1 หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม (สค21003) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั พนื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) ห้ามจาํ หน่าย หนงั สือเรียนเล่มนีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศึกษาตลอดชีวติ สาํ หรบั ประชาชน ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สํานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สํานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
2 หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม (สค21003) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. ) เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ที /
3 คาํ นาํ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช เมือวนั ที กนั ยายน พ.ศ. แทนหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการศึกษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศึกษาขนั พนื ฐาน พุทธศกั ราช ซึงเป็นหลกั สูตรทพี ฒั นาขึนตามหลกั ปรชั ญาและความเชือ พืนฐานในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนทีมีกลุ่มเป้ าหมายเป็ นผูใ้ หญ่มีการเรียนรู้และสังสมความรู้ และประสบการณ์อยา่ งต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการได้กาํ หนดแผนยุทธศาสตร์ในการขบั เคลือนนโยบาย ทางการศึกษาเพือเพิมศกั ยภาพและขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ใหป้ ระชาชนไดม้ อี าชีพทีสามารถสร้างรายได้ ทมี งั คงั และมนั คง เป็นบุคลากรทีมวี นิ ัย เปี ยมไปดว้ ยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสาํ นึกรับผิดชอบต่อตนเอง และผอู้ ืน สํานักงาน กศน. จึงไดพ้ ิจารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และ เนือหาสาระ ทัง กลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ของหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช ใหม้ ีความสอดคล้องตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการซึงส่งผลให้ตอ้ งปรับปรุง หนงั สือเรียน โดยการเพมิ และสอดแทรกเนือหาสาระเกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรียมพร้อม เพือเขา้ สู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมีความเกียวขอ้ งสัมพนั ธ์กนั แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการ พฒั นาหนงั สือทีใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ด้วยตนเอง ปฏิบตั ิกิจกรรม ทาํ แบบฝึ กหดั เพือทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ มีการอภิปรายแลกเปลียนเรียนรู้กบั กลุ่ม หรือศึกษาเพมิ เติมจากภูมิปัญญาทอ้ งถิน แหล่งการเรียนรู้ และสืออืน การปรับปรุงหนงั สือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมืออยา่ งดียิงจากผูท้ รงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา และผเู้ กียวขอ้ งในการจดั การเรียนการสอนทศี ึกษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู องคค์ วามรูจ้ ากสือตา่ ง ๆ มาเรียบเรียง เนือหาใหค้ รบถว้ นสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ผลการเรียนรูท้ ีคาดหวงั ตวั ชีวดั และกรอบเนือหาสาระของรายวิชา สํานักงาน กศน.ขอขอบคุณผูม้ ีส่วนเกียวขอ้ งทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนังสือเรียนชุดนีจะเป็ น ประโยชน์แก่ผเู้ รียน ครู ผสู้ อน และผูเ้ กียวขอ้ งในทุกระดบั หากมีขอ้ เสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ
สารบัญ 4 คาํ แนะนาํ การใช้หนังสือเรียน หน้า โครงสร้างรายวชิ า ก บทที 1 ความรู้เบืองต้นเกยี วกบั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม ข 1 ความหมาย และความสาํ คญั ของการพฒั นาตนเอง และครอบครัว 2 แนวทางในการพฒั นาตนเอง 4 ความหมาย และความสาํ คญั ของการพฒั นาชุมชน 5 หลกั การพฒั นาชุมชน 6 บทที 2 ข้อมูลทเี กียวข้องกบั การพฒั นาชุมชน 9 ความหมาย ความสาํ คญั และประโยชน์ของขอ้ มูล 10 ขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน 12 เทคนิคและวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มูลชมุ ชน 13 การวิเคราะหข์ อ้ มลู 15 บทที 3 การจดั ทาํ แผนชุมชน 17 กระบวนการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน 18 ขนั ตอนการจดั ทาํ ประชาพจิ ารณ์แผนชุมชน 20 ขนั ตอนการทาํ เวทีประชาคม 22 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน 24 ระดบั การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน 27 บทที 4 การเผยแพร่ผลการปฏบิ ตั ิ 30 การเขียนโครงการพฒั นาชุมชน 31 การเขียนรายงานผลการดาํ เนินงานพฒั นาชุมชน 34 บทที การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคม 39 บรรณานุกรม ภาคผนวก ตวั อย่างโครงการ
ก5 คาํ แนะนําในการใช้หนังสือเรียน หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม รหสั วิชา สค21003 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เป็นหนงั สือเรียนสาํ หรับผเู้ รียนทีลงทะเบียนเรียนเป็นนกั ศึกษา นอกระบบ ในการศึกษาแบบเรียนเลม่ นีผเู้ รียนควรปฏิบตั ิดงั นี 1. ศึกษาโครงสร้างรายวชิ าใหเ้ ขา้ ใจในหวั ขอ้ สาระสาํ คญั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และ ขอบข่ายเนือหาเป็นลาํ ดบั แรก 2. ศึกษารายละเอียดเนือหาของแตล่ ะบทอยา่ งละเอียด และทาํ กจิ กรรมตามทีกาํ หนด แลว้ ตรวจสอบกบั แนวตอบกิจกรรมทีกาํ หนดไวท้ า้ ยเล่ม ถา้ ผเู้ รียน ตอบผิดเป็น ส่วนใหญ่ควรกลบั ไปศกึ ษาและทาํ ความเขา้ ใจในเนือหานนั ใหม่ ใหเ้ ขา้ ใจก่อนทีจะ ศึกษาเรืองต่อไป 3. ปฏิบตั ิกิจกรรมทา้ ยเรืองของแต่ละเรืองใหค้ รบถว้ น เพอื เป็นการสรุปความรู้ ความเขา้ ใจของเนือหาในเรืองนนั ๆ อีกครงั และการปฏิบตั ิกจิ กรรมของแต่ละเนือหา แต่ละเรือง ผเู้ รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบกบั ครูผรู้ ูแ้ ละเพอื น ๆ ทีร่วมเรียนใน รายวชิ าและระดบั เดียวกนั ได้ 4. หนงั สือเลม่ นีมี 5 บท คือ บทที 1 ความรู้เบืองตน้ เกียวกบั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม บทที 2 ขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน บทที 3 การจดั ทาํ แผนชุมชน บทที 4 การเผยแพร่ผลการปฏิบตั ิ บทที การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคม
ข6 โครงสร้างรายวิชาการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม รหัสวิชา สค 21003 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สาระสําคัญ 1. ความหมาย ความสาํ คญั หลกั การและประโยชน์ของการพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม 2. ความสาํ คญั ของขอ้ มลู วธิ ีการจดั เกบ็ และวเิ คราะห์ขอ้ มลู อยา่ งงา่ ย 3. การมีส่วนร่วมในการวางแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม และการนาํ ไปใช้ ในชีวิตประจาํ วนั . การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคม ผลการเรียนรู้ทีคาดหวัง 1. อธิบายสาระสาํ คญั ทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาตนเอง ชมุ ชน สังคม 2. จดั เกบ็ และวิเคราะห์ขอ้ มลู อยา่ งง่าย 3. มีส่วนร่วมและนาํ ผลจากการวางแผนพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม ไปใชใ้ นชีวิต ประจาํ วนั . วเิ คราะห์ศกั ยภาพของประเทศเพอื การพฒั นาอาชีพ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง บทที 1 ความรู้เบืองตน้ เกียวกบั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม บทที 2 ขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน บทที 3 การจดั ทาํ แผนชุมชน บทที 4 การเผยแพร่ผลการปฏิบตั ิ บทที การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคม
7 แบบทดสอบก่อนเรียน 1. ขอ้ ใดไม่ใช่หลกั ของการพฒั นาชุมชน ก. ประชาชนมีส่วนร่วม ข. ทาํ เป็นกระบวนการและประเมินผลอยา่ งต่อเนือง ค. ยดึ ประชาชนเป็นหลกั ในการพฒั นา ง. พฒั นาทุกดา้ นไปพร้อม ๆ กนั อย่างรวบรัดและเร่งรีบ 2. แนวทางในการพฒั นาตนเองอนั ดบั แรกคืออะไร ก. ปลกุ ใจตนเอง ข. สาํ รวจตนเอง ค. ลงมอื พฒั นาตนเอง ง. ปลูกฝังคณุ สมบตั ิทีดีงาม 3. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมระดบั ประเทศ ก. การสมั มนา ข. การสาํ รวจประชามติ ค. การประชุมกลุม่ ย่อย ง. การจดั ทาํ เวทีประชาคม 4. ขอ้ ใดเป็นบทบาททีสาํ คญั ทีสุดของประชาชนในการดูแลชุมชน ก. เขา้ ร่วมประชุมทกุ ครงั ข. แสดงความเห็นในการประชมุ ค. เห็นคลอ้ ยตามผูน้ าํ ทกุ เรือง ง. ทาํ กิจกรรมพฒั นาชุมชนร่วมกนั ทกุ ครัง
8 5. สถาบนั ใดทีมีส่วนสาํ คญั เป็นลาํ ดบั แรกป้ องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ปัญหาสงั คม ก. สถาบนั การเงิน ข. สถาบนั ศาสนา ค. สถาบนั ครอบครัว ง. สถาบนั การศกึ ษา 6. ขอ้ ใดคือการรวมตวั ของสมาชิกในชุมชนเพอื ร่วมกนั ทาํ กิจกรรมตา่ ง ๆ ในชุมชน ดว้ ยตนเอง ก. เวทีประชาคม ข. การจดั ทาํ ประชาพจิ ารณ์ ค. การเลอื กตงั ง. การเขียนโครงการ 7. ขอ้ ใดไมใ่ ช่เทคนิคการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในชุมชน ก. อธิบาย ข. สังเกต ค. สัมภาษณ์ ง. สนทนากลุ่ม 8. วตั ถุประสงคข์ องการจดั ทาํ ประชาพิจารณ์คอื ขอ้ ใด ก. ตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ ริหาร ข. ใหเ้ กิดความคิดรวบยอดในการปฏิบตั ิงาน ค. ป้ องกนั การประทว้ งของผเู้ สียประโยชน์ ง. รวบรวมความคิดเห็นของผูเ้ กียวขอ้ ง
9 9. ขอ้ ใดบ่งบอกถึงความสาํ เร็จของโครงการ ก. การประเมินโครงการ ข. ตวั ชีวดั ผลสาํ เร็จของโครงการ ค. การสรุปผลและรายงานโครงการ ง. วตั ถุประสงคข์ องโครงการ 10. ขอ้ ใดเป็นวธิ ีการเขียนรายงานผลการดาํ เนินงานทีถกู ตอ้ ง ก. ถกู ตอ้ ง กระชบั รัดกมุ ชดั เจนและสละสลวย ข. เขียนบรรยายรายละเอยี ดใหม้ ากทีสดุ ค. เขียนใหเ้ ป็นภาษาวชิ าการมาก ๆ ง. เขียนโดยแบง่ เป็นขอ้ ยอ่ ย ๆ เฉลย 1. ง 2. ข 3. ข 4. ง 5. ค 6. ก 7. ก 8. ง 9. ข 10. ก
1 บทที 1 ความรู้เบืองต้นเกียวกบั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม สาระสําคัญ ความรู้เบืองตน้ เกียวกบั การพฒั นาตนเอง ครอบครัวและชุมชน ประกอบดว้ ย ความหมาย ความสําคัญ แนวทางการพฒั นาตนเอง ความหมาย ความสําคญั และหลกั การพฒั นาชุมชน เป็ นสิงจําเป็นทีต้องทาํ ความเข้าใจเป็ นพืนฐาน เนืองจากมีความเกียวขอ้ งสัมพนั ธ์ต่อเนืองกับ กระบวนการพฒั นาชุมชนและสังคม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง เมือศกึ ษาบทที 1 จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1. อธิบายความหมาย ความสาํ คญั และแนวทางการพฒั นาตนเองได้ 2. อธิบายความหมาย ความสาํ คญั และหลกั การพฒั นาชุมชนได้ 3. กาํ หนดแนวทางและจดั ทาํ แผนในการพฒั นาตนเองและครอบครัวได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที 1 ความหมาย ความสาํ คญั ของการพฒั นาตนเองและครอบครัว เรืองที 2 แนวทางในการพฒั นาตนเอง เรืองที 3 ความหมายและความสาํ คญั ของการพฒั นาชุมชน เรืองที 4 หลกั การพฒั นาชุมชน
2 บทที 1 ความรู้เบืองตน้ เกียวกบั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สงั คม ปัจจุบันเป็ นทียอมรับกนั โดยทัวไปว่า คนเป็ นทรัพยากรทีมีคุณค่าของสังคม สังคมจะ พฒั นาและเจริญขึนไปไดข้ ึนอยกู่ บั คุณภาพของคนทีเป็นองคป์ ระกอบของสงั คม นนั การจะพฒั นา ชุมชนไดจ้ ึงตอ้ งเริมตน้ ทีการพฒั นาคนเป็นอนั ดบั แรก นอกจากนี การพฒั นาชุมชนตอ้ งยึดหลักการ มีส่วนร่วมของประชาชนเป็นปัจจยั พนื ฐานทีสาํ คญั เพราะเป้ าหมายสุดทา้ ยของ การพฒั นา คือ คน เนืองจากคนเป็นทงั ทรัพยากรทีจะถกู พฒั นาและเป็นทงั ผไู้ ดร้ ับผลประโยชน์ จากการพฒั นานนั เอง เรืองที 1 ความหมายและความสําคญั ของการพฒั นาตนเองและ ครอบครัว 1.1 ความหมายของการพฒั นาตนเอง นกั วิชาการหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการพฒั นาตนเองในลกั ษณะทีคลา้ ยคลึงกัน สรุปความไดว้ า่ การพฒั นาตนเอง คือการปรับปรุงดว้ ยตนเองใหด้ ีขึนกวา่ เดิม ทงั ดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม เพือให้สามารถทํากิจกรรมทีพึงประสงค์ตามเป้ าหมายทีตนตังไว้ เพอื การดาํ รงชีวิตร่วมกบั ผอู้ ืนไดอ้ ยา่ งปกติสุข รวมทงั เพือใหเ้ ป็ นสมาชิกทีดีของครอบครัว ชุมชน และสงั คม 1.2 ความสําคัญของการพฒั นาตนเอง โดยทวั ไป คนทุกคนต่างตอ้ งการดาํ รงชีวิตอย่รู ่วมกบั ผูอ้ ืนอย่างมีความสุข ทงั ใน ครอบครัว ชุมชน และสังคม ปัจจัยสาํ คัญประการหนึงของการมีชีวิตทีมีความเป็ นปกติสุข คือ การปรับปรุงและพฒั นาตนเอง ทงั วิธีคิดและการกระทาํ หรือพฤติกรรมทีแสดงออกทงั ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม เพือให้สามารถปรับตนเองเขา้ กบั สังคมและสิงแวดล้อมทีดี การพฒั นา ตนเองมีความสาํ คญั สรุปไดด้ งั นี
3 1. เป็นการเตรียมตนเองในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม รวมทงั สติปัญญาใหส้ ามารถรบั กบั สถานการณต์ า่ ง ๆ ทีอาจเกิดขึนในชีวติ ประจาํ วนั 2. มีความเขา้ ใจตนเอง เหน็ คณุ คา่ ของตนเอง ทาํ ใหส้ ามารถทาํ หนา้ ทีตามบทบาท ของตนเองในครอบครัว ชุมชน และสงั คมไดอ้ ยา่ งเตม็ กาํ ลงั ความสามารถ 3. สามารถปรับปรุงการปฏิบตั ติ น และแสดงพฤตกิ รรมใหเ้ ป็นทียอมรับของบคุ คล รอบขา้ งในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 4. สามารถกาํ หนดแนวทางการพฒั นาตนเอง ใหพ้ ฒั นาไปสู่เป้ าหมายสูงสุดของชีวิต ตามทวี างแผนไว้ 5. เป็นแบบอยา่ งการพฒั นาของคนในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 6. เป็นการเตรียมคนใหม้ ีความพร้อมในการดาํ รงตนใหอ้ ยใู่ นสงั คมอยา่ งมนั ใจ มีความสุข และเป็นกาํ ลงั สาํ คญั ของการพฒั นาชุมชนและสงั คม 1.3 ความสําคัญของการพฒั นาครอบครัว ครอบครัวเป็นหน่วยยอ่ ยของสงั คม การพฒั นาสังคมในหน่วยยอ่ ยไปสู่สังคมหน่วยใหญ่ที หมายถึงชุมชน มีจดุ เริมตน้ ทีเหมือนกนั นนั คือการพฒั นาทีคน บคุ คล หากบุคคลในครอบครัวไดร้ ับ การพฒั นาให้เป็ นบุคคลทีมีจิตใจดี มีความเอือเฟื อช่วยเหลือ เกือกูลต่อกัน รู้จักพึงพาตนเอง มีความคิด มีเหตุผล พร้อมทีจะรับการพฒั นาในสิงใหม่ ๆ ยอ่ มทาํ ครอบครัวเป็นครอบครัวทีมี ความเขม้ แข็ง มีความสุข สามารถช่วยเหลือครอบครัวอืน ๆ ในชุมชนนนั ๆ ได้ หากครอบครัว ส่วนใหญ่ในชุมชนสามารถพึงพาตนเองได้ และต่างให้ความ ร่วมมือช่วยเหลือซึงกันและกัน ชุมชนนนั ๆ ยอ่ มเกิดความมนั คงเขม้ แขง็ และช่วยเหลือชุมชนอืน ๆ ได้ เมือชุมชนส่วนใหญเ่ ขม้ แขง็ ยอ่ มส่งผลให้สังคมโดยรวมเขม้ แข็งมนั คงตามไปดว้ ย และทีสําคัญจะก่อให้เกิดค่านิยมของ การพึงพาเกือหนุน เอือเฟื อเผือแผ่ และช่วยเหลือซึงกนั และกนั ทีนาํ ไปสู่เป้ าหมายของการอยู่ ร่วมกนั อยา่ งอบอุน่ และมีความสุข
4 เรืองที 2 แนวทางในการพฒั นาตนเอง การพฒั นาตนเองใหป้ ระสบความสาํ เร็จ สามารถอยรู่ ่วมกบั บคุ คลตา่ ง ๆ ในครอบครัว และ ชุมชนไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข มีแนวทางการพฒั นาได้ ดงั นี 1. การสํารวจตนเอง เพอื จะไดท้ ราบวา่ ตนเองมีคุณสมบตั ิทีดีและไม่ดีอย่างไรบา้ ง เพอื ทีจะหาแนวทางการปรับปรุงพฒั นาตนเองใหด้ ีขึน การสาํ รวจตนเองอาจทาํ ไดห้ ลายวิธี เช่น การ ตรวจสอบตนเองดว้ ยเหตุและผล การใหบ้ คุ คลใกลช้ ิดช่วยสาํ รวจ ช่วยพจิ ารณาอยา่ งตรงไปตรงมา 2. การปลกู ฝังคณุ สมบัตทิ ีดีงาม เป็ นการนําเอาแบบอย่างทีดีของบุคคลสําคัญที ประทบั ใจมาเป็ นตวั แบบ เพือปลูกฝังคุณสมบตั ิทีดีให้กับตนเอง ใหป้ ระสบความสําเร็จ สมหวงั ตามทีคาดหวงั ไว้ 3. การปลุกใจตนเอง การปลุกใจตนเองให้มีความเขม้ แข็งทีจะต่อสู้กับอุปสรรค ดา้ นต่าง ๆ นนั มีความจาํ เป็นยิง เพราะเมือตนเองมีจิตใจทีเข้มแข็งมีความมุ่งมนั สามารถต่อสู้กบั ปัญหา และอุปสรรค รวมทงั สามารถดาํ เนินการพฒั นาตนเองใหบ้ รรลุเป้ าหมาย การปลุกใจตนเอง สามารถทาํ ได้หลายวิธี เช่น การนาํ ตัวแบบของผูป้ ระสบความสําเร็จมาเป็ นแบบอย่าง การใช้ อปุ สรรคเป็นตวั กระตุน้ การใชข้ อ้ มลู หรือการรับคาํ แนะนาํ จากผใู้ กลช้ ิดหรือผรู้ ู้ ฯลฯ 4. การส่งเสริมตนเอง เป็ นการสร้างกาํ ลงั กาย กาํ ลงั ใจให้เขม้ แขง็ สร้างพลงั ความคิด ทีสามารถปฏิบตั ิได้ เช่น การเล่นกีฬา การออกกาํ ลงั กาย การพกั ผ่อน การฝึ กสมาธิ การเขา้ รับการ ฝึ กอบรมเรืองทีเราสนใจ เป็นตน้ 5. การลงมือพฒั นาตนเอง การพฒั นาตนเองสามารถทาํ ได้หลายวิธี เช่น อ่านหนงั สือ เป็นประจาํ ร่วมกิจกรรมตา่ ง ๆ ของชุมชนตามความสนใจ การศกึ ษาดงู าน การศึกษาตอ่ การพบปะ เยียมเยียนเพือน หรือผูท้ ีรู้จักสนิทสนม การหมุนเวียนเปลียนงาน การทาํ งานร่วมกบั ผูอ้ ืน การพยายามฝึ กนิสัยทีดีดว้ ยความสมาํ เสมอ การสร้างความสมั พนั ธ์ทีดีกบั ผูอ้ ืน ฯลฯ
5 เรืองที 3 ความหมายและความสําคญั ของการพัฒนาชุมชน 3.1 ความหมายของการพฒั นาชุมชน ความหมายของคาํ วา่ “พฒั นาชมุ ชน” ผรู้ ู้ไดใ้ หค้ วามหมายไวห้ ลากหลาย สรุปไดด้ งั นี 1) การรวบรวมกาํ ลงั ของคนในชมุ ชนร่วมกนั ดาํ เนินการปรับปรุง สภาพความ เป็นอยขู่ องคนในชุมชนใหม้ ีความเขม้ แขง็ เป็นปึ กแผน่ โดยความร่วมมือกนั ระหวา่ งประชาชนในชมุ ชน และหนว่ ยงานภายนอก 2) เป็นกระบวนการทีประชาชน ร่วมกนั ดาํ เนินการกบั เจา้ หนา้ ทีหน่วยงานตา่ ง ๆ เพือทาํ ใหส้ ภาพเศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรม และสิงแวดลอ้ มของ ชุมชน เจริญขึนกวา่ เดิม 3) เป็นวธิ ีการสร้างชุมชนใหเ้ จริญโดยอาศยั กาํ ลงั ความสามารถของประชาชน และรัฐบาล 4) เป็นการเปลียนแปลงทีมีการกาํ หนดทิศทางทีพงึ ปรารถนาโดยการมีส่วนร่วม ของคนในชุมชน สรุปไดว้ ่า การพฒั นาชุมชน คือการกระทาํ ทีมุ่งปรับปรุง ส่งเสริม ให้กลุ่มคนทีอยู่ รวมกนั มีการเปลียนแปลงไปในทิศทางทีดีขึนในทกุ ๆ ดา้ น ทงั ดา้ นทีอยู่อาศยั อาหาร เครืองนุ่งห่ม สุขภาพร่างกาย อาชีพทีมนั คง ความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สิน โดยอาศยั ความร่วมมือจาก ประชาชนภายในชุมชน และหน่วยงานองคก์ รตา่ ง ๆ ทงั จากภายในและภายนอกชุมชน 3.2 ความสําคญั ของการพฒั นาชุมชน จากการอย่รู วมกนั ของครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวจนเป็ นชุมชน ความเป็ นอยขู่ องคน แต่ละครอบครัวยอ่ มมีความสมั พนั ธ์กนั ความสลบั ซับซอ้ นและมีปัญหาเกิดขึนมากมาย จึงจาํ เป็น
6 ตอ้ งอาศยั ความร่วมมือกนั ของบคุ คลหลาย ๆ ฝ่ ายโดยเฉพาะประชาชนเจา้ ของชุมชนทีเป็นเป้ าหมาย ของการพฒั นาตอ้ งร่วมกนั รับรู้ ร่วมมือกนั พฒั นาและปรับปรุงแกไ้ ขให้เกิดความเปลียนแปลงทีดี ขึน เพือความสงบสุขของชุมชนนนั ๆ การพฒั นาชุมชนจึงมีความสาํ คญั พอจะจาํ แนกไดด้ งั นี 1. ส่งเสริมและกระตนุ้ ใหป้ ระชาชนไดม้ ีส่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาพฒั นาตนเอง และ ชุมชน 2. เป็นการส่งเสริมใหป้ ระชาชนมีจิตวญิ ญาณ รู้จกั คิด ทาํ พฒั นาเพอื ส่วนรวม และ เรียนรู้ซึงกนั และกนั 3. เป็นการส่งเสริมการรวมกล่มุ ในการดาํ เนินชีวิตตามระบอบประชาธิปไตย 4. ทาํ ใหป้ ัญหาของชมุ ชนลดนอ้ ยลงและหมดไป 5. ทาํ ใหส้ ามารถหาแนวทางป้ องกนั ไม่ใหป้ ัญหาในลกั ษณะเดียวกนั เกิดขึนอกี 6. ทาํ ใหเ้ กิดความเจริญกา้ วหนา้ ขึน 7. ทาํ ใหเ้ กิดการอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุขตามสภาพของแตล่ ะบุคคล และเกิดความ ภาคภูมิใจในชุมชนของตนเอง 8. ทาํ ใหช้ ุมชนน่าอยู่ มีความรกั ความสามคั คี เอืออาทรช่วยเหลือเกือกลู ซึงกนั และกนั 9. เป็นรากฐานสาํ คญั ของการพฒั นาสงั คมและประเทศชาติ เรืองที 4 หลกั การพฒั นาชุมชน หลกั การพฒั นาชุมชนเป็นหลกั สาํ คญั ในการดาํ เนินงานพฒั นาชุมชน เพอื สร้างสรรคไ์ ปสู่ ความสาํ เร็จตามเป้ าหมาย ยดึ ถือการสร้างความเจริญใหก้ บั ชุมชนโดยอาศยั หลกั การ สรุปไดด้ งั นี 1. ประชาชนมีส่วนร่วมการดาํ เนินกิจกรรมของการพฒั นาทกุ ขนั ตอน ประชาชนจะตอ้ ง เขา้ มามีส่วนเกียวขอ้ งและมีส่วนร่วมตงั แต่ ร่วมคิด ตดั สินใจ วางแผน ปฏิบตั ิและ ประเมินผล ประชาชนตอ้ งกลา้ คิด กลา้ แสดงออก เพราะผลทีเกิดจากการดาํ เนินงาน ส่งผลโดยตรงตอ่ ประชาชน 2. พิจารณาวฒั นธรรมและสภาพความเป็ นอยู่ของชุมชน หากทุกฝ่ ายทีเกียวขอ้ งใน การพฒั นาไดท้ ราบและเขา้ ใจขอ้ มูลเกียวกบั วฒั นธรรมและสภาพความเป็ นอยูข่ อง ชุมชนในทุก ๆ ดา้ น จะช่วยใหก้ ารคิด การวางแผน และการดาํ เนินงาน พฒั นาเป็นไป ในทิศทางทีถกู ตอ้ งเหมาะสม
7 3. ให้ความสําคัญกับคนในชุมชนโดยคนในชุมชนต้องเป็ นหลักสําคัญหรือเป็ น ศูนย์กลางของการพฒั นา โดยเริมจากการคน้ หาความตอ้ งการและปัญหาทีแทจ้ ริง ของชุมชนตนเองใหพ้ บ เพอื นาํ ไปสู่กระบวนการพฒั นาในขนั ต่อไป 4. การพฒั นาตอ้ งไม่รวบรัดและเร่งรีบ การดาํ เนินงานควรคาํ นึงถึงผลของการพฒั นาใน ระยะยาว ดาํ เนินงานแบบค่อยเป็นค่อยไป เพอื ใหท้ ุกคนมีความพร้อม มีความเชือมนั ไดม้ ีเวลาพิจารณาคิดไตร่ตรองถึงผลทีจะเกิดขึนในขนั ตอนต่อไป และในระยะยาว ทงั ผลทีสาํ เร็จและไม่สาํ เร็จ มิใช่เร่งรีบดาํ เนินการใหเ้ สร็จอย่างรวบรัดและเร่งรีบ เพราะรวบรัดและเร่งรีบใหเ้ สร็จอาจนาํ ไปสู่ความลม้ เหลว 5. ทาํ เป็นกระบวนการและประเมินผลอย่างต่อเนือง การพฒั นาชุมชนควรดาํ เนินการ ดว้ ยโครงการทีหลากหลายภายใตค้ วามต้องการทีแทจ้ ริงของชุมชน ขณะเดียวกนั ควรประเมินผลดว้ ยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ ายทีเกียวข้องอย่างต่อเนือง เพือจะได้ รับทราบข้อดี ขอ้ เสีย บทเรียนความสําเร็จ ไม่สําเร็จ เพือนาํ ไปสู่การพฒั นาทีดีขึน กวา่ เดิม หลักการพฒั นาชุมชนดังกล่าวขา้ งตน้ เป็ นหลักการโดยทัวไป ทีมุ่งหวงั ให้ประชาชน ร่วมมือกนั พฒั นาชุมชนของตนโดยมีเป้ าหมายสูงสุดคือประชาชนมีความเป็ นอยู่ทีดี และสังคมมี ชุมชนทีน่าอยู่ เพราะฉะนัน หากเราเป็ นสมาชิกของชุมชนใดก็ควรเข้าไปมีส่วนร่วมให้ ความ ร่วมมือกบั ชุมชนนนั ๆ เช่น ร่วมประชุมอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็น แลกเปลียน ความคิด ร่วมพฒั นาทกุ ขนั ตอนเพือนาํ ไปสู่เป้ าหมายทีทุกฝ่ ายร่วมกนั กาํ หนดขึนนนั เอง
8 กจิ กรรม 1. ใหผ้ ูเ้ รียนคน้ ควา้ เพิมเติม \"แนวทางในการพฒั นาตนเอง ประโยชน์ และหลกั การ ชุมชนเพิมเติมจากแหล่งความรู้ตา่ ง ๆ เช่น หอ้ งสมุด อินเทอร์เน็ต ฯลฯ 2. ใหผ้ ูเ้ รียนอธิบายสิงตอ่ ไปนีตามความเขา้ ใจของผเู้ รียนโดยสรุป และเขียนบนั ทึก ลงในสมุดของตนเอง 2.1 ความหมายของคาํ วา่ \"การพฒั นา\" 2.2 ความสาํ คญั ในการพฒั นาตนเอง 2.3 แนวทางในการพฒั นาตนเอง 2.4 ความหมายของคาํ วา่ \"การพฒั นาชุมชน\" 2.5 ประโยชน์ของการพฒั นาชุมชน 2.6 หลกั การพฒั นาชุมชน 3. ผเู้ รียนแบง่ กลุ่มอภิปรายร่วมกนั คิดประเดน็ ต่อไปนี แลว้ นาํ เสนอผลการอภิปราย ของกลุ่มต่อเพือน ๆ 3.1 แนวทางในการพฒั นาตนเองใหเ้ ป็นบคุ คลทีพงึ ประสงค์ และเป็นทียอมรับ ของสังคม 3.2 แนวทางในการพฒั นาและการปฏิบตั ิตน เพือใหค้ รอบครัวอบอนุ่ 3.3 แนวทางการพฒั นาชุมชนของตนเองใหเ้ ป็นชุมชนทเี ขม้ แขง็ 4. ใหผ้ ูเ้ รียนจดั ทาํ แผนพฒั นาตนเองและครอบครัวตามแนวทาง ขอ้ 3.1 และขอ้ 3.2
9 บทที 2 ขอ้ มลู ทีเกยี วขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน สาระสําคญั การศึกษาความรู้เบืองตน้ ทีเกียวกบั ขอ้ มูล เช่น ความหมาย ความสาํ คญั และประโยชน์ ของ ขอ้ มูลจะช่วยให้มีความเขา้ ใจขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งกับการพฒั นาชุมชนซึงมีหลายดา้ นด้วยกนั เช่น ขอ้ มูลดา้ นครอบครัว ขอ้ มูลดา้ นเศรษฐกิจ ขอ้ มูลดา้ นสังคม ฯลฯ ขอ้ มูลแต่ละดา้ นลว้ นมีความจาํ เป็ น และสาํ คญั ต่อการพฒั นาชุมชน ผลการเรียนรู้ทคี าดหวัง เมือศึกษาบทที 2 จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1. อธิบายความหมาย ความสาํ คญั และประโยชนข์ องขอ้ มูล 2. ระบขุ อ้ มูลในดา้ นตา่ ง ๆ ทีเกียวกบั การพฒั นาชุมชนไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 5 ดา้ น 3. ยกตวั อยา่ งรายการของขอ้ มลู ในแต่ละดา้ นทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชนได้ 4. อธิบายเทคนคิ และวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชนไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 3 วธิ ี 5. สาํ รวจขอ้ มลู ชุมชนได้ 6. มีส่วนร่วมในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ชุมชน ขอบข่ายเนอื หา เรืองที 1 ความหมาย ความสาํ คญั และประโยชนข์ องขอ้ มูล เรืองที 2 ขอ้ มูลทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน เรืองที 3 เทคนิคและวธิ ีการเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชน เรืองที 4 การวิเคราะหข์ อ้ มูล
10 บทที 2 ข้อมูลทีเกยี วข้องกับการพฒั นาชุมชน ขอ้ มูลทีเป็นขอ้ เทจ็ จริง ทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชมุ ชน มีหลายดา้ นดว้ ยกนั แต่ละดา้ นควรรู้ และทาํ ความเขา้ ใจ เพราะเป็นสิงจาํ เป็ นและสําคญั สาํ หรับกระบวนการพฒั นาชุมชน ทงั นีเพือเป็ น เครืองมือในการนําไปสู่การวางแผน การกาํ หนดทิศทาง เป้ าหมาย การตดั สินใจ การปฏิบตั ิและ ประเมินผลของการปรับปรุงและพฒั นาชุมชนใหน้ ่าอยู่ และดีขึนกวา่ เดิมในทกุ ๆ ดา้ น เรืองที 1 ความหมาย ความสําคญั และประโยชน์ของข้อมูล 1.1 ความหมายของข้อมูล มีผรู้ ู้ไดใ้ หค้ วามหมายของขอ้ มลู ในลกั ษณะเดียวกนั สรุปไดว้ ่า ขอ้ มูล หมายถึง ขอ้ เท็จจริง ของสิงต่าง ๆ ทีอยู่รอบตวั เรา เช่น คน สัตว์ สิงของ สถานที ธรรมชาติ ฯลฯ ทีถูกบันทึกไวเ้ ป็ น ตวั เลข สัญลกั ษณ์ ภาพ หรือเสียง ทีช่วยทาํ ใหร้ ู้ถึงความเป็นมา ความสําคญั และประโยชน์ของ สิงเหล่านนั ความหมายของขอ้ มลู ตามพจนานุกรมราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายวา่ ขอ้ มูล หมายถึง ขอ้ เทจ็ จริงสาํ หรับใชเ้ ป็นหลกั ในการคาดการณ์คน้ หาความจริง หรือการคิดคาํ นวณ กล่าวโดยสรุป ข้อมูล หมายถึง ข่าวสารหรือข้อเท็จจริงทีเกิดขึนกบั สิงต่าง ๆ ทีเป็ น สญั ลกั ษณ์ ตวั เลข ขอ้ ความ ภาพหรือเสียงทีไดม้ าจากวิธีการตา่ ง ๆ เช่น การสังเกต การนบั การวดั และบนั ทึกเป็นหลกั ฐานใชเ้ พือคน้ หาความจริง ตวั อยา่ ง เช่น ก. สุนนั ทป์ ระกอบอาชีพทาํ นา ข. ตาํ บลทาํ นบ มจี าํ นวนครัวเรือน 350 ครัวเรือน ค. อบต.เกาะยอ ชาวบา้ นมีอาชพี ทาํ สวนผลไมแ้ ละทาํ ประมง ง. จงั หวดั สงขลามีหอ้ งสมุดประชาชนอาํ เภอ 16 แห่ง จากตวั อยา่ ง จะเห็นวา่ ขอ้ ข และ ง เป็นขอ้ มูลทีเป็นตวั เลข ขอ้ ก และ ค เป็นขอ้ มูลทีไม่ เป็นตวั เลข
11 จากความหมายและตวั อยา่ งของขอ้ มูล จะเหน็ ไดว้ า่ ขอ้ มลู แบง่ เป็น 2 ความหมาย คือ ขอ้ มูล ทีมีลกั ษณะเป็นตวั เลขแสดงปริมาณ เรียกวา่ ข้อมูลเชิงปริมาณ และขอ้ มลู ทีไมใ่ ช่ตวั เลข เรียกวา่ ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ 1.2 ความสําคญั และประโยชน์ของข้อมูล ขอ้ มูลทีเป็นขอ้ เทจ็ จริงของสิงตา่ ง ๆ ทีอย่รู อบตวั เราลว้ นมีประโยชนต์ ่อการพฒั นาตนเอง ชุมชนและสงั คม ทงั นีขึนอยกู่ บั การเลือกนาํ มาใชใ้ หถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั สถานการณ์ และโอกาส โดยทวั ไปขอ้ มูลจะใหป้ ระโยชนม์ ากมาย เช่น 1. เพอื การเรียนรู้ ศึกษา คน้ ควา้ 2. เพอื เป็นแนวทางการพฒั นาดา้ นต่าง ๆ 3. เพอื การนาํ ไปสู่การปรับปรุงแกไ้ ขในสิงทีดีกวา่ 4. เพอื ใชป้ ระกอบเป็นหลกั ฐานอา้ งอิงประเดน็ สาํ คญั 5. เพือการวางแผน การปฏิบตั ิ และการประเมนิ ผล 6. เพือการตดั สินใจ ฯลฯ จากประโยชน์ดา้ นตา่ งๆทีกล่าวถึงขอยกตวั อยา่ งประโยชน์ของขอ้ มูลในการช่วยการตดั สินใจ เช่น ถา้ รู้ขอ้ มูลเกียวกบั คะแนนการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ผลคะแนนระหว่างเรียนไม่น่าพึงพอใจ แต่ ผเู้ รียนตอ้ งการใหส้ อบผา่ นวชิ านี ผเู้ รียนจะตอ้ งวางแผนการเรียน และเตรียมพร้อมกบั การสอบใหด้ ี ขยนั เรียน ขยนั ทาํ แบบฝึ กหดั มากขึน ผลการเรียนวิชานีน่าจะผา่ น แต่ถ้าไม่รู้ขอ้ มูลเลยโอกาสทีจะ สอบไมผ่ า่ นกจ็ ะมมี ากกว่า ในการพฒั นาชุมชนและสงั คมจาํ เป็นตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู ดา้ นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลเกียวกบั ดา้ น ความเป็ นมา ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ทรัพยากร สิงแวดลอ้ ม สาธารณสุข และการศึกษา เป็นตน้
12 เรืองที 2 ข้อมูลทเี กยี วข้องกบั การพฒั นาชุมชน การพฒั นาชุมชน จาํ เป็นตอ้ งอาศยั ขอ้ มูลหลาย ๆ ดา้ น เพอื ใช้ในการเรียนรู้และคน้ หา ความจริงทีเป็นพลงั ภายในของชุมชนทียงั ไม่ไดพ้ ฒั นา หรือยงั พฒั นาไมเ่ ตม็ ที ขอ้ มูลทีสําคญั ทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน มีดงั นี 1. ขอ้ มูลเกียวกบั ครอบครัวและประชากร ได้แก่ ขอ้ มูลรายรับ รายจา่ ย หนีสิน ของ ครอบครัว จะช่วยใหเ้ ห็นทีมาของปัญหาความยากจน หรือทีมาของรายได้ จาํ นวน รายไดแ้ ละรายจ่ายของครอบครวั ในชุมชน จาํ นวนครัวเรือน เป็นตน้ 2. ขอ้ มูลดา้ นเศรษฐกิจ ได้แก่ จาํ นวน ประเภทของการผลิต การกระจายผลผลิต การเป็ นเจ้าของถือครองทีดิน การเป็ นเจ้าของสถานประกอบการ โรงงาน และ ร้านคา้ การนาํ เขา้ ทรัพยากรจากภายนอก การใชท้ รัพยากรทีมีอย่ใู นทอ้ งถิน การใช้ แรงงาน การบริโภคสินคา้ การใช้ประโยชน์ทีดิน อาชีพ ชนิดของพืชทีปลูก จาํ นวน สตั วท์ ีเลียง ผลผลิต รายได้ เป็นตน้ 3. ขอ้ มูลด้านประเพณีและวฒั นธรรม ได้แก่ จาํ นวนกลุ่มทีส่งเสริมประเพณีและ วฒั นธรรม การละเล่น การกีฬาของท้องถิน ความหลากหลายทางวฒั นธรรม ความเชือศาสนา ระบบเครือญาติ เป็นตน้ 4. ขอ้ มูลดา้ นการเมือง การปกครอง ไดแ้ ก่ การเลือกผนู้ าํ ของคนในชุมชน และบทบาท ของผูน้ ํา การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ดา้ นการปกครอง และการพฒั นา การตดั สินใจของผนู้ าํ ชุมชน โครงสร้างอาํ นาจ ความสัมพนั ธ์ของคนในชุมชนและ ระหวา่ งกลุม่ การรวมกลุ่ม การแบ่งกลุ่ม เป็นตน้ 5. ขอ้ มูลดา้ นสังคม ไดแ้ ก่ การศึกษาอบรม การเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ในชุมชน การดูแล สุขภาพ การใชท้ รัพยากร การใชภ้ ูมิปัญญา กองทุนสวสั ดิการ การรับความช่วยเหลือ จากภายนอก เป็นตน้ 6. ขอ้ มูลดา้ นระบบนิเวศและสิงแวดลอ้ ม ได้แก่ สภาพทรัพยากรธรรมชาติ ดิน นํา อากาศ การจดั การแหลง่ นาํ เช่น แม่นาํ ลาํ คลอง ทะเล ป่ าชายเลน สตั วบ์ ก สตั วน์ าํ
13 สภาพการดาํ รงชีวิตของพืชและสัตว์ การพฒั นาชุมชนกบั จาํ นวนและปริมาณของ ทรัพยากร เป็นตน้ 7. ความตอ้ งการของชุมชน เป็ นความตอ้ งการทีแทจ้ ริงของชุมชนดา้ นตา่ ง ๆ ข้อมูล ดา้ นต่าง ๆ เหล่านีจะเป็ นตวั ชีเกียวกบั \"ทุน\" ทีมีอยู่ในชุมชน ซึงตอ้ งคน้ หา สํารวจ รวบรวมและวิเคราะหเ์ พอื นาํ มาพฒั นาชุมชน การสาํ รวจ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล จะตอ้ ง ร่วมมือช่วยกนั หลายฝ่าย นอกจากนีผูส้ าํ รวจตอ้ งมีความละเอียด ในการใชเ้ ครืองมือ เพราะยิงไดข้ อ้ มูลทีมีความละเอียดมาก ยิงส่งผลต่อความแม่นยาํ ในการวิเคราะห์ ความตอ้ งการ ความจาํ เป็นของชุมชน เรืองที 3 เทคนิคและวธิ กี ารเก็บข้อมลู ชุมชน เทคนิคและวิธีการเก็บข้อมูลทีเกียวขอ้ งกับการพฒั นาชุมชนมีหลายวิธี เช่น การสังเกต การสมั ภาษณ์ การใชแ้ บบสอบถาม การศึกษาจากเอกสาร การสนทนากลุ่ม การสํารวจ การจดั เวที ประชาคม ส่วนการจะเลือกใช้เทคนิควิธีการใด จึงจะเหมาะสมขึนอยู่กบั หลาย ๆ ปัจจัย เช่น แหล่งขอ้ มูล ความสะดวก ความประหยดั ฯลฯ การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลชุมชน ผูศ้ ึกษา สามารถกระทาํ โดยยึดวตั ถุประสงค์ของการศึกษา โดยอาจจาํ แนกประเด็นหลกั และประเดน็ ย่อย เพอื ใหไ้ ดร้ ายละเอียดใหค้ ลอบคลมุ ทุกดา้ น เทคนิควิธีการเกบ็ ขอ้ มลู มีวิธีตา่ ง ๆ เช่น 1. การสังเกต เป็ นวิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยผูส้ ังเกตเฝ้ าดูพฤติกรรมจริงหรือ เหตกุ ารณ์จริง โดยผสู้ ังเกตอาจเขา้ ไปทาํ กิจกรรมร่วมในเหตุการณ์ หรือไม่มีส่วนร่วม โดยการเฝ้ าดู อยู่ห่าง ๆ ก็ได้ การสังเกตมีทงั แบบทีมีโครงสร้าง กบั แบบไม่มีโครงสร้าง การสังเกตแบบมี โครงสร้าง ผสู้ งั เกตตอ้ งเตรียมหวั ขอ้ ขอบข่าย ประเดน็ ทีตอ้ งใช้ในการสังเกตล่วงหนา้ แลว้ บนั ทึก รายละเอียดสิงทสี ังเกตพบเหน็ ตามหวั ขอ้ การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง เป็นการสังเกตไปเรือย ๆ ตามสิงทีพบเหน็
14 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการเกบ็ ขอ้ มูลโดยผูส้ ัมภาษณ์และผูใ้ หส้ ัมภาษณ์ตอ้ งพบหนา้ กนั และมีการสมั ภาษณ์ซกั ถาม โดยใชภ้ าษาเป็นตวั กลางในการสือสาร การสมั ภาษณ์ มีทงั แบบ มีโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้าง การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผูส้ ัมภาษณ์จะเตรียมคาํ ถาม เรียงลาํ ดับคาํ ถามไวล้ ่วงหน้า ตามวตั ถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ ส่วนการสัมภาษณ์แบบไม่มี โครงสร้าง เป็ นการสัมภาษณ์แบบพูดคุยไปเรือย ๆ จะถามคาํ ถามใดก่อนหลังก็ได้ ไม่มีการ เรียงลาํ ดบั คาํ ถาม 3. การใชแ้ บบสอบถาม ผเู้ กบ็ ขอ้ มูลจะตอ้ งเตรียมและออกแบบ แบบสอบถามลว่ งหนา้ แบบสอบถามจะประกอบดว้ ยคาํ ชีแจง วตั ถุประสงค์ รายการขอ้ มลู ทีตอ้ งการถาม จาํ แนกเป็นรายขอ้ ใหผ้ ตู้ อบ ตอบตามขอ้ เทจ็ จริง 4. การศกึ ษาจากเอกสาร เป็นการรวบรวมขอ้ มลู ทีมีผเู้ รียบเรียงไวแ้ ลว้ ในลักษณะของ เอกสารประเภทต่าง ๆ เช่น บทความ หนงั สือ ตาํ รา หรือเวบ็ ไซต์ การเก็บขอ้ มูลดว้ ยวิธีนีจะตอ้ ง คาํ นึงถึงความทนั สมยั 5. การสนทนากลุ่ม เป็นการรวบรวมขอ้ มลู ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม ประชากร อาชีพ ฯลฯ จากวงสนทนาทีเป็นผใู้ หข้ อ้ มลู ทีถกู คดั สรร วา่ สามารถใหข้ อ้ มูล ใหค้ าํ ตอบตรงตามประเดน็ คาํ ถาม ทีผศู้ ึกษาตอ้ งการ มีการถามตอบและถกประเดน็ ปัญหา โดยเริมจากคาํ ถามทีง่ายต่อการเขา้ ใจแลว้ จึงคอ่ ยเขา้ สู่คาํ ถามทีเป็นประเด็นหลกั ของการศกึ ษา แลว้ จบดว้ ยคาํ ถามประเดน็ ยอ่ ย ๆ ขณะเดียวกนั มีผบู้ นั ทึกเกบ็ ขอ้ มลู จากคาํ สนทนาพร้อมบรรยากาศ และอากปั กิริยาของสมาชิกกลุม่ แลว้ สรุปเป็ น ขอ้ สรุปของการสนทนาแตล่ ะครัง 6. การสาํ รวจ การสาํ รวจขอ้ มลู ชุมชนทาํ ไดใ้ นลกั ษณะต่าง ๆ เช่น 1) ขอ้ มูลทคี รอบครัว ควรทาํ เอง ไดแ้ ก่ บญั ชีรายรับ-รายจา่ ยของครอบครัวแตล่ ะครอบครัว รวมทงั หนีสิน 2) ขอ้ มูลทวั ไป ของครอบครัว ได้แก่ จาํ นวนสมาชิก อายุ การศกึ ษา รายได้ ทีทาํ กิน เครืองมือ อุปกรณ์ ความรู้ของ คนในครอบครัว และ การดแู ลสุขภาพ เป็นตน้ 3) ขอ้ มูลส่วนรวมของชุมชน ไดแ้ ก่ ประวตั ิความ เป็นมาของชุมชน ทรัพยากร ความรู้ ภูมิปัญญาเฉพาะดา้ น การรวมกลุ่ม โครงการของชุมชนผูน้ าํ เป็ นตน้ สาํ หรับวิธีการเกบ็ ข้อมูลดว้ ยเทคนิคการสาํ รวจอาจใชแ้ บบสอบถาม หรือแบบสัมภาษณ์ ตามความสะดวก ความประหยดั ของผเู้ กบ็ ขอ้ มูล และไมส่ ร้างความย่งุ ยากใหก้ บั ผใู้ หข้ อ้ มลู
15 7. การจดั เวทีประชาคม เป็ นการพบปะของผคู้ นทีเป็ นผแู้ ทนระดับของกลุ่มต่าง ๆใน ชุมชนซึงผคู้ นเหลา่ นีมีขอ้ มูลประสบการณ์ ความคิดทีหลากหลายไดม้ าร่วมกนั แลกเปลียน ขอ้ มูล ประสบการณ์ ความคิด เพือร่วมกนั กาํ หนดวิสยั ทศั น์ วิเคราะห์ สถานการณ์ ปัญหา วางแผน ดาํ เนินงาน ติดตามประเมินผลการทาํ งานร่วมกนั เพือนาํ ไปสู่การพฒั นาชุมชน ใหส้ ามารถ บรรลุเป้ าหมายร่วมกนั ส่วนเครืองมือทีสําคญั ในการจัดเวทีประชาคม คือ ประเด็นคาํ ถามทีมี ลกั ษณะเป็ น คาํ ถามปลายเปิ ด เพือทาํ ใหผ้ รู้ ่วมเวทีสามารถตอบและอภิปรายได้ละเอียดตามความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของแต่ละคน ทาํ ใหไ้ ด้คาํ ตอบทีเป็ นขอ้ มูลเชิงลึก ซึงเป็ นประโยชน์ต่อ การวิเคราะห์ขอ้ มูลในแต่ละดา้ นต่อไป เรืองที 4 การวเิ คราะห์ข้อมลู หลงั จากการเก็บข้อมูลเสร็จสินแล้ว ผู้เก็บขอ้ มูลควรนาํ ผลจากการจัดเก็บข้อมูลไป ตรวจสอบความถูกตอ้ งและความสมบูรณ์กับแหล่งข้อมูลอีกครังเพือยืนยนั ความถูกต้อง และ เพมิ เติมขอ้ มลู ในส่วนทียงั ไม่สมบูรณ์ใหส้ มบูรณ์มากทีสุด ขนั ตอนถดั มาคือการวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เป็นการนาํ ขอ้ มลู ทีเกบ็ รวบรวมมาได้ มาจดั กระทาํ โดยจาํ แนก จดั กลุ่ม จดั ระบบ หมวดหมู่ เรียงลาํ ดบั คาํ นวณค่าตวั เลข (เชิงปริมาณ) ตีความ สรุป และนาํ เสนอในรูปแบบ ตา่ ง ๆ ใหส้ ามารถสือความหมายได้ เช่น ตาราง แผนภูมิ ภาพ ฯลฯ ขนั ตอนของการวิเคราะหข์ อ้ มูลชุมชน อาจตอ้ งอาศยั ผรู้ ู้เกียวกบั การวิเคราะห์ขอ้ มูลเขา้ มา ใหค้ วามร่วมมือช่วยเหลือในการวเิ คราะหแ์ ละเผยแพร่ขอ้ มูล แต่ขณะเดียวกัน ประชาชนในชุมชน ตอ้ งมีส่วนร่วมเขา้ มาแลกเปลียนเรียนรู้เพอื ใหเ้ กิดการเรียนรู้ร่วมกนั
16 กิจกรรม ใหผ้ ูเ้ รียนทาํ กจิ กรรมตอ่ ไปนี 1. เขียนอธิบายตามความเขา้ ใจของผเู้ รียน 1.1 ความหมาย 1.2 ความสาํ คญั และประโยชนข์ องขอ้ มูล 2. เขียน ระบุ ขอ้ มูลทีเกียวกบั การพฒั นาชมุ ชนอยา่ งนอ้ ย 5 ดา้ น พร้อมยกตวั อยา่ ง รายการขอ้ มลู ในแต่ละดา้ น 3. อธิบายเทคนคิ วิธีการเกบ็ ขอ้ มลู ชุมชนมา 3 วธิ ี 4. ใหอ้ อกแบบเครืองมือ และออกสาํ รวจขอ้ มูลของชุมชนของผเู้ รียนพร้อมนาํ เสนอผล การสาํ รวจแลกเปลียนในกลุ่ม 5. ใหห้ าโอกาสเขา้ มามีส่วนร่วมในขันตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน และหรือ เชิญผรู้ ูเ้ กียวกบั วิธีการวิเคราะห์ขอ้ มูลชุมชนมาอธิบายร่วมแลกเปลียนเรียนรู้
17 บทที 3 การจดั ทําแผนพฒั นาชุมชน สาระสําคัญ แผนพัฒนาชุมชนเป็ นแผนหลกั ทีรวมแนวทางการพฒั นาชุมชนทุกด้านทีเกิดจากการ มีส่วนร่วมของคนในชุมชน ร่วมกนั เรียนรู้และจัดทาํ ขึน โดยมีกระบวนการและขนั ตอนของ การพฒั นาทีเป็นรูปธรรมชดั เจน เพือนาํ ไปใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาและพฒั นาชุมชน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวัง เมือศึกษาบทที 3 จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1. อธิบายขนั ตอนการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน และการทาํ ประชาพจิ ารณแ์ ผนชมุ ชน 2. สร้างสถานการณ์จาํ ลองในการจดั เวทีประชาคมได้ 3. มีส่วนร่วมในการจดั ทาํ แผนและประชาพจิ ารณ์ รวมทงั การประชมุ กลุ่มยอ่ ย 4. ประเมินระดบั การมีส่วนร่วมในการพฒั นาชุมชนของประชาชนในชุมชนได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที 1 กระบวนการจดั ทาํ แผนพฒั นาชมุ ชน เรืองที 2 ขนั ตอนการจดั ทาํ ประชาพจิ ารณ์แผนชุมชน เรืองที 3 ขนั ตอนการทาํ เวทีประชาคม เรืองที 4 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน เรืองที 5 ระดบั การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน
18 บทที 3 การจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน แผนพฒั นาชุมชน มีลกั ษณะเป็นแผนหลกั ทีรวมแนวทางการพฒั นาทุก ๆ ดา้ นของชุมชน เป็นแผนทีเกิดจากการมีส่วนร่วมของผคู้ นในชุมชน และเครือข่ายทีเกียวขอ้ งร่วมกนั จัดทาํ ขึน เพือ มุง่ ใหค้ นในชุมชนไดเ้ รียนรู้และร่วมดาํ เนินการแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั เรืองที 1 กระบวนการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชน การจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนแต่ละชุมชนอาจมีขนั ตอนของการดาํ เนินการพฒั นาชุมชน แตกต่างกนั ไป ขึนอยู่กบั บริบทสิงแวดลอ้ มของชุมชนนนั ๆ แต่โดยทวั ไปการจดั ทาํ แผนพฒั นา ชุมชน มีขันตอนต่อเนืองเป็ นกระบวนการตามลําดับ ตงั แต่ขันการเตรียมการและวางแผน ขนั การจดั ทาํ แผนพฒั นา และขนั การนาํ แผนไปสู่การปฏิบตั ิ ดงั นี 1. ขนั การเตรียมการและการวางแผน เป็นการเตรียมความพร้อมในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี 1.1 การเตรียมหาบคุ คลทีเกียวขอ้ ง เช่น คณะทาํ งาน คณะวิชาการ อาสาสมคั ร ผนู้ าํ ฯลฯ 1.2 การเตรียมการจดั เวทีสร้างความตระหนกั ร่วมในการเป็นเจา้ ของชุมชนร่วมกนั เช่น การร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบตั ิ ทุกขนั ตอน 1.3 การศึกษาพฒั นาการของชุมชน โดยการศึกษา สาํ รวจ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ขอ้ มูลทุก ๆ ดา้ นของชุมชน เช่น ดา้ นเศรษฐกิจ ดา้ นประเพณีวฒั นธรรม ดา้ นการเมืองการปกครอง เป็ นตน้ 1.4 การศึกษาดูงานชุมชนตน้ แบบ เพือเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจากชุมชน ตน้ แบบทีประสบความสําเร็จ จะไดเ้ ห็นตวั อย่างการปฏิบตั ิจริงทีเป็ นรูปธรรม เพือทีจะได้นํา สิงทีดี ๆ ทีเป็ นประโยชน์มาประยุกต์ใชก้ บั ชุมชนตนเอง และช่วยกันคิดวา่ ชุมชนของตน ควรจะ วางแผนบริหารจดั การทีจะนาํ ไปสู่การพฒั นาไดอ้ ยา่ งไร
19 2. ขนั การจดั ทาํ แผนพฒั นา ประกอบดว้ ยขนั ตอนยอ่ ย ๆ ดงั นี 2.1 การร่วมกนั นาํ ขอ้ มลู ทีไดจ้ ากการเตรียมการมาร่วมกนั วเิ คราะห์จดุ แขง็ จุดอ่อน โอกาสและอปุ สรรคของชุมชน เพือประเมินความสามารถ และประสบการณ์ของชุมชนเพือนาํ ไปสู่ การกาํ หนดภาพอนาคตของชุมชนตามทีคาดหวงั (วสิ ยั ทศั น์) 2.2 การร่วมกนั คน้ หา และกาํ หนดการเลอื กทีเหมาะสมในการพฒั นา (ยทุ ธศาสตร์) 2.3 ร่วมกันกาํ หนดแผนงาน โครงการ กิจกรรม และเขียนเอกสารแผนงาน โครงการ และกิจกรรมทีจะพฒั นาแกป้ ัญหาหรือป้ องกนั ปัญหา 2.4 นาํ แผนงาน โครงการ และกิจกรรม นาํ เสนอแลว้ พิจารณาร่วมกนั และให้ ขอ้ มูลเพิมเติม เพอื ใหเ้ ห็นภาพรวมเพือการประสานเชือมโยง และเพือการแบ่งงานกนั รับผิดชอบ 2.5 เมือคณะทาํ งานทกุ ฝ่ายเห็นชอบ จึงนาํ ร่างแผนชุมชนไปทาํ การประชาพิจารณ์ แลกเปลียนเรียนรู้ในเวที เพอื สร้างความเขา้ ใจกบั สมาชิกของชุมชนทงั หมด เป็นการรวมใจเป็นหนึง เดียวทีจะดาํ เนินการพฒั นาร่วมกนั ตามแผน 2.6 ปรับปรุง แกไ้ ข แผนใหถ้ ูกต้องเหมาะสมตามมติ ความคิดเห็นทีไดจ้ ากการ ประชาพจิ ารณ์ 3. ขนั การนําแผนไปสู่การปฏิบัติ และประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ประกอบดว้ ยขนั ตอน ยอ่ ย ๆ ดงั นี 3.1 จดั ลาํ ดบั ความสําคญั ของแผนงานโครงการ 3.2 วเิ คราะห์ความเป็นไปไดข้ องแต่ละโครงการ 3.3 จดั ฝึ กอบรม เพิมเติมประสบการณ์ความรู้เกียวกบั ประเดน็ ทีสําคญั ทีกาํ หนดไว้ ในแผน เพือขยายผลการเรียนรู้ไปยงั คนในชุมชน 3.4 จดั ระบบภายใน เชือมโยงเครือข่ายทังภายในและภายนอกเพือสร้างความ เขม้ แขง็ ใหก้ บั ชุมชน 3.5 ดาํ เนินการปฏิบตั ิตามแผน 3.6 ติดตามความก้าวหน้า และประเมินผลการปฏิบตั ิงานตามแผน รวมทัง ประเมินผลการดาํ เนินงานโครงการและกิจกรรมทีอยใู่ นแผน เพือปรับปรุงแผนใหม้ ีความสมบูรณ์ ยงิ ขึน
20 สําหรับผูท้ ีจะทาํ หนา้ ทีในการประเมิน คือ แกนนาํ และคนในชุมชน เพราะคนเหล่านี เป็นทงั ผบู้ ริหารจดั การ ผปู้ ฏิบตั ิ และผรู้ ับประโยชนโ์ ดยตรง การประเมินผลเมอื เสร็จสินโครงการ หลงั จากทุกฝ่ายไดร้ ่วมมอื กนั ทาํ งานตามแผนชุมชนของตนเองแลว้ ควรจดั ประชุม สรุปผล การดาํ เนินงานร่วมมือกนั เมือเสร็จสินโครงการ เพือเป็นการสรุปบทเรียนทงั โครงการวา่ ไดผ้ ลลพั ธ์ ตามเป้ าหมายหรือไม่ นนั คือ คนในชุมชนมีพฒั นาการและเกิดการเปลียนแปลงอย่างไร มีสิงทีดี ๆ อะไรเกิดขึนบา้ งทีเป็นผลพวงของการพฒั นา มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร มีวิธีการแกไ้ ขให้บรรลุผล สาํ เร็จหรือไม่ อยา่ งไร ถา้ จะพฒั นาตอ่ ไปควรปรับปรุงขนั ตอนใด ฯลฯ ทงั นีเพือรวบรวมขอ้ คิดเห็น หลงั การทาํ งานแลว้ ถอดและสรุปเป็ นบทเรียน เพือเป็นแนวทางในการทาํ กิจกรรมหรือโครงการ พฒั นาอืนตอ่ ไป เรืองที 2 ขนั ตอนการจดั ทาํ ประชาพจิ ารณ์แผนชุมชน เมือชุมชนร่วมกันจดั ทาํ แผนชุมชนและโครงการเสร็จแลว้ ขนั ตอนต่อไปจะเป็ นการ นาํ แผนชุมชนฉบบั ร่างไปพจิ ารณาขอรบั ความคิดเหน็ จากประชาชนทีมสี ่วนไดส้ ่วนเสีย หรือไดร้ ับ ผลกระทบจากแผนทีจดั ทาํ ขึน เรียกขนั ตอนนนั ว่า “การจดั ทาํ ประชาพจิ ารณ์” การจดั ทาํ ประชาพิจารณ์แผนชุมชน เป็ นการนาํ เสนอแผนให้ประชาชนในชุมชนไดร้ ับ ทราบโดยทัวกัน ในขันตอนนีควรให้โอกาสประชาชนได้อภิปราย แลกเปลียนเรียนรู้ ให้ ขอ้ เสนอแนะ ปรับปรุงแกไ้ ข เป็นการแสดงออกร่วมกนั ในเวที เป็นการวิพากษว์ จิ ารณ์ ในลกั ษณะที สร้างสรรค์ เพือทีจะร่วมมือกนั ดาํ เนินงานใหบ้ รรลุเป้ าหมาย นนั คือ การพฒั นาชุมชนทีอาศยั การ พึงพาตนเอง โดยอาศยั แผนงาน โครงการและกิจกรรมทีร่วมกนั กาํ หนดขึน การประชาพิจารณ์ควร ดาํ เนินการดงั นี 1. เตรียมการประชาสัมพนั ธ์สือสารใหป้ ระชาชนไดเ้ ขา้ ร่วมเวทีประชาพิจารณ์ เตรียม เอกสารแผนงานโครงการทีร่วมกันคิด ร่วมกนั กาํ หนดติดต่อและเตรี ยมวิทยากร และคณะ ผดู้ าํ เนินการรวมทงั เตรียมความพร้อมในการจดั เวที
21 2. จดั เวที สร้างความเขา้ ใจกบั สมาชิกของชุมชนทงั หมดโดยเชิญผนู้ าํ ตวั แทนกลุ่มต่าง ๆ และ ประชาชนในชุมชนร่วมเวที 3. ประชาพิจารณ์ วิพากษว์ ิจารณ์ แลกเปลียนเรียนรู้ ร่วมแรงร่วมใจให้เป็ นหนึงเดียว เพอื ร่วมกนั ปฏิบตั ิการตามแผน 4. ปรับปรุง แกไ้ ขแผนใหม้ ีความถูกตอ้ งเหมาะสมตามมติของทีประชุม โดยเขียนแผน เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร จดั ทาํ เป็นเอกสารใหช้ ุมชนไดศ้ ึกษา และนาํ ไปปฏิบตั ิให้เป็ นไปในแนวทาง เดียวกนั องค์ประกอบของแผนชุมชน โดยทวั ไป แผนชุมชนมอี งคป์ ระกอบหลกั ในการเขียนดงั นี คือ 1. วสิ ยั ทศั น์ (ภาพอนาคตทีจะไปใหถ้ ึง) 2. เป้ าหมาย 3. ยทุ ธศาสตร์ (กลวธิ ี) 4. วตั ถุประสงค์ 5. ขอ้ มูลชุมชน ทีจาํ แนกเป็นหมวดหมู่ 6. แผนงาน โครงการ และกิจกรรม 7. แผนการปฏิบตั ิงาน แนวทางหรือวธิ ีการดาํ เนินการ 8. จาํ นวนงบประมาณ และทีมาของงบประมาณ 9. ระยะเวลาดาํ เนินการ 10. ตวั บ่งชีความสาํ เร็จ ส่วนองคป์ ระกอบปลีกยอ่ ยอืนอาจเขียนเพมิ เติมตามความจาํ เป็น และเหมาะสมตามบริบท สิงแวดลอ้ มของแตล่ ะชุมชน
22 เรืองที 3 ขนั ตอนการทาํ เวทปี ระชาคม เวทีประชาคมเป็นสถานทีทีผคู้ นรวมตวั กนั เพอื พดู คุยแลกเปลียนขอ้ มลู ความคิดเหน็ แกไ้ ข ปัญหา พฒั นาหรือปฏิบตั ิร่วมกนั เพือประโยชน์ของชมุ ชน โดยใชก้ ารมีส่วนร่วมในการคน้ หาขอ้ มลู วเิ คราะหข์ อ้ มูลและกาํ หนดกิจกรรมทีจะนาํ ความเห็นร่วมขบั เคลือนไปสู่การปฏิบตั ิ ขนั ตอนการทาํ ประชาคม (กรมการพฒั นาชุมชน. 2543 : 420) มีขนั ตอนดงั นี 1. ขันเตรียมการ 1.1 ศึกษา วเิ คราะห์ ขอ้ มลู ทีเกียวขอ้ งกบั ชุมชน และทีเป็นประเดน็ ร่วมของชมุ ชน กาํ หนดประเด็นเนือหา และวธิ ีการ 1.2 จดั ตงั คณะทาํ งานประชาคม พร้อมทงั กาํ หนดบทบาทหนา้ ทีของคณะทาํ งาน ให้ชัดเจน เช่น ผูน้ าํ ประชาคมทาํ หน้าทีกระตุ้นให้ประชาชนได้ร่วมคิดตามประเด็น สร้างบรรยากาศ การมีส่วนร่วมผชู้ ่วยผนู้ าํ ประชาคม ทาํ หนา้ ทีเสนอประเดน็ ทีผนู้ าํ ประชาคม เสนอไม่ครบถว้ น หรือ ผดิ พลาด รวมทงั บรรยากาศใหเ้ กิดการตืนตวั เกิดการผอ่ นคลาย ผูอ้ าํ นวยความสะดวก ทาํ หนา้ ที ใหบ้ ริการดา้ นต่าง ๆ เป็นตน้ 1.3 กาํ หนดจาํ นวนประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ทีเป็นผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย ประมาณ 30-50 คน เช่น กรรมการหมู่บา้ น ผูน้ าํ กลุ่มอาชีพ ผนู้ าํ ทอ้ งถิน ผนู้ าํ ตามธรรมชาติและอาสาสมคั ร เป็ นตน้ 1.4 กาํ หนดระยะเวลาของการทาํ ประชาคม โดยพิจารณาให้มีความเหมาะสม ตามความพร้อมของประชาชนและขึนอยู่กบั ประเด็นการพูดคุย แต่ต้องไม่กระทบต่อเวลา การประกอบอาชีพของประชาชน 1.5 เตรียมชุมชน สถานที วสั ดุอปุ กรณ์ สือการเรียนรู้ต่าง ๆ ทีใช้ในการประชาคม และประสานงานกบั ทุกฝ่ ายทีเกียวขอ้ ง 2. ขันดําเนินการ 2.1 เตรียมความพร้อมของประชาชนทีเขา้ ร่วมประชาคม เช่น สร้างความคุน้ เคย การแนะนาํ ตวั ละลายพฤติกรรม ใหท้ ุกคนไดร้ ู้จกั กนั โดยทวั ถึง กาํ หนดวตั ถุประสงค์ ขอบเขต กติกา ในการทาํ ประชาคมใหช้ ดั เจน
23 2.2 แลกเปลียนเรียนรู้ซึงกนั และกนั ทงั คณะทาํ งานและประชาชนร่วมกนั สะทอ้ น ความคิดเหน็ ตอ่ ประเดน็ 2.3 คน้ หาปัจจยั เกือหนุนหรือ “ทุน” ในชุมชน โดยร่วมกนั พิจารณาจุดเด่น จดุ ดอ้ ย ขอ้ จาํ กดั และโอกาสของการพฒั นาชุมชน ระดมสมองคน้ หา ทรัพยากรต่าง ๆ ทีมีอยู่ใน ชุมชน รวมทงั ทนุ ทางสังคม ได้แก่ วฒั นธรรม ประเพณี ระบบเครือญาติ ความเอืออาทร ฯลฯ เพือใช้ทุน เหลา่ นีเป็นพลงั ขบั เคลือนกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน 3. ขันติดตามและประเมนิ ผลการดําเนินการ 3.1 คณะทาํ งานและประชาชนกลุ่มเป้ าหมายร่วมกนั แสดงผลประเมนิ จดุ เด่น จดุ ดอ้ ย ขอ้ บกพร่อง และสิงทีควรปรับปรุง สําหรบั การทาํ ประชาคมครังต่อไป รวบรวมผลงาน ทีผา่ นมา เพือเผยแพร่และประชาสมั พนั ธ์ 3.2 ติดตามผลหลงั การดาํ เนินงาน เมือจดั ประชาคมเสร็จสินแลว้ เช่น คณะทาํ งาน ประชาชนกลุ่มเป้ าหมาย และผูเ้ กียวข้องทุกฝ่ าย ตอ้ งประสานงานเพือให้เกิดการสนับสนุน การดาํ เนินงานตามมติของประชาชนอยา่ งต่อเนือง ใหก้ าํ ลงั ใจ ช่วยเหลือกนั และกนั อย่างจริงจงั วัตถปุ ระสงค์ของการทําประชาคม ในการทาํ ประชาคมมีวตั ถปุ ระสงคท์ ีสาํ คญั หลายประการ (ณฐั นรี ศรีทอง, 2552, 418-419) ดงั นี 1. เพือส่งเสริมใหป้ ระชาชนเกิดการเรียนรู้ซึงกนั และกนั อยา่ งต่อเนือง โดย สามารถคิดวิเคราะหไ์ ดด้ ว้ ยตนเอง 2. เพอื ส่งเสริมใหป้ ระชาชนไดว้ ิเคราะหป์ ัญหาของชุมชน และสามารถกาํ หนด ทิศทางการทาํ งานดว้ ยตนเอง 3. เพือสร้างจิตสาํ นึกสาธารณะใหเ้ กิดขึน ประชาชนในชมุ ชนรูจ้ กั ทาํ งานเพอื ส่วนรวม และการพึงพาตนเอง 4. เพอื คน้ หาผนู้ าํ การเปลียนแปลง (แกนนาํ ) ในชุมชน 5. เพอื เป็นการระดมพลงั สมองในการคิดแกป้ ัญหาทีตอบสนองต่อความตอ้ งการ ทีแทจ้ ริงของประชาชน (ประเด็นร่วม)
24 6. เพือใหป้ ระชาชน หน่วยงานต่าง ๆ ทังภาครัฐและเอกชน มีส่วนร่วมใน การตดั สินใจ ลงมือปฏิบตั ิ และติดตามผล ประเมินผลการทาํ งานเชิงพฒั นาร่วมกนั 7. เพือให้มีทางเลือกในการแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั ของประชาชน โดยเชือมโยง ประสบการณ์ต่าง ๆ และพฒั นาการคิดอยา่ งเป็ นระบบ 8. เพือก่อให้เกิดเวทีสาํ หรับการปรึกษาหารือ พบปะ พดู คุย แสดงความคิดเห็น ร่วมกนั ของคนในชุมชน เรืองที 4 การมสี ่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน การจดั กิจกรรมการพฒั นาชุมชนทีก่อใหเ้ กิดการมีส่วนร่วมของประชาชนนนั สามารถ ทาํ ไดห้ ลายวิธี เช่น การจดั เวทีประชาคม การประชุมกลุ่มย่อยเพือระดมความคิดเห็นร่วมต่อ ประเด็นใดประเด็นหนึง การฝึ กอบรมเพือพัฒนา หรื อส่งเสริ มศักยภาพของประชาชน การประชาพิจารณ์ เพือการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เกียวกับประเด็นทีมีผลกระทบต่อ ประชาชนจาํ นวนมาก ฯลฯ กิจกรรมต่าง ๆ เหลา่ นีประชาชนทุกคนสามารถเขา้ ไปมีส่วนร่วม เพราะ เป็ นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน แต่การเขา้ ไปมีส่วนร่วมในแต่ละกิจกรรมจาํ เป็นตอ้ งเขา้ ใจ และ แสดงบทบาทของตนเองใหถ้ ูกตอ้ ง สอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั กิจกรรมทีจดั ขึน 4.1 การมสี ่วนร่วมของประชาชนในเวทีประชาคม เวทีประชาคมเป็นกิจกรรมหนึงทีมีวิธีการกระตนุ้ ใหก้ ลุ่มประชาชนไดเ้ กิดการเรียนรู้ อย่างมีส่วนร่วมระหว่างผูท้ ีมีประเดน็ ร่วมกนั โดยจดั เวทีสือสารพูดคุยกนั ขึน เพือสร้างการรับรู้ สร้างความเขา้ ใจในประเดน็ ปัญหาร่วม เพือให้ไดข้ อ้ สรุปและแนวทางแกไ้ ขประเดน็ นนั ๆ แลว้ ช่วยกนั ผลกั ดนั ใหเ้ กิดผลตามแนวทางและเป้ าหมายทีไดก้ าํ หนดขึนร่วมกนั การเขา้ มามีส่วนร่วมของประชาชนในเวทปี ระชาคม ประชาชนอาจแสดง บทบาท ของตนเองไดด้ งั นี 1. ควรทาํ ความเขา้ ใจตอ่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการทาํ ประชาคมอยา่ งชดั เจน
25 2. ควรใชค้ วามคิดและนาํ เสนอโดยการพดู สือสารใหเ้ หน็ ความเชือมโยง และเป็น ระบบ 3. พยายามเขา้ ใจและเรียนรู้รับฟังเหตผุ ลของผอู้ นื 4. ควรรบั ฟังประเดน็ และความคิดเหน็ ของผอู้ นื อยา่ งตงั ใจ หากไม่เขา้ ใจ ควรซกั ถามผดู้ าํ เนินการดว้ ยความสุภาพ 5. ความคิดเหน็ ควรมีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสม 6. ควรเสนอความคิดเห็นอยา่ งสร้างสรรค์ นนั คือใช้เหตแุ ละผลประกอบ ความคิดเหน็ 7. รับฟงั และเคารพความคิดเหน็ ของผอู้ ืน เพราะแตล่ ะคนมีสิทธิเสรีภาพในการ แสดงความคิดเหน็ อยา่ งเท่าเทียมกนั 8. แสดงความคิดเห็นต่อประเดน็ ร่วมอยา่ งตรงไปตรงมา 9. ไม่วางตนเป็ นผขู้ ดั ขวางต่อการดาํ เนินงาน 4.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน 1. การมีส่วนร่วมในการค้นหาสาเหตุของปัญหา เนืองจากปัญหาเกิดกับ ประชาชน ประชาชนในชุมชนย่อมรู้จักและเข้าใจปัญหาของตนดีทีสุด หากไดร้ วมกลุ่มกัน จะสามารถช่วยกนั คิดวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุไดอ้ ย่างชดั เจนและรอบดา้ น 2. การมีส่วนร่วมในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ประชาชนอาจร่วมกนั ใชข้ อ้ มูลทีได้ จากการสาํ รวจและเรียนรู้ร่วมกนั จากการรวมกลุ่มแลกเปลียนความคิดเห็น จากการคน้ หาศกั ยภาพ ของชุมชน หรือจากการศึกษาดูงาน แลว้ นาํ ขอ้ มูลเหล่านนั มาคิดวางแผนร่วมกนั ตดั สินใจร่วมกนั ขนั ตอนนีอาจคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป และอาศยั แกนนาํ ทีเขม้ แขง็ 3. การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ เนืองจากประชาชนมีทุนของตนเอง ตงั แต่ แรงงาน ประสบการณ์และทรัพยากร หากไดร้ ่วมกนั ปฏิบัติโดยใช้ทุนทีมีอยู่ยอ่ มทาํ ให้รู้สึกถึง ความเป็นเจา้ ของร่วมกนั เกิดการเรียนรู้ในการทาํ งานร่วมกนั การแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั โอกาสทีจะ นาํ ไปสู่เป้ าหมายจึงมีสูงกวา่ การปฏิบตั ิโดยอาศยั บคุ คลภายนอก
26 4. การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล เมือประชาชนเป็นผปู้ ฏิบตั ิ และ ขณะเดียวกนั ประชาชนควรเป็นผตู้ ิดตามและประเมนิ ผลร่วมกนั เพอื จะไดร้ ่วมกนั พจิ ารณาว่าสิงที ดาํ เนินการร่วมกนั นนั เกิดผลดีบรรลตุ ามเป้ าหมายทีกาํ หนดหรือไม่เพยี งใด ควรปรับปรุงอยา่ งไร ซึงจะทาํ ใหป้ ระชาชนเหน็ คุณค่าของการทาํ กจิ กรรมเหล่านนั 4.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการประชุมกล่มุ ย่อย การประชุมกลุ่มย่อยเป็นการประชุมเพือระดมความคิด สาํ หรับการทาํ งานอยา่ งใด อย่างหนงึ โดยมีผเู้ ขา้ ประชุมประมาณ 4-12 คน องค์ประกอบของการประชุมกลุ่มย่อย 1. กาํ หนดประเดน็ การประชุม 2. ผเู้ ขา้ ประชุมประกอบดว้ ย 1) ประธาน 2) เลขานุการ 3) สมาชิกกลมุ่ 3. เลือกและกาํ หนดบทบาทผเู้ ขา้ ประชมุ เพือทาํ หนา้ ทตี า่ ง ๆ เช่น ประธานทที าํ หนา้ ที ดาํ เนินการประชุม เลขานุการทาํ หนา้ ทีสรุปความคิดเห็นของทีประชุม จดบนั ทึกและรายงานการ ประชุม สมาชิกกลมุ่ ทาํ หนา้ ทีแสดงความเหน็ ตามประเดน็ 4. สถานทีกาํ หนดตามความเหมาะสม วธิ ีการประชุมกลุ่มย่อย 1. ประธานเป็นผทู้ าํ หนา้ ทีเปิ ดประชุม แจง้ หวั ขอ้ การประชมุ ใหส้ มาชิกในทีประชุม รับทราบ 2. ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมอาจชว่ ยกนั ตงั หวั ขอ้ ยอ่ ยของประเดน็ บางครังหน่วยงานเจา้ ของ เรืองทีจดั ประชุมอาจกาํ หนดประเดน็ และหวั ขอ้ ยอ่ ยไวใ้ หแ้ ลว้ 3. ประธานเสนอประเดน็ ใหส้ มาชิกทีประชุมอภิปรายทีละประเดน็ และสรุปประเดน็ การพดู คุย 4. สมาชิกทีประชุมร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ 5. เลขานุการจดบนั ทึกสรุปความคิดเหน็ ของทีประชุม และจดั ทาํ รายงานหลงั จาก ประชมุ เสร็จสินแลว้
27 การมสี ่วนร่วมของสมาชิกในการประชุมกลุ่มย่อย ในการประชุมกลมุ่ ยอ่ ยจาํ เป็นตอ้ งอาศยั ความคิดเห็นของสมาชิกทกุ คน ดงั นนั เพอื ใหก้ าร จดั ประชุมบรรลตุ ามเป้ าหมาย สมาชิกในทีประชมุ ควรมีส่วนร่วมดงั นี 1. พดู แสดงความคิดเหน็ พร้อมเหตุผลทีละคน 2. ในการพดู สนบั สนุนความคิดเห็นของผอู้ ืน ควรแสดงความคิดเหน็ และใชเ้ หตผุ ล ประกอบ 3. ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมสามารถแสดงความคิดเห็น คดั คา้ นความคิดเห็นของผอู้ นื ได้ แต่ควร ใช้เหตุผลและความเป็นไปไดใ้ นการคดั คา้ น 4. ควรใชค้ าํ พดู ทีสุภาพ เช่น ขอโทษ ขอบคุณ ในโอกาสทีเหมาะสม เรืองที 5 ระดับการมสี ่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชน การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการพฒั นาชุมชนทุกขันตอนของการพฒั นา ตงั แตก่ ารร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบตั ิ ร่วมกาํ กบั ติดตาม ร่วมประเมินผล และรับผลประโยชน์ จากการพฒั นาหากการพฒั นาเป็ นไปตามกระบวนการดงั กล่าว ถือว่าการพฒั นานันเป็ นของ ประชาชนโดยแท้จริง เพราะเป็ นสิงทีชีให้เห็นถึงความพร้อม ความตืนตัว ความร่วมมือ ความเขม้ แขง็ เป็นปึ กแผ่นของชุมชนซึงเป็นตวั บง่ ชีของการพฒั นาแบบพึงพาตนเอง ระดบั ของการมีส่วนร่วมแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ระดบั ดงั นี คอื 1. ระดบั เป็นผรู้ ับประโยชน์จากการพฒั นา เป็นการเขา้ มามีส่วนเกียวขอ้ ง ดว้ ยการรับผล ประโยชน์เพยี งอยา่ งเดียว ถือเป็นระดบั ตาํ สุดของการมีส่วนร่วม หากชุมชนใด ประชาชนส่วนใหญม่ ีส่วนร่วมในระดบั นี ยงั จาํ เป็นทีจะตอ้ งพฒั นาความร่วมมือ ความเป็นปึ กแผ่น ใหม้ ีพลงั เป็นหนึงเดียว ยงั ไม่ถอื วา่ เป็นการพฒั นาโดยประชาชน 2. ระดบั เป็นผใู้ หค้ วามร่วมมือ ประชาชนเขา้ มามีส่วนเกยี วขอ้ งโดยคอยให้ ความร่วมมือกบั เจา้ หนา้ ทรี ัฐตามโอกาสและเวลาทีเจา้ หนา้ ทีรัฐเป็นผกู้ าํ หนด
28 เป็นการใหค้ วามร่วมมือในระดบั ทีดี แตย่ งั เป็นระดบั ทีประชาชนยงั ไม่ไดเ้ ป็นผู้ ตดั สินใจ และลงมือปฏิบตั ิการเอง 3. ระดับเป็ นผูต้ ัดสินใจ ประชาชนจะเป็ นผูศ้ ึกษาสถานการณ์ และตัดสินใจทีจะ ดาํ เนินการพฒั นาเรืองต่าง ๆ ตลอดกระบวนของการพฒั นาดว้ ยตนเองนับตงั แต่ การร่วมมือวางแผน การปฏิบตั ิ การประเมิน และการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกนั เจา้ หน้าที รัฐ เป็นเพียงผใู้ หค้ าํ ปรึกษาหากประชาชนทีมีส่วนร่วมในลกั ษณะนีถือวา่ เป็นระดบั สูงสุดของการมีส่วนร่วม
29 กิจกรรม ใหผ้ ูเ้ รียนทาํ กิจกรรมตอ่ ไปนี 1. อธิบายขนั ตอนของการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนทงั 3 ขนั ตอน พร้อมยกตวั อยา่ ง การมี ส่วนร่วมของตนเองในการพฒั นาทอ้ งถินหรือชมุ ชนของตนเอง 2. อธิบายขนั ตอนการจดั ทาํ ประชาพจิ ารณแ์ บบพฒั นาชุมชน 3. หาโอกาสเขา้ ร่วมสังเกตการณ์ หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรม การจดั ทาํ แผนพฒั นา ชุมชน และการประชาพจิ ารณ์แผนพฒั นาชุมชน รวมทงั การประชุมกลุ่มยอ่ ยในทอ้ งถิน หรือชุมชน ของผเู้ รียน แลว้ บนั ทึกขนั ตอนหรือกระบวนการจากการสังเกตลงในสมดุ บนั ทึก 4. เชิญแกนนาํ หรือนกั พฒั นาชุมชนมาใหค้ วามรูเ้ กียวกบั กระบวนการจดั ทาํ แผนพฒั นา ชุมชน พรอ้ มจดบนั ทึกขนั ตอนและกระบวนการจดั ทาํ แผน 5. ให้สังเกตและประเมินระดบั การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของประชาชน ในชุมชนของผเู้ รียนว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมอยใู่ นระดบั ใด 6. หาโอกาสศึกษาดูงานเกียวกับการพฒั นาชุมชนในพืนทีใกลเ้ คียง แลว้ นาํ ผลของ การศกึ ษามาเปรียบเทียบกบั ชุมชนของตนเอง 7. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม (ตามความเหมาะสม) สร้างสถานการณ์จาํ ลอง จัดทําเวที ประชาคม โดยใหท้ กุ คนร่วมกนั กาํ หนดประเดน็ และมีส่วนร่วมในการจดั เวทีประชาคม ภายใตก้ าร ใหค้ าํ ปรึกษาแนะนาํ ของครูประจาํ กลุ่ม
30 บทที 4 การเผยแพร่ผลการปฏิบตั ิ สาระสําคัญ การเผยแพร่ผลการปฏิบตั ิงานตามกระบวนการพฒั นาชุมชนเป็ นขนั ตอนของการสือสาร ผลการดําเนินงานให้สาธารณชนได้รับรู้ การสือสารอาจเขียนเรียบเรี ยงเป็ นรายงานผล การดาํ เนินงาน ซึงมีรูปแบบเฉพาะ นอกจากนีในการทาํ งานพฒั นาเมือเสร็จสินการวางแผน ก่อนที จะถึงขนั ตอนการปฏิบตั ิ จาํ เป็ นตอ้ งเขียนโครงการเพือสือสารกระบวนการดาํ เนินงานในอนาคต เพือเป็นเครืองมือขบั เคลือนไปสู่การปฏิบตั ิอยา่ งเป็ นระบบและมีเป้ าหมายทีชดั เจน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั เมือศกึ ษาบทที 4 จบแลว้ ผเู้ รียนสามารถ 1. อธิบายความหมาย ลกั ษณะองคป์ ระกอบสาํ คญั ของโครงการ 2. อธิบายส่วนประกอบทีสาํ คญั หลกั การเขียน และรูปแบบของรายงานผล การดาํ เนินงานได้ 3. เขียนโครงการพฒั นาชุมชนได้ 4. สรุปความหมาย และความสาํ คญั ของรายงานผลการดาํ เนินงานได้ 5. เขียนรายงานผลการดาํ เนินงานพฒั นาชุมชนได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที 1 การเขียนโครงการพฒั นาชุมชน เรืองที 2 การเขียนรายงานผลการดาํ เนินงานพฒั นาชุมชน
31 บทที 4 การเผยแพร่ผลการปฏบิ ัติ กระบวนการพฒั นาชุมชนอาจเริมจากการจดั ทาํ แผนพฒั นาชุมชนการเขียนโครงการ ขบั เคลือนไปสู่การปฏิบตั ิตามแผนงานและโครงการนัน ๆ แลว้ สรุปบทเรียนประเมินผลโครงการ เขียนรายงานผลการดาํ เนินงาน แล้วดาํ เนินการพฒั นาต่อไปตามกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการ โดยการเขียนโครงการเพือการนาํ ไปปฏิบตั ิต่อไป การเขียนโครงการและรายงานผลการดาํ เนินงาน มีลกั ษณะเฉพาะและมีรูปแบบทีแตกตา่ งกนั ผเู้ ขียนจาํ เป็นตอ้ งศึกษาองคป์ ระกอบ และรายละเอียด ใหช้ ัดเจนจึงจะลงมือเขียนได้ เรืองที 1 การเขยี นโครงการพฒั นาชุมชน 1.1 ความหมายของโครงการ มีผูใ้ หค้ วามหมายของคาํ วา่ “โครงการ” ไวห้ ลายความหมาย ดงั นี 1) โครงการ หมายถึง กลุ่มกิจกรรมทีตอบสนองวตั ถปุ ระสงค์ โดยมีเวลาเริมตน้ และสินสุดทชี ดั เจน (ศนู ยเ์ ทคโนโลยีทางการศกึ ษา. 2545 : 37) 2) โครงการ หมายถึง กลุม่ กิจกรรมทีมีความสัมพนั ธ์เกียวข้องกนั มุ่งตอบสนอง เป้ าหมายเดียวกนั มีระยะเวลาเริมตน้ และสินสุดทีชัดเจน เป็ นงานพิเศษทีต่างจากงานประจํา (ทวปี ศริ ิรัศมี. 2544 : 31) 3) โครงการ หมายถึง กิจกรรมทีจดั ทาํ ขึน เพือจะแสดงใหเ้ ห็นว่าจะทาํ งานอะไร อย่างไร ทีไหน เมือไร และจะเกิดผลอยา่ งไร (กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน. 2537 : 7) สรุปความหมายของโครงการ หมายถึง กลุ่มกิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหนึงทีจดั ทาํ ขึน โดยมี วตั ถุประสงคก์ ารปฏิบตั ิ และช่วงเวลาทีชดั เจน
32 1.2 ลักษณะของโครงการ โครงการทีดีโดยทวั ไปตอ้ งมีลกั ษณะทีสาํ คญั ดงั นี 1) นาํ ไปปฏิบตั ิได้ 2) สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คม วฒั นธรรม ชุมชน 3) มีรายละเอียดเพยี งพอ ระบชุ ว่ งเวลา กลุม่ เป้ าหมายแนวทางการปฏิบตั ิ ทรัพยากร (บคุ ลากร งบประมาณ ฯลฯ) 4) มีตวั บง่ ชีทีนาํ ไปสู่การพฒั นา 1.3 วธิ ีพฒั นาโครงการ โครงการเป็ นกรอบการคิดวางแผนเค้าโครงการทํางานในอนาคต การพัฒนา โครงการ มีขนั ตอนพอสรุปไดด้ งั นี 1) ศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัจจุบันของชุมชนเพือกําหนดปัญหาและ ความตอ้ งการในการพฒั นา 2) กาํ หนดวตั ถุประสงคแ์ ละเป้ าหมายของการทาํ งาน 3) กาํ หนดกิจกรรมและจดั ทาํ รายละเอียดตามองคป์ ระกอบของโครงการ 4) กาํ หนดทรัพยากร เช่น งบประมาณ บุคลากร 5) กาํ หนดการติดตาม/ประเมินผล 1.4 โครงสร้าง/องค์ประกอบของโครงการ โดยทวั ไปการเขียนโครงการจะตอ้ งเขียนตามหัวขอ้ ต่างๆ เพือผูเ้ กียวข้องทุกฝ่ าย จะไดท้ ราบว่าจะทาํ อะไร อย่างไร ทีไหน เมือไร สาํ หรับโครงสร้างหรือองคป์ ระกอบทีมกั ใช้ใน การเขียนโครงการ มีดงั นี 1) ชือโครงการ ควรเขียนเป็นขอ้ ความทีมีความหมายชดั เจน กระชบั และเขา้ ใจ ง่าย 2) หลกั การและเหตผุ ล ควรเขียนลกั ษณะบรรยายรายละเอียดตงั แต่ สภาพความ เป็นมา เหตุผลความจาํ เป็น หลกั การมีทฤษฎี นโยบาย สถิติทีเป็นขอ้ มูลอา้ งอิงประกอบ
33 3) วตั ถุประสงค์เป็นขอ้ ความทีแสดงถึงความตอ้ งการทาํ สิงหนึงสิงใดที สอดคลอ้ งกบั หลกั การเหตผุ ล สามารถปฏิบตั ิได้ อาจระบุปริมาณหรือคณุ ภาพของการดาํ เนินงานดว้ ย กไ็ ด้ 4) เป้ าหมายการดาํ เนินงาน เป็นรายละเอียดทีแสดงผลผลิตของโครงการ ในเชิง ปริมาณ และคุณภาพทีมีลกั ษณะเหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ 5) วิธีดาํ เนินงาน เป็ นรายละเอียดเกียวกับกิจกรรมทีจะปฏิบัติให้บรรลุตาม วตั ถุประสงค์ กิจกรรมอาจมีมากกวา่ 1 กิจกรรม โดยเขียนเรียงตามลาํ ดบั จากการเริมตน้ จนสินสุด การทาํ งาน แสดงระยะเวลาทีชดั เจนแต่ละกิจกรรม อาจแสดงดว้ ยปฏิทินการปฏิบตั ิงาน 6) ระยะเวลา ควรระบรุ ะยะเวลาตงั แตเ่ ริมตน้ โครงการจนเสร็จสินโครงการ 7) ทรัพยากรหรืองบประมาณทีใช้ในการดาํ เนินการ ซึงต้องสอดคล้องกับ เป้ าหมายและกิจกรรม 8) เครือข่ายทีเกียวขอ้ ง ระบุ กลุม่ บคุ คล ชุมชน หน่วยงานทเี กียวขอ้ งทีสนับสนุน ส่งเสริมและสามารถขอประสานความร่วมมือในการดาํ เนินงาน 9) การประเมินผล ระบุวิธีการประเมินเป็ นระยะตลอดการดาํ เนินงาน เช่น กอ่ นโครงการ ระหวา่ ง สินสุดโครงการ เพอื จะไดท้ ราบวา่ งานทีจะทาํ เป็นไปตามวตั ถุประสงค์ และ เป้ าหมายหรือไม่ คุณภาพของงานเป็นอยา่ งไร 10) ผรู้ ับผิดชอบโครงการ ระบุ ชือผูร้ ับผิดชอบ หรือหน่วยงาน พร้อมหมายเลข โทรศพั ท์ เพือความชดั เจนและสะดวกในการติดตอ่ 11) ความสัมพนั ธ์กบั โครงการอืน ระบุชืองาน หรือโครงการ ทีเกียวขอ้ งของ หน่วยงาน หรือชุมชนว่ามีโครงการใดบา้ งทีสัมพนั ธ์กบั โครงการนี และเกียวขอ้ งในลกั ษณะใด เพอื ความร่วมมือในการทาํ งาน 12) ผลทีคาดว่าจะไดร้ ับ เป็ นผลทีเกิดผลจากการทีโครงการบรรลุวตั ถุประสงค์ และเป้ าหมายโดยระบถุ ึงผลทีจะไดร้ ับภายหลงั การดาํ เนินโครงการ ผลดงั กล่าวควรสอดคลอ้ งกับ วตั ถุประสงคข์ องโครงการ
34 เรืองที 2 การเขยี นรายงานผลการดําเนินงานพฒั นาชุมชน การเขียนผลการดาํ เนินงานของบุคคล กลุ่ม องคก์ รหรือหน่วยงาน เป็ นการเขียน รายงานซึงมีวิธีการเขียนแตกต่างกนั แต่การเขียนรายงานทีสามารถสือสารใหเ้ ข้าใจ จาํ เป็ นตอ้ งมี การวางแผนและเรียบเรียงอย่างเป็ นระบบ จึงจะทาํ ให้รายงานฉบบั นนั มีประโยชน์ น่าอ่าน และ นาํ ไปใชใ้ นการวางแผนไดอ้ ย่างต่อเนือง และสามารถใช้เป็นขอ้ มูลสารสนเทศ เพือการปรับปรุง พฒั นางานต่อไป 2.1 ความหมายและความสําคัญของรายงานผลการดาํ เนินงาน รายงาน คือ เอกสารทีเสนอรายละเอียดเกียวกับข้อมูลพืนฐาน เป้ าหมาย ผลการดาํ เนินงาน ปัญหา อปุ สรรค แนวทางแกไ้ ข และขอ้ เสนอแนะในการดาํ เนินงานของบคุ คล กลุ่ม องคก์ ร หรือหน่วยงาน รายงานผลการดําเนินงานมีความสําคัญ เพราะเป็ นเอกสารทีแสดงให้เห็น รายละเอียดของผลการดาํ เนินงานทีผ่านมาว่าประสบผลสําเร็จ ไม่สําเร็จอย่างไร เพราะอะไร มีอุปสรรค ปัญหาในการดาํ เนินงานดา้ นใด อย่างไร จะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร หากจะพฒั นา ต่อเนืองจะมีขอ้ เสนอแนะทีเป็นไปไดอ้ ยา่ งไร 2.2 การเขยี นรายงานผลการดาํ เนนิ งาน การเขียนรายงานผลการดาํ เนินงานเป็ นวิธีการนาํ เสนอผล จากการดําเนินงาน โครงการใดโครงการหนึงอย่างมีระบบและเป็ นแบบแผน เพือสือสารให้ผูเ้ กียวขอ้ งไดร้ ับทราบ การเขียนรายงานใหม้ ีประโยชน์และคุณภาพต่อผูอ้ ่านหรือผูเ้ กียวขอ้ ง ผูเ้ ขียนรายงานต้องศึกษา ทาํ ความเขา้ ใจตงั แต่วธิ ีการเขียน การใชภ้ าษาทีเหมาะสม การรู้จกั นาํ เสนอขอ้ มูลเกียวกบั รายละเอียด และขนั ตอนของการดาํ เนินงานตงั แต่แรกเริมจนจบ เรียงลาํ ดบั ตงั แต่ความเป็ นมา วตั ถุประสงค์ วิธีดาํ เนินงาน ปัญหาอุปสรรค พร้อมขอ้ เสนอแนะ ฯลฯ เพือสือสารให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจตามลาํ ดบั และ จดั พิมพเ์ ป็ นรายงานฉบบั สมบูรณ์ทีน่าเชือถือ สามารถนาํ ไปใชอ้ า้ งอิงได้
35 ขนั ตอนการเตรียมการเขยี นรายงาน การเขียนรายงานทีดีมีคุณภาพ ตอ้ งมีการวางแผนและเตรียมการอยา่ งเป็นลาํ ดบั ขนั ตอน ดงั นี ขนั ทีหนึง เตรียมข้อมูลทีเกียวข้องทังทีเป็ นเนือหา และส่วนประกอบ เช่น วตั ถุประสงคแ์ ละขอบข่ายเนือหา รายละเอียดเนือหาทีครบถว้ น ซึงตอ้ งใชเ้ วลาในการรวบรวม ขนั ทีสอง กาํ หนดประเภทของผูอ้ า่ นรายงาน ผเู้ ขียนจะตอ้ งทราบวา่ รายงานทีจดั ทาํ ขึนมีใครบ้างทีจะเป็ นผูอ้ ่าน เพือจะไดน้ ําเสนอรายงานด้วยรายละเอียด เลือกภาษาทีเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั ระดบั ของผูอ้ ่าน ขนั ทสี าม กาํ หนดเคา้ โครงเรือง หรือกรอบของการเขียนรายงานเป็นการกาํ หนด หวั ขอ้ หลกั และหวั ขอ้ ยอ่ ยนันเอง หวั ขอ้ ของเคา้ โครงเรืองควรครอบคลุมประเดน็ ทีตอ้ งการนาํ เสนอ เพือช่วยใหง้ ่ายและสะดวกต่อการเขียน สามารถเรียงลาํ ดบั เนือหาหรือผลการดาํ เนินงานตงั แต่ เริมตน้ จนจบ หลกั การวางเค้าโครงเรืองในการเขยี นรายงาน 1. ควรจดั เรียงลาํ ดบั หวั ขอ้ เรืองอยา่ งตอ่ เนือง และสมั พนั ธ์กนั 2. การจดั เรียงหวั ขอ้ ควรเชือมโยงกนั อยา่ งเป็นเหตเุ ป็นผล 3. ควรคาํ นึงถึงความสนใจของผอู้ า่ น 4. หวั ขอ้ แต่ละหวั ขอ้ ควรครอบคลมุ รายละเอียดทีตอ้ งการนาํ เสนอ หลกั และข้อควรคํานึงในการเขยี นรายงาน ก า ร เ ขี ย น ร า ย ง า น ทุ ก ป ร ะ เ ภ ท ใ ห้มี คุ ณ ภ า พ ส า ม า ร ถ นํา เ ส น อแ ล ะ สื อ ส า ร ไ ด้ ตรงประเดน็ ตามทีตอ้ งการ ผเู้ ขียนควรคาํ นึงถึงสิงต่อไปนี 1. ความถูกตอ้ ง ควรนาํ เสนอข้อมูล รายละเอียดเนือหาทีถูกตอ้ ง ไม่บิดเบือน ความจริง นาํ เสนออยา่ งตรงไปตรงมา 2. ความกระชับ รัดกมุ ตรงประเด็น ตรวจทานอย่างละเอียดถีถว้ น หลีกเลียง ถอ้ ยคาํ ทีฟ่ ุมเฟือย วลีทีซาํ ๆ กนั คุณค่าของรายงานไม่ไดว้ ดั ทีปริมาณจาํ นวน หนา้ แตว่ ดั จากความชดั เจน ครบถว้ น ความตรงประเดน็ ของเนือหา
36 3. ความชดั เจนและสละสลวย โดยพิจารณาประโยคทีง่าย ถูกต้องตามหลกั การ เขียน หลกั ไวยากรณ์ และเครืองหมายวรรคตอน การยอ่ หนา้ รวมทงั การสะกด คาํ หลีกเลียงการใชภ้ าษาถอ้ ยคาํ ทีคลุมเครือ มีหลายความหมาย ควรใชห้ วั ขอ้ ยอ่ ยเพือไม่ใหส้ บั สน 4. การเขียนเรียบเรียงรายงาน ซึงอาจแบ่งเนือหาจากภายในเล่มเป็ นตอน หรือ เป็นบท ตอ้ งมีความต่อเนืองกนั ตลอดทงั เล่ม เมือเขียนตน้ ร่างเสร็จ ควรไดอ้ ่าน ตรวจทานทกุ ขอ้ ความ อ่านแลว้ ไม่รู้สึกสะดุดมีความต่อเนือง อย่างสมาํ เสมอ ตลอดทงั เลม่ 5. การนําเสนอข้อมูลในการเขียนรายงาน มีข้อมูลทีนําเสนอแบ่งเป็ นสอง ประเภท คือ ขอ้ มูลทีเป็ นจาํ นวน สถิติ ตวั เลข และขอ้ มูลทีเป็ นข้อความ บรรยาย สาํ หรับการนาํ เสนอขอ้ มูลทีเป็นสถิติ ตวั เลข ควรนาํ เสนอในรูปแบบ ของตาราง แผนภูมิ หรือแผนภาพตามความเหมาะสม พร้อมทงั มีเลขทีและชือ กาํ กับตารางหรือแผนภูมิด้วย เพือผูอ้ ่านจะไดท้ ราบว่าเป็ นข้อมูลเกียวกับ เรืองใด นอกจากนีตอ้ งระบทุ ีมาของขอ้ มูลให้ชัดเจนอีกดว้ ย ส่วนขอ้ มูลทีเป็ น ขอ้ ความบรรยายตอ้ งนาํ เสนอขอ้ มลู ทีเป็นสาระสาํ คญั หากขอ้ มูลใดทีสาํ คญั แต่ เนือหาไม่ต่อเนืองกบั กรอบเค้าโครงทีกาํ หนดไว้ ควรนาํ ไปไวใ้ นภาคผนวก ทงั นีเพือให้ไดร้ ายงานทีเป็นเอกภาพ ผูอ้ ่านอ่านแล้วสามารถจบั ประเด็นที นาํ เสนอไดช้ ดั เจน การนาํ เสนอขอ้ มลู ตอ้ งคาํ นึงถึงลาํ ดบั กอ่ นหลงั โดยเริมตน้ ดว้ ยขอ้ มลู เบืองตน้ ทีง่ายแก่การเขา้ ใจกอ่ น แลว้ จึงนาํ เสนอขอ้ มลู ทีซบั ซอ้ นกวา่ ตามลาํ ดบั 6. การแบง่ ยอ่ หนา้ โดยทวั ไปยอ่ หนา้ แต่ละยอ่ หนา้ จะบอกเรืองราวเพียงประเด็น ใดประเด็นหนึง การจดั แบ่งย่อหน้าควรเรียงลาํ ดบั เพือใหเ้ นือความต่อเนือง สัมพนั ธ์กนั การแบ่งยอ่ หน้าขึนอยูก่ บั จุดมุ่งหมายของผูเ้ ขียนแต่ละคน เช่น ตอ้ งการสือสารกบั ผอู้ ่าน ตอ้ งการเนน้ ขอ้ ความบางตอน ตอ้ งการช่วยให้ผอู้ ่าน อา่ นขอ้ ความแต่ละยอ่ หนา้ ไดร้ วดเร็ว เป็นตน้
37 7. การอ่านทบทวนซึงเป็ นขนั สุดทา้ ยของการเขียน คือ อ่านทบทวนสิงทีเขียน ทงั หมดวา่ มีขอ้ ความใดทียงั ไมส่ มบรู ณ์ การเรียงลาํ ดบั เรืองมีความเชืองโยงกนั หรือไม่ ขอ้ ความสาํ คญั ทียงั ไมไ่ ดก้ ล่าวถึงจะทาํ ใหม้ องเห็นจุดทีควรแกไ้ ข 2.3 รูปแบบรายงาน รูปแบบของรายงาน จะประกอบดว้ ยส่วนทีสาํ คญั 3 ส่วน คือ ส่วนประกอบตอนตน้ ส่วนเนือเรือง และส่วนประกอบตอนทา้ ย รายงานแต่ละส่วนประกอบ ดว้ ยส่วนยอ่ ย ๆ ดงั นี 1. ส่วนประกอบตอนตน้ ประกอบดว้ ย 1.1 ปกนอก ระบชุ ือเรือง ชือผทู้ าํ รายงาน ชือหน่วยงาน 1.2 ใบรองปก เป็นกระดาษเปลา่ 1 แผน่ 1.3 ปกใน มีขอ้ ความเชน่ เดียวกบั ปกนอก 1.4 คาํ นาํ เป็นขอ้ ความเกรินทวั ไปเพือใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจขอบขา่ ยเนือหาของ รายงาน อาจกลา่ วถึงความเป็นมาของการสํารวจ และรวบรวมขอ้ มูล และขอบคณุ ผูใ้ หค้ วามช่วยเหลือ 1.5 สารบญั เป็นการเรียงลาํ ดบั หวั ขอ้ ของเนือเรืองพร้อมทงั บอกเลขหนา้ ของหวั ขอ้ เรือง 2. ส่วนเนือเรือง ประกอบดว้ ย 2.1 บทนาํ เป็นส่วนทีบอกเหตผุ ลและความม่งุ หมายของการทาํ รายงาน ขอบข่ายของเรือง วธิ ีการดาํ เนินการโดยยอ่ การศึกษาคน้ ควา้ หาขอ้ มลู 2.2 เนือหา ถา้ เป็นเรืองยาว ควรแบง่ ออกเป็นบท ๆ ถา้ เป็นรายงานสนั ๆ ไม่ตอ้ งแบง่ เป็นบท แบง่ เป็นหวั ขอ้ ตอ่ เนืองกนั ไป 2.3 สรุป เป็นตอนสรุปผลการศึกษาคน้ ควา้ และเสนอแนะประเดน็ ทีควร ศกึ ษาคน้ ควา้ เพิมเติมต่อไป
38 3. ส่วนประกอบตอนทา้ ย ประกอบดว้ ย 3.1 ภาคผนวก เป็นขอ้ มูลทีมิใช่เนือหาโดยตรง เช่น ข้อความ ภาพ สถิติ ตาราง ช่วยเสริมรายละเอียดเพิมเติมแกเ่ นือหา 3.2 บรรณานุกรม คือ รายชือหนังสือ เอกสารหรือแหล่งขอ้ มูลอืน ๆ ทีใช้ ประกอบในการเขียนรายงาน โดยเรียงลาํ ดบั ตามพยญั ชนะตวั แรกของ ชือผูแ้ ต่งหรือแหล่งขอ้ มูล ชือหนังสือ ครังทีพิมพ์ จงั หวดั หรือเมืองที พิมพ์ สํานักพิมพ์ และปี ทีพิมพ์ ถ้าข้อมูลทังภาษาไทยและ ภาษาตา่ งประเทศ ใหข้ ึนตน้ ดว้ ยขอ้ มูลทีเป็นภาษาไทยก่อน กิจกรรม ใหผ้ ูเ้ รียนทาํ กจิ กรรมตอ่ ไปนี 1. อธิบายความหมายของโครงการโดยสรุป แลว้ บนั ทึกลงในสมดุ บนั ทกึ การเรียนรู้ของ ผเู้ รียน 2. สรุปลกั ษณะของโครงการทีดีและวิธีพฒั นาโครงการ โดยบนั ทึกลงในสมุดบนั ทึก 3. อธิบายองค์ประกอบและเขียนรายงานโครงการพฒั นาใดโครงการพฒั นาหนึง ในชุมชนของผเู้ รียนโดยปรึกษากบั บุคลากรของ อบต. เจา้ หน้าทีสถานีอนามยั หรือ หน่วยงานทีเกียวขอ้ งกบั การพฒั นาชุมชน ทงั นีอาจศึกษาและดูตวั อยา่ งโครงการ ต่าง ๆ จากหน่วยงานดงั กล่าว แลว้ นาํ ส่งครูประจาํ กลุ่ม 4. สรุปความหมาย และความสาํ คญั ของรายงานผลการดาํ เนินงานโดยบนั ทึกลงในสมดุ บนั ทึกการเรียนรู้ 5. ประสานงานกบั หน่วยงานองคก์ รต่าง ๆ ในชุมชนของผเู้ รียน เช่น อบต. โรงเรียน สถานีอนามัย ฯลฯ เพือขอดูตัวอย่างและศึกษาเอกสารรายงานผลการดาํ เนินงาน หรือคน้ ควา้ จากหอ้ งสมุด 6. รวมกลุ่มกับเพือนร่วมมือกันเขียนรายงานผลการดําเนินงานโครงการพฒั นา โครงการใดโครงการหนึงทีสนใจ แลว้ ฝึ กการนาํ เสนอและรายงานสรุปผล พร้อมทงั นาํ ส่งรายงานผลการดาํ เนินงานดังกล่าวให้ครูประจาํ กลุ่มตรวจเพือทราบขอ้ ควร ปรับปรุงและพฒั นาต่อไป
39 บทที การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคม สาระสําคัญ การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสงั คม มีความจําเป็ นตอ้ งสอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กบั ตลาดแรงงานในระดบั ประชาคมอาเซียน และศกั ยภาพของประเทศไทย ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และทาํ เลทตี งั ศิลปวฒั นธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต รวมถึงศกั ยภาพดา้ นทรัพยากรมนุษย์ โดยนําศกั ยภาพของประเทศมา พฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคมใน กลุ่มอาชีพ คือ เกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม ความคิด สร้างสรรค์ และการบริหารจัดการและการบริการ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั เมอื ศึกษาบทที แลว้ ผเู้ รียนสามารถ . รู้และเขา้ ใจแนวโนม้ การพฒั นาและส่งเสริมอาชีพในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน . รูแ้ ละเขา้ ใจศกั ยภาพของประเทศไทย . อธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งศกั ยภาพของประเทศไทย เพอื นาํ ไปสู่อาชีพในชุมชนและสังคมได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที อาเซียนกบั การพฒั นาอาชีพ เรืองที จุดเด่นของประเทศไทยในการผลกั ดนั เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เรืองที ศกั ยภาพของประเทศไทยกบั การพฒั นาอาชพี
40 บทที 5 การพฒั นาอาชีพในชุมชนและสังคม เรืองที อาเซียนกบั การพฒั นาอาชีพ การขบั เคลือนทางเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศในอาเซียนใหม้ คี วามเจริญกา้ วหนา้ และแข่งขนั ได้ ในระดบั สากล โดยเฉพาะอย่างยิงความเคลือนไหวและเปลียนแปลงซึงเกิดขึนอยา่ งรวดเร็วและต่อเนืองใน หลายดา้ นทสี ่งผลใหโ้ ลกเขา้ สู่ยคุ โลกาภิวตั น์อนั เป็นยคุ ของสงั คมฐานความรู้ กลไกความร่วมมือดา้ นการศึกษา จึงเป็นสิงจาํ เป็นพืนฐานในการสร้างอาเซียนสู่การเป็นประชาคมทีมีความมนั คงทงั ทางดา้ นเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยเฉพาะการพฒั นาศกั ยภาพมนุษยเ์ พอื สรา้ งอนาคตทรี ุ่งเรืองของอาเซียน การพฒั นามาตรฐานอาชีพทเี น้นศกั ยภาพในอาเซียนโดยมีวตั ถุประสงคเ์ พอื ส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ ให้มศี กั ยภาพในระดบั ภูมิภาคและระดบั โลก พร้อมทงั สามารถสนองตอบความตอ้ งการของภาคอุตสาหกรรม ความร่วมมือของอาเซียนดา้ นการศกึ ษาเป็นส่วนหนึงของการจดั ตงั ประชาคมอาเซียนซึงมเี ป้ าหมายที จะยกระดบั คุณภาพชีวติ ของประชาชนและการพฒั นาภูมิภาคอยา่ งยงั ยนื โดยมีประชาชนเป็ นศูนยก์ ลางสําหรับ ประเทศไทยประโยชน์ทีจะไดร้ ับในกรอบความร่วมมือกบั อาเซียน ไดแ้ ก่ ความช่วยเหลือดา้ นวิชาการ และ เทคนิคภายใตโ้ ครงการต่าง ๆ รวมทงั การกาํ หนดนโยบายทีอาศยั การผลกั ดนั ร่วมกนั ภายใตก้ รอบอาเซียน นอกจากนียงั เป็นโอกาสในการเสริมสร้างศกั ยภาพของประเทศ และโอกาสทีจะมีสิทธิมีเสียงในการผลักดนั นโยบายของประเทศสู่เวทีระดบั นานาชาติ ตลอดจนโอกาสในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยในเวที โลก ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยดา้ นการศึกษาเป็ นไปในทิศทางทีสอดคลอ้ งกบั แนวทางการปฏิรูป การศกึ ษาของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ การขยายโอกาสทางการศึกษา การยกระดบั คุณภาพ การศกึ ษา การนาํ โครงสร้างพนื ฐานสิงอาํ นวยความสะดวกและเทคโนโลยกี ารสือสารเขา้ มารองรับการขยาย โอกาสและการยกระดบั คุณภาพการศึกษาตลอดจนการบริหารจดั การทางการศึกษาในเชิงคุณภาพ เพือสร้าง ประชาคมอาเซียนใหเ้ ป็นดินแดนแห่งความสงบสุข สนั ติภาพและมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างยงั ยืน ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบผสม มีรายไดห้ ลักจากอุตสาหกรรมการส่งออกสินคา้ การท่องเทียว การบริการ เกษตรกรรมและทรพั ยากรธรรมชาติ ประเทศไทยเป็นประเทศทีมีมลู ค่าการส่งออกเป็ นอนั ดับที ของโลก และมีมูลค่าการนําเขา้ เป็ นอันดับที ของโลก ตลาดนาํ เขา้ สินคา้ ไทยทีสําคญั ได้แก่ ญีป่ ุน จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไตห้ วนั เกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม แรงงานส่วนใหญ่ของไทยอยู่ในภาคเกษตรกรรม โดยมีขา้ วเป็ นพืชเศรษฐกิจหลกั ที สําคญั ทสี ุดของประเทศ และถือไดว้ า่ เป็นประเทศทีส่งออกขา้ วเป็นอนั ดบั ของโลก ดว้ ยสัดส่วนการส่งออก คดิ เป็นร้อยละ ของโลก ประเทศไทยมีพืนทีซึงเหมาะต่อการเพาะปลูกกว่า . % ซึงในจาํ นวนนีกวา่ %
41 ใชส้ ําหรับการปลูกขา้ ว ส่วนพืชผลทางการเกษตรอืน ๆ ได้แก่ ยางพารา ผกั และผลไมต้ ่าง ๆ การเพาะเลียง ปศุสตั ว์ เช่น ววั สุกร เป็ด ไก่ สัตวน์ าํ ทงั ปลานาํ จืด ปลานําเคม็ ในกระชงั การทาํ นากุง้ การเลียงหอย รวมไปถึง การประมงทางทะเล เนืองจากประเทศไทยมคี วามอดุ มสมบรู ณ์ดา้ นพืชพรรณธญั ญาหารตลอดปี จึงไดช้ ือวา่ เป็ น แหล่งผลิตอาหารทีสาํ คญั ของโลก และเป็ นผสู้ ่งออกอาหารรายใหญ่ของโลกเป็นอนั ดบั ที เรืองที จุดเด่นประเทศไทย ในการผลกั ดนั เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การแบ่งอุตสาหกรรมสรา้ งสรรคข์ องประเทศไทยนนั คณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาตแิ บ่งออกเป็ น 4 กลุ่ม 15 สาขา คอื 1. กลุ่มวฒั นธรรมและประวตั ิศาสตร์ เช่น งานฝีมือ การทอ่ งเทยี วเชิงศิลปวฒั นธรรมและ ประวตั ิศาสตร์ ธุรกิจอาหารไทยและการแพทยแ์ ผนไทย 2. กลุ่มศลิ ปะ เช่น ศลิ ปะการแสดง ทศั นศลิ ป์ 3. กลุ่มสือ เช่น ภาพยนตร์ สิงพมิ พ์ กระจายเสียง เพลง 4. กลุ่มงานสรา้ งสรรคเ์ พอื ประโยชนใ์ ชส้ อย เช่น การออกแบบ แฟชนั ตา่ ง ๆ อาทิ เสือผา้ กระเป๋ า รองเทา้ เครืองประดบั สถาปัตยกรรม โฆษณา และซอฟแวร์ตา่ ง ๆ . การนาํ จุดเด่นของประเทศไทย มาใช้ผลกั ดันเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ ชาวตา่ งชาตชิ ืนชมเมอื งไทยว่ามคี วามโดดเด่นดา้ นความสามารถสรา้ งสรรค์ นอกจากอาหารไทยเป็น อาหารอร่อยและเป็นอาหารเพือสุขภาพดา้ นวฒั นธรรม เช่น ดนตรี ศาสนา แฟชนั ศิลปะการต่อสู้ (มวยไทย) วิถี การดาํ เนินชีวิต (แบบไทยพุทธ) กีฬา การละเล่นตา่ ง ๆ และชา้ งไทย และทีสําคญั อกี ประการหนึง คอื เมืองไทย มจี ุดเด่นทีเห็นไดช้ ดั เจนก็คือเรือง \"จิตสํานึกในการใหบ้ ริการ\" ในการพฒั นาศกั ยภาพบุคลากรในสาขาบริการ เช่น . การโรงแรม . การแพทย์ พยาบาล และผชู้ ่วยในโรงพยาบาล ทงั การแพทยต์ ะวนั ตกและตะวนั ออก (โดยเฉพาะ แพทยแ์ ผนไทย) งานในส่วนของทนั ตกรรม และศลั ยกรรมความงาม 3. อาหารและบริการด้านอาหาร ทีใช้ความคิดสร้างสรรค์มาประดิษฐ์หรือพฒั นาอาหารไทยให้ ทนั สมยั ประยกุ ต์ ปรับปรุงใหด้ ียิงขึน มีเมนูน่าสนใจ ในส่วนของร้านอาหารตอ้ งส่งเสริมยกระดับใหเ้ ป็ น มาตรฐานสากล คือ การบริหารจดั การร้านอาหารเพือให้สามารถอยู่ไดอ้ ยา่ งยงั ยืน มีการจัดการทีเป็ นระบบ พนกั งานเสิร์ฟไดร้ บั การอบรมใหส้ ามารถใหบ้ ริการไดใ้ นระดบั มาตรฐานสากล เป็นตน้
Search