ใบความรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง การจดั การเมอื่ ถูกแกลง้ เมื่อเข้าสู่โรงเรียน การได้พบกับเพื่อนๆ ที่มาจากครอบครัวท่ีมีความแตกต่างกัน บางคร้ังอาจทำ�ให้ เกดิ เหตกุ ารณไ์ มค่ าดคดิ เชน่ ถกู ขม่ ขู่ ถกู แกลง้ หรอื ถกู รงั แก ซงึ่ อาจสง่ ผลใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมตอ่ ตา้ น กลวั สงั คม กลวั เพอื่ น และโรงเรียน จนไมอ่ ยากมาโรงเรียน การจัดการเม่อื ถูกแกล้ง เปน็ วธิ ีการทีน่ กั เรยี นแตล่ ะคนควรร้จู กั ไวเ้ พ่ือเผชิญกบั สถานการณ์เบ้ืองต้น ดังนี้ 1. เมอื่ ถกู รงั แกใหห้ ายใจเขา้ ลกึ ๆ เพอ่ื ระงบั ความรสู้ กึ โกรธ ไมพ่ อใจ กลวั และเพม่ิ พลงั ความกลา้ ใหต้ วั เอง 2. รจู้ กั พดู แสดงความไมช่ อบใจ กลา้ พดู กลา้ ตดั สนิ ใจ บอกเพอ่ื นทม่ี าแกลง้ ดว้ ยเสยี งดงั ฟงั ชดั และมนั่ คงวา่ “เราไม่ชอบและไม่ต้องการให้ทำ�แบบนี้” ซึ่งดีกว่าการยืนเงียบๆและปล่อยให้เพื่อนแกล้ง อาจเดินหนี ไม่สนใจ บอกตรง ๆ ว่าไม่ชอบ 3. หากเพ่ือนก้าวเข้ามาถึงตัว หนูต้องตะโกนเสียงดังว่า “หยุดนะ” หรือ “อย่านะ” “อย่าทำ�แบบนี้” “เธอไมม่ สี ิทธิมาท�ำ รา้ ยเรา” “ตอ้ งการอะไรใหพ้ ูดบอกดี ๆ” พรอ้ ม ๆ กบั ขยับตัวออกมา เบย่ี งหลบ หรือปัดมือเขา ออกจากตวั ถ้าบอกเพ่ือนแล้ว เพอ่ื นไมฟ่ ัง ใหบ้ อกกับเพ่อื นอีกครัง้ ว่า “ถ้ายังไมฟ่ งั เราจะบอกครู” ถา้ เพอ่ื นยงั ทำ�อกี ให้ไปบอกครูวา่ เกิดอะไรข้นึ 4. หลกี เลยี่ งการพดู หรอื แสดงทา่ ทางทเี่ ปน็ การกระตนุ้ ใหอ้ กี ฝา่ ยมพี ฤตกิ รรมรนุ แรงมากขน้ึ เชน่ พดู ทา้ ทาย ย่ัวโมโห ชกต่อยหรือท�ำ รา้ ยกลบั เปน็ ต้น 5. หากนักเรียนคิดว่าตกอยู่ในสถานการณ์ท่ีเป็นอันตรายหรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้ขอความ ช่วยเหลอื จากคนรอบขา้ ง หรือบอกครูที่ปรึกษาเกย่ี วกบั เหตุการณท์ เ่ี กิดข้ึน ในขณะเดยี วกนั ครตู อ้ งใหค้ วามมัน่ ใจกับ เดก็ วา่ การทเ่ี ด็กมาขอความชว่ ยเหลือเป็นส่ิงทีถ่ กู ตอ้ ง รวมท้ังรับฟังเด็ก เพื่อให้เด็กเกดิ ความไวว้ างใจ และหาทางออก ที่เหมาะสมร่วมกันกับเดก็ 6. ครูสามารถศึกษาหรือเสริมทักษะในการรับมือเม่ือถูกรังแกได้ในแผนการเรียนเรื่อง ทักษะการรับมือ เม่ือถกู รังแก 7. หากเพอื่ นทช่ี อบแกลง้ ยงั คงตามรงั ควานไมเ่ ลกิ ควรกลา้ ทจี่ ะพดู คยุ กบั ครู ใหท้ ราบและเขา้ มาชว่ ยจดั การ กับปัญหาที่เกิดข้ึน โดยเข้าไปบอกครูถึงเหตุการณ์ท่ีถูกรังแก ความรู้สึกท่ีเกิดขึ้น แม้พยายามบอกเพ่ือนให้เลิกแกล้ง เพอื่ นก็ยังไม่รบั ฟงั พรอ้ มขอให้ครชู ่วยหาหนทางในการแก้ปญั หาทเ่ี กดิ ข้ึน 8. หากครทู โ่ี รงเรยี นไมไ่ ดใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื ควรบอกพอ่ แม่ เพอื่ ใหพ้ อ่ แมไ่ ปพบคณุ ครทู โี่ รงเรยี นเพอื่ ชว่ ยกนั แกป้ ัญหาที่เกิดขึน้ วธิ ปี อ้ งกันตนเองไม่ให้ถูกแกลง้ การปอ้ งกนั ตนเองไมใ่ หถ้ ูกแกล้ง เปน็ สง่ิ ทน่ี กั เรียนแต่ละคนควรร้จู กั ไว้ ดงั น้ี 1. รจู้ กั ระวงั ตัวเอง ควรร้จู กั ระวังตวั เอง เช่น ไมไ่ ปไหนตามลำ�พงั ควรหาเพอ่ื นสกั คนไปดว้ ยกนั 2. หลกี เลยี่ งพน้ื ทเี่ สย่ี ง การรงั แกมกั จะเกดิ ขนึ้ ในทที่ ลี่ บั ตาคน เชน่ หลงั หอ้ งนาํ้ ใตอ้ าคารเรยี น หลงั โรงเรยี น พนื้ ท่ีที่ไม่ค่อยมคี น จงึ ควรหลีกเลี่ยงสถานท่เี หล่าน้ี เพ่ือป้องกันการตกเปน็ เหยอื่ โปรแกรมการพฒั นาทักษะการควบคุมตนเอง (self-control) 43 เพือ่ ป้องกนั พฤตกิ รรมการรังแกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาที่ 1-3
44 โปรแกรมการพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง (self-control) เพอื่ ปอ้ งกนั พฤตกิ รรมการรงั แกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
6 ทักษะการตระหนักรอู้ ารมณ์ตนเอง และควบคมุ อารมณ์ตนเอง เวลา 1 ชัว่ โมง 30 นาที จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพ่ือใหน้ ักเรยี นสามารถตระหนักและรบั รูอ้ ารมณข์ องตนเองเม่ือถูกรังแก 2. เพ่ือให้นักเรียนสามารถจดั การอารมณ์ของตนเองได้อยา่ งเหมาะสมเมื่อถูกรังแก สาระสำ�คญั ทกั ษะในการรบั รอู้ ารมณโ์ กรธหรอื ความรสู้ กึ ไมพ่ อใจของตนเองจากการถกู รงั แก จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นรตู้ วั และ ไม่โต้ตอบด้วยความรุนแรง นอกจากน้ีทักษะการจัดการกับอารมณ์อย่างเหมาะสม จะทำ�ให้นักเรียนมีวิธีการระบาย อารมณ์ และจัดการกับสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี สอื่ -อุปกรณ์ 1. ภาพอารมณท์ างลบ การไมส่ ามารถควบคมุ อารมณโ์ กรธหรอื ไมพ่ อใจ และแสดงพฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม 2. ใบกจิ กรรมที่ 1 เร่ืองโกรธ ไม่พอใจ ลดลงไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ 3. ใบความรทู้ ่ี 1 เร่ืองโกรธ ไม่พอใจ ลดลงได้อย่างสร้างสรรค์ 4. กระดาษฟลิปชาร์ต/กระดาน 5. ปากกาเคมี โปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) 45 เพือ่ ปอ้ งกันพฤตกิ รรมการรงั แกกนั (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
ข้นั ตอนการดำ�เนินกจิ กรรม กิจกรรม สอ่ื -อุปกรณ์ท่ีใช้ ระยะเวลา 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน (ปรับจำ�นวนได้ - ภาพอารมณ์ทางลบ 10 นาที ตามความเหมาะสมตามจ�ำ นวนของนกั เรยี น) และใหน้ กั เรยี นสง่ ตวั แทน ออกมาจบั บตั รภาพกลุ่มละ 1 ภาพ และให้เกบ็ ไว้ไมใ่ หก้ ลุม่ อืน่ รู้ *ครูอาจเพม่ิ การวาดภาพเหตุการณ์ทเี่ ดก็ ไมส่ บายใจหรอื เศรา้ เปน็ กจิ กรรมน�ำ กอ่ นเขา้ สกู่ จิ กรรมการเรยี นรู้ โดยครสู ามารถปรบั ใชต้ าม บริบทของพ้นื ที่ 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันแสดงสีหน้าท่าทางตามบัตรภาพ - ภาพอารมณ์ทางลบ 15 นาที ทไี่ ดร้ บั และใหเ้ พอ่ื นกลมุ่ อน่ื ทายวา่ อารมณท์ แ่ี สดงเปน็ อารมณอ์ ะไร 3. หลงั จากทท่ี กุ กลมุ่ แสดงสหี นา้ ทา่ ทางเสรจ็ แลว้ ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคน 15 นาที ช่วยกันเล่าถึงเหตุการณ์ท่ีเคยถูกรังแกหรือที่เคยได้ยินเพ่ือนเล่า เก่ยี วกบั การถูกรังแก และให้ตวั แทนเลา่ ใหเ้ พ่ือนกล่มุ อ่นื ฟงั (เลอื ก 1 กรณี) 4. ครใู ห้นักเรียนกลมุ่ เดิม ชว่ ยกันระดมความคดิ เก่ยี วกบั - กระดาษฟลปิ ชาร์ต/ 15 นาที 4.1 ผลที่ตามมาจากอารมณ์ทีไ่ ม่ดีจากการถูกรงั แก กระดาน 4.2 วิธกี ารจัดการกับอารมณ์ โดยถามนักเรยี นวา่ - ปากกาเคมี “เมื่อเกดิ อารมณ์นั้น หนูทำ�อยา่ งไร” 4.3 ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ น�ำ เสนอค�ำ ตอบขอ้ 4.1, 4.2 และใหค้ รจู ดบนั ทกึ คำ�ตอบ 5. ครใู หน้ ักเรียนช่วยกันพจิ ารณาว่าวธิ กี ารจัดการอารมณ์ว่า มีวธิ กี าร - กระดาษฟลิปชารต์ / 5 นาที ไหนบ้างที่ไม่เหมาะสม และไม่เหมาะสมอย่างไร โดยครูทำ�ตาราง กระดาน แบง่ ชอ่ งเป็น “เหมาะสม” หรอื “ไมเ่ หมาะสม” บนกระดาน - ปากกาเคมี 6. ครูสรุปและเพ่ิมเติมวิธีการจัดการกับอารมณ์ตามใบความรู้ท่ี 1 - ใบความรทู้ ี่ 1 เรื่อง โกรธ 10 นาที (ถ้าเด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ก็จะมีวิธีการ ไมพ่ อใจ ลดลงไดอ้ ยา่ ง ระบายอารมณ์ และจดั การกบั สถานการณต์ า่ งๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม) สรา้ งสรรค์ 7. ครใู หน้ กั เรียนฝกึ ปฏิบตั วิ ิธีการจดั การกบั อารมณ์ - ใบกจิ กรรมที่ 1 เร่อื ง โกรธ 20 นาที ไม่พอใจ ลดลงได้อยา่ ง สร้างสรรค์ 46 โปรแกรมการพัฒนาทกั ษะการควบคุมตนเอง (self-control) เพ่ือป้องกนั พฤติกรรมการรังแกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศึกษาท่ี 1-3
ภาพอารมณท์ างลบ การไม่สามารถควบคมุ อารมณ์โกรธหรอื ไม่พอใจ และแสดงพฤตกิ รรมท่ไี มเ่ หมาะสม ที่มา: www.madinamerica.com โปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการควบคุมตนเอง (self-control) 47 เพือ่ ปอ้ งกันพฤตกิ รรมการรังแกกนั (bullying) ในเด็กประถมศึกษาที่ 1-3
ใบความรทู้ ่ี 1 เร่อื ง โกรธ ไมพ่ อใจ ลดลงไดอ้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ เม่ือนักเรยี นตอ้ งเจอเหตุการณ์ที่ถกู เพอ่ื นรังแก จนทำ�ให้รูส้ ึกไม่พอใจหรือโกรธ มวี ธิ ีดี ๆ หลายวธิ ที ี่จะชว่ ย ใหร้ ะดบั ความโกรธหรือไม่พอใจของนกั เรยี นลดลงได้ และไมท่ �ำ ใหต้ ัวเองและผ้อู น่ื เดือดรอ้ น 48 โปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการควบคุมตนเอง (self-control) เพอื่ ปอ้ งกนั พฤติกรรมการรงั แกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาที่ 1-3
ใบกิจกรรมท่ี 1 เรือ่ ง โกรธ ไมพ่ อใจ ลดลงไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ เม่ือนักเรียนต้องเจอเหตุการณ์ท่ีถูกเพ่ือนรังแก จนทำ�ให้รู้สึกไม่พอใจหรือโกรธ มีวิธีดี ๆ หลายวิธี ที่จะช่วยใหร้ ะดบั ความโกรธหรอื ไม่พอใจของนกั เรยี นลดลงได้ และไม่ท�ำ ให้ตัวเองและผู้อ่ืนเดือดรอ้ น วธิ ีคลายโกรธ ไม่พอใจ จดั การดว้ ยตนเอง 1. นบั 1-5 หรือ 1-10 หากความโกรธยังไมล่ ดให้ย้อนมานบั ใหม่ มผี ้อู น่ื ชว่ ย เมอ่ื เด็กคลายความโกรธได้แล้ว ถ้ามโี อกาส ให้บอกความรูส้ กึ ของตวั เอง กับคนทม่ี ารังแกหรอื ท�ำ รา้ ย เช่น โกรธ เสยี ใจ เป็นตน้ หมายเหตุ ครแู นะน�ำ ใหน้ กั เรยี นน�ำ กลบั ไปฝกึ ทบี่ า้ น หรอื ครฝู กึ นกั เรยี นในชนั้ เรยี นเปน็ ประจ�ำ ใหเ้ กิดเปน็ นิสยั /ความเคยชนิ โปรแกรมการพฒั นาทักษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) 49 เพอื่ ปอ้ งกนั พฤติกรรมการรงั แกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาที่ 1-3
50 โปรแกรมการพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง (self-control) เพอื่ ปอ้ งกนั พฤตกิ รรมการรงั แกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
ภาคผนวก โปรแกรมการพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง (self-control) 51 เพื่อปอ้ งกันพฤตกิ รรมการรังแกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
สิทธิเดก็ เดก็ ในอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ หมายถงึ บคุ คลทมี่ อี ายตุ าํ่ กวา่ 18 ปี เวน้ แตจ่ ะบรรลนุ ติ ภิ าวะกอ่ นหนา้ นนั้ ตามกฎหมายของแต่ละประเทศ สิทธิเด็ก หมายถงึ สิทธขิ องเดก็ ทกุ คน ทุกกล่มุ ทกุ เพศ ทกุ วัย และทุกชาติ ทีพ่ งึ ไดร้ บั การคุ้มครอง ไดร้ บั การพทิ กั ษ์ และการดแู ลผลประโยชนอ์ ย่างดที ่สี ุด โดยอนุสญั ญา ฯ จะเร่มิ คุ้มครองสิทธเิ ด็กตง้ั แต่เรมิ่ ปฏิสนธใิ นครรภ์ (เอกสารสัมพันธ์ ฉบับพิเศษ สิทธิเด็กไทย จัดทำ�โดย สภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชนและคณะทำ�งานด้านเด็ก, หนา้ 15 - 17) ประเดน็ สิทธเิ ด็กที่สำ�คัญ ตามค�ำ ประกาศจากอนสุ ัญญาว่าด้วยสทิ ธิเดก็ มีดงั นี้ 1. สิทธิในการอยู่รอด (Survival Right) คือ สิทธิขั้นพ้ืนฐานเพื่อการอยู่รอดท่ีเด็กทุกคนจะต้องได้รับ หมายถึง สิทธิที่จะมีชีวิต ได้รับการดูแลทางสุขภาพ และการเล้ียงดูอย่างดีที่สุด เท่าท่ีจะหาได้ ได้รับโภชนาการที่ดี ได้รบั ความรัก ความเอาใจใส่ การรับรองการมชี ีวิตรอด และ/หรอื สง่ เสริมชวี ิต จากครอบครวั สงั คม 2. สทิ ธใิ นการพฒั นา (Development Right) เปน็ สทิ ธทิ เ่ี ดก็ ทกุ คนจะตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาอยา่ งเพยี งพอ ทั้งทางด้านโภชนาการ สาธารณสุขมูลฐาน และการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การพัฒนาจะเกี่ยวกับการศึกษาทุกรูปแบบ ทง้ั ในและนอกระบบ และสทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั มาตรฐาน ความเปน็ อยทู่ เ่ี พยี งพอตอ่ การพฒั นาดา้ นรา่ งกาย สมอง บคุ ลกิ ภาพ จติ ใจ และสังคม นอกจากนี้ ยังมคี วามหมายรวมไปถึง การใหเ้ สรีภาพทางความคดิ ศาสนา สทิ ธิทจี่ ะไดร้ บั การรับฟงั และสทิ ธิท่จี ะอยู่รว่ มกบั ครอบครัวอย่างมีความสุข 3. สทิ ธใิ นการไดร้ บั การปกปอ้ งคมุ้ ครอง (Protection Right) เปน็ สทิ ธทิ เ่ี ดก็ ไดร้ บั การปกปอ้ งคมุ้ ครอง จากการถูกทำ�ร้าย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ หรือทางเพศ ได้รับการปกป้องจากการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในสงคราม นอกจากนี้ ยังหมายถึงสิทธิท่ีจะมีชื่อและสัญชาติของตนเอง ได้รับการคุ้มครองจากการถูกแสวงประโยชน์ เช่น การแสวงประโยชน์จากการใช้เด็ก เป็นเครื่องมือในการค้ายาเสพติด ขายแรงงาน หรือค้าประเวณี การเลือกปฏิบัติ ด้วยเหตแุ หง่ สญั ชาติ สภาพร่างกาย ฯลฯ การถูกกลั่นแกล้ง รงั แก ทอดท้ิง ถูกเอาเปรียบทางเศรษฐกจิ หรือทางเพศ และจากผลรา้ ยของสงคราม 4. สทิ ธใิ นการมสี ว่ นรว่ ม (Participation Right) เดก็ ทกุ คนควรมสี ทิ ธริ บั รู้ แสดงความคดิ เหน็ ตดั สนิ ใจ ในทกุ ๆ เรือ่ งท่ีมผี ลกระทบตอ่ ตวั เดก็ ความคิด และการแสดงออกของเด็กจะตอ้ งได้รับการใสใ่ จ และใหค้ วามสำ�คัญ อย่างเหมาะสม รวมทง้ั สทิ ธทิ ่จี ะไดร้ บั ข้อมลู ขา่ วสารทีเ่ หมาะสมและขอ้ มูลข่าวสารเกี่ยวกับอนุสญั ญา สิทธิเด็กท่ีรัฐบาลไทยได้ให้ความสำ�คัญในปัจจุบัน และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลังการลงนาม และใหส้ ัตยาบนั ในอนสุ ัญญาวา่ ด้วยสทิ ธเิ ดก็ (ข้อมลู จาก “รายงานผลการด�ำ เนินงานของประเทศไทย ตามอนสุ ญั ญา ว่าดว้ ยสทิ ธเิ ด็ก” เสนอต่อคณะกรรมการสิทธิเดก็ แห่งสหประชาชาติ พ.ศ.2542) 1. สิทธิท่ีเด็กจะได้รับโอกาสทางการศึกษา รัฐบาลมีนโยบายที่จะขยายโอกาสการศึกษาจากระดับ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ขนึ้ ไปถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 (หรอื ในเกณฑท์ นี่ า่ พอใจ) และขยายเครอื ขา่ ยการศกึ ษานอกโรงเรยี น ให้แก่กลมุ่ เด็กและประชาชนด้อยโอกาส ดงั ทไ่ี ดม้ กี ารออกพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กำ�หนดให้มี การกระจายการศึกษาสู่ระบบท้องถิ่นมากขน้ึ และกำ�หนดใหบ้ คุ คลไดร้ ับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน 12 ปี เป็นต้น 52 โปรแกรมการพฒั นาทักษะการควบคุมตนเอง (self-control) เพ่ือปอ้ งกันพฤติกรรมการรังแกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
2. สิทธิท่ีเด็กจะพ้นจากการเป็นทาสแรงงาน โดยไม่ถูกหลอกเข้าสู่กระบวนการใช้แรงงานเด็ก โดยออก พระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองแรงงาน พ.ศ.2542 ซง่ึ ขยายอายแุ รงงานเดก็ จาก 13 ปี เปน็ 15 ปี และพระราชบญั ญตั กิ ฬี ามวย พ.ศ.2542 ทย่ี อมรบั ให้มนี ักมวยเดก็ อายุ 15 ปี 3. สิทธิที่เด็กจะต้องพ้นจากการถูกนำ�มาเป็นเหยื่อทางเพศ ทั้งในกรณีท่ีนำ�เด็กมาค้าประเวณี และ การน�ำ เดก็ มาเปน็ สอ่ื โฆษณาในทางลามกอนาจาร ตามพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการคา้ ประเวณี พ.ศ.2539 ที่ถือวา่ โสเภณมี ใิ ช่อาชญากรแต่เป็นเหยือ่ และเนน้ การลงโทษบุคคลท่ีเก่ยี วขอ้ งมากขน้ึ แตใ่ นทางปฏบิ ตั ิพบวา่ ไม่คอ่ ย มีคดคี วามหรือมกี ารลงโทษน้อยมาก รวมทง้ั การออก พ.ร.บ.มาตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามการค้าหญงิ และ เด็ก พ.ศ.2540 4. สิทธิเด็กที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างดี หมายถึง เด็กท่ีต้องโทษอยู่ในสถานพินิจ ควรท่ีจะได้รับ การดแู ลภายในสถานพนิ จิ อยา่ งมคี ณุ ภาพ ไดร้ บั การบ�ำ บดั ทางจติ อยา่ งเพยี งพอ และมกี ารทบทวนกระบวนการท�ำ โทษ ทไี่ มร่ นุ แรงดงั ทเ่ี คยกระท�ำ กนั มา โดยไดม้ กี ารออกพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา ฉบับที่ 20 พ.ศ.2542 เก่ียวกับการคุ้มครองเด็กในกระบวนการสอบสวนและการสืบพยานเด็ก ซึ่งต้องติดตามผล ในทางปฏิบัติ เพราะมเี จา้ หน้าท่ีเกี่ยวขอ้ งหลายฝา่ ย เชน่ ต�ำ รวจ อยั การ และนกั สงั คมสงเคราะห์ 5. มาตรการปกป้องพิเศษ คือ มาตรการหรือการดำ�เนินงานเพื่อช่วยเหลือหรือปกป้องเด็กกลุ่มต่าง ๆ ทต่ี อ้ งการการดแู ลเปน็ พเิ ศษ เชน่ เดก็ ผลู้ ภ้ี ยั เดก็ ในสภาวะฉกุ เฉนิ เดก็ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการยตุ ธิ รรม แรงงานเดก็ เดก็ ทต่ี ดิ ยาเสพตดิ เดก็ ทถ่ี กู แสวงประโยชนท์ างเพศ การลกั ลอบคา้ เดก็ และการลกั พาเดก็ การแสวงประโยชนจ์ ากเดก็ ในรูปแบบตา่ ง ๆ และการทารณุ เด็ก รวมทง้ั เดก็ ชนกลมุ่ นอ้ ยและชนพน้ื เมืองตา่ ง ๆ (อ้างอิงจาก หนังสือเส้นทางสู่สิทธิมนุษยชนศึกษา, สำ�นักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, หนา้ 57 – 58) โปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการควบคุมตนเอง (self-control) 53 เพื่อปอ้ งกนั พฤตกิ รรมการรงั แกกัน (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
การเสริมสรา้ งความเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ ืน่ โดย หมอมนิ บานเยน็ จาก เพจเขน็ เดก็ ขึ้นภูเขา วันที่ 1 กุมภาพนั ธ์ 2559 ข่าวของบุคคลคนหนงึ่ ที่ไดท้ ุนไปเรียนต่อที่อเมรกิ า แต่ไมไ่ ดก้ ลบั มาชดใช้ทนุ ตามกฎ นอกจากนน้ั ยงั ปล่อย ให้คนที่เซน็ คํา้ ประกันต้องจา่ ยค่าชดใชใ้ นสงิ่ ทเ่ี ขาท�ำ ผดิ กฎเกณฑ์เป็นเงินจ�ำ นวนหลายล้านบาท และดเู หมือนว่าจรงิ ๆ กม็ คี วามสามารถท่ีจะชดเชยเงินได้ แตเ่ หมอื นไม่ได้มคี วามพยายามท่ีจะชดเชย กลับท�ำ ให้ คนท่ีเคยช่วยเหลอื ตอ้ งมา เดอื ดร้อน กเู้ งินมาชดใชใ้ ห้แทน มีคำ�พูดท่ีว่า “สอนเขาเสียต้ังแต่เด็ก จะได้ไม่ต้องไปสอนตอนท่ีเขาเป็นผู้ใหญ่” เพราะมันจะยากกว่ามาก เมื่อมันกลายเป็นนิสัยส่วนลึกของคนๆนั้นเสียแล้ว เราควรทำ�อย่างไรให้เด็กเป็นคนท่ีรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอ่ืน เพราะ ถา้ ปลอ่ ยไวไ้ มส่ อน จนโตเปน็ ผใู้ หญ่ กลายเปน็ คนเหน็ แกต่ วั ไมส่ นใจวา่ ใครจะเดอื ดรอ้ นอยา่ งไร แคต่ วั เองสบายเปน็ พอ คนเชน่ นจ้ี ะกลายเป็นภาระและสร้างความล�ำ บากให้คนรอบขา้ งในสงั คม การเอาใจเขามาใสใ่ จเรา หรือ ความรสู้ กึ เหน็ อกเห็นใจผู้อืน่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Empathy เปน็ ส่ิงสำ�คญั ที่เป็นพ้ืนฐานของการปลกู ฝังเรอ่ื งคุณธรรมและจรยิ ธรรมในเดก็ เร่ิมต้นด้วยพ่อแม่มีความใกล้ชิดผูกพัน ให้ความอบอุ่น เด็กจะรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ไว้วางใจพ่อแม่ น�ำ ไปสคู่ วามเหน็ อกเหน็ ใจ เรมิ่ ทเ่ี หน็ ใจพอ่ แม่ เพราะไมอ่ ยากใหพ้ อ่ แมเ่ ปน็ ทกุ ขห์ รอื เสยี ใจ และตรงนจ้ี ะกลายเปน็ พน้ื ฐาน ที่จะนำ�ไปสูก่ ารเห็นอกเหน็ ใจคนอ่นื ๆต่อไป สิ่งทส่ี �ำ คญั คอื พ่อแม่ ผู้ใหญท่ ใี่ กล้ชดิ ตอ้ งกระทำ�ตวั เปน็ ตัวอยา่ งที่ดีใหเ้ ดก็ ตัง้ แตเ่ ดก็ ยงั เลก็ เขาจะค่อยๆ เรียนรู้ และกลายเป็นสามญั ส�ำ นึกในชวี ติ ประจ�ำ วัน จนกระท่ังเขาเป็นผูใ้ หญ่ พอ่ แมม่ กั จะสอนลกู ว่า “ถา้ เราอยากให้คนอนื่ ทำ�อยา่ งไรกับเรา เราก็ตอ้ งท�ำ เชน่ น้นั กับคนอืน่ ด้วย” “ถ้าเราทำ�แบบน้ีกับคนอื่น ลองคิดดูว่า ถ้าคนอื่นมาทำ�แบบน้ีกับเราบ้าง เราจะชอบไหม ถ้าเราไม่ชอบ คนอื่นก็คงไม่ชอบเหมอื นกัน เราก็อยา่ ไปท�ำ ” แต่การพูดประโยคเหล่านี้ลอย ๆ คงไม่เข้าถึงภายในจิตใจ เท่ากับ การที่เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำ� ในสถานการณจ์ รงิ ๆ ยกตวั อย่าง เวลาที่เด็กทะเลาะกัน ตกี ันจนต่างคนมแี ผล พ่อแม่กค็ วรถือโอกาสน้ใี ห้เด็กเรียนร้วู า่ การท่ีเราถูกคนอ่ืนตี เราเจ็บเพราะมีแผล ส่วนคนอ่ืนท่ีถูกเราตี เขาก็รู้สึกเจ็บไม่ต่างกัน เราไม่ชอบที่จะต้องเจ็บตัว คนอน่ื ก็เหมอื นกนั ทีหลังเด็กกจ็ ะเรียนรู้ที่จะเขา้ ใจความร้สู ึกคนอ่นื การเข้าใจคนอ่ืน เร่ิมต้นมาจาก การเข้าใจตัวเอง “อยากให้คนอ่ืนทำ�กับหนูอย่างไร หนูก็จงทำ�แบบนั้น กับคนอื่นดว้ ย” ใจเขาใจเรา จึงจะเขา้ ใจกนั สงั คมก็จะสงบสขุ ไดไ้ มย่ าก 54 โปรแกรมการพฒั นาทกั ษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) เพือ่ ป้องกนั พฤติกรรมการรังแกกนั (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
รายนามผ้รู ว่ มพฒั นาโปรแกรมการพัฒนาทักษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) เพ่ือป้องกันพฤตกิ รรมการรังแกกนั (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาที่ 1-3 ท่ปี รกึ ษา 1. นายแพทยเ์ กยี รติภมู ิ วงศ์รจิต อธบิ ดกี รมสุขภาพจิต 2. นายแพทยส์ มัย ศิริทองถาวร รองอธบิ ดีกรมสุขภาพจิต ผอู้ ำ�นวยการกองส่งเสริมและพฒั นาสขุ ภาพจิต 3. ดร.สุดา วงศ์สวัสด ์ิ คณะผู้เชย่ี วชาญ เอกอัศวิน นายแพทย์ทรงคณุ วฒุ ิ สถาบันราชานกุ ูล อินทร์แก้ว นกั จิตวิทยาคลนิ ิกเชีย่ วชาญ ส�ำ นกั วชิ าการกรมสขุ ภาพจิต 1. แพทย์หญิงศภุ รตั น์ ชนินทยทุ ธวงศ์ นกั จติ วิทยาคลนิ ิกเชย่ี วชาญ สถาบนั ราชานุกลู 2. นางสาวสมพร วณชิ รมณีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต 3. นางวนดิ า ผลิตนนทเ์ กยี รติ ผเู้ ชย่ี วชาญด้านสุขภาพจิต 4. นางสาวกาญจนา 5. นางเยาวนาฏ ครู นกั วชิ าการและเครอื ข่าย 1. นายประจวบ แสงศรจี ันท ์ คร ู โรงเรยี นบ้านแมจ่ ัน (เชยี งแสนประชานสุ าสน)์ 2. นางเตือนใจ สุกใส ครูช�ำ นาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านเจดยี ์แมค่ รวั 3. นางธนพร จงอางจิตร ครูชำ�นาญการพิเศษ โรงเรยี นบ้านโสกก้านเหลอื ง 4. นางทชิ นนั ท์ เคล่อื นเมอื งปัก คร ู โรงเรียนบา้ นเมืองปกั สามคั คี 5. นางกลั ยา จีนจรรยา ครชู �ำ นาญการพิเศษ โรงเรยี นวดั หนองยาง 6. นางสาวกุลประภา บุญมา ครชู ำ�นาญการพิเศษ โรงเรยี นบ้านหวา้ นแกเจรญิ 7. นางสาวนัจภรณ์ ทองสันท์ ครูช�ำ นาญการพิเศษ โรงเรยี นบา้ นหวา้ นแกเจริญ 8. นางเขมิศรา วงศ์ชาล ี ครู โรงเรยี นบ้านหว้านแกเจริญ 9. นางสาวณฐมน แก้วเกต ครพู เี่ ลีย้ งเดก็ พิการ โรงเรยี นบ้านหน้าวัดโพธิ์ 10. นางสาวสวุ ภัทร สวุ รรณ ครูแนะแนว โรงเรยี นบา้ นอยั เยอรเ์ วง 11. นางสาวรจนา บญุ ทว ี นกั วชิ าการสาธารณสขุ สำ�นกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั หนองบัวล�ำ ภู 12. นางสาวอัญชลี เอ่ียมศรี นักวิชาการสาธารณสุขปฏบิ ัติการ สำ�นักงานสาธารณสุขจงั หวัดหนองบัวล�ำ ภู 13. นางสาวชลันธร ไชยเมือง พยาบาลวิชาชีพปฏบิ ตั กิ าร โรงพยาบาลแม่จัน 14. นางบษุ บา บวั สาย พยาบาลวชิ าชพี ช�ำ นาญการ โรงพยาบาลโนนสัง 15. นางสาวจินดารัตน ์ ทองประพนั ธุ์ นกั จติ วิทยาคลินิก โรงพยาบาลปักธงชัย 16. นางจ�ำ นงค ์ แกว้ นาวี พยาบาลวิชาชีพช�ำ นาญการ โรงพยาบาลโคกโพธิ์ 17. นางสาวสุไรยา สามอ นักจติ วทิ ยา โรงพยาบาลโคกโพธ์ิ 18. นางเสาวรส รตั นไพบูลย ์ พยาบาลวิชาชพี ช�ำ นาญการ โรงพยาบาลโคกโพธ์ิ 19. นางบษุ บา บัวสาย พยาบาลวิชาชพี ชำ�นาญการ โรงพยาบาลโนนสงั 20. นางสาวอัจฉรา อินเล็ก นกั จติ วทิ ยา โรงพยาบาลหนองฉาง 21. นางสาวพันธ์ทิพย ์ วัฒนะพรพงศ์สขุ เจ้าหนา้ ทโ่ี ครงการชุมชนคุม้ ครองเดก็ มลู นิธิศูนยพ์ ทิ กั ษ์สิทธเิ ดก็ 22. นางสาวนุชนาฏ สขุ เกต ุ นักจติ วิทยา มูลนิธิศนู ยพ์ ิทกั ษส์ ทิ ธิเด็ก โปรแกรมการพฒั นาทักษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) 55 เพื่อปอ้ งกนั พฤตกิ รรมการรังแกกนั (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาท่ี 1-3
23. นางมรษิ ฐ ์ สธปู เจา้ หนา้ ที่โครงการโรงเรยี นคมุ้ ครองเด็ก มูลนิธศิ ูนยพ์ ทิ ักษ์สทิ ธิเดก็ 24. นางสาวมะลิ ไพฑูรยเ์ นรมิต นกั วชิ าการสาธารณสุขช�ำ นาญการพิเศษ กรมสนบั สนุนบริการสขุ ภาพ 25. นางสาวดวงนภา ปานเพ็ชร นกั วชิ าการเผยแพร่ช�ำ นาญการ กรมสนบั สนุนบรกิ ารสุขภาพ 26. นางสาวภัทราพร เทวอักษร นักวิชาการสาธารณสขุ ช�ำ นาญการ กรมอนามยั 27. นางสาวคทั ลียา โสดาปดั ชา นักวชิ าการสาธารณสขุ กรมอนามยั 28. นางดวงเดอื น เสาร์เทพ พยาบาลวิชาชีพช�ำ นาญการ สถาบนั ราชานกุ ูล 29. นางสาวรศั มีแสง หนูแปน้ น้อย พยาบาลวชิ าชพี ปฏิบัตกิ าร สถาบันราชานุกลู 30. นางชาดา ประจง นักวชิ าการสาธารณสขุ ช�ำ นาญการ สถาบนั สขุ ภาพจติ เดก็ และวยั รนุ่ ราชนครนิ ทร์ 31. นางอมรรตั น์ แสงโสด นกั วชิ าการสาธารณสขุ สถาบนั สขุ ภาพจติ เดก็ และวยั รนุ่ ราชนครนิ ทร์ 32. นางสาวสุนิสา สงิ หแ์ กว้ นกั วิชาการสาธารณสุข ศนู ย์สุขภาพจิตท่ี 1 33. นางสาวณฐั ธณิ ี อินทะเนตร นกั จิตวิทยาคลินิก ศูนยส์ ุขภาพจติ ท่ี 3 34. นายรฐั ลอยสงเคราะห์ นักวชิ าการสาธารณสุข ศูนยส์ ุขภาพจิตที่ 3 35. นางสาววรวรรณ หนึง่ ด่านจาก นกั วชิ าการสาธารณสุขช�ำ นาญการ ศนู ยส์ ุขภาพจติ ท่ี 9 36. นางเปียทพิ ย์ สีดำ� นกั จิตวิทยาคลนิ ิกช�ำ นาญการ ศนู ย์สุขภาพจิตท่ี 10 37. นายซมั รี เจะแต นักวชิ าการสาธารณสขุ ปฏิบัตกิ าร ศนู ยส์ ุขภาพจิตท่ี 12 38. นางนฤภคั ฤธาทิพย์ นักจิตวทิ ยาคลินิกชำ�นาญการ กองสง่ เสริมและพัฒนาสุขภาพจิต 39. นางสาวพรพิมล นาออ่ น นกั วชิ าการสาธารณสขุ กองส่งเสริมและพฒั นาสุขภาพจติ 40. นางสาวชีวานันท์ เกาทนั ฑ ์ นักวิชาการสาธารณสขุ กองส่งเสริมและพฒั นาสขุ ภาพจติ คณะท�ำ งาน นกั วชิ าการสาธารณสขุ ชำ�นาญการพิเศษ กองส่งเสริมและพฒั นาสุขภาพจติ 1. นางสาวพชั ริน คณุ คํา้ ช ู 2. นางศจี รุกขวฒั นกุล นักจติ วทิ ยาคลนิ กิ ช�ำ นาญการ กองส่งเสริมและพฒั นาสขุ ภาพจิต 3. นางสาววชั รวรรณ เจรญิ พานิช นกั วิชาการสาธารณสุข กองส่งเสรมิ และพัฒนาสุขภาพจิต 4. นางสาวกรกนก นาคประเสรฐิ นกั วชิ าการสาธารณสุข กองส่งเสรมิ และพฒั นาสขุ ภาพจติ 5. นางภารด ี วงศส์ ิงห ์ นักจัดการงานท่ัวไป กองส่งเสรมิ และพัฒนาสขุ ภาพจิต 56 โปรแกรมการพัฒนาทักษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) เพ่ือปอ้ งกนั พฤติกรรมการรังแกกนั (bullying) ในเดก็ ประถมศกึ ษาที่ 1-3
บนั ทกึ โปรแกรมการพฒั นาทักษะการควบคุมตนเอง (self-control) 57 เพื่อปอ้ งกันพฤตกิ รรมการรงั แกกนั (bullying) ในเด็กประถมศกึ ษาที่ 1-3
บนั ทึก 58 โปรแกรมการพัฒนาทกั ษะการควบคมุ ตนเอง (self-control) เพอ่ื ป้องกันพฤตกิ รรมการรังแกกัน (bullying) ในเด็กประถมศกึ ษาท่ี 1-3
www.sorporsor.com โปรแกรมการพัฒนาทกั ษะการควบคุมตนเอง (self-control) 59 เพื่อป้องกันพฤติกรรมการรงั แกกนั (bullying) ในเด็กประถมศึกษาที่ 1-3
Search