Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวัดและการประเมินผล

การวัดและการประเมินผล

Published by sasithorn99.66, 2019-06-07 03:35:12

Description: การวัดและการประเมินผล

Search

Read the Text Version

บทที่ 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 81 ตวั อย่าง การค�ำ นวณ คา่ ความยากแบบอิงเกณฑ์ ขอ้ สอบอิงเกณฑแ์ บบเลอื กตอบ 5 ตัวเลอื ก จ�ำ นวน 10 ข้อนำ�ไปทดสอบ นกั เรียนจำ�นวน 30 คน ด�ำ เนินการตามลำ�ดบั ขน้ั ดงั นี้ 1. คำ�นวณจดุ ตดั ถาวรได้ 8 คะแนน 2. แบ่งนกั เรียนเป็นกลมุ่ ผรู้ อบรู้ (ผูท้ ี่สอบได้คะแนนตง้ั แต่ 8 คะแนนขึ้นไป) มี จำ�นวน 20 คน และกล่มุ ผู้ไมร่ อบรมู้ จี ำ�นวน 10 คน 3. แจกแจงความถ่ขี องการตอบถกู ของนักเรยี นแตล่ ะกลุ่มคือคา่ RM และคา่ RN ไดด้ งั น้ี 4. คำ�นวณค่าความยากของกลมุ่ ผรู้ อบรู้ ได้โดยเอาจ�ำ นวนคนในกลมุ่ รอบรู้ คอื 20 ไปหาร จำ�นวนที่ตอบถูกในแตล่ ะข้อ ได้ค่า PM ของข้อ 1 เทา่ กับ 0.50 และข้อ 2 ถึง ข้อ 5 เท่ากับ 0.65 0.55, 0.40 และ 0.60 ตามล�ำ ดับ คำ�นวณค่าความยากของ กลมุ่ ผูไ้ มร่ อบรู้ ไดโ้ ดยเอาจำ�นวนคนในกล่มุ ไม่รอบรู้ คอื 10 ไปหาร จำ�นวนท่ีตอบถูกใน แตล่ ะขอ้ ไดค้ ่า Pn ของขอ้ 1 เท่ากับ 0.30 และขอ้ 2 ถงึ ข้อ 5 เทา่ กับ 0.40, 0.20, 0.10 และ 0.00 ตามล�ำ ดบั

82 บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 5. คำ�นวณคา่ ความยากแบบอิงเกณฑ์ได้จากสตู ร ค่าดัชนีความยากเทา่ กับ 0.40 และคำ�นวณคา่ ความยากของขอ้ 2 ถงึ ข้อ 5 ได้เทา่ กบั 0.53, 0.38, 0.25 และ 0.30 ตามลำ�ดบั ดังแสดงในตาราง 2.2 การวเิ คราะห์อำ�นาจจ�ำ แนกแบบองิ เกณฑ์ การวเิ คราะห์เพอื่ พิจารณาอ�ำ นาจจำ�แนกของขอ้ สอบอิงเกณฑ์ มวี ธิ ี การตา่ งจากการวิเคราะหข์ อ้ สอบแบบองิ กลุ่มโดยสิน้ เชิง วธิ คี �ำ นวณหาคา่ ดชั นีอำ�นาจ จำ�แนกอาจจะมีหลายวธิ ี แต่ละวิธีจะมีความผูกพนั อยกู่ ับสภาพของการเรียนการสอน จึงมผี ูเ้ รยี กค่าดชั นีว่า ดชั นีความไวในการวัดประสิทธิภาพของการสอน (สนุ ันท์ ศล โกสุม, 2525, หนา้ 309)

บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพ 83 และใช้ตัวสญั ลกั ษณ์ S ซงึ่ มาจากคำ�ว่า Sensitivity to Instructional Effect และ เน่อื งจากการหาคา่ ดชั นีอ�ำ นาจจ�ำ แนก เป็นการคำ�นวณหาผลต่างระหวา่ งสัดสว่ น ของคนตอบขอ้ สอบถูกระหวา่ งหลังเรียนกบั ก่อนเรียน จงึ มคี �ำ อีกคำ�วา่ Pre-to-Post Difference Index ใช้ตวั อกั ษรวา่ PPDI (ล้วน สายยศ องั คณา สายยศ 2539 : 197) การวิเคราะห์ข้อสอบเปน็ รายข้อตามแบบอิงเกณฑจ์ ะมุ่งเนน้ หาคา่ อ�ำ นาจจ�ำ แนก ของขอ้ สอบ โดยถอื วา่ ข้อสอบอิงเกณฑ์ทีด่ ี ควรมคี า่ อ�ำ นาจจำ�แนกดี (สมศักด์ิ สนิ ธุระ เวชญ์, 2522, หนา้ 11-13) การหาค่าอ�ำ นาจจำ�แนกขอ้ สอบรายขอ้ แบบองิ เกณฑ์ ใน ทน่ี ี้ จะนำ�เสนอ 2 วธิ ี คอื วธิ ีของคริสปีน และเฟลด์ลูเซน (Kryspin and Feldluson) และวธิ ีของเบรนแนน (Brennan) (1) การหาคา่ อำ�นาจจำ�แนกตามวธิ ขี องคริสปีนและเฟลด์ลเู ซน (Kryspin and Feldluson) ครสิ ปนี และเฟลด์ลูเซน (Kryspin and Feldluson) ได้เสนอการหาค่า อ�ำ นาจจำ�แนกทีเ่ รียนกว่าดัชนี S (Index of sensitivity) หรือดชั นีความไวในการวดั ซง่ึ มีสตู รดงั น้ี (ส�ำ เรงิ บญุ เรืองรตั น,์ 2527, หน้า 88) S คือ ค่าอ�ำ นาจจำ�แนกของข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ RA คือ จำ�นวนคนตอบถกู หลังสอน RB คอื จ�ำ นวนคนตอบถกู ก่อนสอน T คือ จ�ำ นวนคนทเ่ี ขา้ สอบทัง้ สองครง้ั การแปลความหมายคา่ ดชั นีอ�ำ นาจจำ�แนกของขอ้ สอบอิงเกณฑ์ คา่ ดัชนอี �ำ นาจจำ�แนก (S) จะมไี ดต้ ้ังแต่ -1.00 ถงึ 1.00 ขอ้ สอบอิงเกณฑท์ ่ี ต้องการควรมคี ่า S อยู่ระหวา่ ง 0.00-1.00 (ส�ำ เรงิ บุญเรอื งรัตน์, 2527, หนา้ 88) สำ�หรับการแปลความหมายของค่า S สรปุ ได้ 3 กรณี ดังน้ี

84 บทที่ 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ (1) คา่ S ท่ีเป็นคา่ บวก แสดงว่า ข้อสอบสามารถจ�ำ แนกสภาพการ เรยี นรู้ก่อนเรียนกับหลังเรียน ซึง่ มีการเปล่ียนแปลงพัฒนาขนึ้ ตามจดุ ประสงคข์ องการ เรียนการสอน และค่า S ยงิ่ สงู หรอื เขา้ ใกล้ 1 แสดงวา่ มีอ�ำ นาจจำ�แนกดมี าก จึง กำ�หนดว่าควรใชเ้ กณฑค์ า่ S ตัง้ แต่ 0.20 ขนึ้ ไป (2) ค่า S ท่เี ป็น 0 พจิ ารณาไดห้ ลายกรณี คือ เกดิ จากผลการเรยี นรู้ กอ่ นเรยี นและผลการเรียนรู้หลงั เรียนไม่ตา่ งกนั หรือเกิดจากไม่มีการเรยี นรู้ใดๆ เกิด ขน้ึ แม้หลังจากเรียนแล้วกต็ าม ซ่ึงเปน็ ผลมาจากขอ้ สอบยากเกนิ ไป หรอื การสอนของ ครไู ม่สมั ฤทธ์ผิ ลในจดุ ประสงค์นี้ (3) คา่ S ทีเ่ ป็นลบ พิจารณาได้ว่า ข้อสอบอาจจะมีความบกพรอ่ ง บางประการ เชน่ ใชค้ �ำ ถามก�ำ กวมมากจนตคี วามผดิ หรอื มตี วั เลอื กทีช่ ีแ้ นะคำ�ตอบ ซึง่ ไมถ่ ูก และอาจจะประกอบกบั มคี วามผดิ พลาดในกระบวนการเรยี นการสอนด้วย กรณที ี่เป็นขอ้ สอบเลือกตอบ กส็ ามารถค�ำ นวณคา่ ดัชนี S ของตวั ลวง ได้ โดยใชส้ ตู รดงั นี้ (พวงรตั น์ ทวรี ตั น,์ 2530, หนา้ 214) S คอื คา่ อำ�นาจจ�ำ แนกของข้อสอบของตัวลวงนน้ั RA คอื แทนจ�ำ นวนท่ีตอบของตวั ลวงน้นั หลงั สอน RB คอื แทนจำ�นวนคนท่ีตอบตัวลวงนน้ั ก่อนสอน T คือ แทนจ�ำ นวนคนที่เข้าสอบทัง้ สองครัง้ ค่าทค่ี �ำ นวณได้พจิ ารณาดงั น้ี (1) ตัวลวงไดม้ คี า่ S เปน็ บวก ถอื ว่าเป็นตวั ลวงทด่ี ี (2) ตวั ลวงใดมคี า่ S เปน็ 0 ต้องพจิ ารณาตามกรณีว่า ถ้าไม่มผี เู้ ลอื ก ตอบเลยทง้ั ก่อนเรียนและหลงั เรยี น

บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ 85 แสดงวา่ เป็นตวั ลวงท่ไี มด่ ี เพราะไมม่ ีประสทิ ธภิ าพในการลวง แตถ่ ้ามผี ตู้ อบเป็น จำ�นวนเท่ากนั ระหวา่ งกอ่ นเรยี นกับหลงั เรียนและจ�ำ นวนไมม่ ากกแ็ สดงวา่ ดี แตถ่ า้ จ�ำ นวนมากแสดงวา่ ตัวลวงนีม้ สี ภาพเป็นค�ำ ตอบชดั เจนเกนิ ไปซ่งึ ไมด่ ี และสมควรจะ ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงตวั ลวงใหม่ (3) ตวั ลวงใดท่ีมคี ่า S เปน็ ลบ แสดงว่าเปน็ ตัวลวงทม่ี สี ภาพใกลเ้ คียง ค�ำ ตอบมากเกนิ ไป ท�ำ ใหผ้ ้สู อบสับสน ซ่งึ ไม่ดี และต้องปรับปรงุ แก้ไข ตวั อย่าง การสอบกอ่ นสอนและหลังสอน วิชาประเมินทางการศึกษากับ นักเรยี นจำ�นวน 5 คน จ�ำ นวน 10 ข้อ ดังน้ี

86 บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพ (2) การหาคา่ อ�ำ นาจจำ�แนกตามวิธขี องเบรนแนน (Brennan) เบรนแนน (Brennan) ไดเ้ สนอสูตรในการหาค่าอ�ำ นาจของขอ้ สอบแลว้ ต้ังชอ่ื เป็นดชั นีบี (Discrimination Index : B) การหาคา่ อำ�นาจจำ�แนกวธิ ีน้จี ะสอน ครั้งเดยี วจาก กลมุ่ ตวั อย่างเดยี ว แล้วแบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม คอื กลุม่ ผทู้ ่ีสอบได้คะแนน ผ่านเกณฑแ์ ละกลุ่มผ้ทู ี่สอบได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ มสี ตู รดังนี้ (Brennan, 1972, p.292) B คือ คา่ อำ�นาจจำ�แนกของขอ้ สอบ U คือ จำ�นวนคนท�ำ ข้อสอบขอ้ นั้นถกู ของกลมุ่ ทผ่ี ่านเกณฑ์ L คือ จำ�นวนคนทำ�ข้อสอบขอ้ นั้นถกู ของกลุ่มท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ N1 คอื จ�ำ นวนคนที่สอบผา่ นเกณฑ์ N2 คือ จำ�นวนคนท่ีสอบไม่ผ่านเกณฑ์ การวิเคราะหข์ ้อสอบโดยใช้ดชั นบี ี (B-Index) มวี ธิ กี ารดงั นี้ (สมนึก ภทั ทยิ ธนี, 2546, หน้า 215) 1. น�ำ แบบทดสอบไปทดสอบกบั นกั เรยี นทตี่ ้องการวัด 2. ตรวจใหค้ ะแนนขอ้ สอบแต่ละขอ้ และรวมคะแนนไว้ 3. ใช้จุดตดั หรอื คะแนนการผา่ นเกณฑ์ แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ รอบรู้ (ผ้ทู ไ่ี ดค้ ะแนนผ่านเกณฑ์) กบั กลมุ่ ไม่รอบรู้ (ผ้ทู ่ไี ด้คะแนนไมผ่ ่านเกณฑ)์ 4. รวมจำ�นวนคนรอบรู้ (N1 และผไู้ ม่รอบรู้ (N2) 5. นบั จ�ำ นวนคนรอบรทู้ ี่ตอบถูก (U : Upper) และนบั จ�ำ นวนคนท่ีไม่ รอบรู้ทตี่ อบถูก (L : Lower) ในแตล่ ะขอ้ 6. คำ�นวณหาคา่ อำ�นาจจำ�แนก (B)

บทที่ 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 87 การแปลความหมายดชั นี (B-Index) B-index = +1.00 บง่ ช้ผี ้รู อบรู้ – ไมร่ อบรไู้ ดถ้ ูกตอ้ งทุกคน B-index = .50 - .99 บ่งชผ้ี รู้ อบรู้ – ไม่รอบรู้ไดถ้ กู ต้องเป็นสว่ นใหญ่ B-index = .20 - .49 บง่ ชี้ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรูไ้ ด้ถูกต้องเปน็ บางส่วน B-index = .00 - .19 บง่ ชี้ผรู้ อบรู้ – ไมร่ อบรู้ได้ถกู ต้องนอ้ ยมากหรอื ไม่ถูกตอ้ ง B-index ติดลบ บง่ ชี้ผู้รอบรู้ – ไม่รอบรู้ผดิ พลาดหรอื ตรงขา้ มกับความจรงิ ขอ้ สอบทีถ่ ือวา่ มคี ณุ ภาพจะต้องมีคา่ อ�ำ นาจจ�ำ แนกตามแนวคิดของเบรนแนน (B-Index) ตง้ั แต่ .20 ข้ึนไป (บญุ ชม ศรสี ะอาด, นภิ า ศรไี พโรจนแ์ ละนุชวนา ทองทวี, 2528, หน้า 130)



บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน 88 บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน

89 บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน บทท่ี 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน ความหมายของคะแนน คะแนนที่ได้จากการตรวจค�ำ ตอบ ผลงานของผเู้ รยี น หรอื การสังเกตผลการ ปฏิบัติ คะแนนเหลา่ นีเ้ ราเรียกว่าคะแนนดิบซึง่ คะแนนดบิ เปน็ เพยี งส่งิ ที่บอกว่าผ้เู รยี น ท�ำ ขอ้ สอบได้ มากน้อยเพยี งใด ไม่สามารถบอกว่านักเรยี นแตล่ ะคนเกง่ อ่อนเท่าใด นกั เรียนท่ที ำ�คะแนนได้ 50 คะแนน จากคะแนนเตม็ 100 คะแนน ไมไ่ ดบ้ อกวา่ นกั เรยี นมีความเก่งปานกลาง เพราะทำ�ขอ้ สอบได้ครง่ึ หนึง่ ของคะแนนเตม็ ท้งั นีข้ ้นึ อยกู่ ับความยาก – ง่ายของข้อสอบ(มลวิ ัลย์ ผิวคราม,2547) วัตถปุ ระสงคข์ องการใหค้ ะแนน การใช้ผลคะแนนการสอบมีวตั ถุประสงคใ์ นการน�ำ ไปใช้ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ใชบ้ อกระดบั ความสามารถเป็นการใชเ้ พ่อื จะช่วยใหท้ ราบวา่ เด็กแตล่ ะคนมี ความสามารถขนาดใดสงู หรอื ต่�ำ กว่าเกณฑ์แต่ละคนไดเ้ กรดอะไรเดก็ สว่ นใหญ่มผี ลการ เรียนเป็นเชน่ ไรการใชผ้ ลลักษณะนี้จะทาให้ทราบทง้ั สภาพเด็กและสภาพสถานศกึ ษาว่า มีมาตรฐานการเรยี นเป็นเช่นไร 2. ใช้บอกความเดน่ -ตอ้ ยเปน็ การใชเ้ พ่ือคน้ และพฒั นาความสามารถของเด็ก กลา่ วคือเปน็ การคน้ หาลักษณะเดน่ ของเดก็ เพ่อื ใหก้ ารดึงเสรมิ ไดต้ รงตามความสามารถ ในขณะเดียวกนั กช็ ่วยคน้ หาข้อบกพรอ่ งตา่ งๆในการเรียนของเด็กๆใหก้ ารช่วยเหลอื หรอื แก้ไขปรบั ปรงุ หรือใหก้ ารซ่อมเสรมิ การเรยี นต่อไป 3. ใช้บอกความงอกงามเปน็ การใช้เพอื่ บอกประสิทธิภาพของการเรียนการสอน โดยยึดความเปล่ียนแปลงของเด็กเปน็ หลกั วา่ หลังจากมีการเรียนการสอนแลว้ เดก็ ได้ พัฒนาหรือเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมไปในลักษณะใดมากน้อยเพยี งใดเป็นประโยชนใ์ น การแกไ้ ขปรับปรงุ วิธกี ารเรียนของเด็กหรือวิธีการสอนของครตู อ่ ไป

บทที่ 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน 90 4. ใช้บอกคณุ ภาพเคร่อื งมือเป็นผลพลอยได้ท่ีเป็นประโยชน์อยา่ งยิง่ ตอ่ การ วดั ผลการศกึ ษาเพราะการใช้ผลการสอบไปตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือนน้ั จะชว่ ย พฒั นาการวดั ผลในสถานศกึ ษานนั้ ๆ ได้เป็นอย่างดีจะท�ำ ใหม้ ีเคร่อื งมือท่ผี ่านการตรวจ สอบคณุ ภาพและแกไ้ ขปรบั ปรงุ ไว้ใชต้ ่อไป คะแนน คะแนนเปน็ ผลจากการวัดผลทอี่ อกมาอยู่ในรปู เชงิ ปริมาณ การแปลความ หมายของคะแนนจำ�เป็นที่ตอ้ งทำ�ความเข้าเกย่ี วกบั ระดับการวัด ความเขา้ ใจเบ้อื งต้น เก่ยี วกบั คะแนน คะแนนดบิ และคะแนนแปลงรูป ซ่ึงมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1. ระดับการวดั สตเี วนส์ (S.S. Stevens) ไดเ้ สนอระดบั การวดั ซง่ึ จ�ำ แนกค่าวัดไว้ 4 ระดบั เมือ่ ปี 1956 การจ�ำ แนกคา่ วดั ตามแนวคดิ นเี้ ปน็ ท่ยี อมรับอยา่ งกว้างขวา้ งใน วงการศกึ ษา สำ�หรบั การจ�ำ แนกค่าเป็น 4 ระดับ หรอื 4 มาตรา มดี งั นี้ 1.1 ระดับนามบญั ญัติ (Nominal Scale) เปน็ มาตราทก่ี �ำ หนดค่า วดั ซึง่ มคี วามหมายนอ้ ยทีส่ ดุ เปน็ เพยี งการใช้สญั ลักษณ์แทนสิง่ ตา่ งๆ เพอ่ื การจ�ำ แนก หรือการใชเ้ รยี กขานใหเ้ ข้าใจตรงกัน ไมใ่ ห้เกดิ ความสัมพนั ธส์ บั สนซ้ำ�ซ้อนกนั ใน มาตรานน้ี อกจากจะใช้ตวั เลขเป็นสัญลกั ษณแ์ ลว้ ยังใช้ตวั อกั ษรหรือสญั ลกั ษณอ์ ่ืนใด กไ็ ด้ การใชต้ วั เลขเป็นสัญลกั ษณใ์ ช้ในรปู ของรหสั ตวั เลข เช่น เลขประจ�ำ ตัวนกั เรียน เลขทะเบียนรถยนต์ เลขท่บี ้าน กำ�หนดเลข 1 แทน เพศชาย เลข 2 แทนเพศหญงิ เป็นต้น ส่วนการใช้ตวั อักษรเปน็ สญั ลักษณ์ ใช้ในรูปของการ ก�ำ หนดชื่อ เชน่ ช่ือคน ชือ่ สตั ว์ ชื่อสง่ิ ของ ชื่อสถานท่ี เปน็ ต้น 1.2 มาตราเรยี งล�ำ ดับ (Ordinal Scale) เป็นมาตราก�ำ หนดค่าวดั ที่ มีความหมายบง่ บอกถงึ คณุ ภาพโดยรวมของสิ่งต่างๆ ซง่ึ เกิดจากการน�ำ สิง่ ที่มีลักษณะ เปน็ พวกเดยี วกัน มาเปรยี บเทียบคณุ ภาพแลว้ เรยี งลำ�ดบั กนั เช่น

91 บทที่ 7 คะแนนและการใหร้ ะดับคะแนน การเรยี งคณุ ภาพผลงานนักเรยี น ดีมาก ดี ปานกลาง เลว เลวมาก การเรยี งลำ�ดบั ความร้คู วามสามารถเป็น ท่ี 1 ท่ี 2 ที่ 3 ... การจัดลำ�ดับความเร็วของการว่ิงแข่งขันเป็น ท่ี 1 ท่ี 2 ที่ 3 .... คา่ วัดในมาตราน้จี งึ มีความหมายดขี น้ึ แต่ไม่สามารถจะนำ�มากระท�ำ ในเชงิ คณิตศาสตรไ์ ด้ เชน่ น�ำ มารวมกันไม่ได้ หรือน�ำ มาหาผลต่างกันไมไ่ ด้ เพราะช่วงหา่ ง ของแตล่ ะลำ�ดบั หรอื แต่ละตำ�แหนง่ ไมไ่ ด้บอกถึงคณุ ภาพว่าแตกตา่ งเทา่ กนั และบอก ไมไ่ ด้วา่ แตกต่างกนั เทา่ ไรแน่ การจัดกระท�ำ กับคา่ วดั ในมาตรานี้ สามารถน�ำ มาแปลง เป็นต�ำ แหน่งรอ้ ยละ หรือเปอรเ์ ซ็นตไ์ ทล์ (Percentile) ได้ 1.3 มาตราอันตรภาค (Interval Scale) เป็นมาตรากำ�หนดค่าวัดที่ บง่ บอกคณุ ลกั ษณะของส่งิ ที่วัดเปน็ ตวั เลขท่ีมีชว่ งหา่ งเท่าๆ กัน ซึง่ แสดงถงึ แตล่ ะช่วงมี ปรมิ าณท่แี ตกตา่ งเท่ากนั เชน่ ตัวเลขคะแนนจากขอ้ สอบ จะกำ�หนดคา่ วดั ตามลำ�ดบั 0, 1, 2, 3, ... ตัวเลขบอกอณุ หภูมิของเทอร์โมมเิ ตอร์ท่แี บ่งเป็น 100 องศาเซลเซียส เรม่ิ ตามล�ำ ดบั 0, 1, 2, 3 ..., 100 องศา คา่ วดั ในมาตรานีน้ ำ�มากระท�ำ กนั ในเชงิ คณติ ศาสตร์ได้ เช่น น�ำ มารวม กนั หรอื หาผลตา่ งได้ สมมติแดงสอบครงั้ ที่ 1 ได้ 20 คะแนน สอบคร้งั ท่ี 2 ได้ 30 คะแนน จะรวมกันได้ 50 คะแนนและเปรยี บเทยี บได้ว่า สอบคร้ังที่ 1 ได้คะแนน นอ้ ยกวา่ ครง้ั ท่ี 2 อยู่ 10 คะแนน แตค่ ่าวัดในมาตราน้ีมจี ุดออ่ นท่ไี มท่ ราบจดุ ศูนย์ แท้ ซึ่งเป็นจุดเรมิ่ ตน้ ของคา่ วัด ดังนั้นการวัดคร้ังใดท่ีไดค้ า่ เป็นศูนย์จึงเปน็ เพียงศูนย์ สมมตุ ิ (Arbitrary Zero) จดุ ออ่ นนเี้ ป็นผลใหค้ ่าวัดจากคณุ ลักษณะเดยี วกนั สองคา่ นำ� มาเปรียบเทียบเป็นสดั ส่วนไมไ่ ด้ เชน่ แดงสอบวชิ า ก ได้ 50 คะแนน ขาวสอบได้ 25 คะแนน สรปุ ไม่ไดว้ า่ แดงเก่งเปน็ 2 เทา่ ของขาว เพยี งแตบ่ อกได้วา่ แดง

บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน 92 สอบไดค้ ะแนนเป็น 2 เท่าของขาวเทา่ นน้ั ท�ำ นองเดียวกนั ถา้ เราวัดอุณหภมู ขิ องเหลว A ได้ 30 องศาเซลเซยี ส และวดั อุณหภูมิของเวลา B ได้ 10 องศา สรปุ ไมไ่ ด้วา่ A ร้อนเป็น 3 เทา่ ของ B เพราะจุดเร่ิมตน้ ท่กี ำ�หนด 0 องศาเซลเซียสนัน้ ไม่ได้ก�ำ หนดท่ี อณุ หภูมิ 0 แตก่ ำ�หนดตรงอุณหภมู ทิ นี่ ้�ำ กลายเปน็ น้ำ�แขง็ คา่ วดั ในมาตรานีม้ ลี ักษณะเป็นจ�ำ นวนจริง เพราะมชี ่วงค่าวัดแบบต่อ เนอื่ ง นกั สถิตจิ ึงยอมรับที่จะให้นำ�ตวั เลขคา่ วัดมาวเิ คราะห์คา่ สถติ ิตา่ งๆ ได้ เชน่ หา ค่าเฉลยี่ ค่าความแปรปรวน และสถิตอิ น่ื ๆ ทีเ่ ป็นไปตามข้อตกลงเบอ้ื งตน้ ของสถิติ นัน้ ๆ 1.4 มาตราอัตราสว่ น (Ratio Scale) เป็นมาตราก�ำ หนดค่าวดั ที่ มีความสมบรู ณ์ นน่ั คอื จะบง่ บอกคุณลักษณะของสงิ่ ทีว่ ัดเปน็ ตัวเลขท่ีมีชว่ งหา่ งเทา่ ๆ กนั แตล่ ะชว่ งมีปริมาณทีแ่ ตกต่างเท่ากนั และมีจดุ ศูนย์แท้ (Arbitrary Zero) เปน็ คา่ ทไ่ี ด้จากการวดั ลักษณะทางกายภาพของส่ิงต่างๆ ตวั อยา่ งทีพ่ บไดใ้ นชีวติ ประจำ�วัน เช่น การชงั่ ตวง วดั ส่งิ ของ เชน่ การชั่งนำ้�หนักของใด จะมจี ุดเรมิ่ ต้นท่ีศูนย์ ซ่ึง เปน็ จุดทไี่ ม่มนี �ำ้ หนกั แฝงอยเู่ ป็นจดุ ศนู ย์แท้ คา่ วัดในมาตรานี้จงึ เปน็ จ�ำ นวนจรงิ มีชว่ งค่าวัดแบบตอ่ เน่อื งจงึ สามารถ น�ำ มากระท�ำ กันในเชงิ คณติ ศาสตรไ์ ดท้ กุ แบบ คือ หาผลบวกไดห้ าผลต่างได้ เปรยี บ เทียบสดั ส่วนได้ เชน่ ของ A หนัก 50 ก.ก. ของ B หนกั 25 ก.ก. สรปุ ไดว้ ่า A หนักเป็นสองเทา่ ของ B นอกจากนย้ี ังใชส้ ถติ วิ ิเคราะหไ์ ด้ทุกอยา่ ง 2. ความเขา้ ใจเบือ้ งต้นเกย่ี วกบั คะแนน คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ในขน้ั แรกเรียกว่าคะแนนดิบ ซง่ึ คะแนนดบิ น้ันอาจจะแปลงรูปโดยใช้วิธกี ารทางสถิตไิ ด้ ท้งั น้ีเพือ่ จะท�ำ ใหค้ ะแนนมี ความหมาย ถกู ตอ้ งย่งิ ขึน้ ดงั นน้ั คะแนนทน่ี ำ�มาใช้ในการประเมินผลการเรยี นจงึ อาจ จะใชใ้ น 2 ลักษณะ คอื

93 บทที่ 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน คะแนนดบิ คะแนนดิบ (Raw Score) คือ คะแนนทีเ่ กิดจากการทดสอบโดยตรง ไม่สามารถ ตคี วามหมายให้แนช่ ดั ว่ามสี ภาพการเรียนรู้มากนอ้ ยเทา่ ไรจงึ จัดวา่ เป็นตัวเลขลอย ๆ ไม่มี ความหมาย (สมนกึ ภทั ทิยธนี, 2546, หนา้ 260) คะแนนดิบมีลักษณะจำ�กดั ทีค่ วรทราบ ดังนี้ 1. คะแนนดบิ มิไดเ้ ป็นหนว่ ยท่ีสมบูรณ์ในการวัดความรู้และความสามารถของ นักเรยี น เน่อื งจากการทดสอบแต่ละครั้งจะสุ่มวัดเฉพาะพฤติกรรมสำ�คญั ท่เี ป็นตัวแทนของ พฤติกรรมส่วนรวมเท่านั้น จงึ ตา่ งจากตัวเลขที่ได้จากการชั่ง ตวง วดั ดังน้ัน ถา้ นกั เรยี น สอบไดค้ ะแนน 0 มิได้หมายความว่า เขาไมม่ คี วามร้เู ลย หรอื ถ้านกั เรยี นคนใดสอบได้ คะแนนเต็ม กม็ ิไดห้ มายความว่าเขามีความรคู้ รบถว้ นสมบูรณ์ หรอื ถา้ นกั เรียนคนแรกสอบ ไดค้ ะแนนเปน็ 2 เท่าของคนที่สอง ก็มิไดห้ มายความวา่ คนแรกมีความรคู้ วามสามารถเปน็ 2 เทา่ ของคนทีส่ อง 2. คะแนนดิบยงั ไมม่ ีความหมายทแ่ี นน่ อนในตวั เอง เชน่ ถ้าทราบว่านักเรียนคนหนง่ึ สอบคณิตศาสตร์ได้ 40 คะแนน ก็บอกไม่ได้ว่าเขาเกง่ หรอื อ่อนในวชิ านี้ และแม้จะทราบ ว่าคะแนนเตม็ เป็น 50 คะแนน กย็ ังบอกอะไรไม่ได้ เพราะจ�ำ นวนคะแนนและค่าของ คะแนนจะแปรผันไปตามความยากงา่ ยของข้อทดสอบ ถ้าข้อสอบยากมาก ทกุ คนก็อาจจะ ไดค้ ะแนนคอ่ นขา้ งต�่ำ ถ้าขอ้ ทดสอบงา่ ยมาก ทกุ คนก็จะได้คะแนนค่อนขา้ งสงู ดงั นัน้ ถา้ ทราบความยากง่ายของแบบทดสอบ ท้งั ฉบับไดแ้ นน่ อนก็พอจะสรุปความหมายของคะแนน ดบิ ได้ 3. ตัวเลขคะแนน เปน็ ผลการวดั ทไ่ี ม่คงที่แน่นอน เหมอื นตัวเลขที่ไดจ้ ากการชง่ั ตวง วดั เช่น ถา้ ใช้แบบทดสอบฉบบั เดมิ ท�ำ การสอบวดั กบั นกั เรียนกลมุ่ เดิมซำ้� 2 คร้ัง ใน เวลาไลเ่ ลี่ยกันจะพบว่าคะแนนผลการวัดตอ้ งเปลย่ี นแปลงไปบ้างไมม่ ากก็นอ้ ย

บทที่ 7 คะแนนและการใหร้ ะดับคะแนน 94 4. คะแนนดบิ ของแตล่ ะวิชา จะน�ำ มาเปรียบเทยี บกันไม่ได้ หรอื น�ำ มารวมกันก็ ยงั ไมส่ มควร แม้จะกำ�หนดจำ�นวนข้อเท่ากนั หรอื กำ�หนดคะแนนเต็มเท่ากันกต็ าม ทั้งนี้ เพราะแตล่ ะวิชามีธรรมชาตขิ องเน้อื หาตา่ งกัน การท�ำ แบบทดสอบแต่ละวิชาตอ้ งใช้ความ ร้คู วามสามารถท่ีแตกตา่ งกัน ยกตัวอยา่ งเชน่ ถา้ เดก็ คนหนงึ่ สอบวชิ าคณติ ศาสตรไ์ ด้ 40 คะแนน ผลการสอบวิชาภาษาไทย ได้ 50 คะแนน สรุปวา่ เด็กคนนีเ้ ก่งภาษาไทย มากกว่าคณิตศาสตรย์ ังไมไ่ ด้ และถา้ จะรวมคะแนนของทงั้ สองวชิ าเปน็ 40 + 50 = 90 กเ็ ป็นเพียงการนำ�ตวั เลขมารวมกันเทา่ น้ัน มิไดม้ คี วามหมายในเชิงการรวมความสามารถ อยา่ งแท้จรงิ อปุ มาเหมือนการรวมน�ำ้ 40 ลิตร กบั นำ้� 50 ขนั ซึ่งรวมแลว้ เป็น 90 แต่ไมท่ ราบว่าหน่วยจะเปน็ อะไร 5. การแปลงคะแนนดบิ ให้เปน็ คะแนนเปอรเ์ ซ็นต์ มไิ ด้ท�ำ ใหค้ ะแนนมีหนว่ ยเป็น มาตรฐานหรือเปน็ หน่วยกลาง เปน็ เพยี งการเทียบสดั สว่ นของคะแนนให้มีส่วนเปน็ 100 หรือเทยี บให้มคี ะแนนเต็มเปน็ 100 ซ่งึ เป็นการท�ำ ให้คะแนนมคี วามหมายคลาดเคลอ่ื นยิง่ ข้นึ เชน่ สมมตวิ า่ นกั เรยี นคนหนง่ึ สอบคณิตศาสตรไ์ ด้ 40 คะแนน จาก 50 คะแนน (ทำ�ถูก 40 ข้อ) ก็จะเทยี บได้เปน็ ร้อยละ 80 หรือ 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ ซ่ึงมีความหมายเสมอื นวา่ เดก็ คนน้ที ำ�ข้อสอบถกู 80 ข้อ จากจำ�นวน 100 ข้อ ซึ่งในความเปน็ จริงถ้าเพม่ิ ขอ้ ทดสอบ เป็น 100 ข้อแลว้ เดก็ คนนคี้ งท�ำ ขอ้ สอบไมไ่ ด้ 80 ขอ้ พอดี ดงั นน้ั การน�ำ คะแนนที่ผ่าน การแปลงมาเปน็ เปอรเ์ ซ็นตไ์ ปเทียบกับเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน กจ็ ะได้ผลการสรปุ ทไี่ ม่ ถูกตอ้ ง คะแนนแปลงรปู คะแนนแปลงรูป (Derived Score) คะแนนแปลงรูปเปน็ แนวคดิ ของนกั วดั ผลท่ี เช่อื ถือการประเมนิ ผลแบบองิ กลุม่ โดยน�ำ เอาวิธีทางสถติ ิมาใช้ในการแปลงคะแนนดบิ ใหอ้ ยู่ ในอีกรูปหน่งึ และมีความหมายดขี นึ้ กว่าเดมิ คะแนนแปลงรูปมหี ลายแบบ ดงั นี้

95 บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 1. คะแนนอันดบั ท่ี (Rank) เป็นคะแนนแปลงรูปทงี่ า่ ยท่สี ุด เปน็ เพียงการจดั เรียงล�ำ ดับคะแนนดบิ ของนกั เรยี นแต่ละคน คะแนนท่ีจัดอันดบั ท่ีจะมคี วามหมายดีข้ึนกว่า คะแนนดบิ ในแงก่ ารเปรยี บเทยี บความสามารถในกลมุ่ แตม่ ิได้บอกความหมายวา่ ใครมี ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนระดับใด หรือมีความสามารถมากนอ้ ยเท่าไร 2. คะแนนเปอร์เซ็นตไ์ ทล์ เปน็ การเปลย่ี นคะแนนดบิ ใหเ้ ปน็ คะแนนตำ�แหนง่ เรยี กวา่ ตำ�แหน่งเปอรเ์ ซ็นตไ์ ทล์ (Percentile Rank) ซ่ึงจะบอกความหมายวา่ ใครมคี วาม สามารถสูงกว่าหรือตำ่�กว่าคนอน่ื ในกลุม่ คดิ เปน็ ก่ีเปอร์เซน็ ต์ เช่น แดงสอบได้ 40 คะแนน คดิ แล้วได้ต�ำ แหนง่ เปอร์เซน็ ต์ไทล์ที่ 70 เขยี นท่ี P70 แสดงวา่ คะแนนของแดงอยู่ทีใ่ น ต�ำ แหนง่ ทีเ่ หนอื คนอ่นื ๆ 70 % หรอื ต่ำ�กวา่ คนอ่นื 30 % หรือกลา่ วอีกอยา่ งหนึง่ วา่ ถา้ เทียบจำ�นวนผู้สอบ 100 คนแลว้ จะมผี สู้ อบไดค้ ะแนนต่ำ�กวา่ แดง 70 คน หรือมผี สู้ อบ ได้คะแนนสงู กว่าแดง 30 คน ดงั น้ี ภาพท่ี 7.1 คะแนนเปอรเ์ ซน็ ไทล์ 3. คะแนนมาตรฐาน (Standard score) คะแนนมาตรฐานเปน็ คะแนนท่ี แปลงรูปมาจากคะแนนดบิ เพอื่ ให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น โดยทวั่ ไปการแปลงคะแนน ดบิ ใหเ้ ปน็ คะแนนมาตรฐาน มี 2 วธิ ี คอื (ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2543, หนา้ 308-309)

บทที่ 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน 96 3.1 วิธีแปลงคะแนนในรูปเสน้ ตรง (Linear Transformation) เป็นการ แปลงคะแนนดบิ ให้เป็นคะแนนมาตรฐานโดยอาศยั วธิ กี ารทางสถติ ิและรกั ษาโค้งการ แจกแจงเดมิ ไว้ไมเ่ ปลี่ยนแปลง 3.1.1 คะแนนมาตรฐาน Z (Z-Score) เปน็ การแปลงรปู คะแนน ดิบโดยใชค้ า่ เฉล่ียและค่ากระจายของคะแนนในกลุ่มมาเปน็ ส่ิงส�ำ คัญในการแปลงรปู คะแนนดิบ ซ่งึ วธิ กี ารน้ีนกั สถิตเิ ช่ือวา่ จะทำ�ให้คะแนนของทกุ วิชา แปลงใหม้ หี น่วยเปน็ แบบเดียวกนั เปรียบเทยี บกนั ได้ และนำ�มารวมกนั ได้ สูตรการแปลงคะแนนเป็นดงั น้ี Z คือ คะแนนมาตรฐานของผูส้ อบแตล่ ะคน X คอื คะแนนดบิ ของผสู้ อบแตล่ ะคน คือ คะแนนเฉลยี่ ของกลุ่ม S คอื ความเบ่ยี งเบนมาตรฐานของกลุม่ โดยทีค่ ะแนนดบิ เม่ือแปลงเปน็ คะแนน Z แลว้ จะมีคุณสมบตั สิ ำ�คัญ 2 ประการ กล่าวคือ (1) คา่ เฉล่ยี จะเปน็ 0 (2) ค่าสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานจะเป็น 1 ตัวอยา่ ง ผลการสอบ 2 วิธี ของพอใจและพอมี เป็นดงั นี้ จงแปลงคะแนนของพอใจและ พอมีเปน็ คะแนนมาตรฐาน คณิตศาสตร์ พอมี พอใจ

97 บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน ภาษาไทย พอมี พอใจ ขอ้ สังเกต หากผูใ้ ดสอบได้คะแนนดบิ เทา่ กบั ค่าเฉลยี่ จะได้ Z = 0 คะแนนมาตรฐานน้ไี ม่เปน็ ที่นยิ มใชเ้ พราะมจี ุดออ่ นส�ำ คัญ 2 ประการคอื 1. ในกรณที ี่คะแนนดบิ นอ้ ยกวา่ คะแนนเฉลยี่ จะทำ�ใหค้ ่าคะแนนแปลงรปู เป็นคา่ ลบ ซ่งึ ไม่เปน็ ทย่ี อมรับโดยทั่วไป 2. คะแนนมาตรฐานแบบนีม้ ีหนว่ ยโตเกนิ ไป เพราะคา่ Z ท่คี ำ�นวณไดอ้ ยรู่ ะหวา่ ง 3 เปน็ ส่วนใหญ่ จงึ ท�ำ ใหค้ ะแนนทแี่ ปลงรูปส่วนมากเปน็ ค่าทศนยิ ม 3.1.2 คะแนนมาตรฐาน T (T - Score) คะแนนมาตรฐานชนดิ น้ีคิดข้นึ มาเพ่อื ใช้แทนคะแนน Z เพ่อื แก้จดุ อ่อนดงั กล่าว โดยนำ�คะแนน Z มาคณู ดว้ ยคา่ คงท่ี 10 และบวกดว้ ยค่าคงท่ี 50 เขียนเปน็ สตู รไดด้ ังนี้ คะแนน T ตามสตู รน้จี ะมคี ณุ สมบัตสิ �ำ คญั 2 ประการ คือ (1) คา่ เฉลีย่ จะเปน็ 50 (2) คา่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็น 10 ตวั อย่าง ข้อมลู ในตัวอย่างชอ่ งคะแนน Z จะแปลงคะแนนของพอใจ และพอมเี ปน็ คะแนน T คณิตศาสตร ์ พอใจ T = 10(0.75) + 50 = 7.5 + 50 = 57.50 พอม ี T = 10(3.00) + 50 = 80.00

บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน 98 ภาษาไทย พอใจ T = 10(2.00) + 50 = 70.00 พอม ี T = 10(0) + 50 = 50.00 ขอ้ สังเกต ผูใ้ ดสอบได้คะแนนดิบเทา่ กับคา่ เฉล่ียจะได้ T = 50 3.2 การแปลงคะแนนโดยยึดพนื้ ท่ี (Area Transformation) เปน็ การ แปลงคะแนนดบิ ให้เปน็ คะแนนมาตรฐาน โดยแปลงจากคะแนนทมี่ กี ารแจกแจงเดมิ ไป สู่การแจกแจงแบบโค้งปกติ ในทีน่ จี้ ะกล่าวถึง คะแนนมาตรฐาน T – ปกติ (Normal- ized T – Score) เป็นคะแนนแปลงรปู โดยยดึ พื้นที่ใตโ้ ค้งปกติเป็นหลกั การแปลงรปู คะแนนแบบนีไ้ ม่ไดใ้ ช้คะแนนดบิ มาค�ำ นวณโดยตรง แต่จะใช้คะแนนต�ำ แหนง่ เปอรเ์ ซน็ ต์ไทล์ โดยวธิ นี ้พี บว่าหากคะแนนดบิ มีการกระจายไม่เปน็ ปกติแล้ว เมอื่ แปลงเปน็ คะแนน มาตรฐานจะมกี ารกระจายเปน็ ปกติ ขั้นตอนการแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนน T ปกติมี ดงั น้ี ขัน้ ที่ 1 เรยี งล�ำ ดบั คะแนนดบิ ของนักเรียนจากมากไปหาน้อย ขน้ั ท่ี 2 แจกแจงความถข่ี องคะแนนแตล่ ะค่า (f) ขน้ั ท่ี 3 หาความถ่สี ะสม โดยรวมความถ่ขี องช้นั คะแนนท่อี ยตู่ ดิ กัน เรมิ่ จากชนั้ คะแนนที่ต่ำ�สุดไปหาคะแนนสงู สดุ (cf) ขัน้ ที่ 4 หาความถส่ี ะสมครึ่งชัน้ หรือ (cf +1/2 f) เชน่ ความถี่สะสมคร่งึ ชัน้ ที่ X=51 จะพิจารณาความถส่ี ะสมชนั้ ท่ตี �ำ่ กว่า คอื เรม่ิ จาก 0 และบวกด้วย 1/2ของ ความถี่ ณ ช้ันนน้ั คอื 1/2 ของ 2 คอื 1 สรุป cf +1/2 f คอื 1.0 ขั้นที่ 5 หาตำ�แหนง่ เปอร์เซ็นต์ไทล์ของคะแนนแตล่ ะค่า โดยค�ำ นวณจาก สูตร

99 บทที่ 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน N คือ จ�ำ นวนผสู้ อบท้งั กลุ่ม ขน้ั ที่ 6 น�ำ คา่ เปอรเ์ ซน็ ตไ์ ทล์ทีค่ ำ�นวณไปเทียบหาคะแนน T – ปกติ โดยต้องใชต้ ารางสำ�เร็จรูปมาเทยี บ (ใชเ้ ทียบจากเปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ีใ่ กลเ้ คยี งท่สี ดุ เพราะอาจ จะไมต่ รงทเี ดยี ว) การให้ระดับคะแนน การให้ระดบั คะแนนหรอื การตัดเกรด เปน็ กจิ กรรมของการประเมินผลการเรยี น โดยการน�ำ เอาข้อมลู ทกุ อยา่ งท่ีได้จากการวดั ผลการเรียนรูด้ ้วยวิธีการหลายๆ วธิ แี ละด้วย การวัดหลายๆ คร้ัง ตลอดช่วงเวลาของการเรียนรายวิชานน้ั มาพิจารณาสรุปอา้ งองิ ถงึ ความร้คู วามสามารถโดยรวมของผเู้ รียนแต่ละคน ซึง่ สรุปออกมาเป็นสญั ลักษณ์ตัวเลข หรอื ตวั อกั ษร ทำ�ใหม้ ีหลักฐานรับรองสภาพความร้คู วามสามารถแต่ละรายวิชาของผเู้ รยี น และยังใช้เปน็ หลกั ฐานรายงานผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นในภาพรวมของผเู้ รียนแต่ละคน ด้วย ดงั นนั้ การให้ระดบั คะแนนจงึ เป็นกิจกรรมส�ำ คญั ทีต่ ้องปฏิบตั ิเสมอตลอดมา ไม่วา่ จะเป็นการวดั และประเมนิ ผลในระบบองิ เกณฑห์ รอื อิงกล่มุ ก็ตาม ส�ำ หรับแนวคิดและรูป แบบของการให้ระดับคะแนนทสี่ ำ�คญั มีดงั นี้ แนวคดิ การให้ระดับคะแนน การใหร้ ะดบั คะแนนมีความส�ำ คญั ต่อผูเ้ รียนมาก ดงั น้นั การให้ระดับคะแนนจึง ต้องเป็นไปอยา่ งถูกต้องและยตุ ิธรรม แนวคดิ การให้ระดับคะแนนไดพ้ อจะสรปุ (ปน่ิ วดี ธนธานี, 2549, หน้า 177)ดงั น้ี 1.1 การใหร้ ะดับคะแนนควรกระทำ�โดยค�ำ นึงถงึ ประโยชนต์ อ่ การส่ง เสรมิ พฒั นาการของผ้เู รยี นเป็นหลกั ดงั นัน้ การใหร้ ะดับคะแนนนอกจากกระทำ�เพื่อให้ ทราบสภาพการเรยี นรแู้ ละพฒั นาการดา้ นต่างๆ แลว้ ควรน�ำ มาพจิ ารณาวนิ จิ ฉัยในสว่ นที่ บกพรอ่ งเพื่อปรับปรงุ แกไ้ ขให้ดขี ึ้นตอ่ ไป

บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 100 1.2 การพจิ ารณาใหร้ ะดบั คะแนน ควรใชค้ ะแนนจากผลการวดั หลายๆ ดา้ น เนือ่ งจากพฤตกิ รรมทางการศกึ ษาประกอบด้วยพฤติกรรมดา้ นพุทธพิ ิสยั ดา้ นจติ พิสัย และด้านทักษะพิสยั ดงั นัน้ การพิจารณาระดบั คะแนนจึงควรใช้ขอ้ มูลทัง้ 3 สว่ น นีป้ ระกอบกัน ซง่ึ ขอ้ มลู เหล่านี้ได้มาโดยวธิ วี ัดหลายๆ วิธี เช่น สงั เกตติดตามพฤติกรรม ด้านจิตพสิ ยั ระหว่างเรยี น การวดั ความรู้ความสามารถตามสภาพจรงิ ระหวา่ งเรยี น การ ทดสอบความรู้ความสามารถ และวธิ ีทดสอบภาคปฏบิ ตั ิ เป็นตน้ 1.3 เกณฑท์ ่ีน�ำ มาใชต้ ัดสินคะแนน ต้องมีความชดั เจนและเหมาะสม การ ตดั สนิ ระดบั คะแนนต้องทำ�อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะระดบั คะแนนที่มีผลให้ผ้เู รียนตอ้ ง เรียนแกต้ วั ใหม่ ควรพจิ ารณาอยา่ งสมเหตสุ มผล เพราะถา้ ตดั สนิ ไปโดยมีขอ้ มลู ไม่เพียงพอ ก็เปรียบเสมือนการสรา้ งบาปทางวชิ าการ 1.4 การตัดสนิ ระดบั คะแนนตอ้ งใช้คุณธรรมอนั สงู ส่งของครูเปน็ ท่ีตัง้ ต้อง ขจัดรอยพิมพ์ใจตา่ งๆ เก่ยี วกับตัวผสู้ อบออกให้หมด เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความยุตธิ รรมตอ่ ทกุ คน อยา่ งเสมอหนา้ กัน 1.5 การใหค้ ะแนนจะกำ�หนดเปน็ สญั ลกั ษณ์ ซ่ึงนิยมใช้สญั ลกั ษณ์เปน็ ตวั อักษร หรืออาจใชต้ วั เลขกไ็ ด้ (นงลกั ษณ์ วริ ชั ชยั , 2546, หนา้ 302) รปู แบบที่ใชใ้ นวงการ ศึกษาไทยมีหลายแบบดงั น้ี 1. 5.1 แบบ 2 ระดบั มี 2 แบบ คอื (1) ก�ำ หนด P กบั F P (pass) หมายถึง ผลการเรียนผา่ นเกณฑ์ที่ก�ำ หนด F (Fail) หมายถงึ ผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำ�หนด ระดบั P อาจแยกพเิ ศษอกี ระดับเป็น G (Good) หมายถึงผ่านดีมาก (2) ก�ำ หนด S กับ U S (Satisfactory) หมายถึง ผลการเรียนเป็นท่นี า่ พอใจ U (Unsatisfactory) หมายถึง ผลการเรยี นไมเ่ ปน็ ท่ีน่าพอใจ ระดับ S อาจแยกพเิ ศษอกี ระดบั เป็น H (Honor) หมายถงึ ผลการเรียนดีเยีย่ ม

101 บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 1.5.2 แบบ 5 ระดบั คือ A หรอื 4 หมายถึงผลการเรยี น ดมี าก B หรือ 3 หมายถึงผลการเรียน ดี C หรือ 2 หมายถึงผลการเรียน ปานกลาง D หรือ 1 หมายถึงผลการเรียน อ่อน (ผ่านเกณฑข์ ้ันต่�ำ ) E หรอื 0 หมายถงึ ผลการเรยี น อ่อนมาก (ไมผ่ ่านเกณฑข์ ัน้ ตำ่�) 1.5.3 แบบ 8 ระดบั คอื A หมายถึงผลการเรยี น ดเี ย่ยี ม B+ หมายถงึ ผลการเรยี น ดีมาก B หมายถงึ ผลการเรยี น ดี C+ หมายถึงผลการเรียน ดพี อใช้ C หมายถึงผลการเรยี น พอใช้ D+ หมายถงึ ผลการเรยี น อ่อน D หมายถงึ ผลการเรยี น ออ่ นมาก E หรือ F หมายถงึ ผลการเรียน ตก (ไมผ่ ่านเกณฑข์ นั้ ตำ่�) 1.6 ระบบการให้ระดับคะแนน อาจแบ่งเป็น 2 ระบบ (บุญธรรม กจิ ปรดี า บริสทุ ธ,์ิ 2535, หน้า 193) คอื ระบบสมบูรณ์ (Absolute System) กบั ระบบสัมพัทธ์ (Relative System) 1.6.1 ระบบสมบูรณ์ คอื การให้ระดบั คะแนน แบบท่ใี ชเ้ กณฑ์สมบูรณ์ หรอื เกณฑม์ าตรฐาน (Absolute Standard) ซึ่งผู้สอนจะเป็นผู้ก�ำ หนดขน้ึ โดยน�ำ คะแนนดิบ หรอื คะแนนรอ้ ยละ (เปอร์เซ็นต์) มาเทยี บกับเกณฑท์ ยี่ ึดถอื เพือ่ ตัดสิน ระดับคะแนน ซึง่ อาจจะกล่าวไดว้ า่ เปน็ การก�ำ หนดระดบั คะแนนในรปู แบบอิงเกณฑ์

บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 102 1.6.2 ระบบสัมพันธ์ คือ การให้ระดบั คะแนน แบบท่นี ำ�คะแนนของผู้ เรียนมาเปรียบเทียบกันเองภายในกลมุ่ โดยครูผู้สอนเปน็ ผู้ตดั สนิ ใจว่าจะให้ระดบั คะแนน กร่ี ะดับ ซึง่ อาจจะกลา่ วได้ว่าเป็นการก�ำ หนดระดบั คะแนนในรูปแบบองิ กลมุ่ อน่ึง การให้ระดับคะแนนหรอื ตวั เกรด เป็นการสรุปผลการเรียนขั้น สดุ ทา้ ย จงึ จำ�เปน็ ตอ้ งใชด้ ลุ พนิ ิจอย่างรอบคอบ ด้วยความถูกตอ้ ง ยตุ ิธรรมและคุณธรรม ขจัดความล�ำ เอียงหรอื อคตสิ ่วนตวั ตอ้ งชัดเจนและมคี วามเป็นมาตรฐาน มขี ้อควรค�ำ นงึ ดังน้ี (พิชติ ฤทธจ์ิ รูญ, 2545, หน้า 222-223) 1. ตอ้ งแจง้ ใหผ้ ู้เรียนทราบลว่ งหน้าถงึ กระบวนการใหร้ ะดบั คะแนนต้งั แตเ่ ริ่มเรยี น วา่ การให้ระดบั คะแนนจะรวมถงึ งานอะไรบา้ ง แตล่ ะงานมีน้�ำ หนักของคะแนนเทา่ ไร แตล่ ะระดบั มีชว่ งคะแนนเท่าใด หรือมวี ธิ ีการให้ระดับคะแนนอยา่ งไร 2. หลักการพน้ื ฐานของระดบั คะแนนควรตัง้ อยบู่ นผลสมั ฤทธ์ิของการเรยี นของผู้ เรียนอันเนอ่ื งมาจากกระบวนการเรียนรู้เพียงอยา่ งเดียวเท่าน้นั ไมม่ อี งค์ประกอบอนื่ เขา้ มา แทรกซอ้ น 3. การให้ระดบั คะแนนควรจะอยบู่ นพ้นื ฐานของการประเมินทหี่ ลากหลายและ กระบวนการวดั ทเี่ ชอื่ ถือได้ 4. การรวมคะแนนเพอ่ื กำ�หนดระดบั คะแนนในกรณีคะแนนมหี ลายชดุ ควรใช้ เทคนิคการกำ�หนดนำ้�หนกั คะแนน 5. ควรเลอื กระบบการใหร้ ะดับคะแนนให้เหมาะสมกับลักษณะการจัดการเรียน การสอน กรณีเปน็ การเรียนเพ่อื รอบร้คู วรเลือกใช้ระบบสมบรู ณ์คือเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ สมบรู ณท์ เ่ี ปน็ มาตรฐาน การจัดการเรยี นการสอนตามปกติในหอ้ งเรยี นทต่ี ัดสนิ ได้ – ตก ควรใชเ้ กณฑส์ มบูรณ์ นอกจากนั้นเปน็ เกณฑเ์ ชงิ สมั พันธ์กบั คนในกลุ่ม 6. กรณเี กดิ ความสงสัยเกยี่ วกับความยุตธิ รรมในการให้ระดับคะแนนควรทบทวน จุดตดั ของแตล่ ะระดับคะแนนและทบทวนตรวจสอบหลักฐานทเี่ กยี่ วกบั ผลสัมฤทธทิ์ ัง้ หมด

103 บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน 7. ผใู้ ห้ระดับคะแนนตอ้ งใชค้ ณุ ธรรมในการพิจารณาเหตผุ ลและความเหมาะสม อื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจ องค์ประกอบทีจ่ ะชว่ ยในการตดั สินใจ เช่น ผลการสอบของ ผู้เรยี นโดยส่วนรวม คะแนนสงู สดุ และตำ่�สดุ ของกลมุ่ ลกั ษณะการกระจายของคะแนน เปน็ ต้น ถา้ คะแนนในกลุ่มมีการกระจายมาก (พิสยั มคี ่าสงู ) กค็ วรใหร้ ะดบั คะแนนหลายระดบั ถ้า คะแนนในกลุ่มมีการกระจายน้อย (พสิ ยั มคี ่าต่ำ�) แสดงว่าคะแนนเกาะกลุ่มกนั กอ็ าจมี จ�ำ นวนระดบั คะแนนนอ้ ยลง 8. ในกรณีการให้ระดับคะแนนไม่ถึง 5 ระดับ ส่งิ ทีจ่ ะตอ้ งพจิ ารณาคือระดบั คะแนนสูงสุดหรอื ต�ำ่ สดุ ควรเปน็ ระดบั อะไร ผูใ้ หร้ ะดับคะแนนอาจต้องพิจารณาคะแนน สูงสุดและคะแนนต่ำ�สุดของนักเรียนกลมุ่ นน้ั ถา้ คะแนนสูงเป็นท่ีน่าพอใจก็อาจใหร้ ะดบั A แล้วลดหล่ันลงไปตามล�ำ ดบั หรอื ถา้ คะแนนตำ่�สดุ มากกอ็ าจจะพจิ ารณาถงึ ระดับ E ถา้ ไม่ ต่�ำ มากกใ็ หร้ ะดับ D หรือ C ตามความเหมาะสม 9. ครผู ู้สอนควรเป็นผู้ให้ระดบั คะแนนเอง เพราะรู้จกั ผเู้ รยี นได้ดีวา่ มคี วามสามารถ ระดบั ใด การให้ระดบั คะแนนจงึ จะมคี วามเท่ยี งตรงและยุตธิ รรม 1. การให้ระดบั คะแนนแบบองิ เกณฑ์ การก�ำ หนดคะแนนในรปู แบบน้ี อาจจะเป็นแบบ 2 ระดับ หรอื แบบ 5 ระดบั ก็ได้ โดยมหี ลกั การสำ�คญั ว่าต้องก�ำ หนดเกณฑม์ าตรฐานขนั้ ต�ำ่ ของแต่ละระดับคะแนน เอาไว้ใหช้ ัดเจน ซง่ึ เกณฑ์มาตรฐานในทนี่ ี้ หมายถึงกล่มุ ของพฤติกรรมทก่ี ำ�หนดขึ้น ตามจดุ ประสงค์ของการเรียนการสอนในวชิ านั้นๆ โดยคาดหวงั ว่าเมอ่ื สิน้ สุดการเรยี นการ สอนแล้วผเู้ รียนตอ้ งกระทำ�กิจกรรมใดบา้ ง มคี ุณลักษณะอะไรทต่ี อ้ งการหรอื มีความรู้ ความสามารถทางปัญญาเป็นปริมาณเท่าไร ดังนั้นการตดั สนิ ใจวา่ จะใหร้ ะดบั คะแนนใด แกผ่ ้เู รียน จึงน�ำ เอาผลงาน คณุ ลกั ษณะ และความสามารถทีว่ ัดได้ไปเทียบกบั เกณฑท์ ่ี กำ�หนดไว้ วา่ จดั อยูใ่ นช่วงระดับคะแนนอะไร

บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 104 ตวั อยา่ งเกณฑข์ นั้ ต�ำ่ การได้ระดับคะแนน 4 หรอื A 1. สอบปลายภาคเรยี นไดค้ ะแนนไม่ต่�ำ กว่าร้อยละ 70 ของคะแนนปลายภาค 2. ระหวา่ งภาคเรียนไดค้ ะแนนไมต่ ำ�่ กวา่ ร้อยละ 80 ของคะแนนระหวา่ งภาค 3. การวัดผลตามจุดประสงคก์ ารเรียนรขู้ องแตล่ ะหนว่ ยเรียนต้องผ่านทกุ จดุ ประสงค์ 4. ท�ำ งานภาคปฏิบตั ิที่ก�ำ หนดใหอ้ ย่ใู นเกณฑ์ผ่านทุกงานและสง่ ภายในเวลาที่ ก�ำ หนด 5. มเี วลาเรยี นไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 90 ของเวลาเรียนตลอดภาคเรียน การกำ�หนดเกณฑ์ของแตล่ ะระดับคะแนนโดยปกติจะกำ�หนดขนึ้ โดยครผู ้สู อนเอง และควรจะกำ�หนดขึน้ กอ่ นทจ่ี ะเริม่ การเรียนการสอนเพ่ือแจ้งใหผ้ ้เู รียนทราบลว่ งหนา้ ใน กรณีที่มผี ู้สอนรายวิชาเดยี วกนั หลายคน และมขี อ้ ตกลงว่าจะควบคุมมาตรฐานการเรยี น การสอนใหเ้ ทา่ เทยี มกนั กจ็ ำ�เป็นตอ้ งใหผ้ ้สู อนทกุ คนพจิ ารณาก�ำ หนดเกณฑ์รว่ มกัน และ สิง่ ท่ีตอ้ งมีความเขา้ ใจร่วมกนั เพื่อเป็นพื้นฐานของการก�ำ หนดเกณฑ์ให้ถูกตอ้ งเหมาะสม คือ 1. เกณฑข์ องแตล่ ะระดับคะแนนทีก่ �ำ หนดขนึ้ ไมใ่ ชเ่ กณฑ์มาตรฐานสมบรู ณ์ แต่ เปน็ เกณฑ์ที่ต้องพจิ ารณาว่าเหมาะสมตามความเหน็ ของครูผู้สอนและผู้ท่มี ีสว่ นเกีย่ วขอ้ ง ดังน้ันจงึ อาจจะมกี ารทบทวนหรือปรับปรุงใหมใ่ นการประเมนิ ผลคราวต่อไปไดเ้ สมอ 2. เกณฑร์ ะดบั คะแนนของแต่ละรายวชิ าไมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งเท่ากัน เนื่องจากแตล่ ะ วชิ ามธี รรมชาติของเนอื้ หา และกระบวนการเรยี นท่แี ตกต่างกันไป แต่ละวชิ าจึงควรมี เกณฑ์อย่างอิสระ 3. การกำ�หนดเกณฑ์ระดบั คะแนน ยงั ตอ้ งคำ�นึงถึงความตรงของเคร่อื งมือทีใ่ ช้ ในการวดั ผลด้วย โดยมขี ้อตกลงเบอื้ งตน้ ว่าเคร่อื งมอื แตล่ ะชดุ ทีน่ �ำ มาใช้ตอ้ งวัดไดต้ รง จดุ ประสงค์ของการเรยี นร้แู ละต้องวัดครอบคลมุ พฤตกิ รรมที่สำ�คญั ทกุ ด้าน การกำ�หนด เกณฑ์ของแต่ละระดับคะแนนจึงจะมคี วามเหมาะสม

105 บทท่ี 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน สภาพการประเมินผลในสถานศึกษาปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาใชแ้ นวคิดในการกำ�หนด ระดับคะแนนแบบองิ เกณฑ์กนั มากขึ้น แมจ้ ะยังปฏิบัติได้ไม่สมบรู ณ์ตามทฤษฏีกต็ าม เหตุผลของความเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วนี้เน่ืองมาจาก การเรียนการสอนในแนวทางใหม่ หันมายึดทฤษฎีการเรียนเพ่อื รอบรู้ ซงึ่ จัดการเรียนการสอนโดยยึดถือจดุ ประสงคข์ องการ เรียนทก่ี �ำ หนดไวใ้ นแผนการสอน ดังนน้ั จงึ จ�ำ เปน็ ต้องใช้วธิ ีการวัดผลประเมนิ ผลแบบอิง เกณฑจ์ ึงจะมีความสอดคล้องกัน ข้อดขี องการก�ำ หนดระดับคะแนนในรปู แบบองิ เกณฑ์ สรุปได้ดงั นี้ 1. เนื่องจากการกำ�หนดเกณฑ์ของแตล่ ะระดบั คะแนนระบุออกมาเปน็ ผลงาน คณุ ลกั ษณะ และความสามารถขัน้ ตำ่�ของผู้เรยี นอย่างชดั เจน จึงท�ำ ให้ครู ผู้ปกครอง และตัวผเู้ รยี นเอง เข้าใจสภาพการเรียนร้ขู องผ้เู รยี นได้ค่อนข้างชัดเจน จากการแปล ความหมายตามเกณฑข์ องระดับคะแนนท่ีได้รบั 2. ช่วยให้การเรียนการสอนดำ�เนินไปอย่างมเี ป้าหมาย เพราะผ้เู รยี นสามารถ ตรวจสอบสภาพความรคู้ วามสามารถของตนเองได้ตลอดเวลาจากการวัดผลย่อย ซงึ่ ชว่ ย เป็นแรงจูงใจในการปรบั ปรุงซ่อมเสรมิ ตนเอง สว่ นครกู ท็ ราบแน่ชัดว่าจะต้องสอนและ พฒั นาเดก็ ในขอบข่ายแคไ่ หนจงึ จะเพยี งพอ 3. ลดปญั หาการเรยี นแบบแข่งขันชงิ ดีชงิ เดน่ ระหวา่ งผูเ้ รยี น เพราะทกุ คนมโี อกาส จะไดร้ บั ผลการประเมินระดับสูงสดุ ได้ ถา้ มคี วามสามารถและมคี วามพยายามเพียงพอที่ จะสร้างผลงานและสอบให้ได้คะแนนถงึ เกณฑ์ทกี่ ำ�หนด โดยไม่มีผลกระทบตอ่ การได้ ระดบั คะแนนของคนอื่น ทงั้ ยังส่งเสริมใหม้ ีการช่วยเหลือกันระหว่างเพือ่ นในกลมุ่ ขอ้ เสยี ของการก�ำ หนดระดบั ในรูปแบบน้ีกค็ ือ การท่ีไม่ตอ้ งแข่งขนั กนั ระหว่างผู้ เรียน ทำ�ใหผ้ เู้ รียนทม่ี คี ุณภาพสมองดขี าดแรงจูงใจในการพัฒนาสมรรถภาพของตนเอง จนถึงขีดสูงสดุ

บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 106 2. การใหค้ ะแนนแบบอิงกลุม่ การกำ�หนดระดบั คะแนนในรปู แบบน้ีจะตอ้ งมไี มต่ ำ�่ กวา่ 3 ระดบั เน่ืองจากจะ ต้องเปรียบเทียบคะแนนของผูเ้ รียนภายในกลุ่ม จงึ ตอ้ งมีระดับคะแนนกระจายพอสมควร การจะพจิ ารณาระดับคะแนนของผู้เรียนไดน้ น้ั ครจู ะต้องตดั สนิ ใจกอ่ นว่า การประเมิน ผลครง้ั นจี้ ะใหร้ ะดับคะแนนก่ีระดับ และระดับใดบ้าง โดยใช้เหตุผลต่างๆ เพอ่ื ช่วยใน การตัดสนิ ใจดงั น้ี 1. พจิ ารณาความสามารถของผู้เรยี นทงั้ กลุ่มวา่ มีความแตกต่างกนั มาก หรอื น้อย ถ้าแตกตา่ งกันมากก็จะตอ้ งกำ�หนดระดับคะแนนหลายระดับซ่ึงอาจจะมีครบท้งั 5 ระดับ (หรอื 8 ระดับ) ถ้ามคี วามสามารถไม่ตา่ งกันมากกจ็ ะก�ำ หนดระดบั คะแนนให้ นอ้ ยกว่า 5 ระดบั ตามความเหมาะสม 2. พจิ ารณาความสามารถของนกั เรยี นท้งั กลมุ่ เปรียบเทยี บกบั ผ้เู รยี นใน รายวชิ าเดยี วกันของร่นุ กอ่ น ถา้ มคี วามใกลเ้ คียงกันกค็ วรจะก�ำ หนดเกณฑเ์ หมือนกัน เพ่อื รักษามาตรฐานของระดบั คะแนน 3. พิจารณาความอตุ สาหพยายามของผู้เรียนทง้ั กลุม่ ความรบั ผิด ชอบ ความเอาใจใส่ในการเรยี น การร่วมกิจกรรม และความสมบูรณข์ องผลงาน ซึง่ คุณลกั ษณะดงั กล่าวถือว่ามีความส�ำ คญั ต่อการประเมินผลการเรียนด้วย ดังนน้ั จะเหน็ วา่ ระดับคะแนนจะมีก่ีระดับยอ่ มขึ้นอยคู่ วามสามารถ และคุณลกั ษณะของผู้เรยี นเป็นสำ�คัญ เม่อื ก�ำ หนดจำ�นวนระดบั คะแนนได้แล้ว จงึ น�ำ คะแนนผลการสอบของผเู้ รยี นทก่ี ระจายต้งั แตส่ ูงสุดจนถึงต�ำ่ สุดมาแบง่ ชว่ งตามเกณฑก์ าร พิจารณาระดับคะแนนในรปู แบบต่างๆ ข้อสงั เกตทีส่ �ำ คัญของการก�ำ หนดระดับคะแนน แบบนก้ี ค็ ือ 1. จำ�นวนระดับคะแนนท่ีตดั สนิ ใหใ้ นการประเมนิ ผลแต่ละรายวชิ าอาจจะ มไี มค่ รบทกุ ระดับ เชน่ มเี พียง 4 ระดบั A B C D หรอื มเี พยี ง 3 ระดับ B C D เปน็ ตน้ 2. การแบง่ ช่วงระดบั คะแนน จะใชพ้ ิสัยของคะแนนรวมท่ีเกิดจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียนในกล่มุ มาเปน็ ตัวกำ�หนดช่วงระดับคะแนน

107 บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน 3. การกำ�หนดระดับคะแนนของรายวชิ าใด ๆ กระท�ำ โดยไม่มคี วามเกี่ยวข้องกับ คุณลกั ษณะของเคร่อื งมือ เชน่ ความตรงของแบบทดสอบ หรือความยาก – ง่ายของข้อ ค�ำ ถาม เพราะเกณฑ์การตดั สินระดับคะแนนสามารถปรับไปตามคะแนนของผสู้ อบทง้ั กลุ่มไดโ้ ดยไมต่ ้องผูกพนั กบั คุณลกั ษณะของเคร่อื งมือ ข้อดขี องการกำ�หนดระดบั คะแนนในรูปน้ีที่พอจะกล่าวได้กค็ อื ช่วยส่งเสรมิ ให้ผู้ เรียนเกดิ แรงจูงใจและความพยามยามในการเรียนท่ตี อ้ งการพัฒนาตนเองให้อยใู่ นระดับ สูงสุด เพ่อื หนีจากตำ�แหนง่ ดอ้ ยของกลมุ่ เนื่องจากเปน็ รูปแบบที่ส่งเสรมิ การแข่งขนั โดยตรง ดังน้นั ผ้เู รยี นทีม่ คี ุณภาพสมองดกี ็ย่ิงพยายามพัฒนาสมรรถภาพอย่างสดุ ความ สามารถ เพื่อตอ้ งการตำ�แหนง่ ทสี่ งู สดุ ของกลมุ่ ข้อเสยี ของการกำ�หนดระดบั คะแนนในรปู แบบองิ กลมุ่ สรปุ ได้ดงั น้ี 1. ระดบั คะแนนท่ผี เู้ รียนได้รับบอกได้แต่เพยี งว่าผู้เรียนมีความรคู้ วามสามารถใน ระดับใดของกลุม่ เทา่ น้ัน แตไ่ มส่ ามารถจะแปลความหมายได้วา่ เขามคี ณุ ลกั ษณะหรือ ความสามารถอะไรบ้าง 2. การเรยี นการสอนดำ�เนินไปโดยขาดเป้าหมายทีแ่ นน่ อน ท�ำ ใหผ้ ู้เรียนตรวจสอบ สภาพความรคู้ วามสามารถของตนเองไดย้ าก 3. สง่ เสริมการแข่งขันชิงดชี งิ เด่นกนั ระหวา่ งผู้เรียน ท�ำ ให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความเหน็ แก่ ตัวเน่ืองจากต้องการหนตี �ำ แหนง่ ต�ำ่ สุดของกลมุ่ หรอื แยง่ ต�ำ แหน่งสงู สุดของกลุม่ ทำ�ใหผ้ ู้ เรยี นขาดความจรงิ ใจและขาดน้�ำ ใจทจี่ ะช่วยเหลอื เพอ่ื นด้านการเรียน 4. มาตรฐานของระดับคะแนนจะไม่คงท่ี เปล่ยี นแปลงไปตามลักษณะของกล่มุ ดังน้นั ระดบั คะแนน A ของกลมุ่ หนง่ึ จึงไม่สามารถจะสรุปได้ว่ามีความรู้ความสามารถเทา่ เทียมกับระดบั คะแนน A ของอกี ล่มุ หนงึ่ การแกป้ ญั หานี้จะตอ้ งควบคุมมาตรฐานของ การเรยี นการสอนตลอดจนเครอ่ื งมอื วดั ผลใหเ้ ปน็ แบบเทา่ เทยี มกัน

บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 108 วธิ ีการใหร้ ะดับคะแนนในรปู แบบองิ กลมุ่ การให้ระดบั คะแนนหรือการตัดเกรดในรปู แบบองิ กลมุ่ ยังเป็นท่นี ยิ มใช้ใน ปัจจบุ ัน โดยเฉพาะในสถานศกึ ษาระดับอุดมศกึ ษา วธิ กี ารท่นี ิยมใช้อาจจะจำ�แนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทดงั นี้ 1. ประเภทใช้คะแนนดิบ เป็นวิธีตดั สนิ ระดับคะแนนจากคะแนนดบิ โดยตรง ซึง่ มี วธิ กี ารหลายวธิ ี ในที่น้ีจะกลา่ วถงึ 3 วิธีคือ (1) วธิ ีจัดกลมุ่ ตามธรรมชาติ วธิ ีน้คี รูจะต้องตดั สนิ ใจวา่ ผู้เรยี นกลุม่ นน้ั ควร ไดร้ ะดบั คะแนนสูงสดุ เทา่ ไร และต�ำ่ สุดเทา่ ไร โดยใชเ้ หตผุ ลหลายๆ อยา่ งประกอบกนั จากน้ันก็แจกแจงคะแนนดบิ ของผู้เรยี นตามล�ำ ดับ แลว้ สงั เกตดูว่าคะแนนที่เรยี งล�ำ ดับนน้ั ขาดชว่ งตรงไหนบ้าง หรอื มีความถี่น้อยตรงชว่ งใดบ้าง กจ็ ะพจิ ารณาตัดแบ่งชว่ งคะแนน ตรงจดุ ท่เี ปน็ ข้อสงั เกตดังกลา่ ว หากคะแนนทข่ี าดช่วงไมช่ ดั เจนก็ต้องใชด้ ลุ ยพนิ จิ ของ ผู้สอน ตัวอยา่ ง สมมติวา่ ผลการสอบวิชาคณติ ศาสตรข์ องนกั ศึกษา 22 คน แจกแจง ความถีแ่ ละตดั แบ่งระดับคะแนนเปน็ 4 ระดบั ไดด้ ังน้ี

109 บทท่ี 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน ( 2) วิธกี �ำ หนดเกณฑ์ท่คี าดหวงั วิธนี ้จี ะเทียบคะแนนดิบเปน็ รอ้ ยละหรือ เปอรเ์ ซ็นต์ แลว้ นำ�มาเทยี บกบั ชว่ งเกณฑต์ ัดสินระดบั คะแนนท่ีก�ำ หนดข้นึ มา ซง่ึ เป็นการ ก�ำ หนดมาตรฐานความสามารถของผ้เู รียนออกเป็นระดบั ต่างๆ คลา้ ย ๆ กบั รปู แบบอิง เกณฑ์ แตก่ ารก�ำ หนดช่วงคะแนนไม่มเี หตผุ ลชัดเจน เช่น แบบอิงเกณฑ์ จึงเป็นการคาด หวังความสามารถของผเู้ รียนล่วงหน้าตามความเหน็ ของครูผู้สอน หรือตามความเห็นของ กลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญการสอน จ�ำ นวนระดบั คะแนนจะกำ�หนดไวค้ รบท้ังทุกระดับ การกำ�หนด ระดับคะแนนลักษณะน้ยี ังอาจจะยึดถอื ใช้กบั ทุกวชิ าเหมอื นกัน ซงึ่ การใช้เกณฑแ์ บนจ้ี ะ ต้องวางแผนจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนอยา่ งดี จงึ จะช่วยให้การตัดสินมคี วามยุติธรรม ตวั อยา่ งเชน่

บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 110 ระดับคะแนน A ตอ้ งได้คะแนนร้อยละ 90 ขึ้นไป ระดบั คะแนน B ตอ้ งได้คะแนนรอ้ ยละ 75-89 ระดับคะแนน C ต้องไดค้ ะแนนรอ้ ยละ 60-74 ระดบั คะแนน D ตอ้ งไดค้ ะแนนร้อยละ 45 -59 ระดบั คะแนน E ต้องได้คะแนนร้อยละ 44 ลงมา (3) วิธีกำ�หนดโควตา วธิ ีน้ีจะก�ำ หนดจำ�นวนรอ้ ยละของผ้เู รยี นทคี่ วรได้ ระดับคะแนนต่างๆ ไว้อย่างแน่นอน โดยยึดถอื ตามอตั ราส่วนจ�ำ นวนที่สอดคลอ้ งกับ การกระจายเป็นโค้งปกติ ซงึ่ เปน็ ดังนี้ ระดับคะแนน A มีจ�ำ นวนร้อยละ 10 ระดบั คะแนน B มีจำ�นวนรอ้ ยละ 20 ระดับคะแนน C มีจ�ำ นวนรอ้ ยละ 40 ระดับคะแนน D มจี ำ�นวนร้อยละ 20 ระดบั คะแนน E มจี �ำ นวนรอ้ ยละ 10 การตัดสนิ ระดบั คะแนนด้วยวธิ ีน้คี ่อนข้างจะเสยี่ งตอ่ ความไม่ยุติธรรมได้ ง่ายเพราะจะตอ้ งตัดสินให้มรี ะดบั E เสมอ โดยมีเหตผุ ลวา่ จะตอ้ งเปน็ ฐานของคะแนน ระดบั ต่ำ�ของกลุ่มตามรูปแบบการกระจายคะแนนเปน็ โค้งปกติ การใช้วธิ นี ีจ้ ึงตอ้ งท�ำ อย่าง ระมดั ระวัง 2. ประเภทใช้คะแนนมาตรฐาน วิธีน้จี ะต้องแปลงคะแนนดบิ ให้อยใู่ นรปู แบบ คะแนนมาตรฐานก่อน แล้วจึงกำ�หนดช่วงระดับคะแนนจากมาตรฐาน คะแนนมาตรฐาน มีหลายรปู แบบ ท่นี ิยมใช้ในวงการศึกษา คือ คะแนน T-ปกติ ในทนี่ จี้ ะกล่าวถงึ การ ก�ำ หนดระดับจากคะแนนมาตรฐาน T-ปกติ เท่านน้ั ซ่งึ มีข้นั ตอนดงั นี้ ขัน้ ท่ี 1 นำ�คะแนนดบิ มาแปลงเปน็ คะแนน T-ปกติ ขน้ั ที่ 2 หาพิสัยของคะแนน T-ปกติ โดยเอาคา่ สงู สดุ ลบดว้ ยค่าต�่ำ สดุ ข้ันท่ี 3 ตดั สนิ ใจดว้ ยเหตุผล วา่ จะใหม้ ีระดบั คะแนนก่ีระดับและมีระดบั ใดบา้ ง ขัน้ ท่ี 4 นำ�ระดับคะแนนท่ตี ดั สนิ ใจในขน้ั ที่ 3 ไปหารพิสยั ทหี่ าได้ในขน้ั ที่ 2 คา่ น้ี

111 บทที่ 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน คือชว่ งระดบั คะแนน ชว่ งจะเท่ากันทุกระดับคะแนน แต่ในทางปฏิบัตแิ ล้วผลหาร มักจะมีเศษจงึ ตอ้ งมีการปัดเศษให้เป็นจ�ำ นวนเต็มความเหมาะสม ท�ำ ใหต้ อ้ งมกี ารปรับปรงุ ชว่ งคะแนน ขน้ั ที่ 5 พิจารณาตดั ชว่ งระดับคะแนนให้แน่นอน โดยยึดคะแนน T50 เปน็ จดุ หลกั ช่วงคะแนนแต่ละช่วงอาจจะไมเ่ ทา่ กนั ตามท่คี ำ�นวณไวใ้ นขน้ั ท่ี 4 ตอ้ งปรับใหเ้ หมาะสม และพอดกี บั ค่าคะแนน T-ปกติ ของผสู้ อบ ขอให้สงั เกตแผนภาพการแบ่งช่วงคะแนนตาม ตวั อย่าง ขัน้ ท่ี 6 นำ�คะแนนผลการสอบของผู้เรยี นแตล่ ะคนมาเทียบเป็นระดบั คะแนนตาม ชว่ งคะแนนท่ีก�ำ หนดไว้ในขน้ั ท่ี 5

บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดับคะแนน 112 การรายงานผลการสอบ การรายงานผลการสอบ เปน็ การสรปุ ผลการเรยี นการสอนวา่ ผู้เรียนแตล่ ะคนมีความ รู้ความสามารถเพยี งใด รายงานท่ีดีจะต้องสามารถส่อื ความหมายของขอ้ มูลไดถ้ กู ตอ้ งและ สามารถ นำ�ผลไปใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ ได้ วิธีการรายงานผลการสอบมหี ลายวธิ ี ดงั นี้ (เพลนิ พศิ ธรรมรตั น,์ 2542, หน้า 217-218) 1. รายงานในรูปของการบรรยาย เปน็ การรายงานโดยบอกใหร้ วู้ ่าผู้สอบมคี วามรู้ ตามเนอื้ หาทีส่ อบมากน้อยเพยี งใด เป็นการรายงานเพ่อื การวินิจฉัยผเู้ รียน วา่ มเี นอื้ หาอะไร ยังบกพรอ่ งอยู่ มปี ระโยชนใ์ นการปรับปรงุ การเรยี นการสอน เชน่ ศิรสิ ุภามคี วามร้ใู นการบวก ลบ เลข 2 หลัก แตก่ ารคูณ หารยังไม่คล่อง สุวารีย์พิมพด์ ดี ภาษาไทยได้เร็ว 40 คำ�ตอ่ นาที 2. รายงานโดยบอกอันดบั ในกลมุ่ การรายงานผลวิธนี ้สี อดคล้องกบั แนวความคิดใน การใช้ผลการสอบเพ่อื จดั ต�ำ แหนง่ โดยบอกให้ทราบว่าผูส้ อบมคี วามสามารถสงู หรือตำ�่ กว่าผู้ เขา้ สอบคนอ่นื ๆ ในกลุม่ นัน้ เช่นไร ไมม่ ปี ระโยชน์ในการปรับปรงุ การเรียนการสอนโดยตรง แต่อาจมผี ลในทางออ้ ม ท�ำ ให้ผู้เรยี นทราบวา่ ขณะนีค้ วามสามารถระดับใดของกลุ่ม เพ่อื การ พัฒนาตนเอง 3. รายงานโดยบอกระดับพฒั นาการ เปน็ การรายงานดว้ ยคะแนนมาตรฐานจากการ ใชแ้ บบทดสอบมาตรฐานซง่ึ มีเกณฑ์ปกติ (Norm) อย่แู ล้ว โดยเกณฑ์ปกตทิ ี่นำ�มาเปรียบ เทยี บคอื คา่ เฉลยี่ ของการทำ�งานนั้น ๆ ของคนในระดบั ตา่ ง ๆ กันตามอายุ ระดบั ช้ัน

113 บทท่ี 7 คะแนนและการให้ระดบั คะแนน หรอื ประสบการณใ์ นการทำ�งาน การรายงานผลโดยวธิ ีช่วยใหก้ ารแปลความหมายของ คะแนนชัดเจน ย่งิ กว่าการรายงานผล ท้ัง 2 แบบที่กล่าวมาแล้ว เช่น นพวรรณพิมพ์ดีดภาษาไทยได้ 40 คำ�ตอ่ นาที หากรายงานเพิ่มเติมวา่ นพวรรณ มคี วามสามารถในการพิมพไ์ ด้เร็วเทา่ กับเจ้าหนา้ ที่พิมพ์ดดี ในส�ำ นกั งานมาแลว้ 5 ปี ก็จะ ท�ำ ให้เห็นภาพพจนค์ วามสามารถของนพวรรณไดช้ ัดเจนยิ่งขึน้ 4. รายงานโดยบอกอตั ราความเจริญงอกงาม หรอื เป็นรายงานผลการสอบโดย เปรียบเทยี บกับผลที่ผา่ นมาของผเู้ รียนเอง ท�ำ ให้ทราบว่าผสู้ อบเรยี นดีขนึ้ หรือเลวลง การ เปรยี บเทียบคะแนนนี้จะทำ�ไดก้ ต็ ่อเมอ่ื ใชแ้ บบทดสอบฉบับเดียวกนั หรอื แบบทดสอบคู่ ขนาน ไม่ควรเปรียบเทยี บโดยใช้แบบทดสอบคนละฉบบั เพราะความยากง่ายไมเ่ ทา่ กัน 5. รายงานผลโดยวิธใี ชเ้ สน้ ภาพ (Profile) การรายงานผลการปฏบิ ัตงิ านโดยเปรยี บ เทียบหลายเนอ้ื หา หลายวชิ า หรอื งานหลาย ๆ ดา้ น จะเปรียบเทยี บกนั ได้กต็ ่อเมอ่ื แปลง คะแนน เหล่าน้ันใหอ้ ย่ใู นลกั ษณะคะแนนชนดิ เดียวกนั สว่ นใหญน่ ยิ มแปลงเปน็ คะแนน เปอรเ์ ซน็ ตไ์ ทล์หรือคะแนนมาตรฐานแบบต่าง ๆ แล้วนำ�คะแนนเหล่านั้นมาทำ�เป็นเสน้ ภาพ เพ่ือพิจารณาตดั สินหรือประเมินหรือพยากรณ์ต่อไป ดังตวั อย่าง แผนภาพ 7.1 เส้นภาพแสดงคะแนนสอบของเด็กหญิงสวุ ารีย์ รักเรียน ช้นั ป. 4

บทท่ี 7 คะแนนและการใหร้ ะดบั คะแนน 114 จากแผนภาพ 7.1 แสดงว่า เดก็ หญงิ สวุ ารีย์ รักเรยี น มีระดับความสามารถเหนอื เกณฑ์มาตรฐาน 3 วชิ า คอื คณติ ศาสตร์ ภาษาไทย และ สขุ ศกึ ษาวชิ าท่ีมรี ะดับความ สามารถต่ำ�กวา่ เกณฑม์ าตรฐาน คือวิชา วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา



บรรณานกุ รม 115 บรรณานกุ รม

116 บรรณานุกรม บรรณานกุ รม กฤติยา วงศ์กอ้ ม. (2547). รูปแบบการพัฒนาครดู า้ นการประเมนิ การเรียนรู้ตามแนวคดิ การประเมนิ แบบเสรมิ พลังอ�ำ นาจ ทีส่ อดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาต ิ พุทธศกั ราช 2542. วิทยานพิ นธ์ ปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการวดั และประเมินผลการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . โกวิท ประวาลพฤกษ์ และสมศกั ดิ์ สนิ ธรุ ะเวชญ.์ (2523). การประเมนิ ในชน้ั เรยี น. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช. คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ, สำ�นกั งาน. (2542). การประเมนิ ตามสภาพทแี่ ท้จรงิ . กรุงเทพฯ: โรงพมิ พค์ ุรุสภา. จิตรยี า ไชยศรีพรหม. (2531). ลกั ษณะและพัฒนาการทางดา้ นจิตพิสัย. ใน วิทยาลยั ครู นครราชสีมา เอกสารประกอบการฝึกอบรมเร่อื ง เทคโนโลยที างการวัดผลและการวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตร.์ (หนา้ 44-45). นครราชสีมา: วิทยาลัยครูนครราชสมี า. ชวลิต โพธ์ินคร. (2546) การประเมนิ สภาพจริง. เอกสารประกอบการฝึกอบรมหลักสตู รเคร่อื งมือ และวิธกี ารประเมนิ สภาพจริงตามสาระการเรยี นรู้ สำ�นักการศกึ ษาต่อเนื่อง. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง. (2546). การประเมินจิตพสิ ัย. ใน สุวมิ ล วอ่ งวานิช (บก.). รวมบทความการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้แนวใหม่. (หนา้ 195-213). กรงุ เทพฯ: คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . นงลักษณ์ วิรัชชยั (2546) การตดั สนิ ผลการเรียนร้:ู เกรดและการตดั เกรด ใน สวุ ิมล วอ่ งวาณชิ (บรรณาธกิ าร). การประเมินผลแนวใหม.่ (พมิ พค์ ร้ังที่ 1, หนา้ 310-328). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์

บรรณานุกรม 117 บรรดล สขุ ปิต.ิ (2535) การประเมินผลและการสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น. กรงุ เทพฯ : กรงุ สยามการพิมพ.์ บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2535). การวจิ ยั เบือ้ งต้น. กรุงเทพฯ: สวุ ีริยาสาสน์ . บุญชม ศรสี ะอาด, นภิ า ศรีไพโรจน์ และนุชวนา ทองทว.ี (2528). การวดั ผลและประเมินผลการ ศกึ ษา. มหาสารคาม: โรงพิมพ์ปรดี าการพมิ พ์. บุญเชดิ ภญิ โญอนนั ตพงษ.์ (ม.ป.พ.). การวัดและประเมินผลการศกึ ษา. พมิ พค์ รั้งท่ี 2. กรงุ เทพฯ: อกั ษรเจริญทัศน์. บญุ เชดิ ภิญโญอนันตพงษ์. (2525). การวดั และประเมินผลการศกึ ษา: ทฤษฎแี ละการประยุกตใ์ ช้. กรุงเทพฯ: อกั ษรเจรญิ ทัศน์. บญุ เชิด ภญิ โญอนนั ตพงษ์. (2546). คณุ ภาพเคร่ืองมอื วดั .ในมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. ประมวลสาระชุดวชิ าการพฒั นาเครือ่ งมือสำ�หรบั การประเมินการศกึ ษา. (หน้า 65-154). นนทบรุ :ี มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. บญุ ธรรม กจิ ปรดี าบริสทุ ธิ์. (2535) .การวัดและการประเมินผลการเรียนการสอน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพส์ ามเจรญิ พาณิชย.์ ปิน่ วดี ธนธาน.ี (2549). เอกสารประกอบการเรยี นหลักการวดั และประเมินผลการศึกษา. นครปฐม: มหาวิทยาลัยราชภฏั นครปฐม. พวงรัตน์ ทวรี ัตน์ .(2530) . การสร้างและพัฒนาแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิ. ส�ำ นักทดสอบทางการศกึ ษา และจิตวิทยา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒประสานมติ ร.

118 บรรณานกุ รม พชิ ติ ฤทธิจ์ รูญ. (2545). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ สี ท.์ เพลนิ พิศ ธรรมรตั น์. (2542). การประเมินผลการเรียน. สกลนคร: คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั สกลนคร. ภทั รา นิคมานนท.์ (2543). การประเมนิ ผลการเรียน. พิมพ์ครง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ: อักษราพพิ ฒั น์. ยรรยง ยรรยงเมธ. (ม.ป.พ.). บทนำ�การวดั ผลและประเมนิ ผลการศึกษาใน บญุ ชม ศรีสะอาด และสมนึก ภัททยิ ธนี (บก.). เอกสารการสอนการวัดผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา. (หน้า 1-19). กรงุ เทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ลว้ น สายยศและองั คณา สายยศ. (2527). หลักการสรา้ งแบบทดสอบความถนัดทางการเรยี น. กรงุ เทพฯ: วัฒนาพานชิ . ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ. (2539). เทคนิคการวัดผลการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ : สุวีริยาสาสน์ ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. (2543). เทคนคิ การวดั ผลการเรียนร.ู้ พมิ พ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน.์ (2546). แบบสัมภาษณ.์ ใน มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช ประมวลสาระ ชดุ วิชาการพฒั นาเครอ่ื งมือส�ำ หรับการประเมินการศกึ ษา. (หนา้ 1-35). พิมพค์ รั้งท่ี 2. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. วิชาการ, กรม. (2545). เอกสารประกอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2544 แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรยี น. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา.

บรรณานุกรม 119 วริ าพร พงศ์อาจารย.์ (2525). การวัดและประเมินผลการศกึ ษา. พิษณุโลก : สองแควการพมิ พ.์ วาโร เพ็งสวสั ดิ.์ (2542). การประเมินผลการเรียน. สกลนคร: คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั สกลนคร. ศริ เิ ดช สชุ ีวะ. (2546). หลกั การประเมินการเรียนรู้ ใน สุวิมล วอ่ งวาณชิ (บก.), การประเมนิ การเรียนรแู้ นวใหม่ (หน้า 52-64). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ศิริชยั กาญจนวาสี. (2539). เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าทฤษฎกี ารวดั และการประเมนิ (Theories of measurement and evaluation). กรงุ เทพฯ: ภาควิชาวจิ ัยการศึกษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ศิรชิ ัย กาญจนวาสี. (2542). ทฤษฎกี ารทดสอบแบบด้ังเดมิ (Classical test theory). คณะครศุ าสตร์ กรุงเทพฯ: กรงุ เทพฯ:ภาควิชาวจิ ัยการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ ์ มหาวิทยาลัย. ศิรชิ ัย กาญจนวาส.ี (2543). การประเมินการเรยี นรูท้ ี่เนน้ ผเู้ รียนเป็นศูนย์กลาง. เอกสารประกอบ การประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารนวัตกรรมเพ่อื การเรียนรสู้ ำ�หรบั ครยู คุ ใหม่ ครัง้ ที่ 2 วันที่ 2 กนั ยายน 2543 ฝา่ ยวชิ าการและวจิ ัย คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ศริ ิชัย กาญจนวาสี. (2543). รายงานการวจิ ัยการประเมินการเรยี นรู้: ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ สมใจ ฤทธิส์ นธ.ิ (2534). การสรา้ งแบบทดสอบ. ภาควิชาทดสอบและวิจยั การศึกษา สถาบนั ราชภัฏ สวนดสุ ิต. สมนึก ภทั ทยิ ธน.ี (2546). การวดั ผลการศกึ ษา. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 4. กาฬสนิ ธุ:์ โรงพิมพ์ประสานการพิมพ์.

120 บรรณานุกรม สมศกั ด์ิ สนิ ธรุ ะเวชญ.์ (2522). การประเมินผลอิงกลุ่มและองิ เกณฑ.์ กรุงเทพฯ: เอกสารทาง วชิ าการ ฝ่ายส่งเสริมมาตรฐานการศกึ ษา ส�ำ นักทดสอบการศึกษา กรมวชิ าการ. ส�ำ เริง บุญเรืองรตั น์. (2527). ทฤษฏีการวดั และประเมินผลการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: สำ�นักทดสอบ ทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร. ส�ำ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2551ก) ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลางกลมุ่ สาระ การเรยี นร้คู ณติ ศาสตร์ ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. สำ�นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ. ส�ำ นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2551ข) ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลางกลมุ่ สาระ การเรยี นรู้คณติ ศาสตร ์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. สำ�นักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานกระทรวงศกึ ษาธกิ าร. สำ�นักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานกระทรวง ศึกษาธกิ าร (2551ค). แนวปฏิบัติการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา ข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย. สุนนั ท์ ศลโกสมุ . (2525). การวัดผลการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลยั . สุรชยั มีชาญ. (ม.ป.พ.). บทน�ำ การวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษาใน บุญชม ศรสี ะอาด และสมนึก ภัททิยธนี (บก.). เอกสารการสอนการวดั ผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา. (หน้า 1-19). กรุงเทพฯ: สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. อนนั ต์ ศรีโสภา.(2525). การวดั และประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.

บรรณานุกรม 121 อุทุมพร จามรมาน. (2530). การวดั และประเมนิ การเรียนการสอนระดบั อุดมศกึ ษา เล่มท่ี 3 พมิ พ์คร้ังที่ 3. กรงุ เทพฯ: ฟนั น่ีพบั บลชิ ชงิ่ . อทุ ุมพร (ทองอุไทย) จามรมาน. (2540). การตีคา่ ความสามารถทีแ่ ท้จริงของผเู้ รียนเพ่อื การปฏิรปู การศกึ ษา (Authentic Performance and Portfolio Assessment of Learners for Educational Reform). ฟันนพี่ บั บลิชช่ิง: กรุงเทพฯ. Airasian, P. W. (1997). Classroom Assessment. 3rd ed. NY: The McGraw-Hill. Bloom, B.S, Madaus, G.F.& Hasting, J.T. (1981). Evaluation to Improve Learning. New York: McGraw-Hill. Brennan, R.L. (1972 Summer). A Generalized Upper-Lower Item Discrimination Index, Educational and Psychological Measurement. 32, 289 – 303. Brualdi, A. (1999). Performance-Based Assessment : How Students Understand and Apply Knowledge. Schools in the Middle. 9(4) :pp. 5-22 [Available online at: http://cdnet2.car.chula.ac.th] Brualdi,A.(1998). Implementating Performance Assessment In Classroom. Practical Assessment,Research&Evaluation, 6(2). [Available online at: http://ericae.net/pare/getvn.asp?v=6&n=2.] Chiseri-Strater, E. (1992). College Sophomores Rreopen the Closed Portfolio. In D. H. Grave & Sunstein, B. S. (eds). Portfolio Portraits. Portsmouth, NH: Heinemann pp. 61-72.

122 บรรณานกุ รม Ebel, R. L. (1972). Essentials of Educational Measurement. New Jersey: Prentice- Hall Inc. Esiner, E. W. (1999). The Use and Limits of Performance Assessment. Kappa Professional Journal.Phi Delta Kappa International [Available online at: http://pdkintl.org/kappa/kei9905.htm] Garrett, H,E. (1965). Statistics in Psychology and Education. Bombay: Vakils Feffer and Simon. Hart, D. (1994) Authentic Assessment: A Handbook for Educators. Menlo Park, California: Addision-Wesley Publishing Company Herman,J., Aschbacher,p. & Winters, L. (1992). A Practical Guide to Alternative Assessment. Alexandria, VA: Association for Supervision and Curriculum Development. Ipecp. สืบคน้ เมอ่ื 4 มิถุนายน 2562 http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/lesson.html Kane, M. B. &Khattri, N. (1995) Assessment Reform. Phi Delta Kappa 77(1) pp. 30- 32. Payne, D.A. (1992). Measuring and Evaluating Educational Outcome. New York: Mcmillan. Pearson Education Development Group (2001). Alternative Assessment . [Available online at: http://www.teachervision.com]

บรรณานกุ รม 123 Pearson Education Development Group. (2001). Creating Rubrics [Available online at: http://www.teachervision.com] Pike, K., & Salend, S.J. (1995) Authentic Assessment Strategies: Alternative to Norm-Referenced Testing. Teaching Exceptional Childern, 28, pp.15-19. Polit, Denise F.& Hungler, Bernadettep.(1999). Nuring Research: Principles and Methods. 6th ed. Philadelphia: Lippineott. Popham, J. W. (1997). What’s Wrong and What Right with Rubrics. Educational Leadership, 55(2), 72-75. Stanley, Julian C. & Hopkins, Kenneth D. (1978). Education and Psychological Measurement and Evaluation. New Delhi: Prentice – Hall of India Private. Stecher, B. M., & Herman,J. L. (1997). Using Portfolios for Large-Scale Assessment. In G. D. Phye (ed.), Handbook of Classroom Assessment: Learning, Achievement, and Adjustment. pp.287-319. San diego: Academic press. Thorndike, Robert L., & Hagen, Elizabeth. (1969). Measurement and Evaluation in Psychological and Evaluation. 3rd ed. New York: John Willey and Sons, Wiggins, G. (1989). A Ture Test :Toward More Authentic and Equitable Assessment. Phi Delta Kappa. 70(9): 703-713. Wenzlaff, F., Fager, J. J.,& Coleman. (1999). What is a Rubric ? Do Practitioner and Literature Agree. Contemporary Education. 70(4) : 41-46.

124 บรรณานกุ รม Whitney, D.R. and D.L.Sabers. (1970). “Improving Essay Examination III. Use of Item Analysis”, Technical Bulletin11. Mimeographed.




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook