Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม เล่ม 4 (small file)

มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม เล่ม 4 (small file)

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-04-07 12:14:54

Description: มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม เล่ม 4 (small file)

Search

Read the Text Version

มีความสุขกบั ห้นุ ปันผล by หมีส้ม เล่มที 4 “ลงทนุ ห้นุ ปันผลดว้ ยความเข้าใจ ถา่ ยทอดความมงั คงั สู่ลูกหลาน” 1|P a g e

ขอขอบคณุ คณุ พอ่ ธีรชติ กบั คณุ แม่นารีรัตน์ หอมโกศล ทใี ห้ชีวิตและเลยี งดูจนเตบิ ใหญ่ คณุ ย่าลมัย และคณุ ยายละม้าย สาํ หรบั ความรักทมี อบให้ พชี ายและญาติพนี ้องทงั หลาย ทที ําให้ได้เติบโตและมีชีวติ ทีอบอนุ่ ไม่เดยี วดาย คณุ นชุ า สบี ญุ เรือง เจ้านายทีไว้ใจในตวั ผมเสมอ ศาสตราจารย์ ดร.กมลชนก สทุ ธิวาทนฤพฒุ ิ, คณุ ธนานนั ต์ ชาตยิ านนท์ ทีมอบความรู้ให้ ดร.นิเวศน์ เหมวชวิ รากร สําหรับหนงั สอื “ตีแตก กลยทุ ธ์การเลน่ ห้นุ ในภาวะวกิ ฤต” คณุ ณภทั ร วิรตั น์เกษม สาํ หรบั กาํ ลงั ใจ คณุ พีรวิช กาญจนาพงศ์กลุ , คณุ วรี ะพงษ์ อดุ มเลศิ ประเสริฐ, คณุ ชรินทร์ ศิริอนนั ต์ชยั , คณุ อาทติ ย์ วรนาวนิ คณุ กษิดิศ เหมาคมและคณุ นวะรัตน์ พงึ โพธิสภ สาํ หรับมิตรภาพทีดีเสมอมา.. คณุ เยินยอ สาระนาคและคณุ แอนดรูว์ โหสกลุ สาํ หรับคาํ ปรึกษาด้านบญั ชีและการเงนิ คณุ ปรีชา สพุ รรณวิบูล ทีช่วยตรวจสอบหนงั สอื ต่างๆของผม กอ่ นทจี ะเผยแพร่เสมอมา และสดุ ท้ายขอขอบคุณผ้อู ่านทกุ ท่านทใี ห้เกียรติสละเวลาสนใจผลงานของผม 2|P a g e

สารบญั บทนํา หน้าที 4 บทนํา (เวอร์ชันหมีส้ม) หน้าที 5 บทที 1 โครงสร้ างธุรกิจและจดุ คุ้มทนุ (Break Even Point) หน้าที 7 บทที 2 โครงสร้ างกาํ ไรและต้นทนุ คงที หน้าที 9 บทที 3 กําไรขนั ต้น (Gross profit) และอตั รากาํ ไรขนั ต้น (Gross profit margin) หน้าที 12 บทที 4 ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (Sale, general and administration cost - SG&A) หน้าที 15 บทที 5 กาํ ไรก่อนหักภาษี ดอกเบยี และค่าเสอื มราคา (Earning Before Interest, Tax, Depreciation and Amortization - EBITDA) หน้าที 19 บทที 6 ค่าเสือมราคาและค่าตดั จําหน่าย (Depreciation and Amortization) หน้าที 22 บทที 7 ต้นทุนทางการเงนิ (Finance costs) หน้าที 26 บทที 8 กาํ ไรสทุ ธิ (Net profit) และอตั รากําไรสุทธิ (Net profit margin) หน้าที 29 บทที 9 ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถอื หุ้น (Return on Equity - ROE) ,ผลตอบแทนต่อสนิ ทรัพย์ (Return on Asset - ROA) และสดั ส่วนหนีสนิ ต่อทุน (Debt on Equity - D/E) หน้าที 32 บทที 10 ตรวจสขุ ภาพหุ้นผ่านงบกําไรขาดทุน หน้าที 37 บทที 11 งบดุลหรืองบแสดงฐานะทางการเงนิ หน้าที 39 บทที 12 สนิ ทรัพย์ในงบการเงนิ หน้าที 41 บทที 13 หนีสนิ ในงบการเงนิ หน้าที 44 บทที 14 สรุปเรืองของงบดุล หน้าที 46 บทที 15 งบกระแสเงนิ สด หน้าที 48 บทที 16 วิธีการอ่านงบกระแสเงนิ สด หน้าที 51 บทที 17 ปัจจยั ทมี ีผลต่องบการเงนิ หน้าที 55 บทที 18 บทสรุปของหนังสอื เล่มนี หน้าที 57 3|P a g e

บทนํา ก่อนอืนผมมคี วามยนิ ดเี ป็ นอย่างยงิ ทหี นงั สอื “มคี วามสขุ กบั ห้นุ ปันผล by หมสี ้ม” เลม่ ที 4 ได้ถกู เขียนขึนจนเสร็จ สินแล้ว ซึงในใจผมเองนี คิดว่าครอบคลมุ กบั สงิ ทีผมต้องการจะถ่ายทอด “เก็บไว้ในรูปของหนงั สือ” ได้จนครบถ้วนแล้ว โดยช่วงทีผ่านมา ผมก็ได้รับกําลงั ใจและได้คยุ กับผู้คนมากมายทีได้ “แวะเวียน” เข้ามาคยุ กนั ในเพจ “หมีส้ม” ซึงทําให้ ผมได้รบั ประสบการณ์ใหม่ๆ และทาํ ให้รู้ว่าจะต้องเขียนอยา่ งไร ให้สามารถ “คลายความสงสยั ” ของผ้อู า่ นลงไปได้ สําหรับ “วัตถุประสงค์” ของหนังสือทัง 4 เล่มนัน ก็ชัดเจน ก็คือ “การมุ่งลงทุนในหุ้นปันผล ในช่วงเวลาที เหมาะสม และถือไว้ตราบเท่าทีมนั ยงั เป็ นหุ้นทีดี” ซึงผมเชือว่าเป็ นสงิ ทีมีความจําเป็ นจะต้องให้ “เงินออมทํางานให้เรา” เพราะภายใต้สถานการณ์ที “หนีท่วมโลก” นี สวัสดิการของประเทศก็จะลดตําลงทุกวัน และเราเองก็ต้องสํารองเงิน ให้ มากขึน เพือรองรับกับค่าใช้ จ่ายทีสูงขึน โดยเฉพาะอย่างยิงค่าใช้ จ่ายทีสําคัญคือ “ค่าเล่าเรียนบุตร” และ “คา่ รกั ษาพยาบาลของคนในครอบครัว” ซงึ ลาํ พงั การฝากเงนิ ในธนาคาร อาจจะยงั ไมเ่ พียงพอ ผมขอแนะนําว่า “การลงทุน” นนั เหมือนกบั การทีหัดทําสงิ ใหม่ๆ ซึงแม้ว่าจะยากในช่วงแรก แต่ก็จะชํานาญ ไปเอง หากเรายงั คงปฏิบตั ิอย่างตอ่ เนอื ง ซงึ การลงทนุ ก็เช่นกัน ทีต้องมี “ก้าวแรก” คําถามในใจของท่านผู้อ่านบบางท่าน ก็อาจจะสงสยั ว่า “การลงทนุ ในห้นุ ” เป็ นสงิ ที “ด”ี หรือ “ควรทาํ ” จริงหรือ.. ผมจงึ ขอยกตวั อยา่ งให้ฟังดงั นคี รบั เราจะพบได้ว่าการบริหารการเงินสว่ นบุคคลหรือในระดับประเทศทีประสบความสาํ เร็จ ก็ล้วนแล้วแต่นําเงินไป ลงทนุ ให้เกิดดอกออกผลทงั สนิ บางประเทศทมี ีความเจริญรุ่งเรือง กม็ ีการตังกองทุนของประเทศขึนมาเพือไปลงทนุ นําเงิน ทีได้กลบั มาพฒั นาประเทศ (แต่อาจจะยงั ไม่เหมาะกบั ประเทศไทยถ้ายงั ไม่แก้ปัญหา “คอร์รัปชนั ”) นอกเหนือไปจากนี เราก็ยังไม่เห็น “เศรษฐี” หรือ “ผู้มีอันจะกิน” ท่านใดทีฝากเงินเอาไว้แค่ในธนาคาร เพราะโดยมากก็จะมีกิจการหรือ มีทีดินเอาไว้ “เก็บกิน” แทบทังสิน จึงเป็ นเหตุผล ทีเราจะต้องนํา “เงินออม” ออกมาลงทุน เพือให้ได้เป็ นเจ้าของ “กิจการทดี ”ี และได้ดอกผลจากการเตบิ โตของกจิ การ แทนทจี ะเป็ นเพียง “เจ้าหนขี องธนาคารทไี ด้ดอกเบยี น้อยทสี ดุ ” หนังสอื ทังสีเลม่ นี จึงถกู เขียนขนึ มา และหวังว่าจะเป็ น “ความรู้เบืองต้น” ของผู้อ่านทุกท่านทีจะได้ใช้ต่อยอด ความรู้ไปสู่หนังสือการลงทุนเล่มอืนๆ ต่อไป โดยผมมีความยินดีและเป็ นเกียรติเป็ นอย่างยิงทีเป็ นส่วนหนึงในการ “เรียนรู้เกยี วกบั การลงทนุ ห้นุ ปันผล” ของทกุ ทา่ น สดุ ท้ายนี ผมขอขอบพระคุณ ผู้ซึงอยู่เบืองหลงั ของหนงั สอื “มีความสขุ กบั ห้นุ ปันผล by หมีส้ม” เลม่ ที 4 นี ได้ แ ก่ เ จ้ า นา ยข อ งผม “คุณนุชา สีบุญเ รื อ ง ” ที ได้ ใ ห้ คว า มไ ว้ ว า งใ จใ น ตัวผม แ ละ ใ ห้ โอ กา ส ใ น กา ร “กลนั กรองและตรวจทาน\"”งบการเงนิ ของบริษัทในเครือทังแปด ทีมีโครงสร้างธุรกิจและการประกอบกิจการทีแตกต่างกนั รวมไปถงึ งบการเงนิ รวมของเครือ ทีทาํ ให้ผมได้มีความรู้มากพอทจี ะเขียนหนงั สอื เลม่ นขี นึ มาจนสาํ เร็จได้ วรชิต หอมโกศล 5 ตลุ าคม 2557 4|P a g e

บทนํา (เวอร์ชนั หมีส้ม) หมสี ้มเข้าใจว่าเล่มนีน่าจะเป็ นเล่มสดุ ท้ายแล้ว เพราะเนือหาค่อนข้างครบถ้วนแล้ว (แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้ามีความรู้ อะไรมาเพิมเติมก็อาจจะเขียนต่อ) ทีว่าครบถ้ วนก็คือ มาเติมเต็มหนังสืออีกสามเล่ม โดยทังสีเล่มนีก็ได้บรรจุใน เรืองของ “แนวคิดในการลงทุนหุ้นปันผล” “แนวคิดเกียวกับจังหวะและระยะเวลาในการเข้าลงทุนหุ้นปันผล” และ “วธิ ีการเลอื กสรรและตรวจสขุ ภาพห้นุ ปันผล” ซงึ จากทีเราได้เรียนรู้กันมา ก็จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรืองยากทีจะทําความเข้าใจ แต่เป็ นเรืองทตี ้องใช้เวลาศกึ ษา และเมือศกึ ษาแล้วเรากต็ ้องทําการ “ปฎิบตั ”ิ เพราะการศกึ ษาเรืองอะไรก็ตาม จะเห็นผลได้อย่างเป็ นรูปธรรมก็ต้องเรียนรู้จากการ “ปฏิบัติ” และสิงทีเรากําลงั จะเรียนรู้กนั กค็ ือ “เรียนรู้การลงทนุ ” เพราะวา่ เราต้องเรียนรู้ทีจะวางเงนิ ไปอยใู่ นจดุ ทีมนั สามารถ “งอกเงย” เพิมขนึ มาได้ ก็ อย่างทเี รารู้กนั ว่า การฝากเงินไว้เฉยๆ ทําให้เงินด้อยค่าลงไปทกุ ที ดงั นนั หลงั จากทเี พือนๆ ได้เริมมแี นวคิดในการลงทนุ ห้นุ ปันผลแล้ว กอ็ ย่าได้ช้า รีบแบง่ เงินสกั ก้อนหนึง อาจจะสกั 5,000 - 10,000 บาท เพือมาทดลองลงทุนห้นุ ปันผล และดูผลตอบแทนของมันโดยอาจจะเทียบกับอีกบัญชีหนึง ซึงเป็ นบญั ชีเงินฝากประจําก็ได้ จะได้ “รู้ดํารู้แดง” กันไปเลยว่าอะไรให้ผลตอบแทนทีดีกว่ากัน แต่ทังนีทังนันต้องอยู่ ภายใต้แนวทางการลงทุนใน “หุ้นทีมีขนาดของกิจการใหญ่โตและปันผลสมําเสมอ” ด้วยนะ ทําไมต้อง “ใหญ่โต” กเ็ พราะเงนิ ของเราจะได้ปลอดภัย เพราะได้ลงทนุ ในกจิ การทเี ข้มแข้งถงึ ขนาดทวี ่า “ผกู ขาดทางธุรกิจ” หรือถ้าใครยังไม่ชวั ร์ หรือยงั ไมก่ ล้าลงทนุ เอง ก็แนะนาํ ให้ลงทนุ ผา่ น “กองทนุ รวม” กไ็ ด้ครบั ทีนีก็เชือว่าหมีชักจงู มาขนาดนี คงต้องสนใจลงทนุ ใน “หุ้นหรือกองทนุ ” กันบ้างล่ะนะ.. และสงิ หนงึ ทีจะต้อง ทําความเข้าใจกันไว้ด้วยก็คือ “การปลกู พืชยังต้องรอให้งอก” ฉันใดก็ฉันนัน “การลงทุนในหุ้นทีดี ก็ต้ องใช้เวลาให้ ออกดอกออกผล” เช่นเดยี วกนั ซงึ หากเราลงทนุ ในห้นุ ทีมีขนาดใหญ่โต กิจการทีมนั คง เราก็จะกลายเป็ น “เจ้าของรายจิว” ทีได้มีความสุขกับการเก็บดอกออกผลทีเติบโตของกิจการตลอดไป และสิงทีสําคัญต่อมาก็คือ “ส่งมอบความมันคง และมงั คงั นี ไปสลู่ กู หลานได้โดยงา่ ย” สุดท้ายนี ถ้ายังไม่ชัวร์จริงๆ ก็ขอให้รอ “วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครังใหญ่” ทีทําให้หุ้นตกลงมามากกว่า 30% - 50% ของจดุ สงู สดุ และดําเนนิ การตามสตู รสาํ เร็จของหมสี ้ม ดงั นี ขนั ตอนแรก เกบ็ เงนิ สดไว้รอ “วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจหรือการเมอื ง” ทีจะมเี ข้ามาเรือยๆ ในรอบ 5-10 ปี ขนั ตอนทสี อง พอเหน็ แล้วว่ามวี กิ ฤตห้นุ ตกลงมา 30-50% ให้นงั ทับมือไว้ รอจนดชั นีหุ้นไม่ตกลงไปมากกว่าเดิม (อย่าไปรบั มดี รอให้ตกถงึ พนื ก่อน) โดยอาจจะใช้วธิ ีทไี ด้เขยี นอธิบายไปแล้วช่วงท้ายของหมีส้มเลม่ ที 1 ขนั ตอนทีสาม เข้าลงทนุ ในห้นุ ที “ปันผลสมาํ เสมอ เป็ นกิจการขนาดใหญ่ทมี เี งินสดเยอะ และหนสี นิ น้อย” 5|P a g e

ขันตอนสุดท้ ายก็คือ หลังจากลงทุนไปแล้ว เราก็ต้ องหมันตรวจสอบสุขภาพกิจการ ว่าเงินปั นผลทีได้ ยังอยู่ในอัตราทีเราพอใจหรือไม่ ถ้ าพอใจแล้วก็ไม่ต้ องทําอะไร แต่ถ้ าไม่พอใจ หรือว่า “เงินปันผลต่อหุ้นลดลง” อนั นีเราก็ต้องพจิ ารณาเปลยี นไปลงทนุ ในห้นุ ตวั อนื สดุ ท้ายนกี ห็ วงั ว่าหนงั สอื ทงั สเี ลม่ ทีได้เขียนขนึ มา จะมปี ระโยชน์กบั ทกุ ท่านบ้าง ไม่มากก็น้อยครบั .. หมีส้ม 6|P a g e

บทที 1 โครงสร้ างธรุ กิจและจดุ คุ้มทุน (Break Even Point) ผมอยากจะเริมต้นเลม่ นี โดยการอธิบายเรืองง่ายๆ ทีใช้ในการประกอบธุรกิจ (รวมถงึ การวิเคราะห์ธุรกิจ) ให้ได้ รับทราบกนั สกั หน่อย โดยทีผมคิดว่ายังไม่อยากพูดถึงคําว่า “บัญชี” มากนัก เพราะผมเชือว่า ความเข้าใจเรืองธุรกิจจะ นาํ ไปสกู่ ารเรียนรู้ด้านบญั ชีทงี ่ายขนึ ผมคดิ ว่าผมใช้วธิ ีสร้างเหตกุ ารณ์ขนึ มาอธิบาย น่าจะเข้าใจง่ายกวา่ เนอะ.. สมมตวิ า่ ผมอยากขายหมปู ิ งกแ็ ล้วกนั ผมควรจะต้องทําอะไรบ้าง.. ผมก็คงจะเหมือนคนทัวไป ทีพอเห็นโอกาสใน การประกอบธุรกิจแล้วก็อยากเข้าไปลองดู ซงึ ในเหตกุ ารณ์ทีสมมตนิ ี ผมได้ทราบว่าราคาหมปู ิ งขายทีราคาไม้ละ 7 บาท.. ผมควรจะตดั สนิ ใจอย่างไร.. เริมต้นมาผมก็คงจะต้องดวู ่า ผมสามารถทําหมปู ิ งออกมาขายได้ทีต้นทุนไม้ละ เทา่ ไหร่ อนั นีละ่ มนั ก็คอื “ต้นทนุ ขาย” โดยนยิ ามก็คอื ต้นทนุ ของสนิ ค้าหรือบริการทเี ราเอามาสง่ ถงึ มือลกู ค้านนั เอง ถ้าเป็ น สนิ ค้าพวกซอื มาขายไป เช่น เครืองใช้ไฟฟ้ า ต้นทนุ ขายกอ็ าจจะเป็ น “ราคาทีซือ + ค่าขนสง่ ” เท่านนั เอง แต่ของผมมันเป็ น หมปู ิ งนีสิ ต้นทนุ มนั มีอะไรบ้างนะ ผมพบวา่ ต้นทนุ ของหมู 1 ไม้ ประกอบไปด้วยคา่ ใช้จา่ ยทมี ที งั ผนั แปร (ไปตามรายได้) และค่าใช้จ่ายคงที ค่าใช้จ่ายผันแปร ได้แก่ ค่าเนือหมู 2 บาทต่อไม้, ค่าซ๊อสหมกั 0.50 บาทต่อไม้ ค่าไม้เสียบ 0.20 บาทต่อไม้ และค่าถุงพลาสติก+ค่านําแข็งแช่เย็น+ค่าถ่าน รวม 0.30 บาทต่อไม้ รวมเป็ นต้ นทุนผันแปรทังสิน 3 บาทต่อไม้ ซงึ จะสงั เกตได้ว่า ค่าใช้จ่ายผันแปร (ไปตามรายได้) มนั จะขึนลงไปตามยอดขาย และค่าใช้จ่ายคงที ได้แก่ ค่าคนปิ งหมู วนั ละ 400 บาท และคา่ รถไปซอื ของอีก 100 บาท รวมคา่ ใช้จา่ ยคงที 500 บาทตอ่ วนั นนั หมายความวา่ ต้นทนุ ขายของผมอยทู่ ี 3 บาทตอ่ ไม้ + 500 บาทต่อวัน นันเอง ซงึ ถ้าหากราคาขายอย่ทู ีไม้ละ 7 บาท เท่ากบั วา่ ถ้าไม่นบั คา่ ใช้จ่ายคงที 500 บาท เท่ากบั ว่า ผมจะมีกําไรในเบืองต้น 7-3 บาท หรือ 4 บาทต่อไม้นันเอง ดงั นนั ถ้าจะให้ค้มุ กบั ต้นทนุ คงที 500 บาทข้างต้น ผมกต็ ้องขายอยา่ งน้อยวนั ละ 125 ไม้น่ะสิ ซงึ จริงๆแล้วยงั ไม่ใช่ครบั .. เพราะสงิ ทเี ราเหน็ ข้างบน เป็ นเพียงต้นทนุ ขายซงึ แสดงถึงกําไรขันต้นเท่านนั เรายังมีต้นทุนอืนๆ อยู่อีก ซึงได้แก่ ค่าเช่าแผง วันละ 100 บาท ค่าบริหารจดั การของเราเอง วันละ 200 บาท ค่าโต๊ะและเตาปิ ง ซือมารวมกัน 8000 บาท ซงึ คนขายบอกว่าใช้ได้ปี นงึ ผมตวี ่าใช้แค่ 200 วันก็พอ ก็ตกวันละ 40 บาท (อันนีคือค่าเสอื มราคานันเอง แต่เพือไม้ให้งง เด๋วเราอธิบายในบทอืนนะ) แล้วก็ต้นทุนเงินทีกู้มาลงทุน เสยี ดอกเบียวันละ 60 บาท รวมเป็ นต้นทุนอืนๆ ทังสินอยู่ที 400 บาท (100 + 200 + 40 + 60) ทีนี ผมเอาต้นทุนขายมารวมกับต้นทนุ ค่าบริหารจัดการ ก็จะได้แก่ ไม้ละ 3 บาท + 900 บาท (ต้นทุนขาย 500 บาท + ต้นทนุ ค่าบริหารจดั การ 400 บาท) ดงั นนั ถ้าผมจะขายให้ถงึ จดุ ทีค้มุ ทนุ หรือ “เจ๊า” ในแต่ละวนั ผมก็ต้องขาย ให้ได้ 900 / 4 = 225 ไม้นนั เอง นนั หมายความวา่ ตงั แต่ไม้ละ 226 เป็ นต้นไป ผมถงึ จะมกี ําไรครับ.. 7|P a g e

ถ้าหากผมมีเวลาขายเฉพาะชว่ งเช่า คือ ตงั แต่ 6-10 โมงเช้า เป็ นเวลา 4 ชัวโมง นนั หมายความว่า ผมต้องขาย ให้ได้ ชวั โมงละ 55 ไม้ หรือตกเฉลยี ประมาณนาทลี ะไม้.. เอ้อ!! เป็ นไปได้นะ เพราะปิ งทเี ยอะ หลายไม้ ผมนําเสนอประเด็นนีเข้ ามา เพราะบางธุรกิจนัน ในทางต้ นทุน กําหนดว่าจะต้องขายให้ ได้ นาทีละชิน แต่ความสามารถในการผลติ ใช้เวลาถงึ 2 นาทใี นการผลติ 1 ชิน ซงึ นนั ก็หมายความว่า ยอดขายจะไม่มีทางเจ้ามาบรรจบ กับจุดคุ้มทุนตังแต่แรกแล้ว ซึงถ้าเกิดเหตุการณ์นี นันคือเราต้ องปรับปรุงกระบวนการผลิต แต่ก็อย่างว่านะครับ “ทกุ ปัญหาก็มีทางออก แต่ทกุ ทางออกก็มีปัญหาต้องแก้เชน่ กนั ” (ซงึ เดยี วเราจะกลา่ วถงึ ในบทตอ่ ๆไป) แต่บทนีเราก็จะทราบแล้วว่า โครงสร้ างของธุรกิจหมูปิ ง มีอะไรบ้าง และต้องขายเท่าไหร่ ถึงจะเริมมีกําไร.. เราเริมมีเข็มทศิ ในการตดั สนิ ใจแล้วละ่ กอ่ นทจี ะไปถงึ บทต่อไป ผมอยากให้ทกุ คนลองคิดตามไปว่า ต้นทุนตรงจุดไหนเป็ น ต้นทนุ ทีเป็ นสดั สว่ นทีสงู หรือต้นทนุ ไหนเราจะทําให้มนั ลดลงได้บ้าง เดยี วบทหน้าเราค่อยมาคยุ กนั ตอ่ นะ.. 8|P a g e

บทที 2 โครงสร้ างกําไรและต้นทนุ คงที จากบททีแล้ว เราพอรู้คร่าวๆ แล้วล่ะ ว่าจุดค้มุ ทุนมันอยู่ทีเท่าไหร่ ต้องขายหมูปิ งกีไม้ แต่ทีนีเนีย ผมเองก็ อยากจะแสดงให้เห็นว่า การทีเราขายของไปเรือยๆ นัน ยอดขายทีสูง อาจจะไม่ได้หมายถึงกําไรทีสูงทีสุดเสมอไป เอ๊ะ!! นผี มกําลงั หมายถงึ อะไรนะ.. คอื ผมอยากจะกล่าวถึงต้นทนุ ทีเป็ น “ความเสียง” ของกิจการ นนั ก็คือ “ต้นทนุ คงที” ซงึ อนั ทจี ริงแล้ว มนั ไม่ได้คงที แตม่ นั เพิมขนึ แบบเป็ นขนั ๆ เพอื ให้เกิดความเข้าใจ ผมคงต้องนอกเรืองสกั นดิ น่าจะดี.. อนั นไี ม่เกยี วกบั หมปู ิ งเลยนะ.. สมมติผมซือรถกระบะมาคันหนึง เพือส่งสนิ ค้า รถกระบะของผมคนั นีจุสินค้าได้ 500 กล่อง ถ้าหากว่าต้นทุนตงั แต่ค่าผ่อนรถไปจนถึงค่าเชือเพลิง ค่าสึกหรอ ไปยังลกู ค้าอยู่ทีเทียวละ 1,500 บาท ดังนัน หากผมเอาของไปส่งให้กับลกู ค้า ถ้าผมไปแค่ 100 กล่อง อาจจะดูไม่คุ้ม เพราะค่าขนส่งต่อกล่องจะอยู่ที 1500/100 คอื กลอ่ งละ 15 บาท แต่ถ้าไปสง่ 300 กลอ่ ง ก็จะกลายเป็ นต้นทนุ กล่องละ 1500/300 คือกลอ่ งละ 5 บาท กอ็ าจจะพอถไู ถ แตถ่ ้าไปสง่ ได้ 500 กลอ่ ง อนั นีเยียม.. ไปแล้วค้มุ เพราะคา่ ขนสง่ จะอยทู่ ี 1500/500 คอื กลอ่ งละ 3 บาท ประเด็นก็คือ เราทราบว่าความสามารถในการขนส่ง (Capacity) อย่ทู ีเทียวละ 500 กล่อง ถ้าหากว่าลกู ค้า สงั สนิ ค้า 600 กลอ่ งละ่ ต้นทนุ จะเป็ นเท่าไหร่ เพราะผมไปเทยี วเดยี วไม่หมด คา่ ขนสง่ จะเบิล กลายเป็ น 2 เทียว คือ 3,000 บาท และค่าขนสง่ จะกลายเป็ น 3000/600 หรือกล่องละ 5 บาททนั ที สิงทีผมนําเสนอให้เห็นก็คือ ต้นทนุ คงที มันไม่ได้ “คงท”ี แต่มันเพิมเป็ นลําดับขนั ด้วยเหตผุ ลนีจึงทําให้ผู้ประกอบการต้องมาวัดดวงเวลา “ขยายโรงงาน” เพือทําให้ธุรกิจ เติบโตยงั ไงละ่ และเรากม็ ใี ห้เห็นมาสมําเสมอว่า กิจการบางกิจการทียืนหยัดมาได้หลายสิบปี กลบั ต้องล้มละลายเพราะ ขยายกาํ ลงั การผลติ แล้วไมถ่ งึ จดุ ค้มุ ทนุ ลากให้สว่ นเดมิ ทีมีกาํ ไรขาดทนุ ลงไปด้วย ทีนีเรากลบั มาทีร้านหมูปิ งของเรากันดีกว่า เราก็จะรู้ว่าต้นทนุ ของเราทีคงที ก็น่าจะเป็ น 500 บาท คือค่าไปซือ ของและค่าแรงคนปิ ง หมายความวา่ ยงั ไงผมกต็ ้องโดน 500 บาททกุ วัน ผมต้องใช้ 500 บาทนีให้ค้มุ ค่าทีสดุ แต่ก็อย่างที เราทราบกนั คนเองก็มีข้อจํากัดในการทํางาน ถ้าผมสมมติว่าคนปิ งหมูของเรา สามารถปิ งได้วันละ 300 ไม้ละ่ อนั นีคือ แบบว่าปิ งไม่หยดุ เลยนะ และต้องปิ งในชว่ งพีคของเวลาทขี ายดที สี ดุ ด้วย.. หน้าตาของโครงสร้างกําไรของผม จะเป็ นยังไง ละ่ ทีนี (เผอื ไม่ให้งง ผมขอให้ค่าดอกเบียกบั ค่าเช่าแผงคงทีไว้ แบบว่าแผงใหญ่มาก ไมต่ ้องเช่าเพิม เอาเท่าเดมิ ไปก่อนนะ) เพอื ให้เกดิ ความเข้าใจมากขนึ เรามาดตู ารางกนั ดกี วา่ ซงึ ผมได้รวมภาษีเข้าไปด้วยเพือความสมจริง (พอดูตาราง เสร็จ ก็ลองเอาโครงสร้างไปเทยี บในงบกาํ ไรขาดทนุ ของบริษัทในตลาดหลกั ทรัพย์ดูก็ได้นะ) ทีนี Pattern ของตารางทีผม นํามาให้ดูนี ผมจะใช้ แบบนีไปเรือยๆ เพือให้เกิดความเคยชิน แต่ผมจะปรับเปลียนตัวเลขไปตามรูปแบบธุรกิจกับ อตุ สาหกรรมทยี กตวั อย่างในแต่ละบท การได้เห็นตารางบ่อยๆ จะทําให้เกิดการซมึ ซบั และความเคยชินช่วยให้เกิดความ เข้าใจมากขนึ นะครบั .. 9|P a g e

จากตารางทีแสดงอยู่ ในบทนีผมอยากจะให้ดูเฉพาะในส่วนของกําไรขนั ต้น ซึงเป็ นพืนฐานของกิจการเสียก่อน เพราะถ้าหากกาํ ไรขนั ต้น “ไม่เกิดขนึ ” เราก็เริมต้นธุรกิจไม่ได้ ซงึ เราจะสงั เกตได้ว่าต้นทุนคงทีมีผลต่อกําไรขนั ต้น การขาย สนิ ค้าได้มากไมไ่ ด้หมายความวา่ จะมีกําไรทีสงู กว่าเสมอไป ทังนีกิจการร้านหมปู ิ งของเรา หากเพิมยอดขายจาก 300 ไม้ เป็ น 400 ไม้ เราจําเป็ นจะต้องจ้างคนมาปิ งเพิมทนั ที ทําให้การขายหมปู ิ งจาก 300 ไม้ ไปที 400 ไม้อาจจะไม่มีกําไร เพมิ ขนึ แตว่ า่ พอไม้ที 401 เป็ นต้นไป ถงึ จะเริมมกี ําไรทสี งู ขนึ เพราะวา่ เราใช้ต้นทนุ คงทไี ด้ค้มุ ค่ามากขนึ ซึงกิจการหมูปิ งของเราค่อนข้างโชคดี ทีต้นทุนของคนปิ งไม่สงู เมือเทียบกับต้นทุนขายอืนๆ (คิดดูง่ายๆ ว่า เราจ่าย 300 บาท ปิ งได้เต็มที 300 ไม้ แสดงว่าต้นทุนการปิ งถ้าใช้งานเต็มที ก็คือไม้ละ1 บาท (400 บาท / 300 ไม้) และอาจจะสงู ได้ถงึ 3-4 บาท หากขายได้น้อยหรือขายไม่ได้เลย (400 บาท / 100 ไม้ ลองดูในตารางสิ ว่าถ้าขายได้ แค่ 100 ไม้ เราขาดทนุ เลยนะ) กิจการหมปู ิ งมีต้นทุนค่าแรงเพียง 25-50% ของต้นทุนขายทังหมด บางกิจการเช่นกิจการการ์เม้นต์ในอดีต ต้นทุนค่าแรงงานอาจสูงได้ถึง 50-70% ของต้นทนุ ขาย ซึงทําให้มีผลกระทบมาก (เราอาจจะได้นําตารางมาปรับกับ อตุ สาหกรรมอนื ๆ กนั ในบทตอ่ ๆ ไป) แตบ่ ทนีเอาเป็ นว่าอยากให้ทาํ ความรู้จกั กบั “ต้นทุนคงที” ว่าคือ หนงึ ในความเสยี งในการลงทนุ กิจการก็แล้วกัน ซงึ ต้นทนุ คงที ยงั คงมีอย่ใู นรายการอืนๆ ด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็ นในส่วนของ “ค่าเสือมราคา” “ค่าดอกเบีย” หรือ “ค่าบริหาร จดั การ” และอีกมากมาย และเราก็ต้องไม่ลืมว่า “ต้นทุนคงที” มันอาจจะไม่ได้ “คงที” ไปซะทีเดียว แต่มนั จะคงทีไปถึง 10 | P a g e

จดุ ๆหนงึ ทีมนั ต้องขยาย และต้นทนุ คงที เมือลงทนุ ไปแล้ว กจ็ ะกลายเป็ นว่า “ไม่ทําไม่ขาย ก็ต้องจ่ายอยู่ดี” เป็ นไฟท์บงั คับ บทนเี อาเทา่ นีก่อนแล้วกนั .. 11 | P a g e

บทที 3 กําไรขันต้น (Gross profit) และอตั รากาํ ไรขันต้น (Gross profit margin) บทนี ผมจะขออธิบายถงึ เรืองของกาํ ไรขนั ต้น หรือทีเราเรียกว่า Gross profit ซงึ จากบททีก่อน เราพอทราบแล้ว วา่ กําไรขนั ต้นกค็ อื การนาํ รายรับมาหักลบกับต้นทนุ ขาย ซงึ กําไรก้อนนีทีได้มา เราก็จะเอามาหักลบกับต้นทุนทีเหลือของ เราอีกทีหนึง หรือถ้าผมจะอธิบายแบบตรงไปตรงมาก็คือ “กําไรขันต้น เกิดจากรายรับจากการขายมาลบกับต้นทุน ซงึ ต้นทนุ ตรงนี ถ้าเราไม่ขาย เราก็ไม่มีต้นทนุ ตรงส่วนนี หรือถ้าเรายิงขายเพิม ต้นทุนตรงนีก็ยิงเยอะ” แต่ผมว่าผมน่าจะ อธิบายยงั ไมช่ ดั เจนนะ ผมลองสมมตเิ รืองบางอยา่ งให้มนั ง่ายขนึ อีกนิด ซงึ จริงๆแล้วเราก็จะพอทราบว่าไอ้กําไรขันต้นเนีย มนั อย่กู บั ชีวติ ประจาํ วนั ของเราเพียงแตเ่ ราไมร่ ู้ตวั .. สมมติผมตกงาน ผมซึงเป็ นหัวหน้าครอบครัว ซงึ มีรายจ่ายจิปาถะในบ้านเดือนละ 20,000 บาท แน่นอนว่า ครอบครัวผมจะต้องดึงเงินเก็บในครอบครัวออกมาใช้จ่าย และวันหนงึ ผมก็มีบริษัทมาเรียกไปสมั ภาษณ์ถึง 2 แห่ง แห่งแรกให้เงินเดือนผม 25,000 บาท แต่อยู่ใกล้บ้าน ผมสามารถไปทํางานได้โดยเสียค่าใช้จ่ายทังสนิ (ค่าเดินทาง และค่าอะไรก็ตามทีเกียวกบั การไปทํางาน) เพียง 5,000 บาทต่อเดือน ทําให้ผมมีเงินเหลอื เก็บมาใช้จ่ายในครอบครัว 20,000 บาทต่อเดือน ในขณะทีแห่งทีสองให้เงินเดือนผม 30,000 บาท แต่ว่าไกลมาก ผมต้องเสียค่าเดินทางเดือนละ 12,000 บาท ทําให้ผมเหลือมาให้ครอบครัวเพียง 18,000 บาท ถ้ามองเฉพาะในด้านของตวั เงิน แห่งแรกทีสร้างรายรับ ให้ผมน้อยกวา่ กลบั ทําให้ผมมเี งินสง่ กลบั มาทีบ้านมากกว่าแห่งทีสอง โอเคล่ะ.. ว่าผมเลอื กทํางานแห่งแรกแล้ว ผมยังให้แฟนผมจากทีเดิมเป็ นแม่บ้าน ให้ออกมาทํางานอีกด้วย แต่ทํางานใกล้บ้าน สามารถนงั มอเตอร์ไซด์ไปทําได้ ทาํ ให้มีรายรับ 12,000 บาทต่อเดือน ในขณะทีค่าใช้จ่ายในการทํางาน ทงั สนิ เดือนละ 1,000 บาท ก็จะเหลอื เก็บกลบั มาทคี รอบครัวเดือนละ 11,000 บาท ทีนีจากทีผมทํางานรวมกับของแฟน ก็จะกลายเป็ นเงินเกบ็ เข้ามาในครอบครัวทงั สนิ เดอื นละ 31,000 บาท (20,000+11,000) และถ้าคา่ ใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน ยังไม่เพิม (คือยังมีค่าใช้จ่ายในบ้านเท่าเดิมคือเดือนละ 20,000 บาท) ครอบครัวผมก็จะมีเงินเก็บ (หรือกําไรสะสม) เพมิ ขนึ เดือนละ 11,000 บาททีเดยี ว ซงึ หากมองในแง่บริษัท ค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน ถ้าเปรียบเทียบ ก็คือ ค่าใช้จ่ายใน การบริหารจัดการ (Selling, General and administrative expense หรือ SG&A) และถ้าผมมีค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ กถ็ อื เป็ นค่าเสอื มราคา (Depreciation) สว่ นดอกเบียของบ้านและรถ ในแง่บริษัทก็ถือเป็ นดอกเบียจ่ายนนั เอง อนั ทีจริง มนั กเ็ ทียบชีวติ ครอบครวั กบั รูปแบบบริษัทเป๊ ะๆ คงไมไ่ ด้ แตก่ ็พอดๆู ไปเป็ นไอเดยี นะครับ.. สรุปก็คือว่า เราพอรู้แล้วละ่ วา่ “กาํ ไรขนั ต้น” ทีเกดิ ขนึ จะเหมือนเป็ นการ “สง่ ส่วย” เข้าสคู่ ่าใช้จ่ายส่วนกลางของ บริษัท สําหรับอัตรากําไรขันต้น (Gross profit margin) ก็ไม่มีอะไรมาก ก็คือ เอากําไรขันต้นมาหารด้วยรายรับ ถ้าหากใช้ตวั อย่างเดิม คือ รายได้ของผมหักรายจ่ายในการไปทํางาน คือ 20,000 / 25,000 ก็จะเท่ากับ 80% และของ แฟนผมก็คือ 11,000 / 12,000 ก็จะเท่ากับ 92% ซึงจะสงั เกตได้ว่าของแฟนผม มีอตั รากําไรขนั ต้นทีสงู กว่า เห็นแบบนี แล้ว หลายคนก็อาจจะถามวา่ ถ้าเป็ นแบบนีเราเป็ นลกู จ้างก็ดีสิ อตั รากําไร ดีไปหมดเลย.. แต่ช้าก่อน อัตรากําไรมันสงู ก็ จริงแต่เราเพมิ ยอดขายไมไ่ ด้ มนั ก็เลยล๊อคตายอยแู่ คน่ นั แต่แนน่ อนว่ามนั ได้ความมนั คงและเสยี งน้อยกว่าการทาํ กจิ การ.. 12 | P a g e

นอกเรืองไปไกล ผมขอย้อนกลบั เข้ามาทีร้านหมูปิ งของผมนะครับ ซึงเราก็จะสงั เกตเห็นได้ว่า ต้นทุนมนั แบ่ง ออกเป็ น 2 ก้อน สว่ นทีหนงึ กค็ อื ต้นทนุ ขาย และสว่ นทีสอง คือ ค่าบริหารจัดการ ค่าเสือมราคา ดอกเบียและภาษี ซึงถ้า หากวา่ ราคาขายสนิ ค้าของเรา เมือลบกบั ต้นทนุ ขายไปแล้วติดลบ เราก็ไม่ควรจะขายมนั แล้ว เพราะกําไรขันต้นมนั ติดลบ ยงิ ทํายงิ เจ๊ง.. บางคนก็เลยสงสัยว่า “ใครมันจะบ้าไม่รู้ตวั ว่าขายแล้วขาดทุน หรือกําไรขันต้นติดลบ” อันทีจริงแล้วมีครับ โดยเฉพาะอย่างยิงธุรกิจขนาดใหญ่ทีมีโครงสร้างซับซ้อน และมกั จะเกิดจากสินค้าหรือบริหารทีเคยมีกําไรในอัตราสงู มาก่อน และเกิดการเปลียนแปลง ทําให้อัตรากําไรขนั ต้นลดลง แต่รายจ่ายลงตามมาไม่ทัน หรือไม่กล้าลดรายจ่าย บางอย่างลง ซึงถ้าเปรียบเทียบว่าครอบครัวเราเป็ นมอเตอร์ไซด์ พอเจออะไรกระทนั หันเราเบรคทัน แต่ในธุรกิจนัน มนั เหมอื นเป็ นรถเทรลเลอร์บรรทกุ มาเต็มคนั ถงึ จะเหน็ คนอยู่ไกลๆ รู้ว่าจะชน และพยายามจะเบรค บางครังก็เบรคไม่ทนั จริงๆ แตเ่ ชอื ไม๊วา่ ยงั คงมีผ้บู ริหารจํานวนมาก ทีไม่รู้ว่าตัวเองยิงขายยิงขาดทนุ อันเนืองมาจากการ “หลอกตวั เอง” หรือ อาจจะเกดิ จาก การไมส่ ามารถกระจายต้นทนุ คงที ทาํ ให้ไม่สามารถระบไุ ด้วา่ สนิ ค้าใดมีต้นทุนคงทีเท่าใด ทําให้ไม่สามารถ คิดต้นทนุ ขายต่อหน่วยทีแท้จริงออกมาได้ เป็ นต้น (ประเด็นพวกนี ผมจะเอามานําเสนอช่วงกลางๆ เล่ม ตอนนีเราเอา เบอื งต้นไปกอ่ นนะ) โอเค.. ร้านหมปู ิ งของผม ตอนนกี ็จะไมใ่ ช่ร้านหมปู ิ งอีกตอ่ ไป ผมเลง็ เห็นว่าแผงของผมมีขนาดใหญ่พอ ผมจึงเพิม การขายลกู ชินปิ งเข้าไปด้วย โดยปิ งในเตาเดยี วกบั ทีขายหมปู ิ งนนั ละ่ (สงสารคนกินนะ) แต่ผมต้องจ้างคนเพิมอีก อนั ทีจริง มนั จะวเิ ศษมาก ถ้าคนปิ งคนเดิมสามารถปิ งลกู ชนิ ไปพร้อมกบั หมูได้ เพราะต้นทุนคงทีจะถกู ด้วยจํานวนไม้ทีเพิมขึนทันที แตเ่ นืองจากการปิ ง 300 ไม้มนั ก็มากเกินสาํ หรบั คนหนึงคน ผมก็เลยจ้างคนที 2 เข้ามาปิ งลกู ชิน และหากมีเวลาก็ให้ช่วย ปิ งหมูด้วย โดยคนที 2 มีความสามารถในการปิ ง 300 ไม้ต่อวนั เท่ากัน (หลงั จากบทนีไป ผมขอแก้ไขค่าจ้างคนงานใน บทที 1 และ 2 นะครบั จากเดิมทีเขียนไว้วนั ละ 300 บาท แก้เป็ นวนั ละ 400 บาท) กอ่ นทีจะไปถงึ เรืองตาราง ขอเลา่ เกร็ดความรู้อะไรสกั นิด คอื การทีเราเอาของหลายๆอย่างมาขาย อาจจะไม่เป็ น ผลดีเสมอไป เพราะถ้าหากวา่ กาํ ลงั ซือมไี มม่ ากพอและเป็ นสนิ ค้าประเภทเดยี วกัน การทีเราเอาของมาขายเพิมก็จะขายไม่ ออก ยกตวั อย่างเชน่ ถ้ากลมุ่ คนทซี อื หมูปิ งเป็ นกล่มุ เดียวกับทีซือลกู ชิน ก็อาจจะเกิดการแย่งตลาดกนั เอง ภาษาทางการ ตลาดเรียกวา่ “การกินกนั เอง” หรือ Canibalization แต่ในทางกลบั กัน หากว่าเป็ นสนิ ค้าประเภทเดียวกนั แต่มีกําลงั ซือ เหลอื พอทจี ะเปิ ดอกี เฟส ก็อาจจะสามารถเอาของแบบเดียวกนั มาขายเพิมหรือว่าเอาของอืนมาขายเพิมก็ได้ ดังทีเราจะ เห็นวา่ บางทรี ้านสะดวกซอื มีอยใู่ นจดุ เดยี วกนั ถงึ 3-4 ร้าน ทงั ๆ ทีมีระยะห่างกนั เพียง 2 คูหาเท่านนั นอกจากนีเรืองทีน่ารู้ กย็ งั มีอีกนิดหนงึ ก็คือ เรืองของการแบ่งราคาขาย (Price Discremination) กค็ อื บางทถี งึ แม้ตลาดจะมจี ํากัด แต่ก็อาจจะ ทําสินค้ามาหลายเกรดเพือให้ขายแล้วเกิดกําไรสงู สดุ ก็ได้ ยกตวั อย่างเช่นมือถือค่ายหนงึ ทําสินค้าออกมาหลายเกรด เพือกินตลาดทกุ ส่วน คนรวยถ้าหากเลือกได้ก็จะอยากใช้ของทีดีทีสดุ ก็เลยทํามือถือดีๆ มาขายคนรวยในขณะทีของที ราคาตาํ กวา่ กจ็ ะเอามาขายผ้ทู ีมีรายได้น้อยกว่า ทงั ๆ ทีต้นทนุ จริงต่างกนั ไม่มากและประสทิ ธิภาพก็อาจไม่ได้ต่างกันมาก เมือเทยี บกบั ราคาทตี ่างกนั เป็ นต้น 13 | P a g e

จากตาราง เราก็จะเหน็ ได้ว่า ถ้าหากขายลกู ชนิ ปิ งและขายได้เยอะถงึ 300 ไม้ ก็จะมีกําไรมาช่วยหมูปิ งถงึ วันละ 250 บาททีเดียว ซึงรายรับจากกําไรขันต้นของลูกชินปิ งตรงนี ก็จะมาช่วยจ่ายในส่วนของต้นทุนค่าบริหารจัดการ ค่าเสอื มราคาและดอกเบียจ่าย ให้หมปู ิ งเบาแรงลง และถ้าเราสงั เกตดีๆ เราก็จะพบอีกประเด็นว่า แต่เดิมทีเราเคยบอกว่า ถ้าขายหมปู ิ งไม่ถงึ 300 ไม้ เรากอ็ าจจะไมก่ ําไรหรืออาจจะถงึ ขนั ขาดทนุ ด้วยซาํ (เช่นถ้าขายได้แค่ 100 ไม้) การมีลกู ชินปิ ง ก็อาจจะกลายเป็ นว่า หากลกู ชนิ และหมปู ิ งขายรวมกนั ไมเ่ กนิ 300 ไม้ ผมอาจจะไม่ต้องจ้างคน 2 คนก็ได้ เพราะคนเดียว ก็ปิ งไหว ทําให้สถานการณ์ทหี มปู ิ งทีอาจจะขาดทุนหากขายไม่ถึง 100 ไม้ กลบั มามีกําไร ภายใต้เงือนไขทีว่าจะต้องขาย รวมกบั ลกู ชนิ ปิ งให้ได้ 200 ไม้ ซงึ เป็ นเรืองทงี า่ ยกวา่ หรืออาจจะบอกว่า “ลกู ชินมาช่วยหมปู ิ ง ในแง่ทีว่า มาช่วยหารต้นทนุ คงที หรืออาจกล่าวได้ว่ามาช่วยให้การใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพดียิงขึนนันเอง” ตรงส่วนนีล่ะทีคลาสสิคและ พลกิ แพลง กาํ ไรของหลายๆ กิจการมาจากตรงนี เพราะว่าเวลาเรียกเก็บตงั ลกู ค้าเรียกเก็บเต็มๆ ซงึ เท่ากบั ว่าได้ค่าต้นทุน มาเตม็ ทีแล้ว แต่เอา Capacity ทีเหลอื ไปทํางานสง่ ลกู ค้าอีกราย ซึงต้นทนุ บางสว่ นนีไม่มีแล้ว (เพราะเก็บจากลกู ค้าเจ้า แรก) แตก่ ย็ งั เรียกเก็บกับลกู ค้าอีกราย กําไรมันอย่ตู รงนี ลองดใู นตารางก็ได้ ว่าถ้าหมปู ิ งหรือลกู ชิน อนั ใดอันหนงึ ไม่ต้อง จ่ายค่าคนปิ ง กาํ ไรขนั ต้นมนั จะสงู ขนาดไหน... แต่ลกู ค้าทรี ู้ทนั กจ็ ะขอตอ่ รองราคาอยดู่ ี เพราะในโลกของธุรกิจ “ไม่มีใครโง่” มีแต่ “แกล้งโง”่ เท่านนั เอง.. บทนีเอาเทา่ นีกอ่ นดีกวา่ .. 14 | P a g e

บทที 4 ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (Sale, general and administration cost - SG&A) ก่อนทจี ะเข้าสเู่ นือหา ผมอยากจะลองเปรียบเทียบระหว่าง “ระบบการเงินของครอบครัว” กับ “ระบบการเงินของ บริษัท” กนั สกั หนอ่ ยท่าจะมปี ระโยชน์และได้แนวคดิ เพมิ เติม.. จากบททีแล้ว เราก็ได้ทราบถงึ กําไรขันต้นแล้ว ซงึ ถ้าอย่ใู นรูปแบบของครอบครัวก็คือ รายรับสทุ ธิหลงั จากหัก รายจา่ ยของหนว่ ยสร้างรายได้ของครอบครวั (ปกตกิ ็จะเป็ นพอ่ กบั แม่) สมมติรายรบั รวมกนั 50,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายใน การไปทํางาน 20,000 บาท ก็เท่ากับว่าเหลือกลบั มาบ้านในแต่ละเดือน 30,000 บาท ซงึ ถ้าหากว่าอย่กู ันแค่สองคนสามี ภรรยา อาจจะมีเพียงค่าใช้จ่ายส่วนกลางแค่อาหารและทีพัก อาจจะสักเดือนละ 10,000 บาท ทําให้เหลอื เก็บจริงๆ 20,000 บาท แต่ถ้าเป็ นครอบครวั ใหญ่หน่อยทีมีลกู หลายคน ก็อาจจะมรี ายจ่ายคา่ กินเพมิ ขึนมาอีก จนทําให้ไม่เหลอื เก็บก็ เป็ นได้ และบางครงั ถงึ แม้วา่ จะมเี งนิ เหลอื เก็บมากๆ เราก็อาจจะนาํ เงนิ ไปเทยี วโนน่ นีเพือให้รางวลั กับชีวิต เงินทีเหลือนอน นงิ ๆ ในบญั ชีก็คือ “เงินเกบ็ ” ของเรา ซงึ แนน่ อนวา่ ครอบครัวทเี ลก็ ก็จะมีโอกาสมี ”เงินเก็บ” มากกว่าครอบครัวใหญ่ เพราะ ภาระน้อยกวา่ .. ในรูปบริษัทก็เช่นเดียวกัน หน่วยผลติ ก็ทําการสร้ างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมีหน่วยสนบั สนนุ ได้แก่ สว่ นกลางทีทําหน้าทีโฆษณา พฒั นาวิจัย การเงินและบริหาร ซึงถ้าหน่วยผลติ หากําไรขนั ต้นมาได้ไม่มากพอ ธุรกิจก็จะ ลม่ สลาย คือ ธรุ กิจจะไม่มี “เงนิ เก็บ” หรืออาจจะ “ขาดทนุ ” นนั เอง ค่าใช้จ่ายสว่ นกลางครงนี ภาษาทางบัญชี จะบันทึกไว้ ว่า “ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร” นันเอง ซงึ ผ้อู ่านก็คงจะนกึ ภาพตามได้ว่า ถ้าหากค่าใช้จ่ายสว่ นนีสงู บริษัทก็ จะต้องพยายามทําให้กาํ ไรขนั ต้นสงู พอทีจะครอบคลมุ ค่าใช้จ่ายสว่ นนจี นทําให้เกิด “กําไร” หรือ “เงนิ เก็บของบริษัท” ทีนเี รามาดรู ายละเอียดกนั .. “ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร” ประกอบไปด้วยสว่ นประกอบหลกั 2 ส่วน ได้แก่ สว่ นที 1 ค่าใช้จา่ ยในการขายและการทาํ การตลาดตา่ งๆ ได้แก่ คา่ โฆษณา ค่าจ้างพรีเซนเตอร์ เป็ นต้น และสว่ นที 2 ก็คอื สว่ นของการบริหารจดั การสว่ นกลาง ได้แก่ เงินเดือนพนักงานส่วนสนับสนนุ เช่น เจ้าหน้าทีบัญชี นิติกร ฝ่ ายพัฒนา ธุรกิจ หรืออืนๆ อีกมากมาย ความคิดเห็นโดยสว่ นตวั ของผม มันคือค่าใช้จ่ายสว่ นทีผมอาจจะพูดได้ว่า “เป็ นเส้นบางๆ ระหว่างความจําเป็ นต้องมีกับความฟ่ ุมเฟื อย” ทําไมผมถึงคิดเช่นนนั ล่ะ เพราะค่าใช้จ่ายส่วนนี เป็ นค่าใช้จ่ายทีบริษัท “จําเป็ นต้องมี แต่บางครังมีมากจนเกินไป” ยกตัวอย่างเช่น เรารู้ว่าบริษัทต้องมีนิติกร เพือทําเรืองสญั ญาต่างๆ แต่ถ้ามี หลายคนกอ็ าจจะเป็ นต้นทนุ ทีสงู เกนิ ไป หรือการโฆษณาก็เช่นเดียวกัน เราไม่รู้หรอกว่าโฆษณาออกทีวีไปแล้ว ยอดขายที โตตามมาเป็ นเพราะวา่ ได้ “ออกทีวี” หรือว่าเป็ นเพราะว่าโปรโมชนั โดนใจอยู่แล้ว “ไม่ต้องโฆษณาก็ขายได้” ด้วยเหตุนี มัน จงึ เป็ นสงิ ทีผมให้นยิ ามว่า “เป็ นต้นทุนทีผมไม่สามารถ matching ได้ ระหว่างสิงทีผมได้รับมากับสงิ ทีได้จ่ายออกไป หรือ สามารถ matching ได้น้อย” ซงึ แตกตา่ งจากการคํานวณต้นทนุ ขายและการหากําไรขนั ต้น ซงึ ทาํ ได้ง่ายกว่า.. เรามายกตวั อยา่ งกนั สกั หน่อย จะได้ทบทวนเนือหาในบทก่อนด้วย... 15 | P a g e

สมมติว่า ต้นทนุ ขายหมปู ิ งเฉลยี ที 2 บาท ขายออกได้ไม้ละ 5 บาท เราเกิดกําไรขนั ต้น 3 บาทต่อไม้ ทีนี ถ้าร้าน ของผมมีต้นทนุ ค่าบริหารจัดการวนั ละ 600 บาท หมายความว่า ผมจะมีกําไรจริงๆ หลงั จากขายได้แล้ว 200 ไม้นันเอง และถ้าผมบอกวา่ อยากจะเร่งยอดขาย ผมก็ไปจ้างเดก็ มาตะโกนหน้าปากซอย โดยให้ค่าจ้างวันละ 300 บาท มนั ก็เท่ากบั ว่า ผมจะต้องมียอดขายเพิมให้ได้อีกอย่างน้อย 100 ไม้จึงจะครอบคลมุ ค่าใช้จ่ายส่วนนี และการให้เด็กไปตะโกน ปรากฏว่าวนั นนั ผมขายได้เพิมขึน 300 ไม้ ผมก็อาจจะปักใจเชือว่า “การจ้างเด็กมาตะโกน” ทําให้ยอดขายโต ซึงอาจจะ เกยี วหรือไม่เกยี วก็ได้ แตอ่ ย่างไรก็ตาม ผมกไ็ ด้ตดั สนิ ใจจ้างเด็กมาตะโกนเพิมอีก 2 คน รวมเป็ น 3 คน มีค่าใช้จ่ายในการ จ้างเดก็ เพิมขึนเป็ น 900 บาทต่อวัน ทําให้ต้นทุนค่าบริหารจัดการของผม ทีเดิมมีเพียง 600 บาท กลายเป็ น 1,500 บาท และผมต้องขายให้ได้ 500 ไม้ถงึ จะเริมมกี าํ ไร.. ถงึ แม้เราจะดวู า่ ค่าใช้จ่ายตรงนี เป็ นค่าใช้จ่ายทีจําเป็ นจะต้องพยายามควบคมุ ให้มีประสิทธิภาพทีสดุ แต่การที บางบริษัททุ่มงบโฆษณาหรืออัดค่าใช้จ่ายทางการตลาดไปเป็ นจํานวนมาก ก็อาจทําให้บริษัทสามารถ “สร้ างแบรนด์” ซงึ หมายถงึ “ความเชือถอื ในคณุ ภาพของสนิ ค้า หรือภาพลกั ษณ์ทหี รูหราทาํ ให้ผ้บู ริโภคดูมีระดบั ” ได้สําเร็จ ส่งผลให้สินค้า ของบริษัททีมีคณุ ภาพใกล้เคียงกบั ค่แู ข่งสามารถขายได้ทรี าคาสงู กวา่ 20-50% โดยทผี ู้บริโภคซือหามาใช้ด้วยความเต็มใจ (เชือไม๊ว่า.. ต้นทุนของผลิตภัณฑ์บํารุงผิวบางยีห้อมีสดั ส่วนค่าใช้จ่ายในการทําการตลาดและโปรโมชันสงู ถงึ 35-40% ของต้นทนุ รวม ซงึ หมายความว่า สนิ ค้าทเี ราซอื ในราคา 100 บาท อาจจะมีต้นทนุ คา่ ประชาสมั พนั ธ์ถงึ 40 บาททีเดียว) ขณะเดียวกัน ในด้ านของค่าใช้ จ่ายในการบริหาร บางธุรกิจก็อาจจะจําเป็ นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ จ้างพนกั งานทมี ีความเชียวชาญ มาดแู ลจดั การระบบสว่ นกลาง (อย่างเช่นพวกกิจการทีมีสาขามากมาย) หรืออาจจะต้อง มีนิติกรและพนกั งานบญั ชีอย่จู าํ นวนมาก (สาํ หรับกจิ การทีเกียวข้องกบั กฏหมายหรือการเงิน) ทําให้ตวั เลขสว่ นนีดสู งู มาก จะเหน็ ได้ว่า การที “คา่ ใช้จ่ายในการขายและการบริหาร” มีสดั สว่ นทีสงู หรือตํา ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็ นบวก หรือเป็ นลบ เพราะมันแล้วแต่โครงสร้ างของกิจการ ดังนนั เพือให้เราสามารถนําความรู้ส่วนนีไปใช้ได้จริงสาํ หรับการ “ส่องกิจการ” ว่ามันปกติดี หรือดีขึนหรือแย่ลง วิธีการก็คือ เราต้ องนํา “ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร” มา เปรียบเทยี บในมติ ิต่างๆ ดงั นี (อนั นีคือเทา่ ทีผมพอจะมีความรู้ ซงึ อาจจะมที า่ นอนื ทีมวี ธิ ีทดี กี วา่ ครับ) มิติแรกทีเราทําได้ก็คือ “เปรียบเทียบตัวมันเอง” เทียบไตรมาสต่อไตรมาส หรือปี ต่อปี ว่าค่าใช้จ่ายสว่ นนีงอก ขนึ มาหรือไม่ หรือมันลดลงไป เพราะแต่ละกิจการทีมีเสถียรภาพ ค่าใช้จ่ายเหล่านีมันจะไม่ “บวม” ซึงถ้ามัน “บวม” มนั จะต้องมีอะไรเกิดขึน ยกตัวอย่างเช่น ชาเขียวเจ้าเก่า ซึงถูกชาเขียวเจ้าใหม่ เข้ามาตีตลาด ก็อาจจะมีต้นทุนด้าน การตลาดสงู ขนึ แบบผิดหผู ิดตา เพราะอยใู่ นสภาวะทีต้อง “ส้”ู กบั รายใหม่ เป็ นต้น การเปรียบเทยี บลกั ษณะนี ทําให้รู้ความ เป็ นไปของบริษัทมากขนึ วา่ มที รงเป็ นอยา่ งไร หรือบริษัท “กําลงั เสยี หลกั ” อยู่ มิติทีสองก็คือ “เปรียบเทียบตัวมนั เองกบั อุตสาหกรรม” ว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี มีสดั ส่วนเป็ นอย่างไร เมือเทียบกับ ต้นทนุ รวม เพราะว่ามนั มีกิจกรรมทีใกล้เคียงกนั ยกตวั อย่างเช่น บริษัท 3 บริษัท A B และ C ขายสินค้าประเภทเดียวกนั มีต้นทนุ การบริหารจัดการ คิดเป็ น % อยู่ทีเฉลีย 30% ถ้าวันดีคืนดี บริษัท A กลับมีค่าใช้จ่ายสว่ นนีกลายเป็ น 40% 16 | P a g e

โดยทรี ายอนื ไมเ่ พิมขนึ แสดงว่าต้องมีอะไรพิเศษ การจ่ายเงินออกไปต้องมีเหตุผล ถ้าบริษัท A มีกําไรเพิมสงู ขนึ จากเงิน ทีลงไปก็คงไมเ่ ป็ นไร แต่ถ้าไมใ่ ช่ เรากต็ ้องนาํ ไปพจิ ารณาวา่ เกดิ อะไรขนึ และเมือพิจารณาควบค่ไู ปกบั “การเปรียบเทียบตวั มนั เอง” แล้ว เรากอ็ าจจะพอทราบได้วา่ บริษัท “กําลงั เพลยี งพลาํ เสยี ทา่ ” หรือไม่ มติ ทิ สี าม ก็คือ “เปรียบเทยี บขนาดของธุรกิจ” เพราะจากข้อสองทีเรา ”เปรียบเทียบตวั มนั เองกับอุตสาหกรรม” เราอาจจะบอกวา่ “บริษัท A มตี ้นทนุ สงู กว่า B และ C ตลอดเลย” ดงั นนั A จงึ เป็ นบริษัททีแย่กว่า.. ซงึ อันนีก็อาจจะไม่จริง เสมอไป เพราะบริษัททีใหญ่กว่า มีการขยายงานมากกว่า ย่อมต้องมีต้นทุนของความซับซ้อน (Cost of complex) ทีมากกว่า ยกตวั อย่างเชน่ สมมติผมใช้พืนทีบ้านของตวั เองเพือเปิ ดร้านสะดวกซือ ต้นทนุ ค่าบริหารจัดการสว่ นกลางของ ผม อาจจะตาํ กว่าร้านสะดวกซอื รายใหญ่ทีมสี าขามากมาย เพราะจ้างตวั เองและคนทบี ้านมาทํางานโดยไม่มีระบบอะไรให้ ย่งุ ยาก แต่ผมอาจจะเสยี เปรียบในด้านต้นทุนสนิ ค้าหรือการบริหารจดั การทีมีประสิทธิภาพ ทําให้ผมเกิด “ส่วนรัวไหล” ในธรุ กิจมากมาย ทนี พี อผมเริมรู้สกึ ถงึ เรือง “ความรวั ไหล” นไี ด้ป๊ บุ ผมกเ็ ลยไปเอาระบบมาลง จ้างคนทีมีความชํานาญเข้า มาทาํ งาน เสยี ค่าจ้าง ”คนดแู ลระบบ” สดุ ท้าย ก็กลบั กลายเป็ นว่า ต้นทุนการบริหารจัดการของผม “มีสดั สว่ นทีพอๆกนั หรือสงู กว่า” รายใหญ่ข้างต้น มิหนําซําผมมีแค่สาขาเดียว ไม่มีคนมาช่วยแชร์ “ค่าจ้างคนมาดูแลระบบ” ทีลงทุนไป ซงึ ก็จะเห็นได้ว่า เราควรต้องพิจารณาด้วยวา่ กิจการทีมตี ้นทนุ การบริหารจดั การสงู ก็เป็ นไปเพือการดแู ลรองรับการขยาย งาน ซึงรายทีเล็กกว่าอาจไม่สามารถขยายงานได้ เหมือนกันรายใหญ่ก็เป็ นได้ (หรือขยายไปแล้วอาจจะเละ) แต่อย่างไรก็ตามผมก็เห็นหลายบริษัทที “จิวแต่แจ๋ว” คือ บริษัทเล็ก ระบบดี ควบคมุ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางได้รัดกุม แต่ โดยมากมนั เป็ นห้นุ ที “ราคาสงู ” แล้วนสี คิ รบั เรียกวา่ มาเจอเมอื สายไป เพราะสายตายงั ไม่เฉียบคมพอ บางคนเค้าเห็นล่วง มาเป็ นปี เราเพมิ มาเหน็ ตอนราคาวิงไปไกลแล้ว.. ผมว่าผมน่าจะอธิบายในเรืองของ “ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร” ค่อนข้างจะครบถ้วนพอสมควรแล้ว บทตอ่ ไป เราจะได้มาเรียนรู้เกียวกับพระเอกตัวหนงึ ในงบการเงิน นนั ก็คือ “กําไรก่อนหักภาษี ดอกเบียและค่าเสือม ราคา” หรือ ทีเราได้ยนิ บอ่ ยๆ วา่ Earning Before Interest, Tax, Depreciation and Amortization (EBITDA) แต่ก่อนทีจะจากกันไปในบทนี ผมจะเอาตารางทีโหลดจากงบการเงินทีแจกใน www.set.or.th มาให้ ดู เป็ นตวั อยา่ ง วา่ ข้อมลู ทางการเงนิ ทงั หลายเหลา่ นี อย่ใู นมือเราทงั สิน สามารถโหลดได้ในงบการเงินฉบับเต็ม ทีทกุ บริษัท ต้องสง่ ในทกุ ไตรมาส และเราสามารถโหลดมาอ่านได้ฟรี เพียงแค่เรามีอนิ เตอร์เน็ทและความเข้าใจทีดีเพียงพอ เราก็จะหา มนั พบ และวิเคราะห์มนั ได้ ซงึ ก็เป็ นวตั ถปุ ระสงค์ทเี ราต้องมาเรียนรู้กนั ในเลม่ นคี รบั .. (สงั เกตได้ว่ารายละเอียดเค้าทําเปรียบเทยี บมาให้ด้วยนะเออ แต่ก๊อปรูปมาไมถ่ งึ หน้าจอสนั ไปนดิ ) 17 | P a g e

18 | P a g e

บทที 5 กําไรก่อนหักภาษี ดอกเบียและค่าเสือมราคา(Earning Before Interest, Tax, Depreciation and Amortization - EBITDA) บทนีอาจจะเป็ นบทหนึงทีสําคัญทีสุดในเล่มนี เพราะเป็ นส่วนทีผู้อ่านจะได้ นําไปวิเคราะห์หุ้นได้ อย่าง มีประสทิ ธิภาพและอาจนําไปสคู่ วามสาํ เร็จในการลงทนุ ซงึ ผมจะพยายามอธิบายให้ละเอียดทีสดุ เทา่ ทีจะทําได้นะครับ.. ตอนนีมาถงึ สว่ นของ EBITDA ซงึ เราจะได้ยนิ กนั บอ่ ยๆวา่ นกั วเิ คราะห์ทางการเงินชอบดู EBITDA ชือเต็มๆ ก็คือ Earning Before Interest, Tax, Depreciation and Amortization หรือ “กําไรกอ่ นหกั ภาษี ดอกเบยี และคา่ เสอื มราคา” ในบทก่อนๆ เราได้ทราบถึงต้นทุนขายและต้นทุนด้านการขายและบริหารเป็ นทีเรียบร้ อยแล้ว ต้นทนุ ข้างต้นนี ประกอบรวมกนั เป็ น “ต้นทุนการดําเนินงาน” ซึงเมือหักจากรายรับทีได้ ก็จะได้เป็ น “กําไรก่อนหกั ภาษี ดอกเบียและ ค่าเสอื มราคา” ซงึ บางคนสงสยั ว่าในทางบญั ชีแล้วนนั ทําไมต้นทนุ ทางการเงิน (ดอกเบีย) และค่าเสือมราคา ถึงไม่ถูกเอา มารวมใน “ต้นทุนการดําเนินงาน” ระบบบัญชีมีเหตผุ ลอะไรหรือ... ซึงเหตผุ ลก็คือ ต้นทนุ ค่าเสอื มราคาและต้นทนุ ทาง การเงนิ (ดอกเบยี ) ไม่ได้เกียวข้องโดยตรงกบั ความสามารถในการดําเนนิ งานน่ะส.ิ . เพราะค่าเสอื มราคา เป็ นค่าใช้จ่ายทีไม่ได้จ่ายออกไปจริงใน “งบกําไรขาดทนุ ” เนืองจากว่าได้ทําการลงทุนไป ตังแต่ต้ นแล้ว เพียงแต่รอเวลาในการตัดค่าเสือมให้หมดในทางบัญชี (เราจะได้ เรียนรู้กันในบทต่อไปทีเกียวกับ คา่ เสอื มราคา) ในขณะทตี ้นทนุ ทางการเงิน หรือภาระดอกเบียตา่ งๆ ถ้าหากมกี ารเพมิ ทนุ หรือหาแหลง่ ทนุ ในราคาถูกเข้ามา ก็จะไม่มีค่าใช้ จ่ายตรงนีหรือมีน้ อยลง ซึงจะเห็นได้ ว่าทังสองรายการนี เป็ นรายการทีตัวแปรไม่ได้ เกียวข้ องกับ การดําเนินงานมากนกั และเพือให้เข้าใจมากขนึ ยกตวั อยา่ งสกั หน่อยดีกวา่ สมมติบริษัท A มีรายได้อยู่ที 100ล้านบาท ต้นทุนการดําเนินงานมีจํานวน 70ล้านบาท เท่าว่า %EBITDA อย่ทู ี 30% ซงึ ถือวา่ สงู ทีเดยี ว แต่ปรากฏว่าบริษัท มีหนีสนิ อยู่ทีประมาณ 200ล้านบาท ทําให้เกิดดอกเบียจากเงินกู้สงู ถึง 30ล้านบาทและมีค่าเสือมราคาตดั จ่ายในปี นนั อีก 20ล้านบาท กลบั กลายเป็ นว่ารายรับที 100 ล้านบาท ไม่เพียงพอต่อ ต้นทนุ ทงั หมด ทําให้ขาดทนุ ไป 20ล้านบาท (รายรับ 100 ล้านบาท รายจ่าย = 70+30+20 = 120ล้านบาท) การขาดทุน 20 ล้านบาทนี คอื กําไรขาดทนุ ก่อนหกั ภาษีครับ (ซงึ เราจะได้อธิบายกนั อย่างละเอยี ดในบทต่อๆไป) ทีนีกล่มุ เจ้าของบริษัท A ก็เลยบอกว่า ไม่เอาละ!! ทํามาก็เอาไปใช้หนีหมด เอาเงินตวั เองมาเพิมทุนซะเลย จงึ ลงเงนิ เพิมเข้าไป 200ล้านบาท ถ้าเหตกุ ารณ์ทกุ อย่างยงั เหมือนเดิม รายรับและต้นทุนการดําเนินงานของบริษัทยงั คง เท่าเดิม มนั กเ็ ทา่ กบั วา่ กิจการนจี ะประหยดั ต้นทนุ ทางการเงนิ ไปได้ 30ล้านบาท ทาํ ให้กิจการทีปี กลายขาดทนุ 20ล้านบาท พลกิ กลบั มามีกําไรที 10ล้านบาททนั ที ต่อมากล่มุ เจ้าของบริษัท A ก็รู้อีกว่าค่าเสอื มราคาทีเกิดขนึ นี มาจากการลงทุน รถบรรทุกทีมีการตัดค่าเสอื มราคา 5 ปี และปี นีเป็ นปี สดุ ท้าย คือ ปี ที 5 แล้วเช่นกนั (ในปี หน้ามูลค่าซากในทางบัญชี จะเหลอื 1 บาท) ดงั นนั ต้นทนุ คา่ เสอื มราคาอีก 20ล้านบาทก็จะหมดไป และปี ตอ่ ไปบริษัทก็จะมีกําไรสงู ขึนอีก 20ล้านบาท 19 | P a g e

กลายเป็ นว่าผลของการเปลยี นแปลงโครงสร้างเงินทนุ ทาํ ให้ต้นทนุ ทางการลดลงและการทีค่าเสือมราคาหมดลงด้วยพร้อม กนั จะทาํ ให้กิจการทีเมอื ปี กลายขาดทนุ 20ล้านบาท กลายมาเป็ นกาํ ไร 30ล้านบาททนั ที.. จากตัวอย่างข้างต้น เราก็จะเห็นว่า ทังต้นทุนค่าเสือมราคาและต้นทนุ ทางการเงิน เป็ นต้นทนุ ทีถงึ แม้ว่าจะมี ผลกระทบตอ่ งบกาํ ไรขาดทนุ ของบริษัท แต่เป็ นเรืองทางบญั ชแี ละสามารถแก้ไขได้โดยทีอาจจะใช้กลไกทางการเงินและไม่ ต้องพึงพาความสามารถในการดําเนินงาน และนีแหละคือประเด็นสาํ คญั ทีบรรดานักวิเคราะห์หรือเซียน VI ทังหลาย ใช้จดุ นีในการเข้าเลอื กลงทนุ ในห้นุ .. เพราะกลยุทธ์หนึงทีสําคญั ในการวิเคราะห์ก็คือ การดวู ่า EBITDA มีความสมําเสมอและมีการเติบโตหรือไม่ เพราะมนั หมายถงึ “ความสามารถทีแท้จริงของกจิ การ” และถ้าเค้าพบว่ามีบางกิจการทีมีการปรับเปลยี นโครงสร้างเงินทุน หรือว่า “หนีลดฮวบๆ” อารมณ์ประมาณว่าบริษัทไม่เอากําไรมาปันผล แต่เอาไปจ่ายหนี เค้าก็จะฟันธงว่าปี หน้ากําไรก็จะ “โตแบบก้ าวกระโดด” ในขณะเดียวกันทีผู้ทีมีความรู้ถึงขนาด “เซียนเหยียบเมฆ” อาจจะสามารถแกะรอย “ค่าเสอื มราคาสะสม” ทําให้ทราบว่าปี หน้าค่าเสอื มราคาจะลดลง (อันทีจริงเรืองนี ผู้บริหารจะรู้ดีทีสดุ เพราะเป็ นผู้จัดทํา บญั ช)ี และทาํ ให้กาํ ไรดีดตวั มหาศาลก็เป็ นได้ ซึงตรงนีผมขอเก็บไว้เลา่ ในบทของค่าเสอื มราคาและต้นทุนทาการเงินแล้ว กนั ครับ เราก็จะเห็นได้ว่าการที EBITDA มีกําไรสมําเสมอก็เป็ นเรืองทีดีแล้ว ในบางโมเดลของบางธุรกิจ ระบบการ ดําเนินงานทีมีเสถียรภาพ ก็ทําให้ EBITDA เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างชดั เจน ผ่านความสามารถในการจัดการ “ต้นทนุ ขาย” และ “ต้นทนุ ด้านการขายและการบริหาร” ซงึ ผมจะขอลองยกตวั อย่างให้เป็ นรูปธรรม ดงั นี ข้อแรก การเติบโตของกิจการทําให้ “ต้นทุนขาย” ลดลง นนั เพราะว่าเวลาทีผลติ เพิมขึน ทําให้มีอํานาจต่อรอง มากขึน ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบต่อหน่วยลดลง นอกจากนี อาจทําให้เกิด “การประหยัดต่อขนาด” หรือทีเรารู้จักกันว่า “Economy of scale” เชน่ ว่าผลติ ทีละ 2,000,000 ชิน กต็ ้องวอร์มเครืองหรือมี start up cost ด้วยค่าไฟฟ้ า 500,000 บาท การผลติ ที 4,000,000 ชิน ก็อาจจะไม่ต้องจ่ายค่าวอร์มเครืองแล้ว เพราะเราเลือกทีจะผลิตไปพร้อมกันเลย ซึงก็อาจจะ ทาํ ให้ต้นทนุ รวมลดลงได้มากถงึ 5-20% ทเี ดยี ว ข้อทีสอง การเติบโตของกิจการ ก็อาจจะทําให้การบริหารส่วนกลางสามารถ “ใช้ทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพดี ขนึ ” ซงึ ก็เป็ นหลกั “Economy of scale” เชน่ เดยี วกนั ยกตวั อย่างเช่น ระบบงานทีใช้ซอฟท์แวร์บริหารจดั การ และต้องจ้าง” คนดูแลระบบ” จํานวน 5 คน เปิ ดแฟรนด์ไชส์สะดวกซือ 200 สาขา ก็ต้องมีคนดูแลระบบ 5 คน พอขยายมาเป็ น 2,000 สาขา กอ็ าจจะจ้างเพมิ เพียงแค่ 2 คน รวมเป็ น 7 คน ในขณะทีสาขาเพิมขนึ มาตัง 10 เท่า (1,000%) แต่ค่าใช้จ่าย สว่ นนเี พมิ ขนึ เพยี ง 40% เทา่ นนั หรืออย่างเรืองปลกี ย่อย เช่น พนักงานบัญชีเดิมมี 10 คน การขายสินค้าเพิมขนึ อาจจะ เป็ นแคก่ ารกรอกตวั เลขเพมิ โดยทีไม่ต้องใช้พนกั งานเพิม หรือคดีความทีเดมิ มี 10 คดี อาจจะเพิมมาเป็ น 15 คดี ในขณะที ยงั จ้างนติ ิกร 2 คนเช่นเดิม 20 | P a g e

ทงั สองข้อตรงนีละ่ ทที าํ ให้ EBITDA ทไี ม่เพยี งแต่กาํ ไรจะโตขนึ แต่ % ของ EBITDA ก็จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วย ในลกั ษณะทีเรียกว่า “ยอดขายโต แตต่ ้นทนุ ไมโ่ ตตาม” สง่ ผลให้ “กําไรเต็มๆ เน้นๆ เนือๆ” ซงึ หากทีสามารถวิเคราะห์ ตรงจุดนีได้ และเข้าลงทนุ ในจงั หวะที “คาบลกู คาบดอก” หรือ “กําลงั เปลียนผ่าน” หรือทีเค้าพูดกันอย่างติดปากว่า “กาํ ลงั Turnaround (ทงั ๆ ทีมนั ไม่ได้ Turn มนั เป็ นธรรมชาตขิ องมนั อยู่แล้ว มันแค่รอเวลากระโดด)” ก็จะสามารถทํากําไร จากการลงทนุ หรือแม้แต่รอรบั “เงนิ ปันผล” ทีจะมีอย่างมหาศาลในอนาคต อยา่ งมิพกั ต้องสงสยั .. สดุ ท้ายนี ผมเชือว่าบทนีจะทําให้เกิดผ้อู ่านเกิดไอเดีย ในการ “เร่งเปิ ดตวั เลขทางการเงิน เพือค้นหา EBITDA” ของบริษัททเี ราสนใจ มาวเิ คราะห์กนั อย่างละเอียดมากขนึ แล้ว บทตอ่ ไป เราจะมาเรียนรู้กนั ถงึ เรืองของคา่ เสอื มราคากนั ครบั .. 21 | P a g e

บทที 6 ค่าเสือมราคาและค่าตดั จาํ หน่าย (Depreciation and Amortization) ในการเริมต้นหน่วยธุรกิจ หรือแม้ แต่โครงการลงทุนใหม่ๆ เรามักจะเจอต้นทุนอยู่ตัวหนึง ทีเรียกกันว่า Pre-operating costs หรือต้นทุนทีลงไปก่อนทีจะเริมดําเนินธุรกิจ ค่าใช้จ่ายตรงนีบางครังเป็ นพวกสินค้าทุน เช่น เครืองจกั ร โรงงาน ยานพาหนะ หรือบางครังก็เป็ นสิงทีไม่มีตัวตน (Intangible asset) เช่น พวกค่าลิขสทิ ธิ ค่าสทิ ธิบัตร หรือซอฟท์แวร์ต่างๆ ต้นทนุ พวกนีเป็ นค่าใช้จา่ ยทีก้อนใหญ่ และไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายได้ใน 1 ปี ทําให้เกิดตัวเลขในทาง บญั ชีทีเราจะได้มาดกู นั ในบทนี นนั ก็คือ ค่าเสอื มราคาและค่าตดั จําหน่าย (Depreciation and Amortization) เพือให้เห็น ภาพชดั เจน เรามาดตู วั อย่างกนั เลย สมมติว่าผมซือรถบรรทกุ คนั หนงึ มาในราคา 3,000,000 บาท (รถบรรทกุ คันนีอาจจะสามารถใช้งานได้ถึง 15 ปี ) ซึงถือว่าเป็ นต้นทุนทีผมลงเงินไปแล้ว ในปี ทีผมซือมานนั หากผมทํากําไรก่อนหักค่าเสือมราคาได้ที 2,000,000 บาท ปรากฏว่าปี ที 1 ทซี ือรถมานี ผมขาดทนุ ทนั ที 1,000,000 บาท (3,000,000 - 2,000,000) ทา่ ทางกจิ การนีจะแย.่ . แต่เอ๊ะมนั ดแู ปลกๆ ไม๊นะ.. มนั ก็คงต้องแปลกละ่ เพราะรถคนั นี สามารถใช้งานได้ถึง 15 ปี ทําไมถึงเอาราคาของรถทังจํานวนที 3,000,000 บาท มาคดิ คํานวณเป็ นคา่ ใช้จา่ ย ถ้าจะให้สะท้อนกับความเป็ นจริง เราก็ต้องเอาเงินทีลงทุนรถจํานวน 3,000,000 บาทนี มาหารเฉลยี ตามนโยบายบญั ชี ซงึ ถ้าหากว่าเราตัดค่าเสือมราคาที 5 ปี ก็เท่ากับว่า แต่ละปี เราจะหกั ค่าเสอื มเป็ นจํานวน เงิน 600,000 บาท ซงึ หากเราบอกว่าทํากําไรก่อนหกั ค่าเสอื มราคาได้ที 2,000,000 บาท ดังนนั ในปี ที 1 กําไรหลงั จากหกั ค่าเสือมราคาก็จะกลายเป็ น 1,400,000 บาท ทีนีการตัดค่าเสือมจะมากจะน้อยก็ขึนอยู่กับนโยบายทางบัญชีและ มาตรฐานบัญชีทีเค้าจะมีกําหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ าเป็ นทีดินไม่มีค่าเสือมราคา ถ้ าเป็ นอาคารสํานักงานตัด ค่าเสอื มราคา 20 ปี ถ้าเป็ นยานพาหนะ ตดั ค่าเสอื มราคาที 5 ปี เป็ นต้น ดงั นนั พอตัดค่าเสอื มปี สดุ ท้าย ค่าเสือมราคาจะ หมด เทา่ กบั ว่าสนิ ค้าทนุ ชินนนั มีคา่ เสอื มราคาเหลอื ที 1 บาท ในทางเดียวกัน สําหรับสินค่าทีไม่มีตัวตน เราจะเรียกต้นทุนว่า ยกตัวอย่างเช่น ค่าลิขสิทธิ ในการผลิตยา หากซือมาในราคา 150,000,000 บาท ได้สิทธิมาผลติ 10 ปี เราตดั สินใจว่าจะหักค่าเสอื มที 10 ปี ก็จะต้องทําการบันทึก ต้นทนุ ในงบกําไรขาดทนุ ปี ละ 15,000,000 บาท แตถ่ ้าคดิ จะตดั จาํ หนา่ ยที 5 ปี ก็จะกลายเป็ นปี ละ 30,000,000 บาท ตรงนีละ่ ทบี ญั ชีมนั ดินได้ (จริงๆ มนั ดนิ ได้ตงั แต่บทที 1 แล้วละ่ แต่มาพดู ถงึ ในบทนี เพราะกลวั คนอ่านจะสบั สน) มหี ้นุ ตวั หนงึ ในตลาดหลกั ทรัพย์ ซงึ ลงทุนเครืองจกั รมลู ค่าประมาณ 1,000,000,000 บาท (พันล้านบาท) โดยมีการตัดค่า เสอื มที 20 ปี นนั หมายความว่าต้นทนุ คา่ เสอื มเฉพาะเครืองจกั รตัวนี จะอย่ทู ีปี ละ 50,000,000 บาท ซึงปรากฏว่าหลงั จาก นนั 1 ปี เกิดวิกฤตซบั ไพร์ม ทุกบริษัทก็ล้วนแย่กันหมด บริษัทนีเปลียนนโยบายการตัดค่าเสอื มราคา โดยมีหมายเหตใุ น งบการเงินวา่ ได้ทําการปรกึ ษากบั ผ้สู อบบญั ชแี ล้ว เครืองจกั รนมี อี ายกุ ารใช้งานยาวนานได้ถงึ 50 ปี สามารถตดั ค่าเสือมได้ ที 50 ปี สง่ ผลให้ค่าเสอื มราคาทเี คยตัดปี ละ 50,000,000 บาทเหลอื เพียง 20,000,000 บาท และถ้าหากเป็ นอย่างนันจริง หากในปี ๆหนงึ บริษัททํากาํ ไรกอ่ นหกั ค่าเสอื มราคาได้ที 30,000,000 บาท หากตดั ค่าเสอื มราคาแบบเดิม (20 ปี ) บริษัทจะ 22 | P a g e

มีผลขาดทุนหลงั หกั ค่าเสือมราคาอยู่ที 20,000,000 บาท แต่หากตัดค่าเสอื มราคาแบบใหม่ (50 ปี ) แทนทีจะขาดทุน กจ็ ะพลกิ กลบั มามีกําไรทนั ที 10,000,000 บาท เห็นไม๊ครบั วา่ วธิ ีการตดั คา่ เสอื มราคา มผี ลต่อกําไรขาดทุนของกิจการ และ ก็ขนึ กบั นโยบายการตัดค่าเสอื มราคาของผู้บริหาร ซึงจากตวั อย่างข้างต้น ทุกวันนีผมก็ยงั ไม่เชือว่าเครืองจักรตัวนนั จะ สามารถใช้ได้จนถงึ 50 ปี ในทางกลับกัน หากค่าเสือมราคามีการตัดหมดเร็วกว่าความสามารถในการใช้งานของมัน ยกตัวอย่างเช่น รถบรรทกุ อายกุ ารใช้งาน สามารถใช้ได้ถงึ 15 ปี ในทางมาตรฐานบญั ชีอาจจะให้ตดั ค่าเสอื มราคาที 5 ปี ทําให้เมือสนิ ปี ที 5 ป๊ บุ ต้นทนุ ตรงนจี ะหายไป ตรงนลี ะ่ “แฮปปี ไทม์” ซงึ หลายๆ ธรุ กิจ อยไู่ ด้ด้วย “แฮปปี ไทม์” ตรงนี มนั แฮปปี ยงั ไงนะ.. เอาตัวอย่างจริงเลยก็แล้วกนั ก็คือ รถบรรทุก เราตดั ค่าเสอื มราคา 5 ปี ช่วงเวลา 5 ปี แรก ผมเรียกว่าช่วงเวลา “ต่อยใช้หนี” เพราะว่าต้องกดั ฟันผ่อนรถ (ผ่อนรถ 5 ปี ค่าเสอื มราคาก็ตัดที 5 ปี แต่ก็เห็นมีบางทีตัดค่าเสอื มราคาที 7 ปี ) รถบรรทกุ 18ล้อ จํานวน 10 คนั พร้อมหางลาก คนั ละ 3,000,000 บาท รวมเป็ นเงิน 30,000,000 บาท ทําให้เกิดต้นทนุ ค่า เสือมราคาถึงปี ละ 6,000,000 บาท (เอา 30,000,000 / 5 ปี ) กิจการของผมอาจจะมีกําไรก่อนหักค่าเสือมราคา อยู่ที 8,000,000 บาท หลังจากหกั ค่าเสอื มราคาก็จะมีกําไรเหลือเพียง 2,000,000 บาท แต่พอพ้น 5 ปี แรกเมือไหร่ หากผลการดาํ เนินงานของผมยังคงที กําไรของผมจะดีดกลบั มาเป็ น 8,000,000 บาททนั ที เพราะเราได้ผ่อนรถหมดแล้ว นนั เอง ซงึ ช่วงเวลานี ผมเรียกวา่ ช่วง “แฮปปี ไทม์” เพราะเราจะได้ตกั ตวงกําไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อย่างไรก็ตาม ถงึ แม้ผมจะรู้ว่ารถบรรทกุ ของผมจะสามารถใช้งานได้ถงึ 15 ปี กต็ าม แตร่ ถย่อมมกี ารเสอื มสภาพ ช่วงเวลาทีรถจะใช้งานได้ ดจี ริงๆ อาจจะเพยี งแค่ 10 ปี พอปี ที 11 เราก็จะมีคา่ ใช้จ่ายซอ่ มบํารุงทีสงู มากจนไม่ค้มุ จะนํามาใช้ก็เป็ นได้ เพราะค่าซ่อม อาจจะสงู กวา่ ศกั ยภาพทีสนิ ทรพั ย์ทาํ งานให้เราได้ (ค่าซอ่ มบํารุงทีเกดิ ขนึ นี ไมเ่ กียวกบั ค่าเสอื มราคาแล้วนะครับ นิยามของ ค่าเสอื มราคา ก็คือ “เงินทีได้ลงทุนไปตอนแรก แล้วรอตดั จําหน่ายตามนโยบายทางบญั ชี” หรือถ้าเราใช้วิธีผ่อน ก็คือ ก้แู บงก์มาลงทนุ เรากจ็ ะมคี า่ ใช้จา่ ยเพมิ ขนึ กค็ อื “ต้นทนุ ดอกเบียหรือต้นทนุ ทางการเงนิ ” ทเี ราจะได้มาดกู นั ในบทตอ่ ไป) จากเรืองทงั หมดข้างต้น ผมอยากจะชเี ป้ าให้สงั เกตเห็นใน 2-3 ประเดน็ ซงึ มีผลตอ่ การวิเคราะห์การลงทนุ ของเรา ดงั นคี รับ ประเด็นที 1 เราสงั เกตเหน็ ได้ว่า การตดั ค่าเสอื มราคา ทาํ ให้เกดิ การควบคมุ กําไรหรือขาดทนุ ได้ จากนโยบายการ ตดั คา่ เสอื มราคา ดงั นนั เรากอ่ นทเี ราจะดวู า่ ค่าเสอื มราคามจี ํานวนเทา่ ใด ขอให้ไปดวู ธิ ีการบนั ทกึ ด้วย ว่าบนั ทกึ อยา่ งไร ประเดน็ ที 2 จากศกั ยภาพของสนิ ทรัพย์ทียงั มอี ยู่ หลงั จากหกั ค่าเสอื มราคาแล้ว ซึงก่อให้เกิด “แฮปปี ไทม์” ทําให้ แตล่ ะบริษัท ก็จะมี “วฏั จกั รยอ่ ยๆ” ของตวั บริษัทเอง ซงึ คนทีจะรู้เรืองนีดที สี ดุ กค็ ือผ้บู ริหาร ซงึ นกั ลงทุนอย่างเราๆ ยากทีจะ รู้ได้ แต่มันก็อาจจะมีบางธุรกิจทีชัวร์ๆ เห็นชัดๆ ก็ได้นะ ยกตัวอย่างเช่นทีฮิตๆ กันตอนนี ก็พวกทีบอกว่าไปลงทุน “โซลา่ ร์ฟาร์ม” ซงึ อาจจะตดั ค่าเสอื มที 7-10 ปี แตว่ ่าตวั โซลา่ ร์เซลลส์ ามารถใช้ได้ถงึ 25 ปี เค้าก็จะมองกนั ว่า “ขนาดช่วง 7- 10 ปี แรก กดั ฟันตดั คา่ เสอื มไปเต็มๆ กจิ การยงั มีกําไร ถ้าอยา่ งนนั พอคา่ เสอื มราคาตัดหมดป๊ ุบ กําไรต้องมหาศาลแน่นอน” นีกระมังทําให้หุ้นที “พัวพัน โซล่าร์ฟาร์ม” ต่างเนือหอม จนผมรู้สกึ ว่า ถ้ าซือราคา P/BV 1-2 เท่ายังพอคุ้มอยู่ 23 | P a g e

แต่ถ้าซือที P/BV 7 เทา่ P/E 25 เทา่ ก็คงจะแพงเกินไปมากทเี ดยี ว แม้ว่าจะมี “แฮปปี ไทม์” อย่างต่อเนืองก็ตาม และถ้าเรา สังเกตดูก็จะพบว่า บางกิจการทีนิยมประมูลงานราชการเยอะๆ บางทีเค้ ายอมทีจะทํางานแบบไม่มีกําไร 4-5 ปี เพอื ให้ได้มาซอื เครืองจกั รและอปุ กรณ์ เพราะเค้ารู้ว่าหลงั จากจบโครงการของเหล่านีซึงต้นทุนหมดไปแล้ว (ค่าเสือมราคา ตดั หมดแล้ว) จะได้นําของเหลา่ นไี ปใช้ประโยชน์ต่อไป ประเดน็ ที 3 ธรุ กจิ ทีเข้าตลาดมากอ่ น จะเหน็ ว่าหลายธุรกิจขาดทนุ “บักโกรก” มาตังแต่เริม หลายๆ กิจการก็มา จากค่าเสือมราคานีล่ะ แต่ถ้าอดทนสู้จนฝ่ ายพ้นช่วงตัดค่าเสือมมาได้ จะก่อให้เกิด “ความสามารถในการแข่งขัน” ขนึ มาทนั ที เพราะค่แู ข่งรายใหม่ จะเข้าตลาดมาก็ลําบากมาก หากเข้ามาก็ต้อง “กดั ฟันผ่อนค่าเสือมราคา” กันก่อน หรือ ง่ายๆ คือ ต้องยอมขาดทนุ ช่วงแรกกนั ก่อน แต่ถ้ารายเดิม ใช้วิธีเตะตดั ขา “ดัมป์ ราคา” ลงมา ถ้ารายใหม่ทีเข้ามา ทุนไม่ หนาพอ สดุ ท้ายกไ็ มว่ ายต้องขายกจิ การและเครืองราคาถกู ๆ ออกไปให้กับ “รายเดิม” ในตลาด ซึงตรงนี หากใครมองออก เราจะเหน็ ชดั เจนวา่ บางกิจการ “มเี จ้าตลาด” อยา่ งชดั เจน ซงึ ไร้ค่แู ขง่ ทงั ในวนั นแี ละในอนาคตอนั ยาวไกล.. ทีนีกห็ วงั วา่ สงิ ทกี ลา่ วมาทงั หมดในบทนี น่าจะทําให้เราสามารถนําความรู้ด้านค่าเสือมราคา นํามาใช้วิเคราะห์ ในการเข้าลงทนุ ในห้นุ ที “คา่ เสอื มใกล้หมด กาํ ไรใกล้กระโดด” กนั ได้แล้วนะครบั .. กอ่ นจากกนั ในบทนี ผมก็เลยเอาตัวอย่างจริงของบริษัทหนึง (ทีเปลยี นนโยบายการตดั ค่าเสือมราคา คือตดั ให้ ยาวนานขนึ ทําให้ตวั เลขโชว์กําไรสงู ขนึ ทังๆ ทีผลประกอบการอาจจะเท่าเดิม มีผลทําให้เกิดกําไรเพิมขนึ ทันที ประมาณ 71.85ล้านบาทครบั (กําไรทีโชว์ในปี นนั ของบริษัทนี ก็คอื 173.50ล้านบาท นนั หมายความวา่ เป็ นกําไรหลอกๆ อยู่ถงึ เกือบ 40% ของกาํ ไรทีโชว์ทีเดยี ว) เค้ากไ็ มได้หลอกอะไรเรานะ เค้าแค่แอบเขยี นตวั เลก็ ๆ เอาไว้เท่านนั เอง เราเลยต้องขยาย.. 24 | P a g e

25 | P a g e

บทที 7 ต้นทนุ ทางการเงนิ (Finance costs) ตอนนเี ราก็มาถึงเรืองของต้นทุนทางการเงิน (Finance costs) ซงึ ได้แก่ต้นทุนจิปาถะอะไรก็ตามทีเกียวข้องกับ การได้มาซงึ เงนิ แตโ่ ดยหลกั ๆแล้ว มนั กค็ อื “ดอกเบยี ” ของเงนิ ทีกจิ การไปก้มู านนั เอง ถ้ายงั จําบทที 5 ในเรืองของ EBITDA กนั ได้ เราได้คุยกันว่า “ต้นทุนทางการเงิน” เป็ นใช้จ่ายทีไม่ได้เกียวข้องกบั การบริหารโดยตรง (ถ้าจะเกียวก็เป็ นเพียงการทีผ้บู ริหารมีความสามารถในการหาแหล่งเงินกู้ดอกเบียตํา) นนั ก็เพราะว่า ดอกเบยี ทีเกดิ ขนึ ถ้ากิจการมเี งินทุนมากพอก็จะไม่ต้องกู้ และก็ไม่ต้องเสยี ดอกเบีย ดงั นนั ต้นทุนตรงนี จงึ เป็ นต้นทนุ ของ “เจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้น” มากกว่าทีจะเป็ น “ต้นทุนของธุรกิจ” เพียงแต่ว่าเจ้าของกู้มา แต่ธุรกิจต้องมาแบกรับ “ดอกเบยี ” ทีเกดิ ขนึ ทนี ี ก็จะเกิดคาํ ถามว่า “ก้มู าให้เสยี ดอกเบียทําไม” มเี หตผุ ลอนั ใด ผมลองนกึ ๆดู ก็มีอยู่ 2-3 เหตผุ ล ดงั นี เหตผุ ลแรก ก็อาจจะเพราะเงนิ ลงทนุ เริมต้นไม่พอ กเ็ ลยต้องก้มู าลงทนุ เหตุผลทีสอง ก็อาจจะต้ องการจํากัดความเสียงของผู้ถือหุ้น ยกตัวอย่างเช่น ทํากิจการต้องใช้เงินลงทุน 100ล้านบาท เราไมอ่ ยากลงทนุ ครบทงั 100ล้านบาท จึงลงแค่ 70ล้านบาท แล้วอีก 30ล้านบาท ก็เอาสนิ ทรัพย์ไปคําแล้ว ก้ธู นาคาร ยอมเสยี ดอกเบีย แตก่ จิ การก็มีเงินสดเพียงพอในการดาํ เนินงานโดยไมต่ ้องลงเงินจนครบ 100ล้านบาท เหตุผลทีสาม ก็คือ เพือต้องการขยายงาน ก็เลยไปก้มู าเพิม ซึงตรงนีผ้บู ริหารก็อาจจะเห็นว่าธุรกิจทีเราทําอยู่ สามารถได้ผลตอบแทนทีสงู กวา่ ต้นทนุ ดอกเบีย เช่นว่า มีกิจการมีอัตรากําไรสทุ ธิอย่ทู ี 20% (ทกุ สินค้า 100 บาททีขายได้ ได้กําไร 20 บาท) ดังนันเราไปกู้แบงก์ดีกว่า เสียดอกเบีย 8% พอเอามาหักกลบกนั ยังได้กําไรที 12% แน่ะ (20%-8%) พอผ้ถู ือห้นุ ใหญ่หรือบริหารคิดแบบนกี ็เลยไปก้มู า และบางทกี ก็ ้มู าเยอะเกินไป จนทําให้สดั สว่ นหนีสินต่อทุนอยู่ในระดับที ไมป่ ลอดภยั .. ผมอยากขอเลา่ เรืองราวเมือปี 2540 ให้ฟังสกั นิดหนึง.. ในช่วงก่อนหน้าจะเกิดวิกฤตต้มยํากุ้ง ปี 2540 นัน ประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตทีสงู มาก อัตราดอกเบียในประเทศสงู มาก เพราะความต้องการใช้เงินลงทุนสงู กจิ การต่างๆ ในประเทศล้วนเร่งขยายงาน บางกิจการมีเงินลงทุน 50,000ล้านบาทก็ไปก้เู งินมาลงทนุ อีก 50,000ล้านบาท เพือการขยายงานเพราะเชือว่าจะมีกําไรสงู ธนาคารทังหลายรวมไปถึงผู้เชียวชาญทางการเงินก็เริมมีไอเดียว่า เงินต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและญีป่ ุน มีอัตราดอกเบียเงินกู้ตํามาก ก็เลยไปกู้เงินมาเป็ นเงินสกุล ตา่ งประเทศแล้วมาแปลงเป็ นเงนิ บาท ทังๆ ทีเค้ายอมให้กู้แค่ระยะสนั (ไม่เกิน 1 ปี ) แต่ท่านเหล่านนั เอามาปลอ่ ยก้รู ะยะ ยาวในอตั ราดอกเบีย 8-15% เรียกว่าหวงั จะ “กนิ นาํ ” จากสว่ นต่างอตั ราดอกเบียระหวา่ งประเทศ ในขณะนนั บางกิจการทใี หญ่หน่อย มีเครดิตดี กร็ ู้แกวธนาคารกเ็ ลยไปกู้มาโดยตรงเองเลย แล้วทีนีพอเกิดวิกฤต เงินจึงถูกดึงกลบั ไปจนหมดอย่างรวดเร็ว ธนาคารและกิจการขนาดใหญ่เหลา่ นันทีไปกู้เงินนอกมา (แล้วเอามาใช้เป็ น 26 | P a g e

เงินระยะยาว) ก็ขาดกระแสเงินสดทนั ที ไม่ได้ขาดแค่กระแสเงินสดเท่านัน แต่ยังขาดเงินในรูปของเงินตราต่างประเทศที จะต้องนาํ ไปชําระคนื ด้วย และจากการเบยี ผดิ นดั ชาํ ระหนสี งู มาก ทําให้กจิ การน้อยใหญ่แย่งกันซือเงินตราต่างประเทศเพือ นํามาชําระหนี ในขณะทีคนทีมีเงินตราต่างประเทศก็ไม่ยอมขายให้ เพราะรู้ว่าในประเทศไทย (และเพือนบ้าน) ร้อนเงนิ สกลุ ต่างประเทศ ก็เลยทาํ ให้อตั ราแลกเปลยี นขยบั ขนึ คา่ เงินบาทจงึ ออ่ นตวั ลงเรือยๆ ซําเติมให้ภาระหนีเพิมขนึ ไป จนทําให้กจิ การล้มระเนระนาด เพราะสมมติว่ากู้มา 1,000ล้านดอลลา่ ร์สหรัฐ เอาเข้ามาทีไทยแปลงเป็ นเงินบาททีอัตรา 25 บาทต่อ 1 ดอลลา่ ร์สหรัฐ ได้เงินมาใช้จ่าย 25,000ล้านบาท พอช่วงเค้าดงึ เงินกลบั ถงึ แม้จะกดั ฟันไปรวบรวมมาครบ 25,000ล้านบาท แต่ในขณะนนั ไม่มีใครให้แลกทีอตั รา 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐอีกแล้ว เค้าให้แลกที อัตรา 50 บาท ต่อ 1 ดอลลา่ ร์สหรฐั ก็คอื จะได้แค่ 500ล้านดอลลา่ ร์สหรฐั เท่านนั ทําให้ยงั เหลอื หนีอีกครึงหนึงทนั ที จากอตั ราแลกเปลยี น ทีเงินบาทด้ อยค่าลง และนีเองทีเป็ น “ความเสียงจากการกู้เงินมาลงทุน” และถูกเบิลด้วย “ความเสียงจากอัตรา แลกเปลยี น” จากวิกฤตการณ์ช่วงนัน เราก็จะพบว่า หลายๆ กิจการทีดําเนินงานต่อมา บางรายมี EBITDA เป็ นบวกตลอด ทุกปี และเยอะแยะด้วย ปรากฏว่าในงบกําไรขาดทุนนัน “เจ๊งทุกปี ” และพอไปเช็คดูก็พบว่าสิงทีทําให้ ขาดทุนก็คือ “ดอกเบีย” ซึงในภายหลงั (หลงั จากทีฝ่ ุนหายตลบจากความว่นุ วายต้มยํากุ้ง) หลายๆ กิจการจึงถกู ซือไปโดย ”เจ้าหนี” โดยการแปลง “หนีสินเป็ นทนุ ” หรือผู้อาจจะถกู กิจการอืน “เทคโอเวอร์” และล้างหนีออกไป ทําให้กิจการมีกําไรอย่าง สวยงามและประกอบกิจการมาจนถงึ ทกุ วนั นี และบางกิจการก็ยงั คง “แบกหนี” จากวิกฤตปี 2540 มาจนถงึ ปัจจบุ นั ในทางกลบั กนั การระดมเงินกู้ก็มีแง่ทีดีเช่นกนั หากมีการบริหารจัดการทีดี เพราะบางกิจการทีเป็ นกิจการทีดี เข้าลกั ษณะ “เสอื นอนกนิ ” แต่จดั หาเงนิ ทนุ ไม่คอ่ ยจะทนั กเ็ ลยใช้วิธี “ก้มู าก่อนแล้วเพิมทนุ ทหี ลงั ” เพือระดมเงินมาใช้ขยาย งานไม่ให้เสยี โอกาส โดยพยายามจํากดั ความเสยี งในโครงการทีลงทนุ ไป ยกตัวอย่างเช่น กิจการสมั ปทานบางอย่างหรือ ธรุ กิจเฉพาะบางประเภท (เช่น โรงไฟฟ้ าหรือโรงพยาบาล) ทีมันใจว่าได้เงินแน่นอนและทีผ่านมาก็พิสจู น์ว่าความเสยี งตํา ผู้บริหารก็อาจจะ back to back กันไว้ ระหว่าง “ระยะเวลาลงทุนและผลกําไรทีคาดว่าจะเพิมขึนจากการลงทุน” กับ “ต้นทุนดอกเบียเงินกู้ยืม” บางครังก็ใช้ วิธี “ออกหุ้นกู้” ซึงเป็ นเงินกู้ระยะยาวและมี “อัตราดอกเบียทีแน่นอน” เพือป้ องกนั ความเสยี งจากการก้เู งินดงั กลา่ วและบริหารไม่ให้วงเงนิ ก้มู ากจนเกินไป สาํ หรบั ในเรืองนี เราก็จะได้เหน็ ว่ากลยทุ ธ์การลงทนุ ของบางทา่ น กเ็ ป็ นลกั ษณะเดียวกับ “การคาดเดาจํานวนค่า เสอื มราคา” ในบททีแล้ว แต่คราวนีเป็ นการคาดการณ์ “จํานวนดอกเบียทีจ่าย” โดยบางกิจการทีอาจจะทํากําไรได้สงู และมีการนําเงินไปจ่ายคืนหนีเป็ นจํานวนมากๆ หรือสมําเสมอ นักลงทุนผู้ชํานาญการณ์ ก็จะรู้ทนั ทีว่าในปี ต่อๆ ไป กาํ ไรจะสงู ขนึ แน่นอนเพราะ “ต้นทนุ ทางการเงิน” ลดลง ในบางกิจการทมี ีการเพมิ ทุนก็เช่นกัน (การเพิมทุนทําให้ความเป็ น เจ้าของในบริษัทลดลง แต่ได้เงินสดเข้ามาเพิม ซงึ ต้องดวู ่าเงนิ ทเี พิมเข้ามากบั ความเป็ นเจ้าของทีลดลงไปคุ้มค่ากันหรือไม่) หากการเพิมทุนมีวัตถุประสงค์เพือการขยายงานหรือลงทุนเพิม อาจจะต้องพิจารณาว่าไปลงทุนอะไรเพิม จะคุ้มไม๊.. แตถ่ ้าเพิมทนุ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ทชี ดั เจนว่าเพือ “จา่ ยคืนหนีเงินกู้” ก็จะทําให้ภาระของบริษัทบรรเทาเบาบางลงไปทีเดียว 27 | P a g e

(แต่ต้องมนั ใจว่าเป็ นการจ่ายคืนเงินกู้ ไม่ใช่การจ่ายดอกเบียนะ ต้องแยกกนั ให้ชัด เพราะบางกิจการขนาดทนุ บกั โกรก จนถงึ ขนาดทวี ่าต้องก้ยู ืมเงินมาจ่ายดอกเบีย เราคงพอรู้นะวา่ กจิ การนีจะเป็ นอย่างไรต่อไป) จากทีกลา่ วมาทงั หมด เรากไ็ ด้เห็นแล้ววา่ ผลกระทบของ “ต้นทุนทางการเงิน” ก็มีทังด้านทีไม่ดี เพราะเป็ นความ เสยี งของกิจการ และก็มีแฝงไว้ด้วยประโยชน์อยู่ด้วย ก็คือ การทีผ้ถู ือหุ้นอาจจะไม่ต้องเติมเงินเข้าไป กิจการก็โตต่อไป เรือยๆ ได้ บางกจิ การกไ็ ด้มกี ารเติบโตแบบก้าวกระโดดได้จากเงินทีกู้มาลงทนุ ภายใต้การบริหารความเสยี งทีดี ในขณะที หลายๆกิจการ แม้จะมีการขยายงานต่อเนอื ง แต่เนืองจากโมเดลธรุ กจิ ทีไม่สามารถบริหารความเสยี งได้ ก็อาจจะยอมทีจะ โตช้าหน่อย คอื ”เติบโตด้วยทุนของตนเอง” ซงึ ก็ คือ ใช้เพียงกําไรเก็บหอมรอมริบได้แต่ละปี มาขยายกิจการ เพราะก็รู้ว่า หากก้เู งินมามากเกนิ ไปและไม่มกี ารบริหารความเสยี งทดี ีพอ กเ็ หมือนกบั “วดั ดวง” เท่านนั เอง.. 28 | P a g e

บทที 8 กําไรสทุ ธิ (Net profit) และอตั รากําไรสทุ ธิ (Net profit margin) ในบทนี เราก็จะมาพูดกนั ถงึ ตวั เลขทีสําคัญทีสดุ ตัวหนึงในงบการเงิน ทีหลายๆ คนชอบพูดว่าให้ไปดูบรรทัด สดุ ท้าย (bottom line) ตวั เลขนนั กค็ อื กาํ ไรสทุ ธิ (Net profit) ซงึ มันก็หมายถึง กําไรของกิจการทีหักค่าใช้จ่ายทังหมดออก แล้ว เป็ นดอกผลของกจิ การทีเกดิ ขนึ ในรอบปี หรือรอบไตรมาสนนั ๆ ซงึ ในบางครงั กอ็ าจจะเป็ น “ขาดทนุ สทุ ธิ” ได้เชน่ กนั แต่ทีนี “กาํ ไรสทุ ธิ” เวลาทเี ราบอกวา่ ปี นกี าํ ไร 10ล้านบาท ปี ถดั มากาํ ไร 13ล้านบาท ขายของได้ดีขึนนะ มนั ก็คง จะบอกไมไ่ ด้ชดั เจนวา่ กจิ การของเราดขี นึ เพราะในข้อเทจ็ จริงแล้ว กําไรของเราอาจจะมาจากการทีเราเพิมเงินลงทนุ เข้าไป เพอื ขยายกาํ ลงั การผลติ (ยกตวั อย่างเช่น จากเดิมเครืองจกั ร 10 เครือง ได้กําไร 1ล้านบาท ซือมาเพิมกลายเป็ น 20 เครือง แต่กําไรได้มาแค่ 1.2ล้านบาท เป็ นต้น) หรืออาจจะเกิดจากฝี มอื ของเราจริงๆ เพราะยอดขายมนั โตขนึ ตรงนีล่ะทีเราต้องใช้ “กําไรสทุ ธิ” มาวิเคราะห์ โดยหากเรานําตัวเลขกําไรสทุ ธินี ไปผสมกับตวั เลขทางการเงินอืนๆ เราก็จะได้กล่มุ ข้อมลู ทีมี “คณุ คา่ ” ในการประเมินหรือวิเคราะห์กิจการอย่างมากทีเดียว และตวั เลขทีเรานิยมใช้กันในปัจจบุ นั ก็ได้แก่ อตั รากําไร สทุ ธิ (Net profit margin), ผลตอบแทนต่อสว่ นของผู้ถือหุ้น (Return on Equity - ROE) และผลตอบแทนต่อสนิ ทรัพย์ (Return on Asset - ROA) ซงึ ตวั เลข ROE และ ROA เป็ นเรืองเกียวกบั ความค้มุ ค่าในการใช้ “ทุน” จะถูกอธิบายแยกใน บทตอ่ ไป ดงั นนั ผมจะยงั ไมน่ ํามาอย่ใู นบทนี เอาละ่ .. เรามาเริมในเรืองของการวเิ คราะห์อตั รากาํ ไรสทุ ธิ (Net profit margin) กนั ดกี วา่ .. อตั รากําไรสทุ ธิ (Net profit margin) วิธีคิดของมันก็คือ เอากําไรสทุ ธิมาหารกบั รายรับรวมของปี นนั ๆ หรือไตร มาสนันๆ ก็จะได้ ค่าออกมาเป็ นเปอร์เซนต์ (%) ยกตัวอย่างเช่น กิจการมีกําไรสุทธิ 28ล้านบาท จากรายรับรวม 100ล้านบาท ก็จะกลายเป็ นว่าอัตรากําไรสทุ ธิ คือ 28% (28/100 *100%) ความหมายของมัน ก็คือ ถ้ามีรายรับที 100 บาท จะได้กาํ ไร 28 บาท เป็ นต้น สมมตวิ า่ ถ้าเรานําตวั เลขอัตรากําไรสทุ ธิ ไปเปรียบเทียบตวั มันเอง จากปี นีและปี ก่อน ยกตวั อย่างเช่น ปี ก่อนมี รายรบั รวม 10ล้านบาท กําไร 2ล้านบาท แต่ปี นีมีรายรับรวม 20ล้านบาท กําไร 3ล้านบาท พอเราเอามาคิดตวั เลขอตั รา กําไรสุทธิ เราก็จะได้ว่า ปี ก่อน จะมีอัตรากําไรสทุ ธิ ที 20% (2/10) ในขณะทีปี นีจะมีอตั รากําไรสทุ ธิ ที 15% (3/20) ซงึ เรากจ็ ะเหน็ ได้วา่ แม้จะมีกําไรสงู ขนึ แต่เราขายของต่อหน่วยได้กําไรลดลง เป็ นต้น แต่เราก็อย่าเพิงด่วนสรุปว่ามันไม่ดี เพราะจากบทก่อนๆ ทีเราได้เรียนรู้กันมา เราก็จะพบ “ธรรมชาติของการประกอบธุรกิจ”อย่างหนึงทีว่า “กิจการทีโตขึน ยอดขายโตขนึ อตั รากําไรมกั จะลดลง แตก่ าํ ไรสทุ ธิกจ็ ะยงั คงสงู ขึนอย่ดู ี” ในทางกลบั กนั ถ้าหากว่า “กิจการไม่โต ยอดขาย ไม่โต แตอ่ ตั รากาํ ไรลดลง กําไรสทุ ธิลดลง อนั นีกต็ วั ใครตวั มนั ” แต่ถงึ แม้ว่ากําไรสทุ ธิจะโตขนึ และอตั รากําไรสทุ ธิจะสงู ขนึ ด้วยก็ตาม เราต้องพิจารณาว่า กิจการทีเราวิเคราะห์ เป็ นกิจการประเภทใด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็ นกิจการโรงไฟฟ้ าหรือร้ านสะดวกซือ ทีมีรายรับสมําเสมอ เราก็อาจจะ วเิ คราะห์แบบตรงไปตรงมา คือเอาตวั เลขรายปี หรือรายไตรมาสมาเทียบกนั ตรงๆ ได้ แตใ่ นบางกิจการมนั ไม่อยา่ งนนั นะ่ ส.ิ . 29 | P a g e

เพราะว่าบางกิจการจะมีฤดกู าลของมนั ทีเค้าเรียกว่า “Seasonal” ซึงนอกจากทีเราจะต้องดวู ่าฤดกู าลเป็ นช่วง ไหนแล้ว ยงั ต้องดดู ้วยว่า “กาํ ไร” จะเข้าไตรมาสไหนด้วย ยกตวั อย่างเช่น เราบอกว่ากิจการโรงแรม ก็จะดีช่วงสนิ ปี กบั ต้นปี รายรับก็น่าจะเข้ามาเตม็ ๆ ช่วงนนั เพราะลกู ค้ามกั จะจ่ายเงินทนั ทีทีเข้าพกั แต่ถ้าเป็ นกิจการอสงั หาริมทรัพย์ละ่ เราก็ต้อง มาดวู ่ารายรับมนั จะเข้าช่วงไหน ถ้าเค้าเขยี นในนโยบายบนั ทกึ รายได้ ว่าจะบนั ทกึ เมือ “โอนคอนโดแล้ว” นันก็หมายความ ว่า วันทีจองคอนโด ถงึ แม้จะจองแล้วเต็มเร็ว รายได้ก็จะยังไม่ถูกบันทกึ กําไรก็เลยยังจะไม่เกิดขึน แต่พอรายได้เข้ามา มันก็จะเข้ามาเป็ นก้อนใหญ่มากๆ จนทําให้เราเข้าใจผิดว่ารายได้ และกําไรทีโดดขึนมาอันนี เป็ นสิงทีจะเกิดขึนอย่าง ตอ่ เนือง ทําให้บางครังราคาหุ้นขึนไปหลายเท่า ทังๆ ทีเป็ นการ “เข้าใจผิดในสาระสําคญั ของกําไร ทีโดยข้อเท็จจริงแล้ว กําไรมีความผันผวน ไม่สมําเสมอ” หรือถ้าจะซับซ้อนไปกว่านัน กิจการ เช่น รับเหมาก่อสร้ าง ซึงเป็ นกิจการทีรู้กนั ว่า “เบียว” กนั งา่ ย หรือบางทีกจ็ ่ายเงินล่าช้าเป็ นปี เช่นพวกทีรับงานราชการ เป็ นต้น บางครังถ้า “ซวย” ก็คือ ทํางานไปแล้ว ตรวจรับงานผ่านไปแล้ว อยใู่ นขนั ตอนการ “รอเบกิ จา่ ย” บริษัทก็จงึ ตังกําไรตรงนีไว้ (คือ รับรู้รายได้ไปแล้ว แต่เงินยงั ไม่ได้ ตงั เป็ นรายได้ค้างรับ ตดิ เอาไว้ตรงลกู หนีการค้า) ต่อมาปรากฏว่าเกิดอบุ ตั ิเหตุทางการเบิกจ่ายใดๆ ทีอ้างว่า “ไม่สามารถ จา่ ยเงนิ ได้” ทาํ ให้ต้องตดั หนีสญู ทงั ก้อน บนั ทกึ เป็ นผลขาดทนุ ตามมา แล้วไตรมาสทีบนั ทกึ ผลขาดทนุ ก็จะ “อ่วม” ไปเต็มๆ และเราซงึ เป็ นรายย่อย ไมม่ ีทางรู้ลว่ งหน้าอยแู่ ล้ว พองบออกมากเ็ ลยโดน “น๊อคมืด” นอกจากนี เรากย็ งั ต้องพิจารณาว่ากําไร อาจจะมาจากรายได้อืนๆ ของบริษัท ซึงเป็ นรายได้ลกั ษณะทีชัวคราว สง่ ผลให้เกดิ “กาํ ไรชวั คราว” เชน่ กนั ยกตวั อย่างเชน่ การปรับมลู คา่ ทดี ิน เป็ นต้น (ดรู ูปประกอบ) 30 | P a g e

จากรูป เราก็จะเหน็ ได้วา่ งบไตรมาสนขี องบริษัท จริงๆ แล้วมรี ายได้จากธุรกิจหลกั เพียง 7 ล้านบาทเท่านนั แต่มี รายได้อืน ได้แก่ “สนิ ทรัพย์รอการขาย” (ซงึ ตคี วามได้ว่าอาจจะยังไม่ได้ขายด้วยซํา เพราะรอการขาย) ทําให้เกิดรายได้สงู ถงึ 200ล้านบาท และสง่ ผลทําให้งบมีกาํ ไรพงุ่ สงู ถงึ 190ล้านบาท คิดเป็ นอตั รากําไรต่อห้นุ ที 1.45 บาทต่อหุ้น ซงึ ถ้าเรามอง แคส่ รุปงบการเงินผิวเผนิ โดยไม่ได้เข้าไปดใู ส้ใน เราก็อาจจะ “เข้าใจผดิ ในสาระสาํ คัญของกําไร” ก็เป็ นได้ แต่ถ้าเราเข้ามา ตรวจสอบข้างในงบการเงินนีแล้ว มันก็ชดั เจน.. ซึงจะเห็นได้ว่า แต่ละบริษัทเค้าก็ไม่ได้ปิ ดบังอะไรเรานะ เค้าแค่อาจจะ “เขียนตวั เลก็ ” หรือ “เขียนคลมุ เครือ” กเ็ ท่านนั จากทีกลา่ วมาทงั หมดนี กเ็ พือจะแสดงให้เห็นวา่ เรามองเหน็ “กําไรสทุ ธิและอัตรากําไรสทุ ธิ” จากงบการเงินที ผ่านการรับรองจากผู้สอบบัญชีแล้วก็ตาม แต่เราเองก็ยังต้องวิเคราะห์ “คุณภาพ” และ “ความสมําเสมอ” ของกําไรที เกดิ ขนึ ด้วย ซงึ ถ้าหากว่ากาํ ไรทีปรากฏ ไม่น่าจะมขี ้อสงสยั อะไร และเติบโตขนึ ทกุ ปี กเ็ ป็ นเหตผุ ลทีดี ทีเราจะเลอื กลงทนุ ห้นุ เหล่านัน.. แต่เอ๊ะ!! อนั นีมันเป็ นแค่การวิเคราะห์ว่า “ขายแล้วได้กําไรกีบาท” เท่านันนีนา อนั ทีจริงแล้วก่อนทีเราจะ พิจารณาวา่ ควรลงทนุ หรือไม่ เราต้องดเู ทยี บกบั “ผลตอบแทนในการลงทนุ ” ซงึ จะสะท้อนผ่านผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือ ห้นุ (Return on Equity - ROE) และผลตอบแทนตอ่ สนิ ทรัพย์ (Return on Asset - ROA) ในบทตอ่ ไปนนั เอง.. 31 | P a g e

บทที 9 ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถอื ห้นุ (Return on Equity - ROE) ,ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset - ROA) และสัดส่วนหนีสนิ ต่อทนุ (Debt on Equity - D/E) ในบทก่อน เราได้เรียนรู้กันในเรืองของ “กําไรสทุ ธิและอตั รากําไรสทุ ธิ” ซงึ ทําให้เราทราบว่าสงิ ทีเราลงทุนมันมี กําไรรึเปลา่ ถ้ากาํ ไร กําไรเทา่ ไหร่ แต่เราก็ยังบอกไม่ได้ว่ามันเป็ นการลงทุนทีดีหรือไม่ เพราะเรายงั ไม่รู้ว่า “มันคุ้มกับสิงที เราลงทุนไปไม๊” ตอนนีเราก็เลยจะเข้ามาสใู่ นเรืองของ “ความคุ้มค่าในการลงทุน” กนั แล้ว แต่ก่อนทีจะเข้าสู่เนือหา เราลองมาดตู วั อย่างเพือจะได้เข้าใจได้ง่ายขนึ กนั สกั นดิ ดีกว่า แตก่ อ่ นจะไปถงึ ตวั อยา่ ง จะฝากสตู รไว้สตู รหนงึ กค็ อื สินทรัพย์ (asset) = หนีสนิ (debt,liability) + ส่วนของผู้ถอื หุ้น (equity) สมมติว่าผมได้ลงทนุ ทําร้านขายหมปู ิ งด้วยเงนิ 100,000 บาท ปรากฏวา่ ผมได้กําไรในปี แรก 20,000 บาท เท่ากับ ว่าผลได้ผลตอบแทนอยู่ที 20% ต่อปี (20,000/100,000) หมายความว่า ลงทุน 100 บาท ได้ 20 บาทอะไรทํานองนัน ตรงนีผมก็จะบอกว่าผมได้ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) อันประกอบไปด้วย เงินของผู้ลงทุนจริงๆ และเงินทีกู้ยืม มาลงทนุ (ซงึ รวมไปถงึ วงเงินเดินสะพดั ต่างๆ ทีกิจการทําไว้กับสถาบนั การเงินเพือเสริมสภาพคลอ่ งในการดําเนินธุรกิจ) คาํ นวณแล้วได้ ROA ที 20% ตอ่ ปี ซงึ ในกรณีนีจะเท่ากับผลตอบแทนต่อสว่ นของผู้ถือห้นุ (ROE) ก็คือ 20% ต่อปี ก็เงินที ลงทนุ ทงั หมดมนั เป็ นเงินของผมนีนา ROA กบั ROE มนั ก็เลยเทา่ กนั เป๊ ะ.. แต่ทีนีได้ ผมคิดว่ากําไรทีได้ ยังน้ อยไปนิด และผมก็ดูแล้วว่าหมูปิ งขายดีมาก ผลิตมาเท่าไหร่ก็ขายหมด แต่พอจะลงทนุ เพมิ ก็ไม่มเี งิน ผมก็เลยไปก้เู งินมาลงทนุ จากเงินลงทุนตอนแรก (เงินของผมเอง) 100,000 บาท ผมไปก้มู า 50,000 บาท กลายเป็ นทุนทีลงไปทังหมด (สนิ ทรัพย์ทงั หมดทีลงทุนไป) อยู่ที 150,000 บาท ปรากฏว่าขายได้กําไรในปี ต่อมา 30,000 บาท ผลตอบแทนของผมก็จะกลายเป็ นว่า ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ก็เท่ากับ 20% (30,000/150,000) ซงึ เทา่ เดมิ จากตอนทีกอ่ นจะขยายการลงทุนเลยนะ แต่ว่าผลตอบแทนต่อสว่ นของผ้ถู ือหุ้น (ROE) จะ เท่ากับ 33% (30,000/100,000) เยอะมากเลยนะเนีย ก็แน่ล่ะ ผมอตุ สา่ ห์ยอมเสียดอกเบียแพงๆ (ดอกเบียเงินกู้ MRR ปี 2557 อตั รา 8-12%) เพือมาลงทนุ นีนา.. เรากจ็ ะพอเห็นภาพแล้วว่า ROA และ ROE มันแตกต่างกันอย่างไร แต่เราต้องเข้าใจถงึ ขนาดทีว่า ความหมาย ของมนั ในการนําไปใช้ มนั หมายถงึ อะไร เรามาดกู นั เลยดีกวา่ .. เรามาดูที ROA กนั ก่อน ซึงเราจะเห็นได้ว่า ROA คือผลตอบแทนจากการลงทุนทีได้จากจํานวนเงินทีลงทุนไป จริงๆ ในกิจการ จึงเป็ นตวั เลขทีแสดงถึง “จํานวนเงินลงทุนในการดําเนินกิจการทีแท้จริง และอัตราผลกําไรที แท้จริง” เพราะฉะนนั ถ้าหากเราจะวดั ฝี มอื ของผ้บู ริหารในด้านของการจดั การสินทรัพย์และในด้านของการใช้ทนุ ในการ ดําเนนิ กิจการ เรากต็ ้องเทยี บกนั ที ROA เป็ นหลกั โดยทเี ราอาจจะใช้ตวั เลขอกี หนงึ ตวั ทีจะมาประเมินว่ากิจการทีเราลงทนุ ไปนนั มกี ารใช้สนิ ทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ตัวเลขนนั ก็คือ อตั ราส่วนความสามารถในการใช้สินทรัพย์ หรือ Asset Turnover Ratio สตู รของมนั ก็คือ.. 32 | P a g e

อตั ราสว่ นความสามารถในการใช้สินทรัพย์ (Asset Turnover Ratio) = ยอดขายรวม (Total sales) / สินทรัพย์ รวม (Total Asset) และเพือให้เหน็ ภาพ เรามาดตู วั อยา่ งกนั สกั นิด ยกตวั อยา่ งเชน่ ในปี ที 1 เรามยี อดขายอยู่ 1,000,000 บาท และมี สนิ ทรัพย์อยทู่ ี 500,000 บาท กเ็ ทา่ กบั ว่า Asset Turnover Ratio ในปี ที 1 ก็คือ 2 เท่า (1,000,000 / 500,000) แต่สมมติปี ที 2 เราบอกว่าเราไปกู้เงินมาเพิม 200,000 บาท ทําให้สินทรัพย์รวมกลายเป็ น 700,000 บาท (500,000 + 200,000) แต่ปรากฏว่าทํายอดขายได้ เพิมขึนเพียง 50,000 บาท ทําให้ ยอดขายในปี ที 2 เท่ากับ 1,050,000 บาท (1,000,000+50,000) กเ็ ทา่ กบั ว่า Asset Turnover Ratio ในปี ที 2 ก็คือ 1.5 เท่า (1,050,000 / 700,000) ซึงเท่ากับว่าเรา ใช้ทนุ ได้มีประสทิ ธิภาพน้อยลง เป็ นต้น ซงึ มนั ก็เท่ากบั ว่าผลการดําเนินงานในปี ที 2 น่าจะแย่กว่าปี ที 1 แต่ทงั นีก็ต้องดู ปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกนั เช่นว่าปี นันนําท่วมหรือไม่อย่างไร เค้าถึงได้บอกว่า เวลาจะให้เห็นภาพชดั ๆ ต้องเอา ตวั เลข 5 ปี ย้อนหลงั มาวเิ คราะห์.. วิเคราะห์เปรียบเทียบกบั ตวั เองแล้ว ก็ต้องเปรียบเทียบกับค่แู ข่งในตลาดด้วย ว่า Asset Turnover Ratio ของ คนอนื ๆ เค้าเป็ นอยา่ งไร ยกตวั อยา่ งเช่น มบี ริษัททที าํ อะไรทคี ล้ายๆกนั (มนั กค็ งไมเ่ หมอื นกนั เป๊ ะๆ ซะทีเดียว) อยู่ 5 บริษัท ถ้าค่าเฉลยี Asset Turnover Ratio ของอตุ สาหกรรม (คือเอาทงั 5 บริษัทมาเฉลยี ) อย่ทู ี 3 เทา่ แต่ของเราทําได้แค่ 1.5 เท่า แสดงว่าของเราน่าจะยงั ใช้ทรัพยากรไม่ค้มุ ค่ารึเปลา่ (แต่ถ้าคิดในแง่ดีก็คือ กําลงั การผลติ หรือบริหาร (capacity) ยังเหลือ ถ้าปรบั ปรุงกระบวนการภายใน อาจจะทาํ ให้มกี าํ ไรเพิม โดยทไี ม่ต้องลงทนุ เพิมก็ได้นะ.. (สาํ หรบั คนทีสนใจในการวิเคราะห์ตัวเลข หรือเปรียบเทียบตัวเลข สามารถศึกษาเพิมเติมด้วยตนเองได้ โดยมี กลุ่มตัวเลขหลายๆตัวทีน่าสนใจ เช่น อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี (Account Receivable Turnover), อัตราการหมนุ เวียนของสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover), อัตราผลตอบแทนจากสนิ ทรัพย์ถาวร (Return on Fixed Asset - ROFA) และตัวเลขอืนๆ อีกมากมาย เราก็ใช้วิธีวิเคราะห์แบบเดียวกันนีล่ะ คือวิเคราะห์เทียบกับตัวเอง และเทียบกบั อตุ สาหกรรม) ต่อมาก็คือการอธิบายเพิมเติมเกียวกับ ROE ซึงเราก็จะเห็นได้ว่า “เป็ นผลตอบแทนทีคิดจากกําไร แล้วเอาไป เทียบกบั เงนิ ลงทนุ ในสว่ นของเจ้าของ” เพราะในสว่ นทเี ป็ น “หนีสนิ ” กถ็ อื ว่าเราได้จ่ายดอกเบียไปให้แล้ว ผลตอบแทนของ “ผ้ใู ห้กู้” ก็คือเป็ นเพียงแค่ดอกเบียเท่านัน (อธิบายเพิมเติม : บางครังบริษัทออก “ห้นุ กู้” เพือกู้ยืมเงินในลกั ษณะของ “ห้นุ ก้แู ปลงสภาพ” โดยมกี ารระบเุ งือนไขการแปลงทงั ในเรืองชว่ งเวลาและราคาแปลงสทิ ธิ จาก “ห้นุ ก้”ู ให้เป็ น”หุ้นทุน” ได้) ดงั นนั ในเรืองของ ROE ก็คือ ผลตอบแทนของกลมุ่ ผ้ถู อื ห้นุ เอง แตผ่ มอยากจะให้ม่งุ ประเด็นไปที “ภาระหน”ี ครบั .. จากทีเราได้ยกตวั อย่างร้านหมปู ิ งในตอนต้นของบทนี เราก็จะเห็นได้ว่าการ ”ก้ยู ืมเงิน” แม้ว่าจะทําให้กิจการมี วงเงินเพือ “คว้าโอกาส” ทางธุรกิจทีผู้บริหารได้ เล็งเห็น แต่ในทางเดียวกันมันก็นํามาซึง “ภาระ” หรือ “Liability” อย่างหลกี เลยี งไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิง “ไมม่ ใี ครรู้อนาคต” และการก้ยู มื เงนิ มาลงทนุ กห็ ลกี ไมพ่ ้นความเสยี งนเี ช่นกนั 33 | P a g e

ในอดีตทีผ่านมา เราได้มีโอกาสเห็นทังผ้ทู ีประสบความสาํ เร็จและล่มสลายในทางธุรกิจ ประเด็นหลกั ๆทีทําให้ พวกเขาเหลา่ นันส่วนหนงึ ก็มาจาก “การก้ยู ืม” ทงั นัน ยกตัวอย่างเช่น รายของนําเมาทีไม่มีเงินทุนมากพอจะไปประมูล สมั ปทานโรงเหล้า จงึ ต้องออก “ห้นุ ก้”ู โดยเอาเหล้าในสต๊อกมาคําประกนั เพราะถ้าไม่ประมลู โอกาสทองก็จะหลดุ ลอยไป ผลทีเกิดขึนก็คือ สมั ปทานใบนัน สร้างทรัพย์สนิ อย่างมหาศาลให้แก่ผ้อู อกหุ้นกู้ท่านนนั แต่ก็เช่นเดียวกัน ในช่วงวิกฤต 2540 การลม่ สลายของธุรกิจน้อยใหญ่ รวมไปถงึ “ธนราชนั ย์” อันยิงใหญ่ทงั หลาย สว่ นใหญ่ก็มาจากการก้เู งินมาลงทนุ ทงั นนั โดยผ้ทู ีได้ประโยชน์ก็คือ “พวกเก็บซาก” (ผู้ทีไม่ได้เจ็บแต่เก็บเงินสดไว้ หรืออาจจะแอบเจ็บนิดหน่อย) กลายเป็ น ผ้เู กบ็ กินผลประโยชน์จากอาณาจกั รทีลม่ สลายเหลา่ นัน และนีเป็ นแนวทางทีหนงั สอื “มีความสขุ กบั ห้นุ ปันผล by หมีส้ม” แนะนาํ มาตลอดนนั เอง เราก็เลยจะเห็นได้ว่า “การก้ยู ืม” เป็ นทงั “โอกาส” และ “ความเสยี ง” กลวั เกินไปไม่ก้มู าเลย กิจการก็อาจจะโตช้า ทําให้ไม่ทันค่แู ข่ง และอาจจะถูกคู่แข่งไลบ่ ีจนต้องปิ ดกิจการก็ได้ หรือว่าถ้าก้มู ามากเกินไป ก็เดียวจะกลายเป็ นภาระที “หนกั อึง” ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่กู้มาเลย สมมติเราทําแซนวิชขาย มีแข่งกัน 2 ราย ต้นทนุ ทุกอย่างเท่ากนั หมดเลย อยทู่ ชี นิ ละ 5 บาท ขายกเ็ ท่ากนั (กถ็ ้าขายแพงกวา่ คนก็ไม่ซือ) ทีราคา 7 บาท ต่อมามีเครืองจักรผลติ แซนวิช ทําให้ไม่ต้อง ใช้คน แต่ต้องลงทุนตอนแรกค่อนข้างมาก รายแรกไม่ยอมลงทนุ เพราะไม่อยากเสียง แต่อีกรายที 2 คํานวณแล้วว่า “จากต้นทนุ ทีลดลงด้วยเครืองนี น่าจะทําให้มีกําไรเพิมขนึ 15% ในขณะทีต้นทนุ ดอกเบียทีก้มู าลงทนุ อย่ทู ี 8% ภายใต้ ความเสยี งทพี อรับได้” จงึ ได้ก้มู าลงทนุ ผลตอ่ มาทําให้รายทลี งทนุ ไป มีต้นทนุ ตํากว่าเดมิ 1 บาท (ตอนนีต้นทนุ รายนงึ ยงั คง เป็ น 5 บาท แต่อกี คนหนงึ เหลอื 4 บาทแล้ว) รายที 2 ทีมีต้นทุนตํากว่า ถ้าหากไม่ลดราคาขาย ยงั คงขายที 7 บาท ก็จะมี กําไรเพิม แตถ่ ้าต้องการกนิ รวบ (กะว่าอกี ฝ่ ายไมส่ ามารถตงั ตวั ติดแนๆ่ การเปลยี นกระบวนการผลติ ไม่ใช่เรืองทีทําได้ง่ายๆ) ก็ดัมป์ ราคาขายลงมาเหลือ 6 บาท รายแรกทีต้ นทุนสูงกว่า ก็จะตายลงในท้ ายทีสุด เพราะต้ นทุนแข่งขันไม่ได้ สว่ นรายที 2 กไ็ ปซือกิจการต่อจากรายแรก และปรับราคาขายกลบั มาเป็ น 7 บาทเหมือนเดิม ทุกอย่างก็จบ (คุ้นๆ มะ ออก แนวคล้ายกบั บางอตุ สาหกรรมทีเราต้องซอื “ปอปคอร์น” เค้าบ่อยๆ) สว่ นในอีกตวั อย่างหนงึ ก็คือ กิจการทีกู้มามากเกินไป อนั นีอาจจะเป็ นกจิ การที “ตวั เลก็ กวา่ ” และกร็ ู้วา่ ถ้าไม่ทาํ อะไรกจ็ ะถกู รายใหญ่เจ้าตลาดกลนื ไปจนหมด ก็เลยไปลงทุนเพิม และเกง็ ตลาดผดิ พลาด จากทีคดิ ว่าจะได้กาํ ไรเพมิ ขนึ สมมติสกั 10% ดอกเบีย 8% กลายเป็ นว่าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ทําให้ กําไรไม่โตขนึ จากทีแต่เดมิ ROE ก่อนก้มู า สมมตอิ ย่ทู ี 10% ตอนนีกลายเป็ นว่าต้องจ่ายดอกเบีย ทําให้เหลอื ROE 1-2% หรือติดลบ เป็ นต้น สว่ นรายใหญ่ทีไม่ได้ก้มู าลงทนุ ก็แค่ “เฮิร์ท” นิดน่อยจากภาวะเศรษฐกิจ ก็แค่ “ไม่กําไร”หรือ “กําไร ลดลง” แต่ไม่ต้อง “ต่อยใช้หนี” เหมือน “รายเล็ก” ทีกู้มาลงทุน (แต่จริงๆ แล้ว “รายเลก็ ” รายนันก็ไม่ได้เล็กซะทีเดียว ล้มทีเดยี ว สะเทอื นทงั ประเทศเหมอื นกนั ) ทีนเี วลาเราเราจะมอง “ภาระหน”ี ทงั หลายทีกล่าวมาทังหมดนี บางครังการทีเรามองเป็ น “ยอดหนี” กีล้านบาท อะไร มนั จะไมเ่ ห็นภาพชดั เจน เพราะวา่ บางกจิ การก้มู า 10ล้านบาท ก็อาจจะแค่ “จิบจ๊อย” เพราะสว่ นของผ้ถู ือห้นุ มีเป็ น 34 | P a g e

พนั ล้านบาท แตก่ บั บางรายทสี ว่ นของผ้ถู ือห้นุ มเี พียงแคร่ ้อยล้านบาท ก็อาจจะเป็ นภาระทสี งู พอสมควร ในทางการคํานวณ เค้ากจ็ ะใช้วิธีดทู เี รียกว่า “สดั สว่ นหนีสนิ ตอ่ ทนุ ” หรือ Debt on Equity ratio (D/E Ratio) เรามาดสู ตู รกนั ก่อน สดั ส่วนหนีสนิ ต่อทนุ (Debt on Equity ratio - D/E Ratio) = หนีสิน (Debt) / ส่วนของผู้ถือห้นุ (Equity) โดยหลักการก็คือ เป็ นการเทียบกันว่า หนีสินเป็ นกีเท่าของทุน ยกตัวอย่างเช่น หนีสิน 2,000,000 บาท ทนุ 1,000,000 บาท (สนิ ทรพั ย์ก็จะเท่ากบั 3,000,000 บาท) ก็จะคํานวณ D/E ได้ที 2 เท่า (2,000,000 / 1,000,000) เป็ น ต้น ซงึ ก็จะแสดงถงึ ภาระทบี ริษัทหรือกจิ การต้องแบกเอาไว้ ถ้าจะเห็นภาพชดั เจน คงต้องยกตวั อย่าง ดงั นคี รบั สมมติ กิจการมีสนิ ทรัพย์ 3,000,000 บาท โดยเป็ นเงินลงทุนของผ้ถู ือหุ้นทงั หมด ไม่มีหนีสนิ ใดๆ ถ้าในปี ที 1 กิจการทํากําไรสทุ ธิได้ที 300,000 บาท ก็เท่ากบั ว่าได้ ROA อยู่ที 10% ต่อปี แต่พอปี ถดั มาเกิดนําท่วม ทําให้กิจการ สามารถทาํ กาํ ไรได้เพยี ง 150,000 บาท ก็เท่ากบั วา่ ได้ ROA อย่ทู ี 5% ตอ่ ปี ถ้าหากเป็ นเงนิ เราเอง ก็คงไมไ่ ด้เจบ็ มากนกั แต่สมมติว่าในสนิ ทรัพย์ 3,000,000 บาทนัน เป็ นเงินของผ้ถู ือหุ้นจริงๆ เพียง 1,000,000 บาท และมีส่วนทีไป ก้ยู ืมมาอย่ทู ี 2,000,000 บาท หากคิดดอกเบียในอตั รา 8% ต่อปี ก็เท่ากับว่ากิจการ “ไม่ว่าจะทํากําไรได้หรือไม่ ก็ต้องมี ต้นทุนดอกเบีย จํานวน 160,000 บาท (8% ของเงินกู้ยืม 2,000,000 บาท” เท่ากบั ว่าในปี แรก ทีเราบอกว่ากําไรสทุ ธิ 300,000 บาท จะเหลือเพียง 140,000 บาทเท่านัน คิดเป็ น ROA ที 4.7% (140,000/3,000,000) ในขณะทีปี ที 2 ก็จะขาดทนุ ทนั ที 100,000 บาท (เพราะสมมติฐานเดิม ถ้าไม่มีหนี จะได้กําไร 150,000 บาท แต่เคสนีเราสมมติให้มีต้นทนุ ทางการเงิน 160,000 บาท) เหน็ แล้วใชไ่ ม๊ครบั ว่าหนสี นิ มนั ทาํ ให้ผ้บู ริหาร “เหนอื ยมากขนึ ” ขนาดไหน บางคนก็จะเริมสงสยั ว่า แล้ว “ความเหมาะสมในสดั ส่วนหนีสินต่อทนุ ” ควรจะเป็ นเท่าไร อันนีก็คงจะไม่มีใคร ตอบได้ชัดเจน ดังทีเราได้ยกตัวอย่างกนั มา แต่สิงหนงึ ทีเราจะต้องพิจารณาก็คือ ถ้าเราเห็นว่ากิจการมีกําไรสทุ ธิทีโตขนึ เราก็ต้องมาดกู นั ว่าบริษัทมีการ “ก้เู พิม” หรือไม่ หรือ ถ้าไม่ได้กู้ ก็แสดงกิจการมีกําไรจากผลประกอบการทีดี สามารถใช้ ทรัพยากรได้ดขี นึ (ดู ROA เปรียบเทยี บหลายๆ ปี ) แตถ่ ้าหากก้เู พิม เราก็ต้องมาดวู า่ “หนีสนิ ” ทีเพิมขนึ มันทํากําไรเพิมขึน แบบ “สมเหตสุ มผลกบั ความเสยี งแห่งหนสี นิ ” หรือไม่ ซงึ ประเด็นนี ทีเราต้องขีดเส้นใต้ไว้ในใจวา่ ROE ทีโตขนึ อาจมาจากหนีสนิ ทีเพิมขนึ เราจงึ ต้องตามดูในระยะยาว ว่า มนั มีการ “จุดพลุ” หรือไม่ โดยเฉพาะเวลาทีก้เู งินมาแบบ “มหาศาลอภิมหาโปรเจค” คือ บางครังก็อาจจะเกิดการ “ทิงทวน” คอื กจิ การจะ “เจ๊ง” เลยก้เู งนิ มา แล้วก็ทาํ ให้ผลประกอบการดีขนึ เพยี งปี เดยี ว (เพือทาํ ให้ดเู หมือนว่าเงินทีกู้มาเอา มาใช้จ่ายเป็ นไปเพือกิจการจริงๆ) แต่พอมาปี หลงั ๆ ปรากฏว่ากิจการมีกําไรหดตัวลงมาเท่ากบั ก่อนทีจะ “กู้เงิน” หรือ อาจจะขาดทนุ สว่ นเงนิ สดทีได้จากการก้เู งิน อาจจะอ้างว่าเอาไปลงทนุ เครืองจกั ร หรืออืนๆ (ซึงก็อาจจะไม่ได้ลงทุนอย่าง ค้มุ ค่าก็ได้ เพราะเราซึงเป็ นรายย่อยไม่มีทางรู้ว่าลงทุนกับเครืองจักรอะไร แล้วราคาเท่าไหร่) ซึงทังหมดนี เป็ นเรืองที เราซงึ เป็ นผ้ลู งทนุ ต้องซเี รียสกนั อย่างมากทเี ดยี ว ในการติดตามการใช้เงินทนุ ของบริษัท เท่าทีจะทําได้ เพราะ “ความเสยี ง แหง่ หนี” มนั ตามมาหลอกหลอนพวกเรารายยอ่ ยด้วย 35 | P a g e

ดงั นนั ผ้บู ริหารบางคน ก็เลยจะหลีกเลียงการกู้ยืมเงิน โดยใช้วิธี “ปันผลเป็ นหุ้น” เพือเก็บเงินสดไว้ลงทนุ หรือ อาจจะใช้วิธี “เพิมทุน” โดยระดมเงินจากผู้ถือห้นุ หรือนักลงทุนทีสนใจ เพราะเงินตรงนี ไม่เสยี ดอกเบีย แต่ต้องยอมเสีย “สดั สว่ นความเป็ นเจ้าของ” เพอื แลกกบั การทีไม่ต้องเสยี งกบั ภาระดอกเบียนนั เอง.. 36 | P a g e

บทที 10 ตรวจสุขภาพห้นุ ผ่านงบกําไรขาดทนุ จากทีเราได้เรียนรู้กนั มาตงั แต่บทที 1 ถงึ บทที 9 มาแล้ว เราก็ได้เห็นแล้วว่างบกําไรขาดทนุ เบ็ดเสร็จ มีโครงสร้าง เป็ นอย่างไร แล้วทาํ ไมเราถงึ ต้องรู้โครงสร้างของมนั ด้วยละ่ .. ทีเราต้ องรู้โครงสร้ างของงบกําไรขาดทุน ก็เพราะว่าเราต้ องสามารถจําแนกได้ว่ากิจการทีเราวิเคราะห์ (หรือทเี ราลงทนุ ) มคี วามเข้มแขง็ หรือมคี วามออ่ นแอทีตรงจดุ ไหน อาจจะอ่อนแอตงั แต่แรก ก็คือ ไม่มีแม้กระทงั กําไรขนั ต้น (Gross profit) เลยรเึ ปลา่ หรืออาจจะขาดทนุ จากต้นทนุ การบริหารและการขาย (SG&A) หรือว่าจริงๆแล้วขาดทนุ จากการ ลงทนุ สนิ ค้าทนุ และอตั ราดอกเบยี ซงึ เรากค็ งได้เรียนรู้กนั ในรายละเอียดแล้วว่าในแต่ละรายการทีเอย่ ถงึ นนั เป็ นอยา่ งไร ในขณะเดียวกัน เราก็อาจจะพบว่ากิจการทีเราวิเคราะห์นนั มีความเข้มแข็งมากขึนเรือยๆ ก็เป็ นได้ ซึงการที เราจะทราบถงึ ความอ่อนแอหรือความเข้มแขง็ ของกจิ การนนั ๆ สงิ ทเี ราต้องทํากค็ ือ “การเปรียบเทยี บ” “เปรียบเทียบกับตัวมนั เอง” “เปรียบเทียบกับกิจการทีมีโครงสร้างธุรกิจแบบเดียวกันหรืออยู่ในอตุ สาหกรรม เดยี วกนั ” “เปรียบเทียบกบั ภาพรวมของกิจการในตลาดหลกั ทรัพย์” เราเปรียบเทยี บไปทาํ ไมกนั นะ.. “เปรียบเทยี บกบั ตวั มนั เอง” ก็เพือให้ทราบว่า โดยตวั มันเองแล้ว มีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอลง จะทําให้เรารู้ว่า กจิ การนีเป็ นกิจการทีมแี นวโน้มเป็ นอย่างไรบ้าง เพราะในฐานะทีเราเป็ นผ้ลู งทนุ เราก็ควรจะวางเงินลงทนุ ของเรากับบริษัท ทมี แี นวโน้มทดี ี เช่นเดียวกัน เราต้อง“เปรียบเทียบกบั กิจการทีมีโครงสร้างธุรกิจแบบเดียวกันหรืออย่ใู นอุตสาหกรรมเดียวกนั ” เพือให้เราทราบว่า การทีกิจการทีเราวิเคราะห์หรือลงทุนอยู่ อาจจะไม่ได้แย่เมือเทียบกับกิจการอืนๆทีมีลกั ษณะเดียวกัน หรืออตุ สาหกรรมเดียวกัน “ความตกตํา” อาจจะมาจาก “วฏั จกั ร” ของอุตสาหกรรมก็เป็ นได้ ซึงถ้าหากเป็ น “วัฏจักร” ทีมีแนวโน้ มขึนลง (เช่นพวกสินค้าโภคภัณฑ์) ไม่ใช่ดําดิงจากการเปลียนแปลงของสภาวะแวดล้อม (เช่น กิจการ หนังสือพิมพ์) เราก็อาจจะพิจารณาได้ว่าอาจจะทําการ “ถอนการลงทุน” เนืองจากไร้ อนาคต หรือ “ลงทุนเพิม” เนอื งจากหากกิจการนนั เป็ นกจิ การทเี ยียมทสี ดุ ในอตุ สาหกรรมทตี กตํา และหากอตุ สาหกรรมนนั ถึงเวลาฟื นกลบั มา รายที อยรู่ อดอาจจะยงิ ใหญ่จากการ”เก็บซาก” รายเลก็ ทีตายจากไป กอ่ ให้เกดิ สภาวะผ้ขู ายน้อยรายหรือ “กินรวบ” กเ็ ป็ นได้ แต่ถงึ แม้กระนนั เรากอ็ าจจะยงั ต้อง “เปรียบเทยี บกบั ภาพรวมของกจิ การในตลาดหลกั ทรัพย์” เพือให้เรามองเห็น ในภาพรวมวา่ กจิ การทีเราม่งุ สนใจนนั อาจจะไม่ได้ดีไปกว่ากิจการน้อยใหญ่ทีมีอยู่ในตลาดหลกั ทรัพย์ทีเราสามารถเลือก ลงทนุ ได้ ซึงตัวเลขทางการเงินหรือผลประกอบการทีเรานํามาเปรียบเทียบ ก็จะเป็ นเครืองยืนยนั ถงึ “ความสามารถ” ของกจิ การทงั หลายและเราอาจจะได้มลี งทนุ ด้วยสายตาทที อดยาวไปยงั โอกาสทีกว้างไกลขนึ นอกจากนี หากผ้อู ่านได้พิจารณาอย่างละเอียดใน 9 บทแรกแล้วนนั ผู้อ่านจะสมั ผัสได้ว่าได้มีการพยายาม อธิบายถึง “การนําไปใช้” หรือการทีสามารถนําความรู้ทีได้ไปใช้ได้จริง ซึงก็ได้พยายามยกตัวอย่างในแง่ทีว่า โครงสร้าง 37 | P a g e

งบกาํ ไรขาดทนุ มนั จะสามารถเปลยี นแปลงไปได้อย่างไรบ้าง เพราะการเปลยี นแปลงทงั หลายเหลา่ นนั เป็ นสงิ สําคญั อย่าง ยิงทีจะนํามาซึง “โอกาสงาม” ในการลงทนุ และเพือให้เห็นภาพมากขนึ ผมจะลองยกตัวอย่างเท่าทีผมจะพอมีความรู้ อย่บู ้าง ดงั นี บางกจิ การ เป็ นกจิ การทียงั เล็ก และกําลงั เติบโต ภาวะขาดทุนทีเกิดขนึ ในปัจจุบันอาจจะเกิดจากการผลติ ทียงั ไมค่ ้มุ กบั “จดุ ค้มุ ทนุ ” แต่เมือผลติ ได้มากพอ ก็ทาํ ให้กจิ การมกี าํ ไรมหาศาล เติบโตก้าวกระโดด บางกจิ การ เป็ นกิจการทีเคยมีระบบการบริหารจัดการทีล้มเหลว แต่เมือมีการปรับเปลยี นโครงสร้างการบริหาร ทําให้เกิดประสทิ ธิภาพการบริหารจดั การทดี ี และพลกิ กลบั มามีกําไรได้ บางกจิ การ เป็ นกิจการทมี ีภาระค่าเสอื มราคา ซงึ ต้องอดทนกดั ฟันกบั การลงทนุ ในสนิ ค้าทนุ ทีอาจจะต้องใช้เวลา หลายปี จึงจะหักต้นทุนค่าเสอื มราคาจนหมด แต่สนิ ค้าทนุ ทีอาจจะสามารถใช้ได้หลายสิบปี นัน ก็จะย้อนกลบั มาสร้าง ความได้เปรียบให้แก่กิจการในระยะยาว สกดั กนั คู่แข่งทีกล้าไม่เสยี งในการลงทนุ ในสนิ ค้าทนุ ดังกล่าว และสง่ ผลให้เกิด กําไรในภายหลงั จากการ “เก็บกนิ ” ดอกผลแห่งสนิ ค้าทนุ นนั บางกิจการ เป็ นกิจการทีมีหนีสินล้นพ้ นตัว อาจจะเกิดจาก “อุบัติเหตุทางการเงิน” หรืออาจจะเกิดจาก “สภาพของธุรกจิ ทตี ้องใช้เงินลงทนุ สงู ” ซงึ ภาระดอกเบียทีถาโถมก็อาจจะพัดให้กิจการซวนเซ และมีช่วงเวลาทีต้อง “ล้นุ ” ว่าจะสามารถยืนหยดั ในระยะยาวได้หรือไม่ แต่เมือมีโครงสร้างเงินทนุ ทีเปลยี นแปลงไป หรือสามารถชําระหนีได้หมดสิน แล้ว กอ็ าจจะทาํ ให้กิจการนนั ๆ เติบโตก้าวกระโดด และแผ่กงิ ก้านสาขาออกไปไม่รู้จบสนิ ทงั หมดนี เป็ นสงิ ทีเราสามารถสงั เกตเห็นได้จาก “งบกําไรขาดทนุ ” แต่ผ้ทู ีโชคดีทีจะสามารถ “ฉกฉวย” โอกาสที เข้ามานี ก็มกั จะเป็ นผ้ทู ี “สงั เกตและเฝ้ าติดตามอย่างต่อเนือง” มาในระยะเวลาหนึงแล้ว จึงปรากฏเป็ น “โอกาสงาม” ให้เขาเหลา่ นนั ได้มโี อกาสใช้ประโยชน์จากการวเิ คราะห์ให้เกิดเป็ น “จงั หวะลงทุน” ซงึ บางครังก็อาจจะต้องพึงในเรืองของ “โชคหรือดวงหรือชะตากรรม” และ “กําลงั ใจทีเข้มแข็ง” เข้ามาเกียวข้อง เพราะ “โอกาสงาม” มักจะมาในช่วงเวลาที “กํากงึ ” หรือ “คาบลกู คาบดอก” เสมอ แต่สงิ เหลา่ นีเอง เราก็จะทราบได้จากการทีมนั สะท้อนผ่าน “งบกําไรขาดทนุ ” ทีเราได้กล่าวถึงกนั ไป และเราจะ เติมเต็มการวิเคราะห์ โดยการวเิ คราะห์ “งบดลุ ” และ “งบกระแสเงนิ สด” ทีเราจะเริมกลา่ วถงึ กนั ในบทตอ่ ๆ ไปครับ 38 | P a g e

บทที 11 งบดุลหรืองบแสดงฐานะทางการเงนิ สมมตวิ ่าผมลองสาํ รวจทรัพย์สนิ ของผมเอง ผมพบว่าผมมีเงินสดอย่ใู นมือประมาณ 100,000 บาท มีหุ้นทืถือไว้ (เงินลงทนุ ) มีมูลค่าประมาณ 50,000 บาท มีรถ 1 คันทีผ่อนหมดแล้วราคาน่าจะประมาณ 200,000 บาท รวมแล้วผม นา่ จะมที รพั ย์สนิ ประมาณ 350,000 บาท โดยทไี มม่ ีหนสี นิ ใดๆ แต่ปรากฏว่าในเดือนนี ผมอยากจะซอื คอนโดมลู คา่ 2,000,000 บาท ผมก็เลยเอาเงินสดของผมไปดาวน์คอนโด ทงั จํานวน (100,000 บาท) และอีก 1,900,000 บาท ผมก็ก้ธู นาคารแล้วผอ่ น 30 ปี ดังนันตอนนีผมมีสินทรัพย์ทังหมดอยู่ที 2,250,000 บาทเข้าไปแล้ว ในขณะทผี มเองกม็ หี นสี นิ เพิมขนึ มาเช่นกนั ที 1,900,000 บาท เมือหกั กลบกนั แล้วสทุ ธิผมก็ยัง มีสว่ นทีเป็ นของผมจริงๆ 350,000 บาทเท่าเดิม แต่ผมก็มีคอนโดสดุ หรูเอาไว้พกั อาศยั พร้อมกับ”หนีและภาระดอกเบีย” ทตี ้องจ่ายในแต่ละเดือน ซงึ ภาระการผ่อนคอนโดของผมก็จะอย่ทู รี าวๆ เดือนละ 15,000 บาท (รวมเงินต้นและดอกเบยี ) ทีนี รายได้ของผมเองนนั ไมค่ อ่ ยจะแน่นอนเท่าไหร่ คอื อย่ใู นชว่ งระหว่าง 20,000 - 25,000 บาทเท่านนั เท่ากบั ว่า ในแตล่ ะเดือน ผมก็จะมีรายได้ไหลเข้ามา 20,000 - 25,000 บาท ในขณะทีรายจ่ายทีแน่นอนของผมก็อยู่ที 15,000 บาท จากการทผี มเป็ นหนี และผมก็ต้องพยายามประหยัดให้ได้มากทีสดุ ผมพยายามจํากดั ค่าใช้จ่ายส่วนตวั ให้ใช้ไม่เกินเดือน ละ 5,000 บาท ถ้าโชคดีรายได้ผมเกิน 20,000 บาทในเดอื นนนั ๆ ผมกจ็ ะมเี หลอื เกบ็ แตบ่ างครังรายจ่ายของผมเวลาทีต้อง จ่ายค่าซ่อมรถมันอาจจะสูงถึง 10,000 บาทต่อครัง ผมก็อาจจะถึงขันต้ องใช้วงเงินบัตรเครดิตให้เป็ นหนีมากขึน หรืออาจจะต้องขายเงนิ ลงทนุ (ขายห้นุ ) ทผี มมอี ยรู่ าวๆ 50,000 บาท ออกมาใช้จ่าย.. ตวั เงินรายได้และรายจ่ายทีไหลเจ้าออกในแต่ละเดือน ก็คือ “งบกําไรขาดทุน” ของผมในแต่ละเดือนนันเอง ในขณะทีการเปลียนแปลงในสินทรัพย์และหนีสิน ทีผมได้ ยกตัวอย่างมา ก็คือ “งบดุล” ของตัวผมเอง ทีพอมา “กระทบยอด” ในแตล่ ะเดือนกบั “งบกาํ ไรขาดทนุ ” ก็จะกลายเป็ น “ฐานะทางการเงิน” แต่ละเดือนของผมทีเปลยี นแปลงไป บริษัทก็เช่นเดียวกัน ทีจะต้องมีการลงบนั ทึก “บัญชีทรัพย์สนิ และหนีสิน” หรือทีเราเรียกกนั ว่า “งบดุล” หรือ “งบแสดงฐานะทางการเงิน” ซึงก็จะแบ่งออกเป็ น 3 ส่วนหลักก็ได้ แก่ “ส่วนของทุนหรือส่วนของผู้ถือหุ้น” , “สว่ นของสนิ ทรัพย์” และ “สว่ นของหนสี นิ ” “สว่ นของทนุ ” กค็ ือ ทนุ ทีบริษัทลงไปในการเริมกิจการ ยกตวั อยา่ งเชน่ บริษัทเริมต้นลงทนุ กนั ทีราคาพาร์ 10 บาท เป็ นจาํ นวนห้นุ ทงั สนิ 100,000 ห้นุ ดงั นันถ้าหากบริษัทขายหุ้นออกได้หมดก็จะได้เงินรวมกนั ทังสนิ 1,000,000 บาท เป็ น เงินเริมต้นกจิ การ แตป่ รากฏวา่ ผ้บู ริหารของบริษัท ซอื ห้นุ ของบริษัทในราคาพาร์ที 70,000 หุ้น รวมเป็ นเงิน 700,000 บาท และนําอีก 30,000 ห้นุ ออกขายห้นุ แบบ Initial Public Offeriing (IPO) ให้แก่นกั ลงทนุ ทีสนใจ ในราคาหุ้นละ 15 บาท (โดยบอกแกน่ กั ลงทนุ วา่ เป็ นกจิ การทมี ีอนาคต จะมาซือทีห้นุ ละ 10 บาทไม่ได้หรอก ราคาทเี หมาะสมคือ 15 บาทต่างหาก) และกป็ รากฏว่าห้นุ จํานวน 30,000 ห้นุ ทีออกขายขายได้หมดเกลยี ง ทําให้บริษัทได้เงินมาเพิมอีก 450,000 บาท รวมเป็ น เงินสว่ นทนุ ทเี ข้าบริษัททงั สนิ 1,150,000 บาท (700,000+450,000) ทําให้การบนั ทึก ”ส่วนของทนุ ” หลงั จากขายหุ้นครบ 39 | P a g e

แล้ว เป็ นจํานวน 1,000,000 บาท (พาร์ 10 x 100,000 ห้นุ ) และมี “สว่ นเกนิ มลู ค่าห้นุ ” อีกจํานวน 150,000 บาท รวมเป็ น สว่ นของทุนทังสิน 1,150,000 บาท ส่วนผู้ทีได้ซือ IPO ไปในราคา 15 บาทนัน จะไปขายคนอืนในราคาตลาดเท่าใดก็ สดุ แล้วแต่ โดยจะไม่มีผลต่องบดลุ ของบริษัท แต่เป็ นเรืองของการ “ได้-เสยี จากการขายหุ้น” ของผ้ลู งทุนว่าจะกําไรหรือ ขาดทนุ แคไ่ หน หลงั จากทีได้ทนุ ในการดําเนินกิจการจํานวน 1,150,000 บาทแล้ว ก็เลยนําไปซือสนิ ทรัพย์ต่างๆ เพือประกอบ กิจการตามทีตังใจไว้ ซงึ ก็มีทงั ทีเก็บไว้เป็ นเงินสด, เอาไปลงทนุ ในห้นุ หรือตราสารต่างๆ, เอาไปซือเครืองจักรและทีดิน รวมไปถงึ ภาพวาดเอาไว้ประดบั ข้างฝา (รายการทรัพย์สนิ อนื ๆ) ทงั หมดนีบนั ทกึ เป็ น “สนิ ทรัพย์” แต่เนืองจากใช้เงินไปมากจนมาพบว่าเงินทีมีอย่ไู ม่พอในการดําเนินกิจการ ก็จึงต้องไปกู้ยืมเงิน หรือบางทีก็ ไปเอาวัตถุดิบของคนอืนมาผลิตก่อนแล้วค่อนจ่ายเงินทีหลัง เงินทีกู้ยืมมาทังหลายก็กลายเป็ น “ส่วนของหนีสิน” จําแนกออกมาง่ายๆ เป็ น “หนีสินจากสถาบันการเงินต่างๆ” (จากการทีไปกู้ยืมเงินมาหมุน) และเหล่าบรรดา “เจ้ าหนีการค้า” (จากการเอาของเค้ามาแล้วยังไม่จ่ายตัง) ซึงหนีสินทังหลายก็ก่อให้ เกิดภาระหนีทีไม่เหมือนกัน ทงั ในด้านของ “ความบบี คนั ในการจ่าย” และ “ต้นทุนดอกเบีย” (หรือต้นทุนทางการเงิน ทีเราได้เจอในงบกําไรขาดทนุ ใน บทกอ่ นหน้าแล้ว) ทงั หมดนที กี ลา่ วมานี ก็คอื โครงสร้างของ “งบดลุ ” ซงึ มโี ครงสร้าง กค็ ือ ส่วนของผู้ถอื ห้นุ = สนิ ทรัพย์ - หนีสิน เนอื งจากรายละเอยี ดการอธิบายเรืองงบดลุ ได้เคยอธิบายไว้แล้วในหนงั สือ “มีความสขุ กับห้นุ ปันผล by หมีส้ม เลม่ ที 1 “ จงึ ไมไ่ ด้ลงในรายละเอียดหรือนิยามของความหมายในแตล่ ะบรรทดั แต่จะขอข้ามไปสู่ “การตีความและนําไปใช้ เชือมโยงกบั งบกาํ ไรขาดทนุ ” ในบทต่อไปนี ซงึ จะแบ่งออกเป็ นสว่ นของ “สินทรัพย์” และสว่ นของ “หนีสนิ ” ในบทต่อๆไป ครบั .. 40 | P a g e

บทที 12 สินทรัพย์ในงบการเงนิ บทนี เราก็จะมาพูดถึง “ส่วนของสนิ ทรัพย์” กันนะครับ ซึงในบทนี ผมขอชีประเด็นไปที “มลู ค่าทีแท้จริงของ สนิ ทรพั ย์” และแนวทางการประเมนิ วา่ “มนั ควรจะมลู ค่าเทา่ ไหร่” เพือให้เราเข้าใจในกองทรพั ย์สนิ ทีบริษัทมอี ย่ไู ด้ดียงิ ขนึ “สินทรัพย์” ทีปรากฏใน”งบดุล” นี ถ้าหากเราได้เห็นตัวงบแล้ว ก็จะเห็นได้ ว่า เค้าจะจําแนกออกมาเป็ น 2 ประเภท คือ “สนิ ทรัพย์หมนุ เวียน” และ”สนิ ทรพั ย์ไมห่ มนุ เวียน” (ถ้าเราสงั เกตดๆี เราจะพบว่ารูปแบบทางบัญชี ล้วนเป็ น รูปแบบทีมีมาตรฐาน ได้รับการพัฒนาให้เข้าใจง่ายและเป็ นเหตุเป็ นผล ซึงถ้ าหากเราทําความเข้าใจกับมันได้แล้ว เราก็สามารถทีจะใช้งานได้อย่างคล่องแคลว่ เข้าใจความเป็ นไปในทุกบริษัทผ่านงบการเงินทีมีโครงสร้างเหมือนๆ กัน เพยี งแต่บางทเี ราอาจจะท้อในการทาํ ความเข้าใจไปเสยี ก่อน ทาํ ให้เราไม่สามารถจะ ”ฟิ น” ไปกบั มนั ได้) ก่อนอืนเราอาจจะต้องเข้าใจถึงประเด็นทีมาของ ”สนิ ทรัพย์” กนั ก่อน ว่าเริมต้นมนั ก็คือ “เงินสด” แล้วนํามา แปรเปลียนเป็ นสินทรัพย์อืนๆ เพือดําเนินกิจการของบริษัท ซึงสินทรัพย์หมุนเวียนก็คือสิงทีน่าจะ (ยําว่า “น่าจะ”) แปรเปลยี นกลบั เป็ นเงินสดได้ง่าย ในขณะทสี นิ ทรัพย์ไมห่ มนุ เวียนกค็ ืออะไรทแี ปรเปลยี นเป็ นเงินสดได้ยาก ยกตวั อย่างเชน่ ร้านขายหมปู ิ ง ก็จะมีสนิ ทรัพย์หมนุ เวียนได้แก่ เงินสด (เอาไว้ใช้สอยและทอนตัง เป็ นรายการเงิน สดและเทยี บเทา่ เงินสด), ลกู หนีการค้า (ขายหมปู ิ งให้ไปแล้วแต่รอเกบ็ ตงั ตอนเย็น เป็ นลกู หนีการค้าของเรา), วัตถดุ ิบต่างๆ ทีซือหมุนเวียนสําหรับผลิต เช่น หมู ซ๊อส ข้าวเหนียว เป็ นต้น (เป็ นรายการสินค้าคงเหลือ) และก็อาจจะมีเป็ นพวก ถงุ พลาสตกิ (เป็ นสนิ ทรัพย์หมนุ เวยี นอนื ๆ) ในขณะทมี สี นิ ทรัพย์ไมห่ มนุ เวยี นก็ได้แก่ พวกเตาปิ งและรถเข็น ซึงเปลยี นกลบั เป็ นเงนิ ได้ยาก และถงึ จะเปลยี นเป็ นเงินได้ (ขายได้) กไ็ ม่รู้จะได้มากน้อยแค่ไหน บริษัท กเ็ ช่นเดยี วกนั มนั ก็จะเป็ นโครงสร้างคล้ายๆ แบบนี แต่รูปแบบจะซบั ซ้อนและมีรายการสินทรัพย์ทีเยอะ กว่ากิจการหมูปิ งนีแน่นอน และเวลาทีเราเห็น “สินทรัพย์” ในงบการเงิน เราก็เลยต้องมาวิเคราะห์ว่ามันเป็ นอะไรบ้าง และจริงๆแล้ว “มันควรมีมูลค่าเท่าไหร่” เพราะสงิ ทีปรากฏในงบการเงิน “มนั ตรงไปตรงมาจากการบันทึกทางบญั ชี” แตม่ นั อาจจะไมไ่ ด้เป็ นมลู ค่าทแี ท้จริง หากวา่ เราต้องการ “ขายสนิ ทรัพย์นนั ” ออกไปก็ได้ ยกตวั อยา่ งเชน่ สมมตวิ ่าผมอยากได้เครืองทาํ กาแฟ และเดินเข้าไปซือทีร้านกาแฟ ด้วยราคาเครืองละ 100,000 บาท ทนั ทีทีผม เดนิ ออกจากร้านผมคดิ วา่ ผมไม่อยากได้มนั แล้ว จงึ เดินกลบั ไปเพือขอคืนเครืองทํากาแฟ ผลปรากฏว่าผมได้เงินคืนเพียง 80% เพราะคนขายบอกผมว่า “มนั เป็ นเครืองมือสอง” และยงั บอกกบั ผมอีกว่า “ดีนะทีไม่เอากลบั บ้านไปแล้ว ไม่งันจะคืน ได้ทีราคาเพียงครึงหนงึ ของทีซือมา” ฉนั ใดก็ฉันนนั บรรดาสินทรัพย์ต่างๆ (ทีไม่ใช่รายการเงินสดและเทียบเท่าเงินสด) ทปี รากฏในงบการเงนิ ล้วนแตถ่ กู บนั ทกึ ด้วยราคาทนุ ทซี อื มา หกั ด้วยค่าเสอื มราคา แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ราคามันอาจจะ ด้อยคา่ ลงไปแล้วกไ็ ด้ ดงั นันเวลาทีผ้เู ชียวชาญทางการเงินเค้าประเมินสนิ ทรัพย์ของบริษัท (เวลาทีเค้าจะซือกิจการกัน) เค้าก็จะใช้ วิธีการตีราคาแบบต่างๆ เพือให้ทราบว่าสินทรัพย์แต่ละชนิดควรมีมูลค่าเท่าไหร่โดยใช้มุมมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ น 41 | P a g e

“มุมมองในแง่ทีว่าสินทรัพย์ชินนีจะสามารถทําเงินหรือสร้ างรายได้ เท่าไหร่” หรือ อาจจะเป็ น “มุมมองในแง่ทีว่า ถ้าเปลยี นเป็ นเงนิ สดตอนนี จะได้เท่าไหร่” เป็ นต้น ซงึ กเ็ ป็ นแตล่ ะวธิ ีทีเค้าจะนํามาใช้เพือประเมินให้ใกล้เคียงความเป็ นจริง มากทีสดุ ซึงเราเองอาจจะไม่ต้องไปคิดอะไรละเอียดขนาดนัน วิธีทีผมใช้ก็อาจจะเป็ นวิธีทีเรียกว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน” โดยเป็ นการประเมินจากประสบการณืโดยตรงของผมทีได้พบเห็นมาตลอดหลายปี ทีผ่านมาว่า ”เวลาปิ ดกิจการสินทรัพย์ อะไรมนั เหลอื เทา่ ไหร่ หรืออาจจะกลา่ วได้ว่า ผมใช้วิธีคิดทีว่า ดงั นี สมมตวิ า่ บริษัท A มีรายการสนิ ทรัพย์ ดงั ต่อไปนี (เราสามารถดรู ายละเอียดทีบันทกึ ลงไปเป็ นสินทรัพย์ ได้จาก งบการเงินฉบับเต็มทีเป็ นไฟล์ส่งมาแนบกับการรายงานงบการเงินรายปี และรายไตรมาส สามารถโหลดได้ ฟรีที www.set.or.th) 1. เงนิ สดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด มีการบันทึกจํานวนทงั สนิ 1,000,000 บาท ก็จะตีราคาว่ามีอยู่ 1,000,000 บาทเต็มๆ (ก็เงนิ สดกค็ อื เงนิ สด) 2. เงนิ ลงทุน มีการบันทกึ จํานวนทงั สนิ 500,000 บาท ก็อาจจะดวู ่าเป็ นห้นุ ในตลาดหลกั ทรัพย์หรือเป็ นห้นุ ทีอยนู๋ อกตลาดหลกั ทรัพย์ ถ้าเป็ นห้นุ ทอี ยใู่ นตลาดหลกั ทรัพย์ก็จะเช็คราคาปัจจบุ ันที www.set.or.th แต่ถ้า หากเป็ นหุ้นของบริษัททีอยู่นอกตลาด ก็จะใช้วิธีดงู บการเงินของบริษัทนันๆ ใน website ของกรมพัฒนา ธรุ กจิ การค้า ในเคสนี ขอตีมลู คา่ เอาไว้ที 200,000 บาทก็แล้วกนั (กดเข้าไปดไู ด้ที www.dbd.go.th และเข้าไปในสว่ นของ “คลงั ข้อมูลธุรกิจ” โดยเอาตัวเลข “ส่วนของผู้ ถือห้นุ ” มาหารจํานวนห้นุ ทงั หมด ก็จะได้ “มลู ค่าต่อห้นุ ” แล้วเอามาคณู กับจํานวนห้นุ ทีบริษัทถืออยู่ ข้อมูล งบการเงินตรงนี มีการอพั เดทปี ละครงั ตามทไี ด้สง่ งบการเงินรายปี ดงั นนั อาจจะไมไ่ ด้อพั เดทเป็ นปัจจุบัน แต่ กย็ งั พอมอี ะไรให้เราประเมนิ ราคาได้บ้าง) 3. ลูกหนีการค้า มีการบนั ทกึ จํานวนทงั สนิ 200,000 บาท เราก็จะใช้วิธีการหารสองเลย (เพือความปลอดภัย เพราะเด๋วนีทําธุรกิจโดนชกั ดาบกนั เยอะ) คือ ก็จะตวี า่ เหลอื มลู คา่ จริงๆ แค่ 100,000 บาท 4. สินค้าคงเหลือ มีการบันทกึ เอาไว้ 500,000 บาท ก็จะใช้วิธีการคิดราคาแค่ 20% หรือว่าเหลอื มลู ค่าแค่ 100,000 บาทเทา่ นนั 5. ทดี นิ อาคาร เครืองจกั รและอุปกรณ์อนื ๆ มกี ารบนั ทกึ ไว้ที 10,000,000 บาท เราก็จะเอาเฉพาะรายการ ทดี นิ เทา่ นนั (เพราะทดี นิ น่าจะไม่เสอื มมลู คา่ ) รายการอืนตเี ป็ น 0 ให้หมดเลย สมมติว่าบริษัท A มีรายการที เป็ นทีดิน 5,000,000 บาทกแ็ ล้วกนั ทนี ีเรากจ็ ะได้ตารางสนิ ทรัพย์ ทมี ีตัวเลข 2 ช่อง ได้แก่ ชอ่ งทบี นั ทกึ ทางบญั ชี และช่องทีเราประเมินราคาเอง ดงั ตอ่ ไปนีครับ 42 | P a g e

สนิ ทรัพย์ของบริษัท A ราคาตามบญั ชี ราคาทปี ระเมินเอง เงนิ สดหรือรายการเทยี บเท่าเงนิ สด 1,000,000 1,000,000 เงนิ ลงทุน 500,000 200,000 ลูกหนีการค้า 200,000 100,000 สนิ ค้าคงเหลือ 500,000 100,000 ทดี ิน อาคาร เครืองจกั รและอุปกรณ์อนื ๆ 10,000,000 5,000,000 รวมสินทรัพย์ 12,200,000 6,400,000 จากตาราง ถ้าเป็ นผมประเมินราคาตามแบบของผมเอง ถงึ แม้จะมีสินทรัพย์ของบริษัทรวมอยู่ที 12,200,000 บาท แตผ่ มกจ็ ะตรี าคาหรือคดิ วา่ มนั มมี ลู คา่ แค่ 6,400,000 บาทเท่านนั เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว เราซงึ เป็ นผ้ลู งทุน ไม่มี ทางจะรู้ได้เลยว่า สงิ บนั ทกึ ลงไปในบญั ชีนนั มีอยู่ “ครบถ้วน” และ “ตรงตามมลู ค่า” หรือไม่ เพราะผู้สอบบัญชีก็จะมีจดุ ที ไมส่ ามารถเข้าไปตรวจสอบได้อยหู่ ลายสว่ น (เชน่ พวกรายละเอยี ดลกึ ๆ ว่าสต๊อกสนิ ค้ามีอยจู่ ริงๆ เท่าไหร่ และลกู หนีการค้า รายไหนที “ชกั ดาบ” ไปแล้วบ้าง) ทีนีบางคนก็อาจจะสงสัยว่า ทําไมบางรายการทีเราทราบว่า “มันมีอยู่จริง” เช่นพวกอาคารและเครืองจักร ผมตีราคาบางรายการไม่มีค่าเลยหรือตีค่าเอาไว้น้อยมาก เหตุผลทีทําแบบนนั ก็เนืองมาจากว่า สมมติว่าเราต้องขาย ทรัพย์สนิ ออกไป เราไม่ได้เพียงแค่ขายแล้วให้เค้ามายกของกนั ไป แตก่ ารขายทรัพย์สนิ นํามาด้วยความ “เหนือยยาก” และ มี “ต้นทนุ แฝง” ทีเกิดขึนจากกระบวนการขายสินทรัพย์เหลา่ นี ซึงหลายๆ คนทียังไม่เคยพบเจอ จะไม่ทราบถึงความ “ว่นุ วาย” และ “เดอื ดร้อน” อาจจะถงึ ขนาดทตี ้องพดู ว่า “ยกให้เค้าฟรีไปเถอะ ให้มนั จบไป“ คือ มนั เหนือยแบบสาหสั จริงๆ พอมาถงึ ตรงนี หลายๆ คนคงเข้าใจภาพของ “สินทรัพย์” มากขนึ แล้วนะครับ ว่าบางครังเราควรจะตีมูลค่าของ สินทรัพย์ต่างๆ แบบ “ปลอดภัยไว้ ก่อน” นันก็เพราะว่า “สินทรัพย์ก็ คือ สินทรัพย์ มูลค่ามันดินได้” แต่ “หนีสิน” ทจี ะกลา่ วถงึ ในบทตอ่ ไป คอื “ของจริง” และ “อยคู่ รบถ้วน” แนน่ อน กอ่ นจะจากกนั ในบทนี ขอทิงท้ายว่า เราก็จะสงั เกตได้ว่าหลายๆ บริษัท (อาจจะเป็ นสว่ นทีน้อยมาก แต่ปฏิเสธ ไมไ่ ด้ว่ามีให้พบเห็นเรือยๆ) ทีจะกาํ ลงั จะเจ๊ง ถงึ ได้พยายามแปลงกายและแต่งงบให้สวยหรู แล้วเอาหุ้นเข้ามาขายในตลาด หลกั ทรพั ย์ เพือระบายห้นุ ออกไป (หาทาง Exit ออกจากธุรกิจ) โดยยึดมูลค่าตามบัญชี ทงั ทีความจริงอาจจะเหลอื เพียง “ซาก” ไปแล้วก็ได้ และถ้าหากเค้าเลิกกิจการแบบปกติ และต้อง “เลหลงั ” ทรัพย์สินทีมี ก็จะเป็ นเรืองทีเหนือยยากและ ว่นุ วายมาก มิส้เู อามา “กระจายห้นุ ” ในตลาดหลกั ทรัพย์ ได้ทงั มลู คา่ ทเี พิมขนึ มหาศาลจาก “ความเข้าใจผิดในสาระสําคัญ ของกจิ การของผ้ลู งทนุ ” หรือ “ผ้ลู งทนุ ทีรู้ทงั รู้แตช่ อบเลน่ กบั ไฟ เพราะคิดว่าตนเองจะไม่ใช่ไม้สดุ ท้าย” นอกจากจะได้ออก จากธุรกิจแบบได้เงินกลบั มาครบถ้วนหรือเกือบครบถ้วนแล้ว อาจจะได้กําไรติดมือกลบั มาเป็ นกอบเป็ นกําอีกด้วย ก่อนที บริษัทนนั จะล้มหายตายจากไป อาจจะในอีก 2-5 ปี ถดั มา (เข้ามา 2 ปี แล้วล้ม เรียกว่า “ล้มกระทันหนั ” แต่ถ้าเข้ามา 5 ปี แล้วล้ม เรียกว่า “ล้มแบบเนียนๆ” เป็ นไปตามแผนทีผ้บู ริหารเค้าวางไว้ลว่ งหน้าแล้วนนั เองครบั .. 43 | P a g e

บทที 13 หนีสินในงบการเงนิ หนีสินในงบการเงิน เป็ นเรืองทีสามารถอธิบายได้ง่ายมากโดยทีไม่ต้องชีแจงกันมากนกั เพราะ “หนีสินก็คือ หนสี นิ ” หรือเราอาจจะบอกได้วา่ คอื “ปริมาณหรือมลู ของภาระทางการเงนิ ” ทบี ริษัทได้ไปสร้างเอาไว้นนั เอง ซงึ แบ่งออกได้ เป็ น 2 สว่ น อนั ประกอบไปด้วย “หนีสนิ หมนุ เวียน” และ “หนสี นิ ไม่หมนุ เวียน” นนั เอง หนีสนิ หมนุ เวยี น ในทางบญั ชกี จ็ ะหมายถงึ หนที ีมกี าํ หนดชาํ ระไม่เกิน 1 ปี (หรือ 1 รอบปี บัญชี) หนีสินสว่ นทีเข้า ขา่ ยประเภทนี กจ็ ะได้แก่ วงเงินเบิกเกินบญั ชี (ทีใช้ไปแล้ว) ทีได้รับอนุมัติมาจากธนาคาร, พวกหนีการค้ากบั บรรดาคู่ค้า ทงั หลายทเี ราเอาสนิ ค้าหรือบริการเค้ามาเรียบร้อยแล้ว แตย่ งั ไม่จ่ายตัง รวมไปถึงส่วนของหนีสนิ ระยะยาวทีมีกําหนดจ่าย ในงวดปี นี ส่วนหนีสินไม่หมุนเวียน ในทางบัญชี ก็ได้ แก่ พวกหนีระยะยาวทีมีกําหนดชําระเกินกว่า 1 ปี ขึนไป เช่น พวกเงินก้รู ะยะยาว ห้นุ กู้ หรือรวมไปถงึ หนีสนิ ผลประโยชน์พนกั งานภายหลงั เลิกจ้าง (ต้องสํารองเอาไว้ตามกฏหมาย สําหรับกรณีปิ ดกิจการจะได้ มีเงินจ่ายชดเชย จํานวนทีต้องสํารองจะมีสูตรทีคํานวณด้ วยวิธีการของคณิตศาสตร์ ประกนั ภัย) จะวา่ ไปแล้ว “สว่ นของหนีสนิ ” มนั ง่ายในการทําความเข้าใจตรงทีว่า เราไม่ต้องมาแจกแจงอะไรกันมาก เพราะ “หนสี นิ เป็ นสงิ ทหี ลกี หนีไม่ได้” แม้จะไมม่ ีเงนิ จา่ ย บรรดาเจ้าหนีก็ไม่สามารถ “ยกหนี” ให้ได้โดยง่าย ดงั นันจึงไม่ต้องกังวล ว่า “มนั จะมีอยจู่ ริงหรือไม”่ เพราะมนั อย่คู รบถ้วนแนน่ อน.. แต่ผมอยากจะชีให้เห็นถงึ ประเด็นของ “ต้นทนุ ทางการเงิน” ทีเกิดจากบรรดาเจ้าหนีแต่ละประเภท เพราะหนีสิน แต่ละแบบกม็ ี “ต้นทนุ ดอกเบียทีไม่เหมอื นกนั ” สรุปงา่ ยๆ กค็ อื หนธี นาคารหรือสถาบนั การเงิน ต้องจ่ายดอกเบีย ในขณะที เจ้าหนีการค้านัน ถ้าบริษัทสามารถ “เอาเปรียบคู่ค้า” ในการจ่ายเงินลา่ ช้าได้นานเท่าไหร่ ก็จะยิงทํากําไรให้กับบริษัท ได้มากเท่านนั เข้าทาํ นองทวี า่ “ความได้เปรียบทางการค้า เกิดจากการเอาของเค้ามาขายก่อน หรือเอาเงินเค้ามาใช้ก่อน” สงิ เหลา่ นีเป็ นเรืองทีเกิดขนึ เสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิงผู้ทีได้เปรียบ ก็คือ ผ้ทู ีเป็ น “รายใหญ่” หรือ “มีอํานาจต่อรองสงู ” และเพือให้เหน็ ภาพชดั เจน ผมว่าลองยกตวั อย่างสกั หน่อยดกี วา่ .. สมมติว่าบริษัทมีวงเงินกู้ธนาคารอยู่ทีอัตราดอกเบีย 12% ต่อปี (โดยทัวไปตัวเลขน่าจะอย่ทู ี 7-10% ต่อปี แต่ใช้ตวั เลข 12% จะได้อธิบายง่ายๆ) เท่ากับว่าเฉลียแล้วเสยี ดอกเบีย 1% ต่อเดือน ถ้าหากเราขายสนิ ค้าให้กับบริษัท ขนาดใหญ่ทีเป็ นร้านสะดวกซอื สาขามากมาย โดยมเี ครดติ เทอมที 60 วนั หลงั จากวางบลิ นนั ก็หมายความว่าสินค้าของเรา หากส่งไปเร็วสดุ ของเดือนเลย คือส่งไปวนั ที 1 ของเดือนที 1 ผมจะวางบิลตามรอบปกติได้ในวันที 30 ของเดือนที 1 และรออีก 60 วัน เท่ากับว่าจากวันทีสินค้าเราออกไป ไปจนถึงวันทีผมได้รับชําระเงิน มีระยะเวลาห่างกัน 90 วัน หรือ 3 เดอื น หรือได้รับเงนิ ในวนั ที 30 ของเดือนที 3 นนั เอง.. ถ้าเราใช้เงินทนุ หมนุ เวยี นทีบริษัทมอี ยู่ ผมก็อาจจะมคี ่าเสยี โอกาสของการทไี มไ่ ด้เอาเงนิ ไปฝากธนาคาร ทีควรจะ ได้ดอกเบียปี ละ 2.4% ต่อปี หรือคิดเป็ นระยะเวลา 3 เดอื นที 0.6% ของยอดเงนิ ทจี มลงไป แต่ถ้าเราใช้วงเงินเบิกเกินบญั ชี 44 | P a g e

ผมก็จะเสียต้นทุนไปถึง 3% ทีเดียว (ต้นทุนดอกเบียเดือนละ 1% เป็ นเวลา 3 เดือน) ซึงเชือไม๊ว่าต้ นทุนตรงนี ผ้ปู ระกอบการหลายๆ รายไปได้นํามาคิดคํานวณ (โดยเฉพาะ SMEs) ดงั นัน ถ้าเราสง่ ของไป 1,000,000 บาท ผมก็จะมี ค่าใช้จา่ ยทางการเงินจากการขายสนิ ค้าให้กบั ลกู ค้ารายนี อยทู่ ี 30,000 บาททนั ที แต่ถ้าจะเอากันจริงๆ แล้วต้นทุนของสงิ ทีเราสง่ ออกไปขาย ก็ไม่ใช่ 90 วนั เสยี ด้วย แต่อาจจะยาวนานกว่านัน ยกตวั อย่างเชน่ ถ้าเราทาํ การสต๊อกสนิ ค้าทุนเอาไว้เฉลียที 60 วนั แสดงว่าต้นทุนทีเราลงไปตงั แต่การสงั วัตถุดิบมาผลิตไป จนถงึ การขายออกไปยงั ลกู ค้าและได้รบั เงนิ กลบั มา จะมตี ้นทนุ ทางการเงินที 150 วนั (90 วนั + 60 วนั ) มนั เจบ็ จริงๆ น้อ.. และในทางกลบั กนั มผี ้เู จ็บกต็ ้องมีผู้ “ยิมหวาน” ได้แก่ บรรดาผ้ทู ีมีอํานาจตอ่ รองจากการ “เอาสนิ ค้ามาขายก่อน” แล้วเอาเงินไปฝากแบงก์ บางแห่งอาจจะนําเงนิ ตรงนี มาทําบัตรเครดิตพ่วงไปเพือกินกําไรอีกต่อหนึง.. ซึงมาถึงตรงนีแล้ว บางทา่ นอาจจะคดิ วา่ “ในเมอื เค้าเอาเปรียบกอ็ ย่าไปค้าขายกบั เค้า” แต่ในความเป็ นจริงของโลกนีกค็ อื “บางทีเจ็บก็ต้องฝื น ทน เพราะได้แทะกระดกู ก็ยงั ดกี วา่ ไมม่ อี ะไรจะกิน” ซงึ เป็ น “ภาวะจาํ ยอม” ของบริษัททไี มไ่ ด้มีอาํ นาจต่อรองอะไรมากนกั ทกี ลา่ วมานี ก็เพอื ชีเหน็ ว่า “หนีสนิ ” มนั ก็มีหลายประเภท ทีมีความแตกต่างกนั และการมีหนีสินนัน แน่นอนว่า ไม่ใชเ่ รืองทีดี แตห่ ากมีการบริหารจดั การก็จะสง่ ผลให้ต้นทุนทีเกิดจากเหลา่ นัน ลดน้อยลงไปได้ ทําให้บริษัทมีต้นทุนทาง การเงิน (ทีโชว์อย่ใู นงบกําไรขาดทนุ ) ลดลง และหากสามารถควบคมุ ได้ถึงเวลารับ-จ่ายหนีได้อย่างชดั เจน ก็อาจจะนําเงิน สด (ทียงั ไมจ่ ่ายคืนกลบั ไปยงั เจ้าหน)ี ไปใช้ประโยชน์ได้อกี ด้วย ดงั จะเห็นได้จากในอดีตทีผา่ นมา ในสมัยช่วงปี 2531-2537 อตั ราดอกเบยี เงินฝากในประเทศสงู มาก ธนาคารให้ดอกเบยี เงนิ ฝากสงู ถงึ 7-10% ตอ่ ปี ในขณะทีบริษัทเงินทนุ บางแห่งให้ ดอกเบยี สงู ถงึ 15% ตอ่ ปี ทาํ ให้กจิ การบางอย่างทีเอาของเค้ามาขาย ขายแล้วได้เงินสดมาก่อน เช่น ก๊าซ LPG ทีเจ้าของ เค้าเล่าเองผ่านรายการทีวีว่าได้เครดิตเทอมจากเจ้าหนีการค้ามา 60 วัน แต่พอขายได้เป็ นเงินสดเอามาฝากธนาคาร 1-2 เดือน ยังไงก็ต้องได้ดอกเบียหลายเปอร์เซนต์ ยอดขายเดือนๆ หนึงเป็ นร้ อยล้านบาท ปี ๆหนึงเป็ นพันล้านบาท ได้กาํ ไรในสว่ นนีค่อนข้างมาก (แตท่ ่านไมไ่ ด้เลา่ ให้ฟังว่าตอนทีธนาคารล้ม ท่านถอนเงินออกมาทันหรือไม่ แต่ดจู ากฐานะ ปัจจบุ นั ของทา่ นและเทคนิคตามทเี ลา่ ให้ฟัง ผมว่าท่าน “หนีรอด” ออกมาทนั นะ) ทังหมดนีก็เป็ น “ส่วนหนีสิน” ทีผมอยากจะนําเสนอ ทังในแง่ของ “ภาระผูกพัน”, “ธรรมชาติของหนีสินแต่ละ ประเภท” และการ “พลกิ แพลงหนสี นิ ” ในแบบต่างๆครับ.. 45 | P a g e

บทที 14 สรุปเรืองของงบดลุ ในบททีผ่านๆมา ทีได้กลา่ วถงึ สนิ ทรัพย์และหนีสนิ ของกิจการผา่ น “งบดลุ ” เรากจ็ ะเหน็ แล้วว่าตัวเลขทีเกิดขนึ จาก ทังสินทรัพย์และหนีสิน ก่อให้ เกิดการเปลียน “สถานะทางการเงิน” ซึงการเปลียนแปลงก็ในแต่งวดบัญชี ก็คือ “งบกาํ ไรขาดทนุ ” ทแี ต่ละบริษัทแสดงออกมานนั เอง.. เราจะเห็นได้ว่า “ส่วนของหนีสิน” ทีบริษัทสร้ างขึนจะก่อให้เกิด “ต้นทนุ ทางการเงิน” หรือ “ต้นทนุ ดอกเบีย” ทีจะปรากฏอยใู่ นงบการเงิน ซึงดไู ม่ค่อยจะซบั ซ้อนในแง่ของ “ความเข้าใจ” เท่าใดนัก เพราะหนีสนิ ทีเกิดขึนอย่างไรเสีย ก็จะอย่คู รบถ้วนตามจํานวนแนน่ อน แตส่ งิ ทีน่าจะต้องใช้เวลาในการทาํ ความเข้าใจมากกว่าก็คือ “สว่ นของสนิ ทรัพย์” ซงึ จากทีกล่าวมาในบทก่อนๆ จะเหน็ ได้วา่ มนั “ดินได้” ทงั ในเรืองการค่าเสอื มราคาก็ดี หรือทงั ในเรืองของ “มลู ค่าทีแท้จริง” ของสนิ ทรัพย์ต่างๆ ดงั ทีได้ ยกตวั อยา่ งให้เหน็ ภาพมาอย่างตอ่ เนอื ง และบางครังเราจะเห็นได้ว่า กําไรหรือขาดทุนของบริษัทอาจจะไม่ได้เกิดมาจาก การดําเนินงานเสียทงั หมด แต่อาจจะเกิดจากการการลงบัญชีและการปรับมูลค่าของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยการที เราเป็ นนักลงทนุ แต่ไม่ได้เข้าไปเป็ นผ้บู ริหารกิจการ ก็อาจทําให้เราไม่ทราบถงึ รายละเอียดลกึ ๆ ของสินทรัพย์บางส่วน ทอี าจจะเกดิ การ “เลน่ แร่แปรธาต”ุ ให้เกดิ กาํ ไรหรือขาดทนุ ซงึ บางครังอาจจะคาดไมถ่ งึ เลยทเี ดียว.. นานมาแล้วมีผู้ใหญ่ท่านหนึงสอนผมว่า “ขายแล้วต้องเก็บตังได้ ด้วย” สมัยเมือยังเด็กผมยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอเมือโตมาผมก็พบว่าประโยคนีคือ “ปรัชญาในการทําธุรกิจทีสาํ คัญยิง” ซึงในทางบญั ชีเราจะบนั ทกึ รายได้ก็เมือ “สง่ มอบสนิ ค้าหรือบริการจนเสร็จสนิ แล้ว” โดยทอี าจจะยงั ไม่ได้รับเงินมาจริงๆ ก่อให้เกิดเป็ น “รายได้ค้างรับ” ซงึ จะลงไป อยใู่ นช่อง “ลกู หนกี ารค้า” ตรงนเี องทที ําให้งบรายไตรมาสหรืองบปี ของกจิ การอาจจะระบวุ ่ามกี าํ ไรจากการทําโครงการโน้น นี และต้องมา “ตดั หนสี ญู ” ในภายหลงั กอ่ ให้เกิดการ “ขาดทนุ ไมค่ าดคิด” ทงั ๆ ทไี ตรมาสก่อนหรือปี ก่อนอาจจะ “โชว์กําไร อยา่ งมากมาย” แต่เชอื ไม๊ว่าในหลายๆ กจิ การมีความจงใจเหน็ “เกดิ ขนึ แบบนนั ” โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพือกาํ หนดราคาห้นุ .. ขณะเดยี วกนั ก็อาจจะมีอีกรูปแบบหนงึ ซงึ มีลกั ษณะคล้ายกนั คือ “การบันทกึ ว่ามีกําไรแต่ไม่ได้มีเงินสดเข้ามา” ก็ได้แก่ “การบันทึกกําไรจากการเปลยี นแปลงมูลค่าของสินทรัพย์” หรืออาจจะเป็ น “การปรับนโยบายการตัดค่าเสือม ราคา” ซึงมีผลเช่นเดียวกันก็คือ “การทําให้เกิดกําไรในทางบัญชีแต่ไม่ได้ทําให้บริษัทมีเงินเข้ามามากขนึ ” ซึงเหตกุ ารณ์ เหลา่ นีนํามาซงึ ความเข้าใจผิดในการประกอบกิจการได้โดยงา่ ย นอกจากนี อีกสิงหนึงทีเราควรต้องระวังอย่างสมําเสมอก็คือ “การย้ายรายการระหว่างกัน” ยกตวั อย่างเช่น เราอาจจะมองผิวเผินวา่ ในปี ที 1 และ 2 มีสว่ นของสนิ ทรัพย์และหนสี นิ ไม่เปลยี นแปลงหรือเปลียนแปลงน้อยมาก ทําให้เรา ค่อนข้างสบายใจว่า “ทุกอย่างยังปกติดี” แต่พอเราเข้าไปดูใส้ในเราก็ได้พบว่ารายการ ”เงินสดและเทียบเท่าเงินสด” มีจํานวนทลี ดลงและกลบั ไปเพมิ ที “เงินลงทนุ ” หรืออาจจะเป็ น “ลกู หนีการค้า” ซงึ โดยนยั ยะคือ “เงินสดของกิจการลดลง” ซงึ ถ้าเป็ นผม ผมจะคอ่ นข้างซีเรียสกบั เรืองนีทีเดียวกับการใช้เงินสด “มากเกินกว่าทีเคยใช้ในปี ก่อนๆ” เพราะมนั แสดงถงึ 46 | P a g e

ความผิดปกตขิ องกจิ การ ซงึ โดยปกติกิจการทเี ริมจะยาํ ยานนั “เงนิ สดจะลดลงอย่างต่อเนือง” ในขณะทีหากว่าในส่วนของ หนีสนิ แม้จะมยี อดรวมไม่เปลยี นแปลง แต่ถ้ารายการ “เจ้าหนีการค้าลดลง” แต่ “หนีเบิกเกินบญั ชีหรือหนีสินกบั สถาบนั การเงิน” เพิมสงู ขนึ อนั นีก็ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน เพราะหนีสนิ ถกู แปรเปลียนจาก “หนีทีมีต้นทนุ ทางการเงินตํา” ไปยงั “หนที ีมตี ้นทนุ ทางการเงินสงู กว่า” ทําให้สดุ ท้ายแล้วต้นทนุ ก็จะตกี ลบั เข้ามาใน “งบกําไรขาดทนุ ” ในท้ายทีสดุ ด้วยเหตนุ ี การวิเคราะห์งบการเงนิ จงึ จะสมบรู ณ์ได้ ก็ด้วยการเติมเต็มจากการวิเคราะห์ “งบกระแสเงินสด” หรือ ชือเต็มก็คือ “งบแสดงแหล่งทีมาและใช้ไปของเงินทุน” ซงึ ปรมาจารย์ด้านการลงทนุ หลายๆ ท่าน เช่น แอนโทนี โบลตัน เซยี นห้นุ ระดบั โลกก็ได้เคยกลา่ วไว้ว่า “ถ้าสงสยั ในตวั กิจการ ให้ดทู ีเงินสด” ซงึ แสดงให้เห็นว่า “เงินสด” ซึงอาจหมายถึง “งบกระแสเงินสด” เป็ นสงิ ทีจําเป็ นจะต้องเรียนรู้เพือเตมิ เต็มการวเิ คราะห์จริงๆ ดงั ทีเราจะเรียนรู้กนั ในบทตอ่ ไป.. 47 | P a g e

บทที 15 งบกระแสเงนิ สด ถ้าผมจะมองว่าตัวเองมีเงินสดและการเปลยี นแปลงเงินสดในมือ ผมจะมองอย่างไรดีนะ... ผมลองพิจารณาดู แล้ว การทีผมจะมี “เงนิ สด” เพมิ มากขนึ นา่ จะมาจาก 3 วิธีการด้วยกนั วิธีการแรกก็ได้แก่ การทีผมทํามาหากินได้เงินมา พอหกั กลบกบั ค่าใช้จ่ายทีจ่ายออกไปแล้ว เหลือเป็ น “เงินสด” ในบัญชีทีเพิมขนึ หรือวิธีการที 2 ผมอาจจะสามารถใช้ วิธีการก้ยู มื เพือนฝงู หรือกด “เงนิ สด” ออกมาจากบัตรเครดิต หรืออาจจะเป็ นวิธีทีสามได้แก่ การทีผมขายสนิ ทรัพย์ทีผมมี อยเู่ ดิม ออกมาเป็ น “เงินสด” ผมวา่ มนั กม็ ีแค่สามวธิ ีนีเท่านัน ก็ทําให้ครอบคลมุ ถงึ การเปลยี นแปลง “เงินสด” ของผมแล้ว กจิ กรรมใดๆ ของผมทีเกียวข้องกบั เงนิ สด ก็จะเข้าอยใู่ นหมวดหมทู่ งั สามนีเอง ใน “งบกระแสเงินสด” หรือชือเต็มๆ วา่ “งบแสดงแหลง่ ทมี าและใช้ไปของเงินทนุ ” ก็เช่นเดียวกนั การทีเงินสดจะ มาขนึ หรือลดลง ก็จะมาจากสามกิจกรรมเหมอื นกบั ทีผมกลา่ วมาในช้างต้นนี ก็ได้แก่ กจิ กรรมที 1 กิจกรรมการดาํ เนินงาน ก็คอื การทีกิจการประกอบธุรกิจมีกําไร กําไรทีได้นํามาซึงเงินสดเข้าบริษัท ในขณะเดียวกนั ถ้าการดําเนินงานของบริษัทขาดทนุ ก็เทา่ กบั วา่ เงนิ สดในกจิ กรรมส่วนนีก็จะลดลงเช่นกัน รายการทีอยู่ใน กิจกรรมการดําเนินงานนี ก็จะได้ แก่พวกสินทรัพย์หมุนเวียนทีใช้ในการผลิตและการบริการ (สินทรัพย์ทีใช้ในการ ดําเนินงาน) ได้ แก่ เจ้าหนีการค้ า, ลูกหนีการค้ าและสินค้าคงเหลือ นอกจากนีการปรับมูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆ ก็จะถกู รวมอยใู่ นกจิ กรรมนดี ้วย กจิ กรรมที 2 กจิ กรรมการลงทุน ก็คือ การนําเงินสดไปซือสินทรัพย์เพือการลงทุน ไม่ว่าสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น พวก หุ้นกู้ พันธบตั ร หรือตราสารหนี ไปจนถึงพวกสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น พวกอสงั หาริมทรัพย์ เครืองจกั ร เป็ นต้น ถ้ามีการลงทนุ ก็คอื การทนี ําเงินไปใช้ เงนิ สดกจ็ ะลดลงไป แต่จะแทนทีด้วยตราสารต่างๆ หรือสนิ ทรัพย์อนื ๆ เข้ามาแทน กจิ กรรมที 3 ได้แก่ กจิ กรรมการจดั หาเงิน เป็ นเรืองเกียวกบั การจดั การเงินทนุ ของบริษัท เช่น หากมีการจ่ายปัน ผลออก รายการทีเกิดขึนก็จะแสดงว่าเงินสดลดลง (เงินจ่ายออกมาเป็ นปันผล) ในขณะทีถ้าหากมีการก้เู งินเข้ามาเพืม ทําให้มี “ภาระหน“ี เพมิ ขนึ มา เงินสดเพมิ ขนึ ก็จริง แตห่ นสี นิ ก็เพมิ ขนึ ตามไปด้วย มาถึงตรงนี เราก็จะสังเกตเห็นได้ว่า “งบกระแสเงินสด” บอกถึง “การเปลียนแปลงในเงินสด” ของบริษัท แต่เราเองก็ยังบอกไม่ได้ว่ากิจการดีขึนหรือแย่ลง จนกว่าจะได้มีการพิจารณาในรายละเอียดของแต่ละกิจกรรม ซึงขอ อธิบายเพิมเติมดงั นคี รับ ถ้าเรามองดใู นสว่ นของกิจกรรมที 1 กิจกรรมการดําเนินงาน อนั นีชัดเจนว่า กิจกรรมนีควรมีเงินสดเพิมขึน เพราะถ้ากิจกรรมนีมีเงินสดน้อยลง ถือว่ากิจการกําลังยําแย่ เพราะรายได้ของกิจการต้องมาจากการประกอบธุรกิจ ในขณะที กิจกรรมที 2 ได้แก่ กิจกรรมการลงทุน การทีเงินสดลงจากการลงทนุ เราอาจจะเป็ นห่วงว่าเงินหายไป แต่ถ้า การลงทุนนีได้ผล ในงวดถัดๆ มา “ความสามารถของสนิ ทรัพย์ทีเราลงทุน” ก็จะสะท้อนให้เกิดรายได้ตีกลบั มาเพิมให้ “กจิ กรรมการดาํ เนินงาน” มรี ายได้ทีสงู ขนึ ในภายหลงั (แต่ถ้าลงทนุ ไปแล้วสกั 2-3 ปี แล้วรายได้จากการดําเนินงานไม่เพิม 48 | P a g e

อันนีก็จะน่าเป็ นหว่งจริงๆ ละ) ในขณะที กิจกรรมที 3 กิจกรรมการจดั หาทุน เงินทีไหลออกไป ก็อาจจะเป็ นเงินปันผล ซงึ กลบั ไปยงั ผ้ถู อื ห้นุ การหายไปของ “เงินสด” กจ็ งึ ไม่น่ากงั วล ในขณะทีถ้าหากรายการเงินสดลดลง จากการนําเงินไปคืน “เจ้ าหนี” บางทีอาจจะเป็ นเรืองดี กว่าการที “เงินสด” เพิมขึนจากการก่อหนีก็เป็ นได้ ดังนัน กระแสเงินสด จงึ ต้องถกู พจิ ารณาอย่างละเอยี ด และเพือให้เหน็ ภาพชดั เจนขนึ ผมวา่ เรานา่ จะลองยกตวั อย่างดสู กั หน่อยดกี ว่า.. บริษัททดี าํ เนนิ การตามปกติ จากประสบการณ์ของผม จะมเี งินสดเข้ามาจากกิจกรรมการดําเนินงาน และมักจะ ไหลออกไปจากกิจกรรมการลงทุน (ก็นําเงินไปลงทนุ เพิม) และกิจกรรมการจดั หาทุน (ปันผลออกมาและคืนหนีเงินกู้) ซึงพอถงึ จุดๆ หนงึ พอการลงทนุ อยู่ตัวแล้ว ดอกผลแห่งการลงทุนก็จะตีกลับเป็ นรายได้ให้แก่กิจการ เช่น เอาไปลงทุน พนั ธบตั รกไ็ ด้ดอกเบีย ดอกเบยี ก็เป็ นรายรับกลบั เข้าไปเป็ นเพิมเป็ นกาํ ไรจากการดําเนินงาน ทําให้กิจกรรมการดําเนินงาน มี “เงินสด” เพมิ มากขนึ ตอ่ ไป ในขณะทีการนําเงินสดไปใช้ในกิจกรรมการจดั หาทนุ (นาํ ไปคนื หนี) ก็จะส่งผลให้ “ภาระหนี” ลดลง ทาํ ให้ “ต้นทนุ ทางการเงิน” ลดลง และทําให้เกิดกาํ ไรทีสงู ขนึ ในกจิ กรรมการดาํ เนินงานนนั เอง ในทางตรงกันข้าม บริษัททีเริมยําแย่ เราก็จะเห็นได้ว่า กิจกรรมการดําเนินงาน จะมีผลขาดทุน และทําให้ “เงินสด” ลดลง การลดลงของ “เงินสด” นี มันก็ทําให้สภาพคล่องภายในบริษัทฝื ดเคือง จนทําให้กิจกรรมการลงทุน ต้องขายสนิ ทรัพย์ออกมา ซงึ แม้ว่า “เงินสด” จะเพิมขนึ (จากการขายสินทรัพย์) ในขณะทีอาจจะไปหา “เงินสด” จาก กจิ กรรมการจดั หาทนุ (ก้มู าเพิม) ซงึ เรากจ็ ะเห็นว่า แม้เงนิ สดจะเพมิ ขนึ แต่โดยข้อเทจ็ จริงมนั ดแู ย่เอามากๆ เลยทีเดียว ด้ วยเหตุนีเอง ทังสามกิจกรรมทีผมได้ กล่าวมานี จึงประกอบกันกลายเป็ น “งบกระแสเงินสด” หรือ “งบแสดงแหลง่ ทมี าและใช้ไปของเงินทุน” โดยถ้ากิจการเป็ นกิจการทีดีเยียมและแข็งแกร่งจริงๆ “เงินสดจากกิจกรรมการ ดําเนนิ งาน” จะต้องเพมิ ขนึ แต่ในกจิ กรรมนี มนั จะมปี ระเด็นทที าํ ให้งงอย่ปู ระเดน็ หนงึ กค็ อื บรรทดั ทีเขียนวา่ “การบวกกลบั ของค่าเสอื มราคา” ทอี ย่ใู นกจิ กรรมการดาํ เนนิ งาน ผมจงึ คดิ วา่ น่าจะอธิบายสกั หนอ่ ย.. ในงบกาํ ไรขาดทนุ เราเคยเรียนรู้กนั มาว่า สมมติ EBITDA ของกิจการในปี นี อยู่ที 100ล้านบาท หากกิจการไม่มี ต้นทนุ ทางการเงินเลย (สมมติให้ไม่มี จะได้ไม่สบั สน) แต่มีต้นทนุ ต้นทนุ ค่าเสอื มราคาอยทู่ ี 120ล้านบาท ในงบกําไรขาดทนุ จะโชว์ทนั ทีว่า ปี นกี ิจการขาดทนุ 20ล้านบาท (100ล้านบาท - 120ล้านบาท) แตใ่ นแงเ่ งนิ สดนนั “ไมใ่ ช่” เพราะเงินสดไม่ได้ ถกู จ่ายออกไป เพราะ “ค่าเสอื มราคา” มาจากการหกั ต้นทนุ ใน “สนิ ค้าทนุ ” ทีได้ลงทนุ ไปแล้ว ไม่ได้เกิดการจ่ายออกไปจริง ดงั นันถึงแม้ว่าในบการเงินจะขาดทุน แต่เวลาคํานวณ “เงินสด” ในกิจกรรมการดําเนินงานก็จะต้องบวกกลบั ไปอีก 120ล้านบาท เช่นวา่ ผมซอื รถมาทาํ งาน ผมไมอ่ ยากเสยี ดอกเบียกเ็ ลยเอาเงนิ เกบ็ มาซือที 200,000 บาท โดยผมกําหนดว่า ผมจะเอาเงินคืนตวั เอง เดือนละ 10,000 บาทเป็ นเวลา 20 เดือน และผมมีรายจ่ายอืนๆ 20,000 บาท รวมเป็ นรายจ่าย ทงั สิน 30,000 บาท ปรากฏว่ามีเดือนหนึงผมเงินไม่พอใช้ ผมมีรายรับแค่ 25,000 บาท ทําให้ผมติดลบในเดือนนี 5,000 บาททนั ที (จากรายจา่ ย 30,000 บาท) แตเ่ งนิ สดของผมเดือนนีเพิมขึนนะ มันยงั คงมีเพิมอยู่ 5,000 บาทไม่หายไป ไหน (แม้ว่าผมจะรบั รู้วา่ ผมชอตเดือนนี จากการทีผมหกั ค่าเสอื มราคาทีนาํ ไปซอื รถยนต์ แต่จริงๆ 5,000 บาทเพิมเข้ามาใน 49 | P a g e

บญั ชขี องผม) ฉนั ใดกฉ็ นั นนั เวลาทีตงั ต้นงบกระแสเงนิ สดจากกิจกรรมการดําเนินงาน จึงตงั จาก “กําไรสทุ ธิ” แล้วจึงบวก กลบั ด้วย “คา่ เสอื มราคา” ทีได้หกั ไว้นนั เอง บางคนทีเข้าใจในเรืองนีแล้ว เวลาทีเค้าเห็นงบกําไรขาดทุนว่า กําไรจากการดําเนินงานเป็ นบวก แต่ไปโดน ค่าเสือมราคาหรือโดนดอกเบียจนทําให้ กิจการมีผลขาดทุน เค้ าก็จะไปดูในงบกระแสเงินสดเลย ว่ากระแสเงินสด จากกิจกรรมการดําเนินงาน “เป็ นบวกหรือไม่” และ “บวกเยอะแค่ไหน” แล้วค่อยกลับมาดูใน “งบกําไรขาดทุน” ว่าโดนหกั อะไรไปเทา่ ไหร่ ดอกเบียทีจา่ ย (ต้นทนุ ทางการเงิน) จ่ายไปเท่าไหร่ และไปดูในงบดุลว่ามาจาก “ภาระหนีอะไร จาํ นวนเท่าไหร่” และ “มีแนวโน้มจะลดลงไม๊” ในขณะทีเค้าก็จะไปดูค่าเสอื มราคาในงบกําไรขาดทุนด้วย ว่า “โดนงวดนี เท่าไหร่” เพราะเค้าอาจจะแกะข้อมลู คา่ เสอื มราคาเพือหาว่า “ปี ใดทีคา่ เสอื มหมด ปี นนั กําไรจะดีดกลบั มหาศาลทนั ที” ทีกล่าวมาทังหมดนี ก็คงจะพอทําให้ภาพรวมและการเชือมโยงระหว่าง “งบกําไรขาดทุน” “งบดุล” และ “งบกระแสเงินสด” มากขนึ แล้ว ในบทต่อไปเราน่าจะมาดกู นั สกั หน่อยวา่ เราจะสามารถใช้ “งบกระแสเงินสด” วิเคราะห์กัน อยา่ งไรได้บ้าง 50 | P a g e


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook