก ใส่น้าประมาณครึ่งลิตร ต้มเอา น้าดื่ม ถ้าไม่มีดอก ใชเ้ ถาต้มแทนได้ กระชาย : ใช้เหง้าและรากของกระชายประมาณคร่ึงกามือ (สดหนักประมาณ 5 – 10 กรัม แห้งหนัก 3 – 5 กรัม) ทุบพอแหลก ต้มเอาน้าด่ืมเวลามีอาการหรือปรุงเป็นอาหาร รับประทาน หญ้าแห้วหมู : ใช้หัวครั้งละ 1 กามือ (60 – 70 หัว หรือหนักประมาณ 15 กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอาน้าดม่ื หรือใชห้ ัวสดครั้งละ 5 หัว โขลกใหล้ ะเอยี ดผสมนา้ ผึง้ รบั ประทาน กระวานไทย : เอาเมลด็ แก่ให้บดเปน็ ผงรับประทานคร้ังละ 1.5 – 3 ชอ้ นชา (หนัก 1 – 2 กรมั ) ชงกบั นา้ ดื่ม เรว่ : ปอกเปลือกผลเรว่ ออก ใช้เมล็ดบดเป็นผงรับประทานคร้ังละ 3–9 ผล (หนัก 1– 3 กรัม) รบั ประทานวันละ 3 ครั้ง มะนาว : นาเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอใช้น้ามันออก ชงนา้ ร้อน ดืม่ เวลามอี าการ กระทอื : นาเอาเหง้าหรือหัวสดขนาดเท่าหัวแม่มือ 2 หัว (ประมาณ 20 กรัม) ย่างไฟพอสุก ตากับน้าปนู ใสคั้นเอาน้าดื่มเวลามีอาการ 1.4 อาการเบอื่ อาหาร สมุนไพรท่ีช่วยรักษาอาการเบอื่ อาหาร จะชว่ ยทาให้เจริญอาหารมากข้ึน คือ บอระเพ็ด ข้ีเหลก็ มะระขีน้ ก สะเดา ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
บอระเพ็ด : ใช้เถาหรือต้นสด ครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30 – 40 กรัม) ตาค้ัน เอาน้าดื่ม หรือ ต้มกับนา้ โดยใชน้ า้ 3 ส่วน ต้มเค่ยี วให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือเวลามีอาการ หรืออาจใช้วิธีดองน้าผึ้ง หรือปั้นเป็นลูกลอน จะทาให้รับประทาน สะดวกขึ้น ขี้เหลก็ : ใชด้ อกตูมและใบอ่อนปรุงเป็นอาหาร แต่ไม่ควรค้ันน้าหลายคร้ัง จะทาให้รสขม หมดไป มะระขี้นก : ใช้ผลมะระอ่อนต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้าพริก ผลมะระสุก หา้ มรับประทานเพราะจะทาใหม้ อี าการคลนื่ ไส้ อาเจียน สะเดา : ใชย้ อดสะเดาและดอกสะเดาลวกหรอื ต้มรบั ประทานกบั น้าปลาหวาน 2. สมนุ ไพรรกั ษาอาการเจ็บป่วยในโรคระบบทางเดนิ หายใจ อาการไอ ระคายคอเนอ่ื งจากมเี สมหะ อาการเหล่านี้เกิดได้เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส หรือเป็นหวัด หรือเกิดจากสูบบุหร่ี มากเกินไป หรือรับประทานของมันมากเกินไป สมุนไพรท่ีช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยให้ลาคอชุ่มช่ืน คือ มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแวง้ ตน้ ขิง ดปี ลี เพกา มะขามป้อม : ใชผ้ ลแกส่ ดครง้ั ละประมาณ 2 – 3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเลก็ น้อย อมหรือเคีย้ ว รบั ประทานวันละ 3 – 4 ครงั้ มะขาม : ใชเ้ น้ือฝักแกข่ องมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียกรสเปร้ียว จิ้มเกลือรับประทาน พอสมควรหรืออาจค้ันเป็นน้ามะขามแทรกเกลือเล็กน้อยและจิบบ่อยๆ ก็ได้ (ห้ามใส่ นา้ แขง็ ) มะนาว : ใช้ผลสดคน้ั นา้ จะได้นา้ มะนาวเขม้ ขน้ และใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทา เป็นนา้ มะนาวใส่เกลอื และนา้ ตาลปรุงใหร้ สจดั ด่มื บ่อยๆ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
มะแวง้ ต้น : นาเอาผลแก่สด 5–10 ผล โขลกพอแหลกคน้ั เอาแตน่ ้า ใส่เกลือรบั ประทานน้อยๆ หรอื ให้ผลสดเคย้ี วแล้วกลืนทงั้ นา้ และเนื้อจนกว่าอาการจะดีขน้ึ มะแวง้ เครอื : นาเอาผลแกส่ ด 5 – 10 ผล โขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้า ใส่เกลือรับประทาน บ่อยๆ หรอื ให้ผลสดเค้ยี วแลว้ กลนื ทง้ั นา้ และเนอื้ จนกวา่ อาการจะดีข้นึ ขิง : ใช้เหง้าขิงแก่ฝนกับน้ามะนาว หรือเหง้าขิงสด ตาผสมน้าเล็กน้อย ค้ันเอาน้าและ แทรกเกลอื นดิ หน่อยใช้กวาดคอหรอื จบิ บอ่ ยๆ ดีปลี : ใช้ผลแก่แห้งของดีปลีประมาณครึ่งผลถึงหน่ึงผล ฝนกับน้ามะนาวแทรกเกลือ กวาดคอหรือจบิ บอ่ ยๆ เพกา : ใชเ้ มลด็ ครง้ั ละ 1/2 – 1 กามือ (หนัก 1.5 – 3 กรัม) ใส่น้าประมาณ 300 มิลิลิตร ตม้ ไฟออ่ นๆ พอเดอื ดนานประมาณ 1 ช่วั โมง รบั ประทาน วันละ 3 คร้งั 3. สมุนไพรรกั ษาอาการเจบ็ ป่วยอน่ื ๆ 3.1 อาการเคลด็ ขัด ยอก เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณรอบข้อและเอ็น มีอาการฟกช้าหรือฉีกขาด เน่ืองจากหกล้มหรือ ถูกกระแทก หรือทาให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อนรอบๆ ข้อ หรือเคล็ดยอกบริเวณกล้ามเน้ือ สมุนไพรท่ีใช้ รักษาอาการเคลด็ ขดั ยอก คือ ไพล ไพล : ใช้เหง้าไพลซึ่งแก่จัดประมาณ 1 เหง้า ตาแล้วค้ันเอาน้าทา ถูนวด บริเวณ ที่มีอาการหรือตาให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าแล้วนามาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้าใหค้ วามรอ้ น ประคบบริเวณทปี่ วดเมอ่ื ยและฟกชา้ เชา้ – เยน็ จนกวา่ จะหาย ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
3.2 อาการไข้ สมุนไพรทร่ี กั ษาอาการไข้ คอื ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร : ยาลูกลอน นาใบฟ้าทะลายโจรสดล้างใหส้ ะอาด ผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามตากแดด) บดเป็นผงให้ละเอียด ปนั้ กับนา้ ผง้ึ เก็บไว้ในขวดแห้งและมิดชิด รับประทาน ครั้งละ 1.5 กรัม วันละ 4 คร้ัง ก่อนอาหารและก่อนนอน : ยาดองเหล้า นาใบฟ้าทะลายโจรแห้งเขย่าให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในขวดแก้วใช้เหล้าขาว แช่ให้ท่วมยาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าหรือคนยาวันละ 1 ครั้ง พอครบ 7 วัน กรอง เอาแต่น้าเก็บไว้ในขวดที่มิดชิดและสะอาดรับประทานครั้งละ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 – 4 คร้งั ก่อนอาหาร บอระเพ็ด : ใช้เถาหรือใบสด ครั้งละ 2 คืบคร่ึง (30 – 40 กรัม) ตาคั้นเอาน้าด่ืม หรือต้ม กับน้าโดยใช้น้า 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ด่ืมก่อนอาหาร วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรอื เวลามอี าการ 3.3 อาการนอนไม่หลับ สมนุ ไพรที่รักษาอาการนอนไม่หลบั คือ ขี้เหล็ก ขเ้ี หลก็ : ใช้ใบขเี้ หลก็ แห้งหนัก 30 กรัม หรอื ใช้ใบสดหนัก 50 กรัม ต้มเอาน้ารับประทาน ก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทาเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยาแช่ไว้ 7 วัน คน ทุกวันๆ ใช้น้ายาสม่าเสมอ กรองกากยาออก จะได้น้ายาดองเหล้าข้ีเหล็กดื่มคร้ังละ 1 – 2 ช้อนชา นอกจากนีก้ ารใช้ยาสมุนไพรเดย่ี วแลว้ ยังมียาตารบั พ้นื บา้ นที่หมอพ้ืนบ้านใชร้ ักษาอาหารปวด ชา ดังน้ี ตา้ รบั ยาพน้ื บา้ น แก้อาการวงิ เวยี น (ของหมอประกอบ อุบลขาว จงั หวัดสงขลา) ต้ารบั ที่ 1 ขิงทัง้ เหง้า ตน้ ใบ สับใส่หมอ้ ต้มเอาน้ายาใช้ด่ืมแทนน้า เวลาดื่มน้าขิงให้แทรกน้าตาล ทรายพอหวาน สรรพคณุ แกอ้ าหารวิงเวยี นศรษี ะ อาการคอ่ ยๆ หายไป การดแู ลโรคกระดูก ข้อ และอาการปวดเม่อื ยกลา้ มเนอ้ื ต้ารับที่ 1 ขิงสดแก่ๆ พริกไทยดา ส่วนเท่ากัน ตาให้แหลกห่อผ้า ทาเป็นลูกประคบ จมุ่ นา้ สม้ สายชู ประคบตรงทป่ี วด รสู้ กึ รอ้ นใหเ้ อาเหลา้ นวดทาทแ่ี ผลปวดเขา่ ประคบเชา้ – เย็น สรรพคุณ บรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
ตา้ รบั ท่ี 2 ขงิ สดแกๆ่ มากน้อยตามตอ้ งการ หน่ั เป็นชน้ิ โขลกพอแหลกผสมกับเหล้าโรงพอเปียก ผสมด้วยขา้ วท่ีหงุ สุก 2 สว่ น ขิง 1 สว่ น คลุกใหเ้ ข้ากันพอดี วิธใี ช้ ห่อผ้าทาเป็นลูกประคบ หรือพอกไว้ตรงท่ีขัดยอก เอาผ้าห่อพันไว้ ถ้ามีอาการปวด หรือรอ้ น แกะออกจมุ่ เหลา้ โรง สรรพคณุ ใช้ประคบแก้อาการปวดเม่อื ย ชามอื ชาเท้า ต้ารับที่ 3 ขิงสดแก่ๆ ห่ันเป็นช้ิน ตาพอแหลก 2 ถ้วยกาแฟ ผสมกับทราย 2 ถ้วย ค่ัวในกระทะ พออนุ่ วิธีใช้ ห่อผ้าเปน็ ลูกประคบ และทาเหล้าโรงบริเวณท่ีชากอ่ นจึงประคบ หลังประคบเสรจ็ ทาเหลา้ โรงซ้าอีกครั้งประคบ เชา้ – เย็น สรรพคุณ แก้อาการชามือ ชาเทา้ ต้ารับที่ 4 ใบข่าสด (เพสลาด) มากน้อยตามต้องการ หั่นเป็นฝอยๆ ตาให้แหลกผสมเหล้าโรง คลกุ เขา้ กันพอเปยี ก วธิ ีใช้ ใช้พอกบรเิ วณท่ีปวด เปลย่ี นยาวันละ 1 คร้ัง ทาตดิ ตอ่ กันจนหายเป็นปกติ ต้ารบั ท่ี 5 เหง้าขา่ แกๆ่ หัน่ เป็นชิ้นบางๆ มากนอ้ ยตามตอ้ งการตาใหแ้ หลก วิธีใช้ เอานา้ มันมะพร้าวทาบรเิ วณทีป่ วดใหท้ วั่ (เพ่อื ป้องกนั ผงิ หนังไหม้) เปล่ียนยาวนั ละ 1 ครงั้ ติดตอ่ กัน 2 – 3 ครงั้ จะหายเป็นปกติ หมายเหตุ : ทุกครงั้ ท่ีเปล่ียนยา จาต้องทาน้ามนั มะพร้าวทกุ คร้งั จะทาใหห้ ายเรว็ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
การดูแลรกั ษาอาการเจ็บปว่ ยเบ้ืองต้นดว้ ยสมุนไพร การเจ็บป่วยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นโรคหรืออาการที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้ การแพทย์ แผนไทยซง่ึ เปน็ ภมู ิปัญญาด้ังเดิมของคนไทยสามารถเข้ามามีบทบาท มีส่วนรว่ มในการบาบัดรักษาโรคหรืออาการ เหลา่ นีเ้ บอ้ื งต้นได้ด้วยการใชส้ มนุ ไพร การนวดไทย การอบไอน้าสมนุ ไพร และการประคบสมุนไพร การใช้สมนุ ไพร ก่อนที่จะทราบถึงการใช้สมุนไพรเพื่อการบาบัดรักษาโรค เราควรทราบความหมายของคาที่เกี่ยวกับ การใชส้ มนุ ไพรอยา่ งถูกต้อง เพ่ือใหก้ ารดแู ลรักษาไดผ้ ลและมีประสิทธิภาพ ดงั น้ี ใบเพสลาด หมายถึง ใบไม้ทจ่ี วนแก่ ท้งั หา้ หมายถงึ ส่วนของราก ต้น ผล ใบ ดอก เหล้า หมายถงึ เหลา้ โรง (28 ดีกรี) แอลกอฮอล์ หมายถงึ แอลกอฮอลช์ นิดสขี าวสาหรบั ผสมยา ห้ามใช้แอลกอฮอลช์ นดิ จดุ ไฟ น้าปูนใน หมายถึง น้ายาที่ใช้ทาขึน้ โดยการนาปูนที่รับประทานกับหมากละลายน้าสะอาด ต้ังท้ิงไว้ แล้วรินนา้ ใสมาใช้ ตม้ เอาน้าดม่ื หมายถงึ ต้มสมนุ ไพรดว้ ยการใสน่ ้าพอประมาณ หรอื สามเท่าของปรมิ าณท่ตี อ้ งการใช้ ตม้ พอเดอื ดออ่ นๆ ให้เหลอื 1 สว่ นจาก 3 สว่ น ข้างต้นรินเอาน้าดม่ื ตามขนาด ชงเอาน้าด่ืม หมายถึง ใส่น้าเดือดหรือน้าร้อนจัดลงบนสมุนไพรท่ีอยู่ในภาชนะปิดฝาทิ้งไว้สักครู่ จึงใช้ด่ืม 1 กา้ มือ มีปริมาณเท่ากับสี่หยิบมือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรท่ีได้จาก การใช้มือเพยี งขา้ งเดยี ว กาโดยให้ปลายนิ้วจรดอ้งุ มือโหยง่ ๆ 1 กอบมอื มีปริมาณเท่ากับสองฝ่ามือ หรือหมายความถึงปริมาณของสมุนไพรที่ได้จาก การใช้มือทงั้ สองขา้ งกอบเข้าหากนั ใหส้ ว่ นของปลายน้วิ แตะกนั 1 ถ้วยแกว้ มีปรมิ าตรเทา่ กับ 250 มลิ ลิ ิตร 1 ถ้วยชา มปี รมิ าตรเท่ากับ 75 มลิ ลิ ิตร 1 ชอ้ นโต๊ะ มปี รมิ าตรเท่ากับ 15 มิลลิ ิตร 1 ชอ้ นคาว มปี รมิ าตรเท่ากบั 8 มลิ ลิ ิตร 1 ชอ้ นชา มีปรมิ าตรเท่ากบั 5 มลิ ลิ ิตร การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคเบ้ืองต้นน้ี เป็นการใช้สมุนไพรที่ประชาชนสามารถใช้ได้แบ่งตามกลุ่ม อาการเจ็บป่วยของระบบต่างๆ ดังน้ี 1. สมุนไพรรักษาอาการปว่ ยในระบบทางเดินอาหาร 1.1 โรคกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง อาการปวดแสบปวดเสียด หรือจุกแน่นตรงบริเวณลิ้นป่ี หรือสะดือ อาจปวดก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานก็ได้ การรับประทานอาหารผิดเวลา และการ รับประทานอาหารหรือยาที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารหรือลาไส้ เช่น เหล้า เบียร์ ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ปวด ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
แอสไพริน ยาท่ีเข้าเสตียรอยด์ อาจทาให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร คอื ขม้นิ ชนั กลว้ ยนา้ วา้ ขมน้ิ ชัน : โดยการนาเหง้าขมนิ้ ชันแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปลอกเปลือก) หั่นเป็นช้ิน บางๆ ตากแดดจัด ประมาณ 1 - 2 วัน บดให้ละเอียด ผสมน้าผ้ึงปั้นเป็นลูกกลอน หรือ บรรจุแคปซูลเก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานคร้ังละ 500 มิลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลงั อาหารและกอ่ นนอน กลว้ ยน้าวา้ : นากล้วยน้าว้าดบิ ฝานเปน็ แวน่ ๆ ตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้ง ทอ่ี ณุ หภมู ิ 50 องศาเซลเซียส และบดผง แล้วนาผงกล้วยดิบคร้ังละครึ่งถึงหนึ่งผลชงน้าด่ืม หรืออาจผสมกับน้าผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ด่ืมก็ได้ หรืออาจนาผงกล้วยดิบป้ันลูกกลอน รบั ประทานคร้ังละ 4 เมด็ วนั ละ 4 คร้ัง กอ่ นอาหาร และก่อนนอน 1.2 อาการทอ้ งผกู เปน็ อาการท่ีไม่อุจจาระตามปกติ หรืออุจจาระแข็ง อาการเหล่านี้เกิดเน่ืองจากรับประทานอาหาร ที่มีเส้นใยน้อย หรือรับประทานผักที่มีรสฝาดหรือรสมันมาก หรือชอบกล้ันอุจจาระ มีความเครียดหรือออกกาลังกาย น้อยเกินไปจนทาให้ลาไส้บีบตัวน้อยลง สมุนไพรท่ีใช้รักษาอาการท้องผูก คือ ชุมเห็ดเทศ มะขาม ข้ีเหล็ก คูน มะขามแขก แมงลกั ชมุ เห็ดเทศ : ใชใ้ บและดอกชมุ เห็ดเทศ ไดด้ งั นี้ (1) ใช้ดอกชุมเหด็ เทศ 1 ชอ่ ตม้ รบั ประทานกับนา้ พรกิ (2) ยาต้ม : นาใบสด 12 ใบ หน่ั ตากแห้ง ใชต้ ม้ และเอานา้ ดื่ม (3) ยาชง : นาใบชุมเห็ดเทศมาบดเป็นผง ใช้ผงยา 3 – 6 กรัม บรรจุใส่ถุงกระดาษ เย็บเป็นลักษณะถุงชา นามาแช่ละลายในน้าเดือด 120 มิลิลิตร นาน 10 นาที และ ด่มื น้ายาชงในเวลาก่อนนอน หรอื เมอ่ื มอี าการทอ้ งผกู (4) ยาลูกกลอน : นาใบชุมเห็ดเทศมาบดเป็นผงแล้วนาผงยามาปั้นกับน้าผ้ึงเป็นลูกลอน ขนาดเทา่ กบั ปลายน้ิวก้อย รบั ประทานครงั้ ละ 3 เมด็ ก่อนนอนหรือเมือ่ มอี าการทอ้ งผูก มะขาม : ใช้มะขามเปยี กรสเปรย้ี ว 10 – 20 ฝัก (หนักประมาณ 70 – 150 กรัม) จิ้มเกลอื รับประทานแล้วด่มื น้าตามมากๆ หรอื นาเป็นนา้ มะขามใสเ่ กลอื เลก็ นอ้ ยด่ืมก็ได้ ข้ีเหล็ก : ใช้ใบข้ีเหล็กอ่อนและดอกตูม 4 – 5 กามือ ต้มเอาน้าด่ืมก่อนอาหารหรือ เวลามีอาการ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
1.3 อาการทอ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ แน่นจกุ เสยี ด เกิดจากการรับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย รับประทานมากเกินหรือเร็วเกินไป หรือเกิดจาก อาการเครยี ด วติ กกังกล สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด คือ ขิง กะเพรา ตะไคร้ ขา่ ขมน้ิ ชัน การพลู กระเทยี ม พริกไทย ดปี ลี กระชาย หญา้ แหว้ หมู กระวานไทย เร่ว มะนาว กระทอื ขงิ : ใชเ้ หงา้ ขิงแก่สด ขนาดเทา่ หัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรมั ) ทบุ ให้แตก ต้มเอาน้าดื่ม กะเพรา : ใช้ใบและยอด 1 กา (สดหนัก 25 กรัม แห้งหนัก 4 กรัม) ต้มเอาน้าด่ืม หรือ ประกอบเปน็ อาหาร ตะไคร้ : ใชล้ าต้นและเหง้าแก่สดๆ ประมาณ 1 กามือ (ราว 40 – 60 กรัม) ทุบพอแหลก ตม้ กับน้าประมาณครงึ่ ลติ ร (500 มลิ ลิ ติ ร) เอานา้ ด่มื หรือประกอบเปน็ อาหาร ข่า : ใชเ้ หง้าแกส่ ดหรอื แห้ง ครงั้ ละขนาดเท่าหัวแม่มอื (สดหนกั 5 กรัม แห้งหนัก 2 กรัม) ทุบใหแ้ ตก ต้มน้าดื่ม ขมน้ิ ชัน : ใช้เหง้าขมิ้นสด ล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) ห่ันเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดจัด สัก 1 – 2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้าผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย ผึ่งลมให้แห้ง และเก็บในขวดสะอาดมิดชิด รับประทานคร้ังละ 2 – 3 เม็ด วันละ 4 ครั้งหลังอาหาร และก่อนนอน หรือนาผงขมิ้นแคปซูล ขนาด 250 มิลิกรัม และรับประทานครั้งละ 2 แคปซลู วันละ 4 คร้งั หลังอาหารและก่อนนอน กานพลู : ใช้ดอกตูมแห้ง 5 – 8 ดอก (0.12 – 0.16 กรัม) ต้มน้าดื่ม หรือบดเป็นผงชงน้าดื่ม นอกจากน้ีดอกกานพลูยังช่วยป้องกันไม่ให้เด็กอ่อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ โดยใช้ดอกแห้ง 1 ดอก แชไ่ ว้ใน กระตกิ น้ารอ้ นทใ่ี ช้ชงนมให้เด็กอ่อน กระเทยี ม : ใชก้ ระเทียมสดครง้ั ละประมาณ 5 – 7 กลีบ หลงั อาหาร หรอื เวลามอี าการ ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
พริกไทย : นาผลแก่แห้ง บดเป็นผลและป้ันเป็นลูกกลอนรับประทานคร้ังละ 0.5 – 1 กรัม (ประมาณ 15 – 20 ผล) หรือใชว้ ิธบี ดเป็นผงและชงน้าด่มื ได้ ดีปลี : ใช้ผลแก่แห้งประมาณ 10 ดอก ใส่น้าประมาณครึ่งลิตร ต้มเอา น้าดื่ม ถ้าไม่มีดอก ใชเ้ ถาต้มแทนได้ กระชาย : ใช้เหง้าและรากของกระชายประมาณคร่ึงกามือ (สดหนักประมาณ 5 – 10 กรัม แห้งหนัก 3 – 5 กรัม) ทุบพอแหลก ต้มเอาน้าด่ืมเวลามีอาการหรือปรุงเป็นอาหาร รับประทาน หญ้าแห้วหมู : ใช้หัวครั้งละ 1 กามือ (60 – 70 หัว หรือหนักประมาณ 15 กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอาน้าดม่ื หรือใชห้ ัวสดครั้งละ 5 หัว โขลกใหล้ ะเอยี ดผสมนา้ ผึง้ รบั ประทาน กระวานไทย : เอาเมลด็ แก่ให้บดเปน็ ผงรับประทานคร้ังละ 1.5 – 3 ชอ้ นชา (หนัก 1 – 2 กรมั ) ชงกบั นา้ ดื่ม เรว่ : ปอกเปลือกผลเรว่ ออก ใช้เมล็ดบดเป็นผงรับประทานคร้ังละ 3–9 ผล (หนัก 1– 3 กรัม) รบั ประทานวันละ 3 ครั้ง มะนาว : นาเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอใช้น้ามันออก ชงนา้ ร้อน ดืม่ เวลามอี าการ กระทอื : นาเอาเหง้าหรือหัวสดขนาดเท่าหัวแม่มือ 2 หัว (ประมาณ 20 กรัม) ย่างไฟพอสุก ตากับน้าปนู ใสคั้นเอาน้าดื่มเวลามีอาการ 1.4 อาการเบอื่ อาหาร สมุนไพรท่ีช่วยรักษาอาการเบอื่ อาหาร จะชว่ ยทาให้เจริญอาหารมากข้ึน คือ บอระเพ็ด ข้ีเหลก็ มะระขีน้ ก สะเดา ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
บอระเพ็ด : ใช้เถาหรือต้นสด ครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30 – 40 กรัม) ตาค้ัน เอาน้าดื่ม หรือ ต้มกับนา้ โดยใชน้ า้ 3 ส่วน ต้มเค่ยี วให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือเวลามีอาการ หรืออาจใช้วิธีดองน้าผึ้ง หรือปั้นเป็นลูกลอน จะทาให้รับประทาน สะดวกขึ้น ขี้เหลก็ : ใชด้ อกตูมและใบอ่อนปรุงเป็นอาหาร แต่ไม่ควรค้ันน้าหลายคร้ัง จะทาให้รสขม หมดไป มะระขี้นก : ใช้ผลมะระอ่อนต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้าพริก ผลมะระสุก หา้ มรับประทานเพราะจะทาใหม้ อี าการคลนื่ ไส้ อาเจียน สะเดา : ใชย้ อดสะเดาและดอกสะเดาลวกหรอื ต้มรบั ประทานกบั น้าปลาหวาน 2. สมนุ ไพรรกั ษาอาการเจ็บป่วยในโรคระบบทางเดนิ หายใจ อาการไอ ระคายคอเนอ่ื งจากมเี สมหะ อาการเหล่านี้เกิดได้เนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส หรือเป็นหวัด หรือเกิดจากสูบบุหร่ี มากเกินไป หรือรับประทานของมันมากเกินไป สมุนไพรท่ีช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ ช่วยให้ลาคอชุ่มช่ืน คือ มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแวง้ ตน้ ขิง ดปี ลี เพกา มะขามป้อม : ใชผ้ ลแกส่ ดครง้ั ละประมาณ 2 – 3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเลก็ น้อย อมหรือเคีย้ ว รบั ประทานวันละ 3 – 4 ครงั้ มะขาม : ใชเ้ น้ือฝักแกข่ องมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียกรสเปร้ียว จิ้มเกลือรับประทาน พอสมควรหรืออาจค้ันเป็นน้ามะขามแทรกเกลือเล็กน้อยและจิบบ่อยๆ ก็ได้ (ห้ามใส่ นา้ แขง็ ) มะนาว : ใช้ผลสดคน้ั นา้ จะได้นา้ มะนาวเขม้ ขน้ และใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทา เป็นนา้ มะนาวใส่เกลอื และนา้ ตาลปรุงใหร้ สจดั ด่มื บ่อยๆ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผูส้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
มะแวง้ ต้น : นาเอาผลแก่สด 5–10 ผล โขลกพอแหลกคน้ั เอาแตน่ ้า ใส่เกลือรบั ประทานน้อยๆ หรอื ให้ผลสดเคย้ี วแล้วกลืนทงั้ นา้ และเนื้อจนกว่าอาการจะดีขน้ึ มะแวง้ เครอื : นาเอาผลแกส่ ด 5 – 10 ผล โขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้า ใส่เกลือรับประทาน บ่อยๆ หรอื ให้ผลสดเค้ยี วแลว้ กลนื ทง้ั นา้ และเนอื้ จนกวา่ อาการจะดีข้นึ ขิง : ใช้เหง้าขิงแก่ฝนกับน้ามะนาว หรือเหง้าขิงสด ตาผสมน้าเล็กน้อย ค้ันเอาน้าและ แทรกเกลอื นดิ หน่อยใช้กวาดคอหรอื จบิ บอ่ ยๆ ดีปลี : ใช้ผลแก่แห้งของดีปลีประมาณครึ่งผลถึงหน่ึงผล ฝนกับน้ามะนาวแทรกเกลือ กวาดคอหรือจบิ บอ่ ยๆ เพกา : ใชเ้ มลด็ ครง้ั ละ 1/2 – 1 กามือ (หนัก 1.5 – 3 กรัม) ใส่น้าประมาณ 300 มิลิลิตร ตม้ ไฟออ่ นๆ พอเดอื ดนานประมาณ 1 ช่วั โมง รบั ประทาน วันละ 3 คร้งั 3. สมุนไพรรกั ษาอาการเจบ็ ป่วยอน่ื ๆ 3.1 อาการเคลด็ ขัด ยอก เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณรอบข้อและเอ็น มีอาการฟกช้าหรือฉีกขาด เน่ืองจากหกล้มหรือ ถูกกระแทก หรือทาให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อนรอบๆ ข้อ หรือเคล็ดยอกบริเวณกล้ามเน้ือ สมุนไพรท่ีใช้ รักษาอาการเคลด็ ขดั ยอก คือ ไพล ไพล : ใช้เหง้าไพลซึ่งแก่จัดประมาณ 1 เหง้า ตาแล้วค้ันเอาน้าทา ถูนวด บริเวณ ที่มีอาการหรือตาให้ละเอียด ผสมเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าแล้วนามาห่อเป็นลูกประคบ อังไอน้าใหค้ วามรอ้ น ประคบบริเวณทปี่ วดเมอ่ื ยและฟกชา้ เชา้ – เยน็ จนกวา่ จะหาย ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
3.2 อาการไข้ สมุนไพรทร่ี กั ษาอาการไข้ คอื ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร : ยาลูกลอน นาใบฟ้าทะลายโจรสดล้างใหส้ ะอาด ผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามตากแดด) บดเป็นผงให้ละเอียด ปนั้ กับนา้ ผง้ึ เก็บไว้ในขวดแห้งและมิดชิด รับประทาน ครั้งละ 1.5 กรัม วันละ 4 คร้ัง ก่อนอาหารและก่อนนอน : ยาดองเหล้า นาใบฟ้าทะลายโจรแห้งเขย่าให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในขวดแก้วใช้เหล้าขาว แช่ให้ท่วมยาเล็กน้อย ปิดฝาให้แน่น เขย่าหรือคนยาวันละ 1 ครั้ง พอครบ 7 วัน กรอง เอาแต่น้าเก็บไว้ในขวดที่มิดชิดและสะอาดรับประทานครั้งละ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 – 4 คร้งั ก่อนอาหาร บอระเพ็ด : ใช้เถาหรือใบสด ครั้งละ 2 คืบคร่ึง (30 – 40 กรัม) ตาคั้นเอาน้าด่ืม หรือต้ม กับน้าโดยใช้น้า 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ด่ืมก่อนอาหาร วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรอื เวลามอี าการ 3.3 อาการนอนไม่หลับ สมนุ ไพรที่รักษาอาการนอนไม่หลบั คือ ขี้เหล็ก ขเ้ี หลก็ : ใช้ใบขเี้ หลก็ แห้งหนัก 30 กรัม หรอื ใช้ใบสดหนัก 50 กรัม ต้มเอาน้ารับประทาน ก่อนนอน หรือใช้ใบอ่อนทาเป็นยาดองเหล้า โดยใส่เหล้าขาวพอท่วมยาแช่ไว้ 7 วัน คน ทุกวันๆ ใช้น้ายาสม่าเสมอ กรองกากยาออก จะได้น้ายาดองเหล้าข้ีเหล็กดื่มคร้ังละ 1 – 2 ช้อนชา นอกจากนีก้ ารใช้ยาสมุนไพรเดย่ี วแลว้ ยังมียาตารบั พ้นื บา้ นที่หมอพ้ืนบ้านใชร้ ักษาอาหารปวด ชา ดังน้ี ตา้ รบั ยาพน้ื บา้ น แก้อาการวงิ เวยี น (ของหมอประกอบ อุบลขาว จงั หวัดสงขลา) ต้ารบั ที่ 1 ขิงทัง้ เหง้า ตน้ ใบ สับใส่หมอ้ ต้มเอาน้ายาใช้ด่ืมแทนน้า เวลาดื่มน้าขิงให้แทรกน้าตาล ทรายพอหวาน สรรพคณุ แกอ้ าหารวิงเวยี นศรษี ะ อาการคอ่ ยๆ หายไป การดแู ลโรคกระดูก ข้อ และอาการปวดเม่อื ยกลา้ มเนอ้ื ต้ารับที่ 1 ขิงสดแก่ๆ พริกไทยดา ส่วนเท่ากัน ตาให้แหลกห่อผ้า ทาเป็นลูกประคบ จมุ่ นา้ สม้ สายชู ประคบตรงทป่ี วด รสู้ กึ รอ้ นใหเ้ อาเหลา้ นวดทาทแ่ี ผลปวดเขา่ ประคบเชา้ – เย็น สรรพคุณ บรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก ข้อมูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ งู อายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
ตา้ รบั ท่ี 2 ขงิ สดแกๆ่ มากน้อยตามตอ้ งการ หน่ั เป็นชน้ิ โขลกพอแหลกผสมกับเหล้าโรงพอเปียก ผสมด้วยขา้ วท่ีหงุ สุก 2 สว่ น ขิง 1 สว่ น คลุกใหเ้ ข้ากันพอดี วิธใี ช้ ห่อผ้าทาเป็นลูกประคบ หรือพอกไว้ตรงท่ีขัดยอก เอาผ้าห่อพันไว้ ถ้ามีอาการปวด หรือรอ้ น แกะออกจมุ่ เหลา้ โรง สรรพคณุ ใช้ประคบแก้อาการปวดเม่อื ย ชามอื ชาเท้า ต้ารับที่ 3 ขิงสดแก่ๆ ห่ันเป็นช้ิน ตาพอแหลก 2 ถ้วยกาแฟ ผสมกับทราย 2 ถ้วย ค่ัวในกระทะ พออนุ่ วิธีใช้ ห่อผ้าเปน็ ลูกประคบ และทาเหล้าโรงบริเวณท่ีชากอ่ นจึงประคบ หลังประคบเสรจ็ ทาเหลา้ โรงซ้าอีกครั้งประคบ เชา้ – เย็น สรรพคุณ แก้อาการชามือ ชาเทา้ ต้ารับที่ 4 ใบข่าสด (เพสลาด) มากน้อยตามต้องการ หั่นเป็นฝอยๆ ตาให้แหลกผสมเหล้าโรง คลกุ เขา้ กันพอเปยี ก วธิ ีใช้ ใช้พอกบรเิ วณท่ีปวด เปลย่ี นยาวันละ 1 คร้ัง ทาตดิ ตอ่ กันจนหายเป็นปกติ ต้ารบั ท่ี 5 เหง้าขา่ แกๆ่ หัน่ เป็นชิ้นบางๆ มากนอ้ ยตามตอ้ งการตาใหแ้ หลก วิธีใช้ เอานา้ มันมะพร้าวทาบรเิ วณทีป่ วดใหท้ วั่ (เพ่อื ป้องกนั ผงิ หนังไหม้) เปล่ียนยาวนั ละ 1 ครงั้ ติดตอ่ กัน 2 – 3 ครงั้ จะหายเป็นปกติ หมายเหตุ : ทุกครงั้ ท่ีเปล่ียนยา จาต้องทาน้ามนั มะพร้าวทกุ คร้งั จะทาใหห้ ายเรว็ ขอ้ มูลจากหนงั สือคู่มือการดูแลผสู้ ูงอายดุ ว้ ยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน จดั ทาโดย กล่มุ งานสง่ เสริมบริการการแพทย์แผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย
1 อบประคบสมนุ ไพรคลายหนาว จัดทาขอ้ มลู โดย กลุ่มงานวิชาการเภสัชกรรมแผนไทย สถาบันการแพทย์แผนไทย หนาวแค่ไหนไม่กลวั ถา้ ทา่ นรูจ้ ักใช้แพทย์แผนไทยได้ถกู วธิ ี เม่ือฤดูหนาวผ่านเข้ามา การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติทาให้ร่างกายเราต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เพ่ือไม่ใหเ้ กิดการเจบ็ ปว่ ย ถ้าร่างกายเราไม่สามารถปรบั ตวั ไดแ้ ลว้ กม็ ักจะเกิดโรคภยั ในฤดูหนาวตามมา ได้แก่ เป็นไข้ เป็นหวัด ไอ เจบ็ คอ ผิวแหง้ คนั ตามผวิ หนัง ผ้สู งู อายุอาจจะมีอาการปวดตามข้อ ชาตามมือ ปลายเทา้ มากขนึ้ แพทย์แผนไทยชว่ ยท่านได้อย่างไรในฤดูหนาว เม่ือย่างเข้าสู่ฤดูหนาว หลักในการดูแลสุขภาพ โดยทั่วไป คือ ต้องดูแลให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น ตั้งแต่ การรบั ประทานอาหาร เครอ่ื งด่ืม การทาความสะอาดรา่ งกายตลอดจนการส่งเสรมิ สขุ ภาพอ่ืนๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปว่ ย 1. การรบั ประทานอาหาร ในฤดูหนาว ทา่ นควรเลอื กรบั ประทานอาหารทร่ี ้อนปรุงเสรจ็ ใหมๆ่ มรี สเปร้ยี วอมขม เล็กนอ้ ยและรสเผ็ด ไดแ้ ก่ แกงสม้ ดอกแค แกงขีเ้ หลก็ แกงปา่ สะเดาน้าปลาหวาน และน้าพรกิ เปน็ ตน้ ด้วยธรรมชาติที่ปรับเปล่ียนไปตามฤดูกาล ผักพ้ืนบ้านและพืชสมุนไพร ในฤดูต่างๆ ก็เปล่ียนไป ในฤดูหนาว มักจะมี สะเดา ซึ่งมีรสขมเม่ือกนิ แล้วช่วยแกไ้ ข้ เจริญอาหาร ขี้เหล็กช่วยระบาย ดอกแค แก้ไขห้ วั ลม เป็นต้น ดังน้ันการเลือก รบั ประทานอาหารและผักพน้ื บ้านท่มี ีอยูต่ ามฤดูกาล ทีธ่ รรมชาตไิ ดเ้ ปลยี่ นแปลงมาให้กบั มนุษยไ์ ดใ้ ช้ประโยชน์ จะเป็นทางหนึ่ง ใหม้ นุษย์ได้เลอื กส่ิงที่เหมาะสมกับชีวิตเพื่อความอยู่รอด ส่วนการเลือกเครื่องดื่ม ควรจะเป็นเครื่องด่ืมร้อนๆ เช่น น้าขิง ชาสมุนไพร เพ่อื ช่วยใหช้ ุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ชว่ ยใหเ้ สมหะออ่ นขับตวั ออกได้ง่าย ป้องกนั การเป็นหวดั ได้อกี ทางหน่ึง 2. การทาความสะอาดร่างกาย ด้วยอากาศทหี่ นาวเย็น การอาบนา้ ควรเปน็ น้าอนุ่ เส้ือผ้าทส่ี วมใส่ควรเปน็ เสอ้ื ผา้ ท่ีหนา การอาบนา้ อุ่นจะทาให้ผวิ แหง้ ง่ายกว่าอาบน้าเย็น เพราะน้ามันท่ีผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมท้ังความชื้นของอากาศ ลดลง จะทาใหผ้ ิวแห้งแตกและคัน ดังนัน้ การดูแลผวิ พรรณในฤดูหนาวจึงเป็นสงิ่ จาเป็น ซงึ่ สมนุ ไพรทใี่ ช้ดแู ลผิวพรรณ ไดแ้ ก่ นา้ มันงา ขมนิ้ ชนั ผวิ มะนาวและผิวมะกรดู เป็นตน้ น้ามนั งา โดยนางาดบิ ประมาณ 1 ถว้ ย โขลกใหล้ ะเอยี ด บบี เอาน้ามันจากงาเกบ็ ไวใ้ นขวด ทาผิวเช้าและกอ่ นนอน นา้ มันงาจะชว่ ยให้ผวิ ชุ่มชน้ื ลดอาการแหง้ แตกและคนั อ้างอิงรูปภาพจาก http://www.plerne.com ขม้ินชัน มีสรรพคุณลดอาการคัน และช่วยเกิดอาการผดผื่นตามผิวหนัง โดยนา ขมิน้ ชนั สดมาล้างให้สะอาด โขลกใหล้ ะเอียด บีบน้าท่ีได้ทาผิว หลังอาบน้า เช้า–เย็น ข้อควรระวงั สีขม้ินจะตดิ ตามเสือ้ ผา้ ทีส่ วมใส่ ซกั ออกลาบาก ผิวมะกรูด นา้ มันทผี่ วิ ของมะนาวและมะกรูด จะชว่ ยเคลอื บผิวให้ชุ่มชืน้ ลดอาการคัน ลดการอกั เสบ โดยนามะนาวท่ใี ชน้ ้ามะนาวแลว้ นาบริเวณผวิ ดา้ นนอกทาผิวบรเิ วณท่ี แหง้ คนั เช้า-เย็น
2 การอาบสมุนไพร การอาบน้าอุ่นช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีข้ึน ในฤดูหนาวมักจะเป็นหวัด คัดจมูก คันตามผิวหนัง การนา สมุนไพรท่ีมีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน ช่วยให้หายใจโล่งมาต้มอาบแทนอาบน้าเปล่า โดยใช้สมุนไพรที่หาง่ายมีใช้ใน ครัวเรือน ดังต่อไปนี้ ยอดผักบุ้ง จานวน 5 ยอด ใชร้ ักษาอาการคัน ใบมะกรูด จานวน 3-5 ใบ แก้วงิ เวียน ชว่ ยให้หายใจสบาย ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กามอื แกอ้ าการคนั ตามรา่ งกายช่วยให้ผิวหนงั สะอาด ตน้ ตะไคร้ จานวน 3 ตน้ บารุงธาตุไฟ แตง่ กล่ิน หวั ไพล จานวน 2-3 หวั ลดอาการอักเสบ ปวด บวม ใบหนาด จานวน 3-5 ใบ ชว่ ยบารงุ แก้โรคผิวหนงั นา้ เหลอื งเสีย หวั ขม้นิ ชัน จานวน 2-3 หวั สมานแผล แก้คันตามผิวหนงั การบรู จานวน 15 กรมั แต่งกลิ่น บารงุ หัวใจ หัวหอมแดง จานวน 3-5 หวั แก้หวัดคัดจมูก นาสมนุ ไพรมาตม้ รวมกัน ผสมน้าเยน็ ใหพ้ ออุ่นอาบ จะชว่ ยกระตุ้นการไหลเวยี นของโลหติ ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยหายใจโล่ง สบายตวั สมนุ ไพรดงั กล่าวขา้ งตน้ ยงั สามารถนามาเป็นสมุนไพรสาหรับอบสมุนไพรเพ่ือสุขภาพได้อีกทางหน่ึง การอบสมนุ ไพรทาได้ 2 กรณี คือ กรณอี บสมุนไพรเองที่บ้าน 1. มีตู้อบสมนุ ไพรสาเรจ็ รปู ใชส้ มุนไพรใสห่ ม้อต้มน้าหรอื หม้อหุงขา้ วไฟฟา้ แล้วใชไ้ อนา้ อบสมุนไพร ซง่ึ ในต้อู บสาเรจ็ รปู จะมที ส่ี าหรบั ใหไ้ อน้าผ่านไดด้ ี และมีการระบายอากาศด้านบน (ศรษี ะ) 2. ถ้าไม่มตี ้อู บสมนุ ไพร จะใช้เปน็ กระโจม โดยหาวสั ดทุ ม่ี ีอยูม่ าดัดแปลงแลว้ ใช้ผา้ คลมุ โดยมีทร่ี ะบายอากาศ ใช้หมอ้ ตม้ ทส่ี าหรบั ใหไ้ อนา้ เขา้ สูก่ ระโจมอยา่ งทัว่ ถงึ และระมดั ระวัง เรอื่ งนา้ ร้อนลวก และระบบไฟฟา้ การอบสมนุ ไพรในห้องอบสมนุ ไพรมาตรฐาน ปจั จบุ ันมโี รงพยาบาลของรัฐจานวน 40 แหง่ มีคลินิกแพทยแ์ ผนไทยและมี ห้องอบสมนุ ไพร มาตรฐานของหอ้ งอบสมนุ ไพร 1. ขนาดหอ้ ง กวา้ ง 1.9 เมตร ยาว 1.9 เมตร สงู 2.3 เมตร สามารถอบได้ครั้งละ 3-4 คน 2. พื้นและฝาผนงั ควรเปน็ พ้ืนปนู ขดั หน้าเรยี บ ช่วยให้งา่ ยตอ่ การทาความสะอาด 3. ประตหู อ้ งควรปิดมดิ ชิด แต่ไม่มีการลอ็ คกลอนจากขา้ งใน อาจเจาะเป็นชอ่ งกระจก ท่สี ามารถมองจากภายนอกเหน็ ภายในหอ้ งได้ เพอ่ื ใหเ้ จา้ หนา้ ทที่ ่ดี แู ลสามารถตรวจสอบความปลอดภยั ได้ 4. ควรมีหอ้ งอบท่แี ยกให้บรกิ าร สาหรับเพศหญิงและเพศชาย 5. อปุ กรณส์ าหรบั การอบสมนุ ไพรประกอบด้วย - มา้ นงั่ ยาว 1-2 ตวั - เทอร์โมมิเตอร์ สาหรบั วดั อุณหภูมภิ ายในหอ้ งอบ อุณหภมู ริ ะหว่างอบควรอยรู่ ะหว่าง 42-45 องศา สามารถ ตรวจสอบอุณหภมู ไิ ด้ทภ่ี ายนอกหอ้ ง - นาฬิกาจบั เวลา สามารถตง้ั เวลาได้ - เคร่อื งชงั่ นา้ หนกั วดั ความดนั โลหติ ปรอทวดั ไข้ - หมอ้ ตม้ น้าไฟฟา้ ทม่ี ีซง้ึ ตะแกรงเตมิ และเปลี่ยนถา่ ยสมุนไพรไดส้ ะดวก - พดั ลมดดู อากาศ - หมอ้ อบสมุนไพร เปน็ หม้อไฟฟ้า มรี ะบบควบคมุ ความปลอดภยั มที ่อสแตนเลสจากหม้อตม้ สง่ ไปในหอ้ งอบ และมี ระบบควบคมุ ป้องกันไฟฟา้ ซง่ึ มรี ะบบควบคมุ ไฟหม้อตม้ ทส่ี ามารถอ่นุ ได้ เมอ่ื รอการใชแ้ ละปิดเปดิ ไฟอัตโนมตั ิ
3 ขนั้ ตอนการอบสมนุ ไพรในสถานบริการสาธารณสขุ จะต้องซกั ประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย ชงั่ นา้ หนกั วัดความดัน และวดั ไขก้ ่อน โดยแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์ หรือเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขที่ดูแลหรือผู้ประกอบโรคศิลปะ เม่ือตรวจ ร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผ้ทู จ่ี ะอบสมุนไพรต้องอาบน้าชาระรา่ งกายให้สะอาด สวมเสื้อทเ่ี ตรียมไว้ให้ เวลาในการอบสมุนไพร ครัง้ แรกควรจะเรมิ่ จาก 30 นาที 2 ครง้ั ๆ ละ 15 นาที ขณะท่ีนั่งพักควรด่ืมน้าเปล่า (ไม่เย็น) หรือดื่มนม 1 แก้ว หลังจาก อบสมนุ ไพรครบตามเวลา ควรนง่ั พักจนกว่าเหงอื่ จะแห้ง เพอื่ ใหร้ ่างกายปรับอุณหภมู ิก่อนแลว้ คอ่ ยอาบนา้ ควรอบสมนุ ไพร วันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ข้อห้ามในการอบสมนุ ไพร มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซยี ส เป็นโรคตดิ ตอ่ ร้ายแรงทกุ ชนิด มโี รคประจาตวั ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหดื รุนแรง สตรีมปี ระจาเดือน รวมกบั มีไข้ ปวดศรีษะ มีอาการอกั เสบจากบาดแผล ออ่ นเพลีย (อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารใหม่) ปวดศรีษะ เวยี นศรีษะ คล่นื ไส้ ในกรณที ม่ี อี าการปวดเฉพาะที่ เช่น ปวดตามขอ้ มือ ข้อเทา้ ปวดตามกล้ามเน้ือ โดยเฉพาะผสู้ ูงอายุ ในฤดูหนาวจะมี อาการปวดมากขนึ้ การอบสมุนไพรอาจจะไม่ไดผ้ ลมากนกั ควรใช้การประคบสมุนไพร บรเิ วณทปี่ วดซ่งึ สามารถทาไดเ้ อง โดยใช้สมนุ ไพรทีค่ ลา้ ยกบั การอบสมนุ ไพร ไดแ้ ก่ เหงา้ ไพล 1/2 กโิ ลกรัม ผิวมะกรดู 10 ลกู ตะไคร้บ้าน 1/2 กิโลกรมั ใบมะขาม 1 ขีด ขมิน้ อ้อย 1/2 กิโลกรัม ว่านนางคา 1/2 กโิ ลกรมั ใบสม้ ปอ่ ย 1/2 กิโลกรัม เกลอื แกง 60 กรมั การบูร 60 กรัม นาสมนุ ไพรมาโขลกหยาบๆ รวมกัน แบ่งออกเป็น 2 สว่ นเท่าๆ กนั หอ่ ด้วยผ้าขาวดบิ จะไดล้ กู ประคบ 2 ลกู และนามา นงึ่ ให้รอ้ น นามาประคบบรเิ วณท่ีปวดสลับกัน 2 ลูก เม่ือใชแ้ ล้วให้ผึ่งแดดให้แห้ง ใสก่ ลอ่ งมิดชดิ เกบ็ ไวใ้ นตูเ้ ย็นใช้ได้ 5-7 วัน สงั เกตสขี องสมนุ ไพร ถา้ สีซีดแสดงว่าสมุนไพรมสี ารสาคัญลดลง ถา้ มกี ล่นิ เหม็นเปร้ยี วควรท้ิงไป ขอ้ ควรระวงั การประคบสมนุ ไพร ในผ้สู งู อายุหรือเดก็ ควรจะระวังเรือ่ งความรอ้ น ควรทดสอบความรอ้ นบรเิ วณผิวหนังที่หลังมือ ถ้าร้อนมากให้ใช้ผ้ารองก่อน ขณะประคบควรสังเกตสีของผิวหนัง ถ้าแดงมากแสดงว่าความร้อนสูง อาจจะพุพองได้ ในผู้ปว่ ยเบาหวานทมี่ อี าการชาตามปลายมือ ปลายเท้า ควรใช้ลูกประคบด้วยความระมดั ระวัง
1 แก้อาการไอ ระคายคอ ด้วยสมนุ ไพร จดั ทาข้อมูลโดย กลุม่ งานวิชาการเภสัชกรรมแผนไทย สถาบันการแพทยแ์ ผนไทย อาการไอ เจบ็ คอ ระคายคอเกิดเนื่องจากหลายสาเหตุ ทส่ี าคญั คอื การตดิ เชอื้ จากเชื้อแบคทเี รยี เชื้อไวรสั หรือมี อาการเจบ็ คอ ไอแหง้ ๆ หรือมเี สมหะเล็กนอ้ ย ซ่ึงเปน็ อาการร่วมในโรคหวัด ยาที่ใช้รักษามีการออกฤทธิ์ท่ีแตกต่างกันตัวอย่างเช่น ยาแก้ไอท่ีทาให้ลาคอชุ่มช่ืน ลดอาการไอ ยาแก้ไอช่วยลด อาการไอและขับเสมหะ ยาแก้ไอท่ีชว่ ยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อโรค ในท่ีน้ีจะแนะนาสมุนไพรท่ีช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะ และชว่ ยทาให้ลาคอชมุ ช่นื ดีปลี ช่อื สมุนไพร ดีปลี ชื่ออ่ืนๆ ดีปลีเชอื ก ประดงขอ้ ปานนุ ฟันพญาไฟ บ้ีฮวด พษิ พญาไฟ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Piper retrofractum Vahl. ชอื่ พ้อง Piper chaba Hunt. ชือ่ วงศ์ Piperaceae ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเน้ือแขง็ ข้นึ เล้อื ยพนั ลาตน้ คอ่ นขา้ งกลมเรียบ เปราะ หกั งา่ ย บริเวณข้อมรี ากสาหรบั ยดึ เกาะ แตกก่ิงก้านมาก ใบ เป็นใบเดยี่ วออกเรียวสลบั ตามขอ้ ใบ รูปไขแ่ กมขอบขนาน กว้าง 3-5 ซม. ยาว 7-10 ซม. ผิวด้านหลังใบเป็นมัน หลังใบมีขนปกคลุมเลก็ นอ้ ย โคนเบีย้ ว ปลายแหลม ขอบเรียบ มีเส้นใบออกจากโคน 3-5 เส้น ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ใบยอดก่ิง ไมม่ ีก้าน ใบและเถามีรสเผด็ รอ้ น ดอก เป็นชอ่ ตัง้ ตรงข้ามกับใบ ออกเป็นชอ่ จากง่ามใบ หรือปลายยอด มีดอกยอ่ ยเรียงกนั อัดแน่นบนแกนช่อลักษณะ เป็นแท่งกลมยาวทรงกระบอก ปลายเรยี วมน ยาวประมาณ 1-2 นิ้ว สีเขียว เมื่อแก่มีสีเหลืองอมแดง มีขนปกคลุมเล็กน้อย ไมม่ ีก้านดอกย่อย ช่อดอกเพศผ้แู ละเพศเมยี อย่ตู ่างต้นกัน ไมม่ กี ลบี เลีย้ งและกลีบดอก ก้านช่อดอกยาวเท่ากับกา้ นใบ ชอ่ ดอก เพศผูย้ าว 4-5 เซนตเิ มตร เส้นผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 3 มม. ก้านดอกยาว 2-3.5 ซม. มีเกสรเพศผู้ 2-3 อัน ช่อดอกเพศเมีย ยาว 3-4 ซม. เส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง 1 มม. ผล สดอดั กันแนน่ บนแกนชอ่ ยาว 2.5-5 ซม. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. โคนกว้าง ปลายมน ผวิ ผลเรียบ ผลยอ่ ยขนาดเล็กจะตดิ กันเปน็ แทง่ หลอมรวมกนั แยกจากกนั ไมไ่ ด้ ผลมี รสเผ็ดร้อน มีสีเขียวเมือ่ สกุ สนี ้าตาลแกมแดง ผลย่อยมีเมลด็ เดียว เมลด็ มีขนาดเลก็ มาก กลมและแขง็ สรรพคณุ : รสเผ็ดร้อนขม บารงุ ธาตุ ขับลม แก้จกุ เสยี ด วธิ ีใช้ : เม่อื มอี าการไอ มเี สมหะ ใหใ้ ชผ้ ลแกแ่ ห้งของดีปลีประมาณครงึ่ ผลถงึ 1 ผล ผสมกับน้ามะนาวแทรกเกลือ กวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ มฤี ทธิ์ขบั ลมและแกไ้ อ อา้ งอิงข้อมลู จาก หนงั สอื ประมวลสรรพคณุ สมนุ ไพรไทย เลม่ 1
ขมิน้ ชัน ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Curcuma longa L. (C. domestica Valeton) วงศ์ : ZINGIBERACEAE ชอ่ื สามญั : Turmeric ชอ่ื อื่น/ช่ือสามัญ : ขมนิ้ (ท่วั ไป) ขมน้ิ ป่า ขมนิ้ ทอง ขมนิ้ ดี ขม้ินแกง ขมิน้ หยอก ขมนิ้ หวั (เชียงใหม่) ขห้ี มน้ิ หมิ้น (ใต้) ตายอ (กะเหรย่ี ง-กาแพงเพชร) สะยอ (กะเหร่ียง - แม่ฮอ่ งสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ตน้ เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดินลักษณะรูปไข่ มีแขนงแตกออกด้านข้างท้ังสองด้าน เนื้อในของเหง้า มสี เี หลืองสม้ มกี ล่ินหอมเฉพาะตวั ใบ เปน็ ใบเดย่ี วแทงขนึ้ มาจากเหงา้ เรยี งเป็นวงซอ้ นทบั กัน ใบเป็นงหู อก ดอก เป็นช่อแทงออกจากเหงา้ แทรกขึ้นมาระหวา่ งกา้ นใบรูปทรงกระบอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน ส่วนทใ่ี ชป้ ระโยชน์ : เหง้าสดและแหง้ สรรพคณุ ทางยาและวธิ ีใช้ แก้โรคกระเพาะ แกอ้ าการท้องอดื ท้องเฟอ้ ขบั ลมในกระเพาะ โดยนาเหงา้ แกล่ า้ งให้สะอาด (ไมต่ ้องปอกเปลือก) หั่นเป็นช้ินบางๆ ตากแดดจัดประมาณ 1 – 2 วัน แล้ว นามาบดให้ละเอียด ผสมน้าผง้ึ ปนั่ เป็นลกู กลอนหรอื บรรจเุ ปน็ แคปซูล ขนาด 250 มิลลิกรัม เก็บไว้ในขวดสะอาด และปิดใหม้ ดิ ชดิ รบั ประทานครงั้ ละ 2 – 3 เมด็ วนั ละ 3 – 4 คร้งั หลังอาหารและก่อนนอน แกอ้ าการทอ้ งร่วงทอ้ งเดนิ ใช้เหง้าแก่สด ยาวประมาณ 2 น้ิว นามาปอกเปลือกล้างน้าให้สะอาดแล้วตาให้ละเอียดเติมน้าสะอาดลงไป แลว้ คนั้ เอาแต่น้ารบั ประทานครัง้ ละ 2 ชอ้ นโต๊ะ 3 – 4 ครง้ั หลังอาหารและกอ่ นนอน แกผ้ ิวหนงั เร้ือรัง นาผงขมิน้ ผสมนา้ มะพร้าวทาบรเิ วณทีเ่ ปน็ แผล หรือใชเ้ หงา้ ฝนน้าขน้ ๆ ทา รักษาผวิ หนังผ่นื คนั แก้อาการ แพ้อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อยหรือรักษาฝีใช้เหง้าสดยาว 2 นิ้ว ฝนหรือตากับน้าต้มสุก ทาบริเวณที่เป็น หรือ ถา้ มีเหง้าแหง้ ให้ใชเ้ หง้าแหง้ บดเป็นผงละเอยี ด ผสมน้าเกลือเลก็ น้อย ทาผิวหนงั สารเคมแี ละสารอาหารท่สี าคัญ : น้ามนั หอมระเหยและสาร curcumin
คณุ ค่าทางอาหาร ตารางแสดงคุณค่าทางอาหารส่วนที่รบั ประทานได้ 100 กรมั พลังงาน 65 กโิ ลแคลอรี่ โปรตนี 1.7 กรมั ไขมนั 1.4 กรัม คารโ์ บไฮเดรด 11.4 กรัม แคลเซียม 9 มลิ ิกรมั ฟอสฟอรัส 41 มลิ กิ รมั เหล็ก 2.3 มลิ กิ รมั วิตามนิ บี 1 0.02 มิลกิ รัม วิตามินบี 2 0.03 มิลิกรัม ไนอาซีน 1.3 มิลิกรัม วิตามนิ ซี 12 มิลิกรมั เบตา้ –แคโรทีน - RE ใยอาหาร - กรมั * RE ไมโครกรมั เทียบหนว่ ยเรตินอล - ไมม่ ีการวิเคราะห์ ข้อควรระวัง - ไมค่ วรซือ้ ผงขมนิ้ ตามทอ้ งตลาด ควรทาเอง เพราะผงขม้ินชนั ทีข่ ายในทอ้ งตลาดส่วนมาทามาจากขมิ้นอ้อย และกรรมวิธใี นการทามักใช้ความร้อนซ่งึ จะทาใหน้ ้ามนั หอมระเหยซ่งึ มีฤทธริ์ ักษาโรคระเหยไป - คนไข้บางคนอาจแพข้ มน้ิ ชัน โดยมีอาการคลืน่ ไส้ ทอ้ งเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ใหห้ ยุดใช้ทันที อ้างอิงข้อมลู จาก หนังสือผักพ้ืนบ้านต้านโรค เลม่ 1 จดั ทาโดยกล่มุ สารนิเทศฯ กรมพัฒนาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก
1 ขอ้ แนะนำในกำรใช้สมุนไพรรักษำโรคและอำกำร จัดทำขอ้ มลู โดย กลุม่ งำนวิชำกำรเภสชั กรรมแผนไทย สถำบนั กำรแพทยแ์ ผนไทย การใช้สมุนไพรเพือ่ ดแู ลรกั ษาโรคหรืออาการข้ันพ้ืนฐาน แม้จะมีความปลอดภัยในการใช้รักษากว่ายาแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรในการปรุงยาสมุนไพรก็มีข้อควรระวังด้วยเช่นกัน เพราะบางคนที่ใช้สมุนไพรชนิดเดียวกัน อาจจะไม่แพ้ บางคนอาจจะแพ้ ดงั นัน้ การปรุงยาสมุนไพรใชเ้ องในครอบครัว การใช้สมุนไพรจึงควรยึดหลักการง่ายๆ คือ 1. ใช้ให้ถูกต้น พืชสมุนไพรมีช่ือเรียกต่างกันในแต่ละภาคหรือท้องถ่ิน ต้นเหมือนกันเรียกชื่อต่างกัน ต้นต่างกัน มีเรียกชือ่ เหมอื นกนั การจะนามาใช้ทายาใช้ตอ้ งปรึกษาผู้รูเ้ กี่ยวกับต้นไม้ ผู้เช่ยี วชาญ เช่น นักพฤกษศาสตร์ หมอแผนโบราณ หมอพ้ืนบ้าน เปน็ ตน้ 2. ใช้ให้ถูกส่วน พืชสมุนไพรแต่ละชนิดตามตาราหรือจากหมอพ้ืนบ้านใช้สืบต่อกันมา ใช้ส่วนที่มาทาเป็นยา ไมเ่ หมือนกัน เชน่ ตามตาราบอกว่าใช้ราก ใชใ้ บ ใชด้ อก ใชผ้ ล ต้องนาส่วนท่เี ป็นยามาใชใ้ ห้ตรง เพราะฤทธ์ขิ องยาในสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชสมุนไพรมีฤทธ์ทิ างยาไม่เทา่ กัน 3. ใช้ให้ถกู ขนำด การนาสมนุ ไพรมาใชต้ ้องคานึงถงึ ขนาดของสมุนไพร เชน่ หนกั กีบ่ าท หนักกกี่ รมั ควรจะนามาใช้ ให้ถกู ตอ้ ง ถา้ ขนาดของยามากไปอาจจะเป็นอันตราย นอ้ ยไปก็จะทาให้รักษาไมไ่ ดผ้ ล 4. ใช้ให้ถูกวิธี ตามตาราระบุไว้ใหใ้ ช้สด ต้ม ดองเหล้า ชง ให้สกดั น้ามนั ใหท้ าเป็นข้ีผ้ึง การทาเป็นลูกกลอน การพอก ต้องใชใ้ ห้ถูกวธิ ี 5. ใช้ให้ถูกกับโรค การใช้ให้ถูกกับโรค เช่น เป็นไข้ก็ใช้ยาแก้ไข้ ท้องเสียใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ท้องผูก ใชส้ มนุ ไพรมีฤทธ์ิช่วยระบาย
1 คณุ คา่ ของผักพนื้ บา้ น จดั ทาข้อมลู โดย กลุ่มงานวิชาการเภสัชกรรมแผนไทย สถาบนั การแพทย์แผนไทย ผักพื้นบ้าน คือ พรรณพืชพ้ืนบ้านในท้องถิ่น ชาวบ้านนามาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนามาทาเป็น ของใช้สอยในครัวเรือน ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจาก มรี สยาทห่ี ลากหลายอยู่ในผกั พื้นบ้าน ตามทฤษฎกี ารแพทยแ์ ผนไทย ใหค้ วามสาคัญกบั รสอาหาร พ้ืนบา้ น ดังน้ี รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บารุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ รสหวาน มีสรรพคณุ ทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีข้ึน ทาให้ชุ่มช้ืน บารุงกาลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานปา่ ผกั ขี้หูด บวบ นา้ เต้า ฯลฯ รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บารุงธาตุ เช่น ดอกกะทือ กระเทียม ตอกกระเจียวแดง ดีปลี พรกิ ไทย ใบชะพลู ขงิ ข่า ขม้ิน กระชาย ฯลฯ รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดนั ยอดมะกอก ยอดผกั ติ้ว เปน็ ตน้ รสหอมเย็น มสี รรพคุณทางยา คือ บารุงหัวใจ ทาให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บวั ผักบุ้งไทย เป็นต้น รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บารุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง กระถนิ ชะอม เปน็ ตน้ รสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บารุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก ยอกหวาย ดอกขีเ้ หล็ก ใบยอ สะเดา เพกา ผกั โขม เปน็ ต้น นอกจากคุณค่าทางยาแล้ว ผักพื้นบ้านยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย สารสาคัญในผักพ้ืนบ้าน ท่ีสามารถป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ สารเบต้าแคโรทีน ซ่ึงพบในผักใบเขียวจัดๆ เช่น ใบยอ ใบย่านาง ใบชะพลู ใบตาลึง ใบบัวบก ใบแมงลัก ผักชีลาว ผกั แวน่ ใบขเ้ี หลก็ ใบกระเพรา นอกจากน้ีผลไมท้ ม่ี สี เี หลือง เช่น มะละกอสกุ ฟักทอง มะปราง
2 นอกจากสารเบต้าแคโรทีนดังกล่าวแล้ว ในผักสด ยังพบว่ามีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างภูมิต้านมะเร็ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการเป็นมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มประสทิ ธภิ าพของการทางานของเม็ดเลอื ดขาวได้ วัฒนธรรมพน้ื บ้านของคนไทยตงั้ แต่สมัยโบราณ มักจะเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้ว จากป่า ไร่นา หรือสวน เป็นผักสดๆ มาประกอบเป็นอาหาร ผักสดย่ิงสดเท่าไรก็ย่ิงมีวิตามินซีสูงเท่าน้ัน ดังน้ันภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนไทย ผักบางชนิดท่ีนามา รับประทานสด กับน้าพริก คนไทยก็มักจะนามารับประทานเลย ซึ่งได้วิตามินซี และเกลือแร่อ่ืนๆ สูง ในบางชนิดอาจจะ เป็นอนั ตราย ถ้านามารับประทานเลย กจ็ ะนามาลวก ต้ม ตามภูมิปัญญาดงั้ เดิม การดูแลสุขภาพของตนเองด้วยวิธีธรรมชาติ การรับประทานผักพื้นบ้านท่ีปลอดสารพิษ หรือปลูกผักไว้รับประทาน กันเองในครัวเรือน นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้วยังช่วยประหยัด และช่วยสร้างส่ิงแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน ดังน้ันเราควรจะส่งเสริม ให้มีการปลูกผักริมรั้ว เพ่ือนามาประกอบเป็นอาหาร แทนการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ถึงแม้ว่า เราจะไมม่ ีบรเิ วณทจ่ี ะปลูกตน้ ไม้ หรอื ผกั ไวก้ นิ ไดม้ ากนกั เน่ืองจากการถูกจากัดเร่ืองสถานท่ี แต่เราสามารถปลูกผักสวนครัวไว้กิน โดยการปลูกไว้ในกระถาง เช่น พริก โหระพา กระเพรา แมงลัก ชะพลู ผักชี ผักแพว เป็นต้น ซึ่งปลูกง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังปลอดภัย จากสารพิษ สาหรับผู้ที่มีท่ีดินพอปลูกผักริมร้ัว ท่ีเป็นไม้ยืนต้นที่เก็บไว้กินได้หลายๆ ปี เช่น แค กระถิน ชะอม สะเดา การนาพืช เหล่านั้นมาปลูกในที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก นอกจากจะเก็บมาเป็นอาหาร ท่ีมีคุณค่าแล้ว ยังช่วยเป็นร้ัวบ้าน และให้ร่มเงา ทาใหส้ ดชื่น ถ้าเหลอื กินในครอบครวั ก็สามารถแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรอื เก็บไปขายได้ จากทก่ี ล่าวมาแล้ว จะเหน็ ได้ว่าภูมิปัญญาด้ังเดิม วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทย ในสมัยโบราณที่อยู่แบบอบอุ่น พ่ึงตนเองได้ ปจั จบุ ันคนไทยกาลังหวนคืนสู่บรรยากาศนั้น เพื่อความเป็นอยู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย การช่วยเหลือจุนเจือกัน การช่วยเหลือตัวเองในระดับครอบครัว ชุมชน เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ท่ีคนไทยควรจะเห็นความสาคัญ เพ่ือความอยู่รอด ของเราคนไทย และเพ่ือชาติไทย
Search