Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสตร์ยาสมุนไพรจีน

ศาสตร์ยาสมุนไพรจีน

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-10-17 04:25:45

Description: ศาสตร์ยาสมุนไพรจีน

Search

Read the Text Version

Page 1

Page 2 ศาสตรยาสมุนไพรจนี สถาบันการแพทยไทย-จนี เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยท างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ พ.ศ. 2554 ISBN 978-616-11-0830-4

Page 3 ศาสตรยาสมนุ ไพรจีน ทป่ี รึกษา แพทยห ญงิ วลิ าวัณย จงึ ประเสริฐ บรรณาธกิ าร เภสชั กรหญงิ เย็นจิตร เตชะดํารงสิน เจา ของลิขสิทธิ์ กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ ถายภาพ นายอศั วิน นรินทรชยั รงั สี รองศาสตราจารย ดร.อุทัย โสธนะพนั ธุ ออกแบบปก นายถริ เดช ธเปยสวน นายแพทยส มชยั โกวิทเจริญกุล พมิ พค รง้ั ท่ี 1 สิงหาคม 2554 จํานวน 1,000 เลม พมิ พท่ี ชุมนุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จาํ กัด 79 ถนนงามวงศว าน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรุงเทพฯ 10900 ขอ มลู บรรณานุกรมของหอสมุดแหงชาติ เย็นจติ ร เตชะดาํ รงสิน (บรรณาธิการ) ศาสตรย าสมุนไพรจีน—กรุงเทพมหานคร: ชมุ นมุ สหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จาํ กดั , 2554. 96 หนา ภาพประกอบ กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยท างเลือก กระทรวงสาธารณสขุ ISBN 978-616-11-0830-4

Page 4 คํานํา ศาสตรย าสมนุ ไพรจีนเปนภมู ิปญญาอันลํา้ คาท่ีไดตกผลึกมาเปนเวลาหลายพันป ถือเปน ศาสตรแขนงหนงึ่ ในศาสตรการแพทยแผนจีน ซง่ึ สามารถอธบิ ายไดในเชงิ วทิ ยาศาสตร อยา งเปน ระบบ มคี วามสมบูรณ สะดวกตอ การศึกษา และสามารถนํามาประยุกตใชไดจริง โดยองิ ทฤษฎกี ารแพทยแผนจนี เพือ่ ใหก ารใชยาสมุนไพรจีนเปน ไปอยางถกู ตอง ปลอดภัย และมีประสทิ ธผิ ล กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก เปนหนวยงานในสังกัด กระทรวงสาธารณสุขทรี่ ับผิดชอบการถายทอดองคความรูและเทคโนโลยีดานการแพทย แผนไทย การแพทยทางเลอื ก และสมุนไพร ไดตระหนักถึงความจําเปนของการรวบรวม องคค วามรูดานศาสตรยาสมุนไพรจีน เพื่อประโยชนตอการพัฒนาการแพทยแผนจีนใน ประเทศไทยใหไดมาตรฐานสากล จงึ ไดจัดทําหนังสือ “ศาสตรยาสมุนไพรจีน” ข้ึน โดยมี เนอ้ื หาครอบคลมุ ศาสตรยาสมุนไพรจีนท่ีควรรูในเบื้องตน ไดแก เตาตี้เยาไฉ (สมุนไพร มาตรฐาน) การเผา จ้อื ยาสมุนไพรจีน การบรรจุหีบหอสมุนไพรจีน การใชยาสมุนไพรจีน การตัง้ ตํารับยาจนี ประเภทของตํารับยาจีน และรูปแบบยาเตรยี มของตํารับยาจีน กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก หวงั เปนอยางย่ิงวา องค ความรดู านศาสตรย าสมนุ ไพรจีนในหนังสือเลมน้ีจะเปน ประโยชนต อแพทยจ ีน บคุ ลากรทาง การแพทย เภสัชกร นิสิตนกั ศกึ ษา ผปู ระกอบการ และผสู นใจทัว่ ไป (แพทยหญิงวลิ าวณั ย จึงประเสริฐ) อธิบดกี รมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก

สารบัญ Page 5 คาํ นํา หนา เตาต้เี ยา ไฉ (สมุนไพรมาตรฐาน) ก 1 แหลงผลิตเตา ตเี้ ยาไฉ 4 การจาํ แนกเตา ตเ้ี ยา ไฉ 6 การเก็บเก่ียวและการแปรรปู เตาตเ้ี ยา ไฉ 10 การเผา จอื้ ยาสมนุ ไพรจนี 21 วตั ถุประสงคข องการเผา จือ้ 21 ผลของการเผา จื้อตอองคป ระกอบทางเคมขี องสมุนไพร 33 ผลของการเผา จือ้ ตอ ประสทิ ธิผลการรกั ษาทางคลนิ ิก 43 การบรรจหุ ีบหอ สมุนไพรจีน 52 ประโยชนของการบรรจุหีบหอ 52 ภาชนะท่ใี ชในการบรรจหุ ีบหอ 53 การใชยาสมุนไพรจนี 56 รปู แบบการใชย าของการแพทยแผนจีน 56 ขอหา มในการใชย า 63 ขนาดยาทใี่ ช 64 วิธีตม ยา 64 วิธีรบั ประทานยา 67 การต้ังตํารับยาจีน 68 ประเภทของตาํ รับยาจนี 70 ตํารบั ยารกั ษากลมุ อาการภายนอก 70 ตาํ รับยาปรับใหสมดลุ 71 ตาํ รับยาดับรอน 71

Page 6 ตาํ รับยาอบอนุ ภายใน หนา ตํารับยาระบาย 72 ตาํ รับยาบาํ รงุ 73 ตํารับยาสมาน 74 ตาํ รับยาสงบจติ ใจ 75 ตํารบั ยาเปดชองทวาร 75 ตาํ รับยาชวยยอย 76 ตาํ รบั ยาควบคุมการไหลเวยี นของช่ี 76 ตาํ รบั ยาควบคมุ การไหลเวยี นของเลือด 77 ตาํ รบั ยารกั ษาอาการลม 77 ตาํ รับยาขบั ความชื้น 77 ตาํ รับยาขบั เสมหะ 78 ตํารบั ยารกั ษาอาการแหงขาดความชมุ ชน้ื 79 ตาํ รบั ยารกั ษาแผล ฝห นอง 80 รูปแบบยาเตรียมของตาํ รับยาจีน 81 ยาตม, ยาลกู กลอน 82 ยาผง, ยาชงสมนุ ไพร, ยาชงพรอ มดืม่ 82 ยาผงแกรนลู , ยาเม็ด, ยาอม, ยาตนั 84 ยาเพสต, ยาน้ําผสม, ยานํา้ เช่ือม, ยาแคปซลู , ยาดองเหลา 85 ยาทงิ เจอร, ยาสารสกดั เหลว, ยาสารสกัดกงึ่ แขง็ และสารสกัดแหง 86 ยาครีม ขี้ผงึ้ และกอเอย๊ี ะ, ยาเสน , ยาเสน ดา ย, ยามวนลนไฟ 87 นา้ํ ยากลัน่ , ยาฉดี 88 เอกสารทีใ่ ชประกอบการเรยี บเรียง 89 90

Page 7 เตาตี้เยาไฉ เตา ตเ้ี ยาไฉ (道地药材) หรือ สมนุ ไพรมาตรฐาน หมายถึง สมุนไพรจีนเฉพาะ พันธทุ ่ปี ลูกไดเ ฉพาะทองถิ่น ซ่งึ มคี ณุ ภาพและใหป ระสทิ ธผิ ลการรักษาดี เตาตี้เยาไฉเหลานี้ ไดผ า นการทดลองใชทางเวชปฏิบัติโดยแพทยจีนมาเปนเวลาหลายพันป ซ่ึงคุณภาพของ แหลง ผลติ และสรรพคุณของตัวยาเปน ทีย่ อมรบั วาใหผลการรักษาดีกวาสมุนไพรชนิดเดียวกัน ท่ีไดจ ากแหลงผลิตอื่น ขอมลู เหลา นไี้ ดมกี ารบันทกึ ไวในประวัติศาสตรการแพทยแผนจีน จากการศึกษาทางวิทยาศาสตรพบวา คุณภาพของสมุนไพรและแหลงผลิตที่เหมาะสมมี ความสัมพนั ธกันอยางใกลช ดิ และมีผลตอปริมาณสารสําคัญที่ออกฤทธ์ิในสมุนไพร เชน ชิงเฮา (青蒿) ซง่ึ เปนสมุนไพรที่มีสรรพคุณรกั ษาโรคมาลาเรยี มีสารสําคัญที่ออกฤทธิ์คือ ชิงเฮาซู (青蒿素 artemisinin) ชิงเฮาท่ีปลกู ในหลายพ้ืนท่ีมปี รมิ าณสารสําคัญแตกตาง กนั มาก จากการศึกษาวิจัยพบวา ชิงเฮาท่ีปลูกทางภาคใตของจีนจะมีปริมาณชิงเฮาซูสูง ปจ จยั ท่ีทาํ ใหเกดิ ผลดงั กลา ว คอื พืน้ ที่ภาคใตมคี วามสงู จากระดับนา้ํ ทะเลนอย และมีอากาศ คอนขางอบอุน โดยแหลง ผลติ ทด่ี ีที่สดุ คือ ไหห นนั (เกาะไหหลํา) และเมอื งซีหยางในมณฑล ซื่อชวน (เสฉวน) สวนชงิ เฮาที่ปลูกทางภาคเหนอื ของสาธารณรัฐประชาชนจีน จะไมมีชิงเฮาซู ดังน้นั เตาตเ้ี ยาไฉของชงิ เฮา คอื ชงิ เฮาทมี่ ีแหลงผลิตท่ีไหหนันและมณฑลซ่ือชวน จึงอาจ กลาวไดวา เตาต้ีเยา ไฉเปน การคัดเลอื กระดับคณุ ภาพของสมนุ ไพรจีนนนั่ เอง สาธารณรฐั ประชาชนจนี มพี ันธพุ ชื ประมาณรอยละ 10 ของพันธุพืชทั้งหมดที่พบ ในโลก และจัดอยใู นกลุม ประเทศทม่ี กี ารใชสมนุ ไพรกนั อยางแพรหลาย การที่สาธารณรัฐ ประชาชนจนี มีพ้ืนทก่ี วางใหญไพศาล มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศท่ีหลากหลาย จึง เปน ปจ จยั พ้ืนฐานสาํ คัญท่ีทําใหมีแหลง วัตถุดิบสมนุ ไพรมากมาย เมอ่ื รวมสมุนไพรท่ีใชเปน ยาทัง้ หมดประมาณ 12,800 ชนดิ เปนสมนุ ไพรทมี่ ีการซือ้ ขายในทอ งตลาดประมาณ 1,200

Page 8 ชนดิ และเปน สมนุ ไพรทปี่ รากฏในเภสัชตํารับสาธารณรัฐประชาชนจีนประมาณ 500 ชนิด ซ่งึ ในจาํ นวนนีม้ ีเตา ตีเ้ ยา ไฉประมาณ 200 ชนิด กระจายอยตู ามแหลง ตาง ๆ ท่ัวประเทศ สารานุกรมสมุนไพรจีน (中药大辞典 จงเยาตาฉือเตี่ยน) ไดบันทึกตัวยา สมุนไพรไวถึง 5,767 ชนิด เปนพืชวัตถุ 4,762 ชนิด สัตววัตถุ 740 ชนิด ธาตุวัตถุ 82 ชนิด และอื่น ๆ อีก 183 ชนิด สมุนไพรสวนใหญไดจากพืช พืชแตละชนิดมีแหลง กระจายพนั ธุและถน่ิ ทอี่ ยแู ตกตา งกนั สงผลใหสมุนไพรชนดิ หน่งึ ๆ มีลกั ษณะเฉพาะตัว มี องคป ระกอบทางเคมี และสรรพคุณทางยาแตกตางกัน เตาตี้เยาไฉบางชนิดอาจไดจาก หลายแหลง การแบง กลุม ของเตาต้เี ยาไฉในสาธารณรัฐประชาชนจีนมีหลายแบบ แตหาก แบงสมุนไพรตามเขตเกษตรกรรมในประเทศออกเปน 10 กลมุ ใหญ ไดแก 1. กลุมชวนเยา (川药) จากมณฑลซอื่ ชวน (四川 เสฉวน) 2. กลุม กวางเยา (广药) จากมณฑลกวา งตง (广东 กวางตุง) กวางซี (广西 กวางสี) และไหห นัน (海南 เกาะไหหลาํ ) 3. กลุมหวนิ เยา (云药) จากมณฑลหวินหนนั (云南 ยนู นาน) 4. กลุม กยุ เยา (贵药) จากมณฑลกุยโจว (贵州) 5. กลมุ ไหวฺ เยา (怀药) จากมณฑลเหอหนัน (河南) 6. กลมุ เจอ เยา (浙药) จากมณฑลเจอเจียง (浙江) 7. กลมุ กวนเยา (关药) จากมณฑลเหลียวหนิง (辽宁) จี๋หลิน (吉林) เฮยหลง เจียง (黑龙江) และภาคตะวนั ออกของเนย เหมงิ กู (内蒙东部 มองโกเลยี ในตะวันออก) 8. กลุมเปยเยา (北药) จากมณฑลเหอเปย (河北) ซันตง (山东) ซันซี (山西) และภาคกลางของเนยเหมงิ กู (内蒙中部 มองโกเลียในกลาง) 9. กลุมซีเยา (西药) จากมณฑลสานซีตะวันตก (陕西西部) กันซู (甘肃) ชงิ ไห (青海) ซนิ เจยี ง (新疆) และภาคตะวนั ตกของเนย เหมงิ กู (内蒙西部 มองโกเลยี ในตะวนั ตก)

Page 9 10. กลมุ หนันเยา (南药) จากทางใตของแมน ํ้าแยงซีเกียง ไดแก หูหนัน (湖南) หู เปย (湖北) เจียงซู (江苏) อันฮุย (安徽) เจียงซี (江西) ฝูเจ้ียน (福建 ฮกเกี้ยน) และไตหวัน (台湾) จากการแบงกลุมดังกลาว แตละมณฑลจะมีสมุนไพรที่ขึ้นช่ือและมีคุณภาพดี แตกตา งกัน พชื สมนุ ไพรจนี มคี วามสําคัญในตลาดโลก และภาพรวมของมูลคาการสงออก สมุนไพรจีนมีแนวโนมเพิ่มข้ึนทุกป ในป ค.ศ. 2002 สาธารณรัฐประชาชนจีนมีพื้นที่ เพาะปลูกสมุนไพรมากกวา 480,000 เฮกแตร (3 ลานไร) โดยปลูกสมุนไพรมากกวา 12,000 ชนิด และไดผลผลิตมากกวา 550,000 ตัน จึงนับไดวาเปนประเทศที่มีความ ชาํ นาญและมปี ระสบการณในการศกึ ษาวจิ ยั สมนุ ไพร และมปี ระสบการณดานพฤกษศาสตร และเกษตรศาสตรเปนอยา งมาก การพาณิชยถือเปนวิวฒั นาการทางสังคมอยางหน่ึง ตราบใดที่คนจําเปนตองใช สนิ คา กย็ อมจะตอ งมีการผลิตเพื่อการคา ในดา นการแพทยแผนจนี สินคาหรือผลิตภัณฑที่ ผบู ริโภคตอ งการ ไดแก เยาไฉ (药材 สมนุ ไพร) อิ่นเพี่ยน (饮片 ตัวยาพรอ มใช) และจง เฉิงเยา (中成药 ยาสมุนไพรสําเร็จรูป) สินคาเหลานี้มีวัตถุประสงคเพื่อการรักษา การ ปอ งกัน และการสง เสริมบํารุงสขุ ภาพ เตาต้เี ยาไฉจงึ มีความสําคญั ในเชงิ พาณชิ ย เนื่องจาก เปนสมุนไพรท่มี กี ารจัดระดับคุณภาพ ในรอบหลายสิบปท่ผี า นมา สาธารณรฐั ประชาชนจีนมีการพัฒนาดานตาง ๆ อยาง รวดเรว็ ประชาชนมีรายไดเพม่ิ ขึ้น เปนผลทําใหคาครองชีพสูงข้ึน และปจจุบันผูบริโภคมี ความตอ งการใชผลติ ภัณฑธ รรมชาติมากขนึ้ จึงทาํ ใหความตองการผลติ ภัณฑจากสมุนไพร เพ่ิมมากขึน้ ทง้ั ดา นปรมิ าณและคุณภาพ ดังนั้นผลิตภัณฑยาจากสมุนไพรจึงตองมีการพัฒนา อยา งตอ เนอื่ งใหม ีความทันสมัยและมีมาตรฐานในระดับสากลเพื่อประโยชนตอสุขภาพของ ประชาชน ขณะนีใ้ นทองตลาดจนี มผี ลิตภณั ฑจ ากสมุนไพรประมาณ 9,000 ชนิด แยกเปน

Page 10 เยาไฉและอิน่ เพ่ียนประมาณ 1,000 ชนิด และจงเฉิงเยาประมาณ 7,000 ชนิด ซึ่งมีการ จาํ หนายทั้งภายในประเทศและสงออกไปขายท่ัวโลกมากกวา 130 ประเทศ แหลง ผลิตเตาตเ้ี ยาไฉ แหลงผลติ เตาตี้เยาไฉ มี 2 ประเภท คือ แหลงผลติ จากปาธรรมชาติ และจากการ เพาะปลกู โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี 1. แหลง ผลิตจากปาธรรมชาติ คดิ เปน รอ ยละ 80 ของสมุนไพรท่ีใชทั้งหมด จาก ความตอ งการสมุนไพรของตลาดในปจ จุบนั มีมาก รฐั บาลจึงตองออกกฎหมายควบคุมการ พฒั นาท่ีดินและอนุรักษแ หลง สมุนไพรของปา ชั้นดไี ว ขณะเดยี วกันก็แสวงหาสมุนไพรท่ีมี คุณภาพใกลเ คียงกนั มาทดแทนการใช เชน ตงฉงเซี่ยเฉา (冬虫夏草 หนาวหนอนรอน หญา ) คือ ราท่ีข้นึ บนตวั หนอน สมุนไพรชนิดนข้ี องแทตองเปนชนิด Cordyceps sinensis (Berk.) Sacc. ซ่ึงหายากมาก จากการศึกษาวิจัยพบวา Cordyceps kawkesii Gray จาก แหลงผลติ ทม่ี ณฑลหูหนัน (湖南) และ C. liagshanensis (Zang) Liu et Hu จากแหลง ผลิตที่มณฑลซ่ือชวน มีสารสําคัญ ฤทธ์ิทางเภสัชวิทยา และสรรพคุณใกลเคียงกับ C. sinensis (Berk.) Sacc. ซ่ึงเปนของแท ดงั น้นั ปจ จุบนั จึงมีการใชท ดแทนของแทซ งึ่ หายาก 2. แหลงผลิตจากการเพาะปลูก การเพาะปลูกเตาต้ีเยาไฉขึ้นกับปจจัยทางภูมิ ประเทศ ภูมิอากาศ และแรธาตุในดิน ปจจุบันมีการศึกษาความสัมพันธของแรธาตุใน สมุนไพร พบวา ปรมิ าณของแรธ าตใุ นสมุนไพรมคี วามสัมพันธอยางใกลชิดกับปริมาณของ แรธาตใุ นดนิ เชน เทียนหมา (天麻) จากแหลงผลิตที่มณฑลกุยโจว (贵州) มีธาตุ โมลิบดีนัม โครเมียม โคบอลท รูบิเดียม แมงกานีส และทองแดง ในปริมาณที่สูงกวา เทยี นหมาที่ปลูกไดในพื้นที่อื่น ๆ ดังน้ัน แหลงปลูกของเทียนหมาที่เปนเตาตี้เยาไฉ คือ มณฑลกยุ โจว เปนตน

Page 11 นอกจากสมุนไพรทม่ี คี ณุ ภาพดีจะตองคํานึงถึงพื้นท่ีเพาะปลูกแลว เทคนิคการ เผาจื้อก็มีความสําคัญมาก เพื่อใหไดอิ่นเพี่ยนที่มีคุณภาพ มีประสิทธิผล และมีความ ปลอดภยั ในการใช ตองเลือกวิธีเผาจื้อใหเหมาะสมกับชนิดของสมุนไพรและสรรพคุณที่ ตองการ เชน แหลง ปลกู ของฟูจ ื่อท่เี ปน เตา ต้เี ยา ไฉคือ เมืองเจียงอิ๋ว (江油) ในมณฑลซื่อชวน เมอื งเจยี งอิ๋วนอกจากมสี ภาพแวดลอมท่ีเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสมุนไพรชนิดน้ีแลว ยังมีพนั ธุพชื และเทคนิคการเผาจื้อท่ีสืบทอดตอกันมาอยางยาวนานดวย แมจะนําเมล็ด พนั ธพุ ืชจากเมืองเจยี งอ๋วิ ไปปลกู ท่มี ณฑลหวินหนัน กจ็ ะไดผ ลผลติ และเทคนคิ การเผาจ้ือท่ี แตกตางกัน อ่นิ เพ่ยี นของฟูจ อื่ ท่ีผลิตไดจากมณฑลหวินหนันจะมีลักษณะภายนอกและ ประสิทธผิ ลการรักษาไมดีเทากบั อิ่นเพย่ี นจากเมอื งเจยี งอิว๋ เตา ต้ีเยา ไฉนอกจากจะบอกถึงแหลงผลติ สมนุ ไพรทม่ี คี ณุ ภาพแลว ยังบงบอกถึง วัฒนธรรมและประวัติการใชส มนุ ไพรชนิดนัน้ ๆ ของพ้ืนท่ีที่เปนแหลงรวมศูนยและแหลง กระจายสนิ คา ดว ย เชน ในสมัยโบราณแหลงผลิตจูซา (朱砂 ชาดจอแส) อยูที่มณฑลกุยโจว แตแหลงรวมศูนยแ ละแหลง กระจายสนิ คา จซู าอยูท่เี มืองเฉนิ โจว (辰州) ในมณฑลหูหนัน [ปจจบุ นั คือ อาํ เภอหยวนหลงิ (沅陵) ในมณฑลหูหนนั ] ดงั นั้น จูซาจากมณฑลหูหนันจึง จดั เปน เตา ต้ีเยาไฉ และเรียกตามความเคยชินวา “เฉินซา (辰砂)” แหลงผลิตเซอเซียง (麝香 ชะมดเช็ด) อยูที่ทิเบต (西藏 ซีจ้ัง) และซื่อชวน โดยแหลงรวมศูนยและแหลง กระจายสนิ คาเซอเซยี งอยทู ีเ่ มอื งหยาอัน (雅安) ในมณฑลซื่อชวน จึงเรียกวา “ชวนเซอ เซียง (川麝香)” โดยเตาตเี้ ยา ไฉของชวนเซอ เซียงจะรวมถงึ เซอ เซียงจากทเิ บตดว ย อยา งไรกต็ าม แหลง ผลิตเตา ตีเ้ ยา ไฉไมใชพ ื้นที่ท่ีตายตัว อาจมีการเปลี่ยนแปลง ไดต ามปจจัยจากมนษุ ยหรอื สงิ่ แวดลอม เชน เหรินเซิน (人参 โสมคน) ในสมัยโบราณ เรยี ก “ซ่งั ตัง่ เหรนิ เซิน (上党人参)” แหลงผลติ ท่ีสาํ คัญอยูทเ่ี มอื งซันซี (山西) ในเขต พ้ืนทซ่ี ั่งตั่ง (上党) แตเ นอ่ื งจากพื้นทีม่ กี ารเปล่ยี นแปลงของสภาพแวดลอม ทําใหปจจุบัน แหลง ผลิตเหรนิ เซินท่เี ปนเตา ตเี้ ยา ไฉเปล่ียนมาอยูทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศ

Page 12 ในเขตพน้ื ที่ฉางไปซนั (长白山) ในมณฑลเหลยี วหนิง (辽宁) และมีชื่อเรียกใหมวา เหลียวเซิน (辽参) อีกตวั อยา งหนึ่งคือ ชวนซยฺ ง (川芎 โกฐหวั บวั ) จากบันทึกในยุค ราชวงศฮ่ันจนถึงราชวงศถงั ระบุวาชวนซยฺ งท่ีมีคุณภาพดีมแี หลงผลิตอยทู มี่ ณฑลสา นซี (陕 西) เรยี กวา “ฉนิ ซฺยง (秦芎)” ตอ มามีการเปล่ยี นแหลง ผลติ มาทม่ี ณฑลซื่อชวน เขตตูเจียง เอี้ยน (都江堰) จึงเรียกวา ชวนซฺยงฺ การเปล่ียนแปลงเหลา นี้แสดงใหเห็นวา แหลงผลิต เตาตี้เยา ไฉแตละชนดิ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เนอื่ งจากมกี ารขยายพื้นท่กี ารเพาะปลูก หรือมกี ารนําชนิดพันธพุ ชื ทม่ี ีคณุ ภาพดไี ปปลกู ยงั พืน้ ที่อน่ื ทเ่ี หมาะสมกวา ซึ่งขอมูลตาง ๆ เหลานไ้ี ดม กี ารบนั ทึกไวเ ปน ประวัติของสมนุ ไพรแตละชนดิ การจําแนกเตา ตี้เยา ไฉ ตามบันทึกทางประวัติศาสตรและความเคยชินในการใชในสาธารณรัฐประชาชน จีน สามารถจําแนกเตาต้ีเยา ไฉตามเขตเกษตรกรรมในประเทศออกเปน 10 กลุมใหญ ดังน้ี แผนทส่ี าธารณรฐั ประชาชนจีน

Page 13 1. กลมุ ชวนเยา (川药) ไดแก สมุนไพรที่มีแหลงผลิตในมณฑลซ่ือชวน (四 川 ) เชน ชวนซวฺ ง (川芎 โกฐหวั บวั ) ชวนเปยหมู (川贝母) ชวนอู (川乌 รากแกว ของโหราเดอื ยไก) ชวนหนวิ ซี (川牛膝 พนั งนู อย) ชวนไมตง (川麦冬) ชวนผอ (川 朴) ชวนเล่ียนผี (川楝皮 เปลือกผล เลี่ยน) ชวนเลยี่ นจื่อ (川楝子 ผลเลีย่ น) ชวนมเู ซียง (川木香 โกฐกระดูก) ชวน เหลียน (川连 หรือ หวงเหลียน 黄连) ชวนหวงปอ (川黄柏) ชวนตั่งเซิน (川 党参) ชวนซฺวี่ตวน (川续断) เปนตน 2. กลุมกวา งเยา (广药) ไดแก สมุนไพรทม่ี ีแหลงผลติ ในมณฑลกวา งตง (广东 กวางตุง) กวางซี (广西 กวางสี) และ ไหห นนั (海南 เกาะไหหลํา) เชน กวางฝาง จี่ (广防己) กวางฮั่วเซียง (广藿香 พิมเสนตน) กวางมูเซียง (广木香 โกฐ กระดูก) กวางโตวเกิน (广豆根) กวาง เจา 广枣 (พุทราจีน) เปน ตน 3. กลมุ หวินเยา (云药) ไดแ ก สมนุ ไพรท่มี แี หลง ผลติ ในมณฑลหวนิ หนนั (云南 ยนู นาน) เชน หวนิ มูเซียง (云木 香 โกฐกระดูก) หวินเฉียนหู (云前胡) หวนิ กุย(云归) หวินฝางเฟง (云防风) หวินหลงิ ( 云苓 โปงรากสน) หวินหนันซา เซิน (云南沙参) หวินหนันจง โหลว (云 南重楼 ตีนฮุง ดอย) เปน ตน

Page 14 4. กลุมกยุ เยา (贵药) ไดแ ก สมุนไพรทีม่ แี หลง ผลติ ในมณฑลกยุ โจว (贵州) เชน กยุ โจวปาเจ่ียวเหลียน (贵州八角 莲) เทียนหมา (天麻) เทียนตง (天 冬) หวงจงิ (黄精) ยวฺ ่ีจู (玉竹) ตูจง (杜仲) อเู ปยจื่อ (五倍子 มะเหลี่ยม หิน) เปนตน 5. กลุม ไหวฺ เยา (怀药) ไดแ ก สมุนไพรท่ีมีแหลง ผลิตในมณฑลเหอหนัน (河 南) เชน ไหวฺ ตี้หวง (怀地黄 โกฐขี้แมว) ไหวฺ หนิวซี (怀牛膝 พนั งนู อ ย) ไหฺวซันเยา (怀 山药)ไหวฺ จหฺ วีฮวา (怀菊花 เกกฮวย) ไหฺวกูจือ (怀故子) ไหฺวอันเสี่ยวฝาง เฟง (怀安小防风) เหอ หนันซาเซิน (河南沙参) เปน ตน 6. กลุมเจอเยา (浙药) ไดแก สมุนไพรที่มีแหลงผลิตในมณฑลเจอเจียง (浙江) เชน เจอเปย หมู (浙贝母) เจอ เสฺวียนเซิน (浙玄参) เจอตูหัว (浙独 活) เจอจู (浙术 หรือ ไปจู 白术) หัง ไปจ ื่อ (杭白芷 โกฐสอ) หังจฺหวีฮวา (杭 菊花 เกก ฮวย) เปนตน 7. กลุม กวนเยา (关药) ไดแก สมุนไพรที่มีแหลงผลิตในมณฑลเหลียวหนิง (辽宁) จหี๋ ลนิ (吉林) เฮยห ลงเจยี ง (黑龙江) และภาคตะวันออกของเนย เหมิงกู (内

Page 15 蒙东部 มองโกเลียในตะวันออก) เชน กวนฝางเฟง (关防风) กวนมูทง (关 木通) กวนหวงปอ (关黄柏) กวนเซิง หมา (关升麻) กวนหลงตาน (关龙 胆) เปนตน 8. กลุม เปยเ ยา (北药) ไดแ ก สมุนไพรที่มีแหลง ผลติ ในมณฑลเหอเปย  (河 北) ซันตง (山东) ซันซี (山西) และภาคกลางของเนย เ หมงิ กู (内蒙中部 มองโกเลยี ในกลาง) เชน เปยซาเซิน (北沙参) เปยไฉหู (北柴胡) เปยซนั จา (北山楂) เปยโตวเกิน (北豆根) เปยตาหวง (北 大黄 โกฐนํ้าเตา) เปยชังจู (北苍术 โกฐ เขมา) เปยซันจา (北山楂) เปยซ่ีซิน (北细辛) เปยอูเจียผี (北五加皮) เปยอเู วย จ่อื (北五味子) เปนตน 9. กลมุ ซเี ยา (西药) ไดแก สมุนไพรทีม่ แี หลงผลิตในมณฑลสานซีตะวันตก (陕西西部) กันซู (甘肃) ชงิ ไห (青海) ซนิ เจียง (新疆) และภาคตะวนั ตกของเนย  เหมิงกู (内蒙西部 มองโกเลียใน ตะวันตก) เชน ซหี งฮวา (西红花 หญา ฝรัน่ ) ซเี ซิงหมา (西升麻) ซีกนั เฉา (西 甘草 ชะเอมเทศ) ซีโตวเกิน (西豆根) ซีหยางเซิน (西洋参 โสมอเมริกัน) ซีฉี (西芪) ซีตงั่ (西党 หรอื ตงั่ เซิน 党参) ซีอเู วย จอ่ื (西五味子) ซีอนิ เฉนิ (西茵陈) ซจี ั้งมูก วา (西藏木瓜) เปนตน

Page 16 10. กลุมหนันเยา (南药) ไดแก สมุนไพรที่มีแหลงผลิตทางใตของแมน าํ้ แยง ซีเกียง ไดแก มณฑลหูหนัน (湖南) หูเปย (湖北)เจยี งซู (江苏) อันฮุย (安徽) เจียงซี (江西) ฝูเจยี้ น (福建) และไตห วัน (台湾) เชน หนนั อูเวย จือ่ (南五味子) หนนั อเู จีย ผี (南五加皮) หนนั ซาเซิน (南沙参) หนันตันเซิน (南丹参) หนันปนหลัน เกิน (南板兰根) หนันชังจู (南苍术 โกฐเขมา) หนันยฺวี่กุย (南玉桂 อบเชย จีน) หนนั ซวนเจา (南酸枣) เปนตน การเกบ็ เก่ียวเตา ต้ีเยา ไฉ สมุนไพรสวนใหญไดจากพืช พืชแตละชนิดมีแหลงกระจายพันธุและถ่ินที่อยู แตกตางกนั สงผลใหสมนุ ไพรแตละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัว มีองคประกอบทางเคมี และ สรรพคณุ ทางยาแตกตางกัน การเก็บเก่ยี วสมนุ ไพรตองคํานึงถึง การเก็บเกี่ยวใหถูกชนิด สวนทใ่ี ช อายขุ องพืช ชว งเวลาของวนั ฤดกู าลที่เหมาะสม และการแปรรูปเบ้ืองตนที่แหลง ปลกู จึงจะไดต วั ยาที่มีคณุ ภาพดี หรือไดส รรพคุณของยาตามตองการ สมุนไพรจีนมจี ํานวนชนิดคอนขางมาก สมุนไพรที่ไดจากการเพาะปลูกและได จากปาธรรมชาติกม็ ีคณุ ภาพทีไ่ มเหมือนกัน แหลง ผลติ คอ นขา งกระจดั กระจาย สวนที่ใชทํา ยากแ็ ตกตา งกนั ระยะเวลาติดดอกออกผลไมเหมือนกัน และฤดูเก็บเก่ียวก็ไมพรอมกัน ดังนน้ั การเกบ็ เกยี่ วทเี่ หมาะสมจะสงผลตอ คุณภาพของสมุนไพร และมีความสําคัญยิ่ง ตอการคุมครองพันธุและการขยายแหลงผลิต จากประวัติศาสตรการแพทยแผนจีน ไดบ นั ทกึ ฤดเู กบ็ เกยี่ วที่เหมาะสมของสมนุ ไพรแตละชนิด เพือ่ ใหไ ดต ัวยาที่มคี ณุ ภาพและได สรรพคุณของยาตามตองการ ขอ มูลเหลานี้ไดจ ากประสบการณของเกษตรกรผูเก็บเก่ียว สมุนไพรซึ่งมปี ระโยชนตอ คนรุน หลัง

Page 17 ปจ จุบนั ไดม ีการศึกษาวิจัยชวงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเก่ียวสมุนไพรแตละ ชนิดเพอ่ื ใหไดป รมิ าณสารสาํ คญั สูงสุด เชน ตันเซิน (丹参) ซ่ึงมีสารสําคัญคือ สารกลุม tanshinones พบวาในเดือนพฤศจิกายนของทุกป รากหรือเหงาจะมีปริมาณ tanshinone IIA สูงสดุ โดยสงู กวา ชวงเวลาอื่น ๆ ประมาณ 2-3 เทา ดงั นน้ั จงึ ตองเก็บตันเซินในเดือน พฤศจกิ ายน อยางไรกต็ าม ขอมลู ของปริมาณสูงสุดของสารสําคัญของสมุนไพรสวนใหญ ยงั ไมช ัดเจน จึงไมสามารถกาํ หนดชว งเวลาเก็บเก่ียวของสมนุ ไพรทุกชนิดเพือ่ ใหไ ดป ริมาณ สารสําคัญสูงสุดได ปจจุบันการเก็บเกี่ยวสมุนไพรสวนใหญจะอาศัยประสบการณของ บรรพบรุ ุษท่สี บื ทอดตอ กนั มา รวมกบั ชว งเวลาเจริญเติบโตของพืชหรือสัตวที่มีสารอาหาร สงู สุด เชน กันเฉา (甘草 ชะเอมเทศ) มีสารสําคัญคือ glycyrrhizin ซึ่งมีปริมาณสูงสุด ในชว งกอนออกดอก ดังนนั้ จงึ ตองเกบ็ เกยี่ วในชวงกอนออกดอก นอกจากนี้หากสภาพ ภูมอิ ากาศ ดิน และสภาพแวดลอมของแหลงปลูกแตกตางกัน แมวาจะใชพันธุพืชชนิด เดยี วกัน แตชวงเวลาเก็บเกีย่ วก็จะไมเหมือนกัน เชน หมาหวง (麻黄) มีสารสําคัญคือ ephedrine ซงึ่ มปี รมิ าณสูงสดุ ในเดอื นกนั ยายนทีแ่ หลงปลูกตาถง (大同) แตท แ่ี หลง ปลูก เชอเฟง (赤峰) พบปรมิ าณสงู สุดในเดือนสงิ หาคม ดังน้นั ระยะเวลาเก็บเก่ียวหมาหวงใน พื้นทท่ี ้งั 2 แหลงจะหางกนั 1 เดือน โดยทัว่ ไปการเก็บเกี่ยวเตา ตีเ้ ยา ไฉสามารถจาํ แนกตามประเภทและสว นทใี่ ชข อง สมุนไพร ดังน้ี 1. พชื วตั ถุ สวนของพชื ท่ใี ชทาํ ยามี 8 สว น และชวงเวลาทีเ่ หมาะสมในการเกบ็ เก่ยี ว มดี งั นี้ (1) รากและเหงา มกั เก็บในฤดใู บไมรวงและฤดูหนาว ซ่ึงเปนชวงท่ีพืชเจริญ เติบโตคอ นขางชา สารอาหารตาง ๆ สวนใหญจ ะเก็บสะสมอยใู นรากและเหงา และสารออก ฤทธจ์ิ ะมีปรมิ าณสงู สดุ เชน เทยี นหมา (天麻) ท่เี ก็บในชว งปลายฤดูหนาวถึงตนฤดูใบไม ผลิ เรียกวา ตงหมา (冬麻) มีคุณภาพดกี วา เทียนหมาท่เี กบ็ ในชว งปลายฤดใู บไมผลถิ ึงตน

Page 18 ฤดูรอ นซงึ่ เรียกวา ชุนหมา (春麻) นอกจากนรี้ ะยะเวลาท่ีเหมาะสมในการเก็บเกีย่ วมูเซียง (木香 โกฐกระดกู ) ไปจ อ่ื (白芷 โกฐสอ) ชวนซฺยง (川芎 โกฐหัวบัว) คือ ฤดูใบไมรวง 5 หรอื ฤดหู นาว พืชทม่ี ีผลและลําตนเหยี่ วเฉางาย จะเก็บเกี่ยวรากและเหงาในฤดูรอน เชน ชวนเปย ห มู (川贝母) เสวฺ ียนหซู ั่ว (玄胡索) และปนเซย่ี (半夏) (2) ลาํ ตน มกั เกบ็ ในฤดูใบไมรวงหรือฤดหู นาว เชน ชวนมทู ง (川木通) ตา เสวฺ ี่ยเถิง (大血藤) หากใชท้ังลาํ ตนและใบทํายา ควรเก็บเก่ียวในชวงที่พืชเจริญเติบโต เต็มที่ เชน อ๋นิ ฮวฺ าเถงิ (银花藤) หากใชเน้อื ไมท าํ ยา จะเก็บไดท้งั ป เชน ซมู ู (苏木 ฝาง) (3) เปลือก เปลือกรากสวนใหญมักเกบ็ เก่ียวในปลายฤดูใบไมรวงถึงตนฤดู หนาว เชน ตีก้ ูผ ี (地骨皮) หมูตันผี (牡丹皮 เปลือกรากโบต๋ัน) เปลือกตนเก็บเกี่ยว ในชว งฤดูรอนดีทส่ี ุด เพราะสามารถลอกเปลือกและเนื้อไมอ อกจากกันไดงาย เชน โฮวผอ (厚朴) ตูจง (杜仲) หวงปอ (黄柏) แตโรวกยุ (肉桂 เปลือกตนอบเชยจีน) จะเก็บเกยี่ ว ในชวงกอนหรอื หลังฤดูใบไมรว ง ซึ่งจะไดสมนุ ไพรที่มกี ลน่ิ หอม รสหวาน และมคี ณุ ภาพดี (4) ใบ มักเก็บในชวงดอกใกลบานถึงชวงเรมิ่ ตดิ ผล ซึ่งเปนชวงที่พืชเจริญเติบโต เตม็ ท่ี และเปนชว งท่ใี บสังเคราะหแสงเตม็ ที่ เนือ้ ใบมสี ารอาหารมากที่สุด เชน เหอเยี่ย (荷 叶 ใบบัว) เกบ็ เก่ยี วในชวงทดี่ อกตมู จนกระทั่งดอกบานเต็มที่ แผนใบจะหนา มีกล่ินหอม และมคี ุณภาพดี สว นปอเหอ (薄荷) เก็บเกย่ี วในชว งฤดรู อ นเมื่อดอกบานเตม็ ทโ่ี ดยเลือก วนั ที่ทองฟาแจม ใส ใบจะมกี ลิ่นหอมมาก เพราะมีปริมาณสารเมนทอลและน้าํ มันหอมระเหย สงู สุด หากเก็บเก่ียวหลงั จากฝนตกแลว 2-3 วัน พบวา ปรมิ าณนาํ้ มันหอมระเหยจะลดลงถึง รอยละ 75 มสี มนุ ไพรบางชนดิ เทาน้ันทเ่ี ก็บเกีย่ วในชวงหลังจากหิมะตกและใบกําลังจะรวง จึงจะมคี ุณภาพดี เชน ซังเยย่ี (桑叶 ใบหมอน) ผีผาเยย่ี (批杷叶 ใบปแ ป) เปน ตน (5) ดอก มักเก็บขณะตมู หรือเริ่มบาน หากเก็บเก่ียวในขณะบานเต็มท่ี ปริมาณ สารสาํ คัญจะลดลง และกลีบดอกจะรวงงา ย กลน่ิ และรสชาติจะออ น เชน ไหฺวฮวา (槐花) และไหฺวหม่ี (槐米) เปนสมุนไพรที่ไดจากพืชชนิดเดียวกัน ไหฺวหม่ีไดจากดอกตูม มี

Page 19 สารสาํ คัญคอื rutin รอยละ 23.5 แตไหวฺ ฮวาไดจ ากดอกที่บานแลว มสี าร rutin เพียงรอย ละ 13 หากจะนาํ มาใชใ นสรรพคุณระบายความรอนในระบบเลือด (清热凉血) ไหฺวหม่ี จะมีคณุ ภาพดีกวาไหฺวฮวา อีกตัวอยางคือ จินอิ๋นฮวา (金银花 ดอกสายน้ําผ้ึง) มีสาร chlorogenic acid ซึ่งมีสรรพคุณระบายความรอนและถอนพิษไฟ (清热解毒) มี รายงานการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสาร chlorogenic acid ในดอกตูมและดอกบาน พบวา ดอกตมู มสี ารสําคญั สูงกวา ดังนัน้ ระยะเวลาทเี่ หมาะสมในการเกบ็ เก่ียวจินอิ๋นฮวาคือ ขณะดอกตมู หรือเร่ิมออกดอกดีท่ีสุด สวนพืชอ่ืน ๆ ที่ใชดอกทํายา เชน หงฮวา (红花 คําฝอย) จฺหวีฮวา (菊花 เกก ฮวย) ควรเกบ็ ในชวงดอกบานเตม็ ท่ี (6) ผลและเมล็ด โดยทั่วไปมักเก็บในขณะท่ีผลแกเ ต็มทหี่ รอื ใกลสุก ซึ่งเปน ชว งท่มี ีสารอาหารอุดมสมบูรณ หรอื มสี ารสําคญั สูง เชน จ่ือเขอ (枳壳 สมซา) เชอเฉียน จือ่ (车前子 เมลด็ ผักกาดนาํ้ ) ทูซือจ่ือ (兔丝子 เมลด็ ฝอยทอง) สมุนไพรบางชนิดจะ เกบ็ ในขณะทผี่ ลยังไมแ ก เชน จือ่ สือ (枳实 สมซา) ซังเซิ่น (桑椹 ผลหมอน) ชิงผี (青 皮) พืชที่ใชเมล็ดทํายาจะตองเก็บเมื่อผลแกจัด เชน จฺเหวียหมิงจื่อ (决明子 เมล็ด ชมุ เห็ดไทย) ซจู ่ือ (苏子 ผลงาขมี้ อ น) ไปเ จีย้ จ่ือ (白芥子 เมล็ดพรรณผักกาด) เปนตน (7) ทง้ั ตน พชื ท่ีใชท้งั ตน ทาํ ยา มักเก็บในชวงท่ีพชื เจรญิ เตบิ โตเตม็ ท่กี อนออก ดอกหรือชว งออกดอก แตกกง่ิ กานและมีใบมาก ซง่ึ เปน ชว งท่มี ีสารสําคัญสูง เชน อี้หมูเฉา (益母草 กัญชาเทศ) มีสารสําคญั กลมุ แอลคาลอยด มรี ายงานวา การเก็บอี้หมูเฉาในระยะ ดอกตมู ระยะออกดอกเต็มท่ี และระยะติดผล จะมีปริมาณแอลคาลอยดรอยละ 0.93, 1.26 และ 0.39 ตามลําดบั ฉะน้ันการเก็บเกย่ี วอีห้ มเู ฉาควรเก็บในชวงปลายฤดูใบไมผลิถึง ตน ฤดูรอนในระยะออกดอกเตม็ ท่ี นอกจากนยี้ งั มีสมนุ ไพรอีกหลายชนดิ ท่ีเก็บในชวงออก ดอก เชน ชวนซนิ เหลียน (穿心莲 ฟาทะลายโจร) ฮั่วเซียง (藿香 พิมเสนตน) พืชบาง ชนดิ จะเก็บตน ออ นทาํ ยา เชน อินเฉนิ เฮา (茵陈蒿)

Page 20 (8) ยาง พืชทีใ่ ชยางทาํ ยามหี ลายชนิด แตล ะชนดิ จะเก็บสว นทใ่ี ชและชวงเวลา เก็บเก่ียวไมเหมือนกัน เชน อันสีเซียง (安息香) สวนใหญจะเก็บในเดือนเมษายนถึง ปลายฤดใู บไมรวงในขณะท่ีพชื แหง โดยกรดี เปลือกตน เปนรูปสามเหลย่ี มควาํ่ เก็บนํ้ายางที่ หยดลงมาและแข็งตวั มาใช สว นซงเซยี ง (松香) จะเก็บในฤดูใบไมรว งและฤดหู นาว 2. สัตวว ตั ถุ การเกบ็ สัตวที่ใชทาํ ยานัน้ ขึน้ กับการเจริญเติบโตและวงจรชวี ิตของสัตวชนิดน้ัน ๆ ควรศึกษาวาสัตวแตละชนิดจะเกบ็ อยา งไรจงึ จะเหมาะสม เชน เกอเจ้ีย (蛤蚧 ตุกแก) จะ จับทั้งตวั ในฤดรู อนและฤดใู บไมร วง เฉฺวียนจฺเหวีย (全蝎 แมงปอง) จับในฤดูใบไมผลิ ฤดูรอ น และฤดูใบไมร ว ง ซงั เพียวเซียว (桑螵蛸 ตั๊กแตน) ควรจับชวงตนเดือนกุมภาพันธ หากเลยชวงนจี้ ะมสี รรพคุณทางยาลดลง 3. ธาตุวตั ถุ ธาตวุ ัตถุสามารถเกบ็ ไดท ั้งป แตส ว นใหญมักเกบ็ เมอ่ื มีการขดุ เจาะเพอื่ การกอสราง เมอื งหรอื ถนน เชน สอื เกา (石膏 เกลือจดื ) หฺวาสือ (滑石 หินลน่ื ) หูพ อ (琥珀 อาํ พัน) การแปรรูปเตา ตี้เยาไฉ การแปรรปู เตาตเี้ ยา ไฉ หมายถึง กระบวนการแปรรูปเบ้ืองตนที่แหลงปลูก โดย ภายหลงั การเก็บเก่ยี วสมุนไพรจากแหลงปลกู แลว นํามาคดั เลือก ทําความสะอาด หนั่ และ ทําใหแ หง ณ โรงงานบรเิ วณใกลแ หลง ปลกู เตาต้ีเยาไฉสวนใหญจะตองดําเนินการแปรรูป เบอ้ื งตนกอนใช มีเตา ต้เี ยา ไฉเพยี งบางชนดิ เทานน้ั ทตี่ องใชสด 1. วตั ถปุ ระสงค การแปรรปู เตาต้ีเยา ไฉ มีดงั นี้ (1) เพ่ือใหไดส มุนไพรทสี่ ะอาด ปราศจากส่ิงแปลกปลอมและสว นอ่นื ของพืชท่ี ไมใชทํายา (2) เพอื่ ใหไ ดสมนุ ไพรท่ีมีคณุ ภาพดี โดยดําเนนิ การแปรรูปเบื้องตนดวยวิธีนึ่ง ตม รมควนั ฆาเชือ้ ราและแมลง ชวยใหสมุนไพรแหงงา ย และลดการเส่ือมสภาพของสมนุ ไพร

Page 21 (3) เพื่อสะดวกตอ การจดั ระดบั คณุ ภาพของสมุนไพร การบรรจุ และการขนสง เน่ืองจากจํานวนชนิดของสมนุ ไพรมีคอนขางมาก สวนท่ีใชทํายาก็ไมเหมือนกัน ลักษณะ สี กลิ่น รสชาติ และเนอ้ื ของสมุนไพร รวมทั้งองคประกอบทางเคมีของสมุนไพร แตล ะชนิดแตกตางกนั มาก และวิธีการแปรรูปตางกัน แตสวนใหญถาจะใหเขามาตรฐาน ตามเกณฑทก่ี ําหนด ลกั ษณะภายนอกของสมนุ ไพรจะตองสมบูรณ ความชื้นของสมุนไพร ตอ งพอเหมาะ มีสีสดใส มีรสชาติและกลิ่นปกติ และจะตองสูญเสียสารสําคัญนอยท่ีสุด เชน ไหวฺ หม่ี (槐米) หากไมนํามาน่งึ กอน ปรมิ าณสาร rutin จะลดลง 2. วิธีแปรรปู เบือ้ งตนท่ใี ชบ อย (1) การทําความสะอาด นาํ สมุนไพรมาลา งนา้ํ สะอาดเพื่อแยกดิน ทราย สิ่ง แปลกปลอม หรอื แยกสว นของพืชทไี่ มใชท ํายาออก เชน หนิวซี (牛膝 พันงูนอย) ใหตัด หมวกรากและรากฝอยออก เจี๋ยเกิง (桔梗) และไปเสา (白芍) ตองปอกเอาผิวหรือ เปลือกออก ตันผี (丹皮 เปลอื กรากโบตน๋ั ) ตอ งเอาไสใ นออก ผีผาเย่ีย (批杷叶) ตอง กาํ จดั ขน เกอเจย้ี (蛤蚧 ตกุ แก) ตองเอาอวัยวะภายในออก เปนตน (2) การกะเทาะเปลือกผล สวนมากใชก ับสมุนไพรจําพวกเมล็ด โดยทั่วไป ภายหลังการเกบ็ เกย่ี วผลแลว บางชนดิ ตองเอาเปลือกผลออกกอน เก็บเฉพาะเมล็ด แลว นาํ มาทําใหแหง เชน เถาเหรนิ (桃仁 เมลด็ ทอ) สมุนไพรบางชนิดตองนําผลมาทําใหแหง กอนแลวกะเทาะเปลือก เอาเฉพาะเมลด็ มาใช เชน เชอเฉยี นจอ่ื (车前子 เมล็ดผักกาดนาํ้ ) ทซู ือจอ่ื (兔丝子 เมลด็ ฝอยทอง) สมนุ ไพรบางชนดิ จะเกบ็ ทง้ั ผล แมวาสวนท่ีใชทํายาคือ เมลด็ หรือเนื้อในเมล็ด ทงั้ นีเ้ น่อื งจากสารออกฤทธ์ไิ มค งตวั ทาํ ใหฤทธ์ิของสมนุ ไพรเสื่อมเร็ว ดังนั้น เพื่อใหง า ยตอการเกบ็ รักษา จงึ เก็บทง้ั ผล และเมือ่ ตองการใชจ ึงคอยกะเทาะเอาเปลอื ก ผลออก เชน ไปกวอ (白果 แปะกว ย) ไปโตว โขว (白豆蔻 กระวานไทย) เปนตน (3) การห่ัน สมนุ ไพรบางชนิดมีขนาดยาวหรือหนา เพื่อสะดวกในการทําให แหง และการบรรจุหีบหอ จึงตองนํามาห่ันใหส้ันหรือบางลง เชน ฝอโสว (佛手 สมมือ)

Page 22 เซียงหยวน (香橼) ใหหั่นเปน แวนบาง ๆ มูก วา (木瓜) หนั่ ตามยาวเปน กลีบ จีเสฺวี่ยเถิง (鸡血藤) ห่นั เปน แวน ตามขวาง ตาหวง (大黄 โกฐนาํ้ เตา ) เกอ เกนิ (葛根) ห่นั เปน แวน หนาหรอื หัน่ เปน ชิน้ การหั่นสดท่โี รงงานบริเวณใกลแหลงปลูกมีขอดีคือ ลดตนทุนในการ แปรรูป ชวยลดการสลายตวั ของสารออกฤทธิ์ ลดเวลาการทําใหแหง สะดวกตอการบรรจุ หบี หอและการเกบ็ รักษา แตมีขอเสยี คือ หลังจากหนั่ สมนุ ไพรแลว รูปลักษณภายนอกไม สม่ําเสมอ ทําใหการตรวจเอกลกั ษณไ มส ะดวก นอกจากน้ี สมุนไพรที่มีน้ํามันหอมระเหย เปนสวนประกอบ หรือ สมุนไพรทมี่ สี ารสําคัญท่ีสามารถเกิดปฏิกิรยิ าออกซิเดชันไดงาย ไม ควรนาํ มาห่นั เพราะจะทาํ ใหส ารสําคัญลดลง เชน ชวนซฺยง (川芎 โกฐหัวบัว) ไปจ่ือ (白 芷 โกฐสอ) ปงหลาง (槟榔 หมากสง) เปนตน (4) การนึ่ง การนึ่งสมนุ ไพรมีวัตถปุ ระสงคท ่ีแตกตา งกนั ไดแก สมุนไพรท่ีอม นา้ํ มาก หรอื มนี ํ้าตาล หรือมแี ปงเปน สว นประกอบ โดยทว่ั ไปจะทาํ ใหแหงยาก เม่ือนํามานึ่ง กอ นจะทําใหเ ซลลเ นอื้ เยือ่ แตกสลาย เอนไซมถ ูกทําลาย ทาํ ใหแหงงาย และสะดวกตอการ เก็บรกั ษา เชน เทียนหมา (天麻) หมงิ ตงั่ เซนิ (明党参) จะตองนึ่งจนสุกถึงเน้ือในกอน ทาํ ใหแหง ในขณะท่ีอูเปยจื่อ (五倍子) และซังเพียวเซียว (桑螵蛸) จะนํามานึ่งเพื่อ ทาํ ลายไขของแมลง และปอ งกันการฟก ตวั ของแมลง เทียนตง (天冬) นํามาน่ึงหรือลวก เพื่อใหล อกผิวไดง าย สมนุ ไพรบางชนดิ ตอ งนํามาตมกับน้ําเกลือ เชน เฉฺวียนจฺเหวีย (全 蝎 แมงปอ ง) เจนิ จหู มู (珍珠母 เปลือกหอยไขมุกนํา้ จืด) เปนตน ในการนึ่งสมนุ ไพรควรใหความสาํ คัญกบั ระดับไฟท่ใี ช หากไฟออนเกินไป จะไม สามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคทต่ี องการ หากไฟแรงเกนิ ไป จะทําใหสญู เสยี สารสาํ คัญ (5) การรมควัน สมนุ ไพรบางชนดิ จะตอ งใชวธิ รี มควนั เพ่อื ใหไ ดส มุนไพรท่ีมี คณุ ภาพตามเกณฑท กี่ าํ หนด และงายตอ การเก็บรกั ษา เชน อูเหมย (乌梅 บวยดํา) ตอง รมควันจนเปนสีดํา สวนซันเยา (山药) ชวนเปยหมู (川贝母) ตองรมดวยกํามะถัน

Page 23 จนกระท่ังสีของสมุนไพรเปลย่ี นเปนสีขาว สําหรับเซียงฝู (香附 แหวหมู) กูซุยปู (骨碎 补) ตองใชไฟลนเพอื่ กาํ จัดขนออกกอน แตต อ งระมัดระวังอยาใหส มนุ ไพรไหม (6) การทําใหอ อกเหงอื่ หรือทําใหน ้ําระเหยออกบางสวน ในระหวางการแปรรูป สมนุ ไพรบางชนิด มักจะกองสุมหลังการน่ึงเพ่ือใหออกเหง่ือ น้ําท่ีอยูในสมุนไพรระเหย ออกมา ชวยใหเน้ือสมุนไพรน่ิม หรือเปลี่ยนสี หรือเพิ่มกล่ินและรสชาติใหแรงข้ึน ซึ่งมี ประโยชนตอการทาํ ใหแหงและเพ่ิมคุณภาพของสมุนไพร วิธีการแปรรูปแบบน้ี เรียกวา “การทําใหออกเหง่ือ” เชน โฮวผอ (厚朴) ตูจง (杜仲) สมุนไพรเหลาน้ีตองใชวิธีนี้ เพ่ือใหไ ดส ีทเ่ี ฉพาะตัว สมุนไพรบางชนิดจําเปนตองใชวิธีน้ีจึงสามารถทําใหแหงสนิทได เชน ชวนซฺยง (川芎 โกฐหัวบัว) ตาหวง (大黄 โกฐนํา้ เตา) การแปรรปู สมนุ ไพรดวยวิธีน้ี ตองกําหนดระยะเวลาทที่ ําใหอ อกเหงื่อใหเ หมาะสมกับชนิดของสมนุ ไพร เพื่อปองกันการขึ้น ราและไมใหคณุ ภาพของสมุนไพรเปลย่ี นไป (7) การแชนํ้าเกลือ โดยนําสมุนไพรท่ีสะอาดแชในสารละลายนํ้าเกลือที่ อม่ิ ตวั มีวตั ถุประสงคเพ่อื ปองกนั การเกิดเชื้อราซ่งึ จะทําใหคุณภาพของสมุนไพรเปล่ียนไป เชน ฟูจ่ือ (附子 โหราเดือยไกที่ผานการเผาจ้ือ) ตองนําสมุนไพรมาแชในสารละลาย นา้ํ เกลือที่อิ่มตวั ในระยะเวลาท่เี หมาะสม จากน้ันนาํ ไปทําใหแ หง (8) การกระแทกใหส ะอาด สมนุ ไพรบางชนิดตองแยกเอารากฝอย ผิวท่ีหยาบ ดนิ หรือทรายท่ปี ะปนมาออก โดยหลงั จากผานขั้นตอนการทําความสะอาดและการทําให แหง แลว เทสมุนไพรทีไ่ ดล งในตะแกรงหรอื เครอ่ื งรอ นเพือ่ ใหส มนุ ไพรกลิง้ กระแทกไปมาจน ผิวสะอาดและเปนมัน เชน หวงฉนิ (黄芩) เปย ห มู (贝母) ซานชี (三七 โสมนา) เปนตน (9) การทําใหแ หง เปน วธิ ีพืน้ ฐานและนยิ มใชท่สี ดุ การทาํ ใหแ หงตองคํานึงถึง คุณสมบัตแิ ละปริมาณของสมุนไพรที่ใช สภาพภูมิอากาศ และความพรอมของเคร่ืองมือใน พืน้ ทีน่ ั้น วธิ ีทาํ ใหแ หงของแตละพื้นทีอ่ าจแตกตา งกนั แตจะตองไดสมุนไพรแหงทีม่ ีปรมิ าณ นํา้ ไมเกินรอ ยละ 10-15 ตามเกณฑม าตรฐานสากล วธิ ีทาํ ใหแ หง ท่ใี ชบอ ย มดี ังนี้

Page 24 1) การตากแดด วิธีนี้ใชพลงั งานจากแสงอาทิตยในการทําใหแหง เปนวิธีที่ใช บอย งายและประหยัด แตต อ งคาํ นึงถงึ คณุ สมบัติของสมนุ ไพรแตล ะชนดิ เชน สมนุ ไพรท่ีมี ปริมาณนาํ้ มากตองตากแดดจดั ๆ เพอ่ื ใหแ หง เรว็ สมนุ ไพรท่ีเปล่ียนสีหรือกลิ่นระเหยงาย ควรตากแดดออน ๆ เชน ชวนซยฺ ง (川芎 โกฐหัวบัว) หงฮวา (红花 ดอกคําฝอย) สวน สมุนไพรท่มี ปี ริมาณนํ้ามนั หรอื นาํ้ ตาลมาก มักตากแดดออน ๆ หลาย ๆ คร้ังจนแหงสนิท เพอื่ ใหส มุนไพรคอ ย ๆ แหง สมนุ ไพรท่มี ีลักษณะหยาบและใหญ มกั จะกองสุมหลังการนึ่ง เพ่อื ใหอ อกเหงอื่ แลว จงึ นําไปตากแดดใหแหง สมนุ ไพรบางชนิดตากแดดไปพรอมกับหมั่น เกล่ยี และกลบั สมุนไพร เพ่ือทาํ ใหผ ิวหนา เปน มนั มนี ํา้ หนัก และเน้ือนุม 2) การอบ เปน วธิ ีทีใ่ ชท ง้ั แรงงานคนและเคร่ืองมือ โดยนําสมุนไพรท่ีสะอาด ใสในเตาอบ หรือตูอ บ การทําใหแหง โดยวธิ นี ้ีตองคํานึงถึงขนาดใหญ-เล็ก และคุณสมบัติ ของสมนุ ไพร โดยควบคมุ อุณหภมู ิท่ีใชใ หเ หมาะสมกบั ชนิดของสมุนไพร โดยท่ัวไปมักใช อุณหภมู ิ 50-60 องศาเซลเซยี ส สมุนไพรบางชนดิ มนี าํ้ มนั หอมระเหยหรือมีกล่ินหอม ควร ควบคุมอุณหภูมทิ อี่ บใหอ ยูร ะหวาง 30-40 องศาเซลเซียส สมุนไพรที่มีวิตามินซี และมี ปริมาณน้าํ มาก เชน ซนั จา (山楂) มกู วา (木瓜) มกั อบที่อุณหภมู ิ 70-90 องศาเซลเซียส เพอื่ ใหสมุนไพรแหง อยา งรวดเร็ว ในระหวา งทอี่ บสมุนไพรควรหม่ันกลับสมุนไพรบอย ๆ เพ่ือปองกันไมใหเกรียมเฉพาะสวน วิธีการอบมีขอดีคือ ไมไดรับผลกระทบจากการ เปล่ยี นแปลงของดนิ ฟาอากาศ และสามารถทําใหแ หงไดต ลอดเวลาเมือ่ ตองการ แตม ีขอเสีย คือ ตน ทุนสูง และตอ งส้ินเปลืองกระแสไฟฟา 3) การตากในท่ีรม โดยนําสมุนไพรที่สะอาดมาตากในที่รมซึ่งมีลมถายเท สะดวก เพ่ือใหสมุนไพรคอย ๆ แหง น้ําในสมุนไพรสามารถระเหยไดที่อุณหภูมิปกติ วิธีการนจี้ ะใชกับสมุนไพรท่มี ีน้าํ มนั หอมระเหยหรือสารที่ระเหยไดงาย ไมสามารถอบหรือ ตากแดด สมนุ ไพรประเภทดอก ใบ ทั้งตน ผล และเมล็ดที่ใชว ธิ นี ใี้ นการทาํ แหง เชน จิงเจี้ย (荆芥) ปอ เหอ (薄荷) จอื่ ซู (紫苏 ใบงาขีม้ อน) หงฮวา (红花 ดอกคาํ ฝอย) เปน ตน

Page 25 ปจจบุ ันเริ่มมกี ารใชรังสีอลั ตราไวโอเลตหรือเตาไมโครเวฟในการทําใหแ หง ซึ่งเปน เทคโนโลยีใหม วธิ นี ี้สะดวก รวดเรว็ และมีประสทิ ธิภาพสูง แตต อ งลงทุนซ้ือเครื่องมือซึ่ง มีราคาแพง ทําใหตนทุนในการทาํ ใหแ หงคอ นขางสูง ดังนนั้ โรงงานบริเวณใกลแหลงปลูก สวนใหญจ ะไมค อ ยเลือกใชว ิธนี ี้ (10) การคดั แยกระดบั คณุ ภาพของสมนุ ไพร จะดาํ เนนิ การหลงั จากสมุนไพร ไดผา นการทําใหแ หงแลว โดยใชเกณฑมาตรฐานการจัดระดับคณุ ภาพของสมุนไพร ขนั้ ตอน น้ีเปนขั้นตอนสดุ ทายของการแปรรปู เตา ตเ้ี ยาไฉ ซงึ่ จะใชมาตรฐานของขนาดยาว-ส้ัน ใหญ- เลก็ สี ความสมบรู ณ หรอื จํานวนชน้ิ ตอหนว ยนํ้าหนักของสมุนไพร วิธีการนี้สามารถแยก สมนุ ไพรชนดิ เดียวกนั แตม ีคุณภาพตางกันได ทาํ ใหงายตอ การกําหนดราคาที่เปนธรรมตาม คณุ ภาพของสมนุ ไพร

Page 26 ซตี ง่ั (西党 หรือ ตั่งเซิน 党参) เปย ซนั จา (北山楂) ซีจง้ั มกู วา (西藏木瓜) ชวนเหลยี น (川连 หรือ หวงเหลยี น 黄连) เจอจู (浙术หรือ ไปจู 白术) เปย อ ูเ วยจื่อ (北五味子)

Page 27 การเผาจื้อยาสมุนไพรจีน วัตถดุ ิบสมนุ ไพรทเี่ ก็บจากแหลงธรรมชาติหรอื แหลงปลูก มีชื่อเรียกทัว่ ไปวา “เยา ไฉ (药材)” จะนํามาใชทันทไี มได ตอ งนํามาทําความสะอาดและตากแหงกอ น การเตรียม ตวั ยาพรอ มใชเ รียกวา “เผาจอื้ (炮制)” ซง่ึ หมายถึงกระบวนการแปรรูปสมุนไพรเบ้ืองตน ไปจนถึงการแปรรปู โดยวิธเี ฉพาะ วัตถดุ ิบสมนุ ไพรทผ่ี านการเผา จอ้ื แลว จะเรยี กโดยรวมวา “อิ่นเพ่ยี น (饮片)” หรือ ตวั ยาพรอ มใช โดยทั่วไปการเผาจื้อมวี ัตถุประสงคเพ่ือใหตัวยา ออกฤทธิ์ตรงตามสรรพคณุ ทตี่ อ งการ จงึ จําเปนตองเลือกใชวิธีการเผาจ้ือใหเหมาะสมกับ อาการเจ็บปว ยของผูป ว ย นอกจากนีย้ ังตอ งคํานงึ ถึงคุณสมบัติของยาแตละชนิด รูปแบบ ของยา และวิธกี ารปรงุ ยา กลาวไดว า “การเผา จ้ีอสมุนไพรจีน” เปนเทคนิคการเตรียมยา ซง่ึ เปนเอกลักษณท ี่สาํ คญั ของศาสตรการแพทยแผนจีน การเผาจื้อนอกจากจะข้ึนกับการ ตรวจวินิจฉยั และรักษาผูปวยแลว ยงั ตอ งคาํ นงึ วาจะทําอยา งไรใหค ณุ สมบัติของยาเปลย่ี นไป ตามตอ งการ เพอ่ื ใหส อดคลอ งกับการตรวจวนิ ิจฉัยและการรักษาผปู ว ยของแพทย รวมทั้ง ทําใหร ูปแบบของยาเหมาะสมตอ การรักษาคณุ ภาพของยา การเก็บรกั ษา และสะดวกใช การเผา จ้ือยาสมุนไพรจีน (中药炮制) เปนศาสตรแขนงหนึ่งในศาสตรการแพทย แผนจีน ซ่ึงสามารถอธิบายไดในเชิงวิทยาศาสตรอ ยางเปน ระบบ มีความสมบูรณ สะดวกตอ การศกึ ษา และสามารถนําไปประยุกตใ ชไ ดจ รงิ 1. วัตถปุ ระสงคของการเผา จ้ือ ยาสมุนไพรจนี ไดจ ากแหลงธรรมชาติและแหลงปลูก มที งั้ พืชวตั ถุ สัตววัตถุ และ ธาตวุ ัตถุ ซงึ่ สว นใหญม ลี กั ษณะแข็ง หยาบ มขี นาดใหญ และมีสงิ่ ปนเปอน เชน ดิน ทราย และสวนของพืชท่ีไมตองการปะปนมา ดังนั้นกอนจะนําเยาไฉมาใช จําเปนตองผาน กระบวนการเผาจ้ือกอน เพอื่ ใหไดอ น่ิ เพ่ียน โดยมวี ตั ถุประสงค ดังนี้

Page 28 (1) เพื่อลดพษิ หรือขจัดพิษ หรอื ลดผลขางเคยี งของตัวยา ตัวยาบางชนิดมี พิษหรือผลขา งเคยี ง เชน ฟจู ือ่ (附子 โหราเดือยไก) ตองนํามาแปรรูปโดยวิธีเฉพาะโดย การแชน้ํา ลางน้ํา น่ึง ตม หรือน่ึงพรอมฝูเลี่ยว (辅料) หรือสารปรุงแตง มีรายงานวา สารสําคัญกลุมแอลคาลอยดในฟูจื่อ มีฤทธ์ิกระตุนหัวใจ ลดไข ระงับปวด ทําใหสงบ ภายหลงั การเผา จื้อแลว ตัวยายงั คงมีสรรพคุณเหมือนเดมิ แตพ ิษของตัวยาจะลดลง ตวั ยาบางชนิดมีผลขางเคียง แตเมื่อนํามาเผาจ้ือจะทําใหผลขางเคียงเหลานั้น ลดลงหรือหมดไป เชน หมาหวง (麻黄) หากใชด บิ จะทําใหจิตใจสับสน เหง่ือออกไมหยุด ดงั นัน้ กอ นใชจงึ ตอ งนํามาตม นํา้ หลาย ๆ ครงั้ เพือ่ ลดผลขา งเคียงดังกลาว หรอื ไปจื่อเหริน (柏子仁) ใชร กั ษาอาการนอนไมห ลับ หากไมส กดั น้ํามนั ออกกอ นจะทําใหร ะบายทอง” (2) เพอ่ื ปรับเปล่ยี นหรือชว ยใหส รรพคุณและฤทธ์ิของยาสุขุมขนึ้ ยาสมุนไพร จีนมีคุณสมบตั ริ อ น (热 เรอ ) อนุ (温 เวนิ ) เยน็ (寒 หาน) และสขุ มุ (平 ผงิ ) เรียกวา ซ่ือ ชี่ (四气) และมี 5 รส ไดแ ก เผด็ (辛 ซนิ ) หวาน (甘 กัน) เปรี้ยว (酸 ซวน) ขม (苦 ขู) เคม็ (咸 เสยี น) เรียกวา อูเวย  (五味) คุณสมบตั แิ ละรสของยาท่คี อ นขางเขมขน หาก นาํ มาใชโดยตรงอาจเกิดผลขางเคยี งได เชน คุณสมบัตเิ ย็นมากอาจสงผลใหห ยางของผูป วย ลดลง หรอื คณุ สมบัติรอ นมากอาจทาํ ลายอินใหเ หอื ดแหง หรือรสเผ็ดมากจะทําลายชี่ รส หวานมากอาจทาํ ใหเกดิ ความชืน้ รสเปรี้ยวมากทําใหเข็ดฟน รสขมมากจะสงผลเสียตอ กระเพาะอาหาร รสเค็มมากทําใหเกดิ เสมหะ ดงั นัน้ การเผาจ้ือกอนใชจะชวยใหคุณสมบัติ และรสของตัวยาสขุ ุมมากขน้ึ ตัวอยา งเชน การใชกนั เฉา (甘草 ชะเอมเทศ) รักษาอาการ เจ็บคอและไอเนื่องจากพิษรอน เม่ือนํามาผัดกับน้ําผึ้งแลว คุณสมบัติเย็นของกันเฉาจะ เปล่ยี นเปนอนุ เหมาะสําหรับการบาํ รุงชี่ของมาม (3) เพอื่ เพม่ิ ประสิทธผิ ลการรกั ษาของตวั ยา เยาไฉสวนใหญจะนํามาเตรียม เปนอิ่นเพยี่ น เพ่ือใหส ารสําคัญในตัวยาสามารถละลายในตัวทําละลายไดดี ทําใหฤทธิ์ของ ยาแรงขนึ้ ซ่งึ มีความสมั พนั ธก ับการเปลย่ี นแปลงท่ีเกิดข้ึนในขั้นตอนของการห่ันสมุนไพร

Page 29 เชน ทําใหเน้ือเยื่อของสมุนไพรถูกทําลาย พื้นผิวของสมุนไพรเพ่ิมมากข้ึน เปนตน นอกจากนก้ี ระบวนการเผา จ้อื ดวยวิธีนึ่ง ผัด ตม สะตุ จะมีผลตอการละลายของสารออก ฤทธ์ิ เชน หวงเหลียน (黄连) ท่ีผานการเผาจื้อแลวจะชวยใหสาร berberine ละลาย ออกมาไดมากขึ้น ตวั ยาทเ่ี ผาจอื้ โดยใชความรอ น มักจะสงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงท้ัง ทางกายภาพและทางเคมี โดยเฉพาะหากมีการใชฝ ูเล่ยี วท่ีเหมาะสมมาชวย จะทําใหตัวยาท่ี ละลายนาํ้ ไดยากกลบั ละลายไดดขี ึ้น เชน การผดั ไหลฝูจอื่ (莱菔子 เมล็ดหัวผักกาดขาว) ซ่งึ มเี ปลอื กหมุ เมล็ดคอ นขา งแข็ง เมื่อนํามาผัดจนรอน เปลือกหุมเมล็ดจะแตกออก เม่ือ นาํ มาตม จะทําใหส ารสําคัญละลายนา้ํ ไดมากขน้ึ และตวั ยาออกฤทธ์ไิ ดดขี ึ้น (4) เพ่อื ปรับทศิ ทางการออกฤทธิ์ของตวั ยา การออกฤทธิข์ องยาสมุนไพรจีนมี สี่ทิศทางคอื ขึ้น (升) ลง (降) ลอย (浮) จม (沉) เมื่อสมุนไพรผานการเผาจื้อแลว สามารถ ปรับเปลยี่ นทิศทางการออกฤทธ์ิได เชน ตา หวง (大黄 โกฐนํ้าเตา) มีรสขม มีคุณสมบัติ เย็น มีทิศทางการออกฤทธิจ์ ม จงึ มฤี ทธิร์ ะบาย เมือ่ นาํ มาเผาจ้ือดวยเหลาจะทําใหการออก ฤทธขิ์ องยาข้นึ บนได กลาวคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ระบายความรอนทส่ี วนบนของรางกายกอน (ตั้งแตล ิ้นปข้นึ ไป ไดแก ปอด หัวใจ) แลว จงึ ลงสสู ว นลางของรางกาย (ต้ังแตใตสะดือลง มาถงึ ทอง ไดแก ไต ลําไสใหญ ลําไสเล็ก กระเพาะอาหาร) (5) เพ่ือใหยาไปออกฤทธ์ิในตําแหนงท่ีตองการหรือเพิ่มฤทธ์ิของยาใน ตําแหนง น้นั ยาสมนุ ไพรจนี มีการออกฤทธ์เิ ฉพาะตาํ แหนงเรียกวา กยุ จิง (归经) โดยผาน ระบบเสน ลมปราณ (经络 จงิ ลวั่ ) ของอวัยวะภายใน (脏腑 จ้ังฝู) เชน ซงิ่ เหริน (杏仁) มีสรรพคุณแกไอ ระงับหอบ เพราะฤทธิข์ องยาเขาสูปอด ถาตองการสรรพคุณระบายทอง จะตองใหฤ ทธิข์ องยาเขาสูลาํ ไสใหญ เปนตน และเนื่องจากตัวยาแตละชนิดอาจเขาสูเสน ลมปราณไดหลายเสน ดังนั้นกรณีท่ีตองการใหตัวยาเขาสูเสนลมปราณที่เฉพาะเจาะจง สมุนไพรนนั้ จะตองผานการเผา จ้ือกอ น เชน ไฉหู (柴胡) เม่ือนํามาผัดกับนํ้าสม ตัวยาจะ เขา สเู สน ลมปราณของตบั เพมิ่ ฤทธ์ิผอ นคลายตับ ระงบั ปวด และชว ยยอยอาหาร เปน ตน

Page 30 (6) เพอ่ื สะดวกในการปรงุ และเตรยี มยา ยาสมุนไพรประเภทราก เหงา เน้ือไม ทัง้ ตน เปลอื ก ดอก ผล ใบ การแปรรปู เบือ้ งตน ทาํ โดยนาํ สมุนไพรมาลางนํ้าใหสะอาด หั่น เปน เสน เปน ฝอย เปน ช้ิน หรอื เปนแวน ตามมาตรฐานกําหนด ซ่งึ สะดวกในการปรงุ ยา และ สามารถชั่งน้าํ หนักตวั ยาไดต ามตองการ สมนุ ไพรประเภทแรธ าตุ กระดองสัตวไมสะดวกใน การปรุงยา ตอ งนาํ มาเผาจอื้ โดยใชค วามรอ น เพอ่ื ใหตวั ยากรอบและสามารถทุบแตกไดงาย เม่อื นํามาตมนาํ้ จะทาํ ใหต ัวยาละลายออกมาไดมากข้ึน เชน การตมกระดองเตาที่ผานการ เผา จอื้ ดวยนํ้าสม ปรมิ าณสารสกดั ดวยน้ําจะมากกวา ชนิดที่ไมผานการเผาจ้ือ ถงึ 6 เทา (7) เพอ่ื ใหตวั ยาสะอาดและงา ยตอการเก็บรกั ษา การเผาจือ้ โดยวธิ ีงา ย ๆ เชน การทําความสะอาดสมุนไพรโดยแยกดิน ทราย หรอื สิ่งปนปลอมออก เพ่อื ใหตัวยามีคณุ ภาพ ตามมาตรฐานทกี่ าํ หนด สมุนไพรที่ใชเฉพาะรากแกว ตองตัดรากแขนงและรากฝอยท้ิง สมุนไพรประเภทเปลอื กตนตองขูดผิวนอกท่ีหยาบออก สมุนไพรประเภทแมลงตองตัด สว นหวั ปก และขาทิ้ง พืชชนดิ เดยี วกนั หากเลือกสว นที่ใชตา งกนั อาจมีสรรพคุณแตกตา งกัน จึงตองเลอื กใชใ หตรงตามสรรพคุณทีต่ องการ ตวั ยาท่ผี า นการเผาจื้อจะสะดวกในการเก็บ รักษา ปองกนั การทําลายจากเชือ้ จุลนิ ทรยี  และปอ งกนั การสลายตัวของสารสาํ คญั (8) เพอื่ สะดวกในการรับประทาน ตัวยาบางชนิดมกี ลน่ิ แรงและมีรสเฉพาะตัว ผูปวยบางรายอาจไมชอบหรือไมคุนเคยกับกล่ินหรือรสดังกลาว เม่ือรับประทานแลวเกิด อาการผะอดื ผะอม เชน หรูเซยี ง (乳香) หม้ัวเยา (没药) หรือตัวยาอื่น ๆ โดยทั่วไปจะ นําตวั ยามาเผาจ้อื ดว ยฝเู ลี่ยวชนิดตาง ๆ เชน เหลา น้ําผ้ึง รําขาวสาลี เปนตน จะชวยให รสชาตแิ ละกลน่ิ ของยาดีขนึ้ ทําใหร บั ประทานไดงาย 2. วธิ กี ารเผา จื้อ วิธีการเผา จือ้ แบง เปน หลายประเภท ทุกประเภทมีการศึกษาวิจัยและถายทอด องคค วามรทู ่ีไดตอคนรุน ถดั ไป วธิ ีการเผาจ้อื สามารถอธิบายไดในเชิงวิทยาศาสตรอยางเปน ระบบ มคี วามสมบูรณ สะดวกตอ การศึกษา และสามารถนาํ ไปประยกุ ตใชไ ดจรงิ

Page 31 การเผาจอ้ื แบงเปน 5 ประเภท ดังนี้ (1) การเผาจือ้ แบบเหลยก ง 17 วิธี (雷公炮炙十七法 เหลยก งเผาจื้อสือชี ฝา) มีดงั น้ี 1) การปง ไฟ (炮 เผา ) หมายถึงการนําตวั ยาใสในไฟที่คุกรุนอยูจนกระท่ังตัวยา ดาํ เกรียม ปจจบุ นั หมายถงึ การใชว ธิ ีผัดตัวยาจนดําเกรียมเล็กนอย เชน การคั่วหรือปงขิง หรืออาจใชทรายมาผัดรวมกับตวั ยาดว ยความรอนสงู จนพองออก 2) การลนไฟ (爁 เจยี น) หมายถึงการใชค วามรอนยางตัวยา เชน กูเซวฺยปู (骨碎补) ใชวธิ ลี นไฟเพอ่ื กําจดั ขน 3) การเผาไฟ (煿 ปว ) หมายถึงการใชไฟเผาตวั ยาเพื่อทาํ ใหเปลือกแตกหรือ ระเบิดออก มกั ใชก ับตวั ยาจําพวกท่ีมเี ปลอื กแขง็ 4) การผัดโดยใชส ารปรุงแตง (炙 จ้อื ) หมายถงึ การใชย าหรอื สารปรงุ แตง (辅 料 ฝเู ลย่ี ว) คลกุ เคลากบั ตวั ยาแลว ผัดจนแหง หรอื คอย ๆ เติมสารปรุงแตงเวลาผัด แลว ผดั จนแหงกไ็ ด 5) การหมกดวยเถาไฟ (煨 เวย) หมายถงึ การนาํ ตัวยาฝงใสเถาถา นที่ยังมีไฟ คโุ ชนจนกระท่ังตัวยาสุก ปจ จบุ ันอาจใชกระดาษชืน้ ๆ มาหอตัวยากอนแลวฝงในเถาถาน วธิ ีนีเ้ ปนวธิ ใี หความรอนเพือ่ ขจัดน้ํามนั บางสวนออก 6) การผัด (炒 เฉา) เตรียมโดยนําตัวยาใสในภาชนะตั้งบนเตาไฟแลวผัด โดยมกี ารกาํ หนดระดบั การผัดตัวยา เชน ผัดพอใหมีสีเหลือง ผัดใหเกรียม หรืออาจใชฝู เลย่ี วมาผดั รว มกันกไ็ ด เชน ใชราํ ขา วสาลี หรือเหลา วธิ กี ารนี้จดั เปนวธิ พี นื้ ฐานทใ่ี ชบอย 7) การสะตุ (煅 ตว น) หมายถึงการนําตัวยาวางลงบนภาชนะท่ีมีความรอน แลว ใชความรอนเผาตัวยา ใชกับตัวยาที่มีเปลือกแข็ง เชน เปลือกหอย หรือแรธาตุ ใน บางคร้ังเมื่อสะตุเสร็จแลวจะพรมฝเู ล่ยี วลงไป การสะตุจะทาํ ใหคณุ สมบตั ิของตวั ยาเกดิ การ เปลยี่ นแปลง

Page 32 8) การเคีย่ ว (炼 เลยี่ น) หมายถงึ การใชไฟในการเคย่ี วตวั ยาเปน เวลานาน ๆ เชน การเค่ยี วน้ําผ้งึ ใหเ ขม ขน 9) การประสะ (制 จอ้ื ) หมายถึงการฆาฤทธ์ยิ าเพ่ือกําหนดใหฤทธิ์ของตัวยา คอ นไปทางใดทางหนึ่ง เชน การประสะอูโถว (乌头 โหราเดือยไก) ดวยนํ้าผ้ึง การประสะ โฮวผอ (厚朴) ดว ยนํ้าขงิ การประสะตาหวง (大黄 โกฐนํ้าเตา ) ดว ยเหลา เปนตน 10) ขนาด (度 ต)ู หมายถึงการกําหนดขนาดใหญ-เล็ก ยาว-สั้น บาง-หนา ของตวั ยา เชน หวงฉิน (黄芩) ตองยาว 3 นิ้ว หรือ ตี้กูผ ี (地骨皮) ยาว 1 ฟตุ ปจ จุบัน การเผา จื้อไดมีการเปล่ียนแปลงจากเดิม โดยมกี ารกาํ หนดอัตราสวนของตัวยาและฝูเลี่ยวให เหมาะกบั ขนาดของตวั ยาตา ง ๆ ทใี่ ชอยา งชัดเจน และมีวิธปี ฏิบัติทเ่ี ปน มาตรฐาน 11) การบดดว ยวิธหี มุนวอน (飞 เฟย) หมายถึงการบดตัวยาใหเปนผงละเอียด มี 2 แบบ ไดแก การบดแหง และการบดรว มกับการใชนํ้า การบดแหงคือการนําตัวยามา บดเปนผงละเอยี ด สวนทเี่ บากวา จะหมุนและลอยมาติดที่ฝาครอบและรอบ ๆ ภาชนะที่บด หลงั จากน้ันจึงขดู ออกมาใช เชน เลยี่ นจื้อเซินตนั (炼制升丹) สวนการบดรวมกับการใช น้ํา จะนําตัวยาที่ไมละลายนํ้ามาบดใหละเอียดพอสมควร แลวเติมน้ําลงไป ต้ังท้ิงไวให ตกตะกอน รินนํ้าทิง้ แลว เตมิ น้ําลงไปใหม ทําซํ้าหลาย ๆ ครั้ง และแยกเก็บผงยาอยาง ประณีต นํามาตากแหง เพือ่ พรอ มใช เชน การบดชาด (水飞朱砂) 12) การสมุ ไฟ (伏 ฝ)ู หมายถึงการใชไฟมาเผาหรอื ยางตัวยาตามระยะเวลาที่ กาํ หนด โดยขน้ึ กบั วา เปนยาชนิดใด เชน ฝูหลงกาน (伏龙肝) คือดินที่อยูในเตาไฟเปน ระยะเวลานานมากมกั มฤี ทธเ์ิ ปน ดางออ น 13) การสไลดเปน แผนบางมาก (镑 ปา ง) หมายถึงการใชคมมีดมาขูดตัวยา ใหเปน แผนบางมากหรอื ใหเ ปน เสนบางมาก เพอื่ สะดวกในการปรงุ ยา 14) การทุบใหแ ตก (摋 ซา) หมายถงึ การทบุ หรือการตัดหัน่ ตัวยาโดยตองการ ใหต ัวยาแตกเปนช้นิ เล็กชิ้นนอ ย

Page 33 15) การตากแดด (煞 ซา ) หมายถงึ การนาํ ตัวยามาตากแดดใหแหง 16) การอาบแดด (曝 พู) หมายถึงการนาํ ตวั ยามาตากแดดจดั ๆ ใหแหง 17) การกล่ันเปนหยดนาํ้ คาง (露 ลู) หมายถงึ การนําตัวยามาผึ่งแดด ผ่ึงลม หรอื ตากน้ําคาง บางครงั้ จะไมใ หโ ดนแดดโดยตรง จนกระทัง่ ตกผลกึ แยกออกมา หรือขจัด สารแปลกปลอมอนื่ ที่เปน พษิ ออกไป เชน ลูจ ้อื ซกี วาซวง (露制西瓜霜) การเผา จอื้ แบบเหลยก ง 17 วิธีดงั ทไ่ี ดก ลาวมาแลวขางตน นบั เปน แบบแผนเพื่อให เหน็ ภาพรวมของพัฒนาการของการเผาจื้อในยุคปจจุบัน (2) การเผา จ้อื แบบ 3 กลุม ในสมัยราชวงศหมิง เฉินเจียหมัว (陈嘉谟) ได เขยี นตําราเกี่ยวกับการเผาจอ้ื โดยแบง วิธเี ผาจอ้ื เปน 3 กลุม ไดแ ก การเผาจื้อโดยใชน้ํา ใช ไฟ และใชน าํ้ รวมกับไฟ การแบง ลกั ษณะน้แี สดงถึงจุดเดนของการเผาจื้อ แตมีขอเสียคือ ไมไดรวมความถงึ การทาํ ความสะอาดยา การหั่นยา ปจ จุบันตาํ รายาจนี สว นใหญแบงเปน 3 กลมุ คือ การทําความสะอาดตัวยา การห่ันตวั ยา และการเผา จอื้ ตัวอยา งการทาํ ความสะอาด ตวั ยา เชน การคัด การรอ น การลา ง การขจัดสิ่งแปลกปลอม ตัวอยางการห่ัน เชน แชน้ํา หรือพรมนา้ํ หรือผา นน้ํากอ น แลวจงึ นาํ มาห่ันหรือบดเปนช้ินเล็ก ๆ สวนการเผาจื้อ เชน การผดั การผดั โดยใชฝูเล่ียว การสะตุ การนึง่ การตม การทาํ ใหเกิดผลึก การหมัก เปนตน (3) การเผาจ้อื แบบ 5 กลมุ จะทําใหการเผา จือ้ แบบ 3 กลุมมีความครบถวนทุก ดา น โดยการเพม่ิ การตกแตง ตัวยา และการแปรรปู ตวั ยาโดยวิธีอื่น ๆ นอกเหนอื จากการใช น้าํ ใชไฟ และใชน้ํารวมกับไฟ (4) การเผา จอ้ื โดยแบง ตามสว นของสมนุ ไพรทใี่ ช ในสมัยราชวงศซ ง ตําราจฺหวี ฟาง《局方》ไดกําหนดแหลง ทมี่ าของตัวยาโดยแบงเปนตวั ยาจาํ พวกโลหะ หนิ หญา ไม น้ํา ใบ ผล และในปจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจนี ไดก าํ หนดใหแบง ตามสว นท่ใี ชท ํายา เชน ตัวยาจาํ พวกก่ิงกาน ผล เมลด็ ทง้ั ตน ใบ ดอก เปลือก สัตว แรธาตตุ าง ๆ วธิ ีการแบง แบบ นีเ้ ปนประโยชนตอ การตรวจสอบแตไ มแสดงถึงทักษะและเทคนิคของการเผา จอื้

Page 34 (5) การเผา จ้อื โดยแบงตามเทคนคิ และการใชฝเู ลย่ี ว จดุ เดน ของการแบง ลกั ษณะ นม้ี ี 2 ดา นคือ 1) เนนการใชฝ เู ลี่ยวในการเผาจือ้ เชน การใชเหลา นํ้าสม น้ําผึ้ง เกลือ ขิง และน้าํ กระสายยา การใชฝูเ ล่ยี วแตล ะชนิดมีวัตถปุ ระสงคแ ตกตา งกนั และยงั มกี ารแบง ยอ ย ลงไปอีก เชน การใชเ หลา มาเผา จือ้ จะแบงยอยออกเปน ผัดดวยเหลา นึ่งพรอมเหลา ตม พรอ มเหลา ตุนพรอมเหลา เปนตน 2) เนนเทคนคิ การเผาจือ้ เชน การผัด การสะตุ การน่ึง การตม และในกระบวนการดงั กลา วยงั กลา วถึงการใชฝเู ลีย่ ว เชน เหลา นํ้าสม น้ําขิง นํ้าผึ้ง เปนตน การแบงประเภทนแี้ สดงใหเหน็ ทงั้ เทคนคิ และวตั ถุประสงคข องการเผาจื้อท่ีแทจริง จึงมกี ารนาํ มาใชในหลักสูตรการเรยี นการสอน (6) การเผา จื้อตามเภสชั ตํารับของสาธารณรัฐประชาชนจีน (Pharmacopoeia of the People’s Republic of China) ไดก ําหนดมาตรฐานการเผาจื้อ โดยกาํ หนดคํานิยาม ของวธิ ีการเตรยี มตาง ๆ ที่เปน มาตรฐานระดับชาติ ดงั นี้ 1) การทําความสะอาด นาํ สมนุ ไพรมาคดั แยกเอาสวนท่ีไมตองการออก เชน ตวั ยาบางชนิดใชเฉพาะเนือ้ ผล ไมใ ชส วนผวิ บางชนิดใชเฉพาะราก ไมใชลําตน แลวนํามา ทาํ ความสะอาด หลงั จากนั้น จงึ นาํ ไปห่นั แปรรปู โดยวธิ พี ิเศษ จาํ หนา ย หรือใชปรงุ ยา 2) การหั่น โดยท่ัวไปกอนการหั่นสมุนไพรจะตองนําสมุนไพรไปลางน้ําให สะอาด แชนํ้าสักครูในภาชนะท่ีมีฝาปด เพื่อใหสมุนไพรออนนุมและทําใหห่ันงาย ตอง กาํ หนดปรมิ าณน้ําและระยะเวลาที่ใชในการแชใหเหมาะสม และตองห่ันสมุนไพรใหมีขนาด พอเหมาะ อาจห่นั เปน แวน เปน ทอน เปนชิ้น หรือซอยเปน ชิน้ เลก็ ๆ โดยทว่ั ไปเภสัชตํารับ ของสาธารณรัฐประชาชนจีนไดกาํ หนดขนาดและความหนาของวตั ถดุ บิ สมนุ ไพรไวด ังน้ี การห่ันเปน แวน แวน บางมากจะมคี วามหนานอ ยกวา 0.5 มิลลิเมตร แวนบาง จะมีความหนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และแวนหนาจะมีความหนาประมาณ 2-4 มลิ ลเิ มตร การห่นั เปน ทอ น เปน ขอ หรือเปน ปลอ ง ความยาวประมาณ 10-15 มิลลเิ มตร การหนั่ เปนช้นิ รูปสี่เหลยี่ มตา ง ๆ ขนาดความยาวประมาณ 8-12 มลิ ลิเมตร

Page 35 การหัน่ หรือซอยเปน ช้ินเลก็ ๆ สําหรบั สมุนไพรประเภทเปลือก ขนาดความหนา ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และสมุนไพรประเภทใบ ขนาดความหนาประมาณ 5-10 มลิ ลเิ มตร นอกเหนอื จากวิธีหน่ั ดงั กลาวแลว สมุนไพรบางชนิดอาจใชวธิ บี ด หรอื ตํา หรือทุบ 3) การทําใหแ หง การเตรยี มเยาไฉแหงน้นั ควรทาํ ใหมปี รมิ าณความช้ืนต่ําท่ีสุด เพอื่ ลดการเจรญิ ของเชอื้ จลุ นิ ทรียซ ่งึ จะทาํ ใหส ารออกฤทธิ์ถูกทําลาย ขอมลู เก่ยี วกบั ปริมาณ ความชน้ื ทเ่ี หมาะสมของเยา ไฉแตละชนิดอาจหาไดจ ากเภสัชตาํ รับ พืชสมนุ ไพรสามารถทําใหแหง ไดหลายวธิ ี ไดแ ก การผ่ึงในท่ีรมที่อากาศถายเทดี มรี มเงาบงั ไมใ หร บั แสงอาทติ ยโดยตรง การวางเปนชั้นบาง ๆ บนแผงตากในหองหรือในอาคาร ทีก่ รุดว ยมงุ ลวด การตากแดดโดยตรง การทําใหแหงในเตาอบ หองอบ หรือโดยเคร่ือง อบแหงพลงั แสงอาทติ ย การทําใหแ หงดวยความเย็น ถาเปนไปไดใหควบคุมอุณหภูมิและ ความชื้นเพอื่ หลกี เลี่ยงการสลายตวั ของสารสําคัญทเ่ี ปน สารออกฤทธ์ิ วิธกี ารและอุณหภมู ิที่ ใชใ นการทาํ แหงอาจมีผลกระทบอยางมากตอคณุ ภาพของเยา ไฉ ดังน้ัน การตากในท่ีรมจะ เปน วธิ ที ีด่ ีกวา เพือ่ รักษาหรอื ลดการจางของสีของใบและดอกใหนอยที่สุด และควรใชอุณหภูมิ ต่าํ ในกรณีที่เยาไฉมีสารที่ระเหยได นอกจากนน้ั ควรมกี ารบนั ทึกสภาวะที่ใชในการทําใหแ หง ในกรณขี องการผง่ึ ใหแหงในทีโ่ ลง ควรแผเยาไฉเปนช้นั บาง ๆ บนแผงตาก และ หมัน่ คนหรือกลบั บอย ๆ เพือ่ ใหอ ากาศถา ยเททัว่ ถงึ แผงตากควรจะอยหู างจากพน้ื มากพอ สถานทต่ี ากวตั ถุดิบตอ งกนั ไมใ หแมลง หนู นก สัตวเลย้ี งเขา ถึงได 4) การแปรรูปโดยวธิ เี ฉพาะ กระบวนการแปรรูปโดยวธิ ีเฉพาะของสมุนไพร โดยทั่วไปจะมีการใชไฟเขามาเกี่ยวของ และเปน วิธที ่ีใชกนั มาก ไมวา จะผัดหรือสะตุ ตองเลือกใชระดบั ไฟทเ่ี หมาะสม ซ่ึงจะมีผลตอ การรักษา ตวั อยางผลของการแปรรูปโดยวิธีเฉพาะทม่ี ีตอผลการรักษา เชน กูหยา (谷芽 ขาว) ถา ใชกระตุนการทาํ งานของมาม ชวยทําใหเจริญอาหารดีข้ึน จะตองนําไปผัดกอนใช ไปจู (白术) หากใชดิบจะมีสรรพคุณเสริมชี่ บํารุงมาม แตฤทธ์ิคอนขางแรง เมื่อ

Page 36 รบั ประทานแลวจะทําใหท องอืด จงึ ตอ งนํามาผัดใหเกรียมกอนใช นอกจากจะชวยเสริมช่ี และบาํ รงุ มามแลว ยงั ทาํ ใหไมเ กดิ อาการทองอดื สาํ หรับตัวยาประเภทเมล็ดหรือผลเล็ก ๆ ตอ งนาํ มาผัดกอ นใช เพอ่ื ใหม ีกลนิ่ หอมและเมอ่ื นาํ มาตมจะทาํ ใหสารสาํ คัญละลายนา้ํ ออกมา งา ย ตวั ยาทเี่ ปนยาเย็นเม่ือนาํ มาผดั จะทําใหฤ ทธ์ขิ องยาไมแรงเกนิ ไป เปนตน การแพทยแ ผนจนี ไดกาํ หนดกระบวนการแปรรปู โดยวธิ เี ฉพาะของสมนุ ไพร ดังนี้ การผัด (炒制法 เฉาจ้อื ฝา) แบงเปน 2 ประเภท คือ การผัดธรรมดา และ การผดั โดยใชร าํ ขา วสาลี (ก) การผัดธรรมดา (清炒 ชงิ เฉา) หมายถึงการนาํ เยาไฉท่สี ะอาดใสใ นภาชนะ ทเ่ี หมาะสม ผดั โดยใชร ะดบั ไฟออ น ๆ จนกระทั่งไดตัวยาที่มีลักษณะตรงตามขอกําหนด นําออกจากเตา แลวตั้งทิ้งไวใหเย็น หากตองการผัดจนกระทั่งไหมเกรียมใหผัดโดยใช ระดับไฟแรง ผดั จนกระท่ังผิวนอกเปน สนี าํ้ ตาลและรอยแตกเปน สีเขม นาํ ออกจากเตา แลว ตั้งทง้ิ ไวใหเ ย็น (ข) การผดั โดยใชร ําขา วสาลี (麸炒 ฝเู ฉา ) หมายถงึ การนําราํ ขาวสาลใี สล งใน ภาชนะทีเ่ หมาะสม แลวใหความรอ นจนกระทั่งมคี วันออกมา เติมเยาไฉที่สะอาดลงไป คน อยา งรวดเร็วจนกระทั่งผวิ ของตวั ยาเปน สเี หลืองเขม นาํ ออกจากเตา แลวรอนเอารําขาวสาลี ออก โดยทั่วไปใชราํ ขา วสาลี 10 กโิ ลกรัม ตอสมนุ ไพร 100 กโิ ลกรมั การค่ัว (烫制法 ทงั่ จือ้ ฝา) หมายถึงการนาํ ทรายท่สี ะอาดหรือเปลือกหอยที่ บดเปนผงใสในภาชนะทีเ่ หมาะสม แลวใหความรอ นทอี่ ุณหภูมิสูง เติมเยาไฉท่ีสะอาดลงไป คนอยางสมา่ํ เสมอ จนกระท่งั ตวั ยากรอบ นําออกจากเตา รอนเอาทรายออก ตั้งทง้ิ ไวใหเ ยน็ การสะตุ (煅制法 ตว นจ้ือฝา ) แบง เปน 2 ประเภท คือ การสะตุแบบเปด และ การสะตุแลว จมุ ในของเหลวท่ีกาํ หนด (ก) การสะตุแบบเปด (明煅 หมิงตวน) หมายถึงการนาํ เยาไฉท่สี ะอาดมาทุบ ใหแ ตกเปน ช้นิ เลก็ ๆ แลว นําไปวางบนเปลวไฟที่ไมมคี วนั หรอื ใสใ นภาชนะทเ่ี หมาะสม สะตุ

Page 37 จนกระทงั่ ตัวยากรอบ เปราะ หรอื รอ นแดง จากนั้นนําออกจากเตา ตั้งทิ้งไวใหเย็น แลวบด เปน ผงละเอียด สาํ หรับตัวยาประเภทเกลอื อนินทรียท่ีมีน้ําผลึก ไมจําเปนตองสะตุจนรอน แดง แคทาํ ใหนาํ้ ผลกึ ระเหยออกอยา งสมบรู ณก ็พอ (ข) การสะตแุ ลวจุมในของเหลวท่กี ําหนด (煅淬 ตว นเชฺวย) หมายถงึ การนํา เยา ไฉทส่ี ะอาดมาสะตจุ นกระทั่งตัวยารอนแดง แลวนําไปจุมลงในของเหลวที่กําหนดเพ่ือ ลดอณุ หภูมจิ นกระท่ังตวั ยากรอบ เปราะ นาํ ตัวยาไปทาํ ใหแ หง บดเปนผงละเอียด การเผาใหเ ปนถา น (制炭法 จื้อทั่นฝา) หมายถึงการเผาสมุนไพร แตตอง ระวังไมใ หเปนข้ีเถา หากเปนการเผาโดยวิธีผัด ใหใสเยาไฉที่สะอาดลงในภาชนะท่ีรอน แลวผดั โดยใชร ะดับไฟแรง จนกระทั่งผิวนอกของตัวยามีสีเขม และเนื้อในเปล่ียนเปนสี เหลอื งเขม พรมนํา้ เล็กนอ ย เอาออกจากเตา แลว นําไปตากแหง หากเปนการเผาโดยวิธีสะตุ ใหใ สเ ยา ไฉทสี่ ะอาดลงในภาชนะสาํ หรับสะตทุ มี่ ีฝาปดมิดชดิ อบตวั ยาใหทั่ว ตั้งท้ิงไวใหเย็น แลวเอาตัวยาออกมาใช การนง่ึ (蒸制法 เจิงจ้อื ฝา) หมายถึงการนําเยาไฉท่สี ะอาดมาคลุกเคลากับ ฝูเ ล่ยี วชนิดของเหลวใหเขา กนั นาํ ไปใสในภาชนะน่ึงที่มฝี าปด มิดชิด น่ึงจนกระทั่งฝูเล่ียว แทรกซึมเขาในเนือ้ ตวั ยา แลวนาํ ไปตากแหง การตม (煮制法 จูจ ือ้ ฝา) หมายถงึ การนาํ เยาไฉท่ีสะอาดมาตมกับนํ้าหรือฝูเล่ียว ชนิดของเหลว จนกระทง่ั น้ําหรอื ฝเู ลีย่ วแทรกซึมเขาเน้ือในตวั ยา แลว นําไปตากแหง การตนุ (煨制法 เวยจ ื้อฝา) หมายถงึ การนําวตั ถุดิบสมุนไพรท่ีสะอาดมาตุน กบั ฝเู ลย่ี ว ชนดิ ของเหลวในภาชนะตุนท่ีมีฝาปด มิดชดิ ตุนจนกระท่งั ฝเู ลย่ี วซึมเขา ไปในตวั ยา อยา งท่ัวถงึ นําออกมาทาํ ใหแ หง การลวกดวยนํ้าเดอื ด (燀法 ตันฝา ) หมายถึงการใสเยาไฉที่สะอาดลงในนํ้า เดอื ด คนสกั ครแู ลวนาํ สมุนไพรขึ้นจากน้าํ เชน สมุนไพรบางชนิดที่เปลือกเมล็ดช้ันนอกมี ลกั ษณะยนและแหง จะตองใสน ้ําเดือดคนจนกระทงั่ เปลอื กเมล็ดพองตัวและมีผิวเรียบจน

Page 38 สามารถแยกออกมาได จากนน้ั นําไปแชใ นนํา้ เย็นเพอ่ื ลอกเอาเปลือกเมลด็ ชน้ั นอกออก แลว นาํ ไปตากแดด การแปรรปู โดยใชเ หลา (酒炙法 จ่วิ จื้อฝา) หมายถึงกระบวนการแปรรูปโดย ใชเ หลาเปน ฝูเ ล่ยี ว ปกตจิ ะใชเหลา เหลือง วธิ กี ารแปรรูป เชน การผดั การตนุ การน่งึ เปนตน การแปรรปู โดยใชน้าํ สม (醋炙法 ชูจื้อฝา ) หมายถงึ กระบวนการแปรรูปโดย ใชน ํา้ สม เปน ฝเู ล่ยี ว ปกตนิ าํ้ สม ทีใ่ ชม กั ทาํ มาจากการหมกั กล่ันขาวเจา ขาวสาลี ขาวเกาเหลียง หรอื หวั เหลา วธิ กี ารแปรรปู เชน การผดั การตม การนง่ึ เปนตน การแปรรูปโดยใชนํ้าเกลือ (盐炙法 เอ๋ียนจื้อฝา) หมายถึงกระบวนการแปรรูป โดยใชน ้ําเกลือเปนฝเู ลี่ยว วิธกี ารแปรรูป เชน การผดั การนง่ึ เปนตน การผัดดวยนํ้าขิง (姜炙法 เจียงจอื้ ฝา) หมายถึงการผัดเยาไฉท่ีสะอาดโดย ใชนํา้ ขงิ เปน ฝูเ ลยี่ ว เตรียมโดยเติมน้าํ ขงิ ลงบนเยา ไฉทีส่ ะอาด คลุกเคลา ใหเ ขากัน นําไปผัดใน ภาชนะทเี่ หมาะสมดวยไฟออน ๆ จนกระทั่งนา้ํ ขงิ ซมึ เขาในตัวยา นําออกมาตากแหง ปกติใช ขิงสด 10 กโิ ลกรมั หรือ ขงิ แหง 3 กโิ ลกรมั ตอสมนุ ไพร 100 กิโลกรมั การผดั ดว ยนํา้ ผึ้ง (蜜炙法 ม่จี อื้ ฝา) หมายถึงการผัดเยาไฉที่สะอาดโดยใช น้าํ ผง้ึ เปน ฝเู ลีย่ ว เตรยี มโดยนําน้ําผึ้งบริสุทธ์ิมาเจือจางดวยน้ําตมในปริมาณท่ีเหมาะสม ใสเ ยา ไฉที่สะอาด แลวคลุกเคลาใหเขากัน หมักไวสักครูเพ่ือใหน้ําผ้ึงซึมเขาไปในตัวยา จากน้ันนําไปผดั ในภาชนะทเี่ หมาะสมโดยใชไฟออน ๆ ผัดจนกระท่ังมีสีเหลืองเขมและไม เหนยี วติดมือ นําออกจากเตา แลว ตั้งท้งิ ไวใหเ ย็น ปกติใชน้ําผ้ึงบริสุทธ์ิ 25 กิโลกรัม ตอ สมุนไพร 100 กโิ ลกรมั การเตรยี มผงสีขาวเหมอื นนํา้ คา งแขง็ (制霜法 จือ้ ซวงฝา) หมายถงึ การขจดั นํา้ มันออกจากสมนุ ไพรโดยการบดเยาไฉท่ีสะอาดจนมีลักษณะเหมือนแปงเปยก แลวให ความรอนโดยใชไ ฟออ น ๆ จากนน้ั บีบน้าํ มันในสมนุ ไพรออกสว นหนึง่ จนกระทั่งไดตัวยาท่ี มลี กั ษณะเปนผงสขี าวละเอยี ด

Page 39 การบดรวมกับการใชน้าํ โดยวธิ หี มนุ วอ น (水飞法 สุย เฟยฝ า ) หมายถึงการ บดสมุนไพรใหเ ปนผงละเอียดพอควร แลว เติมนํา้ ลงไปบดหมุนวนพรอมกันไปเร่ือย ๆ ต้ัง ทง้ิ ไวใ หตกตะกอน สารทีไ่ มตองการหรอื สงิ่ แปลกปลอมจะลอยข้ึนมาอยูบนผิวนํ้า คอย ๆ ชอ นออกแลวเทน้ําทง้ิ จากนัน้ เตมิ นา้ํ ลงไปบดกวนใหม ทําซํ้าหลาย ๆ ครั้งจนเหลือแตตัว ยาท่สี ะอาดนอนกน จึงนํามาตากแหงพรอ มใช ผลของการเผา จอ้ื ตอองคประกอบทางเคมขี องสมุนไพร องคประกอบทางเคมขี องสมุนไพรคือพื้นฐานของสรรพคุณทางยาของสมุนไพร โดยท่ัวไปสมุนไพรมีองคประกอบทางเคมีที่ซับซอน กระบวนการเผาจื้อมีผลตอการ เปลีย่ นแปลงองคประกอบทางเคมีในสมุนไพร สารเคมีบางชนิดอาจมีปริมาณเพิ่มข้ึน แต บางชนิดอาจมีปริมาณลดลงหรือหายไป ดังน้ันการศึกษาวิจัยองคประกอบทางเคมีของ สมนุ ไพร จงึ ชวยใหเ ขาใจกระบวนการเผาจอื้ วธิ ีการเผาจ้ือตาง ๆ มีหลักการและเหตุผลที่ ชดั เจน และมีผลตอองคป ระกอบทางเคมีในสมุนไพร ดังนี้ 1. ผลของการเผาจอื้ ตอสารกลุมแอลคาลอยด แอลคาลอยด (alkaloids) เปนกลมุ สารอินทรยี ท ่มี ีไนโตรเจนอยูในโมเลกุล อาจ ไดจากพืชหรอื สตั ว มีคุณสมบัตเิ ปน ดาง มสี ูตรโครงสรา งคอนขางซับซอน มีฤทธ์ิทางเภสัช วทิ ยาทเ่ี ดน ชัด แอลคาลอยดรูปอิสระเปนสารประกอบท่ีละลายนํ้าไดยาก ละลายไดดีใน แอลกอฮอลและคลอโรฟอรม แตเ มอื่ นาํ มา ทําปฏิกิรยิ ากับกรดจะไดเ กลอื ของแอลคาลอยด ซงึ่ ละลายไดดใี นน้าํ เนื่องจากเหลา หรือแอลกอฮอลม ีคุณสมบตั ิเปนตัวทําละลายที่ดี ตวั ยาสมนุ ไพรจีน สวนมากจะสกดั ดวยเหลา ซ่งึ สารกลมุ แอลคาลอยดสว นมากละลายไดด ีในเหลา ดังน้ันการ สกดั ตัวยาโดยการแชหรอื หมกั กบั เหลา จึงชวยทาํ ใหป ระสิทธิผลการรักษาดขี ึ้น น้ําสม มคี ณุ สมบตั เิ ปน กรดออน สามารถทําปฏิกริ ยิ ากับสารกลุมแอลคาลอยดได เปนเกลอื แอซีเทต ซ่ึงละลายไดดีในนํ้า ทําใหตัวยาท่ีเปนสารกลุมแอลคาลอยดละลายน้ํา

Page 40 ออกมาไดมากข้ึน เชน เหยียนหูส่ัว (延胡索) มีสาร corydalis B และ dehydro- corydalis A ซงึ่ มฤี ทธ์แิ กป วดและทําใหส งบ สารดงั กลา วละลายน้ําไดยาก เมอื่ นาํ มาผัดกับ นํ้าสม จะทาํ ใหส ารเหลานอี้ ยูในรูปของเกลือแอซีเทตซ่ึงละลายนํ้าไดดี ตัวยาจึงละลายน้ํา ออกมาไดม าก ทาํ ใหมีฤทธิ์แกปวดดขี น้ึ แอลคาลอยดใ นพชื หากอยใู นรูปเกลือของกรดอินทรีย หรือกรดอนินทรีย เชน tannate, oxalate จะละลายนํ้าไดไมดี เมื่อนํามาเผาจ้ือดวยน้ําสมจะเปลี่ยนไปอยูในรูป เกลอื แอซเี ทตซง่ึ ละลายไดดใี นน้าํ ในขณะทแ่ี อลคาลอยดกลุม quaternary เชน berberine ซึ่งพบในหวงเหลยี น (黄连) ละลายน้าํ ไดด อี ยูแลว จึงไมควรลา งหรือแชส มุนไพรในน้าํ นาน เกนิ ไป เพราะจะทําใหสูญเสียแอลคาลอยดได กระบวนการเผา จอื้ โดยใชค วามรอนจะมีผลตอสารกลมุ แอลคาลอยด เพราะทําให สารดังกลา วไมเสถยี รหรอื อาจเกดิ การแยกสลายดวยน้าํ การเผา จื้อดวยวิธีการน่ึง การตม การผัด การอบ หรอื การเผา จะทาํ ใหสูตรโครงสรา งของสารกลมุ แอลคาลอยดเ ปลี่ยนไป ซ่ึง จะมผี ลในการกาํ จัดพิษหรือเพมิ่ ฤทธิไ์ ด เชน สาร aconitine ในอูโถว (乌头 โหราเดอื ยไก) เมอ่ื ไดรบั ความรอ นสงู จะทาํ ใหสารแยกสลายดวยนํ้า ไดสาร hypaconitine และ aconine ทําใหค วามเปน พษิ ลดลง สําหรับสาร strychnine เมื่อไดรับความรอนจะเปลี่ยนเปนสาร isostrychnine ทําใหความเปนพษิ ลดลงเชนเดียวกัน ตัวยาบางชนิด เชน สือหลิวผี (石 榴皮 เปลอื กผลทับทิม) หลงตา นเฉา (龙胆草) ซานโตว เกิน (山豆根) สารแอลคาลอยด ในตัวยาเหลา นีซ้ ่ึงลว นมฤี ทธิท์ างยา เมอื่ ไดร บั ความรอ นจะทําใหฤทธ์ขิ องยาลดลง ดังน้ันใน กระบวนการเผาจือ้ ตวั ยาเหลา นจ้ี ึงควรหลกี เลยี่ งการใชค วามรอ น เพ่อื ไมใหส ูญเสียฤทธ์ิของยา สวนท่ใี ชทํายาแตกตา งกันจะมอี งคป ระกอบของสารกลุมแอลคาลอยดและฤทธ์ิ ของยาแตกตางกนั เชน ลําตนหมาหวง (麻黄) มสี าร ephedrine และ pseudoephedrine ในปรมิ าณคอ นขา งมาก ซ่ึงสารดังกลา วมีฤทธ์ิเพ่ิมความดันโลหิต แตแอลคาลอยดในราก

Page 41 หมาหวงมีฤทธลิ์ ดความดันโลหติ ดงั นนั้ การเลอื กสว นของพืชทใี่ ชท ํายาและการเผาจือ้ ตัวยา แตละชนิด จึงตองระบรุ ายละเอียดใหช ดั เจน ท้ังนีเ้ พื่อใหก ารใชย าไดผลตามตองการ 2. ผลของการเผา จอื้ ตอ สารกลมุ กลัยโคไซด กลัยโคไซด (glycosides) เปนสารประกอบอินทรียท่ีเกิดจาก aglycone (หรือ genin) จับกับสวนที่เปนน้ําตาล (glycone) พบไดท่ัวไปในธรรมชาติ พบไดมากในพืช ช้ันสูง พบไดนอยในพืชชั้นตํ่า โดยทั่วไปกลัยโคไซดละลายไดดีในน้ําและแอลกอฮอล ละลายไดนอยในอเี ทอรและเบนซีน แตก ลัยโคไซดบางชนดิ ละลายไดในคลอโรฟอรมและ เอทลิ แอซเี ทต ความสามารถในการละลายจะดหี รือไมขึ้นกบั จํานวนโมเลกุลของน้ําตาลท่ีมี ในโครงสรา ง หากมจี ํานวนมากจะละลายนํา้ ไดดี การเผา จ้ือโดยใชเหลาเปนฝูเลี่ยวจะชวย ใหกลัยโคไซดใ นสมนุ ไพรละลายไดด ขี ้นึ การแชตัวยาที่มีกลัยโคไซดในนํ้านานเกินไป จะ ทาํ ใหกลยั โคไซดเกิดการแยกสลายดวยน้ําและมีปริมาณลดลง เชน ตาหวง (大黄 โกฐ นา้ํ เตา) กันเฉา (甘草 ชะเอมเทศ) เปน ตน กลยั โคไซดเมอื่ อยูภายใตค วามชนื้ และอุณหภูมิที่เหมาะสม เอนไซมในสมุนไพร จะเรง ปฏกิ ริ ิยายอยสลายกลยั โคไซด ทาํ ใหปรมิ าณสารออกฤทธลิ์ ดลง ซึ่งมีผลตอ การรักษา โรค เชน กลยั โคไซดในขูซิ่งเหริน (苦杏仁) หวงฉิน (黄芩) ภายหลังการเก็บเกี่ยว สมุนไพรแลวหากเก็บไวนาน เอนไซมจะเรงปฏิกิริยาการยอยสลายกลัยโคไซด amygdalin ในขซู งิ่ เหริน และ baicalin ในหวงฉิน ทําใหประสทิ ธิผลของตวั ยาลดลง สารมี สใี นสมุนไพรจําพวกดอก เชน anthocyanins ในกลบี ดอกไมจะถูกเอนไซมเรงปฏิกริ ิยาการ เปลย่ี นสแี ละการหลดุ รวงของกลบี ดอก ดังนนั้ เพือ่ รักษาสรรพคุณของตัวยาไว โดยทั่วไป ตวั ยาทมี่ ีสว นประกอบของสารกลุมกลัยโคไซดม กั ใชว ิธีตากแดดจัด ๆ หรือผดั หรอื น่ึง หรอื อบ ซึง่ จะชวยยับยงั้ การทํางานของเอนไซมใ นสมุนไพรและปองกนั มิใหส ารกลุมกลยั โคไซด เกิดการแยกสลาย การเผาจื้ออาจทําใหสารกลุมกลัยโคไซดแยกสลายใหปริมาณนํ้าตาล เพิม่ ขึน้ เชน ตีห้ วง (地黄 โกฐข้แี มว) เมอื่ ผานกระบวนการเผาจื้อโดยใชเหลาเปนฝูเลี่ยว

Page 42 จะไดสูต้หี วง (熟地黄 โกฐข้แี มวนึง่ เหลา ) ซึง่ มคี วามหวานเพิ่มขน้ึ นอกจากน้ีสารกลมุ กลัย โคไซดจ ะแยกสลายดว ยน้าํ ในสภาพท่ีเปน กรด ทําใหปริมาณลดลง และเพ่ิมความซับซอน ขององคป ระกอบทางเคมใี นสมนุ ไพร ดงั นนั้ หากสารออกฤทธใิ์ นตวั ยาเปน สารประเภทกลัย โคไซด มักไมใชน้าํ สม เปน ฝเู ล่ยี วในการเผา จอ้ื เพราะจะทําใหอัตราการแยกสลายของสาร กลมุ กลัยโคไซดเ พ่มิ ข้นึ ยกเวนเปน วิธเี ผาจ้ือที่แพทยผรู กั ษาไดก ําหนดไว 3. ผลของการเผาจอ้ื ตอสารกลมุ น้าํ มนั หอมระเหย น้ํามันหอมระเหย (volatile oils) มีคุณสมบัติระเหยไดงายท่ีอุณหภูมิหอง โดยทั่วไปนํ้ามันหอมระเหยไดจากการกล่ัน มีคุณสมบัติเบากวาน้ํา ละลายไดดีในตัวทํา ละลายประเภทสารอินทรียและไขมัน และสามารถละลายไดอยางสมบูรณดวย 70% แอลกอฮอล แตล ะลายนา้ํ ไดนอ ยมาก สรรพคุณในการรักษาโรคของนํ้ามันหอมระเหยใน สมุนไพร เชน ขับลม ฆา เช้อื บรรเทาอาการปวดทอง เปน ตน นาํ้ มันหอมระเหยในสมุนไพรมักเปล่ยี นไปอยูในรปู ของอนุมูลอิสระไดงาย ทําให เสอื่ มสภาพ เชน จิงเจี้ย (荆芥) ภายหลังการเก็บเกี่ยวจึงตองรีบหั่นทันที ไมควรตั้งทิ้งไว นานเกินไป เพราะจะเกิดการบูดเปรย้ี วและเสยี คณุ ภาพไป แตส มุนไพรบางชนิดตองหมักไว ระยะหนึ่ง จึงจะเกิดนํ้ามันหอมระเหยข้ึน เชน โฮวผอ (厚朴) สวนสมุนไพรท่ีมีนํ้ามันหอม ระเหย ไมควรใหค วามรอ นนานเกินไป เพราะจะทาํ ใหป ริมาณนาํ้ มนั หอมระเหยลดลง อยางไรก็ตาม สมนุ ไพรบางชนิดจําเปนตองผานกระบวนการกําจัดนํ้ามันหอมระเหย ออกกอนนาํ มาใชทํายา เพือ่ ใหไดผลการรกั ษาตามตองการ เชน หมาหวงผัดนํ้าผึ้ง ความรอนที่ ใชใ นการผัดนํ้าผ้งึ จะทําใหน้าํ มันหอมระเหยในหมาหวงลดลงมากกวารอยละ 50 แตไมมี ผลกระทบตอสาร ephedrine ซึ่งมฤี ทธร์ิ ะงบั อาการหอบ และยังไดนํ้าผ้ึงมาเสริมฤทธ์ิการ รักษาอาการไอหอบไดดวย อกี ตวั อยา งคือ ชังจู (苍术 โกฐเขมา) มีปริมาณน้าํ มันหอมระเหย คอนขางมาก มคี ุณสมบัติกระตนุ ใหเ กดิ การเปลย่ี นแปลง มีรายงานการวิจัยพบวา วิธีการ เผา จอ้ื มีผลตอปริมาณนาํ้ มันหอมระเหย หากนําชังจูมาเผาใหเปนถานโดยวิธีผัด ปริมาณ

Page 43 นา้ํ มันหอมระเหยจะลดลงรอ ยละ 80 หากผดั จนเกรียมจะลดลงรอยละ 40 หากนํามาปง หรอื ผดั กับดินฝูหลงกาน ปริมาณนํ้ามันหอมระเหยจะลดลงรอยละ 20 หากผัดกับน้ําสม เหลา เกลือ นํ้าซาวขา ว หรือราํ ขาวผัด ปริมาณนํ้ามันหอมระเหยจะลดลงประมาณรอยละ 10-15 ดังน้ัน จึงควรเลือกวิธีการเผา จ้อื ตามความตองการของแพทยผรู กั ษา การเผา จือ้ ไมเพยี งสง ผลตอการเปลยี่ นแปลงของปริมาณนํ้ามันหอมระเหย แตยัง ทําใหคณุ ลักษณะของตวั ยาเปลยี่ นไปดวย เชน ทําใหตวั ยามสี ีเขม ขน้ึ เกิดสารเคมีชนิดใหม บางชนิดอาจเปลี่ยนแปลงฤทธิ์ทางเภสชั วิทยา เปนตน ตัวอยางเชน จิงเจี้ย (荆芥) เมื่อ นํามาเผาใหเ ปนถานโดยวธิ ผี ัด จะทําใหม อี งคประกอบทางเคมีในนาํ้ มันระเหยเกิดข้ึนใหม 9 ชนดิ และนาํ้ มันหอมระเหยดังกลา วมีฤทธ์หิ ามเลือดได หากนําเน้ือในโรวโตวโคว (肉豆 蔻 เมล็ดจนั ทนเทศ) มาคั่วกบั ราํ ขา วสาลี จะขจดั นาํ้ มันบางสวนออกไป ทําใหฤทธิ์หลอล่ืน และกระตุนลาํ ไสน อ ยลง แตมฤี ทธิช์ วยทาํ ใหลาํ ไสแ ขง็ แรงและระงับอาการทองเสียไดดีข้ึน สมุนไพรบางชนดิ เชน หรเู ซยี ง (乳香) มนี า้ํ มันหอมระเหยที่ทําใหเกิดการระคายเคืองตอ กระเพาะอาหารคอนขางมากและทาํ ใหอ าเจียน ดงั น้ันหากใชดิบซึง่ สวนใหญมักจะใชเปนยา ภายนอก แตเ ม่อื ผานการเผา จอื้ แลว นํา้ มันหอมระเหยจะมีปรมิ าณลดลง ทาํ ใหความเปนพิษ และอาการไซท องลดลง จงึ สามารถใชร บั ประทานได 4. ผลของการเผา จื้อตอ สารกลมุ แทนนิน แทนนิน (tannins) เปนสารจาํ พวก polyphenolic compounds ทม่ี โี มเลกุลใหญ และมโี ครงสรา งที่ซบั ซอ น พบไดทั่วไปในพืชเกือบทุกชนิด มักนํามาใชเปนยาฝาดสมาน หา มเลอื ด ยับยง้ั อาการทองเสยี ยับย้ังเช้อื จุลินทรีย ปกปองเย่อื บผุ ิว บางครั้งนํามาใชเปน ยาแกพ ิษจากแอลคาลอยดห รือโลหะที่เปน พษิ สารกลุมแทนนินละลายไดด ีในน้ําโดยเฉพาะในน้ํารอ น ดงั นั้นหากสารออกฤทธ์ิใน ตัวยาเปนสารประเภทแทนนิน เชน ตี้ยฺหวี (地榆) หูจาง (虎杖) สือหลิวผี (石榴皮 เปลอื กผลทับทมิ ) เปน ตน จะตอ งระมัดระวงั กระบวนการเผา จือ้ ทมี่ กี ารใชนา้ํ

Page 44 นอกจากนีส้ ารประเภทแทนนินยงั ไวตอการเกิดปฏกิ ริ ิยากับออกซิเจน หากต้ังท้ิง ไวน าน ๆ หรือถูกแดดจะถูกออกซิไดซทําใหสีเขมข้ึน เชน เมื่อหั่นปงหลาง (槟榔 หมาก สง) จะเกิดเปนสีแดงไดง าย โดยเฉพาะถา ถกู น้าํ ดาง ปฏกิ ริ ิยาจะเกดิ เร็วย่ิงขึ้น แทนนนิ เปนสารท่ที นตออุณหภูมิสูงไดดี เชน ตาหวง (大黄 โกฐนํ้าเตา) มีสาร กลุม แอนทราควิโนนกลัยโคไซด ซ่งึ มีฤทธิ์ทําใหร ะบาย เม่อื นาํ มานึ่งดวยเหลา หรือผัดเปน ถา น ปรมิ าณสารกลมุ แอนทราควโิ นนกลยั โคไซดจะลดลงอยางชัดเจน แตสารกลุมแทนนิน ในตาหวงยังคงอยู ทาํ ใหม ีฤทธริ์ ะบายลดลง แตฤ ทธใิ์ นการฝาดสมานเพิม่ ขึน้ สารประเภท แทนนนิ ในตวั ยาบางชนิดหากถกู ความรอ นนานเกินไปจะทําใหเสื่อมฤทธิ์ได เชน หากผัดตี้ยฺหวี (地榆) ดว ยอณุ หภมู ิสูงจะทําใหฤทธิ์ยับย้ังเชื้อจุลินทรียลดลง การใชความรอนจึงตอง ควบคุมอณุ หภมู ใิ หเ หมาะสม สารประเภทแทนนินจะทําปฏกิ ิรยิ ากบั เหลก็ เกิดเปนเกลือของ เหลก็ ซึ่งมีสีเขียวแกมดาํ ดังนั้น การหั่นตัวยาสมนุ ไพรที่มสี ารประเภทแทนนิน จึงตองใชมีด ท่ที าํ จากไมหรอื สแตนเลส และตองลา งสมนุ ไพรในภาชนะทีเ่ ปน ไม เปน ตน 5. ผลของการเผา จือ้ ตอสารกลมุ กรดอินทรยี  กรดอินทรีย (organic acids) เปนสารที่พบมากในพืช โดยเฉพาะในผลไมดิบ หากใกลส ุกปริมาณสารกลุมนจี้ ะลดลง กรดอนิ ทรียมีมากมายหลายประเภท เชน aliphatic carboxylic acid, aromatic acid เปนตน กรดอินทรียท่ีพบบอยในสมุนไพรจีน ไดแก formic acid, acetic acid, lactic acid, succinic acid, malic acid, tartaric acid, citric acid, oxalic acid, protocatechuic acid และ gallic acid ซงึ่ กรดอนิ ทรียม ผี ลตอ การหลอ เล้ยี งและบาํ รงุ ระบบการทํางานของรา งกาย กรดอนิ ทรยี ใ นพืชมักอยูในสภาพอสิ ระหรือจบั กบั อนุมลู ของโพแตสเซียม โซเดยี ม แคลเซยี ม แมงกานีส นิเกิล แบเรียม ไดเกลือของกรดอินทรียท่ีมีโมเลกุลเล็ก สามารถ ละลายน้ําไดดี ดงั นนั้ หากจะตองใชน้ําในกระบวนการเผา จ้ือ หามใชวิธแี ชน ํา้ ควรใชวิธีพรม นาํ้ แทนเพ่อื ปอ งกันการสูญเสยี สารกลุม กรดอินทรยี ไป การใชความรอนมีผลตอ กรดอนิ ทรยี 

Page 45 บางชนิด ในกรณีทกี่ รดอินทรยี มีปรมิ าณมากจะทาํ ใหเ กดิ การระคายเคอื งตอชองปาก หรือ เย่อื บุผวิ ในกระเพาะอาหาร ดังนนั้ สมุนไพรเหลานี้จําเปนตองใชความรอนเพื่อลดปริมาณ สารดังกลาวใหเ หมาะสมกอ นใช เชน ซานจา (山楂) หากนํามาผัดใหเกรียม กรดอินทรีย บางสว นจะถูกทําลาย ทําใหความเปนกรดลดลง ซ่ึงจะลดการกระตนุ ระบบทางเดนิ อาหาร กรดอินทรียบางชนิดจับตัวกับแอลคาลอยดไดเกลือของแอลคาลอยด ซึ่งมี สรรพคณุ ในการรกั ษาโรค ดงั นัน้ จึงมักใชน ํ้าชะเอมเทศซึง่ มีองคป ระกอบทางเคมีที่เปนกรด เปนฝูเลีย่ วในการเผาจ้อื ตัวยาทมี่ สี ารกลุมแอลคาลอยด เพ่ือเพิ่มประสิทธิผลในการรักษา เชน การเผา จ้ือหวงเหลียน เปนตน 6. ผลของการเผา จื้อตอสารกลุมไขมนั (นา้ํ มันระเหยยาก) สารประเภทไขมัน (fats) หรือนํ้ามันระเหยยาก (fixed oils) คือ กลีเซอไรดท่ีมี กรดไขมันที่เปนชนิดโมเลกุลยาว ตามปกติกลีเซอไรดของกรดไขมันชนิดไมอิ่มตัวจะมี สภาพเปนของเหลว เรยี กวา นา้ํ มนั ระเหยยาก สวนกลีเซอไรดข องกรดไขมนั ชนิดอิ่มตัวจะมี สภาพเปน ของแข็ง เรียกวา ไขมัน มกั จะพบสารประเภทไขมนั ในเมลด็ พชื ที่มสี รรพคุณชวย ระบายหรอื ทาํ ใหถ ายทอง บางชนดิ มีฤทธ์ริ ุนแรงและอาจมพี ิษ ในกรณีท่ีตองการลดปริมาณสารประเภทไขมันออกจากตัวยา สามารถใช กระบวนการเผาจือ้ โดยใชค วามรอ น การบบี หรอื คัน้ นํา้ มนั บางสวนออกไป เพ่ือปองกันการ หลอ ลืน่ ลําไสท เ่ี ปน สาเหตุทาํ ใหถา ยทอง ลดพิษหรืออาการขางเคียงของยา ทําใหการใชยา ทางคลนิ ิกมีความปลอดภยั เชน ไปจ่อื เหรนิ (柏子仁) เมื่อกําจัดนาํ้ มนั ออกไปจากสมนุ ไพร จะไดต วั ยาทมี่ ลี ักษณะเปน ผงสีขาวละเอียดเหมอื นนํ้าคางแขง็ ซึง่ มฤี ทธร์ิ ะบายลดลง เมล็ด พืชบางชนดิ เชน ปาโตว (巴豆 สลอด) มีนํา้ มนั เปนองคประกอบที่มีฤทธ์ิทําใหถาย แตมี โปรตีนท่ีเปนพษิ (toxic albumin) หากนาํ มาควั่ หรือผัด ความรอนจะทาํ ใหโปรตีนท่ีเปนพิษ ถกู ทําลายไป

Page 46 7. ผลของการเผา จ้อื ตอสารกลุมเรซิน เรซิน (resins) เปน สารประกอบซ่งึ มคี วามซบั ซอน เกดิ จากสารเคมีหลายชนิดใน พืช เชน resin acid, resin alcohol, resene และ ester เรซนิ เปนสารประกอบที่มีรูปรางไม แนนอน สวนมากมักเปราะ แตกงา ย บางชนิดอาจจะน่ิม เมอื่ เผาไฟจะหลอมไดสารท่ีใส ขน และเหนยี ว เรซนิ มสี รรพคณุ ปองกันการเนาบดู ขับเสมหะ แกอ ักเสบ ทําใหสงบ ระงับปวด ระงบั อาการเกรง็ เพ่ิมการไหลเวยี นของโลหิต ฯลฯ ปกติเรซินละลายในแอลกอฮอลไมล ะลายในน้ํา การเผาจื้อสวนใหญจึงมักใชฝูเล่ียว ทีเ่ ปนเหลา หรอื นา้ํ สม เพ่ือเพิม่ อตั ราการละลายของเรซิน สงผลใหประสิทธิผลการรักษาดี ข้ึน เชน อเู วยจ อื่ (五味子) มักเผา จอ้ื โดยใชเ หลา เปนฝูเ ล่ียว สวนหรูเซียง (乳香) และ หมั้วเหยา (没药) มกั ใชน ํา้ สมเปนฝูเล่ยี วในการเผา จอ้ื บางครงั้ การเผาจื้อโดยใชความรอนจะทําลายเรซินบางสวนในตัวยา ขึ้นอยูกับ ความตอ งการของแพทยผรู กั ษา เชน เรซินในเชียนหนิวจ่ือ (牵牛子) มีฤทธ์ิระบายและ กําจัดของเสยี ทต่ี กคาง หากนาํ มาผดั เรซินบางสวนจะถูกทําลาย ทําใหฤทธ์ิในการระบาย นุมนวลข้ึน 8. ผลของการเผาจื้อตอสารกลมุ กรดอะมิโนและโปรตนี โปรตนี (proteins) เปน สารประกอบที่มคี วามซบั ซอนและเปนองคประกอบสําคัญ ของส่ิงมีชีวติ เปนสารทมี่ โี มเลกลุ ใหญมีลกั ษณะคลา ยกาว มักละลายในนํ้าไดเปนสารละลาย แขวนตะกอน เม่อื ไดร บั ความรอ นโปรตีนจะจับตัวเปนกอนและไมละลายนํ้า หากโปรตีน ถูกยอยจะไดกรดอะมิโนซึ่งเปนสารที่จําเปนตอรางกาย เอนไซมในรางกายเปนโปรตีน เชนเดยี วกัน กรดอะมโิ นท่ีบริสุทธิ์จะเปนผลึกและละลายไดดีในน้ํา ดังน้ันตัวยาที่มีสาร กลมุ โปรตนี เปน สารออกฤทธิ์ จงึ ไมควรแชนํา้ นานเพราะจะมีผลตอ ประสิทธิผลในการรกั ษา สมนุ ไพรบางชนดิ ควรใชดิบ เชน เทียนฮฺวาเฟน (天花粉) เฟงหวางเจียง (峰 王浆 น้ํานมผ้ึง) เปนตน เนื่องจากการเผาจื้อดวยความรอนจะทําใหโปรตีนที่เปน

Page 47 สารสาํ คัญสูญเสียความเสถยี รไป และทาํ ใหโ ปรตนี จับตัวเปนกอน แตใ นกรณีที่เปนโปรตีน ทเี่ ปนพษิ ควรผา นการใหความรอ นเพอ่ื ทําลายพษิ ใหล ดลง เชน ปหมาจอื่ (蓖麻子 ละหุง ) โปรตนี บางชนิดเมือ่ ไดร บั ความรอนจะทําใหเกดิ การเปลย่ี นแปลงเปนสารประกอบ ชนิดอื่นที่มีฤทธ์ิทางยา เชน เฮยตาโตว (黑大豆 ถั่วดํา) เมื่อนํามานึ่งจะไดอนุพันธท่ีมี ไนโตรเจนเปน องคประกอบ เชน pyridine และ porphyrin มสี รรพคณุ ระงับพษิ ลดอาการ เกรง็ บรรเทาอาการคนั ยับยงั้ เชื้อจลุ ินทรยี  บรรเทาอาการภูมิแพได เมื่อโปรตีนจับกับสาร บางชนิดจะทําใหตกตะกอนได เชน กรดแทนนิก หรือเกลือของโลหะหนัก ดังนั้นจึงไม เหมาะท่จี ะเผา จ้อื รว มกบั สารประเภทแทนนนิ นอกจากน้คี วามเปนกรด-ดางก็มีผลตอความ เสถียรของโปรตนี และกรดอะมโิ นเปน อยา งมาก จงึ ตอ งมวี ิธีการเผา จือ้ ทเี่ หมาะสม ภายใตสภาวะท่ีมีปริมาณน้ําเพียงเล็กนอย กรดอะมิโนสามารถจับตัวกับมอโน แซ็กคาไรด (monosaccharides) เกิดเปนสารท่ีมีกลิ่นหอมพิเศษ เชน valine จับตัวกับ นํ้าตาล ไดสารประกอบที่มีสีนํ้าตาลดํา มีกล่ินหอม ทําใหอยากอาหาร leucine จับกับ น้าํ ตาลจะทําใหเ กิดกลิ่นขนมปง เชน เม่ือนําขาวบารเลยหรือขาวเจามาผัดจะทําใหมีกล่ิน หอม มฤี ทธิ์เสรมิ บาํ รงุ มามและชว ยยอยอาหาร เปน ตน 9. ผลของการเผา จือ้ ตอสารกลุมคารโบไฮเดรต คารโ บไฮเดรต (carbohydrates) เปน องคประกอบทางเคมที ี่สําคญั ของพชื พบได ประมาณรอยละ 85-90 เปนสวนประกอบที่สําคญั ของเซลลและเนื้อเยื่อพืช ประกอบดวย นํา้ ตาลหลายชนดิ เชน มอโนแซ็กคาไรด (monasaccharides) โอลิโกแซ็กคาไรด (oligo- saccharides) และพอลิแซ็กคาไรด (polysaccharides) เปนตน เชน ผลพลับแหงมี mannose เปนสารสําคัญที่มีสรรพคุณในการรักษาแผลในปากเด็กและชวยระบายทอง นอกจากน้ีพอลิแซ็กคาไรดในพืชยังชวยใหระบบการทํางานของรางกายดีข้ึน เชน พอลิ แซก็ คาไรดใ นเซียงกู (香菇 เห็ดหอม) มฤี ทธ์เิ สรมิ ระบบภูมิตานทานโรคและตา นมะเรง็

Page 48 นา้ํ ตาลกลุมมอโนแซ็กคาไรดและกลุมโอลโิ กแซ็กคาไรดท่ีมีโมเลกุลเล็ก สามารถ ละลายไดด ใี นนํ้า โดยเฉพาะในน้ํารอน สวนกลุมพอลิแซ็กคาไรดละลายน้ําไดนอย แต สามารถถกู แยกสลายดวยนา้ํ ไดเปนมอโนแซก็ คาไรดแ ละโอลโิ กแซ็กคาไรด ดังนัน้ จงึ ควร หลีกเลยี่ งการนาํ ตวั ยาท่มี ีนาํ้ ตาลเปน องคประกอบไปแชน ํ้า แตใหใ ชว ธิ ีพรมนํ้าแทน 10. ผลของการเผาจ้ือตอ สารประเภทอนนิ ทรีย สารประเภทอนินทรยี  (inorganics) พบมากในแรธาตุ ฟอสซิลของสัตวหรือพืช และเปลือกกระดองสัตว เกลอื อนนิ ทรยี ท พ่ี บในพชื ทีใ่ ชเปนยา ไดแ ก โซเดียม โพแตสเซียม แคลเซียม แมงกานสี ซง่ึ สวนมากจะจับตัวกับสารอินทรียในรูปเกลือพบกระจายอยูตาม เซลลเนื้อเยือ่ ตา ง ๆ ยาจาํ พวกแรธ าตมุ ักเผาจอ้ื โดยวิธีการสะตุ หรือบางครั้งเมอื่ สะตุเสร็จแลวจะพรม น้าํ สมซ่งึ ใชเ ปน ฝูเล่ยี ว การสะตุจะมผี ลตอลกั ษณะทางกายภาพของตัวยา คือ ทําใหเปราะ แตกงา ย ชว ยใหก ารออกฤทธข์ิ องยาดีข้ึน สงผลใหป ระสทิ ธิผลในการรกั ษาดีขนึ้ เชน ฉว่ั สือ (磁石) จือ้ หรันถง (自然铜) เปนตน ธาตุวตั ถุท่ีมีนํ้าผลึกในโมเลกุล เม่ือนํามาสะตุจะทําให นํ้าผลึกสญู เสียไป ทําใหส รรพคุณของตวั ยาเปล่ียนไป เชน สือเกา (石膏 เกลือจืด) หมิง ฝาน (明矾 สารสม) ธาตวุ ัตถบุ างชนิดเม่ือไดรับความรอนจะทําใหองคประกอบทางเคมี เปลีย่ นไป ทําใหฤ ทธขิ์ องยาเปล่ยี นไปดว ย เชน หลูกันสือ (炉甘石) มีองคประกอบทาง เคมีท่ีสําคัญคือ ซิงคคารบอเนต (ZnCO3) เม่ือสะตุแลวจะเปลี่ยนไปเปนซิงคออกไซด (ZnO) ซึ่งมสี รรพคุณบรรเทาพิษไข ทาํ ใหตาสวา ง สมานแผล และแกคนั แตส ารประเภท อนินทรยี บ างชนดิ เมอื่ ไดร บั ความรอ นจะเปลีย่ นเปนสารท่ีมีพษิ เชน โสฺวงหวง (雄黄) เมื่อ ไดรับความรอนจะเปล่ียนเปนอารเซนิกไตรออกไซด (As2O3) ซ่ึงเปนสารท่ีมีพิษรุนแรง ดงั น้ันหากจาํ เปนตอ งใชสารอนินทรียด งั กลาวจะตอ งเขมงวดและระมัดระวังเปนพิเศษหรือ หลกี เลยี่ งการใชส ารเหลา นี้

Page 49 ในกระบวนการเผาจือ้ บางครง้ั การแชในนํ้านานเกินไป อาจทําใหสารอนินทรียท่ี ละลายนํา้ ไดล ะลายไปกบั นาํ้ ทาํ ใหประสิทธิผลลดลง เชน เซี่ยคูเฉา (夏枯草) มีปริมาณ โพแตสเซียมคลอไรดส ูงมาก หากนําตัวยามาแชนํ้านานเกินไป จะทําใหฤทธิ์ลดความดัน โลหติ และฤทธข์ิ ับปสสาวะลดลงมาก ปจจุบันคนไดใหความสําคัญกับจุลธาตุ (trace element) ซ่ึงเปนสารจําเปนตอ สขุ ภาพทดี่ ีของมนุษย ซ่ึงรา งกายปกตจิ าํ เปนตอ งใชจ ุลธาตุจาํ นวน 16 ชนดิ และมอี ีกจํานวน 25 ชนิดซงึ่ มีความเกีย่ วของกับรา งกายของคน เชน ในน้ําเชื้ออสจุ จิ ะมธี าตุสังกะสี หากขาด ธาตสุ ังกะสจี ะมีผลตอความสงู และภาวะหยอ นสมรรถภาพในการเจริญพนั ธขุ องมนษุ ย หาก ขาดธาตุแมงกานสี จะมผี ลตอสติปญ ญาและการมบี ุตรยาก (เปน หมัน) หากขาดธาตุทองแดง จะมีผลทําใหก ระดกู ออน ทาํ ใหการเจริญเตบิ โตผดิ ปกติหรอื ผดิ รูป และผิวหนังเปนดางขาว หากขาดธาตเุ ซลีเนยี มรา งกายจะไมกระตนุ การสรางภูมิตานทาน จึงทําใหเปนโรคมะเร็งได งาย หากขาดธาตุลเิ ธยี มจะทาํ ใหร างกายไมส ามารถสราง catecholamine ซงึ่ มีหนา ที่ควบคมุ การทํางานของระบบประสาทสวนกลาง จุลธาตุมีความคงทนตอความรอน การเผาจื้อจะ ทําลายเฉพาะสวนที่เปน อนิ ทรยี สาร แตย ังคงมีสรรพคุณของจลุ ธาตุเหมอื นเดิม ผลของการเผา จอ้ื ตอประสิทธิผลการรักษาทางคลนิ ิก ศาสตรก ารแพทยแผนจีนใหความสาํ คญั ตอทัศนะเชิงองคร วมและทฤษฎกี ารรกั ษา เชิงสัมพันธ โดยเฉพาะความเปนเอกภาพของรางกายมนุษยกับธรรมชาติ กลาวคือ เม่ือ เงอ่ื นไขของฤดูกาล เวลา สถานท่ีเปลี่ยนแปลง ก็จะมีผลกระทบตอรางกายในลักษณะที่ แตกตางกันไป ทําใหเ กิดโรคตาง ๆ ขึ้น เมื่อรางกายเกิดการเจ็บปวย การรักษาโรคของ แพทยจ ีนตอ งนาํ วิชาวิทยาศาสตรสังคมและวิทยาศาสตรธรรมชาติมาประยุกตใชใหเหมาะสม กับสภาพรางกายของผูปวยแตล ะคน การใชย าสมุนไพรจีนมารักษาโรคนั้น ตองคํานึงถึง สมุนไพรแตละชนิดวามีคุณลักษณะเฉพาะตัวและมีสรรพคุณหลายอยาง ทวาอาการ เจ็บปว ยของผูปวยอาจใชสรรพคุณเฉพาะดานใดดานหน่ึงของสมุนไพรน้ัน ๆ ดังน้ันจึง

Page 50 จําเปน ตอ งเผา จอ้ื สมนุ ไพรกอนใช เพือ่ ปรบั เปล่ียนสรรพคุณหรือคุณลักษณะของตัวยาให ออกฤทธติ์ ามตองการ สมุนไพรที่เผาจ้ือแลวสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางการออกฤทธิ์ได เชน ตวั ยาออกฤทธลิ์ อยข้นึ ขา งบนหรือจมลงลาง เพ่ิมฤทธ์ิ ลดพิษ หรือขจัดพิษ หรือลด ผลขางเคียงของตัวยา เมอื่ ใชตัวยานั้นรกั ษาอาการเจบ็ ปวยจึงเหมาะสมและมีประสิทธิผล ตอการรักษาทางคลินกิ เชน โสว อู (首乌) หากใชด ิบจะมีสรรพคุณระบายทอง หากทําให สกุ จะมีสรรพคุณบํารุงจงิ (精) และเลือด หลักการใชย าตองคํานึงถึงหนาที่การทํางานของ อวยั วะภายในตา ง ๆ ของรา งกาย การเปลี่ยนแปลงเมอ่ื เกิดโรคขึ้น และการดําเนินของโรค การใชย าตามศาสตรการแพทยแ ผนจนี จาํ เปนตองเขา ใจเกีย่ วกบั ทฤษฎีจงั้ ฝู (脏腑 อวัยวะ ภายใน) ซง่ึ ประกอบดว ยอวยั วะภายในทั้ง 5 (หัวใจ ปอด มาม ตับ และไต) และอวัยวะกลวง ท้งั 6 (กระเพาะอาหาร ถุงนํา้ ดี ลําไสใ หญ ลําไสเลก็ กระเพาะปสสาวะ และซานเจียว) เชน - มาม (脾 ผ)ี เปนสว นสาํ คญั ของพลงั หยางในรางกาย มคี ุณสมบัติชอบแหง ไม ชอบช้ืน เมื่อมามถูกความเยน็ รบกวน การใชย าตอ งคํานงึ ถึงการบาํ รุงเพื่อปองกนั พลังหยาง ของมา มดวย เชน ตาํ รบั ยาไปห ูท งั (白虎汤) และตาํ รบั ยาเถียวเวย เ ฉิงชี่ทัง (调胃承气 汤) มีฤทธเ์ิ ปน ยาระบายความรอน ตาํ รบั ยาดงั กลาวใชกันเฉา (甘草 ชะเอมเทศ) ผดั น้ําผ้ึง มวี ตั ถปุ ระสงคเพ่อื บาํ รงุ มามและกระเพาะอาหาร เสริมพลงั หยาง และไมใหถ กู ความเยน็ ของ ตวั ยาอนื่ ในตํารบั มารบกวน - มามเปนอวัยวะท่ีชอบแหง แตกระเพาะอาหารชอบช้ืน เมื่อปวยดวยอาการมาม พรอ งมักมีความช้ืนเกิดขึ้น จึงตองใชตัวยาท่ีมีคุณสมบัติอุนและแหงเพื่อกําจัดความชื้น เมื่อความชื้นเกิดขึ้นตองใชเวลาในการรักษานาน ชังจู (苍术 โกฐเขมา) เปนตัวยาที่ เหมาะสมในการรักษาแตม คี ุณสมบัติคอ นขางแหงและรอน หากรับประทานนานเกินไปจะ สงผลตอ อนิ ของกระเพาะอาหาร จงึ ตองเผา จื้อตัวยากอนใชเพ่ือใหฤทธ์ิลดลงและสามารถ ใชไ ดนานข้ึน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook