บทท่ี 3 วิธกี ารและเคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวัดผลการศึกษา 37 การประเมินการปฏิบตั ิ การประเมนิ การปฏบิ ัติ (Performance Assessment) เป็นหนง่ึ ในหัวขอ้ ท่ี กล่าวถึงมากในการปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากเปน็ วธิ กี ารประเมนิ ท่เี ขา้ ถงึ ความสามารถ ของนกั เรียนมากกว่าการใชแ้ บบทดสอบมาตรฐานหรอื แบบทดสอบแบบเลอื กตอบใน การทดสอบแบบเดิม (Esiner, 1999) ผลจากการสอบดว้ ยแบบทดสอบเลือกตอบจะ ชใี้ ห้เห็นวา่ นกั เรียนจ�ำ อะไรได้บา้ ง ในขณะทผ่ี ลจากการประเมินการปฏบิ ัติจะท�ำ ให้ ทราบวา่ นักเรียนมคี วามเขา้ ใจและประยกุ ตใ์ ช้ความรูไ้ ดอ้ ยา่ งไร (Brualdi, 1999) ดงั น้นั ถา้ ครสู ามารถบูรณาการการประเมินการปฏบิ ตั เิ ขา้ กบั กระบวนการจดั การเรยี นการ สอนไดก้ จ็ ะเปน็ การเพม่ิ ประสบการณเ์ รยี นรใู้ หก้ ับนกั เรยี นไปด้วย (Brualdi, 1998) การประเมินการปฏิบตั เิ ปน็ การประเมินท่อี อกแบบเพอื่ ทดสอบความสามารถ ของนกั เรียนในการประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ (Knowledge) ทกั ษะ (Skills) และนิสยั การท�ำ งาน (Work Habits) ผ่านการปฏบิ ตั งิ านในบริบทหรอื สถานการณจ์ ริงหรือ สอดคล้องกับสภาพจรงิ มากทีส่ ุด โดยเนน้ ใหน้ กั เรยี นท�ำ งานร่วมกนั และประยุกต์ทักษะ และแนวคดิ ในการแกป้ ัญหาท่ีซบั ซ้อน (Wiggins, 1989; Pearson Education De- velopment Group, 2001; Hart, 1994:) ความมุ่งหมายของการประเมนิ การปฏบิ ตั ิ Kentucky Department of Education (Hart, 1994) ไดน้ �ำ การประเมิน การปฏบิ ัตไิ ปใชใ้ นโครงการการปฏริ ปู การศึกษา โดยไดพ้ ัฒนางานท่ีจะให้นักเรยี น ปฏบิ ัติเพ่ือทจี่ ะทดสอบความกา้ วหนา้ ของนกั เรยี นโดยมคี วามม่งุ หมายอยู่ 6 ประการ คือ (1) เพื่อใหน้ กั เรียนประยุกต์ใช้การสือ่ สารขัน้ พ้ืนฐานและทักษะทางคณติ ศาสตร์ (2) เพ่ือให้นกั เรียนประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การและแนวคดิ หลักจากเนอื้ หาทุกสาขาวิชา (3) เพ่อื ให้ตอบสนองกบั ความสามารถของบคุ คลท่ีมีความหลากหลาย แตกตา่ งกนั ไป แต่ละบคุ คล (4) เพ่อื ให้ตอบสนองกับสมาชิกของครอบครวั กลุม่ ท�ำ งานหรอื ชุมชนที่มี อ�ำ นาจในการผลิตสูง (5) เพอื่ ใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ วามคดิ และทักษะการแกป้ ัญหา
38 บทที่ 3 วิธีการและเครือ่ งมือที่ใช้ในการวดั ผลการศกึ ษา และ (6) เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นได้มกี ารเชอ่ื มโยงและการบรู ณาการความรกู้ ับชีวิตจริง การประเมนิ ตามสภาพจริง การประเมินการเรียนรูต้ ามสภาพจริง หมายถึง รปู แบบหรอื วธิ กี ารประเมนิ ท่ี สอดแทรกไปกับการเรียนการสอนเพอ่ื ประเมนิ ความก้าวหน้าและสัมฤทธิผลของผ้เู รียน ดว้ ยวิธที หี่ ลากหลาย เนน้ ใหน้ ักเรียนแสดงออกซ่งึ ความเข้าใจและทกั ษะการคดิ ทีซ่ ับ ซ้อน ตลอดจนการแก้ปัญหาตามสภาพจรงิ หรอื ปัญหาในชีวติ จริงซึ่งมีลกั ษะคลา้ ยกบั โลกนอกโรงเรยี น งานที่มอบหมายใหน้ ักเรียนปฏิบัติจะเป็นงานท่ีบูรณาการทงั้ ความ รแู้ ละทักษะเขา้ ดว้ ยกัน และเปดิ โอกาสใหผ้ ้มู ีสว่ นเกย่ี วข้องมสี ว่ นร่วมในการประเมนิ และมสี ว่ นร่วมหรือมสี ว่ นในการรบั รู้หรือกำ�หนดเกณฑก์ ารประเมิน ผลการประเมนิ จะ นำ�ไปใชใ้ นการวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรเู้ พื่อปรับปรงุ และพัฒนาผเู้ รียน องค์ประกอบของการประเมนิ การเรยี นรู้ตามสภาพจริง เมอ่ื พจิ ารณาความหมายการประเมนิ การเรียนรู้ตามสภาพจริงจะพบวา่ มีองค์ ประกอบ 2 สว่ น (ชวลิต โพธิน์ คร, 2546) ไดแ้ ก่ (1) กิจกรรมการเรยี นการสอนที่ ทำ�ใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ และ (2) กระบวนการประเมนิ ที่จะทำ�ให้ ทราบผลการเรยี นรู้ตามสภาพจริงของนกั เรียน กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ที �ำ ให้นกั เรยี นเกดิ การเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ มีหลกั การดงั น้ี 1. สมั พนั ธเ์ กย่ี วข้องเช่ือมโยงกับสถานการณท์ ่ีเป็นจรงิ ในชีวติ ประจำ�วัน 2. เนน้ ผูเ้ รียนเป็นสำ�คัญ ไดแ้ ก่ (1) ใหผ้ เู้ รียนพฒั นาตนเอง (2) ให้ผู้เรียนมีส่วน รว่ มในการเรียนต้งั แต่ก�ำ หนดกิจกรรมการเรยี น ปฏิบตั กิ จิ กรรมการเรียน สร้างสรรค์ งาน สะสมงาน ก�ำ หนดเกณฑก์ ารประเมินงาน ประเมินงานและนำ�เสนองานดว้ ยตนเอง 3. ใหน้ กั เรียนสรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเองผา่ นกจิ กรรม (1) ปฏิบตั จิ รงิ ในชีวิต ประจ�ำ วนั
บทท่ี 3 วธิ กี ารและเครื่องมือที่ใช้ในการวดั ผลการศกึ ษา 39 (2) ปฏิบตั ิในสถานการณ์จรงิ (3) การศึกษานอกสถานท่ี (4) ปฏบิ ัติจรงิ ในสถานการณ์ จ�ำ ลองหรอื การทดลอง (5) การแสดงบทบาทสมมติ เกม ละคร (6) ศูนย์การเรยี นและ การใชส้ อื่ ประสม (7) การสาธิต กรณีศกึ ษา กรณีตวั อย่าง (8) แบบเรียนส�ำ เร็จรูป บทเรยี นโปรแกรม ชุดการสอน (9) ศกึ ษาคน้ ควา้ การท�ำ โครงงาน (10) ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (11) ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา (13) การสร้าง ความคิดรวบยอด เปน็ ตน้ 4. ใหน้ ักเรียนรูจ้ กั เรยี นรู้และอย่รู ่วมกับคนอื่นโดยผ่าน (1) การเรียนรู้แบบรว่ ม มือ รว่ มใจ (Cooperative Learning) (2) การเรียนรแู้ บบเกื้อกลู (Collabora- tive Learning) (3) การเรยี นแบบกลมุ่ สมั พันธ์ (Group Process) 5. ใหน้ ักเรยี นรู้จกั บูรณาการความคิด โดยบูรณาการหลักสูตร ใชก้ จิ กรรมหลาก หลาย จดั กจิ กรรมท่ีเนน้ การสรา้ งสรรค์งาน/ผลงานท่ตี ้องใชค้ วามรู้ ทักษะหลาย ๆ ด้าน 6. ให้นักเรยี นร้จู ักตนเอง โดยการสะท้อนตนเอง และประเมินตนเอง 7. สรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งครู นกั เรยี น ผ้ปู กครอง การวางแผนจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามสภาพจริงสรปุ ได้ตามแผนภาพ ดงั นี้ (ปรับจาก ชวลิต โพธนิ์ คร, 2546) ภาพที่ 3.3 การวางแผนจดั กจิ กรรมการเรียนรตู้ ามสภาพจริง
40 บทที่ 3 วธิ ีการและเครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการวดั ผลการศกึ ษา ส่วนการประเมนิ เพอ่ื ใหท้ ราบผลการเรียนร้ตู ามสภาพจริงของนักเรยี น มหี ลกั การดงั น้ี 1. ใช้วธิ ีการและเครอ่ื งมอื ประเมินทห่ี ลากหลาย เน่ืองจากการประเมินการ เรยี นรู้ แนวใหม่มุง่ เนน้ ประเมินเพื่อยืนยันสภาพจรงิ ของผู้เรยี น ครจู งึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งประเมินให้ ครอบคลุมทั้งความรู้ ได้แก่ (1) ความรเู้ ก่ยี วกบั สาระ ความรเู้ กย่ี วกบั กระบวนการ และพัฒนาการดา้ นความรู้ (2) ทักษะ ได้แก่ ทักษะทอ่ี ิงบรบิ ทหรอื ทักษะการนำ�ความ รูไ้ ปใช้ในการปฏบิ ัติผลงาน และทกั ษะที่ไม่องิ บรบิ ทหรอื ทกั ษะเก่ยี วกบั กระบวนการคดิ กระบวนการท�ำ งาน เปน็ ตน้ นอกจากนค้ี รูจำ�เปน็ ต้องประเมนิ ผลงานอนั เปน็ ผลผลติ ใน การปฏบิ ัตงิ าน รวมท้ัง (3) คณุ ธรรม จริยธรรม และค่านยิ ม 2. ใชผ้ ปู้ ระเมนิ หลาย ๆ ฝา่ ยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ ครปู ระจำ�ชนั้ ครูผู้สอน ผ้บู ริหาร นกั เรียนประเมนิ เพอ่ื นนกั เรียน พ่อแมผ่ ปู้ กครอง บคุ คลในบา้ น กรรมการโรงเรยี น เปน็ ตน้ 3. ประเมินอยา่ งต่อเนอ่ื งเป็นระยะ เพือ่ ให้ได้ข้อมลู ที่มากพอท่ีจะสะทอ้ นสภาพ และพัฒนาการท่แี ทจ้ รงิ ของผ้เู รียน หลักการพ้ืนฐานของการประเมินตามสภาพจริง การประเมินตามสภาพจริงมีหลักการพน้ื ฐานดงั น้ี (กฤตยิ า วงศ์ก้อม, 2547, หนา้ 25) 1. เป็นการประเมนิ ท่ีสอดแทรกไปกับการเรยี นการสอนหรอื ระหว่างการทำ� กจิ กรรมมากกวา่ การจัดสถานการณเ์ พอ่ื การสอบ วิธีการประเมนิ สว่ นใหญ่จึงใชว้ ธิ กี าร สงั เกตเป็นหลัก 2. ผเู้ รียนตอ้ งแสดงพฤตกิ รรมทบี่ ง่ บอกถึงผลการเรียนรู้ เนื่องจากวิธีการสว่ น ใหญ่จะใช้การสังเกต ถ้านกั เรียนไม่แสดงพฤตกิ รรมออกมาก็จะไมท่ ราบถงึ ผลการเรยี น รู้ เชน่ การตอบคำ�ถามเปน็ พฤตกิ รรมทบ่ี ่งบอกถึงผลการเรยี นรูท้ างสติปัญญาและ ภาษา การเล่นกฬี าเปน็ พฤติกรรมท่ีบง่ บอกถึงความสามารถในการปฏบิ ตั ิ
