เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ : 101 เอกสารประกอบการสอน วชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ เตชทตั ปกั สังขาเนย์
102 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ เอกสารประกอบการสอน วิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ โดย... เตชทัต ปักสังขาเนย์
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 1 บทที่ ๑ ความรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกับพระไตรปิฎก ความเป็นมาของพระไตรปิฎก และการจดั พิมพพ์ ระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเกดิ ขึ้นเมื่อใด มคี วามเหน็ อยู่ ๒ แนวทางเกี่ยวกบั การแบง่ หมวดหมู่พระไตรปฎิ ก วา่ เร่ิมมกี ารแบง่ หมวดหมเู่ ป็น ๓ หมวด หรอื ทีเ่ รียกว่า พระไตรปฎิ ก นีใ้ นช่วงเวลาใด บางตาํ ราแสดงความเห็นว่าในการสังคายนาครงั้ ที่ ๑ และ ๒ ได้มกี ารชําระทง้ั ธรรมและวนิ ยั ครบ ๓ หมวด แตไ่ ม่ไดม้ ีการกล่าวถงึ คาํ วา่ ปฎิ กไว้เลย ใช้คําวา่ ธรรม และ วนิ ัย โดยให้ความเห็นไว้ว่า ไดร้ วมพระสุตตนั ตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกไว้ในหมวดเดียวกัน คอื หมวดธรรม รวมเรียกทัง้ หมดว่า “ธรรม และ วินยั ” จงึ มีความเหน็ ว่า การแบ่งหมวดหม่พู ระไตรปิฎกเปน็ ๓ หมวดน้ี อาจ เริม่ มมี าต้งั แตก่ ารสังคายนาคร้ังท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๔) เป็นต้นมา แตถ่ า้ อา้ งองิ ตามหลักฐานของคัมภีร์อรรถกถาพระวนิ ัยปิฎก (คัมภีร์สมันตปาสาทิกา) ผลงานของท่าน พระพทุ ธโฆษาจารย์แล้ว ท่านถือวา่ การแบ่งหมวดหมพู่ ระไตรปิฎกเปน็ ๓ หมวดน้ี มีมาตั้งแต่การสังคายนาครั้ง ที่ ๑ เป็นตน้ มา1 การจารึกพระไตรปิฎกครั้งแรก การสังคายนาครั้งที่ ๑, ๒ และ ๓ ได้ใช้วิธีมุขปาฐะ คือสวดและท่องจําพร้อมกัน แต่เน่ืองด้วย ความสามารถในการท่องจําทั้งพระธรรมและวินัยของพระสาวกในรุ่นต่อๆมา มิอาจเทียบเท่าพระสาวกในยุค พุทธกาลได้ อีกทั้งเพ่ือป้องกันการผิดพลาดจากการท่องจําสืบต่อกันไป จึงได้เร่ิมมีการจารึกพุทธวจนะลงใน ใบลานในการสังคายนาพระไตรปิฎกคร้ังที่ ๒ ในลังกา ในปี พ.ศ. ๔๓๓ ในรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย (ลังกา)2 ภาพท่ี ๑ พระไตรปิฎกภาษาสิงหล จารึกลงในใบลาน 1 สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปฎิ กฉบบั สาํ หรับประชาชน, พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๑๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกุฏราช วิทยาลยั , ๒๕๕๐), หนา้ ๘ - ๙. 2 เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๑๑-๑๒.
2 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ พระไตรปิฎกในประเทศไทย ประเทศไทยมีประวัติการชาํ ระและจารกึ พระไตรปิฎกในยุคสมัยตา่ งๆ ดงั น้ี o พ.ศ. ๒๐๒๐ – ได้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานเป็นคร้ังแรก ในสมัยพระเจ้าติโลกราช ณ วัด เจ็ดยอด เมืองเชยี งใหม่ o พ.ศ. ๒๔๓๑ – ไดม้ ีการจดั พิมพพ์ ระไตรปิฎกเป็นเลม่ หนงั สอื ครั้งแรก ในรชั กาลที่ ๕ o พ.ศ. ๒๔๓๖ – ตีพิมพ์พระไตรปิฎกเสร็จเรียบร้อย และฉลองงานรัชดาภิเษก พระไตรปิฎกรวม ๓๙ เล่ม (ในสมัยรัชกาลที่ ๕) o พ.ศ. ๒๔๖๘ – ได้มีการตีพิมพ์พระไตรปิฎกใหม่เป็นฉบับที่สมบรู ณ์ คือ พระไตรปิฎกฉบบั สยามรัฐ จํานวน ๔๕ เล่ม ในสมัยรชั กาลท่ี ๗3 ที่มาของจาํ นวนพระไตรปฎิ ก ๔๕ เล่ม จํานวนของพระไตรปิฎกรวมทั้งชุด ๔๕ เล่มน้ี ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการส่ือถึงการรําลึกถึงพระกรุณาธิคุณ อันบริสุทธ์ของพระพุทธเจ้า ในการท่ีทรงเมตตาปฏิบัติพุทธกิจเป็นเวลายาวนานถึง ๔๕ พรรษา นับต้ังแต่ทรง ตรัสรจู้ นถงึ เสด็จดบั ขันธ์ปรินพิ พาน โครงสรา้ งพระไตรปิฎก4 ปจั จบุ นั ใชร้ ปู แบบการแบง่ หมวดหมู่พระไตรปิฎกเป็น ๓ หมวด ดงั น้ี แผนภาพท่ี ๑ โครงสรา้ งหมวดหมพู่ ระไตรปิฎก พระวนิ ัยปฎิ ก • พระวินยั ทงั้ หมดของภิกษแุ ละภกิ ษุณี, สังฆกรรม, พระสุตตันตปิฎก ประวัติความเปน็ มาภกิ ษุณี และประวตั ิการสงั คายนา พระอภิธรรมปฎิ ก ครัง้ ที่ ๑ และ ๒ • พระสตู รขนาดยาวและขนาดกลาง, พระสูตรประมวล เป็นเรอื่ งๆ หรอื เปน็ ขอ้ ๆ พรอ้ มเร่อื งราวประกอบของ แตล่ ะพระสตู ร รวมถงึ ภาษติ สาวก และชาดก • ธรรมลว้ นๆ แบ่งเปน็ หมวดๆ เปน็ ข้อๆ แบ่งตามธาตุ ธรรมะเปน็ ค่ๆู การบัญญัตบิ คุ คล และการถาม-ตอบ กถาวัตถุ 3 สุชีพ ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปฎิ กฉบบั สาหรบั ประชาชน, พมิ พ์คร้ังท่ี ๑๗, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๗. 4สุชีพ ปุญญานภุ าพ, พระไตรปฎิ กฉบบั สาํ หรับประชาชน, (หน้า ๒๐-๒๓.)
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 3 โครงสรา้ งพระวินัยปฎิ ก วธิ กี ารเรียกชอ่ื หมวดย่อยพระวินยั ปฎิ ก ๔ แบบ5 แผนภาพที่ ๒ การเรียกช่ือหมวดยอ่ ยพระวนิ ยั ปิ ฎกตามแบบในคมั ภีร์วชิรสารัตถสงั คหะ แผนภาพที่ ๓ การเรียกช่ือหมวดยอ่ ยพระวินยั ปิ ฎกแบบตามชื่อคมั ภีร์ และแบบสมาคมบาลปี กรณ์ 5คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, พระวนิ ยั ปิฎก, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๑-๑๓.
4 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๓ รายละเอียดหมวดย่อยพระวนิ ยั ปฎิ ก6 แผนภาพที่ ๔ รายละเอียดหมวดยอ่ ยพระวนิ ยั ปิ ฎก เหตุใดจึงต้องจัดพระวนิ ัยปฎิ กไวเ้ ปน็ หมวดแรก? พระวินัยได้รับการชําระ หรือเรียบเรียงเป็นหมวดแรก นับตั้งแต่การสังคายนาครั้งท่ี ๑ เป็นต้นมา เนื่องจากพระวินัยถือได้ว่าเป็นส่วนสําคัญในการดํารงและสืบทอดพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกกันว่า พระวินัย เปน็ อายุ หรือพระวินยั เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนานั่นเอง โดยมที ่ีมาดงั นี้ (ในการสังคายนาครงั้ ท่ี ๑ หลังจากพระอานนท์เขา้ ในที่ประชมุ สงฆ)์ “เม่อื พระอานนท์น้ันน่ังแล้วอย่างนั้น พระมหากัสสปเถรจึงปรึกษาภิกษุท้ังหลายว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ! พวกเราจะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรมหรือพระวินัย” ภิกษุท้ังหลายเรียนว่า \"ข้าแต่ท่านพระมหากัสสป! ช่ือว่าพระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังต้ังอยู่พระพุทธศาสนาจัดว่ายังดารงอยู่; เพราะฉะน้นั พวกเราจะสังคายนาพระวินยั ก่อน”7 โครงสรา้ งพระวินยั ปฎิ ก เลม่ ๑ – ๘ 6คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปฎิ กศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ์, ๒๕๕๓), หน้า ๒๕-๒๖. 7 มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. ปฐมสมนั ตปาสาทกิ า แปล ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕), หนา้ ๑๙.
เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 5 โครงสรา้ งพระวินยั ปฎิ ก มหาวภิ งั ค์ (เล่ม ๑-๒) เลม่ ที่ ๑ มหาวภิ ังค์ ว่าดว้ ยสิกขาบทของหลกั ๆของภิกษุ มหี มวดยอ่ ยดังนี้ ๑. เวรัญชกัณฑ์ เล่าเหตุการณ์ท่ีพระสารีบุตรคํานึงถึงความดํารงตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนา และขอใหพ้ ระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ิพระวินยั ๒. ปฐมปาราชิกกณั ฑ์ ปาราชกิ สิกขาบทขอ้ ท่ี ๑ คือ ห้ามภกิ ษเุ สพเมถุน ๓. ทตุ ยิ ปาราชกิ กัณฑ์ ปาราชกิ สิกขาบทข้อท่ี ๒ คอื ห้ามภกิ ษเุ อาของผอู้ ื่นเกิน ๕ มาสก ๔. ตตยิ ปาราชิกกัณฑ์ ปาราชกิ สิกขาบทข้อที่ ๓ คอื ห้ามภกิ ษุฆ่ามนษุ ย์ ๕. จตุตถปาราชกิ กณั ฑ์ ปาราชิกสกิ ขาบทขอ้ ที่ ๔ คอื หา้ มภิกษุอวดอตุ ริมนุสยธรรมที่ไมม่ ีในตน ๖. เตรสกณั ฑ์ วา่ ด้วยอาบัติสังฆาทเิ สส ๑๓ ขอ้ ๗. อนยิ ตกัณฑ์ วา่ ดว้ ยอาบัตทิ ่ไี ม่แนว่ ่าปรบั ข้อไหน ตอ้ งดพู ยานหลักฐานประกอบ รวมสรปุ สาระสําคญั ของพระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๑ คอื ปาราชกิ ๔, สงั ฆาทิเสส ๑๓, อนยิ ต ๒ (รวม ๑๙ ขอ้ ) เล่มท่ี ๒ - มหาวภิ งั ค์ วา่ ด้วยสกิ ขาบทขอ้ ทเี่ หลอื ของภิกษุ มหี มวดยอ่ ยดงั น้ี ๑. นิสสคั คิยกณั ฑ์ ปาจิตตยี ์ สละของ อาบตั ติ ก ๓๐ ๒. ปาจติ ติยกัณฑ์ ปาจิตตยี ์ ไมม่ เี งอื่ นไข ๙๒ ๓. ปาฏิเทสนยี กัณฑ์ อาบตั ิพึงแสดงคนื ๔ ๔. เสขิยกัณฑ์ ขอ้ พึงศึกษา ๗๕ สรุป และ เบ็ดเตล็ด ๕. อธิกรณสมถะ ธรรมสาหรบั ระงบั อธกิ รณ์ ๗ ประการ โครงสร้างพระวนิ ยั ปิฎก ภิกขุณีวิภงั ค์ (เลม่ ๓) เล่มที่ ๓ - ภกิ ขุณวี ิภังค์ ว่าด้วยสกิ ขาบททัง้ หมดของภกิ ษุณี มีส่วนท่ีเหมอื นสกิ ขาบทของภกิ ษสุ ว่ น หน่ึง และสว่ นทีเ่ พิ่มเติมอกี สว่ นหนึง่ มหี มวดย่อยดงั น้ี ๑. ปาราชกิ กัณฑ์ ปาราชิกสิกขาบท ๘ ขอ้ (เหมือนภิกษุ ๔ ขอ้ เพมิ่ อีก ๔ ข้อ) ๒. สัตตรสกณั ฑ์ อาบตั ิสังฆาทิเสส ๑๗ ข้อ (เหมือนภิกษุ ๑๐ ข้อ เพิ่มอีก ๗ ขอ้ ) ๓. นิสสัคคยิ กัณฑ์ อาบัตินิสคั คยิ ปาจิตตีย์ (อาบตั ิปาจติ ตียท์ ต่ี ้องสละส่ิงของ) ๓๐ ข้อ (เหมอื น ภกิ ษุ ๑๒ ข้อ เพม่ิ อีก ๑๘ ขอ้ ) ๔. ปาจิตติยกณั ฑ์ อาบัตปิ าจิตตีย์ท่ไี ม่ต้องสละสงิ่ ของ ๑๑๖ ข้อ (เหมอื นภิกษุ ๙๖ ขอ้ เพิ่มอกี ๗๐ ข้อ) ๕. ปาฏิเทสนยี กัณฑ์ อาบัติปาฏเิ ทสนียะ (อาบัตทิ คี่ วรแสดงคนื ) ๘ ขอ้ (ไม่เหมอื นของภิกษ)ุ ๖. เสขยิ กณั ฑ์ ขอ้ พงึ ศกึ ษา ๗๕ ประการ และธรรมระงบั อธกิ รณ์ ๗ ประการ (เหมือนภิกษ)ุ รวมสรุปสาระสําคญั ของพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓ คือ สิกขาบทท้ังหมดของภิกษุณี คือ อาบัติปาราชิก ๘, สังฆาทิเสส ๑๗, นสิ สคั คยิ ๓๐, ปาจิตตยี ์ ๑๑๖, ปาฏิเทส ๘, เสขิย ๘๑ (รวม ๓๑๑ ข้อ)
6 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ โครงสร้างพระวินัยปิฎก มหาวรรค (เลม่ ๔-๕) เล่มที่ ๔ - มหาวรรค ว่าด้วยเร่อื งสาํ คญั ๆ แบง่ เป็น ๕ หมวด หรือ ๕ ขันธกะดงั น้ี ๑. มหาขันธกะ วา่ ด้วยเรอื่ งต้ังแตต่ รัสรู้ การแสดงธรรมเทศนากัณฑต์ า่ งๆ และขอ้ ปฏบิ ัติการบวช ๒. อโุ บสถขันธกะ ว่าดว้ ยการฟงั ธรรม และสวดปาฏโิ มกข์ ๓. วสั สูปนายกิ าขันธกะ วา่ ดว้ ยรายละเอียดในการจาํ พรรษา ๔. ปวารณาขนั ธกะ วา่ ด้วยการปวารณาตนของภิกษุ เลม่ ที่ ๕ - มหาวรรค วา่ ด้วยเร่อื งใหญ่ๆ รายละเอียดต่อจากเล่มท่ี ๔ แบ่งรายละเอยี ดเปน็ หมวดยอ่ ย ๖ หมวด หรอื ๖ ขนั ธกะ ดังนี้ ๑. จัมมขนั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยหนัง เปน็ ข้อปฏิบัติตา่ งๆเกย่ี วกบั หนังสัตว์ ๒. เภสชั ชขนั ธกะ หมวดว่าดว้ ยยารกั ษาโรค ว่าดว้ ยยาชนิดตา่ งๆที่ทรงอนุญาต การหุงต้มในที่อยู่ เร่อื งน้ําดื่ม และเนื้อที่สมควรฉนั ๓. กฐินขันธกะ หมวดวา่ ดว้ ยกฐนิ กล่าวถึงเหตุท่ที รงอนุญาตการรับกฐนิ ขอ้ กาํ หนดการเดาะกฐิน และอานสิ งสเ์ มอ่ื ได้กราลกฐนิ ๔. จวี รขันธกะ หมวดว่าดว้ ยจวี รกล่าวถึงการทท่ี รงอนญุ าตใหร้ ับจีวรไดแ้ ละข้อปฏบิ ัตติ า่ งๆ เกีย่ วกบั จีวร ๕. จัมเปยยขันธกะ หมวดว่าด้วยเหตกุ ารณ์ในกรงุ จมั ปา การทํากรรมของสงฆช์ นิดตา่ งๆและการ ลงโทษ ๖. โกสัมพขี นั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยเหตุการณ์ในกรงุ โกสมั พี กลา่ วถงึ เร่ืองทีส่ งฆแ์ ตกความสามคั คกี นั และวธิ ีปรองดองสงฆใ์ นทางพระวินัย โครงสร้างพระวนิ ยั ปฎิ ก จฬู วรรค (เลม่ ๖-๗) เลม่ ท่ี ๖ - จูฬวรรค ๑. กมั มขนั ธกะ ได้แก่ หมวดวา่ ดว้ ยสงั ฆกรรม ขยายความเพิม่ จากเล่มที่ ๕ ๒. ปารวิ าสิกขนั ธกะ ได้แก่ หมวดวา่ การอยปู่ รวิ าสเพ่ือออกจากอาบตั สิ ังฆาทิเสส ๓. สมจุ จยขนั ธกะ ได้แก่ หมวดวา่ การออกอาบัติสงั ฆาทิเสสเพิ่มเตมิ จากปาริวาสิกขันธกะ ๔. สมถขันธกะ ได้แก่ หมวดว่าดว้ ยวธิ ีระงับอธิกรณ์ ๗ ประการ เลม่ ที่ ๗ - จฬู วรรค ๑. ขทุ ธกวตั ถขุ นั ธกะ ได้แก่หมวดวา่ เร่อื งเลก็ ๆนอ้ ยๆ เบด็ เตลด็ เชน่ ขอ้ ปฏิบตั ิการสรงน้าํ ข้อ อนุญาตเกย่ี วกบั บาตร เปน็ ตน้ ๒. เสนาสนวัตถุขันธกะ ได้แก่หมวดวา่ ด้วยเรือ่ งท่อี ยูอ่ าศยั เครื่องใช้เครอื่ งประจําในที่อยู่เปน็ ต้น ๓. สังฆเภทขนั ธกะ ได้แก่หมวดว่าด้วยเร่ืองสงฆ์แตกกัน เรื่องพระเทวทัตและข้อกําหนดต่างๆ เก่ียวกบั กรณสี งฆ์แตกกัน ๔. วตั ตขันธกะ ได้แกห่ มวดว่าดว้ ยข้อวตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ๑๓ เรอื่ ง ๕. ภกิ ขณุ ีขันธกะ ได้แกห่ มวดว่าดว้ ยความเปน็ มา และขอ้ ปฏิบตั ขิ องภิกษณุ ี ๖. ปญั จสติกขันธกะ ไดแ้ กห่ มวดว่าดว้ ยพระอรหนั ต์ ๕๐๐ รูป ในการสังคายนาคร้งั ที่ ๑
เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 7 ๗. สัตตสตกิ ขนั ธกะ ได้แกห่ มวดว่าด้วยพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู ในการสังคายนาครงั้ ท่ี ๒ โครงสรา้ งพระวินัยปิฎก ปริวาร (เล่ม ๘) เลม่ ที่ ๘ ปรวิ าร สรปุ และเบด็ เตลด็ พระวินัย รวมเป็นหวั ขอ้ หลกั ๆ ๒๑ หัวขอ้ โครงสรา้ งพระสตุ ตันตปิฎก8 แผนภาพที่ ๕ รายละเอียดหมวดยอ่ ยพระสตุ ตนั ตปิฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตันตปฎิ ก เล่ม ๙ – ๓๓ โครงสร้างพระสุตตันตปฎิ ก ทฆี นกิ าย (เลม่ ๙-๑๑) ทีฆนกิ าย (เลม่ ๙ - ๑๑) รวบรวมพระสตู รขนาดยาว รวม ๓๔ สูตร แบ่งเป็น ๓ เลม่ ดงั นี้ เล่มที่ ๙ ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค รวบรวมพระสูตรขนาดยาว หมวดทีว่ า่ ดว้ ยกองศีล ๑๓ พระสูตร มี พรหมชาลสูตร, สามัญญผลสตู ร เปน็ ต้น เล่มท่ี ๑๐ ทีฆนกิ าย มหาวรรค รวบรวมพระสตู รขนาดยาว หมวดที่ว่าด้วยเร่ืองใหญ่ๆ ๑๐ พระสูตร มมี หาสติปฏั ฐานสูตร มหาปรินิพพานสตู ร เป็นต้น เล่มท่ี ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค รวบรวมพระสตู รขนาดยาว ๑๑ พระสูตร เรียกชื่อเลม่ ตามพระ สูตรแรกในเล่มคอื ปาฏกิ สูตร โครงสร้างพระสุตตันตปฎิ ก มัชฌิมนิกาย (เล่ม ๑๒ - ๑๔) รวบรวมพระสูตรความยาวขนาดกลาง รวม ๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๓ เล่ม ดงั นี้ 8 คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปฎิ กศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ์, ๒๕๕๓), หน้า ๒๗-๓๐.
8 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ เล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง๕ วรรค วรรคละ ๑๐ พระสูตร นําด้วยมลู ปรยิ ายสูตร เลม่ ท่ี ๑๓ มชั ฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง ๕ วรรค วรรคละ ๑๐ พระ สูตร แบ่งวรรคตามประเภทบุคคล เช่น คหปติวรรค เป็นพระสูตรว่าด้วย คฤหบดี หรือผู้ครองเรือน, ปริพาชก วรรค เป็นพระสูตรว่าด้วยปริพาชก เป็นต้น เล่มท่ี ๑๔ – มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง ๕ วรรค รวม ๕๒ พระสูตร นําดว้ ยเทวทหสูตร เป็นพระสตู รว่าด้วยเหตกุ ารณใ์ นเทวทหนิคม โครงสรา้ งพระสตุ ตันตปฎิ ก สงั ยตุ ตนิกาย (เล่ม ๑๕ - ๑๙) รวบรวมพระสูตรโดยประมวลเร่ืองเข้าไว้ เป็นหมวดหมู่ รวม ๗,๗๖๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ เลม่ ดงั นี้ เล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค รวบรวมพระสูตร ๑๑ สังยุตต์ เป็นพระสูตรท่ีมีคาถา หรือคา สอนเป็นบทกวีสอนบุคคลต่างๆ แบ่งตามบุคคล และสถานท่ี เช่น เทวตาสังยุตต์ ประมวลพระสูตรท่ีทรงสอน เทวดา, มารสงั ยุตต์ ประมวลพระสูตรทท่ี รงสอนมาร เปน็ ตน้ เล่มท่ี ๑๖ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค รวบรวมพระสูตร ๙ สังยุตต์ ที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยแห่งการเวียน วา่ ยตายเกิด (ปฏจิ จสมุปบาท) เล่มท่ี ๑๗ สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค รวบรวมพระสตู ร ๑๓ สังยุตต์ เป็นพระสูตรว่าด้วยเร่ืองขันธ์ ๕ รูปและนาม ในแงม่ มุ ตา่ งๆ เล่มที่ ๑๘ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค รวบรวมพระสูตร ๑๐ สังยุตต์ เป็นพระสูตรว่าด้วยเรื่อง อายตนะ ๖ ตามแนวไตรลกั ษณ์ เล่มที่ ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค รวบรวมพระสูตร ๑๒ สังยุตต์ เป็นพระสูตรว่าด้วยเร่ือง ใหญๆ่ ท่ีสาํ คญั คอื โพธปิ กั ขยิ ธรรม มี มรรค, โพชฌงค,์ สตปิ ฏั ฐาน เปน็ ตน้ โครงสร้างพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย (เล่ม ๒๐ - ๒๔) รวบรวมพระสูตรโดยประมวลตาม จาํ นวนข้อของหลักธรรม รวม ๙,๕๕๗ สตู ร แบ่งเป็น ๕ เล่ม ดงั น้ี เลม่ ที่ ๒๐ อังคตุ ตรนิกาย เอก-ทกุ -ติกนบิ าต รวบรวมพระสตู รที่ว่าดว้ ยหลกั ธรรมทมี่ จี ํานวน ๑, ๒, ๓ ข้อ เชน่ เอตทัคคปาลิ (บาลีว่าดว้ ยเอตทัคคะ), การบูชา ๒ อยา่ ง (ใหอ้ ามสิ กบั ให้ธรรม) และ ทุจรติ ๓ (ทุจรติ ทางกาย วาจา ใจ) เป็นตน้ เลม่ ท่ี ๒๑ องั คุตตรนกิ าย จตกุ กบาต รวบรวมพระสูตรทวี่ ่าด้วยหลกั ธรรมทีม่ ีจํานวน ๔ ขอ้ เช่น จกั ร ๔, สมาธิภาวนา ๔, ปฏิปทา ๔ เปน็ ตน้ เลม่ ที่ ๒๒ องั คตุ ตรนกิ าย ปัญจก-ฉกั กบาต รวบรวมพระสตู รทวี่ า่ ด้วยหลักธรรมทม่ี ีจาํ นวน ๕,๖ ขอ้ เช่น กาํ ลัง ๕ ของพระเสขะ, อานสิ งส์ ๕ ของการเดินจงกรม เปน็ ต้น เลม่ ที่ ๒๓ อังคตุ ตรนกิ าย สตั ตก-อฏั ฐก-นวกบาต รวบรวมพระสตู รทว่ี า่ ด้วยหลกั ธรรมท่มี ีจาํ นวน ๗, ๘, ๙ ขอ้ เช่น สงั โยชญ์ ๗, อานสิ งส์ ๘ ของเมตตา, พระอรหนั ตย์ อ่ มไม่ทาํ การ ๙ อย่าง เป็นตน้ เลม่ ที่ ๒๔ อังคตุ ตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต รวบรวมพระสูตรที่ว่าดว้ ยหลักธรรมทีม่ จี าํ นวน ๑๐, ๑๑ ขอ้ เช่น ประโยชน์ ๑๐ ประการทท่ี รงบัญญัติสิกขาบท, อานิสงส์ ๑๑ ของเมตตาเจโตวิมตุ ิ เปน็ ตน้
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 9 โครงสร้างพระสุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย (เล่ม ๒๕ - ๓๓) รวบรวมพระสตู รเบ็ดเตลด็ , ภาษิตพระ สาวก และชาดก แบง่ เปน็ ๙ เล่ม ดังน้ี เล่มที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย รวบรวมพระสตู รเบด็ เตลด็ ตา่ งๆ แบ่งเป็น ๕ หมวดยอ่ ย ดังนี้ ๑. ขุททกปาฐะ บทสวดเลก็ ๆ เชน่ สรณคมนะ, ทสสกิ ขาบท, มงคลสูตร เปน็ ตน้ ๒. ธมั มปทคาถา ธรรมบท คอื สุภาษติ สน้ั ๆ รวม ๔๒๓ บท ๓. อุทาน พทุ ธภาษติ แบ่งเป็นหมวดหมู่ตามเหตกุ ารณ์ ๔. อติ ิวตุ ตกะ เปน็ ขอ้ ความที่พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั ไว้ แบ่งเปน็ หมวดหมู่ตามจํานวนขอ้ ๕. สตุ ตนิบาต พระสตู รเบด็ เตล็ด แบ่งเปน็ ๕ วรรคย่อย เลม่ ท่ี ๒๖ ขทุ ทกนกิ าย รวบรวมพระสตู รต่างๆ แบง่ เปน็ หมวดหมยู่ ่อย ๔ หมวด ดงั น้ี ๑. วิมานวัตถุ – รวบรวมการถามตอบระหว่างพระมหาโมคคัลลานะ และเทพบุตร เทพธิดา ว่าด้วย เร่อื งเหตุอยา่ งไร ทําใหไ้ ด้วิมานอยา่ งไร ๒. เปตวัตถุ วา่ ดว้ ยเหตทุ ที่ าํ ใหไ้ ปเกดิ เปน็ เปรตในสภาวะต่างๆ ๓. เถรคาถา รวบรวมภาษิตเตอื นใจภกิ ษุ ๔. เถรีคาถา รวบรวมภาษิตเตอื นใจภกิ ษณุ ี เล่มท่ี ๒๗ ขุททกนิกาย ชาดก ๑ ภาคแรกของชาดก รวบรวมชาดกเร่ืองส้ันๆ ๕๒๕ เรื่อง เล่าเรื่อง การท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงเวยี นว่ายตายเกิด บาํ เพ็ญบารมีมาในชาติตา่ งๆ เล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก ๒ ภาคที่สองของชาดก รวมชาดกเร่ืองยาว ๒๒ เร่ือง รวมถึงชาดก ทศชาติ คือการบําเพ็ญบารมี ๑๐ ชาติสดุ ท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนการตรัสรู้ เล่มที่ ๒๙ ขุททกนิกาย มหานิเทส รวบรวมภาษิตพระสารีบุตร ซึ่งเป็นคําอธิบายพระสูตรโดยพระ สารบี ตุ ร ๑๖ พระสตู ร เล่มที่ ๓๐ ขุททกนิกาย จูฬนิเทส รวบรวมภาษิตพระสารีบุตร ต่อจากเล่มท่ี ๒๙ ซ่ึงเป็นคําอธิบาย พระสตู รโดยพระสารบี ตุ ร ๑๗ พระสูตร เล่มท่ี ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ภาษิตพระสารีบุตร ซึ่งเป็นคําอธิบายพระสูตรที่เกี่ยวกับ ทางแห่งความแตกฉาน โดยพระสารีบุตร มี มหาวรรค (เรื่องใหญ่ๆ ๑๐ เรื่อง), ยุคนัทธวรรค (เรื่องสมถะและ วิปัสนา ๑๐ เรอ่ื ง) และ ปัญญาวรรค (วา่ ดว้ ยปัญญา ๑๐ เร่อื ง) เล่มที่ ๓๒ ขุททกนิกาย อปทาน ๑ รวบรวมประวัติการบําเพ็ญความดีงามของพระพุทธเจ้า, พระ ปัจเจกพทุ ธเจา้ และพระสาวก เล่มท่ี ๓๓ ขุททกนิกาย อปทาน ๒ ว่าด้วยเรื่องของพุทธวังสะ (วงศ์ของพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค)์ , พุทธจรยิ า และการบาเพ็ญบารมีในชาตติ า่ งๆ พระสตู รใดเปน็ พระสตู รแรกในพระสตุ ตนั ตปิฎก? พระสูตรในพระสุตตันตปิฎกมิได้ถูกเรียบเรียงตามกาลเวลาที่พระสูตรถูกแสดง แต่ถูกจัดเรียบเรียง เป็นหมวดหมู่ตามความเหมาะสม พระสูตรแรกที่ถูกแสดงไว้ในพระสุตตันตปิฎกคือ “พรหมชาลสูตร” อยู่ใน พระสตุ ตันตปฎิ ก ทีฆนกิ าย สีลขนั ธวรรค เปน็ พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๙
10 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ พรหมชาลสตู ร (สตู รวา่ ดว้ ยข่ายอันประเสรฐิ )9 พรหมชาลสูตรเป็นพระสูตรขนาดยาวสูตรแรกในพระสุตตนั ตปิฎก เป็นพระสตู รท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรง ตรัสสั่งสอนเหลา่ ภิกษหุ ลงั จากเหลา่ ภิกษไุ ดส้ นทนากนั เรื่องท่ีสุปปยิ ปรพิ าชกไดก้ ล่าวตเิ ตยี นพระรตั นตรัย และ พรหมทัตมาณพผู้เปน็ ศษิ ยไ์ ด้กล่าวสรรเสรญิ พระรตั นตรยั เป็นพระสูตรขนาดยาวจํานวนหลายหน้า ซ่ึง สามารถสรุปใจความสาํ คัญไดเ้ ป็น ๕ สว่ นดงั นี้ ๑. มใิ ห้โกรธเมือ่ มผี ู้ตเิ ตียนพระรตั นตรยั และมใิ หย้ ินดีเม่อื มผี สู้ รรเสรญิ พระรัตนตรยั ๒. กลา่ วถงึ รายละเอียดของ จฬู ศลี , มชั ฌมิ ศีล, มหาศลี (ศลี อย่างเล็กน้อย, อย่างกลาง และอยา่ งใหญ่) ๓. รายละเอยี ดของทฏิ ฐิ ๖๒ ประการ (ปรารภเบือ้ งตน้ ๑๘, เบอื้ งปลาย ๔๔) ๔. ทรงตรัสว่าผู้ที่มีทิฏฐิ ๖๒ ประการน้ี ย่อมได้เสวยอารมณ์จากอายตนะท้ัง ๖ มีความยึดมั่นถือม่ันดัง ปลาทต่ี ดิ อยใู่ นข่าย ๕. สุดทา้ ยแลว้ จงึ ทรงตรัสว่า ตถาคตเป็นผ้ถู อนตณั หาอันจะทาให้ตดิ อยใู่ นภพได้แล้ว เหตุใดจงึ ต้องนําพรหมชาลสูตรมาแสดงไว้เปน็ พระสตู รแรกในพระสตุ ตนั ตปฎิ ก? มีข้อสงั เกตว่า พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตรไว้เปน็ พระสตู รแรก หลงั ตรัสรู้ เหตใุ ดจงึ ไมน่ ําธมั มจกั กปั ปวัตตนสตู รมาแสดงเปน็ พระสูตรแรกในพระสตุ ตนั ตปิฎก แต่กลับนาํ พรหมชาลสูตรมาแสดงไว้ เปน็ พระสูตรแรก การเรียบเรียงลําดับของพระสูตรเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลอันลึกซ้ึงซ่ึงพระอรหันต์ท้ังหลายที่ได้ร่วมกัน ทําการสังคายนาได้พิจารณาไว้ดีแล้ว ในที่นี้จะขอวิเคราะห์เหตุผลการนําพรหมชาลสูตรข้ึนแสดงเป็นพระสูตร แรก โดยพจิ ารณาตามหวั ข้อสาํ คญั ในพระสูตรไปตามลําดบั ดงั น้ี ๑. มใิ ห้โกรธเม่อื มีผตู้ เิ ตยี นพระรตั นตรัย และมใิ หย้ นิ ดีเมอ่ื มีผสู้ รรเสรญิ พระรตั นตรยั - เป็นการเปิดใจผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาได้ว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงต้องการการ สรรเสริญหรือยอมรับ มิได้ทรงโกรธหากมีผู้ไม่ยอมรับ ไม่บังคับให้ศรัทธา หากแต่มีเหตุ และผลให้ไปพิจารณาเอง ๒. จูฬศลี , มัชฌิมศลี , มหาศลี (ศีลอยา่ งเล็กน้อย, อยา่ งกลาง และอย่างใหญ)่ - เน่ืองจากศีลเป็นบาทฐานของการเร่ิมฝึกตนในทางพุทธศานาตามหลักของไตรสิกขา พระสูตรเรื่องศีลจึงถูกนามารวมไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฑนิกาย สีลขันธวรรค (เล่มท่ี ๙) เป็นเล่มแรกในหมวดพระสุตตันตปฎิ ก ๓. รายละเอยี ดทิฏฐิ ๖๒ ประการ (ปรารภเบ้อื งตน้ ๑๘, เบ้อื งปลาย ๔๔) - ชี้แจงความเห็นท่ีผิดทั้ง ๖๒ ประการ เป็นการปูพ้ืนฐานในการศึกษาต่อไป ไม่ให้เข้าใจ หรอื ตคี วามผดิ ไปเป็นความเหน็ ใดใน ๖๒ ประการน้ี เพราะทราบแตเ่ บื้องต้นแล้วว่าสิ่งใด ไมใ่ ช่ สิง่ ใดไม่ถกู - เป็นการให้ผู้เริ่มศึกษาได้พิจารณาความเห็นเดิมของตน ว่าอยู่ในขอบข่ายของทิฏฐิ ๖๒ ประการน้บี ้างหรือไม่ 9 ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑/๑.
เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 11 ๔. ทรงตรัสว่าผู้ท่ีมีทิฏฐิ ๖๒ ประการนี้ ย่อมได้เสวยอารมณ์จากอายตนะท้ัง ๖ มีความยึดมนั่ ถือม่ันดัง ปลาท่ตี ดิ อยใู่ นข่าย - ผูศ้ กึ ษาจะไดท้ ราบถงึ ผล ที่เกดิ จากเหตแุ หง่ การมีทิฏฐิ ๖๒ ประการน้ี ๕. สดุ ท้ายแล้ว จงึ ทรงตรสั ว่าตถาคตเปน็ ผู้ถอนตัณหาอนั จะทาใหต้ ดิ อย่ใู นภพได้แล้ว - ช้ีให้เห็นว่ามคี วามเป็นไปได้ที่จะหลุดพ้นจากข่ายแห่งความยึดมั่นถือมั่นน้ี ถือเป็นการปู ทางก่อนที่จะเร่ิมต้นศึกษาในหลักธรรมต่างๆ และเพ่ือให้เข้าใจในเป้าหมายของพุทธ ศาสนา ซึ่งกค็ ือความหลดุ พ้นจากความยดึ ม่ันถือม่ันน่ันเอง ด้วยเหตุผลท้ังปวงท่ีได้กลา่ วมาดังนี้แล้ว จึงเป็นการเหมาะสมอยา่ งยิ่ง ท่ีจะนําพรหมชาลสูตรมาแสดง ไว้เป็นพระสูตรแรกในพระสุตตันตปิฎก เพ่ือเป็นการท้ังเปิดใจ และปูทางสําหรับผู้เร่ิมต้นศึกษาพระสูตร และ หลกั ธรรมข้ออน่ื ๆตอ่ ไป โครงสรา้ งพระอภิธรรมปฎิ ก10 แผนภาพที่ ๖ รายละเอียดหมวดยอ่ ยพระอภิธรรมปิ ฎก โครงสรา้ งพระอภิธรรมปฎิ ก เลม่ ๓๔-๔๕ พระอภิธรรมปิฎก เป็นหมวดท่ีรวบรวมข้อธรรมเป็นหลักธรรมล้วนๆ ไม่มีเรื่องราวของบุคคล หรือ สถานทีเ่ ขา้ มาเก่ยี วข้อง แบง่ เปน็ ๗ หมวดยอ่ ย รวม ๑๒ เล่ม ดงั นี้ 10 คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปิฎกศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวันการพิมพ์ , ๒๕๕๓), หนา้ ๓๒-๓๔.
12 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ เล่มท่ี ๓๔ ธัมมสังคณี ยกหลักธรรมแม่บทขึ้นตั้งเป็นหัวข้อ เปรียบเสมือนเป็นบทนําของอภิธรรม ท้งั หมด แบ่งเปน็ ๕ หมวดยอ่ ย ดังน้ี ๑. มาติกา (แม่บท) แม่บทแห่งธรรม เป็นธรรมะหัวข้อใหญ่ๆ ซึ่งสามารถนําเอาข้อธรรมต่างๆ ทั้งหลายมาสรปุ ลงได้หมด ๒. จติ ตุปปาทกัณฑ์ ยกมาตกิ าแม่บทแรก (กุศล อกุศล อัพยากต) ขึ้นตง้ั แลว้ อธิบายเร่ืองจติ และ เจตสิก จําแนกเขา้ ประเภทต่างๆในมาติกาบทนี้ไปตามลําดับ ๓. รปู กัณฑ์ อธบิ ายเรื่องรูปประเภทตา่ งๆ เขา้ กับมาตกิ าบทแรก (กศุ ล อกศุ ล อัพยากต) ๔. นิกเขปกณั ฑ์ อธิบายมาติกาทง้ั หมด ๑๖๔ มาติกา ไลล่ ําดับไปจนครบทกุ มาติกา ๕. อตั ถทุ ธารกัณฑ์ (อรรถกถากณั ฑ)์ อธบิ ายอภธิ รรมมาตกิ า ๑๒๒ ข้อใหญๆ่ เล่มท่ี ๓๕ – วิภังค์ อธิบายแยกแยะ แจกแจง กลุ่มธรรมะสําคัญๆ ๑๘ หมวด โดยแยกรายละเอียด ออกใหเ้ หน็ ทกุ แง่มุมจนชัดเจน แบ่งเป็นท้ังหมด ๑๘ วิภังค์ คือ ขันธ์ ๕, อายตน ๑๒, ธาตุ ๖ ธาตุ ๑๘, อริยสัจ ๔, อินทรีย์ ๒๒, ปัจจยาการ ๑๒, สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, โพชฌงค์ ๗, มรรค ๘, ฌาน, อัปปมญั ญา ๔, ศีล ๕, ปฏสิ ัมภิทา ๔, ญาณ ๑-๑๐, เรือ่ งเลก็ ๆนอ้ ยๆ และหลักธรรมสาํ คัญ เล่มท่ี ๓๖ – ธาตุกถา และ ปุคคลบัญญัติ เล่มท่ี ๓๖ นี้ ได้รวม ๒ หมวดเข้าไว้ด้วยกันในเล่มเดียว คือ ธาตุกถา และ ปุคคลบัญญัติ ดงั น้ี ๑) ธาตกุ ถา นําเอาหัวข้อธรรมต่างๆมาสังเคราะห์เข้ากับ ขันธ์, อายตนะ และธาตุ ว่าสังเคราะห์ เขา้ กนั ไดห้ รอื ไม่ ๒) ปุคคลบัญญัติ การบัญญัติบุคคล ว่าบุคคลอย่างไร มีช่ือเรียกว่าอย่างไร เช่น ความหมายของ พระเสขะบคุ คล ความหมายของพระปัจเจกพุทธเจ้า เปน็ ตน้ เล่มท่ี ๓๗ กถาวัตถุ เป็นการถามตอบข้อธรรม ๒๑๙ ข้อ โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระในการ สังคายนาคร้ังท่ี ๓ มีระบุว่าถามตอบข้อไหน เน่ืองมาจากความเห็นผิดของนิกายไหน แต่งขึ้นเพ่ือแก้ความเห็น ผดิ ทแี่ ตกแยกออกไปเปน็ นกิ ายต่างๆ เล่มท่ี ๓๘ ยมก ๑ เป็นการอธิบายธรรม โดยการถามตอบ เพ่ือให้เห็นความหมายและขอบเขตของ ข้อธรรมน้ันๆอย่างชัดเจน โดยจะต้ังคําถามขึ้นมาเป็นคู่ๆ และมีเน้ือความย้อนกันเอง ภาคแรกแบ่งเป็น ๗ หมวดยอ่ ย ดงั นี้ ๑) มลู ยมก ว่าด้วยธรรมเปน็ คู่อนั เป็นมลู ๒) ขันธยมก วา่ ด้วยธรรมเปน็ คู่อนั เปน็ ขันธ์ ๓) อายตนยมก ว่าด้วยธรรมเป็นคอู่ นั เปน็ อายตนะ ๔) ธาตยุ มก ว่าดว้ ยธรรมเป็นคอู่ นั เป็นธาตุ ๕) สจั จยมก วา่ ดว้ ยธรรมเปน็ คอู่ ันเป็นสจั จะ ๖) สังขารยมก วา่ ดว้ ยธรรมเป็นคอู่ ันเป็นสงั ขาร ๗) อนสุ สยยมก ว่าด้วยธรรมเปน็ ค่อู ันเปน็ อนุสัย
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 13 เลม่ ที่ ๓๙ ยมก ๒ เปน็ ภาคต่อจากเล่มที่ ๓๘ แบง่ เปน็ ๓ หมวดย่อย ดังน้ี ๑) จิตตยมก วา่ ด้วยธรรมเปน็ คอู่ นั เปน็ จิต ๒) ธมั มยมก วา่ ด้วยธรรมเป็นคู่อนั เป็นธรรม ๓) อนิ ทรยี มก ว่าดว้ ยธรรมเปน็ คูอ่ ันเป็นอินทรยี ์ ปฏั ฐาน (เลม่ ๔๐-๔๕) ในหมวดปฎั ฐาน จะวา่ ดว้ ยปัจจัย ๒๔ คือ แสดงให้เห็นวา่ ธรรม หรือสิ่ง ท้ังหลายทั้งปวงมคี วามสมั พนั ธก์ ัน เปน็ ปจั จยั แก่กันและกัน รวมทั้งหมด ๖ เลม่ ดังนี้ เล่มที่ ๔๐ ปัฏฐาน ๑ อนุโลมติกปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัยอันเกี่ยวกับธรรม ๓ อย่าง กุศลธรรม ๓, เวทนา ๓, วิบาก ๓, อุปาทินนะ ๓ และ สังกิลิฏฐะ ๓ (คือปัจจัยแห่งธรรมในธัมมสังคณี, พระอภิธรรมปิฎก, ธมั มสงั คณี, เลม่ ๓๔) เล่มที่ ๔๑ ปฏั ฐาน ๒ อนุโลมติกปฏั ฐาน อธิบายขอ้ ธรรมจากธัมมสังคณตี ่อจากเลม่ ท่ี ๔๐ เล่มที่ ๔๒ ปัฏฐาน ๓ อนุโลมทุกปัฏฐาน อธิบายถึงปัจจัยแห่งหัวข้อธรรมจากธัมมสังคณี ในธรรมะ หมวด ๒ เล่มท่ี ๔๓ ปัฏฐาน ๔ อนุโลมทุกปัฏฐาน อธิบายถึงปัจจัยแหง่ หัวข้อธรรมจากธัมมสังคณีหมวด ๒ ต่อจากเล่มที่ ๔๒ เล่มที่ ๔๔ ปัฏฐาน ๕ ธรรมหมวดต่างๆ อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมท้ังหลายในคัมภีร์ ธัมมสงั คณี เล่มท่ี ๔๕ ปัฏฐาน ๖ หัวข้อสาคัญ ๓ ประการ อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายใน คมั ภรี ์ธมั มสังคณใี นแงป่ ฏิเสธ แบง่ เป็น ๓ หมวดยอ่ ย ดงั นี้ ๑) ปัจจนยี ปัฏฐาน ใช้หลกั ปฏิเสธ + ปฏิเสธ ในการวเิ คราะหข์ ้อธรรม ๒) อนุโลมปัจจนียปฏั ฐาน ใชห้ ลกั อนุโลม+ ปฏเิ สธ ในการวเิ คราะหข์ อ้ ธรรม ๓) ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน ใชห้ ลักปฏิเสธ + อนโุ ลม ในการวิเคราะหข์ อ้ ธรรม สรุปโครงสรา้ งพระไตรปฎิ กท้ัง ๓ หมวด แผนภาพท่ี ๗ โครงสร้างพระไตรปิ ฎกทงั้ ๓ หมวด
14 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๓ ปกิณกะ พระไตรปฎิ กฉบับภาษาไทย11 ๑) พระไตรปฎิ กฉบับภาษาไทยมีจาํ นวนรวม ๔๕ เล่ม ๒) พระไตรปิฎก ๔๕ เล่มนี้รวบรวมพระธรรมไว้ท้ังหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (แบ่งเป็นพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์, พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และ พระอภธิ รรมปฎิ ก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ)์ ๓) จาํ นวนหน้ารวมทง้ั หมด คอื ๒๒,๓๗๙ หนา้ ๔) จาํ นวนตัวอักษรรวมทงั้ หมด คือ ๒๔,๓๐๐,๐๐๐ ตวั อกั ษร โครงสร้างบาลีพระไตรปิฎก12 ภาพท่ี ๒ พระไตรปิ ฎกฉบบั การจัดหมวดหมู่พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีน้ัน มีข้อแตกต่าง มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จากฉบับภาษาไทยเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงการเรียกช่ือและแบ่ง หมวดหมู่ย่อยท่ีต่างกันเท่านั้น แตเ่ นอื้ หาสาระและขอ้ ธรรมในพระไตรปิฎกทั้งสองภาษานนั้ เหมือนกนั ในทน่ี ้ีจะ ยกการแบ่งหมวดหมยู่ ่อยของบาลพี ระไตรปฎิ ก มาเป็นตวั อยา่ ง ดังน้ี โครงสรา้ งบาลีพระวนิ ยั ปิฎก แผนภาพที่ ๘ โครงสรา้ งบาลีพระวนิ ยั ปิฎก 11พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ตโต), พระไตรปิฎก สิ่งทีช่ าวพุทธตอ้ งร้,ู พิมพ์คร้งั ที่ ๑๕,(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ บริษทั สหธรรมิก, ๒๕๕๓), หน้า ๖. 12 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ์ , ๒๕๕๓), หน้า ๒๔.
เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 15 โครงสรา้ งบาลีพระสุตตนั ตปิฎก แผนภาพที่ ๙ โครงสร้างบาลพี ระสตุ ตนั ตปิฎก โครงสรา้ งบาลีพระอภิธรรมปิฎก แผนภาพท่ี ๑๐ โครงสร้างบาลพี ระอภิธรรมปิ ฎก
16 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๓ ลาํ ดบั ชั้นคัมภรี ท์ างพทุ ธศาสนา13 นอกจากพระไตรปฎิ ก ซง่ึ ถอื เปน็ คัมภรี ์ทส่ี าํ คัญทสี่ ุดในทางพระพทุ ธศาสนาแลว้ ยังมคี มั ภีรใ์ นลําดบั ชั้น อืน่ ๆ ซึ่งถอื เปน็ หลักฐานสาํ คญั ในการศกึ ษาพระพุทธศาสนาเช่นกัน โดยจดั เรียงตามลาํ ดบั ไดด้ งั น้ี ๑. พระไตรปิฎก เปน็ หลักฐานช้ันท่ี ๑ เรยี กว่า บาลี ๒. อรรถกถา เป็นหลกั ฐานชัน้ ที่ ๒ เป็นคาํ อธิบายพระไตรปฎิ ก ๓. ฎกี า เป็นหลกั ฐานช้นั ที่ ๓ เป็นคําอธิบายอรรถกถา ๔. อนุฎีกา เป็นหลักฐานชน้ั ที่ ๔ เปน็ คําอธิบายฎีกา อรรถกถา วิธกี ารแบง่ อรรถกถา14 ๑. แบง่ ตามผู้แตง่ ๑.๑ พุทธสงั วัณณิตะ (พทุ ธกถา) – พระพทุ ธเจ้าอธบิ ายพุทธพจนเ์ อง ๑.๒ อนุพุทธสงั วณั ณติ ะ (อนพุ ทุ ธกถา) - พระสาวกอธบิ ายพุทธพจน์ ๒. แบ่งตามภาษา ๒.๑ มคธอรรถกถา – แตง่ ดว้ ยภาษามคธ (บาลี) ๒.๒ สิงหลอรรถกถา – แต่งด้วยภาษาสงิ หล ๓. แบ่งตามยคุ สมัย ๓.๑ โบราณอรรถกถา – อรรถกถาร่นุ เก่า ๓.๒ อภินวอรรถกถา – เรยี บเรยี งขน้ึ ใหม่ (วสิ ทุ ธิมรรค, คัมภรี ์ญาโณทัย) (๑) วติ ถารอรรถกถา – เนอ้ื หาตามลําดบั บทบาลีในพระไตรปิฎก (๒) สงั คหอรรถกถา – อธบิ ายเฉพาะบทบาลที ่ีซบั ซ้อน ๔. แบง่ ตามสายคมั ภรี ์ ๔.๑ อรรถกถาสายพระวนิ ัยปิฎก – อธบิ ายขยายความพระวินัยปฎิ ก ๔.๒ อรรถกถาสายพระสุตตนั ตปิฎก – อธบิ ายขยายความพระสุตตันตปฎิ ก ๔.๓ อรรถกถาสายพระอภิธรรมปฎิ ก – อธบิ ายขยายความพระอภธิ รรมปฎิ ก เนื่องจากคัมภีร์อรรถกถานั้นมีเป็นจํานวนมาก เป็นผลงานของท่านพระอรรถกถาจารย์หลายๆท่าน รจนาข้ึนในเวลาต่างๆกันไป จึงไม่สามารถนํามาเสนอได้ครบทุกเล่ม ในท่ีนี้จะขอนําเสนอคัมภีร์อรรถกถาซ่ึง เป็นผลงานของท่านพระพุทธโฆษาจารย์ มาดังนี้ 13 สชุ พี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปฎิ กฉบับสาหรบั ประชาชน, พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ๒๓. 14 คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, พระไตรปฎิ กศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ์ , ๒๕๕๓), หนา้ ๔๐-๔๕.
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 17 อรรถกถาพระวนิ ยั ปฎิ ก แผนภาพที่ ๑๑ อรรถกถาพระวินัยปฎิ ก อรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎก แผนภาพที่ ๑๒ อรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎก
18 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ อรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก แผนภาพที่ ๑๓ อรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก พระอรรถกถาจารย1์ 5 พระอรรถกถาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาน้ัน มีจํานวนหลายทา่ น ในที่นี้ขอยกตัวอย่างมาบางท่าน ดงั น้ี ๑. พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ช่วงปี พ.ศ. ๙๔๕ – ๑๐๐๐) ภูมิลําเนาเดิมคือพุทธคยา แคว้นมคธ ถือว่า เป็นนกั ประพันธฝ์ ่ายบาลที มี่ ีช่ือเสียงทีส่ ดุ ๒. พระพุทธทัตตะ (ช่วงปี พ.ศ. ๙๔๐ – ๑๐๐๐) เป็นชาวอุรุคปุระ อาณาจักรโจฬะ อินเดีย ผลงานที่เดน่ ชัดทส่ี ดุ คือ หนังสอื อภธิ รรมาวตาร ๓. พระธรรมปาละ (ชว่ งปี พ.ศ. ๙๔๐ – ๑๐๐๐) เกดิ ทอี่ าณาจกั รทมิฬ อนิ เดียใต้ มีผลงานที่สําคญั หลายเลม่ เช่น อรรถกถาเปตวัตถุ อรรถกถาวมิ านวตั ถุ และอรรถกถาวสิ ทุ ธิมรรคเป็นต้น คมั ภีร์ฎีกา คมั ภีรฎ์ กี าเถรวาทยคุ แรกหมายถงึ เฉพาะคมั ภีรท์ ีอ่ ธบิ ายอรรถกถา แต่ยุคหลังหมายความรวมถึงคัมภีร์ ท่อี ธบิ ายความหมายของคัมภีรอ์ ่นื ๆ ด้วย เช่น ฎีกาพงศาวดารบาลี เป็นต้น16 การแบ่งคมั ภีรฎ์ กี า แบง่ ตามสายคัมภีร์ 15 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปิฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวันการพมิ พ์ , ๒๕๕๓), หนา้ ๕๖. 16 เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๙๐-๙๓.
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 19 ๑. ฎกี าอรรถกถาพระวนิ ัยปิฎก อธบิ ายขยายความอรรถกถาพระวินัยปฎิ ก (รวม ๒๑ คมั ภรี )์ ๒. ฎกี าอรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎก อธิบายขยายความอรรถกถาพระสตุ ตนั ตปิฎก (รวม ๑๑ คัมภีร์) ๓. ฎีกาอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก อธิบายขยายความอรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก (รวม๔๒ คัมภรี )์ คมั ภรี อ์ นฎุ ีกา เปน็ คัมภีรท์ อ่ี ธบิ ายขยายความคัมภรี ์ฎีกา ในภาษาบาลีเรียกวา่ อภินวฎกี า แปลว่า ฎกี าใหม่17 แบ่งตามสายคมั ภีร์ ๑. อนฎุ ีกาพระวนิ ัยปฎิ ก ๑. วนิ ยลักขาฎกี าคมั ภีรใ์ หม่ ๒. ขุททกสกิ ขาฎีกาคมั ภรี ์ใหม่ (พระสมุ ังคลปสาทนฎี ีกา) ๓. มูลสกิ ขาฎีกาคัมภรี ์ใหม่ ๒. อนุฎกี าพระสุตตนั ตปฎิ ก ๑. ผลงานพระสารบี ตุ รชาวศรีลงั กา ๑๑ คมั ภีร์ ๒. ผลงานพระอนฎุ ีกาจารย์รูปอนื่ ๆ ๒ คมั ภรี ์ ๓. อนฎุ ีกาพระอภธิ รรมปิฎก ๑. ผลงานพระอานันทะ ๖ คมั ภรี ์ ๒. ผลงานพระสมุ ังคละ ๖ คมั ภรี ์ ๓. ไม่ปรากฏผแู้ ต่ง ๕ คมั ภรี ์ ภาพท่ี ๓ Mr. T.W. Rhys Davids ผ้กู ่อตงั้ สมาคมบาลีปกรณ์ สมาคมบาลปี กรณ์ (Pali Text Society) สมาคมบาลีปกรณก์ อ่ ต้งั โดย Mr. T.W. Rhys Davids ประเทศอังกฤษ จดั ตง้ั ขึ้นเพ่ือแปลและเผยแพร่ คมั ภรี ์ทางพทุ ธศาสนาในภาษาบาลี อักษรโรมนั และภาคภาษาอังกฤษ18 ประโยชนข์ องการศกึ ษาโครงสรา้ งพระไตรปิฎก ๑. เข้าใจภาพรวมทงั้ หมดของพระไตรปิฎก และคมั ภีร์อรรถกถาวา่ มเี นื้อหาอะไรบ้าง ๒. สามารถค้นหาข้อมูลในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเข้าใจ โครงสรา้ งท้งั หมดแลว้ ๓. เปรียบเหมอื นมแี ผนท่นี ําทางในการศกึ ษาพระพุทธศาสนาต่อไป เพราะเขา้ ใจในภาพรวมของพระวินัย และหลักธรรมทัง้ หมด รวมถงึ เป้าหมายในการศึกษาพระพุทธศาสนา ฝากทง้ิ ท้าย 17เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๙๔-๙๕. 18แหล่งท่มี า : http://www.palitext.com [๑๐ ก.ค. ๒๕๕๕].
20 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ การศึกษาให้รู้และเข้าใจในพระไตรปิฎก เป็นแนวทางการศึกษาในลําดับแรกคือ “ปริยัติ” จากนั้นจึง ควรนําไปกระทําตาม คือ “ปฏิบัติ” เพ่ือให้ได้ผลแห่งการปฏิบัตินั้น คือ “ปฏิเวธ” ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่า การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาให้ไดผ้ ลดที ี่สุด จึงควรทาํ ใหค้ รบทั้ง ปริยตั ิ ปฏบิ ตั ิ และ ปฏิเวธ นน่ั เอง แบบทดสอบทา้ ยบท จงทาํ เครอื่ งหมาย X (กากบาท) หนา้ ข้อทถี่ กู ตอ้ งทสี่ ุด ๑. พระไตรปิฎกมีทงั้ หมดกอ่ี ยา่ ง ก. ธรรมและพระวนิ ยั ข. พระพระสูตรและพระธรรม ค. พระวินยั พระสูตร พระอภธิ รรม ง. พระพทุ ธพจน์ ๒. การบันทึกหลักธรรมคาํ สอนชนั้ แรก ตรงกบั ขอ้ ใดต่อไปนี้ ก. มุขปาฐะ ข. พระธรรมวินยั ค. พระไตรปิฎก ง. พระพทุ ธวจนะ ๓. ธรรมที่ทาํ ใหเ้ กดิ การขับเคลอื่ น เพือ่ จดุ ม่งุ หมายถือการพน้ ทกุ ขน์ นั้ ตรงกบั ขอ้ ใดต่อไปน้ี ก. พระธัมมจักกปั วัตนสูตร ข. อาทิตปริยายสตู ร ค. อนัตตลกั ขณสตู ร ง. โพธปิ ักขิยธรรม ๔. ในความเรอ่ื ง “ ความตรึง และ หยอ่ นยาน” มปี รากฏในพระสตู รใด ก. พระธัมมจกั กปั วัตนสตู ร ข. อาทิตปริยายสตู ร ค. อนตั ตลักขณสูตร ง. โพธปิ ักขยิ ธรรม ๕. พระเถระรปู ใดไม่ได้เก่ยี วขอ้ งกับพระไตรปฎิ ก ก. พระอานนท์ ข. พระอบาลี ค. พระโสณกฏุ ิกณั ณะ ง. พระกจั จายนะ ๖. ข้อใดกลา่ วถูกต้อง ก. อา ปา ม จุ ป ข. ที ม สํ อํ ขุ ค. สํ วิ ธ ปุ ก ย ป ง. ปา ปา ม จุ ป ๗. พระสูตตันตปฏิ กมีทัง้ หมดกี่เล่ม ก. จํานวน ๒๐ เล่ม ข. จาํ นวน ๒๒ เลม่ ค. จํานวน ๒๔ เลม่ ง. จาํ นวน ๒๕ เลม่ ๘. หลกั ฐานหรืออลําดบั ชนั้ ของพะไตรปิฎกชนั้ ที่ ๑ ช่ือเรยี กว่า ก. พระบาลี ข. อรรถกถา ค. ฎกี า ง. อนุฎกี k ๙. พทุ ธสงั วณั ณติ ะ มคี วามหมายตรงกับข้อใด ก. พระพทุ ธวจนะ ข. อรรถาธบิ าย ค. ฎกี าธิบาย ง. อนฎุ ีกาธิบาย
เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 21 ๑๐. อนพุ ุทธสงั วณั ณติ ะ ขอ้ ใดกล่าวผดิ ก. พระพทุ ธวจนะ ข. อรรถาธิบาย ค. ฎกี าธิบาย ง. อนฎุ ีกาธบิ าย ๑๑. วิสุทธมิ รรค, คัมภีรญ์ าโณทัย จดั เปน็ ก. โบราณอรรถกถา ข. อภนิ วอรรถกถา ค. วิตถารอรรถกถา ง. สังคหอรรถกถา ๑๒.หนังสอื อภิธรรมาวตาร เป้นนิพนธข์ องพระสงฆท์ ่าใด ก. พระพุทธโฆษาจารย์ ข.พระพทุ ธทัตตะ ค. พระธรรมปาละ ง. พระวสิ ทุ ธารสารตั ถะ ๑๓. อรรถกถาเปตวตั ถุ อรรถกถาวิมานวตั ถุ และอรรถกถาวิสทุ ธมิ รรค ฯลฯ เกดิ ข้ึนในชว่ งปี พ.ศ. ก. พ.ศ. ๙๔๐ – ๑๐๐๐ ช. พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๐๐๐ ค. พ.ศ. ๙๔๕ – ๑๐๐๐ ง. พ.ศ. ๙๕๕ – ๑๐๐๐ ๑๔. สมาคมบาลปี กรณ์ (Pali Text Society) มที ่านก่อตง้ั ขนึ้ รช่ือ ก. พระพุทธโฆษาจารย์ ข.พระพทุ ธทัตตะ ค. ดร.บาบาสาเกรี ง. โดย Mr. T.W. Rhys Davids ๑๕. ส่ิง ทมี คี วามสําคญั ทางพระพทุ ธศาสตร์ทีผ่ ูเ้ ปน็ พทุ ธบริษทั ตอ้ งปฏิบัตคิ อื ข้อใด ก.การศึกษา ข.ความศรทั ธา ค. ความสัจจรงิ ท่ตี ้องเขา้ ใจ ง. ความรักทมี่ ใี ห้กนั
22 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓
เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 23 บทที่ ๒ จติ วิทยาในพระอภธิ รรม ๑. ส่ิงมชี ีวิตตามทัศนะของพุทธปรชั ญาเถรวาท ตามทศั นะของพทุ ธปรัชญา สง่ิ มีชีวิต หมายถึง ความเปนอยูของรางกาย จิตและเจตสิก (สงิ่ ท่ปี รุงแตงจิตหรอื คณุ สมบัตขิ องจติ ) มกี รรมเปนสงิ่ นํามาเกิด ตามรกั ษาใหดาํ รงชีวิตอยูได และ ทาํ ส่ิงตางๆ โดยมจี ติ และเจตสิกเปนผูกํากับ ดังนั้น ส่ิงมีชีวิตหมายจึงหมายถึงเฉพาะมนุษยและ สัตวเทาน้ัน ไมรวมเอาพืชเพราะไมไดเกิดมาจากกรรม ไมมีจิตและเจตสิกในการรับรู คิดนึก เรื่องราวตางๆ ซ่ึงแตกตางจากทัศนะท่ัวไป ที่ใหคําจํากัดความของสิ่งมีชีวิตวา หมายถึง สิ่งท่ ี เจริญเติบโตได กนิ อาหารได เคลอ่ื นไหวได และสืบพนั ธุได ซ่ึงหมายเอามนุษย สตั ว และพืช สิง่ มชี วี ิตมีสว นประกอบ ๓ สวน ไดแก ๑) รางกายน้ัน เรยี กวา รูปหรอื รูปธรรม เปนสิ่งที่ไม มคี วามรสู กึ นึกคดิ ๒) จิต และ ๓) เจตสิก เรียกวา นามหรือนามธรรม เปนสง่ิ ทร่ี ับรูและสามารถนึก คิดเรื่องราวตา งๆ ได สงิ่ มีชีวติ ในโลกลว นประกอบดวยธรรมชาติ ๓ อยา งน้เี ทา นั้น ไมมีส่ิงใดท่ีเปน ตัวเราของเราเพราะส่ิงมีชีวิตลวนประกอบดวยสวนที่เปนรูปและนามที่เกิดข้ึนและดับไปอยาง รวดเรว็ เหมอื นกนั ท้งั สิน้ นอกจากนี ้ สง่ิ มีชีวติ ยังอาจแบง ออกเปน สวนประกอบ ๕ สวน เรียกวา ขันธ แปลวา กอง, พวก, หมวด, หมู หมายถึงสภาวธรรม ๕ อยา ง ซงึ่ ประกอบดวย ๑) รปู ขนั ธ คือ อวยั วะนอยใหญ ทม่ี ีอยใู นรา งกายทั้งหมด ๒) เวทนาขันธ คือ ความรสู กึ สขุ ทกุ ข ดีใจ เสียใจ หรือเฉย ๆ ๓) สญั ญาขันธ คือ ธรรมชาติทมี่ ีหนา ทใ่ี นการจํา หรือเปน หนว ยความจาํ ของจิตนั่นเอง ๔) สังขารขันธ คือ ธรรมชาติที่ปรงุ แตงจติ ใหม ลี กั ษณะตางๆ ดีบา ง ไมด ีบา ง ๕) วญิ ญาณขันธ คือ ธรรมชาตทิ ่รี ับรูส ่งิ ตางๆ ทม่ี าปรากฏทางตา หู จมูก ล้นิ กาย และใจ และทําใหเ กิดความรูสึกนึกคิดตา งๆ ๒. ความหมายและการเกิดขึน้ ของจติ ๒.๑ ความหมาย จิต ไดแก ธรรมชาติที่รับรูอารมณ เปนธรรมชาติที่ทําหนาที่เห็น ไดยิน รับรูกลิ่น รับรูรส รูสกึ ตอการสมั ผสั ถกู ตอ งทางกาย และรูสกึ นึกคิดทางใจ จิตเปนธรรมชาติท่ีเราไมสามารถมองเห็น ไมสามารถสัมผัสดว ยกายได ไมม รี ูปรา ง แตก็เปนสิ่งท่ีมีอยูจริง เปนสิ่งท่ีเกิดขึ้น ต้ังอยู แลวก็ดับ ไป
24 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสศัอนนะวเชิ ราอ่ื พงรจะติ ไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๒๓ อยา งรวดเรว็ โดยจติ จะเกิดดับอยา งรวดเร็วมาก ช่ัวเวลาลัดนิว้ มอื เดียว จะมีการเกดิ และดบั ของจติ ถึงหน่ึงลา นลานครั้ง หรือเรียกตามภาษาบาลวี า แสนโกฏขิ ณะ การเกิดขึ้นและดับไปของจิตน้ันลวนตองอาศัยเหตุและปจจัยตางๆ ทําใหเกิดขึ้น ต้ังอย ู และดับไปตามกฎธรรมชาติ จิตที่เกดิ แตล ะครั้งหรือเรียกวา ขณะ จะรบั อารมณไดเพียงอยางเดียว เทาน้นั แตเ พราะจิตเกิดและดบั สลับกันเรว็ มาก จึงทาํ ใหเ ราแยกไมอ อก เชน ในขณะทเ่ี รารองเพลง คาราโอเกะอยนู ั้น จิตท่ีไดยนิ เสียงทางหูกับจติ ท่ีเห็นภาพทางตา เกดิ ขนึ้ คนละครง้ั กัน ในขณะท่ีเรา เหน็ ภาพ เรากจ็ ะไมไดย นิ เสยี ง และในขณะที่ไดยินเสียงเราก็จะไมเห็นภาพ แตการท่ีเราเขาใจวา การเห็นและการไดยินนั้นเกดิ ข้ึนพรอมๆ กนั นัน้ จึงเปนความเขาใจผิด เพราะจิตท่ีเกิดข้ึนในแตละ คร้งั นั้น จะรับอารมณไดเ พยี งอยา งเดียวเทา น้ัน ดังนน้ั การเกดิ และดับของจิตจึงเปนสิ่งท่ียากท่ีจะ รูเทาทนั ได ๒.๒ สถานทเี่ กดิ ของจติ สถานทเี่ กิดของจติ มี ๖ แหง ตามอวัยวะทใ่ี ชในการรับรอู ารมณตางๆ ไดแก ๑) จิตเกิดทตี่ า ทําหนาที่เหน็ รูปหรือส่งิ ตา งๆ ทีป่ รากฏทางตา เรียกวา จักขวุ ญิ ญาณ ๒) จิตเกิดทีห่ ู ทาํ หนา ท่ีไดยินเสียงทป่ี รากฏทางหู เรียกวา โสตวิญญาณ ๓) จติ เกดิ ทจ่ี มูก ทาํ หนาที่รบั รูก ล่นิ ที่เขามาปรากฏทางจมูก เรยี กวา ฆานวญิ ญาน ๔) จติ เกิดทล่ี น้ิ ทาํ หนา ท่ีรบั รรู สท่ปี รากฏทางลน้ิ เรียกวา ชวิ หาวิญญาณ ๕) จิตเกิดท่ีประสาทกาย ทําหนาที่รับรูความรูสึกที่เกิดจากการสัมผัสถูกตองทางกาย เรยี กวา กายวิญญาณ ๖) จิตเกดิ ทใี่ จ ทําหนาท่ี รสู กึ นกึ คดิ ทางใจ เรยี กวา มโนวญิ ญาณ จะเห็นไดวา คําวา จติ และวิญญาณ น้ันใชแทนกันได ใชห มายความถึงส่ิงเดียวกันคือสิ่งท่ี ทําหนาท่ีรับรูอารมณตางๆท่ีผานเขามาทางอวัยวะคือ ตา หู จมูก ล้ิน ประสาทกายและใจ นอกจากคําวา วญิ ยาณแลว ยังมีคาํ อีกหลายคําท่ใี ชเรียกแทนจิต เชน หทัย, ปณฑระ, มโน, มนัส, มนินทรีย, มโนธาต,ุ มโนวญิ ญาณธาตุ, วญิ ญาณขนั ธ, มนายตนะ เปนตน จากท่ีกลา วมาจะเห็นไดวา มีคํา ๒ คาํ ท่มี ีความเก่ยี วขอ งกนั และมักใชเสมอ คือ คําวา จิต และคําวา อารมณ หากจะแยกใหชัดเจน ก็จะไดความวา จิตเปนสิ่งที่ทําหนาท่ีรับรูอารมณ สวน อารมณน ั้นเปน สง่ิ ทถ่ี กู จิตรบั รู ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และเรื่องราวตางๆ ท่ีนึกคิด ไมได หมายถงึ สภาพนสิ ัยใจคอ หรอื ความรสู กึ ตา งๆ ทใ่ี ชก นั ทวั่ ไป เชน อารมณดี อารมณเสีย เปน ตน จติ จะไมว างจากการรบั รอู ารมณ เม่อื จิตเกิดขน้ึ จะตอ งมอี ารมณใหร บั รูทกุ คร้ัง จติ คอื ตัวรู อารมณคือ สิ่งถูกร ู ถาไมมีสิ่งถูกร ู ตวั รูก ็ยอ มไมเ กิดขึ้น เมื่อมกี ารรับรู กย็ อ มจะตองมีส่งิ ท่ถี ูกรบั รเู สมอ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทศั นะเร่ืองจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษ๒า๔๓ : 25 ชือ่ เฉพาะของสถานทีเ่ กิด จติ และอารมณ สถานที่เกิด จติ อารมณ ตา = จักขุทวาร จกั ขุวญิ ญาณ สง่ิ ทเ่ี หน็ = รปู ารมณ หู = โสตทวาร โสตวิญญาณ เสยี ง = สัททารมณ จมูก = ฆานทวาร ฆานวิญญาณ กล่ิน = คันธารมณ ล้ิน = ชวิ หาทวาร ชวิ หาวญิ ญาณ รส = รสารมณ กาย = กายทวาร กายวญิ ญาณ ส่งิ ท่มี าสมั ผัส = โผฏฐัพพารมณ ใจ = มโนทวาร มโนวิญญาณ สง่ิ ทป่ี รากฏทางใจ = ธัมมารมณ การทจ่ี ิตเกิดดบั สืบตอ กันเปน กระแส เปรียบเทียบไดกับกระแสนํ้า ท่ีประกอบไปดวยอณ ู ของน้ําเล็กๆ เรยี งติดตอ กนั เปนสาย เรียกวา สันตต ิ ในขณะทจี่ ิตไมร ับรอู ารมณท างตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ เรียกวา ภวังคจิต ซึง่ ทาํ หนาที่รักษาชีวิตไวไมใหแตกสลายไปจนกวาจะส้ินอายุจาก ภพน้ี แมในขณะหลับสนทิ ไมมกี ารฝน หรือสลบไป กจ็ ะมภี วงั คจิต เกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา สวนจิตรับรูอารมณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกวา วิถีจิต หรือจิตข้ึนสูวิถี เมื่อ สิ้นสดุ การบั รูแตละวิถี ก็จะมีภวังคจิตเกดิ คั่นอยูท ุกครั้ง แตเพราะการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา ระหวางวิถีจติ กับภวงั คจิตน้นั เกดิ ขึ้นรวดเรว็ มาก โดยมกี ารเกดิ ดบั อยางรวดเรว็ ถึงประมาณ ๑ ลา น ๆ ครงั้ ตอวนิ าทีดงั กลา วแลว ดังน้ัน เราจงึ ไมส ามารถที่จะรูสึกได แมแตแสงไฟจากหลอดไฟฟาก็ม ี การกระพรบิ ตามความถข่ี องไฟฟากระแสสลับกันไปดวยความเร็วเพียง ๕๐ คร้ังตอวินาทีเทาน้ัน แตเ ราก็ยงั ไมสามารถสังเกตเหน็ การกระพริบของแสงไฟได การท่ีเราจะรับรถู งึ การเกดิ ดับคั่นกันไป ระหวางวถิ จี ติ กับภวังคจติ จึงเปนส่ิงทเ่ี ราไมสามารถจะทาํ ไดอ ยางแนน อน การเกิดข้นึ ของจิต คอื วิญญาณขันธ จะเกิดขึ้นโดยไมมีคุณสมบัติของจิตหรือเจตสิก ซ่ึง ไดแก เวทนา สญั ญา และสงั ขาร ไมไ ด เพราะจติ เพยี งอยา งเดยี ว ไมส ามารถรบั รูหรอื นึกคิดอะไรได เลย จิตเปรียบเสมือนนาฬิกา เจตสิกเปรียบเสมือนช้ินสวนและเฟองจักรตางๆ ท่ีทําใหนาฬิกา ทํางานได ดงั นั้น จติ และเจตสกิ จะแยกจากกันไมได ตองเกิดอิงอาศัยกันและกัน จิตแตละดวงที่ เกดิ ขึ้น จะตองมเี จตสิกปรงุ แตงเสมอ เพราะการไมร ูสภาวะทเ่ี ปนจรงิ น ้ี จึงทาํ ใหเรายึดขันธท ง้ั ๕ วา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
26 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอศั นนวะิชเราอื่พงรจะติ ไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๒๕ เปนตัวตนของเรา โดยมีกิเลสเปนผบู งการใหกระทาํ กรรมตางๆ ท้ังดีและชัว่ ทําใหเ กิดผลของกรรม นน้ั ๆ ซ่ึงจะสงผลใหเ ราตอ งเวียนวายตายเกดิ อยา งไมมีที่สนิ้ สดุ ๓. ลักษณะของจติ จติ ทุกดวงมลี กั ษณะทว่ั ไปเหมอื นกัน ๓ ประการ เรยี กวา สามญั ลกั ษณะ เปนกฎธรรมชาติ ท่เี รียกวา ไตรลกั ษณ สรรพส่ิงในโลกทัง้ สิง่ ท่ีมรี ปู ปรากฏ (รปู ธรรม) และไมม ีรูปปรากฏ (นามธรรม) ตองมลี กั ษณะเชน นีเ้ หมอื นกันท้ังหมด ไดแ ก ๑) อนจิ จลักษณะ ไดแก ความคงท่ ี ไมเ ทยี่ ง เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา ๒) ทุกขลกั ษณะ ไดแก การไมทนอยใู นสภาพเดมิ เกดิ ข้ึนแลวตอ งดบั ไป ๓) อนัตตลกั ษณะ ไดแก ความไมใชตวั ตน ไมอยูใ นอํานาจบังคับบญั ชาของผใู ด จะบังคับ ใหห ยดุ การเกดิ ดบั ไมไ ด นอกจากน้ี จิตยังมีลกั ษณะพิเศษเฉพาะตัวอีก ๔ ประการ เรียกวา วิเสสลักษณะ ไดแก ๑) การรบั รูอารมณ เปน ลกั ษณะ ๒) การเปน ประธานในสภาวธรรมท้ังปวง การกระทําตา งๆ ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทาง ใจ ไมวา จะเปนบุญ หรอื เปนบาป จะสาํ เรจ็ ไดก ็ดวยจติ ทงั้ สิน้ ๓) การเกิดดบั สืบตอกนั อยางไมข าดสาย ๔) การมีกรรมในอดีต ทวาร อารมณและเจตสกิ เปนเหตใุ หเ กิดขนึ้ ๔. อาํ นาจของจติ จิตมีอาํ นาจพเิ ศษ ๖ ประการ ไดแ ก ๑) มีอํานาจในการกระทํา คือ การทํางานของอวัยวะตางๆ ในรางกาย การพูด การ เคลือ่ นไหว การกระทําตางๆ ตลอดจนการคดิ ลว นเกดิ ขึน้ ดว ยจิตท้ังส้ิน สรรพส่ิงตางๆ เชน รถ เรือ เครือ่ งบนิ ยานอวกาศ อุปกรณส่อื สาร เคร่อื งคอมพวิ เตอร อุปกรณอ าํ นวยความสะดวกตางๆ และ เทคโนโลยีตา งๆ เกดิ จากจิตเปนผูค ดิ คนขึ้นมาทั้งสิ้น ๒) มอี ํานาจดวยตนเอง คือ จิตสามารถทําบุญ ทําบาป ทําสมาธิถึงขั้นไดฌาน สามารถ ทําลายกิเลสท่เี ปนเหตใุ หมกี ารเวยี นวายตายเกดิ ได ๓) มีอํานาจในการส่ังสมกรรม คือ กรรมทงั้ หลายทั้งดีและช่ัวท่ีไดกระทําลงไปแลว จะถูก เก็บสง่ั สมไวดวยอาํ นาจของจิต ๔) มีอาํ นาจในการรกั ษาผลของกรรม คือ ผลของกรรมท้งั หลายท้ังดีและช่ัวท่ีไดกระทําลง ไปแลว แมจ ะนานเทาใด ยอมติดตามใหผ ลตลอดไป แมจ ติ จะเกิดดบั อยตู ลอดเวลาก็ตาม แตบาป เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเรือ่ งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษ๒า๖๓ : 27 บญุ ท่ีทําไว และอนสุ ยั กิเลสทน่ี อนเน่ืองอยใู นขันธสนั ดานจะไมสญู หายไป เพราะจติ ดวงใหมมีเหต ุ และปจจยั มาจากจิตดวงเดมิ และจติ ดวงใหมท่เี กดิ ข้ึนก็จะเปน เหตแุ ละปจจัยใหแกจิตดวงตอๆไป เพ่อื สืบตอผลของบาป บุญ และกเิ ลสท่ีสง่ั สมไวไ ป จนกวา จะสิ้นกิเลส ๕) มีอาํ นาจในการสงั่ สมสันดานของตนเอง คือ การกระทําใดๆ หากกระทาํ อยูบอยๆ ก็จะ ฝง ในจติ ตดิ เปน นิสยั สันดาน และคิดจะทาํ เชน นนั้ เร่ือยไป ๖) มีอาํ นาจในการรบั อารมณต า งๆ คือ จิตสามารถรับรูรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัสและการ นกึ คิดตา งๆ ท่ีปรากฏทางตา หู จมกู ลนิ้ กายและใจ ไมวาจะเปนอารมณที่ผานมาแลว อารมณท ่ี ยงั ไมเกดิ ขึ้น หรอื อารมณท่เี ปนปจ จุบนั ไดท ้ังส้นิ ๕. ประเภทของจติ จติ มจี ํานวนท้งั หมด ๘๙ ดวง โดยยอ และ ๑๒๑ ดวงโดยพิศดาร โดยแบง ออกเปนประเภท ใหญๆ ๔ ประเภท คือ ๑) กามาวจรจติ จํานวน ๕๔ ดวง ๒) รปู าวจรจติ จาํ นวน ๑๕ ดวง ๓) อร ู ปาวจรจิต จาํ นวน ๑๒ ดวง และ ๔) โลกตุ ตรจติ จํานวน ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง จิตทัง้ ๔ ประเภทนนั้ มีรายละเอียด ดังตอไปน้ี ๕.๑ กามาวจรจิต ไดแก จติ ที่ติดอยใู นกามตณั หา จาํ แนกเปน ๓ ประเภท คือ (๑) อกุสล จติ ๑๒ ดวง (๒) อเหตกุ จติ ๑๘ ดวง และ (๓) กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง โดยจะนําเสนอจิตแต ละประเภทตามลาํ ดบั ดังตอไปนี้ ๑) อกศุ ลจิต คือ จติ ฝา ยบาปที่เกดิ ดวยอาํ นาจของความโลภหรือความโกรธ โดยมีความ หลง สนบั สนนุ จิตประเภทนี ้ จะใหผลเปน ความทุกข เพราะเปนจติ ทที่ ําใหกระทาํ ความชวั่ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เชน การฆาสัตว การลักทรัพย การประพฤติผิดในกาม การพูดโกหก หลอกลวงผูอื่น ฯลฯ ความตองการอยากไดทรัพยของผูอ่ืน มีความโกรธ อาฆาต พยาบาท คิด ประทษุ รา ยผอู นื่ หรือมีความเห็นผิด เชน ไมเช่ือกฎแหงกรรม ไมเชื่อเรื่องผลของบุญ ผลของบาป ไมเ ชื่อวา ชาติหนามีจรงิ ไมเ ช่ือวานรกสวรรคมจี ริง เปนตน อกศุ ลจติ เกดิ ข้ึนโดยอาศัยเหตุ ๕ ประการ คือ (๑) ไมไดส รางสมบญุ ไวแตปางกอน (๒) อยใู นประเทศทีไ่ มเ หมาะสม ไมมคี นดี (๓) ไมไ ดค บหาสมาคมกับคนด ี (๔) ไมไดฟงธรรมของคนด ี (๕) ตง้ั ตนไวผดิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
28 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสัศอนนะวเิชราื่อพงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๒๗ อกศุ ลจติ มที ัง้ หมด ๑๒ ดวง แบงออกเปน ๓ ประเภท โดยมีรายละเอียดตอ ไปน ้ี (๑) โลภมูลจิต คอื จิตท่เี กดิ ขนึ้ โดยมีความโลภ (โลภะ) เปนสาเหตุ มีโลภะเปนเจตสิกที ่ ปรุงแตง จิตใหเกิดความยินดี พอใจ และยึดติดในรูปที่สวย เสียงท่ีไพเราะ กลิ่นที่หอม รสท่ีอรอย การสัมผัสถูกตองทางกายท่ชี อบใจ ความพอใจยดึ ตดิ ในลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข โลภมูลจิตน้ี เกิดข้ึนพรอมดวยความดีใจ (โสมนัสเวทนา) ก็ได เกิดพรอมดวยความรูสึก เฉยๆ (อุเบกขาเวทนา) ก็ได ประกอบดวยความเห็นผิดก็ได ไมประกอบดวยความเห็นผิดก็ได เกิดข้ึนเองก็ได (อสังขารกิ ) หรอื เกิดจากการชกั ชวน (สสังขาริก) ก็ได โลภมูลจิต มีจํานวน ๘ ดวง คือ ดวงที่ ๑ เกิดพรอมกับความดีใจ ประกอบดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดข้ึนไดเอง ตามลําพัง ดวงท่ี ๒ เกดิ พรอ มกบั ความดใี จ ประกอบดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดขึ้นโดยถูก กระตนุ หรอื ชกั จงู ดวงที่ ๓ เกิดพรอมกับความดใี จ ไมประกอบดว ยความเห็นผิด (มิจฉาทฏิ ฐิ) เกดิ ขึ้นไดเอง ตามลําพงั ดวงท่ี ๔ เกิดพรอมกับความดีใจ ไมประกอบดวยดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) แต เกิดข้นึ โดยถกู กระตุนหรือชกั จงู ดวงที่ ๕ เกิดพรอ มกบั ความรูส กึ เฉยๆ ประกอบดวยความเหน็ ผิด (มจิ ฉาทิฏฐิ) เกิดข้ึนได เองตามลาํ พงั ดวงท่ี ๖ เกิดพรอ มกับความรูสกึ เฉยๆ ประกอบดว ยความเห็นผิด (มจิ ฉาทิฏฐ)ิ เกิดขึ้นโดย ถกู กระตนุ หรอื ชกั จูง ดวงท่ี ๗ เกดิ พรอ มกับความรูสกึ เฉยๆ ไมป ระกอบดว ยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดขึ้น ไดเ องตามลําพัง ดวงท่ี ๘ เกดิ พรอ มกบั ความรูสึกเฉยๆ ไมป ระกอบดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดข้ึน โดยถกู กระตุนหรอื ชักจงู คําวา ความเห็นผดิ (มจิ ฉาทิฏฐ)ิ ไดแก ความเห็นผิด วา ชาติหนาไมมี บุญบาปไมมี นรก สวรรคไมม ี กรรมและผลของกรรมกไ็ มม ี จงึ กระทําแตความช่ัวดวยความประมาทเสมอ คาํ วา ไมป ระกอบดวยความเหน็ ผดิ ไดแ ก ความเหน็ ถกู ตอง (สมั มาทิฏฐิ) ที่เช่ือเร่ืองกรรม และผลของกรรม เชอื่ วานรกสวรรคมีจริง เช่ือวาโลกนี้มโี ลกหนาก็มี เช่ือวาเม่ือตายแลว ตองเกิด เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเร่ืองจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ๒ษา๘ ๓ : 29 ใหมในภพใดภพหนง่ึ แลวแตก ารใหผลของกรรม แตก ารทเ่ี ขายงั ทาํ บาปอยเู พราะโลภมูลจิตมีกําลัง รนุ แรงมาก จงึ ทําใหขาดสติสมั ปชญั ญะในบางคร้งั โลภมลู จติ นเี้ ปน ตัวการสําคัญในการเวยี นวา ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั เพราะความชั่วทงั้ หมด มี ความอยากไดอ ยเู บือ้ งหลังทั้งสิ้น โลภมูลจิตน้ี สามารถเกิดกับบุคคลท่ัวไปไดทั้ง ๘ ดวง แตจะ เกิดแกพ ระโสดาบนั พระสกทาคามี และพระอนาคามเี ฉพาะโลภมูลจิตทีไ่ มประกอบดวยความเห็น ผิด ๔ ดวงเทานั้น แตจะไมเกิดข้ึนแกพระอรหันต ซึ่งเปนผูส้ินกิเลสแลว ดังนั้น จิตท่ีคิดอยากได สิ่งของๆ ผูอ่ืนโดยไมถูกตองชอบธรรมจึงเรียกวา โลภมูลจิต จิตประเภทน้ีขณะที่จะเกิดข้ึนนั้น บางขณะเกิดพรอมกับความยินดีมาก โลภจิตที่เกิดพรอมกับความยินดีมากนั้นเรียกวา ประกอบดวยความดีใจ (โสมนัส) บางครั้งก็เกิดขึ้นพรอมกับความยินดีเล็กนอย โลภจิตโลภจิตท่ี เกดิ พรอ มกับความยินดเี ลก็ นอ ยน้นั เรยี กวา ประกอบดวยความรูสุกเฉยๆ (อุเบกขา) บางคร้ังโลภ จติ ก็ประกอบดว ยความเห็นผิด เรียกวา ทิฏฐิคตสัมปยุต บางคร้ังก็ไมประกอบดวยความเห็นผิด เรยี กวา ทิฏฐิคตวปิ ปยตุ บางคร้ัง โลภจิตเหลาน้ีเกิดขึน้ ไดตามลําพัง เรียกอสังขาริก บางคร้ังก็ถูก กระตุนเตอื นชักจงู จงึ เกดิ ข้ึน เรียกวา สสังขาริก จิตท้งั ๘ ดวงน้ีมีโลภเปนมูลรากเกิดข้ึนจึงเรียกวา โลภมลู จติ หรือโลภจิต (๒) โทสมูลจิต คือ จิตท่ีเกิดขึ้นโดยมีความไมพอใจ (โทสะ) เปนสาเหตุ มีโทสะเปน เจตสิกทปี่ รุงแตงจิตใหเกิดความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความกลุมใจ ความเสียใจ ความ อจิ ฉารษิ ยา ความตระหน่ีหวงแหน ความรําคาญใจ ความอาฆาต พยาบาท จองเวร โทสมูลจิตน้ี จะเกิดข้นึ พรอ มดว ยความไมพ อใจเสมอ เพราะเกดิ จากการรบั อารมณท่ไี มน า ยนิ ดีและไมนาพอใจ เกิดขนึ้ เองบาง ถกู ผอู น่ื หรอื สง่ิ อน่ื ชกั ชวนใหเ กดิ บาง ดังนัน้ โทสมูลจิตหรือโทสจิตน้ีจึงไดแก จิตขัด เคอื งประทษุ ราย เมื่อประสบอารมณท ี่ไมพ อใจ มีจาํ นวน ๒ ดวง คอื ดวงท่ี ๑ เกิดขน้ึ โดยไมม กี ารชักชวน พรอ มดวยความไมพ อใจ (โทมนัส) เชน ในขณะที่คิด พยาบาท ปองรา ยผอู นื่ จิตดวงนีย้ อมเกิดข้ึน ดวงที่ ๒ เกิดขนึ้ โดยมีการชักชวน พรอ มดวยความไมพ อใจ (โทมนัส) เชน การรูขาววาคน ใกลชิดเสยี ชีวติ ก็จะรองไหเ สยี ใจ ดวยจติ ดวงน้ี หรือเมื่อไดยินเสยี งดังหนวกหู ก็เกิดความรําคาญใจ และดา ออกไปดว ยจิตดวงน้ ี จิตขัดเคืองประทุษรายหรือจิตโกรธนี้ เรียกวา โทสมูลจิต เพราะมีความขัดเคือง ประทุษรายหรือโทสะ เปนบอเกิดเกิด จิตนี้เกิดพรอมกับความเสียใจเรียกวา โทมนัสสหรคต ประกอบดวยความโกรธความขัดเคอื งในขณะทป่ี ระสบอารมณท่ที ําใหเกิดความขัดเคืองอยา งเดยี ว เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
30 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอศั นนวะิชเรา่ือพงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๒๙ เทา นัน้ เรยี กวาปฏฆิ สัมปยุต บางคร้ังเกิดขึ้นเองตามลําพังเรียกวา อสังขาริก บางคร้ังถูกกระตุน หรอื ถูกชกั จูงใหเ กดิ ขึน้ เรียก สสังขาริก (๓) โมหมูลจติ คอื จิตทเี่ กิดข้นึ โดยมีโมหะเปน มูลเหตุ โมหะเปนเจตสิกท่ีปรุงแตงใหเกิด ความหลงผิด โมหมูลจิตหรือจิตหลงงมงายน้ี เกิดพรอมกับอุเบกขา คือ ในขณะที่จิตปราศจาก ความยนิ ดยี ินราย ประกอบดวยความสงสัยเคลือบแคลง และประกอบดวยความฟุงซานรําคาญ เกิดขึน้ เองตามลําพัง และเกดิ ขน้ึ เพราะถูกกระตนุ หรอื ถูกชกั จูงใหเกิด ดงั นี้ ดวงที่ ๑ เกิดพรอมกับความรูสึกเฉยๆ (อุเบกขา) ประกอบดวยลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) เกดิ ขนึ้ ไดเองตามลําพงั ดวงท่ี ๒ เกิดพรอมกับความรูสึกเฉยๆ (อุเบกขา) ประกอบดวยความฟุงซานรําคาญ (อุทธัจจะ) เกิดขึน้ โดยถกู กระตุนหรือชักจูง คําวา “สงสยั ” หมายถงึ ความสงสยั ในเร่ืองกรรมและการใหผลของกรรม ความสงสัยเรื่อง ความมอี ยจู ริงหรือไมม ีอยขู องนรกสวรรค ชาติหนามจี ริงหรือไม คาํ วา “ฟงุ ซาน” หมายถงึ การคิดเลื่อนลอยไปในอารมณตางๆ ไมมีความสงบ ไมมีความ ตั้งมนั่ คิดไปเร่อื ยเปอ ย ๒) อเหตกุ จิต คือ จิตทีไ่ มป ระกอบดวยเหตุ แบงออกเปน ๒ พวก คือ (๑) อกศุ ลเหตุ คอื เหตทุ ที่ าํ ใหเ กดิ การทาํ ชั่ว มี ๓ เหตุคือ โลภะ โทสะ โมหะ (๒) กศุ ลเหต ุ คอื เหตทุ ่ีทาํ ใหเกิดการทาํ ความดี มี ๓ เหตคุ ือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ จิตประเภทอ่ืนๆทั้งจิตฝายดีและจิตฝายช่ัวยอมประกอบดวยเหตุฝายดีหรือเหตุฝายช่ัว ตามประเภทของจิตน้ันๆ แตอเหตุกจิตนี้ไมมีเหตุท้ัง ๖ ประการขางตนน้ันเขามาประกอบ จึง เรียกวา เหตุกจติ มีจาํ นวน ๑๘ ดวง โดยแบง ออกเปน ๓ จําพวก คือ (๑) อกุศลวิบากจิต ๗ ดวง (๒) อเหตกุ กุศลวบิ ากจติ ๘ ดวง และ (๓) อเหตกุ กิรยิ าจติ ๓ ดวง โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้ (๑) อกศุ ลวบิ ากจิต คอื จิตที่สงผลใหเกดิ ความทุกข เพราะผลของความช่ัวที่ไดทําไวใน อดีตชาติ ต้งั แตชาตไิ หนภพไหนก็ตาม ยอมไมสญู หาย แตจ ะสง ผลใหไ ดรับความทุกขเมื่อมีโอกาส มีจํานวน ๗ ดวง คอื ดวงท่ี ๑ จกั ขวุ ญิ ญาณจติ ไดแก จติ ทีเ่ กดิ ขึน้ โดยตาเหน็ รูปท่ไี มดรี ูสึกเฉยๆ ดวงท่ี ๒ โสตวิญญาณจิต ไดแ ก จติ ที่เกิดข้นึ โดยหไู ดยินเสียงทีไ่ มด ี รูสกึ เฉยๆ ดวงที่ ๓ ฆานวญิ ญาณจิต ไดแก จติ ท่เี กดิ ข้ึนโดยจมกู สูดกล่นิ ทไี่ มด ี รสู กึ เฉยๆ ดวงที่ ๔ ชวิ หาวญิ ญาณจติ ไดแ ก จิตท่เี กิดขึน้ โดยล้นิ ลม้ิ รสทไ่ี มดีรสู กึ เฉยๆ ดวงที่ ๕ กายวิญญาณจิต ไดแก จติ ทเ่ี กิดขึ้นโดยกายกระทบสัมผัสทีไ่ มด ี รูสกึ เฉย ๆ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๓ษ๐า ๓ : 31 ดวงท่ี ๖ สัมปฏิจฉันนจิต หรอื อเุ บกขาสมั ปฏจิ ฉันนจิต ไดแก จิตท่ีเกิดข้ึนโดยรับอารมณ ท้งั ๕ ที่ไมด ี รูสกึ เฉยๆ ดวงที่ ๗ สนั ตรี ณจติ หรืออุเบกขาสนั ตีรณจติ ไดแก จิตที่เกิดข้ึนโดยพิจารณาอารมณทั้ง ๕ ทไ่ี มด ี รูสึกเฉยๆ จิตทงั้ ๗ ดวงนีเ้ รียก อกุศลวิบากจติ เพราะเปน ผลแหง กรรมชั่วหรืออกุศลกรรมท่ีสําเร็จมา แตอดตี และเพราะเหตทุ ่อี เหตุกจิตท้ังหมดเปนกลางๆ คือไมใชจิตฝายดีหรือชั่ว (อัพยากตธรรม) จิตทง้ั ๓ ประเภทท่เี ปนอเหตุกจติ จึงมแี ตจ ติ สว นทเ่ี ปน วบิ ากหรือจิตทเ่ี ปนผลหรือแสดงผลของการ กระทําทง้ั สิน้ (๒) อเหตกุ กศุ ลวิบากจติ คอื จิตทสี่ งผลใหเ กิดความสขุ เพราะผลของความดีท่ีไดทําไว ต้ังแตชาตไิ หนภพไหนก็ตาม ไมส ูญหายไป จะสง ผลใหไดรบั ความสุขเมอื่ มีโอกาส มีจาํ นวน ๘ ดวง คือ ดวงที่ ๑ จักขุวิญญาณฝายกุศลวิบากไดแก จิตท่ีเกิดขึ้นทางตาเพ่ือเห็นรูปที่ดี และรูสึก เฉยๆ ดวงท่ี ๒ โสตวิญญาณฝา ยกศุ ลวบิ าก ไดแ ก จิตทเ่ี กดิ ข้ึนทางหเู พอื่ ไดย ินเสียงท่ีดี และรสู กึ เฉยๆ ดวงท่ี ๓ ฆานวิญญาณฝายกศุ ลวิบาก ไดแก จิตท่ีเกดิ ข้นึ ทางจมูกเพื่อรูกล่ินที่ดี และรูสึก เฉยๆ ดวงที่ ๔ ชิวหาวิญญาณฝายกุศลวิบาก ไดแก จิตที่เกิดข้ึนทางล้ินเพ่ือรูรสที่ด ี และรูสึก เฉยๆ ดวงท่ี ๕ กายวญิ ญาณฝายกศุ ลวบิ าก ไดแก จิตทีเ่ กิดขน้ึ ทางกายเพ่ือรูสัมผัสทางกายที่ด ี และรสู ึกเปนทกุ ข ดวงท่ี ๖ สัมปฏิจฉนจิตฝายกุศลวิบาก ไดแก จิตที่เกิดขึ้นโดยรับอารมณท้ัง ๕ ที่ดี และ รสู ึกเฉยๆ ดวงท่ี ๘ อุเบกขาสันตีรณฝายกุศลวิบาก ไดแก จิตท่ีเกิดขึ้นพิจารณาอารมณท้ัง ๕ ท่ีดี และรูสึกเฉยๆ ดวงที่ ๙ โสมนสั สนั ตีรณฝายกศุ ลวบิ าก ไดแก จิตท่ีเกิดข้ึนพิจารณาอารมณท้ัง ๕ ที่ดีย่ิง พรอ มดว ยความดีใจ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
32 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสัศอนนะวเิชรา่อื พงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๓๑ (๓) อเหตุกกิริยาจิต คือ จิตที่เกดิ ขึ้นสักแตว ากระทําหนา ท่ขี องตนเทาน้ัน ไมเปนบุญ ไม เปนบาป และไมใ ชจ ติ ทเี่ ปน ผลของบุญหรอื บาป กลา วคือ จิตท่ีไมใชเหตุและไมใชผล มีจํานวน ๓ ดวง คอื ดวงท่ี ๑ ปญ จทวาราวัชชนจติ เปนจิตทที่ ําหนาที่พิจารณาอารมณ ที่มากระทบทางทวาร ทั้ง ๕ วาเปน อารมณทางทวารไหน และเปน ปจ จยั ใหจิตดวงตอ ไป รบั อารมณทางทวารน้นั ๆ เปรยี บ เหมือนนายทวาร ทร่ี ักษาประตพู ระราชวัง ทคี่ อยเปด ประต ู ใหแขกผา นตามฐานะของบุคคล ไมได ติดตามไปทาํ หนา ที่อยางอ่ืน ดวงที่ ๑ มโนทวาราวัชชนจิต ไดแก จิตที่พิจารณาอารมณทางมโนทวาร และทําหนาที ่ ตดั สนิ อารมณท่ีผานเขา มาทางทวารทง้ั หา (โวฏฐัพพนจิต) ดวงท่ี ๑ หสิตุปปาทจิต ไดแก จิตท่ีทําใหเกิดการย้ิมของพระอรหันต เกิดขึ้นพรอมดวย ความดใี จ จติ ดวงนเี้ กดิ ขน้ึ เมื่อเวลาทพ่ี ระอรหนั ต พิจารณาเห็นกรรมของบุคคล ท่ีกําลังไดรับความ ทุกข แลวยอนกลบั มาพิจารณาตวั ทานเองวา ทา นไดพนจากทุกขท้ังปวงแลว จึงทําใหเกิดโสมนัส และเกิดการยมิ้ ขน้ึ การยม้ิ ดวยอาการเชนนเ้ี กิดไดดวย หสิตุปปาทจิต ดังนั้น หสิตุปปาทจิตน้ีจึง เปน จิตทีท่ าํ ใหเกิดการยม้ิ โดยไมย ดึ ม่ันในอารมณ ซง่ึ ตา งจากจิตทีท่ ําใหเกดิ การหวั เราะทว่ั ๆ ไป การหัวเราะและการย้ิมโดยท่ัวไป เกิดจากจิตหลายประเภท บุคคลท่ีไมใชพระอรหันต ยอมหัวเราะหรือย้ิมดวยโลภมูลจิตท่ีเปนโสมนัส หรือจิตที่เปนมหากุศลท่ีเปนโสมนัส สวนพระ อรหนั ตไมม กี เิ ลสแลว จงึ ไมมเี หตุท่ีจะทาํ ใหท า นหวั เราะ อยา งมากก็เพียงแคย้ิมเทานั้น ขณะทพ่ี ระ อรหันตยิ้มนั้น ทานอาจยม้ิ ดวยมหากิริยาจิตทเ่ี ปน โสมนัส หรอื หสิตปุ ปาทจิตซง่ึ เปน อเหตกุ กริ ยิ าจติ น้ีกไ็ ด ประเภทของการย้ิมและการหัวเราะ บุคคลยอมมีการย้ิมและหัวเราะ ในลักษณะที่แตกตางกัน ในคัมภีรอลังการ จําแนก ออกเปน ๖ อยาง คือ ๑) สิตะ คอื การยิ้มอยบู นใบหนา ไมเ หน็ ไรฟน เปน การย้มิ แยม ของพระพทุ ธเจา ๒) ห สิต ะ คือ ก ารยิ้ มพอเ ห็ น ไรฟน เป น ก ารยิ้ มของพระอรหั น ต พระอน าค ามี พระ สกทาคามี พระโสดาบัน และปุถุชน แตการย้ิมชนิดนี้ นอกจากพระอรหันตแลว ก็เปนการย้ิมท่ ี ประกอบดว ยเหตบุ ุญ หรอื เหตุบาปเสมอ ๓) วิหสิตะ คือ การหัวเราะมเี สียงเบาๆ เกิดจากจติ ของบุคคลท่ัวไป และพระอริยบุคคล ๓ พวก คอื พระโสดาบนั พระสกทาคาม ี และพระอนาคามี เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรอ่ื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึก๓ษา๒ ๓ : 33 ๔) อติหสติ ะ คอื การหัวเราะเสยี งดัง ของบุคคลทั่วไป พระโสดาบนั และพระสกทาคามี ๕) อปหสิตะ คือ การหัวเราะจน ตัวโยกโคลง เปนการหัวเราะเฉพาะของบุคคลทั่วไป เทานนั้ ๖) อุปหสติ ะ คือ การหัวเราะจนน้ําตาไหล เปนการหัวเราะเฉพาะของบคุ คลท่วั ไปเทานน้ั การใหผลของกรรมดแี ละชัว่ ดังท่กี ลา วมาแลว ขางตนวา อเหตุกจิต เปนจติ ท่ีแสดงใหเ หน็ ถึงการใหผลของกรรมวามีอยู จริง การท่ีเราเห็นไดยิน หรอื ประสบส่งิ ท่ไี มด ี ก็เพราะกรรมชว่ั ท่ไี ดกระทําไว ในทางตรงกันขามการ ทเ่ี ราประสบแตส ง่ิ ทดี่ ีทงั้ ทางกาย หู จมูก ลนิ้ กาย เปน ตน ก็เพราะผลของกรรมดี ดังน้ัน กรรมทั้งดี และช่วั ยอ มใหผลอยา งแนน อน โดยมีการใหผ ล ดงั ตอไปน ้ี (๑) การนําไปเกิดในภพใหม เรียกวา ปฏิสนธกิ าล อกศุ ลกรรมทงั้ หลาย ทไี่ ดกระทําไวแลว หากเปนกรรมหนัก ก็จะนําไปเกิดในอบายภูมิ ๔ เปนสัตวนรกบาง เปนเปรตบาง เปนอสุรกายบาง เปนสัตวเดรัจฉานบาง โดยมีสันตีรณจิตฝาย อกุศลวิบาก ซ่งึ มีชอื่ เฉพาะเรยี กวา อเุ บกขาสันตีรณอกศุ ลวิบาก (อกุศลวิบากจติ ดวงท่ี ๗) เปน ผทู าํ หนา ที่นําไปปฏสิ นธิ (นาํ เกิด) ในอบายภูมิทง้ั ๔ สว นกรรมดหี รือกศุ ลกรรม ไดแก อเหตกุ กศุ ลวิบากจติ ดวงท่ี ๗ คอื อุเบกขาสนั ตีรณกศุ ล วิบากจิต จะนําไปเกิดเปนมนุษยท่ีมีรางกายไมสมประกอบ เชน บา ใบ ตาบอด หูหนวก หรือ ปญญาออ นตงั้ แตก ําเนดิ หรอื เกดิ เปนเทวดาช้ันตาํ่ เพราะจิตดวงนเ้ี ปน ผลของกุศลขนั้ ตาํ่ (๒) การใหผลหลงั จากการเกดิ แลว เรยี กวา ปวัตตกิ าล เมอื่ กรรมชว่ั นาํ ไปเกิดเปน สตั วน รก เปรต อสุรกาย สัตวเดรัจฉาน หรือมนุษยแลว ก็ยังจะ ตามสงผลใหเ ห็นรูปทไี่ มด ี ไดย ินเสยี งทไี่ มด ี ไดก ลิ่นที่ไมดี ไดรับรสท่ีไมดี และไดรับการสัมผัสทาง กายท่ีไมดี เม่ือโอกาสมาถึง สวนกุศลตางๆท่ีไดกระทําไวแลว ยอมตามใหผลเชนเดียวกัน โดยจะตาใหผลท่ีเปน ความสุข ทําใหเ ห็นรปู ท่ีดี ไดยินเสียงที่ดี ไดกล่ินที่ดี ไดรับรสที่ดี และไดรับการสัมผัสทางกายที่ดี เมื่อโอกาสมาถึง อเหตุกจิตนบั วา เปน เครื่องพิสจู นใหเ ห็นวา ผลของกรรมน้ันมีจริง นอกจากเปนผลในการ ไปถอื กาํ เนิดในทุคตภิ ูมิ หรือสุคตภิ ูมิ ในขณะถือกําเนดิ หรอื ในปฏสิ นธกิ าลแลว ภายหลังจากการ เกิดแลวหรือในในปวัตติกาล ยังทําใหประสบกับอารมณท้ังที่ดีและไมดี สลับสับเปล่ียนกันอย ู ตลอดเวลาตามแตโอกาส ในการสง ผลของอดีตกรรม และปจจุบันกรรมจะมาถึง บางครั้งก็เห็นไมดี เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
34 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะิชเราือ่ พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๓๓ ไดย ินไมดี ไดก ลิ่นไมด ี รูรสไมด ี สมั ผสั ถูกตองไมด ี ถกู นนิ ทาวาราย ฯลฯ การประสบกบั สิ่งไมด ี ลวน เปนผลของกรรมช่ัวท่ีไดกระทําไวทั่งส่ิน สวนการไดเห็นส่ิงท่ีสวยงาม ไดยินเสียงที่ไพเราะ หรือ เรอื่ งราวท่ีดี ๆ ไดกลิ่นหอม ๆ ไดล ม้ิ รสท่อี รอย และไดรับความสุขกายสบายใจ เหลา นีก้ ็ลวนเปนผล ของกรรมดที ีไ่ ดก ระทาํ ไวท ัง้ สน้ิ คาํ อธบิ ายเร่อื งจํานวนของอกศุ ลวิบากจิตกบั อเหตุกกุศลวิบากจติ อกุศลวบิ ากจติ เปน จิตท่ีรับอารมณที่ไมดี ดังนั้น สันตีรณจิตท่ีเกิดข้ึนพิจารณาอารมณท ี่ ไดรับ จึงมีเวทนาเปนอุเบกขาอยางเดียวเทาน้ันดังนั้น อกุศลวิบากจิตจึงมี ๗ ดวงเทานั้น สวน อเหตุกกุศลวิบากจิต ท่ีมี ๘ ดวง เพราะในอเหตุกกุศลวิบากจิตนั้น สันตีรณจิตมีจํานวน ๒ ดวง เพราะดวงหนึ่งรบั อารมณท ่ดี ธี รรมดา มีเวทนาเปน อเุ บกขา (อเุ บกขาสันตีรณจิต) สวนอีกดวงหนึ่ง รับอารมณท ่ีดีย่งิ มีเวทนาเปน โสมนัส (โสมนัสสนั ตีรณจติ ) คําอธิบายเรอ่ื งการใชคาํ วา อเหตกุ การท่อี กศุ ลวบิ ากจิต ไมมีคําวา อเหตุก นําหนาเหมือนอเหตุกกุศลวิบากจิต ทั้งๆ ที่เปน อเหตุกจิตเหมือนกัน เพราะผลของอกุศลกรรมหรือกรรมชั่วน้ันเปนอเหตุกจิตหรือจิตที่ไม ประกอบดวยสาเหตุอยางเดียวเทานั้น ไมเปนจิตที่ประกอบดวยสาเหตุอยูแลว ดังน้ัน จึงไม จาํ เปนตองใสคาํ วา อเหตุก ไวข า งหนา เพราะเปน อเหตุกจติ อยา งเดียว อยางแนนอนอยูแลว สวนจิตทเ่ี ปนผลของกุศล หรอื ทเี่ รยี กวา กุศลวิบากจิต มีอยู ๒ ประเภท คือ สเหตุกวิบาก เปน วบิ ากจติ ทีม่ ีเหตุ ซึ่งไดแก มหากุศลวบิ ากจติ ซ่ึงอยใู นกลมุ ของกามาวจรโสภณจิต (ซึ่งจะกลาว ตอไป) และอเหตกุ วิบาก เปนวบิ ากจิตท่ีไมมีเหตุ ซึ่งก็ไดแก อเหตุกกุศลวิบากจิตน้ีเอง ดังน้ัน จึง ตองใสคําวา อเหตกุ ไวข า งหนา เพื่อแสดงวา ผลเหลา นี้เปนผลของมหากุศลท่เี ปนอเหตุกจติ ๓) กามาวจรโสภณจิต คือ จติ ฝายบุญ ฝายกุศล ใหผ ลเปนความสขุ แตยังเปน จติ ทตี่ อ ง ทองเทยี่ ว วนเวียนอยูใ นกามภมู หิ รอื สถานทท่ี ยี่ งั เกีย่ วของกบั รูป เสียง กลิน่ รส สมั ผสั ถกู ตอ งอยู ซงึ่ ไดแ ก มนษุ ยโลก เทวโลก และพรหมโลก มจี ํานวน ๒๔ ดวง การที่เรยี กวา กามาวจรจิต เพราะเปนจิตทองเท่ียวอยูในกามภูมิ หรือเรียกวา กามาวจร โสภณจติ เพราะเปนกุศลจิตหรือจิตฝายดี แบง ออกเปน ๓ ประเภท คอื (๑) มหากุศลจิต คือ จติ ท่ีประกอบดว ยเหตุฝา ยดหี รือกุศลเหตุ ไดแ ก ความไมโลภ (อโลภ เหตุ) ไมโกรธ (อโทสเหตุ) และความมีปญ ญา (อโมหเหต)ุ เกดิ พรอมกบั ความยินดีมาก (โสมนสั ) ๔ ดวง เกิดพรอมกับความยินดีพอประมาณ (อุเบกขา) ๔ ดวง ประกอบดวยปญญา ๔ ดวง ไม เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเรื่องจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๓ษา๔ ๓ : 35 ประกอบดวยปญญา ๔ ดวง เกิดโดยลําพงั ๔ ดวง ถูกกระตุนหรือชักจูงใหเ กดิ ๔ ดวง กามาวจรจติ ฝา ยกุศล หรือ มหากุศลจติ น้ี มีจาํ นวน ๘ ดวง คือ ดวงที่ ๑ จิตท่เี กดิ พรอมดวยความยินดมี าก ประกอบดว ยปญ ญาเกิดโดยลาํ พังตนเอง ดวงที่ ๒ จติ ที่เกิดพรอมดวยความยินดีมาก ประกอบดวยปญญา เกิดข้ึนโดยถูกกระตุน หรอื ชกั จูง ดวงที่ ๓ จติ ทเี่ กิดพรอ มดวยความยินดมี าก ปราศจากปญ ญา เกิดโดยลําพงั ตนเอง ดวงท่ี ๔ จติ ทเ่ี กดิ พรอ มดวยความยินดีมาก ปราศจากปญญา เกิดข้ึนโดยถูกกระตุนหรือ ชกั จงู ดวงท่ี ๕ จิตท่ีเกดิ พรอ มดวยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดโดยลําพัง ตนเอง ดวงที่ ๖ จิตทีเ่ กิดพรอมดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูก กระตุนหรือชกั จูง ดวงท่ี ๗ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดโดยลําพัง ตนเอง ดวงที่ ๘ จิตที่เกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดข้ึนโดยถูก กระตุนหรอื ชักจูง ปญ ญาในมหากศุ ลจติ คาํ วา ประกอบดวยปญญา ในมหากุศลจิตนี้ ไดแก ปญญาท่ีเห็นถูกตองตามความเปน จริง ไดแก ปญ ญา ๒ ประเภท คอื ๑) กมั มสั สกตาปญญา คือ ปญญาทร่ี ูวา สัตวท้ังหลายมีกรรม เปนของตนเอง รูวาชาติ หนามจี ริง นรกสวรรคม จี ริง หรือปญญาที่รเู รอ่ื งกรรมและการใหผลของกรรม การรูเชนน้ีจะทําให เห็นโทษและทุกขของการเวียนวายตายเกิด ไมวาจะไปเกิดเปนอะไร ก็มีแตทุกขทั้งส้ิน ดังน้ัน ในขณะที่ทําความดี จงึ ควรต้งั เจตนาเพ่ือลดละกิเลสทกุ คร้งั ๒) วปิ สสนาปญ ญา คอื ปญญาท่ีรูแจงความจริงของสรรพสิง่ วาโดยลักษณธทแ่ี ทจริง ไม มีสัตว ไมมีบุคคล ไมมีตัวเรา ไมมีของเรา สรรพสัตวท้ังหลายเกิดจากการประชุมกันของขันธ ๕ ตามเหตุปจจัย เม่ือยอใหส้ัน ก็เหลือเพียงกายกับใจ หรือรูปกับนามเทานั้น หาสาระตวั ตนไมได สรรพส่งิ ท้งั สวนท่ีเปนรูปและนามลวนไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาทั้งสิ้น การพิจารณาเห็นทุกข และโทษของการมีชวี ติ ทําใหเกิดปญญาไมหลงใหลติดอยูในโลก มีความปรารถนา ที่จะพนจาก การเวียนเกิดเวียนตาย ไปใหเ ร็วทส่ี ดุ การพจิ ารณาเชนน้ี เรียกวา วิปสสนาปญญา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
36 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอัศนนวะชิ เราอ่ืพงรจะิตไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๓๕ เหตุเกดิ ของมหากุศลจิต มหากุศลจติ จะเกิดขึน้ ไดเพราะเหตุ ๕ ประการ คือ ๑) เคยไดส รา งบญุ ไวแ ตช าติปางกอ น ๒) อยใู นประเทศทสี่ มควร ๓) ไดคบหาสมาคมกับคนด ี ๔) ไดฟ ง ธรรมของคนด ี ๕) ตัง้ ตนไวช อบ มหากุศลจิตนเี้ ปนจติ ซงึ่ เปน ทต่ี ง้ั แหงการทาํ ความดหี รือบญุ กิรยิ าวตั ถุ ๑๐ ประการ ไดแก ๑) ทาน คือ การใหส งิ่ ทเี่ ปน ประโยชนสุขแกผ รู ับ ๒) ศลี คือ การรกั ษากาย วาจา ใหต ั้งอยใู นศีล ๓) ภาวนา คือ การเจรญิ สมถภาวนาและวิปสสนาภาวนา ๔) อปจายนะ คอื การคารวะออ นนอ มตอผูท เ่ี จริญกวา ดว ยชาตวิ ุฒ ิ วยั วฒุ ิ และ คณุ วุฒิ ๕) เวยยาวจั จะ คือ การชว ยเหลอื การงานของผทู ีส่ มควรชวยเหลือ ๖. ปตติทาน คอื การอุทศิ สว นกุศลใหผ อู ่ืน ๗) ปต ตานุโมทนา คอื การพลอยยินดใี นการทําดีของผอู ืน่ ๘) ธรรมสวนะ คอื การฟง ธรรม ๙) ธรรมเทศนา คือ การแสดงธรรมใหผูอื่นฟง ๑๐) ทิฏชุ กุ รรม คือ การทําความเห็นใหถูกตอง ตามความเปนจริง ไดแก ปญญาที่รูวา สตั วท้งั หลายมีกรรม มหากุศลจิต เปนจิตที่ใหผลเปนความสุข จะสงผลในตอนถือกําเนิด (ปฏิสนธิกาล) โดย นํามาเกดิ เปนมนุษยและเทวดา หรอื หลงั จากเกิดแลว (ปวตั ติกาล) กจ็ ะตามใหผล ทาํ ใหไดประสบ อารมณท่ีดี เชน การเห็นสิ่งที่สวยงาม ไดฟงเสียงที่ไพเราะ ไดกลิ่นที่หอมถูกใจ ไดล้ิมรสที่อรอย ไดร ับสัมผัสท่สี บายดวยอเหตุกกุศลวบิ ากจติ ๘ ดวง ดงั กลาวมาแลว ประเภทของกศุ ลกรรม ตามหลกั การของพระพุทธศาสนา กุศลกรรมหรือการกระทําความดีน้ัน แบงออกเปน ๒ ประเภท คอื ๑) ตเิ หตุกกศุ ลกรรม ไดแก กศุ ลกรรม ท่ีประกอบดวยเหตุ ๓ ประการ คือ ความไมโลภ (อโลภเหต)ุ ความไมโกรธ (อโทสเหต)ุ และความมปี ญ ญาเขาประกอบ (อโมหเหตุ) กลาวคือ กุศล กรรมทุกอยางท่ีประกอบดวยกัมมัสสกตาปญญา หรือวิปสสนาปญญา มุงตรงตอการละและ ทําลายซึ่งเปนเหตพุ นจากการเวียนวายตายเกดิ นี ้ เปน การใหทาน รักษาศลี และการเจรญิ ภาวนา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเรื่องจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษ๓า๖๓ : 37 ท่ีมปี ญญาเขาประกอบดวยน้ัน จะทําใหรูเหตุ รูผล และต้ังความปรารถนาไดถูกตอง เปนเหตุให กุศลนัน้ มผี ลมาก เปน กศุ ลท่นี าํ ใหพ น ไปจากการเวียนวายตายเกดิ ได (ววิ ฏั ฏคามินกี ุศล) ๒) ทวิเหตุกกศุ ลกรรม ไดแก กุศลกรรม ที่ประกอบดว ยเหตุ ๒ ประการ คอื ความไมโลภ (อโลภเหตุ) และความไมโกรธ (อโทสเหตุ) ไมมีปญญาเขาประกอบ (อโมหเหตุ) เชน การทําบุญ ของเด็ก การทําบุญใหทาน ตามเทศกาลประเพณ ี การรักษาศีล หรือการเจริญภาวนาที่ปฏิบัต ิ ตามๆ กันมา โดยไมเขาใจเหตุผลอันแทจริง มีแตศรัทธาเปนตัวนําเทานั้น การทํากุศลกรรมใน ลักษณะน้ี ถือวาไมประกอบดวยปญญา มีอานิสงสนอย ไมเปนเหตุ ใหพนไปจากการเวียนเกิด เวยี นตาย (วัฏฏคามนิ ีกศุ ล) เพราะเปนการทาํ ความดีท่ีสกั แตวาทาํ ไปตามความเชือ่ เทานั้น นอกจากน้ี ในการทําความดีใด ๆ ทั้งที่เปนติเหตุกกุศลกรรม หรือทวิเหตุกกุศลกรรม ความสําเร็จหรอื ผลแหง ความดนี ้นั จะมากหรอื นอ ย ยังตอ งขน้ึ อยูกับเจตนาหรือความจงใจในกาล ท้ัง ๓ ไดแก ๑) ปพุ พเจตนา คือ เจตนาท่เี กดิ ขึน้ กอนทาํ กุศล ๒) มญุ จเจตนา คอื เจตนาท่เี กดิ ขึ้นในขณะกาํ ลงั ทํากศุ ล ๓) อปรเจตนา คือ เจตนาท่เี กิดขึน้ ภายหลังจากการทํากุศล การใหผ ลของกศุ ลกรรม การทําความดตี า งๆ หากมีเจตนาทบ่ี ริสุทธิใ์ นกาลทง้ั ๓ คอื กอนทาํ ขณะทาํ หรือภายหลัง จากทที่ าํ แลว โดยไมมีความชัว่ ใดๆ เกิดขึ้นแทรกแซง จดั เปน กุศลชั้นสูง (อุกกัฏฐกุศล) ถากุศล นน้ั เปนติเหตกุ กุศลก็จะเรยี กวา ติเหตุกอุกกฏั ฐกุศล แตถา กศุ ลนัน้ เปน ทวิเหตกุ กุศล กจ็ ะเรียกวา ทวิเหตุกอุกกัฏฐกุศล ซึง่ จะใหผ ลตางกันคอื ๑) ตเิ หตุกอกุ กัฏฐกุศล จะนําไปเกิดเปนมนุษย หรือเทวดาช้ันสูง และ สามารถทํามรรค ผล นพิ พาน ฌาน สมาบัติ ใหเกดิ ขนึ้ ได ๒) ทวิเหตุกอุกกัฏฐกุศล จะนําไปเกิดเปนมนุษยหรือเทวดาช้ันกลาง แตไมสามารถทํา มรรค ผล นิพพาน ฌานสมาบตั ิ ใหเกิดข้นึ ได หากในระหวางการทําความดีตางๆ กุศลเจตนาในกาลทั้ง ๓ ไมบริสุทธิ์ มีความช่ัวหรือ อกศุ ลเขา แทรกแซง เชน การเกิดความเสียดายในสิ่งของที่จะบริจาค (เกิดโลภะ) หรือทําบุญเพ่ือ เอาหนา (เกิดโลภะ) เปนตน กุศลที่กระทํานั้น จัดเปนกุศลช้ันต่ํา (โอมกกุศล) ถากุศลน้ันเปน ติเหตกุ กุศล ก็จะเรยี กวา ตเิ หตกุ โอมกกศุ ล แตถ ากุศลนั้นเปน ทวิเหตุกกุศล ก็จะเรียกวา ทวิ เหตกุ โอมกกุศล ซ่ึงจะใหผ ลแตกตา งกัน คอื เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
38 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเราอ่ื พงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๓๗ ๑) ตเิ หตุกโอมกกุศล จะนําไปเกดิ เปนมนษุ ยห รอื เทวดาชั้นกลาง แตไมสามารถทํา มรรค ผล นพิ พาน ฌานสมาบัติ ใหเกิดขึ้นได ๒) ทวิเหตุกโอมกกุศล จะนําไปเกดิ เปนมนษุ ยท ี่มรี างกายและจิตใจบกพรอ ง เชน ตาบอด หรอื หูหนวกแตกําเนิด เปนใบ บา ปญญาออนและเทวดาช้ันตํ่า (จิตท่ีนําไปเกิดเปนมนุษย และ เทวดาช้ันต่ําน้ี คือ อเุ บกขาสนั ตีรณกุศลวบิ ากจิต) ดงั น้ัน จะเหน็ ไดว า เจตนาในการกระทาํ ความดนี นั้ เปน สิง่ ทส่ี าํ คัญ จงึ ตองมเี จตนาบรสิ ทุ ธ ทง้ั ๓ กาล ในการกระทาํ ความด ี จึงจะไดร ับผลของการกระทาํ นน้ั มากและสมบูรณ (๒) มหาวบิ ากจิต คอื จิตที่เปน ผลของมหากศุ ลจติ หากกระทาํ ความดหี รอื กศุ ลกรรมดว ย มหากุศลจิตดวงใด ก็จะไดรบั มหาวิบากจิตดวงน้นั กลาวคือ มหากุศลจิตมฐี านะเปน เหตุ สว นมหา วบิ ากจิตมฐี านะเปน ผล ดงั นั้น มหากุศลจิตจงึ ใหผลท่ีเปนมหาวิบากจิตที่ตรงกันเสมอ มหาวิบาก จติ น ี้ บางคร้งั กเ็ รียกวา สเหตุกกามาวจรวบิ ากจติ มจี าํ นวน ๘ ดวง คอื ดวงที่ ๑ จติ ทเี่ กิดพรอมดวยความยินดมี าก ประกอบดวยปญ ญาเกิดโดยลาํ พงั ตนเอง ดวงท่ี ๒ จิตที่เกิดพรอมดวยความยินดีมาก ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุน หรอื ชักจงู ดวงท่ี ๓ จติ ท่เี กดิ พรอมดวยความยนิ ดมี าก ปราศจากปญญา เกดิ โดยลาํ พังตนเอง ดวงที่ ๔ จติ ที่เกดิ พรอมดว ยความยนิ ดมี าก ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุนหรือ ชักจงู ดวงท่ี ๕ จิตทเี่ กดิ พรอ มดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดโดยลําพัง ตนเอง ดวงท่ี ๖ จิตทเ่ี กดิ พรอ มดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูก กระตนุ หรอื ชกั จงู ดวงที่ ๗ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดโดยลําพัง ตนเอง ดวงที่ ๘ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูก กระตนุ หรอื ชักจูง มหาวิบากจิตท้ัง ๘ ดวงน้ี จะนําบุคคลใหไปเกิดเปนมนุษยในมนุษยโลกหรือเทวดาใน เทวโลกภมู ิใดภูมิหน่งึ สว นจะเกิดเปนมนษุ ยห รือเทวดาช้ันสูงหรือช้ันกลาง ข้ึนอยูกับกุศลที่ทําไววา เปน ติเหตกุ กศุ ล หรือทวิเหตุกกุศล และเจตนาทงั้ ๓ กาล ซ่ึงเปนเคร่ืองชี้วา กุศลกรรมที่ทําไปนั้น เปน กศุ ลชั้นสงู (อุกกฏั ฐกุศล) หรือกศุ ลชน้ั ตํ่า (โอมกกุศล) ดังกลา วมาแลว เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึก๓ษ๘า ๓ : 39 นอกจากจะทาํ หนา ทีน่ าํ มาเกดิ เปน มนุษยหรือเทวดาดังกลา วแลว มหาวิบากจติ ทั้ง ๘ ดวง น้ี ยังทําหนาทเ่ี ปนภวังคจิต ที่รกั ษาภพชาติท่เี ปนมนุษยหรือเทวดาใหดํารงอยูตอไปจนกวาจะสิ้น อายุขัยอีกดว ย ดังน้ัน บุคคลใด ที่ไดกระทํามหากุศลกรรมไว ถายังไมสําเร็จ เปนพระอรหันตได สนิ้ ชีวติ ไปเสยี กอน จะตองไดรับผลเปนมหาวิบากจิตดวงใดดวงหน่ึง และไปเกิดเปนมนุษย หรือ เปนเทวดา ดงั ทกี่ ลา วมาแลว ตามเหตทุ ไ่ี ดส รางมาอยางแนน อน (๓) มหากิริยาจิต คือ จิตของพระอรหันต ซึ่งสิ้นกิเลสแลว แตทานก็ยังตองรับรูอารมณ เพราะยังมีชีวติ อยู ดังนั้น ความเปน อยูของพระอรหันต จงึ ยังมจี ิตทย่ี ังเก่ียวขอ งกับอารมณอยูเ สมอ แตจติ ทเี่ กี่ยวของกับอารมณของทานนั้น ไมสงผลเปนวิบาก นําเกิดในภพใหม ชาติใหมอีกตอไป ดงั นน้ั จติ ประเภทน้ ี จึงเรยี กวา มหากริ ิยาจติ โดยปกติจิตที่ทําหนาท่ีคิด นึก หรือรูสึกของบุคคลทั่วไปและพระอริยบุคคลท่ียังไมบรรล ุ เปน พระอรหนั ตนนั้ จะมอี ยู ๒ ประเภทคือ จติ ชว่ั หรอื อกศุ ลจิต และจิตทด่ี ี หรือ กศุ ลจิต อกุศลจติ และกศุ ลจิตทงั้ สองเม่ือเกิดขึ้นรับรูอารมณแลว ยอมเปนเหตุใหเกิดผลอยางแนนอน หากเปนผล ของอกศุ ลจิต ก็จะนาํ ไปเกดิ ในอบายภูมิ ๔ คอื เกดิ เปนสตั วน รก เปรต อสุรกาย หรือสัตวเดรัจฉาน หากเปนผลของกุศลจิต ก็จะนําไปเกิดในสุคติภูมิ คือ เกิดเปนมนุษย เทวดา รูปพรหม หรืออรูป พรหม ตามประเภทของกุศลกรรมนัน้ ๆ สวนพระอรหนั ตไมไดเปน เชน นนั้ เพราะการรบั รอู ารมณข องทา นไมจัดเปนจิตท่ีเปนจิตชั่ว หรือดี แตเปน จิตทป่ี ราศจากผลแลว จงึ เรียกวา มหากิรยิ าจิต จิตประเภทนี ้ เมอื่ เกิดข้ึนแลว ก็ดับไป โดยปราศจากผลใดๆ ความเปนอยูของพระอรหันต ไมมีจิตท่ีเปนกุศล หรืออกุศล มีแตมหากิริยา จิตท่ีเปนไปเทานั้น มหากิริยาจิตมีลักษณะคลายกันกับมหากุศลจิตทุกประการ ตางกันก็ตรงท่ี มหากริ ยิ าจติ ไมสง ผลเปน มหาวิบากจิตอีกตอไป เพราะละกิเลสไดแลว มหากิริยาจิตมีจํานวน ๘ ดวง คอื ดวงท่ี ๑ จติ ทเ่ี กิดพรอ มดวยความยินดีมาก ประกอบดว ยปญ ญาเกดิ โดยลาํ พงั ตนเอง ดวงท่ี ๒ จติ ท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีมาก ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุน หรือชักจูง ดวงที่ ๓ จิตทีเ่ กดิ พรอ มดว ยความยินดีมาก ปราศจากปญญา เกิดโดยลาํ พงั ตนเอง ดวงที่ ๔ จติ ท่ีเกิดพรอมดวยความยนิ ดีมาก ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุนหรือ ชกั จงู ดวงที่ ๕ จติ ท่เี กดิ พรอมดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดโดยลําพัง ตนเอง เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
40 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอศั นนวะชิเราอ่ืพงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๓๙ ดวงท่ี ๖ จิตทเี่ กดิ พรอ มดวยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดข้ึนโดยถูก กระตุน หรือชักจงู ดวงที่ ๗ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดโดยลําพัง ตนเอง ดวงท่ี ๘ จิตที่เกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูก กระตนุ หรือชกั จูง หากจะมีคาํ ถามวา พระอรหันตเปนผูส้ินกิเลสแลวนาจะมีปญญารูทุกอยาง แตทําไมใน มหากิริยาจิตบางดวงจึงมีการระบุวาประกอบดวยปญญาบาง ปราศจากปญญาบาง ขอน้ีเปน เพราะวา การกระทําหนา ท่ขี องพระอรหนั ตบ างอยาง กต็ องใชปญ ญา เชน การแสดงธรรม เปนตน แตบางอยางที่กระทําจนเกิดความเคยชิน ก็ไมตองใชปญญา เชน การยืน เดิน น่ัง นอน เปนตน เพราะจิตของพระอรหันตยอมรับรูอารมณเชนเดียวกัน แตจิตใจของทานท่ีรับอารมณตาง ๆ เหลา น้นั ไมไ ดเจือปนดวยกเิ ลส เพราะจิตทานสิ้นกเิ ลสโดยส้ินเชงิ แลว ดังน้ัน การรับรูอารมณท่ีเปน มหากิริยาจิตจึงสักวา รับรเู ฉยๆ แตไ มสง ผลเปนวบิ ากตอ ไปในการนาํ ไปเกดิ ในภพชาติตอๆ ไป อาจกลา วไดวา จิตของพระอรหันต สามารถมสี ภาวะเปนจิตท่ีดงี าม เชน เดียวกับมหากุศล จิตกไ็ ด แตตา งกนั ท่ ี มหากุศลจติ เกิดขึ้นกบั บคุ คลที่ยังไมส้ินกิเลส และพระอริยบุคคลที่ยังทําลาย กิเลสไมห มด เมื่อมหากศุ ลจิเกดิ ข้นึ แลว ก็จะมวี บิ ากหรือผลทําใหเ กดิ มภี พใหมชาติใหมตอไป สวน มหากริ ิยาจติ ซงึ่ เปน จิตทเ่ี กิดขึน้ กบั พระอรหันตเ ทา นัน้ เมอื่ เกดิ ขึน้ แลว ก็ไมมีผล หรือไมมีวิบาก ท่ี จะทําใหเ กิดภพใหม ชาตใิ หม อกี ตอ ไป กามาวจรจติ ๒๔ ดวงท่กี ลา วมานี ้ มีความเหมือนกันท้งั หมดไมว าจะเปน มหากศุ ลจติ มหา วิบากจติ และมหากริ ิยาจติ เพราะมหากุศลก็ไดแ กก ามาวจรกศุ ลนน้ั เอง เม่อื บคุ คลประกอบความด ี อยา งใด ก็ยอมใหผลตามสมควรแกความดีน้ันๆ เชนเดียวกัน เพราะฉะนั้น มหากุศลจิตกับมหา วิบากจติ จึงมจี ํานวนเทา กนั และลกั ษณะเหมอื นกนั สว นมหากิรยิ านนั้ หมายถงึ การกระทําความดีของพระอรหันต ซึ่งจะการกระทํานั้นจะไม สง ผลอะไร เพราะสภาวะจิตของพระอรหันตน้ันอยูเหนือผลที่เปนบุญและบาปแลว แตการท่ีมหา กิริยาจิตมีจํานวนเทากัน และมีลักษณะเชนเดียวกันกับมหากุศลจิตน้ัน ก็เพราะมหากิริยาม ี อารมณเทากันกับมหากุศลจิต นอกจากนี้ การกระทําความดีของพระอรหันตก็เหมือนกับการ กระทําของปุถุชน กลาวคือบางคร้ังก็มีความยินดีมาก บางคร้ังก็มีความยินดีไมมาก (อุเบกขา) บางครั้งก็ประกอบดวยปญญา เปนตน จะแตกตางกันก็เฉพาะกุศลกรรมน้ันไมอํานวยผลเหมือน กศุ ลกรรมของปถุ ชุ นเทานั้น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึก๔ษ๐า ๓ : 41 จิตฝายดีหรอื กุศลจิตในประเภทกามาวจรจิตนี้ เรยี กวา มหากุศลจิต เพราะเปนกุศลใหญ หรือมีอารมณกวางขวางมากกวากุศลจิตทั้งหลาย และกุศลจิตท่ีประกอบดวยปญญา เรียกอีก อยางหน่ึงวา วิวฏั ฏคามนิ กี ุศล เพราะเปนไปเพ่ือหลุดพนจากการเวียนวายตายเกิด สวนกุศลจิตที ่ ปราศจากปญ ญา เรียกวา วัฏฏคามนิ กี ุศล เพราะยังใหผลที่เปนไปอยูในการเวียนวายตายเกิดใน ภพภูมทิ ่ดี อี ยนู ่ันเอง ๕.๒ รูปาวจรจิต คือ จิตสงบเปนสมาธิ หรือจิตที่เขาถึงความเปนฌาน ซึ่งเกิดจากการ เจรญิ สมาธิ ดังนัน้ จติ ไดฌ าน หรือรปู าวจรจติ จงึ หมายถึง จิตที่แนบแนนอยูในอารมณกรรมฐาน มีการเพง ส่ิงตางๆ และการกําหนดลมหายใจเขาออก เปนตน จนกระท่ังเปนสมาธิแนวแน ซึ่งมี ๓ ประเภท จํานวน ๑๕ ดวง สิ่งที่ขัดขวางความสงบของจิต โดยทว่ั ไป จติ ของบุคคลจะเปนสมาธิไดยาก เพราะตองรับรูอารมณตลอดเวลา ซ่ึงถือวา เปน สง่ิ ท่ขี ดั ขวางความเปนสมาธิของจติ เรยี กวา นิวรณ มี ๕ ประการ ไดแก ๑) กามฉนั ทนวิ รณ คอื ความตดิ ใจในกามคุณอารมณ ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส และ การ สัมผัสถูกตองที่ชอบใจ เมื่อใดท่ีจิตเพลิดเพลิน ติดใจในสิ่งเหลาน้ีแลว จิตก็จะไมสามารถเขาถึง ฌานได จงึ ตองใชเอกคั คตาขม ๒) พยาปาทนิวรณ คือ ความมุงปองรายผูอ่ืน เปรียบเหมือนน้ํา ท่ีเดือดพลาน ถาจิต ครุนคิดปองรายผูอ ่ืนอย ู จติ ก็จะไมส ามารถเขาถงึ ฌานได จึงตอ งใชป ต ิขม ๓) ถีนมิทธนิวรณ คือ ความเซ็งและซมึ ความหดหู ทอ แท จนไมใสใจตออารมณที่เพงนั้น เปรยี บเหมือนน้าํ ทีม่ ีจอกแหนปด บังอยู ถาจิตเกิดความทอถอย ไมใสใจตออารมณท่ีกําลังเพงอย ู จิตกจ็ ะไมสามารถเขาถึงฌานได จงึ ตองใชวติ กขม ๔) อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ คือ ความฟุงซานรําคาญใจ ซึ่งเปรียบเหมือนน้ํา ท่ีถูกลมพัด กระเพอ่ื มอยเู สมอ ถา จติ ใจยังนึกคดิ ในเร่ืองราวตา งๆ อยู จติ ก็จะไมส ามารถเขา ถึงฌานได จึงตอ ง ใชส ขุ ขม ๕) วิจิกจิ ฉานิวรณ คอื ความลงั เลสงสยั ไมแนใ จ เปรียบเหมือนนํ้าท่ีขุน เปนตม หรือน้ําที่ต้ัง ไวใ นที่มดื ถา เกิดลังเล ไมแ นใจ จติ กจ็ ะไมส ามารถเขาถงึ ฌานได ตองใชวิจารขม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
42 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสัศอนนะวเิชรา่ือพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๔๑ องคป ระกอบของฌาน องคประกอบสําคัญท่ีทําใหจิตเขาถึงความสงบที่เรียกวา จิตไดฌาน หรือ ฌานจิต เรียกวา องคฌานหรือองคประกอบของฌาน เพราะเปนองคสําคัญที่ทําใหเกิดฌานจิต มี ๕ ประการ คือ ๑) วติ ก คอื การยกจติ ขึ้นสอู ารมณ เมือ่ เรมิ่ ทําสมาธินนั้ ตอ งมีส่ิงสาํ หรบั เพง เชน ดิน แลว ยกจติ ข้ึนสูอารมณ คอื การเพงดนิ น้ัน โดยไมใหจ ติ นกึ คิดเรื่องราวตางๆ ถาจิตนึกคิดเร่ืองราวตาง ๆ อยู จติ กจ็ ะตกไปจากการเพงดิน ก็ตองยกจิตขึ้นสูการเพงใหม จิตจะตองเพงอยูกับดินหรือสิ่ง สาํ หรับใชเพงตลอดเวลา วติ กนจี้ ะเปน สิ่งท่ใี ชขมความทอ ถอย ความงว ง (ถนี มทิ ธะ) ท่เี ขาครอบงํา จิตใจ วิตกน้เี ปรยี บเหมือนการกระพือปก ของนก ๒) วิจาร คือ การประคองจิตใหมั่นคงอยูในอารมณท ีเ่ พง เมื่อวติ กยกจิต ขึ้นสูอารมณท เ่ี พง แลว วจิ ารกป็ ระคองจติ ไมใ หต กไปจากอารมณท ่ีเพง เหมอื นการถลาไปในอากาศของนก ดังนัน้ จึง ตอ งทําจติ ใหตั้งมั่นในอารมณท่ีเพง ไมใหจิตใจเกิดความลังเลสงสัยวา การทําสมาธิโดยการเพง เชนนี้จะทําใหจิตสงบหรือไดไดฌานจริงหรือ ถาหากเกิดลังเลใจ (วิจิกิจฉา) จิตก็จะตกไปจาก อารมณท่ีเพง ดงั นน้ั วิจารจึงเปน ส่ิงท่ีขม ความลงั เลสงสัย ๓) ปติ คือ ความปลาบปล้มื ใจ อ่มิ เอบิ ใจในการเพงอารมณ เม่ือไดย กจิตข้ึนสอู ารมณแ ละ ประคับประคองจิตใหต้ังมั่นในอารมณน้ันๆ โดยไมทอถอย และลังเลใจ ก็จะเกิดปติหรือความ ปลาบปลื้ม อ่ิมเอิบใจข้ึนมาตามลําดับ เมื่อจิตเกิดปติ ปลาบปล้ืมอ่ิมเอิบใจ ก็จะไมมีความ พยาบาท มงุ รา ย หรือขนุ เคืองใจ เขามาแทรกแซงได ดังนัน้ ปติจึงเปน สง่ิ ทข่ี มความพยาบาท ปต มิ ที ั้งหมด ๕ ประการ ดังกลา วมาแลวขางตน แตปติท่ีจัดเปนองคประกอบของฌานที ่ สามารถขม พยาบาทน้ัน ผรณาปติ ไดแก ปต ิทซ่ี าบซานแผไปท่ัวสรรพางคกายเทาน้ัน สวนปติอีก ๔ ประการนนั้ ไมจดั เปน องคฌาน เพราะยงั เปนของหยาบ และมกี าํ ลงั นอยอยู ๔) สขุ คอื ความสขุ ใจ หรอื โสมนสั เวทนา เมื่อยกจิตข้ึนสูอารมณแลว ประคองใหจ ติ ตง้ั มนั่ อยูในอารมณ จนปติเกิดเชนน้ีแลว สุขก็ยอมเกิดตามมา ความสุข ก็คือความสงบ ที่ปราศจาก ความฟงุ ซาน ราํ คาญใจนนั่ เอง ๕) เอกัคคตา คือ จิตท่ีเปนสมาธิแนวแนในอารมณท่ีเพงเพียงอยางเดียวเทาน้ัน จิตกับ อารมณท เ่ี พงจะรวมกันเปน หนึ่งเดยี วไมวอกแวก โดยเอกัคคตาหรือความเปนสมาธิของจิตนี้มี ๓ ระดับ คอื ๑) ขณิกสมาธิ คือ จิตที่ตั้งมั่นอยูในอารมณไดช่ัวขณะ หรือเปนสมาธิในขณะท่ีกําลังทํา การบริกรรม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๔ษา๒ ๓ : 43 ๒) อุปจารสมาธิ คอื จติ ท่ีตงั้ มั่นในอารมณจ นใกลจ ะไดฌ าน ๓) อัปปนาสมาธิ คอื จิตท่ีต้งั ม่ัน แนบแนนอยใู นอารมณท่ีกําหนด ไมซัดสายไปไหน ไมมี กเิ ลสเขามารบกวนได ซึ่งกไ็ ดแก จติ ไดฌานน่นั เอง การขมนิวรณดวยอํานาจแหงองคฌานหรือการละกิเลสไดดวยการขมเอาไวนี้ เรียกวา วิกขัมภนปหาน เปรียบเหมือนการเอาหินมาทับหญาไว ถาไมยกหินออก หญาก็งอกข้ึนไมได เชนเดยี วกบั ถา ฌานยังไมเสอ่ื มหรือจติ ยังเปนสมาธิอยู สิ่งกางกั้นความเปนสมาธิของจิตก็จะไมมี โอกาสจะเกิดขึน้ ได โดยองคฌ านจะขมนิวรณได ดงั น ี้ คือ ๑) วติ ก ทาํ หนา ที่ ขมถีนมิทธนิวรณ ๒) วจิ าร ทําหนาที ่ ขม วิจิกิจฉานิวรณ ๓) ปต ิ ทําหนาท่ี ขมพยาปาทนวิ รณ ๔) สขุ ทําหนา ท่ี ขม อุทธัจจนวิ รณ ๕) เอกคั คตา ทําหนา ที่ ขมกามฉนั ทนวิ รณ ประเภทของฌาน ในพระอภธิ รรม แบง รปู ฌาน เปน ๕ ประเภทพรอมทั้งองคประกอบของฌาน ตามตาราง ดังตอ ไปน้ี รปู ฌาน ๕ ปฐมฌาน มอี งคฌาน ๕ คอื วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คตา ทตุ ิยฌาน มีองคฌ าน ๔ \" - วจิ าร ปต ิ สุข เอกัคคตา ตติยฌาน มอี งคฌ าน ๓ \" - - ปต ิ สขุ เอกคั คตา จตุตถฌาน มอี งคฌาน ๒ \" - - - สุข เอกัคคตา ปญ จมฌาน มอี งคฌ าน ๒ \" - - - อเุ บกขา เอกัคคตา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
44 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเรา่ือพงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๔๓ สวนตามทัศนะของพระสตุ ตนั ตปฏ ก รปู ฌานมี ๔ ประเภทพรอ มทงั้ องคฌ านดงั ตอ ไปนี ้ ปฐมฌาน รูปฌาน ๔ ทุตยิ ฌาน ตตยิ ฌาน มีองคฌาน ๕ คอื วิตก วิจาร ปต ิ สขุ เอกัคคตา จตตุ ถฌาน มอี งคฌ าน ๔ \" - วิจาร ปต ิ สขุ เอกคั คตา มอี งคฌ าน ๓ \" - - ปต ิ สขุ เอกคั คตา มีองคฌาน ๒ \" - - - อุเบกขา เอกคั คตา รูปาวจรจิตนนั้ แบง เปนประเภทใหญ ๓ ประเภท ดังนี้ คือ (๑) รูปาวจรกศุ ลจติ คือ จิตท่เี กดิ ข้ึนโดยการบําเพ็ญสมาธ ิ หรือสมถภาวนา ในตอนแรก ยอมเปนมหากุศลจิต แตเมอ่ื จนไดอ ัปปนาสมาธ ิ หรอื สมาธทิ ี่แนวแนแลว จิตก็จะเปล่ียนจากมหา กศุ ลจิต เปน รูปาวจรกศุ ลจติ ที่เกดิ พรอ มกับองคฌ าน จํานวน ๕ ดวง คือ รูปาวจรกุศลจิตดวงท่ี ๑ เรยี กวา ปฐมฌานกุศลจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๑ เปนจิตท่ ี ประกอบดวยองคฌ าน คอื วติ ก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา รปู าวจรกุศลจติ ดวงท่ี ๒ เรยี กวา ทตุ ิยฌานกุศลจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๒ เปนจิตที ่ ประกอบดวยองคฌ าน คอื วจิ าร ปติ สุข เอกคั คตา รูปาวจรกุศลจิตดวงท่ี ๓ เรียกวา ตติยฌานกุศลจิต ไดแกจิตของผูไดฌานที่ ๓ เปนจิตท่ี ประกอบดวยองคฌาน คอื ปติ สขุ เอกัคคตา รปู าวจรกศุ ลจิตดวงที่ ๔ เรียกวา จตุตถฌานกุศลจิต ไดแ กจ ติ ของทานผไู ดฌานที่ ๔ เปน จติ ทีป่ ระกอบดวยองคฌาน คอื สขุ กบั เอกัคคตา รปู าวจรกศุ ลจติ ดวงที่ ๕ เรียกวา ปญ จมฌานกศุ ลจติ ไดแ ก จติ ของผไู ดฌ านที่ ๕ เปน จติ ที ่ ประกอบดว ยองคฌ าน คอื อุเบกขากับเอกัคคตา (๒) รูปาวจรวิบากจติ คือ จิตท่เี ปน ผลของรปู าวจรกศุ ลจิต ทท่ี าํ หนา ที่นําไปเกิดในรูปภูมิ เปนจิตของเทวดาประเภทรูปพรหมในพรหมโลก มจี าํ นวน ๕ ดวง เทากบั รปู า วจรกุศลจติ คือ รปู าวจรวิบากจติ ดวงท่ี ๑ เรยี กวา ปฐมฌานวิบากจิต ไดแ ก จิตของผไู ดฌ านที่ ๑ เปน จติ ท่ ี ประกอบดวยองคฌาน คอื วิตก วิจาร ปต ิ สุข เอกัคคตา รปู าวจรวิบากจิตดวงท่ี ๒ เรยี กวา ทุติยฌานวิบากจิต ไดแก จิตของผไู ดฌานที่ ๒ เปน จติ ท ี่ ประกอบดว ยองคฌ าน คอื วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คตา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทศั นะเรื่องจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๔ษา๔ ๓ : 45 รปู าวจรวิบากจิตดวงท่ี ๓ เรยี กวา ตติยฌานวิบากจติ ไดแ ก จิตของผไู ดฌ านท่ี ๓ เปน จติ ที ่ ประกอบดว ยองคฌาน คอื ปต ิ สขุ เอกคั คตา รูปาวจรวบิ ากจติ ดวงที่ ๔ เรียกวา จตุตถฌานวิบากจติ ไดแก จติ ของผไู ดฌ านท่ี ๔ เปน จติ ทีป่ ระกอบดว ยองคฌาน คือ สขุ กับเอกคั คตา รูปาวจรวิบากจิตดวงท่ี ๕ เรียกวา ปญจมฌานวิบากจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๕ เปน จิตทป่ี ระกอบดวยองคฌ าน คือ อุเบกขากบั เอกคั คตา (๓) รูปาวจรกริ ิยาจติ คอื จิตของพระอรหนั ต ทีเ่ ขา รปู ฌาน มีลักษณะเชน เดียวกับ รูปาว จรกศุ ลจติ แตเ กดิ ขน้ึ กบั พระอรหันตเ ทา นัน้ จึงช่ือวา รูปาวจรกริ ิยาจิต เพราะไมมีผลเปนวิบากจิต ในอนาคต มี ๕ ดวง คอื รูปาวจรกิริยาจิตดวงท่ี ๑ เรยี กวา ปฐมฌานกริ ยิ าจติ ไดแก จิตของผูไดฌ านท่ี ๑ เปนจิตท ี่ ประกอบดวยองคฌาน คอื วิตก วิจาร ปต ิ สขุ เอกัคคตา รูปาวจรกิริยาจิตดวงท่ี ๒ เรยี กวา ทุติยฌานกริ ยิ าจติ ไดแก จติ ของผไู ดฌ านท่ี ๒ เปนจิตท ี่ ประกอบดวยองคฌาน คือ วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คตา รูปาวจรกริ ยิ าจติ ดวงที่ ๓ เรยี กวา ตติยฌานกิรยิ าจติ ไดแก จติ ของผูไดฌานที่ ๓ เปนจิตท่ี ประกอบดว ยองคฌาน คือ ปต ิ สุข เอกัคคตา รูปาวจรกริ ิยาจิตดวงที่ ๔ เรยี กวา จตตุ ถฌานกิริยาจติ ไดแก จติ ของผไู ดฌานที่ ๔ เปน จติ ท่ีประกอบดว ยองคฌ าน คอื สขุ กบั เอกคั คตา รปู าวจรวิบากจติ ดวงที่ ๕ เรียกวา ปญจมฌานกิริยาจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๕ เปน จิตที่ประกอบดว ยองคฌ าน คือ อุเบกขากบั เอกคั คตา ๕.๓ อรปู าวจรจิต คอื จิตของบุคคลผูไดอรูปฌานซึ่งมีอรูปธรรมเปนอารมณ หรือจิตซ่ึง อารมณท ป่ี ราศจากรูป จติ ประเภทน้จี งึ มีชอ่ื เรยี กวา ฌานจิต เหมือนรปู าวจรจติ เปน ฝา ยดีฝา ยกสุ ล ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา บุคคลผูปฏิบัติสมถกรรมฐาน จนไดรูปฌานช้ันท่ี ๕ แลว หากปรารถนาทจ่ี ะเจรญิ ฌานทําสมาธิใหย่งิ ขน้ึ ไปอกี ก็จะตองเจริญอรูปฌานอีก ๔ ช้ัน โดยแตละ ช้นั มลี กั ษณะ ดังน ้ี อรปู ฌานช้นั ท่ี ๑ ชื่อวา อากาสานญั จายตนฌาน ไดแก การเพงอากาศท่ีวางเปลาอยาง ไมม ีทสี่ น้ิ สุด เปน อารมณ ในการเจริญกรรมฐาน อรูปฌานชัน้ ท่ี ๒ ชือ่ วา วญิ ญาณญั จายตนฌาน ไดแก การนําเอาฌานจิตที่เกิดในอรูป ฌานชั้นที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌานจิต มาเปน อารมณในการเจริญกรรมฐาน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก
46 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอศั นนวะิชเรา่ือพงรจะติไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๔๕ อรูปฌานชน้ั ที่ ๓ ชื่อวา อากิญจัญญายตนฌาน ไดแก การทําวิญญานัญจายตนฌาน บอยๆ จนชาํ นาญ ก็จะรูส ึกวาอากาศที่ไมมีที่ส้ินสุดและวิญญาณ คือตัวรูท่ีรูวา อากาศนั้น ไมมีท่ี สิ้นสุด จริง ๆ แลว ท้ังสองอยางก็ไมมี กลาวคือ อากาสานัญจายตนฌานที่เปนอารมณของ วิญญาณัญจายตนฌานกไ็ มม ี ผูปฏิบัติ จึงนําเอาสภาพที่ไมมีอากาสานัญจายตนฌานเชนนี้มา เปนอารมณ ในการเจริญกรรมฐาน อรูปฌานช้ันที่ ๔ ช่ือวา เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ไดแก การนําเอาความสงบ ประณตี ละเอียดออนของฌานจติ ท่เี กดิ ในอรปู ฌานช้ันที่ ๓ เปน อารมณใ นการเจริญกรรมฐาน อรูปาวจรจติ หรอื อรปู จิต ซง่ึ มี ๔ ช้ันนี้ แตละฌานจะแตกตางกันที่ลักษณะของอารมณ เทา นัน้ สวนองคฌานนน้ั เหมอื นกนั ท้ังหมด คือ มเี พยี งอเุ บกขากับเอกัคคตาเทานั้น เชนเดียวกันกับ องคฌ านของรูปฌานที่ ๕ ดงั น้ัน จึงอาจกลาวไดวา อรูปฌานนัน้ เปนฌานที่ ๕ เชนเดียวกนั อรูปาวจรจิต แบง ออกเปน ๓ ประเภท จาํ นวน ๑๔ ดวง ดังน้ี (๑) อรูปาวจรกศุ ลจติ คือ จิตท่ีเกดิ ขน้ึ ในขณะเขา อรูปฌานช้นั ตา งๆ มจี ํานวน ๔ ดวง คือ ดวงที่ ๑ อากาสานญั จายตนกุศลจิต ดวงท่ี ๒ วญิ ญานญั จายตนกุศลจิต ดวงท่ี ๓ อากิญจญั ญายตนกุศลจิต ดวงท่ี ๔ เนวสัญญานาสญั ญายตนกุศลจติ (๒) อรปู าวจรวบิ ากจิต คอื จติ ทเี่ ปน ผลของอรูปาวจรกุศลจติ ซ่งึ จะนําไปเกดิ เปนอรปู พรหม โลกชน้ั ตา งๆ ตามกาํ ลังของอรูปาวจรกุศลจิต มจี าํ นวน ๔ ดวง คือ ดวงที่ ๑ อากาสานญั จายตนวิบากจติ ดวงที่ ๒ วญิ ญานญั จายตนวิบากจติ ดวงที่ ๓ อากิญจญั ญายตนวิบากจติ ดวงท่ี ๔ เนวสัญญานาสญั ญายตนวบิ ากจิต (๓) อรปู าวจรกริ ยิ าจิต คือ จติ ของพระอรหนั ตท่ีเกดิ ขึน้ ในขณะทีเ่ ขา อรูปฌาน ชนั้ ตา ง ๆ มีจํานวน ๔ ดวง คอื ดวงที่ ๑ อากาสานัญจายตนกิรยิ าจิต ดวงท่ี ๒ วญิ ญานัญจายตนกริ ยิ าจิต ดวงที่ ๓ อากญิ จญั ญายตนกริ ยิ าจิต ดวงที่ ๔ เนวสญั ญานาสัญญายตนกริ ยิ าจติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก
บทท่ี ๒ ทัศนะเรือ่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษ๔า๖๓ : 47 ๕.๔ โลกตุ ตรจิต คอื จิตทมี่ ีนิพพานเปนอารมณ เปน จติ ทส่ี ามารถทําลายกเิ ลสได เปน จติ ทีม่ ีสภาวะอยเู หนือโลก คาํ วา โลก ในทีน่ ี้ หมายถึง กามโลก (อบายภมู ิ มนษุ ยโลก และเทวโลก) รปู โลก (รปู พรหม) และอรปู โลก (อรูปพรหม) มี ๒ ประเภท คือ (๑) โลกุตตรกุศลจิต หรือ มรรคจิต คือ จิตท่ีกําลังทําลายอนุสัยกิเลสไดอยางเด็ดขาด เรียกวา สมุจเฉทปหาน มีจาํ นวน ๔ ดวง คือ ดวงท่ี ๑ โสดาปต ตมิ ัคคจติ ดวงที่ ๒ สกทาคามมิ ัคคจิต ดวงที่ ๓ อนาคามมิ ัคคจติ ดวงที่ ๔ อรหตั ตมคั คจติ (๒) โลกตุ ตรวบิ ากจติ หรือ ผลจติ คือ จิตท่ีเปน ผลของ โลกุตตรกศุ ลจติ เปน จติ ท่ที ําลาย อนสุ ยั กิเลสไดแลว อยางสงบราบคาบ โดยส้ินเชิง เรียกวา ปฏิปสสัมภณปหาน มีจํานวน ๔ ดวง เชนกัน คือ ดวงที่ ๑ โสดาปตติผลจติ ดวงที่ ๒ สกทาคามิผลจิต ดวงที่ ๓ อนาคามผิ ลจิต ดวงที่ ๔ อรหัตตผลจติ โลกุตตรจติ ท้งั ๒ ประเภทน้นั จะเกิดขน้ึ ตอเน่ืองกนั กลา วคือ เม่อื มัคคจติ เกดิ ขนึ้ และดบั ลง แลว ผลจิตกจ็ ะเกิดติดตอ กนั ทนั ทที นั ใด โดยไมมีจติ ใดเกิดขน้ึ มาคัน่ ระหวางกลางเลย ประเภทและการทําลายกเิ ลส กิเลสหรือส่ิงทีท่ าํ ใหจติ ใจเศราหมอง จะเขา ประกอบเฉพาะอกุศลจติ เทานน้ั แบง ไดเปน ๓ ระดับ คือ ๑) กิเลสอยางหยาบ เรียกวา วตี ิกกมกิเลส คือ กเิ ลสท่ีแสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจา กิเลสหยาบน้ีสามารถระงับยบั น้ังไวไดดวยศลี ซง่ึ จะทาํ ใหเ กดิ ความสงบในบางคราว ในขณะที่ยงั มี การรักษาศลี อย ู การทําลายกเิ ลสในลักษณะเชนน ี้ เรียกวา ตทังคปหาน ๒) กเิ ลสอยา งกลาง เรยี กวา ปริยุฏฐานกเิ ลส คือ กิเลสที่เกิดอยูภายในใจ ยังไมไดแสดง ออกมาทางกาย หรือวาจา กิเลสชนิดนี้สามารถขมไวไดดวยอัปปนาสมาธิ การทําลายกิเลสใน ลกั ษณะเชน น้ี เรยี กวา วิกขัมภนปหาน ๓) กเิ ลสอยางละเอยี ด เรยี กวา อนสุ ยั กเิ ลส คอื กิเลสที่นอนเนอื่ งอยูในสันดานของตนเอง ไมม ใี ครสามารถรูไ ด นอกจากพระพุทธเจาเทานั้น กิเลสชนิดนี้ตองทําลายดวยปญญาในมัคคจิต เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก
48 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสศัอนนวะิชเรา่ือพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๔๗ ทง้ั ๔ ซง่ึ เปนการทําลายโดยไมใหเหลอื เช้อื อีกตอ ไป ชื้อ และจะไมก ลับมขี ้นึ อีก การทาํ ลายกิเลสใน ลักษณะเชน น้ี เรยี กวา สมจุ เฉทปหาน การทําลายกเิ ลสของมคั คจติ ดังท่ีกลาวมาแลวขางตนวา กิเลสทั้งหมดจะเขาประกอบเฉพาะอกุศลจิตเทานั้น ดังนั้น การทําลายกเิ ลสก็คอื การทาํ ลายอกุศลจิตทัง้ ๑๒ ดวงนนั่ เอง โดยมัคคจิตสามารถทําลายกิเลสได ดงั นี้ คอื ๑) โสดาปต ติมัคคจติ สามารถทําลายโลภมลู จิตทป่ี ระกอบดวยความเห็นผิด ๔ ดวง และ โมหมลู จิตท่ีประกอบดว ยความสงสยั ๑ ดวง ๒) สกทาคามมิ คั คจิต สามารถทําลายกิเลสที่เหลอื ใหเ บาบางลง ๓) อนาคามมิ ัคคจิต สามารถทําลายโทสมูลจิตไดท ั้ง ๒ ดวง ๔) อรหัตตมัคคจิต สามารถทาํ ลายโลภมูลจติ ทไี่ มประกอบดวยความเห็นผิด ๔ ดวง และ โมหมูลจติ ที่ประกอบดวย ความฟงุ ซา น ๑ ดวง ดงั นัน้ มัคคจติ ท้งั ๔ ดวง จึงสามารถทําลายอกศุ ลจติ ครบทัง้ ๑๒ ดวงไดอ ยา งส้ินเชิง ประเภทของพระอรยิ บคุ คล ตามหลักการของพระพทุ ธศาสนาบุคคลใดสามารถทําลายกิเลสไดบุคคลน้ันยอมมีฐานะ เปนพระอริยบุคคล ซ่ึงหมายถึง บุคคลผูประเสริฐ เพราะสามารถทําลายกิเลสได โดยคําวา อรยิ บคุ คล มาจาก คําวา อริยะ แปลวา ประเสริฐ และคําวา บุคคล เม่ือรวมกันแลวก็หมายความ วา บุคคลผปู ระเสรฐิ ซ่ึงสามารถทาํ ลายกเิ ลสได โดยแบงออกเปน ๔ ประเภท ดงั นี ้ คือ (๑) พระโสดาบัน ดงั ทีก่ ลาวมาแลวขางตน เมื่อมัคคจิตซึ่งทําหนาท่ีทําลายกิเลสเกิดและดับไป ผลจิตก็จะ เกิดขนึ้ ติดตอกนั ท้นั ท ี ดงั นน้ั เมอ่ื โสดาปต ติมัคคจิต เกิดขึ้นแกบุคคลใด โสดาปตติผลจิต ก็จะเกิด ขึน้ กับบุคคลนั้นตามมาทนั ท ี เรียกวา พระโสดาบันบุคคล หรอื พระเสขบุคคล ไดแก บุคคลทจ่ี ะตอ ง ศกึ ษา พยายามทาํ ลายทเ่ี หลืออยูใหหมดส้ินไป จนกระท่ังจะบรรลุเปนพระอรหันต พระโสดาบัน บคุ คลทงั้ หมดจะไมไปเกิดในอบายภมู ิ ๔ อยา งแนนอน แตจ ะไปเกิดเปน มนษุ ยบ า ง เทวดาบา ง แต ก็มีพระโสดาบันอีกประเภทหน่ึงที่มีอัธยาศัยยินดีพอใจ ในการเวียนวายตายเกิดจนครบ ๗ ชาต ิ เรียกวา วัฏฏาภิรตโสดาบัน โดยจะไปบังเกิดในเทวโลกทั้ง ๖ ตลอดจนช้ันอกนิฏฐพรหม เชน อนาถบิณฑกิ เศรษฐี วสิ าขามหาอบุ าสิกา ทาวสกั กเทวราช เปนตน แตโ ดยทัว่ ไป พระโสดาบันมี ๓ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก
Search