Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2564)

วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2564)

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-07-13 08:29:23

Description: 16968-5723-PB

Search

Read the Text Version

94 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตร์และการสื่อสาร มีนาคม ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2563 และยุติการเก็บข้อมูล มนุษย์ และเป็นกระบวนการที่จะถ่ายทอดภูมิความรู้แก่คนใน เมื่อไม่มีผู้ตอบแบบสอบถามออนไลน์เพิ่มเติม ท้ังน้ี มีผู้ตอบ ชาติ ปัจจุบันมีหลักยืดถือที่ว่า มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ต้ังแต่เกิด แบบสอบถามออนไลน์ จ�ำนวนทั้งส้ิน 256 คน จนตายที่เป็นกระบวนการศึกษาต่อเนื่องปราศจากการหยุดน่ิง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในการพัฒนาศักยภาพ แนวคิดและทฤษฎี ให้สามารถด�ำรงชีวิตอยู่ในโลกแห่งการเปล่ียนแปลง ด้วยเหตุ นี้โอกาสก้าวหน้าในชีวิตส่วนหนึ่งของบุคคลข้ึนอยู่กับโอกาส 1. ความต้องการทางการศึกษา ได้มีผู้ศึกษาและให้ ทางการศึกษา ที่เป็นพื้นฐานส�ำคัญในการสร้างความส�ำเร็จใน ความหมายของความต้องการทางการศึกษาไว้อย่างกว้างขวาง ชีวิตการท�ำงาน จะเห็นได้ว่าการแสวงหาความรู้ในระดับบัณฑิต โดยสามารถอธิบายถึงรายละเอียดได้ ดังนี้ ศึกษาถือเป็นการศึกษาขั้นสูง การส่งเสริมให้ทรัพยากรบุคคลได้ รับการศึกษาจะน�ำไปสู่การเพิ่มบัณฑิตท่ีมีความรู้ความสามารถ ค�ำว่า “ความต้องการ” ในความหมายท่ัวไปเป็น ทเ่ี ออ้ื อำ� นวยให้ประเทศเกดิ การพฒั นาทง้ั ทางดา้ นเศรษฐกจิ และ สภาวะทางชวี จติ วทิ ยา สามารถแบ่งไดเ้ ป็นสองประเภทคอื 1) สังคม (ลภัสรินทร์ รัตนบุรี, 2558) ความตอ้ งการขน้ั พื้นฐานของมนษุ ย์ ซ่งึ ได้แก่ ความต้องการทาง กายภาพ ความตอ้ งการเจรญิ เตบิ โต ความตอ้ งการความปลอดภยั การเตรียมตัวและเตรียมข้อมูลที่เหมาะสมกับการ 2) ความต้องการประสบการณ์ใหม่ ความต้องการความส�ำเร็จ ตัดสินใจในการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาจึงเป็นส่ิงที่จ�ำเป็น โดย ความต้องการยอมรับว่าตนเองมีคุณค่า (มุกดา ศรียงค์ และ มีหลักพิจารณา ดังนี้ (ประพนธ์ ล้ิมธรรมมหิศร, 2544) คณะ, 2563) ท่ีเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ Maslow (1970 pp. 80-92) นักจิตวิทยาท่ีมีช่ือเสียงในด้านทฤษฎีของความ 1) การพิจารณาเลือกสาขาท่ีจะศึกษาต่อ ซ่ึงจ�ำเป็น ตอ้ งการอธบิ ายวา่ ความตอ้ งการของมนษุ ยม์ ลี ำ� ดบั ขน้ั โดยจะเรมิ่ ต้องพิจารณาข้อมูลต่อไปน้ี จากความต้องการระดับที่ 1 ความต้องการข้ันพื้นฐานคือความ ต้องการทางกาย ระดับที ่ 2 ความตอ้ งการความปลอดภัย ระดบั (1) ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อรู้จักวิเคราะห์ ที่ 3 ความตอ้ งการความรกั และความเปน็ เจา้ ของ ระดบั ท่ี 4 ความ และส�ำรวจตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น อุปนิสัย บุคลิกภาพ ที่ ตอ้ งการเกยี รตยิ ศชอื่ เสยี ง และระดบั ท่ี 5 ความตอ้ งการเขา้ ใจและ เหมาะกับการเรียนแต่ละสาขา ความถนัด ค่านิยม ความ เป็นตัวของตัวเองอย่างถ่องแท้ เป็นการพัฒนาเพื่อความส�ำเร็จ สนใจ สติปัญญา หมายถึงความสามารถในการคิดค้น หาเหตุ ของตัวเอง และอยากแสดงความสามารถที่มีสูงสุดของตนเอง ผล วิเคราะห์ สื่อความหมาย รวมถึงสุขภาพและลักษณะทาง แก่ผู้อื่นในสังคมรวมทั้งความอยากรู้อยากเห็นด้วย นอกจากน้ี ร่างกายท่ีสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการเรียน Knowles (1980 p.26) ได้สรุปว่า ความต้องการทางการศึกษา เปน็ สงิ่ ทบี่ คุ คลแสวงหาในการเรยี นรเู้ พอ่ื พฒั นาตนเองเพอ่ื พฒั นา (2) ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาระดับบัณฑิต หน่วยงาน หรือเพื่อพัฒนาสังคมให้ดีข้ึน ความต้องการทางการ ศึกษา ผู้ท่ีจะเข้าศึกษาต่อจะต้องรู้จักแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยว ศกึ ษาเปน็ ชอ่ งวา่ งระหวา่ งระดบั สมรรถภาพในปจั จบุ นั ของบคุ คล กับการศึกษา เช่น ลักษณะการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาท่ี และระดับสมรรถภาพที่คาดหวงั ในระดับที่สูงข้ึน เน้นการศึกษาด้วยตนเองและกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติเป็น หลัก ข้อมูลด้านระบบการศึกษา หลักสูตร สาขาวิชา การ 2. แนวคิดการศึกษาต่อระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญา จัดการศึกษา ระยะเวลาในการศึกษา สถาบันอุดมศึกษาของ โท) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการและความส�ำคัญของ รัฐ คุณสมบัติเฉพาะของแต่ละสาขาวิชา วุฒิที่ได้เมื่อส�ำเร็จ การแสวงหาความรู้และทักษะท่ีจ�ำเป็นต่อการน�ำไปใช้ในการ การศึกษา สาขาท่ีเลือกเรียนจ�ำเป็นต้องมีพ้ืนฐานอะไรในระดับ ด�ำเนินชีวิต ที่บุคคลจ�ำเป็นจะต้องพัฒนาทักษะ เจตคติ และ ปริญญาตรี คุณสมบัติของผู้สมัครแต่ละสาขา และสาขาที่เรียน พฤติกรรมให้สามารถด�ำรงชีพได้อย่างปกติสุข ช่วยเสริมสร้าง นั้นสอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานหรือไม่ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับมาตรฐาน ชีวิตของประชาชนในสังคมให้สูงขึ้น ช่วยกล่อมเกลาจิตใจ (3) ข้อมูลเก่ียวกับการวางแผนประกอบ อาชีพในอนาคต (4) งบประมาณและแหล่งทุนการศึกษา

ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 95 2) การตัดสินใจ หลังจากได้ข้อมูลจากการวางแผนการ Correlation) โดยแบบสอบถามความคิดเห็นต่อหลักสูตรวิทยา ศึกษาต่อดังท่ีกล่าวมาข้างต้น ประกอบการตัดสินใจให้เหมาะสม ศาสตรมหาบัณฑิต มีค่าอ�ำนาจจ�ำแนกอยู่ระหว่าง .242 - .717 กับตัวเองและมีความเป็นไปได้มากท่ีสุด ถึงขั้นน้ีก็จะสามารถ ตรวจสอบความเชื่อมั่น (Reliability) ด้วยวิธีการหาสัมประสิทธิ์ ตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกเรียนท่ีไหน เมื่อไหร่ หลังจากการ ของอัลฟาครอนบาค ได้เท่ากับ .749 ส่วนแบบสอบถามความ ศึกษาระดับปริญญาตรีหรือหลังจากท�ำงานได้ระยะหน่ึง และ ต้องศึกษาต่อหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา จะเรียนสาขาอะไร อย่างไร ภาคปกติหรือภาคพิเศษ จิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง การมีค่าอาจจ�ำแนกอยู่ ระหว่าง .272 - .777 ค่าความเช่ือม่ันเท่ากับ .808 3) การเตรียมความพร้อมส�ำหรับการเรียนระดับ บัณฑิตศึกษา การเรียนในระดับน้ีเป็นการเรียนท่ีเน้นการศึกษา สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ หาความรู้ด้วยตนเอง ผู้ท่ีจะเข้าเรียนจึงควรพัฒนาตนเองให้ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ รักการอ่าน ติดตามข่าวสาร ติดตามความ เป็นไปของสังคม ผลการศึกษา วิธีการศึกษา 1. ข้อมูลท่ัวไปและความคิดเห็นของผู้ส�ำเร็จการ ศึกษาในระดับปริญญาตรีต่อความสนใจศึกษาหลักสูตรวิทยา ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือผู้ส�ำเร็จการศึกษาใน ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ระดับปริญญาตรีที่สนใจศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรมหา จากผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นหญิง บัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง มีวิธีการ คิดเป็นร้อยละ 73.8 มีอายุอยู่ระหว่าง 25-30 ปี คิดเป็นร้อย สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและสมัครใจตอบแบบสอบถาม ละ 40.6 อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร คิดเป็นร้อยละ 68.4 มี ผ่านระบบออนไลน์ โดยด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วง สถานภาพสมรสคือโสด คิดเป็นร้อยละ 85.9 ประกอบอาชีพ เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2563 ได้กลุ่มตัวอย่าง พนักงานเอกชน คิดเป็นร้อยละ 27.6 มีประสบการณ์ในการ จ�ำนวน 256 คน ท�ำงานน้อยกว่า 5 ปี คิดเป็นร้อยละ 53.9 มีรายได้ต่อเดือน 15,001-20,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 29.3 สาขาวิชาที่ส�ำเร็จ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามความ การศึกษาในระดับปริญญาตรีคือสาขาจิตวิทยา คิดเป็นร้อยละ ต้องการศึกษาต่อหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา 59 ผลการศึกษาเฉลี่ยในระดับปริญญาตรี 2.51-3.00 คิดเป็น จิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ (1) ร้อยละ 43 มคี วามความสนใจและจะสมคั รเรยี นอยา่ งแน่นอนใน ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง (2) แบบสอบถามความคิดเห็นต่อ การศึกษาต่อระดับปริญญาโทหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต โครงสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา สาขาจิตวิทยา คิดเป็นร้อยละ 60.9 ส่วนช่องทางการติดต่อเพ่ือ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง และ (3) แบบสอบถามความต้องการ รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับการเปิดหลักสูตรวิทยาศาสตรมหา ศึกษาต่อหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา บัณฑิต สาขาจิตวิทยา คือประกาศลงเว็บไซต์คิดเป็นร้อยละ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง เกี่ยวกับเนื้อหารายวิชา การตรวจ 40.6 รองลงมาคือ อีเมล์ คิดเป็นร้อยละ 34.9 สอบความตรงเชิงเน้ือหาของเคร่ืองมือวิจัยโดยอาศัยดุลยพินิจ ของผู้เช่ียวชาญจ�ำนวน 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีช้ีวัดความสอดคล้อง 2. จุดมุ่งหมายและความสนใจของผู้ส�ำเร็จการศึกษา ของข้อค�ำถามกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด (IOC) เท่ากับ 1.00 ปริญญาตรีต่อหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ทุกข้อ ตรวจสอบค่าอ�ำนาจจ�ำแนกด้วยหาความสัมพันธ์ระหว่าง จิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ดังตาราง 1 คะแนนรายข้อกับคะแนน ท้ังฉบับ (Corrected Item-Total

96 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสือ่ สาร ตาราง 1 จ�ำนวนและร้อยละของผู้ส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีต่อจุดมุ่งหมายและความสนใจในหลักสูตรวิทยา ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง จากตาราง 1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจ ใหญ่สนใจศึกษาต่อในแผน ข. คิดเป็นร้อยละ 58.9 ส่วนวิชา ศึกษาต่อระดับปริญญาโทหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต เอกที่ผู้ตอบแบบสอบถามสนใจศึกษาต่อมากท่ีสุดคือวิชาเอกจิต สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง โดยมีจุดมุ่งหมาย วิทยาการปรึกษา คิดเป็นร้อยละ 57.8 ในการศกึ ษาเพอื่ เพม่ิ พนู ความรแู้ ละทกั ษะทางจติ วทิ ยามากทส่ี ดุ คิดเป็นร้อยละ 34.1 รองลงมาเพ่ือน�ำไปใช้ในการประกอบอาชีพ 3. ความคิดเห็นของผู้ส�ำเร็จการศึกษาปริญญาตรีต่อ คิดเป็นร้อยละ 20.9 และเป็นสาขาท่ีน่าสนใจ คิดเป็นร้อยละ โครงสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา 16.6 ตามล�ำดับ แผนการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถามส่วน มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ดังตาราง 2 และ 3

ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 97 ตาราง 2 จ�ำนวนและร้อยละความคิดเห็นของผู้ส�ำเร็จการศึกษาปริญญาตรีต่อโครงสร้างหลักสูตรวิทยา ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าจิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามคำ� แหง หลักสตู รแผน ก. (วิทยานพิ นธ)์ ตาราง 3 จ�ำนวนและร้อยละความคิดเห็นของผู้ส�ำเร็จการศึกษาปริญญาตรีต่อโครงสร้างหลักสูตรวิทยา ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าจติ วิทยา มหาวทิ ยาลัยรามค�ำแหง หลกั สตู รแผน ข. (การศึกษาคน้ ควา้ อสิ ระ)

98 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร จากตาราง 2 พบว่า โครงสร้างหลักสูตรแผน ก. หน่วยกิต ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความคิดเห็นว่ามี (วทิ ยานพิ นธ)์ กำ� หนดจำ� นวนหนว่ ยกติ ทงั้ หมดในหลกั สตู รเทา่ กบั ความเหมาะสมพอดี คิดเป็นร้อยละ 90.2 เม่ือพิจารณาเป็นราย 43 หน่วยกิต ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความคิดเห็นว่ามี หมวดวิชาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นว่าทุกหมวด ความเหมาะสมพอดี คดิ เปน็ ร้อยละ 87.9 เม่ือพิจารณาเปน็ ราย วิชามีความเหมาะสมพอดี คิดเป็นร้อยละต้ังแต่ 85.5-91.8 หมวดวิชาพบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามมคี วามคิดเห็นวา่ ทุกหมวด วิชามีความเหมาะสมพอดี คิดเป็นร้อยละต้งั แต่ 80.9-89.8 4. ความต้องการของผู้ส�ำเร็จการศึกษาปริญญา ตรีต่อเน้ือหารายวิชาทางจิตวิทยาของหลักสูตรวิทยาศาสตร จากตางราง 3 พบว่า โครงสร้างหลักสูตรแผน ข. มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง (การศึกษาค้นคว้าอิสระ) ก�ำหนดจ�ำนวนหน่วยกิตเท่ากับ 43 ดังตาราง 4 ตาราง 4 ความตอ้ งการของผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาปรญิ ญาตรตี อ่ เนอื้ หารายวชิ าทางจติ วทิ ยาของหลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหา บณั ฑติ สาขาวชิ าจิตวิทยา มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง จากตาราง 4 พบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามมคี วามสนใจ จิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการท�ำงาน คิดเป็นร้อยละ 15.5 ในเน้ือหากลุ่มวิชาเอกจิตวิทยาการปรึกษาในเน้ือหาวิชาเกี่ยว ตามล�ำดบั กับจิตวิทยาการเยียวยาและฟื้นฟูมากสุด คิดเป็นร้อยละ 20.5 รองลงมาคือการปรึกษาครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 20.0 และ นอกจากน้ี ผู้ตอบแบบสอบถามได้ให้ข้อเสนอแนะ ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม คิดเป็นร้อยละ 18.2 เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมและโครงการนอกเหนือจากรายวิชา ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามท่ีมีความสนใจเนื้อหากลุ่มวิชาเอกจิต เพ่ือพัฒนาทักษะและประสบการณ์ของนักศึกษา โดยหลักสูตร วิทยาอุตสาหกรรมและองค์การในเน้ือหาวิชาเก่ียวกับการปรับ ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง หรือมีการศึกษาดู พฤติกรรมในองค์การ คิดเป็นร้อยละ 28.0 รองลงมาคือการ งานในองค์การที่เก่ียวข้อง หรือองค์การที่ประสบความเสร็จและ ทดสอบและการประเมนิ ทางจติ วิทยา คดิ เป็นร้อยละ 21.6 และ ได้รับการยอมรับในการบริหารจัดการท่ีดี เพื่อเป็นตัวอย่างและ น�ำความรู้มาประยุกต์หรือปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์การของ

ปีที่ 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 99 ผู้เรียน รวมถึงมีการสัมมนาโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านน้ัน ๆ หรือ แผน ข ตอ้ งเรียนวชิ าเลือกมากกวา่ แผน ก จำ� นวน 9 หนว่ ยกติ การจัดการอบรมความรู้นอกสถานท่ี และมีการฝึกงานในสถาน ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นมโี อกาสไดเ้ ลอื กเรยี นเนอ้ื หาวชิ าทางจติ วทิ ยาทตี่ นเอง ประกอบการ สนใจ ทำ� ใหเ้ พมิ่ พนู ความรแู้ ละทกั ษะทางจติ วทิ ยาในการประกอบ อาชพี ได ้ สอดคลอ้ งกบั ผลการศกึ ษาทพี่ บวา่ ผตู้ อบแบบสอบถาม อภปิ รายผล ส่วนใหญ่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อเพ่ิมพูน ความรแู้ ละทกั ษะทางจติ วทิ ยา ตลอดจนสามารถนำ� ไปใชป้ ระกอบ จากผลการวจิ ยั ผวู้ จิ ยั นำ� ประเดน็ ทนี่ า่ สนใจมาอภปิ ราย อาชพี ในปัจจบุ นั นอกจากน้ีการเรยี นแผน ข ต้องลงเรยี นหมวด ดงั ตอ่ ไปน้ี วิชาศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (การศึกษาค้นคว้าอิสระ) อีก 3 หน่วยกิต ท�ำให้ผู้เรียนได้รับความรู้เก่ียวกับกระบวนการท�ำ 1. จากการวจิ ยั พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถามมวี ตั ถปุ ระสงค์ วิจัยเช่นเดียวกับการเรียนแผน ก ท่ีต้องท�ำวิจัยในรูปแบบของ ในการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชา วิทยานิพนธ์ท่ีมีความเข้มข้นมากกว่าการศึกษาค้นคว้าอิสระ ซึ่ง จิตวทิ ยา มหาวิทยาลัยรามคำ� แหง เพ่อื เพิ่มพนู ความรแู้ ละทกั ษะ การเรียนแผน ข สามารถเรียนจบในระยะเวลาที่ก�ำหนดไว้ได้ ทางจิตวทิ ยามากทีส่ ดุ รองลงมาคอื เพ่ือน�ำไปใช้ในการประกอบ มากกว่าแผน ก ทีผ่ ู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบ มีวนิ ยั ในการ อาชพี และเปน็ สาขาทีน่ า่ สนใจ ทัง้ นี้ อาจเน่ืองมาจากความรู้ทาง ศกึ ษาหาขอ้ มลู หรอื หวั ขอ้ ใหม่ ๆทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั มาปรกึ ษาอาจารย์ ศาสตร์จิตวิทยาเป็นการศึกษากระบวนความคิดและพฤติกรรม ที่ปรึกษาอย่างต่อเน่ืองจึงจะส�ำเร็จการศึกษาได้ตามก�ำหนด ของมนุษย์ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ จึงสามารถน�ำมาประยุกต์ สอดคล้องกับสุนทร โคตรบรรเทา (2560) ท่ีศกึ ษาแรงจูงใจและ ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง อีกท้ังท�ำให้มีความรู้ ความคาดหวงั ในการศกึ ษาปรญิ ญาโทของนกั ศกึ ษาบณั ฑติ ศกึ ษา ความช�ำนาญในการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ วทิ ยาลยั นครราชสมี า พบว่า บคุ คลมแี รงจงู ใจในการศกึ ษาระดบั ส่งผลต่อการได้รับการยอมรับทางสังคม และการปรับเพิ่มเงิน ปรญิ ญาโทดา้ นความรแู้ ละวชิ าชพี เพอื่ พฒั นาตนเองใหม้ คี วามรทู้ ่ี เดือนมากข้ึน ท�ำให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและ สงู ขนึ้ ด�ำเนินชีวิตอย่างมีความสุข สอดคล้องกับ Knowles (1980, p. 26) ที่กล่าวว่า ความต้องการทางการศึกษาเป็นส่ิงที่บุคคล 2. โครงสร้างหลักสูตรแผน ก. (วิทยานิพนธ์) และ แสวงหาในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองให้ส�ำเร็จในการด�ำเนิน หลักสูตรแผน ข. (การศึกษาอิสระ) ก�ำหนดจ�ำนวนหน่วยกิต ชีวิต รวมทั้งพัฒนาหน่วยงานและสังคมให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยัง เท่ากับ 43 หน่วยกิต ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความคิด สอดคล้องกับงานวิจัยของ พรรณพนัช จันหา และอัจฉริยา เห็นว่าจ�ำนวนหน่วยกิตท้ังหมดและรายวิชาของทุกหมวดวิชามี ปราบอริพ่าย (2558) ท่ีศึกษาเร่ืองปัจจัยท่ีมีผลต่อความต้องการ ความเหมาะสมพอดี ถงึ แมว้ า่ ประกาศของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารใน ศึกษาต่อระดับปริญญาโทท่ีหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ราชกจิ จานเุ บกษากำ� หนดใหโ้ ครงสรา้ งหลกั สตู รในระดบั ปรญิ ญา นักศึกษามีความสนใจและต้องการศึกษาต่อเนื่องจากต้องการ โทมจี ำ� นวนหนว่ ยกจิ รวมตลอดหลกั สตู รไมน่ อ้ ยกวา่ 36 หนว่ ยกติ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถให้ทันสมัยเพ่ือมีประโยชน์ต่อการ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2558, หน้า 14) แตผ่ ตู้ อบแบบสอบถาม ประกอบอาชีพในอนาคตที่จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจาก ยังให้ความคิดเห็นว่า จ�ำนวนหน่วยกิตทั้งหมด 43 หน่วยกิต มี เดิม ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ ทัศนีย์ ชาติไทย (2555) ที่ ความเหมาะสมพอดี เนอื่ งจากเนอ้ื หาวชิ าในหลกั สตู รวชิ าจติ วทิ ยา ศึกษาแรงจูงใจและความต้องการในการศึกษาต่อระดับบัณฑิต มีความหลากหลายและน่าสนใจในการน�ำไปประยุกต์ใช้ในการ ศึกษา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พบว่า นักศึกษามีความ ประกอบอาชีพ รวมถึงการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน สอดคล้อง ต้องการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อเพิ่มวุฒิการศึกษาให้สูง กับความคิดเห็นเพิ่มเติมของผู้ตอบแบบสอบถามที่ให้ข้อมูลว่า ขึ้นมากท่ีสุด รองลงมาคือต้องการมีความรู้และประสบการณ์ โครงสร้างหลักสูตรก�ำหนดจ�ำนวนหน่วยกิตในแต่ละหมวดวิชา เพิ่มข้ึน ไมม่ ากไมน่ อ้ ยเกนิ ไป สามารถทจ่ี ะเรยี นไดใ้ นระยะเวลาทก่ี ำ� หนด โดยไม่มีผลกระทบต่อการทำ� งาน ในด้านแผนการศึกษา ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ สนใจศกึ ษาตอ่ ในหลกั สตู รแผน ข. ทงั้ นอ้ี าจเนอ่ื งมาจาก การเรยี น

100 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการส่ือสาร 3. ผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจในเน้ือหากลุ่ม ในการทำ� งาน เปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั กบั แนวคดิ ของสทุ ธนิ นั ทน์ วิชาเอกจิตวิทยาการปรึกษาในเนื้อหาวิชาเก่ียวกับจิตวิทยาการ พรหมสุวรรณ (2558) ท่กี ล่าววา่ คนทกุ คนไม่สามารถหลกี เลีย่ ง เยียวยาและฟื้นฟูมากสุด รองลงมาคือการปรึกษาเชิงจิตวิทยา การเปลีย่ นแปลงได้ หากการเปลี่ยนแปลงในครัง้ นเ้ี ปน็ ฉนั ทามติ และครอบครัว และทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม ของคนสว่ นใหญแ่ ละเปน็ เรอื่ งทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ คนหมมู่ าก เนื่องจากต้องการน�ำทักษะและความรู้ประยุกต์ใช้ในการท�ำงาน และประเทศชาติ กต็ อ้ งมกี ารปรบั พฤตกิ รรมและเจตคตใิ หเ้ ขา้ กบั และการด�ำเนินชีวิตที่เก่ียวข้องกับการให้ความช่วยเหลือในรูป การเปลยี่ นแปลงนน้ั ทง้ั นเี้ พอื่ ความอยรู่ อดของตนเองและการอยู่ แบบตา่ ง ๆ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากความคดิ เหน็ เพมิ่ เตมิ ของ ร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุขและน�ำไปสู่การพัฒนาร่วมกันใน ผตู้ อบแบบสอบถามทสี่ นใจศกึ ษาตอ่ วชิ าเอกจติ วทิ ยาการปรกึ ษา อนาคต อีกท้ังผู้ตอบแบบสอบถามที่สนใจศึกษาต่อวิชาเอกจิต วา่ ตอ้ งการเรยี นรแู้ ละฝกึ ทกั ษะเกย่ี วกบั การฟน้ื ฟสู มรรถภาพทาง วิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ท่ีให้ข้อมูลเพ่ิมเติมว่า มีความ จิตของบุคคลให้มีความรู้มีความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น ที่จะเป็น สนใจอยากศึกษาในเน้ือหาวิชาเก่ียวกับการปรับพฤติกรรมของ ประโยชนต์ ่อการช่วยเหลอื บุคคลท่เี ข้ามารับบริการทางจติ วิทยา บุคคลที่จะช่วยให้มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาบุคคลใน เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพทาง องคก์ ารใหเ้ ปน็ บุคลากรมีศักยภาพในการทำ� งานมากยิง่ ขึ้น จิตเวชสสู่ ุขภาวะของโรงพยาบาลศรธี ัญญา (2559, หน้า 3-4) ท่ี ระบวุ า่ บคุ คลทมี่ อี งคค์ วามรแู้ ละทกั ษะดา้ นการฟน้ื ฟสู มรรถภาพ ข้อเสนอแนะ ทางจติ จะสามารถชว่ ยใหผ้ ทู้ ป่ี ระสบปญั หาทางจติ ใชศ้ กั ยภาพและ ชว่ ยเหลือตนเองได้ ขอ้ เสนอแนะสำ� หรบั การนำ� ไปใช้ จากผลการศึกษาผู้วิจัยขอเสนอแนะแนวทางในการ สว่ นผตู้ อบแบบสอบถามทม่ี คี วามสนใจเนอื้ หากลมุ่ วชิ า พัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา เอกจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การสนใจศึกษาเน้ือหาวิชา มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง ดังนี้ เกย่ี วกบั การปรบั พฤตกิ รรมในองคก์ ารมากทสี่ ดุ รองลงมาคอื การ 1. หลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าจติ วทิ ยา ทดสอบและการประเมินทางจิตวิทยา และจิตวิทยาทรัพยากร มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ควรจัดแผนการเรียนท่ีเปิดโอกาสให้ผู้ มนุษย์และการท�ำงาน ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากต้องการน�ำความรู้ เรยี นสามารถเลอื กเรยี นไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามความตอ้ งการ โดย ความสามารถทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาไปพฒั นาบคุ ลากรในองคก์ ารให้ จดั การศึกษาเปน็ 2 แบบ คือ แผน ก. (วทิ ยานพิ นธ)์ แผน และ ข. ทำ� งานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยการบรหิ ารบคุ ลากรในองคก์ าร (การศึกษาค้นคว้าอิสระ) เป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ท่ีมีความท้าทายต่อนักบริหารที่จะต้อง 2. การก�ำหนดโครงสร้างหลักสูตรวิทยาศาสตรมหา อาศยั ศาสตรท์ างดา้ นจติ วทิ ยาทจี่ ะชว่ ยใหบ้ คุ ลากรในบงั คบั บญั ชา บณั ฑติ สาขาวชิ าจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหงควรมจี ำ� นวน มพี ฤตกิ รรมการแสดงออกในทศิ ทางทพี่ งึ ประสงคห์ รอื สอดคลอ้ ง หน่วยกิต 43 หนว่ ยกิต โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี กับทิศทางและเป้าหมายขององค์การ นอกจากนี้การมีความรู้ 2.1 แผน ก. (วิทยานพิ นธ์) แบง่ ออกเปน็ วชิ าปรบั พ้ืน ทางดา้ นการทดสอบและการประเมนิ ทางจิตวิทยา และจติ วิทยา ฐาน 3 กระบวนวิชา (ไม่นับหน่วยกิต) หมวดวิชาบังคับบัณฑิต ทรัพยากรมนุษย์และการท�ำงาน จะช่วยให้องค์การสามารถคัด ศึกษา 1 หน่วยกติ หมวดวชิ าพื้นฐาน 9 หน่วยกิต หมวดวิชาเอก เลือกบุคลากรท่ีมีความสามารถและคุณลักษณะที่ตรงตามความ 21 หนว่ ยกิต แบ่งเป็นวิชาเอกบงั คับ 15 หนว่ ยกิต และวชิ าเอก ตอ้ งการ อนั จะมปี ระโยชนต์ อ่ การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนษุ ย์ เลอื ก 6 หนว่ ยกติ หมวดวชิ าศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง 12 หนว่ ยกติ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (คณะจติ วทิ ยา จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , และวิทยานิพนธ์ 12 หนว่ ยกติ 2563) สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของ ธนวรรธ ตง้ั สนิ ทรพั ยศ์ ริ ิ (2550) 2.2 แผน ข. (การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระ) แบง่ ออกเปน็ วชิ า ทก่ี ลา่ ววา่ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมองคก์ ารทเ่ี หมาะสม จะทำ� ให้ ปรบั พน้ื ฐาน 3 กระบวนวิชา (ไม่นับหน่วยกิต) หมวดวิชาบงั คบั องคก์ ารมีการเพ่ิมผลผลิต ลดการขาดงาน ลดการออกจากงาน บัณฑติ ศึกษา 1 หนว่ ยกติ หมวดวิชาพื้นฐาน 9 หนว่ ยกติ หมวด มพี ฤตกิ รรมการเปน็ พลเมอื งดขี ององคก์ าร และเกดิ ความพงึ พอใจ วชิ าเอก 30 หนว่ ยกติ แบง่ เปน็ วชิ าเอกบงั คับ 15 หนว่ ยกติ และ

ปีท่ี 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 101 วิชาเอกเลือก 6 หน่วยกิต หมวดวิชาศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 5. เน้ือหารายวิชาในหลักสูตรควรมีความทันสมัยและ 3 หน่วยกติ การศึกษาค้นคว้าอิสระ 3 หน่วยกิต และการสอบ เพิ่มทักษะด้านจิตวิทยาอันจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบ ประมวลความรู้ (ไม่นับหน่วยกติ ) อาชีพของผู้เรยี น โดยการใหค้ วามรูแ้ ละฝกึ ปฏบิ ตั ิเพ่อื เพ่ิมทกั ษะ ทางด้านจติ วิทยา 3. หลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าจติ วทิ ยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ควรมีเนื้อหารายวิชาทางจิตวิทยาที่ 6. หลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าจติ วทิ ยา สอดคล้องกับความตอ้ งการของผ้เู รียนดงั ต่อไปนี้ มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง ควรจดั กจิ กรรมและโครงการนอกเหนอื จากรายวิชาเพ่ือพัฒนาทักษะและประสบการณ์ของนักศึกษา 3.1 กล่มุ วิชาเอกจติ วทิ ยาการปรึกษา ได้แก่ จติ วิทยา เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้ลงมอื ปฏิบัตจิ ริง หรือมีการศึกษาดงู านใน การเยียวยาและฟื้นฟู การปรึกษาเชิงจิตวิทยาและครอบครัว องค์การที่เกี่ยวข้อง หรือองค์การที่ประสบความเสร็จและได้รับ ทฤษฎแี ละเทคนคิ การปรบั พฤตกิ รรม จติ วทิ ยาเชงิ บวกและความ การยอมรับในการบริหารจัดการที่ดี รวมถึงมีการสัมมนาโดยผู้ งอกงามของมนุษย์ ทฤษฎีและการให้ค�ำปรึกษาแบบกลุ่ม และ เช่ียวชาญในด้านนั้น ๆ หรือการจัดการอบรมความรู้นอกสถาน แนวโนม้ การวิจัยทางจิตวิทยาการปรึกษารว่ มสมยั ที่ และมีการฝึกงานในสถานประกอบการ 3.2 กลุ่มวิชาเอกจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ขอ้ เสนอแนะส�ำหรับการวจิ ยั ครง้ั ตอ่ ไป ไดแ้ ก่ การปรบั พฤติกรรมในองค์การ การทดสอบและการ 1. ควรมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพควบคู่กับ ประเมินทางจิตวิทยา จิตวิทยาทรัพยากรมนุษย์และการท�ำงาน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เชงิ ลกึ มากยงิ่ ขน้ึ การยศาสตร์และพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การ จิตวิทยาพัฒนา 2. เพ่ือให้การออกแบบหลักสูตรวิทยาศาสตรมหา องคก์ าร จติ วิทยาผูบ้ ริโภคและการตลาด บณั ฑิต สาขาวิชาจิตวทิ ยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหงมปี ระโยชน์ สูงสุด นอกจากศึกษาความต้องการของผู้เรียนแล้ว ควรศึกษา 4. ช่องทางการประชาสัมพันธ์การเปิดรับนักศึกษา ข้อมูลจากศิษย์เก่าและผู้ใช้บัณฑิตร่วมด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ ในหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา หลากหลาย มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ควรใช้วิธีการประกาศในเว็บไซต์ของ มหาวทิ ยาลัย อีเมล์ เบอร์โทรศพั ท์ ไลน์ เปน็ ต้น บรรณานุกรม กรมสขุ ภาพจติ . (2562). WHOปลกุ มนษุ ยชาตยิ บั ยง้ั ปญั หา ฆา่ ตวั ตาย สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ดว้ ยมมุ มองใหมต่ อ่ จติ แพทย.์ คน้ วนั ท่ี 20 สงิ หาคม 2563 จาก https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30013 กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2558). ราชกจิ จานเุ บกษา: เกณฑม์ าตรฐานหลกั สตู รระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา. คน้ วนั ที่ 20 สงิ หาคม 2563 จาก http:// www.mua.go.th/users/bhes/front_home/criterion58/ criterion%20_m58.PDF คณะจิตวทิ ยา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. (2563). บทความจากสารคดที างวิทยุรายการจติ วิทยาเพอ่ื คุณ. ค้นวนั ที่ 4 กมุ ภาพันธ์ 2564 จาก https://smarterlifebypsychology.com/ ทศั นยี ์ ชาตไิ ทย. (2555). แรงจงู ใจและความตอ้ งการในการศกึ ษาตอ่ ระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย.์ กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บัณฑติ ย.์ ธนวรรธ ตั้งสนิ ทรัพยศ์ ริ .ิ (2550). พฤตกิ รรมองค์การ. กรงุ เทพมหานคร: บริษทั ธนธชั การพิมพ์. ประพนธ์ ลิ้มธรรมมหิศร. (2544). ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจศึกษาต่อของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขานโยบายสาธารณะ: ปัญหาพเิ ศษรฐั ประศาสนศาสตร. บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยบูรพา.

102 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการส่อื สาร ประพิมพา จรลั รัตนกลุ . (2562 ). จิตวิทยาอตุ สาหกรรมและองค์การ. ค้นหาวันที่ 9 กันยายน 2563 จาก https://smarterlifebyp sychology.com/2017/10/18/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8 %97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B 8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0% B8%AD/ พรรพนัช จันหา และอัจฉริยา ปราบอริพ่าย. (2558). ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาโทท่ีมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์. วารสาร Veridian E-Journal ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร์และศิลปะ, 8(1), 291-318. มุกดา ศรยี งค,์ นวลศริ ิ เปายโ์ ลหติ , สิริวรรณ สาระนาค, สวุ ิไล เรอื งวฒั นสขุ และนภิ า แกว้ ศรงี าม. จิตวิทยาทัว่ ไป. กรงุ เทพ: สำ� นักพมิ พ์ มหาวิทยาลัยรามคำ� แหง. โรงพยาบาลศรีธัญญา. (2559). แนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตเวชสู่สุขภาวะ: การจ้างงานส�ำหรับบุคลากรสาธารณสุข. กรงุ เทพมหานคร: บริษทั พรอสเพอรสั พลสั . ลภัสรินทร์ รัตนบุรี. (2558). ศึกษาความต้องการการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทของนักศึกษาปริญญาตรีในสถาบันรัชต์ภาคย์ ศูนย์นครศรีธรรมราช. คณะบรหิ ารธรุ กจิ สถาบนั รชั ตภ์ าคย์. สนุ ทร โคตรบรรเทา. (2560). แรงจงู ใจและความคาดหวงั ในการศกึ ษาปรญิ ญาโท สาขาวชิ าการบรกิ ารการศกึ ษา ของนกั ศกึ ษาบณั ฑติ ศึกษา วทิ ยาลยั นครราชสมี า. วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา, 11(3), 181-192. สุทธินันทน์ พรหมสุวรรณ. (2558). การปรับพฤติกรรมและทัศคติการท�ำงานเพื่อความอยู่รอดของคนวัยท�ำงานในอุตสาหกรรม การท่องเท่ียวไทยภายใต้เง่ือนมาตรฐานของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. วารสารวิจัย มสด สาขามนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์. 11(3),1-10. สรุ ชาติ ณ หนองคาย. (2563). จิตวทิ ยาการทำ� งาน. คน้ วนั ท่ี 21 สงิ หาคม 2563 จากhttps://phad.ph.mahidol.ac.th/research/ Book/2556-2552/Psychology.pdf ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2559). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี12 พ.ศ. 2560 - 2564. กรุงเทพมหานคร: สำ� นักนายกรัฐมนตร.ี Haggis, T. (2003). Construction images of ourselves? A Critical Investigation into approaches to learning. Research in higher education British Educational Research Journal, 29, 89-104. Maslow, A. H. (1970). Motivation and Personal. New York: Macmilam Company. Knowles, M. S. (1980). The Modern Practice or Adult Education: From Pedagogy to Andragogy. NewYork: Cambridge, Follett Pub.Co.

ปีท่ี 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 103 ทศิ ทางวชิ าชพี แนวโน้มและความคาดหวังในการศึกษาต่อหลักสูตรการโฆษณา และการประชาสมั พนั ธ์ คณะนิเทศศาสตรใ์ นยคุ โลกพลกิ ผนั (Disruption Era) Career Directions, Curriculum Trends and Expectations in the Study of Advertising and Public Relations during the Disruption Era อวยพร พานชิ 1 ทัศนีย์ ดำ� เกิงศกั ด2์ิ นนั ธกิ าร์ จติ รีงาม3 กนั ทลัส ทองบุญมา4 สทิ ธา อปุ นกิ ขติ 5 Uayporn Panich, Tassnee Domkerngsak, Nantika Jitreengam, Kantalas Thongboonma and Siddha Upanigkit Article History Received: October 30, 2020 Revised: November 24, 2020 Accepted: January 18, 2021 บทคัดยอ่ บทความเรอื่ งนเี้ ปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพและปรมิ าณ มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ศกึ ษาความคาดหวงั ตอ่ หลกั สตู รการโฆษณาและการ ประชาสมั พนั ธใ์ นยุคโลกพลกิ ผนั (Disruption Era) ของนกั ศึกษาปีท่ี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั เอกชน ศึกษาความคดิ เห็น ของนักวิชาชีพทางการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ท่ีมีต่อคุณสมบัติพึงประสงค์ รายวิชาและแนวโน้มวิชาชีพทางการโฆษณาและ การประชาสมั พนั ธใ์ นยคุ โลกพลกิ ผนั และศกึ ษาหลกั สตู รนเิ ทศศาสตร์ สาขาการโฆษณาและประชาสมั พนั ธข์ องมหาวทิ ยาลยั เอกชนใน เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประชากรและเคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจยั เชิงปรมิ าณ คือแบบสอบถาม สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ ค่า รอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี การวจิ ัยเชิงคุณภาพ วเิ คราะหห์ ลกั สตู รสาขาวชิ าการโฆษณาและการประชาสัมพนั ธ์ คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เอกชนในเขตกรงุ เทพมหานครและปริมณฑลจำ� นวน 10 สถาบัน ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ความคาดหวังของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อการเรียนนิเทศศาสตร์มากที่สุด คือเรียนให้จบเพื่อ สร้างสรรคผ์ ลงานทางนเิ ทศศาสตร์ โดยระบรุ ูปแบบการเรยี นการสอนที่ต้องการมากทส่ี ุด คอื อาจารย์สอนใหน้ กั ศึกษาผลติ ส่ือต่าง ๆ กลุ่มตัวอยา่ งมีความคดิ เห็นตอ่ รายวชิ าดา้ นนเิ ทศศาสตรโ์ ดยรวมอยใู่ นระดบั ควรเพิม่ โดยมีกลุ่มวชิ าแกน วชิ าท่คี วรเพ่มิ มาก ทส่ี ดุ คอื วิชาการสอ่ื สารในสือ่ ใหม่ กลุ่มวชิ าเอกบงั คับ วิชาที่ควรเพมิ่ มากทีส่ ดุ คอื วชิ าการสร้างสรรคส์ ารและเน้ือหา กลมุ่ วิชาเอก เลือก วิชาทคี่ วรเพิม่ มากทส่ี ดุ คอื วชิ าการผลติ ส่อื ความคาดหวังของสถานประกอบการ เห็นว่า ความรู้ท่ีจ�ำเป็นที่บัณฑิตควรมีมากท่ีสุด คือ การวิเคราะห์ผู้รับสาร ทักษะที่ ควรมีมากท่สี ดุ คือ ทกั ษะดา้ นการเขยี นแผนประชาสัมพันธ์ คณุ สมบตั สิ ่วนบคุ คลท่ีจ�ำเปน็ ส�ำหรบั ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษามากทสี่ ดุ คือ การ มคี วามพยายามแก้ปัญหา 1-5 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ ์ Faculty of Communication Arts, Rajapruk University. *Corresponding author Email: [email protected]

104 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสือ่ สาร ความสำ� คญั ของรายวชิ าดา้ นนเิ ทศศาสตรท์ จี่ ำ� เปน็ สำ� หรบั หลกั สตู ร ควรเพมิ่ มากทส่ี ดุ คอื กลมุ่ วชิ าเอกบงั คบั ควรเพม่ิ วชิ าการ เขา้ ถงึ ผบู้ รโิ ภค กลมุ่ วชิ าแกนควรเพมิ่ วชิ าการสอ่ื สารในสอื่ ใหม่ กลมุ่ วชิ าเลอื กควรเพมิ่ วชิ าการสรา้ งสรรคเ์ นอ้ื หาและการผลติ สอื่ ดจิ ทิ ลั แนวโนม้ วชิ าชพี ที่ควรมีอย่างยิง่ คือ การปฏิบตั งิ านโฆษณาและงานประชาสมั พันธผ์ ่านสอ่ื ใหม่ และแนวโนม้ วิชาชพี ทเ่ี ปน็ ไป ได้ คือ การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ กบั ตลาดแรงงงาน ส�ำหรับแนวโนม้ วิชาชพี ดา้ นนเิ ทศศาสตร์ ทีส่ ถานประกอบการต้องการ มากที่สุด คอื วชิ าด้านคอนเทนตแ์ ละสือ่ ดิจิทลั ผลการวจิ ัยเชิงคุณภาพ พบวา่ มีชือ่ สาขาวิชาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ จ�ำนวน 5 แห่ง นิเทศศาสตร์ จำ� นวน 3 แห่ง และมีจ�ำนวนหนว่ ยกิตอยูร่ ะหว่าง 123 ถงึ 141 หนว่ ยกติ กลุ่มรายวิชาทฤษฎี และปฏบิ ตั มิ คี วามคล้ายคลึงกัน กลุม่ รายวิชาท่ี แตกตา่ งกันต่างตามจุดเน้นของแตล่ ะมหาวิทยาลยั แนวโน้มรายวิชาที่มีความทันสมัยจะระบุคำ� วา่ การตลาด สอ่ื ใหม่ ดจิ ิทลั คอนเทนต์ มหาวทิ ยาลยั สว่ นใหญ่ ปรบั ชอื่ สาขาวชิ าการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ โดยเตมิ คำ� บอกความเปน็ สมยั ใหม่ เชน่ ดจิ ทิ ลั และนวตั กรรม ในช่อื สาขาวิชา เชน่ สาขาวชิ านวตั กรรมการส่อื สารและแบรนด์ สอื่ สารการตลาดดิจิทลั การประชาสัมพันธ์ผ่านส่อื ดิจทิ ลั และการจดั กจิ กรรม และมีการระบคุ �ำว่าการตลาดและความเปน็ สมัยใหม่ เช่น ดิจทิ ัลและสื่อใหมใ่ นชอ่ื รายวชิ าตา่ ง ๆ คำ� สำ� คญั : ทศิ ทางวชิ าชพี หลักสูตร ความคาดหวัง Abstract This qualitative and quantitative research has three goals. First, it aims to study what first year Commu- nication Arts students from private universities expect from advertising and public relations programs during the disruption era. Second, it aims to investigate the opinions of advertising and public relations professionals regarding desirable characteristics, courses, and trends in advertising and public relations programs during the disruption era. Lastly, it aims to provide a closer look at communication arts programs at different private universities in Bangkok and surrounding metropolitan areas. The data collection tool is a questionnaire. The statistics used for quantitative data analysis are percentages and means. For qualitative data, documents presenting the advertising and public relations programs of 10 private universities were analyzed. The qualitative data analysis shows that research participant’s highest ranked expectation from Com- munication Arts faculty was to graduate and be employed in communication arts. The participants indicated that their most preferred learning and teaching style was for lecturers to teach them different types of media production. Overall, participants thought that the number of communication arts related courses should be increased as follows. First, the majority of participants agreed that a course focusing on “communication in new media” should be added to the program as a core subject. Second, most participants agreed that a course emphasizing “message and content creation” should be added to the program as a major compulsory course. Finally, the majority of participants thought a course focusing on “media production” should be added to the program as a major elective course. The expectations of corporations from communication arts graduates are as follows. The most important knowledge that communication arts graduates should have is audience analysis. The most important skill graduates should acquire is public relations plan writing. The personal characteristic most necessary for graduates is problem solving. Most participants agreed that the communication arts courses

ปที ี่ 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 105 that should be added to the programs are as follows. First, a course focusing on “consumer reach” should be added to the program as a compulsory course. Second, a course emphasizing “communication in new media” should be added to the program as a core course. Finally, a course focusing on “content creation and digital media production” should be added to the program as a major elective course. Regarding key profession trends, new media is important for advertising and public relations work. Additionally, profession trends possibly indicate that advertising and public relations are critical for the labor market. From corporations’ perspectives, the biggest communication arts trend is to have students study courses related to content and digital media. Data were collected from five universities that offered advertising and public relations programs and three universities that offered communication arts programs. The number of required credits ranged from 123 to 141 credits. The theory and practice course groups in those programs were mostly similar. Some courses were different depending on the focus of each program. For modern courses, course names included words such as “new media”, “digital”, and “content”. The majority of the universities changed the name of their advertising and public relations programs by adding certain words to indicate their modernity such as “digital” and “innovation”. Some examples are “Innovative Communication and Branding”, “Digital Marketing Communication”, and “Public Relations through Digital Media and Activity Organization” programs. The words “marketing” and “digital” and “new media” were also added to course names to show the modernity of the courses. Key words: profession direction, curriculum, expectations. บทน�ำ ปัจจัยบ่งชี้ส�ำหรับธุรกิจด้ังเดิมที่ขาดการพัฒนาหรือไม่สามารถ ปรับตวั ได้ทัน (ตลาดหลักทรัพย์แหง่ ประเทศไทย, 2560) ซึง่ ใน ในยคุ โลกพลกิ ผนั (Disruption Era) เทคโนโลยที มี่ กี าร ยคุ โลกพลกิ ผัน (Disruption Era) นนั้ องค์กรทุกภาคสว่ น รวม เปล่ียนแปลงและพัฒนาในหลายด้าน ซ่ึงมีนวัตกรรมใหม่พร้อม ถึงบคุ คลตา่ ง ๆ ต้องมีการปรับตัว โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในสถาบัน ทั้งเทคโนโลยีท่ีได้มีการพัฒนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษา ซึ่งต้องมีการปรับตัวจากผลกระทบของท่ีเทคโนโลยี และเข้ามาเก่ียวข้องในมนุษย์มากยิ่งขึ้น การที่เทคโนโลยีพัฒนา พฒั นาไปอยา่ งรวดเรว็ และการเปลยี่ นแปลงนวตั กรรมอยา่ งพลกิ ไปอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมอย่างพลิกผัน ผนั (Disruptive Innovation) เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของผู้ (Disruptive Technology หรือ Disruptive Innovation) ถือ เรยี น และเชน่ เดียวกัน สถาบันการศึกษาที่เปน็ มีการปรับตัวจาก เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยคร้ัง และได้รับการพูดถึงเป็นวง การเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ น้ี จะสามารถดงึ ดดู ความสนใจของ กวา้ ง ทง้ั น้ี Disruptive Technology หรอื Disruptive Inno- ผเู้ รยี นใหเ้ ขา้ มาศกึ ษาเรยี นรไู้ ดม้ ากกวา่ สถานศกึ ษาทไ่ี มม่ กี ารปรบั vation หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงเทคโนโลยอี ยา่ งรวดเรว็ หรอื ตวั เพอ่ื เปลยี่ นแปลงตามเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม (วชิ ยั วงษใ์ หญ่ การเกิดข้ึนของเทคโนโลยีใหม่จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต และมารตุ พฒั ผล, 2562) ซง่ึ มเี ปา้ หมายในการพฒั นาประเทศไทย ประจ�ำวันและพฤติกรรมผู้บริโภค และน�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลง มปี รบั เปลย่ี นจากการขบั เคลอ่ื นประเทศดว้ ยภาคอตุ สาหกรรม ไป อย่างรุนแรงของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งการเกิดข้ึนของ สกู่ ารขบั เคลอ่ื นดว้ ยเทคโนโลยี ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม ปรากฏการณ์ดังกล่าว ถือเป็นทั้งโอกาสส�ำหรับผู้ประกอบการท่ี และเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาค ปรับตวั ไดท้ นั ตอ่ เทคโนโลยที เี่ ปล่ยี นแปลงไป ขณะเดยี วกันกเ็ ป็น

106 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสือ่ สาร บริการมากขึ้น (กระทรวงอุตสาหกรรม, 2559) ซึ่งไม่สามารถ คณุ ธรรมและจริยธรรมในการทำ� งานสรา้ งสรรค์ส่อื และโครงการ ปฏเิ สธได้วา่ การพัฒนาดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำ� คญั ทม่ี คี ณุ คา่ ตอ่ ประเทศชาติ เป็นอันดับต้น ๆ ในการด�ำเนินธุรกิจ เพ่ือให้ทันต่อยุคโลกพลิก ผนั วงการศกึ ษาทางนเิ ทศศาสตร์ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งปรบั ปรงุ หลกั สตู ร ในปกี ารศึกษา 2562 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัย และวิเคราะห์ทิศทางเน้ือหาหลักสูตร ให้มีความสอดคล้องกับ ราชพฤกษ์ มกี ารดำ� เนนิ การปรบั ปรงุ หลกั สตู รนเิ ทศศาสตรบณั ฑติ ทศิ ทางการเปลย่ี นแปลงของประเทศ ใหเ้ หมาะสมกบั โลกยคุ โลกา สาขาวิชาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ เพื่อใช้ส�ำหรับ ภิวัตนแ์ ละขา่ วสารเสรี จัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2564 (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2564) ใหเ้ ปน็ หลกั สตู รทีม่ ีความทันสมัยสอดคล้องกับการ สำ� หรบั ปจั จยั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงของหลกั สตู ร พัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงพันธกิจของ นิเทศศาสตร์ในประเทศไทย คือ การเข้าสู่แวดวงธุรกิจมาก สถาบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในยุค ข้ึน เนื่องจากผู้ประกอบการหรือผู้บริหารงานธุรกิจตระหนักถึง โลกพลกิ ผัน เพ่ือตอบสนองความตอ้ งการและความคาดหวังของ ความส�ำคัญในการใช้ส่ือมวลชนโดยเฉพาะการโฆษณาและการ นสิ ติ ในการเขา้ ศกึ ษา และสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการทางวชิ าชพี ประชาสัมพันธ์ในการพัฒนาองค์กร จึงมีความต้องการบัณฑิต ของสถานประกอบการ ในสาขาดงั กล่าวมากขน้ึ (หนงึ่ ฤทัย ขอผลกลาง, อุบลวรรณ ปติ ิ พฒั นะโฆษิต และ นฤมล ใจดี, 2548 อา้ งถงึ ใน พนม คลี่ฉายา, วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย 2557) แนวโน้มของหลักสูตรการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ในอนาคตอันใกล้ ด้านสื่อใหม่และการประชาสัมพันธ์ระหว่าง 1. เพอ่ื ศกึ ษาความคาดหวงั ตอ่ หลกั สตู รการโฆษณาและ ประเทศหรือต่างวัฒนธรรมจะมีบทบาทท่ีส�ำคัญ เห็นได้จาก การประชาสัมพันธ์ในยุคโลกพลิกผันของนักศึกษาปีท่ี 1 คณะ ตวั แปรทางดา้ นความเปน็ โลกาภวิ ตั นจ์ ะเปน็ ชอ่ งทางหรอื ตวั แปร นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชน เชอ่ื มโยงระหว่างส่อื ใหม่ จึงจำ� เปน็ ต้องปรับเปลย่ี นและวิเคราะห์ แนวโน้มทิศทางของหลักสูตร ให้สอดคล้องกับความต้องการใน 2. เพอ่ื ศกึ ษาความคดิ เหน็ ของนกั วชิ าชพี ทางการโฆษณา การศกึ ษา และทศิ ทางวชิ าชพี ดา้ นการโฆษณาและประชาสมั พนั ธ์ และการประชาสมั พนั ธท์ ม่ี ตี อ่ คณุ สมบตั พิ งึ ประสงค์ รายวชิ าและ เพื่อให้สอดคล้องกบั ยคุ แห่งการเปลย่ี นแปลง แนวโนม้ วชิ าชพี ทางการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธใ์ นยคุ โลก พลกิ ผนั มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ ได้เปิดการเรียนการสอน หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการโฆษณาและการ 3. เพ่ือศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ สาขาการ ประชาสัมพันธ์ (หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี) ตั้งแต่ปีการศึกษา โฆษณาและประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยเอกชนในเขต 2551 ซ่ึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตรแล้ว จ�ำนวน 2 คร้ัง คือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล หลักสูตรปรับปรุงปีการศึกษา 2554 และหลักสูตรปรับปรุงปี การศกึ ษา 2559 ซง่ึ เปน็ หลกั สตู รทใี่ หค้ วามสำ� คญั กบั การโฆษณา นยิ ามศพั ท์ และการประชาสัมพนั ธ์ควบค่กู นั ไป เป็นการนำ� ทงั้ สองศาสตรม์ า ประสานศกึ ษาไปดว้ ยกนั จงึ เปน็ วธิ กี ารทแี่ ตกตา่ งจากหลกั สตู รอนื่ หลักสูตรการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ หมาย ๆ แต่โดยหลักการจากการสอดประสานสองศาสตร์น้ี สามารถ ถงึ หลักสูตรทเ่ี ปดิ สอนอุดมศึกษาในระดบั ปรญิ ญาตรี และมีการ สร้างได้ทั้งนักประชาสัมพันธ์และนักโฆษณาท่ีมีความรอบรู้ท้ัง ออกแบบหลกั สตู รสาขาวชิ าการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธท์ ี่ สองดา้ น สามารถใชค้ วามรู้ ความสามารถในการประกอบอาชพี ท่ี มีแกนความรู้ ทักษะและความช�ำนาญวชิ าชีพของหลกั สูตร แยก เกยี่ วขอ้ งไดเ้ ปน็ อยา่ งดี และสามารถเลอื กใชเ้ ทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร เป็นรายกลุม่ ตามลกั ษณะงานทเ่ี หมาะสม มวี สิ ยั ทศั นท์ กี่ วา้ งไกล เพอ่ื ประโยชน์ ต่อตนเองและสังคม ให้ก้าวไกลไปสู่สากลได้อย่างพร้อมด้วย กลุ่มวิชาทฤษฎี หมายถึง วิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหลัก แนวคดิ ทฤษฎกี ารสอื่ สาร การประชาสมั พนั ธ์ การโนม้ นา้ วใจ การ โฆษณา การสือ่ สารองคก์ ร ความคิดสรา้ งสรรค์ เป็นตน้ กลุ่มวิชาการปฏิบัติงานด้านโฆษณาและการประชา- สัมพันธ์ หมายถึง รายวิชาที่มีเน้ือหาเก่ียวกับการเขียน

ปที ี่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 107 การรายงานขา่ ว การผลติ สอ่ื ประเภทตา่ ง ๆ การออกแบบกราฟกิ สว่ นท่ี 2 การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ศกึ ษาเนอ้ื หาหลกั สตู รการ การผลิตสื่อโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ และเทคนิคการน�ำ โฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ ของมหาวิทยาลัยเอกชน ในเขต เสนองานโฆษณา เปน็ ตน้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล คุณสมบัติพึงประสงค์ หมายถึง คุณลักษณะของผู้ ขอบเขตดา้ นประชากร เรียนท่ีมีประจ�ำตัวหลังจากส�ำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรการ การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ โฆษณาและการประชาสมั พันธข์ องสถาบันอุดมศกึ ษา ประกอบ ในแง่ปริมาณผู้วิจัยมุ่งศึกษานักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ชั้นปีท่ี ด้วยคุณสมบตั ิ ดงั นี้ 1 มหาวิทยาลัยเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร ซ่ึงมีประชากร จำ� นวนท้ังส้ิน 2,222 คน (ทมี่ า: www.info.mua.go.th/info/) ความรู้ หมายถึง ความเข้าใจในเนื้อหาในหลักสูตร และนักวิชาชีพท่ีปฏิบัติงาน ณ บริษัทโฆษณาที่เป็นสมาชิก การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ท่ีผู้เรียนสามารถระบุและ ของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (ท่ีมา: http://www. อธิบายเนือ้ หาวชิ าไดย้ า่ งถูกต้อง และเปน็ ความร้ทู ่จี ำ� เป็นสำ� หรบั adassothai.com/จ�ำนวนท้ังหมด 60 แห่ง) และสมาคมนัก ส�ำเร็จผู้ส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาสาขาการโฆษณาและการ ประชาสมั พันธแ์ หง่ ประเทศไทย จำ� นวนทัง้ หมด 129 คน (ทมี่ า : ประชาสมั พนั ธ์ สมาคมนักประชาสมั พันธ์แห่งประเทศไทย) ขอบเขตด้านระยะเวลา ทักษะ หมายถึง ความเช่ียวชาญในด้านการกระท�ำใน ผู้วิจัยด�ำเนินการวิจัยระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ชิ้นงาน หรือการปฏิบัติงานในวิชาชีพด้านการประชาสัมพันธ์ท่ี 2562 ถงึ เดือนมถิ นุ ายน พ.ศ.2563 โดยวางแผนวิเคราะหข์ อ้ มูล จำ� เปน็ สำ� หรบั ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรดี า้ นการโฆษณา ระหวา่ งเดอื น ธนั วาคม พ.ศ.2562 ถงึ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2563 และการประชาสัมพนั ธ์ รวมและแจกแบบสอบถามพร้อมทั้งเก็บรวบรวมข้อมูล เดือน กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2563 ถึง เดอื นมนี าคม พ.ศ.2563 คณุ สมบตั สิ ว่ นบุคคลสว่ นบคุ คล หมายถงึ คุณลักษณะ ประจ�ำตัวที่เป็นต้องมีผู้จะเข้าศึกษาหลักสูตรหรือสาขาการ แนวคิดและทฤษฏี โฆษณาและการประชาสัมพันธ์ระดับปริญญาตรี และจะเข้าสู่ วชิ าชพี ทางด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การวิจัยคร้ังนี้ได้น�ำแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่ เก่ียวข้องมาเป็นกรอบและแนวทางในการศกึ ษาดงั ตอ่ ไปนี้ ยคุ โลกพลกิ ผนั (Disruption Era) เปน็ ยคุ ทม่ี กี ารผสม ผสานเทคโนโลยีเข้ากับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ จนพัฒนา 1. แนวคิดเรื่องหลักสูตรการโฆษณาและการประชา- เปน็ เทคโนโลยใี หม่ ในศตวรรษที่ 21 มผี ลต่อการปรับเปล่ยี นรปู สัมพนั ธ์ แบบการใช้ชวี ิตของผคู้ นสู่เทคโนโลยีใหม่ ๆ หลายวิธี เช่น อิน เทอร์เนตไร้สาย หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีพลังงาน 2. แนวคิดเก่ียวกับคุณลักษณะบัณฑิตตามกรอบ ทดแทน เปน็ ตน้ มาตรฐานคณุ วุฒริ ะดับอุดมศึกษาแหง่ ชาติ ขอบเขตของการวิจยั 3. แนวคดิ เกย่ี วกับความคาดหวงั 4. แนวคิดเกยี่ วกับยคุ พลกิ ผัน ขอบเขตดา้ นเนื้อหา 5. งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้อง สว่ นท่ี 1 การวิจัยเชงิ ปรมิ าณ ตวั แปรตน้ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะประชากรของนกั ศกึ ษาชน้ั ปที ี่ วธิ ีการศึกษา 1 คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เอกชน และลกั ษณะประชากร ของนักวชิ าชพี ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งเชงิ ปรมิ าณ มรี ายละเอยี ด ตัวแปรตาม ได้แก่ ความคาดหวังของนักศึกษาชั้น ดังนี้ ปีท่ี 1 คณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยเอกชน และทิศทาง วิชาชพี 1. ประชากรกลุ่มที่เป็นนิสิตหรือนักศึกษาสังกัดคณะ นิเทศศาสตร์ เพศชายและเพศหญิง ก�ำลังศึกษาชั้นปีท่ี 1 ใน

108 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสอื่ สาร สถาบันอดุ มศึกษาเอกชน จำ� นวน 2,222 คน (ทมี่ า: www.info. 2.2 แบบสอบถามเก่ียวกับความรู้ที่จ�ำเป็นส�ำหรับผู้ mua.go.th/info/) ส�ำเร็จการศึกษาจากสาขาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ เป็นค�ำถามปลายปิด กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นนิสิตหรือนักศึกษาสังกัดคณะ นิเทศศาสตร์ เพศชายและเพศหญิง ก�ำลังศึกษาชั้นปีท่ี 1 ใน 2.3 แบบสอบถามเก่ียวกับทักษะที่จ�ำเป็นส�ำหรับผู้ สถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชน โดยใชส้ ตู รในการคำ� นวณขนาดตวั อยา่ ง ส�ำเร็จการศึกษาจากสาขาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ ของ Taro Yamane (1967) ซึ่งกำ� หนดระดบั ความเชื่อมน่ั รอ้ ย เปน็ ค�ำถามปลายปดิ ละ 95 และคา่ ความคลาดเคลอื่ นหรอื ผดิ พลาดทยี่ อมรบั ไดไ้ มเ่ กนิ ร้อยละ 10 หรอื ที่ระดบั นยั ส�ำคัญ 0.10 ได้กลมุ่ ตวั อยา่ ง จ�ำนวน 2.4 แบบสอบถามเก่ียวกับคุณสมบัติส่วนบุคคลท่ี 214 ตวั อยา่ ง จ�ำเป็นส�ำหรับผู้ส�ำเร็จการศึกษาจากสาขาการโฆษณาและการ ประชาสมั พันธ์ เป็นค�ำถามปลายปดิ 2. ประชากรกลุ่มท่ีเป็นนักวิชาชีพท่ีปฏิบัติงาน ณ บริษัทโฆษณาท่ีเป็นสมาชิกของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย 2.5 แบบสอบถามเกี่ยวกับรายวิชาท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับผู้ จำ� นวนทงั้ หมด 60 แหง่ (ทมี่ า: http://www.adassothai.com/) ส�ำเร็จการศึกษาจากสาขาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ และ บริษัทด้านการประชาสัมพันธ์ที่เป็นสมาชิกของสมาคมนัก เป็นค�ำถามปลายปิด ประชาสัมพันธแ์ ห่งประเทศไทย จำ� นวนทง้ั หมด 129 แหง่ (ทมี่ า: สมาคมนักประชาสมั พนั ธ์แหง่ ประเทศไทย) 2.6 แบบสอบถามเกีย่ วกับแนวโนม้ วชิ าชีพการโฆษณา และการประชาสมั พันธใ์ นอกี 5 ปีขา้ งหนา้ เป็นคำ� ถามปลายปิด กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นนักวิชาชีพท่ีปฏิบัติงาน ณ บริษัท โฆษณาที่เป็นสมาชิกของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และ 2.7 ข้อเสนอแนะ นักวิชาชีพท่ีปฏิบัติงาน ณ บริษัทด้านการประชาสัมพันธ์ที่เป็น เครอื่ งมือในการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ สมาชิกของสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย จ�ำนวน การวิจัยครั้งน้ีมุ่งศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ สาขา 82 ตวั อยา่ ง วชิ าการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ ของมหาวทิ ยาลยั เอกชน ในเขตกรงุ เทพมหานครและปรมิ ณฑล โดยใชเ้ กณฑค์ ำ� ถามในการ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการในวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ มดี ว้ ยกนั 2 ชดุ วเิ คราะห์เนื้อหาหลักสตู ร ดว้ ยกนั 4 ประเดน็ 1. เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยส�ำหรับนักศึกษาปีท่ี 1 ที่ ประเด็นท่ี 1 ช่ือมหาวทิ ยาลยั ชอ่ื หลกั สตู รและจำ� นวน ก�ำลังศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชน ในเขต หน่วยกติ ของสาขา กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นแบบสอบถามออนไลน์ ประเดน็ ท่ี 2 กลมุ่ รายวิชาและรายวชิ าทใ่ี กลเ้ คียงกนั ใน ปลายปิด เพ่ือหาข้อมูลในการก�ำหนดเป็นกรอบแนวความคิด แตล่ ะมหาวทิ ยาลยั และทดสอบสมมตฐิ านทไ่ี ดก้ ำ� หนดไว้ จดั ลำ� ดบั เนอื้ หาเปน็ 3 ตอน ประเด็นที่ 3 กลุ่มรายวิชาที่แตกต่าง และแตกต่างไป 1.1 แบบสอบถามเกีย่ วกบั ปัจจัยสว่ นบุคคล ไดแ้ ก่ เพศ ในทิศทางใด สถาบนั การศกึ ษา เกรดเฉลยี่ สาขาวชิ าท่ีสงั กัด ประเดน็ ที่ 4 แนวโนม้ รายวชิ าในแตล่ ะมหาวทิ ยาลยั ทม่ี ี 1.2 แบบสอบถามเกยี่ วกบั ความคาดหวงั ทมี่ ตี อ่ หลกั สตู ร ความทันสมยั ทันต่อการเปล่ยี นแปลงของเทคโนโลยใี นปจั จุบนั นเิ ทศศาสตร์ เป็นคำ� ถามปลายปิด 1.3 ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษา 2. เครื่องมือการวิจัยส�ำหรับนักวิชาชีพนิเทศศาสตร์ เปน็ แบบสอบถามออนไลน์ ปลายปดิ เพอ่ื หาขอ้ มลู ในการกำ� หนด ผลการวจิ ัยเชิงปรมิ าณ เปน็ กรอบแนวความคดิ ทไี่ ดก้ ำ� หนดไว้ จดั ลำ� ดบั เนอ้ื หาเปน็ 7 ตอน 1. กลุ่มตัวอย่างนักศึกษาปีท่ี 1 ที่ก�ำลังศึกษาอยู่คณะ 2.1 แบบสอบถามเกี่ยวกบั ปัจจัยสว่ นบคุ คล ไดแ้ ก่ เพศ นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานครและ อายุ ระดับการศกึ ษาสาขาวชิ าทสี่ ำ� เร็จการศกึ ษา ปรมิ ณฑล ทง้ั สนิ้ 214 คน แบง่ เปน็ เพศชายและเพศหญงิ ทศี่ กึ ษา ในมหาวทิ ยาลยั เอกชน โดยไดร้ บั โควตาของจงั หวดั มเี หตจุ งู ใจให้ เลือกเรียนนิเทศศาสตร์มากท่ีสุด คือ มีความสนใจเป็นการส่วน

ปที ี่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 109 ตวั ความคาดหวงั กบั การเรยี นนเิ ทศศาสตร์ มากทส่ี ดุ คอื เรยี นให้ ดจิ ทิ ลั รองลงมาคอื วชิ าดา้ นนเิ ทศศาสตรน์ วตั กรรมและวชิ าดา้ น จบเพอ่ื สรา้ งสรรคผ์ ลงานทางนเิ ทศศาสตร์ โดยมรี ปู แบบการเรยี น การผลิตสอื่ อเี วน้ ท์ การสอนทต่ี อ้ งการมากทส่ี ดุ คอื อาจารยส์ อนใหน้ กั ศกึ ษาผลติ สอื่ ตา่ ง ๆกลมุ่ วชิ าแกนทคี่ วรเพม่ิ มากทสี่ ดุ คอื วชิ าการสอ่ื สารในสอื่ ผลการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ใหม่ รองลงมา คอื วชิ าความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม กลมุ่ จากการวเิ คราะหเ์ อกสาร หลกั สตู รการโฆษณาและการ วชิ าเอกบงั คบั ทคี่ วรเพม่ิ มากทสี่ ดุ คอื วชิ าการสรา้ งสรรคส์ ารและ ประชาสมั พนั ธ์ มหาวทิ ยาลยั เอกชน ในเขตกรงุ เทพมหานครและ เนอื้ หา รองลงมา คอื วชิ าการสอ่ื สารเพอื่ โนม้ นา้ วใจ กลมุ่ วชิ าเอก ปรมิ ณฑล โดยนำ� รายวชิ าสาขาการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ เลอื กทคี่ วรเพม่ิ มากทสี่ ดุ คอื วชิ าการผลติ สอ่ื ใหม่ รองลงมา คอื มหาวทิ ยาลยั ราชพฤกษ์ เปน็ ตวั ตง้ั พรอ้ มทง้ั ดำ� เนนิ การวเิ คราะห์ วชิ าการสรา้ งสรรคเ์ นอื้ หาและการผลติ สอ่ื ดจิ ทิ ลั เปน็ 4 ประเดน็ ดงั น้ี ประเดน็ ที่ 1 ชอื่ มหาวทิ ยาลยั ชอื่ หลกั สตู รและจำ� นวน 2. กลมุ่ ตวั อยา่ งนกั วชิ าชพี นเิ ทศศาสตร์ จากการศกึ ษา หนว่ ยกติ ของสาขา กลมุ่ ตวั อยา่ งทงั้ สนิ้ 82 คน เปน็ เพศชาย 34 คน และเพศหญงิ 48 1. มหาวิทยาลัยท่ีใช้ชื่อสาขาวิชานิเทศศาสตร์มี 3 คน อายอุ ยรู่ ะหวา่ ง 22 - 30 ปี มกี ารศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรมี าก แหง่ ไดแ้ ก่ มหาวทิ ยาลยั สยาม มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย และ ทส่ี ดุ และสำ� เรจ็ การศกึ ษาสาขาวชิ านเิ ทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั หวั เฉยี วเฉลมิ พระเกยี รติ และสอ่ื สารมวลชนมากทส่ี ดุ ความรทู้ จี่ ำ� เปน็ เมอ่ื สำ� เรจ็ การศกึ ษา 2. มหาวิทยาลัยที่ใช้ชื่อสาขาการโฆษณาและการ ทค่ี วรมมี ากทส่ี ดุ คอื การวเิ คราะหผ์ รู้ บั สาร รองลงมา คอื การ ประชาสมั พนั ธม์ มี ากทส่ี ดุ ถงึ 5 แหง่ เปน็ ชอ่ื สาขาทบ่ี ง่ บอกลกั ษณะ วางแผนการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ ทกั ษะทจี่ ำ� เปน็ สำ� หรบั วชิ าชดั เจน บางแหง่ แยกเปน็ สาขาวชิ าการโฆษณา สาขาวชิ าการ ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาทคี่ วรมมี ากทสี่ ดุ คอื ทกั ษะดา้ นการเขยี นแผน ประชาสมั พนั ธ์ และมอี กี หลายแหง่ ทเี่ ตมิ คำ� บง่ บอกความสมยั ใหม่ ประชาสัมพันธ์ รองลงมา คือ ทักษะด้านการเขียนเพื่อการโน้ม เชน่ ดจิ ทิ ลั และนวตั กรรม ไดแ้ ก่ นวตั กรรมการสอ่ื สารและแบรนด์ นา้ วใจ คณุ สมบตั สิ ว่ นบคุ คลทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษา มาก การประชาสมั พนั ธผ์ า่ นสอื่ ดจิ ติ อลและการจดั กจิ กรรม สอื่ สารการ ทส่ี ดุ คอื การมคี วามพยายามแกป้ ญั หา รองลงมา คอื การมคี วาม ตลาดดจิ ติ อล คดิ สรา้ งสรรค์ 3. จำ� นวนหนว่ ยกติ เกอื บทกุ มหาวทิ ยาลยั มกี ารปรบั ให้ ลดลงโดยรวมอยรู่ ะหวา่ ง 123 ถงึ 141 หนว่ ยกติ ความส�ำคัญของรายวิชาด้านนิเทศศาสตร์ท่ีจ�ำเป็น ประเด็นท่ี 2 กลุ่มรายวิชาและรายวิชาที่ใกล้เคียงกัน ส�ำหรับหลักสูตร กลุ่มวิชาท่ีควรเพิ่มมากท่ีสุด คือ กลุ่มวิชาเอก ในแตล่ ะมหาวทิ ยาลยั กลมุ่ วชิ าทฤษฎมี รี ายวชิ าทค่ี ลา้ ยคลงึ หรอื บังคบั ไดแ้ ก่ วชิ าการเข้าถงึ ผู้บรโิ ภค การสร้างสรรค์เนือ้ หาสาร ใกลเ้ คยี งกนั เกอื บทกุ มหาวทิ ยาลยั ถงึ 7 รายวชิ า ไดแ้ ก่ หลกั การ และการสอ่ื สารเพอื่ โนม้ นา้ วใจ รองลงมา คอื กลมุ่ วชิ าแกน ไดแ้ ก่ โฆษณา หลกั การประชาสมั พนั ธ์ หลกั นเิ ทศศาสตร์ หลกั การตลาด วชิ าการสอ่ื สารในสอ่ื ใหม่ ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม และ วิชากฎหมายและจริยธรรมทางนิเทศศาสตร์ การวิเคราะห์ผู้รับ การรายงานขา่ วและสถานการณป์ จั จบุ นั นอ้ ยทสี่ ดุ คอื กลมุ่ วชิ า สาร และวจิ ยั ขณะทกี่ ลมุ่ วชิ าทฤษฎแี ละปฏบิ ตั ิ มคี วามใกลเ้ คยี ง เลอื ก ไดแ้ ก่ วชิ าการสรา้ งสรรคเ์ นอื้ กาและการผลติ สอ่ื ดจิ ทิ ลั การ กนั ถงึ 21 รายวชิ า ไดแ้ ก่ การถา่ ยภาพทางนเิ ทศศาสตร์ การพฒั นา รเู้ ทา่ ทนั สอื่ ดจิ ทิ ลั และการสอื่ สารสขุ ภาพ ความคดิ สรา้ งสรรค์ การผลติ งานโฆษณาทางสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละ การปฏิบัตทิ างวาทนเิ ทศ การบรหิ ารตราสินค้า การวางแผนส่อื แนวโน้มวิชาชีพทเ่ี ปน็ ไปไดอ้ ยา่ งยิ่ง คอื สื่อใหมจ่ ะเป็น คอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ สหกจิ ศกึ ษา ทศั นสารและจนิ ตคดศี กึ ษา การ ส่ิงส�ำคัญส�ำหรับการปฏิบัติงานโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์ เขยี นทางนเิ ทศศาสตร์ คอมพวิ เตอรส์ ารสนเทศ การรายงานขา่ ว รองลงมาคือ ความรู้ด้านการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์น�ำ และบรรณาธกิ าร จติ วทิ ยาการโนม้ นา้ วใจ การเขยี นบทโฆษณา และ ไปใช้การสร้าง Brand ให้เป็นที่รู้จัก และแนวโน้มวิชาชีพท่ีเป็น การประชาสมั พนั ธ์ เทคนคิ การนำ� เสนองานโฆษณา การโฆษณาทาง ไปได้ คือ การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์มีความส�ำคัญต่อ สอ่ื สงิ่ พมิ พ์ การประชาสมั พนั ธท์ างการตลาด การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ ตลาดแรงงงาน และแนวโน้มวิชาชีพด้านนิเทศศาสตร์ที่สถาน ประกอบการต้องการมากที่สุด คือ วิชาด้านคอนเทนต์และสื่อ

110 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร ของนกั ประชาสมั พนั ธ์ มลั ตมิ เี ดยี เพอื่ การนำ� เสนอ นวตั กรรมสอ่ื วิเคราะห์ มหาวิทยาลัยรังสิต การสร้างสรรค์กิจกรรมทางการ โฆษณา และการบรหิ ารภาวะวกิ ฤต ตลาด มหาวทิ ยาลยั สยาม โครงงานวางแผนโฆษณาและสอ่ื สาร การตลาดดิจิทัล โครงการรณรงค์และส่ือสารการตลาดดิจิทัล ประเดน็ ที่ 3 กลมุ่ รายวชิ าทแ่ี ตกตา่ งกนั และแตกตา่ ง โครงงานโฆษณาและสอ่ื สารการตลาดดจิ ติ อลระดบั มอื อาชพี การ ไปในทิศทางใด ทั้ง 10 มหาวิทยาลัย มีรายวิชาที่แตกต่างกัน สอ่ื สารการตลาดผา่ นสอื่ ออนไลน์ การจดั กจิ กรรมพเิ ศษเพอื่ การ ตามลกั ษณะเนอื้ หา มจี ดุ เนน้ ในชอ่ื สาขาของแตล่ ะมหาวทิ ยาลยั สอื่ สารการตลาด สมั มนาประเดน็ ปจั จบุ นั ดา้ นการสอ่ื สารการตลาด ปรากฏอยู่ในวิชาเลือกมากกว่าวิชาบังคับ เช่น มหาวิทยาลัย ดจิ ทิ ลั มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ พนื้ ฐานมลั ตมิ เี ดยี สำ� หรบั การสอื่ สาร ราชพฤกษ์มีสาขาอุตสาหกรรมท่องเท่ียว สาขาวิชาการตลาด การตลาดดจิ ติ อล ภาษาองั กฤษสำ� หรบั การสอื่ สารการตลาด การ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ เปิดวิชาเลือกที่สอดคล้องกัน วางแผนและการประเมนิ ผลการสอื่ สารการตลาด สมั มนาสอ่ื สาร ไดแ้ ก่ การประชาสมั พนั ธท์ างการตลาด การประชาสมั พนั ธท์ าง การตลาด การเขยี นงานสอื่ สารการตลาด การพดู ในงานสอื่ สารการ อตุ สาหกรรมทอ่ งเทยี่ ว และการประชาสมั พนั ธท์ างดา้ นสาธารณสขุ ตลาด การออกแบบเนอ้ื หาเชงิ สรา้ งสรรคใ์ นการสอื่ สารการตลาด สว่ นมหาวทิ ยาลยั อน่ื ๆ มปี รบั ปรงุ หลกั สตู รภายหลงั มหาวทิ ยาลยั การเลา่ เรอื่ งในการสอ่ื สารการตลาด การสอื่ สารการตลาดบนสอื่ ราชพฤกษ์ มักมีช่ือรายวิชาท่ีบ่งบอกความทันสมัยของส่ือ เช่น สงั คม มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ การวเิ คราะหก์ ารตลาดเชงิ กลยทุ ธ์ ทักษะการสื่อสารในยุคดิจิทัล หลักการบริหารกิจกรรมพิเศษ สมั มนางานโฆษณา การเลา่ เรอื่ งขา้ มสอ่ื การโฆษณาดจิ ทิ ลั กลยทุ ธ์ 2. มกี ารเพม่ิ ความเปน็ สมยั ใหมด่ ว้ ยการระบคุ ำ� วา่ ดจิ ทิ ลั การสรา้ งสรรค์ การโฆษณาดจิ ทิ ลั และธรุ กจิ โฆษณาดจิ ทิ ลั การ สอ่ื ใหม่ สอ่ื ออนไลน์ ในชื่อวิชา เชน่ มหาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์ เลา่ เรอื่ งเพอ่ื การสอื่ สารการตลาดดจิ ทิ ลั การสรา้ งสรรคส์ อื่ ดจิ ทิ ลั การเล่าเร่ืองเพื่อการสื่อสารการตลาดดิจิทัล การสร้างสรรค์ส่ือ และการสอ่ื สารการตลาด การสรา้ งธรุ กจิ ดจิ ทิ ลั และสอ่ื สารการ ดิจิตอลเพื่อการส่ือสารการตลาด มหาวิทยาลัยรังสิต การถ่าย ตลาดดิจิทัล การถ่ายภาพดิจิทัลเพ่ือการส่ือสาร นวัตกรรมการ ภาพดจิ ติ อลเพอ่ื การสอื่ สาร มหาวทิ ยาลยั หอการคา้ ไทย พน้ื ฐาน โฆษณา ศิลปะแห่งการเล่าเรื่อง การรู้เท่าทันและข้อมลู ขา่ วสาร มลั ตมิ เี ดยี สำ� หรบั การสอื่ สารการตลาดดจิ ทิ ลั มหาวทิ ยาลยั เกษม การสรา้ งสรรคส์ อื่ ดจิ ทิ ลั และสอื่ นวตั กรรม กลยทุ ธก์ ารสอ่ื สารดจิ ทิ ลั บัณฑิต ทักษะการสื่อสารในยุคดิจิทัลมหาวิทยาลัยสยาม โครง สอื่ สารมวลชนและสอื่ ใหม่ พน้ื ฐานมลั ตมิ เี ดยี สำ� หรบั การสอื่ สารการ งานจริยศาสตร์ ประเด็นกฎหมายและสุนทรียศาสตร์ในส่ือใหม่ ตลาดดจิ ทิ ลั การเลา่ เรอ่ื งในการสอื่ สารการตลาด การสรา้ งตราสนิ โครงงานวางแผนโฆษณาและสอ่ื สารการตลาดดจิ ทิ ลั ระเบยี บวธิ ี คา้ ขา้ มวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ทม่ี นี กั ศกึ ษาตา่ งชาตมิ าเรยี น จะมี วจิ ยั และการประเมนิ ผลโฆษณาดจิ ทิ ลั สมั มนาประเดน็ ปจั จบุ นั ใน วชิ าการสอ่ื สารระหวา่ งวฒั นธรรมในภมู ภิ าคอาเซยี น การโฆษณา การสอ่ื สารการตลาดดจิ ทิ ลั มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ การสอ่ื สารการ ระหวา่ งประเทศ หรอื มบี างมหาวทิ ยาลยั ปรบั ชอื่ สาขานเิ ทศศาสตร์ สรา้ งสรรคส์ อ่ื ดจิ ทิ ลั และสอื่ นวตั กรรม กลยทุ ธ์ การสอ่ื สารดจิ ทิ ลั เนน้ หลกั การออกแบบและผลติ สอื่ ดจิ ติ อล จะมรี ายวชิ า เชน่ พนื้ ฐาน การออกแบบและการจดั การสำ� หรบั สอื่ ดจิ ทิ ลั มลั ตมิ เี ดยี สำ� หรบั การสอ่ื สารการตลาดดจิ ติ อล การสอื่ สารการตลาด บนสอื่ สงั คม สอ่ื สารมวลชนและสอื่ ใหม่ 3. หลายมหาวทิ ยาลยั มแี นวโนม้ ขยายขอบเขตวชิ าโครง งานสหกิจศึกษา วิชาการฝึกงานเน้นหนักไปทางการตลาดหรือ ประเดน็ ที่ 4 แนวโนม้ รายวชิ าในแตล่ ะมหาวทิ ยาลยั ท่ี การตลาดดจิ ทิ ลั เชน่ โครงงาน การสอื่ สารการตลาดดจิ ทิ ลั การ มคี วามทนั สมยั ทนั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยใี นปจั จบุ นั ฝกึ งาน สารนพิ นธแ์ ละสมั มนาเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารดา้ นการสอ่ื สารการ การศกึ ษาหลกั สตู รมหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ ใหม้ คี วามทนั สมยั ทนั ตอ่ การ ตลาดดจิ ทิ ลั เปลย่ี นแปลงทางเทคโนโลยี 5 ประการ คอื 4. หลายมหาวิทยาลัยจัดให้มีวิชาสัมมนาในหลักสูตร 1. มกี ารระบคุ ำ� วา่ การตลาดในชอื่ วชิ าทางนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สยาม มวี ชิ าสมั มนาประเดน็ ปจั จบุ นั ไดก้ ารสอ่ื สารการ สาขาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ เช่นมหาวิทยาลัย ตลาดดจิ ทิ ลั มหาวทิ ยาลยั ทองสขุ มวี ชิ าการสมั มนาทางโฆษณาและ ธุรกิจบัณฑิตย์ การเขียนเพ่ือการส่ือสารการตลาด การเล่าเรื่อง ประชาสมั พนั ธม์ หาวทิ ยาลยั อสั สมั ชญั มวี ชิ าสมั มนางานโฆษณา เพ่ือส่ือสารการตลาดดิจิทัล การวิจัยทางการตลาดและการ มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ มวี ชิ าสมั มนาการโฆษณาและมหาวทิ ยาลยั

ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 111 หอการคา้ ไทย มรี ายวชิ าสมั มนาสอ่ื สารการตลาด ด้านความรู้ ที่จ�ำเป็นเมื่อส�ำเร็จการศึกษาที่ควรมีมาก 5. หลายมหาวทิ ยาลยั เรมิ่ ปรากฏวชิ าทางเนอื้ หา ซงึ่ เปน็ ที่สุด คือ การวิเคราะห์ผู้รับสาร รองลงมาคือ การวางแผนการ โฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ สว่ นหนงึ่ ขององคค์ วามรสู้ มยั ใหมใ่ นหลกั สตู ร เชน่ มหาวทิ ยาลยั หอการค้าไทย มีวิชาการเล่าเร่ืองในการส่ือสารการตลาด ด้านทักษะ ท่ีจ�ำเป็น ส�ำหรับผู้ส�ำเร็จการศึกษาท่ีควร มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ มวี ชิ าศลิ ปะแหง่ การเลา่ เรอ่ื ง มหาวทิ ยาลยั มีมากท่ีสุด คอื ทักษะดา้ นการเขียนแผนประชาสัมพันธ์ รองลง สยาม มีวิชาการเล่าเรื่องข้ามสื่อและวิชาธุรกิจบันเทิง วิชาการ มาคอื ทกั ษะดา้ นการเขยี นเพอื่ การโนม้ นา้ วใจ สอดคลอ้ งกบั งาน ประชาสมั พนั ธอ์ ตุ สาหกรรมบนั เทงิ และมหาวทิ ยาลยั หวั เฉยี ว มี วจิ ยั ของ Wise (2005) ทท่ี ำ� การสนทนากลมุ่ นกั วชิ าชพี ดา้ นการ วชิ าศลิ ปะการแสดงเบอื้ งตน้ ประชาสมั พนั ธ์ถึงทกั ษะการเขียนของนกั ประชาสัมพนั ธ์ ไดส้ รุป ให้เห็นคุณลักษณะส�ำคัญของทักษะการเขียนเชิงประชาสัมพันธ์ อภปิ รายผล วา่ ทกั ษะการเขยี นเชงิ โนม้ นา้ วใจจะทำ� ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคก์ าร ประชาสมั พนั ธไ์ ด้ และสอดคลอ้ งกบั Gibson (1983) การสอนท่ี อภปิ รายผลการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ เนน้ การเขยี นเชงิ วารสารศาสตร์ อาจใหค้ วามสำ� คญั กบั การโนม้ นา้ ว ความคาดหวงั กบั การเรยี นนเิ ทศศาสตร์ กลมุ่ ตวั อยา่ งมี ใจ ซง่ึ ถอื เปน็ สงิ่ สำ� คญั ของงานประชาสมั พนั ธ์ ซง่ึ การเขยี นสามารถ ความคาดหวงั มากทส่ี ดุ คอื เรยี นใหจ้ บเพอ่ื สรา้ งสรรคผ์ ลงานทาง ทจ่ี ะใชเ้ ขยี นแผนงานประชาสมั พนั ธไ์ ดด้ ี นเิ ทศศาสตร์ โดยรปู แบบการเรยี นการสอนทตี่ อ้ งการมากทส่ี ดุ คอื อาจารยส์ อนใหน้ กั ศกึ ษาผลติ สอื่ ตา่ ง ๆ ได้ และมคี วามคดิ เหน็ ตอ่ ด้านคุณสมบัติส่วนบุคคลที่จ�ำเป็นส�ำหรับผู้ส�ำเร็จการ รายวชิ าดา้ นนเิ ทศศาสตรใ์ นกลมุ่ รายวชิ าตา่ ง ๆ ดงั น้ี ศกึ ษาควรมมี ากทสี่ ดุ คอื การมคี วามพยายามแกป้ ญั หา รองลงมา กลมุ่ วชิ าแกน วชิ าทคี่ วรเพมิ่ มากทสี่ ดุ คอื วชิ าการสอ่ื สาร คือ การมีความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับ แนวนโยบายของ ในสอื่ ใหม่ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั Zlateva (2003) ทวี่ า่ แกน่ สาขาวชิ าการ สำ� นกั งานคณะกรรมการอดุ มศกึ ษา (พ.ศ. 2555-2559, อา้ งใน โฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ นนั้ คอื การสอ่ื สารการบรู ณาการ พนม คลฉ่ี ายา, 2557) โดยยกระดบั คณุ ภาพบณั ฑติ ใหผ้ สู้ ำ� เรจ็ การ ระหวา่ งสาขาตา่ ง ๆ และการนำ� เทคโนโลยมี าใชใ้ นการสอื่ สารใหม่ ศกึ ษาตอ้ งมคี ณุ ภาพตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ อิ ดุ มศกึ ษา อยา่ ง กลมุ่ วชิ าเอกบงั คบั วชิ าทคี่ วรเพม่ิ มากทส่ี ดุ คอื วชิ าการ นอ้ ย 5 ดา้ น คอื ดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะ สร้างสรรค์สารและเน้ือหา สอดคล้องกับ Wilcox (2006) นัก ทางปญั ญา ดา้ นทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและความรบั วชิ าการผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการโฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ ความรู้ ผดิ ชอบ ดา้ นทกั ษะการวเิ คราะหเ์ ชงิ ตวั เลขการสอ่ื สารและการใช้ และทกั ษะของนกั โฆษณาและนกั ประชาสมั พนั ธร์ นุ่ ใหม่ ทส่ี ามารถ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ทำ� งานวชิ าชพี ไดป้ ระสบความสำ� เรจ็ และทเ่ี ตบิ โตในอนาคต ไดแ้ ก่ ทกั ษะในดา้ นความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละการเขยี นซง่ึ ยงั มคี วามจำ� เปน็ ตอนที่ 2 รายวชิ าทจี่ ำ� เปน็ สำ� หรบั ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษา กลมุ่ ทกุ ยคุ สมยั วชิ าทคี่ วรเพม่ิ มากทสี่ ดุ คอื กลมุ่ วชิ าเอกบงั คบั รองลงมา คอื กลมุ่ กลมุ่ วชิ าเอกเลอื ก วชิ าทค่ี วรเพม่ิ มากทส่ี ดุ คอื วชิ าการ วชิ าแกน และนอ้ ยทส่ี ดุ คอื กลมุ่ วชิ าเลอื ก มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ ผลติ สอื่ ใหมส่ อดคลอ้ ง กบั พนม คลฉ่ี ายา (2559) ทว่ี า่ คณุ สมบตั ิ และทกั ษะทจี่ ำ� เปน็ ของนกั นเิ ทศศาสตร์ คอื ตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยกี าร กลมุ่ วชิ าเอกบงั คบั ทคี่ วรเพม่ิ มากทสี่ ดุ คอื วชิ าการเขา้ สอื่ สารใหม่ ๆ ในการผลติ สอื่ เพอ่ื การสอ่ื สาร ถงึ ใจผบู้ รโิ ภค รองลงมา คอื การสรา้ งสรรคเ์ นอ้ื หาสาร ความคาดหวังของสถานประกอบการ กลุ่มตัวอย่างมี ความคาดหวงั ในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี กลุ่มวิชาแกน ที่ควรเพ่ิมมากที่สุด คือ วิชาการ ตอนที่ 1 ความรู้ ทกั ษะ ความสามารถทจ่ี ำ� เปน็ และ สื่อสารในสื่อใหม่ รองลงมา คือ วิชาความคิดสร้างสรรค์และ คณุ สมบตั สิ ว่ นบคุ คลสำ� หรบั ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาหลกั สตู รการโฆษณา นวตั กรรม และการประชาสมั พนั ธ์ กลุ่มวิชาเลือก ท่ีควรเพิ่มมากที่สุด คือ วิชาการ สร้างสรรค์เน้ือหาและการผลิตสื่อดิจิทัล รองลงมา คือวิชาการ ร้เู ท่าทนั ส่อื ดิจิทลั ท้ัง 3 กลุ่มวิชา ผู้ประกอบการต้องการได้บัณฑิต

112 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตร์และการส่ือสาร ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับข้อเสนอของสมา ในชอื่ รายวชิ าสอดคลอ้ งกบั Zlatave (2003) และ CPR (2006) พันธ์ Commission on Public Relations Education ที่ว่าการออกแบบหลักสูตรการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ (CPRE, 2006) เสนอประเด็นส�ำคัญในการออกแบบหลักสูตร ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ เทคโนโลยกี ารสอื่ สารใหมๆ่ ทส่ี ามารถนำ� มาใชใ้ นงาน ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ วชิ าหนง่ึ ทสี่ ำ� คญั มากกวา่ ในบรรดารายวชิ าอนื่ ๆ กค็ อื ประชาสมั พนั ธ์ ไดร้ วมถงึ ทกั ษะ ความรตู้ อ่ สอื่ ใหม่ หรอื การสอ่ื สา วชิ าความคดิ สรา้ งสรรค์ และนำ� ความรใู้ นดา้ นความคดิ สรา้ งสรรคม์ า รบรู ณาการระหวา่ งสาขาตา่ ง ๆ กบั การใชเ้ ทคโนโลยกี ารสอื่ สารใหม่ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทำ� งานโดยยดึ วตั ถปุ ระสงคข์ องงานนนั้ ๆ 3. มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ มีค�ำว่าดิจิทัล ส่ือใหม่ สื่อ ตอนที่ 3 แนวโน้มวิชาชีพการโฆษณาและการ ออนไลน์ ซงึ่ เปน็ ความเปน็ สมยั ใหม่ และหลายมหาวทิ ยาลยั มวี ชิ า ประชาสมั พนั ธใ์ นอกี 5 ปขี า้ งหนา้ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วามเหน็ วา่ แนว เก่ียวข้องกับเน้ือหา (Content) ซึ่งเป็นองค์ความรู้สมัยใหม่ใน โน้มวิชาชีพด้านนิเทศศาสตร์ท่ีเป็นไปได้อย่างย่ิง คือ สื่อใหม่จะ หลกั สตู ร สอดคลอ้ งกบั ความคาดหวงั ของสถานประกอบการ ที่ เปน็ สงิ่ สำ� คญั สำ� หรบั การปฏบิ ตั งิ านโฆษณาและงานประชาสมั พนั ธ ์ วา่ กลมุ่ วชิ าแกนทค่ี วรเพมิ่ มากทส่ี ดุ คอื วชิ าการสอื่ สารในสอื่ ใหม่ และแนวโนม้ ทสี่ ถานประกอบการตอ้ งการมากทส่ี ดุ คอื วชิ าดา้ น และรองลงมา คอื ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม และกลมุ่ วชิ า คอนเทนต์และส่ือดิจิทัล สอดคล้องกับ Alexander (2004) ท่ี เลอื กทค่ี วรเพมิ่ มากทส่ี ดุ คอื วชิ าการสรา้ งสรรคเ์ นอ้ื หาและวชิ าการ เหน็ วา่ การประชาสมั พนั ธจ์ ะกา้ วสแู่ นวคดิ ใหม่ ใชเ้ ทคโนโลยกี าร ผลติ สอ่ื ดจิ ทิ ลั รองลงมา คอื ความรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื ดจิ ทิ ลั และแนวโนม้ ส่ือสารและส่ือใหม่ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงช่องทางการสื่อสารที่ วชิ าชพี โดยรวมทเี่ ปน็ ไปไดอ้ ยา่ งยงิ่ คอื สอ่ื ใหม่ จะเปน็ สง่ิ สำ� คญั ตอ้ งการวธิ กี ารทำ� งาน และรวมถงึ ทกั ษะทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป ขณะ สำ� หรบั การปฏบิ ตั งิ านโฆษณาและการประชาสมั พนั ธ์ และแนวโนม้ เดียวกันสอื่ ใหมจ่ ะเป็นชอ่ งทางการสือ่ สารขององคก์ รท่ใี ชใ้ นการ วชิ าชพี ดา้ นนเิ ทศศาสตร์ ทสี่ ถานประกอบการตอ้ งการมากทส่ี ดุ คอื ประชาสมั พนั ธไ์ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี และสอดคลอ้ งกบั Wilcox (2006) วชิ าดา้ นคอนเทนตแ์ ละสอ่ื ดจิ ทิ ลั รองลงมาคอื วชิ าดา้ นนเิ ทศศาสตร์ ท่ีว่านักประชาสัมพันธ์รุ่นใหม่ จะต้องก้าวทันเทคโนโลยีรุ่นใหม่ นวตั กรรมและวชิ าดา้ นการผลติ สอื่ Event อกี ทง้ั ยงั สอดคลอ้ งกบั ๆ มคี วามรเู้ กยี่ วกบั เทคโนโลยใี หม่ ๆ และสามารถนำ� มาใชใ้ หเ้ กดิ ความคาดหวงั ของนสิ ติ ทต่ี อ้ งการใหเ้ พม่ิ วชิ าการสอ่ื สารในสอื่ ใหม่ ประโยชนใ์ นงานประชาสมั พนั ธไ์ ด ้ วชิ าความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม และวชิ าการผลติ สอ่ื ใหม่ อภปิ รายผลการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ขอ้ เสนอแนะ 1. มหาวิทยาลัยท่ีใช้ช่ือสาขาวิชาการโฆษณาและการ ประชาสมั พนั ธ์ มากทส่ี ดุ ถงึ 5 แหง่ จาก 10 แหง่ สอดคลอ้ งกบั หนงึ่ 1. ควรทำ� การศกึ ษาวเิ คราะหเ์ นอื้ หารายวชิ าในหลกั สตู ร ฤทยั ขอผลกลาง (2545, น. 45) ทว่ี า่ จากการสำ� รวจมหาวทิ ยาลยั การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้แทนจากองค์กรด้านส่ือ การสนทนากลุ่ม ทเ่ี ปดิ สอนนเิ ทศศาสตรใ์ นประเทศไทยจำ� นวน 34 แหง่ พบวา่ สาขา บณั ฑติ ผใู้ ชบ้ ณั ฑติ นกั วชิ าการ นกั วชิ าชพี และผเู้ รยี น วชิ าทเี่ ปดิ สอนมากทสี่ ดุ คอื สาขาการประชาสมั พนั ธ์ โดยมโี ครงสรา้ ง หลกั สตู รประกอบดว้ ย วชิ าศกึ ษาทวั่ ไป วชิ าเฉพาะและวชิ าเลอื กเสรี 2. ในการวจิ ยั หลกั สตู ร ผวู้ จิ ยั ควรศกึ ษาคณุ ลกั ษณะทพี่ งึ และการบรหิ ารหลกั สตู รในอนาคต คอื หลกั สตู รนเิ ทศศาสตรแ์ นว ประสงคด์ า้ นความรู้ ทกั ษะ ทจี่ ำ� เปน็ ความสามารถทพ่ี งึ มแี ละแนว ดงั้ เดมิ หลกั สตู รนเิ ทศศาสตร์ เพอื่ ธรุ กจิ และหลกั สตู รนเิ ทศศาสตร์ โนม้ วชิ าชพี ในทกุ ๆ 4 ปี และควรทำ� การวจิ ยั ใหเ้ สรจ็ สน้ิ กอ่ นการ แนวเทคโนโลย ี ปรบั ปรงุ หลกั สตู รครงั้ ใหม่ เพอื่ นำ� ผลการวจิ ยั ไปใชใ้ นการปรบั ปรงุ 2. มหาวทิ ยาลยั สว่ นใหญป่ รบั ชอื่ สาขาวชิ าการโฆษณา หลกั สตู รใหส้ มบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ และการประชาสัมพันธ์ โดยเติมค�ำบอกความเป็นสมัยใหม่ เช่น ดิจิทัลและนวัตกรรมในชื่อสาขาวิชา ได้แก่ วิชานวัตกรรมการ 3. ควรศกึ ษาความคาดหวงั ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา สื่อสารและแบรนด์ วิชาส่ือสารการตลาดดิจิทัล และวิชาการ ตอนปลายทกี่ ำ� ลงั ตดั สนิ ใจเขา้ เรยี นตอ่ คณะนเิ ทศศาสตร์ เผอ่ื นำ� ผล ประชาสมั พนั ธผ์ า่ นสอื่ ดจิ ทิ ลั และการจดั กจิ กรรม และมกี ารระบุ มาปรบั ปรงุ ใชใ้ หต้ รงตามความคาดหวงั ของผเู้ รยี น คำ� วา่ การตลาดและความเปน็ สมยั ใหม่ ไดแ้ ก่ ดจิ ติ อลและสอ่ื ใหม่ 4. ควรเพม่ิ การสมั ภาษณ์ หรอื สนทนากลมุ่ คณาจารย์ และผู้บริหารหลักสูตรการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ท้ัง มหาวทิ ยาลยั ของรฐั และเอกชน

ปที ี่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 113 บรรณานกุ รม กระทรวงอุตสาหกรรม. (2559). ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579). กระทรวงอุตสาหกรรม: กรุงเทพฯ. ชวลติ ชกู ำ� แพง. (2561). การวจิ ยั และพฒั นาหลกั สตู ร: แนวคดิ และกระบวนการ. กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2558). การพัฒนาหลักสูตร: ทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: วีพริ้นท์. ธ�ำรง บัวศรี. (2543). ทฤษฎีหลักสูตร: การออกแบบและพัฒนา. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว. พนม คล่ีฉายา. (2557). แนวโน้มวิชาชีพ หลักสูตรและคุณสมบัติท่ีพึงประสงค์ของบัณฑิตสาขาวิชาการโฆษณาและการ ประชาสัมพันธ์. คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2557). หลักและพื้นฐานการอุดมศึกษา. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ภาคิน บัวจีบ. (2559). ความพึงพอใจเเละความคิดเห็นของนักศึกษาช้ันปีสุดท้ายเเละบัณฑิตใหม่ที่มีต่อหลักสูตรคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ประจ�ำปีการศึกษา 2559. คณะนิเทศศาสตร์. มหาวิทยาลัยสยาม. รวีพรรณ อุดมรินทร์ และคณะ. (2560). ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร คณะวทิ ยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบรุ รี มั ย์. สาขาวชิ าการเงนิ และการธนาคาร คณะวทิ ยาการจดั การ. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรัมย์. วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2562). การจัดการเรียนรู้ในยุค Disruptive Innovation. กรุงเทพฯ: ศูนย์ผู้น�ำนวัตกรรม หลักสูตรและการเรียนรู้. วิฆเนศวร ทะกอง และคณะ. (2560). ความพึงพอใจของนักศึกษาท่ีมีต่อการจัดการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรนิเทศศาสตร บัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. ศุภณิช จันทร์ส่อง. (2553). การประเมินคุณภาพการจัดการศึกษา หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. คณะวิทยาการจัดการ. มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่. ส�ำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552. เอกสารอัดส�ำเนา. วไลรัตน์ ยุทธศิลป์. (2546). การประเมินหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2546. คณะนิเทศศาสตร์. มหาวิทยาลัย อีสเทิร์นเอเชีย. หนึ่งฤทัย ขอผลกลาง. (2545). แนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ในประเทศไทย. นครราชสีมา: ส�ำนักวิชาเทคโนโลยี สังคม. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. Alexander, D. (2004). Changing the public relations curriculum: A new challenge for educators. Prism 2. Retrieved Jul 11, 2013, from http://praxis.massey.ac.nz Colin Marsh and Ken Stafford. (1984). Curriculum: Australian Practice and Issues. Sydney: McGraw-Hill. Commission on Public Relations Education. (2006). The Professional Bond-Public Relations Education and the Practice. Public Relation Society of America (PRSA)., Commission on Public Relations Education Report. Gibson, D.C. (1983). Public Relations Education in a time of Change Suggestions for academic Relocation and Renovation. Public Relations Quarterly, 32(3) 25-31. Hilda Taba (1962). Curriculum Development: Theory and Practice. New York: Harcourt Brace & World.

114 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร Victor Nolet and Margaret J. McLaughlin (2000). Accessing the General Curriculum Including Students with Disabilities in Standards-Based Reform. California: Corwin. Wise, K. (2005). The importance of writing skills. Public Relations Quarterly, 50(2). 37-48 Wilcox, D.L. (2006). The Landscape of Today’s Global Public Relations. Anlisi. 34, 67-85. Zlateva, M. (2003). Public relations education-an instrument for the transformation and development of human resources. Higher Education in Europe, 28(4), 511-518.

ปที ี่ 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 115 ปัญหาทางกฎหมายเกีย่ วกับการกล่นั แกล้งรงั แกผ่านสงั คมออนไลนข์ องนิสิตนักศกึ ษา Legal problems of cyberbullying in university students อลุ ิช ดิษฐปราณตี 1 ชญานาภา ลมยั วงษ2์ อาทติ ยา โภคสุทธ3ิ์ ทรงพร ประมาณ4 Ulit Distapraneet, Chayanapa Lamaiwong, Athidtaya Pokkasut and Songporn Pramarn Article History Received: August 25, 2020 Revised: September 21, 2020 Accepted: October 5, 2020 บทคัดย่อ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาทางกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของ นิสิตนักศึกษา 2) น�ำเสนอแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเก่ียวกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา การ วิจัยครั้งน้ีใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัญหาทางกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ได้แก่ 1) ประเทศไทยขาดกฎหมายเฉพาะในการคุ้มครองทางด้านการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ ดังน้ัน เมื่อเกิดคดีท่ีเกี่ยวข้อง กับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ จึงต้องพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงของลักษณะพฤติกรรมการกลั่นแกล้งรังแกผ่าน สังคมออนไลน์และความสอดคล้องกับกฎหมายที่เก่ียวข้อง ประเทศไทยมีเพียงกฎหมายอาญามาตรา 326 มาตรา 328 มาตรา 393 และมาตรา 397 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 และมาตรา 423 ท่ีสามารถน�ำมาปรับใช้ลงโทษผู้กระท�ำความผิดหากแต่ บทลงโทษน้ันไม่รุนแรงพอที่จะยับยั้งหรือปราบปรามผู้กระท�ำความผิด นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท�ำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมถึงการกระท�ำความผิดในลักษณะของการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ 2) กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีบทลงโทษที่ไม่เพียงพอ และไม่ครอบคลุมต่อการกระท�ำความผิด 3) ปัญหาการตีความทางกฎหมาย และ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน 2. แนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเก่ียวกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ได้แก่ 1) ควร มีกฎหมายท่ีบัญญัติใช้โดยเฉพาะทางด้านการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ 2) ควรมีการก�ำหนดกระบวนการต่าง ๆ และ มีหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ที่ชัดเจน 3) ควรมีมาตรการการเยียวยาความเสียหายจากการ ถูกกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ที่เป็นรูปธรรม 4) ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคม ออนไลน์ และรณรงค์ต่อต้านพฤติกรรมการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ 5) ควรมีการสร้างมาตรการท่ีบูรณาการทางด้าน กฎหมาย จิตวิทยาและการดูแลนิสิตนักศึกษา มหาวิทยาลัยควรมีมาตรการ หรือกฎระเบียบข้อบังคับที่เก่ียวข้องกับการกล่ันแกล้ง 1-4 คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏร�ำไพพรรณี Faculty of Law, Rambhai Barni Rajabhat University *Corresponding author Email: [email protected]

116 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสอื่ สาร รังแกผ่านสังคมออนไลน์ท่ีชัดเจน มีความร่วมมือระหว่างบุคลากรทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง มีระบบดูแล ช่วยเหลือ เยียวยาทั้งผู้กระท�ำ ผิด และผู้ถูกกระท�ำ รวมถึงพยานผู้ที่อยู่เหตุการณ์ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา และป้องกันการเกิดเหตุซ้�ำในการกลั่นแกล้งรังแกผ่าน สังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ค�ำส�ำคัญ: ปัญหาทางกฎหมาย การกล่ันแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ สิทธิความเป็นส่วนตัว Abstract The objectives of this research are 1) to study on the legal problems of cyberbullying in university students, 2) to suggest the solutions to amend the law on cyberbullying. The research employed the quali- tative approach by using document analysis and in-depth interview. The research found that 1. the legal problems relating to cyberbullying in university students were: 1) since Thailand lacks specific laws on cyberbullying protection, therefore, when there is any cyberbul- lying case, the details and the fact of cyberbullying behavior had to be considered and it needed to be compatible with the related laws; 2) the punishments under related laws were not severe enough and they did not cover all commitments. Thailand has only section 326, section 328, section 393, and section 397 of the criminal law and section 420 and section 423 of the civil and commercial law which could be applied to punish the culprit. However, the punishment was not severe enough to prevent or suppress the culprit. Apart from that, there was also Computer - Related Crime Act B.E.2560; 3) the problems on the interpretation of law and the accurate knowledge and understandings of the people.; 2. the solutions to amend the law on cyberbullying in university students included that there should be: 1) the specific law in cyberbullying; 2) the designation of all procedures and the institutes which were directly related to cyberbullying; 3) the measures on concrete treatment of the loss from cyberbullying; 4) knowledge and understanding creation on cyberbullying; 5) the creation of integrating measures of law, psychology, and university student care. The university should possess obvious measures or regulations relating to cyberbullying, the cooperation of all related personnel, and the procedures to take care, to help, and to treat the culprits, the victims, and the witnesses in the incident to solve the problems and to prevent the repetitive incidents on cyberbullying of university students. Keywords: Legal problems, Cyberbullying, Right of Privacy

ปที ่ี 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 117 บทนำ� รนุ แรงไดอ้ ยา่ งคาดไมถ่ งึ การกลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ นั้น จึงเป็นเรื่องท่ีสังคมควรจะให้ความสนใจและช่วยกันป้องกัน ในปจั จบุ นั ทเี่ ทคโนโลยเี ขา้ มามบี ทบาทในชวี ติ ประจำ� วนั ใหก้ ารกระทำ� เหลา่ นห้ี ายไปจากสงั คม มากขนึ้ ไมอ่ าจปฏเิ สธไดเ้ ลยวา่ การใชส้ อ่ื สงั คมออนไลนเ์ ปน็ ทแ่ี พร่ หลายในประชาชนทกุ ระดบั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในนสิ ติ นกั ศกึ ษา กฎหมายนน้ั มสี ว่ นสำ� คญั ในการรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ย มหาวิทยาลัย เป็นกลุ่มคนท่ีมีการใช้สังคมออนไลน์เป็นจ�ำนวน และสร้างความเป็นธรรมให้กับประเทศชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบ มาก จากสรปุ ขอ้ มลู สถติ แิ ละพฤตกิ รรมการใชส้ งั คมออนไลน์ จาก โดยตรงต่อประชาชนในด้านต่าง ๆ ท้ังด้านการเมือง เศรษฐกิจ รายงาน Digital 2020 Global Digital Overview โดย WeAreSo- และสงั คม ดงั นนั้ การทพี่ ฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนใหเ้ ปน็ cial x Hootsuite พบวา่ ผใู้ ชเ้ ฟสบคุ๊ (Facebook) และอนิ สตา ไปในแนวทางใด หากมีบทบัญญัติของกฎหมายเป็นหลักการให้ แกรม (Instagram) ในประเทศไทยอยใู่ นกลมุ่ อายุ 25-34 ปมี าก ทกุ คนใชเ้ ปน็ แนวทางปฏบิ ตั ติ าม กย็ อ่ มนำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ ในการ ทสี่ ดุ รองลงมาคอื กลมุ่ อายุ 18-24 ปี (ณรงคย์ ศ มหทิ ธวิ าณชิ ชา, พฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน (สถาบนั พระปกเกลา้ , 2559) 2563) และในชว่ งวยั ของนสิ ติ นกั ศกึ ษานนั้ เปน็ ชว่ งวยั ทเี่ กดิ การ การมกี ฎหมายทใ่ี ชส้ ำ� หรบั ควบคมุ และคมุ้ ครองจากการกลนั่ แกลง้ เปลยี่ นแปลงทางดา้ นรา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และเปน็ ชว่ งทส่ี ภาพ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ เปน็ เครอื่ งมอื หนง่ึ ทจี่ ะชว่ ยปอ้ งกนั การก แวดลอ้ มรอบขา้ งสง่ ผลกระทบกบั การดำ� เนนิ ชวี ติ เปน็ อยา่ งมาก โดย ลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ ซง่ึ สง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ การ สงั คมออนไลนน์ นั้ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของสภาพแวดลอ้ มทสี่ ง่ ผลทง้ั ทาง ดำ� เนนิ ชวี ติ ของประชาชน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กบั นสิ ติ นกั ศกึ ษา ที่ ลบและทางบวกตอ่ การดำ� เนนิ ชวี ติ ซง่ึ หากเปน็ ทางดา้ นลบ นสิ ติ จะเปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ของชาตติ อ่ ไปในอนาคต นกั ศกึ ษามคี วามเสย่ี งตอ่ การถกู กลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ จากความสำ� คญั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั มคี วามประสงค์ การกลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ หรอื โลกไซเบอร์ ท่ีจะศึกษา “ปัญหาทางกฎหมายเก่ียวกับการกลั่นแกล้งรังแก (Cyberbullying) เปน็ พฤตกิ รรมทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คมออนไลน์ (Social ผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา” เพื่อศึกษากฎหมายท่ี Media) รวมถงึ โปรแกรมประยกุ ตส์ ำ� หรบั การสนทนาตา่ ง ๆ โดยผู้ เก่ียวข้องกับการถูกกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิต กระทำ� จะทำ� การสอื่ สารโดยสง่ ขอ้ มลู คอมพวิ เตอรไ์ ปยงั ผถู้ กู กระทำ� นกั ศกึ ษา ปญั หาทางกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และนำ� เสนอแนวทางใน อนั สง่ ผลกระทบทางจติ ใจและอารมณใ์ นแงข่ องความเปน็ สว่ นตวั การปรบั ปรงุ กฎหมาย รวมถงึ ขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั (Right to privacy) การกลน่ั แกลง้ รงั แกทางสงั คมออนไลน์ โดย กฎหมาย เพอ่ื เปน็ ประโยชนต์ อ่ การปอ้ งกนั ยบั ยง้ั การถกู กลนั่ แกลง้ การใสร่ า้ ยปา้ ยสี การใชถ้ อ้ ยคำ� หยาบคายตอ่ วา่ ผอู้ นื่ หรอื การสง่ ตอ่ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ ชว่ ยเหลอื ผถู้ กู กลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คม ขอ้ มลู ลบั เพอ่ื ทำ� ใหผ้ อู้ นื่ เสยี หายผา่ นทางอนิ เทอรเ์ นต็ เชน่ ในรปู ออนไลน์ และนำ� ไปสกู่ ารปรบั ปรงุ กฎหมายคมุ้ ครองสทิ ธขิ องผถู้ กู แบบตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การสง่ ขอ้ ความ (text message) คลปิ กลนั่ แกลง้ รงั แกทางสงั คมออนไลนต์ อ่ ไป วดิ โี อ (video-clip) รปู ภาพ (picture) อเี มล์ (email) เพอื่ ทำ� ให้ ฝ่ายท่ีถูกกระท�ำรู้สึกอับอาย รู้สึกเจ็บปวด ได้รับผลกระทบทาง วตั ถปุ ระสงค์ จติ ใจ (กองบงั คบั การอำ� นวยการ สำ� นกั งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสอ่ื สาร, 2563) เปน็ การรบกวนความเปน็ สว่ นตวั การกอ่ 1. ศึกษาปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกล่ัน ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นรำ� คาญอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ดว้ ยวธิ กี ารและเนอื้ หา แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา นน้ั นอกจากจะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลกระทบทางจติ ใจของผไู้ ดร้ บั การกลน่ั แกลง้ รงั แกนน้ั ยงั อาจสง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมอนื่ ๆ ทเี่ ปน็ อนั ตรายตอ่ 2. น�ำเสนอแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับ ชวี ติ รา่ งกาย หลายคนอาจถกู ทำ� ใหเ้ ปน็ ตวั ตลก ถกู เพอื่ นเลกิ คบ ถกู การกลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา ทำ� รา้ ยจติ ใจในลกั ษณะตา่ ง ๆ จนกลายเปน็ คนมปี มดอ้ ย อาจเสยี่ ง เปน็ โรคซมึ เศรา้ เกบ็ ตวั แยกตวั ออกจากสงั คม หวาดระแวง ทำ� รา้ ย นยิ ามศพั ท์ ตนเอง และบางรายเลอื กทจี่ ะจบชวี ติ ตนเอง หรอื กอ่ เหตคุ วาม ปญั หาทางกฎหมาย หมายถงึ ปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ จากชอ่ ง วา่ งของตวั บทกฎหมาย หรอื การนำ� กฎหมายไปใชใ้ นสถานการณ์ ตา่ ง ๆ เปน็ การนำ� ปญั หาเหลา่ นม้ี าศกึ ษา เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารปรบั ปรงุ

118 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร แกไ้ ขกฎหมายใหส้ อดคลอ้ งกบั บรบิ ททเ่ี ปลย่ี นแปลง และใหค้ วาม ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กฎหมาย เพอื่ การปรบั ปรงุ กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ยตุ ธิ รรมกบั บคุ คลผเู้ กย่ี วขอ้ ง การกลน่ั แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา การกลน่ั แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลน์ หมายถงึ การท่ี กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ผกู้ ระทำ� สอ่ื สารตอ่ ผถู้ กู กระทำ� ดว้ ยการสง่ ขอ้ มลู คอมพวิ เตอรใ์ น ลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ ขอ้ ความ ภาพ อนั เกดิ ผลกระทบตอ่ บคุ คลใด กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั จำ� แนกเปน็ 2 สว่ นหลกั ไดแ้ ก่ บคุ คลหนงึ่ ทงั้ จติ ใจ รา่ งกาย สงั คม ผา่ นทางสอ่ื สงั คมออนไลน์ โดย ส่วนที่ 1 การกล่ันแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ ประกอบด้วย เกดิ ผลเสยี ตอ่ บคุ คลผถู้ กู กระทำ� การถกู กลนั่ แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คม ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ของ ออนไลน์ มชี อ่ื เรยี กอนื่ ๆ วา่ การกลนั่ แกลง้ ทางโลกไซเบอรก์ าร นิสิตนักศึกษา รูปแบบการกล่ันแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ ระรานทางไซเบอร์ (Cyberbullying) ผลกระทบต่อการถูกกลั่นแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ของ นิสิตนักศึกษา และการป้องกันการกลั่นแกล้งรังแกทางสังคม ขอบเขตของการวจิ ยั ออนไลน์ สว่ นท่ี 2 กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การกลนั่ แกลง้ รงั แกทาง สังคมออนไลน์ ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายอาญา ประมวล 1. ขอบเขตดา้ นผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั ในการวจิ ยั กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบญั ญัติ วา่ ด้วยการกระ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั ในการวจิ ยั ไดแ้ ก่ ผเู้ ชย่ี วชาญทางดา้ น ท�ำความผดิ เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิม่ เติม กฎหมายอาญา กฎหมายเกยี่ วกบั ละเมดิ และกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ ง พ.ศ.2560 พระราชบัญญัติค้มุ ครองขอ้ มูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 กบั การใชส้ งั คมออนไลน์ จำ� นวน 3 ทา่ น และผบู้ รหิ ารมหาวทิ ยาลยั เพื่อเปน็ ข้อมลู เบอื้ งต้น ทีน่ �ำไปสกู่ ารศึกษาปัญหาทางกฎหมายที่ ฝา่ ยกจิ การนสิ ติ นกั ศกึ ษา จำ� นวน 2 ทา่ น เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ และศึกษา 2. ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา กฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การกลน่ั แกลง้ รงั แกทางสงั คมออนไลนใ์ น การวิจัยในครั้งน้ี มุ่งศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศสหรฐั อเมรกิ าและประเทศแคนาดา เพอื่ นำ� เสนอแนวทาง การกลน่ั แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา ศกึ ษา การปรบั ปรงุ และแกไ้ ขกฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การกลน่ั แกลง้ รงั แก ประเด็นปัญหาทางกฎหมายที่เก่ียวข้องการกลั่นแกล้งรังแกผ่าน ทางสงั คมออนไลน์ เปน็ การปอ้ งกนั การกลน่ั แกลง้ รงั แกทางสงั คม สงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษาทง้ั กฎหมายในประเทศไทย และ ออนไลน์ และคุม้ ครองสิทธแิ ละเยยี วยาผ้ถู ูกกลนั่ แกล้งรังแกทาง กฎหมายในต่างประเทศท่ีสามารถน�ำมาปรับใช้กับบริบทของ สังคมออนไลนต์ ่อไป ประเทศไทย และน�ำเสนอแนวทาง รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย

ปีท่ี 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 119 วิธีการศึกษา ผลการศึกษา การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative ตอนท่ี 1 ปัญหาทางกฎหมายที่เก่ียวข้องกับการกลั่น Research) ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมีข้ันตอนดังน้ี แกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา 1. ศกึ ษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 1.1 ประเทศไทยขาดกฎหมายเฉพาะในการคุ้มครอง ไดแ้ ก่ วตั ถปุ ระสงคข์ องเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ รปู แบบการกลน่ั ทางด้านการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ แกลง้ รงั แกทางสังคมออนไลน์ กระบวนการกลั่นแกลง้ รังแกทาง สงั คมออนไลน์ ปจั จยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การกลนั่ แกลง้ รงั แกทางสงั คม ปจั จบุ ันไทยยงั ไมม่ ีทัง้ กฎหมายเก่ียวกบั การเฝา้ ติดตาม ออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา ผลกระทบตอ่ การถกู กลน่ั แกลง้ รงั แก คุกคาม (Stalking laws) และการกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ ทางสงั คมออนไลนข์ องนิสติ นักศึกษา การปอ้ งกันการกล่นั แกล้ง (Cyber bullying laws) ส�ำหรับการน�ำ มาปรับใช้กับการกลั่น รังแกทางสังคมออนไลน์ กฎหมายทเ่ี ก่ียวกบั การกลัน่ แกลง้ รงั แก แกล้งรังแกออนไลน์ ยังพบปัญหาในประเด็นต่าง ๆ นอกจาก ทางสงั คมออนไลน์ และงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง เพอื่ ออกแบบการวจิ ยั ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายท่ีบัญญัติเฉพาะในเรื่องนี้โดยตรง ให้สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั แล้ว ยังขาดมาตรการทางกฎหมายส�ำหรับการป้องกันและ เยียวยาปัญหาการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์อย่าง 2. ก�ำหนดผู้ให้ข้อมูลหลักโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง เป็นรูปธรรม 3. สร้างและพัฒนาเคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย โดยเคร่ือง มือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบวิเคราะห์กฎหมายที่ 1.2 กฎหมายที่เก่ียวข้องมีบทลงโทษท่ีไม่เพียงพอ เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ 2) แบบ และไม่ครอบคลุมต่อการกระท�ำความผิด วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเก่ียวกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่าน สังคมออนไลน์ 3) แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ประเทศไทยมีเพียงกฎหมายอาญามาตรา 326 มาตรา เร่ือง ปัญหาทางกฎหมายเก่ียวกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่าน 328 มาตรา 393 และมาตรา 397กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา และ 4) แบบสัมภาษณ์ผู้ มาตรา 420 และมาตรา 423 ที่สามารถน�ำมาปรับใช้ลงโทษ บริหารมหาวิทยาลัยฝ่ายกิจการนิสิตนักศึกษา เรื่อง ปัญหา ผู้กระท�ำความผิดหากแต่บทลงโทษนั้นไม่รุนแรงพอท่ีจะยับยั้ง ทางกฎหมายเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ หรือปราบปรามผู้กระท�ำความผิด นอกจากนี้ยังมีพระราช ของนิสิตนักศึกษา บัญญัติว่าด้วยการกระท�ำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 4. ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย 2560 แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมถึงการกระท�ำความผิดในลักษณะ 5. เก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิจัยเอกสาร (Doc- ของการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ โดยผู้วิจัยขอ umentary research) โดยใช้แบบวิเคราะห์เอกสารใน ยกตัวอย่างประเด็นปัญหาบทลงโทษท่ีไม่เหมาะสม และไม่ ประเด็นกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคม ครอบคลุม ไว้ 2 ประเด็น ได้แก่ ออนไลน์ ปัญหาทางกฎหมาย และ และการสัมภาษณ์เชิง ลึก โดยใช้แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย และผู้ 1.2.1 บทลงโทษที่ไม่เหมาะสมในกฎหมายอาญา บริหารมหาวิทยาลัยฝ่ายกิจการนิสิตนักศึกษาเรื่อง ปัญหาทาง จากมาตรา 397 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระท�ำด้วยประการ กฎหมายเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของ ใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระท�ำให้ นิสิตนักศึกษา เพ่ือหาแนวทางในการปรับปรุงกฎหมาย รวมถึง ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนร�ำคาญ ต้องระวางโทษปรับ ข้อเสนอแนะอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่เกินห้าพันบาท 6. วิเคราะห์ รวบรวมและสรุปผลข้อมูล เพื่อน�ำเสนอ ถ้าการกระท�ำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระท�ำ แนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแก ในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารก�ำนัลหรือเป็นการกระท�ำ ผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา อันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะล่วงเกินทางเพศ ต้องระวาง โทษจ�ำคุกไม่เกินหน่ึงเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจ�ำท้ังปรับ”

120 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสอ่ื สาร จากมาตราดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บทลงโทษนั้นน้อย Act 2013) กฎหมายฉบับนี้ มุ่งคุ้มครองเหย่ือผู้ถูกกล่ันแกล้ง เกินไป ไม่เหมาะสมกับการกระท�ำพฤติกรรมในการรังแก ข่มเหง รังแกออนไลน์ และก�ำหนดความรับผิดส�ำหรับผู้กล่ันแกล้ง คุกคามซ่ึงมีความรุนแรง ส�ำหรับกลไกการด�ำเนินคดีตามกฎหมายนี้ ผู้เสียหายหรือญาติ มีสิทธิเรียกร้องทางแพ่งให้ศาลมีค�ำส่ังคุ้มครอง รวมทั้งเรียกค่า 1.2.2 การถูกล่วงละเมิดในข้อมูลส่วนบุคคล และยัง เสียหายจากผู้กระท�ำการกล่ันแกล้งรังแก โดยกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้รับการคุ้มครอง เยียวยาอย่างเพียงพอ ในมาตรา 3 นิยามความหมายของการกล่ันแกล้งรังแกออนไลน์ (Cyber bullying) ไว้ว่า “การส่ือสารใด ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงรวมถึงการส่ือสารโดยใช้ บุคคล ซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. คอมพิวเตอร์ ส่ืออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เว็บไซต์เครือข่ายสังคม 2562 แม้จะมีการประกาศใช้แล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ทุก ข้อความตัวอักษร เว็บไซต์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการ มาตรา ท�ำให้ไม่สามารถคุ้มครองดูแลอย่างสมบูรณ์ ประชาชน สื่อสารซ้�ำ ๆ หรือต่อเน่ือง ด้วยเจตนาท�ำให้ผู้อ่ืนเกิดความ ในประเทศไทยยังถูกล่วงละเมิดในข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง กลัว รบกวน ดูหมิ่น ท�ำให้อับอาย หดหู่ ท�ำให้เกิดอันตรายต่อ เป็นจ�ำนวนมาก และยังไม่ได้รับการคุ้มครอง เยียวยาอย่าง สุขภาพ อารมณ์ ความเป็นอยู่ ช่ือเสียง และรวมถึงการช่วยเหลือ เพียงพอ ซ่ึงช่องว่างทางกฎหมายนี้ ส่งผลให้เกิดการกล่ัน หรือส่งเสริมให้เกิดการสื่อสารเช่นนั้นด้วย” ผู้เสียหายมีสิทธิ แกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์โดยการน�ำข้อมูลส่วนบุคคลไป ยื่นค�ำร้องขอต่อศาลโดยอาจยื่นด้วยตนเองทางโทรศัพท์หรือ เผยแพร่ ก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลอื่น และยังพบข้อ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศใด ๆ หากผู้ร้องไม่ทราบตัวผู้กระท�ำ จ�ำกัดในการด�ำเนินคดีตามความผิดในการกลั่นแกล้งรังแกผ่าน อาจระบุตัวผู้กระท�ำจากอินเทอร์เน็ตโปรโทคอล (IP address) สังคมออนไลน์ เน่ืองจากการกระท�ำความผิดในการกลั่นแกล้ง เว็บไซต์, ชื่อบัญชีผู้ใช้งานจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หากศาล รังแกผ่านสังคมออนไลน์มีรูปแบบซับซ้อน มีการใช้เทคโนโลยี พิจารณาแล้วเห็นสมควรก็จะมีค้าสั่งคุ้มครอง (Protection ท่ีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว order) ซ่ึงอาจมีเนื้อหา เช่น ห้ามผู้ถูกร้องเรียนกระท�ำการก ล่ันแกล้งรังแกออนไลน์ ห้ามผู้ถูกร้องเรียนติดต่อสื่อสารกับผู้ 1.3 ปัญหาการตีความทางกฎหมาย และความรู้ เสียหายหรือบุคคลที่ก�ำหนด ห้ามผู้ถูกร้องเรียนส่ือสารข้อมูล ความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน เก่ียวกับผู้เสียหายหรือบุคคลท่ีก�ำหนด ห้ามผู้ถูกร้องเรียนใช้การ สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ อายัดหรือยึดอุปกรณ์ส่ือสารที่ผู้ถูก ในปัจจุบันพบปัญหาการเข้าถึงข้อกฎหมาย และความ ร้องเรียนใช้ในการกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ ห้ามผู้ถูกร้องเรียน รู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่ม ใช้บริการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการ รวมทั้งค�ำสั่ง นิสิตนักศึกษา ท่ีเมื่อประสบปัญหา หรือเม่ือตกเป็นผู้เสียหายไม่ ห้ามอื่น ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควร (มาตรา 9) โดยค�ำสั่งคุ้มครอง สามารถใช้รักษาสิทธิทางกฎหมายของตนเองได้ ถูกเอาเปรียบ น้ี จะมีผลได้ไม่เกิน 1 ปี การฝ่าฝืนค�ำส่ังดังกล่าวมีโทษทางอาญา ถูกกระท�ำ ไม่ทราบว่ามีกฎหมายใดท่ีสามารถคุ้มครองในกรณี ปรับไม่เกิน 5,000 เหรียญ หรือจ�ำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือทั้งจ�ำ ต่าง ๆ ได้บ้าง หรือแม้กระท่ังการเยียวยาท่ีจะได้รับภายหลัง ท้ังปรับ (ตามมาตรา 19) จากเกิดเหตุ นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเร่ืองการพิจารณาเจตนา ในการการกระท�ำความผิดทางอาญา ซ่ึงส่งผลให้การวินิจฉัย นอกจากโทษทางอาญาแล้ว กฎหมายนี้ ยังก�ำหนดการ แตกต่างกันไป แม้ในกรณีเดียวกัน เยียวยาทางแพ่งตามมาตรา 21 ส�ำหรับผู้เสียหายโดยวางหลัก ว่า “บุคคลผู้กระท�ำการกล่ันแกล้งรังแกออนไลน์น้ันมีความ ตอนที่ 2 แนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเก่ียวกับ รับผิดทางละเมิดต่อผู้ถูกกลั่นแกล้ง” ศาลอาจมีค�ำส่ังให้ชดใช้ การกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ค่าสินไหมทดแทนรวมถึงค่าสินไหมทดแทนท่ัวไป ค่าสินไหม ทดแทนพิเศษ ค่าสินไหมทดแทนเชิงลงโทษ (Punitive dam- 2.1 ควรมีกฎหมายท่ีบัญญัติใช้โดยเฉพาะทางด้าน การกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ จากตัวอย่างของรัฐ Nova Scotia เป็นรัฐแรกใน แคนาดาท่ีตรากฎหมายเก่ียวกับการกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ โดยมีชอื่ ว่า กฎหมายความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber-safety

ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 121 age) นอกจากนี้ ในกรณีผู้กระท�ำการกล่ันแกล้งรังแกเป็นผู้ ท่ีส่งผลเสียต่อผู้กระท�ำอย่างต่อเน่ืองและเป็นเวลานาน ซึ่ง เยาว์ (อายุต�่ำกว่า 19 ปี) ผู้ปกครองต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่า จากมาตรา 393 รวมถึง มาตรา 397 มีบทลงโทษที่เบาเกินไป สินไหมทดแทนด้วย เว้นแต่ผู้ปกครองจะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ดูแลผู้ ท�ำให้ไม่สามารถหยุดพฤติกรรมการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคม กระท�ำอย่างสมเหตุผลแล้วในขณะท่ีผู้กระท�ำก่อเหตุกลั่นแกล้ง ออนไลน์ และโดยทั่วไปแล้วในความผิดลหุโทษนั้นศาลมักจะ รังแก (มาตรา 22) ซ่ึงกฎหมายฉบับนี้ ยังได้จัดตั้งหน่วยงาน ลงโทษเพียงแค่ปรับเทาน้ัน แต่ถ้าหากนําอัตราโทษมาเปรียบ สืบสวนสอบสวนการกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์โดยเฉพาะเรียก เทียบกับความเสียหายท่ีอาจจะเกิดขึ้นกับเหย่ือแล้ว ความเสีย ว่า“Cyber-SCAN” มีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนข้อร้องเรียนรวม หายที่เกิดขึ้นกับเหยื่ออาจจะรุนแรงจนท�ำให้เสียชีวิต เชน การ ถึงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นระหว่างผู้กลั่นแกล้งและ ฆ่าตัวตาย อันเป็นการกระท�ำความผิดเสมือนการฆ่าผู้อ่ืน การก ผู้ถูกกล่ันแกล้ง เพื่อแก้ไขปัญหาก่อนการยื่นค้าร้องคุ้มครองต่อ ลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ควรมีโทษจ�ำคุกไม่เกินเจ็ดปี ปรับ ศาล (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2558) ไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจ�ำท้ังปรับ หรือมีการปรับจาก ความผิดลหุโทษเป็นความผิดอาญาทั่วไป นอกจากน้ี อาจมีการ จากการศึกษากฎหมายในต่างประเทศ ผู้วิจัยมี บัญญัติความผิดทางด้านการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ ความเห็นว่า ควรศึกษามาตรการทางกฎหมายในเชิงนโยบาย โดยตรง ให้เป็นความผิดในทางอาญาและก�ำหนดบทลงโทษท่ีสูง ที่เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งทางส่ือสังคมออนไลนจากประเทศ ข้ึนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระท�ำ สหรัฐอเมริกา หรือประเทศแคนาดา เป็นแนวปฏิบัติและน�ำมา ปรับใช้กับบริบทของประเทศไทย โดยก�ำหนดประเด็นส�ำคัญ 3) ระเบียบคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ว่า และสรุปเป็นนโยบายเพื่อน�ำไปสู่การปรับปรุงทางกฎหมาย ด้วยวิธีคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่เส่ียงต่อการกระท�ำผิด พ.ศ. 2553 ได้ระบุให้ ผู้ปกครองหรือบุคคลท่ียินยอมรับเด็กไป นอกจากน้ี ควรมีการแก้ไขกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง ใน ปกครองดูแล ต้องดูแลมิให้เด็กมีความประพฤติเสียหายหรือ ประเด็นดังต่อไปน้ี เส่ียงต่อการกระท�ำผิด โดยในข้อ (ก) ระมัดระวังมิให้เด็ก ประพฤติตนเกเรหรือข่มเหงรังแกผู้อื่น ในระเบียบฉบับนี้ ไม่ 1) ในพระราชบัญญัติวาด้วยการกระท�ำความผิดเกี่ยว ครอบคลุมถึงเยาวชน (ผู้ท่ีมีอายุตั้งแต่ 18-25 ปีบริบูรณ์) ซึ่ง กับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ.2560 เป็นกลุ่มเส่ียงต่อการกระท�ำผิดเช่นกัน และมีการระบุการกระ และประมวลกฎหมายอาญา ควรมีการก�ำหนดนิยามของค�ำว่า ท�ำผิดอย่างกว้าง ๆ เป็นลักษณะประพฤติตนข่มเหงรังแกผู้อ่ืน “การกล่ันแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์” และควรมีบทบัญญัติ ซึ่งการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ จะจัดอยู่ในการกระ ความผิดฐานกล่ันแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ข้ึนมาเฉพาะ ท�ำผิดในหัวข้อนี้ จึงควรมีการระบุรายละเอียดเพ่ิมเติมให้ชัดเจน ใหสอดคล้องครอบคลุมถึงลักษณะและพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง และครอบคลุมมากขึ้น รังแกผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้มีความชัดเจนและครอบคลุม ลักษณะของการกระท�ำอันเป็นความผิด 4) พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชน แห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 จัดท�ำข้ึนจากการเปลี่ยนแปลง 2) ควรจะมีการแกไขบทลงโทษที่บัญญัติอยู่ใน ของสภาพการณ์ในปัจจุบัน จ�ำเป็นต้องมีมาตรการส่งเสริมเด็ก ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 หรือควรมีการระบุการก และเยาวชนในทุกระดับให้มีส่วนร่วมในการดําเนินงานเพื่อ ระท�ำและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่าน การพัฒนาเด็กและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้ังการ สังคมออนไลน์ ในการแก้ไขบทลงโทษที่บัญญัติอยู่ในประมวล ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิด กฎหมายอาญามาตรา 393 ใหมีโทษเพิ่มข้ึนจากจ�ำคุกไม่เกิน เห็นในเร่ืองต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ตลอด หน่ึงเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจ�ำท้ังปรับ เป็น จนสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้มีการแสดงออกที่สอดคล้อง จ�ำคุกไม่เกินหน่ึงถึงเจ็ดปี ปรับต้ังแต่หนึ่งหมื่นบาทไม่เกินสาม กับระดับความรู้ความสามารถซ่ึงพัฒนาไปตามวัยของเด็กและ แสนบาท หรือท้ังจ�ำทั้งปรับเน่ืองจากพฤติกรรมการกล่ันแกล้ง เยาวชน รังแกทางสังคมออนไลน์ ซึ่งไล่ระดับโทษตามพฤติกรรมที่กระท�ำ ผิด โดยการกล่ันแกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์เป็นอาชญากรรม

122 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตร์และการสอื่ สาร ในมาตรา 4 มีการระบุแนวทางการด�ำเนินการใน การประชาสัมพันธ์ขั้นตอนต่าง ๆ หากตกเป็นเหย่ือ ข้ันตอน ลักษณะกว้าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคม ในการแจ้งหลักฐานต่าง ๆ ประกอบการแจ้งความ นอกจากนี้ ออนไลน์ ได้แก่ ให้เด็กและเยาวชนสามารถด�ำเนินชีวิตได้อย่าง ควรมีการจัดต้ังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแก ปลอดภัย รู้จักเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น รวมทั้งกฎหมาย ผ่านสังคมออนไลน์ที่ชัดเจน กฎเกณฑ์ และกติกาในสังคม ให้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ตาม สมควรแก่วัย รวมท้ังมีคุณธรรมและจริยธรรม ให้มีความรับ 2.3 ควรมีมาตรการการเยียวยาความเสียหายจาก ผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และต่อส่วนรวม ตามสมควรแก่วัย ให้ การถูกกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ท่ีเป็นรูปธรรม สามารถแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกอย่างสอดคล้องกับ ความรู้ความสามารถที่พัฒนาไปตามวัยของเด็กและเยาวชน การเยียวยาทางด้านกฎหมาย ได้รับความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเร่ืองท่ีมีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ให้สามารถ ในกรณีที่ผู้เสียหายเสียชีวิตนั้น ได้แก่ ค่าตอบแทน ค่าจัดการ เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมในเรื่องท่ีมีผลกระทบ ศพ และค่าเสียหายอื่น ๆ ตามที่จะก�ำหนด ส่วนกรณีที่ผู้เสีย ต่อเด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะโดยทางตรง หรือ หายไม่ถึงแก่ชีวิตน้ันเงินช่วยเหลือที่จะได้รับ ได้แก่ ค่าใช้จ่าย ผ่านผู้แทนหรือองค์กรเพื่อเด็กและเยาวชน ในการรักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและ จิตใจเท่าท่ีจ่ายจริงแต่ไม่เกินจ�ำนวนท่ีกฎหมายก�ำหนด ค่าขาด ซ่ึงหัวข้อท่ีกล่าวมานี้เป็นเหมือนวัตถุประสงค์ในการ ประโยชน์ในระหว่างท่ีไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน เพื่อน�ำไปสู่การจัดตั้งหน่วย ในจ�ำนวนและระยะเวลาท่ีกฎหมายก�ำหนด และค่าตอบแทน งาน องค์กร และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาเด็ก ความเสียหายอื่น ๆ ตามท่ีจะก�ำหนด รวมท้ังสามารถเรียกค่า และเยาวชนต่อไป สินไหมทดแทนในคดีแพ่งและพาณิชย์ในด้านผู้ปกครองควรมี การพูดคุยและรับฟังลูกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ปกครองควร 5) กฎกระทรวงก�ำหนดความประพฤติของนักเรียน ติดต่อกับอาจารย์ หรือผู้เกี่ยวข้องเพ่ือหาทางช่วยกันเยียวยา และนักศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 ได้ก�ำหนดไว้เพียงแค่ “(6) ถ้ามีความจ�ำเป็น และข้อสงสัยว่าลูกอาจมีปัญหาทางสุขภาพ ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ท�ำร้ายร่างกายผู้อ่ืน เตรียมการหรือกระท�ำ จิต ควรให้ลูกได้รับการประเมินและดูแลรักษาทางจิตใจจากผู้ การใด ๆ อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีล เช่ียวชาญ ทางด้านมหาวิทยาลัย จ�ำเป็นต้องมีมาตรการในการ ธรรมอันดีของประชาชน หรือรวมกลุ่มหรือมั่วสุม เพ่ือกระท�ำ เยียวยานิสิตนักศึกษา ในลักษณะของการมีระบบให้ค�ำปรึกษา การดังกล่าว” ซึ่งกฎกระทรวงน้ีเป็นการก�ำหนดไว้อย่างกว้าง ระบบช่วยเหลือเม่ือเกิดเหตุ มีช่องทางให้นิสิตนักศึกษาสามารถ ๆ ในส่ิงท่ีนิสิตนักศึกษาห้ามกระท�ำ แต่ไม่ได้กล่าวถึงบทก�ำหนด แจ้งเรื่องการกล่ันแกล้งบนโลกไซเบอร์ได้ โทษ หรือประเด็นลักษณะการกระท�ำใด ๆ 2.4 ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ 2.2 ควรมีการก�ำหนดกระบวนการต่าง ๆ และ การกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ และรณรงค์ต่อต้าน มีหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคม พฤติกรรมการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ ออนไลน์ท่ีชัดเจน 2.4.1 การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกลั่น การด�ำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมควรมีระบบ หรือ แกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์เพื่อให้นิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้ การก�ำหนดกระบวนการต่าง ๆ ที่ชัดเจน ท้ังการจัดระบบ เกี่ยวกับลักษณะการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ วิธีการ เอกสาร ระบบฐานข้อมูลประวัติภูมิหลังของนิสิตนักศึกษา มี ป้องกัน และการดูแลตนเองเมื่อประสบปัญหา หรือเป็นผู้ถูก กระบวนการส่งเสริมความรู้และทักษะของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับ กระท�ำ มีความรู้เท่าทันในการใช้เทคโนโลยี มีความตระหนัก ใช้กฎหมาย กระบวนการสอบสวนในคดีเกี่ยวกับการกล่ันแกล้ง ถึงโทษของการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ รังแกผ่านสังคมออนไลน์ กระบวนการท�ำงานร่วมกันทั้งภาค รัฐและเอกชน ในสถาบันอุดมศึกษาควรมีระบบการคัดกรอง 2.4.2 การรณรงค์เพื่อลดการกล่ันแกล้งรังแกผ่าน การดูแล การติดตามผล และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดซ้�ำ รวมถึงมี สังคมออนไลน์ โดยการให้ความร่วมมือในสถาบันอุดมศึกษา และหน่วยงานที่เก่ียวข้องในการรณรงค์เพื่อลดการกลั่นแกล้ง

ปที ี่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 123 รังแกผ่านสังคมออนไลน์ ให้นิสิตนักศึกษาได้ตระหนักถึงความ สู่การปฏิบัติจริง และจ�ำเป็นต้องหาบุคลากรท่ีมีความรู้ความ ส�ำคัญของสิทธิส่วนบุคคล ผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการกล่ัน สามารถทางจิตวิทยาที่ดูแลเฉพาะทาง สามารถให้ค�ำปรึกษา แกล้งรังแกทางสังคมออนไลน์ โดยการประชาสัมพันธ์ หรือ จัด แก่นิสิตนักศึกษาและเยียวยาได้อย่างทันท่วงที ป้องกันการ โครงการต่าง ๆ ผ่านสังคมออนไลน์ สนับสนุนการใช้ส่ือสังคม เกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงทางสังคมออนไลน์ โดยมุมมองที่ ออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อ่ืน มีต่อปัญหา ต้องไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วปล่อยผ่านไป จนปัญหาลุกลามขึ้น นอกจากน้ีองค์การบริหารนิสิตนักศึกษา 2.5 ควรมีการสร้างมาตรการท่ีบูรณาการทางด้าน ควรมีการด�ำเนินโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยว กฎหมาย จิตวิทยาและการดูแลนิสิตนักศึกษา กับการรับมือและแก้ปัญหาเม่ือต้องเผชิญกับสถานการณ์การก ล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ อาจจัดกิจกรรมเผยแพร่ มหาวิทยาลัยควรมีมาตรการที่เกิดจากการบูรณา ข่าวสารประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบ การทางด้านกฎหมาย จิตวิทยา และการดูแลนิสิตนักศึกษา ของการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ มีการจัดอบรมเชิง ในลักษณะกลยุทธ์ หรือโครงการต่าง ๆ หรือกฎระเบียบข้อ ปฏิบัติการให้ความรู้เก่ียวกับปัญหาและผลกระทบของการกลั่น บังคับท่ีเกี่ยวข้องกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ท่ี แกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ในสถานศึกษา ชัดเจน มีความร่วมมือระหว่างอาจารย์ท่ีปรึกษา อาจารย์กิจการ นิสิตนักศึกษา บุคลากรฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ และผู้ การให้ความส�ำคัญต่อนิสิตนักศึกษาเพ่ือให้พวก ปกครอง มีการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว มีระบบดูแลทั้งผู้กระท�ำ เขาเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคมเป็นส่ิงจ�ำเป็น ผิด และผู้ถูกกระท�ำ รวมถึงพยานผู้ท่ีอยู่เหตุการณ์ มีระบบ เน่ืองจากนิสิตนักศึกษาเป็นพลังส�ำคัญการพัฒนาสังคม และ การช่วยเหลือและเยียวยา เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง จัดกิจกรรมให้ผู้ ประเทศชาติ การส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาได้รับการเรียนรู้ใน ปกครอง และนิสิตนักศึกษาในการสร้างความสุข สร้างคุณค่า สิ่งท่ีถูกต้องรอบคอบ รู้จักคิด และพิจารณาว่าส่ิงใดสมควรส่ิง ให้ตัวเอง มีการป้องกันตนเอง และสามารถช่วยเหลือผู้อ่ืนได้ ใดไม่สมควร รู้จักรับผิดชอบต่อส่วนรวม ร่วมใจกันรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวัฒนธรรมท่ีดีงามของชาติ โดยมาตรการบูรณาการทางด้านกฎหมาย จิตวิทยา เพื่อเป็นพลเมืองที่ดีและเป็นก�ำลังท่ีเข้มแข็งที่จะร่วมกันพัฒนา และการดูแลนิสิตนักศึกษา ที่จะส่งเสริมการป้องกันความ ประเทศให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองต่อไป รุนแรงจากการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิต นักศึกษา ควรเริ่มต้นจากกฎหมายระดับนโยบายท่ีกระทรวง สรุปผลการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ท่ีน�ำประเด็น ปัญหาน้ีเข้าสู่คณะรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางแก้ไขข้อก�ำหนด ประเทศไทยขาดกฎหมายเฉพาะในการคุ้มครองทาง วิธีการ ท้ังการให้ความคุ้มครองนิสิตนักศึกษาซ่ึงเป็นผู้กระท�ำ ด้านการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ ดังน้ัน เมื่อเกิด หรือ ผู้ถูกกระท�ำ เนื่องจากพระราชบัญญัติต่าง ๆ ท่ีมีใช้อยู่ใน คดีท่ีเก่ียวข้องกับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ จึง ปัจจุบัน ยังไม่มีการก�ำหนดลักษณะ หลักเกณฑ์วิธีการเก่ียวกับ ต้องพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงของลักษณะพฤติกรรม การรับมือป้องกันหรือแก้ไขปัญหาในลักษณะน้ีโดยตรงอย่าง การกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์และความสอดคล้อง ชัดเจน มีเพียงการคุ้มครองในทางอ้อมเท่าน้ัน จึงจ�ำเป็นต้องมี กับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องมีบทลงโทษที่ การแก้ไขหรือบัญญัติเพิ่มเติมในข้อกฎหมายที่มีการบังคับใช้อยู่ ไม่เพียงพอ และไม่ครอบคลุมต่อการกระท�ำความผิด ดังนั้นจึง แล้วในปัจจุบัน เพ่ือให้ทันกับสถานการณ์ของโลกท่ีปรับเปลี่ยน ควรมีกฎหมายที่บัญญัติใช้โดยเฉพาะทางด้านการกลั่นแกล้ง ไปตลอดเวลา ให้มีความชัดเจนและเฉพาะตัวมากขึ้น รังแกผ่านสังคมออนไลน์ มีการสร้างความรู้ความเข้าใจเก่ียว กับการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ และรณรงค์ต่อต้าน จากน้ันสถาบันอุดมศึกษาจึงน�ำนโยบายของกระทรวง พฤติกรรมการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ และควรมี การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมาปรับใช้ให้ การสร้างมาตรการที่บูรณาการทางด้านกฎหมาย จิตวิทยาและ สอดคล้องกับบริบทของแต่ละสถาบัน บุคลากรของสถาบัน อุดมศึกษาต้องให้ความร่วมมือในการด�ำเนินงานจากกลยุทธ์

124 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตร์และการส่ือสาร การดูแลนิสิตนักศึกษา การสร้างความร่วมมือระหว่างบุคลากร และอัจศรา ประเสริฐสิน, 2560) คือ ความหวัง (Hope) การ ทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง เป็นการแก้ไขปัญหา และป้องกันการเกิดเหตุ มองโลกในแง่ดี (Optimism) การรับรู้ความสามารถของตน  ซ�้ำในการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา (Self-efficacy)  และการฟื้นคืนได้ (Resilience)  นิสิตนักศึ ได้เป็นอย่างดี กษาท่ีมีคุณลักษณะทุนทางจิตวิทยาสูงย่อมมีความสามารถในก ารจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกเม่ือตนเองเกิดภาวะรับรู้เก่ีย อภิปรายผล วกับความรุนแรงของภัยคุกคามทางสังคมออนไลน์ขึ้น โดยการ รับรู้ดังกล่าวเป็นความคิดและความรู้สึกของนิสิตที่มีต่อความ 1. ทิศทางของกฎหมายการกล่ันแกล้งรังแกผ่าน รุนแรงของภาวะคุกคามหรือการรังแกกันผ่านสังคมออนไลน์ สงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษาในอนาคต โดยในประเทศไทย ท่ีเป็นการกระท�ำใด ๆ ของบุคคล อันมีลักษณะคุกคาม ข่มขู่ ยังไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองการถูกกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคม ล่วงละเมิดท�ำให้ผู้ถูกกระท�ำเกิดความกลัว ความหวาดระแวง ออนไลน์โดยเฉพาะ ยังต้องอาศัยการพิจารณาวินิจฉัยคดีจาก รู้สึกร�ำคาญ รู้สึกอับอาย เป็นการคุกคามกันบนโลกออนไลน์ กฎหมายอน่ื ๆ ที่เกีย่ วข้อง แต่ในอนาคตท่ีมีแนวโน้มสถานการณ์ โดยไม่ใช่การท�ำร้ายร่างกายหรือมีการท�ำให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ การกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงย่ิง เป็นการท�ำร้ายทางอารมณ์ความรู้สึกซ่ึงสามารถสร้างบาดแผล ขึ้น จ�ำเป็นต้องมีการจัดท�ำกฎหมายเฉพาะเพ่ือแก้ปัญหา ให้ ท่ีรุนแรงในทางจิตวิทยา โดยอาจส่งผลกระทบต่อจิตใจท�ำให้ ความคุ้มครองและเยียวยาผู้ถูกกระท�ำอย่างยุติธรรม โดย เกิดความเครียด หวาดระแวง ซึมเศร้า หดหู่ ไปจนถึงการฆ่าตัว เฉพาะอย่างย่ิงการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิต ตายได้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกติฉินนินทา การถูกก่อกวน การถูก นักศึกษา ควรมีการสอดแทรกกฎหมายกล่ันแกล้งรังแกผ่าน เปิดโปง การถูกแอบอ้างช่ือเพ่ือให้เกิดความเสื่อมเสีย  การถูก สังคมออนไลน์ในกฎหมายการศึกษา หรือ กฎหมายในลักษณะ ข่มขู่คุกคาม การถูกลบหรือบล็อกออกจากกลุ่มเพ่ือน  หรือการ ระเบียบข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษา ซ่ึงแนวคิดน้ี สอดคล้อง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่คุกคามรุนแรง บุคคลที่มีทุนทางจิตวิทยาจะ กับ เมธินี สุวรรณกิจ (2560) ในการเสนอให้ประเทศไทยน�ำ สามารถการปรับตัวแสดงออกต่อสถานการณ์หรือสิ่งคุกคาม มาตรการเชิงนโยบาย (School Policies) และ (2) มาตรการ ทางออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม และกลับคืนสู่สภาพเดิมหรือ การลงโทษทางอาญา มาปรับใช้โดยให้ก�ำหนดมาตรการดัง ดีข้ึนได้อย่างรวดเร็วเพ่ือการปกป้องตนเองจากภัยคุกคามทาง กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และจากการที่ อินเทอร์เน็ต ประเทศแคนาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมท้ังการที่ประเทศ สหราชอาณาจักรได้ให้ความส�ำคัญกับการบัญญัติกฎหมายท่ี 3. การมผี ชู้ แี้ นะนสิ ติ นกั ศกึ ษาทดี่ ี การทน่ี สิ ติ นกั ศกึ ษา เก่ียวข้องกับการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ (นาจรีย์ จะมแี นวทางการดำ� เนนิ ชวี ติ ไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม จ�ำเป็น ชยะบุตร และยศศักด์ิ โกไศยกานนท์, 2560) แสดงให้เห็นว่าใน ต้องมีครูบาอาจารย์ และบคุ คลรอบขา้ งที่สามารถเปน็ แบบอย่าง ภายภาคหน้าหลายประเทศทั่วโลกจะมีการด�ำเนินการปรับปรุง ท่ีดี คอยอบรมส่ังสอน ให้ค�ำแนะน�ำ ซึ่งสอดคล้องกับ พระบรม กฎหมายและบังคับใช้ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้มี ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ประสิทธิภาพสูงสุด บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร แก่นิสิตและ นักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา ณ วิทยาลัยวิชาการศึกษา 2. ทุนทางจิตวิทยาที่เช่ือมโยงกับการป้องกัน ประสานมิตร เมื่อวันท่ี 28 พฤศจิกายน 2515 ความว่า “เยาวชน ตนเองต่อกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ พฤติกรรมการ ทุกคนมิได้ต้องการท�ำตัวให้ตกต�่ำ หรือให้เป็นปัญหาแก่สังคม ป้องกันตนเองจากภัยคุกคามจากการกล่ันแกล้งรังแก่ผ่านสังคม ประการใด แท้จริงต้องการจะเป็นคนดีมีความส�ำเร็จ มีฐานะ ออนไลน์ของนิสิตนักศึกษาได้รับอิทธิพลจากทุนทางจิตวิทยา มีเกียรติ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างราบรื่น แต่การท่ีจะบรรลุถึง มากท่ีสุด โดยทุนทางจิตวิทยาอันเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะ ความประสงค์น้ัน จ�ำเป็นต้องอาศัยผู้แนะน�ำ ควบคุมให้ด�ำเนิน จิตใจทางบวกของบุคคล ประกอบไปด้วยคุณลักษณะ 4 ด้าน ไปโดยถูกต้อง” ดังนั้น การมีผู้ชี้แนะนิสิตนักศึกษาในส่ิงท่ีควรท�ำ (Luthans  et  al,  2004, อ้างถึงใน อิสริยา ปาริชาติกานนท์

ปที ี่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 125 หรือไม่ควรท�ำ จะช่วยลดปัญหาการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคม ทางกายและทางใจท่ีสมดุล 3) การให้ค�ำปรึกษาเบ้ืองต้นส�ำหรับ ออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา การท่ีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้แก่ครูบา อาจารย์ท่ีปรึกษาในการดูแลสุขภาพจิตทุกปัญหา ได้แก่ หลัก อาจารย์ ครอบครัว หรือผู้ปกครอง ช่วยกันสอดส่องดูแล ไม่เพิก 3 ส เร่ิมจากการสอดส่อง มองหา คือ ต้องรู้ว่า ใครเป็นกลุ่ม เฉยต่อนิสิตนักศึกษา เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้เป็นอย่างดี เส่ียง คนใกล้ชิดท่ีเป็นกลุ่มเสี่ยง จากนั้นเมื่อพบนิสิตนักศึกษา ก่อนท่ีปัญหาจะลุกลามจนไม่สามารถแก้ไขได้ ท่ีมีปัญหา ต้องใส่ใจ รับฟัง คือ การฟังอย่างใส่ใจ ช่วยให้เกิด ความไว้วางใจ และส่งต่อ เชื่อมโยง ถ้าเห็นว่ามีปัญหาเกินกว่า 4. ระบบการดูแลนิสิตนักศึกษาจากกลั่นแกล้งรังแก จะช่วยได้ ต้องส่ง Counselors ให้เป็นฝ่ายชักชวน/น�ำพาเข้า ผ่านสังคมออนไลน์ ทางสถาบันอุดมศึกษาจ�ำเป็นต้องมีระบบ สู่ระบบรักษา เพ่ือป้องกันการก่อเหตุกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคม การดูแลนิสิตนักศึกษาทั้งกลุ่มเส่ียงที่จะก่อเหตุการณ์กล่ันแกล้ง ออนไลน์ ซ่ึงการกล่ันแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์มีความ รังแกผ่านสังคมออนไลน์ และนิสิตนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย จึงเป็นความเสี่ยง จากกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ เพ่ือการป้องกัน เฝ้า ที่ผู้เก่ียวข้องต้องดูแลอย่างใกล้ชิด 4) ความช่วยเหลืออ่ืน ๆ ท่ี ระวังเพ่ือลดการก่อเหตุ แก้ปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระ นักศึกษาเข้าถึงได้ง่ายที่นอกเหนือจากอาจารย์ที่ปรึกษา โดย ท�ำอย่างเป็นรูปธรรม โดยผู้วิจัยเห็นว่าสามารถน�ำ “ระบบการ เฉพาะการสร้างเสริมให้มีกิจกรรมนักศึกษา ในลักษณะชมรม ดูแลช่วยเหลือป้องกันการฆ่าตัวตายในสถาบันอุดมศึกษา” ของ เพ่ือนช่วยเพ่ือน และระบบการให้ค�ำปรึกษาแบบออนไลน์ ผ่าน นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ิ (อ้างถึงใน จิรกานต์ สิริก ทางเฟสบุ๊ค หรือ แชทบอร์ด รวมท้ังการเผยแพร่บริการให้ค�ำ วินกอบกุล, 2562) ระบบดูแลช่วยเหลือนักศึกษานี้ ต้องมีการ ปรึกษาทางโทรศัพท์ ท้ังหมดน้ีถ้ายึดโยงกับอาจารย์ที่ปรึกษา ออกแบบและท�ำตามระบบจริง อาจารย์ต้องรู้จักนักศึกษาเป็น ในระบบดูแลช่วยเหลือนักศึกษา ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพและ รายบุคคลจริง ต้องมีการจัดกิจกรรมในลักษณะการโฮมรูมและ การเข้าถึงบริการ และ 5) การ Postvention ไม่ว่าระบบดีแค่ การแนะแนว ท�ำให้ทราบว่ามีนักศึกษาคนไหนต้องการการให้ ไหนก็ตาม เมื่อเกิดปัญหาก็จ�ำเป็นต้องมีการจัดการและทบทวน ค�ำปรึกษา ซ่ึงจะท�ำให้มีการให้ค�ำปรึกษาเพิ่มข้ึน และมีการส่ง ระบบใหม่ การ Postvention ประกอบด้วย การเยียวยาผู้ใกล้ ตอ่ ตามล�ำดบั เริ่มจากมี Counselors ภายในมหาวทิ ยาลยั ขึ้นมา ชิด ได้แก่ เพื่อนนักศึกษา ผู้ปกครอง รวมท้ังอาจารย์ท่ีปรึกษา ก่อน การส่งต่อไปยังจิตแพทย์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลยนั้น และการป้องกันไม่ให้เกิดซ�้ำ ได้แก่ ทบทวนระบบดูแลนักศึกษา จะล่าช้าและไม่ค่อยครอบคลุม ควรจะมีตัวกลางค่ันคือ Coun- ค้นหาจุดที่เป็นช่องว่าง ปรับปรุงระบบท่ีเป็นจุดอ่อน selors ท่ีจะสามารถดูแลคัดกรองได้มากกว่าเร็วกว่าที่จะส่งไป ยังจิตแพทย์หรือหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเลยทันที คือต้องมีระบบ 5. ความรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ การกลั่นแกลง ภายในและค่อยส่งต่อภายนอกตามล�ำดับ หากมหาวิทยาลัยมี รังแกผ่านสังคมออนไลน์ (Cyber Bullying) เป็นผลมาจาก ระบบแล้ว ถ้านักศึกษาไม่มีปัญหาก็ดูแลต่อเนื่องโดยอาจารย์ ความรู้ไม่เท่ากันสื่อสังคมออนไลน์ ท้ังผู้กระท�ำและผู้ถูกกระท�ำ ท่ีปรึกษา แต่ถ้ามีปัญหาเกิดข้ึนอีก ก็จะต้องมี Postvention มี ดังนั้นควรมีการปลูกฝังความรู้พื้นฐานในการรู้เท่าทันส่ือสังคม มาตรการชัดเจนว่าจะต้องท�ำอะไรบ้าง จากน้ันต้องมีการจัดท�ำ ออนไลน์ และวิธีการปรับใช้ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน โดย รายงาน และประเมินผล โดยระบบการดูแลช่วยเหลือป้องกัน องค์กร Common sense แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ก�ำหนด การฆ่าตัวตายในสถาบันอุดมศึกษามี 5 ขั้นตอนดังน้ี 1) การ ทักษะการรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ออกเป็น 8 ประการ (วรัช รู้จักนักศึกษาเป็นรายบุคคล ว่ามีภูมิหลังอย่างไร และมีประสบ ญ์ ครุจิต, 2558) ได้แก่ 1) การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ปัญหาในด้านบ้าง เพ่ือจะได้ทราบว่าใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาจท�ำ (Internet Safety) 2) การปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูล เป็นแบบ Check list พฤติกรรม 2) การเสริมสร้างทักษะชีวิต (Privacy & Security) 3) การรักษาความสัมพันธ์และการ (Life Skills) คือ ให้นิสิตนักศึกษามีภูมิคุ้มกันท่ีดีทางด้านจิตใจ ส่ือสาร (Relationships & Communication) 4) การป้องกัน และตระหนักรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน รู้จักใช้ และแก้ไขปัญหาการถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ (Cyber-Bul- สังคมออนไลน์อย่างเหมาะสม จัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดสุขภาวะ lying) 5) การปกป้องข้อมูลและชื่อเสียงทางออนไลน์ (Digital

126 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสอ่ื สาร Footprint & Reputation) 6) การสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวใน กระท�ำตระหนักถึงโทษที่จะได้รับ และให้ผู้ท่ีถูกกระท�ำ ได้รับ โลกออนไลน์ (Self-Image & Identity) 7) ความรู้เท่าทันข้อมูล ความคุ้มครองสิทธิ และได้รับการเยียวยาทางกฎหมายอย่าง ดิจิทัล (Information Literacy) และ 8) การใช้ข้อมูลดิจิทัล ยุติธรรม อย่างสร้างสรรค์และไม่ละเมิดลิขสิทธ์ิ (Creative Credit & Copyright) 3. สถาบันการศึกษา และสถาบันครอบครัวควรมีการ ส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันส่ือดิจิทัลและสังคมออนไลน์ ให้นิสิต ข้อเสนอแนะ นักศึกษาได้เรียนรู้ในการใช้สังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ รู้จัก ป้องกันตนเองจากการใช้ส่ือดิจิทัลและสังคมออนไลน์ ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจัยไปใช้ 1. ภาครัฐและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องควรมีการทบทวน ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้ังต่อไป กฎหมายและปรบั ปรุงแกไ้ ขกฎหมาย เพื่อป้องกนั การกลั่นแกลง้ 1. ควรมีการศึกษารายกรณี (Case study) เก่ียวกับ รังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา คุ้มครองสิทธิ และ การกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษาใน เยยี วยาผถู้ กู กลน่ั แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา สถานการณ์ต่าง ๆ และศึกษากฎหมายท่ีเก่ียวข้องในเชิงลึก รวมถึงสามารถนำ� กฎหมายไปใชไ้ ด้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ควรมีการท�ำวิจัยเก่ียวกับมาตรการทางกฎหมาย 2 มหาวิทยาลัย สื่อมวลชน และหน่วยงานต่าง ๆ ควร เก่ียวกับการถูกกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์อย่างเป็น ให้ความรู้ และเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายเก่ียวกับการกล่ัน รูปธรรม แกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ มีการรณรงค์เพ่ือยับยั้งการก 3. ควรมีการศึกษาแรงจูงใจและพฤติกรรมท่ีก่อให้ ลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา ให้ผู้ที่จะ เกิดการกลั่นแกล้งรังแกผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา เพ่ือหาแนวทางป้องกันที่สอดคล้องกับข้อกฎหมาย บรรณานุกรม “กฎกระทรวงกำ� หนดความประพฤตขิ องนักเรยี นและนกั ศึกษา (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2562”. (2562, สงิ หาคม 30). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ 136 ตอนที่ 94 ก. หน้า 7-8. กองบังคับการอ�ำนวยการ ส�ำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. (2563). CYBER BULLYING มีกฎหมายคุ้มครองเหยื่อ แค่ไหน?. สืบค้นจาก https://ictgeneral.police.go.th/?p=434#:~:text=ประมวลกฎหมายอาญา%20 มาตรา,ไมเ่ กนิ หา้ พันบาท&text=ไม่เกินหนง่ึ ปหี รือ,หรือทั้งจำ� ทง้ั ปรับ. คณาธิป ทองรวีวงศ์. (2558). มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิบุคคลจากการกล่ันแกล้งรังแกออนไลน์ ซึ่งน�ำไปสู่การ ฆ่าตัวตาย: ศึกษากรณีกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์. เอกสารหลังการประชุมวิชาการระดับชาติ (E-Proceedings) ARTS-LC 2015, 1-20. จริ กานต์ สริ กิ วนิ กอบกลุ . (2562). บณั ฑิตแหง่ อนาคต ผลติ ผลทม่ี คี ุณภาพของมหาวิทยาลยั ไทย. เอกสารประกอบการสมั มนาวิชาการ ทางอุดมศกึ ษา The Smarter Future of Higher Education, หนา้ 34-49. ณรงคย์ ศ มหิทธิวาณชิ ชา. (2563). สถิติและพฤติกรรมการใช้ social media ทว่ั โลก Q1 ปี 2020. สืบคน้ จาก https://www.twf digital.com/blog/2020/02/global-social-media-usage-stats-q1-2020/ นาจรีย์ ชยะบุตร และยศศกั ดิ์ โกไศยกานนท.์ (2560). มาตรการทางกฎหมายเพ่อื การคมุ้ ครองสทิ ธคิ วามเปน็ สว่ นตัวจากการขม่ เหง รงั แกออนไลน์. วารสารวจิ ัยและพัฒนา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เลย, 12(40), 32-40. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร. พระบรมราโชวาทเน่ืองในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร. 28 พฤศจิกายน 2515.

ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 127 “พระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองขอ้ มลู สว่ นบคุ คล พ.ศ.2562”. (2562, พฤษภาคม 27). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ 136 ตอนท่ี 69 ก. หนา้ 52-95. “พระราชบญั ญัติว่าดว้ ยการกระท�ำความผดิ เกย่ี วกบั คอมพวิ เตอร์ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ.2560”. (2560, มกราคม 24). ราชกิจจานเุ บกษา. เลม่ 134 ตอนท่ี 10 ก. หน้า 24-35. “พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560”. (2560, 13 มิถุนายน). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 134 ตอนที่ 63 ก. หน้า 1-12. เมธินี สุวรรณกิจ. (2560). มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการถูกกล่ันแกล้งในสังคมออนไลน์. วารสาร นติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร, 10(2), 49-70. “ระเบียบคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ว่าด้วยวิธีคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กท่ีเสี่ยงต่อการกระท�ำผิด พ.ศ.2553”. (2553, 30 มนี าคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เลม่ 127 ตอนพิเศษ 40 ง. หนา้ 4-5. วรัชญ์ ครุจิต. (2558). รูปแบบของการสื่อสารในสื่อดิจิทัลท่ีส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเด็กและเยาวชน และแนวทางการดูแลป้องกัน และเสรมิ สร้างความรเู้ ท่าทนั ส่อื ดจิ ทิ ลั สำ� หรบั เด็กและเยาวชน. กรงุ เทพฯ: สมาคมวิทยุและสอื่ เพอื่ เดก็ เยาวชน. สถาบนั พระปกเกล้า. (2559). กฎหมาย. สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0 %B8%AB%E0%B8%A1%E0%B%B2%E0%B8%A2 อสิ รยิ า ปารชิ าติกานนท์ และอัจศรา ประเสรฐิ สิน. (2560). ปัจจัยเชิงสาเหตุท่มี ีอิทธิพลตอ่ พฤตกิ รรมป้องกันตนเองจากภยั คุกคามทาง อินเทอรเ์ น็ตของนสิ ติ ระดับปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารบรรณศาสตร์ มศว., 10(1), 77-91.

128 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสอื่ สาร คำ� แนะนำ� ในการเตรยี มและสง่ ตน้ ฉบบั ส�ำหรับผนู้ ิพนธ์ บทความท่ีส่งมาขอรับการตีพิมพ์ในวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการส่ือสาร ควรจะมี ความเนื้อหาทางวิชาการอยู่ในสาขาวิชาสังคมศาสตร์ สาขาวิชาครุศาสตร์ สาขาวิชาบริหารการศึกษา สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชามนุษยศาสตร์ สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาการ ตลาด สาขาวิชาบัญชี สาขาวิชาการบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง สาขาวิชาการท่องเท่ียวและการโรงแรม สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สาขา วิชาต�ำรวจศาสตร์ และสาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการ พิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอ่ืน ผู้นิพนธ์บทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การ เสนอบทความวิชาการหรือบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และ การสื่อสารอย่างเคร่งครัดรวมท้ังระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร ท้ังนี้ผู้นิพนธ์ จะต้องไม่รายงานข้อมูลท่ีคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นการสร้างข้อมูลเท็จ หรือการ ปลอมแปลงรวมทั้งทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์ และการส่ือสารถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความนั้นและไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิด ชอบของกองบรรณาธิการวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร รวมท้ังผู้นิพนธ์จะต้อง ค�ำนึงถึงจริยธรรมการวิจัยไม่ละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเองทางวารสารได้ ก�ำหนดความซ�้ำของผลงาน ด้วยโปรแกรม CopyCat เว็บ Thaijo ในระดับ ไม่เกิน 25% โดยมีผล ต้ังแต่ เดือน มีนาคม 2563 เป็นตันไป วารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจ�ำนวน 5,000 บาท ต่อ 1 บทความ ผู้นิพนธ์จะต้อง ลงทะเบียนในระบบ ThaiJo พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมมาท่ีธนาคารกรุงศรีอยุธยา ช่ือบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี เลขท่ีบัญชี 178 1489 579 ส่งหลักฐานการช�ำระค่าธรรมเนียม มาที่ [email protected] จะคนื ใหผ้ นู้ พิ นธใ์ นกรณบี รรณาธกิ ารปฏเิ สธการตพี มิ พเ์ ทา่ นนั้ หากส่งให้ผทู้ รงคณุ วฒุ ิประเมินบทความแลว้ วารสารจะไมค่ นื ค่าธรรมเนียม

ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 129 ประเภทของบทความ 1. บทความวชิ าการ (Academic article) คือ บทความที่เขียนข้ึนในลักษณะวิเคราะห์วิจารณ์ หรือเสนอแนวคิดใหม่ ๆ จากพ้ืนฐานวิชาการที่ได้เรียบเรียงมาจากผลงานทางวิชาการของตนเองหรือ ของผู้อื่นหรือเป็นบทความทางวิชาการที่เขียนข้ึนเพ่ือเป็นความรู้ส�ำหรับผู้สนใจทั่วไปกล่าวถึงความเป็น มาของปัญหา วัตถุประสงค์ แนวทางการแก้ไขปัญหา มีการใช้แนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจัย จากแหล่ง ข้อมูล สรุป อาทิ หนังสือ วารสารวิชาการ อินเตอร์เน็ต ประกอบการวิเคราะห์วิจารณ์ เสนอแนวทาง การแก้ไข 2. บทความวิจัย (Research article) คือ เป็นการน�ำเสนอผลการวิจัยอย่างเป็นระบบกล่าว ถึงความเป็นมาและความส�ำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การด�ำเนินการวิจัย บทความวิจัยประกอบ ด้วย หน้าแรกเป็นช่ือเรื่อง บทคัดย่อ และเน้ือหาของบทความ ในส่วนหน้าท่ีเป็นชื่อเร่ืองควรมีข้อมูล ตามล�ำดับดังน้ี ชื่อเร่ือง ชื่อผู้นิพนธ์ สังกัด (คณะ มหาวิทยาลัย) อีเมล (e-mail) หรือในกรณีที่เป็น นักศึกษาควรมีรายละเอียด เช่น หลักสูตร สาขา มหาวิทยาลัย อาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นต้น บทคัดย่อ ต้องระบุถึงความส�ำคัญของเร่ือง วัตถุประสงค์ วิธีการวิจัย (ประชากร กลุ่มตัวอย่าง และวิธี การสุ่ม เครื่องมือ และสถิติ ท่ีใช้ในการวิจัย) ผลการวิจัยและบทสรุป ความยาวไม่เกิน 250 ค�ำ ใน กรณีท่ีต้นฉบับเป็นภาษาไทย ให้ผู้นิพนธ์เขียนบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ระบุคําสําคัญ ของเรื่อง (keywords) จํานวนไม่เกิน 5 คํา เนื้อหาของบทความ ได้แก่ บทน�ำต้องมีความเป็นมาและ ความสําคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ และสมมุติฐานของงานวิจัย (ถ้ามี) กรอบแนวคิดการวิจัย ระเบียบ วิธีการวิจัย ประกอบด้วย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ เป็นต้น 3. บทความปริทัศน์ (Review article) คือ งานวิชาการที่ประเมินสถานะล่าสุดทางวิชาการ เฉพาะทางที่มีการศึกษา ค้นคว้า มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ที่ทันสมัยโดยให้ข้อวิพากษ์ ท่ีช้ีให้เห็นแนวโน้มที่ควรศึกษาและพัฒนาต่อยอดได้ บทความปริทัศน์นั้นเป็นการน�ำเสนอภาพรวมของ เรื่องท่ีน่าสนใจโดยในหน้าแรกของบทความปริทัศน์จะต้องประกอบด้วย ช่ือเร่ือง ชื่อผู้นิพนธ์ สังกัด (คณะ มหาวิทยาลัย) และ อีเมล (e-mail) พร้อมบทสรุป เพ่ือเป็นการสรุปเร่ืองโดยย่อให้เข้าใจว่า เร่ืองท่ีได้น�ำเสนอมีความน่าสนใจและความเป็นมาอย่างไร พร้อมระบุคําส�ำคัญของเร่ือง (keywords) จํานวนไม่เกิน 5 คํา

130 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร การเตรียมตน้ ฉบับ 1. การพิมพ์ให้จัดพิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Office Word ระยะบรรทัดเด่ียวโดยจัด หน้ากระดาษขนาด A4 (8.5x11นิ้ว) ตั้งค่าหน้ากระดาษสําหรับการพิมพ์ห่างจากขอบกระดาษทุกด้าน ดา้ นละ 2.0 เซนติเมตร) จดั สองคอลัมน์ใสเ่ ลขหนา้ กํากบั ทุกหนา้ 2. รูปแบบตวั อกั ษร จัดพิมพ์ด้วยอักษร Thai Sarabun New ท้งั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รายละเอียดดงั นี้ หัวเรื่องอักษรขนาด 18 pt. ใช้ตวั หนา ชื่อผนู้ พิ นธ์ (ตวั ปกติ) และหัวขอ้ หลกั (ตัวหนา) ใชต้ ัวอกั ษรขนาด 16 pt. หวั ข้อรอง (ตวั หนา) ใช้ตวั อกั ษรขนาด 14 pt. เน้อื หาทกุ สว่ น (ตัวปกติ) ใช้ตวั อักษรขนาด 14 pt. เชิงอรรถหนา้ แรกใชต้ ัวอักษรขนาด 12 pt. ตวั ปกติ 3. จำ� นวนหนา้ ความยาวของบทความ ไมเ่ กนิ 10 หนา้ (รวมตาราง รปู ภาพ และเอกสารอา้ งองิ ) 4. ตาราง รปู ภาพ แผนภูมิ และกราฟ ใหแ้ ทรกไวใ้ นเนอ้ื เรอ่ื งอาจจดั ท�ำเป็นขาวดาํ หรอื สกี ไ็ ดโ้ ดย ให้ผนู้ พิ นธค์ ดั เลอื กเฉพาะทจ่ี าํ เป็นเทา่ นั้น เรียงล�ำดบั ใหส้ อดคลอ้ งกับเนอ้ื เรื่อง ชอ่ื ตารางใหอ้ ยู่ดา้ นบน ของตาราง ส่วนชอ่ื รูปภาพ แผนภมู ิ ให้อยู่ด้านล่างพร้อมทง้ั คาํ อธบิ ายส้ัน ๆ 6. เอกสารอา้ งอิง (การอา้ งองิ สารสนเทศตามแบบ APA) (7th edition) มรี ายละเอียดตาม ท่ีกาํ หนด ดงั นี้ 6.1 ช่อื ผู้แต่ง./(ปพี มิ พ)์ ./ชอ่ื บทความ./ชอื่ วารสาร,/ปีท่(ี ฉบับที่),/หน้าแรก-หนา้ สดุ ทา้ ย. 6.2 ช่ือผแู้ ต่ง./(ปพี ิมพ)์ ./ชอื่ บทความ./ชือ่ วารสาร,/เลขปีที่(ฉบบั ท)ี่ ,/เลขหนา้ ./https:// doi.org/เลขdoi 6.3 ชอ่ื ผูแ้ ตง่ ./(ปีพมิ พ)์ ./ช่ือหนังสือ/(พิมพค์ รง้ั ที)่ ./สำ� นักพมิ พ์. 6.4 ชือ่ ผแู้ ตง่ ./(ปพี ิมพ)์ ./ชอ่ื หนงั สอื ./(พมิ พ์คร้งั ที)่ ./URL 6.5 ชอื่ ผ้แู ตง่ ./(ปีที่เผยแพร)่ ./ชอ่ื วทิ ยานิพนธ์/[วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาดษุ ฎีบัณฑิต ไมไ่ ด้ตี พิมพ์ หรอื วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตพี มิ พ]์ ./ช่ือมหาวิทยาลัย. 6.6 ช่ือผู้แต่ง./(ปีท่ีเผยแพร่)./ช่ือวิทยานิพนธ์/[วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต หรือ วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑิต]./ช่ือเวบ็ ไซต.์ /URL 6.7 ชอื่ ผแู้ ตง่ ./(ป)ี ./ชอื่ เรอื่ ง:/ชอื่ เรอื่ งยอ่ ย./ชอ่ื วารสาร,/เลขของปที (่ี เลขของฉบบั ท)่ี ,/เลข หนา้ ./URLหน้า)./ 7. ตรวจทานความถกู ตอ้ ง ครบถว้ น สมบรู ณก์ อ่ นการจดั สง่ ตน้ ฉบบั และสง่ ตน้ ฉบบั มาท่ี https:// so02.tci-thaijo.org/index.php/ISSC/index โดยสอบถามข้อมลู เพ่ิมเตมิ ไดท้ ่ี โทร. 081 374 3100

คณะนิเทศศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั รำไพพรรณี 41 ม.5 ต.ทา ชาง อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000