บทที่ 3 วธิ ีการและเคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวัดผลการศกึ ษา 41 การท้ิงกระดาษลงถังขยะเปน็ พฤตกิ รรมท่ีบง่ บอกถงึ ความมรี ะเบียบวนิ ัย เป็นต้น 3. มุง่ ประเมินการเรยี นร้แู ละความสามารถของผเู้ รียนอยา่ งครอบคลมุ ทั้งสติ ปัญญา ทกั ษะและกระบวนการและจิตพสิ ัย โดยมุง่ เนน้ การประเมนิ พัฒนาการเพื่อให้ เหน็ การเปลี่ยนแปลงของการเรยี นร้แู ทนที่จะทราบเพยี งแต่วา่ นกั เรยี นจำ�อะไรไดบ้ า้ ง 4. ม่งุ ประเมนิ ทกั ษะและความคดิ ระดบั สงู มากกว่าความรู้ความจ�ำ โดยสนใจ ภาพรวม หรือการเช่อื มโยงของทกั ษะมากกว่าทักษะย่อย เชน่ ประเมินการคดิ วิเคราะห์ (Criti- cal Thinking) ซึง่ เปน็ ทกั ษะในภาพรวมมากกว่าประเมินทักษะยอ่ ย เช่น การจำ�แนก การเปรียบเทียบ และการตัดสินใจ เป็นตน้ 5. เน้นให้นกั เรยี นเรยี นรอู้ ย่างมเี ปา้ หมายและรู้จักประเมนิ เพื่อพัฒนาตนเอง ครูควรให้นักเรียนมีสว่ นรว่ มหรอื รบั ร้เู ป้าหมายการเรียนรูเ้ พือ่ สนบั สนุนและส่งเสรมิ ให้ นักเรยี นประเมินเพือ่ พัฒนาตนเอง 6. เน้นการประเมนิ ในสถานการณ์ท่ีเป็นชวี ติ จริงเกย่ี วขอ้ งกับทุกบริบททัง้ ท่ี โรงเรียนบา้ นและชมุ ชนจงึ ควรมกี ารประเมนิ ท้ังในหอ้ งเรียนและการด�ำ เนินชวี ิตประจำ� วนั ของผูเ้ รยี น ดงั นัน้ การจัดการเรยี นรูแ้ ละการประเมนิ ควรเปิดโอกาสใหผ้ ูป้ กครองและ ชุมชนเขา้ มามีส่วนรว่ ม 7. เป็นการประเมินที่ม่งุ หาจุดเด่นของผูเ้ รียนหรอื จดุ แข็งของผเู้ รยี นเพอ่ื สนบั สนุนตามศักยภาพ เป็นการประเมนิ ท่มี องนกั เรยี นในแง่บวกมากกวา่ การมุ่งจบั ผดิ ประเภทของการประเมินตามสภาพจริง การประเมนิ การเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ ไม่ได้หมายความว่า เป็นการล้มเลิกการ ประเมนิ ความรเู้ นือ้ หา ในการประเมนิ การเรียนรู้ตามสภาพจรงิ น้นั ความร้แู ละทักษะ มีความสำ�คญั และมอิ าจแยกออกจากกันได้ งานในการประเมนิ การเรียนรูต้ ามสภาพ จริงนนั้ เปน็ การบรู ณาการทั้งความร้แู ละทักษะเขา้ ดว้ ยกัน การประเมนิ การเรยี นรู้ตาม สภาพจริงมวี ธิ กี ารมากมายในการประเมินผู้เรียน
42 บทที่ 3 วิธีการและเครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวดั ผลการศกึ ษา การทดสอบก็เป็นหนึง่ ในหลากหลายวิธี หากพจิ ารณาชนดิ ของข้อมูลที่ไดร้ ับเกย่ี วกับ นักเรยี นเป็นเกณฑ์สามารถแบง่ วิธกี ารประเมนิ ได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ (Hart, 1994) 1. การสงั เกต (Observation) 2. การประเมินจากแฟม้ สะสมงาน (Portfolio Assessment) 3. การประเมินการปฏบิ ตั ิ (Performance Assessment) จะเหน็ ไดว้ ่า การประเมนิ ตามสภาพจรงิ มิใชส่ งิ่ ใหม่ หากแต่ยังใช้การสงั เกตและการ ประเมินการปฏบิ ัติเป็นหลักสำ�คัญ
บทที่ 4 การวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 43 บทท่ี 4 การวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
44 บทท่ี 4 การวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น บทท่ี 4 การวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน พฤติกรรมการศกึ ษาตามแนวคิดของบลมู และคณะจ�ำ แนกเป็นพทุ ธพิ สิ ัย จิต พสิ ัย และทักษะพิสัย การวัดผลการศกึ ษาได้ใหค้ วามสำ�คัญพฤติกรรมการศกึ ษา ทั้งสามดา้ นหากแต่พฤตกิ รรมทางสมองหรือพุทธิพิสัยมรี ายละเอยี ดในการวัดหลาก หลายระดับ การเขียนขอ้ ค�ำ ถามวดั พฤติกรรมทางสมองจะรู้จกั กันในรูปของการวดั ผล สัมฤทธ์ทิ างการเรยี น การวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนชนิดเขียนตอบทกุ รปู แบบ ไมว่ ่า จะเปน็ ขอ้ คำ�ถามแบบอตั นยั หรอื ปรนัยตา่ งประกอบด้วยขอ้ คำ�ถามทใี่ ชเ้ ปน็ สิ่งเร้าทาง สมอง ซ่งึ ค�ำ ถามนนั้ อาจจะเป็นประโยคคำ�ถามโดยตรง หรือเป็นประโยคค�ำ สงั่ หรอื เป็นข้อความที่ท�ำ หน้าที่เป็นค�ำ ถามกไ็ ด้ คำ�ถามที่ก�ำ หนดขึ้นตอ้ งตรงตามสาระถามตรง ตัวช้วี ดั และจดุ ประสงค์ของการเรยี นรู้ มีความชัดเจนรัดกุม ตลอดจนถามไดล้ กึ กวา่ ความจ�ำ รปู แบบของขอ้ คำ�ถามทใี่ ชว้ ัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นท่เี ป็นทร่ี ู้จักและนิยมใช้ กนั คอื ขอ้ ค�ำ ถามแบบอตั นัยกบั แบบปรนัย แตอ่ ย่างไรก็ตามข้อค�ำ ถามทกุ รูปแบบจะ มีขอ้ ดีและขอ้ จำ�กดั ทีค่ รูควรพจิ ารณาเลือกใช้ใหเ้ หมาะกบั สถานการณก์ ารจัดการเรยี นรู้ และการประเมินผลการเรยี นรูใ้ นปจั จุบัน การเขยี นคำ�ถามวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน การเขียนคำ�ถามวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนน้นั นอกจากจะเขียนโดยยดึ กับตวั ชีว้ ดั หรือจุดประสงคก์ ารเรยี นรูแ้ ลว้ จ�ำ เปน็ ตอ้ งเขียนใหส้ อดคลอ้ งกับระดับพฤตกิ รรม ซ่ึงตามแนวคดิ ของบลูมและคณะได้จำ�แนกพฤตกิ รรมทางสมองหรอื พุทธิพสิ ัยไว้ 6 ระดบั ดว้ ยกัน ได้แก่ ความรู้ความจ�ำ ความเข้าใจ การน�ำ ไปใช้ การวิเคราะห์ การ สงั เคราะห์ และการประเมนิ ค่า ดังนน้ั การเขียนคำ�ถามวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนทีด่ ี จึงจำ�เป็นตอ้ งเข้าใจบทบาทและความสำ�คัญของค�ำ ถาม ตลอดจนเข้าใจแนวทางในการ เขยี นขอ้ ค�ำ ถามวดั พฤตกิ รรมทางสมองระดบั ตา่ ง ๆ
บทท่ี 4 การวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 45 บทบาทและความสำ�คญั ของคำ�ถามในการวัดพฤตกิ รรมทางสมอง คำ�ถามมีบทบาทส�ำ คญั ในการวัดผลการศึกษา ไมว่ า่ จะเปน็ การตรวจสอบความ รู้ความเขา้ ใจของนกั เรยี นในห้องเรยี น หรือเปน็ ส่ิงเร้าทเี่ ป็นสว่ นประกอบส�ำ คัญในแบบ ทดสอบ จงึ กล่าวได้ว่าค�ำ ถามเปน็ เคร่อื งมอื ส�ำ คัญส�ำ หรับครทู กุ คน เพราะครจู ำ�เปน็ ตอ้ งใช้คำ�ถามเพื่อการสอนเกือบตลอดเวลา การตัง้ ค�ำ ถามเป็นท้ังเทคนคิ และศลิ ปะ ซ่งึ อาจจะเกิดจากความถนดั พเิ ศษทางการใชภ้ าษา หรืออาจจะเกดิ จากการฝึกฝนโดย เฉพาะก็ได้ การใช้ค�ำ ถามสามารถกระตนุ้ สมองให้นกึ คิดในระดบั ทีแ่ ตกต่างกัน หาก ครูใชค้ ำ�ถามเปน็ สิง่ เร้าให้ผูเ้ รียนนึกคดิ คำ�ตอบระดบั ความรคู้ วามจ�ำ การใช้คำ�ถามให้ นั้นมีระดบั ประสทิ ธิภาพในการกระตุน้ สมองแคใ่ หน้ ักเรยี นจ�ำ เท่านัน้ ส่งผลให้ขาด การพัฒนาสมองด้านการคิดท่สี ูงกว่าความจ�ำ ไดแ้ ก่ ความเขา้ ใจ การนำ�ไปใช้ การ วิเคราะห์ การสงั เคราะห์ หรือการประเมินค่า การวดั พฤตกิ รรมทางสมองเป็นการวดั ทางจิตภาพซง่ึ ต้องใช้วิธกี ารวัดทางออ้ ม และเคร่อื งมอื ท่ีเหมาะสมทส่ี ดุ สำ�หรบั น�ำ มาใช้วดั พฤตกิ รรมทางสมองของผเู้ รยี นราย บุคคลคอื แบบทดสอบชนดิ เขียนตอบ แบบทดสอบวดั พฤตกิ รรมทางสมองทุกรูปแบบ จะมีสว่ นประกอบท่สี ำ�คญั เปน็ ข้อค�ำ ถาม หรือขอ้ ความท่ีท�ำ หน้าท่ีเสมอื นข้อค�ำ ถาม ซง่ึ ขอ้ คำ�ถามหรือข้อความเหล่านท้ี �ำ หน้าทเ่ี ปน็ สง่ิ เรา้ หรือตัวกระต้นุ ใหบ้ ุคคลใช้พลัง ของสมองในการคดิ หาคำ�ตอบ และโดยสัญชาตญิ าณของการเอาตวั รอดแล้ว ผเู้ รยี น ทุกคนจะพยายามตอบคำ�ถามตา่ งๆ ให้ดีทส่ี ุดเพ่ือแสดงความรู้และภมู ปิ ัญญาของตน อย่างเตม็ ความสามารถ เมือ่ ข้อคำ�ถามเป็นส่วนประกอบสำ�คญั ของแบบทดสอบดงั กลา่ ว ผ้สู ร้างแบบทดสอบหรือครจู งึ จำ�เปน็ ตอ้ งศกึ ษาและฝกึ ฝนเทคนิคการเขียนขอ้ คำ�ถาม โดยเฉพาะคำ�ถามที่นักเรียนต้องตอบโดยใช้ความคดิ ในระดับท่ีลกึ ซงึ้ ซ่งึ การ เขยี นข้อคำ�ถามทมี่ ีประสิทธิภาพในการวดั จะต้องค�ำ นงึ ถึงส่ิงต่อไปนี้
46 บทที่ 4 การวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 1. การใช้ภาษาท่ีถกู ตอ้ ง ชดั เจน รดั กุม 2. ความต้ืนลึกของคำ�ถามเพอ่ื วดั พฤติกรรมทางสมองในระดบั ตา่ งๆ 3. เทคนคิ การตง้ั คำ�ถามทีน่ ่าสนใจและกระตนุ้ ความคิด ในแต่ละระดบั ของพฤติกรรมทางสมองของบลูมยังมีการจ�ำ แนกเปน็ ระดบั ย่อย ที่ละเอียดลงไปอีก เพอ่ื บอกให้ชดั เจนถงึ ขอบข่ายของพฤตกิ รรม ดงั นัน้ การจ�ำ แนก ระดับของขอ้ คำ�ถามวัดพฤติกรรมทางสมองตามแนวคดิ ของบลมู จึงเปน็ งานที่ตอ้ งอาศยั ความละเอยี ดและใชเ้ วลาพอสมควรในฝกึ ฝนการตง้ั ค�ำ ถาม เพ่อื ให้เปน็ การงา่ ยส�ำ หรับ การฝกึ ทักษะการต้ังคำ�ถามในระยะแรก จึงอาจจะแบ่งระดับของข้อคำ�ถามออกเปน็ 2 ระดบั งา่ ยๆ ดงั นี้ 1. ระดับความรู้ความจำ� เป็นคำ�ถามที่ต้องการใหผ้ ู้ตอบระลกึ นกึ ถึงเรอ่ื งราว ความรู้ และประสบการณท์ งั้ หลายที่เคยรบั รมู้ า ดังนั้นอาจจะกลา่ วได้วา่ เปน็ ค�ำ ถามท่ี วัด “สต”ิ นน่ั เอง 2. ระดบั ความคดิ เปน็ ค�ำ ถามทต่ี ้องการใหผ้ ้ตู อบใชค้ วามสามารถของสมองใน การนำ�ความรู้และประสบการณ์มาจดั กระท�ำ ในสถานการณต์ า่ งๆ ซงึ่ ครอบคลุมระดับ พฤติกรรมทางสมองรวม 5 ระดับ คือ ความเข้าใจ การนำ�ไปใช้ การวิเคราะห์ และ การประเมินคา่ ดงั น้นั จงึ อาจจะกล่าวได้ว่าเปน็ ค�ำ ถามท่ีวดั “ปัญญา” น่นั เอง รูปแบบข้อค�ำ ถามวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ข้อค�ำ ถามวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนท่ใี ช้ในการวดั ผลในระดบั ชน้ั เรยี นสว่ นใหญ่ จะให้ผู้สอบเขยี นตอบเพอ่ื วัดพฤติกรรมการศกึ ษาดา้ นพุทธิพสิ ยั แบ่งออก 2 ประเภท ได้แก่ ขอ้ คำ�ถามแบบอตั นัย และขอ้ ค�ำ ถามแบบปรนยั (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2530, หน้า 108-109; ปิ่นวดี ธนธาน,ี 2549, หน้า 92-98) ซึง่ มีรายละเอยี ดดังน้ี
บทท่ี 4 การวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 47 1. ขอ้ ค�ำ ถามแบบอตั นัย (Subjective Test) หรอื เรยี กวา่ ขอ้ ค�ำ ถามแบบ บรรยาย หรอื แบบความเรยี ง (Essay Test) ขอ้ คำ�ถามแบบน้ผี สู้ อบตอ้ งเรยี บเรียงค�ำ ตอบจากความร้คู วามสามารถของตนเองจึงกำ�หนดความยาวคอ่ นข้างยาก จ�ำ แนกออก เปน็ 1.1 แบบจ�ำ กัดคำ�ตอบ (Restricted Rresponse) 1.2 แบบไมจ่ ำ�กัดคำ�ตอบ (Unrestricted Response) หรอื แบบขยาย ความ (Extended Response) 2. ข้อทดสอบปรนัย (Objective Test) เปน็ ขอ้ คำ�ถามที่มีค�ำ ตอบทแี่ น่นอน ผูต้ อบเพียงเขียนค�ำ ตอบสัน้ ๆ หรอื เลือกคำ�ตอบจากทีก่ ำ�หนดให้ จ�ำ แนกออกเป็น 2.1 แบบเตมิ คำ�ตอบ (Completion Item) หรอื แบบตอบสน้ั (Short Answer) 2.2 แบบให้พจิ ารณาคำ�ตอบ ซ่งึ มีหลายแบบดังนี้ 2.2.1 แบบถกู ผิด (True – False Item) 2.2.2 แบบจบั คู่ (Matching Item) 2.2.3 แบบเลอื กตอบ (Multiple Choice Item) ข้อค�ำ ถามแบบอตั นัย ลกั ษณะทว่ั ไปของข้อทดสอบอัตนัย ผู้ตอบตอ้ งเขียนตอบโดยระลกึ ถงึ ความรู้ แล้วเรยี บเรยี งหรอื จดั ระเบยี บความรนู้ ้ันออกมาเปน็ ภาษาเขียน ข้อค�ำ ถามแบบอัตนัย เปน็ แบบทีเ่ คยนยิ มใชก้ ันมาต้ังแตเ่ ดิมตราบจนกระทงั่ ปจั จบุ ัน แมจ้ ะมีขอ้ จ�ำ กัดในการ ใช้หลายประการก็ตาม แต่ก็เป็นข้อคำ�ถามท่มี ีคณุ ค่าในการวัดพฤตกิ รรมทางสมอง ระดบั สูง เพราะคำ�ตอบของข้อค�ำ ถามอัตนยั จะได้จากการเขียนเรยี บเรียงความรู้ความ คิด ทีเ่ ปน็ ของผูต้ อบเอง โดยใช้สำ�นวนภาษาท่ีเป็นแบบฉบบั ของตนเอง ส�ำ หรบั ลักษณะของค�ำ ถามอาจจะเขียนเปน็ รปู ประโยคค�ำ ถาม หรือประโยคคำ�สงั่ ก็ไดด้ ังนนั้ ขอ้ ทดสอบในแต่ละชุดจงึ มีจ�ำ นวนไม่มากขอ้
48 บทท่ี 4 การวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ซงึ่ จ�ำ นวนข้อมมี ากหรือน้อยนัน้ ยงั ขึ้นอยู่กับรูปแบบของคำ�ถามด้วย สว่ นคำ�ตอบนนั้ จะ ยาวมากหรือนอ้ ยข้ึนอย่กู บั ค�ำ ถาม ซงึ่ อาจจะจำ�แนกรปู แบบของคำ�ถามได้ 2 แบบ คือ 1. แบบจำ�กัดคำ�ตอบ (Restricted Response) เปน็ แบบทมี่ คี ำ�ตอบ แคบ หรือค่อนข้างส้ัน โดยจำ�กดั ขอบเขตของเนือ้ หาทถ่ี าม เชน่ ถามให้บอกนยิ าม หรืออธบิ ายสรปุ ส้นั ๆ ซงึ่ คำ�ตอบอาจจะมีเพยี ง 1 หรือ 2 บรรทดั รวมทั้งค�ำ ถามที่ เจาะจงคำ�ตอบบางส่วนเท่านนั้ ตัวอยา่ งแบบทมี่ ีค�ำ ตอบแคบ ก. วฒั นธรรมหมายถงึ อะไร ข. จงอธิบายความหมายของขอ้ ความทว่ี ่า “เสยี ชพี อยา่ เสยี สัตย์” ตวั อยา่ งค�ำ ถามทีเ่ จาะจงค�ำ ตอบบางสว่ น ก. การทีป่ ่าไมข้ องไทยถกู บุกรกุ ท�ำ ลายจนเหลอื น้อยมาก ท�ำ ให้เกดิ ผลเสยี หาย กระทบกระเทอื นความเปน็ อยูข่ องมนษุ ยอ์ ยา่ งไรบา้ ง จงอภิปรายมา 2 ประการ ข. จงอธบิ ายถึงสาเหตทุ ท่ี ำ�ใหด้ นิ เส่ือมคุณภาพมา 5 ขอ้ 2. แบบไม่จำ�กัดค�ำ ตอบ (Unrestricted Response) เป็นแบบท่มี คี �ำ ตอบค่อนขา้ งยาว หรืออาจจะยาวมาก ซง่ึ แล้วแตแ่ งม่ มุ การต้งั คำ�ถาม ค�ำ ถามจะเปดิ โอกาสให้ผู้ตอบมอี สิ ระในการตอบอยา่ งเต็มท่ตี ามก�ำ ลังปัญญาของตน ค�ำ ถามแบบน้จี ึง เหมาะส�ำ หรบั วัดความสามารถทางสมองในระดับความคดิ ตัง้ แต่ระดับความเข้าใจข้นึ ไปจนถึงระดับประเมินคา่ ตัวอยา่ งค�ำ ถามแบบไม่จำ�กดั ค�ำ ตอบ ก. การทป่ี ่าไมข้ องไทยถูกบกุ รุกทำ�ลายจนเหลอื น้อยมากทำ�ใหเ้ กดิ ผลเสยี หาย อยา่ งไร จงอภิปราย ข. ทก่ี ล่าวกันว่าการปฏบิ ตั ติ ามวฒั นธรรมอนั ดงี ามของไทยเสื่อมคลายลงมากใน กลุ่มวัยร่นุ ไทย ทา่ นคดิ ว่ามีสาเหตมุ าจากอะไร จงอธบิ ายและยกตัวอยา่ งสนบั สนุน
บทที่ 4 การวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 49 แนวการเขียนคำ�ถามแบบอตั นัย นักวัดผลไดเ้ สนอแนะแนวการตง้ั ค�ำ ถาม หรอื แงม่ มุ การต้งั คำ�ถามแบบอัตนัย ไว้มากมาย ซึ่งค�ำ ถามเหล่านีส้ ามารถเขยี นให้สอดคลอ้ งกบั เน้อื หา หรอื จุดประสงค์ ของการเรยี นท่ตี อ้ งการจะวัด และยังสามารถเขยี นค�ำ ถามเพอ่ื วดั ระดับพฤตกิ รรมทาง สมองท้งั 6 ระดบั ตามแนวการจ�ำ แนกของบลมู และคณะไดเ้ ป็นอย่างดี (พวงรตั น์ ทวีรัตน์, 2530, หนา้ 104) ในที่น้ีจะเสนอแนวค�ำ ถามไว้ 8 แนวดังนี้ 1. คำ�ถามเกี่ยวกบั ประวัติ ความเป็นมา (วดั ความรู้ – ความจ�ำ ) - ทา้ วสุรนารีคอื ใคร มบี ทบาทส�ำ คัญอย่างไรในประวตั ิศาสตรไ์ ทย ? - ภเู ขาไฟเกิดข้นึ ไดอ้ ย่างไร? 2. คำ�ถามเกยี่ วกบั วธิ กี าร (วดั ความรู้ – ความจ�ำ ) - ถา้ ท่านพบคนเปน็ ลมแดดท่านควรใหก้ ารปฐมพยาบาลอย่างไร ? - จงเขยี นสรปุ วิธีการทำ�ปุ๋ยหมักมาตามขนั้ ตอน 3. คำ�ถามใหน้ ยิ ามหรือบอกความหมาย (วดั ความรู้-ความจ�ำ ) - ทรพั ยากรธรรมชาตคิ อื อะไร จ�ำ แนกเป็นกป่ี ระเภท อะไรบา้ ง ? - ยาสามญั ประจ�ำ บา้ นหมายถงึ ยาประเภทใด? 4. ค�ำ ถามให้อธบิ าย หรือแปลความหมาย (วัดความเขา้ ใจ) - คำ�พงั เพยทว่ี า่ “ขี่ชา้ งจบั ต๊ักแตน” หมายความว่าอยา่ งไร ? - ทวี่ า่ “ไฟฟา้ มคี ุณอนนั ต์มโี ทษมหนั ต”์ ทา่ นเข้าใจวา่ อยา่ งไร? 5. ค�ำ ถามที่เก่ยี วกบั การนำ�ความรู้และหลักวิชาไปใช้ (วัดการนำ�ไปใช้) - เราควรจะปฏิบัตติ นอย่างไรในชวี ติ ประจ�ำ วันจงึ จะปอ้ งกนั โรคหวัดได้ - ถา้ จะซอ้ื อาหารส�ำ เร็จรปู รับประทานใหป้ ลอดภยั และไดป้ ระโยชนเ์ รา ควรปฏิบตั อิ ย่างไร ? 6. คำ�ถามใหร้ ะบจุ ดุ ประสงค์ส�ำ คัญทแี่ ฝงอยู่ (วดั การวเิ คราะห)์ - ศาสนาพทุ ธมักจะมขี ้อหา้ มท�ำ อะไรทีต่ รงกันบา้ ง ? จงยกตวั อยา่ งและ อธบิ ายมา 2 ข้อ
50 บทที่ 4 การวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน - การคมนาคมทางรถยนตป์ ัจจุบนั มผี ลกระทบทางลบตอ่ คณุ ภาพชวี ิต ของประชาชนไทยอย่างไรบ้าง ? 7. คำ�ถามใหว้ างแผน (วดั การสังเคราะห์) - ถ้าท่านตอ้ งการซ้ือสินคา้ ประเภทของใช้ ทีม่ คี ณุ ภาพและราคา ยตุ ิธรรมทา่ นควรดำ�เนนิ การอย่างไร ? - ท่านจะมวี ิธกี ารอยา่ งไรในการตรวจสอบวา่ คำ�โฆษณาใดกลา่ วเกนิ ความจริง ? 8. ค�ำ ถามให้วนิ ิจฉัยการกระท�ำ ด้วยเหตุผล (วดั การประเมนิ ค่า) - การที่รัฐบาลยกเลิกสมั ปทานปา่ ไมจ้ ะใหผ้ ลดที างด้านใดต่อ ประเทศไทย? จงยกเหตุผลสนบั สนนุ - การทีช่ าวสวนใช้สารเคมฉี ีดฆ่าแมลง เพอ่ื รกั ษาผลผลิตไวใ้ หม้ ากท่ีสดุ เปน็ การ ปฏิบัตทิ ่ีไม่เหมาะสมในแงใ่ ด เพราะอะไร ? จงกลา่ วมา 2 ประการ ข้อค�ำ ถามแบบปรนยั ลกั ษณะทว่ั ไปของข้อสอบปรนยั เป็นแบบทม่ี คี ำ�ถามแบบแคบและชดั เจนท�ำ ให้ ค�ำ ตอบ มลี ักษณะเฉพาะเจาะจงหรือแน่นอนตายตัว ค�ำ ถามแต่ละข้อจะถามเฉพาะ จดุ เล็ก ๆ ของเนอ้ื หา ดังน้นั จึงมีจำ�นวนมากข้อ ส่วนคำ�ตอบของคำ�ถามประเภทนผ้ี ู้ ตอบต้องใชเ้ วลาในการคดิ และการตอบเป็นสว่ นใหญ่ การเขียนตอบใช้เวลาน้อยอาจ เขยี นเป็นประโยคสน้ั ๆ หรอื ทำ�เครือ่ งหมายบนค�ำ ตอบทีต่ อ้ งการ (บุญเชิด ภญิ โญ อนันตพงษ,์ 2525, หน้า 122) ดงั นัน้ สาระสำ�คัญของผตู้ อบท่ีต้องปฏบิ ตั มิ ดี งั นี้ (Throndike and Hagen, 1969, p. 64) 1. ตอ้ งอา่ นขอ้ สอบท่มี ีทง้ั คำ�ถามและค�ำ ตอบท่ีสมบรู ณ์ ท�ำ ให้ผู้ตอบไม่มอี สิ ระ ในการแสดงความคดิ เห็นในคำ�ตอบน้นั เลย 2. เลือกค�ำ ตอบทถี่ กู ทสี่ ดุ จากตวั เลือกท่ผี เู้ ขียนขอ้ สอบกำ�หนดมาให้ 3. ต้องตอบคำ�ถามจากข้อสอบหลายขอ้
บทที่ 4 การวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น 51 ขอ้ ค�ำ ถามแบบปรนัย เป็นแบบท่ีนักวัดผลพัฒนาขึ้นมาเพอ่ื ใชแ้ ทนขอ้ คำ�ถาม แบบอัตนยั เน่อื งจากมีคณุ สมบัติท่ลี บล้างขอ้ จำ�กัดบางประการของคำ�ถามแบบ อัตนยั เช่น สามารถตง้ั ค�ำ ถามครง้ั ละหลายๆ ข้อจนครอบคลมุ จดุ ประสงค์หรอื สาระ ทีต่ อ้ งการวดั และสามารถกำ�หนดเกณฑ์การตรวจใหค้ ะแนนคำ�ตอบไดแ้ นน่ อน เป็นตน้ ลกั ษณะของค�ำ ถามแบบปรนยั จะเปน็ คำ�ถามแคบ และมคี ำ�ตอบทจ่ี �ำ กดั แน่นอน (Fixed – Answer Test) ซ่งึ รปู แบบหลกั ที่เป็นรู้จกั มี 4 แบบ ได้แก่ ขอ้ ค�ำ ถามแบบ เติมคำ� ขอ้ ค�ำ ถามแบบถูกผดิ ข้อค�ำ ถามแบบจบั คู่ และขอ้ ค�ำ ถามแบบเลอื กตอบ ซึ่ง มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ข้อค�ำ ถามแบบเตมิ คำ� (Completion Item) ข้อค�ำ ถามแบบเตมิ คำ�อาจ เรียกวา่ แบบค�ำ ตอบสั้น (Short Answer Test) เป็นแบบทีป่ ระกอบดว้ ยข้อทดสอบท่ี ตอ้ งการคำ�ตอบส้นั อาจจะเปน็ ค�ำ วลี ตวั เลข หรอื สัญลกั ษณ์ (สมใจ ฤทธสิ นธิ 2537 : 76) ลกั ษณะทว่ั ไปของข้อค�ำ ถาม จะเป็นประโยคทีม่ ใี จความแคบ ตอ้ งการค�ำ ตอบ ท่เี ฉพาะเจาะจงโดยท่ีผตู้ อบตอ้ งนกึ คิดคำ�ตอบ แลว้ เขยี นตอบลงในที่ที่กำ�หนดให้ ค�ำ ถามประเภทนอี้ าจจำ�แนกไดเ้ ป็น 3 รปู แบบ (พวงรัตน์ ทวรี ตั น์, 2530, หน้า 129- 130) ดงั นี้ 1.1 แบบตอบคำ�ถาม (Question Format) มลี กั ษณะเป็นประโยค ค�ำ ถามสมบรู ณ์ ให้ผ้สู อบเขียนคำ�ตอบลงในทซ่ี ่งึ กำ�หนดไว้ใหต้ อบ เช่น
52 บทที่ 4 การวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 1.2 แบบเตมิ ค�ำ หรือ เตมิ ข้อความใหส้ มบูรณ์ (Complete the Sentences) มีลักษณะเป็นประโยคบรรยายความทไี่ ม่สมบรู ณ์ คือจะเว้นค�ำ หรือ ส่วนของข้อความทสี่ ำ�คญั ไวใ้ ห้ผ้สู อบคดิ หาคำ�ตอบมาเตมิ ซึ่งเม่อื เติมแล้วจะได้ใจความ สมบูรณ์ แตต่ ้องพจิ ารณาวา่ มสี าระถูกต้องตามนัยแหง่ คำ�ตอบของแตล่ ะข้อหรอื ไม่ เช่น
บทที่ 4 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 53 1.3 แบบหาความสัมพันธ์ (Association Format) มลี ักษณะคล้าย คำ�ถามแบบจบั คู่ แตไ่ มก่ �ำ หนดคำ�ตอบมาใหจ้ บั คู่ ซงึ่ สว่ นนี้ผู้สอบจะตอ้ งคิดหาค�ำ ตอบ เช่น ข้อคำ�ถามแบบเติมคำ�อาจมีรูปแบบที่ดัดแปลงใหเ้ หมาะกับจดุ ประสงคใ์ นการ วัด เช่น
54 บทท่ี 4 การวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 1. ข้อค�ำ ถามแบบเตมิ ค�ำ เหมาะท่จี ะใชใ้ นการวัดความร้-ู ความจำ�เก่ียวกบั รายละเอยี ดของเนื้อหา วธิ ีการ และหลักวชิ า (ยกเว้นการวัดในวิชาทกั ษะเชน่ คณติ ศาสตร์ ซ่ึงวัดการคิดคำ�นวณจากโจทยต์ วั เลข หรือโจทยป์ ัญหา) 2. ควรใช้ข้อคำ�ถามแบบเติมค�ำ ในการวดั ผลยอ่ ย หรอื ใชใ้ นลักษณะเป็นแบบ ฝกึ หดั ทบทวนความรู้ แตไ่ มเ่ หมาะทีจ่ ะใชใ้ นการวัดผลรวมเพราะว่าตอ้ งใช้ข้อค�ำ ถาม จ�ำ นวนมาก และไมส่ ามารถจะวัดพฤติกรรมทางสมองระดบั สูงได้ แตอ่ าจจะใช้เป็น สว่ นประกอบของแบบทดสอบส่วนหนง่ึ ถ้าเห็นวา่ จ�ำ เป็น
บทท่ี 5 การสร้างเคร่ืองมอื วัดผลการศกึ ษา 55 บทที่ 5 การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดผลการศกึ ษา
56 บทที่ 5 การสร้างเคร่อื งมือวดั ผลการศกึ ษา บทที่ 5 การสร้างเครือ่ งมอื วดั ผลการศึกษา การวดั ผลการเรียนรขู้ องผู้เรียน จะต้องวดั ให้ครอบคลมุ พฤตกิ รรมการศึกษา ทัง้ 3 ด้าน คือ ดา้ นพทุ ธพิ ิสัย จิตพสิ ยั และทักษะพิสยั ซึง่ อย่ใู นรูปของตัวชวี้ ัดผล การเรยี นรู้หรือจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้จากสาระการเรยี นรูท้ ก่ี ำ�หนดไว้ในหลักสตู ร การ วางแผนสร้างเครื่องมือวดั ผลการศกึ ษา ครูต้องกำ�หนดไดแ้ น่นอนว่า การวดั ผลคร้งั นจ้ี ะวดั ตรงสาระการเรียนรูแ้ ละตัวช้วี ดั หรอื จุดประสงค์การเรียนรใู้ ดบา้ ง จากนน้ั จึง พิจารณาเลือกเคร่อื งมือ หรอื วิธีการวดั ให้เหมาะสมกบั กลมุ่ พฤตกิ รรมการศึกษา ทีก่ ำ�หนดไวใ้ นตวั ชว้ี ัดหรอื จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ในสาระการเรยี นรูท้ ี่กำ�หนด และ วางแผนด�ำ เนินการสร้างเครื่องมอื วดั ผลการศึกษาและการบรหิ ารการสอบต่อไป กระบวนการสร้างเคร่ืองมอื วัดผลการศึกษา การวัดและประเมินผลการศกึ ษาระดบั การศึกษาข้ันพ้ืนฐานจ�ำ แนกออกเป็น 4 ระดบั ซึง่ แต่ละระดับมีเปา้ หมายแตกต่างกนั ไป ไดแ้ ก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถาน ศึกษา ระดับเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษา และระดบั ชาติ การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา ระดบั ช้นั เรยี นมคี รูผู้สอนรบั ผิดชอบ มีเป้าหมายเพือ่ วดั และประเมนิ ผลผู้เรยี นเพือ่ ปรบั ปรุงและตดั สนิ ผลการเรียนตามกล่มุ สาระการเรยี นรู้ สว่ นระดับสถานศึกษาจะ เป็นบทบาทของคณะกรรมการประจำ�สถานศึกษา มีเปา้ หมายเพือ่ ตดั สินผลการเรยี น ของผู้เรียนในภาพรวม สว่ นระดบั เขตพ้ืนที่การศกึ ษาและระดับชาติ มีเป้าหมายหลกั เพือ่ รักษามาตรฐานการศกึ ษา (สำ�นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551) ซง่ึ หาก พจิ ารณาระดับการวัดและประเมนิ ผลดงั กล่าว พอจะจำ�แนกเครอื่ งมอื วัดผลการศึกษา ได้ 2 ประเภทด้วยกนั ประเภทแรก เป็นเครอ่ื งมือวัดผลการศึกษาท่คี รสู รา้ งขน้ึ เพื่อใช้ วดั ผลในระดบั ชน้ั เรียน ส่วนประเภทที่ 2 เปน็ เคร่อื งมือวัดผลการศกึ ษามาตรฐานทใี่ ช้ ในระดบั เขตพนื้ ท่แี ละระดับชาติ
บทท่ี 5 การสร้างเครอ่ื งมือวดั ผลการศกึ ษา 57 ซ่งึ มีข้นั ตอนการสร้างในลักษณะเดยี วกัน หากแต่เคร่อื งมอื วัดผลการศกึ ษามาตรฐาน จะมกี ารตรวจสอบคุณภาพทีเ่ ข้มงวดมากข้ึนเพ่อื ให้ไดผ้ ลการวัดท่เี ป็นมาตรฐาน กระบวนการสรา้ งเครื่องมือวัดผลการศกึ ษาสรปุ ได้ ดังน้ี เครอ่ื งมอื วดั ผลการศกึ ษาที่ครสู ร้าง เครือ่ งมือวัดผลการศกึ ษามาตรฐาน ภาพที่ 5.1 การเปรียบเทียบกระบวนการสรา้ งเคร่ืองมอื วดั ผลการศกึ ษาระหวา่ งเคร่อื งมือวดั ผล การศกึ ษาทค่ี รสู รา้ งกบั เคร่อื งมือวัดผลการศึกษามาตรฐาน
58 บทท่ี 5 การสร้างเครือ่ งมือวดั ผลการศกึ ษา การบริหารการสอบ การดำ�เนนิ การสอบท่ีต้ังอยบู่ นหลักการทเี่ ปน็ ทย่ี อมรับกนั ในวงการวดั ผล จึง จะถือว่าเปน็ เทคนคิ ได้ การปฏิบัตติ ามเทคนคิ ก็เพื่อจะชว่ ยให้ผู้สอบมีโอกาสแสดง ความรูค้ วามสามารถของตนได้อย่างเตม็ ที่ ภายใตส้ ภาพการณท์ ่อี �ำ นวยความสะดวก และมคี วามยุตธิ รรมอยา่ งท่ัวหน้า ซง่ึ จะเป็นสว่ นทีช่ ว่ ยควบคุมใหแ้ บบทดสอบมคี วาม เที่ยง (Reliability) ในการวดั หมายถึงว่าคะแนนท่เี ป็นผลจากการสอบจะเชอ่ื ถือได้ ดังนน้ั ครูทท่ี ำ�หนา้ ทเี่ ป็นผู้กำ�กบั การสอบ จำ�เปน็ ตอ้ งเรยี นรู้และใชเ้ ทคนคิ ทีด่ ีในการ ดำ�เนนิ การสอบ ซึ่งมีแนวปฏบิ ัตทิ ่ีควรทราบดงั นี้ 1. การเตรียมการทวั่ ไปก่อนสอบ 1.1 การจดั ตารางสอบ ตารางสอบเปน็ ก�ำ หนดการในการสอบเพือ่ แจง้ ใหผ้ ู้สอบ และผกู้ �ำ กบั การสอบไดท้ ราบล่วงหน้าตรงกนั สำ�หรับผูร้ บั ผิดชอบจัดตาราง สอบนั้นอาจจะเป็นผทู้ ่ไี ดร้ ับแต่งต้ังเป็นพิเศษหรือก�ำ หนดเปน็ หน้าท่ขี องฝา่ ยวดั ผลของ โรงเรียน เพราะเป็นก�ำ หนดการท่ใี ชร้ ว่ มกันทงั้ โรงเรยี น โดยทว่ั ไปแล้วตารางสอบ ประกอบดว้ ยส่ิงส�ำ คัญ ดงั น้ี (1) วัน เดือน ปี เวลา วชิ า และชนั้ ทจ่ี ะสอบ (2) หอ้ งที่ใช้สอบ (3) ช่อื ผู้ก�ำ กับการสอบ หากมเี หตผุ ลบางประการทไี่ มต่ อ้ งการใหท้ ราบ ชื่อผูก้ ำ�กับการสอบล่วงหน้า กไ็ มต่ ้องบอกชือ่ ไว้ในตารางสอบ รูปแบบของ ตารางสอบนนั้ โดยทว่ั ไปจะท�ำ เป็นลักษณะของตารางมรี ายละเอยี ดที่จ�ำ เปน็ ทกุ สว่ น สมั พนั ธ์กนั อยา่ งมีระเบยี บ และสามารถจัดรปู แบบให้เหมาะสมไดห้ ลายแบบแต่ใชห้ ลกั การร่วมกนั ตามข้อเสนอแนะต่อไปน้ี (1) กำ�หนดระยะเวลาท่ีใชส้ อบของแตล่ ะวชิ า ตอ้ งพิจารณาให้เหมาะ สมกบั วัยหรือระดบั ชนั้ ของผู้สอบ ความยากงา่ ยของแบบทดสอบ และธรรมชาตขิ อง เนือ้ หาวิชา (2) การบรรจุรายวชิ าท่ีสอบในแต่ละวนั ไม่ควรจัดใหม้ วี ิชาทส่ี อบมาก เกนิ ไป โดยเฉพาะในภาคบ่ายควรจัดใหม้ กี ารสอบนอ้ ยท่สี ุด
บทท่ี 5 การสร้างเครอ่ื งมอื วดั ผลการศึกษา 59 (3) การกำ�หนดล�ำ ดบั รายวชิ าก่อนหลงั ในแตล่ ะวันควรจดั ให้มีการสอบ วิชาท่ยี ากและงา่ ยกระจายกันไป โดยวิชาที่ตอ้ งใชค้ วามคิดหรือใช้ความสามารถทาง สมองสงู ให้สอบก่อนตอนเช้า ส่วนวิชาทง่ี า่ ยกว่าใหส้ อบใหล้ ำ�ดับต่อมา (4) การก�ำ หนดห้องสอบตอ้ งให้มขี นาดพอเหมาะกบั ผู้สอบ แต่ อย่างไรก็ตามห้องทจ่ี ดั ให้สอบกค็ อื ห้องเรียนนนั่ เอง หากมีนกั เรยี นมากเกินไปกค็ วรจดั แบง่ นักเรยี นสว่ นทเ่ี กินมาสอบอกี ห้องหน่งึ (5) การจดั กรรมการก�ำ กับการสอบ (คุมสอบ) ควรใหพ้ อเหมาะกับ จำ�นวนผ้สู อบ เชน่ ถา้ มีผู้สอบตั้งแต่ 25 คนข้ึนไป ควรใชก้ รรมการ 2 คน และถ้า ไม่จำ�เปน็ ก็ควรหลกี เลีย่ งการจดั ให้ครูประจ�ำ วชิ าเปน็ ผู้กำ�กบั การสอบกล่มุ ท่ตี นสอน เพราะความคนุ้ เคยอาจจะทำ�ใหเ้ กิดความล�ำ เอยี งได้ (6) ควรจดั ตารางสอบแจกให้ครแู ละผเู้ รยี นทราบลว่ งหน้าไม่น้อยกวา่ 1 สัปดาห์ 1.2 การจดั ห้องสอบ ห้องสอบเปน็ สงิ่ ส�ำ คญั ท่ีจะชว่ ยให้เกิดความ สะดวกเรยี บร้อยในการสอบ สภาพของหอ้ งสอบจงึ มีผลต่อการสอบของผูเ้ รียนโดยตรง ดงั น้นั การจัดหอ้ งสอบจึงควรใช้หลกั ตามข้อเสนอแนะดงั น้ี (1) โตะ๊ เก้าอี้ ต้องมสี ภาพสมบูรณเ์ หมาะสมกับวยั ของผ้สู อบและมี จ�ำ นวนเพยี งพอ (2) จดั ที่นง่ั สอบของผสู้ อบแต่ละคนใหห้ า่ งกนั พอสมควรและเป็น ระเบียบโดยจัดให้นง่ั สอบเรยี งตามล�ำ ดบั เลขประจ�ำ ตัว (3) ควรจดั ท่นี ั่งของผกู้ �ำ กับการสอบไว้ทม่ี ุมห้องดา้ นหนา้ และดา้ นหลัง ห่างจากผูส้ อบพอสมควร (4) จัดห้องสอบให้มีสภาพทเ่ี อ้อื อ�ำ นวยตอ่ การสอบ เชน่ ไม่ให้มีเสยี ง หรอื กล่นิ รบกวน ให้มแี สงสวา่ งเพยี งพอ และให้มอี ากาศถ่ายเทสะดวก
60 บทท่ี 5 การสรา้ งเคร่อื งมอื วดั ผลการศกึ ษา 1.3 การก�ำ กับการสอบ การกำ�กับการสอบ หรอื การคุมสอบ เป็นขั้น ดำ�เนินการในชว่ งเวลาสอบจริง ซงึ่ ในขัน้ นีม้ คี วามส�ำ คญั ตอ่ ผลการสอบโดยตรง ดังนั้น จงึ มขี อ้ ปฏบิ ตั ิสำ�หรับผกู้ �ำ กบั การสอบ ซ่ึงแบ่ง 3 ระยะดังนี้ ระยะกอ่ นถงึ เวลาสอบจรงิ (1) ผ้กู �ำ กบั การสอบควรไปถงึ ห้องสอบกอ่ นเป็นเวลาประมาณ 15 นาที เพ่ือสำ�รวจความพรอ้ มของหอ้ งสอบ (2) เรยี กผ้สู อบมาอยู่รวมกนั ใกล้ ๆ ห้องสอบ และตกั เตอื นเรอ่ื งการเตรี ยมความพรอ้ มในการสอบ (3) ส�ำ รวจความเรียบรอ้ ยของแบบทดสอบ วา่ มจี ำ�นวนครบตามทแ่ี จง้ ไวบ้ นซองบรรจหุ รอื ไม่ หากไม่ครบ ต้องรายงานใหผ้ บู้ รหิ ารซึ่งเปน็ ประธานอ�ำ นวยการ สอบทราบทันที นอกจากนีต้ อ้ งตรวจดวู ่าจ�ำ นวนแบบทดสอบมีเพยี งพอกบั ผู้สอบหรือ ไม่ และกระดาษค�ำ ตอบมีเพยี งพอหรือไม่ หากมปี ญั หาต้องรีบตดิ ตอ่ กองกลางทจี่ ดั สอบ เพอ่ื จดั เพม่ิ ใหท้ ันเวลา (4) เตรียม อา่ นท�ำ ความเข้าใจคำ�ชี้แจงของแบบทดสอบฉบับนน้ั กอ่ น สอบ (5) เมือ่ ใกลถ้ งึ เวลาสอบ เรียกผสู้ อบเขา้ นงั่ ประจ�ำ ท่เี รยี งตามลำ�ดบั หมายเลขประจำ�ตวั ของตน (6) หากมีความจำ�เปน็ ต้องใหผ้ ู้สอบลงลายเซน็ เป็นหลักฐานการสอบ หรอื ต้องการตรวจหลกั ฐานใด ๆ ควรกระทำ�ใหเ้ สรจ็ กอ่ นในช่วงน้ี ระยะเรมิ่ สอบ (1) ผกู้ ำ�กบั การสอบต้องแจกแบบทดสอบและกระดาษค�ำ ตอบให้ผู้สอบ ทีละคนตามลำ�ดับหมายเลขแบบทดสอบ โดยเริ่มต้นที่ผู้สอบหมายเลขประจ�ำ ตัวแรก กลับ
บทท่ี 5 การสรา้ งเครื่องมือวดั ผลการศึกษา 61 (2) อ่านคำ�ชี้แจงในการทำ�แบบทดสอบใหผ้ สู้ อบฟงั พรอ้ มกนั หรอื อ่าน ท�ำ ความเข้าใจไปพร้อมกบั ผูส้ อบ เมอ่ื ไม่มีปญั หาใดแล้วจึงสั่งใหล้ งมือทำ�ได้ (3) ควรแจง้ เวลาสอบท่แี ท้จริงอีกครัง้ กอ่ นสอบถา้ หากไมม่ ีการแจง้ ไวใ้ น ค�ำ ชีแ้ จง และเร่ิมจับเวลาสอบทนั ทเี ม่อื อ่านค�ำ ช้แี จงเสรจ็ แล้ว ระยะระหวา่ งสอบ (1) ผ้กู ำ�กบั การสอบควรนงั่ อยทู่ ี่โต๊ะซ่ึงจดั ไวใ้ นด้านหน้าหอ้ งสอบ ควบคุมดแู ลการสอบตลอดเวลา โดยไม่ทำ�งานอืน่ ไม่เดินพลุกพลา่ นหรอื ทำ�ใหเ้ กิดเสียง ดงั นา่ รำ�คราญ ไม่ท�ำ ใหบ้ รรยากาศขึงขังจนตงึ เครยี ด ควรเดินบา้ งเป็นบางครง้ั เพื่อตรวจ สอบความเรยี บรอ้ ยในการท�ำ แบบทดสอบทัว่ ๆ ไปแตไ่ ม่ควรไปหยดุ คุยหรือดกู ารทำ� แบบทดสอบของผสู้ อบเป็นรายคน เพราะจะทำ�ใหผ้ สู้ อบเสยี สมาธิ (2) เมอ่ื ผ้สู อบคนใดมีปญั หาในขณะสอบ ผกู้ ำ�กับการสอบต้องเดินไปหา และซกั ถามเพ่ือใหก้ ารช่วยเหลือตามกรณี โดยไมใ่ ห้เกิดการรบกวนผอู้ น่ื และตอ้ งไม่ ช่วยเหลอื ในทางทีท่ �ำ ใหเ้ กิดการไดเ้ ปรียบเสยี เปรียบระหว่างผู้สอบดว้ ยกนั (3) เม่อื พบวา่ ผสู้ อบคนใดมกี ารทุจรติ การสอบ ผ้กู ำ�กบั การสอบต้อง ไม่ท�ำ ใหเ้ กิดโกลาหล อนั เปน็ การรบกวนผอู้ ่ืน ควรเดนิ เข้าไปหาเพือ่ หยดุ พฤติกรรมนนั้ และยังคงอนญุ าตให้สอบต่อไปแตผ่ ูก้ ำ�กับการสอบต้องพจิ ารณาวา่ กรณนี ้ันควรบันทึก พฤติกรรมและรายงานให้ครูประจ�ำ วิชาทราบหรือไม่หรือมีความผิดร้ายแรงตอ้ งท�ำ รายงานเสนอประธานคณะกรรมการการดำ�เนนิ การสอบทราบ เพ่ือพจิ ารณาตัดสินตาม ควรแกก่ รณี (4) การเตือนเวลาสอบ ควรกระทำ� 2 ครัง้ คือเมื่อเวลาผ่านไปครึง่ หน่ึง และเม่อื เหลอื เวลาประมาณ 3 – 5 นาที
62 บทที่ 5 การสร้างเครอ่ื งมือวดั ผลการศกึ ษา ระยะเมือ่ หมดเวลาสอบ (1) สง่ั ใหผ้ ูส้ อบทกุ คนยุติการท�ำ แบบทดสอบ และส่งแบบทดสอบพร้อม กระดาษค�ำ ตอบใหก้ �ำ กับการสอบ (2) ตรวจนบั กระดาษค�ำ ตอบและแบบทดสอบให้ครบถว้ นกอ่ นที่จะ อนุญาตใหน้ ักเรียนออกจากห้องสอบ (3) เรยี งกระดาษคำ�ตอบให้เรยี บรอ้ ยครบถว้ นตามหมายเลขประจ�ำ ตวั ผู้สอบ แนบหลักฐานประกอบการสอบไวด้ า้ นหนา้ สง่ คนื กรรมการกลางพรอ้ มกบั ตัว แบบทดสอบท่เี รยี งตามลำ�ดบั หมายเลขครบถว้ น
บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ 63 บทที่ 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ ของเครอ่ื งมอื วัดผล
64 บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมอื วดั ผลการศึกษา การตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมือวดั ผลการศกึ ษาเป็นการพัฒนาเครอื่ งมอื เพอ่ื การวดั ผล เชน่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม และแบบสงั เกต ให้มีคณุ ภาพเปน็ มาตรฐานเป็นการรับรองวา่ เครื่องมอื น้จี ะให้ผลการวดั ท่คี งที่ และมคี วามมน่ั ใจไดว้ า่ สอดคลอ้ งกบั พฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ จรงิ ของผเู้ รียน ซ่ึงจำ�เป็นต้องคำ�นึงถึงคณุ ลักษณะที่ดี ของเครือ่ งมอื วัดผลการศกึ ษาและเข้าใจแนวคดิ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมอื วดั ผล การศกึ ษา ตลอดจนมที ักษะการวิเคราะห์ขอ้ สอบรายข้อ และการวเิ คราะหแ์ บบ ทดสอบทง้ั ฉบบั คุณลกั ษณะของเคร่อื งมอื วดั ผลการศึกษา เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวัดทางจิตภาพมีจดุ อ่อนหลายประการ อนั เน่ืองมาจาก ธรรมชาติของการวัดผลทางดา้ นนี้ ดังน้ันในการสรา้ งเครื่องมอื เพื่อนำ�ไปใช้ จงึ จำ�เป็น ตอ้ งควบคมุ และจัดท�ำ ให้มคี ณุ ภาพพอสมควร โดยคำ�นึงถงึ ลกั ษณะทสี่ ำ�คัญ 4 ประการ (ปน่ิ วดี ธนธาน,ี 2549, หนา้ 57) ดงั น้ี 1. มคี วามตรงหรือความเทย่ี งตรง (Validity) เปน็ คณุ ลกั ษณะของเครอื่ ง มือท่ีท�ำ ใหไ้ ด้ผลการวดั ตรงตามจุดมงุ่ หมายในการวัด หมายความว่า เครอื่ งมอื นน้ั วัดลกั ษณะท่ตี ้องการไดจ้ รงิ ถา้ เป็นเรอ่ื งของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ธรรมดา ก็ตอ้ งการเพยี งว่า แบบทดสอบนั้นสามารถวัดไดค้ รอบคลมุ เน้ือหาท่ีเรยี น วดั ไดต้ รงจุดประสงคข์ องการเรียนรทู้ ่ีสำ�คญั วดั เน้อื หาทุกเนอื้ หาโดยมีสัดสว่ นจ�ำ นวน ขอ้ สอบเหมาะสมกบั เนอ้ื หา การพจิ ารณาความตรงเครื่องมอื วัดผล โดยเฉพาะแบบทดสอบ จะตอ้ งยดึ ถอื วา่ ตรงตามเกณฑใ์ ด ดังนั้นจึงมกี ารจำ�แนกความตรงของแบบทดสอบออกเปน็ หลาย ชนิด ซ่ึงอาจจ�ำ แนกออกเปน็ 4 ชนดิ ดงั นี้ (สนุ นั ท์ ศลโกสมุ , 2525, หน้า 88 -89)
บทที่ 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 65 1.1 ความตรงตามเนือ้ หา (Content validity) เป็นคณุ สมบตั ิ ทเี่ คร่ืองมือในการวดั สามารถวดั เน้อื หาวิชาตามทร่ี ะบุไวใ้ นหลักสูตร เช่น ข้อสอบ ตอ้ งการวัดวัดความรูภ้ าษาไทยระดบั ประถมศึกษาปีที่ 1 เคร่อื งมอื นนั้ หรอื ข้อสอบนน้ั ตอ้ งวดั ไดต้ รงกับเนอ้ื หาที่เปน็ ความรภู้ าษาไทยในระดับประถมศกึ ษาปีท่ี 1 ความตรง ชนิดนีใ้ ชต้ ารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตรเป็นเกณฑ์ในการตดั สิน ความตรงด้านนีต้ ้องได้รับ การพิจารณากอ่ น โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง ขอ้ คำ�ถามแตล่ ะข้อจะต้องวดั ให้ตรงกับเนอ้ื หาที่ ตอ้ งการจะวดั และจุดมุ่งหมายทีต่ ้องการจะวัด 1.2 ความตรงตามโครงสรา้ ง (Construct Validity) เป็นคณุ สมบัติที่ เคร่ืองมอื ท่ีผลการวดั ได้ตรงตามลักษณะโครงสรา้ งของสงิ่ นัน้ ๆ นนั่ คือ สามารถทจ่ี ะ วดั สมรรถภาพสมองด้านตา่ ง ๆ หรอื คณุ ลักษณะท่ตี ้องการจะวัดไดค้ รบถว้ น สามารถ จะตรวจความตรงตามโครงสรา้ งได้ โดยการศึกษาทฤษฎีของสงิ่ ทต่ี ้องการจะวดั วา่ ส่งิ นนั้ ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะใดบา้ งตอ้ งวัดให้ครบโครงสร้างของส่งิ นนั้ 1.3 ความตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถงึ ความ สามารถท่เี ครือ่ งมือท่วี ัดนั้น ใหผ้ ลของการวดั สอดคล้องกับสภาพความเป็นจรงิ ท่ีเปน็ อยู่ของลกั ษณะนั้น ๆ ในขณะน้ัน เชน่ ผู้ทไี่ ดค้ ะแนนจากภาคทฤษฎใี นเรือ่ งทฤษฎี เบอื้ งต้นของการเล่นแบดมินตนั สงู เป็นคนท่ีมคี วามสามารถในการเลน่ แบดมินตันดว้ ย หรือเด็กที่ได้คะแนนสอบจากวิชาสุขศึกษาสูง ควรจะเป็นผทู้ ร่ี ักษาสขุ อนามยั ดดี ้วย ความตรงตามสภาพนจี้ ะใช้แบบทดสอบอย่างเดยี วไม่ไดต้ อ้ งอาศัยการสังเกตไปดว้ ย และใชส้ ภาพที่ปรากฏอยูป่ ัจจบุ นั เป็นเกณฑ์ในการหาความตรง 1.4 ความตรงเชงิ พยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถงึ เคร่อื ง มือในการวัดผลนน้ั ใหผ้ ลสอดคลอ้ งกบั สภาพความเปน็ จรงิ จะเกดิ ข้นึ ในโอกาสตอ่ ไป เช่น ผู้ทีไ่ ดค้ ะแนนจากผลการเรยี นวชิ าเลขานกุ ารสงู สามารถพยากรณผ์ ลการท�ำ งานใน หน้าทีเ่ ลขานุการไดด้ ดี ้วย
66 บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ ความตรงตามการพยากรณน์ ี้อาจไมไ่ ดเ้ ปน็ คุณลกั ษณะอย่างเดยี วกนั กบั คณุ ลกั ษณะทจ่ี ะพยากรณก์ ไ็ ด้ เชน่ ผู้ท่ไี ดค้ ะแนนความถนัดทางการเรยี นด้านมิติ สมั พนั ธด์ า้ นคณิตศาสตร์ และดา้ นเหตุผลสูงสามารถพยากรณ์ได้ว่าผูน้ จี้ ะเรียนวิชาทาง ด้านวิทยาศาสตร์ไดด้ ี คณุ ลักษณะของความถนัดทางการเรยี นไมไ่ ดเ้ ปน็ คุณลักษณะ อย่างเดยี วกันกับของทางดา้ นวิชาวทิ ยาศาสตร์ แตก่ ็เปน็ คณุ ลกั ษณะท่สี อดคลอ้ งกัน จงึ สามารถน�ำ เอาความถนดั ทางการเรยี นดงั กลา่ วขา้ งตน้ มาพยากรณค์ วามสามารถ ดา้ นการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ได้ ข้อสอบความถนัดทางการเรยี นทม่ี คี วามตรงทางการ พยากรณ์สูงแปลผลไดว้ า่ ผ้ทู ่ีไดค้ ะแนนความถนดั ทางการเรียนด้านที่เกย่ี วข้องสงู จะมี ความสามารถในทางการเรยี นวิชาน้ันได้สงู ดว้ ย 2. ความเทีย่ งหรอื ความเช่ือมั่น (Reliability) เปน็ คณุ ลักษณะของเครื่องมือ วัดท่ีทำ�ให้ไดผ้ ลการวัดคงทแี่ น่นอนหรอื คงเสน้ คงวา กล่าวคอื ถา้ น�ำ เครือ่ งมอื นนั้ ไปวัด ซำ้�อีกครั้งก็ตามก็จะให้ผลการวดั เหมอื นเดิมหรอื คลาดเคล่ือนจากเดิมน้อยมาก การ ควบคมุ การสรา้ งเครอ่ื งมอื วัดผลการศกึ ษาใหม้ ีความเที่ยง ตอ้ งค�ำ นึงถึงคณุ ภาพส�ำ คัญ ต่อไปน้ี 2.1 ต้องสรา้ งเครอ่ื งมือใหม้ คี วามตรงตามจดุ ประสงค์ทตี่ อ้ งการกอ่ น จะชว่ ยใหเ้ คร่อื งมือนัน้ มีความเทีย่ งสงู ด้วย 2.2 จ�ำ นวนของข้อกระทง (Item) หรือข้อค�ำ ถามตอ้ งมีมากเพยี งพอ หรือวดั ได้ครอบคลมุ จึงจะช่วยใหม้ ีเที่ยงสงู 2.3 ข้อกระทงหรอื ข้อค�ำ ถามทุกขอ้ ต้องมคี วามชดั เจนทกุ ด้านหรอื เรียก วา่ มีความเปน็ ปรนัยจึงจะส่งเสรมิ ให้มีความเที่ยงสูง 2.4 ถ้าเปน็ แบบทดสอบแล้ว ต้องประกอบด้วยขอ้ ค�ำ ถามทีย่ ากง่ายพอ เหมาะ ไมม่ ีค�ำ ถามที่ยากเกนิ ไปหรอื ค�ำ ถามที่ง่ายเกนิ ไป เพราค�ำ ถามเหล่านี้จ�ำ แนก ความสามารถของบุคคลไม่ได้ ซง่ึ จะมีผลต่อความเที่ยงของแบบทดสอบ
บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 67 นอกจากความเท่ยี งจะข้ึนอยูก่ ับคณุ ภาพของเครือ่ งมือหลายประการดงั กลา่ วแล้ว ยงั ข้ึนอย่กู บั องค์ประกอบอ่นื ๆ อีก เช่น เวลาที่ใชใ้ นการวดั มากหรือนอ้ ยเกินไป ความ พรอ้ มของผูท้ ีร่ บั การสอบวดั วิธีปฏิบัติของผูเ้ ก็บข้อมลู ตลอดจนสภาพแวดลอ้ มที่เอ้อื อ�ำ นวย 3. ความปรนยั (Objectivity) เป็นคุณลักษณะทท่ี �ำ ให้เครื่องมือมีความชัดเจน ในแงก่ ารน�ำ ไปใช้ 3 ประการ 3.1 รายการวดั ท่กี �ำ หนดไว้มีความชัดเจน ใชภ้ าษางา่ ย สื่อความเขา้ ใจ ได้ตรงกัน ถา้ เป็นขอ้ สอบก็คอื มีคำ�ถามทช่ี ดั เจนรัดกุม ไม่มคี วามบกพร่องทางภาษา 3.2 มวี ิธีทีช่ ัดเจนในการจัดกระท�ำ กบั ข้อมูล หรอื กำ�หนดคา่ เปน็ ตัวเลข ให้กบั ข้อมูล ถ้าเปน็ ขอ้ สอบกม็ ีเกณฑ์การตรวจใหค้ ะแนนท่ีแน่นอนเปน็ มาตรฐาน เดียวกันส�ำ หรบั ทุกคน 3.3 ผลการสรปุ และประเมนิ เป็นทย่ี อมรับได้ของทุกฝา่ ย ซ่ึงหมาย ถึงว่าผลสอบนนั้ สอดคลอ้ งกบั คณุ ลักษณะทีเ่ ป็นจริง ทุกฝ่ายแปลความหมายของ คะแนนไดต้ รงกนั 4. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) เปน็ คุณลักษณะของเคร่อื งมอื ท่ีพจิ ารณาในแง่ ประโยชน์ ใชส้ อยดงั น้ี 4.1 จดั รูปแบบได้เหมาะสม มีคำ�ชแ้ี จงหรือแนวดำ�เนนิ การทชี่ ดั เจน ท�ำ ใหเ้ กิดความสะดวกตอ่ ผ้ใู ช้ 4.2 มรี ูปแบบทส่ี ะดวกต่อการจดั กระท�ำ กบั ขอ้ มูล ซ่งึ ทำ�ให้สะดวกใน การวิเคราะห์และแปลความหมายของข้อมลู ดว้ ย 4.3 มคี วามกะทดั รดั คอื กำ�หนดรายการท่จี ะวดั เทา่ ทจี่ ำ�เปน็ ไม่มาก เกินไป แตใ่ ห้ผลการวดั เทย่ี งตรงและเชอ่ื ถอื ได้ 4.4 มีความประหยัดหลายๆ ด้าน เชน่ ประหยัดวสั ดุในการสร้างเครื่อง มอื ประหยัดเวลาในการน�ำ ไปวดั พฤตกิ รรม ประหยัดแรงงานในการจดั กระทำ�กับ ขอ้ มลู และวิเคราะห์ข้อมลู
68 บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ 4.5 ไม่มคี วามบกพร่องทางดา้ นภาษาซง่ึ ทำ�ให้การส่ือความผดิ พลาดไป กรณที ี่เป็นเครอ่ื งมอื ประเภทแบบทดสอบ อาจจะต้องการคณุ ลักษณะส�ำ คญั เพิ่มข้ึนอีก ดงั นี้ 5. มีความยาก (Difficulty) พอเหมาะ หมายถงึ ขอ้ สอบแตล่ ะขอ้ หรือ ขอ้ สอบรวมท้งั ฉบับ ต้องไมย่ ากเกนิ ไป หรอื งา่ ยเกนิ ไปส�ำ หรับกล่มุ ผ้สู อบ 6. มอี �ำ นาจจำ�แนก (Discrimination Power) หมายถึงข้อสอบแต่ละข้อ หรือขอ้ สอบรวมทั้งฉบับ จะสามารถจ�ำ แนกระดับพฤตกิ รรมทางปัญญาทแ่ี ตกต่างกัน ของผู้สอบได้ 7. มคี วามยตุ ิธรรม (Fair) หมายถึงแบบทดสอบทไี่ ม่ท�ำ ให้เกิดการได้เปรียบ เสียเปรยี บระหว่างผู้เรียน เช่น แบบทดสอบทีค่ อ่ นขา้ งยากทั้งฉบบั แบบทดสอบทใี่ ช้ ทกั ษะบางอย่าง หรอื แบบทดสอบที่มีแนวทางการเดา ดังนัน้ แบบทดสอบทย่ี ุติธรรม จะต้องสรา้ งใหค้ รอบคลมุ เน้อื หา นน่ั คือ สรา้ งตามตารางวเิ คราะห์เนอ้ื หาและจุด ประสงคข์ องการเรียนรู้ และปฏบิ ัตติ ามหลักการสร้างแบบทดสอบชนดิ นน้ั 8. ถามลกึ (Searching) หมายถงึ แบบทดสอบท่ีมคี ำ�ถามวัดความคิดหลาย ๆ ระดบั ไม่ใช่มแี ตค่ ำ�ถามวดั ความรคู้ วามจ�ำ อย่างเดียว 9. มลี กั ษณะจงู ใจใหท้ �ำ (Exemplary) หมายถงึ แบบทดสอบท่มี ลี กั ษณะชวน ใหผ้ ูส้ อบคิดหรอื ตอบไปจนตลอดฉบบั โดยการเรียงจากค�ำ ถามงา่ ย ๆ ไปหาค�ำ ถาม ยาก หรือให้มีรปู แบบทแ่ี ปลกใหม่ดึงดูดความสนใจ เช่น รูปภาพใช้สถานการณท์ ่ีอยู่ ในความสนใจของทุกคน เปน็ ต้น แนวคดิ การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื วดั ผลการศกึ ษา เครอื่ งมือวัดผลการศกึ ษา มธี รรมชาตเิ ป็นการวดั ทางออ้ ม และเปน็ การวัดที่ไม่ สมบูรณ์ ดงั นั้นจึงไมส่ ามารถสร้างเคร่ืองมือให้มคี ุณภาพเป็นมาตรฐานได้เหมอื นเครื่อง มอื วัดทางลักษณะทางกายภาพ
บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 69 วัดผลการเรียนร้สู ามารถกระทำ�ได้ 2 ระยะ ได้แก่ การตรวจสอบเคร่อื งมือวดั ผลการ ศึกษาก่อนนำ�ไปใช้ และการตรวจสอบเครอื่ งมือวัดผลการศึกษาหลังนำ�ไปใช้ (ปนิ่ วดี ธนธาน,ี 2549, หนา้ 138) มรี ายละเอยี ดดังนี้ การตรวจสอบก่อนนำ�เคร่ืองมือวดั ผลการศึกษากอ่ นน�ำ ไปใช้ ระยะแรกน้ี เปน็ การตรวจสอบเบือ้ งตน้ ซ่ึงอาจกลา่ วได้วา่ เปน็ การตรวจสอบคุณภาพเชิงเหตผุ ล เนอ่ื งจากพจิ ารณาวเิ คราะหโ์ ดยอิงคณุ ลักษณะที่ดี และองิ เทคนคิ การสร้างเครอื่ งมอื ในรปู แบบนัน้ สำ�หรบั ผวู้ เิ คราะห์ควรจะเป็นผเู้ ชยี่ วชาญซง่ึ หมายถึงผูท้ ผี่ า่ นการศึกษา วชิ าการด้านน้แี ละมปี ระสบการณ์ด้านการสร้างเคร่อื งมอื วัดผลมาพอสมควร ดังนั้น ครผู ู้สร้างแบบทดสอบเองก็อาจเปน็ ผ้เู ชย่ี วชาญได้ แต่มกั จะมองขา้ มขอ้ บกพร่องท่ี มีอย่เู พราะมคี วามรู้สกึ โนม้ เอยี งไปในทางเหน็ ชอบกับข้อคำ�ถามทตี่ นเองคิดคน้ และ เรียบเรียงขึน้ มา ในทางปฏิบตั จิ งึ ควรใหผ้ ้เู ชีย่ วชาญอน่ื เปน็ ผพู้ จิ ารณาให้ เมือ่ พบขอ้ บกพร่องตรงจดุ ใด ผู้สร้างแบบทดสอบต้องปรบั ปรงุ แก้ไขใหถ้ ูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น ส�ำ หรบั สิง่ สำ�คญั ที่ต้องพจิ ารณาวเิ คราะหก์ อ่ นอ่นื มี 3 ประการ คอื 1. ความตรงหรือความเท่ียงตรง (Validity) คอื คณุ ลกั ษณะส�ำ คญั ทเี่ ครื่อง มือสามารถวดั พฤติกรรมได้ตรงตามจุดประสงคข์ องการวัด หรือตรงตามเนื้อหา การ วเิ คราะห์ความตรงอาจจะกระท�ำ โดยวธิ ีเชงิ ปริมาณได้ แตเ่ ปน็ วธิ ีที่ปฏิบัติยาก จึง นิยมใช้วธิ พี จิ ารณาในเชงิ เหตผุ ล เช่น ถ้าเป็นแบบทดสอบจะใชว้ ธิ ีพิจาณาวา่ ขอ้ สอบ (ค�ำ ถาม) แต่ละข้อวดั สอดคล้องตามตารางก�ำ หนดข้อสอบ และจะยอมรบั ไดเ้ มือ่ พบ วา่ แบบทดสอบทง้ั ฉบบั มีความสอดคลอ้ งกบั ตารางกำ�หนดขอ้ สอบค่อนขา้ งสงู นัน่ ก็ คือแบบทดสอบน้นั มคี วามตรงตามเน้อื หาและตรงตามจดุ ประสงค์ทตี่ ้องการวดั คร้ังน้ัน ดงั น้นั หากการสรา้ งแบบทดสอบโดยไมม่ ีตารางก�ำ หนดขอ้ สอบไวก้ ่อน ก็เป็นการยาก ทจ่ี ะพจิ ารณาความตรงของแบบทดสอบ ถ้าหากเป็นเคร่อื งมอื อืน่ เชน่ แบบสอบถาม หรอื แบบสงั เกตพฤติกรรม ก่อนสรา้ งเครอ่ื งมือน้นั จะต้องกำ�หนดขอบขา่ ยของสิง่ ที่ ตอ้ งการวัดให้ครอบคลุมทกุ ด้าน
70 บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพ หรือก�ำ หนดพฤตกิ รรมท่จี ะวดั เป็นพฤตกิ รรมภายนอกทชี่ ดั เจนเพื่อยึดเปน็ กรอบในการ สรา้ งเครอ่ื งมอื และสิ่งทีก่ �ำ หนดนี้มาใชเ้ ปน็ แนวให้ผู้เชย่ี วชาญพจิ ารณาความตรงของ เครอื่ งมอื 2. ความปรนัย (Objectivity) ในทนี่ ้ีจะต้องพิจารณาความชัดเจนขอ้ กระทง หรอื ขอ้ ค�ำ ถามแตล่ ะขอ้ นนั่ คอื จะตอ้ งมคี วามชัดเจน รดั กมุ ไมใ่ ชข้ อ้ ความฟมุ่ เฟอื ย โดยไม่จ�ำ เป็นและส่อื ความหมายได้ตรงกัน ไมม่ ปี ัญหาเร่อื งตคี วามได้หลายนัย นอกจากนี้ยงั ต้องพิจารณาในดา้ นคำ�ตอบว่าจะมคี ำ�ตอบไดแ้ น่นอน และเกณฑก์ าร พิจารณาก�ำ หนดคะแนนเป็นมาตรฐานเดยี วกนั 3. ความถกู ต้องตามเทคนิค คือการพจิ ารณาเครื่องมอื ท้ังชดุ ว่า โครงสรา้ งโดย รวมมลี กั ษณะถกู ตอ้ งตามรปู แบบของเครอ่ื งมอื ชนดิ น้หี รือไม่ มสี ว่ นใดต้องปรับปรงุ ให้ ดขี น้ึ และรายละเอียดของขอ้ กระทงหรอื ข้อค�ำ ถามแต่ละสว่ นหรือแต่ละขอ้ มีลักษณะที่ เหมาะสมสอดคล้องกบั แนวปฏบิ ัติที่ยดึ เปน็ หลกั ในการสร้างเครอ่ื งมอื รูปแบบนีห้ รอื ไม่ มีขอ้ ใดยงั บกพร่องทตี่ ้องแก้ไขหรือปรบั ปรงุ ให้ดขี นึ้ การตรวจสอบหลงั จากนำ�เครื่องมือไปใชว้ ัด การตรวจสอบในระยะหลงั นเ้ี ปน็ การตรวจสอบคณุ ภาพโดยวิธีเชิงปริมาณ เนือ่ งจากต้องวิเคราะห์โดยน�ำ ข้อมูลตวั เลขทีเ่ ปน็ ผลการวดั มาใช้คำ�นวณในสูตรเชงิ สถิติ จากนนั้ จงึ พจิ ารณาคุณภาพของเครือ่ งมือจากการแปลความหมายของคา่ ที่ค�ำ นวณได้ ส่งิ ส�ำ คัญที่ตอ้ งพจิ ารณาวิเคราะหม์ ี 3 ประการคือ 1. ความยาก (Difficulty) ค่านีจ้ ะพจิ ารณาเฉพาะข้อค�ำ ถามในเครอ่ื งมือ ประเภทแบบทดสอบเทา่ น้ัน ซึ่งเป็นค่าทแี่ สดงให้ทราบถึงคุณลกั ษณะด้านความยาก- ง่ายของค�ำ ถามแต่ละข้อวา่ มีมากนอ้ ยระดบั ใด จัดอยใู่ นเกณฑ์ทย่ี อมรับไว้ใช้วัดผลได้ หรอื ไม่
บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 71 2. อ�ำ นาจจ�ำ แนก (Discrimination) ค่านจ้ี ะพจิ ารณาไดใ้ นขอ้ ค�ำ ถามของ เครื่องมือวดั หลายแบบ ซึง่ เปน็ ค่าท่แี สดงใหท้ ราบถึงคุณลกั ษณะทข่ี ้อค�ำ ถามแตล่ ะ ข้อสามารถจำ�แนกผู้เรยี นออกตามพฤติกรรมทมี่ แี ตกต่างกนั ซ่งึ ขอ้ คำ�ถามที่ดจี ะต้อง มีอำ�นาจจ�ำ แนกสงู โดยก็มีเกณฑ์ท่ใี ช้พิจารณาตัดสิน ส�ำ หรับวิธคี �ำ นวณหาดัชนีค่า อ�ำ นาจจำ�แนกของข้อคำ�ถามมีหลายวิธสี ามารถเลอื กใช้ไดต้ ามความเหมาะสม 3. ค่าความเทย่ี งหรอื ความเชอ่ื มน่ั (Reliability) เปน็ คุณลักษณะสำ�คัญ ของเคร่ืองมอื วัดผลทจี่ ะท�ำ ให้ได้ผลการวัดอย่างคงทแ่ี นน่ อนหรอื คงเสน้ คงวา ซง่ึ คณุ ลกั ษณะของเคร่อื งมอื วัดนไี้ ด้กลา่ วถึงมาบ้างแลว้ ในตอนทา้ ยของหน่วยเรยี นท่ี 3 สำ�หรับวธิ คี �ำ นวณคา่ ความเท่ยี งตอ้ งเลือกใหเ้ หมาะสมกบั ชนดิ ของเครอ่ื งมอื วดั ผลและ เงื่อนไขของการสอบวดั ด้วย จากแนวคดิ ในการตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือผลในภาพรวมทก่ี ลา่ วมาข้าง ต้นสามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี ภาพท่ี 6.1 สรปุ การหาคุณภาพเครอ่ื งมอื วดั ผลการศกึ ษา
72 บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพ เครอ่ื งมอื วัดผลการศกึ ษาจะตอ้ งผา่ นวธิ ีการตรวจสอบและปรบั ปรงุ ใหม้ ีคณุ ภาพ ดีกอ่ นนำ�ไปใช้ ส�ำ หรับวิธกี ารตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมอื ในเชิงเหตผุ ลนน้ั จะใชว้ ิธี การแบบเดยี วกนั แต่ถ้าเปน็ การวเิ คราะหค์ ุณภาพในเชิงปริมาณแลว้ อาจจะใชส้ ตู รท่ี แตกตา่ งไปตามลักษณะของเคร่ืองมือในหน่วยเรียนนี้จะแสดงใหเ้ หน็ ถงึ วิธีการวเิ คราะห์ คณุ ภาพของเครอ่ื งมอื เชงิ ปรมิ าณซึ่งเปน็ เครอ่ื งมือส�ำ หรับวัดผลการเรียนดา้ นพทุ ธิพสิ ยั หรือแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเทา่ นั้น การวิเคราะห์คุณภาพแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน การตรวจสอบของแบบทดสอบจะใหด้ แี ละถกู ตอ้ ง จะตอ้ งตรวจสอบคุณภาพ ของขอ้ สอบเปน็ รายขอ้ และตรวจสอบคณุ ภาพแบบทดสอบทง้ั ฉบับ วตั ถุประสงคข์ อง การตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบ มีดังน้ี (เพลินพศิ ธรรมรตั น์, 2542, หนา้ 147- 148) 1. เพ่อื ตรวจสอบดวู า่ ข้อสอบข้อใดมีคณุ ภาพดีควรเก็บไวใ้ ช้ตอ่ ไป และข้อสอบ ข้อใดคณุ ภาพไม่ดี มีจดุ บกพร่องอย่างไร จะได้แกไ้ ขหรือปรับปรุงได้ตรงจดุ 2. ช่วยให้ผสู้ รา้ งข้อสอบเขยี นขอ้ สอบได้เหมาะสมย่งิ ขนึ้ เพราะทราบว่าองค์ ประกอบใดทสี่ ่งผลใหข้ อ้ สอบมคี ณุ ภาพสูงหรือต�ำ่ และยงั ทำ�ใหร้ ะมดั ระวงั เร่ืองการใช้ ภาษาและการเขยี น ขอ้ ค�ำ ถามมากข้ึน 3. เป็นขอ้ มลู ในการปรับปรุงการเรยี นการสอน เน่ืองจากขอ้ มลู ดา้ นผลสมั ฤทธิ์ ของ ผ้เู รยี นจะท�ำ ใหท้ ราบว่าการเรยี นการสอนตรงตามจดุ มงุ่ หมายทต่ี อ้ งการหรือไม่ ถา้ ไม่เปน็ ไปตามจดุ มุง่ หมาย ก็จะไดซ้ อ่ มเสริมแกไ้ ขในเน้ือหาทขี่ าดไป 4. เปน็ จดุ เรม่ิ ต้นของแบบทดสอบมาตรฐานและธนาคารข้อสอบ (Item Bank) เม่ือ ผู้สร้างข้อสอบได้ตรวจสอบคณุ ภาพข้อสอบแตล่ ะข้อแลว้ เปน็ อยา่ งดีแล้วปรับปรงุ หรืออาจน�ำ มา สร้างแบบทดสอบให้มคี ุณภาพเท่าเทยี มกัน (Parallel Test) เพื่อเก็บไว้ ใช้ประโยชน์ใน วงการศึกษา ตอ่ ไป
บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพ 73 5. เปน็ ขอ้ มูลวนิ ิจฉยั ผู้เรยี นว่าคนใดเกง่ คนใดออ่ น ผู้สอนจะได้แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งของ ผู้เรียนได้ตรงจุด การวเิ คราะห์ข้อสอบรายข้อ การวเิ คราะห์ข้อสอบรายข้อ (Item Analysis) เป็นการตรวจสอบคณุ ภาพของ ขอ้ สอบในเชงิ ปริมาณ ซง่ึ จะแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความยากและอำ�นาจจ�ำ แนกของขอ้ สอบ แตล่ ะข้อว่าอยู่ในระดบั ทเ่ี หมาะสมหรอื ไม่ โดยมีชว่ งเกณฑท์ ี่ใชพ้ ิจารณาตดั สิน วิธกี าร วิเคราะห์ความยากและอำ�นาจจำ�แนกของขอ้ สอบยงั ปฏิบัติแตกตา่ งกนั โดยจ�ำ แนก เป็น (1) การวเิ คราะห์ข้อสอบรายขอ้ แบบองิ กลุ่มและ (2) การวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ แบบอิงเกณฑ์ ดงั น้ี 1. การวเิ คราะห์ข้อสอบรายข้อแบบองิ กลมุ่ การวิเคราะห์ข้อสอบแบบองิ กลุ่มเกดิ จากแนวคิดการประเมนิ องิ กลมุ่ ท่เี ปรียบเทียบ ความสามารถของผู้เรยี นภายในกลมุ่ จะค�ำ นวณคา่ ทีแ่ สดงถึงลักษณะส�ำ คัญ 2 ประการ คือ ความยาก (Difficulty) และอ�ำ นาจจ�ำ แนก (Discrimination) ซง่ึ วธิ ีการวเิ คราะห์ยงั จำ�แนกออกตามรปู แบบของขอ้ สอบเปน็ ขอ้ สอบแบบปรนยั และ ข้อสอบแบบอตั นัย 1.1 การวเิ คราะห์ขอ้ สอบแบบปรนัย (1) วิธีวเิ คราะหค์ วามยาก ความยาก (Difficulty) เป็นคา่ ทีจ่ ะบอกให้ทราบไดว้ ่าข้อสอบน้นั ยาก หรอื งา่ ยขนาดใด โดยใชข้ อ้ มลู จ�ำ นวนผู้สอบที่ตอบขอ้ น้นั ถกู หรอื จ�ำ นวนผ้สู อบทต่ี อบ ขั้นน้ันผดิ น�ำ มาเทียบกับจ�ำ นวนผ้สู อบรวมท้ังกล่มุ คา่ น้ีเปน็ คา่ สัดสว่ น (Proportion) ดังนนั้ จงึ มกี ารใช้สัญลกั ษณ์แทนดัชนีความยากดว้ ยตวั อักษร P และเขียนเปน็ สูตรการ ค�ำ นวณได้ ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน,์ 2543, หนา้ 129)
74 บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ P = R N p คือ คา่ ความยากง่ายของค�ำ ถามขอ้ น้นั R คือ จำ�นวนผตู้ อบถูกในขอ้ นน้ั N คอื จ�ำ นวนผตู้ อบท้ังหมด ข้อสรุปเกีย่ วกับความยากของข้อสอบ 1. ความยากจะมคี ่าต่ำ�สุดเปน็ 0 และมีค่าสูงสดุ เป็น 1 2. ความยากเป็นค่าทีบ่ อกใหท้ ราบว่ามผี ตู้ อบขอ้ นั้นถูก คดิ เป็นสัดสว่ นเทา่ ไร หรอื คดิ เป็นร้อยละเทา่ ไร และยงั บอกได้ว่ามผี ้ตู อบผิดเป็นสดั ส่วนเทา่ ไร 3. ความยากทเี่ ขา้ ใกล้ 0 (น้อย) แสดงว่าข้อสอบยาก แต่ถา้ คา่ เขา้ ใกล้ 1 (มาก)แสดงว่าข้อสอบงา่ ย 4. ความยากท่ีได้ 0.50 แสดงว่าผูต้ อบข้อนั้นถูกร้อยละ 50 หรอื ผดิ รอ้ ยละ 50 หมายถึงขอ้ สอบนั้นมคี วามยากง่ายปานกลางหรอื ถือว่าเป็นความยากง่ายพอเหมาะ การแปลความหมายความยาก การปฏิบัตกิ ารวิเคราะหข์ ้อสอบมาตรฐานในวงการศกึ ษาของไทย นยิ มใช้ เกณฑก์ ารแปลความหมายค่าดชั นคี วามยากของข้อสอบดังน้ี (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ 2539 : 185)
บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ 75 คา่ p ตำ่�กว่า 0.20 แสดงว่า ขอ้ สอบยากมาก (ยากเกนิ ไป) คา่ p = 0.20 – 0.39 แสดงวา่ ขอ้ สอบคอ่ นขา้ งยาก คา่ p = 0.40 – 0.59 แสดงวา่ ขอ้ สอบยากปานกลาง คา่ p = 0.60 – 0.80 แสดงว่า ขอ้ สอบค่อนขา้ งง่าย ค่า p มากกวา่ 0.80 แสดงว่า ขอ้ สอบงา่ ยมาก (ง่ายเกินไป) โดยสรปุ แล้ว การพิจารณาคดั เลือกข้อสอบท่ีจดั วา่ ใช้ได้จะถอื เอาค่า p ตง้ั แต่ 0.20 – 0.80 และข้อสอบทมี่ ีความยากงา่ ยเหมาะสมทสี่ ุดจะต้องมีคา่ p = 0.50 สำ�หรับขอ้ สอบท่ีคอ่ นข้างยากหรือคอ่ นข้างง่าย หลังจากไดห้ าอำ�นาจจ�ำ แนก แลว้ อาจพจิ ารณาปรับปรุงข้อคำ�ถามให้ชัดเจนข้นึ กอ็ าจจะทำ�ใหค้ ุณภาพของข้อสอบ น้ันดีข้ึนกว่าเดิม การวิเคราะห์คา่ p ของตัวลวง ในกรณีท่ีเปน็ ขอ้ สอบเลอื กตอบ จะมตี วั ลวงเปน็ ส่วนประกอบทีส่ ำ�คญั ในแตล่ ะ ขอ้ และจะมกี ารวิเคราะหแ์ สดงค่าดัชนี p ดว้ ย แตก่ ารแปลความหมายไม่เหมือนกนั คา่ p ของตัวลวงเปน็ ค่าทีแ่ สดงถึงประสิทธิภาพในการลวงของแต่ละตัวลวง โดยมหี ลัก การวา่ ตวั ลวงท่ดี ีต้องมีคนมาตอบบา้ งแต่ไมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งมาก ดงั นัน้ ถ้าตวั ลวงใดไม่มี ผู้เลือกตอบเลย แสดงว่าไม่มปี ระสทิ ธิภาพในการลวงเลย เพราะเห็นผิดชดั มาก จงึ ไมใ่ ชส่ ว่ นประกอบส�ำ คญั ของขอ้ สอบ สมควรเปลย่ี นแปลงตวั ลวงนั้นเสยี ใหม่ วิธคี �ำ นวณค่า p ของตวั ลวงจะเปน็ แบบเดยี วกับการคำ�นวณค่าดชั นีความยาก แตเ่ ปล่ียนจากจ�ำ นวนคนตอบถกู ในขอ้ น้ัน (R) เป็นจำ�นวนคนทเี่ ลือกตัวลวงนัน้ ส�ำ หรบั เกณฑก์ ารตดั สินวา่ ตวั ลวงมีประสทิ ธภิ าพในการลวงได้จรงิ ควรจะถือท่ีคา่ p ตั้งแต่ 0.05 ขน้ึ ไป (วริ าพร พงศ์อาจารย,์ 2525, หน้า 326)
76 บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ (2) วธิ วี เิ คราะห์หาอ�ำ นาจจ�ำ แนก อ�ำ นาจจำ�แนก (Discrimination Index) เป็นคา่ ทีบ่ อกให้ทราบวา่ ข้อสอบนน้ั สามารถชบ้ี ่งหรอื จ�ำ แนกผู้เรยี นเก่งกบั ผ้เู รยี นอ่อนได้มากนอ้ ยเพียงใด วิธีหา อำ�นาจจำ�แนกทีด่ ีจะใชก้ ารคำ�นวณค่าสมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พันธร์ ะหวา่ งคะแนนรวมของ คนท่ีตอบขอ้ นั้นถูกและผดิ กับคะแนนรวมของทุกคน ดังนัน้ จึงมกี ารใช้สญั ลักษณแ์ ทน อ�ำ นาจจำ�แนกตัวอักษร r ซง่ึ เปน็ สัญลักษณข์ องคา่ สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์นนั่ เอง แต่ นกั วัดผลบางท่านกใ็ ช้สัญลักษณ์ D ซง่ึ เปน็ อกั ษรย่อของคำ�วา่ Discrimination น่นั เอง ส�ำ หรบั วธิ ีการคำ�นวณหาอำ�นาจจ�ำ แนกมหี ลายวธิ ี ซ่ึงจะน�ำ เสนอ 3 วิธดี ังนี้ ก. วธิ ีหาอ�ำ นาจจำ�แนกโดยใช้สตู รการหาคา่ สัมประสทิ ธิ์สหสัมพนั ธ์ อยา่ งง่ายของเพยี รส์ นั (Pearson Product – Moment Correlation Coefficient) วธิ ีน้เี ปน็ การหาค่าสัมประสทิ ธ์ิสหสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคะแนนรวมของผู้สอบแต่ละคนกับ คะแนนท่ีตอบขอ้ สอบขอ้ นนั้ ถูก มสี ูตรดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรตั น,์ 2543, หน้า 144) Í ∑ ×Õ − ∑ × ∑ Õ Í ∑ × 2 − (∑ × )2 Í ∑ Õ2 − (∑ Õ)2 { }{ }rxy =
บทท่ี 6 การตรวจสอบคุณภาพ 77 ตัวอย่าง แบบทดสอบเลือกตอบฉบับหนึง่ มี 20 ขอ้ น�ำ ไปสอบนกั เรียน 10 คน จงคำ�นวณหาดัชนคี า่ อำ�นาจจ�ำ แนกของขอ้ สอบขอ้ 1 ซึ่งแสดงได้ดงั น้ี แทนคา่ ในสตู ร
78 บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ = 0.68 น่ันคือ ข้อสอบขอ้ 1 มีอ�ำ นาจจำ�แนกเท่ากบั 0.68 ข. วิธหี าค่าดชั นอี �ำ นาจจำ�แนกโดยใชส้ ูตรการหาคา่ สมั ประสิทธ์ิสห สมั พันธ์แบบพอยทไ์ บซีเรยี ล (Point Biserial Correlation) วิธีนเี้ ป็นการหาค่า สัมประสทิ ธ์สิ หสัมพันธท์ ีค่ ำ�นวณจากคา่ สถติ พิ ้ืนฐานของคะแนน และมขี ้อตกลงเบ้อื ง ต้นว่า ข้อสอบทุกข้อต้องเปน็ แบบปรนยั ทใ่ี หค้ ะแนนแบบท�ำ ถกู ได้ 1 และทำ�ผดิ ได้ 0 เทา่ นั้น (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ 2539 : 187) โดยมสี ตู รการคำ�นวณ ดังน้ี
บทท่ี 6 การตรวจสอบคณุ ภาพ 79 1. การวิเคราะหข์ ้อสอบแบบอิงเกณฑ์ ขอ้ สอบแบบอิงเกณฑ์เป็นเครอื่ งมอื วดั ส�ำ หรับใช้ในระบบของการวัดและประเมินผล แบบอิงเกณฑ์ ซง่ึ มีจดุ มุง่ หมายเพ่อื ตรวจสอบวา่ ผู้เรียนแต่ละคนสามารถเรยี นรผู้ า่ น หรือไม่ผ่านจดุ ประสงคก์ ารเรียนร้ใู ดบา้ ง และโดยส่วนรวมแลว้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นผา่ นเกณฑ์ความรคู้ วามสามารถหรอื ไม่ จะเห็นว่าการประเมินผลในลกั ษณะน้ไี ม่ ต้องการใชว้ ธิ ีเปรียบเทียบกนั ระหวา่ งผเู้ รียน ดงั นั้นแนวคดิ ในการวเิ คราะห์ขอ้ สอบ และการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ จงึ ต่างจากการวิเคราะห์แบบอิงกลมุ่ การวเิ คราะห์ข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ นิยมวิเคราะห์เฉพาะข้อสอบปรนยั ท่ีให้คะแนนทำ� ถูกได้ 1 และทำ�ผิดได้ 0 เทา่ นนั้ และมกี ารวเิ คราะห์หาค่าดัชนมี ีความยากกบั ค่าดัชนี อำ�นาจจ�ำ แนก เชน่ เดียวกบั การวเิ คราะห์ข้อสอบแบบองิ กลมุ่ (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ 2539 : 196) แต่มีวธิ กี ารทแี่ ตกต่างกนั ดงั น้ี 2.1 การวิเคราะหค์ า่ ดัชนีความยากแบบอิงเกณฑ์ (1) วธิ ีที่ 1 การทดสอบก่อนเรียนกับหลงั เรียน การวเิ คราะหเ์ พอ่ื พิจารณาความยากของขอ้ สอบองิ เกณฑ์อาจจะทำ�ได้ 2 ระยะ คอื ระยะกอ่ นเรยี นตอ้ งนำ�แบบทดสอบไปทดสอบนักเรยี น แล้วนำ�ข้อมูลจำ�นวนผู้ ตอบข้อสอบถกู แต่ละข้อ ซึ่งอาจจะมนี ้อยมาก มาค�ำ นวณคา่ ดัชนคี วามยาก แล้ว แปลความหมายโดยมีเกณฑเ์ ฉพาะ อีกระยะหน่ึงเปน็ ตอนหลงั เรียนจบแล้ว นำ�แบบ ทดสอบฉบับเดมิ นั้นไปทดสอบกับนกั เรียน แลว้ นำ�ข้อมลู จำ�นวนผู้ตอบข้อสอบถูกแตล่ ะ ข้อ มาค�ำ นวณค่าดัชนคี วามยาก แลว้ แปลความหมายโดยมเี กณฑ์ต่างจากระยะแรก วิธีการวิเคราะหค์ ่าดัชนคี วามยากของขอ้ สอบแบบองิ เกณฑ์ ยงั คงใชส้ ูตรรูปเดียวกับ การวเิ คราะห์แบบอิงกลุ่มดงั น้ี
80 บทที่ 6 การตรวจสอบคุณภาพ สำ�หรับคะแนนจดุ ตัดถาวรหรอื ค่าก่งึ กลางระหว่างคะแนนเต็ม (K) กับคะแนน ค่าเฉลี่ยซึ่งค�ำ นวณได้จากสตู รตอ่ ไปนี้ คะแนนจดุ ตดั ถาวรเท่ากบั 8 คะแนน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148