Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน วิชาพระไตรปิฎกศึกษา 3

เอกสารประกอบการสอน วิชาพระไตรปิฎกศึกษา 3

Published by MBU SLC LIBRARY, 2020-12-24 03:20:33

Description: เตชทัต ปักสังขาเนย์

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ : 101 เอกสารประกอบการสอน วชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ เตชทตั ปกั สังขาเนย์

102 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ เอกสารประกอบการสอน วิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ โดย... เตชทัต ปักสังขาเนย์

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 1 บทที่ ๑ ความรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกับพระไตรปิฎก ความเป็นมาของพระไตรปิฎก และการจดั พิมพพ์ ระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเกดิ ขึ้นเมื่อใด มคี วามเหน็ อยู่ ๒ แนวทางเกี่ยวกบั การแบง่ หมวดหมู่พระไตรปฎิ ก วา่ เร่ิมมกี ารแบง่ หมวดหมเู่ ป็น ๓ หมวด หรอื ทีเ่ รียกว่า พระไตรปฎิ ก นีใ้ นช่วงเวลาใด บางตาํ ราแสดงความเห็นว่าในการสังคายนาครงั้ ที่ ๑ และ ๒ ได้มกี ารชําระทง้ั ธรรมและวนิ ยั ครบ ๓ หมวด แตไ่ ม่ไดม้ ีการกล่าวถงึ คาํ วา่ ปฎิ กไว้เลย ใช้คําวา่ ธรรม และ วนิ ัย โดยให้ความเห็นไว้ว่า ไดร้ วมพระสุตตนั ตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกไว้ในหมวดเดียวกัน คอื หมวดธรรม รวมเรียกทัง้ หมดว่า “ธรรม และ วินยั ” จงึ มีความเหน็ ว่า การแบ่งหมวดหม่พู ระไตรปิฎกเปน็ ๓ หมวดน้ี อาจ เริม่ มมี าต้งั แตก่ ารสังคายนาคร้ังท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๓๔) เป็นต้นมา แตถ่ า้ อา้ งองิ ตามหลักฐานของคัมภีร์อรรถกถาพระวนิ ัยปิฎก (คัมภีร์สมันตปาสาทิกา) ผลงานของท่าน พระพทุ ธโฆษาจารย์แล้ว ท่านถือวา่ การแบ่งหมวดหมพู่ ระไตรปิฎกเปน็ ๓ หมวดน้ี มีมาตั้งแต่การสังคายนาครั้ง ที่ ๑ เป็นตน้ มา1 การจารึกพระไตรปิฎกครั้งแรก การสังคายนาครั้งที่ ๑, ๒ และ ๓ ได้ใช้วิธีมุขปาฐะ คือสวดและท่องจําพร้อมกัน แต่เน่ืองด้วย ความสามารถในการท่องจําทั้งพระธรรมและวินัยของพระสาวกในรุ่นต่อๆมา มิอาจเทียบเท่าพระสาวกในยุค พุทธกาลได้ อีกทั้งเพ่ือป้องกันการผิดพลาดจากการท่องจําสืบต่อกันไป จึงได้เร่ิมมีการจารึกพุทธวจนะลงใน ใบลานในการสังคายนาพระไตรปิฎกคร้ังที่ ๒ ในลังกา ในปี พ.ศ. ๔๓๓ ในรัชสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย (ลังกา)2 ภาพท่ี ๑ พระไตรปิฎกภาษาสิงหล จารึกลงในใบลาน 1 สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปฎิ กฉบบั สาํ หรับประชาชน, พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๑๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกุฏราช วิทยาลยั , ๒๕๕๐), หนา้ ๘ - ๙. 2 เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๑๑-๑๒.

2 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ พระไตรปิฎกในประเทศไทย ประเทศไทยมีประวัติการชาํ ระและจารกึ พระไตรปิฎกในยุคสมัยตา่ งๆ ดงั น้ี o พ.ศ. ๒๐๒๐ – ได้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลานเป็นคร้ังแรก ในสมัยพระเจ้าติโลกราช ณ วัด เจ็ดยอด เมืองเชยี งใหม่ o พ.ศ. ๒๔๓๑ – ไดม้ ีการจดั พิมพพ์ ระไตรปิฎกเป็นเลม่ หนงั สอื ครั้งแรก ในรชั กาลที่ ๕ o พ.ศ. ๒๔๓๖ – ตีพิมพ์พระไตรปิฎกเสร็จเรียบร้อย และฉลองงานรัชดาภิเษก พระไตรปิฎกรวม ๓๙ เล่ม (ในสมัยรัชกาลที่ ๕) o พ.ศ. ๒๔๖๘ – ได้มีการตีพิมพ์พระไตรปิฎกใหม่เป็นฉบับที่สมบรู ณ์ คือ พระไตรปิฎกฉบบั สยามรัฐ จํานวน ๔๕ เล่ม ในสมัยรชั กาลท่ี ๗3 ที่มาของจาํ นวนพระไตรปฎิ ก ๔๕ เล่ม จํานวนของพระไตรปิฎกรวมทั้งชุด ๔๕ เล่มน้ี ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการส่ือถึงการรําลึกถึงพระกรุณาธิคุณ อันบริสุทธ์ของพระพุทธเจ้า ในการท่ีทรงเมตตาปฏิบัติพุทธกิจเป็นเวลายาวนานถึง ๔๕ พรรษา นับต้ังแต่ทรง ตรัสรจู้ นถงึ เสด็จดบั ขันธ์ปรินพิ พาน โครงสรา้ งพระไตรปิฎก4 ปจั จบุ นั ใชร้ ปู แบบการแบง่ หมวดหมู่พระไตรปิฎกเป็น ๓ หมวด ดงั น้ี แผนภาพท่ี ๑ โครงสรา้ งหมวดหมพู่ ระไตรปิฎก พระวนิ ัยปฎิ ก • พระวินยั ทงั้ หมดของภิกษแุ ละภกิ ษุณี, สังฆกรรม, พระสุตตันตปิฎก ประวัติความเปน็ มาภกิ ษุณี และประวตั ิการสงั คายนา พระอภิธรรมปฎิ ก ครัง้ ที่ ๑ และ ๒ • พระสตู รขนาดยาวและขนาดกลาง, พระสูตรประมวล เป็นเรอื่ งๆ หรอื เปน็ ขอ้ ๆ พรอ้ มเร่อื งราวประกอบของ แตล่ ะพระสตู ร รวมถงึ ภาษติ สาวก และชาดก • ธรรมลว้ นๆ แบ่งเปน็ หมวดๆ เปน็ ข้อๆ แบ่งตามธาตุ ธรรมะเปน็ ค่ๆู การบัญญัตบิ คุ คล และการถาม-ตอบ กถาวัตถุ 3 สุชีพ ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปฎิ กฉบบั สาหรบั ประชาชน, พมิ พ์คร้ังท่ี ๑๗, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๗. 4สุชีพ ปุญญานภุ าพ, พระไตรปฎิ กฉบบั สาํ หรับประชาชน, (หน้า ๒๐-๒๓.)

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 3 โครงสรา้ งพระวินัยปฎิ ก วธิ กี ารเรียกชอ่ื หมวดย่อยพระวินยั ปฎิ ก ๔ แบบ5 แผนภาพที่ ๒ การเรียกช่ือหมวดยอ่ ยพระวนิ ยั ปิ ฎกตามแบบในคมั ภีร์วชิรสารัตถสงั คหะ แผนภาพที่ ๓ การเรียกช่ือหมวดยอ่ ยพระวินยั ปิ ฎกแบบตามชื่อคมั ภีร์ และแบบสมาคมบาลปี กรณ์ 5คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, พระวนิ ยั ปิฎก, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หน้า ๑๑-๑๓.

4 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๓ รายละเอียดหมวดย่อยพระวนิ ยั ปฎิ ก6 แผนภาพที่ ๔ รายละเอียดหมวดยอ่ ยพระวนิ ยั ปิ ฎก เหตุใดจึงต้องจัดพระวนิ ัยปฎิ กไวเ้ ปน็ หมวดแรก? พระวินัยได้รับการชําระ หรือเรียบเรียงเป็นหมวดแรก นับตั้งแต่การสังคายนาครั้งท่ี ๑ เป็นต้นมา เนื่องจากพระวินัยถือได้ว่าเป็นส่วนสําคัญในการดํารงและสืบทอดพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกกันว่า พระวินัย เปน็ อายุ หรือพระวินยั เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนานั่นเอง โดยมที ่ีมาดงั นี้ (ในการสังคายนาครงั้ ท่ี ๑ หลังจากพระอานนท์เขา้ ในที่ประชมุ สงฆ)์ “เม่อื พระอานนท์น้ันน่ังแล้วอย่างนั้น พระมหากัสสปเถรจึงปรึกษาภิกษุท้ังหลายว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ! พวกเราจะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรมหรือพระวินัย” ภิกษุท้ังหลายเรียนว่า \"ข้าแต่ท่านพระมหากัสสป! ช่ือว่าพระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังต้ังอยู่พระพุทธศาสนาจัดว่ายังดารงอยู่; เพราะฉะน้นั พวกเราจะสังคายนาพระวินยั ก่อน”7 โครงสรา้ งพระวินยั ปฎิ ก เลม่ ๑ – ๘ 6คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปฎิ กศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ์, ๒๕๕๓), หน้า ๒๕-๒๖. 7 มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. ปฐมสมนั ตปาสาทกิ า แปล ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕), หนา้ ๑๙.

เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 5 โครงสรา้ งพระวินยั ปฎิ ก มหาวภิ งั ค์ (เล่ม ๑-๒) เลม่ ที่ ๑ มหาวภิ ังค์ ว่าดว้ ยสิกขาบทของหลกั ๆของภิกษุ มหี มวดยอ่ ยดังนี้ ๑. เวรัญชกัณฑ์ เล่าเหตุการณ์ท่ีพระสารีบุตรคํานึงถึงความดํารงตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนา และขอใหพ้ ระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ิพระวินยั ๒. ปฐมปาราชิกกณั ฑ์ ปาราชกิ สิกขาบทขอ้ ท่ี ๑ คือ ห้ามภกิ ษเุ สพเมถุน ๓. ทตุ ยิ ปาราชกิ กัณฑ์ ปาราชกิ สิกขาบทข้อท่ี ๒ คอื ห้ามภกิ ษเุ อาของผอู้ ื่นเกิน ๕ มาสก ๔. ตตยิ ปาราชิกกัณฑ์ ปาราชกิ สิกขาบทข้อที่ ๓ คอื ห้ามภกิ ษุฆ่ามนษุ ย์ ๕. จตุตถปาราชกิ กณั ฑ์ ปาราชิกสกิ ขาบทขอ้ ที่ ๔ คอื หา้ มภิกษุอวดอตุ ริมนุสยธรรมที่ไมม่ ีในตน ๖. เตรสกณั ฑ์ วา่ ด้วยอาบัติสังฆาทเิ สส ๑๓ ขอ้ ๗. อนยิ ตกัณฑ์ วา่ ดว้ ยอาบัตทิ ่ไี ม่แนว่ ่าปรบั ข้อไหน ตอ้ งดพู ยานหลักฐานประกอบ รวมสรปุ สาระสําคญั ของพระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๑ คอื ปาราชกิ ๔, สงั ฆาทิเสส ๑๓, อนยิ ต ๒ (รวม ๑๙ ขอ้ ) เล่มท่ี ๒ - มหาวภิ งั ค์ วา่ ด้วยสกิ ขาบทขอ้ ทเี่ หลอื ของภิกษุ มหี มวดยอ่ ยดงั น้ี ๑. นิสสคั คิยกณั ฑ์ ปาจิตตยี ์ สละของ อาบตั ติ ก ๓๐ ๒. ปาจติ ติยกัณฑ์ ปาจิตตยี ์ ไมม่ เี งอื่ นไข ๙๒ ๓. ปาฏิเทสนยี กัณฑ์ อาบตั ิพึงแสดงคนื ๔ ๔. เสขิยกัณฑ์ ขอ้ พึงศึกษา ๗๕ สรุป และ เบ็ดเตล็ด ๕. อธิกรณสมถะ ธรรมสาหรบั ระงบั อธกิ รณ์ ๗ ประการ โครงสร้างพระวนิ ยั ปิฎก ภิกขุณีวิภงั ค์ (เลม่ ๓) เล่มที่ ๓ - ภกิ ขุณวี ิภังค์ ว่าด้วยสกิ ขาบททัง้ หมดของภกิ ษุณี มีส่วนท่ีเหมอื นสกิ ขาบทของภกิ ษสุ ว่ น หน่ึง และสว่ นทีเ่ พิ่มเติมอกี สว่ นหนึง่ มหี มวดย่อยดงั น้ี ๑. ปาราชกิ กัณฑ์ ปาราชิกสิกขาบท ๘ ขอ้ (เหมือนภิกษุ ๔ ขอ้ เพมิ่ อีก ๔ ข้อ) ๒. สัตตรสกณั ฑ์ อาบตั ิสังฆาทิเสส ๑๗ ข้อ (เหมือนภิกษุ ๑๐ ข้อ เพิ่มอีก ๗ ขอ้ ) ๓. นิสสัคคยิ กัณฑ์ อาบัตินิสคั คยิ ปาจิตตีย์ (อาบตั ิปาจติ ตียท์ ต่ี ้องสละส่ิงของ) ๓๐ ข้อ (เหมอื น ภกิ ษุ ๑๒ ข้อ เพม่ิ อีก ๑๘ ขอ้ ) ๔. ปาจิตติยกณั ฑ์ อาบัตปิ าจิตตีย์ท่ไี ม่ต้องสละสงิ่ ของ ๑๑๖ ข้อ (เหมอื นภิกษุ ๙๖ ขอ้ เพิ่มอกี ๗๐ ข้อ) ๕. ปาฏิเทสนยี กัณฑ์ อาบัติปาฏเิ ทสนียะ (อาบัตทิ คี่ วรแสดงคนื ) ๘ ขอ้ (ไม่เหมอื นของภิกษ)ุ ๖. เสขยิ กณั ฑ์ ขอ้ พงึ ศกึ ษา ๗๕ ประการ และธรรมระงบั อธกิ รณ์ ๗ ประการ (เหมือนภิกษ)ุ รวมสรุปสาระสําคญั ของพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓ คือ สิกขาบทท้ังหมดของภิกษุณี คือ อาบัติปาราชิก ๘, สังฆาทิเสส ๑๗, นสิ สคั คยิ ๓๐, ปาจิตตยี ์ ๑๑๖, ปาฏิเทส ๘, เสขิย ๘๑ (รวม ๓๑๑ ข้อ)

6 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ โครงสร้างพระวินัยปิฎก มหาวรรค (เลม่ ๔-๕) เล่มที่ ๔ - มหาวรรค ว่าด้วยเร่อื งสาํ คญั ๆ แบง่ เป็น ๕ หมวด หรือ ๕ ขันธกะดงั น้ี ๑. มหาขันธกะ วา่ ด้วยเรอื่ งต้ังแตต่ รัสรู้ การแสดงธรรมเทศนากัณฑต์ า่ งๆ และขอ้ ปฏบิ ัติการบวช ๒. อโุ บสถขันธกะ ว่าดว้ ยการฟงั ธรรม และสวดปาฏโิ มกข์ ๓. วสั สูปนายกิ าขันธกะ วา่ ดว้ ยรายละเอียดในการจาํ พรรษา ๔. ปวารณาขนั ธกะ วา่ ด้วยการปวารณาตนของภิกษุ เลม่ ที่ ๕ - มหาวรรค วา่ ด้วยเร่อื งใหญ่ๆ รายละเอียดต่อจากเล่มท่ี ๔ แบ่งรายละเอยี ดเปน็ หมวดยอ่ ย ๖ หมวด หรอื ๖ ขนั ธกะ ดังนี้ ๑. จัมมขนั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยหนัง เปน็ ข้อปฏิบัติตา่ งๆเกย่ี วกบั หนังสัตว์ ๒. เภสชั ชขนั ธกะ หมวดว่าดว้ ยยารกั ษาโรค ว่าดว้ ยยาชนิดตา่ งๆที่ทรงอนุญาต การหุงต้มในที่อยู่ เร่อื งน้ําดื่ม และเนื้อที่สมควรฉนั ๓. กฐินขันธกะ หมวดวา่ ดว้ ยกฐนิ กล่าวถึงเหตุท่ที รงอนุญาตการรับกฐนิ ขอ้ กาํ หนดการเดาะกฐิน และอานสิ งสเ์ มอ่ื ได้กราลกฐนิ ๔. จวี รขันธกะ หมวดว่าดว้ ยจวี รกล่าวถึงการทท่ี รงอนญุ าตใหร้ ับจีวรไดแ้ ละข้อปฏบิ ัตติ า่ งๆ เกีย่ วกบั จีวร ๕. จัมเปยยขันธกะ หมวดว่าด้วยเหตกุ ารณ์ในกรงุ จมั ปา การทํากรรมของสงฆช์ นิดตา่ งๆและการ ลงโทษ ๖. โกสัมพขี นั ธกะ หมวดวา่ ดว้ ยเหตุการณ์ในกรงุ โกสมั พี กลา่ วถงึ เร่ืองทีส่ งฆแ์ ตกความสามคั คกี นั และวธิ ีปรองดองสงฆใ์ นทางพระวินัย โครงสร้างพระวนิ ยั ปฎิ ก จฬู วรรค (เลม่ ๖-๗) เลม่ ท่ี ๖ - จูฬวรรค ๑. กมั มขนั ธกะ ได้แก่ หมวดวา่ ดว้ ยสงั ฆกรรม ขยายความเพิม่ จากเล่มที่ ๕ ๒. ปารวิ าสิกขนั ธกะ ได้แก่ หมวดวา่ การอยปู่ รวิ าสเพ่ือออกจากอาบตั สิ ังฆาทิเสส ๓. สมจุ จยขนั ธกะ ได้แก่ หมวดวา่ การออกอาบัติสงั ฆาทิเสสเพิ่มเตมิ จากปาริวาสิกขันธกะ ๔. สมถขันธกะ ได้แก่ หมวดว่าดว้ ยวธิ ีระงับอธิกรณ์ ๗ ประการ เลม่ ที่ ๗ - จฬู วรรค ๑. ขทุ ธกวตั ถขุ นั ธกะ ได้แก่หมวดวา่ เร่อื งเลก็ ๆนอ้ ยๆ เบด็ เตลด็ เชน่ ขอ้ ปฏิบตั ิการสรงน้าํ ข้อ อนุญาตเกย่ี วกบั บาตร เปน็ ตน้ ๒. เสนาสนวัตถุขันธกะ ได้แก่หมวดวา่ ด้วยเรือ่ งท่อี ยูอ่ าศยั เครื่องใช้เครอื่ งประจําในที่อยู่เปน็ ต้น ๓. สังฆเภทขนั ธกะ ได้แก่หมวดว่าด้วยเร่ืองสงฆ์แตกกัน เรื่องพระเทวทัตและข้อกําหนดต่างๆ เก่ียวกบั กรณสี งฆ์แตกกัน ๔. วตั ตขันธกะ ได้แกห่ มวดว่าดว้ ยข้อวตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ๑๓ เรอื่ ง ๕. ภกิ ขณุ ีขันธกะ ได้แกห่ มวดว่าดว้ ยความเปน็ มา และขอ้ ปฏิบตั ขิ องภิกษณุ ี ๖. ปญั จสติกขันธกะ ไดแ้ กห่ มวดว่าดว้ ยพระอรหนั ต์ ๕๐๐ รูป ในการสังคายนาคร้งั ที่ ๑

เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 7 ๗. สัตตสตกิ ขนั ธกะ ได้แกห่ มวดว่าด้วยพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู ในการสังคายนาครงั้ ท่ี ๒ โครงสรา้ งพระวินัยปิฎก ปริวาร (เล่ม ๘) เลม่ ที่ ๘ ปรวิ าร สรปุ และเบด็ เตลด็ พระวินัย รวมเป็นหวั ขอ้ หลกั ๆ ๒๑ หัวขอ้ โครงสรา้ งพระสตุ ตันตปิฎก8 แผนภาพที่ ๕ รายละเอียดหมวดยอ่ ยพระสตุ ตนั ตปิฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตันตปฎิ ก เล่ม ๙ – ๓๓ โครงสร้างพระสุตตันตปฎิ ก ทฆี นกิ าย (เลม่ ๙-๑๑) ทีฆนกิ าย (เลม่ ๙ - ๑๑) รวบรวมพระสตู รขนาดยาว รวม ๓๔ สูตร แบ่งเป็น ๓ เลม่ ดงั นี้ เล่มที่ ๙ ทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค รวบรวมพระสูตรขนาดยาว หมวดทีว่ า่ ดว้ ยกองศีล ๑๓ พระสูตร มี พรหมชาลสูตร, สามัญญผลสตู ร เปน็ ต้น เล่มท่ี ๑๐ ทีฆนกิ าย มหาวรรค รวบรวมพระสตู รขนาดยาว หมวดที่ว่าด้วยเร่ืองใหญ่ๆ ๑๐ พระสูตร มมี หาสติปฏั ฐานสูตร มหาปรินิพพานสตู ร เป็นต้น เล่มท่ี ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค รวบรวมพระสตู รขนาดยาว ๑๑ พระสูตร เรียกชื่อเลม่ ตามพระ สูตรแรกในเล่มคอื ปาฏกิ สูตร โครงสร้างพระสุตตันตปฎิ ก มัชฌิมนิกาย (เล่ม ๑๒ - ๑๔) รวบรวมพระสูตรความยาวขนาดกลาง รวม ๑๕๒ สูตร แบ่งเป็น ๓ เล่ม ดงั นี้ 8 คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปฎิ กศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ์, ๒๕๕๓), หน้า ๒๗-๓๐.

8 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ เล่มที่ ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง๕ วรรค วรรคละ ๑๐ พระสูตร นําด้วยมลู ปรยิ ายสูตร เลม่ ท่ี ๑๓ มชั ฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง ๕ วรรค วรรคละ ๑๐ พระ สูตร แบ่งวรรคตามประเภทบุคคล เช่น คหปติวรรค เป็นพระสูตรว่าด้วย คฤหบดี หรือผู้ครองเรือน, ปริพาชก วรรค เป็นพระสูตรว่าด้วยปริพาชก เป็นต้น เล่มท่ี ๑๔ – มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง ๕ วรรค รวม ๕๒ พระสูตร นําดว้ ยเทวทหสูตร เป็นพระสตู รว่าด้วยเหตกุ ารณใ์ นเทวทหนิคม โครงสรา้ งพระสตุ ตันตปฎิ ก สงั ยตุ ตนิกาย (เล่ม ๑๕ - ๑๙) รวบรวมพระสูตรโดยประมวลเร่ืองเข้าไว้ เป็นหมวดหมู่ รวม ๗,๗๖๒ สูตร แบ่งเป็น ๕ เลม่ ดงั นี้ เล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค รวบรวมพระสูตร ๑๑ สังยุตต์ เป็นพระสูตรท่ีมีคาถา หรือคา สอนเป็นบทกวีสอนบุคคลต่างๆ แบ่งตามบุคคล และสถานท่ี เช่น เทวตาสังยุตต์ ประมวลพระสูตรท่ีทรงสอน เทวดา, มารสงั ยุตต์ ประมวลพระสูตรทท่ี รงสอนมาร เปน็ ตน้ เล่มท่ี ๑๖ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค รวบรวมพระสูตร ๙ สังยุตต์ ที่ว่าด้วยเหตุปัจจัยแห่งการเวียน วา่ ยตายเกิด (ปฏจิ จสมุปบาท) เล่มท่ี ๑๗ สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค รวบรวมพระสตู ร ๑๓ สังยุตต์ เป็นพระสูตรว่าด้วยเร่ืองขันธ์ ๕ รูปและนาม ในแงม่ มุ ตา่ งๆ เล่มที่ ๑๘ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค รวบรวมพระสูตร ๑๐ สังยุตต์ เป็นพระสูตรว่าด้วยเรื่อง อายตนะ ๖ ตามแนวไตรลกั ษณ์ เล่มที่ ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค รวบรวมพระสูตร ๑๒ สังยุตต์ เป็นพระสูตรว่าด้วยเร่ือง ใหญๆ่ ท่ีสาํ คญั คอื โพธปิ กั ขยิ ธรรม มี มรรค, โพชฌงค,์ สตปิ ฏั ฐาน เปน็ ตน้ โครงสร้างพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย (เล่ม ๒๐ - ๒๔) รวบรวมพระสูตรโดยประมวลตาม จาํ นวนข้อของหลักธรรม รวม ๙,๕๕๗ สตู ร แบ่งเป็น ๕ เล่ม ดงั น้ี เลม่ ที่ ๒๐ อังคตุ ตรนิกาย เอก-ทกุ -ติกนบิ าต รวบรวมพระสตู รที่ว่าดว้ ยหลกั ธรรมทมี่ จี ํานวน ๑, ๒, ๓ ข้อ เชน่ เอตทัคคปาลิ (บาลีว่าดว้ ยเอตทัคคะ), การบูชา ๒ อยา่ ง (ใหอ้ ามสิ กบั ให้ธรรม) และ ทุจรติ ๓ (ทุจรติ ทางกาย วาจา ใจ) เป็นตน้ เลม่ ท่ี ๒๑ องั คุตตรนกิ าย จตกุ กบาต รวบรวมพระสูตรทวี่ ่าด้วยหลกั ธรรมทีม่ ีจํานวน ๔ ขอ้ เช่น จกั ร ๔, สมาธิภาวนา ๔, ปฏิปทา ๔ เปน็ ตน้ เลม่ ที่ ๒๒ องั คตุ ตรนกิ าย ปัญจก-ฉกั กบาต รวบรวมพระสตู รทวี่ า่ ด้วยหลักธรรมทม่ี ีจาํ นวน ๕,๖ ขอ้ เช่น กาํ ลัง ๕ ของพระเสขะ, อานสิ งส์ ๕ ของการเดินจงกรม เปน็ ต้น เลม่ ที่ ๒๓ อังคตุ ตรนกิ าย สตั ตก-อฏั ฐก-นวกบาต รวบรวมพระสตู รทว่ี า่ ด้วยหลกั ธรรมท่มี ีจาํ นวน ๗, ๘, ๙ ขอ้ เช่น สงั โยชญ์ ๗, อานสิ งส์ ๘ ของเมตตา, พระอรหนั ตย์ อ่ มไม่ทาํ การ ๙ อย่าง เป็นตน้ เลม่ ที่ ๒๔ อังคตุ ตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนบิ าต รวบรวมพระสูตรที่ว่าดว้ ยหลักธรรมทีม่ จี าํ นวน ๑๐, ๑๑ ขอ้ เช่น ประโยชน์ ๑๐ ประการทท่ี รงบัญญัติสิกขาบท, อานิสงส์ ๑๑ ของเมตตาเจโตวิมตุ ิ เปน็ ตน้

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 9 โครงสร้างพระสุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย (เล่ม ๒๕ - ๓๓) รวบรวมพระสตู รเบ็ดเตลด็ , ภาษิตพระ สาวก และชาดก แบง่ เปน็ ๙ เล่ม ดังน้ี เล่มที่ ๒๕ ขทุ ทกนกิ าย รวบรวมพระสตู รเบด็ เตลด็ ตา่ งๆ แบ่งเป็น ๕ หมวดยอ่ ย ดังนี้ ๑. ขุททกปาฐะ บทสวดเลก็ ๆ เชน่ สรณคมนะ, ทสสกิ ขาบท, มงคลสูตร เปน็ ตน้ ๒. ธมั มปทคาถา ธรรมบท คอื สุภาษติ สน้ั ๆ รวม ๔๒๓ บท ๓. อุทาน พทุ ธภาษติ แบ่งเป็นหมวดหมู่ตามเหตกุ ารณ์ ๔. อติ ิวตุ ตกะ เปน็ ขอ้ ความที่พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั ไว้ แบ่งเปน็ หมวดหมู่ตามจํานวนขอ้ ๕. สตุ ตนิบาต พระสตู รเบด็ เตล็ด แบ่งเปน็ ๕ วรรคย่อย เลม่ ท่ี ๒๖ ขทุ ทกนกิ าย รวบรวมพระสตู รต่างๆ แบง่ เปน็ หมวดหมยู่ ่อย ๔ หมวด ดงั น้ี ๑. วิมานวัตถุ – รวบรวมการถามตอบระหว่างพระมหาโมคคัลลานะ และเทพบุตร เทพธิดา ว่าด้วย เร่อื งเหตุอยา่ งไร ทําใหไ้ ด้วิมานอยา่ งไร ๒. เปตวัตถุ วา่ ดว้ ยเหตทุ ที่ าํ ใหไ้ ปเกดิ เปน็ เปรตในสภาวะต่างๆ ๓. เถรคาถา รวบรวมภาษิตเตอื นใจภกิ ษุ ๔. เถรีคาถา รวบรวมภาษิตเตอื นใจภกิ ษณุ ี เล่มท่ี ๒๗ ขุททกนิกาย ชาดก ๑ ภาคแรกของชาดก รวบรวมชาดกเร่ืองส้ันๆ ๕๒๕ เรื่อง เล่าเรื่อง การท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงเวยี นว่ายตายเกิด บาํ เพ็ญบารมีมาในชาติตา่ งๆ เล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก ๒ ภาคที่สองของชาดก รวมชาดกเร่ืองยาว ๒๒ เร่ือง รวมถึงชาดก ทศชาติ คือการบําเพ็ญบารมี ๑๐ ชาติสดุ ท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนการตรัสรู้ เล่มที่ ๒๙ ขุททกนิกาย มหานิเทส รวบรวมภาษิตพระสารีบุตร ซึ่งเป็นคําอธิบายพระสูตรโดยพระ สารบี ตุ ร ๑๖ พระสตู ร เล่มที่ ๓๐ ขุททกนิกาย จูฬนิเทส รวบรวมภาษิตพระสารีบุตร ต่อจากเล่มท่ี ๒๙ ซ่ึงเป็นคําอธิบาย พระสตู รโดยพระสารบี ตุ ร ๑๗ พระสูตร เล่มท่ี ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ภาษิตพระสารีบุตร ซึ่งเป็นคําอธิบายพระสูตรที่เกี่ยวกับ ทางแห่งความแตกฉาน โดยพระสารีบุตร มี มหาวรรค (เรื่องใหญ่ๆ ๑๐ เรื่อง), ยุคนัทธวรรค (เรื่องสมถะและ วิปัสนา ๑๐ เรอ่ื ง) และ ปัญญาวรรค (วา่ ดว้ ยปัญญา ๑๐ เร่อื ง) เล่มที่ ๓๒ ขุททกนิกาย อปทาน ๑ รวบรวมประวัติการบําเพ็ญความดีงามของพระพุทธเจ้า, พระ ปัจเจกพทุ ธเจา้ และพระสาวก เล่มท่ี ๓๓ ขุททกนิกาย อปทาน ๒ ว่าด้วยเรื่องของพุทธวังสะ (วงศ์ของพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค)์ , พุทธจรยิ า และการบาเพ็ญบารมีในชาตติ า่ งๆ พระสตู รใดเปน็ พระสตู รแรกในพระสตุ ตนั ตปิฎก? พระสูตรในพระสุตตันตปิฎกมิได้ถูกเรียบเรียงตามกาลเวลาที่พระสูตรถูกแสดง แต่ถูกจัดเรียบเรียง เป็นหมวดหมู่ตามความเหมาะสม พระสูตรแรกที่ถูกแสดงไว้ในพระสุตตันตปิฎกคือ “พรหมชาลสูตร” อยู่ใน พระสตุ ตันตปฎิ ก ทีฆนกิ าย สีลขนั ธวรรค เปน็ พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๙

10 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษา ๓ พรหมชาลสตู ร (สตู รวา่ ดว้ ยข่ายอันประเสรฐิ )9 พรหมชาลสูตรเป็นพระสูตรขนาดยาวสูตรแรกในพระสุตตนั ตปิฎก เป็นพระสตู รท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรง ตรัสสั่งสอนเหลา่ ภิกษหุ ลงั จากเหลา่ ภิกษไุ ดส้ นทนากนั เรื่องท่ีสุปปยิ ปรพิ าชกไดก้ ล่าวตเิ ตยี นพระรตั นตรัย และ พรหมทัตมาณพผู้เปน็ ศษิ ยไ์ ด้กล่าวสรรเสรญิ พระรตั นตรยั เป็นพระสูตรขนาดยาวจํานวนหลายหน้า ซ่ึง สามารถสรุปใจความสาํ คัญไดเ้ ป็น ๕ สว่ นดงั นี้ ๑. มใิ ห้โกรธเมือ่ มผี ู้ตเิ ตียนพระรตั นตรยั และมใิ หย้ ินดีเม่อื มผี สู้ รรเสรญิ พระรัตนตรยั ๒. กลา่ วถงึ รายละเอียดของ จฬู ศลี , มชั ฌมิ ศีล, มหาศลี (ศลี อย่างเล็กน้อย, อย่างกลาง และอยา่ งใหญ่) ๓. รายละเอยี ดของทฏิ ฐิ ๖๒ ประการ (ปรารภเบือ้ งตน้ ๑๘, เบอื้ งปลาย ๔๔) ๔. ทรงตรัสว่าผู้ที่มีทิฏฐิ ๖๒ ประการน้ี ย่อมได้เสวยอารมณ์จากอายตนะท้ัง ๖ มีความยึดมั่นถือม่ันดัง ปลาทต่ี ดิ อยใู่ นข่าย ๕. สุดทา้ ยแลว้ จงึ ทรงตรัสว่า ตถาคตเป็นผ้ถู อนตณั หาอันจะทาให้ตดิ อยใู่ นภพได้แล้ว เหตุใดจงึ ต้องนําพรหมชาลสูตรมาแสดงไว้เปน็ พระสตู รแรกในพระสตุ ตนั ตปฎิ ก? มีข้อสงั เกตว่า พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตรไว้เปน็ พระสตู รแรก หลงั ตรัสรู้ เหตใุ ดจงึ ไมน่ ําธมั มจกั กปั ปวัตตนสตู รมาแสดงเปน็ พระสูตรแรกในพระสตุ ตนั ตปิฎก แต่กลับนาํ พรหมชาลสูตรมาแสดงไว้ เปน็ พระสูตรแรก การเรียบเรียงลําดับของพระสูตรเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลอันลึกซ้ึงซ่ึงพระอรหันต์ท้ังหลายที่ได้ร่วมกัน ทําการสังคายนาได้พิจารณาไว้ดีแล้ว ในที่นี้จะขอวิเคราะห์เหตุผลการนําพรหมชาลสูตรข้ึนแสดงเป็นพระสูตร แรก โดยพจิ ารณาตามหวั ข้อสาํ คญั ในพระสูตรไปตามลําดบั ดงั น้ี ๑. มใิ ห้โกรธเม่อื มีผตู้ เิ ตยี นพระรตั นตรัย และมใิ หย้ นิ ดีเมอ่ื มีผสู้ รรเสรญิ พระรตั นตรยั - เป็นการเปิดใจผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาได้ว่าพระพุทธเจ้ามิได้ทรงต้องการการ สรรเสริญหรือยอมรับ มิได้ทรงโกรธหากมีผู้ไม่ยอมรับ ไม่บังคับให้ศรัทธา หากแต่มีเหตุ และผลให้ไปพิจารณาเอง ๒. จูฬศลี , มัชฌิมศลี , มหาศลี (ศีลอยา่ งเล็กน้อย, อยา่ งกลาง และอย่างใหญ)่ - เน่ืองจากศีลเป็นบาทฐานของการเร่ิมฝึกตนในทางพุทธศานาตามหลักของไตรสิกขา พระสูตรเรื่องศีลจึงถูกนามารวมไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฑนิกาย สีลขันธวรรค (เล่มท่ี ๙) เป็นเล่มแรกในหมวดพระสุตตันตปฎิ ก ๓. รายละเอยี ดทิฏฐิ ๖๒ ประการ (ปรารภเบ้อื งตน้ ๑๘, เบ้อื งปลาย ๔๔) - ชี้แจงความเห็นท่ีผิดทั้ง ๖๒ ประการ เป็นการปูพ้ืนฐานในการศึกษาต่อไป ไม่ให้เข้าใจ หรอื ตคี วามผดิ ไปเป็นความเหน็ ใดใน ๖๒ ประการน้ี เพราะทราบแตเ่ บื้องต้นแล้วว่าสิ่งใด ไมใ่ ช่ สิง่ ใดไม่ถกู - เป็นการให้ผู้เริ่มศึกษาได้พิจารณาความเห็นเดิมของตน ว่าอยู่ในขอบข่ายของทิฏฐิ ๖๒ ประการน้บี ้างหรือไม่ 9 ดูรายละเอยี ดใน ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑/๑.

เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 11 ๔. ทรงตรัสว่าผู้ท่ีมีทิฏฐิ ๖๒ ประการนี้ ย่อมได้เสวยอารมณ์จากอายตนะท้ัง ๖ มีความยึดมนั่ ถือม่ันดัง ปลาท่ตี ดิ อยใู่ นข่าย - ผูศ้ กึ ษาจะไดท้ ราบถงึ ผล ที่เกดิ จากเหตแุ หง่ การมีทิฏฐิ ๖๒ ประการน้ี ๕. สดุ ท้ายแล้ว จงึ ทรงตรสั ว่าตถาคตเปน็ ผู้ถอนตัณหาอนั จะทาใหต้ ดิ อย่ใู นภพได้แล้ว - ช้ีให้เห็นว่ามคี วามเป็นไปได้ที่จะหลุดพ้นจากข่ายแห่งความยึดมั่นถือมั่นน้ี ถือเป็นการปู ทางก่อนที่จะเร่ิมต้นศึกษาในหลักธรรมต่างๆ และเพ่ือให้เข้าใจในเป้าหมายของพุทธ ศาสนา ซึ่งกค็ ือความหลดุ พ้นจากความยดึ ม่ันถือม่ันน่ันเอง ด้วยเหตุผลท้ังปวงท่ีได้กลา่ วมาดังนี้แล้ว จึงเป็นการเหมาะสมอยา่ งยิ่ง ท่ีจะนําพรหมชาลสูตรมาแสดง ไว้เป็นพระสูตรแรกในพระสุตตันตปิฎก เพ่ือเป็นการท้ังเปิดใจ และปูทางสําหรับผู้เร่ิมต้นศึกษาพระสูตร และ หลกั ธรรมข้ออน่ื ๆตอ่ ไป โครงสรา้ งพระอภิธรรมปฎิ ก10 แผนภาพที่ ๖ รายละเอียดหมวดยอ่ ยพระอภิธรรมปิ ฎก โครงสรา้ งพระอภิธรรมปฎิ ก เลม่ ๓๔-๔๕ พระอภิธรรมปิฎก เป็นหมวดท่ีรวบรวมข้อธรรมเป็นหลักธรรมล้วนๆ ไม่มีเรื่องราวของบุคคล หรือ สถานทีเ่ ขา้ มาเก่ยี วข้อง แบง่ เปน็ ๗ หมวดยอ่ ย รวม ๑๒ เล่ม ดงั นี้ 10 คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปิฎกศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวันการพิมพ์ , ๒๕๕๓), หนา้ ๓๒-๓๔.

12 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ เล่มท่ี ๓๔ ธัมมสังคณี ยกหลักธรรมแม่บทขึ้นตั้งเป็นหัวข้อ เปรียบเสมือนเป็นบทนําของอภิธรรม ท้งั หมด แบ่งเปน็ ๕ หมวดยอ่ ย ดังน้ี ๑. มาติกา (แม่บท) แม่บทแห่งธรรม เป็นธรรมะหัวข้อใหญ่ๆ ซึ่งสามารถนําเอาข้อธรรมต่างๆ ทั้งหลายมาสรปุ ลงได้หมด ๒. จติ ตุปปาทกัณฑ์ ยกมาตกิ าแม่บทแรก (กุศล อกุศล อัพยากต) ขึ้นตง้ั แลว้ อธิบายเร่ืองจติ และ เจตสิก จําแนกเขา้ ประเภทต่างๆในมาติกาบทนี้ไปตามลําดับ ๓. รปู กัณฑ์ อธบิ ายเรื่องรูปประเภทตา่ งๆ เขา้ กับมาตกิ าบทแรก (กศุ ล อกศุ ล อัพยากต) ๔. นิกเขปกณั ฑ์ อธิบายมาติกาทง้ั หมด ๑๖๔ มาติกา ไลล่ ําดับไปจนครบทกุ มาติกา ๕. อตั ถทุ ธารกัณฑ์ (อรรถกถากณั ฑ)์ อธบิ ายอภธิ รรมมาตกิ า ๑๒๒ ข้อใหญๆ่ เล่มท่ี ๓๕ – วิภังค์ อธิบายแยกแยะ แจกแจง กลุ่มธรรมะสําคัญๆ ๑๘ หมวด โดยแยกรายละเอียด ออกใหเ้ หน็ ทกุ แง่มุมจนชัดเจน แบ่งเป็นท้ังหมด ๑๘ วิภังค์ คือ ขันธ์ ๕, อายตน ๑๒, ธาตุ ๖ ธาตุ ๑๘, อริยสัจ ๔, อินทรีย์ ๒๒, ปัจจยาการ ๑๒, สติปัฏฐาน ๔, สัมมัปปธาน ๔, อิทธิบาท ๔, โพชฌงค์ ๗, มรรค ๘, ฌาน, อัปปมญั ญา ๔, ศีล ๕, ปฏสิ ัมภิทา ๔, ญาณ ๑-๑๐, เรือ่ งเลก็ ๆนอ้ ยๆ และหลักธรรมสาํ คัญ เล่มท่ี ๓๖ – ธาตุกถา และ ปุคคลบัญญัติ เล่มท่ี ๓๖ นี้ ได้รวม ๒ หมวดเข้าไว้ด้วยกันในเล่มเดียว คือ ธาตุกถา และ ปุคคลบัญญัติ ดงั น้ี ๑) ธาตกุ ถา นําเอาหัวข้อธรรมต่างๆมาสังเคราะห์เข้ากับ ขันธ์, อายตนะ และธาตุ ว่าสังเคราะห์ เขา้ กนั ไดห้ รอื ไม่ ๒) ปุคคลบัญญัติ การบัญญัติบุคคล ว่าบุคคลอย่างไร มีช่ือเรียกว่าอย่างไร เช่น ความหมายของ พระเสขะบคุ คล ความหมายของพระปัจเจกพุทธเจ้า เปน็ ตน้ เล่มท่ี ๓๗ กถาวัตถุ เป็นการถามตอบข้อธรรม ๒๑๙ ข้อ โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระในการ สังคายนาคร้ังท่ี ๓ มีระบุว่าถามตอบข้อไหน เน่ืองมาจากความเห็นผิดของนิกายไหน แต่งขึ้นเพ่ือแก้ความเห็น ผดิ ทแี่ ตกแยกออกไปเปน็ นกิ ายต่างๆ เล่มท่ี ๓๘ ยมก ๑ เป็นการอธิบายธรรม โดยการถามตอบ เพ่ือให้เห็นความหมายและขอบเขตของ ข้อธรรมน้ันๆอย่างชัดเจน โดยจะต้ังคําถามขึ้นมาเป็นคู่ๆ และมีเน้ือความย้อนกันเอง ภาคแรกแบ่งเป็น ๗ หมวดยอ่ ย ดงั นี้ ๑) มลู ยมก ว่าด้วยธรรมเปน็ คู่อนั เป็นมลู ๒) ขันธยมก วา่ ด้วยธรรมเปน็ คู่อนั เปน็ ขันธ์ ๓) อายตนยมก ว่าด้วยธรรมเป็นคอู่ นั เปน็ อายตนะ ๔) ธาตยุ มก ว่าดว้ ยธรรมเป็นคอู่ นั เป็นธาตุ ๕) สจั จยมก วา่ ดว้ ยธรรมเปน็ คอู่ ันเป็นสจั จะ ๖) สังขารยมก วา่ ดว้ ยธรรมเป็นคอู่ ันเป็นสงั ขาร ๗) อนสุ สยยมก ว่าด้วยธรรมเปน็ ค่อู ันเปน็ อนุสัย

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 13 เลม่ ที่ ๓๙ ยมก ๒ เปน็ ภาคต่อจากเล่มที่ ๓๘ แบง่ เปน็ ๓ หมวดย่อย ดังน้ี ๑) จิตตยมก วา่ ด้วยธรรมเปน็ คอู่ นั เปน็ จิต ๒) ธมั มยมก วา่ ด้วยธรรมเป็นคู่อนั เป็นธรรม ๓) อนิ ทรยี มก ว่าดว้ ยธรรมเปน็ คูอ่ ันเป็นอินทรยี ์ ปฏั ฐาน (เลม่ ๔๐-๔๕) ในหมวดปฎั ฐาน จะวา่ ดว้ ยปัจจัย ๒๔ คือ แสดงให้เห็นวา่ ธรรม หรือสิ่ง ท้ังหลายทั้งปวงมคี วามสมั พนั ธก์ ัน เปน็ ปจั จยั แก่กันและกัน รวมทั้งหมด ๖ เลม่ ดังนี้ เล่มที่ ๔๐ ปัฏฐาน ๑ อนุโลมติกปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัยอันเกี่ยวกับธรรม ๓ อย่าง กุศลธรรม ๓, เวทนา ๓, วิบาก ๓, อุปาทินนะ ๓ และ สังกิลิฏฐะ ๓ (คือปัจจัยแห่งธรรมในธัมมสังคณี, พระอภิธรรมปิฎก, ธมั มสงั คณี, เลม่ ๓๔) เล่มที่ ๔๑ ปฏั ฐาน ๒ อนุโลมติกปฏั ฐาน อธิบายขอ้ ธรรมจากธัมมสังคณตี ่อจากเลม่ ท่ี ๔๐ เล่มที่ ๔๒ ปัฏฐาน ๓ อนุโลมทุกปัฏฐาน อธิบายถึงปัจจัยแห่งหัวข้อธรรมจากธัมมสังคณี ในธรรมะ หมวด ๒ เล่มท่ี ๔๓ ปัฏฐาน ๔ อนุโลมทุกปัฏฐาน อธิบายถึงปัจจัยแหง่ หัวข้อธรรมจากธัมมสังคณีหมวด ๒ ต่อจากเล่มที่ ๔๒ เล่มที่ ๔๔ ปัฏฐาน ๕ ธรรมหมวดต่างๆ อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมท้ังหลายในคัมภีร์ ธัมมสงั คณี เล่มท่ี ๔๕ ปัฏฐาน ๖ หัวข้อสาคัญ ๓ ประการ อธิบายความเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายใน คมั ภรี ์ธมั มสังคณใี นแงป่ ฏิเสธ แบง่ เป็น ๓ หมวดยอ่ ย ดงั นี้ ๑) ปัจจนยี ปัฏฐาน ใช้หลกั ปฏิเสธ + ปฏิเสธ ในการวเิ คราะหข์ ้อธรรม ๒) อนุโลมปัจจนียปฏั ฐาน ใชห้ ลกั อนุโลม+ ปฏเิ สธ ในการวเิ คราะหข์ อ้ ธรรม ๓) ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน ใชห้ ลักปฏิเสธ + อนโุ ลม ในการวิเคราะหข์ อ้ ธรรม สรุปโครงสรา้ งพระไตรปฎิ กท้ัง ๓ หมวด แผนภาพท่ี ๗ โครงสร้างพระไตรปิ ฎกทงั้ ๓ หมวด

14 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๓ ปกิณกะ พระไตรปฎิ กฉบับภาษาไทย11 ๑) พระไตรปฎิ กฉบับภาษาไทยมีจาํ นวนรวม ๔๕ เล่ม ๒) พระไตรปิฎก ๔๕ เล่มนี้รวบรวมพระธรรมไว้ท้ังหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (แบ่งเป็นพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์, พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และ พระอภธิ รรมปฎิ ก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ)์ ๓) จาํ นวนหน้ารวมทง้ั หมด คอื ๒๒,๓๗๙ หนา้ ๔) จาํ นวนตัวอักษรรวมทงั้ หมด คือ ๒๔,๓๐๐,๐๐๐ ตวั อกั ษร โครงสร้างบาลีพระไตรปิฎก12 ภาพท่ี ๒ พระไตรปิ ฎกฉบบั การจัดหมวดหมู่พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีน้ัน มีข้อแตกต่าง มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จากฉบับภาษาไทยเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงการเรียกช่ือและแบ่ง หมวดหมู่ย่อยท่ีต่างกันเท่านั้น แตเ่ นอื้ หาสาระและขอ้ ธรรมในพระไตรปิฎกทั้งสองภาษานนั้ เหมือนกนั ในทน่ี ้ีจะ ยกการแบ่งหมวดหมยู่ ่อยของบาลพี ระไตรปฎิ ก มาเป็นตวั อยา่ ง ดังน้ี โครงสรา้ งบาลีพระวนิ ยั ปิฎก แผนภาพที่ ๘ โครงสรา้ งบาลีพระวนิ ยั ปิฎก 11พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ตโต), พระไตรปิฎก สิ่งทีช่ าวพุทธตอ้ งร้,ู พิมพ์คร้งั ที่ ๑๕,(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ บริษทั สหธรรมิก, ๒๕๕๓), หน้า ๖. 12 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ์ , ๒๕๕๓), หน้า ๒๔.

เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 15 โครงสรา้ งบาลีพระสุตตนั ตปิฎก แผนภาพที่ ๙ โครงสร้างบาลพี ระสตุ ตนั ตปิฎก โครงสรา้ งบาลีพระอภิธรรมปิฎก แผนภาพท่ี ๑๐ โครงสร้างบาลพี ระอภิธรรมปิ ฎก

16 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๓ ลาํ ดบั ชั้นคัมภรี ท์ างพทุ ธศาสนา13 นอกจากพระไตรปฎิ ก ซง่ึ ถอื เปน็ คัมภรี ์ทส่ี าํ คัญทสี่ ุดในทางพระพทุ ธศาสนาแลว้ ยังมคี มั ภีรใ์ นลําดบั ชั้น อืน่ ๆ ซึ่งถอื เปน็ หลักฐานสาํ คญั ในการศกึ ษาพระพุทธศาสนาเช่นกัน โดยจดั เรียงตามลาํ ดบั ไดด้ งั น้ี ๑. พระไตรปิฎก เปน็ หลักฐานช้ันท่ี ๑ เรยี กว่า บาลี ๒. อรรถกถา เป็นหลกั ฐานชัน้ ที่ ๒ เป็นคาํ อธิบายพระไตรปฎิ ก ๓. ฎกี า เป็นหลกั ฐานช้นั ที่ ๓ เป็นคําอธิบายอรรถกถา ๔. อนุฎีกา เป็นหลักฐานชน้ั ที่ ๔ เปน็ คําอธิบายฎีกา อรรถกถา วิธกี ารแบง่ อรรถกถา14 ๑. แบง่ ตามผู้แตง่ ๑.๑ พุทธสงั วัณณิตะ (พทุ ธกถา) – พระพทุ ธเจ้าอธบิ ายพุทธพจนเ์ อง ๑.๒ อนุพุทธสงั วณั ณติ ะ (อนพุ ทุ ธกถา) - พระสาวกอธบิ ายพุทธพจน์ ๒. แบ่งตามภาษา ๒.๑ มคธอรรถกถา – แตง่ ดว้ ยภาษามคธ (บาลี) ๒.๒ สิงหลอรรถกถา – แต่งด้วยภาษาสงิ หล ๓. แบ่งตามยคุ สมัย ๓.๑ โบราณอรรถกถา – อรรถกถาร่นุ เก่า ๓.๒ อภินวอรรถกถา – เรยี บเรยี งขน้ึ ใหม่ (วสิ ทุ ธิมรรค, คัมภรี ์ญาโณทัย) (๑) วติ ถารอรรถกถา – เนอ้ื หาตามลําดบั บทบาลีในพระไตรปิฎก (๒) สงั คหอรรถกถา – อธบิ ายเฉพาะบทบาลที ่ีซบั ซ้อน ๔. แบง่ ตามสายคมั ภรี ์ ๔.๑ อรรถกถาสายพระวนิ ัยปิฎก – อธบิ ายขยายความพระวินัยปฎิ ก ๔.๒ อรรถกถาสายพระสุตตนั ตปิฎก – อธบิ ายขยายความพระสุตตันตปฎิ ก ๔.๓ อรรถกถาสายพระอภิธรรมปฎิ ก – อธบิ ายขยายความพระอภธิ รรมปฎิ ก เนื่องจากคัมภีร์อรรถกถานั้นมีเป็นจํานวนมาก เป็นผลงานของท่านพระอรรถกถาจารย์หลายๆท่าน รจนาข้ึนในเวลาต่างๆกันไป จึงไม่สามารถนํามาเสนอได้ครบทุกเล่ม ในท่ีนี้จะขอนําเสนอคัมภีร์อรรถกถาซ่ึง เป็นผลงานของท่านพระพุทธโฆษาจารย์ มาดังนี้ 13 สชุ พี ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปฎิ กฉบับสาหรบั ประชาชน, พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ๒๓. 14 คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, พระไตรปฎิ กศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ์ , ๒๕๕๓), หนา้ ๔๐-๔๕.

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ : 17 อรรถกถาพระวนิ ยั ปฎิ ก แผนภาพที่ ๑๑ อรรถกถาพระวินัยปฎิ ก อรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎก แผนภาพที่ ๑๒ อรรถกถาพระสุตตนั ตปิฎก

18 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ อรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก แผนภาพที่ ๑๓ อรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก พระอรรถกถาจารย1์ 5 พระอรรถกถาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์อรรถกถาน้ัน มีจํานวนหลายทา่ น ในที่นี้ขอยกตัวอย่างมาบางท่าน ดงั น้ี ๑. พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ช่วงปี พ.ศ. ๙๔๕ – ๑๐๐๐) ภูมิลําเนาเดิมคือพุทธคยา แคว้นมคธ ถือว่า เป็นนกั ประพันธฝ์ ่ายบาลที มี่ ีช่ือเสียงทีส่ ดุ ๒. พระพุทธทัตตะ (ช่วงปี พ.ศ. ๙๔๐ – ๑๐๐๐) เป็นชาวอุรุคปุระ อาณาจักรโจฬะ อินเดีย ผลงานที่เดน่ ชัดทส่ี ดุ คือ หนังสอื อภธิ รรมาวตาร ๓. พระธรรมปาละ (ชว่ งปี พ.ศ. ๙๔๐ – ๑๐๐๐) เกดิ ทอี่ าณาจกั รทมิฬ อนิ เดียใต้ มีผลงานที่สําคญั หลายเลม่ เช่น อรรถกถาเปตวัตถุ อรรถกถาวมิ านวตั ถุ และอรรถกถาวสิ ทุ ธิมรรคเป็นต้น คมั ภีร์ฎีกา คมั ภีรฎ์ กี าเถรวาทยคุ แรกหมายถงึ เฉพาะคมั ภีรท์ ีอ่ ธบิ ายอรรถกถา แต่ยุคหลังหมายความรวมถึงคัมภีร์ ท่อี ธบิ ายความหมายของคัมภีรอ์ ่นื ๆ ด้วย เช่น ฎีกาพงศาวดารบาลี เป็นต้น16 การแบ่งคมั ภีรฎ์ กี า แบง่ ตามสายคัมภีร์ 15 คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , พระไตรปิฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวันการพมิ พ์ , ๒๕๕๓), หนา้ ๕๖. 16 เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๙๐-๙๓.

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 19 ๑. ฎกี าอรรถกถาพระวนิ ัยปิฎก อธบิ ายขยายความอรรถกถาพระวินัยปฎิ ก (รวม ๒๑ คมั ภรี )์ ๒. ฎกี าอรรถกถาพระสตุ ตันตปิฎก อธิบายขยายความอรรถกถาพระสตุ ตนั ตปิฎก (รวม ๑๑ คัมภีร์) ๓. ฎีกาอรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก อธิบายขยายความอรรถกถาพระอภิธรรมปฎิ ก (รวม๔๒ คัมภรี )์ คมั ภรี อ์ นฎุ ีกา เปน็ คัมภีรท์ อ่ี ธบิ ายขยายความคัมภรี ์ฎีกา ในภาษาบาลีเรียกวา่ อภินวฎกี า แปลว่า ฎกี าใหม่17 แบ่งตามสายคมั ภีร์ ๑. อนฎุ ีกาพระวนิ ัยปฎิ ก ๑. วนิ ยลักขาฎกี าคมั ภีรใ์ หม่ ๒. ขุททกสกิ ขาฎีกาคมั ภรี ์ใหม่ (พระสมุ ังคลปสาทนฎี ีกา) ๓. มูลสกิ ขาฎีกาคัมภรี ์ใหม่ ๒. อนุฎกี าพระสุตตนั ตปฎิ ก ๑. ผลงานพระสารบี ตุ รชาวศรีลงั กา ๑๑ คมั ภีร์ ๒. ผลงานพระอนฎุ ีกาจารย์รูปอนื่ ๆ ๒ คมั ภรี ์ ๓. อนฎุ ีกาพระอภธิ รรมปิฎก ๑. ผลงานพระอานันทะ ๖ คมั ภรี ์ ๒. ผลงานพระสมุ ังคละ ๖ คมั ภรี ์ ๓. ไม่ปรากฏผแู้ ต่ง ๕ คมั ภรี ์ ภาพท่ี ๓ Mr. T.W. Rhys Davids ผ้กู ่อตงั้ สมาคมบาลีปกรณ์ สมาคมบาลปี กรณ์ (Pali Text Society) สมาคมบาลีปกรณก์ อ่ ต้งั โดย Mr. T.W. Rhys Davids ประเทศอังกฤษ จดั ตง้ั ขึ้นเพ่ือแปลและเผยแพร่ คมั ภรี ์ทางพทุ ธศาสนาในภาษาบาลี อักษรโรมนั และภาคภาษาอังกฤษ18 ประโยชนข์ องการศกึ ษาโครงสรา้ งพระไตรปิฎก ๑. เข้าใจภาพรวมทงั้ หมดของพระไตรปิฎก และคมั ภีร์อรรถกถาวา่ มเี นื้อหาอะไรบ้าง ๒. สามารถค้นหาข้อมูลในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเข้าใจ โครงสรา้ งท้งั หมดแลว้ ๓. เปรียบเหมอื นมแี ผนท่นี ําทางในการศกึ ษาพระพุทธศาสนาต่อไป เพราะเขา้ ใจในภาพรวมของพระวินัย และหลักธรรมทัง้ หมด รวมถงึ เป้าหมายในการศึกษาพระพุทธศาสนา ฝากทง้ิ ท้าย 17เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๙๔-๙๕. 18แหล่งท่มี า : http://www.palitext.com [๑๐ ก.ค. ๒๕๕๕].

20 : เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ การศึกษาให้รู้และเข้าใจในพระไตรปิฎก เป็นแนวทางการศึกษาในลําดับแรกคือ “ปริยัติ” จากนั้นจึง ควรนําไปกระทําตาม คือ “ปฏิบัติ” เพ่ือให้ได้ผลแห่งการปฏิบัตินั้น คือ “ปฏิเวธ” ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่า การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาให้ไดผ้ ลดที ี่สุด จึงควรทาํ ใหค้ รบทั้ง ปริยตั ิ ปฏบิ ตั ิ และ ปฏิเวธ นน่ั เอง แบบทดสอบทา้ ยบท จงทาํ เครอื่ งหมาย X (กากบาท) หนา้ ข้อทถี่ กู ตอ้ งทสี่ ุด ๑. พระไตรปิฎกมีทงั้ หมดกอ่ี ยา่ ง ก. ธรรมและพระวนิ ยั ข. พระพระสูตรและพระธรรม ค. พระวินยั พระสูตร พระอภธิ รรม ง. พระพทุ ธพจน์ ๒. การบันทึกหลักธรรมคาํ สอนชนั้ แรก ตรงกบั ขอ้ ใดต่อไปนี้ ก. มุขปาฐะ ข. พระธรรมวินยั ค. พระไตรปิฎก ง. พระพทุ ธวจนะ ๓. ธรรมที่ทาํ ใหเ้ กดิ การขับเคลอื่ น เพือ่ จดุ ม่งุ หมายถือการพน้ ทกุ ขน์ นั้ ตรงกบั ขอ้ ใดต่อไปน้ี ก. พระธัมมจักกปั วัตนสูตร ข. อาทิตปริยายสตู ร ค. อนัตตลกั ขณสตู ร ง. โพธปิ ักขิยธรรม ๔. ในความเรอ่ื ง “ ความตรึง และ หยอ่ นยาน” มปี รากฏในพระสตู รใด ก. พระธัมมจกั กปั วัตนสตู ร ข. อาทิตปริยายสตู ร ค. อนตั ตลักขณสูตร ง. โพธปิ ักขยิ ธรรม ๕. พระเถระรปู ใดไม่ได้เก่ยี วขอ้ งกับพระไตรปฎิ ก ก. พระอานนท์ ข. พระอบาลี ค. พระโสณกฏุ ิกณั ณะ ง. พระกจั จายนะ ๖. ข้อใดกลา่ วถูกต้อง ก. อา ปา ม จุ ป ข. ที ม สํ อํ ขุ ค. สํ วิ ธ ปุ ก ย ป ง. ปา ปา ม จุ ป ๗. พระสูตตันตปฏิ กมีทัง้ หมดกี่เล่ม ก. จํานวน ๒๐ เล่ม ข. จาํ นวน ๒๒ เลม่ ค. จํานวน ๒๔ เลม่ ง. จาํ นวน ๒๕ เลม่ ๘. หลกั ฐานหรืออลําดบั ชนั้ ของพะไตรปิฎกชนั้ ที่ ๑ ช่ือเรยี กว่า ก. พระบาลี ข. อรรถกถา ค. ฎกี า ง. อนุฎกี k ๙. พทุ ธสงั วณั ณติ ะ มคี วามหมายตรงกับข้อใด ก. พระพทุ ธวจนะ ข. อรรถาธบิ าย ค. ฎกี าธิบาย ง. อนฎุ ีกาธิบาย

เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษา ๓ : 21 ๑๐. อนพุ ุทธสงั วณั ณติ ะ ขอ้ ใดกล่าวผดิ ก. พระพทุ ธวจนะ ข. อรรถาธิบาย ค. ฎกี าธิบาย ง. อนฎุ ีกาธบิ าย ๑๑. วิสุทธมิ รรค, คัมภีรญ์ าโณทัย จดั เปน็ ก. โบราณอรรถกถา ข. อภนิ วอรรถกถา ค. วิตถารอรรถกถา ง. สังคหอรรถกถา ๑๒.หนังสอื อภิธรรมาวตาร เป้นนิพนธข์ องพระสงฆท์ ่าใด ก. พระพุทธโฆษาจารย์ ข.พระพทุ ธทัตตะ ค. พระธรรมปาละ ง. พระวสิ ทุ ธารสารตั ถะ ๑๓. อรรถกถาเปตวตั ถุ อรรถกถาวิมานวตั ถุ และอรรถกถาวิสทุ ธมิ รรค ฯลฯ เกดิ ข้ึนในชว่ งปี พ.ศ. ก. พ.ศ. ๙๔๐ – ๑๐๐๐ ช. พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๐๐๐ ค. พ.ศ. ๙๔๕ – ๑๐๐๐ ง. พ.ศ. ๙๕๕ – ๑๐๐๐ ๑๔. สมาคมบาลปี กรณ์ (Pali Text Society) มที ่านก่อตง้ั ขนึ้ รช่ือ ก. พระพุทธโฆษาจารย์ ข.พระพทุ ธทัตตะ ค. ดร.บาบาสาเกรี ง. โดย Mr. T.W. Rhys Davids ๑๕. ส่ิง ทมี คี วามสําคญั ทางพระพทุ ธศาสตร์ทีผ่ ูเ้ ปน็ พทุ ธบริษทั ตอ้ งปฏิบัตคิ อื ข้อใด ก.การศึกษา ข.ความศรทั ธา ค. ความสัจจรงิ ท่ตี ้องเขา้ ใจ ง. ความรักทมี่ ใี ห้กนั

22 : เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึกษา ๓

เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ษา ๓ : 23 บทที่ ๒  จติ วิทยาในพระอภธิ รรม  ๑. ส่ิงมชี ีวิตตามทัศนะของพุทธปรชั ญาเถรวาท  ตามทศั นะของพทุ ธปรัชญา สง่ิ มีชีวิต หมายถึง ความเปนอยูของรางกาย จิตและเจตสิก  (สงิ่ ท่ปี รุงแตงจิตหรอื คณุ สมบัตขิ องจติ ) มกี รรมเปนสงิ่ นํามาเกิด ตามรกั ษาใหดาํ รงชีวิตอยูได และ  ทาํ ส่ิงตางๆ โดยมจี ติ และเจตสิกเปนผูกํากับ ดังนั้น ส่ิงมีชีวิตหมายจึงหมายถึงเฉพาะมนุษยและ  สัตวเทาน้ัน  ไมรวมเอาพืชเพราะไมไดเกิดมาจากกรรม ไมมีจิตและเจตสิกในการรับรู  คิดนึก  เรื่องราวตางๆ ซ่ึงแตกตางจากทัศนะท่ัวไป ที่ใหคําจํากัดความของสิ่งมีชีวิตวา หมายถึง สิ่งท่ ี เจริญเติบโตได  กนิ อาหารได เคลอ่ื นไหวได  และสืบพนั ธุได  ซ่ึงหมายเอามนุษย สตั ว  และพืช  สิง่ มชี วี ิตมีสว นประกอบ ๓ สวน ไดแก ๑) รางกายน้ัน เรยี กวา รูปหรอื รูปธรรม เปนสิ่งที่ไม  มคี วามรสู กึ นึกคดิ ๒) จิต และ ๓) เจตสิก เรียกวา นามหรือนามธรรม เปนสง่ิ ทร่ี ับรูและสามารถนึก  คิดเรื่องราวตา งๆ ได สงิ่ มีชีวติ ในโลกลว นประกอบดวยธรรมชาติ ๓ อยา งน้เี ทา นั้น ไมมีส่ิงใดท่ีเปน  ตัวเราของเราเพราะส่ิงมีชีวิตลวนประกอบดวยสวนที่เปนรูปและนามที่เกิดข้ึนและดับไปอยาง  รวดเรว็ เหมอื นกนั ท้งั สิน้   นอกจากนี ้ สง่ิ มีชีวติ ยังอาจแบง ออกเปน สวนประกอบ ๕ สวน เรียกวา ขันธ แปลวา กอง,  พวก, หมวด, หมู หมายถึงสภาวธรรม ๕ อยา ง ซงึ่ ประกอบดวย  ๑) รปู ขนั ธ คือ อวยั วะนอยใหญ  ทม่ี ีอยใู นรา งกายทั้งหมด  ๒) เวทนาขันธ คือ ความรสู กึ สขุ  ทกุ ข ดีใจ เสียใจ หรือเฉย ๆ  ๓) สญั ญาขันธ คือ ธรรมชาติทมี่ ีหนา ทใ่ี นการจํา หรือเปน หนว ยความจาํ ของจิตนั่นเอง  ๔) สังขารขันธ คือ ธรรมชาติที่ปรงุ แตงจติ ใหม ลี กั ษณะตางๆ ดีบา ง ไมด ีบา ง  ๕) วญิ ญาณขันธ คือ ธรรมชาตทิ ่รี ับรูส ่งิ ตางๆ ทม่ี าปรากฏทางตา หู จมูก ล้นิ  กาย และใจ  และทําใหเ กิดความรูสึกนึกคิดตา งๆ  ๒. ความหมายและการเกิดขึน้ ของจติ   ๒.๑ ความหมาย  จิต  ไดแก ธรรมชาติที่รับรูอารมณ เปนธรรมชาติที่ทําหนาที่เห็น ไดยิน รับรูกลิ่น รับรูรส  รูสกึ ตอการสมั ผสั ถกู ตอ งทางกาย และรูสกึ นึกคิดทางใจ จิตเปนธรรมชาติท่ีเราไมสามารถมองเห็น  ไมสามารถสัมผัสดว ยกายได ไมม รี ูปรา ง แตก็เปนสิ่งท่ีมีอยูจริง เปนสิ่งท่ีเกิดขึ้น ต้ังอยู แลวก็ดับ ไป

24 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสศัอนนะวเชิ ราอ่ื พงรจะติ ไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๒๓  อยา งรวดเรว็  โดยจติ จะเกิดดับอยา งรวดเร็วมาก ช่ัวเวลาลัดนิว้ มอื เดียว จะมีการเกดิ และดบั ของจติ   ถึงหน่ึงลา นลานครั้ง หรือเรียกตามภาษาบาลวี า แสนโกฏขิ ณะ  การเกิดขึ้นและดับไปของจิตน้ันลวนตองอาศัยเหตุและปจจัยตางๆ ทําใหเกิดขึ้น ต้ังอย ู และดับไปตามกฎธรรมชาติ จิตที่เกดิ แตล ะครั้งหรือเรียกวา ขณะ จะรบั อารมณไดเพียงอยางเดียว  เทาน้นั  แตเ พราะจิตเกิดและดบั สลับกันเรว็ มาก จึงทาํ ใหเ ราแยกไมอ อก เชน ในขณะทเ่ี รารองเพลง  คาราโอเกะอยนู ั้น จิตท่ีไดยนิ เสียงทางหูกับจติ ท่ีเห็นภาพทางตา เกดิ ขนึ้ คนละครง้ั กัน ในขณะท่ีเรา  เหน็ ภาพ เรากจ็ ะไมไดย นิ เสยี ง และในขณะที่ไดยินเสียงเราก็จะไมเห็นภาพ แตการท่ีเราเขาใจวา  การเห็นและการไดยินนั้นเกดิ ข้ึนพรอมๆ กนั นัน้ จึงเปนความเขาใจผิด เพราะจิตท่ีเกิดข้ึนในแตละ  คร้งั นั้น จะรับอารมณไดเ พยี งอยา งเดียวเทา น้ัน ดังนน้ั  การเกดิ และดับของจิตจึงเปนสิ่งท่ียากท่ีจะ  รูเทาทนั ได  ๒.๒ สถานทเี่ กดิ ของจติ   สถานทเี่ กิดของจติ มี ๖ แหง ตามอวัยวะทใ่ี ชในการรับรอู ารมณตางๆ ไดแก  ๑) จิตเกิดทตี่ า ทําหนาที่เหน็ รูปหรือส่งิ ตา งๆ ทีป่ รากฏทางตา เรียกวา จักขวุ ญิ ญาณ  ๒) จิตเกิดทีห่  ู ทาํ หนา ท่ีไดยินเสียงทป่ี รากฏทางหู เรียกวา  โสตวิญญาณ  ๓) จติ เกดิ ทจ่ี มูก ทาํ หนาที่รบั รูก ล่นิ ที่เขามาปรากฏทางจมูก เรยี กวา ฆานวญิ ญาน  ๔) จติ เกิดทล่ี น้ิ  ทาํ หนา ท่ีรบั รรู สท่ปี รากฏทางลน้ิ เรียกวา ชวิ หาวิญญาณ  ๕) จิตเกิดท่ีประสาทกาย  ทําหนาที่รับรูความรูสึกที่เกิดจากการสัมผัสถูกตองทางกาย  เรยี กวา กายวิญญาณ  ๖) จิตเกดิ ทใี่ จ ทําหนาท่ี รสู กึ  นกึ คดิ ทางใจ เรยี กวา  มโนวญิ ญาณ  จะเห็นไดวา คําวา  จติ และวิญญาณ น้ันใชแทนกันได ใชห มายความถึงส่ิงเดียวกันคือสิ่งท่ี  ทําหนาท่ีรับรูอารมณตางๆท่ีผานเขามาทางอวัยวะคือ ตา หู จมูก ล้ิน ประสาทกายและใจ  นอกจากคําวา วญิ ยาณแลว  ยังมีคาํ อีกหลายคําท่ใี ชเรียกแทนจิต เชน หทัย, ปณฑระ, มโน, มนัส,  มนินทรีย, มโนธาต,ุ มโนวญิ ญาณธาตุ, วญิ ญาณขนั ธ, มนายตนะ เปนตน  จากท่ีกลา วมาจะเห็นไดวา มีคํา ๒ คาํ ท่มี ีความเก่ยี วขอ งกนั และมักใชเสมอ คือ คําวา จิต  และคําวา  อารมณ  หากจะแยกใหชัดเจน ก็จะไดความวา จิตเปนสิ่งที่ทําหนาท่ีรับรูอารมณ สวน  อารมณน ั้นเปน สง่ิ ทถ่ี กู จิตรบั รู  ไดแก  รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และเรื่องราวตางๆ ท่ีนึกคิด ไมได  หมายถงึ สภาพนสิ ัยใจคอ หรอื ความรสู กึ ตา งๆ ทใ่ี ชก นั ทวั่ ไป เชน  อารมณดี อารมณเสีย เปน ตน  จติ   จะไมว างจากการรบั รอู ารมณ เม่อื จิตเกิดขน้ึ  จะตอ งมอี ารมณใหร บั รูทกุ คร้ัง จติ คอื ตัวรู อารมณคือ  สิ่งถูกร ู  ถาไมมีสิ่งถูกร ู  ตวั รูก ็ยอ มไมเ กิดขึ้น เมื่อมกี ารรับรู  กย็ อ มจะตองมีส่งิ ท่ถี ูกรบั รเู สมอ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทศั นะเร่ืองจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึกษ๒า๔๓  : 25 ชือ่ เฉพาะของสถานทีเ่ กิด จติ และอารมณ  สถานที่เกิด  จติ   อารมณ  ตา = จักขุทวาร  จกั ขุวญิ ญาณ  สง่ิ ทเ่ี หน็ =  รปู ารมณ  หู = โสตทวาร  โสตวิญญาณ  เสยี ง = สัททารมณ  จมูก =  ฆานทวาร  ฆานวิญญาณ  กล่ิน = คันธารมณ  ล้ิน = ชวิ หาทวาร  ชวิ หาวญิ ญาณ  รส = รสารมณ  กาย = กายทวาร  กายวญิ ญาณ  ส่งิ ท่มี าสมั ผัส = โผฏฐัพพารมณ  ใจ =  มโนทวาร  มโนวิญญาณ  สง่ิ ทป่ี รากฏทางใจ = ธัมมารมณ  การทจ่ี ิตเกิดดบั สืบตอ กันเปน กระแส เปรียบเทียบไดกับกระแสนํ้า ท่ีประกอบไปดวยอณ ู ของน้ําเล็กๆ เรยี งติดตอ กนั เปนสาย เรียกวา สันตต ิ ในขณะทจี่ ิตไมร ับรอู ารมณท างตา หู จมกู  ลนิ้   กาย และใจ เรียกวา ภวังคจิต ซึง่ ทาํ หนาที่รักษาชีวิตไวไมใหแตกสลายไปจนกวาจะส้ินอายุจาก  ภพน้ี แมในขณะหลับสนทิ ไมมกี ารฝน หรือสลบไป กจ็ ะมภี วงั คจิต เกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา  สวนจิตรับรูอารมณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกวา วิถีจิต หรือจิตข้ึนสูวิถี เมื่อ  สิ้นสดุ การบั รูแตละวิถี ก็จะมีภวังคจิตเกดิ คั่นอยูท ุกครั้ง แตเพราะการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา  ระหวางวิถีจติ กับภวงั คจิตน้นั  เกดิ ขึ้นรวดเรว็ มาก โดยมกี ารเกดิ ดบั อยางรวดเรว็ ถึงประมาณ ๑ ลา น  ๆ ครงั้ ตอวนิ าทีดงั กลา วแลว ดังน้ัน เราจงึ ไมส ามารถที่จะรูสึกได แมแตแสงไฟจากหลอดไฟฟาก็ม ี การกระพรบิ ตามความถข่ี องไฟฟากระแสสลับกันไปดวยความเร็วเพียง ๕๐ คร้ังตอวินาทีเทาน้ัน  แตเ ราก็ยงั ไมสามารถสังเกตเหน็ การกระพริบของแสงไฟได การท่ีเราจะรับรถู งึ การเกดิ ดับคั่นกันไป  ระหวางวถิ จี ติ กับภวังคจติ จึงเปนส่ิงทเ่ี ราไมสามารถจะทาํ ไดอ ยางแนน อน  การเกิดข้นึ ของจิต คอื  วิญญาณขันธ จะเกิดขึ้นโดยไมมีคุณสมบัติของจิตหรือเจตสิก ซ่ึง  ไดแก เวทนา สญั ญา และสงั ขาร ไมไ ด เพราะจติ เพยี งอยา งเดยี ว ไมส ามารถรบั รูหรอื นึกคิดอะไรได  เลย  จิตเปรียบเสมือนนาฬิกา เจตสิกเปรียบเสมือนช้ินสวนและเฟองจักรตางๆ  ท่ีทําใหนาฬิกา  ทํางานได   ดงั นั้น จติ และเจตสกิ  จะแยกจากกันไมได ตองเกิดอิงอาศัยกันและกัน จิตแตละดวงที่  เกดิ ขึ้น จะตองมเี จตสิกปรงุ แตงเสมอ เพราะการไมร ูสภาวะทเ่ี ปนจรงิ น ้ี จึงทาํ ใหเรายึดขันธท ง้ั ๕ วา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

26 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอศั นนวะิชเราอื่พงรจะติ ไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๒๕  เปนตัวตนของเรา โดยมีกิเลสเปนผบู งการใหกระทาํ กรรมตางๆ ท้ังดีและชัว่ ทําใหเ กิดผลของกรรม  นน้ั ๆ ซ่ึงจะสงผลใหเ ราตอ งเวียนวายตายเกดิ อยา งไมมีที่สนิ้ สดุ   ๓. ลักษณะของจติ   จติ ทุกดวงมลี กั ษณะทว่ั ไปเหมอื นกัน ๓ ประการ เรยี กวา  สามญั ลกั ษณะ เปนกฎธรรมชาติ  ท่เี รียกวา ไตรลกั ษณ   สรรพส่ิงในโลกทัง้ สิง่ ท่ีมรี ปู ปรากฏ (รปู ธรรม) และไมม ีรูปปรากฏ (นามธรรม)  ตองมลี กั ษณะเชน นีเ้ หมอื นกันท้ังหมด ไดแ ก  ๑) อนจิ จลักษณะ ไดแก  ความคงท่ ี ไมเ ทยี่ ง เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา  ๒) ทุกขลกั ษณะ ไดแก  การไมทนอยใู นสภาพเดมิ  เกดิ ข้ึนแลวตอ งดบั ไป  ๓) อนัตตลกั ษณะ ไดแก  ความไมใชตวั ตน ไมอยูใ นอํานาจบังคับบญั ชาของผใู ด จะบังคับ  ใหห ยดุ การเกดิ ดบั ไมไ ด  นอกจากน้ี จิตยังมีลกั ษณะพิเศษเฉพาะตัวอีก ๔ ประการ เรียกวา วิเสสลักษณะ ไดแก  ๑) การรบั รูอารมณ เปน ลกั ษณะ  ๒) การเปน ประธานในสภาวธรรมท้ังปวง การกระทําตา งๆ ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทาง  ใจ ไมวา จะเปนบุญ หรอื เปนบาป จะสาํ เรจ็ ไดก ็ดวยจติ ทงั้ สิน้   ๓) การเกิดดบั สืบตอกนั อยางไมข าดสาย  ๔) การมีกรรมในอดีต ทวาร อารมณและเจตสกิ  เปนเหตใุ หเ กิดขนึ้   ๔. อาํ นาจของจติ   จิตมีอาํ นาจพเิ ศษ  ๖ ประการ ไดแ ก  ๑) มีอํานาจในการกระทํา  คือ การทํางานของอวัยวะตางๆ ในรางกาย การพูด การ  เคลือ่ นไหว การกระทําตางๆ ตลอดจนการคดิ ลว นเกดิ ขึน้ ดว ยจิตท้ังส้ิน สรรพส่ิงตางๆ เชน รถ เรือ  เครือ่ งบนิ  ยานอวกาศ อุปกรณส่อื สาร เคร่อื งคอมพวิ เตอร อุปกรณอ าํ นวยความสะดวกตางๆ และ  เทคโนโลยีตา งๆ เกดิ จากจิตเปนผูค ดิ คนขึ้นมาทั้งสิ้น  ๒) มอี ํานาจดวยตนเอง คือ จิตสามารถทําบุญ ทําบาป ทําสมาธิถึงขั้นไดฌาน สามารถ  ทําลายกิเลสท่เี ปนเหตใุ หมกี ารเวยี นวายตายเกดิ ได  ๓) มีอํานาจในการส่ังสมกรรม คือ กรรมทงั้ หลายทั้งดีและช่ัวท่ีไดกระทําลงไปแลว จะถูก  เก็บสง่ั สมไวดวยอาํ นาจของจิต  ๔) มีอาํ นาจในการรกั ษาผลของกรรม คือ ผลของกรรมท้งั หลายท้ังดีและช่ัวท่ีไดกระทําลง  ไปแลว แมจ ะนานเทาใด ยอมติดตามใหผ ลตลอดไป แมจ ติ จะเกิดดบั อยตู ลอดเวลาก็ตาม แตบาป เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเรือ่ งจติ เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศึกษ๒า๖๓  : 27 บญุ  ท่ีทําไว  และอนสุ ยั กิเลสทน่ี อนเน่ืองอยใู นขันธสนั ดานจะไมสญู หายไป เพราะจติ ดวงใหมมีเหต ุ และปจจยั มาจากจิตดวงเดมิ  และจติ ดวงใหมท่เี กดิ ข้ึนก็จะเปน เหตแุ ละปจจัยใหแกจิตดวงตอๆไป  เพ่อื สืบตอผลของบาป บุญ และกเิ ลสท่ีสง่ั สมไวไ ป จนกวา จะสิ้นกิเลส  ๕) มีอาํ นาจในการสงั่ สมสันดานของตนเอง คือ การกระทําใดๆ หากกระทาํ อยูบอยๆ ก็จะ  ฝง ในจติ ตดิ เปน นิสยั สันดาน และคิดจะทาํ เชน นนั้ เร่ือยไป  ๖) มีอาํ นาจในการรบั อารมณต า งๆ คือ จิตสามารถรับรูรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัสและการ  นกึ คิดตา งๆ ท่ีปรากฏทางตา หู จมกู  ลนิ้ กายและใจ ไมวาจะเปนอารมณที่ผานมาแลว อารมณท ่ี ยงั ไมเกดิ ขึ้น หรอื อารมณท่เี ปนปจ จุบนั ไดท ้ังส้นิ   ๕. ประเภทของจติ   จติ มจี ํานวนท้งั หมด ๘๙ ดวง โดยยอ และ ๑๒๑ ดวงโดยพิศดาร โดยแบง ออกเปนประเภท  ใหญๆ ๔ ประเภท คือ ๑) กามาวจรจติ  จํานวน ๕๔ ดวง ๒) รปู าวจรจติ  จาํ นวน ๑๕ ดวง ๓) อร ู ปาวจรจิต จาํ นวน ๑๒ ดวง  และ ๔) โลกตุ ตรจติ  จํานวน ๘  ดวง หรือ ๔๐ ดวง  จิตทัง้ ๔ ประเภทนนั้ มีรายละเอียด ดังตอไปน้ี  ๕.๑ กามาวจรจิต ไดแก  จติ ที่ติดอยใู นกามตณั หา จาํ แนกเปน ๓ ประเภท คือ (๑) อกุสล  จติ ๑๒ ดวง (๒) อเหตกุ จติ ๑๘ ดวง และ (๓) กามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง โดยจะนําเสนอจิตแต  ละประเภทตามลาํ ดบั  ดังตอไปนี้  ๑) อกศุ ลจิต คือ จติ ฝา ยบาปที่เกดิ ดวยอาํ นาจของความโลภหรือความโกรธ โดยมีความ  หลง สนบั สนนุ จิตประเภทนี ้ จะใหผลเปน ความทุกข  เพราะเปนจติ ทที่ ําใหกระทาํ ความชวั่ ทางกาย  ทางวาจา  และทางใจ เชน การฆาสัตว การลักทรัพย  การประพฤติผิดในกาม การพูดโกหก  หลอกลวงผูอื่น ฯลฯ ความตองการอยากไดทรัพยของผูอ่ืน มีความโกรธ อาฆาต พยาบาท คิด  ประทษุ รา ยผอู นื่  หรือมีความเห็นผิด เชน ไมเช่ือกฎแหงกรรม ไมเชื่อเรื่องผลของบุญ ผลของบาป  ไมเ ชื่อวา ชาติหนามีจรงิ ไมเ ช่ือวานรกสวรรคมจี ริง เปนตน   อกศุ ลจติ เกดิ ข้ึนโดยอาศัยเหตุ ๕ ประการ คือ  (๑) ไมไดส รางสมบญุ ไวแตปางกอน  (๒) อยใู นประเทศทีไ่ มเ หมาะสม ไมมคี นดี  (๓) ไมไ ดค บหาสมาคมกับคนด ี (๔) ไมไดฟงธรรมของคนด ี (๕) ตง้ั ตนไวผดิ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

28 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสัศอนนะวเิชราื่อพงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๒๗  อกศุ ลจติ มที ัง้ หมด ๑๒ ดวง แบงออกเปน ๓ ประเภท โดยมีรายละเอียดตอ ไปน ้ี (๑) โลภมูลจิต คอื จิตท่เี กดิ ขนึ้ โดยมีความโลภ (โลภะ) เปนสาเหตุ มีโลภะเปนเจตสิกที ่ ปรุงแตง จิตใหเกิดความยินดี พอใจ และยึดติดในรูปที่สวย เสียงท่ีไพเราะ กลิ่นที่หอม รสท่ีอรอย  การสัมผัสถูกตองทางกายท่ชี อบใจ ความพอใจยดึ ตดิ ในลาภ ยศ สรรเสรญิ  สุข  โลภมูลจิตน้ี เกิดข้ึนพรอมดวยความดีใจ (โสมนัสเวทนา) ก็ได เกิดพรอมดวยความรูสึก  เฉยๆ (อุเบกขาเวทนา) ก็ได ประกอบดวยความเห็นผิดก็ได ไมประกอบดวยความเห็นผิดก็ได  เกิดข้ึนเองก็ได (อสังขารกิ ) หรอื เกิดจากการชกั ชวน (สสังขาริก) ก็ได โลภมูลจิต มีจํานวน ๘ ดวง  คือ  ดวงที่ ๑ เกิดพรอมกับความดีใจ ประกอบดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดข้ึนไดเอง  ตามลําพัง  ดวงท่ี ๒  เกดิ พรอ มกบั ความดใี จ ประกอบดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดขึ้นโดยถูก  กระตนุ หรอื ชกั จงู   ดวงที่ ๓  เกิดพรอมกับความดใี จ ไมประกอบดว ยความเห็นผิด (มิจฉาทฏิ ฐิ) เกดิ ขึ้นไดเอง  ตามลําพงั   ดวงท่ี ๔  เกิดพรอมกับความดีใจ  ไมประกอบดวยดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) แต  เกิดข้นึ โดยถกู กระตุนหรือชกั จงู   ดวงที่ ๕  เกิดพรอ มกบั ความรูส กึ เฉยๆ  ประกอบดวยความเหน็ ผิด (มจิ ฉาทิฏฐิ) เกิดข้ึนได  เองตามลาํ พงั   ดวงท่ี ๖ เกิดพรอ มกับความรูสกึ เฉยๆ ประกอบดว ยความเห็นผิด (มจิ ฉาทิฏฐ)ิ เกิดขึ้นโดย  ถกู กระตนุ หรอื ชกั จูง  ดวงท่ี ๗ เกดิ พรอ มกับความรูสกึ เฉยๆ  ไมป ระกอบดว ยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดขึ้น  ไดเ องตามลําพัง  ดวงท่ี ๘ เกดิ พรอ มกบั ความรูสึกเฉยๆ ไมป ระกอบดวยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดข้ึน  โดยถกู กระตุนหรอื ชักจงู   คําวา  ความเห็นผดิ (มจิ ฉาทิฏฐ)ิ ไดแก ความเห็นผิด วา ชาติหนาไมมี บุญบาปไมมี นรก  สวรรคไมม  ี กรรมและผลของกรรมกไ็ มม ี จงึ กระทําแตความช่ัวดวยความประมาทเสมอ  คาํ วา ไมป ระกอบดวยความเหน็ ผดิ ไดแ ก ความเหน็ ถกู ตอง (สมั มาทิฏฐิ) ที่เช่ือเร่ืองกรรม  และผลของกรรม  เชอื่ วานรกสวรรคมีจริง เช่ือวาโลกนี้มโี ลกหนาก็มี เช่ือวาเม่ือตายแลว ตองเกิด เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเร่ืองจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปิฎกศกึ ๒ษา๘ ๓ : 29 ใหมในภพใดภพหนง่ึ แลวแตก ารใหผลของกรรม แตก ารทเ่ี ขายงั ทาํ บาปอยเู พราะโลภมูลจิตมีกําลัง  รนุ แรงมาก จงึ ทําใหขาดสติสมั ปชญั ญะในบางคร้งั   โลภมลู จติ นเี้ ปน ตัวการสําคัญในการเวยี นวา ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั เพราะความชั่วทงั้ หมด  มี ความอยากไดอ ยเู บือ้ งหลังทั้งสิ้น โลภมูลจิตน้ี สามารถเกิดกับบุคคลท่ัวไปไดทั้ง ๘ ดวง แตจะ  เกิดแกพ ระโสดาบนั  พระสกทาคามี และพระอนาคามเี ฉพาะโลภมูลจิตทีไ่ มประกอบดวยความเห็น  ผิด ๔ ดวงเทานั้น แตจะไมเกิดข้ึนแกพระอรหันต ซึ่งเปนผูส้ินกิเลสแลว  ดังนั้น จิตท่ีคิดอยากได  สิ่งของๆ ผูอ่ืนโดยไมถูกตองชอบธรรมจึงเรียกวา โลภมูลจิต จิตประเภทน้ีขณะที่จะเกิดข้ึนนั้น  บางขณะเกิดพรอมกับความยินดีมาก โลภจิตที่เกิดพรอมกับความยินดีมากนั้นเรียกวา  ประกอบดวยความดีใจ (โสมนัส) บางครั้งก็เกิดขึ้นพรอมกับความยินดีเล็กนอย โลภจิตโลภจิตท่ี  เกดิ พรอ มกับความยินดเี ลก็ นอ ยน้นั  เรยี กวา ประกอบดวยความรูสุกเฉยๆ (อุเบกขา) บางคร้ังโลภ  จติ ก็ประกอบดว ยความเห็นผิด เรียกวา ทิฏฐิคตสัมปยุต บางคร้ังก็ไมประกอบดวยความเห็นผิด  เรยี กวา  ทิฏฐิคตวปิ ปยตุ   บางคร้ัง โลภจิตเหลาน้ีเกิดขึน้ ไดตามลําพัง เรียกอสังขาริก บางคร้ังก็ถูก  กระตุนเตอื นชักจงู จงึ เกดิ ข้ึน เรียกวา  สสังขาริก จิตท้งั ๘ ดวงน้ีมีโลภเปนมูลรากเกิดข้ึนจึงเรียกวา  โลภมลู จติ  หรือโลภจิต  (๒) โทสมูลจิต  คือ จิตท่ีเกิดขึ้นโดยมีความไมพอใจ (โทสะ) เปนสาเหตุ มีโทสะเปน  เจตสิกทปี่ รุงแตงจิตใหเกิดความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความกลุมใจ ความเสียใจ ความ  อจิ ฉารษิ ยา ความตระหน่ีหวงแหน ความรําคาญใจ ความอาฆาต พยาบาท จองเวร โทสมูลจิตน้ี  จะเกิดข้นึ พรอ มดว ยความไมพ อใจเสมอ เพราะเกดิ จากการรบั อารมณท่ไี มน า ยนิ ดีและไมนาพอใจ  เกิดขนึ้ เองบาง ถกู ผอู น่ื หรอื สง่ิ อน่ื ชกั ชวนใหเ กดิ บาง ดังนัน้  โทสมูลจิตหรือโทสจิตน้ีจึงไดแก จิตขัด  เคอื งประทษุ ราย เมื่อประสบอารมณท ี่ไมพ อใจ มีจาํ นวน ๒ ดวง คอื   ดวงท่ี ๑ เกิดขน้ึ โดยไมม กี ารชักชวน พรอ มดวยความไมพ อใจ (โทมนัส) เชน ในขณะที่คิด  พยาบาท ปองรา ยผอู นื่ จิตดวงนีย้ อมเกิดข้ึน  ดวงที่ ๒ เกิดขนึ้ โดยมีการชักชวน พรอ มดวยความไมพ อใจ (โทมนัส) เชน การรูขาววาคน  ใกลชิดเสยี ชีวติ  ก็จะรองไหเ สยี ใจ ดวยจติ ดวงน้ี หรือเมื่อไดยินเสยี งดังหนวกหู ก็เกิดความรําคาญใจ  และดา ออกไปดว ยจิตดวงน้ ี จิตขัดเคืองประทุษรายหรือจิตโกรธนี้ เรียกวา โทสมูลจิต เพราะมีความขัดเคือง  ประทุษรายหรือโทสะ เปนบอเกิดเกิด จิตนี้เกิดพรอมกับความเสียใจเรียกวา โทมนัสสหรคต  ประกอบดวยความโกรธความขัดเคอื งในขณะทป่ี ระสบอารมณท่ที ําใหเกิดความขัดเคืองอยา งเดยี ว เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

30 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอศั นนวะิชเรา่ือพงรจะิตไตรปฎิ กศึกษา ๓ ๒๙  เทา นัน้  เรยี กวาปฏฆิ สัมปยุต บางคร้ังเกิดขึ้นเองตามลําพังเรียกวา อสังขาริก บางคร้ังถูกกระตุน  หรอื ถูกชกั จูงใหเ กดิ ขึน้  เรียก สสังขาริก  (๓) โมหมูลจติ คอื จิตทเี่ กิดข้นึ โดยมีโมหะเปน มูลเหตุ โมหะเปนเจตสิกท่ีปรุงแตงใหเกิด  ความหลงผิด  โมหมูลจิตหรือจิตหลงงมงายน้ี เกิดพรอมกับอุเบกขา คือ ในขณะที่จิตปราศจาก  ความยนิ ดยี ินราย ประกอบดวยความสงสัยเคลือบแคลง และประกอบดวยความฟุงซานรําคาญ  เกิดขึน้ เองตามลําพัง และเกดิ ขน้ึ เพราะถูกกระตนุ หรอื ถูกชกั จูงใหเกิด  ดงั นี้  ดวงที่ ๑ เกิดพรอมกับความรูสึกเฉยๆ (อุเบกขา) ประกอบดวยลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา)  เกดิ ขนึ้ ไดเองตามลําพงั   ดวงท่ี ๒ เกิดพรอมกับความรูสึกเฉยๆ (อุเบกขา) ประกอบดวยความฟุงซานรําคาญ  (อุทธัจจะ) เกิดขึน้ โดยถกู กระตุนหรือชักจูง  คําวา “สงสยั ” หมายถงึ  ความสงสยั ในเร่ืองกรรมและการใหผลของกรรม ความสงสัยเรื่อง  ความมอี ยจู ริงหรือไมม ีอยขู องนรกสวรรค  ชาติหนามจี ริงหรือไม  คาํ วา “ฟงุ ซาน” หมายถงึ  การคิดเลื่อนลอยไปในอารมณตางๆ ไมมีความสงบ ไมมีความ  ตั้งมนั่  คิดไปเร่อื ยเปอ ย  ๒) อเหตกุ จิต คือ จิตทีไ่ มป ระกอบดวยเหตุ แบงออกเปน ๒ พวก คือ  (๑) อกศุ ลเหตุ คอื  เหตทุ ที่ าํ ใหเ กดิ การทาํ ชั่ว มี ๓ เหตุคือ โลภะ โทสะ โมหะ  (๒) กศุ ลเหต ุ คอื  เหตทุ ่ีทาํ ใหเกิดการทาํ ความดี มี ๓ เหตคุ ือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ  จิตประเภทอ่ืนๆทั้งจิตฝายดีและจิตฝายช่ัวยอมประกอบดวยเหตุฝายดีหรือเหตุฝายช่ัว  ตามประเภทของจิตน้ันๆ แตอเหตุกจิตนี้ไมมีเหตุท้ัง ๖ ประการขางตนน้ันเขามาประกอบ จึง  เรียกวา เหตุกจติ  มีจาํ นวน ๑๘ ดวง โดยแบง ออกเปน ๓ จําพวก คือ  (๑) อกุศลวิบากจิต ๗  ดวง (๒) อเหตกุ กุศลวบิ ากจติ ๘ ดวง และ (๓) อเหตกุ กิรยิ าจติ ๓ ดวง โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้  (๑) อกศุ ลวบิ ากจิต คอื  จิตที่สงผลใหเกดิ ความทุกข  เพราะผลของความช่ัวที่ไดทําไวใน  อดีตชาติ ต้งั แตชาตไิ หนภพไหนก็ตาม ยอมไมสญู หาย แตจ ะสง ผลใหไ ดรับความทุกขเมื่อมีโอกาส  มีจํานวน ๗ ดวง คอื   ดวงท่ี ๑  จกั ขวุ ญิ ญาณจติ  ไดแก  จติ ทีเ่ กดิ ขึน้ โดยตาเหน็ รูปท่ไี มดรี ูสึกเฉยๆ  ดวงท่ี ๒  โสตวิญญาณจิต ไดแ ก จติ ที่เกิดข้นึ โดยหไู ดยินเสียงทีไ่ มด  ี รูสกึ เฉยๆ  ดวงที่ ๓  ฆานวญิ ญาณจิต ไดแก  จติ ท่เี กดิ ข้ึนโดยจมกู สูดกล่นิ ทไี่ มด  ี รสู กึ เฉยๆ  ดวงที่ ๔  ชวิ หาวญิ ญาณจติ  ไดแ ก  จิตท่เี กิดขึน้ โดยล้นิ ลม้ิ รสทไ่ี มดีรสู กึ เฉยๆ  ดวงที่ ๕  กายวิญญาณจิต ไดแก จติ ทเ่ี กิดขึ้นโดยกายกระทบสัมผัสทีไ่ มด ี  รูสกึ เฉย ๆ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๓ษ๐า  ๓ : 31 ดวงท่ี ๖  สัมปฏิจฉันนจิต หรอื  อเุ บกขาสมั ปฏจิ ฉันนจิต ไดแก จิตท่ีเกิดข้ึนโดยรับอารมณ  ท้งั ๕ ที่ไมด  ี รูสกึ เฉยๆ  ดวงที่ ๗  สนั ตรี ณจติ  หรืออุเบกขาสนั ตีรณจติ  ไดแก จิตที่เกิดข้ึนโดยพิจารณาอารมณทั้ง  ๕ ทไ่ี มด ี รูสึกเฉยๆ  จิตทงั้ ๗ ดวงนีเ้ รียก อกุศลวิบากจติ  เพราะเปน ผลแหง กรรมชั่วหรืออกุศลกรรมท่ีสําเร็จมา  แตอดตี  และเพราะเหตทุ ่อี เหตุกจิตท้ังหมดเปนกลางๆ คือไมใชจิตฝายดีหรือชั่ว (อัพยากตธรรม)  จิตทง้ั ๓ ประเภทท่เี ปนอเหตุกจติ จึงมแี ตจ ติ สว นทเ่ี ปน วบิ ากหรือจิตทเ่ี ปนผลหรือแสดงผลของการ  กระทําทง้ั สิน้   (๒) อเหตกุ กศุ ลวิบากจติ คอื จิตทสี่ งผลใหเ กิดความสขุ เพราะผลของความดีท่ีไดทําไว  ต้ังแตชาตไิ หนภพไหนก็ตาม ไมส ูญหายไป จะสง ผลใหไดรบั ความสุขเมอื่ มีโอกาส มีจาํ นวน ๘ ดวง  คือ  ดวงที่ ๑  จักขุวิญญาณฝายกุศลวิบากไดแก จิตท่ีเกิดขึ้นทางตาเพ่ือเห็นรูปที่ดี และรูสึก  เฉยๆ  ดวงท่ี ๒  โสตวิญญาณฝา ยกศุ ลวบิ าก ไดแ ก จิตทเ่ี กดิ ข้ึนทางหเู พอื่ ไดย ินเสียงท่ีดี และรสู กึ   เฉยๆ  ดวงท่ี ๓  ฆานวิญญาณฝายกศุ ลวิบาก ไดแก จิตท่ีเกดิ ข้นึ ทางจมูกเพื่อรูกล่ินที่ดี และรูสึก  เฉยๆ  ดวงที่ ๔  ชิวหาวิญญาณฝายกุศลวิบาก ไดแก จิตที่เกิดข้ึนทางล้ินเพ่ือรูรสที่ด ี และรูสึก  เฉยๆ  ดวงท่ี ๕  กายวญิ ญาณฝายกศุ ลวบิ าก ไดแก  จิตทีเ่ กิดขน้ึ ทางกายเพ่ือรูสัมผัสทางกายที่ด ี และรสู ึกเปนทกุ ข  ดวงท่ี ๖  สัมปฏิจฉนจิตฝายกุศลวิบาก ไดแก จิตที่เกิดขึ้นโดยรับอารมณท้ัง ๕ ที่ดี และ  รสู ึกเฉยๆ  ดวงท่ี ๘  อุเบกขาสันตีรณฝายกุศลวิบาก ไดแก จิตท่ีเกิดขึ้นพิจารณาอารมณท้ัง ๕ ท่ีดี  และรูสึกเฉยๆ  ดวงที่ ๙  โสมนสั สนั ตีรณฝายกศุ ลวบิ าก ไดแก จิตท่ีเกิดข้ึนพิจารณาอารมณท้ัง ๕ ที่ดีย่ิง  พรอ มดว ยความดีใจ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

32 : เอกสารประบกทอทบี่ก๒ารทสัศอนนะวเิชรา่อื พงรจะิตไตรปิฎกศึกษา ๓ ๓๑  (๓) อเหตุกกิริยาจิต คือ จิตที่เกดิ ขึ้นสักแตว ากระทําหนา ท่ขี องตนเทาน้ัน ไมเปนบุญ ไม  เปนบาป และไมใ ชจ ติ ทเี่ ปน ผลของบุญหรอื บาป กลา วคือ จิตท่ีไมใชเหตุและไมใชผล มีจํานวน ๓  ดวง คอื   ดวงท่ี ๑ ปญ จทวาราวัชชนจติ เปนจิตทที่ ําหนาที่พิจารณาอารมณ ที่มากระทบทางทวาร  ทั้ง ๕ วาเปน อารมณทางทวารไหน และเปน ปจ จยั ใหจิตดวงตอ ไป รบั อารมณทางทวารน้นั ๆ เปรยี บ  เหมือนนายทวาร ทร่ี ักษาประตพู ระราชวัง ทคี่ อยเปด ประต ู ใหแขกผา นตามฐานะของบุคคล ไมได  ติดตามไปทาํ หนา ที่อยางอ่ืน  ดวงที่ ๑ มโนทวาราวัชชนจิต  ไดแก จิตที่พิจารณาอารมณทางมโนทวาร และทําหนาที ่ ตดั สนิ อารมณท่ีผานเขา มาทางทวารทง้ั หา (โวฏฐัพพนจิต)  ดวงท่ี ๑ หสิตุปปาทจิต ไดแก จิตท่ีทําใหเกิดการย้ิมของพระอรหันต เกิดขึ้นพรอมดวย  ความดใี จ  จติ ดวงนเี้ กดิ ขน้ึ  เมื่อเวลาทพ่ี ระอรหนั ต พิจารณาเห็นกรรมของบุคคล ท่ีกําลังไดรับความ  ทุกข  แลวยอนกลบั มาพิจารณาตวั ทานเองวา ทา นไดพนจากทุกขท้ังปวงแลว จึงทําใหเกิดโสมนัส  และเกิดการยมิ้ ขน้ึ การยม้ิ ดวยอาการเชนนเ้ี กิดไดดวย หสิตุปปาทจิต ดังนั้น หสิตุปปาทจิตน้ีจึง  เปน จิตทีท่ าํ ใหเกิดการยม้ิ โดยไมย ดึ ม่ันในอารมณ ซง่ึ ตา งจากจิตทีท่ ําใหเกดิ การหวั เราะทว่ั ๆ ไป  การหัวเราะและการย้ิมโดยท่ัวไป เกิดจากจิตหลายประเภท  บุคคลท่ีไมใชพระอรหันต  ยอมหัวเราะหรือย้ิมดวยโลภมูลจิตท่ีเปนโสมนัส  หรือจิตที่เปนมหากุศลท่ีเปนโสมนัส  สวนพระ  อรหนั ตไมม กี เิ ลสแลว จงึ ไมมเี หตุท่ีจะทาํ ใหท า นหวั เราะ อยา งมากก็เพียงแคย้ิมเทานั้น  ขณะทพ่ี ระ  อรหันตยิ้มนั้น ทานอาจยม้ิ ดวยมหากิริยาจิตทเ่ี ปน โสมนัส หรอื หสิตปุ ปาทจิตซง่ึ เปน อเหตกุ กริ ยิ าจติ   น้ีกไ็ ด  ประเภทของการย้ิมและการหัวเราะ  บุคคลยอมมีการย้ิมและหัวเราะ  ในลักษณะที่แตกตางกัน  ในคัมภีรอลังการ จําแนก  ออกเปน ๖ อยาง คือ  ๑) สิตะ คอื การยิ้มอยบู นใบหนา  ไมเ หน็ ไรฟน เปน การย้มิ แยม ของพระพทุ ธเจา   ๒)  ห สิต ะ คือ ก ารยิ้ มพอเ ห็ น ไรฟน  เป น ก ารยิ้ มของพระอรหั น ต พระอน าค ามี พระ  สกทาคามี  พระโสดาบัน และปุถุชน แตการย้ิมชนิดนี้ นอกจากพระอรหันตแลว ก็เปนการย้ิมท่ ี ประกอบดว ยเหตบุ ุญ หรอื เหตุบาปเสมอ  ๓) วิหสิตะ คือ การหัวเราะมเี สียงเบาๆ เกิดจากจติ ของบุคคลท่ัวไป และพระอริยบุคคล ๓  พวก คอื พระโสดาบนั พระสกทาคาม ี และพระอนาคามี เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรอ่ื งจิต เอกสารประกอบการสอนวิชาพระไตรปฎิ กศึก๓ษา๒ ๓ : 33 ๔) อติหสติ ะ คอื การหัวเราะเสยี งดัง ของบุคคลทั่วไป พระโสดาบนั และพระสกทาคามี  ๕) อปหสิตะ คือ การหัวเราะจน ตัวโยกโคลง เปนการหัวเราะเฉพาะของบุคคลทั่วไป  เทานนั้   ๖) อุปหสติ ะ คือ  การหัวเราะจนน้ําตาไหล เปนการหัวเราะเฉพาะของบคุ คลท่วั ไปเทานน้ั   การใหผลของกรรมดแี ละชัว่   ดังท่กี ลา วมาแลว ขางตนวา อเหตุกจิต เปนจติ ท่ีแสดงใหเ หน็ ถึงการใหผลของกรรมวามีอยู  จริง การท่ีเราเห็นไดยิน หรอื ประสบส่งิ ท่ไี มด ี ก็เพราะกรรมชว่ั ท่ไี ดกระทําไว ในทางตรงกันขามการ  ทเ่ี ราประสบแตส ง่ิ ทดี่ ีทงั้ ทางกาย หู จมูก ลนิ้  กาย เปน ตน ก็เพราะผลของกรรมดี ดังน้ัน กรรมทั้งดี  และช่วั ยอ มใหผลอยา งแนน อน โดยมีการใหผ ล ดงั ตอไปน ้ี (๑) การนําไปเกิดในภพใหม เรียกวา ปฏิสนธกิ าล  อกศุ ลกรรมทงั้ หลาย ทไี่ ดกระทําไวแลว หากเปนกรรมหนัก ก็จะนําไปเกิดในอบายภูมิ ๔  เปนสัตวนรกบาง เปนเปรตบาง เปนอสุรกายบาง เปนสัตวเดรัจฉานบาง โดยมีสันตีรณจิตฝาย  อกุศลวิบาก ซ่งึ มีชอื่ เฉพาะเรยี กวา อเุ บกขาสันตีรณอกศุ ลวิบาก (อกุศลวิบากจติ ดวงท่ี ๗) เปน ผทู าํ   หนา ที่นําไปปฏสิ นธิ (นาํ เกิด) ในอบายภูมิทง้ั ๔  สว นกรรมดหี รือกศุ ลกรรม ไดแก อเหตกุ กศุ ลวิบากจติ ดวงท่ี ๗ คอื อุเบกขาสนั ตีรณกศุ ล  วิบากจิต  จะนําไปเกิดเปนมนุษยท่ีมีรางกายไมสมประกอบ เชน บา ใบ ตาบอด หูหนวก หรือ  ปญญาออ นตงั้ แตก ําเนดิ  หรอื เกดิ เปนเทวดาช้ันตาํ่ เพราะจิตดวงนเ้ี ปน ผลของกุศลขนั้ ตาํ่   (๒) การใหผลหลงั จากการเกดิ แลว เรยี กวา  ปวัตตกิ าล  เมอื่ กรรมชว่ั นาํ ไปเกิดเปน สตั วน รก เปรต อสุรกาย สัตวเดรัจฉาน หรือมนุษยแลว ก็ยังจะ  ตามสงผลใหเ ห็นรูปทไี่ มด ี ไดย ินเสยี งทไี่ มด ี ไดก ลิ่นที่ไมดี ไดรับรสท่ีไมดี และไดรับการสัมผัสทาง  กายท่ีไมดี เม่ือโอกาสมาถึง  สวนกุศลตางๆท่ีไดกระทําไวแลว ยอมตามใหผลเชนเดียวกัน โดยจะตาใหผลท่ีเปน  ความสุข ทําใหเ ห็นรปู ท่ีดี ไดยินเสียงที่ดี ไดกล่ินที่ดี ไดรับรสที่ดี และไดรับการสัมผัสทางกายที่ดี  เมื่อโอกาสมาถึง  อเหตุกจิตนบั วา เปน เครื่องพิสจู นใหเ ห็นวา ผลของกรรมน้ันมีจริง นอกจากเปนผลในการ  ไปถอื กาํ เนิดในทุคตภิ ูมิ หรือสุคตภิ ูมิ  ในขณะถือกําเนดิ หรอื ในปฏสิ นธกิ าลแลว   ภายหลังจากการ  เกิดแลวหรือในในปวัตติกาล ยังทําใหประสบกับอารมณท้ังที่ดีและไมดี สลับสับเปล่ียนกันอย ู ตลอดเวลาตามแตโอกาส ในการสง ผลของอดีตกรรม และปจจุบันกรรมจะมาถึง บางครั้งก็เห็นไมดี เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

34 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะิชเราือ่ พงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๓๓  ไดย ินไมดี ไดก ลิ่นไมด  ี รูรสไมด ี สมั ผสั ถูกตองไมด ี ถกู นนิ ทาวาราย ฯลฯ การประสบกบั สิ่งไมด ี ลวน  เปนผลของกรรมช่ัวท่ีไดกระทําไวทั่งส่ิน สวนการไดเห็นส่ิงท่ีสวยงาม  ไดยินเสียงที่ไพเราะ หรือ  เรอื่ งราวท่ีดี ๆ ไดกลิ่นหอม ๆ ไดล ม้ิ รสท่อี รอย และไดรับความสุขกายสบายใจ เหลา นีก้ ็ลวนเปนผล  ของกรรมดที ีไ่ ดก ระทาํ ไวท ัง้ สน้ิ   คาํ อธบิ ายเร่อื งจํานวนของอกศุ ลวิบากจิตกบั อเหตุกกุศลวิบากจติ   อกุศลวบิ ากจติ เปน จิตท่ีรับอารมณที่ไมดี ดังนั้น สันตีรณจิตท่ีเกิดข้ึนพิจารณาอารมณท ี่ ไดรับ จึงมีเวทนาเปนอุเบกขาอยางเดียวเทาน้ันดังนั้น อกุศลวิบากจิตจึงมี ๗ ดวงเทานั้น  สวน  อเหตุกกุศลวิบากจิต ท่ีมี ๘ ดวง  เพราะในอเหตุกกุศลวิบากจิตนั้น สันตีรณจิตมีจํานวน ๒  ดวง  เพราะดวงหนึ่งรบั อารมณท ่ดี ธี รรมดา มีเวทนาเปน อเุ บกขา (อเุ บกขาสันตีรณจิต) สวนอีกดวงหนึ่ง  รับอารมณท ่ีดีย่งิ  มีเวทนาเปน โสมนัส (โสมนัสสนั ตีรณจติ )  คําอธิบายเรอ่ื งการใชคาํ วา อเหตกุ   การท่อี กศุ ลวบิ ากจิต ไมมีคําวา อเหตุก นําหนาเหมือนอเหตุกกุศลวิบากจิต ทั้งๆ ที่เปน  อเหตุกจิตเหมือนกัน เพราะผลของอกุศลกรรมหรือกรรมชั่วน้ันเปนอเหตุกจิตหรือจิตที่ไม  ประกอบดวยสาเหตุอยางเดียวเทานั้น ไมเปนจิตที่ประกอบดวยสาเหตุอยูแลว ดังน้ัน จึงไม  จาํ เปนตองใสคาํ วา อเหตุก ไวข า งหนา  เพราะเปน อเหตุกจติ อยา งเดียว อยางแนนอนอยูแลว  สวนจิตทเ่ี ปนผลของกุศล หรอื ทเี่ รยี กวา กุศลวิบากจิต มีอยู ๒ ประเภท คือ สเหตุกวิบาก  เปน วบิ ากจติ ทีม่ ีเหตุ ซึ่งไดแก มหากุศลวบิ ากจติ ซ่ึงอยใู นกลมุ ของกามาวจรโสภณจิต (ซึ่งจะกลาว  ตอไป) และอเหตกุ วิบาก เปนวบิ ากจิตท่ีไมมีเหตุ ซึ่งก็ไดแก อเหตุกกุศลวิบากจิตน้ีเอง ดังน้ัน จึง  ตองใสคําวา อเหตกุ ไวข า งหนา เพื่อแสดงวา  ผลเหลา นี้เปนผลของมหากุศลท่เี ปนอเหตุกจติ   ๓) กามาวจรโสภณจิต คือ จติ ฝายบุญ ฝายกุศล ใหผ ลเปนความสขุ   แตยังเปน จติ ทตี่ อ ง  ทองเทยี่ ว วนเวียนอยูใ นกามภมู หิ รอื สถานทท่ี ยี่ งั เกีย่ วของกบั รูป เสียง กลิน่  รส สมั ผสั ถกู ตอ งอยู ซงึ่   ไดแ ก มนษุ ยโลก  เทวโลก และพรหมโลก มจี ํานวน ๒๔ ดวง  การที่เรยี กวา กามาวจรจิต เพราะเปนจิตทองเท่ียวอยูในกามภูมิ หรือเรียกวา กามาวจร  โสภณจติ  เพราะเปนกุศลจิตหรือจิตฝายดี แบง ออกเปน ๓ ประเภท คอื   (๑) มหากุศลจิต คือ จติ ท่ีประกอบดว ยเหตุฝา ยดหี รือกุศลเหตุ ไดแ ก  ความไมโลภ (อโลภ  เหตุ) ไมโกรธ (อโทสเหตุ) และความมีปญ ญา (อโมหเหต)ุ เกดิ พรอมกบั ความยินดีมาก (โสมนสั ) ๔  ดวง เกิดพรอมกับความยินดีพอประมาณ (อุเบกขา) ๔  ดวง ประกอบดวยปญญา ๔ ดวง ไม เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเรื่องจติ เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศกึ ๓ษา๔ ๓ : 35 ประกอบดวยปญญา ๔ ดวง เกิดโดยลําพงั ๔ ดวง ถูกกระตุนหรือชักจูงใหเ กดิ ๔ ดวง กามาวจรจติ   ฝา ยกุศล หรือ มหากุศลจติ น้ี มีจาํ นวน ๘ ดวง คือ  ดวงที่ ๑  จิตท่เี กดิ พรอมดวยความยินดมี าก ประกอบดว ยปญ ญาเกิดโดยลาํ พังตนเอง  ดวงที่ ๒ จติ ที่เกิดพรอมดวยความยินดีมาก ประกอบดวยปญญา เกิดข้ึนโดยถูกกระตุน  หรอื ชกั จูง  ดวงที่ ๓ จติ ทเี่ กิดพรอ มดวยความยินดมี าก ปราศจากปญ ญา เกิดโดยลําพงั ตนเอง  ดวงท่ี ๔ จติ ทเ่ี กดิ พรอ มดวยความยินดีมาก ปราศจากปญญา เกิดข้ึนโดยถูกกระตุนหรือ  ชกั จงู   ดวงท่ี ๕ จิตท่ีเกดิ พรอ มดวยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดโดยลําพัง  ตนเอง  ดวงที่ ๖ จิตทีเ่ กิดพรอมดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูก  กระตุนหรือชกั จูง  ดวงท่ี ๗ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดโดยลําพัง  ตนเอง  ดวงที่ ๘  จิตที่เกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดข้ึนโดยถูก  กระตุนหรอื ชักจูง  ปญ ญาในมหากศุ ลจติ   คาํ วา ประกอบดวยปญญา ในมหากุศลจิตนี้ ไดแก ปญญาท่ีเห็นถูกตองตามความเปน  จริง ไดแก ปญ ญา ๒ ประเภท คอื   ๑) กมั มสั สกตาปญญา คือ ปญญาทร่ี ูวา  สัตวท้ังหลายมีกรรม เปนของตนเอง รูวาชาติ  หนามจี ริง นรกสวรรคม จี ริง หรือปญญาที่รเู รอ่ื งกรรมและการใหผลของกรรม การรูเชนน้ีจะทําให  เห็นโทษและทุกขของการเวียนวายตายเกิด ไมวาจะไปเกิดเปนอะไร ก็มีแตทุกขทั้งส้ิน  ดังน้ัน  ในขณะที่ทําความดี จงึ ควรต้งั เจตนาเพ่ือลดละกิเลสทกุ คร้งั   ๒) วปิ สสนาปญ ญา คอื  ปญญาท่ีรูแจงความจริงของสรรพสิง่ วาโดยลักษณธทแ่ี ทจริง ไม  มีสัตว ไมมีบุคคล ไมมีตัวเรา ไมมีของเรา สรรพสัตวท้ังหลายเกิดจากการประชุมกันของขันธ ๕  ตามเหตุปจจัย เม่ือยอใหส้ัน ก็เหลือเพียงกายกับใจ หรือรูปกับนามเทานั้น หาสาระตวั ตนไมได  สรรพส่งิ ท้งั สวนท่ีเปนรูปและนามลวนไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตาทั้งสิ้น การพิจารณาเห็นทุกข  และโทษของการมีชวี ติ ทําใหเกิดปญญาไมหลงใหลติดอยูในโลก มีความปรารถนา ที่จะพนจาก  การเวียนเกิดเวียนตาย ไปใหเ ร็วทส่ี ดุ   การพจิ ารณาเชนน้ี เรียกวา วิปสสนาปญญา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

36 : เอกสารประกบอทบทกี่ ๒ารสทอัศนนวะชิ เราอ่ืพงรจะิตไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๓๕  เหตุเกดิ ของมหากุศลจิต  มหากุศลจติ จะเกิดขึน้ ไดเพราะเหตุ ๕ ประการ คือ  ๑) เคยไดส รา งบญุ ไวแ ตช าติปางกอ น  ๒) อยใู นประเทศทสี่ มควร  ๓) ไดคบหาสมาคมกับคนด ี ๔) ไดฟ ง ธรรมของคนด ี ๕) ตัง้ ตนไวช อบ  มหากุศลจิตนเี้ ปนจติ ซงึ่ เปน ทต่ี ง้ั แหงการทาํ ความดหี รือบญุ กิรยิ าวตั ถุ ๑๐ ประการ ไดแก  ๑) ทาน คือ การใหส งิ่ ทเี่ ปน ประโยชนสุขแกผ รู ับ  ๒) ศลี คือ การรกั ษากาย วาจา ใหต ั้งอยใู นศีล  ๓) ภาวนา  คือ การเจรญิ สมถภาวนาและวิปสสนาภาวนา  ๔) อปจายนะ คอื การคารวะออ นนอ มตอผูท เ่ี จริญกวา ดว ยชาตวิ ุฒ ิ วยั วฒุ  ิ และ คณุ วุฒิ  ๕) เวยยาวจั จะ คือ การชว ยเหลอื การงานของผทู ีส่ มควรชวยเหลือ  ๖. ปตติทาน  คอื การอุทศิ สว นกุศลใหผ อู ่ืน  ๗) ปต ตานุโมทนา คอื การพลอยยินดใี นการทําดีของผอู ืน่   ๘) ธรรมสวนะ  คอื การฟง ธรรม  ๙) ธรรมเทศนา คือ การแสดงธรรมใหผูอื่นฟง   ๑๐) ทิฏชุ กุ รรม คือ การทําความเห็นใหถูกตอง ตามความเปนจริง ไดแก ปญญาที่รูวา  สตั วท้งั หลายมีกรรม  มหากุศลจิต เปนจิตที่ใหผลเปนความสุข จะสงผลในตอนถือกําเนิด (ปฏิสนธิกาล) โดย  นํามาเกดิ เปนมนุษยและเทวดา หรอื หลงั จากเกิดแลว (ปวตั ติกาล) กจ็ ะตามใหผล ทาํ ใหไดประสบ  อารมณท่ีดี เชน การเห็นสิ่งที่สวยงาม  ไดฟงเสียงที่ไพเราะ ไดกลิ่นที่หอมถูกใจ ไดล้ิมรสที่อรอย  ไดร ับสัมผัสท่สี บายดวยอเหตุกกุศลวบิ ากจติ ๘ ดวง ดงั กลาวมาแลว   ประเภทของกศุ ลกรรม  ตามหลกั การของพระพุทธศาสนา กุศลกรรมหรือการกระทําความดีน้ัน แบงออกเปน ๒  ประเภท คอื ๑) ตเิ หตุกกศุ ลกรรม ไดแก  กศุ ลกรรม ท่ีประกอบดวยเหตุ ๓ ประการ คือ ความไมโลภ  (อโลภเหต)ุ ความไมโกรธ (อโทสเหต)ุ และความมปี ญ ญาเขาประกอบ (อโมหเหตุ) กลาวคือ กุศล  กรรมทุกอยางท่ีประกอบดวยกัมมัสสกตาปญญา หรือวิปสสนาปญญา มุงตรงตอการละและ  ทําลายซึ่งเปนเหตพุ นจากการเวียนวายตายเกดิ นี ้  เปน การใหทาน รักษาศลี  และการเจรญิ ภาวนา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเรื่องจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษ๓า๖๓  : 37 ท่ีมปี ญญาเขาประกอบดวยน้ัน จะทําใหรูเหตุ รูผล และต้ังความปรารถนาไดถูกตอง เปนเหตุให  กุศลนัน้ มผี ลมาก เปน กศุ ลท่นี าํ ใหพ น ไปจากการเวียนวายตายเกดิ ได (ววิ ฏั ฏคามินกี ุศล)  ๒) ทวิเหตุกกศุ ลกรรม ไดแก  กุศลกรรม ที่ประกอบดว ยเหตุ ๒ ประการ คอื  ความไมโลภ  (อโลภเหตุ) และความไมโกรธ (อโทสเหตุ) ไมมีปญญาเขาประกอบ (อโมหเหตุ)  เชน การทําบุญ  ของเด็ก การทําบุญใหทาน ตามเทศกาลประเพณ ี การรักษาศีล หรือการเจริญภาวนาที่ปฏิบัต ิ ตามๆ กันมา โดยไมเขาใจเหตุผลอันแทจริง  มีแตศรัทธาเปนตัวนําเทานั้น  การทํากุศลกรรมใน  ลักษณะน้ี  ถือวาไมประกอบดวยปญญา มีอานิสงสนอย ไมเปนเหตุ ใหพนไปจากการเวียนเกิด  เวยี นตาย (วัฏฏคามนิ ีกศุ ล) เพราะเปนการทาํ ความดีท่ีสกั แตวาทาํ ไปตามความเชือ่ เทานั้น  นอกจากน้ี ในการทําความดีใด ๆ  ทั้งที่เปนติเหตุกกุศลกรรม  หรือทวิเหตุกกุศลกรรม  ความสําเร็จหรอื ผลแหง ความดนี ้นั จะมากหรอื นอ ย ยังตอ งขน้ึ อยูกับเจตนาหรือความจงใจในกาล  ท้ัง ๓ ไดแก  ๑) ปพุ พเจตนา คือ เจตนาท่เี กดิ ขึน้ กอนทาํ กุศล  ๒) มญุ จเจตนา คอื เจตนาท่เี กดิ ขึ้นในขณะกาํ ลงั ทํากศุ ล  ๓) อปรเจตนา  คือ เจตนาท่เี กิดขึน้ ภายหลังจากการทํากุศล  การใหผ ลของกศุ ลกรรม  การทําความดตี า งๆ หากมีเจตนาทบ่ี ริสุทธิใ์ นกาลทง้ั ๓ คอื  กอนทาํ  ขณะทาํ  หรือภายหลัง  จากทที่ าํ แลว  โดยไมมีความชัว่ ใดๆ เกิดขึ้นแทรกแซง จดั เปน กุศลชั้นสูง (อุกกัฏฐกุศล) ถากุศล  นน้ั เปนติเหตกุ กุศลก็จะเรยี กวา ติเหตุกอุกกฏั ฐกุศล แตถา กศุ ลนัน้ เปน ทวิเหตกุ กุศล กจ็ ะเรียกวา  ทวิเหตุกอุกกัฏฐกุศล ซึง่ จะใหผ ลตางกันคอื   ๑) ตเิ หตุกอกุ กัฏฐกุศล จะนําไปเกิดเปนมนุษย หรือเทวดาช้ันสูง และ สามารถทํามรรค  ผล นพิ พาน ฌาน สมาบัติ ใหเกดิ ขนึ้ ได  ๒) ทวิเหตุกอุกกัฏฐกุศล จะนําไปเกิดเปนมนุษยหรือเทวดาช้ันกลาง แตไมสามารถทํา  มรรค ผล นิพพาน ฌานสมาบตั ิ ใหเกิดข้นึ ได  หากในระหวางการทําความดีตางๆ  กุศลเจตนาในกาลทั้ง ๓ ไมบริสุทธิ์ มีความช่ัวหรือ  อกศุ ลเขา แทรกแซง เชน การเกิดความเสียดายในสิ่งของที่จะบริจาค (เกิดโลภะ) หรือทําบุญเพ่ือ  เอาหนา (เกิดโลภะ) เปนตน กุศลที่กระทํานั้น จัดเปนกุศลช้ันต่ํา (โอมกกุศล) ถากุศลน้ันเปน  ติเหตกุ กุศล ก็จะเรยี กวา ตเิ หตกุ โอมกกศุ ล แตถ ากุศลนั้นเปน ทวิเหตุกกุศล ก็จะเรียกวา ทวิ  เหตกุ โอมกกุศล ซ่ึงจะใหผ ลแตกตา งกัน คอื เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

38 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเราอ่ื พงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๓๗  ๑) ตเิ หตุกโอมกกุศล จะนําไปเกดิ เปนมนษุ ยห รอื เทวดาชั้นกลาง แตไมสามารถทํา มรรค  ผล นพิ พาน ฌานสมาบัติ ใหเกิดขึ้นได  ๒) ทวิเหตุกโอมกกุศล จะนําไปเกดิ เปนมนษุ ยท ี่มรี างกายและจิตใจบกพรอ ง เชน ตาบอด  หรอื หูหนวกแตกําเนิด เปนใบ บา ปญญาออนและเทวดาช้ันตํ่า (จิตท่ีนําไปเกิดเปนมนุษย และ  เทวดาช้ันต่ําน้ี คือ อเุ บกขาสนั ตีรณกุศลวบิ ากจิต)  ดงั น้ัน จะเหน็ ไดว า  เจตนาในการกระทาํ ความดนี นั้ เปน สิง่ ทส่ี าํ คัญ จงึ ตองมเี จตนาบรสิ ทุ ธ  ทง้ั ๓ กาล ในการกระทาํ ความด ี จึงจะไดร ับผลของการกระทาํ นน้ั มากและสมบูรณ  (๒) มหาวบิ ากจิต คอื  จิตที่เปน ผลของมหากศุ ลจติ หากกระทาํ ความดหี รอื กศุ ลกรรมดว ย  มหากุศลจิตดวงใด ก็จะไดรบั มหาวิบากจิตดวงน้นั กลาวคือ มหากุศลจิตมฐี านะเปน เหตุ สว นมหา  วบิ ากจิตมฐี านะเปน ผล ดงั นั้น มหากุศลจิตจงึ ใหผลท่ีเปนมหาวิบากจิตที่ตรงกันเสมอ มหาวิบาก  จติ น ี้ บางคร้งั กเ็ รียกวา สเหตุกกามาวจรวบิ ากจติ มจี าํ นวน ๘ ดวง คอื   ดวงที่ ๑  จติ ทเี่ กิดพรอมดวยความยินดมี าก ประกอบดวยปญ ญาเกิดโดยลาํ พงั ตนเอง  ดวงท่ี ๒ จิตที่เกิดพรอมดวยความยินดีมาก ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุน  หรอื ชักจงู   ดวงท่ี ๓ จติ ท่เี กดิ พรอมดวยความยนิ ดมี าก ปราศจากปญญา เกดิ โดยลาํ พังตนเอง  ดวงที่ ๔ จติ ที่เกดิ พรอมดว ยความยนิ ดมี าก ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุนหรือ  ชักจงู   ดวงท่ี ๕ จิตทเี่ กดิ พรอ มดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดโดยลําพัง  ตนเอง  ดวงท่ี ๖ จิตทเ่ี กดิ พรอ มดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูก  กระตนุ หรอื ชกั จงู   ดวงที่ ๗ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดโดยลําพัง  ตนเอง  ดวงที่ ๘  จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูก  กระตนุ หรอื ชักจูง  มหาวิบากจิตท้ัง ๘ ดวงน้ี  จะนําบุคคลใหไปเกิดเปนมนุษยในมนุษยโลกหรือเทวดาใน  เทวโลกภมู ิใดภูมิหน่งึ สว นจะเกิดเปนมนษุ ยห รือเทวดาช้ันสูงหรือช้ันกลาง ข้ึนอยูกับกุศลที่ทําไววา  เปน ติเหตกุ กศุ ล หรือทวิเหตุกกุศล และเจตนาทงั้ ๓ กาล ซ่ึงเปนเคร่ืองชี้วา กุศลกรรมที่ทําไปนั้น  เปน กศุ ลชั้นสงู (อุกกฏั ฐกุศล) หรือกศุ ลชน้ั ตํ่า (โอมกกุศล) ดังกลา วมาแลว เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึก๓ษ๘า  ๓ : 39 นอกจากจะทาํ หนา ทีน่ าํ มาเกดิ เปน มนุษยหรือเทวดาดังกลา วแลว มหาวิบากจติ ทั้ง ๘ ดวง  น้ี ยังทําหนาทเ่ี ปนภวังคจิต ที่รกั ษาภพชาติท่เี ปนมนุษยหรือเทวดาใหดํารงอยูตอไปจนกวาจะสิ้น  อายุขัยอีกดว ย ดังน้ัน บุคคลใด ที่ไดกระทํามหากุศลกรรมไว  ถายังไมสําเร็จ เปนพระอรหันตได  สนิ้ ชีวติ ไปเสยี กอน จะตองไดรับผลเปนมหาวิบากจิตดวงใดดวงหน่ึง และไปเกิดเปนมนุษย หรือ  เปนเทวดา ดงั ทกี่ ลา วมาแลว ตามเหตทุ ไ่ี ดส รางมาอยางแนน อน  (๓) มหากิริยาจิต คือ จิตของพระอรหันต ซึ่งสิ้นกิเลสแลว แตทานก็ยังตองรับรูอารมณ  เพราะยังมีชีวติ อยู ดังนั้น ความเปน อยูของพระอรหันต จงึ ยังมจี ิตทย่ี ังเก่ียวขอ งกับอารมณอยูเ สมอ  แตจติ ทเี่ กี่ยวของกับอารมณของทานนั้น ไมสงผลเปนวิบาก นําเกิดในภพใหม ชาติใหมอีกตอไป  ดงั นน้ั  จติ ประเภทน้ ี จึงเรยี กวา มหากริ ิยาจติ   โดยปกติจิตที่ทําหนาท่ีคิด นึก หรือรูสึกของบุคคลทั่วไปและพระอริยบุคคลท่ียังไมบรรล ุ เปน พระอรหนั ตนนั้  จะมอี ยู ๒ ประเภทคือ จติ ชว่ั หรอื   อกศุ ลจิต และจิตทด่ี ี หรือ กศุ ลจิต  อกุศลจติ   และกศุ ลจิตทงั้ สองเม่ือเกิดขึ้นรับรูอารมณแลว ยอมเปนเหตุใหเกิดผลอยางแนนอน หากเปนผล  ของอกศุ ลจิต ก็จะนาํ ไปเกดิ ในอบายภูมิ ๔ คอื เกดิ เปนสตั วน รก เปรต อสุรกาย หรือสัตวเดรัจฉาน  หากเปนผลของกุศลจิต ก็จะนําไปเกิดในสุคติภูมิ คือ เกิดเปนมนุษย  เทวดา รูปพรหม หรืออรูป  พรหม ตามประเภทของกุศลกรรมนัน้ ๆ  สวนพระอรหนั ตไมไดเปน เชน นนั้  เพราะการรบั รอู ารมณข องทา นไมจัดเปนจิตท่ีเปนจิตชั่ว  หรือดี  แตเปน จิตทป่ี ราศจากผลแลว จงึ เรียกวา มหากิรยิ าจิต จิตประเภทนี ้ เมอื่ เกิดข้ึนแลว ก็ดับไป  โดยปราศจากผลใดๆ ความเปนอยูของพระอรหันต ไมมีจิตท่ีเปนกุศล หรืออกุศล มีแตมหากิริยา  จิตท่ีเปนไปเทานั้น  มหากิริยาจิตมีลักษณะคลายกันกับมหากุศลจิตทุกประการ ตางกันก็ตรงท่ี  มหากริ ยิ าจติ ไมสง ผลเปน มหาวิบากจิตอีกตอไป เพราะละกิเลสไดแลว มหากิริยาจิตมีจํานวน ๘  ดวง คอื   ดวงท่ี ๑ จติ ทเ่ี กิดพรอ มดวยความยินดีมาก ประกอบดว ยปญ ญาเกดิ โดยลาํ พงั ตนเอง  ดวงท่ี ๒ จติ ท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีมาก ประกอบดวยปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุน  หรือชักจูง  ดวงที่ ๓ จิตทีเ่ กดิ พรอ มดว ยความยินดีมาก ปราศจากปญญา เกิดโดยลาํ พงั ตนเอง  ดวงที่ ๔ จติ ท่ีเกิดพรอมดวยความยนิ ดีมาก ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูกกระตุนหรือ  ชกั จงู   ดวงที่ ๕ จติ ท่เี กดิ พรอมดว ยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดโดยลําพัง  ตนเอง เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

40 : เอกสารประบกอทบทก่ี ๒ารทสอศั นนวะชิเราอ่ืพงรจะิตไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๓๙  ดวงท่ี ๖ จิตทเี่ กดิ พรอ มดวยความยินดีพอประมาณ ประกอบดวยปญญา เกิดข้ึนโดยถูก  กระตุน หรือชักจงู   ดวงที่ ๗ จิตท่ีเกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดโดยลําพัง  ตนเอง  ดวงท่ี ๘  จิตที่เกิดพรอมดวยความยินดีพอประมาณ ปราศจากปญญา เกิดขึ้นโดยถูก  กระตนุ หรือชกั จูง  หากจะมีคาํ ถามวา พระอรหันตเปนผูส้ินกิเลสแลวนาจะมีปญญารูทุกอยาง แตทําไมใน  มหากิริยาจิตบางดวงจึงมีการระบุวาประกอบดวยปญญาบาง ปราศจากปญญาบาง ขอน้ีเปน  เพราะวา การกระทําหนา ท่ขี องพระอรหนั ตบ างอยาง กต็ องใชปญ ญา เชน  การแสดงธรรม เปนตน  แตบางอยางที่กระทําจนเกิดความเคยชิน ก็ไมตองใชปญญา เชน  การยืน เดิน น่ัง นอน เปนตน  เพราะจิตของพระอรหันตยอมรับรูอารมณเชนเดียวกัน แตจิตใจของทานท่ีรับอารมณตาง ๆ  เหลา น้นั  ไมไ ดเจือปนดวยกเิ ลส เพราะจิตทานสิ้นกเิ ลสโดยส้ินเชงิ แลว  ดังน้ัน การรับรูอารมณท่ีเปน  มหากิริยาจิตจึงสักวา รับรเู ฉยๆ แตไ มสง ผลเปนวบิ ากตอ ไปในการนาํ ไปเกดิ ในภพชาติตอๆ ไป  อาจกลา วไดวา จิตของพระอรหันต  สามารถมสี ภาวะเปนจิตท่ีดงี าม เชน เดียวกับมหากุศล  จิตกไ็ ด  แตตา งกนั ท่ ี มหากุศลจติ เกิดขึ้นกบั บคุ คลที่ยังไมส้ินกิเลส และพระอริยบุคคลที่ยังทําลาย  กิเลสไมห มด เมื่อมหากศุ ลจิเกดิ ข้นึ แลว ก็จะมวี บิ ากหรือผลทําใหเ กดิ มภี พใหมชาติใหมตอไป สวน  มหากริ ิยาจติ ซงึ่ เปน จิตทเ่ี กิดขึน้ กบั พระอรหันตเ ทา นัน้ เมอื่ เกดิ ขึน้ แลว  ก็ไมมีผล หรือไมมีวิบาก ท่ี  จะทําใหเ กิดภพใหม ชาตใิ หม  อกี ตอ ไป  กามาวจรจติ ๒๔ ดวงท่กี ลา วมานี ้ มีความเหมือนกันท้งั หมดไมว าจะเปน มหากศุ ลจติ  มหา  วิบากจติ และมหากริ ิยาจติ  เพราะมหากุศลก็ไดแ กก ามาวจรกศุ ลนน้ั เอง เม่อื บคุ คลประกอบความด ี อยา งใด ก็ยอมใหผลตามสมควรแกความดีน้ันๆ เชนเดียวกัน เพราะฉะนั้น มหากุศลจิตกับมหา  วิบากจติ จึงมจี ํานวนเทา กนั  และลกั ษณะเหมอื นกนั   สว นมหากิรยิ านนั้  หมายถงึ  การกระทําความดีของพระอรหันต ซึ่งจะการกระทํานั้นจะไม  สง ผลอะไร เพราะสภาวะจิตของพระอรหันตน้ันอยูเหนือผลที่เปนบุญและบาปแลว แตการท่ีมหา  กิริยาจิตมีจํานวนเทากัน และมีลักษณะเชนเดียวกันกับมหากุศลจิตน้ัน ก็เพราะมหากิริยาม ี อารมณเทากันกับมหากุศลจิต  นอกจากนี้ การกระทําความดีของพระอรหันตก็เหมือนกับการ  กระทําของปุถุชน กลาวคือบางคร้ังก็มีความยินดีมาก บางคร้ังก็มีความยินดีไมมาก (อุเบกขา)  บางครั้งก็ประกอบดวยปญญา เปนตน จะแตกตางกันก็เฉพาะกุศลกรรมน้ันไมอํานวยผลเหมือน  กศุ ลกรรมของปถุ ชุ นเทานั้น เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรอื่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึก๔ษ๐า  ๓ : 41 จิตฝายดีหรอื กุศลจิตในประเภทกามาวจรจิตนี้ เรยี กวา มหากุศลจิต เพราะเปนกุศลใหญ  หรือมีอารมณกวางขวางมากกวากุศลจิตทั้งหลาย และกุศลจิตท่ีประกอบดวยปญญา เรียกอีก  อยางหน่ึงวา  วิวฏั ฏคามนิ กี ุศล เพราะเปนไปเพ่ือหลุดพนจากการเวียนวายตายเกิด สวนกุศลจิตที ่ ปราศจากปญ ญา เรียกวา  วัฏฏคามนิ กี ุศล เพราะยังใหผลที่เปนไปอยูในการเวียนวายตายเกิดใน  ภพภูมทิ ่ดี อี ยนู ่ันเอง  ๕.๒ รูปาวจรจิต  คือ จิตสงบเปนสมาธิ หรือจิตที่เขาถึงความเปนฌาน  ซึ่งเกิดจากการ  เจรญิ สมาธิ ดังนัน้  จติ ไดฌ าน หรือรปู าวจรจติ  จงึ หมายถึง จิตที่แนบแนนอยูในอารมณกรรมฐาน  มีการเพง ส่ิงตางๆ และการกําหนดลมหายใจเขาออก เปนตน จนกระท่ังเปนสมาธิแนวแน ซึ่งมี ๓  ประเภท จํานวน ๑๕ ดวง  สิ่งที่ขัดขวางความสงบของจิต  โดยทว่ั ไป จติ ของบุคคลจะเปนสมาธิไดยาก เพราะตองรับรูอารมณตลอดเวลา ซ่ึงถือวา  เปน สง่ิ ท่ขี ดั ขวางความเปนสมาธิของจติ  เรยี กวา นิวรณ มี ๕ ประการ ไดแก  ๑) กามฉนั ทนวิ รณ คอื ความตดิ ใจในกามคุณอารมณ ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส และ การ  สัมผัสถูกตองที่ชอบใจ เมื่อใดท่ีจิตเพลิดเพลิน ติดใจในสิ่งเหลาน้ีแลว จิตก็จะไมสามารถเขาถึง  ฌานได จงึ ตองใชเอกคั คตาขม  ๒) พยาปาทนิวรณ  คือ  ความมุงปองรายผูอ่ืน เปรียบเหมือนน้ํา ท่ีเดือดพลาน  ถาจิต  ครุนคิดปองรายผูอ ่ืนอย ู จติ ก็จะไมส ามารถเขาถงึ ฌานได จึงตอ งใชป ต ิขม  ๓) ถีนมิทธนิวรณ คือ ความเซ็งและซมึ  ความหดหู ทอ แท  จนไมใสใจตออารมณที่เพงนั้น  เปรยี บเหมือนน้าํ  ทีม่ ีจอกแหนปด บังอยู ถาจิตเกิดความทอถอย ไมใสใจตออารมณท่ีกําลังเพงอย ู จิตกจ็ ะไมสามารถเขาถึงฌานได จงึ ตองใชวติ กขม  ๔)  อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ คือ  ความฟุงซานรําคาญใจ  ซึ่งเปรียบเหมือนน้ํา ท่ีถูกลมพัด  กระเพอ่ื มอยเู สมอ ถา จติ ใจยังนึกคดิ ในเร่ืองราวตา งๆ อยู จติ ก็จะไมส ามารถเขา ถึงฌานได จึงตอ ง  ใชส ขุ ขม  ๕) วิจิกจิ ฉานิวรณ คอื ความลงั เลสงสยั ไมแนใ จ เปรียบเหมือนนํ้าท่ีขุน เปนตม หรือน้ําที่ต้ัง  ไวใ นที่มดื  ถา เกิดลังเล ไมแ นใจ  จติ กจ็ ะไมส ามารถเขาถงึ ฌานได  ตองใชวิจารขม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 

42 : เอกสารประบกทอทบ่ีก๒ารทสัศอนนะวเิชรา่ือพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๔๑  องคป ระกอบของฌาน  องคประกอบสําคัญท่ีทําใหจิตเขาถึงความสงบที่เรียกวา จิตไดฌาน หรือ ฌานจิต  เรียกวา องคฌานหรือองคประกอบของฌาน  เพราะเปนองคสําคัญที่ทําใหเกิดฌานจิต มี ๕  ประการ คือ  ๑) วติ ก คอื  การยกจติ ขึ้นสอู ารมณ เมือ่ เรมิ่ ทําสมาธินนั้  ตอ งมีส่ิงสาํ หรบั เพง เชน ดิน แลว  ยกจติ ข้ึนสูอารมณ คอื  การเพงดนิ น้ัน โดยไมใหจ ติ นกึ คิดเรื่องราวตางๆ  ถาจิตนึกคิดเร่ืองราวตาง  ๆ อยู จติ กจ็ ะตกไปจากการเพงดิน ก็ตองยกจิตขึ้นสูการเพงใหม  จิตจะตองเพงอยูกับดินหรือสิ่ง  สาํ หรับใชเพงตลอดเวลา วติ กนจี้ ะเปน สิ่งท่ใี ชขมความทอ ถอย ความงว ง (ถนี มทิ ธะ) ท่เี ขาครอบงํา  จิตใจ วิตกน้เี ปรยี บเหมือนการกระพือปก ของนก  ๒) วิจาร คือ การประคองจิตใหมั่นคงอยูในอารมณท ีเ่ พง เมื่อวติ กยกจิต ขึ้นสูอารมณท เ่ี พง   แลว  วจิ ารกป็ ระคองจติ ไมใ หต กไปจากอารมณท ่ีเพง  เหมอื นการถลาไปในอากาศของนก ดังนัน้ จึง  ตอ งทําจติ ใหตั้งมั่นในอารมณท่ีเพง ไมใหจิตใจเกิดความลังเลสงสัยวา การทําสมาธิโดยการเพง  เชนนี้จะทําใหจิตสงบหรือไดไดฌานจริงหรือ  ถาหากเกิดลังเลใจ (วิจิกิจฉา)  จิตก็จะตกไปจาก  อารมณท่ีเพง  ดงั นน้ั  วิจารจึงเปน ส่ิงท่ีขม ความลงั เลสงสัย  ๓) ปติ คือ ความปลาบปล้มื ใจ อ่มิ เอบิ ใจในการเพงอารมณ เม่ือไดย กจิตข้ึนสอู ารมณแ ละ  ประคับประคองจิตใหต้ังมั่นในอารมณน้ันๆ โดยไมทอถอย และลังเลใจ  ก็จะเกิดปติหรือความ  ปลาบปลื้ม อ่ิมเอิบใจข้ึนมาตามลําดับ เมื่อจิตเกิดปติ ปลาบปล้ืมอ่ิมเอิบใจ  ก็จะไมมีความ  พยาบาท มงุ รา ย หรือขนุ เคืองใจ เขามาแทรกแซงได ดังนัน้  ปติจึงเปน สง่ิ ทข่ี มความพยาบาท  ปต มิ ที ั้งหมด ๕ ประการ ดังกลา วมาแลวขางตน แตปติท่ีจัดเปนองคประกอบของฌานที ่ สามารถขม พยาบาทน้ัน ผรณาปติ ไดแก ปต ิทซ่ี าบซานแผไปท่ัวสรรพางคกายเทาน้ัน สวนปติอีก  ๔ ประการนนั้ ไมจดั เปน องคฌาน เพราะยงั เปนของหยาบ และมกี าํ ลงั นอยอยู  ๔) สขุ คอื  ความสขุ ใจ หรอื โสมนสั เวทนา เมื่อยกจิตข้ึนสูอารมณแลว ประคองใหจ ติ ตง้ั มนั่   อยูในอารมณ  จนปติเกิดเชนน้ีแลว สุขก็ยอมเกิดตามมา ความสุข ก็คือความสงบ  ที่ปราศจาก  ความฟงุ ซาน ราํ คาญใจนนั่ เอง  ๕) เอกัคคตา  คือ จิตท่ีเปนสมาธิแนวแนในอารมณท่ีเพงเพียงอยางเดียวเทาน้ัน จิตกับ  อารมณท เ่ี พงจะรวมกันเปน หนึ่งเดยี วไมวอกแวก โดยเอกัคคตาหรือความเปนสมาธิของจิตนี้มี ๓  ระดับ คอื   ๑) ขณิกสมาธิ คือ จิตที่ตั้งมั่นอยูในอารมณไดช่ัวขณะ หรือเปนสมาธิในขณะท่ีกําลังทํา  การบริกรรม เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

บทที่ ๒ ทัศนะเร่อื งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๔ษา๒ ๓ : 43 ๒) อุปจารสมาธิ คอื จติ ท่ีตงั้ มั่นในอารมณจ นใกลจ ะไดฌ าน  ๓) อัปปนาสมาธิ คอื  จิตท่ีต้งั ม่ัน แนบแนนอยใู นอารมณท่ีกําหนด ไมซัดสายไปไหน ไมมี  กเิ ลสเขามารบกวนได ซึ่งกไ็ ดแก  จติ ไดฌานน่นั เอง  การขมนิวรณดวยอํานาจแหงองคฌานหรือการละกิเลสไดดวยการขมเอาไวนี้ เรียกวา  วิกขัมภนปหาน  เปรียบเหมือนการเอาหินมาทับหญาไว ถาไมยกหินออก  หญาก็งอกข้ึนไมได  เชนเดยี วกบั ถา ฌานยังไมเสอ่ื มหรือจติ ยังเปนสมาธิอยู สิ่งกางกั้นความเปนสมาธิของจิตก็จะไมมี  โอกาสจะเกิดขึน้ ได โดยองคฌ านจะขมนิวรณได ดงั น ี้ คือ  ๑) วติ ก  ทาํ หนา ที่  ขมถีนมิทธนิวรณ  ๒) วจิ าร  ทําหนาที ่ ขม วิจิกิจฉานิวรณ  ๓) ปต ิ  ทําหนาท่ี  ขมพยาปาทนวิ รณ  ๔) สขุ   ทําหนา ท่ี  ขม อุทธัจจนวิ รณ  ๕) เอกคั คตา  ทําหนา ที่  ขมกามฉนั ทนวิ รณ  ประเภทของฌาน  ในพระอภธิ รรม แบง รปู ฌาน เปน ๕ ประเภทพรอมทั้งองคประกอบของฌาน ตามตาราง  ดังตอ ไปน้ี  รปู ฌาน ๕  ปฐมฌาน  มอี งคฌาน ๕  คอื   วติ ก  วจิ าร ปต  ิ สขุ   เอกคั คตา  ทตุ ิยฌาน  มีองคฌ าน ๔  \"  -  วจิ าร ปต ิ สุข  เอกัคคตา  ตติยฌาน  มอี งคฌ าน ๓  \"  -  -  ปต  ิ สขุ   เอกคั คตา  จตุตถฌาน  มอี งคฌาน ๒  \"  -  -  -  สุข  เอกัคคตา  ปญ จมฌาน  มอี งคฌ าน ๒  \"  -  -  -  อเุ บกขา  เอกัคคตา เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

44 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสัศอนนวะชิเรา่ือพงรจะติ ไตรปิฎกศึกษา ๓ ๔๓  สวนตามทัศนะของพระสตุ ตนั ตปฏ ก รปู ฌานมี ๔ ประเภทพรอ มทงั้ องคฌ านดงั ตอ ไปนี ้ ปฐมฌาน  รูปฌาน ๔  ทุตยิ ฌาน  ตตยิ ฌาน  มีองคฌาน ๕  คอื   วิตก  วิจาร  ปต ิ  สขุ   เอกัคคตา  จตตุ ถฌาน  มอี งคฌ าน ๔  \"  -  วิจาร  ปต ิ  สขุ   เอกคั คตา  มอี งคฌ าน ๓  \"  -  -  ปต ิ สขุ   เอกคั คตา  มีองคฌาน ๒  \"  -  -  -  อุเบกขา  เอกคั คตา  รูปาวจรจิตนนั้ แบง เปนประเภทใหญ ๓ ประเภท ดังนี้ คือ  (๑) รูปาวจรกศุ ลจติ คือ จิตท่เี กดิ ข้ึนโดยการบําเพ็ญสมาธ ิ หรือสมถภาวนา ในตอนแรก  ยอมเปนมหากุศลจิต แตเมอ่ื จนไดอ ัปปนาสมาธ ิ หรอื สมาธทิ ี่แนวแนแลว  จิตก็จะเปล่ียนจากมหา  กศุ ลจิต เปน รูปาวจรกศุ ลจติ ที่เกดิ พรอ มกับองคฌ าน จํานวน ๕ ดวง คือ  รูปาวจรกุศลจิตดวงท่ี ๑ เรยี กวา  ปฐมฌานกุศลจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๑ เปนจิตท่ ี ประกอบดวยองคฌ าน คอื  วติ ก วิจาร ปติ สุข เอกัคคตา  รปู าวจรกุศลจติ ดวงท่ี ๒ เรยี กวา  ทตุ ิยฌานกุศลจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๒ เปนจิตที ่ ประกอบดวยองคฌ าน คอื  วจิ าร ปติ สุข เอกคั คตา  รูปาวจรกุศลจิตดวงท่ี ๓ เรียกวา ตติยฌานกุศลจิต ไดแกจิตของผูไดฌานที่ ๓ เปนจิตท่ี  ประกอบดวยองคฌาน คอื  ปติ สขุ  เอกัคคตา  รปู าวจรกศุ ลจิตดวงที่ ๔ เรียกวา   จตุตถฌานกุศลจิต ไดแ กจ ติ ของทานผไู ดฌานที่ ๔ เปน  จติ ทีป่ ระกอบดวยองคฌาน คอื  สขุ  กบั เอกัคคตา  รปู าวจรกศุ ลจติ ดวงที่ ๕ เรียกวา  ปญ จมฌานกศุ ลจติ  ไดแ ก จติ ของผไู ดฌ านที่ ๕ เปน จติ ที ่ ประกอบดว ยองคฌ าน คอื   อุเบกขากับเอกัคคตา  (๒) รูปาวจรวิบากจติ คือ จิตท่เี ปน ผลของรปู าวจรกศุ ลจิต ทท่ี าํ หนา ที่นําไปเกิดในรูปภูมิ  เปนจิตของเทวดาประเภทรูปพรหมในพรหมโลก มจี าํ นวน ๕ ดวง เทากบั รปู า วจรกุศลจติ คือ  รปู าวจรวิบากจติ ดวงท่ี ๑ เรยี กวา ปฐมฌานวิบากจิต ไดแ ก จิตของผไู ดฌ านที่ ๑ เปน จติ ท่ ี ประกอบดวยองคฌาน คอื  วิตก วิจาร ปต ิ สุข เอกัคคตา  รปู าวจรวิบากจิตดวงท่ี ๒ เรยี กวา ทุติยฌานวิบากจิต ไดแก จิตของผไู ดฌานที่ ๒ เปน จติ ท ี่ ประกอบดว ยองคฌ าน คอื  วจิ าร ปต ิ สขุ  เอกคั คตา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศึกษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทศั นะเรื่องจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปฎิ กศึก๔ษา๔ ๓ : 45 รปู าวจรวิบากจิตดวงท่ี ๓ เรยี กวา  ตติยฌานวิบากจติ  ไดแ ก จิตของผไู ดฌ านท่ี ๓ เปน จติ ที ่ ประกอบดว ยองคฌาน คอื  ปต  ิ สขุ  เอกคั คตา  รูปาวจรวบิ ากจติ ดวงที่ ๔ เรียกวา จตุตถฌานวิบากจติ  ไดแก จติ ของผไู ดฌ านท่ี ๔ เปน จติ   ทีป่ ระกอบดว ยองคฌาน คือ สขุ  กับเอกคั คตา  รูปาวจรวิบากจิตดวงท่ี ๕ เรียกวา  ปญจมฌานวิบากจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๕ เปน  จิตทป่ี ระกอบดวยองคฌ าน คือ  อุเบกขากบั เอกคั คตา  (๓) รูปาวจรกริ ิยาจติ คอื  จิตของพระอรหนั ต ทีเ่ ขา รปู ฌาน มีลักษณะเชน เดียวกับ รูปาว  จรกศุ ลจติ  แตเ กดิ ขน้ึ กบั พระอรหันตเ ทา นัน้  จึงช่ือวา รูปาวจรกริ ิยาจิต เพราะไมมีผลเปนวิบากจิต  ในอนาคต มี ๕ ดวง คอื   รูปาวจรกิริยาจิตดวงท่ี ๑ เรยี กวา ปฐมฌานกริ ยิ าจติ  ไดแก จิตของผูไดฌ านท่ี ๑ เปนจิตท ี่ ประกอบดวยองคฌาน คอื  วิตก วิจาร ปต ิ สขุ  เอกัคคตา  รูปาวจรกิริยาจิตดวงท่ี ๒ เรยี กวา ทุติยฌานกริ ยิ าจติ  ไดแก จติ ของผไู ดฌ านท่ี ๒ เปนจิตท ี่ ประกอบดวยองคฌาน คือ วจิ าร ปต ิ สขุ  เอกคั คตา  รูปาวจรกริ ยิ าจติ ดวงที่ ๓ เรยี กวา  ตติยฌานกิรยิ าจติ  ไดแก จติ ของผูไดฌานที่ ๓ เปนจิตท่ี  ประกอบดว ยองคฌาน คือ ปต ิ สุข เอกัคคตา  รูปาวจรกริ ิยาจิตดวงที่ ๔ เรยี กวา   จตตุ ถฌานกิริยาจติ  ไดแก จติ ของผไู ดฌานที่ ๔ เปน จติ   ท่ีประกอบดว ยองคฌ าน คอื  สขุ  กบั เอกคั คตา  รปู าวจรวิบากจติ ดวงที่ ๕ เรียกวา  ปญจมฌานกิริยาจิต ไดแก จิตของผูไดฌานท่ี ๕ เปน  จิตที่ประกอบดว ยองคฌ าน คือ  อุเบกขากบั เอกคั คตา  ๕.๓ อรปู าวจรจิต คอื  จิตของบุคคลผูไดอรูปฌานซึ่งมีอรูปธรรมเปนอารมณ หรือจิตซ่ึง  อารมณท ป่ี ราศจากรูป จติ ประเภทน้จี งึ มีชอ่ื เรยี กวา ฌานจิต เหมือนรปู าวจรจติ  เปน ฝา ยดีฝา ยกสุ ล  ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา บุคคลผูปฏิบัติสมถกรรมฐาน จนไดรูปฌานช้ันท่ี ๕ แลว  หากปรารถนาทจ่ี ะเจรญิ ฌานทําสมาธิใหย่งิ ขน้ึ ไปอกี ก็จะตองเจริญอรูปฌานอีก ๔ ช้ัน โดยแตละ  ช้นั มลี กั ษณะ ดังน ้ี อรปู ฌานช้นั ท่ี ๑ ชื่อวา อากาสานญั จายตนฌาน ไดแก  การเพงอากาศท่ีวางเปลาอยาง  ไมม ีทสี่ น้ิ สุด เปน อารมณ ในการเจริญกรรมฐาน  อรูปฌานชัน้ ท่ี ๒ ชือ่ วา วญิ ญาณญั จายตนฌาน ไดแก การนําเอาฌานจิตที่เกิดในอรูป  ฌานชั้นที่ ๑ คือ อากาสานัญจายตนฌานจิต มาเปน อารมณในการเจริญกรรมฐาน เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศึกษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรกั ษ ปราบนอก 

46 : เอกสารประกบอทบทก่ี ๒ารสทอศั นนวะิชเรา่ือพงรจะติไตรปิฎกศกึ ษา ๓ ๔๕  อรูปฌานชน้ั ที่ ๓ ชื่อวา อากิญจัญญายตนฌาน ไดแก การทําวิญญานัญจายตนฌาน  บอยๆ จนชาํ นาญ ก็จะรูส ึกวาอากาศที่ไมมีที่ส้ินสุดและวิญญาณ คือตัวรูท่ีรูวา อากาศนั้น ไมมีท่ี  สิ้นสุด จริง ๆ แลว ท้ังสองอยางก็ไมมี กลาวคือ อากาสานัญจายตนฌานที่เปนอารมณของ  วิญญาณัญจายตนฌานกไ็ มม ี ผูปฏิบัติ จึงนําเอาสภาพที่ไมมีอากาสานัญจายตนฌานเชนนี้มา  เปนอารมณ ในการเจริญกรรมฐาน  อรูปฌานช้ันที่ ๔ ช่ือวา  เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน  ไดแก การนําเอาความสงบ  ประณตี ละเอียดออนของฌานจติ ท่เี กดิ ในอรปู ฌานช้ันที่ ๓ เปน อารมณใ นการเจริญกรรมฐาน  อรูปาวจรจติ หรอื อรปู จิต ซง่ึ มี ๔ ช้ันนี้ แตละฌานจะแตกตางกันที่ลักษณะของอารมณ  เทา นัน้ สวนองคฌานนน้ั เหมอื นกนั ท้ังหมด คือ มเี พยี งอเุ บกขากับเอกัคคตาเทานั้น เชนเดียวกันกับ  องคฌ านของรูปฌานที่ ๕  ดงั น้ัน จึงอาจกลาวไดวา  อรูปฌานนัน้ เปนฌานที่ ๕ เชนเดียวกนั   อรูปาวจรจิต แบง ออกเปน ๓ ประเภท จาํ นวน ๑๔ ดวง ดังน้ี  (๑) อรูปาวจรกศุ ลจติ คือ จิตท่ีเกดิ ขน้ึ ในขณะเขา อรูปฌานช้นั ตา งๆ มจี ํานวน ๔ ดวง คือ  ดวงที่ ๑  อากาสานญั จายตนกุศลจิต  ดวงท่ี ๒  วญิ ญานญั จายตนกุศลจิต  ดวงท่ี ๓  อากิญจญั ญายตนกุศลจิต  ดวงท่ี ๔  เนวสัญญานาสญั ญายตนกุศลจติ   (๒) อรปู าวจรวบิ ากจิต คอื  จติ ทเี่ ปน ผลของอรูปาวจรกุศลจติ ซ่งึ จะนําไปเกดิ เปนอรปู พรหม  โลกชน้ั ตา งๆ ตามกาํ ลังของอรูปาวจรกุศลจิต มจี าํ นวน ๔ ดวง คือ  ดวงที่ ๑  อากาสานญั จายตนวิบากจติ   ดวงที่ ๒  วญิ ญานญั จายตนวิบากจติ   ดวงที่ ๓  อากิญจญั ญายตนวิบากจติ   ดวงท่ี ๔  เนวสัญญานาสญั ญายตนวบิ ากจิต  (๓) อรปู าวจรกริ ยิ าจิต คือ จติ ของพระอรหนั ตท่ีเกดิ ขึน้  ในขณะทีเ่ ขา อรูปฌาน ชนั้ ตา ง ๆ  มีจํานวน ๔ ดวง คอื   ดวงที่ ๑  อากาสานัญจายตนกิรยิ าจิต  ดวงท่ี ๒  วญิ ญานัญจายตนกริ ยิ าจิต  ดวงที่ ๓  อากญิ จญั ญายตนกริ ยิ าจิต  ดวงที่ ๔  เนวสญั ญานาสัญญายตนกริ ยิ าจติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพระไตรปฏ กศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรักษ ปราบนอก 

บทท่ี ๒ ทัศนะเรือ่ งจิต เอกสารประกอบการสอนวชิ าพระไตรปิฎกศึกษ๔า๖๓  : 47 ๕.๔ โลกตุ ตรจิต คอื จิตทมี่ ีนิพพานเปนอารมณ เปน จติ ทส่ี ามารถทําลายกเิ ลสได  เปน จติ   ทีม่ ีสภาวะอยเู หนือโลก คาํ วา โลก ในทีน่  ี้ หมายถึง กามโลก (อบายภมู ิ มนษุ ยโลก และเทวโลก) รปู   โลก (รปู พรหม) และอรปู โลก (อรูปพรหม) มี ๒ ประเภท คือ  (๑) โลกุตตรกุศลจิต หรือ มรรคจิต คือ จิตท่ีกําลังทําลายอนุสัยกิเลสไดอยางเด็ดขาด  เรียกวา  สมุจเฉทปหาน มีจาํ นวน ๔ ดวง คือ  ดวงท่ี ๑  โสดาปต ตมิ ัคคจติ   ดวงที่ ๒  สกทาคามมิ ัคคจิต  ดวงที่ ๓  อนาคามมิ ัคคจติ   ดวงที่ ๔  อรหตั ตมคั คจติ   (๒) โลกตุ ตรวบิ ากจติ หรือ ผลจติ คือ จิตท่ีเปน ผลของ โลกุตตรกศุ ลจติ  เปน จติ ท่ที ําลาย  อนสุ ยั กิเลสไดแลว  อยางสงบราบคาบ โดยส้ินเชิง เรียกวา ปฏิปสสัมภณปหาน มีจํานวน ๔ ดวง  เชนกัน คือ  ดวงที่ ๑  โสดาปตติผลจติ   ดวงที่ ๒  สกทาคามิผลจิต  ดวงที่ ๓  อนาคามผิ ลจิต  ดวงที่ ๔  อรหัตตผลจติ   โลกุตตรจติ ท้งั ๒ ประเภทน้นั จะเกิดขน้ึ ตอเน่ืองกนั  กลา วคือ เม่อื มัคคจติ  เกดิ ขนึ้ และดบั ลง  แลว  ผลจิตกจ็ ะเกิดติดตอ กนั ทนั ทที นั ใด โดยไมมีจติ ใดเกิดขน้ึ มาคัน่ ระหวางกลางเลย  ประเภทและการทําลายกเิ ลส  กิเลสหรือส่ิงทีท่ าํ ใหจติ ใจเศราหมอง จะเขา ประกอบเฉพาะอกุศลจติ เทานน้ั แบง ไดเปน ๓  ระดับ คือ  ๑) กิเลสอยางหยาบ เรียกวา วตี ิกกมกิเลส คือ กเิ ลสท่ีแสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจา  กิเลสหยาบน้ีสามารถระงับยบั น้ังไวไดดวยศลี  ซง่ึ จะทาํ ใหเ กดิ ความสงบในบางคราว ในขณะที่ยงั มี  การรักษาศลี อย ู การทําลายกเิ ลสในลักษณะเชนน ี้ เรียกวา ตทังคปหาน  ๒) กเิ ลสอยา งกลาง เรยี กวา ปริยุฏฐานกเิ ลส คือ กิเลสที่เกิดอยูภายในใจ  ยังไมไดแสดง  ออกมาทางกาย หรือวาจา  กิเลสชนิดนี้สามารถขมไวไดดวยอัปปนาสมาธิ การทําลายกิเลสใน  ลกั ษณะเชน น้ี เรยี กวา วิกขัมภนปหาน  ๓) กเิ ลสอยางละเอยี ด เรยี กวา  อนสุ ยั กเิ ลส คอื  กิเลสที่นอนเนอื่ งอยูในสันดานของตนเอง  ไมม ใี ครสามารถรูไ ด  นอกจากพระพุทธเจาเทานั้น กิเลสชนิดนี้ตองทําลายดวยปญญาในมัคคจิต เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พทุ ธรักษ ปราบนอก 

48 : เอกสารประบกทอบทก่ี ๒ารทสศัอนนวะิชเรา่ือพงรจะติ ไตรปฎิ กศกึ ษา ๓ ๔๗  ทง้ั ๔ ซง่ึ เปนการทําลายโดยไมใหเหลอื เช้อื อีกตอ ไป ชื้อ และจะไมก ลับมขี ้นึ อีก การทาํ ลายกิเลสใน  ลักษณะเชน น้ี เรยี กวา สมจุ เฉทปหาน  การทําลายกเิ ลสของมคั คจติ   ดังท่ีกลาวมาแลวขางตนวา กิเลสทั้งหมดจะเขาประกอบเฉพาะอกุศลจิตเทานั้น ดังนั้น  การทําลายกเิ ลสก็คอื การทาํ ลายอกุศลจิตทัง้ ๑๒ ดวงนนั่ เอง โดยมัคคจิตสามารถทําลายกิเลสได  ดงั นี้ คอื   ๑) โสดาปต ติมัคคจติ สามารถทําลายโลภมลู จิตทป่ี ระกอบดวยความเห็นผิด ๔ ดวง และ  โมหมลู จิตท่ีประกอบดว ยความสงสยั ๑ ดวง  ๒) สกทาคามมิ คั คจิต สามารถทําลายกิเลสที่เหลอื ใหเ บาบางลง  ๓) อนาคามมิ ัคคจิต สามารถทําลายโทสมูลจิตไดท ั้ง ๒ ดวง  ๔) อรหัตตมัคคจิต สามารถทาํ ลายโลภมูลจติ ทไี่ มประกอบดวยความเห็นผิด ๔ ดวง และ  โมหมูลจติ ที่ประกอบดวย ความฟงุ ซา น ๑ ดวง  ดงั นัน้  มัคคจติ ท้งั ๔ ดวง จึงสามารถทําลายอกศุ ลจติ ครบทัง้ ๑๒ ดวงไดอ ยา งส้ินเชิง  ประเภทของพระอรยิ บคุ คล  ตามหลักการของพระพทุ ธศาสนาบุคคลใดสามารถทําลายกิเลสไดบุคคลน้ันยอมมีฐานะ  เปนพระอริยบุคคล ซ่ึงหมายถึง บุคคลผูประเสริฐ เพราะสามารถทําลายกิเลสได โดยคําวา  อรยิ บคุ คล มาจาก คําวา อริยะ แปลวา  ประเสริฐ และคําวา บุคคล เม่ือรวมกันแลวก็หมายความ  วา   บุคคลผปู ระเสรฐิ ซ่ึงสามารถทาํ ลายกเิ ลสได  โดยแบงออกเปน ๔ ประเภท ดงั นี ้ คือ  (๑) พระโสดาบัน  ดงั ทีก่ ลาวมาแลวขางตน เมื่อมัคคจิตซึ่งทําหนาท่ีทําลายกิเลสเกิดและดับไป ผลจิตก็จะ  เกิดขนึ้ ติดตอกนั ท้นั ท ี ดงั นน้ั  เมอ่ื โสดาปต ติมัคคจิต เกิดขึ้นแกบุคคลใด โสดาปตติผลจิต ก็จะเกิด  ขึน้ กับบุคคลนั้นตามมาทนั ท ี เรียกวา พระโสดาบันบุคคล หรอื พระเสขบุคคล ไดแก บุคคลทจ่ี ะตอ ง  ศกึ ษา พยายามทาํ ลายทเ่ี หลืออยูใหหมดส้ินไป จนกระท่ังจะบรรลุเปนพระอรหันต พระโสดาบัน  บคุ คลทงั้ หมดจะไมไปเกิดในอบายภมู ิ ๔ อยา งแนนอน แตจ ะไปเกิดเปน มนษุ ยบ า ง เทวดาบา ง แต  ก็มีพระโสดาบันอีกประเภทหน่ึงที่มีอัธยาศัยยินดีพอใจ ในการเวียนวายตายเกิดจนครบ ๗ ชาต ิ เรียกวา  วัฏฏาภิรตโสดาบัน  โดยจะไปบังเกิดในเทวโลกทั้ง ๖  ตลอดจนช้ันอกนิฏฐพรหม เชน  อนาถบิณฑกิ เศรษฐี วสิ าขามหาอบุ าสิกา ทาวสกั กเทวราช เปนตน แตโ ดยทัว่ ไป พระโสดาบันมี ๓ เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าพระไตรปฏกศกึ ษา ๓ ผศ.ดร.พุทธรกั ษ ปราบนอก 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook