Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัย

รายงานการวิจัย

Published by weerawan.kam, 2022-08-07 03:15:44

Description: รายงานการวิจัย

Keywords: Gam

Search

Read the Text Version

43 ตั้งเกณฑ์ไว้ 60/60 แบบกลุ่มต้ังไว้ 70/70 ส่วนแบบสนามตั้งไว้ 80/80 ถือว่าเป็นการต้ังเกณฑ์ที่ไม่ ถกู ต้อง เนื่องจากเกณฑ์ที่ต้ังไว้เป็นเกณฑ์ต่าสุด ดังน้ันหากการทดสอบคุณภาพของส่ิงใด หรือ พฤติกรรมใดได้ผลสูงกวา่ เกณฑ์ท่ตี งั้ ไวอ้ ยา่ งมีนัยสาคญั ท่รี ะดบั .05 หรืออนุโลมใหม้ ี ความคลาดเคลื่อน ตา่ หรือสงู กว่าค่าประสทิ ธภิ าพทตี่ ั้งไวเ้ กิน 2.5 ก็ให้ปรับเกณฑ์ข้ึนไปอีกหน่งึ ขนั้ แต่หากได้คา่ ตา่ กว่าค่า ประสทิ ธิภาพที่ตั้งไวต้ ้องปรับปรุงและนาไปทดสอบประสิทธิภาพใช้หลายคร้ังในภาคสนามจนไดค้ ่าถึง เกณฑท์ ก่ี าหนด เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธภิ าพของสื่อหรือชุดการสอนท่ีช่วยให้ผเู้ รยี นเกิด การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม เปน็ ระดับท่ีผลติ ส่ือหรอื ชดุ การสอนจะพึงพอใจวา่ หากส่อื หรือชดุ การสอน มีประสิทธิภาพถึงระดับน้ันแล้ว ส่ือหรือชุดการสอนนั้นก็มีคุณค่าที่จะนาไปสอนนักเรียน และคุ้มแก่ การลงทนุ ผลิตออกมาเป็นจานวนมาก การกาหนดเกณฑ์ประสทิ ธภิ าพกระทาได้โดยการประเมินผลพฤตกิ รรมของผเู้ รียน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) กาหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 = Efficiency of process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) กาหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E2 = Efficiency of product (ประสิทธิภาพของผลลพั ธ)์ 1) ประเมินพฤติกรรมต่อเน่ือง (Transitional behavior) คือ ประเมินผลต่อเนื่องซ่ึง ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยของผู้เรียน เรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ที่เกิดจากการประกอบ กิจกรรมกลุ่ม ได้แก่ การทาโครงการหรือทารายงานเป็นกลุ่ม และรายงานบุคคล ได้แก่ งานที่ มอบหมายและกิจกรรมอน่ื ใดท่ผี สู้ อนกาหนดไว้ 2) ประเมินพฤติกรรมสุดท้าย (Terminal behavior) คือ ประเมินผลลัพธ์ (Product) ของ ผเู้ รียน โดยพิจารณาจากการสอบหลงั เรยี นและการสอบไล่ ประสทิ ธภิ าพของสื่อหรอื ชุดการสอนจะกาหนดเปน็ เกณฑท์ ผ่ี ู้สอนคาดหมายวา่ ผเู้ รยี น จะ เปลี่ยนพฤติกรรมเปน็ ท่ีพึงพอใจ โดยกาหนดใหผ้ ลเฉลีย่ ของผลคะแนนการทางานและ การ ประกอบกิจกรรมของผู้เรียนท้ังหมดต่อร้อยละของผลการประเมินหลังเรียนท้ังหมด น่ันคือ E1/E2= ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ/ประสทิ ธภิ าพของผลลัพธ์ ตัวอย่าง 80/80 หมายความว่า เมื่อเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนแล้ว ผู้เรียนจะสามารถทา แบบฝึกปฏบิ ัตหิ รืองานไดผ้ ลเฉล่ยี 80% ประเมนิ หลังเรียนและงานสดุ ท้ายได้ผลเฉลย่ี 80%

44 การทจ่ี ะกาหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเทา่ ใดนั้น ให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจ โดย พิจารณาพิสัยการเรียนท่ีจาแนกเป็นวิทยพิสัย (Cognitive domain) จิตพิสัย (Afective domain) และทักษะพิสัย (Skill domain) ในขอบข่ายวิทยพิสัย (เดิมเรียกว่าพุทธิพิสัย**) เน้ือหาทเี่ ป็นความรู้ ความมักจะตั้งไว้สูงสุดแล้วลดต่าลงมาคือ 90/90, 85/85, 80/80 ส่วนเน้ือหาสาระท่ีเป็นจิตพิสัย จะต้องใช้เวลาไปฝึกฝนและพัฒนา ไม่สามารถทาให้ถึงเกณฑ์ระดับสูงได้ในห้องเรียน หรือในขณะท่ี เรยี น จงึ อนโุ ลมใหต้ ั้งไว้ตา่ ลง น่นั คือ 80/80, 75/75 แต่ไม่ต่ากวา่ 75/75 เพราะเป็นระดบั ความพอใจ ต่าสุด จึงไม่ควรตั้งเกณฑ์ไว้ต่ากว่านี้ หากตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใดก็มักได้ผลเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากระบบ การสอนของไทยในปัจจุบัน ได้กาหนดเกณฑ์โดยไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ 0/50 นั่น คือ ให้ ประสิทธิภาพกระบวนการมีค่า 0 เพราะครูมักไม่มีเกณฑ์เวลาในการใช้งานหรือแบบฝึกปฏิบัติแก่ นกั เรียน ส่วนคะแนนผลลัพธท์ ี่ให้ผ่านคือ 50% ผลจึงปากฎว่า คะแนนวิชาต่าง ๆ ของนักเรียนต่าใน ทกุ วชิ า เช่น คะแนนภาษาไทยนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยเฉลีย่ แต่ละปีเพียง 51% เท่าน้ัน 5. ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล (E.I.) 5.1 ความหมายของดชั นปี ระสิทธิผล กนิษฐา สมานชาติ. (2553: 74; อ้างจาก เผชิญ กิจระการ.2545: 1-2) กล่าวถึง ดัชนี ประสิทธิผลว่าหมายถึงค่าตวั เลขที่แสดงอัตราการเรียนรู้ทีก่ า้ วหน้าขึน้ จากพน้ื ฐานความร้เู ดมิ หลังจาก ท่ีผู้เรียนได้ประสบการณ์จากการเรียนรู้จากสื่อ ดัชนีประสิทธิผลจะเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของส่ือ การเรียนการสอนและสามารถนามาประยุกต์ใช้เพื่อประเมินสื่อการเรียนการสอน โดยเริ่มจากการ ทดสอบก่อนเรียนเพ่ือดูว่าผู้เรียนมีความรู้พ้ืนฐานอยู่ในระดับใด แล้วนาคะแนนจากการทดสอบมา แปลงให้เป็นร้อยละ และค่าคะแนนสูงสุดท่ีจะนาไปใช้ได้ นานักเรียนมาทดลองเสร็จแล้วทาการ ทดสอบหลงั เรียนแลว้ นาคะแนนทไ่ี ดม้ าหาคา่ ดัชนีประสิทธิผลโดยนาคะแนนกอ่ นเรียนไปลบออกจาก คะแนนหลังเรียนได้เท่าใดนามาหารดว้ ยค่าท่ีไดจ้ ากการทดสอบก่อนเรียนสูงสุดทีน่ ักเรียนสามารถทา ได้ลบดว้ ยคะแนนทดสอบก่อนเรยี นโดยให้เปน็ คา่ ร้อยละ 5.2 ค่าดชั นีประสิทธผิ ล กนิษฐา สมานชาติ. (2553: 78; อ้างจาก เผชิญ กิจระการ. 2545: 3-4). กล่าวว่าค่าดัชนี ประสิทธิผลจะมีค่าระหว่าง-1.00-1.00 ถ้าค่าทดสอบก่อนเรียนเป็น 0 และการทดสอบหลังเรียน

45 ปรากฏวา่ นักเรียนไมม่ กี ารเปลี่ยนแปลงคือได้คะแนน 0 เท่าเดมิ ดชั นปี ระสทิ ธิผลจะมีค่าเป็น -1.00 แต่ ถ้าคะแนนทดสอบก่อนเรียนเป็น 0 และการทดสอบหลังเรียนปรากฏว่านักเรียนมีการเปลี่ยนแปลง สงู สุดคือเต็ม 100 ค่า E. จะมีค่าเทา่ กับ 1.00 แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคะแนนทดสอบหลังเรียนน้อย กวา่ การทดสอบก่อนเรียนค่าท่ีได้จะมีคา่ เปน็ ลบ เชน่ P 73%, P, = 45% ค่า E.I. จะมคี ่า -0.28 สภาพการเรียนเพือ่ รอบรซู้ ึ่งนักเรียนแต่ละคน จะต้องเรียนรู้ได้ถึงเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ ดชั นปี ระสิทธผิ ลสามารถนามาดัดแปลงเพ่ืออ้างอิงเกณฑ์สงู สดุ ที่ สามารถเปน็ ไปได้ซึ่งในกรณีน้ีค่าดชั นีประสิทธิผลอาจมีค่าเป็น 1.00 ดัชนีประสทิ ธผิ ลสามารถใช้ไดก้ ับ ขอ้ มูลมาตราส่วน เช่น การประเมินระหว่างการทดลองใช้ส่ือ 2 ชนิดผลการประเมินก่อนใชค้ ือ 2.99 และการประเมินหลังใช้คือ 3.51 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจานวน 86 คนในกลุ่มทดลองท่ี 1 และกลุ่ม ทดลองที่ 2 การประเมินก่อนใชส้ ื่อคือ 1.64 และการประเมนิ หลังใช้ส่อื คือ 2.21 ซึ่งแตกตา่ งกนั อยา่ งมี นัยสาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั . 001 ข้ึนไป ความแตกต่างของคา่ คะแนนระหว่างการประเมินก่อนการใช้ส่ือ (การทดสอบก่อนเรียน) และการประเมินหลังการใช้ส่ือ (คะแนนทดสอบหลังเรียน) คือ 0.52 ระหวา่ ง 2 กลมุ่ มีเพียงเล็กน้อย การเปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนเรยี น และหลงั เรยี นสามารถใช้ E.I. ในการ คานวณได้ โดยเปล่ียนแปลงคะแนนเป็นค่ารอ้ ยละท้ังหมด กล่าวได้ว่า ดัชนีประสิทธิผลเป็นค่าตัวเลขในทางสถิติท่ีมีประโยชน์มากท่ีจะช่วยบอก ความก้าวหน้าของนักเรียนหรอื ผ้เู รยี นหลังจากท่ีเรียนรู้โดยใช้ส่ือหรือวธิ ีการต่าง ๆ ซึ่งจะทาให้ครูหรือ ผเู้ ก่ียวข้องกบั การจัดการเรียนรู้ได้ประเมินสื่อหรือวธิ ีการที่ใชจ้ ัดการเรียนรู้วา่ มปี ระสิทธภิ าพเพียงใดที่ จะใช้ในการพัฒนาความก้าวหน้าด้านการเรียนและเม่ือประเมินแล้วต้องพิจารณาว่าสามารถใช้ พัฒนาการเรียนรู้ถึงระดับท่ียอมรับได้ขึ้นไปหรอื ไม่ เพ่อื หาแนวทางปรับปรุงหรือพฒั นาส่อื หรือวิธีการ ท่ีใชเ้ หล่านน้ั ใหด้ ียง่ิ ขึน้ ต่อไป สตู รในการหาค่าดัชนีประสิทธิผล กนิษฐา สมานชาติ. (2553: 77; อ้างจาก เผชิญ กิจระการ. 2545: 6) (The Effectiveness Index: E.I.) (Goodman, Flether and Schneider, 1980 p. 30) E.I. = ������������− ������������ ������������������ −������������ เมื่อ E.I. แทน คา่ ดชั นีประสทิ ธิผล P1 แทน ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน P2 แทน ผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรียน

46 หรืออาจเขยี นเปน็ E.I. = ������������− ������������ ������������������������������ −������������ เมื่อ E.I. แทน ค่าดชั นปี ระสิทธิผล ������������ ������������ แทน ผลรวมคะแนนก่อนเรยี นทกุ คน Total แทน ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน แทน ผลคูณของจานวนนักเรียนกบั คะแนนเตม็ ค่าดชั นปี ระสิทธิผล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรยี น – ผลรวมของคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น (จานวนนกั เรียน) x (จานวนคะแนนเตม็ ) – ผลรวมของคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น ค่าดัชนีประสิทธิผล มีค่าเป็นไปได้สูงสูดคือ 1 หากติดลบ แสดงว่า ผลสอบก่อนเรียนสูงกว่า หลังเรียน หรือนวัตกรรมไม่มีประสิทธิภาพหรือประสิทธิผล ในการแปรผลค่าดัชนีประสิทธิผลจะนา ค่าท่ีคานวณได้นาไปเทียบกบั ค่า E.I. สูงสุดคือ 1.00 เช่น E.I.= 0.7645 หมายถึง ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.7645 แสดงว่านักเรียนมีคะแนนจากการเรียนด้วยด้วยนวัตกรรมเพิ่มขึ้น 0.7645 หรือคิด เปน็ ร้อยละ 76.45 เป็นต้น 6. ความพงึ พอใจ 6.1 ความหมายของความพึงพอใจ ชมพูนุช สาแดงเดช (2554 อ้างจาก ชัยวัฒน์ กงศรีแก้ว 2543: 14) ได้สรุปความหมายของ ความพงึ พอใจ ไว้วา่ ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูส้ ึกนึกคิดหรือทัศนคติของผูป้ ฏบิ ัตงิ านที่มตี ่อการ ปฏิบัติงานน้ัน ๆ หากเป็นไปในทางบวกจะมีผลทาให้เกิดมีความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานจะมีการ เสียสละ อุทิศแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ และสติปัญญาให้แก่งานมากข้ึน แต่ในทางตรงกันข้ามหาก ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านมีความรู้สึกนึกคิด หรือทัศนคตติ ่อการปฏิบัติงานเป็นไปในทางลบ จะมีผลทาใหเ้ กดิ ความ ไม่พึงพอใจในการปฏบิ ตั ิงาน ขาดความกระตอื รอื ร้น ปฏิบตั ิงานไม่มปี ระสิทธภิ าพ นารีนาฏ พุ่มพวง (2556: 25 อ้างจาก สง่า ภู่ณรงค์. 2540: 25) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึกที่เกิดข้ึน เม่ือได้รับความสาเร็จตามความมุ่งหมาย หรือเป็นความรู้สึกขน้ั สุดท้ายที่ ได้รบั ผลสาเร็จตามวตั ถุประสงค์

47 นารีนาฏ พุม่ พวง (2556: 25 อา้ งจาก ปรญิ ญา จเรรัชต์ และคณะ. 2546: 28) ไดก้ ล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึงท่าทีความรู้สึกหรือทัศนคติในทางที่ดีของบุคคลที่มีต่อสิ่งท่ีปฏิบัติร่วมปฏิบัติ หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติโดยผลตอบแทนที่ได้รับรวมท้ังสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องเป็น ปัจจัยทาใหเ้ กิดความพึงพอใจหรือไม่พงึ พอใจ จากความหมายของความพึงพอใจดังกล่าว พอสรุปความได้ว่า ความพึงพอใจเป็นทัศนคติ อย่างหน่ึง ที่เป็นนามธรรมเป็นความรู้สึกส่วนตัวท้ังทางด้านบวกและลบขึ้นอยู่กับการได้รับการ ตอบสนองเปน็ ส่ิงทีก่ าหนดพฤติกรรม ในการแสดงออกของบุคคลท่ีมีผลต่อการเลือกที่จะปฏิบัตสิ ิ่งใด สงิ่ หน่ึง 6.2 แนวความคดิ และทฤษฎที ีเ่ กยี่ วกับความพึงพอใจ มนี กั วิชาการหลายทา่ นไดใ้ หแ้ นวคิดและทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ งกับความพงึ พอใจไว้ดังนี้ตอ่ ไป นารีนาฏ พุ่มพวง (2556: 25 อ้างจาก วิชัย เหลืองธรรมชาติ 2531: 30) ได้ให้แนวความคิด เกี่ยวกับความพึงพอใจว่า ความพึงพอใจมีส่วนเก่ียวข้องกับความต้องการของมนุษย์ คือพึงพอใจจะ เกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนองซ่ึงมนุษย์ไม่ว่าอยู่ในท่ีใดย่อมมีความ ต้องการข้ันพน้ื ฐานไม่ต่างกนั นารีนาฏ พุ่มพวง (2556: 25 อ้างจาก สุเทพ พานิชพันธ์ุ 2541: 30) ได้สรุปถึงสิ่งจูงใจท่ีใช้ เปน็ เครอ่ื งมอื กระตุน้ ใหบ้ คุ คลเกิดความความพึงพอใจไว้ดงั นี้ 1. ส่ิงจงู ใจที่เปน็ วัตถุได้แก่เงินสิง่ ของเปน็ ต้น 2. สภาพทางกายท่ีปรารถนาคอื ส่ิงแวดล้อมในการประกอบกจิ กรรมต่างๆซึง่ เป็นส่ิงสาคัญ อย่างหนึ่งอันก่อให้เกดิ ความสขุ ทางกาย 3. ผลประโยชน์ทางอดุ มคติหมายถงึ สง่ิ ต่างๆทส่ี นองความตอ้ งการของบคุ คล 4. ผลประโยชน์ทางสังคม คือความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับผู้ร่วมกิจกรรมอันจะทาให้เกิด ความผูกพันความพึงพอใจและสภาพการอยู่รว่ มกันอนั เป็นความพึงพอใจของบุคคลในด้านสังคมหรือ ความมนั่ คงในสังคมซง่ึ จะทาใหร้ สู้ กึ มีหลกั ประกันและมคี วามม่ันคงในการประกอบกิจกรรม จากแนวคิดและทฤษฎีสรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นทัศนคติอย่างหน่ึง ที่เป็นนามธรรมเป็น ความรู้สึกส่วนตัวทั้งทางด้านบวกและลบขน้ึ อยู่กบั การได้รบั การตอบสนองเปน็ สง่ิ ท่ีกาหนดพฤติกรรม ในการแสดงออกของบคุ คลทีม่ ผี ลต่อการเลอื กทจี่ ะปฏบิ ตั สิ ิ่งใดสงิ่ หน่ึง

48 6.3 การวัดความพึงพอใจ กนิษฐา สมานชาติ. (2553: 87; อ้างจาก ปริญญา จเรรัชต์ และคณะ.) กล่าวว่ามาตรวัดความ พึงพอใจสามารถกระทาไดห้ ลายวธิ ีไดแ้ ก่ 1. การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพ่อื ต้องการทราบความคิดเห็นซ่ึง สามารถทาได้ในลักษณะท่ีกาหนดคาตอบให้เลือก หรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าวอาจถาม ความพงึ พอใจในด้านตา่ ง ๆ เช่นการบรกิ ารการบรหิ ารและเง่อื นไขตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ 2. การสมั ภาษณ์เป็นวิธวี ดั ความพึงพอใจทางตรงทางหนงึ่ ซึ่งตอ้ งอาศัยเทคนิคและวิธีการที่ดีท่ี จะทาใหไ้ ดข้ อ้ มูลที่เปน็ จรงิ ได้ 3. การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูดกิริยาท่าทางวิธีน้ีจะต้องอาศัยการกระทาอย่างจริงจังและการสังเกตอย่างมี ระเบียบแบบแผน จากการวัดความพึงพอใจ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจในการเรียนและผลการเรียน จะมี ความสัมพันธ์กันในทางบวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ กิจกรรมที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติน้ัน ทาให้ผู้เรียนได้รับการ ตอบสนองความตอ้ งการทางด้านร่างกายและจิตใจ ซ่ึงเป็นสว่ นสาคญั ที่จะทาให้เกิดความสมบูรณ์ของ ชวี ติ มากนอ้ ยเพียงใดอกี ดว้ ย 7. งานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง 7.1 งานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ งภายในประเทศ สมุ ลมาลย์ เอติรัตนะ (2553) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคาควบ กล้า สาหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 การวจิ ัยครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการ อ่านออกเสียงคาควบกล้า ร ล ว สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 และเพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านออกเสียงควบกล้า ร ล ว ของนักเรียน ก่อนและหลงั การใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะสาหรับช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2552 โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 2 สังกัดสานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จานวนนักเรียน 42 คน ได้มาโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 10 แผน แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคาควบกล้า ร ล ว สาหรับ

49 นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 จานวน 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการอ่าน ออกเสยี งคาควบ กลา้ ร ส ว ซ่ึงมคี วามยากง่ายตั้งแต่ 25 - 65 มีค่าอานาจจาแนก ตงั้ แต่ 24 - 59 และมีค่าความเช่อื ม่ัน ทั้งฉบับเท่ากับ 39 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบคา่ t ผลการวิจัยพบวา่ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคาควบกล้า ร ล ว กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่ผู้วิจัยสรา้ งข้ึนมปี ระสิทธิภาพเท่ากบั 34.7/54.14 แสดงว่าแบบฝึกทักษะ ที่สร้าง ข้ึนมีประสิทธภิ าพสูงกวา่ เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ต้งั ไว้ 2. ผลสมั ฤทธ์ิในการอ่านออกเสียงคาควบกลา้ หลังเรียน โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการอ่าน ออก เสียงคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่ี ระดบั .01 นุชนาฏ ขันโมลี ภูษิต บุญทองเถิง และ สพุ จน์ อิงอาจ (2554) ศึกษาเร่ือง การพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงคาควบกล้า โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบภาพสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที ่ี 2 การวจิ ัยครั้งนีม้ ีวตั ถุประสงค์ประการแรก เพ่ือพัฒนาการอา่ นออกเสียงคาควบกล้า โดยใช้แบบ ฝึกทักษะประกอบภาพ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ประการที่สอง ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะประกอบภาพ ประการที่สาม เปรียบเทียบคะแนนทักษะการอ่านออกเสียงคาควบกลา้ ของนกั เรียนระหวา่ งกอ่ นเรียน และหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะประกอบภาพ และประการท่ีสี่ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมี ต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะประกอบภาพ กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ทีก่ าลังเรยี นอยู่ในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ในโรงเรียนอนบุ าลดงเมืองนอ้ ย อาเภอยางสสี รุ าช จงั หวัดมหาสารคาม จานวน 14 คน เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย ประกอบดว้ ย 1. แบบ ฝึกทักษะประกอบภาพเรื่องการอ่านออกเสียงคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 6 ชุด 2. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ประกอบการจัดการเรียนรู้ เร่ือง การอ่านออกเสียงคาควบกล้า จานวน 6 แผน 3. แบบทดสอบวัด ทักษะการอ่านออกเสียงคาควบกล้าระหว่างเรียน ซ่ึงประกอบด้วย 3.1 แบบทดสอบการฟังการออก เสียงคาควบกล้า ชุดละ 10 ข้อ จานวน 6 ชุด 3.2 แบบทดสอบการอ่านออกเสียงคาควบกล้า ชุดละ 10 ข้อ จานวน 6 ชุด 4. แบบทดสอบวัดทักษะการอา่ นออกเสียงคาควบกล้าก่อนเรียน และหลังเรียน

50 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จานวน 2 ชุด และ 5. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะประกอบภาพเร่ืองการอ่านออกเสียงคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ท่ี 2 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) แบ่งเป็น 3 ระดับ จานวน 10 ข้อ จานวน 1 ฉบบั สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล ไดแ้ ก่ คา่ เฉล่ยี ร้อยละ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ดัชนี ประสิทธิผล และทดสอบสมมติฐานใช้ t-test (Dependent sample) ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกทักษะประกอบภาพ เร่ืองการอ่านออกเสียงคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที ี่ 2 ท่ผี ู้วจิ ัยสรา้ งขนึ้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.68 / 89.05 ซ่งึ สูงกวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด 2. นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 2 ท่เี รยี นดว้ ยแบบฝกึ ทกั ษะประกอบภาพเรอ่ื งการอ่านออก เสียงคาควบกลา้ สาหรับนักเรียน ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 2 ท่ีผูว้ จิ ยั สร้างขึ้น มีทกั ษะการอ่านออกเสียงคา ควบกลา้ หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .01 3. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะประกอบภาพเรื่องการอ่านออกเสียงคาควบกล้า สาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 2 ท่ีผวู้ จิ ยั สร้างขน้ึ ได้คา่ เท่ากับ 0.7430 แสดงว่า นกั เรียนมที กั ษะ การอ่านออกเสียงคาควบกล้า เพมิ่ มากขึ้นรอ้ ยละ 74.30 4. นกั เรียนมีความพงึ พอใจตอ่ การเรียนด้วยแบบฝึกทักษะประกอบภาพเร่ืองการอ่านออก เสียงคาควบกลา้ สาหรบั นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ทผี่ ูว้ จิ ัยสร้างขึน้ อยูใ่ นระดับมาก นวพร พันธ์ุขาวสะอาด (2555) ได้ศึกษาเรื่องการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาการ ออกเสยี งคาควบกลา้ ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนบญุ วาทยว์ ทิ ยาลยั จังหวัดลาปาง การ วิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาการออกเสียง คาควบกล้าของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลาปาง เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ การออกเสียงคาควบกล้าก่อนและหลังการฝึกด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน และสังเกตการใช้ บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนของนักเรยี นให้อา่ นออกเสียงคาควบกล้า ได้อยา่ งถูกตอ้ ง กลมุ่ ตวั อยา่ งในการศึกษา คือ นักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบุญวาทย์ วิทยาลัย จังหวัดลาปาง จานวน 40 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจงจากนักเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิ ในการอ่าน ออกเสียงคาควบกลา้ ต่ากวา่ รอ้ ยละ 75 ผลการวิจัยพบว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาการออกเสียงคาควบกล้าของนักเรียน ช้ันมธั ยมศึกษา ปที ่ี 3 ทส่ี ร้างขึ้น มปี ระสทิ ธภิ าพ 80.25/86.56 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ ผลสัมฤทธิ์ การออกเสียงคาควบกลา้ ของนักเรียนหลังการฝึกด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์เพ่ือแก้ปัญหา

51 การออกเสียงคาควบกลา้ สูงกว่าก่อนการฝกึ ด้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน มีนัยสาคญั ทางสถิติ ท่ี ระดบั .01 ประพันธ์ สังการ (2559) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบ กล้าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาแบบฝึกทักษะการ อา่ นออกเสยี ง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษตั ริย์ กลุ่ม ตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏ กษัตรยิ ์จานวน 15 คน ซึ่งได้มาโดยการสุม่ แบบการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) รปู แบบ การวิจัยที่ใช้คือการวิจัยเชิงทดลองแบบ One group pretest - posttest design ใช้ระยะเวลาใน การทดลองจานวน 10 ช่ัวโมง เครื่องมือในการวิจัยคร้ังนี้ประกอบด้วย แผนการสอนโดยใช้แบบฝึก ทักษะ แบบทดวัดทักษะการออกเสยี งคาควบกล้า และแบบฝึกทักษะการออกเสียงคาควบกลา้ สถิติที่ ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ t – test แบบ Dependent Group ผลการวจิ ัยพบวา่ ความสามารถ ในการออกเสียงคาควบกล้าของนักเรียนหลังการใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .01 มนสินี ภานุทตั (2560) ศกึ ษาเรื่อง การพฒั นาการอา่ นและการเขียนคาควบกล้าโดยใชช้ ุดฝึก ทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาชุดฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคาควบกล้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ โดยใช้ชุดฝกึ ทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคาควบกลา้ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ทีพ่ ัฒนาขึ้น 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นที่เรยี นโดยใช้ ชดุ ฝึกทักษะ เร่ือง การอ่านและการเขียนคาควบกลา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศกึ ษา ปที ี่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรยี น และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่มี ตี อ่ การจัดกจิ กรรมการ เรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคาควบกลา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้าน ระเภาว์ อาเภอเมืองสรุ ินทร์สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศกึ ษาสุรินทร์ เขต 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2560 จานวน 12 คนไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

52 ผลการศกึ ษาพบว่า 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคาควบกล้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.27/85.21 แสดงว่าการ จดั กจิ กรรมการเรียนร้โู ดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ มปี ระสทิ ธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ 80/80 ทตี่ ัง้ ไว้ 2. ดัชนปี ระสทิ ธิผลของกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝกึ ทักษะ เรอ่ื ง การอา่ นและการเขียนคา ควบกลา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 เท่ากับ 0.7509 หมายความว่าการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ือง การอ่านและการเขียนคาควบกล้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ทาให้นักเรียนมีความรเู้ พิ่มขึ้น 0.7509 หรือคิดเป็นรอ้ ยละ 75.09 3. นกั เรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ือง การอ่านและการ เขียนคาควบกล้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเฉลี่ยของคะแนน ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .01 4. นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึก ทักษะ เร่ือง การอ่านและเขียนคาควบกล้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยรวมอยู่ในระดับมาก ท่ีสดุ โดยสรุป การพัฒนาการอ่านและการเขียนคาควบกล้าโดยใช้ชุดฝึกทักษะ กลุ่มสาระการ เรียนร้ภู าษาไทย ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 มปี ระสทิ ธภิ าพ และเกดิ ประสทิ ธิผลผูเ้ รยี นมีความพงึ พอใจต่อ การเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด ดังน้ันจึงควรนาชุดฝึกทักษะมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือ พัฒนาการอา่ นและการเขยี นคาควบกล้าของนักเรยี นใหส้ ูงขนึ้ ศริ วิ รรณ แกว้ จรัญ (2561) ได้ศกึ ษาเรอื่ งการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยเรื่อง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 การวิจัยคร้ังน้ีมี วัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองคา ควบกลา้ สาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ใหม้ ีประสิทธภิ าพตาม เกณฑ์ E_1/E_1 เทา่ กบั 85/85 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจาก การเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องคาควบกล้าสาหรับ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 4 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย เรอื่ งคาควบกล้าสาหรับนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4

53 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านโพน ม่วง ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 20 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง สถิติทใี่ ช้ในการ วิเคราะหข์ ้อมลู ไดแ้ ก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย่ และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน 7-test ผลการวิจัยปรากฏว่า 1. ประสทิ ธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง คา ควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิภาพ E_1/E_1 เท่ากับ 86.70 87.50 เป็นไปตามเกณฑ์ E_1/E_1 เท่ากบั 85/85 ทตี่ ง้ั ไว้ 2. คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ การเรยี นการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย เรอื่ งคาควบกลา้ สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวมอยู่ ในระดบั มากที่สดุ มีคา่ เฉล่ียเท่ากบั 4.57 บรรจง ธนูสา (2563) ได้ศึกษาเรื่องการศึกษาผลการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มลั ติมเี ดีย เร่อื ง คาควบกล้า ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นเทศบาลศรีเมืองพลประชานุ เคราะห์ งานวิจัยครั้งน้ีมีจุดประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาการจัดการ เรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย เรื่อง คาควบกลา้ ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี น เทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ 2) เพ่ือพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย เรอ่ื ง คาควบกลา้ สาหรับนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมอื งพล ประชานุเคราะห์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพ่ือศึกษาผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ และ 4) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ บทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย เร่อื ง คาควบกลา้ สาหรับนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ กลุ่มตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ เทศบาลเมืองเมืองพล อาเภอพล จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบ กลุ่ม (Cluster Random Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง คาควบกล้า ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 2)

54 บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลตมิ ีเดีย กลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย เร่ือง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 3 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง คาควบกล้า ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 สถิติท่ีใช้ในการ วเิ คราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเร่ือง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุ เคราะห์ เทศบาลเมอื งเมืองพล จังหวัดขอนแก่น พบว่า นกั เรยี น ผู้ปกครองและครูผู้สอนมคี วามเห็นว่า ปญั หาสาคัญในการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คาควบกล้า คือทักษะการอ่านและการ เขียน นักเรียนส่วนใหญ่มีความต้องการสื่อการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมด้านทักษะการอ่านและเขียน ใน รปู แบบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี และลกั ษณะกิจกรรมการเรียนรู้ท่นี กั เรียนส่วนใหญต่ อ้ งการมาก ทสี่ ุด คอื กิจกรรมท่ีส่งเสรมิ การเรียนรรู้ ายบุคคล มภี าพ เสียง มีกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย และไมจ่ ากดั เวลา 2. บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คาควบกล้า สาหรับ นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.47/87.50 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ทกี่ าหนดไว้ 3. การศึกษาผลการใช้บทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ ีเดีย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เรอ่ื งคา ควบกลา้ สาหรับนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลศรีเมอื งพลประชานุเคราะห์ เทศบาล เมอื งเมืองพล จังหวดั ขอนแกน่ พบว่า 3.1 นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01 3.2 ดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เท่ากับ 0.8381 แสดงว่า นักเรียนมี ความกา้ วหนา้ ทางการเรยี นเพ่ิมขนึ้ 0.8381 หรือคดิ เปน็ ร้อยละ 83.81

55 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เรอื่ งคาควบกล้า สาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นเทศบาลศรีเมืองพลประชา นเุ คราะห์ โดยรวมอยู่ในระดบั มาก 7.2 งานวิจยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ งต่างประเทศ กนษิ ฐา สมานชาติ (2553: 88) อ้างอิงจาก; แมคพคี (McPeake, 1979, 1799A) ได้ศกึ ษาผลการ เรียนจากแบบฝึกอย่างเป็นระบบตั้งแต่เร่ิมศึกษาจนถึงความสามารถในการอ่านและเพศท่ีมี ความสามารถในการสะกดคาของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนประถมศึกษาทเ่ี มืองซิท ทุเอท (Seituate) และแมสซาชูเสทส์ (Massachusetts) จานวน 129 คน พบว่าทุกกลุ่มมผี ลสัมฤทธ์ิ ในการสะกดคาสูงขึ้นยกเวน้ นักเรยี นชายในกลุ่มทม่ี ีความบกพรอ่ งด้านการอ่านและพบว่าแบบฝึกชว่ ย ปรับปรงุ ความสามารถในการสะกดคาของนักเรยี นทกุ คน แตร่ ะยะเวลา 12 สัปดาห์ไม่เพยี งพอทจี่ ะทา ให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ในการสะกดคาไปส่คู าใหม่ที่ยังไม่ได้ศึกษาและคะแนนของนักเรียนหญิง สูงกว่าคะแนนของนักเรียนชายอย่างมีนัยสาคัญทางสถิตินอกจากนี้การอ่านยังมีความสัมพันธ์กับ ความสามารถในการสะกดคา Cloze แบบทดสอบวัดกลวิธีการอ่านเพื่อความเข้าใจ และได้รับการ สมั ภาษณ์ผลปรากฏว่านักเรียนกลุ่มทดลองได้คะแนนจากการทดสอบ ดว้ ยแบบทดสอบต่าง ๆ สูงกว่า นกั เรียนกล่มุ ควบคุม แสดงว่า ความสามารถในการอ่านเพ่อื ความเข้าใจ เป็นส่ิงทสี่ ามารถพฒั นาได้โดย เคร่ืองมอื ในการสอนที่ผวู้ ิจยั ได้สรา้ ง อาไพพรรณ สวนสอน (2559: 51) อ้างอิงจาก; ลอเลย์ (Lawrey. 2001: 817) ได้ศึกษาผล การใชแ้ บบฝึกทกั ษะกบั นกั เรียนระดับ1 ถึงระดับ 3 จานวน 87 คน ผลการวจิ ัยพบวา่ นกั เรยี นท่ีไดร้ ับ การฝกึ ทักษะมคี ะแนนการทดสอบหลงั การทาแบบฝกึ มากกวา่ คะแนนกอ่ นทาแบบฝึก และนกั เรียนทา แบบทดสอบหลังจากฝึกทักษะแล้วได้ถูกต้องเฉล่ียร้อยละ 89.8 น่ันคือ แบบฝึกทักษะเป็นเครื่องช่วย ให้เกิดการเรียนรูเ้ พิ่มข้นึ จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องในต่างประเทศ พบว่า ความสามารถในการอ่าน ของ นักเรียนเกิดจากการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ วิธีสอนของครูและสอื่ การเรียนรู้ท่ีช่วยให้การสอนของครูประสบผลสาเร็จคือ แบบฝึก ทักษะการอ่านท่ีมีเน้ือหาเหมาะสมตรงกับความสนใจของนักเรียน ในการศึกษาครั้งนีผ้ ู้วจิ ัย จึงมุ่งท่ีจะ สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคาควบกล้า ร ล ว สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 เพื่อใช้ ประกอบการเรยี นรู้ และฝึกทักษะการอา่ นออกเสียงคาควบกล้า ร ล ว ให้ถูกต้องและ มีประสิทธิภาพ มากย่งิ ขึน้

56 บทท่ี 3 วธิ ดี า้ เนินการวจิ ัย การสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อสง่ เสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการทาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ผวู้ ิจยั ได้กาหนดหวั ขอ้ การดาเนินการวจิ ยั ตามลาดบั ดงั น้ี ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั วธิ ีการสร้างเครอ่ื งมือและตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมลู สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนนาไคร้พิทยาสรรพ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 24 จานวน 2 ห้องเรียน รวมนักเรียนท้ังหมด 39 คน ซ่ึงจัดห้องเรียนโดยคละ ความสามารถของนักเรยี น กลมุ่ ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1/1 จานวน 5 คน นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปี ที่ 1/2 จานวน 5 คน ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนนาไคร้พิทยาสรรพ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สังกดั สานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 24 รวมนกั เรียนกล่มุ ตวั อยา่ งจานวน 10 คน ได้มา โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

57 เครื่องมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย 1. แบบฝกึ ทักษะเพื่อสง่ เสรมิ การอ่านคาควบกล้าสาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 2. แผนการจัดการเรยี นรู้ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 เร่อื งคาควบกล้า จานวน 6 ชวั่ โมง 3. แบบประเมินคณุ ภาพแบบฝกึ ทกั ษะเพือ่ สง่ เสริมการอา่ นคาควบกล้า สาหรับนักเรียน ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 สาหรับผูเ้ ชยี่ วชาญ 4. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ เร่อื ง คาควบกลา้ 20 ขอ้ กาหนดการใหค้ า่ คะแนน คือ ตอบถกู ได้ 1 คะแนน ตอบผิดหรอื ไมต่ อบได้ คือ 0 คะแนน 5. แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีลักษณะเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จานวน 15 ขอ้ วิธกี ารสรา้ งเครื่องมือและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ผู้วจิ ัยไดส้ ร้างและหาคณุ ภาพเครอ่ื งมอื ตามข้นั ตอน ดังนี้ 1. การสร้างแบบฝึกทกั ษะเพอื่ ส่งเสรมิ การอ่านคา้ ควบกล้าส้าหรับนกั เรยี นชนั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ดาเนินการสร้าง ดงั ต่อไปนี้ 1.1 ศกึ ษาทฤษฎีหลักการและวธิ ีการผลิต แบบฝกึ ทกั ษะเพ่อื ส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า จากเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง 1.2 กาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เพอ่ื กาหนดขอบเขตเนอื้ หาในแบบฝึกทักษะเพ่ือ สง่ เสรมิ การอา่ นคาควบกล้าสาหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 1.3 กาหนดเนือ้ หาในแบบฝกึ ทักษะเพ่อื ส่งเสริมการอา่ นคาควบกลา้ สาหรับนักเรยี นชั้น มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โดยแบ่งเนือ้ หาออกเป็น 3 หน่วย ได้แก่ หน่วยที่ 1 คาควบกล้า หน่วยท่ี 2 คาควบ กลา้ แท้ หน่วยท่ี 3 คาควบกล้าไม่แท้ 1.4 ศกึ ษาข้ันตอนการสร้างแบบฝกึ ทักษะเพอ่ื สง่ เสริมการอา่ นคาควบกล้าสาหรับนักเรยี น ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 1.5 สร้างแบบฝึกทกั ษะเพ่ือสง่ เสรมิ การอ่านคาควบกลา้ สาหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ใหเ้ นอื้ หาสอดคล้องกับจดุ ประสงค์การจัดการเรยี นการสอน 1.6 สร้างแบบฝกึ ทกั ษะเพอื่ สง่ เสรมิ การอ่านคาควบกล้าสาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1

58 1.7 นาแบบฝกึ ทกั ษะเพอื่ ส่งเสรมิ การอา่ นคาควบกล้าสาหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ท่จี ัดทาขึ้นเสนอต่อผเู้ ชีย่ วชาญจานวน 5 ท่าน ตรวจสอบหาความตรงตามเนื้อหาแล้วนาข้อเสนอแนะ ของผูเ้ ชยี่ วชาญกลับมาแก้ไขปรบั ปรงุ เพื่อให้ได้บทเรยี นทม่ี คี ุณภาพ 1.8 เม่ือปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว นาแบบฝึกทักษะเพ่ือ ส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีสร้างขึ้นกลับไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ประเมินคุณภาพโดยใช้แบบมาตราส่วนประเมินคา่ 5 ระดับ 1.9 นาแบบฝึกทกั ษะเพื่อสง่ เสริมการอา่ นคาควบกล้าสาหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ไป ทดลองใช้ ซ่ึงไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจริง ดังขั้นตอนต่อไปน้ี (สมประสงค์ เสนารัตน์ (2560: 218 อ้างจาก ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ 2556: 11-12) 1.9.1 ขนั้ ตอนท่ี 1 ทดสอบประสิทธภิ าพแบบเดีย่ ว (1:1) ทดลองกับนกั เรยี นที่เรียนเรื่อง คาควบกล้า ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 จานวน 3 คน โดยใช้เด็กเก่ง กลาง อ่อน ทีไ่ ม่ใช่กลมุ่ เป้าหมาย และ ยังไม่ได้รับการฝึกด้วยแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า และจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า จากนั้น สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของ นักเรียน หลังจบกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบ กล้า ผู้วิจัยทาการสอบหลังเรียน เพ่ือนาคะแนนมาคานวณหาค่าประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้อง ปรบั ปรุงแบบฝกึ ทกั ษะ และแบบทดสอบหลังเรียนใหด้ ี โดยใช้มาตรฐาน E1/E2 ตามเกณฑ์ 60/60 1.9.2 ขั้นหาประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (1:10) ทดลองกับนักเรียนที่เรียนเรื่องคาควบกล้า นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 10 คน คละผู้เรียน เก่ง กลาง อ่อน ต่อครู 1 คน โดยเลือก นักเรียนท่ียังไม่ได้รับการฝึกด้วยแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า จากน้ันนาแบบฝึก ทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วมาทดลองกับนักเรียนกลุ่มเล็ก โดย ดาเนินการเช่นเดียวกับข้นั ตอนท่ี 1 ทกุ ประการ หลังจากนั้นนาแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคา ควบกล้า มาคานวณหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 เม่ือเสร็จส้ินนามาปรับปรุงด้านการใช้ภาษา และเนอ้ื หาให้เหมาะสมย่งิ ขนึ้ 1.9.3 ขั้นหาประสิทธิภาพแบบภาคสนาม (1:100) ทดลองกับนักเรียนท่ีเรียนเรื่องคา ควบกล้า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 35 คน โดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคา ควบกล้า กอ่ นหาประสทิ ธิภาพแบบภาคสนามข้นั น้ี มีการนาข้อเสนอแนะ และสง่ิ ทป่ี รับปรงุ ในแบบฝึก ทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า จากการหาประสิทธิภาพแบบกลุ่มเล็กมาแล้ว จึงนาแบบฝึก

59 ทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าไปทดลองใช้ แล้วนามาคานวณหาประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 แล้วรวบรวมเปน็ แบบฝึกทกั ษะเพ่อื ส่งเสรมิ การอ่านคาควบกลา้ นาไปใชจ้ รงิ 1.10 นาผลการพิจารณาของผู้เชีย่ วชาญ และกรอบโครงสร้างเนื้อหาท่ีได้มาปรับปรงุ แบบฝึก ทกั ษะเพ่ือส่งเสรมิ การอา่ นคาควบกล้า ตามคาแนะนาของผู้เช่ยี วชาญ 1.11 จัดเตรียมแบบฝึกทักษะเพอื่ สง่ เสรมิ การอา่ นคาควบสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ทีผ่ า่ นการตรวจสอบคณุ ภาพแล้ว เพอ่ื นาไปใช้เปน็ เครอื่ งมอื ในการวจิ ยั และเกบ็ รวบรวมข้อมลู ต่อไป 2. สรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้ ชนั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 เรอ่ื งคา้ ควบกล้า จา้ นวน 6 ชวั่ โมง 2.1 ศึกษาและวเิ คราะห์รายละเอียดของเนื้อหา จุดประสงค์การเรยี นรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน 2551 โรงเรียนนาไคร้ พิทยาสรรพ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ 2.2 ศึกษาการเขียนแผนการสอนในรายวชิ าภาษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซ่ึงประกอบด้วย องค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีสาคัญในการเขียนแผนการสอน ซ่ึงเป็นแผนการสอนท่ีเน้นให้นักเรียนได้สร้าง ความร้ดู ้วยตนเอง 2.3 เขียนแผนการสอนให้ครอบคลุมเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ ส่ือการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล มีแผนการสอน ทั้งหมดจานวน 6 แผน ซึ่งมี รายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน้ี ๑) ควบกล้ำแท้ ๒) ค้ำทมี่ ี ร ควบกล้ำ ๓) คำ้ ที่มี ล ควบกลำ้ ๔) คำ้ ทม่ี ี ว ควบกลำ้ ๕) ควบกล้ำไม่แท้ ๖) อ่ำนค้ำควบกลำ้ 3. แบบประเมนิ คุณภาพแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคา้ ควบกลา้ สา้ หรบั นักเรยี น ชันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ส้าหรบั ผู้เช่ยี วชาญ ผ้วู ิจยั ไดด้ าเนนิ การสรา้ งแบบประเมนิ คณุ ภาพแบบฝกึ ทกั ษะเพื่อสง่ เสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 สาหรับผเู้ ช่ยี วชาญดงั น้ี

60 1. ศึกษาเอกสาร กาหนดกรอบเนื้อหา แนวคิดและขอบข่ายโครงสร้างเน้ือหา รูปแบบ โดย ศึกษาทฤษฎแี ละงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ งเพื่อให้ได้แบบประเมนิ ท่คี รอบคลุมเนอ้ื หาทุกดา้ น 2. สร้างแบบประเมินคุณภาพแบบฝกึ ทกั ษะเพ่ือส่งเสริมการอา่ นคาควบกลา้ สาหรบั นกั เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาหรับผู้เชี่ยวชาญ โดยกาหนดพฤติกรรมช้ีวัดความเหมาะสมจานวน 20 ข้อ โดยแบง่ เปน็ 5 ระดับความพึงพอใจ ดงั นี้ 5 หมายถงึ มีความพงึ พอใจในระดบั มากท่ีสุด 4 หมายถงึ มีความพึงพอใจในระดบั มาก 3 หมายถึง มีความพงึ พอใจในระดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจในระดับนอ้ ย 1 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อยท่ีสดุ คะ แนน ร ว มท่ีไ ด้น ามาหาค่าเฉลี่ยและ ก าหน ดคว ามหมายขอ ง ค่าเฉลี่ยไ ด้ดัง นี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2554: 74) ค่าเฉล่ยี 4.51-5.00 ความเหมาะสมของแบบฝกึ ทกั ษะอยู่ในระดับมากทสี่ ดุ ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 ความเหมาะสมของแบบฝกึ ทกั ษะอยใู่ นระดับมาก คา่ เฉลีย่ 2.51-3.50 ความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะอยใู่ นระดับปานกลาง ค่าเฉลย่ี 1.5-2.50 ความเหมาะสมของแบบฝกึ ทกั ษะอย่ใู นระดบั นอ้ ย คา่ เฉลี่ย 1.00-1.50 ความเหมาะสมของแบบฝกึ ทักษะอย่ใู นระดบั นอ้ ยท่ีสุด 3. นาแบบประเมินแบบฝึกทักษะที่สร้างข้ึนเสนอผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบเพ่ือให้ได้ คาถามที่ครอบคลุม และตรงกับสภาพความเป็นจริง และมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ( Index of item-objective congruence: IOC) ระหว่างข้อคาถามกับจุดประสงค์โดยผู้เช่ียวชาญที่ทาการตรวจสอบ จานวน 5 ท่าน (ดังแสดงไว้ใน ภาคผนวก ก) เพ่ือตรวจสอบความเท่ียงตรงตามเนื้อหา (Content validity) และพิจารณาความ เหมาะสมของสานวนภาษาที่ใช้ส่ือความหมายให้ชัดเจนและใช้ดัชนีความสอดคล้อง (Index of congruence: IOC) โดยกาหนดค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67 ขึ้นไปถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ถ้า ต่ากว่าน้นั ตอ้ งนามาปรับปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ 4. นาแบบประเมินแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ไปจดั พมิ พเ์ ป็นฉบบั สมบรู ณ์

61 5. นาแบบแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกลา้ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปให้ผู้เช่ียวชาญใช้ในการประเมินแบบฝึกทักษะ และแก้ไขแบบฝึกทักษะตามคาแนะนาของ ผู้เชี่ยวชาญ 4. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้ดาเนินการดังต่อไปน้ี แบบทดสอบปรนัย ชนดิ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ 2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนนาไคร้พิทยาสรรพ์ อาเภอกุฉินารายณ์ จังหวัด กาฬสินธุ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เกี่ยวกับเนื้อหาสาระและ ตัวชี้วัด ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวัดผลและประเมินผลการเรยี นรู้ และเอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั วธิ กี ารสร้างแบบทดสอบแบบปรนัย 2.2 กาหนดจดุ ประสงค์ของการทดสอบ โดยพิจารณาจากจุดประสงค์ของการสอนแต่ละ เรื่อง/ประเด็น แล้วกาหนดอัตราส่วนของแบบทดสอบให้ครอบคลุมเนื้อหาของการสอนแต่ละ เรอ่ื ง/ประเดน็ 2.3 สร้างแบบทดสอบท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแต่ละบทเรียน โดยประเภทของ ข้อสอบในแต่ละบทเรียนเป็นข้อสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ (ออกเผ่ือ ผเู้ ชยี่ วชาญในการตรวจสอบ จานวน 5 ข้อ เปน็ ทง้ั หมด 25 ขอ้ เพ่อื หาความสอดคล้อง) 2.4 สร้างแบบทดสอบ ทางการเรยี นให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์และเนอ้ื หา เรื่องคาควบกลา้ สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 2.5 นาแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนไปให้ผู้เช่ียวชาญด้านการวัดและประเมินผลการศึกษา ตรวจสอบและนามาปรบั ปรุงแก้ไข 2.6 นาแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความสอดคล้องระหว่าง ข้อคาถามกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหาแล้วนาผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) เป็นรายข้อ เป็นผู้เช่ียวชาญด้าน วิจัย ได้แนะนาเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผลการศึกษาคน้ คว้า แล้วนาผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาคานวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) เปน็ รายข้อ คะแนน +1 คือ แนใ่ จวา่ ข้อสอบน้วี ดั ตรงจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม คะแนน 0 คอื ไม่แน่ใจว่าข้อสอบนว้ี ดั ตรงจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม

62 คะแนน -1 คือ แน่ใจว่าขอ้ สอบนวี้ ดั ไมต่ รงจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ซึ่งหากค่าดัชนี IOC ที่คานวณได้มากกว่า หรือเท่ากับ 0.50 แสดงว่าข้อคาถามใน แบบฝึกทักษะมีความเหมาะสม หรือสอดคล้องกับจุดประสงค์ หรือกับลักษณะพฤติกรรม (สมประสงค์ เสนารตั น์ และเบญจมาภรณ์ เสนารตั น.์ 2561: 120) 2.7 นาแบบทดสอบไปทดสอบกบั ตวั แทนกล่มุ ตัวอยา่ ง จานวน 10 คน 2.8 นาผลการทดสอบมาตรวจให้คะแนน แล้ววิเคราะห์หาความยากง่าย (p) และค่าอานาจ จาแนกของข้อสอบ (r) ของแบบทดสอบเป็นรายข้อและค่าความเช่ือม่ันของแบบทดสอบทั้งฉบับโดย ใช้สตู ร KR-20 (Kuder Richardson) 5. แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านค้าควบกล้า ส้าหรับนักเรียนชันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 มีลกั ษณะเปน็ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จา้ นวน 15 ขอ้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเพ่ือ สง่ เสรมิ การอ่านคาควบกล้าสาหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ดังนี้ 1. ศกึ ษาเอกสาร กาหนดกรอบเนื้อหา แนวคิดและขอบข่ายโครงสร้างเนื้อหา รปู แบบ โดย ศึกษาทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้องเพ่ือใหไ้ ด้แบบประเมินท่ีครอบคลุมเนื้อหาทกุ ด้าน 2. สร้างแบบประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีต่อแบบฝึกทกั ษะเพอื่ ส่งเสริมการอ่าน คาควบกลา้ สาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยกาหนดพฤติกรรมชีว้ ัดความพึงพอใจ จานวน 15 ขอ้ โดยแบง่ เป็น 5 ระดับความพงึ พอใจ ดงั น้ี 5 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความพงึ พอใจในระดับมาก 3 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในระดับนอ้ ย 1 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจในระดับน้อยที่สุด ค ะ แ น น ร ว ม ท่ี ไ ด้ น า ม า ห า ค่ า เ ฉ ล่ี ย แ ล ะ ก า ห น ด ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ค่ า เ ฉ ล่ี ย ไ ด้ ดั ง น้ี (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2554: 74) คา่ เฉลี่ย 4.51-5.00 มีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะอยูใ่ นระดับมากทีส่ ดุ คา่ เฉลยี่ 3.51-4.50 มคี วามพงึ พอใจตอ่ แบบฝึกทกั ษะอยู่ในระดับมาก

63 ค่าเฉลีย่ 2.51-3.50 มคี วามพงึ พอใจตอ่ แบบฝกึ ทกั ษะอย่ใู นระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.5-2.50 มีความพงึ พอใจตอ่ แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉลย่ี 1.00-1.50 มีความพงึ พอใจต่อแบบฝกึ ทกั ษะอยใู่ นระดบั นอ้ ยท่ีสุด 3. นาแบบประเมินความพึงพอใจที่สร้างข้ึนเสนอผู้เช่ียวชาญพิจารณาตรวจสอบเพ่ือให้ได้ คาถามที่ครอบคลุม และตรงกับสภาพความเป็นจริง และมีความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ( Index of item-objective congruence: IOC) ระหว่างข้อคาถามกับจุดประสงค์โดยผู้เช่ียวชาญท่ีทาการตรวจสอบ จานวน 5 ท่าน (ดังแสดงไว้ใน ภาคผนวก ก) เพ่ือตรวจสอบความเท่ียงตรงตามเน้ือหา (Content validity) และพิจารณาความ เหมาะสมของสานวนภาษาท่ีใช้ส่ือความหมายให้ชัดเจนและใช้ดัชนีความสอดคล้อง (Index of congruence: IOC) โดยกาหนดค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67 ข้ึนไปถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ถ้า ตา่ กว่านั้นตอ้ งนามาปรับปรุงแก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ 4. นาแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่าน คาควบกล้าสาหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ไปจดั พมิ พ์เป็นฉบับสมบรู ณ์ 5. นาแบบประเมินความพึงพอใจของนกั เรยี น ทีม่ ีต่อการเรยี นการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะ เพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปใช้ในการประเมินความพึง พอใจของนักเรยี นกลุม่ ตวั อย่าง 6. นาคะแนนทีไ่ ดม้ าวเิ คราะหต์ ามวิธีการทางสถติ ิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การทดสอบประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ดาเนนิ การและเกบ็ ข้อมูลดงั นี้ 1. การศึกษาคร้ังนี้เป็นการศึกษากับนักเรียนกลุ่มเดียว ซึ่งมีการวัดผลก่อนและหลังการใช้ แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีผ่านการ หาประสิทธิภาพและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E1เท่ากับ 80/80 ไปทดลองใช้กับนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ท่ีไมใ่ ช่กลุ่มตัวอยา่ ง

64 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นกั เรียนที่เรยี นเร่ือง คาควบกล้าสาหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โดยดาเนนิ การดงั นี้ 2.1 นาแบบทดสอบท่ีสร้างขึน้ มาทดสอบกับนกั เรียนทั้งหมด ก่อนเรยี น (Pre-test) แล้ว บันทึกคะแนนเปน็ รายบคุ คลไวเ้ พื่อหาดชั นปี ระสทิ ธผิ ลกบั คะแนนหลงั เรียน (Post-test) 2.2 ดาเนนิ การสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่าน คาควบกล้าสาหรับนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 2.3 บันทึกคะแนนจากการทาแบบทดสอบระหว่างเรียนและบันทึกคะแนนในแบบฝึก ทกั ษะเพ่อื ส่งเสรมิ การอา่ นคาควบกลา้ สาหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 2.4 ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบทางการเรียนมาทดสอบนักเรียนท้ังหมด หลงั จากเรยี น เร่อื ง คาควบกลา้ ซง่ึ ดาเนินการวัดผลหลงั เรยี นเน้ือหาจบแล้ว (Post-test) 2.5 นาคะแนนทไ่ี ดม้ าวเิ คราะหต์ ามวิธกี ารทางสถติ การทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ผวู้ ิจยั ดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล โดยลาดบั ข้ันตอน ดังนี้ 1. นาแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนก่อนเรียน (Pre-test) มาทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 10 คน แลว้ บนั ทึกคะแนนไว้เป็นรายบุคคล เพอื่ เปรยี บเทยี บกับ คะแนนหลงั เรียน (Post-test) 2. ดาเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่าน คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามข้ันตอน และวิธีการท่ีได้ระบุไว้ในแผนการ จัดการเรียนรู้ 3. บันทึกคะแนนจากการทาแบบทดสอบระหว่างเรียนและบันทึกคะแนนในแบบฝึกทักษะ เพ่ือส่งเสรมิ การอา่ นคาควบกลา้ สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 4. ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบมาทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หลังจากเรียน เรื่อง คาควบกลา้ ซึง่ ดาเนินการวดั และประเมนิ ผลหลงั เรียนเนอื้ หาจบแล้ว (Post-test)

65 การวิเคราะหข์ ้อมลู สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบ กล้าสาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ตามเกณฑ์ 80/80 วิเคราะห์โดยใช้สูตร E1/E2 ดังนี้ สม ประสงค์ เสนารตั น์ (2561: 219. อ้างจาก ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ 2556: 8-9) ∑ x1 เมื่อ E1 = N × 100 A1 ∑ x2 E2 = N × 100 A2 E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการเรียนการสอน E2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ ∑ x1 แทน คะแนนรวมของแบบวัดทักษะระหว่างเรียนทุกหน่วย รวมกัน แทน คะแนนรวมของแบบวดั ทกั ษะหลงั เรยี น แทน คะแนนเต็มของแบบวัดทกั ษะระหว่างเรียน ∑ x2 แทน คะแนนเตม็ ของแบบวดั ทักษะหลังเรยี น A1 แทน จานวนนกั เรียนทงั้ หมด A2 N 2. สูตรในการหาค่าดัชนีประสิทธิผล กนิษฐา สมานชาติ (2553: 77. อ้างจาก เผชิญ กิจ ระการ. 2545: 6) (The Effectiveness Index: E.I.) (Goodman, Flether and Schneider, 1980 p. 30)

66 เมือ่ E.I. E.I. = ������������− ������������ P1 ������������������ −������������ P2 แทน คา่ ดชั นปี ระสิทธผิ ล หรืออาจเขยี นเปน็ แทน ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน แทน ผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรียน เม่อื E.I. E.I. = ������������− ������������ ������������ ������������������������������ −������������ ������������ แทน ค่าดชั นีประสทิ ธิผล Total แทน ผลรวมคะแนนกอ่ นเรยี นทุกคน แทน ผลรวมของคะแนนหลังเรยี นทกุ คน แทน ผลคูณของจานวนนักเรยี นกบั คะแนนเต็ม ค่าดชั นีประสทิ ธิผล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรยี น – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น (จานวนนกั เรยี น) x (จานวนคะแนนเตม็ ) – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น 3. สถิติพืน้ ฐาน โดยใช้ค่าเฉลย่ี ค่าเฉล่ยี เลขคณิต (Mean) x̅= ∑ x N เม่อื x̅ แทน คา่ เฉลย่ี ความพงึ พอใจ ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนความพงึ พอใจ N แทน จานวนกลมุ่ ตัวอย่าง

67 4. การหาคา่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) โดยคานวณจากสูตร ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์. 2543: 142)  SD = n x2   x 2 n(n 1) เมอ่ื SD แทน ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน แทน ผลร ว ม ขอ ง คะ แ น น แ ต่ ละ ค น ย ก ก าลั ง ∑ x2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละคนทั้งหมดยก สอง แทน จานวนนักเรียนในกล่มุ ตัวอย่าง (∑ x)2 กาลงั สอง n 5. การวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับวัตถุประสงค์ (Index of item objective congruence: IOC) (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์. 2543: 117) IOC = ∑ R N เมอ่ื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องของแบบสอบถามทีส่ ร้างขน้ึ ∑ R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญ N แทน จานวนผเู้ ชยี่ วชาญ 6. การหาค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบ คานวณจากสูตร (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์. 2543: 129) การหาคา่ ความยากงา่ ย p= R N

68 เม่ือ p แทน คา่ ความยากของคาถามแตล่ ะข้อ แทน จานวนผู้ตอบถกู ในแต่ละขอ้ R แทน จานวนผู้เขา้ สอบทงั้ หมด N การหาคา่ อานาจจาแนก r = Ru−Re N/2 เมือ่ r แทน ค่าอานาจจาแนกเปน็ รายข้อ Ru แทน จานวนผู้ตอบถูกในขอ้ น้ันในกลมุ่ เก่ง Re แทน จานวนผู้ตอบถูกในขอ้ นน้ั ในกลุ่มออ่ น N แทน จานวนคนในกลุม่ ตัวอย่างท้ังหมด 7. การหาคา่ ความเชือ่ มั่นของแบบทดสอบ คานวณจากสูตร KR-20 ของ Kuder-Richardson (พวงรัตน์ ทวรี ตั น์. 2543: 123-125) สูตร KR-20 r sttnn11 pq   2  t เม่ือ rtt แทน ค่าความเชอื่ มนั่ n แทน จำนวนขอ้ p แทน สดั สว่ นของคนทำถกู ในแตล่ ะขอ้ q แทน สดั สว่ นของคนทำผดิ ในแตล่ ะขอ้ = 1p st2 แทน ควำมแปรปรวนของคะแนนทงั้ ฉบบั

69 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู การสรา้ งแบบฝกึ ทักษะเพอ่ื ส่งเสรมิ การอา่ นคาควบกล้า สาหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ผูว้ จิ ยั นาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดงั นี้ สญั ลักษณท์ ี่ใช้ในการนา้ เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล กาหนดความหมายของสัญลักษณใ์ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดังน้ี x̅ แทน คา่ เฉล่ีย SD แทน สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E. I แทน ดชั นีประสิทธิผล ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ตอนท่ี 1 ผลการสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะห์หาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคา ควบกล้าสาหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ตอนท่ี 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสรมิ การอ่าน คาควบกลา้ สาหรับนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตอนที่ 1 ผลการสร้างแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านค้าควบกล้า ส้าหรับนักเรียนชัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ประสิทธภิ าพของแบบฝึกทกั ษะเพ่ือส่งเสรมิ การอา่ นคาควบกลา้ สาหรบั นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 ดังตารางท่ี 1

70 ตารางท่ี 1 ผลการสร้างแบบฝกึ ทกั ษะเพื่อส่งเสรมิ การอ่านคาควบกล้า สาหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 แบบฝกึ หดั ระหวา่ งเรียน แบทดสอบหลังเรยี น ������������ ประสิทธภิ าพ คะแนนเตม็ ค่าเฉลี่ย คะแนนเตม็ คา่ เฉลย่ี ������������ 85 ������������/������������ 10 8.4 84 10 8.5 84/85 จากตารางท่ี 1 พบว่าประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 มปี ระสทิ ธภิ าพ E1 / E2= 84/85 ตอนท่ี 2 ผลการวิเคราะหห์ าคา่ ดชั นปี ระสทิ ธิผลของแบบฝกึ ทกั ษะเพือ่ ส่งเสรมิ การอา่ นค้า ควบกลา้ สา้ หรบั นักเรียนชนั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ผู้วิจัยไดใ้ ช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่สร้างข้ึน ทาการทดสอบก่อนเรยี น ก่อน จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ และทาการทดสอบหลงั เรยี นอกี คร้งั โดยใชแ้ บบทดสอบชดุ เดิม นามาตรวจสอบ ใหค้ ะแนน และนามาหาคา่ ดชั นีประสิทธผิ ล (E.I.) ผลปรากฏดังตารางที่ 2 และตารางท่ี 3 ตารางท่ี 2 คะแนนทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนที่เรียนด้วยแบบฝกึ ทกั ษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคา ควบกล้า สาหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คนท่ี กอ่ นเรียน หลงั เรียน คะแนน คะแนนรอ้ ยละ คะแนน คะแนนรอ้ ยละ 1 6 60 8 80 2 5 50 7 70 3 3 30 8 80 4 5 50 9 90 5 3 30 7 70 6 4 40 9 90 7 5 50 8 80 8 3 30 10 100 9 5 50 9 90

71 คนที่ กอ่ นเรียน หลังเรยี น คะแนน คะแนนร้อยละ คะแนน คะแนนร้อยละ 10 คะแนนรวม 6 60 10 100 คะแนนเฉลย่ี 70 450 85 850 4.5 45 8.5 85 ตารางท่ี 3 คา่ ดัชนีประสทิ ธผิ ลของแบบฝกึ ทักษะเพื่อสง่ เสริมการอ่านคาควบกลา้ สาหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 คะแนนทดสอบ N คะแนนเตม็ ผลรวมคะแนน ดชั นีประสิทธิผล กอ่ นเรียน 10 10 70 0.5 หลงั เรียน 10 10 85 จากตารางท่ี 3 พบว่าค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ของแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการ อ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.5 แสดงว่านักเรียนท่ีเรียนรู้ด้วย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 มคี วามกาวหน้าในการเรยี นคิดเปน็ รอ้ ยละ 50 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการ อา่ นคา้ ควบกลา้ สา้ หรับนกั เรยี นชันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ตารางท่ี 4 ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีตอ่ แบบฝกึ ทักษะเพอ่ื ส่งเสรมิ การอา่ นคาควบ กล้า สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 รายการ ���̅��� SD ระดับความพงึ พอใจ 1. แบบฝึกทกั ษะการศกึ ษามขี อ้ แนะนาในการปฏิบตั ิกิจกรรมที่ 5 0.00 มากท่สี ดุ ชดั เจน อา่ นเขา้ ใจงา่ ย 2. แบบฝึกทกั ษะมขี นาดของส่ือท่ีเหมาะสม 5 0.00 มากทส่ี ดุ 3. เนื้อหาท่ีกาหนดในกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับ 5 0.00 มากทส่ี ดุ ผู้เรยี น 4. กิจกรรมมีความเหมาะสมกับผเู้ รียน 4.6 0.52 มากที่สุด

72 รายการ x̅ SD ระดับความพึงพอใจ 0.00 มากทส่ี ุด 5. แบบฝกึ ทกั ษะมรี ูปภาพ สีสนั มกี ารวางรปู แบบท่ดี ี 5 0.84 มาก 0.52 มากท่ีสดุ 6. เวลาทใี่ ชใ้ นการทาแบบฝกึ ทักษะเพยี งพอและเหมาะสม 3.8 0.48 มาก 0.52 มากทส่ี ุด 7. แบบฝกึ ทักษะมีความนา่ สนใจและหลากหลาย 4.6 0.52 มากทส่ี ุด 8. ขน้ั ตอนของแบบฝกึ ทักษะนกั เรียนสามารถปฏบิ ตั ิ 4.3 0.52 มากท่สี ดุ 9. แบบฝกึ ทักษะมีความทา้ ทายความสามารถของนกั เรียน 4.6 0.00 มากทส่ี ดุ 10. กิจกรรมแบบฝึกทักษะทาให้ผู้เรียนรู้คาศัพท์ภาษาไทย 4.6 เพ่ิมขึ้น 0.00 มากที่สุด 0.00 มากทส่ี ดุ 11. แบบฝึกทักษะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดโดยอาศัย 4.6 0.52 มากที่สุด ความรู้และความเขา้ ใจเดิมเป็นพืน้ ฐาน 0.30 มากทีส่ ดุ 12. แบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถและเกิด 5 ทกั ษะการใช้ภาษาไทยได้ 13. ผู้เรียนไดร้ ับความรู้ จากแบบฝึกทกั ษะนี้ 5 14. ผู้เรียนสามารถนาความรูไ้ ปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ได้ 5 15. นักเรยี นมเี จตคติทด่ี ตี ่อสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย 4.6 รวม 4.71 จากตารางที่ 4 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่าน คาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมพบว่าความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ทส่ี ุด (x̅ = 4.71, SD = 0.30)

73 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ แบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผ้วู จิ ยั สรปุ ผลการวิจัย ดังน้ี สรปุ ผลการวิจัย 1. การสร้างแบบฝึกทักษะเพอื่ สง่ เสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 ปรากฏว่าแบบฝึกทักษะมีประสิทธภิ าพ E1 / E2 เท่ากับ 84/85 2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.5 แสดงว่านักเรียนท่ีเรียนรู้ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบฝึก ทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความก้าวหน้าในการ เรยี นคดิ เปน็ รอ้ ยละ 50 3. ความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อแบบฝึกทักษะเพอ่ื ส่งเสริมการอา่ นคาควบกล้า สาหรับ นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สดุ (x̅ =4.71, SD =0.30) อภปิ รายผล การวิจยั เรื่องแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 1 ผวู้ ิจัยมีประเดน็ อภิปรายผลได้ ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพ E1 / E2 เท่ากับ 84/85 ตามเกณฑ์ 80/80 ซ่ึงเป็นไปตามสมมุติฐานท่ีตั้งไว้ หมายความว่านักเรียนได้คะแนนเฉล่ียจากการทาแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 คิดเป็นร้อยละ 84 และ คะแนนเฉลี่ยจากการทาแบบทดสอบ หลงั เรยี นการเรียน คดิ เปน็ ร้อยละ 85 ท้ังน้ีเป็นเพราะผู้วิจยั ได้สรา้ งแบบฝึกทกั ษะเพ่ือส่งเสรมิ การอ่าน คาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ที่มีกระบวนการออกแบบและสร้างอย่างเป็นระบบ ตามวิธกี ารท่ีเหมาะสม โดยเร่ิมจากการศึกษาเอกสาร เทคนิค แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง

74 กับการสรา้ งแบบฝึกทักษะเพ่ือสง่ เสริมการอ่านคาควบกลา้ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 เพื่อ เป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกทักษะ จากน้ันได้ทาการวิเคราะห์เนอ้ื หาในหลักสตู ร แล้วแบ่งเนื้อหา ออกเป็น 3 ชุด ให้มีความเหมาะสมกับเวลาและลักษณะของนักเรียนโดยเรียงลาดับเนื้อหาในการ เรยี นรอู้ ย่างต่อเนอื่ ง เรียงลาดบั จากงา่ ยไปหายาก นกั เรียนสามารถแสวงหาความรู้ไดด้ ้วยตนเองมีการ แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการกลุ่มและการทางานร่วมกัน นอกจากนี้ แบบฝึกทักษะทีส่ ร้างข้ึน คานึงถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล โดยมีครเู ปน็ ผแู้ นะนา ช่วยเหลอื อีกทั้งแบบฝึกทกั ษะได้ผ่านการ ประเมินคุณภาพจากผูเ้ ชี่ยวชาญ และยังผ่านการทดลอง (Try-out) เพื่อหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง แก้ไขให้สมบูรณ์ก่อนนาไปใช้จริง จึงทาให้มีคุณภาพและเหมาะสมกับนักเรียนเป็นอย่างดี และเม่ือ นักเรียนเรียนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ทาใหน้ ักเรยี นมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ดขี ้ึนเปน็ ตามแนวคดิ ของ ประพันธ์ สงั การ (2559) ได้ทาการวิจยั เรื่อง การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะเพอ่ื สง่ เสริมการอ่านคาควบกลา้ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการออกเสียงคาควบกล้าสาหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 จานวน 5 ชดุ มคี า่ ประสทิ ธภิ าพของแบบฝกึ เท่ากบั 82.04/86.33 สงู กว่า เกณฑท์ ี่กาหนด และยงั สอดคล้องกับ สุมลมาลย์ เอติรัตนะ (2553) ได้ศกึ ษาเรื่องการพัฒนาแบบฝึก ทักษะการอ่านออกเสียงคาควบกล้า สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึก ทักษะวิจัยท่ีผู้สร้างข้ึนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.71/84.14 เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกาหนด จึงสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ เป็นส่ือที่ใช้ในกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ เรียนรู้ตามข้ันตอนอย่างเป็นระบบตามความสามารถ ความสนใจ อีกทั้งยังมีความสอดคล้องกับ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด สอดคล้องกับเนื้อหา ช่วยให้นักเรียนได้แสวงหาความรู้ด้วยตนเองและ กระบวนการกลมุ่ ทั้งยังสามารถนาไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั ได้ 2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีผู้วิจัยสรา้ งขึ้น โดยค่าดัชนีประสิทธผิ ลทางการเรียนของนกั เรียนมีความก้าวหน้า ในการเรยี น ซงึ่ มคี ่าเท่ากบั 0.5 แสดงวา่ นกั เรียนทีเ่ รียนรู้ด้วยการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบฝึกทักษะ เพือ่ ส่งเสรมิ การอ่านคาควบกลา้ สาหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความก้าวหนา้ ในการเรียนคิด เป็นร้อยละ 50 แสดงใหเ้ ห็นว่าแบบฝกึ ทกั ษะสามารถกระตนุ้ ให้นกั เรียนมีความสนใจในการเรียนและ แสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองมากขึ้น ทั้งน้เี น่ืองจากแบบฝึกทักษะ มีความเหมาะสมกับผูเ้ รยี น ผู้เรียน สามารถศึกษาหาความรูต้ ามความตอ้ งการและความสนใจของตนเอง เน้ือหาสาระ ชัดเจน เรียงจาก ง่ายไปหายาก มีภาพประกอบเพ่ือเร้าความสนใจของผู้เรยี นและผู้เรียนได้ลงมือ ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ

75 เป็นไปตามแนวคดิ ของ มนสินี ภานุทัต (2560) ไดศ้ ึกษาเร่ือง การพัฒนาการอ่านและการเขยี นคาควบ กล้าโดยใช้ชุดฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจัยพบว่า ค่า ดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ือง การอ่านและการเขียนคาควบกล้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 เท่ากับ 0.7509 หมายความวา่ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทกั ษะ เร่ือง การอ่านและการเขียนคาควบกล้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ทาให้นักเรียนมีความรู้เพ่ิมขึ้น 0.7509 หรือคิดเป็นร้อยละ75.09 และยัง สอดคล้องกับมณฑา จันทรไ์ ข่ (2555) ได้ศึกษาเรื่องผลการใช้แบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนคา ควบกล้าสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึก ทักษะการอ่านและการเขียนคาควบกล้ากลา้ สาหรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 เทา่ กับ .69 แสดง ว่านักเรียนมีความก้าวหน้าใน การเรียนร้อยละ 69 จึงสรุปได้ว่าการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเพ่ือ ส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการเรียนรู้ที่ตอบสนองความ แตกต่างระหว่างบุคคล สามารถกระตุ้นให้นักเรียน แสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองและเรียนรู้ได้อย่าง เต็มศักยภาพโดยใช้กระบวนการกลุ่ม อีกท้ังหลังการทากิจกรรมแต่ละครั้งนักเรียนมีโอกาสตรวจสอบ ผลการเรียนรู้และทราบคะแนนของตนเองทันที ช่วยให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้คร้ังต่อไป จึงส่งผลนกั เรยี นมคี วามก้าวหน้าทางการเรียนเพ่มิ ขึน้ 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะเพื่อส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.71 ท้ังนี้เพราะ ผ้วู ิจยั ได้สร้างแบบฝึกทักษะเพอ่ื สง่ เสรมิ การอ่านคาควบกลา้ สาหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ที่มี การวิเคราะห์เนื้อหาสาระที่ชัดเจน เข้าใจง่าย มีความเป็นระบบ เรียงลาดับเน้ือหาจากง่ายไปหายาก และต่อเน่ืองกันตามลาดบั ใช้ภาษาท่ีถกู ตอ้ งและเหมาะสม มีสสี ัน และภาพประกอบท่ีสวยงาม ทาให้ ผ้เู รียนมีความสนใจและเข้าใจมากย่งิ ขึน้ กจิ กรรมการเรียนรู้ทุกกิจกรรมเปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นไดเ้ รียนรู้ ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ หลังการเรียนรู้ นักเรียน สามารถตรวจผลการเรียนรู้ของตนเองได้ ทาให้นกั เรียนเกิดแรงจงู ใจ สนใจ และเกิดความพงึ พอใจใน การเรียนรู้ เป็นไปตามแนวคิดของมาสโลว์ (Maslover, 1970, p. 69) ที่กล่าวว่า ความต้องการของ มนุษย์มีลักษณะเป็นลาดับขัน้ จากระดับต่าสุดไปยังระดับสูงสุด เม่ือความต้องการในระดับหนึ่งได้รับ การตอบสนองแล้ว มนษุ ยก์ ็จะมีความต้องการอื่นในระดบั ท่ีสูงขึน้ ต่อไปและสอดคล้องกับหลกั การของ สมนึก ภัททิยธนี (2551: 36-42) ที่กลา่ วว่าความพึงพอใจเป็นความรู้สกึ หรอื อารมณ์ของบุคคลท่ีมีต่อ

76 ความสัมพันธ์ของส่ิงเร้าต่าง ๆ เป็นผลมาจากการท่ีบุคคล ประเมินสิ่งเร้านั้นแล้วพอใจ นอกจากนี้ยัง สอดคล้องกับ จิตตนิ ันท์ นันทไพบูลย์ (2551) ได้กล่าวไว้ ว่าความพึงพอใจ หมายถงึ ระดับความรู้สึก ทางบวกของบคุ คลต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึง อีกทงั้ ผลการวิจัยของ มนสินี ภานุทัต (2560) ได้ศึกษาเร่ือง การ พัฒนาการอ่านและการเขียนคาควบกล้าโดยใช้ชุดฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มีความพึงพอใจต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ เร่ือง การอ่านและเขียนคาควบกล้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย โดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.81 และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมปอง แต้มทอง (2555) ได้ศึกษาเร่ืองการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคาควบกล้า สาหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ผลการวจิ ัยพบวา่ นกั เรยี นมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทกั ษะการ อ่านและการเขียนคาควบกล้า อย่ใู นระดบั มากที่สดุ เชน่ กัน ข้อเสนอแนะ จากการวิจยั เรื่องการสร้างแบบฝึกทักษะเพอื่ ส่งเสริมการอ่านคาควบกล้าสาหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ผูว้ จิ ัยมีขอ้ เสนอแนะดงั น้ี ขอ้ เสนอแนะในการน้าผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. ระหว่างการปฏิบตั ิกิจกรรมนักเรียนจะต้องเจอปัญหาและอุปสรรคในการเรียน ดงั นั้น ครู ตอ้ งคอยใหค้ าแนะนา ปรึกษา ช่วยเหลือนักเรียน และเป็นกาลังใจที่ดี เพ่ือให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ ได้อย่างมคี วามสขุ และเต็มตามศักยภาพ นอกจากนคี้ รคู วรเสรมิ แรงด้วยการยกยอ่ ง ชมเชย ให้กาลังใจ และใหค้ วามสนใจนักเรียนทกุ คน 2. การปฏิบัติกจิ กรรมนั้นครูไมค่ วรเรง่ รัดนักเรียน ควรให้นักเรียนได้ค้นพบความรดู้ ้วยตนเอง เพ่อื สง่ เสรมิ การเรียนรู้ตามธรรมชาติ และศักยภาพของนักเรียนเอง 3. ควรคานงึ ถงึ ความยากง่ายของเนื้อหา ไม่ควรเลือกเนื้อหาท่ียากเกินไป และควรใช้ภาษาท่ี เหมาะสมกบั ผเู้ รยี น ควรมภี าพ และเสยี ง ทชี่ ัดเจน เหมาะสมกบั วยั ของผู้เรียน 4. เวลาท่ีใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อาจจะคลาดเคล่ือนบ้างในบางกิจกรรม ดังน้ัน ใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สามารถยืดหยุ่นเวลาได้ตามความเหมาะสมกับสภาพของนักเรียน และ สิง่ แวดล้อม

77 ข้อเสนอแนะในการท้าวจิ ยั ครงั ต่อไป 1. ผลการวิจัยพบวา่ ผลคะแนนจากการทดสอบหลงั เรยี นด้วยแบบฝกึ ทักษะ นักเรียนบางคน มีคะแนนก่อนเรียนสูงกว่าหลังเรียน ผู้วิจัยเห็นควรนาแบบฝึกทักษะ ไปปรับใช้ในการเรียนรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เรยี นแบบคู่ (Buddy) การเรยี นแบบกลมุ่ หรือการปรับใช้กับวชิ าอนื่ ๆ 2. ควรศึกษาการทาวิจัยแบบฝึกทักษะรายวิชาภาษาไทยในเนื้อหาอื่น ๆ และระดับช้ันต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งเสริม และหาแนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ มากขน้ึ

78 บรรณานกุ รม กนษิ ฐา สมานชาติ. (2553). การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพอื่ ความเข้าใจโดยใช้ แผนท่ีความคิดสา้ หรับนักเรยี นชนั มัธยมศึกษาปีท่ี 4. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตร์ หลักสูตรและ การสอนมหาวทิ ยาลัยราชภัฏบรุ รี มั ย์. กรมวชิ าการ. (2546 ก). รายงานการติดตามและประเมินผลการจัดทา้ หลกั สตู รการศกึ ษา ขนั พืนฐานของโรงเรยี นเครอื ขา่ ย. กรงุ เทพฯ: คุรสุ ภาลาดพรา้ ว กรมวชิ าการ. (2546 ข). ผงั มโนทัศน์สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2544ข). หลกั สูตรการศึกษาขันพืนฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การค้ารบั ส่งสนิ ค้าและพัสดุภัณฑ์. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รการศึกษาขนั พนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2553). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั พืนฐาน พทุ ธศักราช 2551. พิมพค์ รง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นุม สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด. เกริก ทว่ มกลาง. จนิ ตนา ท่วมกลาง. (2555). การพัฒนาส่อื /นวตั กรรมทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพส์ ถาพรบุคส์. จติ ตินนั ท์ นันทไพบูลย์. (2551). จิตวิทยาการบริการ. กรุงเทพฯ :ซีเอดย็ ํเคชน ชมพูนชุ สาแดงเดช. (2554). การพฒั นาทกั ษะการเขียนคา้ ศัพทภ์ าษาองั กฤษ ดว้ ยแบบฝึกเสรมิ ทักษะของนักเรียนชนั ประถมศกึ ษาชันปีท่ี 4. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน). มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). การทดสอบประสทิ ธภิ าพสอื่ หรือชดุ การสอน. วารสารศิลปากร ศกึ ษาศาสตรว์ จิ ัย. ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม – มถิ นุ ายน 2556). ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ. (2545). การสอนภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: ศูนยส์ ง่ เสรมิ วิชาการ นวพร พนั ธข์ุ าวสะอาด. (2555). การใชบ้ ทเรียนคอมพวิ เตอรเ์ พื่อแกป้ ญั หาการออกเสียง คา้ ควบกลา้ ของนักเรียนชันมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรยี นบญุ วาทยว์ ทิ ยาลัย จังหวดั ล้าปาง. วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. (การสอนภาษาไทย). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. นารีนาฏ พมุ่ พวง. (2556). การใช้เกมเพ่อื พัฒนาการเรียนรู้คา้ ศัพทภ์ าษาอังกฤษของนกั เรียน ชันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นดอนเมืองจาตุรจนิ ดา. วทิ ยาลยั การฝกึ หัดครู

79 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร. นุชนาฏ ขนั โมลี, ภษู ิต บุญทองเถงิ และ สุพจน์ องิ อาจ. (2554) การพฒั นาทกั ษะการอ่านออกเสยี ง ค้าควบกล้า โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบภาพส้าหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 2. วทิ ยานพิ นธ์ ศษ.ม. (หลักสูตรและการสอน). มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. บรรจง ธนสู า. (2563). การศึกษาผลการเรยี นรดู้ ้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง ค้าควบ กล้าของนกั เรียนชันประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนเทศบาลศรเี มืองพลประชานุเคราะห์. บุญชม ศรสี ะอาด. (2553: 162). การวิจัยเบอื งตน้ . พิมพค์ ร้ังท่ี 8 กรงุ เทพฯ: สุวีรยิ าสาสน์ . บญุ ชม ศรีสะอาด. (2554). การวิจยั ส้าหรบั ครู. กรุงเทพฯ: สวุ ีรยิ าสาสน์. บญุ เหลอื เทพยสุวรรณ. (2518). ภาษาไทย-วชิ าที่ถกู ลมื . กรงุ เทพฯ: บรรณกิจ. ประพนั ธ์ สังการ. (2559). การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะเพ่อื ส่งเสริมการอา่ นค้าควบกลา้ ของนกั เรียน ชันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. (วชิ าการสอนภาษาไทย). มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง ประยูร ทรงศลิ ป.์ (2553). หลักและการใชภ้ าษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบุร.ี ปรีชา เผาเครื่อง. (2541). การสรา้ งแบบฝกึ การอา่ นคา้ ควบกลา้ ส้าหรบั นักเรียนชันประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนบ้านเจน (เจนจันทรานุกูล) จังหวัดพะเยา. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. (การสอน ภาษาไทย). บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.่ พรรณธภิ า อ่อนแสง. (2532). การเปรียบเทยี บความสามารถในการอา่ นออกเสียงคา้ ควบกล้า ร ล ว ของนักเรียนที่พูดภาษาถ่ินไทยลาวในระดับชันประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างกลุ่มที่ ได้รบั การสอนโดยใช้แบบฝึกเสรมิ ทักษะกระบวนการคิดอยา่ งมีระบบ กลุ่มทไี่ ด้รับการสอน โดยใชแ้ บบฝึกท่ัวไปในโรงเรยี นนครไทยวทิ ยา อ้าเภอนครไทย จังหวัดพิษณโุ ลก. ปริญญา นพิ นธก์ ารศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร. พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร. (2533). หลกั ภาษาไทย. พิมพค์ รั้งที่ 13. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานชิ . พวงรัตน์ ทวีรัตน.์ (2543). วิธีการวิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์ และสงั คมศาสตร.์ (พิมพค์ รงั้ ท่ี 8). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มทติ า อังคระษี . (2559. : 18) การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะเรือ่ งสีและการระบายสี กลุ่มสาระการ เรียนรู้เรียนรู้ศิลปะส้าหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนคลองส้าโรง. วิทยานพิ นธ์. ค.ม. (หลักสูตรและการสอน) โครงการบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏธนบรุ .ี มนสนิ ี ภานุทัต. (2560). รายงานผลการพัฒนาการอ่านและการเขียนคา้ ควบกลา้ โดยใช้ชดุ ฝกึ ทกั ษะกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยชนั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5. สุรนิ ทร:์ โรงเรยี นบา้ นระเภาว์ เขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสรุ ินทร์ เขต1.

80 มณฑา จนั ทร์ไข่. (2555). ผลการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นค้าควบกล้าสา้ หรับนักเรียน ชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 4. วิทยานพิ นธ์ คบ. (หลักสูตรและการสอน). มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ บรุ รี ัมย์. เยาวลักษณ์ ชาติสุขศริ ิเดช. (2548). เสยี งในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทัศน์. รชั นี ศรีไพรวรรณ. (2517). แบบฝกึ หดั เสรมิ ทกั ษะภาษาไทยส้าหรบั นกั เรยี นในครูมอื ครู แนวความคดิ และลักษณะบางประการเก่ยี วกบั กุศโลบายการสอนเดก็ เรม่ิ เรียนที่ พดู สองภาษา. นครราชสีมา: สานักพิมพ์ศกึ ษาธิการ 11. วรรณี โสมประยรู . (2553). เทคนิคการสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้าวิชาการ. วนั เพญ็ เทพโสภา. (2553). หลักภาษาไทย ฉบับนกั เรียน นกั ศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ธนธชั การพิมพ์. วเิ ชยี ร เกษประทุม. (2545). ร ล และค้าควบกล้า. กรงุ เทพฯ: พฒั นาศกึ ษา. วิเชียร เกษประทมุ . (2551). แบบฝกึ หัดออกเสยี ง ร ล และคา้ ควบกลา้ . กรงุ เทพฯ: พัฒนาศกึ ษา. ศริ ิวรรณ แกว้ จรญั . (2561). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยเร่ือง ค้าควบกล้า ส้าหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีท่ี 4. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศึกษา). มหาวิทยาลยั บูรพา. สนทิ ต้งั ทวี. (2538). การใช้ภาษาเชิงปฏบิ ตั .ิ พมิ พค์ รั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ: โอ.เอส.พร้นิ ติ้งเฮ้าส์. สมนึก ภัททิยธนี. (2551). การวัดผลการศกึ ษา (พิมพ์ครังท่ี 6). กาฬสนิ ธ์ุ: ประสานการพิมพ.์ สมประสงค์ เสนารตั น์ และเบญจมาภรณ์ เสนารตั น์. (2561). การวิจยั ทางการศกึ ษา. พิมพค์ รงั้ ที่ 3 มหาสารคาม: อภิชาตการพมิ พ์ สายสุนีย สกุลแก้ว. (2533). การพัฒนาชุดฝกึ ทักษะการอา่ นภาษาไทยเพอ่ื จับใจความของนกั เรยี น ชันประถมศึกษาปีท่ี 6. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (ภาษาไทย). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาลง กรณมหาวิทยาลัย. ถา่ ยเอกสาร. สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาต.ิ (2551). แบบฝึกออกเสยี งเพอ่ื แกข้ อ้ บกพร่องใน การออกเสียงภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพอ์ งคก์ ารค้าของ สกสค. สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ. (2553). คู่มอื การเรยี นการสอนภาไทยระดับ ประถมศกึ ษาภาษาไทย สาระทีค่ วรร้.ู กรุงเทพฯ: ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สานกั นายยกรัฐมนตรี. (2542). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขันพืนฐานพทุ ธศกั ราช 2542. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว. สุคนธ์ สินธพานนท.์ (2551). นวัตกรรมการเรยี นการสอนเพ่ือพฒั นาคุณภาพของเยาวชน. พิมพค์ รง้ั ที่: 2. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ9์ 119 เทนนคิ พริน้ ตง่ิ . สุคนธ์ สินธพานนท.์ (2553). นวัตกรรมการเรยี นการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์9119 เทนนิคพร้นิ ติง่ .

81 สดุ าพร ลักษณยี นาวิน. (2553). การเรยี นรสู้ ู่การเปลีย่ นแปลง. กรุงเทพฯ: สมาคมเครอื ขา่ ยการ พัฒนาวชิ าชพี อาจารยแ์ ละองค์กรระดับอดุ มศึกษาแหง่ ประเทศไทย. สดุ ารัตน์ เอกวาณิช. (2520). การสร้างแบบฝึกการอา่ นคาท่ใี ชค้ า ร ล ว ควบกล้า สาหรบั ชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี 4. วทิ ยานพิ นธค์ รศุ าสตรมมหาบัณฑิต จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สุนันทา สนุ ทรประเสรฐิ . (2547). การสรา้ งส่อื การสอนและนวตั กรรมการเรยี นรู้ส่กู ารพัฒนา ผู้เรยี น. ราชบรุ :ี ธรรมรักษก์ ารพมิ พ.์ สมปอง แต้มทอง. (2555). สุมลมาลย์ เอตริ ัตนะ. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะการอา่ นออกเสียงคา้ ควบกล้า ส้าหรับ นักเรียนชันมัธยมศึกษาปีท่ี 1. วิทยานิพนธ์ ค.บ. (การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการ สอน). มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธาน.ี สุวิทย์ มูลคา และสุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2550). ผลงานทางวิชาการสู่การเล่ือนวิทยฐานะ. กรงุ เทพฯ: อเี ค บคุ ส์. อรุณี ล้อคา. (2547). การสร้างแบบฝึกหัดการอ่านออกเสียงค้าควบกล้า ส้าหรับนักเรียนชัน ประถมศกึ ษา ปีที่ 2 วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน) คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา. องั ชรินทร์ ทองปาน. (2561). การพฒั นารูปแบบการสอนอา่ นเชงิ วชิ าการโดยใช้ภาระงานเป็นฐาน และกลยุทธ์ด้านการเรียนรู้ค้าศัพท์เพ่ือส่งเสริมความสามารถทางการอ่านเชิงวิชาการ ความรู้ด้านค้าศัพท์และการใช้กลยุทธ์ส้าหรับนักศึกษาครูมหาวิทยาลัยราชภัฏ . วิทยานพิ นธ์ ปร.ด. (สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน(การสอนภาษาองั กฤษ). บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. อาไพพรรณ สวนสอน. (2559). การพฒั นาฝกึ ทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษเพือ่ ความเข้าใจส้าหรับ ชันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล. (2551). และคนอ่ืน ๆ. สอ่ื การเรียนรู้ รายวชิ าพนื ฐาน ชุดแมบ่ ทมาตรฐาน หลกั สูตรแกนกลางฯ ภาษาไทย ชันประถมศึกษาปีที่ 3. กรงุ เทพฯ: อักษรเจรญิ ทศั น์. Aliasgari, Riahinia, & Mojdehavar. (2010). Education, Business and Society: Contemporary Middle Eastern Issues Emerald Article: Computerassisted instruction and student attitudes towards learning mathematics. Education, Business and Society: Contemporary Middle Eastern Issues, 3(1), 6-14. Carter, M. B. (2004). An Analysis and comparison of the effects of computer assisted instruction

82 versus traditional lecture instruction on student attitudes and achievement in a college remedial mathematics course. Dissertation Abstracts International, 65(4), 1288-A; October. Dunn, C. A. (2002). An Investigation of the effects of computer-assisted reading instruction versus traditional reading instruction on selected high school freshmen. Dissertation Abstracts International, 62(9), 3002 A; March. Jafer, Y. J. (2003). The effects computer-Assisted instruction on fourth-Grade students’achievement and attitudes toward desrt issues. Dissertation Abstracts International, 64(3), 846-A; September. Maslow, A. H. (1970). Motivation and personality. New York: Harper and Row. Sterling, J. E. (2002). Reinventing music theory pedagogy: The development and use of a CAI program to guides students in the analysis of musical form. Dissertation Abstracts International, 63(6), 2044-A; December.

83 ภาคผนวก

84 ภาคผนวก ก แบบประเมนิ ความเหมาะความสมสา้ หรบั ผเู้ ชย่ี วชาญต่อแบบฝกึ ทกั ษะ

85 แบบประเมนิ ความเหมาะความสมสา้ หรบั ผ้เู ช่ียวชาญต่อแบบฝกึ ทกั ษะเพ่ือ ส่งเสรมิ การอา่ นคา้ ควบกลา้ สา้ หรับนกั เรยี นชนั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 (สา้ หรับผเู้ ชย่ี วชาญ 5 ทา่ น) ค้าชีแจง โปรดพิจารณาว่าแบบฝึกทักษะเพ่ือส่งเสริมการอ่านคาควบกล้า สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีความเหมาะสมตรงตามองค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีกาหนดหรือไม่ โดยเขียน เคร่ืองหมาย / ลงในชอ่ ง “ระดับความเหมาะสม” ตามความคดิ ของทา่ น ดังนี้ 5 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดบั มากทส่ี ุด 4 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดับมาก 3 หมายถงึ มีความเหมาะสมในระดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดบั นอ้ ย 1 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดบั น้อยทสี่ ดุ รายการ ระดบั ความพึงพอใจ 5 4321 1. ค่มู อื สามารถชี้แนะแนวทางใหน้ กั เรียนปฏิบตั ิไดบ้ รรลุตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ 2. รายละเอยี ดของแบบฝึกทักษะชัดเจน เหมาะสม 3. แผนการจดั การเรียนรู้ตวั ช้ีวดั ช้ันปี และสาระการเรียนรู้สอดคลอ้ งกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ 4. แผนการจัดการเรยี นรู้มกี ิจกรรมการเรียนรเู้ หมาะสมกับจุดประสงคแ์ ละสาระ การเรยี นรู้ 5. แบบฝึกทักษะมขี นาดของสอ่ื ที่เหมาะสม 6. เน้อื หาทกี่ าหนดในกจิ กรรมการเรยี นร้มู คี วามเหมาะสมกับผู้เรยี น 7. กจิ กรรมมีความเหมาะสมกบั ผู้เรยี น 8. แบบฝึกทกั ษะมีรปู ภาพ สีสนั มกี ารวางรูปแบบทดี่ ี 9. เวลาท่ีใช้ในการทาแบบฝกึ ทกั ษะเพยี งพอและเหมาะสม 10.แบบฝกึ ทกั ษะมีความนา่ สนใจและหลากหลาย 11.ข้ันตอนของแบบฝึกทักษะนกั เรียนสามารถปฏบิ ตั ิได้

86 รายการ ระดบั ความพงึ พอใจ 5 4321 12. แบบฝกึ ทกั ษะมคี วามทา้ ทายความสามารถของนักเรยี น 13. กิจกรรมแบบฝกึ ทกั ษะทาให้ผู้เรยี นร้คู าศพั ทภ์ าษาไทยเพิม่ ขนึ้ 14. แบบฝกึ ทกั ษะสง่ เสริมให้ผู้เรียนได้ใชค้ วามคิดโดยอาศัยความรแู้ ละความเข้าใจ เดมิ เป็นพ้ืนฐาน 15. แบบฝกึ ทักษะชว่ ยให้นกั เรียนมีความสามารถและเกิดทกั ษะการใชภ้ าษาไทยได้ 16. ผู้เรยี นได้รบั ความรู้ จากแบบฝกึ ทกั ษะน้ี 17. ผู้เรยี นสามารถนาความรไู้ ปใชใ้ นชีวติ ประจาวันได้ 18. นกั เรียนมเี จตคตทิ ่ีดีตอ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นเพม่ิ เตมิ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ........................................... ผู้เชี่ยวชาญ (......................................................)

87 ภาคผนวก ข แบบประเมินคณุ ภาพแบบทดสอบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

88 แบบประเมนิ คุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เพ่ือหาคา่ IOC สา้ หรบั ผู้เช่ียวชาญดา้ นวดั และประเมนิ ผลทเ่ี ป็นแบบฝึกทกั ษะเพอ่ื สง่ เสริม การอ่านค้าควบกลา้ ส้าหรบั นกั เรยี นชันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 (ส้าหรบั ผเู้ ชี่ยวชาญ 5 ทา่ น) คา้ ชีแจง ผ้เู ชี่ยวชาญโปรดแสดงความคิดเหน็ ของท่านทีม่ ีต่อแบบฝกึ ทกั ษะเพอ่ื ส่งเสริมการอา่ นคา ควบกลา้ สาหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยทาเคร่อื งหมาย/ลงในชอ่ งความคดิ เห็นของท่าน พร้อมเขยี นขอ้ กาหนดของความคิดเหน็ ดงั ต่อไปน้ี +1 หมายถึง แนใ่ จว่าสอดคล้องกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ สอดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ -1 หมายถงึ ไมส่ อดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ลกั ษณะการวัด ข้อท่ี จ้านวนข้อ 1-25 25 ๑. นกั เรียนสามารถ อธบิ ายความหมายของ อกั ษรควบกล้าได้ ๒. นกั เรยี นสามารถ อธบิ ายลักษณะ ประเภทของอักษรควบ กล้าได้ วดั ความสามารถในดา้ น ๓. นกั เรียนสามารถแยก การอ่าน การเขยี น คาควบกลา้ คาทเ่ี ป็นอกั ษรควบแท้ และควบไมแ่ ทไ้ ด้ ๔. นักเรียนสามารถอ่าน ออกเสียงคาควบกล้าได้

89 ขอ้ สอบขอ้ ที่ แบบประเมนิ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ข้อเสนอแนะ เรอื่ ง คา้ ควบกล้า สา้ หรับนักเรียนชนั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 1 2 ความคดิ เห็น 3 +1 0 -1 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 ลงช่อื …………………………………………ผปู้ ระเมนิ (……………………………………………..) ตาแหนง่ ………………………………………. ………./…………/…………

90 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น (แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน) 1. คำ้ วำ่ “อกั ษรควบ” จะตอ้ งมพี ยญั ชนะทงั หมดกี่ตวั ก. 1 ตวั ข. 2 ตวั ค. 3 ตัว ง. ไม่ต่้ำกวำ่ 2 ตัว 2. ค้ำควบกลำ้ ในภำษำไทยมกี ่ชี นดิ ก. 1 ตัว ข. 2 ชนิด ค. 3 ชนดิ ง. 4 ชนดิ ๓. ข้อใดเป็นพยัญชนะที่ออกเสยี งควบกลำ้ ก. ผว กว กร ข. พร ขร นว ค. ปร มร พล ง. คว ปล กร ๔. คำ้ ในขอ้ ใดเป็นลกั ษณะของคำ้ ควบกล้ำไดอ้ ย่ำงเดยี ว ก. ปลอม ข. ปรอท ค. แปรก ง. ปรติ ร ๕. คำ้ ควบกลำ้ ในขอ้ ใดเป็นค้ำควบแท้ ก. กองทรำย ข. พทุ รำ ค. ทรพั ย์สนิ ง. นทิ รำ ๖. ค้ำในข้อใดเป็นค้ำควบกล้ำของไทย ก. ฟรี ข. ปลงิ ค.บรอนซ์ ง. กรัม ๗. ข้อใดถูกต้อง ก. สรำ้ ง เปน็ ค้ำควบกลำ้ ไม่แท้ ข. โทรม เป็นค้ำควบกลำ้ แท้ ค. กลวั เป็นคำ้ ควบกล้ำไมแ่ ท้ ง. เกรง เปน็ คำ้ ควบกลำ้ ไมแ่ ท้ ๘. ขอ้ ใดอำ่ นถกู ต้อง ก. ไทร อำ่ นว่ำ ไซ ข. ปรับ อำ่ นว่ำ ปะ-รบั ค. เพลง อ่ำนว่ำ เพ-ลง ง. ทรดุ โทรม อำ่ นว่ำ ทรดุ -โทรม 9. ขอ้ ใดมีค้ำท่ีเป็นคำ้ ควบกลำ้ ไมแ่ ท้ทีอ่ อกเสยี งเพียงพยญั ชนะตัวเดียว ก. นำงสำวชะม้อยกบั นำยสมทรง ข. นำยทรงพลกบั คนหนำ้ เครยี ด ค. นำงสำวจรงิ ใจกบั นำยแสนดี ง. นำยกฤษฎำผ้อู ำภัพกบั ควำมกลุ้ม 1๐. “ตน้ ไทรตน้ นีมนี กมำสร้ำงรงั อยู่ พวกเรำอย่ำเอำไมไ้ ปขว้ำงนะ” จำกขอ้ ควำมมีค้ำควบกลำ้ แทแ้ ละเป็นค้ำควบกล้ำไม่แท้อยำ่ งละก่ีค้ำ ก. ควบแท้ 1 ควบไม่แท้ 2 ข. ควบแท้ 1 ควบไมแ่ ท้ 3 ค ควบแท้ 2 ควบไมแ่ ท้ 1 ง. ควบแท้ 2 ควบไมแ่ ท้ 2 1๑. ประโยคตอ่ ไปนี มคี ้ำควบแท้กี่ค้ำ “ลกู มันคนจน ขำดคนจริงใจควำมหมำยไม่พอ ฐำนะคือ จนแท้หนอ ขอพรหลวงพอ่ ช่วยที” ก. 1 คำ้ ข. 2 ค้ำ ค. 4 คำ้ ง. 5 คำ้ ๑2. คำ้ ควบกล้ำในขอ้ ใดแตกต่ำงจำกข้ออื่น ก. ควำมรู้ ข. ทรำมวยั ค. กวำดบำ้ น ง. ครอบครัว

91 ๑3. ขอ้ ใดไม่ใช่อักษรควบชนิดเดยี วกบั คำ้ ว่ำ “อินทรี” ก. ทรำมวยั ข. กองทรำย ค. กวำ้ งไกล ง. สร้ำงสรรค์ ๑4. ทุกข้อมอี ักษรควบแทย้ กเว้นข้อใด ก. บำ้ นของเขำอย่ไู ม่ไกลจำกโรงเรียน ข. คุณครตู รวจกำรบำ้ นนักเรียน ค. กวำงตวั ผู้จะมีเขำสวยงำม ง. วดั แหง่ นีทรุดโทรมมำก ๑5. ข้อใดใช้อกั ษรควบตำ่ งจำกขอ้ อืน่ ก. ควำมกลวั ข. เศร้ำโศก ค. ขวำงกนั ง. กรำบ ๑6. ขอ้ ใดเป็นอกั ษรควบชนดิ เดยี วกับ คำ้ ว่ำ “พริง” ก. ครำม ข. สร้ำง ค. เศรำ้ ง. จรงิ ๑7. อกั ษรควบในขอ้ ใดต่ำงจำกขอ้ อืน่ ก. ไซร้ ข. เศรำ้ ค. สรำ้ ง ง. เครำะห์ ๑8. ขอ้ ใดเปน็ ค้ำทใี่ ช้อกั ษรควบแทท้ กุ ค้ำ ก. เศรำ้ ซมึ ครอบครวั ปรำบปรำม ข. ทรุดโทรม ครกึ ครนื ขวำกหนำม ค. กรองนำ้ ควันไฟ พร้อมเพรยี ง ง. เรือ่ งจรงิ หำดทรำย ศรัทธำ ๑9. ข้อใดมีค้ำทใ่ี ช้อักษรควบแทม้ ำกท่ีสดุ ก. ขวัญเจ้ำเอยเจ้ำพระยำขวัญหลำ้ แหล่ง ข. ช่ืนบำนแขง่ ขวญั ฟ้ำอ่ำอปั สร ค. เชิญขวญั ชมช่ืนใจในสำคร ง. ฟงั เพลงกลอนกล่อมขวญั บรรเลงเอย ๒0. ประโยคใดไม่มีคำ้ ควบกล้ำ ก. วิทยำเปรยี บด้วยกำ้ ลงั เหมำะ ข. สจุ ริตคือเกรำะกำ้ บงั ได้ ค. ปัญญำคืออำวธุ ยุทธวชิ ยั ง. สติไซร้คุมพลยทุ ธนำ ๒1. “ประเสรฐิ ” อำ่ นอยำ่ งไร ก. ประ-เสริด ข. ประ–เสดิ ค. ประ-เสรฐิ ง. ประ-เซิด ๒๒. “ซุดโซม” เป็นคำ้ อำ่ นของข้อใด ก. ทุดโทม ข. ทรุดโทรม ค. ซุดโทรม ง. ทรุดโซม 2๓. “สรอ้ ย” อ่ำนอย่ำงไร ก. ซอ้ ย ข. สร้อย ค. สอ้ ย ง. ทอ้ ย ๒๔. คำ้ ในขอ้ ใดที่ควบกลำ้ แลว้ ออกเสียงเปน็ พยัญชนะตวั อื่น ก. ก่อสรำ้ ง ข. กองทรำย ค. ซมึ เศรำ้ ง. จรงิ ใจ ๒๕. ข้อใดมีค้ำควบไมแ่ ท้ ก. ก่อกองทรำย ข. ใบไม้ทหี่ ำยไป ค. ตล่ิงสงู ซุงหนัก ง. เจำ้ จนั ทร์

92 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น 1. คำ้ ว่ำ “อกั ษรควบ” จะตอ้ งมพี ยัญชนะทังหมดกี่ตวั ก. 1 ตัว ข. 2 ตวั ค. 3 ตวั ง. ไมต่ ่้ำกวำ่ 2 ตัว 2. คำ้ ควบกลำ้ ในภำษำไทยมีก่ีชนิด ก. 1 ตวั ข. 2 ชนิด ค. 3 ชนดิ ง. 4 ชนดิ ๓. ขอ้ ใดเปน็ พยญั ชนะทีอ่ อกเสียงควบกล้ำ ก. ผว กว กร ข. พร ขร นว ค. ปร มร พล ง. คว ปล กร ๔. คำ้ ในขอ้ ใดเปน็ ลักษณะของคำ้ ควบกล้ำได้อยำ่ งเดยี ว ก. ปลอม ข. ปรอท ค. แปรก ง. ปรติ ร ๕. ค้ำควบกลำ้ ในข้อใดเป็นค้ำควบแท้ ก. กองทรำย ข. พุทรำ ค. ทรัพย์สิน ง. นทิ รำ ๖. คำ้ ในข้อใดเป็นค้ำควบกล้ำของไทย ก. ฟรี ข. ปลิง ค.บรอนซ์ ง. กรัม ๗. ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง ก. สร้ำง เปน็ คำ้ ควบกลำ้ ไมแ่ ท้ ข. โทรม เปน็ ค้ำควบกลำ้ แท้ ค. กลวั เปน็ คำ้ ควบกลำ้ ไมแ่ ท้ ง. เกรง เปน็ ค้ำควบกล้ำไมแ่ ท้ ๘. ข้อใดอ่ำนถูกต้อง ก. ไทร อำ่ นว่ำ ไซ ข. ปรับ อ่ำนวำ่ ปะ-รบั ค. เพลง อ่ำนว่ำ เพ-ลง ง. ทรดุ โทรม อำ่ นวำ่ ทรุด-โทรม 9. ขอ้ ใดมีค้ำท่ีเป็นค้ำควบกล้ำไม่แท้ทีอ่ อกเสียงเพียงพยญั ชนะตัวเดียว ก. นำงสำวชะม้อยกับนำยสมทรง ข. นำยทรงพลกบั คนหน้ำเครียด ค. นำงสำวจริงใจกับนำยแสนดี ง. นำยกฤษฎำผู้อำภพั กับควำมกลุ้ม 1๐. “ตน้ ไทรตน้ นมี นี กมำสร้ำงรังอยู่ พวกเรำอย่ำเอำไม้ไปขว้ำงนะ” จำกขอ้ ควำมมีคำ้ ควบกลำ้ แทแ้ ละเปน็ ค้ำควบกล้ำไม่แท้อย่ำงละกี่ค้ำ ก. ควบแท้ 1 ควบไม่แท้ 2 ข. ควบแท้ 1 ควบไมแ่ ท้ 3 ค ควบแท้ 2 ควบไมแ่ ท้ 1 ง. ควบแท้ 2 ควบไมแ่ ท้ 2 1๑. ประโยคตอ่ ไปนี มคี ำ้ ควบแทก้ ี่ค้ำ “ลูกมนั คนจน ขำดคนจรงิ ใจควำมหมำยไมพ่ อ ฐำนะคือ จนแทห้ นอ ขอพรหลวงพอ่ ช่วยที” ก. 1 ค้ำ ข. 2 ค้ำ ค. 4 คำ้ ง. 5 ค้ำ ๑2. คำ้ ควบกล้ำในข้อใดแตกต่ำงจำกขอ้ อน่ื ก. ควำมรู้ ข. ทรำมวยั ค. กวำดบำ้ น ง. ครอบครัว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook