87 วา่ เปน็ สงิ่ อันควรรับฟัง 5. บรรดากุลสตรกี ลุ กุมารที งั้ หลาย ใหอ้ ยู่ดโี ดยมถิ ูกขม่ เหง หรือฉุดคร่าขืนใจ 6. เคารพสกั การะบชู าเจดีย์ (ปูชนียสถานและปชู นียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่าง ๆ) ของวัชชี (ประจาชาต)ิ ทงั้ หลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทาแก่เจดีย์เหล่าน้ัน เส่อื มทรามไป 7. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ท้ังหลาย (ในที่นี้กิน ความกว้าง หมายถึงบรรพชิตผู้ดารงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนท่ัวไป) ตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ ท้งั หลายทย่ี งั มไิ ด้มา พงึ มาสแู่ ว่นแคว้น ทม่ี าแล้วพึงอยใู่ นแว่นแควน้ โดยผาสกุ อปริหานิยธรรม 7 ประการน้ี พระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่เจ้าวัชชีท้ังหลาย ผู้ปกครองรัฐโดย ระบอบสามัคคีธรรม ซ่ึงรัฐคู่อริยอมรับว่า เม่ือชาววัชชียังปฏิบัติตามหลักธรรมน้ี จะเอาชนะด้วย การรบไม่ได้ นอกจากจะใช้การเกล้ียกล่อมหรือยุแยกให้แตกสามัคคี. (ที.ม.10/68/86; องฺ.สตฺตก. 23/20/18) อปริหานิยธรรม 7 ของภิกษุ หรือ ภิกขุอปริหานิยธรรม 7 ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความ เสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝา่ ยเดยี ว สาหรับภกิ ษุท้ังหลาย 1. หมั่นประชมุ กันเนืองนิตย์ 2. พรอ้ มเพรียงกันประชมุ พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทากิจที่สงฆ์จะต้องทา ข้อนี้แปลอีกอย่างว่า : พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันลุกขึ้นจัดการแก้ไขส่ิงเสียหาย เหตุไม่ งาม พร้อมเพรียงกนั ทากจิ ทส่ี งฆจ์ ะต้องทา 3. ไม่บัญญัติสิ่งท่ีพระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ล้มล้างส่ิงที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ สมาทาน ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามท่พี ระองค์ทรงบญั ญัติไว้ 4. ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เห็น ถอ้ ยคาของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรบั ฟัง 5. ไม่ลอุ านาจตัณหาคอื ความอยากท่ีเกิดขึ้น 6. ยินดีในเสนาสนะปา่ 7. ตัง้ สตริ ะลึกไวใ้ นใจว่า สพรหมจารี (เพ่อื นพรหมจารี) ท้งั หลายผู้มีศีลงาม ซ่ึงยังไม่มา ขอให้ มา ที่มาแล้ว ขอให้อย่ผู าสุก (ที.ม.10/70/90; อง.ฺ สตฺตก.23/21/21) พระมหาจรรยา สทุ ธญิ าโณ ให้ความหมายของอปริหานิยธรรมไว้ว่า “อปริหานิยธรรรมของ กษัตริย์วัชชี หรือ วัชชี อปริหานิยธรรม 7 หมายถึง ธรรมอันไม่เป็นท่ีต้ังแห่งความเส่ือม เป็นไปเพื่อ ความเจริญฝ่ายเดียว สาหรับหมู่ชน หรือผู้บริหารบ้านเมือง” (พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ, 2533, หน้า 5) พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ใหค้ วามหมายของอปริหานิยธรรมไว้ว่า “อปริหานิยธรรมของ ภิกษุหรือภิกขุอปริหานิยธรรม 7 หมายถึง ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญ ฝ่ายเดียว สาหรบั ภิกษทุ ั้งหลาย” (พระธรรมปีฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต), 2546, หนา้ 250) พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) ได้ให้ความหมายของอปริหานิยธรรม ไว้ว่า หมายถึง ศิลปะในการใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขความเจริญ เช่นรู้จักฐานะของตนเองและผู้อ่ืน (เด็ก – ผู้ใหญ่) รู้จักวิธีการปฏิบัติต่อผู้อ่ืน (ให้เกียรติ-ให้ความเคารพ) ตลอดถึงให้ความสาคัญกับสิ่งดี
88 งามทั้งหลายที่มหาชนให้ความเคารพนับถือ ซ่ึงเป็นเหตุก่อให้เกิด ความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน ปรารถนาท่ีจะมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ความเจริญ ไม่ให้เกิดความเสื่อมข้ึนในเร่ืองใด เรื่องหนึง่ (พระเทพคิลก, นิเทศธรรม, 2534, หน้า 326) และในพระไตรปิฎก ในอังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ไส้ให้ความหมายของอปริหานิยธรรมไว้ อปริหานิยธรรม หมายถึง ธรรมของผู้ปกครองหรือของผู้บริหาร อันเป็นที่ตั้งแห่งความเจริญฝ้ายเดียว ไมม่ ีเสื่อม ประกอบดว้ ยธรรม 7 ประการ คอื 1. หมน่ั ประชมุ กนั เนืองนิตย์ 2. เมื่อเข้าประชุม ก็ประชุมพร้อมเพรียงกัน เม่ือเลิกประชุมก็เลิกพร้อมเพรียงกัน และพร้อม เพรยี งช่วยกันทากิจ ท่ีควรทา 3. ไม่บัญญัติสิ่งท่ียังไม่บัญญัติไว้ และไม่ถอนส่ิงท่ีท่านบัญญัติไว้แล้ว ด้วยการประพฤติม่ันอยู่ ในธรรมครงั้ โบราณ ตามที่ทา่ นบญั ญตั ิไว้ 4. สักการะ เการพ นบั ถือ บูชาท่านทเี่ ปน็ ผใู้ หญ่ท้งั หลาย และให้ความสาคัญถ้อยคาแห่งท่าน เหล่าน้นั วา่ เปน็ ถอ้ ยคาอันตนพงึ เช่ือฟัง 5. ไมข่ ม่ ขืนบังคบั ปกครองหญงิ ในสกลุ ตามอานาจของกเิ ลสตณ้ หา 6. สกั การะ เการพ นับถือ บูชาเจดีย์ สถานท่ีควรเคารพ ท้ังภายใน และภายนอก และไม่ลบ ล้างพธิ กี รรมอันชอบธรรมซึ่งเคยใหแ้ ละเคยทา แกส่ ถานทสี่ าคญั เหลา่ น้นั 7. ถวายความอารักขา ความคมุ้ ครอง ทะนบุ ารงุ ผู้ทรงศลี หรือพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอย่าง ดี และหวังว่า พระอรหนั ตท์ ้ังหลายทย่ี ังไมม่ า จะมาส่แู คว้นน้ี และทีม่ าแล้ว จะอยู่อย่างเป็นสุข (อง.สตฺ ตก. 37/19/43) อปริหานิยธรรมที่มกี ล่าวถึงในพระพุทธศาสนานี้ มิไดม้ ีแตเ่ พียงแต่อปรหิ านยิ ธรรม 7 ประการ เท่าน้ัน แต่ยังมีอปริหานิยธรรมอ่ืน ๆ อีก เช่น อปริหานิยธรรม 6 ประการ และอปริหานิยธรรม 7 ประการ สาหรับพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา ในอปริหานิยสูตร อังคุดครนิกาย ดังท่ีกล่าวไว้ ดว้ ยวา่ ความเป็นผู้ไม่ชอบการงาน1 ความเป็นผู้ไม่ชอบคุย 1 ความเป็นผู้ไม่ชอบหลับ 1 ความเป็นผู้ ไม่ชอบคลกุ คลีด้วยหมู่คณะ 1 ความเป็นผู้ว่าง่าย 1 และความเป็นผู้มีมิตรดี 1 คือธรรมอันไม่เป็นท่ีต้ัง แหง่ ความเสือ่ ม เป็นไปเพื่อความเจรญิ ฝ่ายเดยี วสาหรบั ภิกษทุ ั้งหลาย (อง.ุ ฉกุก. 36/253/582) พวกภิกษจุ ักเป็นผู้มีศรัทธา, พวกภิกษุจักเป็นผู้มีใจประด้วยหิริ, พวกภิกษุเป็นผู้มี โอดตัปปะ, พวกภิกษุจักเป็นผู้พหูสูต, พวกภิกษุจักเป็นผู้ปรารภความเพียร, พวกภิกษุจักเป็นผู้มีสติต้ังมั่น, พวก ภิกษุจกั เปน็ ผู้มีปัญญาพึงหวังได้ ซ่ึงความเจริญอยา่ งเดยี ว ไมม่ เี สอ่ื ม เพยี งน้ัน (ท.ี ม. 13/72/243) สามารถ มังสัง (2562 ออนไลน์) ได้เขียนบทความออนไลน์ และได้กล่าวถึง อปริหานิยธรรม ที่ว่าด้วยหลักหลักการปกครองแนวพุทธ ไว้ว่า ในการปกครององค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็ก หรือองคก์ รขนาดใหญ่ จะต้องมีระเบียบข้อบังคับ และกฎหมายเป็นหลัก แต่การบังคับใช้กฎหมายจะ ได้ผลอย่างจริงจัง ก็จะต้องนากติกาทางสังคมรูปแบบอื่น ซึ่งเกิดข้ึนและดารงอยู่ก่อนท่ีกฎหมายจะ ออกมาบังคับใช้มาพิจารณาร่วมด้วย และกติกาทางสังคมท่ีว่าน้ีได้แก่ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี รวมไปถึงคาสอนของศาสนาซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือ จึงจะทาให้สังคมได้รับความเป็นธรรม และอยู่
89 ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ แต่ถ้าใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว สังคมจะได้รับความเป็นธรรม และอยู่ ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ยาก ทั้งน้ีเน่อื งจากเหตปุ ัจจยั ดงั ต่อไปน้ี 1. ในโลกของปุถุชนคนทุกคนมีกิเลส และกิเลสท่ีแต่ละคนมีอยู่แตกต่างกัน ทั้งมากน้อยไม่ เท่ากันด้วย จึงจาเป็นต้องมีคุณธรรมและจริยธรรม ซ่ึงสอดแทรกอยู่ในกติกาทางสังคมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คาสอนของศาสนา ดังน้ัน ถ้าทุกคนในสังคมเรียนรู้และปฏิบัติตาม ก็จะทาให้การออกกฎหมายและการบังคับใช้ กฎหมายเกดิ ความเป็นธรรม และเกดิ ผลในทางปฏิบัติมากกว่าใช้กฎหมายเพยี งอยา่ งเดยี ว 2. ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย เร่ิมตั้งแต่เจ้าหน้าท่ีตารวจหรือเจ้าหน้าท่ีอื่นใด ซ่ึงมี อานาจหน้าที่ในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทาผิดกฎหมายมาลงโทษ โดยการสอบสวนเพ่ือหา พยานหลักฐาน และทาสานวนส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาส่งฟ้องต่อศาล เพื่อพิจารณาตัดสิน ลงโทษผกู้ ระทาผดิ ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ต้นจนจบ มีบุคลากรเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ถ้าใน ขน้ั ตอนใดขั้นตอนหน่ึง ผู้ท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบไม่มีคุณธรรม และจริยธรรม การบังคับใช้กฎหมายก็ถูก บิดเบือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีที่จาเลยมีอิทธิพลทางด้านการเงิน ทางด้านการเมือง หรือในวง ราชการ ความไมเ่ ปน็ ธรรมแก่โจทย์กเ็ กิดขนึ้ ได้ ประเทศไทยมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และคาสอนของศาสนาพุทธไม่เป็น ปฏิปักษ์ต่อผู้นับถือศาสนาอื่น ท้ังไม่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ ประกอบกับขนบธรรมเนียม และจารีต ประเพณีซึง่ คนไทยสว่ นใหญถ่ อื ปฏบิ ตั อิ ย่ลู ้วนแลว้ แตม่ ีคาสอนของศาสนาพทุ ธสอดแทรกอยู่ท้ังสิ้น ดังนั้น จึงสามารถนากติกาทางสังคมท่ีว่าน้ีมาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศได้ และคา สอนของศาสนาพทุ ธที่ควรจะได้นามาใช้ก็คือ อปริหานิยธรรม 7 ของกษัตริย์วัชชี หรือวัชชีอปริหานิย ธรรม 7 ซึ่งหมายถึงธรรมอันไม่เป็นท่ีตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว สาหรับชน หรือผบู้ รหิ ารบ้านเมอื งคือ 1. หมนั่ ประชมุ กนั เนอื งนติ ย์ 2. พรอ้ มเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พรอ้ มเพรียงกนั ทากจิ ทพ่ี ึงทา 3. ไม่บญั ญัตสิ ่ิงท่มี ไิ ด้บัญญตั ิไว้ อนั ขดั ต่อหลักการเดิม ไม่ล้มล้างส่ิงท่ีบัญญัติไว้ (ตามหลักการ เดมิ ) ถือปฏิบตั ติ ามวชั ชีธรรม ตามทวี่ างไว้เดิม 4. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคาของท่านว่า เป็นส่งิ อันควรรบั ฟงั 5. มรรคากุลสตรี กุลกุมารีทง้ั หลาย ใหอ้ ยูด่ ีโดยมถิ กู ข่มเหงหรือฉุดครา่ ขืนใจ 6. เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่าง ๆ) ของ ชาววัชชี (ประจาชาติ) ทั้งหลาย ท้ังภายในภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีท่ีเคยให้เคยทาแก่เจดีย์ เหล่านั้นเสือ่ มทรามไป 7. จัดให้ความอารักขาคุ้มครองป้องกันอันมิชอบธรรมแก่พระอรหันต์ท้ังหลาย (ในท่ีนี้กิน ความกว้างหมายถึงบรรพชิต ผู้ดารงธรรมเป็นหลักของประชาชนท่ัวไป) โดยตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ ท้งั หลายที่ยงั ไม่ไดม้ าพึงมาส่แู ควน้ ทม่ี าแล้วพึงอยู่ในแว่นแควน้ โดยผาสกุ
90 ทั้ง 7 ประการข้างต้นคือ ธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เจ้าวัชชีผู้ปกครองแคว้นโดย ระบอบสามัคคีธรรม ซึ่งมีที่มาปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 โดยนัยแห่งธรรม 7 ประการข้างต้น จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเน้นให้ผู้ปกครองแคว้นมีความสามัคคีต่อกัน และยึดหลัก 3 ประการคือ ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองแว่นแคว้น (สามารถ มังสัง, 2565) สรุปได้ว่า อปริหานิยธรรม 7 หมายถึง ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความ เจริญฝ่ายเดียว สาหรับหมู่ชน หรือผู้บริหารบ้านเมือง หากสรุปตามวัตถุทางด้านการปกครองแล้ว อปริหานยิ ธรรม 7 ประการนี้มอี งค์ประกอบ ดงั นี้ 1. หม่ันประชุมกันเนืองนิตย์ วัตถุประสงค์ของหลักอปริหานัยธรรมข้อที่ 1 คือ ผู้ท่ีมีบทบาท สาคัญในด้านการบริหารเพื่อให้มีโอกาสแลกเปล่ียนความคิดเห็น ประสบการณ์ และปัญหา อีกทั้ง แนวทางท่ีจะนามาแก้ปัญหาน้ัน ๆ เป็นการระดมความคิด ระดมสมอง ความรู้ความสามารถที่ทุกคน นามาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ขอ้ บกพรอ่ ง เพ่อื ล่งเสริมการพฒั นาให้มคี วามเจริญในด้านต่าง ๆ 2. พรอ้ มเพรียงกันประชมุ พรอ้ มเพรียงกนั เลิกประชุม พรอ้ มเพรยี งกนั ทากิจท่ีพึงทา ท่ีพึงทา รว่ มกนั (ความสามัคคีในการประชุมและทากิจกรรม) จัดให้มีประชุมโดยการกาหนดวาระประชุมโดย กาหนดวัน เวลา และสถานที่อย่างถูกต้อง มีหนังสือเรียนเชิญผู้มีส่วนเก่ียวข้อง มาร่วมวางแผน ดาเนินงาน ก็เพอ่ื ให้ไดร้ บั ทราบอนั เปน็ ความสาคญั ของการประชมุ ไดอ้ ยา่ งพรอ้ มเพรยี งกนั 3. ไม่บัญญัติส่ิงที่มิได้บัญญัติไว้ อันขัดต่อหลักการเดิม ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ ตามหลักการ เดิม ตามท่ีวางไว้เดิม กล่าวคือ การอกกฎหมาย หรือพระราชบัญญัติต่าง ๆ นั้น ควรอ้างอิงจาก หลกั การเดิมเป็นมลู พ้ืนฐาน เชน่ การออกกฎหมายควรคานึงถึงผลได้ ผลเสีย ผลกระทบต่อประชาชน โดยส่วนรวม ท้ังน้ีเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือผลกระทบท่ีจะตามมาน้อยท่ีสุด ดังน้ันการออก พระราชบญั ญตั ิ ควรยดึ ถือหลกั การพ้นื ฐานเป็นสาคญั 4. ทา่ นเหลา่ ใดเป็นผใู้ หญเ่ คารพนับถือท่านเหล่าน้ัน เห็นถ้อยคาของท่านว่าเป็นส่ิงอันควรรับ ฟัง ในประเด็นการศึกษานี้ผู้วิจัยสนใจคาว่า “ผู้มีอายุ” และ “ผู้มีคุณธรรม” กล่าวคือ ผู้ใหญ่ในที่น้ี หมายถงึ ผู้มีประสบการณ์ดา้ นต่าง ๆ ทีไ่ ดเ้ หน็ และผา่ นสถานการณ์ต่าง ๆ มามากมาย เห็นมุมมองใน เชิงลึกของปัญหา รวมถึงข้อผิดพลาด รวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีคุณธรรมท่ีมองหลักธรรม กระจ่างแจง้ 5. มรรคากุลสตรี กุลกุมารีทั้งหลาย ผู้อยู่ใต้ปกครอง ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หมู่ พวก กลุ่ม เผ่าชนหรือกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ผู้ที่ต่ากว่า ยากจนกว่า หรือประชาชนท่ัวไปโดยให้เกียรติและให้การ คมุ้ ครอง 6. เคารพสกั การบชู าเจดีย์ (ปชู นียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่าง ๆ) ท้ังภายใน ภายนอก ไมป่ ล่อยให้ธรรมกิ พลีทเ่ี คยใหเ้ คยทาแก่เจดยี ์เหล่านน้ั เสอื่ มทรามไป เจดยี ์ในท่ีน้ี หมายถึง ส่ิง ทคี่ วรเคารพบูชาสักการทุกอย่าง รวมไปถึงศาสนสถาน ซ่ึงมิอิทธิพลอย่างย่ิงต่อวิถีชีวิตของคนไทยนับ แตอ่ ดตี จนจนถึงปัจจบุ นั เปน็ แหลง่ ที่รวมพลังศรัทธา รวมพลังจิตใจ รวมพลังคักดิ์สิทธิ์เจดีย์ถือเป็นส่ิง ดึงดูดใจที่ดีที่สุดของลังคมไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจ และเป็นกาลังทางใจของชุมชน ท้ังในด้านที่ สาคัญ ๆ เช่น ด้านท่ีเก่ียวข้องกับประวัติศาสตร์ คาสนฟิธี ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม
91 ขนบธรรมเนียม ประเพณี เป็นต้น อีกท้ังรวมไปถึงบุคคลท่ีเป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติ เชน่ พระมหากษัตริย์ 7. จัดให้ความอารักขาคุ้มครองป้องกันอันมิชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้กิน ความกว้างหมายถึงบรรพชิต ผู้ดารงธรรมเป็นหลักของประชาชนทั่วไป) สาคัญของผู้ที่มากด้วย คณุ ธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม ผู้ถือศีล ผู้มีคุณธรรม ท้ังพระสงฆ์ และฆารวาส กล่าวคือ ปัจจุบันน้ี สังคมเต็มไปด้วยความขัดแย้งซ่ึงผลประโยชน์ และมักก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม ดังนั้น การหา แนวทางป้องกัน และยับย้ังปัญหาที่จะเกิดข้ึน ทั้งนี้การส่งเสริมผู้ท่ีมากด้วยหลักศีลธรรม และ จริยธรรม ให้ความคุ้มครองให้มาก ก็เปรียบเสมือนกับการดารงศีลธรรมให้เกิดในสังคมต่อไป เพราะ หากขาดผูท้ ่จี ะถ่ายทอดศลี ธรรมเหล่าน้ันแล้ว สังคมอาจเกดิ ความวุ่นวายได้ ดังท่ีได้กล่าวมาหลักอปริหานิยธรรม 7 อันเป็นแนวทางในการบริหารจัดการเชิงพุทธศาสตร์ เพื่อประกอบการพิจารณาด้านความคิด ด้านพื้นฐานแห่งความคิด และใช้ปฏิบัติในการบริหารจัดการ การปกครองไดเ้ ป็นอยา่ งดี 3.4 แนวคิดเก่ียวกบั หลักราชสังคหวัตถุ 4 3.4.1 ความหมายของหลกั ราชสังคหวัตถุ 4 สังคหวัตถุของผู้ครองแผ่นดิน หรือ ราชสังคหวัตถุ 4 (สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเคร่ือง ยึดเหนย่ี วจิตใจประชาชน, หลกั การสงเคราะหป์ ระชาชนของนกั ปกครอง 1. สสั สเมธะ ความฉลาดในการบารงุ พืชพันธ์ธุ ญั ญาหาร ส่งเสริมการเกษตร 2. ปรุ สิ เมธะ ความฉลาดในการบารงุ ข้าราชการ ร้จู ักส่งเสรมิ คนดมี คี วามสามารถ 3. สมั มาปาสะ ความรจู้ ักผกู ผสานรวมใจประชาชนด้วยการส่งเสริมอาชีพ เช่น ให้คนจนกู้ยืม ทุนไปสรา้ งตัวในพาณิชยกรรม เป็นต้น 4. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ ความมีวาจาอันดูดดื่มน้าใจ น้าคาควรดื่ม คือ รู้จักพูด รู้จัก ปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุม่ นวล ประกอบดว้ ยเหตุผล มปี ระโยชน์ เปน็ ทางแห่งสามัคคี ทาให้เกิดความ เขา้ ใจอนั ดี และความนยิ มเชอ่ื ถือ (ส.ส.15/351/110; องฺ.จตกุ ฺก.21/39/54; องฺ.อฏฐฺ ก.23/91/152) สังคหวัตถุของผู้ครองแผ่นดิน หรือราชสังคหวัตถุ 4 ประการ ซ่ึงเป็นธรรมเคร่ืองยึดเหนี่ยว จติ ใจของประชาชน หรือหลกั การสงเคราะหป์ ระชาชนของนกั ปกครองคือ 1. สัสสเมธะ อันไดแ้ ก่ความฉลาดในการบารงุ พืชพันธุ์ธัญญาหาร หรอื สง่ เสริมการเกษตร 2. ปุริสเมธะ อันได้แก่ความฉลาดในการบารุงข้าราชการ หรือการรู้จักส่งเสริมคนดีมี ความสามารถ 3. สมั มาปาสะ อันไดแ้ กก่ ารร้จู กั ผูกผสานรวมใจประชาชน ด้วยการส่งเสริมอาชีพ เช่น ให้คน จนกู้ยมื เงินไปเปน็ ทนุ ทาการคา้ ขาย เปน็ ต้น 4. วาชเปยะหรือวาชเปยยะได้แก่ การรู้จักพูด รู้จักปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุ่มนวล มีเหตุผล ประกอบด้วยประโยชน์ ก่อให้เกิดความสามัคคีและเป็นท่ีนิยมเชื่อถือเป็นการแก้ปัญหาสังคมโดยใช้ แนวทางเศรษฐกิจ ในทานองเดียวกันกับนโยบายประชานิยมในปัจจุบันแต่ประชานิยมตามแนวทาง ของพทุ ธ เนน้ ประโยชน์ของผู้รบั คือใหโ้ ดยคานงึ ถึงประโยชนข์ องผ้รู ับแต่ประชานิยมในปัจจุบันให้เพ่ือ
92 ประโยชนท์ างการเมอื งของผู้ให้ โดยมีผู้รับเป็นองค์ประกอบในการแสวงหาคะแนนนิยมของผู้ให้ ท้ังน้ี จะเหน็ ไดจ้ ากการเปรียบเทยี บดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การให้ตามแนวทางของพุทธ เป็นการให้โดยการคัดเลือกผู้รับที่มีความขยันหมั่นเพียรใน การประกอบอาชีพส่วนการให้ในรูปแบบประชานิยม เป็นการให้แบบเหว่ียงแห โดยไม่กาหนดว่า จะต้องเป็นคนขยัน ประกอบอาชีพแต่ให้แก่ทุกคนท่ีมาลงทะเบียนว่าเป็นคนจน โดยไม่มีการสอบจน เพราะอะไร และควรจะได้รับการช่วยเหลือหรือไม่ และได้รับการช่วยเหลือแล้วจะทาให้พ้นจากภาระ ความยากจนหรอื ไม่ 2. การให้ตามแนวพุทธ เป็นการให้เพื่อการลงทุน และมีรายได้คืนมาแต่การให้ ในรูปแบบของประชานิยม เป็นการให้เพื่อให้เกิดการจ่าย สุดท้ายเงินท่ีให้คนจน ก็ไปอยู่ใน กระเป๋าคนรวย ซ่ึงเป็นผู้ประกอบการผลิตและขายสินค้า จึงพูดได้ว่า ประชานิยมในรูปแบบของ นักการเมือง แท้จริงแล้วก็คือการเพิ่มรายได้ให้แก่คนรวย โดยผ่านทางคนจนนั่นเอง (สามารถ มังสัง, 2562) ความสาคัญของสงั คหวัตถธุ รรม หลักธรรมทก่ี ่อให้เกดิ ความสามัคคีทก่ี ลา่ วไว้ในพุทธศาสนาเถรวาท ในแง่ของการมีมิตรสหาย หรือบริวารที่ดีจริง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงความสาคัญของการมีมิตรสหายท่ีดีไว้ในอุปัฑฒสูตรว่า “ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี น้ีเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว” (ส.ม. (ไทย) 19/5/2.) แต่ การทีจ่ ะสร้างมติ รหรือยึดเหนี่ยวจิตใจของบุคคลท่ีเป็นมิตรสหายกันแล้วไว้ได้นั้นก็เป็นส่ิงที่สาคัญมาก เหมือนกัน เพราะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมิตรหรือบริวารเรียกว่า หลักสังคหวัตถุ (อง.จตุกฺก. (ไทย) 21/32/42) ซ่งึ มีดว้ ยกัน 4 ประการ คอื 1. ทาน การให้ปัน การเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ส่ิงของของตนแก่บุคคลอ่ืน ด้วยเห็นว่าสิ่งของที่ตน เสียสละไปนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ เป็นการแสดงความมีน้าใจ และเป็นการยึดเหน่ียวจิตใจของ มิตรสหายหรือบริวารไว้ได้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการให้ไว้มากมา เช่น “ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก” (ธรรมรักษา, 2532, หน้า 208) “ผ้ใู หย้ ่อมผกู มิตรไว้ได้” (ธรรมรักษา, 2532, หน้า 209) เป็นต้น ผู้ท่ีมี ความตระหน่ีนั้นไมส่ ามารถทจ่ี ะผกู มติ รหรือยึดเหนี่ยวจติ ใจของมติ รและบริวารไว้ได้ 2. ปิยวาจา หรือ เปยยวัชชะ การมีวาจาเป็นที่รัก เป็นท่ีดูดดื่มจิตใจของผู้ฟัง มีวาจาสุภาพ อ่อนหวานชวนฟงั เปน็ วาจาท่ีไม่หยาบคายและก่อให้เกิดประโยชน์ การมีปิยวาจานี้มีความสาคัญเป็น อย่างมากในการผูกมิตรหรือรักษาน้าใจมิตร บุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เป็นทูตหรือเป็นตัวแทนของ ประเทศในการเจรจาเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ จะต้องมีเทคนิคในการใช้คาพูดอย่างดีเย่ียม เพราะถ้าหากใช้คาพูดที่ไม่ดีก็จะส่งผลให้ประชาชน และประเทศชาตสิ ูญเสยี ผลประโยชนไ์ ด้ 3. อัตถจริยา การประพฤติตนเป็นประโยชน์ เช่น การช่วยเหลือผู้อ่ืนในเวลาท่ีจาเป็นไม่เป็น คนนิ่งดูดายในเมื่อตนเองมีกาลังความสามารถที่พอจะช่วยเหลือได้ ในการผูกสัมพันธไมตรีระหว่าง ประเทศก็เช่นเดียวกัน จะต้องเป็นผู้ทร่ี จู้ ักให้การช่วยเหลือในเวลาท่ีสมควรช่วยเหลือ เช่นเมื่อถึงคราว ท่ีมิตรประเทศต้องประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ท่ีประเทศสัมพันธมิตรพอท่ีจะช่วยเหลือได้ก็ให้ช่วยเหลือ ตามกาลงั ความสามารถ เพอ่ื เป็นการผูกสมั พนั ธไมตรีหรือแสดงถึงความมสี มั พันธไมตรีอันดีต่อกัน
93 4. สมานัตตตา ความมีตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่คบมติ รเพราะเหน็ แก่ประโยชน์ส่วนตน มิใช่ ว่าเม่ือเห็นว่ามิตรหมดประโยชน์สาหรับตนแล้วก็เร่ิมห่างเหินหรือเลิกคบไปการคบหามิตรจะ ต้องคบด้วยความจริงใจ และมีความเสมอต้นเสมอปลายท้ังในยามที่มิตรรุ่งเรืองและในคราว ตกต่า (วราภรณ์ บุตรนาชยั , 2559, หน้า 30) เป้าหมายของหลักสังคหวตั ถุธรรม หลักสังคหวัตถุธรรม เป็นเครื่องยึดเหน่ียวใจคน ผูกใจคนและประสานหมู่ชนให้มีความ สามคั คี เปน็ หลกั ธรรมทที่ าใหค้ นเปน็ ทร่ี ัก เปน็ ทีช่ อบใจของคนทัว่ ไปเป็นการปลูกไมตรีเติมน้าใจต่อกัน ทาให้ สังคมเป็นสุข (เอนก สุวรรณบัณฑิต และภาสกร อดุลพัฒนกิจ, มปป, หน้า 181 – 183) ดังคา สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซ่ึงเป็น สัจธรรมที่ผู้ปฏิบัติตามทุกคนย่อมสามารถรู้แจ้งเห็นจริงได้ด้วย ตนเองและทาให้ผู้ปฏิบัติพ้นทุกข์เข้าถึงความสุขและความบริสุทธ์ิภายในได้จริง ธรรมะของพระพุทธ องค์เป็นความรู้อันบริสุทธิ์เป็นธรรมโอสถขนานเอก ท่ีสามารถเยียวยารักษาจิตใจของมวลมนุษยชาติ ให้หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะเม่ือใจปราศจากส่ิงเหล่าน้ี ใจย่อมสะอาด บริสุทธ์ิ มีอานุภาพและเกิดเป็นความเมตตากรุณาปราณี มีแต่ความรักความปรารถนาดีต่อกันดังที่ สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรสั ไวใ้ น สังคหวัตถสุ ูตร วา่ (อง.ฺ จตกุ ฺก. (ไทย) 21/32/51) ทานญฺจ เปยฺยวชฺชญจฺ อตถฺ จริยา จ ยา อธิ สมานตฺตตา จ ธมฺเมสุ ตตถฺ ตตฺถ ยถารห “การให้ทาน การพูดจาไพเราะ การประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ในโลกนี้ความเป็นผู้มีตน สมา่ เสมอในธรรมทัง้ หลายน้นั ตามควร” (อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย) 21/32/51) ดังนั้นเป้าหมายของหลักสังคหวัตถุธรรม ดังน้ี 1) เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซ่ึงการอยู่ ร่วมกันในสังคมหรือในหมู่คณะจาเป็นต้องมีส่ิงที่จะมายึดเหนี่ยวจิตใจและประสานหมู่คณะไว้ให้เกิด ความสามัคคีและเพ่ือให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ได้แก่ หลักสังคหวัตถุธรรม ดังต่อไปน้ี 1) ทาน คือ การให้ปันส่ิงของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ คือการเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่เสียสละแบ่งปันเฉลี่ยให้ไม่ใช่ให้จนร่ารวย หรือให้จนหมดเนื้อหมดตัว แต่เป็นการแบ่งปันให้เพ่ือแสดงอัธยาศัยไมตรี ผู้ให้ไม่จาเป็นต้องร่ารวย หรือมีฐานะดีกว่าผู้รับเสมอไป และยังรวมถึงการช่วยเหลือสงเคราะห์ด้วยปัจจัยส่ีทุนหรือทรัพย์สิน ส่ิงของตลอดจนใหค้ วามรคู้ วามเข้าใจ 2) ปิยวาจา พดู อย่างรักกันคือกล่าวคาสุภาพไพเราะน่าฟังช้ีแจง แนะนาสิ่งทเี่ ป็นประโยชนม์ ีเหตผุ ลเป็นหลักฐานชกั จูงในทางทด่ี งี ามหรือคาแสดงความเห็นอกเหน็ ใจให้ กาลงั ใจรู้จักพดู ให้เกิดความเขา้ ใจดสี มานสามัคคีเกิดไมตรีทาให้รักใคร่นับถือช่วยเหลือเกื้อกูลกันซึ่งแต่ ละกลุ่มท่ีได้จัดต้ังข้ึนมาจะมีการแบ่งหน้าท่ีกันและส่ิงท่ีขาดเสียไม่ได้คือฝ่ายประชาสัมพันธ์ หากฝ่าย ประชาสัมพันธ์พูดจาไม่ดี ถึงโครงการหรือกิจกรรมจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถท่ีจะโน้มน้าวจิตใจของ สมาชิกกลุ่มได้ 3) อัตถจริยา การทาประโยชน์คือช่วยเหลือด้วยแรงกายและขวนขวายช่วยเหลือ กิจการต่างๆบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ทั้งช่วยแก้ไขปัญหาและช่วยปรับปรุงแก้ไขให้ดีข้ึน ในด้าน คุณธรรมจริยธรรมเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี 4) สมานัตตตา วางตนเสมอต้นเสมอปลายให้ความเสมอ ภาคปฏบิ ัติสม่าเสมอกันต่อคนผู้ที่เป็นสมาชิกกลุ่มและบุคคลทั่วไปไม่เอาเปรียบบุคคลที่ด้อยกว่า และ เสมอในสุขทุกข์คือร่วมสุขร่วมทุกข์ร่วมรับรู้ร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกัน (พระ พรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต, 2550, หนา้ 13 - 14)
94 2. เป็นเครื่องผกู ใจคน และการท่จี ะผกู มัดใจคนไดน้ ้นั ก็ตอ้ งอาศัย หลักสังคหธรรมคือธรรมะที่ จะชว่ ยผกู มัดจติ ใจคน จงึ เปน็ สิ่งที่จาเปน็ มากจะเห็นไดจ้ ากในการทากจิ กรรมร่วมกันของคนในหมู่บ้าน การยอมเสียสละเงินของตนเองเท่ากับเป็นการให้หรือการเสียสละเพราะในสังคมมนุษย์เราจะคิดเอา แตไ่ ดฝ้ า่ ยเดยี วย่อมเปน็ ไปไม่ได้หรอื จะให้เขาทั้งหมดเรากอ็ ยไู่ มไ่ ด้ฉะนั้นจะต้องรู้จักลักษณะของการให้ หรือการไม่ให้หรือควรให้อย่างไรทาความเข้าใจในส่วนนั้นแล้วปฏิบัติตาม และยอมหันหน้าใช้ส่ิงท่ีคิด ร่วมกันเป็นทาให้เกิดการพูดคุยถึงสิ่งท่ีจะทาร่วมกันถือได้ว่าเป็นการใช้ปิยวาจาที่ดีต่อกัน ประพฤติ ปฏิบัตติ นกับทกุ คนเสมอตน้ เสมอปลายเพ่ือให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนบ้านไปจนกระทั่งถึงสังคม (พุทธ ทาสภกิ ขุ มปป.) 3. เป็นหลักสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน การให้เพ่ือสงเคราะห์น้ีหมายถึงการให้เพ่ือยึดเหน่ียว น้าใจ ร้อยรัดใจใหร้ วมกันเปน็ หมแู่ ละเหน็ อกเห็นใจกัน รักใคร่นับถือสนิทสนมกันม่ันคง จะเห็นได้จาก การยอมเสียสละเงินของทุกคนที่สมัครใจเข้าเป็นถือเป็นการช่วย เหลือกัน แสดงให้เห็นว่าทุกคนมี ความคิดที่จะช่วยเหลือกันเอง ก่อนที่จะไปขอรับความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก บริหารงานด้วย การเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันสิ่งของๆ ตนช่วยเหลือกันด้วยตลอดถึงให้ความรู้และแนะนาส่ังสอนท้ัง เสียสละแรงกายและเวลาเพ่ือส่วนรวมและสิ่งที่มุ่งม่ันด้วยการพูดจาด้วยถ้อยคาที่ไพเราะอ่อนหวาน วาจาเป็นท่ีรัก วาจาดูดดื่มน้าใจ หรือวาจาซาบซ้ึงใจ จะก่อให้เกิดความสมานสามัคคี เกิดมิตรไมตรี และความรกั ใคร่นบั ถอื ตลอดถงึ สงิ่ ท่ีทุกคนยอมรับในกฎกติกาที่ได้ตั้งข้ึนมาร่วมกัน ทาให้แสดงถึงการ ประพฤติปฏิบัติร่วมกัน และผลประโยชน์ที่จะได้รวมร่วมกันก็คือสวัสดิการท่ีทุกคนจะได้รับ ร่วมกัน จึงเป็นแรงจูงใจในการแก้ไขปัญหาในการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน (สมเด็จพระอริยวงศาคต ญาณ (วาศน์วาสโน), 2528, หน้า 11 ) 4. เป็นธรรมแห่งการแบ่งปันกัน การช่วยเหลือซ่ึงกันแลกันในการอยู่ร่วมกันอันเป็นไปเพ่ือ ดแู ลกันซึ่งหลกั ธรรมแหง่ การแบง่ ปันได้ถอื ปฏบิ ตั ิร่วมกันโดยใชศ้ าสนามาเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจให้ มีความเห็นอกเห็นใจกันแบ่งปันเงินท่ีมีอยู่เพ่ือเข้ากลุ่มต่าง ๆ จึงถือเป็นการแบ่งปันทรัพย์เพ่ือ ช่วยเหลือดูแลซ่ึงกันและกันจึงเป็นการให้การเผื่อแผ่แก่กันซ่ึงเป็นข้อสาคัญเพราะว่าทุก ๆ คนย่อม ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื จากกันและกัน และการแบ่งปันไม่ได้มีแต่ทรัพย์สินเท่านั้นยังรวมถึงด้านจิตใจ ยังช่วยให้กาลังใจให้ความรู้ให้การแนะนาให้ข้อเสนอแนะนาต่างๆในส่ิงที่ทาร่วมกันแล้ว ผลท่ีจะได้ ตามมาจึงเป็นมูลเหตุให้ได้รับประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วา ศน์วาสโน), 2528, หนา้ 11) 5. เปน็ หลกั แห่งการให้เพอื่ อนเุ คราะห์ หมายถงึ การใหเ้ กื้อหนุนโอบอ้อมอารีด้วยเมตตา และ การให้อดุ หนุนเอื้อเฟ้ือช่วยเหลือกันด้วยความกรุณา คนท่ีมีทรัพย์คิดช่วยเหลือคนอ่ืนให้ตั้งตัวได้ ย่อม เป็นกาลังสาคัญเพ่ือให้เกิดความเข้มแข็งและเพ่ือเป็นกาลังท่ีสาคัญของประเทศชาติ ดังนั้น การให้ เก้ือหนนุ โอบออ้ มอารกี นั ด้วยเมตตา และการใหอ้ ดุ หนนุ เอื้อเฟ้ือช่วยเหลือกันด้วยความกรุณาจึงถือว่า ให้เพอื่ อนเุ คราะห์ (สจุ ติ รา รณร่ืน, 2538, หนา้ 15) สรุปหลักแห่งสังคหวัตถุ 4 เป็นการส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีกับคนในชาติ โดยเป็นการ สร้างมิตร หรือยึดเหน่ียวจิตใจของบุคคลที่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน เพราะถ้านาหลักสังคหวัตถุมาใช้ปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันแล้ว ก็จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมิตรหรือบริวารได้เป็นอย่างดี เมื่อ ปฏบิ ตั ิไดน้ ามาใช้กับคนในสงั คม ย่อมใหเ้ กิดความสามัคคีรว่ มมือร่วมใจในกลุม่ ชนนน้ั ๆ
บทท่ี 4 การประยกุ ต์ใช้หลกั พุทธธรรมกับการปกครองไทย การศึกษาเรื่อง “การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมกับการปกครองไทย” คร้ังนี้ ผู้วิจัยได้สรุปผล การศกึ ษา โดยแบ่งจาแนกออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ 4.1 การปกครองไทย 4.2 หลกั พุทธธรรม 4.3 การประยกุ ตใ์ ช้หลกั พทุ ธธรรมกบั การปกครองไทย 4.1 การปกครองไทย ระบอบการปกครองของไทยต้ังแต่แรกเร่ิมกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึง ปัจจุบัน ได้ถูกแบ่ง ระบอบการปกครองออกเป็น 2 ระบอบ คือ 1) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีการ ปกครองยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นสมัยรัชกาลที่ 1 – 4 ตอนกลางสมัยรัชกาลที่ 5 – 7 (ยุคแห่งการ ปฏิรูปการปกครอง) และระบอบประชาธิปไตยหลังพ.ศ. 2475 พบว่า 1) ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ลักษณะการปกครองแบบนายปกครองบ่าว หรือ เจ้าปกครองขา้ โดยมพี ระเจา้ แผ่นดนิ ถือเป็นเจ้าชีวิต เป็นสมมติเทพ มีอานาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ ในทกุ ๆ ด้าน มรี ะบอบบริการปกครองแบบ การปกครองส่วนกลางน้ันมีการแบ่งหน้าท่ีหน่วยราชการ มีคุมบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การบังคับบัญชาของเสนาบดีเป็น 6 กรม คือ กรมมหาดไทย กรม กลาโหม กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา ซึ่งการปกครองในระบอบน้ีมีจุดที่เป็นปัญหาที่ทาให้ เกิดการพัฒนาประเทศ คือ อาจกล่าวได้ว่าเมื่อความอ่อนแอของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองเกิดขึ้น จะ ส่งผลทาให้ขุนนาง ข้าราชการเข้มแข็งข้ึน และอาจเข้ามามีบทบาทในการบริหารและมีอานาจเหนือ กษัตริย์ได้ กล่าวคือ เมื่อใดระบอบราชาธิปไตยอ่อนแอลง ระบอบคณาธิปไตยจะเข้ามามีบทบาทการ บริหารแทนกษัตริย์โดยทันที โดยพวกขุนนาง และข้าราชการท่ีมีอานาจระดับสูง ทั้งยังส่งผลจากการ เข้ามามอี านาจทาใหเ้ กิดการส่ังสมอานาจของข้าราชการและขุนนาง จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในคราบ ขา้ ราชการ ซงึ่ เหตุผลดังกลา่ วนาไปสคู่ วามล้าสมยั ของระบอบทาใหเ้ กิดการพัฒนาประเทศในระบอบน้ี เป็นไปไดย้ าก จะเหน็ ไดว้ ่าในปจั จบุ ันหลาย ๆ ประเทศได้ยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปแล้ว สอดคล้องกับงานวิจัยของ อภิชา ชุติพงศ์พิสิฏฐ์ (2551) พบว่า ถึงแม้ในทางทฤษฎีเราจะเห็นว่า กษัตริย์ไทยทรงมีอานาจสูงสุดโดยใช้อานาจภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ว่ากันตามจริงแล้ว ในทางปฏิบัติพระองค์ ทรงมีกลุ่มขุนนางเป็นผู้ช่วยในการบริหารราชการแผ่นดินตามพระบรมราช โองการเป็นเหตุทาให้ในระยะหลังกลุ่มขุนนางเหล่าน้ีกลับสร้างปัญหาให้กับกษัตริย์อยู่บ่อยครั้ง เช่น เหตุการณ์ก่อกบฏโค่นล้มราชบัลลังก์โดยขุนนางฝ่ายกลาโหมในสมัยอยุธยา และกลุ่มท่ีมีบทบาทใน การบริหารราชการแผน่ ดนิ เช่น ขนุ นางตระกูลบุนนาค จากปัญหาการขน้ึ มามีอานาจและบทบาทของ ขุนนาง จนส่งผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ท่ีถูกลดอานาจลง 2) การปกครองยุครัตนโกสินทร์ ตอนกลางเป็นยุคแห่งการปฏิรูปการปกครองในรูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กล่าวได้ว่า ในสมัย รัชกาลที่ 5 พระองค์เร่ิมดาเนินนโยบายสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่ีรวมอานาจเข้าสู่ส่วนกลาง
96 และกษตั ริย์สามารถใชอ้ านาจบริหารราชการแผ่นดินได้ด้วยพระองค์เองอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2416 เพ่ือ ลดทอนอานาจของเหล่าขุนนางลง เช่น การปฏิรูปศาล ปฏิรูปทหาร จัดตั้งกลุ่มการเมือง จัดต้ังสภาท่ี ปรึกษาราชการแผ่นดนิ อกี ท้ังในปี พ.ศ. 2435 ทรงเปลย่ี นจดั ต้งั กระทรวง ทบวง กรม ข้ึนมาใช้บริหาร ประเทศ และ อีกท้ังได้มีการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยข้ึนจากลุ่มข้าราชการและกลุ่มเจ้านาย โดย สอดคล้องกับงานของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2538) พบว่า กลุ่มเจ้านายและข้าราชการดังกล่าวได้ขอ พระราชทานกราบบังคมทูลพระกรุณาเพ่ือท่ี 5 เปล่ียนแปลงการบริหารปกครองโดยทาหนังสือกราบ บังคมทูลถวายความเหน็ จัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผน่ ดินเพ่ือให้มีความทันสมัยอย่างเช่นประเทศท่ี เจริญแล้ว เพราะการปกครองแบบเก่ามีความล้าสมัยผนวกกับประเทศสยามถูกอานาจและอิทธิพล ตะวันตกเข้ามาอยู่รอบ ๆ ซ่ึงจะทาให้เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงสืบ อุดมการณ์ต่อจาก รัชกาลท่ี 5 โดยไดป้ รบั ปรุงกระทรวง ทบวง กรม และทรงตั้งเมืองทดลอง ดุสิตธานี ข้ึนเพื่อเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 7 ในด้านการปกครอง พบว่า ทรงแตง่ ตั้งอภริ ัฐมนตรีเพ่อื จดั ตัง้ “สภากรรมการองคมนตรี” ซึ่งมีลักษณะเป็นสภาที่ปรึกษา และทรง มอบหมายให้อภิรัฐมนตรีสภาดาเนินการวางรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปเทศบาล และ วางโครงการปรับปรุงแก้ไขสุขาภิบาลท่ีมีอยู่ให้เป็นเทศบาลเพื่อสนับสนุนการบริหารท้องถิ่นเจริญข้ึน พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีวิศาลวาจา นายเรมอนต์ บี สตีเวนส์ คิด “ร่างพระราช ธรรมนูญ” เพ่อื พระราชทานต่อประชาชนชาวไทย แต่ต้องหยุดชะงักลงเป็นผลให้คณะราษฎร ซ่ึงเป็น ผู้นาการเปลย่ี นแปลงการปกครองได้ในท่ีสุด เมื่อ พ.ศ.2475 ในสมัยรัตนโกสิทร์ตอนกลางน้ันผู้วิจัยได้ พบว่าปัญหาทางด้านการพัฒนาท้องถ่ิน กล่าวคือ ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการ พัฒนาท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าการทดลองการกระจายอานาจเพ่ือให้ประชาชนได้ปกครองตนเองนั้น ประชาชนเองยังขาดความเข้าใจในการบริหารท้องถ่ินอยู่มาก เหตุเพราะ การศึกษาในในช่วงนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังชินกับการถูกปกครองโดยผู้ปกครอง มีเพียงชนชั้นปกครองเท่านั้นท่ีได้รับ การศึกษา 3) ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีหลักการ คือ (1) อานาจ อธิปไตยเป็นของปวงชน ให้ความสาคัญกับเสียงข้างมาก แต่รับฟังเสียงข้างน้อยเช่นกัน (2) หลัก เสรีภาพ ในการคิดการแสดงออก การเลือกตั้ง ในการนับถือศาสนา การย้ายที่อยู่ ในการชุมนุม (3)หลักความเสมอภาค ราษฎรทุกคนในประเทศ มีความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกัน (4) หลักการปกครองโดยเสียงข้างมากที่เคารพเสียงข้างน้อย (5) หลักนิติธรรม การยึดถือกฎหมายเป็น เกณฑ์ในการดาเนินกิจกรรมถือว่าเป็นนโยบายและความต้องการของประชาชน ผู้วิจัยได้พบว่า คือ หลังมกี ารเปลีย่ นแปลงระบอบการปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2557 (ก่อนรัฐประหารยึดอานาจของ พลเอก ประยุทธ์ จันโอชา) การเมอื งของประเทศไทยอาจถกู แบง่ เปน็ 4 ช่วง ดังนี้ ช่วงท่ี 1 ชว่ งแห่งการชว่ งชงิ อานาจของ 2 ข้วั อานาจ ระหว่างกลมุ่ อานาจใหม่โดยคณะราษฎร และกลุ่มอานาจเก่าโดยกลุ่มนิยมเจ้า ในปี พ.ศ. 2475 – 2500 เป็นผลทาให้การเมืองของไทยอยู่ ในช่วงการช่วงชิงอานาจกันท้ัง 2 ฝ่าย ทาให้การเมืองการปกครองของไทย รวมไปถึงการพัฒนา ประเทศเปน็ ไปอย่างช้า ๆ และขาดเสถียรในการปกครองเป็นอย่างยิง่ ช่วงท่ี 2 ช่วงแห่งการตื่นตัว ระหว่างปี พ.ศ. 2500 – 2520 ยุคแห่งการตื่นตัวทางการเมือง ของ นสิ ติ นกั ศึกษา อาจารย์ นักหนงั สือพมิ พ์ นกั การเมือง และนักเรยี นทมี่ ีความคิด กล้าแสดงออก ท่ี ออกมาต่อต้านกับอานาจเผด็จการ จนผลักดันให้เกิดการเรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ ในด้านสิทธิ
97 เสรีภาพ ตามแนวทางของระบอบประชาธิปไตย จนทาให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่าง 2 อุดมการณ์ คือ เสรีนิยม กบั สงั คมนยิ ม ชว่ งท่ี 3 ชว่ งแห่งการเกิดประชาธิปไตยแบบครง่ึ ใบ ระหว่างปี พ.ศ. 2521 – 2543 อาจกล่าว ได้ว่า เป็นช่วงเวลาท่ีมีการเมืองท่ีเข้มข้นเข้ามาแทนท่ี และมีความต่ืนตัวของนักการเมือง นิสิต ประชาชนทวั่ ไป หันมาจนใจการเมืองมากขึ้น ด้วยการท่ีเป็นประชาธิปไตยคร่ึงใบ จึงทาให้การวิพากษ์ วิจารณ์ การทางานของรัฐบาล เป็นไปอย่างมีเสรีมากข้ึน มีการกระจายอานาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้นมี รฐั ธรรมนญู ท่ีเอื้อต่อประชาชนมากข้ึน นักการเมืองยังเคารพกติกาทางการเมืองเปิดโอกาสให้ผู้มีเสียง ข้างมากอันดบั 1 ในรัฐสภาได้จดั ตง้ั รัฐบาลก่อน และยบุ สภาเม่ือเหน็ ว่ารัฐบาลทาหนา้ ท่ตี อ่ ไปไม่ได้แล้ว ช่วงที่ 4 ช่วงแหง่ การมปี ระชาธิปไตยที่เดินไปพร้อมกับทุนนิยม พ.ศ. 2544 – 2550 เป็นช่วง แห่งการพัฒนาประเทศไทย ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เป็นอย่างมากมีการเจริญเติมโตของธุรกิจ รายย่อย และรายใหญ่เป็นจานวนมาก ด้วยการบริหารแบบเอกชนท่ีประยุกต์ใช้กับระบบราชการ ประเทศไทยในช่วงน้ีเป็นท่ีรู้จักของชาวโลกมากข้ึน อีกท้ังเป็นการรวมตัวของผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศจนพูดได้ว่ารัฐบาลในยุคน้ีมีความเข้าแข็งมากที่สุดที่เคยมีมา แต่ ดว้ ยความเข้มแข็งกลับกลายเป็นดาบ 2 คม ที่ก่อให้เกิดการทุจริตที่มากข้ึน ซ่ึงเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรง ขา้ มทางการเมอื งนาการรฐั ประหารเขา้ มายดึ อานาจอกี ครงั้ จากที่ได้กล่าวมาการปกครองไทยในยุคประชาธิปไตย (หลัง พ.ศ. 2475) จะเห็นได้ว่าในการ ทารฐั ประหารทง้ั 13 ครั้งที่ผ่านมา และการเปลีย่ นรฐั ธรรมนญู ถึง 20 คร้ัง เป็นสาเหตุหลัก ๆ ของการ พัฒนาระบอบปกครองเป็นอย่างมาก และหากวิเคราะห์จากท้ัง 4 ช่วงท่ีผ่านมา มีเพียงช่วงสั้น ๆ เทา่ น้นั ทเี่ ห็นวา่ พอจะเปน็ ประชาธปิ ไตยได้บา้ ง คอื ในช่วงท่ี 3 เท่าน้ันที่มีการกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น อยา่ งจรงิ จัง และในช่วงท่ี 4 การเมืองดูเหมือนจะพัฒนาไป แต่ก็มีการทารัฐประหารเกิดขึ้นอีก จนทา ให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นเพียงฉากบังหน้า หรือคาอ้างว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย ดังนั้นผู้วิจัย พบว่าปัญหาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยท่ีจะยกมานาเสนอมี 2 ด้านด้วยกัน คือ ปญั หาการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่าต้ังแต่ประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลงระบอบ การปกครองพ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังไม่พัฒนาไป เท่าท่ีควรจะเป็น สาเหตุหลัก ๆ อาจเป็นเพราะปัญหาด้านการปกครองที่ไม่มีเสถียรภาพเท่าที่ควรจะ เป็น ประเด็นปัญหาต่อมา สบื เนื่องมาจากข้างต้นคอื การไม่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของประชาชนชาว ไทย กลา่ วคือ การสืบเน่ืองจากอดีตท่มี กี ารแบ่งฝา่ ยกนั ของชนชัน้ ปกครอง เปน็ เพียงจุดเริ่มต้นของการ แตกสามัคคขี องคนในชาติ กล่าวโดยสรุปได้ว่า การปกครองไทยถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบอบการปกครองรัตนโกสินทร์ ตอนตน้ คอื ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ มกี ลมุ่ ขุนนางเป็นผชู้ ว่ ยราชการ โดยปัญหาได้พบว่า การที่ ผปู้ กครองมคี วามออ่ นแอทาให้ขุนนางมีอานาจมากเกินไป จนทาให้การพัฒนาบ้านเมืองเป็นไปได้ยาก การปกครองรตั นโกสนิ ทร์ตอนกลางรัชกาลที่ 5 – 7 สร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่รวมอานาจเข้าสู่ ส่วนกลางเพื่อลดทอนอานาจขุนนาง อีกท้ังยังนาระบอบประชาธิปไตยเข้ามาเข้ามาทดลองใช้ในส่วน ภูมิภาคอีกด้วย อันว่าด้วยเร่ืองการกระจายอานาจสู่ท้องถ่ิน โดยปัญหาได้พบว่า การพัฒนาท้องถ่ินท่ี ยังไม่สมบูรณ์ซ่ึงส่งผลถึงการกระจายอานาจบริหาร ยุคประชาธิปไตยโดยมีประมหากษัตริย์เป็น ประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และอานาจทั้งปวงเป็นของประชาชน และแบ่งอานาจออกเป็น 3 ส่วน
98 คือ อานาจบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ เพื่อใช้คานอานาจกันและกัน โดยปัญหาได้พบว่า การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังไม่พัฒนาไปเท่าที่ควรจะเป็น ประเด็นปัญหาต่อมา สืบเนื่องมาจากข้างต้นคือ การไม่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของประชาชนชาวไทย โดยการเมืองท่ีแบ่ง ประชาชนเป็น 2 ฝา่ ย อยา่ งชดั เจนทาใหเ้ กดิ ความไมส่ ามคั คขี องคนในชาติ 4.2 หลักพทุ ธธรรม หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีเกี่ยวข้องกับการปกครองไทย พบว่า หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการปกครองไทย คือ 1) หลักทศพิธราชธรรม ท่ีว่าด้วยหลักแห่งการ พัฒนาคนผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง การนาหลักธรรมเข้ามาใช้จึงจาเป็นต้องมีความเก่ียวข้องไป ในทางคุณสมบัติของผู้ปกครองควรจะมี การประพฤติปฏิบัติของผู้ปกครองที่ควรจะเป็น และเป็นไป เพื่อความเจริญของบ้านเมือง เพราะการกระทาในแต่ละบริบทของผู้ปกครองย่อมส่งผลต่อบ้านเมือง และประชาชน ในทางตรงกันข้ามหากผู้ปกครองมีความสามารถในบริหารการปกครอง เป็นผู้มี คุณธรรมเป็นท่ียอมรับของประชาชน มากเท่าไร ย่อมส่งผลถึงความเจริญของบ้านเมือง และความ ผาสุกของประชาชนตามไปด้วยตามหลักของทศพิธราชธรรมของผู้ปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ มนต์เทียน มนตราภิบูลย์ (2564) เป็นหลักธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่ีเก่ียวข้องกับการ ปกครอง การคุ้มครอง ควบคุม ดูแลตนเองและบุคคลอ่ืน หลักทศพิธราชธรรมน้ี สามารถประยุกต์ใช้ กับผปู้ กครองทกุ ระดบั ชน้ั ไมเ่ ฉพาะแต่พระมหากษตั ริยเ์ ท่าน้ัน เม่ือผู้ปกครองทกุ ระดับชั้นนาไปใช้ กับผู้ ใต้ปกครอง จะทาใหเ้ ปน็ นักปกครองที่ดี และไดผ้ ใู้ ต้ปกครองท่ีดี ทั้งน้ีผู้ปกครองจะต้องปฏิบัติตามหลัก ทศพิธราชธรรมนี้ให้เป็นอัตตหิตสมบัติคือคุณสมบัติประจาตัว และปรหิตปฏิบัติคือปฏิบัติให้เกิด ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นด้วย การปฏิบัติตามหลักธรรมน้ีจึงจะสมบูรณ์เกิดผลสาเร็จเป็นประโยชน์แก่ ส่วนรวมและสังคมอย่างแท้จริง 2) สัปปุริสธรรม เป็นหลักธรรมท่ีว่าด้วยการพัฒนาบ้านเมืองให้เกิด ความเจริญ โดยมุ่งเน้นที่ความเข้าใจและการส่งเสริมบุคคลให้มีประสิทธิภาพโดยเริ่มต้นจากผู้นา ซ่ึง ผนู้ าจะต้องเข้าใจ เข้าถึง คน และสภาพการณ์ สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ของประเทศ เพ่ือท่ีจะสามารถ ทาความเข้าใจถึงการพัฒนาและแก้ปัญหาไปด้วยกัน ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ (อนุวัต กระสังข์, 2557) ทั้งนี้การท่ีองค์กรน้ันๆ ดาเนินการในสภาวะต่างๆ ได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยด้านบุคคลเป็นตัว ขับเคลื่อน ซ่ึงถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการบริหารองค์กรทุก ๆ องค์กรเพราะบุคคลมี ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การเรยี นรู้ การประเมนิ ผล ผนู้ า จึงมีบทบาทในการกาหนดนโยบาย การวางแผน การบริหาร การจัดการ การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ รวมถึงการคิดริเริ่ม และการ ปรับปรงุ แก้ไขแผนงานใหส้ อดคล้องกับวัตถุประสงค์ ดังน้ันองค์กรไม่อาจจะปฏิเสธผู้นาได้ ผู้นาจึงเป็น ปัจจัยที่สาคัญยิ่งประการหน่ึงต่อความสาเร็จขององค์กร ท้ังนี้ เพราะผู้นามีภาระหน้าท่ีและความ รับผิดชอบโดยตรงท่ีจะต้องวางแผน ส่ังการ ดูแล และควบคุมบุคลากรขององค์การปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย 3) อปริหานิยธรรม เป็นหลักธรรมที่ว่าด้วยการพัฒนา ประชาธปิ ไตย การพฒั นาน้นั จาเปน็ ตอ้ งเขา้ ใจถึงหลกั การทาความเขา้ ใจกันพดู คุยและให้เกียรติในสิทธิ ของคนส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี รวมท่ีจะพัฒนาไปด้วยกัน โดยส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการ ปกครองท่ีเข้าใจตรงกันเพ่ือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา 4) สังคหวัตถุธรรม เป็นหลักธรรมที่ว่าด้วย การสร้างความสามัคคีให้แก่กันและกัน โดยการเป็นธรรมในการกากับความประพฤติ ให้มีชีวิตที่
99 งดงาม ประเสริฐและบริสุทธิ์ ปฏิบัติตนต่อมนุษย์ ในการพูด คิด หรือทา โดยใช้หลักแห่งความเมตา และหวังดีตอ่ กัน ซ่ึงจะกอ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจและสามัคคีกัน ปรารถนาให้ผู้อื่นได้พ้นจากทุกข์ ไม่ใส่ร้าย หรือเหยียดหยามเมื่อเขาได้ประสบทุกข์ ทาด้วยความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงต่อกัน หาก สังคมท่ีเต็มไปด้วยความเอ้ือเฟื้อต่อกันและกัน ก็จะสามารถสร้างสังคมท่ีสงบสุขและร่มเย็นให้เกิดขึ้น ไดอ้ ย่างแนน่ อน 4.3 การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั พุทธธรรมกบั การปกครองไทย 4.3.1 การประยุกต์ใช้หลักทศพิธราชธรรมกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุค รัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ การปกครองโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนที่เรียกว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดย ระบอบนี้ มีหลักปกครองท่ีว่าด้วย 1) การปกครองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกาหนดผู้ปกครอง 2) อานาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหากษัตริย์ ดังน้ัน ผู้ปกครองจึงเปรียบเสมือน พ่อบ้านใหญ่ท่ีต้องปกครองดูแลคนในบ้าน ประชาชนก็เหมือนลูกบ้านเชื่อฟังคาส่ังของพ่อบ้าน คาส่ัง ของพอ่ บ้านถือเปน็ คาสั่งทีเ่ ปน็ สิทธิข์ าดในทกุ ๆ ดา้ น ซงึ่ ในยุคน้นั สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยจึงเป็นท่ี พึ่งของประชาชน เป็นด่ังศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติ ดังนั้นผู้ที่เป็นผู้ปกครองจึงจาเป็นต้องมี หลกั ของการปกครองไว้ใชใ้ นการปกครองเพื่อให้เกิดความประโยชน์ และความสุขของผู้ปกครอง และ ผูอ้ ยใู่ ตป้ กครอง ผู้วิจัยพบว่า ปัญหาการพัฒนาการปกครองและบ้านเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ราชในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้ประสบปัญหา การมีอานาจของเหล่าข้าราชการ และขุนนาง ท่ีมีอานาจเหนือกษัตริย์ยากต่อการปกครอง กล่าวคือ การปกครองในระบอบน้มี จี ดุ ทเี่ ป็นปัญหาท่ีทาให้เกิดการพัฒนาประเทศ คือ อาจกล่าวได้ว่าเม่ือความ อ่อนแอของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองเกิดข้ึน จะส่งผลทาให้ขุนนาง ข้าราชการเข้มแข็งขึ้น และอาจเข้า มามีบทบาทในการบรหิ ารและมีอานาจเหนือกษัตรยิ ์ได้ ก า ร น า ใ ช้ ห ลั ก ท ศ พิ ธ ร า ช ธ ร ร ม กั บ ก า ร เ ป็ น ผู้ น า ร ะ บ อ บ ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเร่ืองทศพิธราชธรรม 10 ประการ คือ ธรรมสาหรับ พระมหากษัตริย์ คุณสมบัติของนักปกครองที่ดี เพ่ือประโยชน์สุขของประชาชนผู้อยู่ไต้การปกครอง ประกอบด้วย 1) ทาน การให้ 2) ศีล ความประพฤติดีงาม 3) ปริจจาคะ การบริจาค 4) อาชชวะ ความซื่อตรง 5) มัททวะ ความอ่อนโยน 6) ตปะ ความทรงเดช 7) อักโกธะ ความไม่โกรธ 8) อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน 9) ขันติ ความอดทน 10) อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม (ป.อ.ประยุตฺโต, 2560) การนาหลักทศพธิ ราชธรรมมาประยุกต์ใช้กบั ผู้นาจะอธิบายโดยจาแนกได้ดงั ต่อไปน้ี 1. ทาน การให้ ผู้ปกครองจาเปน็ ตอ้ งมคี วามเออ้ื เฟือ้ ต่อประชาชนสละทรพั ย์สิ่งของส่วนตนได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชน พ่อค้า ข้าราชการ หรือส่วนรวมเป็นหลัก พึงบารุงเล้ียงให้กินดีอยู่ดี ช่วยเหลือทรัพย์สิ่งของแก่บุคคลเหล่านั้นเมื่อเกิดภัย รวมถึงการให้ทรัพย์เพ่ือการสนับสนุนการ ประกอบอาชพี การลงทุน และรางวัลแกข่ า้ ราชการผูภ้ กั ดอี กี ดว้ ย
100 2. ศีล ความประพฤติดีงาม คือ ผู้นาจาเป็นต้องสารวมกายและวาจา ประพฤติให้เป็น แบบอย่าง จะประกอบการใดก็ถือความสุจริตความเที่ยงธรรม ถือธรรมในการตัดสินใจ อีกทั้งส่งเสริม ให้ ประชาชน พ่อค้า และข้าราชการ อยู่ในกรอบของศีลธรรม สนับสนุนส่งเสริมการเรียนรู้ทาง ศีลธรรมแก่คนเหล่านั้น เพื่อประโยชน์ในด้านการให้ความเคารพนับถือของบุคลท้ังหลาย และเกิด ความสงบสขุ ภายในรฐั 3. ปรจิ จาคะ การบริจาค คอื เสยี สละตนเพือ่ ประโยชน์ส่วนรวม เสยี สละความสบายความสุข สาราญ เสียสละเวลา อุทิศตนเพ่ือความสุขของบ้านเมือง เช่นว่า เกิดอุทกภัย หรือภัยบ้านเมือง ผู้ปกครองจาเป็นต้องสละกายใจของตน เร่งแก้ปัญหา ไม่คิดถึงความสุขของตนเป็นหลัก ก็เพ่ือให้ บ้านเมืองพ้นวกิ ฤต และประชาชนพ้นความลาบากให้ได้โดยเรว็ 4. อาชชวะ ความซ่ือตรง คือ ซื่อตรงทรงสัตย์ ต่อประชาชน เคารพในกฎหมาย ขนบธรรมเนยี ม และประเพณี ปฏบิ ัติภารกิจโดยสุจริตตรงไปตรงมา มีความจริงใจไม่เสแสร้ง ยึดหลัก ความเทยี่ งตรง และเท่ยี งธรรม อย่างผู้มีปญั ญา 5. มทั ทวะ ความอ่อนโยน คือ ผู้นาจาเป็นต้องมีอัธยาศัย ไม่เย่อหยิ่งถือตัวถือตน เป็นผู้หยาบ คายกระด้าง สุขุมและสง่างาม เป็นท่ีน่าเช่ือถือ วาจาอ่อนน้อม อัธยาศัยดี เป็นคนที่มีสุขภาพจิตท่ีดี น่าเขา้ ใกล้ เป็นทเี่ คารพยาเกรงแกป่ ระชาชน และผู้ใตป้ กครอง 6. ตปะ ความทรงเดช คือ ผู้นาจาเป็นต้องมีความเพียร เป็นความประพฤติมุ่งม่ันต่อการงาน เคารพความเพียรในตนเอง และของผู้อื่น มีความเป็นอยู่เรียบง่ายสม่าเสมอ อันท่ีจะทาให้กิจการ หน้าที่ท่ไี ดร้ ับมอบหมายให้เกิดความบรบิ รู ณ์ 7. อักโกธะ ความไม่โกรธ คือ ผู้นาจาเป็นต้องไม่ใช้ความโกรธเป็นเคร่ืองดารงตน ในการ ตัดสนิ ใจ ในการดาเนนิ ชวี ติ จนเปน็ เหตใุ หว้ ินจิ ฉยั ความและกระทาการต่าง ๆ ผิดพลาด มองโลกอย่าง เป็นกลางดว้ ยความเมตตา กรณุ า มทุ ติ า ตอ่ ผ้ใู ต้ปกครอง 8. อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน คือ ผู้นาจาเป็นต้องไม่บีบคั้นกดขี่ข่มเหง ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อผู้ใต้ปกครองใช้อานาจตนรังแกผู้ด้อยกว่า ใส่ความ กลั่นแกล้ง ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียน ลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎรผ์ ใู้ ดเพราะอาศยั ความอาฆาตเกลียดชัง 9. ขันติ ความอดทน คือ ผู้นาจาเป็นต้องอดทนต่องานท่ีตรากตรา ต่อกาย และใจ อดทนต่อ ความเบ่ือหน่ายเหนื่อยหน่ายที่เกิดกับตน มุ่งม่ันก็ไม่ท้อถอย แม้ถูกกระทบด้วยวาจาว่าร้าย คาเย้ย หยัน ด้วยคาเสียดสถี ากถางอยา่ งใด กไ็ ม่หมดกาลังใจ ไม่ยอมละทงิ้ หน้าทข่ี องตนเอง 10. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม คือ ผู้นาจาเป็นต้องวางตนเป็นหลักหนักแน่นในธรรม ความเทีย่ งธรรม มนั่ คงตอ่ ธรรมทัง้ หลาย ยึดหลกั ธรรมในการปกครองไม่หวน่ั ไหวเอนเอียงต่อส่งิ ใด ดังน้ันจะเห็นได้ว่า หลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ จะกล่าวถึงหลักปฎิบัติแห่งพระราชาที่ นามาปกครองเหล่าประชาชน ให้เกิดความสงบสุข และความสุขแก่ประชาชน และข้าราชการผู้อยู่ใต้ ปกครองของราชา ดังจะได้แสดงผล 3 ด้าน คือ ด้านหลักการเอื้อเพื้อ ด้านหลักการปฏิบัติทางกาย ดา้ นหลักการปฏบิ ตั ทิ างใจ ดังต่อไปน้ี
101 จาแนกหลักปฏบิ ตั ดิ ้านทศพิธราชธรรม 10 ประการ ของผปู้ กครองได้ดังนี้ ด้านหลักการเอือ้ เพอื้ ดา้ นหลักการปฏิบตั ิทางกาย ด้านหลักการปฏิบัติทางใจ ทาน การให้ ศีล ความประพฤตดิ งี าม อักโกธะ ความไมโ่ กรธ ปรจิ าคะ การบรจิ าค อาชวะ ความซ่ือตรง ตปะ ความทรงเดช มทั วะ ความออ่ นโยน อวโิ รธนะ ความไมค่ ลาดธรรม ขันติ ความอดทน อวหิ งิ สา ความไมเ่ บยี ดเบยี น ประโยชนด์ า้ นการปกครอง ทง้ั 3 ด้าน เพื่อประโยชน์สุข ความ เพ่ือใช้เป็นหลักปฏิบัติตาม เพ่อื ใช้เป็นหลักยึดถือประจาใจ ส ง บ เ รี ย บ ร้ อ ย ข อ ง แก่ประชาชน และข้าราชการ ผู้นา ในการดาเนินชีวิตอย่าง บ้านเมือง และการกินดี ทั้งนี้ หากผู้ปกครองเป็น เป็นสุข และในการทาหน้าที่ อยู่ดี เม่ือเหตุดังกล่าว แบบอย่างแห่งการกระทา ของตนเอง เป็นหลักแห่งการ เกิดขึ้นแล้ว บ้านเมืองก็ แลว้ ย่อมส่งผลต่อ ประชาชน สร้างอุปนิสัยของนักปกครองท่ี จะเกิดความปลอดภัย และข้าราชการ นาไปใช้ใน ดี มีวิสัยทัศแห่งธรรม มองโลก โจรนอ้ ยลง เพราะทุกคน การปฏิบัติตามผู้นา ดังคาพูด ด้วยพรหมวิหาร 4 คือมีความ มีอาชีพ ไม่ขาดแคลน ที่ว่า หัวเปรียบเสมือนผู้นา เมตตา กรณุ า มทุ ิตา อุกเบกขา และอดอยาก ขา้ ราชการ ทางใหห้ างดาเนินไป สร้างความยาเกรงและได้รับ กไ็ มโ่ กงกนิ ตอ่ รฐั ความเคารพแก่ผูอ้ ืน่ ตารางที่ 3.1 แสดงการจาแนกหลกั ปฏบิ ัตดิ ้านทศพธิ ราชธรรม 10 ประการ ดงั น้ันหลัก ทศพิธราชธรรม 10 ประการ เป็นคุณสมบัติของนักปกครองที่ดีมาประยุกต์ใช้กับ การปกครอง ในระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ เปน็ การส่งเสรมิ หลกั การให้ประชาชนได้กินดีอยู่ดี และ เพ่ือแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านการทามาหากิน อีกท้ังยังในด้านการปฏิบัติของ ผปู้ กครอง ยังเป็นหลักแหง่ การปฏิบัตติ ามในการกระทาหน้าทข่ี องประชาชน ขา้ ราชการ และเป็นหลัก แห่งความยึดถือ เป็นคติประจาใจของผู้ปกครองท่ีนามาใช้ให้เกิดหลักแห่งความคิด และสร้างอุปนิสัย ที่ดีของผู้นา ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ มนต์เทียน มนตราภิบูลย์ (2564 : 58) พระราชธรรม 10 ประการ มาให้ประชาชนได้ประยุกต์ใช้ในการบริหารและการปกครองบ้านเมือง แต่ใช้หลักการ ปกครองการบริหารแบบตะวันตกมาใช้แทน ซึ่งมีหลากหลายทฤษฎี หลายแนวคิด หลายรูปแบบ มา ประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ระบอบการปกครอง ซ่ึงหากเราประยุกต์เอาหลักทศพิธราชธรรมมาปรับใช้ ปกครอง (บริหาร) ผสมผสานควบคู่ไปกับหลักการบริหารแบบชาติตะวันตก ผลดีคงมากกว่าผลเสีย อย่างแน่นอนผลประโยชน์ก็จะเกิดข้ึนกับประชาชนอย่างยั่งยืน มั่นคงและเป็นธรรม เพราะหลัก ทศพิธราชธรรมนส้ี ามารถประยกุ ต์ใช้กบั ผูป้ กครองทกุ ระดับชั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้น
102 หลักทศพิธราชธรรมเป็นหลักธรรมไม่ใช่แค่เป็นอัตตหิตสมบัติหรือการทาความดีส่วนตัวของผู้นาหรือ ผู้ปกครองทุกระดับช้ันเท่าน้ัน แต่เป็นหลักท่ีผู้นาทุกระดับควรนาไปปฏิบัติมุ่งปรหิตปฏิบัติคือการ บาเพญ็ ประโยชนส์ ขุ เพอื่ ผู้อ่นื หรือส่วนรวมในสังคมเป็นสาคัญ 4.3.2. การประยกุ ต์ใช้หลกั สปั ปรุ สิ ธรรม 7 กบั การปกครองในยคุ รัตนโกสินทร์ตอนกลาง ในยุคของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุค เร่ิมต้นของการเปล่ียนแปลงนโยบายการปกครองในสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่หลายด้าน โดยนา ระเบียบวิธีคิดท่ีเป็นเหตุเป็นผล และเป็นวิทยาศาสตร์ อันเป็นอิทธิพลตะวันตกเข้ามาใช้เพ่ือให้สยาม ประเทศเกิดความเจริญก้าวหน้าทันต่อโลกมากข้ึน และพร้อมจะเปิดประเทศไปสู่การค้า ประการ ต่อมาคือ การรวมศูนย์อานาจในการบริหารจัดการให้กษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว เพื่อลดทอนอานาจของ ขุนนางทม่ี อี านาจเหนอื พระองค์ให้ง่ายต่อการบริหาร อีกทั้งการนาการกระจายอานาจไปสู่ท้องถิ่นเข้า มาใช้เพือ่ การพัฒนาทอ้ งถ่นิ ใหเ้ กิดความเจรญิ ไปพร้อม ๆ กนั ผู้วิจัยพบว่า ปัญหาการพัฒนาและการกระจายอานาจ ในสมัยรัตนโกสิทร์ตอนกลาง น้ัน ผู้วิจัยได้พบว่าปัญหาทางด้านการพัฒนาท้องถ่ิน กล่าวคือ ในสมัย รัชกาลท่ี 5 ในการพัฒนาท้องถ่ิน จะเห็นได้ว่าการทดลองการกระจายอานาจเพ่ือให้ประชาชนได้ปกครองตนเองน้ัน ประชาชนเองยัง ขาดความเขา้ ใจในการบริหารท้องถ่ินอยู่มาก เหตเุ พราะ การศึกษาในในชว่ งนนั้ ประชาชนส่วนใหญ่ยัง ชินกับการถูกปกครองโดยผู้ปกครอง มีเพียงชนชั้นปกครองเท่าน้ันท่ีได้รับการศึกษา ดังนั้นการนา หลักสัปปุริสธรรม 7 ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่น จะเป็นการแก้ไข ปญั หาไดต้ รงจดุ ทส่ี ดุ ดงั จะอธิบายดงั ต่อไปน้ี การนาหลักสปั ปรุ สิ ธรรม 7 กบั หลักการบริหารกระจายอานาจ อาจอธบิ ายได้ดงั นี้ 1. ธัมมัญญุตา รู้หลักการ ผู้นาจะต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้หน้าท่ี รู้กฎเกณฑ์ รู้หลักแห่งการ ปกครอง รวมไปถึงผู้ปกครองต้องเข้าใจถึงวิธีท่ีจะพัฒนา หลักแห่งการพัฒนา การพัฒนาต้องไปใน ทศิ ทางใด เชน่ อย่างผู้ปกครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลักรัฐศาสตร์ เข้าใจในกฎหมายท้องถ่ินเป็นอย่าง ดี อยา่ งนี้เรยี กรู้จักเหตุ 2. อัตถัญญุตา รู้จักผล ผู้ปกครองต้องเข้าใจถึงผลถึงการของกระทา การออกนโยบายหรือ การนานโยบายไปปฏิบัติ ผู้ปกครองต้องเข้าใจถึงประโยชน์ และผลกระทบที่ตามมาของการบังคับใช้ นโยบายน้ัน ๆ หรือผลแห่งการกระทา การใช้อานาจของตนเอง อาจกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของ คนในชาตไิ ด้ 3. อัตตัญญุตา รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีสถานะเป็นอะไร ประกอบด้วยคุณสมบัติ อย่างไรในตนเอง มีความถนัดความเชียวชาญในด้านใด มีความรู้และความสามารถในด้านใด เข้าใจ จุดอ่อนจุดแข็งของตนดี ท้ังนี้เพ่ือประโยชน์ในการปรับปรุง และการพัฒนาตัวเอง ให้มีคุณสมบัติ ความสามารถย่ิง ๆ ขึ้นไป พ่ึงเป็นเสมอื นนา้ ไม่เต็มแก้วต้องเป็นผู้ไม่สมบูรณ์ตลอดเวลา พร้อมท่ีจะเติม เติมน้าได้ตลอดเวลา 4. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี รวมไปถึงการคาดการณ์ในเร่ืองต่าง ๆ ทั้งน้ี เพื่อความพอดี พอเหมาะตามสมควร เชน่ ผปู้ กครองบ้านเมืองร้จู กั ประมาณในการนานโยบายไปใช้ทั้ง ในด้านกาลงั คน กาลงั งาน กาลังทรัพย์ มาปรับใช้ เป็นต้น เพราะฉะนั้นการรู้จักประมาณจะทาให้งาน สาเร็จไปไดอ้ ยา่ งสะดวก และมที ศิ ทางในการทางาน
103 5. กาลญั ญตุ า รู้กาล คือ ร้จู ักเวลา เช่น ผู้นาต้องรจู้ กั วา่ เวลาใดเหมาะสมควรทาอะไร เร่ืองน้ี จะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะทาอะไรจึงจะเหมาะ รู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา การพูดจาก็ต้อง รจู้ กั กาลเวลา กาลเทศะ รู้จักการเข้าสังคมเข้าหาผู้คน คนใดควรเข้าหา ก็เพ่ือประโยชน์ในการบริหาร การปกครอง 6. ปริสญั ญุตา รชู้ ุมชน คือ รู้สงั คม คอื รู้จกั การเข้าสงั คม และรู้จกั ท่ีประชุม ส่ิงจาเป็นสาหรับ ผู้นาก็ต้องเข้าสมาคมอย่างไร ควรปฏิบัติตนตามธรรมเนียมน้ันอย่างไรว่า จะต้องทากิริยาอย่างน้ี จะต้องพูดอย่างน้ี และวางตัวอยา่ งไร กเ็ พอ่ื ประโยชน์ร่วมกันในการบรหิ ารงาน แมแ้ ต่ชุมชนย่อย ๆ ถ้า เราจะช่วยเหลือเขา เราต้องรู้ความต้องการของเขา รู้ปัญหาของท้องถ่ิน จุดแข็งจุดอ่อนในประเทศ เพอ่ื สนองความตอ้ งการได้ถกู ต้อง หรอื แก้ไขปญั หาไดต้ รงจุด 7. ปุคคลัญตา รู้บุคคล คือ ผู้นาจักต้อง รู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลในองค์กร ของตน มีอปุ นสิ ัยอย่างไร มีความสามารถ ความถนดั ในด้านใด อยา่ งที่ภาษิตท่ีว่า มองคนให้ออก บอก คนใหไ้ ด้ ใช้คนให้เป็น ในการจัดวางหน้าท่ีความรับผิดชอบของบุคคลนั้น ๆ ก็เพื่อทาให้เกิดประโยชน์ สูงสุดขององคก์ รของตนเอง ดังน้ันการปกครองในยุคนี้เป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แตกต่างกันกับท่ีผ่าน มา การประยุกต์ใช้หลกั ธรรมจึงมุ่งเน้นไปทก่ี ารพัฒนาผปู้ กครองในระดบั ตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง สูงสุดจนถึงท้องถิ่น โดยจะได้นาหลักสัปปุริสธรรมทั้ง 7 ประการ มาใช้ในการพัฒนาผู้นา โดย หลักธรรมนี้ กล่าวคือเป็นคุณสมบัติของปกครอง 7 ประการ คือ เข้าใจหลักของเหตุ เหตุแห่งการ พัฒนา หลักการแห่งการพัฒนา กฎเกณฑ์ กฎหมาย ขอบข่ายของการพัฒนาเป็นอย่างดี ผู้ปกครอง จะต้องคาดการณ์ด้วยหลักของผลได้ ว่าการดาเนินการใด ๆ จะส่งผลต่อผู้ใด ผู้ใดได้รับผลกระทบ ผปู้ กครองจกั ต้องมีความสามารถ และไม่หยุดพัฒนาความสามารถของตน ยิ่งผู้นามีวิสัยทัศมากเท่าไร ก็ย่ิงทาให้ชาติพัฒนาได้ไปไกลยิ่งข้ึน ผู้ปกครองต้องรู้จักกาลว่าในเวลาน้ีชาติควรพัฒนาไปด้านใดมาก ที่สุด เวลานี้ชาติควรเดินหน้าหรือรอดูสถานการณ์ เพ่ือป้องกันความเสียหายของชาติท่ีจะเกิดขึ้น ผู้ปกครองจะเป็นรู้จักประเทศของตนเป็นอย่างดี ถึงจุดอ่อนจุดแข็ง รู้ในสิ่งท่ีมี และไม่มี กระท่ัง ภูมิศาสตร์ ทรัพยากร และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงานที่ไปด้วยกันน้ัน ผู้ปกครองต้องรู้จักบุคคล หลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านบุคลากรของตนเอง รู้จักความสามารถของแต่ละบุคคล ความถนัดของแต่ละ คน ท้ังนี้เพื่อการมีประสิทธิภาพในการพัฒนาองค์กร หรือประเทศ อีกทั้งต้องรู้จักบุคคลจากองค์กร ต่าง ๆ ด้วย เพ่ือการติดต่อประสานจะได้ดาเนินไปอย่างสะดวก สัปปุริสธรรมเป็นคุณสมบัติของผู้ท่ี ควรจะมีสาหรับการเป็นผู้นาบุคคล องค์กร หรือประเทศ ผู้ที่เป็นผู้นาน้ันจะต้องมีธรรมะหรือ คุณสมบัติในตัวของผู้นามีทั้ง 7 ประการด้วย เพราะผู้นาเปรียบเสมือนหัวเรือท่ีจะนาพาองค์กร หรือ ประเทศให้มีความเจริญกา้ วหน้า เกิดความเรียบรอ้ ย และสงบสขุ 4.3.3 การประยกุ ตใ์ ช้อปรหิ านยิ ธรรม 7 กบั ระบอบประชาธปิ ไตย การใชห้ ลกั พุทธธรรมในการพัฒนาการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ว่าด้วยการส่งเสริม ใหป้ ระชาชนแสดงออกซ่ึงการเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคท่ี เท่าเทียมกันในทางการเมือง และทางสังคม โดยมีหลักกฎหมายที่เป็นตัวกาหนดสิทธิ และเสรีภาพ และการมีการมีส่วนร่วมทางการเมอื งของประชาชน หลักพุทธธรรมเกี่ยวกับความเสมอภาค สาหรับผู้ ทม่ี หี นา้ ทป่ี กครองบ้านเมอื ง และประชาชนผู้ใตป้ กครองน้นั โดยพระพุทธศาสนาได้มีนาหลักความเท่า
104 เทียมมาใช้ตั้งแต่สมัยท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงปกครองคณะสงฆ์ เป็นต้นว่า การไม่แบ่งชนชั้น วรรณะในคณะสงฆ์เช่นกัน แสดงให้เห็นว่าการปกครองคณะสงฆ์มีความคล้ายกับประชาธิปไตย พอสมควร จะแตกต่างกันท่ีหลักการบางประการเท่านั้น ดังนั้นการนาหลักธรรมทางพุทธศาสนามา ประยกุ ต์ใชก้ บั ระบอบ จะทาให้เปน็ การส่งเสรมิ ประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี ผวู้ ิจัยพบว่า ปัญหาการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ประเทศไทยมีการ เปล่ียนแปลงระบอบการปกครองพ.ศ. 2475 เป็นต้นมา การเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยยังไมพ่ ฒั นาไปเทา่ ทค่ี วรจะเป็น สาเหตุหลัก ๆ อาจเป็นเพราะปัญหาด้านการปกครองที่ ไม่มีเสถียรภาพเท่าท่ีควรจะเป็น และยังมีการยึดอานาจจากทหารบ่อยคร้ัง ยังไม่รวมปัจจัยภายนอก อีก ดังนั้นการนาหลักอปริหานิยธรรมมาใช้กับการพัฒนาจะเป็นการเหมาะสมที่สุดดังจะอธิบายได้ ดงั ตอ่ ไปนี้ การนาหลักอปริหานิยธรรม 7 ประการ กับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดความ มนั่ คง อปริหานิยธรรม 7 เป็นหลักธรรมที่จะทาให้นักปกครองหรือนักการเมือง มีความสามัคคีใน และสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ โดยท่ีส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคในระบอบ ประชาธิปไตย ดงั จะอธบิ ายได้ดงั น้ี 1. หม่ันประชุมเนืองนิตย์ นักปกครองควรพบปะปรึกษาหารือกัน แสดงความคิดเห็นเพ่ือหา ข้อยุติความขัดแย้งโดยใช้วิธีการอภิปรายในรัฐสภา ข้อขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม นักปกครอง ควรใชว้ ิธกี ารลงมติอภปิ รายในสังคม ไม่ใช้อานาจความรุนแรงในการแก้ปัญหา สง่ เสรมิ ให้ประชาชนได้ เข้าร่วมกจิ กรรมทางการเมอื งเท่า ๆ กนั 2. พร้อมเพรยี งกนั ประชุม นักปกครองควรส่งเสรมิ ให้ประชาชนรู้จักระเบียบกฎเกณฑ์ท่ีได้ตก ลงกันไว้ในการร่วมมือกันทากิจการต่าง ๆ เมื่อทาการใดก็ช่วยกัน และทาพร้อมกัน เลิกพร้อมกัน รับผิดชอบต่อหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายจากส่วนรวม และในสังคมประชาชนมีความเสมอภาคทางด้าน การเมืองเท่า ๆ กัน ส่งเสริมให้ประชาชนแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตยที่แท้จริง เช่น การออกไปใชส้ ทิ ธิเพือ่ แสดงสทิ ธขิ องตนท่ีพึงกระทา 3. ไม่บัญญัติส่ิงที่มิได้บัญญัติไว้ นักปกครองจะต้องถือหลักกฎหมายเป็นสาคัญในอันจะ นาไปใช้ปฏิบัติ กฎหมายจะต้องให้ความเท่าเทียม เสมอภาค และใช้อย่างเท่าเทียมกับทุกฝ่ายไม่เว้น บุคคลใด ไม่ถืออภสิ ทิ ธิชนเหนือกฎหมาย และจะต้องไมบ่ ังคับใชก้ ฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ท่ีไม่เกิดความ เจริญแก่ประเทศ หรือกฎหมายที่ทาให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ และไม่ล้มล้างส่ิงที่ไม่ บัญญตั ิ ถอื วา่ เป็นกฎหมายทป่ี ระชาชนส่วนใหญไ่ ดใ้ ห้การยอมรับ และได้มาโดยเสียงข้างมากให้ความ เห็นชอบ 4. สักการะเคารพนับถือ โดยประชาธิปไตย นักปกครองจะต้องเคารพในประชาธิปไตยถือ ประชาธิปไตยเปน็ ใหญ่ เคารพสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน ให้ความสาคัญตอ่ ประชาชน เคารพในความ คิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในเสียงส่วนใหญ่ และความต้องการของประชาชน นักปกครองจะต้องเคารพ กฎเกณฑแ์ ละกติกาของการปกครองแบบประชาธปิ ไตย 5. ปกป้องคุ้มครองเด็กและสตรีไม่ให้ถูกข่มเหงน้าใจ นักปกครองให้โอกาสอย่างเท่าเทียมแก่ ทุกคนความเสมอภาคในโอกาส เด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัว มีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดย
105 รัฐ ได้รับสิทธิการคุ้มครองจากรัฐ ทั้งนี้ตามท่ีกฎหมายบัญญัติ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เทา่ เทยี มกนั ชายและหญงิ มีสิทธเิ ท่าเทยี มกนั ไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลอันเน่ืองมาจาก ความแตกต่างทางเชอื้ ชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกาย เปน็ ตน้ 6. เคารพสักการบูชาปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุ นักปกครองจะต้องเคารพสักการบูชาสิ่งที่ เป็นท่ีเคารพสักการะ เป็นสิ่งท่ีเหนี่ยวนาจิตใจของคนในชาติให้คงอยู่ต่อไปนักปกครอง เช่น สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตรยิ ์ และใหก้ ารเคารพ ไม่คิดล้มลา้ งสถาบนั การปกครอง 7. บารุงรักษาผู้มธี รรมทั้งหลายท่ีเปน็ ท่ีพ่งึ ของประชาชน นักปกครองควรให้การสนับสนุนผู้ท่ี มีคุณธรรม ส่งเสริมคนดี เลือกคนดี มีความสามารถเข้ามาเป็นกาลังพัฒนาประเทศชาติ ส่งเสริม คุณภาพในการบรหิ ารปกครอง อนั เปน็ เหตใุ หเ้ กิดให้เกดิ ความสุขและความเจรญิ ขน้ึ ดังนั้นอปริหานิยธรรม 7 เปรียบเสมือนหลักการปฏิบัติที่จะส่งเสริมให้นักปกครอง และ ประชาชนท่ีสนับสนุนประชาชน ดังนี้ 1) สนับสนุนใช้อานาจอธิปไตยโดยสิทธิการออกเสียงเลือกต้ัง ตามกฎหมาย และเคารพในเสียงขา้ งมากในการลงความเห็น เป็นต้น 2) เปิดโอกาสให้การชุมนุมอย่าง สนั ติ การแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง 3) ยึดหลักกฎหมายเป็นสาคัญในการจะ นามาใช้ปกครอง 4) สนับสนุนคุ้มครอง ปกป้อง ให้สิทธิ ความเสมอภาคกับ ทุกคนอย่างเท่าเทียมซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ พระสุธารักษ์ ธมฺมารกฺโข (ปิยมาตย์). (2564 : 84) หากมีความเสมอภาค เกิดขน้ึ ในกลุ่มบคุ คลไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะยากจนหรือร่ารวยไม่ว่าเขาจะมีการศึกษาสูงหรือ ต่า โดยทไ่ี มม่ ีผใู้ ดจะได้รับอภสิ ิทธ์ใิ นการปฏิบตั ติ ามกฎหมายเหนือผู้ใด 4.3.4 การประยุกต์ใช้สังคหวัตถุ 4 กับการผสานความสามัคคขี องคนไทย ในปัจจุบันน้ีการปกครองได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของประชาชนมากมาย ไม่ว่า ทางด้านข่าวสาร การเข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือการกระทาใด ๆ ทางการเมืองก็แลว้ แต่ สิง่ นสี้ ะท้อนใหเ้ ห็นว่าการเมืองมิใชเ่ ปน็ เรอื่ งของผปู้ กครองอีกต่อไป การเมืองยัง เป็นเรื่องของผู้ถูกปกครองด้วยเช่นกัน เพราะความกินดีอยู่ดีของผู้ถูกปกครองขึ้นอยู่กับการปกครอง ของผู้ปกครองด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าเม่ือรัฐบาลกระทาการใดท่ีเป็นประโยชน์ประชาชนก็มักจะ ออกมาช่นื ชม แต่ถ้ากระทาการใดทีส่ ร้างความเดอื ดร้อนให้แกป่ ระชาชนหรือบ้านเมืองแล้ว ประชาชน ย่อมออกมาวิจารณก์ ารทางานของรัฐบาลด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุข้างต้นนี้ บุคคลที่เข้ามาเป็นตัวแทนทา หน้าทใ่ี นรัฐสภาจงึ เปน็ เปา้ หมายในการวิจารณข์ องประชาชน ท้ังใหก้ ารสนบั สนนุ ให้ไมส่ นับสนุน แต่ใน ปัจจุบัน การเมืองได้แบ่งผู้สนับสนุนและไม่สนับสนุนรัฐบาล ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้อย่างชัดเจน โดย สาเหตุนี้ทาให้เกิดการถกเถียงกันในการเข้ามาบริหารของรัฐบาลท่ีรุนแรงข้ึนเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น การเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาช่วยแก้ปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ก็ยังมีประชาชนที่เห็นด้วย ออกมาแสดงการให้การสนับสนุน ส่ิงนี้สะท้อนให้เห็นได้ถึงการแตกความสามัคคีของคนไทยได้เป็น อยา่ งดี ไม่เหมือนชว่ งท่ีผา่ น ๆ มาทปี่ ระชาชนเดนิ ทางขับไล่รัฐบาลเพียงฝ่ายเดยี วอย่างทีเ่ คยผา่ นมา ดงั นน้ั หากว่ากนั โดยพ้ืนฐานความตอ้ งการแลว้ การเรียกร้องใด ๆ ก็ตามจากรัฐบาล เช่น การ วิจารณ์การทางานของรัฐบาลโดยผ่ายช่องทางสื่อสารในด้านต่าง ๆ หรือการออกมาเดินประท้วงเพื่อ เรียกร้องให้รัฐเข้ามาดูแลก็ดี แม้กระท่ังการไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองที่เข้ามามีบทบาทในการ บริหารก็ตาม ว่ากันตามจริงแล้ว พื้นฐานของการเรียกร้องคือความต้องการที่จะให้ตนเองกินดีอยู่ดี การมชี วี ติ ความเป็นอยู่ทดี่ ขี น้ึ รวมไปถงึ การยกระดับฐานะของตนเองดว้ ย
106 ผู้วิจัยพบว่า ปัญหาการขาดความสามคั คขี องประชาชน ประเดน็ ปญั หาต่อมา สืบเนื่องมาจาก ข้างต้นคือ การไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนชาวไทย กล่าวคือ การสืบเนื่องจากอดีตที่มี การแบง่ ฝา่ ยกันของชนช้นั ปกครอง เปน็ เพียงจดุ เร่ิมตน้ ของการแตกสามัคคีของคนในชาติ โดยปัจจุบัน ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองมากขึ้น และประชาชนได้มีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล กับฝ่ายท่ีไม่สนับสนุนรัฐบาล สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าผลจากการเมือง ส่งผลกระทบมาถึงประชาชนและคนในชาตใิ หเ้ กดิ ความไม่ปรองดองต่อกัน การนาหลกั สงั คหวตั ถุ 4 มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พื่อสร้างความสมานฉนั ท์ของคนในสงั คมไทย ว่าดว้ ยหลกั การยดึ เหนย่ี วจติ ใจกัน หลักสังคหวัตถุธรรม เป็นแนวทางแห่งการส่งเสริมการกิน ดีอยู่ดีของประชาชน แต่ถ้านาหลักนี้มาใช้เป็นพ้ืนฐานเพื่อแก้ความขัดแย้งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาท่ี ตรงจุดมากที่สุด กล่าวคือ เมื่อการบ้านการบ้านเมืองดี เศรษฐกิจดี ส่งผลประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี ตามไปด้วย ดังนั้นการจะสร้างความสมานฉันท์จึงต้องสร้างจากรากฐานแห่งความต้องของการ ประชาชนจริง ๆ อนั วา่ ด้วยหลักราชสงั คหวตั ถุ 4 สาหรบั การปกครองเพ่ือความกินดีอยู่ดีเพื่อความกิน ดอี ย่ดู ีของประชาชนเพือ่ ลดความขัดแย้งกนั ในสงั คม ดังจะอธิบายดงั ต่อไปน้ี ราชสังคหวัตถุ 4 สาหรับการปกครองเพื่อความกินดีอยู่ดีเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน สังคหวัตถุของผู้ครองแผ่นดิน หรือ ราชสังคหวัตถุ 4 สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเคร่ืองยึดเหน่ียว จติ ใจประชาชน, หลกั การสงเคราะหป์ ระชาชนของนกั ปกครอง เพอ่ื สรา้ งความกินดีอย่ดู ี 1. สัสสเมธะ ส่งเสรมิ ความเป็นอยทู่ ี่ดี คือ ความฉลาดในการบารุงประชาชนโดยการให้ ในที่น้ี หมายถงึ เป็นการส่งเสริมในดา้ นด้านตา่ ง ๆ ใหแ้ ก่ประชาชน โดยการส่งเสริมให้กาลังทรัพย์สามารถใช้ จ่ายได้อย่างไม่ขาดแคลน กาลังความรู้ให้สนับการศึกษาที่ดีแก่ประชาชนเพื่อยกระดับคุณภาพของ ประชาชนใหม้ ีความสามารถ ลดภาระทางครอบครัวให้แก่ประชาชนรัฐจะตอ้ งสนับสนุนให้การส่งเสริม รายจ่าย หรอื รายได้ต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้จ่าย เช่น สวัสดิการจากรัฐที่จะทาให้ประชาชนลดภาระ ภายในครอบครัวของตน ส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดอาชีพแก่ประชาชน ชี้แนวทาง ช่องทางทามา หากิน สนับสนุนประชากรของตนให้มีศักยภาพ สามารถต่อสู้กับประเทศต่าง ๆ ได้ เปรียบเสมือนให้ คนั เบ็ดแกป่ ระชาชน ดีกวา่ ใหป้ ลาแกป่ ระชาชน เป็นต้น ดังนั้นการสนับสนุนจากรัฐในด้านต่าง ๆ จะทาให้ประชาชนพัฒนาชีวิตของตนให้ยกระดับ ความเป็นอยู่ของตนได้เร็วกว่าท่ีควรจะเป็น อีกท้ังยังเป็นประโยชน์แก่รัฐด้วย ก็การลดปัญหา อาชญากรรม โจรขโมย ลดการออกมาเดนิ ขบวนเรยี กร้องให้รัฐออกมาชว่ ยเหลอื ตนอีกด้วย กล่าวได้ว่า จะลดความขัดแย้งทางความเห็นทางการเมืองได้ เพราะคนส่วนใหญ่มีหน้าที่การงานดีท่ี เล้ียงชีพ ตนเองไดไ้ มข่ ัดสน อกี ท้ังช่วยใหร้ ัฐไดร้ ายไดก้ ลับมาจากการเสียภาษีจากประชาชน 2. ปุริสเมธะ สนับสนุนให้เกิดความโปรงใส ความฉลาดในการบารุงข้าราชการ รู้จักส่งเสริม คนดีมีความสามารถ ในที่น้ีหมายถึง การบารุงข้าราชการมิให้เกิดการทุจริตในหน้าที่การงานของตน กล่าวคือ เมื่อข้าราชการมีความม่ันคงในหน้าที่ตนเองมากเท่าใด และได้รับการส่งเสริมจาก ผู้บังคับบัญชามากเท่าใดก็ยิ่งสามารถทาให้การทาหน้าที่ได้ของตนได้ดีย่ิงข้ึน สามารถพัฒนาระบบ ราชการให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งส่งเสริมให้ข้าราชการพัฒนาตนเองให้เกิดองค์ ความรู้ และความสามารถได้เท่าไรกย็ ิง่ ทาใหช้ าตสิ ามารถพฒั นาไดต้ ามไปด้วย
107 ดังนั้นหากรัฐสามารถลดการทุจริตคอรัปชั่นในหน่วยงานราชการได้แล้ว ด้วยการส่งเสริมให้ หนว่ ยงานขา้ ราชการมคี วามโปร่งใสในการทางาน ส่ิงนี้จะเป็นประโยชน์ด้านความเข้มแข็งของรัฐบาล ในทางหนง่ึ ด้วย เมื่อการทางานของหน่วยงานราชการเป็นไปด้วยความถูกต้องโปร่งใส ประชาชนก็จะ หันมาสนับสนุนรัฐ ให้ความช่วยเหลือแก่รัฐเม่ือรัฐร้องขอ เกิดความใกล้ชิดกับหน่วยงานราชการกับ ประชาชนมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมเกิดความพอใจกันและเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย ระหว่างเจ้าหน้าท่ี และรัฐอกี ด้วย อกี ทั้งรัฐสามารถเข้าใจปัญหาของประชาชนได้อย่างแท้จริง เพ่ือนาไปแก้ปัญหาให้ตรง กับความต้องการของประชาชนสร้างประโยชน์ได้อย่างย่ิงยวด และความสมานฉันท์แก่คนในสังคมได้ อย่างดี 3. สัมมาปาสะ สงเคราะห์ให้ทุนทากิน เพื่อความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชน เช่น ให้คน จนกยู้ ืมทุนไปสรา้ งตวั ในพาณิชยกรรม ให้แก่ประชาชนทุกระดับชั้นเป็นต้น พ่อค้า ประชาชน หรือนัก ธุรกิจ โดยให้ทุนในการทากินเพ่ือสร้าง ในด้านต่าง ๆ เช่นให้ทุนในการศึกษาเพ่ือสร้างบุคลากรอันจะ นาองค์ความรู้มาพัฒนาประเทศ ให้ทุนแก่พ่อค้าระดับกลางเพื่อต่อยอดการลงทุน รวมไปถึงวิธีการ ลงทุนให้เกิดดอกผลกาไรแก่ตนเอง ให้โอกาสในการค้าขาย ขยายกิจการ รวมไปถึงนโยบายปรับลด ดอกเบีย้ พักชาระเงนิ ต้นและดอกเบย้ี ส่งเสรมิ การตลาดแกป่ ระชาชนใหค้ วามคุ้มค่าแก่การสร้างสินค้า สนับสนุนการเพิ่มมูลค่าสินค้า ในการสร้างคุณภาพสินค่า เป็นต้น อีกท้ังสนับสนุนโครงการระหว่าง ภาครัฐกับประชาชนให้เกิดอาชีพขึ้นในท้องถิ่นท่ีอยู่ของตน เพ่ือการกระจายรายได้ไปสู้ท้องถ่ินให้ พัฒนาตามเมอื งใหญ่ ดังนั้นการนาหลักสัมมาปาสะ มาใช้เพ่ือความประสานความเข้าใจโดยการส่งเสริมภาครัฐสู่ ประชาชน ให้เกดิ อาชีพในทอ้ งถิ่นของตนเอง เม่ือเป็นเช่นน้ันแล้ว ความใกล้ชิดระหว่างภาครัฐท้องถ่ิน กับประชาชนก็มากข้ึนตามไปด้วยเกิดความเข้าใจกันมากขึ้น ดังที่ได้เห็นจากโครงการ 1 ตาบลหน่ึง ผลิตภัณฑ์ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถ่ิน อีกทั้งรัฐยังสนับสนุนให้สินค้านั้นกระจายไปท่ัว ประเทศ ท้ังน้ีก็เพื่อลดปัญหาการออกมาประท้วงของชาวนา ชาวสวน เกษตรกร เร่ืองราคาท่ีไม่เป็น ธรรม หรอื ราคาตกตา่ ในผลผลิต อยา่ งท่ีเป็นมาทุกสมัย 4. วาชเปยะหรอื วาชเปยยะ ได้แก่ การรจู้ กั พูด รู้จักปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุ่มนวล มีเหตุผล ประกอบดว้ ยประโยชน์ ก่อใหเ้ กิดความสามัคคีไม่ยุยงให้เกิดความเห็นผิดแก่ประชาชน พูดสร้างความ สามัคคี ทาให้เกดิ ความเขา้ ใจอนั ดีต่อกัน เน้นประโยชน์ของผู้รับ คือให้โดยคานึงถึงประโยชน์ของผู้รับ สรา้ งความนา่ เชอ่ื ถือ และความมั่นใจใหแ้ ก่ประชาชน ดงั นั้นรัฐต้องคอยสร้างผสานสัมพันธ์แก่ประชาชนทุกฝ่าย โดยการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้ง ในสังคม และส่ือสารทาความเข้าใจกันระหว่างกันให้เข้าใจกัน รัฐต้องยอมรับคาติชม จากประชาชน เพ่ือนามาพฒั นาแกไ้ ขปัญหาอันทาให้เกิดความเดือดร้อน หรือเกิดความแตกสามัคคีกันของคนในชาติ รวมไปถึงเป็นตัวกลางให้ประชาชนได้เข้าใจกันผสานความสัมพันธ์กันไม่ให้เกิดความแตกแยกกัน ซึ่ง สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ วรเศรษฐ์ บัวดอก. (2564 : 8) ในเร่ืองของความสามัคคีหรือการปรองดอง กัน มิได้หมายความว่าทุกคนมีความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันทุกคน แต่หมายถึงเมื่อมีความ แตกต่างเกิดข้ึน สามารถเข้าใจและนาความแตกต่างมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์และสอดคล้องกับ เป้าหมายหลักที่กลุ่มสังคมน้ัน ๆ กาหนดไว้ หากมีข้อขัดแย้งหรือความแตกแยกเกิดข้ึน ต้องหาวิธี ประสานรอยรา้ วนั้น โดยการนาหลักคาสอนทางพระพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความรัก
108 สามัคคีความผูกพันให้เกิดข้ึนกับสังคมนั้น มุ่งสู่ความเจริญ โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักถ้า อยากให้เกิดความสามัคคีในองค์กร ไม่ขจัดอุปสรรคของความสามัคคี และไม่สร้างอุบายแห่งความ สามัคคีใหเ้ กิด ตลอดจนไม่จัดกิจกรรมอะไรขึ้นมารองรับเลย สามัคคีที่ถูกต้องชอบธรรมก็เกิดข้ึนไม่ได้ จึงจะสามารถนาพาองคก์ รสามารถฝ่าฟนั อุปสรรคทัง้ หลาย 4.4 สรุป การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมกับการปกครองไทย จากการศึกษาระบอบการปกครองของ ไทย พบว่าการปกครองได้ถูกแบ่งเป็น 3 ช่วง 2 ระบอบการปกครอง คือ ช่วงท่ี 1 รัตนโกสินทร์ ตอนต้น รูปแบบการปกครองเป็นแบบที่มีลักษณะแบบนายปกครองบ่าว มีอานาจสิทธิขาดในการ ปกครองทกุ ๆ ดา้ น ประชาชนไม่มสี ทิ ธลิ ิดรอนอานาจกษตั ริย์ ช่วงท่ี 2 รตั นโกสนิ ทร์ตอนกลาง รัชกาล ที่ 5 – 7 ยงั คงใชร้ ะบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยแ์ ตไ่ ด้มีการวิวัฒนาการหลาย ๆ ด้านนาเอาความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่เขา้ มาพฒั นาประเทศสยาม ในดา้ นการปกครองได้มีการเปล่ียนแปลงหลัก ๆ คือ ได้เปลี่ยนยกเลิกระบอบบริหารแบบเก่ามาเป็น (เวียง วัง คลัง นา) กระทรวงต่าง ๆ แทน อีกทั้งยังมี การทดลองใช้การกระจายอานาจสู่ท้องถิ่น เพ่ือทบทวนแนวคิดประชาธิปไตย ช่วงท่ี 3 ยุคการ เปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2475 และนาหลักธรรม 3 ประการมาใช้เพ่ือสนับสนุนการ ปกครอง ทั้ง 2 ระบอบ 1) หลักทศพิธราชธรรม ทศพิธราชธรรม 10 ประการ เป็นคุณสมบัติของนัก ปกครองที่ดมี าประยุกตใ์ ช้กบั การปกครอง ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการส่งเสริมหลักการ ให้ประชาชนได้กินดอี ยูด่ ีแก้ปัญหาความเดอื ดรอ้ นอีกใชเ้ ปน็ หลกั ปฏิบัติของผู้ปกครอง ยังเป็นหลักแห่ง การปฏิบตั ิของประชาชน ข้าราชการ และใช้คติประจาใจของผู้ปกครองอย่างดี 2) หลกั สัปปุริสธรรม 7 กับพฒั นาการปกครอง มาใชใ้ นการพัฒนาผ้นู า โดยหลักธรรมน้ี กล่าวคือเป็นคุณสมบัติของปกครองท่ี ต้องมี 7 ประการ คือ เข้าใจหลักของเหตุ เหตุแห่งการพัฒนา ผู้ปกครองจะต้องคาดการณ์ด้วยหลัก ของผลได้ ผู้ปกครองจักต้องมีความสามารถ มีวิสัยทัศทาให้ชาติพัฒนาได้ไปไกล ผู้ปกครองต้องรู้จัก กาลว่าในเวลานี้ชาติควรพัฒนา ผู้ปกครองจะเป็นรู้จักประเทศของตนเป็นอย่างดี ถึงจุดอ่อนจุดแข็ง ผู้ปกครองต้องรู้จักบุคคล หลักอปริหานิยธรรม 7 ประการ กับระบอบประชาธิปไตย โดยมีหลัก เปรียบเสมือนหลักการปฏิบัติท่ีจะส่งเสริมให้นักปกครอง และประชาชนท่ีสนับสนุนประชาชน โดย หลักการประชุมเป็นเนืองนิตย์ เพ่ือสนับสนุนใช้อานาจอธิปไตยโดยสิทธิมีการออกเสียงในการเลือก ผู้ปกครอง โดยยึดหลักเคารพในเสียงข้างมากในการลงความเห็น 2) โดยหลักการชุมนุมพร้อมเพรียง เปดิ โอกาสใหก้ ารชุมนุมอยา่ งสนั ติ การแสดงความคดิ เหน็ และการแสดงออกทางการเมือง 3) หลักการ บญั ญตั ิยดึ หลักกฎหมายเป็นสาคญั 4) สกั การะเคารพนบั ถือ สนับสนนุ คุม้ ครอง ปกปอ้ ง ผู้มีธรรม และ คนดี สนบั สนุนผูม้ ีความสามารถ อย่างความเสมอภาคกับ และเท่าเทียม หลักสังคหวัตถุ 4 เพ่ือผสาน ความเข้าใจกันกับคนในสังคม และประชาชนกับรัฐโดย 1) ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนเพื่อ การเรียกร้องของประชาชน 2)สนับสนุนความโปร่งใสเพ่ือผสานความเข้าใจจากประชาชนกับภาครัฐ หรอื หน่วยงานราชการ 3) สนับสนนุ ทนุ ตา่ ง ๆ แก่ประชาชน เพ่ือลดการออกมาประท้วง และ 4) เป็น ตัวกลางผสานความเข้าใจกันระหว่าง ประชาชนกับประชาชน และประชาชนกับรัฐ เพื่อให้เกิดความ สามัคคีในสงั คม
บทท่ี 5 บทสรปุ และข้อเสนอแนะ การศึกษาเรื่อง “การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมกับการปกครองไทย” เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพวิจัยเอกสาร พบว่าการเมืองการปกครองของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันน้ัน มีส่วนในการ ช่วยพัฒนาประเทศไทย ท้ังในด้านการปกครอง และความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยผู้วิจัยได้นา หลักพุทธธรรมาประยุกต์ใช้เป็นหลักในการปกครองและแก้ปัญหา โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ประการ ดงั นี้ 5.1 สรุป 5.1.1 ศกึ ษาการปกครองไทย 5.1.2 ศึกษาหลกั พุทธธรรมที่ใช้กับการปกครอง 5.1.3 การประยุกตใ์ ช้หลักพุทธธรรมกบั การปกครองไทย 5.2 ขอ้ เสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะเพอ่ื การนาผลการวจิ ัยไปใช้ 5.1 สรุป 5.1.1 ศึกษาการปกครองไทย การปกครองไทย หมายถึง การปกครอง หมายถึง การคุ้มครอง รักษา ดูแล ควบคุม สถาบัน การปกครอง ตาแหนง่ หรือองค์การซึ่งมีอานาจหน้าท่ีในการควบคุมดูแลประเทศ โดยได้กาหนดไว้เป็น ท่แี น่นอน และไดร้ บั การยอมรับกันโดยท่วั ไป จากผลการวิจัยพบว่า 1. การปกครองของไทยตัง้ แต่ยคุ รตั นโกสนิ ทรจ์ นถึงปัจจุบันถูกแบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยกัน กล่าวคือ 1) การปกครองในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ใช้ระบอบการปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ลักษณะเหมือนการปกครองในยุคอยุธยาตอนปลาย 2) ปกครองในยุค รตั นโกสินทรต์ อนกลางเปน็ การเปลี่ยนแปลงครง้ั สาคัญในระบอบบริหารราชการ 3) การปกครองในยุค ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมุข โดยมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ 1) ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ลักษณะ การปกครองแบบนายปกครองบ่าว หรือเจ้าปกครองข้า โดยมีพระเจ้าแผ่นดินถือเป็นเจ้าชีวิต เป็น สมมติเทพ มอี านาจสิทธ์ิขาดในการตดั สนิ ใจในทกุ ๆ ด้าน มีระบอบบริการปกครองแบบ การปกครอง ส่วนกลางน้ันมีการแบ่งหน้าท่ีหน่วยราชการมีคุมบริหารราชการแผ่นดินภายใต้การบังคับบัญชาของ เสนาบดีเป็น 6 กรม คือ กรมมหาดไทย กรมกลาโหม กรมเมือง กรมวัง กรมคลงั และกรมนา 2) การปกครองยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางเป็นยุคแห่งการปฏิรูปการปกครองในรูปแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ กล่าวได้ว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์เริ่มดาเนินนโยบายสร้างรัฐ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ท่ีรวมอานาจเข้าสู่ส่วนกลาง และกษัตริย์สามารถใช้อานาจบริหารราชการ แผ่นดินได้ด้วยพระองค์เองอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2416 เพื่อลดทอนอานาจของเหล่าขุนนางลง เช่น การ ปฏิรูปศาล ปฏิรูปทหาร จัดตั้งกลุ่มการเมือง จัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน อีกท้ังในปี พ.ศ.
110 2435 ทรงเปลี่ยนจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม ข้ึนมาใช้บริหารประเทศ และ อีกทั้งได้มีการปฏิรูป ประเทศใหท้ นั สมัยขนึ้ จากล่มุ ขา้ ราชการและกล่มุ เจา้ นาย 3) ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีหลักการ คือ 1. อานาจ อธิปไตยเป็นของปวงชน ให้ความสาคัญกับเสียงข้างมาก แต่รับฟังเสียงข้างน้อยเช่นกัน 2. หลัก เสรีภาพ ในการคิดการแสดงออก การเลือกตั้ง ในการนับถือศาสนา การย้ายท่ีอยู่ ในการชุมนุม 3. หลกั ความเสมอภาค ราษฎรทุกคนในประเทศ มคี วามเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกัน 4. หลักการ ปกครองโดยเสียงขา้ งมากทีเ่ คารพเสียงขา้ งน้อย 5. หลักนติ ธิ รรม การยึดถือกฎหมายเป็นเกณฑ์ในการ ดาเนินกจิ กรรมถือวา่ เปน็ นโยบายและความตอ้ งการของประชาชน 5.1.2 ศกึ ษาหลกั พุทธธรรมทใี่ ช้กบั การปกครอง หลักพุทธธรรมท่ีใช้ในการปกครอง หมายถึง หลักพุทธธรรมในที่นี้หมายถึงคือ การนา หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นต้นว่าหลัก หลักทศพิธราชธรรม สัปปุริสธรรม อปริหานิยธรรม สังคหวัตถุธรรม นามาประยุกต์ใช้กับการปกครอง หรือเพ่ือพัฒนา และแก้ปัญหาการปกครองในด้าน ต่าง ๆ ผู้ปกครองเองก็จาเป็นก็ต้องมีหลักในคิด การยึดถือ และแนวทางในการปฏิบัติเพ่ือควบคุมคน หมู่มากให้เป็นระเบียบได้มากเท่าที่จะทาได้ ท้ังน้ีจุดมุ่งหมายก็เพ่ือทาให้สังคมเกิดความสงบสุขพึ่งพา อาศัยกนั เปน็ สงั คมของผทู้ ่ีเจริญแลว้ ในทางตรงข้ามหากสังคมใด ผู้นาท่ีไม่มีหลักธรรมและมีจริยธรรม ในการปกครอง ประชาชนไม่รู้จักศีลธรรม สังคมก็จะมีแต่วุ่นวายไม่เว้นวัน มีปัญหาตามมามากมาย เกดิ โจร เกิดผ้รู า้ ยเตม็ บา้ นเตม็ เมือง ในท่สี ุดประเทศชาตกิ ็จะล่มจมตามไปด้วย จากผลการวิจัยพบว่า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีเก่ียวข้องกับการปกครองไทย พบว่า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เก่ียวข้องกับการปกครองไทย คือ 1) หลักทศพิธราชธรรม ที่ว่าด้วย หลักแห่งการพัฒนาคนผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง การนาหลักธรรมเข้ามาใช้จึงจาเป็นต้องมีความ เกี่ยวข้องไปในทางคุณสมบัติของผู้ปกครองควรจะมี การประพฤติปฏิบัติของผู้ปกครองท่ีควรจะเป็น และเปน็ ไปเพื่อความเจรญิ ของบ้านเมือง 2) สัปปรุ ิสธรรม เป็นหลักธรรมที่ว่าด้วยการพัฒนาบ้านเมือง ให้เกิดความเจริญ โดยมุ่งเน้นท่ีความเข้าใจและการส่งเสริมบุคคลให้มีประสิทธิภาพโดยเร่ิมต้นจาก ผู้นา ซ่ึงผู้นาจะต้องเข้าใจ เข้าถึง คน และสภาพการณ์ สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ของประเทศ เพ่ือท่ีจะ สามารถทาความเข้าใจถึงการพัฒนาและแก้ปัญหาไปด้วยกัน 3) อปริหานิยธรรม เป็นหลักธรรมที่ว่า ด้วยการพฒั นาประชาธปิ ไตย การพัฒนาน้ันจาเป็นต้องเข้าใจถึงหลักการทาความเข้าใจกันพูดคุยและ ใหเ้ กยี รติในสิทธิของคนส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา4) สังคหวัตถุธรรม เป็นหลักธรรมท่ีว่าด้วยการสร้าง ความสามัคคีให้แก่กันและกัน โดยการเป็นธรรมในการกากับความประพฤติ ให้มีชีวิตท่ีงดงาม ประเสรฐิ และบริสทุ ธ์ิ ปฏิบัติตนต่อมนุษย์ ในการพูด คิด หรือทา โดยใช้หลักแห่งความเมตา และหวัง ดีตอ่ กัน ซง่ึ จะก่อให้เกิดความเขา้ ใจและสามัคคีกนั 5.1.3 การประยุกต์ใชห้ ลักพุทธธรรมกับการปกครองไทย การประยุกต์ในท่ีนี้ อาจหมายถึง การนาหลักคาสอนในทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็น แนวทาง หรือกรอบความคิดในการประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสุขสงบในทางปกครอง กับบุคลากร ข้าราชการเกดิ ความสนใจ โดยเฉพาะการนาหลักธรรมมาประยุกตใ์ ช้กับการปกครองท่ีดี จากผลการวจิ ัยพบว่า การประยกุ ตใ์ ช้หลักพุทธธรรมในการปกครองของไทย การปกครองใน รัตนโกสินทร์ท้ัง 3 ยุค โดยพบปัญหา 4 ด้าน คือ ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น 1.ปัญหาความไม่มี
111 เสถียรภาพในระบอบการปกครอง ยคุ รัตนโกสนิ ทร์ตอนกลาง 2. ปัญหาพัฒนาการกระจายอานาจ ยุค ประชาธิปไตย 3. ปัญหาการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตย 4. ปัญหาการขาดความสามัคคีของ ประชาชนโดยยึดหลักธรรมทัง้ 4 ข้อดงั ต่อไปน้ี 1. หลักทศพธิ ราชธรรม 2. สัปปุริสธรรม 3. อปริหานิย ธรรม 4. สังคหวัตถุธรรม เพื่อนามาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในแต่ละด้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนา และความสามัคคีในการปกครองไทย 1) ปัญหาการพัฒนาการปกครองและบ้านเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การ ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ราชในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้ประสบปัญหาการมี อานาจของเหล่าข้าราชการ และขุนนาง ท่ีมีอานาจเหนือกษัตริย์ยากต่อการปกครอง กล่าวคือ การ ปกครองในระบอบนี้มีจุดที่เป็นปัญหาที่ทาให้เกิดการพัฒนาประเทศ คือ อาจกล่าวได้ว่าเม่ือความ อ่อนแอของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองเกิดข้ึน จะส่งผลทาให้ขุนนาง ข้าราชการเข้มแข็งขึ้น และอาจเข้า มามบี ทบาทในการบรหิ ารและมอี านาจเหนอื กษตั รยิ ์ได้ 2) ปญั หาการพฒั นาและการกระจายอานาจ ในสมัยรัตนโกสิทร์ตอนกลาง นั้นผู้วิจัยได้พบว่า ปัญหาทางดา้ นการพัฒนาทอ้ งถิน่ กลา่ วคอื ในสมยั รัชกาลท่ี 5 ในการพัฒนาท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าการ ทดลองการกระจายอานาจเพ่ือให้ประชาชนได้ปกครองตนเองน้ัน ประชาชนเองยังขาดความเข้าใจใน การบริหารท้องถิ่นอยู่มาก เหตุเพราะ การศึกษาในในช่วงน้ัน ประชาชนส่วนใหญ่ยังชินกับการถูก ปกครองโดยผปู้ กครอง มเี พยี งชนชนั้ ปกครองเท่าน้ันท่ไี ดร้ ับการศกึ ษา 3) ปัญหาการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย คือ หลังมีการเปล่ียนแปลงระบอบการปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2557 (ก่อนรัฐประหารยึดอานาจของพลเอก ประยุทธ์ จันโอชา) การเมืองของ ประเทศไทยอาจถกู แบง่ เป็น 4 ชว่ ง ดังนี้ ช่วงท่ี 1 ชว่ งแหง่ การชว่ งชงิ อานาจของ 2 ขั้วอานาจ ระหวา่ งกลมุ่ อานาจใหม่โดยคณะราษฎร และกลุ่มอานาจเกา่ โดยกล่มุ นยิ มเจา้ ในปี พ.ศ. 2475 – 2500 ช่วงที่ 2 ช่วงแห่งการตื่นตัว ระหว่างปี พ.ศ. 2500 – 2520 ยุคแห่งการต่ืนตัวทางการเมือง ของ นิสิต นกั ศกึ ษา อาจารย์ นกั หนังสอื พิมพ์ นกั การเมอื ง ช่วงท่ี 3 ช่วงแห่งการเกิดประชาธปิ ไตยแบบครึ่งใบ ระหว่างปี พ.ศ. 2521 – 2543 อาจกล่าว ได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่มีการเมืองท่ีเข้มข้นเข้ามาแทนท่ี และมีความต่ืนตัวของนักการเมือง นิสิต ประชาชนทวั่ ไป หนั มาจนใจการเมืองมากขึ้น ช่วงที่ 4 ช่วงแหง่ การมปี ระชาธิปไตยท่ีเดินไปพร้อมกับทุนนิยม พ.ศ. 2544 – 2550 เป็นช่วง แห่งการพัฒนาประเทศไทย ท้ังการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เป็นอย่างมากมีการเจริญเติมโตของธุรกิจ รายยอ่ ย และรายใหญเ่ ป็นจานวนมาก ปัญหาของระบอบประชาธิปไตยมี 2 ด้านด้วยกัน คือ 1. ปัญหาการพัฒนาของระบอบ ประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลงระบอบการปกครองพ.ศ. 2475 เป็น ต้นมา การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังไม่พัฒนาไปเท่าที่ควรจะเป็น สาเหตุหลัก ๆ อาจเป็นเพราะปัญหาด้านการปกครองท่ีไม่มีเสถียรภาพเท่าท่ีควรจะเป็น และยังมีการยึดอานาจจาก ทหารบ่อยครง้ั ยงั ไม่รวมปจั จยั ภายนอกอกี 2. ปัญหาการขาดความสามัคคีของประชาชน ประเด็นปัญหาต่อมา สืบเน่ืองมาจากข้างต้น คือ การไม่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของประชาชนชาวไทย กล่าวคือ การสืบเนื่องจากอดีตท่ีมีการแบ่ง
112 ฝ่ายกันของชนชั้นปกครอง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแตกสามัคคีของคนในชาติ โดยปัจจุบัน ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองมากขึ้น และประชาชนได้มีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล กับฝ่ายท่ีไม่สนับสนุนรัฐบาล ส่ิงน้ีสะท้อนให้เห็นว่าผลจากการเมือง สง่ ผลกระทบมาถึงประชาชนและคนในชาตใิ หเ้ กิดความไมป่ รองดองต่อกนั โดยผู้วิจัยได้นาหลักทศพิธราชธรรม สัปปุริสธรรม อปริหานิยธรรม สังคหวัตถุธรรมมาเพื่อ แก้ปัญหา และพัฒนา ใน 4 ด้านด้วยกัน 1) ปัญหาการพัฒนาการปกครองและบ้านเมืองในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ 2) ปัญหาการพัฒนาและการกระจายอานาจ ในสมัยรัตนโกสิทร์ตอนกลาง 3) ปัญหาการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย 4) ปัญหาการแตกสามัคคีของคนในชาติ ดังจะได้อธิบาย ดงั ตอ่ ไปน้ี การนาหลักทศพิธราชธรรมกับการเป็นผู้นาระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประกอบด้วย 1. ทาน การให้ ผู้ปกครองจาเป็นตอ้ งมคี วามเอื้อเฟ้อื ต่อประชาชนสละทรพั ย์ส่ิงของส่วนตนได้ เพ่ือประโยชน์ของประชาชน พ่อค้า ข้าราชการ หรือส่วนรวมเป็นหลัก พึงบารุงเลี้ยงให้กินดีอยู่ดี ชว่ ยเหลอื ทรพั ยส์ ิ่งของแกบ่ ุคคลเหล่านน้ั เมอื่ เกดิ ภัย 2. ศีล ความประพฤติดีงาม คือ ผู้นาจาเป็นต้องสารวมกายและวาจา ประพฤติให้เป็น แบบอย่าง จะประกอบการใดกถ็ ือความสจุ รติ ความเท่ียงธรรม ถือธรรมในการตดั สนิ ใจ 3. ปริจจาคะ การบริจาค คือ เสยี สละตนเพ่อื ประโยชนส์ ว่ นรวม เสียสละความสบายความสุข สาราญ เสียสละเวลา อุทิศตนเพ่ือความสุขของบ้านเมือง เร่งแก้ปัญหา ไม่คิดถึงความสุขของตนเป็น หลกั ก็เพ่อื ให้บา้ นเมอื งพน้ วกิ ฤต และประชาชนพ้นความลาบากใหไ้ ด้โดยเร็ว 4. อาชชวะ ความซื่อตรง คือ ซ่ือตรงทรงสัตย์ต่อประชาชน เคารพในกฎหมาย ขนบธรรมเนยี ม และประเพณี ปฏบิ ัติภารกิจโดยสุจริตตรงไปตรงมา มีความจริงใจไม่เสแสร้ง ยึดหลัก ความเทย่ี งตรง และเท่ียงธรรม อยา่ งผูม้ ีปญั ญา 5. มัททวะ ความออ่ นโยน คอื ผนู้ าจาเป็นต้องมีอัธยาศัย ไม่เย่อหยิ่งถือตัวถือตน เป็นผู้หยาบ คายกระด้าง สุขุมและสง่างาม เป็นท่ีน่าเช่ือถือ วาจาอ่อนน้อม อัธยาศัยดี เป็นคนท่ีมีสุขภาพจิตท่ีดี น่าเข้าใกล้ เป็นทีเ่ คารพยาเกรงแกป่ ระชาชน และผใู้ ตป้ กครอง 6. ตปะ ความทรงเดช คือ ผู้นาจาเป็นต้องมีความเพียร เป็นความประพฤติมุ่งมั่นต่อการงาน เคารพความเพียรในตนเอง และของผู้อ่ืน มีความเป็นอยู่เรียบง่ายสม่าเสมอ อันท่ีจะทาให้กิจการ หน้าทท่ี ไ่ี ดร้ ับมอบหมายใหเ้ กดิ ความบรบิ ูรณ์ 7. อักโกธะ ความไม่โกรธ คือ ผู้นาจาเป็นต้องไม่ใช้ความโกรธเป็นเครื่องดารงตน ในการ ตดั สินใจ ในการดาเนนิ ชีวิต จนเปน็ เหตใุ ห้วินิจฉยั ความและกระทาการต่าง ๆ ผิดพลาด มองโลกอย่าง เปน็ กลางดว้ ยความเมตตา กรณุ า มุทิตา ต่อผูใ้ ต้ปกครอง 8. อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน คือ ผู้นาจาเป็นต้องไม่บีบคั้นกดข่ีข่มเหง ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อผู้ใต้ปกครองใช้อานาจตนรังแกผู้ด้อยกว่า ใส่ความ กล่ันแกล้ง ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียน ลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎร์ผ้ใู ดเพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชัง
113 9. ขันติ ความอดทน คือ ผู้นาจาเป็นต้องอดทนต่องานท่ีตรากตรา ต่อกาย และใจ อดทนต่อ ความเบ่ือหน่ายเหนื่อยหน่ายท่ีเกิดกับตน มุ่งม่ันก็ไม่ท้อถอย แม้ถูกกระทบด้วยวาจาว่าร้าย คาเย้ย หยนั ด้วยคาเสยี ดสีถากถางอยา่ งใด ก็ไม่หมดกาลังใจ ไม่ยอมละท้งิ หน้าทข่ี องตนเอง 10. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม คือ ผู้นาจาเป็นต้องวางตนเป็นหลักหนักแน่นในธรรม ความเที่ยงธรรม มนั่ คงต่อธรรมทั้งหลาย ยดึ หลกั ธรรมในการปกครองไมห่ ว่นั ไหวเอนเอียงต่อสง่ิ ใด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า หลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ จะกล่าวถึงหลักปฎิบัติแห่งพระราชาที่ นามาปกครองเหล่าประชาชน ให้เกิดความสงบสุข และความสุขแก่ประชาชน และข้าราชการผู้อยู่ใต้ ปกครองของราชา ดังจะได้แสดงผล 3 ด้าน คือ ด้านหลักการเอื้อเพื้อ ด้านหลักการปฏิบัติทางกาย ด้านหลักการปฏิบัติทางใจ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ มนต์เทียน มนตราภิบูลย์ (2564, หน้า58) กล่าวได้ว่า พระราชธรรม 10 ประการมาให้ประชาชนได้ประยุกต์ใช้ในการบริหารและการปกครอง บ้านเมือง แต่ใช้หลักการปกครองการบริหารแบบตะวันตกมาใช้แทน ซึ่งมีหลากหลายทฤษฎี หลาย แนวคิด หลายรปู แบบ มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกบั ระบอบการปกครอง ซ่ึงหากเราประยุกต์เอาหลัก ทศพิธราชธรรมมาปรับใช้ปกครอง (บริหาร)ผสมผสานควบคู่ไปกับหลักการบริหารแบบชาติตะวันตก ผลดคี งมากกว่าผลเสียอยา่ งแน่นอน ผลประโยชน์ก็จะเกิดข้ึนกับประชาชนอย่างย่ังยืน ม่ันคงและเป็น ธรรม เพราะหลักทศพิธราชธรรมน้ีสามารถประยุกต์ใช้กับผู้ปกครองทุกระดับชั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่ พระมหากษัตริย์เท่าน้ัน หลักทศพิธราชธรรมเป็นหลักธรรมไม่ใช่แค่เป็นอัตตหิตสมบัติหรือการทา ความดีสว่ นตัวของผู้นาหรือผปู้ กครองทุกระดับช้ันเท่านั้น แต่เป็นหลักท่ีผู้นาทุกระดับควรนาไปปฏิบัติ มุ่งปรหติ ปฏบิ ตั คิ ือการบาเพ็ญประโยชนส์ ุขเพอ่ื ผู้อื่นหรอื ส่วนรวมในสังคมเป็นสาคัญ การนาหลักสปั ปรุ ิสธรรม 7 กับหลักการบรหิ ารกระจายอานาจ อาจอธบิ ายไดด้ ังนี้ 1. ธัมมัญญุตา รู้หลักการ ผู้นาจะต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้หน้าที่ รู้กฎเกณฑ์ รู้หลักแห่งการ ปกครอง รวมไปถึงผู้ปกครองต้องเข้าใจถึงวิธีที่จะพัฒนา หลักแห่งการพัฒนา การพัฒนาต้องไปใน ทิศทางใด เชน่ อย่างผู้ปกครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลักรัฐศาสตร์ เข้าใจในกฎหมายท้องถ่ินเป็นอย่าง ดี อย่างนีเ้ รยี กรูจ้ ักเหตุ 2. อัตถัญญุตา รู้จักผล ผู้ปกครองต้องเข้าใจถึงผลถึงการของกระทา การออกนโยบายหรือ การนานโยบายไปปฏิบัติ ผู้ปกครองต้องเข้าใจถึงประโยชน์ และผลกระทบท่ีตามมาของการบังคับใช้ นโยบายน้ัน ๆ หรือผลแห่งการกระทา การใช้อานาจของตนเอง อาจกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของ คนในชาตไิ ด้ 3. อัตตัญญุตา รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีสถานะเป็นอะไร ประกอบด้วยคุณสมบัติ อย่างไรในตนเอง มีความถนัดความเชียวชาญในด้านใด มีความรู้และความสามารถในด้านใด เข้าใจ จุดอ่อนจุดแข็งของตนดี ทั้งน้ีเพ่ือประโยชน์ในการปรับปรุง และการพัฒนาตัวเอง ให้มีคุณสมบัติ ความสามารถยิ่ง ๆ ข้นึ ไป พ่งึ เป็นเสมอื นนา้ ไม่เต็มแก้วต้องเป็นผู้ไม่สมบูรณ์ตลอดเวลา พร้อมท่ีจะเติม เติมนา้ ไดต้ ลอดเวลา 4. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี รวมไปถึงการคาดการณ์ในเรื่องต่าง ๆ ท้ังน้ี เพอ่ื ความพอดี พอเหมาะตามสมควร เชน่ ผูป้ กครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการนานโยบายไปใช้ท้ัง ในด้านกาลังคน กาลงั งาน กาลังทรัพย์ มาปรับใช้ เป็นต้น เพราะฉะน้ันการรู้จักประมาณจะทาให้งาน สาเร็จไปได้อยา่ งสะดวก และมีทศิ ทางในการทางาน
114 5. กาลญั ญตุ า รู้กาล คือ รู้จกั เวลา เช่น ผู้นาต้องรจู้ ักวา่ เวลาใดเหมาะสมควรทาอะไร เร่ืองนี้ จะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะทาอะไรจึงจะเหมาะ รู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา การพูดจาก็ต้อง รจู้ กั กาลเวลา กาลเทศะ รู้จักการเข้าสังคมเข้าหาผู้คน คนใดควรเข้าหา ก็เพ่ือประโยชน์ในการบริหาร การปกครอง 6. ปริสัญญตุ า รู้ชุมชน คือ ร้สู ังคม คอื ร้จู กั การเขา้ สังคม และรจู้ ักท่ปี ระชุม สิ่งจาเป็นสาหรับ ผู้นาก็ต้องเข้าสมาคมอย่างไร ควรปฏิบัติตนตามธรรมเนียมนั้นอย่างไรว่า จะต้องทากิริยาอย่างน้ี จะตอ้ งพดู อยา่ งนี้ และวางตัวอย่างไร กเ็ พ่ือประโยชนร์ ่วมกันในการบริหารงาน แม้แต่ชุมชนย่อย ๆ ถ้า เราจะช่วยเหลือเขา เราต้องรู้ความต้องการของเขา รู้ปัญหาของท้องถ่ิน จุดแข็งจุดอ่อนในประเทศ เพ่ือสนองความต้องการได้ถูกตอ้ ง หรือแกไ้ ขปัญหาได้ตรงจดุ 7. ปุคคลัญตา รู้บุคคล คือ ผู้นาจักต้อง รู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลในองค์กร ของตน มอี ุปนิสัยอย่างไร มคี วามสามารถ ความถนดั ในดา้ นใด อยา่ งท่ีภาษิตที่ว่า มองคนให้ออก บอก คนใหไ้ ด้ ใช้คนให้เป็น ในการจัดวางหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคคลนั้น ๆ ก็เพ่ือทาให้เกิดประโยชน์ สูงสุดขององค์กรของตนเอง ดังน้ันการปกครองในยุคน้ีเป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แตกต่างกันกับที่ผ่าน มา การประยุกตใ์ ช้หลกั ธรรมจึงมุ่งเนน้ ไปท่กี ารพฒั นาผู้ปกครองในระดับตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง สูงสุดจนถึงท้องถิ่น โดยจะได้นาหลักสัปปุริสธรรมท้ัง 7 ประการ มาใช้ในการพัฒนาผู้นา โดย หลักธรรมน้ี กล่าวคือเป็นคุณสมบัติของปกครอง 7 ประการ คือ เข้าใจหลักของเหตุ เหตุแห่งการ พัฒนา หลักการแห่งการพัฒนา กฎเกณฑ์ กฎหมาย ขอบข่ายของการพัฒนาเป็นอย่างดี ผู้ปกครอง จะต้องคาดการณ์ด้วยหลักของผลได้ ว่าการดาเนินการใด ๆ จะส่งผลต่อผู้ใด ผู้ใดได้รับผลกระทบ ผปู้ กครองจกั ตอ้ งมคี วามสามารถ และไม่หยุดพัฒนาความสามารถของตน ยิ่งผู้นามีวิสัยทัศมากเท่าไร ก็ยิ่งทาให้ชาติพัฒนาได้ไปไกลย่ิงขึ้น ผู้ปกครองต้องรู้จักกาลว่าในเวลาน้ีชาติควรพัฒนาไปด้านใดมาก ท่ีสุด เวลาน้ีชาติควรเดินหน้าหรือรอดูสถานการณ์ เพื่อป้องกันความเสียหายของชาติท่ีจะเกิดข้ึน ผู้ปกครองจะเป็นรู้จักประเทศของตนเป็นอย่างดี ถึงจุดอ่อนจุดแข็ง รู้ในส่ิงท่ีมี และไม่มี กระท่ัง ภูมิศาสตร์ ทรัพยากร และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงานท่ีไปด้วยกันน้ัน ผู้ปกครองต้องรู้จักบุคคล หลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านบุคลากรของตนเอง รู้จักความสามารถของแต่ละบุคคล ความถนัดของแต่ละ คน ท้ังนี้เพ่ือการมีประสิทธิภาพในการพัฒนาองค์กร หรือประเทศ อีกทั้งต้องรู้จักบุคคลจากองค์กร ต่าง ๆ ด้วย เพ่ือการติดต่อประสานจะได้ดาเนินไปอย่างสะดวก สัปปุริสธรรมเป็นคุณสมบัติของผู้ท่ี ควรจะมีสาหรับการเป็นผู้นาบุคคล องค์กร หรือประเทศ ผู้ท่ีเป็นผู้นาน้ันจะต้องมีธรรมะหรือ คุณสมบัติในตัวของผู้นามีทั้ง 7 ประการด้วย เพราะผู้นาเปรียบเสมือนหัวเรือท่ีจะนาพาองค์กร หรือ ประเทศใหม้ ีความเจริญกา้ วหนา้ เกดิ ความเรยี บรอ้ ย และสงบสขุ การนาหลักอปริหานิยธรรม 7 ประการ กับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดความ มนั่ คง อปรหิ านยิ ธรรม 7 เป็นหลักธรรมท่ีจะทาให้นักปกครองหรือนักการเมือง มีความสามัคคีในและสร้าง ความเจริญให้แกป่ ระเทศชาติ โดยท่สี ่งเสรมิ สทิ ธิเสรีภาพ และความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย ดงั จะอธบิ ายได้ดังนี้
115 1. หม่ันประชุมเนืองนิตย์ นักปกครองควรพบปะปรึกษาหารือกัน แสดงความคิดเห็นเพ่ือหา ข้อยุติความขัดแย้งโดยใช้วิธีการอภิปรายในรัฐสภา ข้อขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดข้ึนในสังคม นักปกครอง ควรใชว้ ธิ กี ารลงมติอภิปรายในสงั คม ไมใ่ ชอ้ านาจความรนุ แรงในการแก้ปญั หา สง่ เสริมให้ประชาชนได้ เขา้ รว่ มกจิ กรรมทางการเมอื งเทา่ ๆ กนั 2. พร้อมเพรยี งกันประชุม นกั ปกครองควรส่งเสริมใหป้ ระชาชนรู้จักระเบียบกฎเกณฑ์ท่ีได้ตก ลงกันไว้ในการร่วมมือกันทากิจการต่าง ๆ เม่ือทาการใดก็ช่วยกัน และทาพร้อมกัน เลิกพร้อมกัน รับผิดชอบต่อหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายจากส่วนรวม และในสังคมประชาชนมีความเสมอภาคทางด้าน การเมืองเท่า ๆ กัน ส่งเสริมให้ประชาชนแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตยท่ีแท้จริง เช่น การออกไปใช้สิทธิเพอื่ แสดงสทิ ธิของตนทพ่ี งึ กระทา 3. ไม่บัญญัติสิ่งท่ีมิได้บัญญัติไว้ นักปกครองจะต้องถือหลักกฎหมายเป็นสาคัญในอันจะ นาไปใช้ปฏิบัติ กฎหมายจะต้องให้ความเท่าเทียม เสมอภาค และใช้อย่างเท่าเทียมกับทุกฝ่ายไม่เว้น บคุ คลใด ไมถ่ ืออภสิ ิทธชิ นเหนือกฎหมาย และจะต้องไม่บังคับใชก้ ฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ที่ไม่เกิดความ เจริญแก่ประเทศ หรือกฎหมายท่ีทาให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ และไม่ล้มล้างสิ่งที่ไม่ บัญญัติ ถอื ว่าเป็นกฎหมายท่ีประชาชนสว่ นใหญไ่ ดใ้ หก้ ารยอมรับ และได้มาโดยเสียงข้างมากให้ความ เห็นชอบ 4. สักการะเคารพนับถือ โดยประชาธิปไตย นักปกครองจะต้องเคารพในประชาธิปไตยถือ ประชาธปิ ไตยเป็นใหญ่ เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ใหค้ วามสาคญั ตอ่ ประชาชน เคารพในความ คิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในเสียงส่วนใหญ่ และความต้องการของประชาชน นักปกครองจะต้องเคารพ กฎเกณฑ์และกตกิ าของการปกครองแบบประชาธปิ ไตย 5. ปกป้องคุ้มครองเด็กและสตรีไม่ให้ถูกข่มเหงน้าใจ นักปกครองให้โอกาสอย่างเท่าเทียมแก่ ทุกคนความเสมอภาคในโอกาส เด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัว มีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดย รัฐ ได้รับสิทธิการคุ้มครองจากรัฐ ท้ังนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล อัน เนอื่ งมาจากความแตกต่างทางเช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกาย เป็นตน้ 6. เคารพสักการบูชาปูชนียสถาน และปูชนียวัตถุ นักปกครองจะต้องเคารพสักการบูชาสิ่งที่ เป็นท่ีเคารพสักการะ เป็นส่ิงท่ีเหน่ียวนาจิตใจของคนในชาติให้คงอยู่ต่อไปนักปกครอง เช่น สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และให้การเคารพ ไม่คิดล้มลา้ งสถาบันการปกครอง 7. บารุงรักษาผ้มู ธี รรมท้งั หลายทเ่ี ปน็ ทพี่ ง่ึ ของประชาชน นักปกครองควรให้การสนับสนุนผู้ที่ มีคุณธรรม ส่งเสริมคนดี เลือกคนดี มีความสามารถเข้ามาเป็นกาลังพัฒนาประเทศชาติ ส่งเสริม คุณภาพในการบริหารปกครอง อันเป็นเหตใุ หเ้ กิดให้เกดิ ความสุขและความเจรญิ ข้ึน ดังน้ันอปริหานิยธรรม 7 เปรียบเสมือนหลักการปฏิบัติท่ีจะส่งเสริมให้นักปกครอง และ ประชาชนที่สนับสนุนประชาชน ดังนี้ 1) สนับสนุนใช้อานาจอธิปไตยโดยสิทธิการออกเสียงเลือกตั้ง ตามกฎหมาย และเคารพในเสยี งขา้ งมากในการลงความเห็น เป็นต้น 2) เปิดโอกาสให้การชุมนุมอย่าง สนั ติ การแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง 3) ยึดหลักกฎหมายเป็นสาคัญในการจะ นามาใชป้ กครอง 4) สนับสนุนค้มุ ครอง ปกป้อง ให้สิทธิ ความเสมอภาคกับ ทุกคนอยา่ งเท่าเทยี ม
116 ราชสังคหวัตถุ 4 สาหรับการปกครองเพื่อความกินดีอยู่ดีเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน สังคหวัตถุของผู้ครองแผ่นดิน หรือ ราชสังคหวัตถุ 4 สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจประชาชน, หลกั การสงเคราะหป์ ระชาชนของนกั ปกครอง เพือ่ สร้างความกนิ ดีอยดู่ ี 1. สัสสเมธะ ส่งเสรมิ ความเป็นอยทู่ ดี่ ี คือ ความฉลาดในการบารุงประชาชนโดยการให้ ในที่น้ี หมายถงึ เป็นการส่งเสรมิ ในด้านดา้ นตา่ ง ๆ ให้แก่ประชาชน โดยการส่งเสริมให้กาลังทรัพย์สามารถใช้ จ่ายได้อย่างไม่ขาดแคลน กาลังความรู้ให้สนับการศึกษาที่ดีแก่ประชาชนเพ่ือยกระดับคุณภาพของ ประชาชนใหม้ ีความสามารถ ลดภาระทางครอบครวั ให้แกป่ ระชาชนรฐั จะต้องสนับสนุนให้การส่งเสริม รายจา่ ย หรือรายไดต้ ่าง ๆ อนั เกิดจากการใช้จา่ ย 2. ปุริสเมธะ สนับสนุนให้เกิดความโปรงใส ความฉลาดในการบารุงข้าราชการ รู้จักส่งเสริม คนดีมีความสามารถ ในที่นี้หมายถึง การบารุงข้าราชการมิให้เกิดการทุจริตในหน้าท่ีการงานของตน กล่าวคือ เมื่อข้าราชการมีความมั่นคงในหน้าที่ตนเองมากเท่าใด และได้รับการส่งเสริมจาก ผ้บู ังคับบัญชามากเท่าใดก็ยิง่ สามารถทาใหก้ ารทาหน้าท่ไี ดข้ องตนได้ดยี ิง่ ขึ้น 3. สัมมาปาสะ สงเคราะห์ให้ทุนทากิน เพ่ือความรู้จักผูกผสานรวมใจประชาชน เช่น ให้คน จนกยู้ มื ทนุ ไปสรา้ งตวั ในพาณิชยกรรม ให้แก่ประชาชนทุกระดับชั้นเป็นต้น พ่อค้า ประชาชน หรือนัก ธุรกิจ โดยให้ทุนในการทากินเพื่อสร้าง ในด้านต่าง ๆ เช่นให้ทุนในการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรอันจะ นาองคค์ วามรูม้ าพัฒนาประเทศ ใหท้ นุ แก่พอ่ คา้ ระดบั กลางเพ่ือตอ่ ยอดการลงทนุ 4. วาชเปยะหรอื วาชเปยยะ ไดแ้ ก่ การรจู้ กั พูด รู้จักปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุ่มนวล มีเหตุผล ประกอบดว้ ยประโยชน์ ก่อใหเ้ กดิ ความสามัคคีไม่ยุยงให้เกิดความเห็นผิดแก่ประชาชน พูดสร้างความ สามคั คี ทาให้เกิดความเขา้ ใจอนั ดีต่อกัน เน้นประโยชน์ของผู้รับ คือให้โดยคานึงถึงประโยชน์ของผู้รับ สรา้ งความน่าเช่ือถอื และความม่นั ใจใหแ้ กป่ ระชาชน ดงั น้ันรฐั ตอ้ งคอยสร้างผสานสัมพันธ์แก่ประชาชนทุกฝ่าย โดยการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้ง ในสังคม และส่ือสารทาความเข้าใจกันระหว่างกันให้เข้าใจกัน รัฐต้องยอมรับคาติชม จากประชาชน เพอ่ื นามาพัฒนาแก่ไขปัญหาอันทาให้เกิดความเดือดร้อน หรือเกิดความแตกสามัคคีกันของคนในชาติ รวมไปถึงเปน็ ตวั กลางให้ประชาชนไดเ้ ขา้ ใจกนั ผสานความสัมพนั ธ์กนั ไม่ใหเ้ กดิ ความแตกแยกกนั 5.2 ขอ้ เสนอแนะ 5.2.1 ข้อเสนอแนะเพ่ือการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1. จากผลการศึกษาพบว่า ในด้านพุทธธรรม ควรมีการส่งเสริมมีการศึกษาถึงหลักพุทธธรรม ในสาขาวิชาการต่าง ๆ ให้มากกว่าน้ี กล่าวคือ ควรมีหลักสูตรท่ีเกี่ยวข้องกับหลักพุทธธรรมท่ีเข้มข้น เพ่ือการทาความเขา้ ใจถึงหลกั พุทธธรรมอย่างถ่องแท้ จดั สมั มนาทางด้านวิชาการโดยเปิดกว้าง ไม่เน้น ทคี่ นเฉพาะกลุม่ เชน่ นักศึกษา หรือนักวิชาการ ท้ังนี้เพ่ือให้ประชาชนท่ัวไปที่มีความสนใจได้มีโอกาส ได้เขา้ รว่ มในการศึกษาหาความรใู้ นหลักธรรมของพทุ ธศาสนาในเชิงลกึ มากขนึ้ 2. จากผลการศึกษาพบว่า ในด้านการปกครอง ควรส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ถึงการปกครอง หลกั ประชาธิปไตย หลักการปกครอง ประวัตศิ าสตร์การปกครอง แก่ประชาชนท่ัวไป และผู้ที่สนใจให้ สามารถทาความเข้าใจ และสามารถวิเคราะห์การปกครองได้อย่างถ่องแท้ ทั้งนี้เพ่ือส่งเสริมให้เกิด ความรู้ และสามารถแยกแยะ ขา่ วสารทางการเมืองที่เป็นจริงเปน็ เทจ็ ได้
117 3. จากผลการศึกษาพบด้านว่า ในด้านการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรม ควรส่งเสริมให้มี การศึกษาถึงหลักพุทธธรรมในแง่มุมต่าง ๆ แก่นักเรียนนักศึกษา องค์กรรัฐและเอกชน ประชาชน ท่ัวไป หรอื ผู้ท่ีสนใจในหลกั พทุ ธธรรม เพ่อื นามาประยกุ ต์ใช้แก้ปญั หาให้เขา้ กับชีวติ ในปจั จุบนั 5.2.2 ข้อเสนอแนะสาหรบั การวิจัยครัง้ ตอ่ ไป 1. ควรนาหลักพุทธธรรมมาใช้ในการพัฒนาด้านการปกครองตั้งแต่ส่วนย่อยลงมา เช่น ใน ระดับครอบครัว หมู่คณะ และหมู่บ้าน เป็นต้น ในส่วนการลงมือปฏิบัติตามหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั หลกั พุทธธรรม 2. ควรมีการพัฒนา ความเข้าใจในการปกครองแก่ประชาชนในด้านประวัติศาสตร์ของการ ปกครองไทย ทั้งน้ีเพ่อื ประโยชน์ในการวเิ คราะห์ของประชาชน
บรรณานุกรม 1.ภาษาไทย 1) หนังสือทว่ั ไป 1. ภาษาไทย เกรียงศักด์ิ เชษฐพัฒนวนิช. (2551). ลาดับเหตุการณ์ทางการเมืองไทย 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519. (พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิโครงการตาราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์. โกวิท วงศส์ ุรวัฒน์. (ม.ป.ป). หลกั รัฐศาสตร์. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. เขียน ธรี ะวิทย์. (2554). ทักษิณกับการเมืองไทย. กรุงเทพฯ: บา้ นพระอาทิตย์. จิตร ภูมิศักด์ิ. (2550). โฉมหน้าศักดินาไทย : บทวิเคราะห์สังคมไทยอันท้าท้ายยุคสมัย. กรุงเทพฯ: ศรี ปญั ญา. จุมพล หนิมพานิช. (2554). การนานโยบายไปสกู่ ารปฏิบัติ : มุมมองในทัศนะทางรัฐศาสตร์ การเมืองและ รัฐประศาสตร์ การบรหิ ารและกรณศี กึ ษาของไทย. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . เฉลิมพงษ์ คงเจริญ. (2553). ระบบเศรษฐกิจไทยก่อนวิกฤตการณ์การเงิน พ.ศ. 2540 (พ.ศ.2530 – 2540). โครงการเมธวี ิจยั อาวโุ ส. กรุงเทพฯ: สานักงานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั . ชรินทร์ สันประเสริฐ. (2554). พัฒนาการของรัฐไทย ในเอกสารการสอนชุดวิชาพื้นฐานทางสังคมและ วฒั นธรรมของการเมืองไทย หนว่ ยที่ 4. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. ชัยยนั ไชยพร. (2551) Pro modern. กรุงเทพ: Way of book. ชัยวัฒน์ ม่านศรีสุข. (2554). การเมืองการปกครองไทย พ.ศ. 2520 – 2535. เอกสารสอนชุดวิชา ประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย หน่วยท่ี 8 – 15. (พิมพ์คร้ังที่ 3). นนทบุรี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ชัยอนันต์ สมทุ วณชิ . (2523). อดุ มการณ์ทางการเมอื ง. กรงเทพฯ: บรรณกิจ. . (2538). แผนการพัฒนาเมืองฉบับแรกของไทยคากราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปล่ียนแปลง ราชการแผ่นดนิ ร.ศ. 103. กรงุ เทพฯ: ผ้จู ัดการ. ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ ิ. (2550). พฤษภา 35 “1 ศตวรรษปริทัศน์ : รัฐธรรมนูญและรัฐประหารกับ การเมือง สยาม/ไทยสมัยใหม่ พ.ศ. 2454-2550”. กรุงเทพฯ: โครงการตาราสังคมศาสตร์และ มนุษยศาสตร์. . (2551) “6 ตุลา” กับสถานะทางประวัติศาสตร์การเมือง (ใหม่). กรุงเทพฯ: โครงการตารา สังคมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร.์ . (2551). ประวัติการเมืองไทยสยาม พ.ศ. 2475 – 2500. (พิมพ์คร้ังที่ 5). กรุงเทพฯ: โครงการ ตาราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร.์ เชาวน์วศั เสนพงศ์. (2547). การเมอื งการปกครองไทย. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
118 แชน ปัจจุสานนท์ และสวัสด์ิ จันทนี. (2518). กรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝร่ังเศสและการรบท่ีปากน้า เจ้าพระยา สมัย ร.ศ.112. กรุงเทพฯ: โรงพิมพค์ ุรุสภา. ไชยันต์ ไชยพร. (2555) ปรัชญาการเมืองกับการเมืองการปกครองไทย. เอกสารประกอบการสอน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง. . (2560). ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข : บท วิเคราะห์มาตรา 7 จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (จากมมุ มองทางรฐั ศาสตร)์ . กรงุ เทพฯ: สถาบนั พระปกเกล้า. ณรงค์ พ่วงพศิ . (2556). ปรัชญาการเมอื ง. (พิมพ์ครง้ั ที่ 1). นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมมาธิราช. . (2539). การเมืองไทย : การวเิ คราะหเ์ ชิงจิตวทิ ยา. กรงุ เทพฯ: วัชรินทรก์ ารพิมพ์. . (2539). การเมอื งและการปกครอง. กรุงเทพมหานคร: ออเรยี นเทลสกอล่า. ณชั ชาภัทร อุ่นตรงจติ ร. (2548). รฐั ศาสตร์. (พมิ พ์คร้งั ท่ี 2). กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ดนัย ไชยโยธา. (2548). นามานุกรมประวตั ิศาสตรไ์ ทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์ แถมสขุ นุ่มนนท์. (2545). ยังเตริ ์กรุ่นแรก กบฏ ร.ศ. 130. กรงุ เทพฯ : สายส่งวญิ ญชู น. ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. (2552). การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ (พิมพ์ครั้งท่ี 3). กรุงเทพฯ: โครงการตาราสังคมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. (2533). ความคิด ความรู้ อานาจทางการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475. กรงุ เทพฯ: สมาคมสงั คมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย สถาบันสยามศึกษา. นรนิติ เศรษฐบุตร. (2530). พรรคประชาธิปัตย์ : ความสาเร็จหรือความล้มเหลว. กรุงเทพฯ: มหาวิทยา ธรรมศาสตร์ . (2553). เกร็ดการเมอื งเรอื่ งประชาธิปไตย. นนทบรุ ี: สถาบันพระปกเกล้า. . (2553). รฐั ธรรมนญู กับการเมอื งไทย. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจวบ อัมพะเศวต. (2543). พลิกแผ่นดิน : ประวัติการเมืองไทย 24 มิถุนายน 2475 - 14 ตุลาคม 2516. กรงุ เทพฯ: สุขภาพใจ. ประยรู ภมรมนตร.ี (2517). บันทึกเรอื่ ง การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ว่าด้วยกาเนิดความมุ่ง หมาย การปฏิวตั ิ ความสาเรจ็ และความผดิ พลาด. กรงุ เทพฯ: เฟ้ืองอกั ษร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร. (2542). เศรษฐกิจการเมืองสมัยกรุงเทพฯ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). เชียงใหม่ : สานักพิมพ์ ตรสั วนิ . . (2543). หวย ซ่อง บ่อน ยาบ้า เศรษฐกิจนอกกฎหมายกับนโยบายสาธารณะในประเทศไทย. ใน เศรษฐกจิ การเมืองวา่ ด้วยหวยใตด้ ิน. กรุงเทพฯ : ตรัสวิน. พรศักด์ิ ผ่องแผ้ว. (2544). ศาสตร์แห่งการวิจัยทางการเมืองและสังคม. กรุงเทพฯ: สมาคมรัฐศาสตร์แห่ง ประเทศไทย : สถาบันวิถไี ทย. พระเทพดิลก. (2534). นิเทศธรรม. กรุงเทพฯ: บริษัท แปดสิบเจด็ จากดั .
119 พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต). (2559). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม. (กรุงเทพฯ : มหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั . . (2546). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. (พิมพ์คร้ังที่ 12). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ). (2548). อุดมมงคลในพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วน จากัด โรงพิมพ์ชวนพิมพ.์ พระมหาจรรยา สทุ ธญิ าโณ. (2533). รัฐธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ธรรมสภา. พระราชธรรมมุณี (เกียรติ สุกิตฺติ). (2549). เก่ียวกับอินเดีย. พิมพ์คร้ังที่ 5. กรุงเทพฯ: บริษัท วี.อินเตอร์ พร้นิ ท์ จากดั . พลศักดิ์ จริ ไกรศริ .ิ (2524). การเมืองเบอ้ื งตน้ . กรงุ เทพฯ: อกั ษรเจริญทศั น.์ พิชติ ลิขติ กิจสมบรู ณ.์ (2550). หมายเหตุประชาธปิ ไตย 19 : 9 : 49. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพป์ ระชาทรรศ. เพลงิ ภผู า. (2541). ประวัติศาสตร์เลอื ด 14 ตลุ าฯ 2516 ประชาสเู้ ผดจ็ การ. กรงุ เทพฯ: ไพลนิ . ภิญโญ ไตรสรุ ยิ ธรรมา. (2550). ปฏวิ ัติ 2549. (พมิ พ์คร้งั ที่ 1). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์Openbooks. มัลลิกา มัสอูดี. (2554). ไทยกับการปรับประเทศให้ทันสมัย. (พิมพ์ครั้งที่ 10). นนทบุรี: สาขาวิชาศิลป ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. มาลี บุญศริ พิ นั ธ์. (2548). เสรีภาพหนงั สือพมิ พ์ไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ รงั สรรค์ ธนะพรพันธ.์ุ (2548). คูม่ อื การเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์คบไฟ. ราชบณั ฑิตยสถาน. (2542). พจนานกุ รมนักเรยี น. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์พฒั นาศกึ ษา. โรม บุนนาค. (2553). ทศพิธราชธรรมแห่งรัชกาลท่ี 9. กรุงเทพฯ : สยามบนั ทกึ . ลิขิต ธรี เวคนิ . (2539). การเมืองการปกครองของไทย. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. . ( 2547). วิ วั ฒ น า ก า ร ก า ร เ มื อ ง ก า ร ป ก ค ร อ ง ไ ท ย . ( พิ ม พ์ ค ร้ั ง ที่ 9). ก รุ ง เ ท พ ฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. . (2547). วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. วชั ระ เพชรทอง. (2557). ระบอบทักษิณ จุดเร่มิ และจุดจบ. กรุงเทพฯ: สามสหาย. วิทยา ตัณฑสุทธ์ิ. (ม.ป.ป). บันทึกประวัติศาสตร์การยึดทรัพย์สินนักการเมืองและผู้มีอานาจทางการ ปกครองตง้ั แตอ่ ดตี จนถึงปจั จบุ นั . กรุงเทพฯ: สยามบรรณ. วิทยากร เชยี งกลู . (2545). เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์สายธาร. วภิ าดา กิตตโิ กวิท. (2555). สญั ญาประชาคม หลักแหง่ สิทธิทางการเมอื ง. กรงุ เทพฯ: ทบั หนังสือ. วิศิษฐ์ ทวีเศรษฐ และสุขุม นวลสกุล. (2549). การเมืองการปกครองไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย รามคาแหง. วษิ ณุ เครืองาม. (2554). เล่าเรอื่ งผ้นู า. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์มติชน. วิสทุ ธิ์ โพธแ์ิ ท่น. (2538). อะไรนะ…ประชาธปิ ไตย?. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. วฒุ ิชัย มลู ศลิ ป์. (2554). สมเด็จพระปิยมหาราชกับการปฏิรูปการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: พิมพค์ า.
120 . (2552). รายงานการประชุมเสนาบดีสภารัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคท่ี 2 รายงานการประชมุ เสนาบดสี ภา ร.ศ.112 ตอน 2 / คณะกรรมการชาระประวัติศาสตร์ไทย กรม ศิลปากร กระทรวงวฒั นธรรม : บรรณาธกิ าร. กรุงเทพฯ: กรม. สมชาย ภาคภาสน์วิวัฒน์. (2547). การบริหารเชิงกลยุทธ : คัมภีร์สู่ความเป็นเลิศในการบริหาร. กรุงเทพฯ: อัมรินทร์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฺฒโน). (2544). ทศบารมี ทศพิธราชธรรม. (พิมพ์ครั้งท่ี 3 ). กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกุฎราชวิทยาลัย. สมเด็จพระมหาสมณจา้ กรมพระยาชิรญาณวโรรส. (2538). นวโกวาท. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฎราช วทิ ยาลยั . สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาศน์ วาสโน). (2528). สังคหวัตถุ 4. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราช วทิ ยาลัย. สมบตั ิ ธารงธญั วงศ์, (2548) นโยบายสาธารณะ : แนวความคิด การวเิ คราะหแ์ ละกระบวนการ. กรุงเทพฯ : คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบนั บัณฑติ พัฒนบริหารศาสตร.์ สมบัติ ธารงธัญวงศ์. (2554). การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ.1762 – 2500. กรุงเทพฯ: คณะรัฐ ประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร.์ สมบตั ิ ธารงธัญวงศ.์ (2549) การเมืองการปกครองไทย:ยคุ เผดจ็ การ – ยคุ ปฏิรูป. กรุงเทพฯ: เสมาธรรม. สัญชัย สุวังบุตรและคณะ. (2555). ประวัติศาสตร์ใน “Twentieth Century Mpressions of Siam : It’s History People Commerce Industries. and Resources”. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ศลิ ปกร. สกุ ิจ ชัยมสุ ิก. (2563). รัฐศาสตรต์ ามแนวพุทธ. กรุงเทพฯ: เจปรินซ์. สุจติ รา รณร่นื . (2538). ศาสนาเปรียบเทยี บ. กรุงเทพฯ: บรษิ ัทสหธรรมกิ จากดั . สวุ ทิ ย์ ธรี ศาศวตั . (2553). เบื้องลึกการเสยี ดนิ แดนและปัญหาปราสาทประวหิ ารจาก ร.ศ. 112 ถึงปัจจุบัน กรุงเทพฯ: พมิ พ์ด.ี เสน่ห์ จามรกิ . (2555). ความคดิ ทางการเมืองจากเปลโต้ถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: สถาบันวิถที รรศ์. โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักดิ์ ม่วงมณี, (2551). ล้มรัฐบาล เลิกรัฐธรรมนูญ สืบทอดอานาจเผด็จการ ทางการเมือง. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์ทองกมล. อภวิ ัฒน์ วรรณกร. (2539). จอมยุทธ์ “โคว้ ตงุ หมง” ประสทิ ธ์ิ กาญจนวฒั น์. กรงุ เทพฯ: มติชน. อกุ ฤษฏ์ ปทั มานันท.์ (2542). วิกฤตไทย วิกฤตเอเชยี . สถาบนั เอเชยี ศกึ ษา: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . อุดม ปิริยสิงห์. (2529). การเมืองเบ้ืองต้น. มหาสารคาม: ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ.
121 2) วิทยานิพนธ์/ดุษฎนี พิ นธ/์ สารนพิ นธ์ นครินทร์ แก้วโชติรุ่ง. (2556). รูปแบบและหลักการของการปกครองในพระไตรปิฎก. สารนิพนธ์ ปรญิ ญาพทุ ธศาสตรดุษฎบี ัณฑิต, สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, บัณฑิตวิทยาลัย ,มหาวิทยาลัยมหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . พระมหาประยูร เขมจาโร (คาแกว้ ). (2560). ศกึ ษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการใน เขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, คณะรัฐศาสตร์, บัณฑิตวทิ ยาลยั , มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวทิ ยาลยั . พระสุธารักษ์ ธมฺมารกฺโข (ปิยมาตย์). (2564). พระพุทธศาสนากับระบอบประชาธิปไตย : ศึกษา เปรียบเทียบ. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการปกครอง, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. 3) บทความในวารสาร มนต์เทียน มนตราภิบลู ย.์ (2564). หลักทศพิธราชธรรมกับการปกครอง. วารสารรัฐศาสตร์. 1(4), 44-49. วรเศรษฐ์ บวั ดอก. (2564). หลักพุทธธรรมเพ่ือการเสริมสร้างความสามัคคีในการทางาน. วารสารพุทธจิตวิทยา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , 6(1), 1-8. 4) ราชกจิ จานุเบกษา พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475. (2475, 27 มิถุนายน). ราชกิจจานุเบกษา. หนา้ 166-179. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2501. (2501, 20 ตุลาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. หนา้ 5-6. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศักราช 2511. (2511, 20 มถิ นุ ายน). ราชกจิ จานุเบกษา. หนา้ 1-68. รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2515. (2515, 15 ธันวาคม). ราชกจิ จานุเบกษา. หน้า 1-12. รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534. (2534, 9 ธนั วาคม). ราชกจิ จานุเบกษา. หนา้ 1-6. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2557. (2557, 22 กรกฎาคม). ราชกจิ จานเุ บกษา. หน้า 1-17. 5) สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ คม ชัด ลึก ออนไลน์. (2556) “ปชป.” เป่านกหวีดชุมนุมค้าน “นิรโทษกรรม”. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.komchadluek.net/news/171642. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต). (2554). พจนานุกรม ฉบับบัณฑิตราชตยสถาน. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, เข้าถึงไดจ้ าก https://dictionary.orst.go.th/. สามารถ มังสัง. (2562). ผู้จัดการออนไลน์ อปริหานิยธรรม : หลักการปกครองแนวพุทธ. สืบค้น 4 เมษายน 2565, เขา้ ถงึ ได้จาก https://mgronline.com/daily/detail/9620000019472.
122 สุภาคย์ อนิ ทองคง. (2550). การใชห้ ลักพุทธธรรมนาการวิจัยและพัฒนาตามปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สุขภาพ องค์รวม. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, เข้าถึงได้จาก http:/www.thaingo.org/writer/View .php?id-553. สุเมธ ตันติเวชกุล. (2548). “หลักธรรม หลักทา ตามรอยพระยุคลบาท”. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.geozigzag.com/the_king/content1.html.
ช่อื นามสกุล ประวัติผู้วิจัย วนั เดือน ปีเกิด ภูมิลาเนา : พระอภินนั ท์ อภินนโฺ ท (จริภิญญา) อุปสมบท : 7 ธนั วาคม 2523 ทีอ่ ยู่ปัจจุบัน การศึกษา : 156/89 หมู่ 7 ตาบลท่าทราย อาเภภอเภมือง จังหวดั สมทุ รสาคร : เภม่ือวันท่ี 30 พฤษภาคม 2558 ณ วัดทองธรรมิการาม ตาบลทา่ ทราย อาเภภอเภมืองสมุทร จงั หวัดสมุทรสาคร : วดั ทองธรรมกิ าราม 49/7 ม.7 ต.ทา่ ทราย อ.เภมอื ง จ.สมทุ รสาคร : ปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาการปกครอง มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั วิทยาเภขตสิรนิ ธรราชวิทยาลัย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138