37 คัดเลือกนักเรียนท่ีสอบไสได้คะแนนดีเยี่ยมส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนรัฐบาลแล้วกลับมาทานุ บารุงบา้ นเมอื ง (เชาวน์วศั เสนพงศ์, 2547, หนา้ 49) ปี พ.ศ. 2454 พระองค์ขึ้นครองได้ไมถ่ ึง 2 ปี ได้เกิดกลุ่มพลังใหม่ภายใต้ข้าราชการทหารฝุาย อนุรักษ์นิยมเริ่มไม่พอใจการบริหาร และปกครองของรัชกาลที่ 6 จนนาไปสู่การรวมกลุ่มทหารบก หนุ่มซึ่งเรียกคณะพรรคพวกของตนเองว่า “คณะพรรค ร.ศ. 130 (ณรงค์ สินสวัสดิ์, 2539, หน้า 97) นาโดยร้อยเอกขุนทวย หาญพิทักษ์ เป็นหัวหน้าคณะ ที่พยายามเปล่ียนการปกครองแบบ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนก็จบลงด้วย การถูกปราบปรามจากฝุายรัฐบาลในสมัยรัชกาลท่ี 6 ด้วยพระองค์ทรงทราบความจากการบอกกล่าว ของทหารทเ่ี ปน็ หนงึ่ ในสมาชกิ ของคณะพรรคน้ัน เปน็ ที่มาของกบฎหรอื เรยี กวา่ “กบฏ ร.ศ. 130” จากกรณีการเกิดกบฏ ร.ศ. 130 ได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองสยาม และรัชกาลท่ี 6 ได้คิด ทบทวนถงึ “สาเหตุการกบฎของกลุ่ม ร.ศ. 130” (แถมสุข นุ่มนนท์, 2545, หน้า127) และทบทวนถึง แนวคิดการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ด้วยการจาลองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยให้จัดตั้งเมืองเล็ก ๆ ช่ือว่า “ดุสิตธานี” ขึ้นมาเพื่อศึกษาเรียนรู้ถึงแนวคิดประชาธิปไตย ถือได้ว่า เป็นการสานตอ่ แนวคิดประชาธปิ ไตยจากพระราชบิดาของรัชกาลที่ 6 ดุสิตธานี ที่เป็นเมือง และสร้าง ขึ้นในปี พ.ศ. 2461 เม่ือทรงขึ้นครองราชย์ โดยสร้างเมืองดุสิตธานีข้ึนบริเวณสนามเนื้อที่สองไร่ครึ่ง ระหวา่ งพระท่ีน่ังอุดรและอา่ งหยดในบรเิ วณพระราชวงั ดุสิต และได้ทรงประกาศธรรมนูญลักษณะการ ปกครองคณะนคราภบิ าล (ดุสิตธานี) ขึ้น ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2461 โดยมีพระราชดาริท่ีจะให้ดุสิต ธานีเป็นก้าวแรกของการเตรียมตัวในการปกครองตนเองของทวยราษฎร์ ซึ่งอาจถือได้ว่าเพ่ือเป็น แบบอย่างของการปกครองท้องถิ่นซ่ึงมีพระราชดาริท่ีจะให้มีข้ึนในอนาคต และในปี พ.ศ. 2464 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างกฎหมายปรับปรุงการปกครองท้องถ่ิน เพื่อเป็นการสนองพระบรมรา โชบาย โดยจะนาแบบอย่างของดุสิตธานีไปปฏิบัติในจังหวัดต่าง ๆ แต่การดังกล่าวก็ยังไม่ตกลงว่า กระไร คงเงยี บอยูจ่ นสิ้นรัชกาล หากแต่ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 - 1918) ได้ทาให้ ประเทศสยามในสมัยของพระองค์นอกจากจะเผชิญวิกฤตข้าวยากหมากแพงในชว่ งเวลานั้นแล้ว อีกทั้ง ประเทศสยามยงั ต้องเผชิญกับรายไดล้ ดลงอีกด้วย และในขณะเดียวกันในขณะนั้นพระองค์รัชกาลท่ี 6 ได้นาทหารอาสาของประเทศสยามเข้าร่วมกับสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ทาให้สยามได้เป็นท่ีรับรู้ของนานา ประเทศในยุโรป และนาไปสู่การขอเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาเบาว์ริงของประเทศสยามในสมัยรัชกาลท่ี 6 กับประเทศอังกฤษ ณ พระราชวังแวร์ซายประเทศฝรั่งเศส ท้ายสุดสยามก็ได้รับการตอบสนองใน ฐานะมิตรประเทศของยุโรป อีกด้านหน่ึงภายในประเทศสยามเกิดการกบฏ ร.ศ. 130 โดยกลุ่มทหาร หนุ่มก็เปน็ ตัวช้ีวดั ด้านการเมืองทเ่ี ร่งเรา้ ให้เกิดประชาธิปไตยข้ึน การเมืองสยามสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวได้ว่า ปัญหา วิกฤตเิ ศรษฐกิจตกต่าท่ัวโลก สง่ ผลกระทบต่อรายไดข้ องประเทศที่มีงบประมาณคงคลังลดลง อีกทั้งได้ เกดิ การวพิ ากษ์วิจารณว์ า่ จะมีความพยายามยึดอานาจพระมหากษัตรยิ ์ การเมอื งการปกครองหลังจากท่ีข้ึนครองราชย์ พระองค์ได้โปรดเกล้าตั้งสภาท่ีปรึกษาขึ้นเพื่อ เป็นท่ีปรึกษาราชการแผ่นดินโดยตรง เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ เช่น จัดต้ัง อภิรัฐมนตรีสภาขึ้นเพ่ือทาหน้าท่ีกาหนดนโยบายสูงสุดของประเทศ แต่สมาชิกที่ตั้งขึ้นส่วนใหญ่ล้วน
38 เป็นเช้ือพระวงศ์ทั้งส้ิน ซ่ึงวิธีการแก้ปัญหาขณะนั้นคือ การดุลข้าราชการออกจากราชการ เช่น ปลด ร.ท.อู๊ด นิตยสุทธิ เม่ือวันท่ี 1 เมษายน 2475 (คาปราศรัย สุนทรพจน์บางเร่ืองของปรีดี พนมยงค์ ,ม.ป.ท. : ม.ป.พ., หน้า 2) จากกรณีดังกล่าวได้เพ่ิมความไม่พอใจให้แก่กลุ่มข้าราชการทหาร พลเรือนที่เฝูาติดตามการ ปกครองประเทศต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ท่ีต้องการให้ประเทศมีการพัฒนาภายใต้หลักความมีสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเสมอภาค ต้องการหลักการบริหารที่อยู่บนกรอบของกฎหมาย และ ความเป็นเหตุเป็นผลและคัดค้านการบริหารภายใต้ระบบที่มีขุนนางเป็นใหญ่อันมีผลนาไปสู่ความ ล้มเหลวของระบบราชการ (ผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2542, หน้า 421) แต่แล้วเม่ือรัฐบาลตัดเงินเดือน ข้าราชการทั่วไปปี พ.ศ. 2474 และลดงบประมาณกองทัพเป็นผลทาให้ทหารบางส่วนลาออกจาก ราชการ (ผาสุก พงษไ์ พจติ ร, 2543, หน้า 418) แต่กระนั้นกลับทาให้เพิ่มความความกดดัน และความ ไมพ่ อใจของกลมุ่ ทหารเริม่ ไม่พอใจต่อการบรหิ ารปกครองประเทศของพระองค์ จากปัญหาดังกล่าวได้กลายเป็นสาเหตุสาคัญประการหน่ึงท่ีได้ก่อให้เกิดการประชุมกันของ เจ้านาย และข้าราชการที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศเมืองปารีส ในปี พ.ศ. 2467 - 2475 ก็เพื่อประชุม วางแผน และแนวทางเสนอการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามในขณะนั้น ด้วยการปฏิวัติหรือยึด อานาจจากรัชกาลท่ี 7 อีกท้ังกลุ่มทหารจานวนหน่ึงในประเทศสยามมีความคิดเห็นสอดคล้องกับกลุ่ม เจ้านาย และข้าราชการท่ีปารีส ท้ายที่สุดกลายเป็นช่องว่างให้กลุ่มปฏิวัติยึดอานาจพระองค์สาเร็จใน วันท่ี 24 มิถุนายน 2475 อันที่จริงแล้วพระองค์ทรงพิจารณาถึงการเปล่ียนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยมาเป็นเป็นเวลาหน่ึงแล้ว หากแต่เพราะการ ทัดทานของกลุ่มมหาดเล็ก โดยให้ความเห็นว่าขณะน้ีประเทศสยามยังไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง ด้วยปัจจัยท่ีว่าสยามประเทศประชาชนยังมีความรู้น้อยเกินไป ท้ายที่สุดก็มิได้นามาใช้ใน ขณะนั้น สรุปการปกครองยุครัตนโกสินทร์กลาง (ยุคแห่งการปฏิรูปการปกครอง) ดังน้ี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว รชั กาลที่ 5 ได้ทรงปฏริ ูปการบรหิ ารบ้านเมืองแบบกระจาย อานาจ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถ่ิน โดยการบริหารราชการส่วนกลาง ได้ทรงยกเลิกการ จัดระเบียบการปกครองแบบเดิม ซึ่งมีพระสมุหกลาโหม พระสมุหนายก และจตุสดมภ์หรือกรมทั้ง 4 คือ เวียง วัง คลัง นา แล้วทาการปฏิรูปโดยการจัดตั้งหน่วยงานราชการใหม่ข้ึนมา จากเดมิ ซึ่งมเี พยี ง 6 กรม เปน็ 12 กรมและเรยี กชือ่ ใหม่ว่า “กระทรวง” เป็น 12 กระทรวง ประกอบ ไปด้วย 1) กระทรวงมหาดไทย 2) กระทรวงกลาโหม 3) กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 4) กระทรวง ต่างประเทศ 5) กระทรวงยุติธรรม 6) กระทรวงวัง 7) กระทรวงทหารเรือ 8) กระทรวงเกษตราธิการ 9) กระทรวงพาณิชย์ 10) กระทรวงคมนาคม 11) กระทรวงศึกษาธิการ 12) กระทรวงมุรธาธรในปี พ.ศ. 2435 แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีรับผิดชอบงานของกระทรวงนั้น ๆ การบริหารราชการส่วน ภูมิภาค พระองค์ทรงเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นของการปกครองหัวเมือง เพื่อความเป็นอันหนึ่งอัน เดยี วกันของอาณาจักร โดยการรวมศูนย์อานาจสู่ส่วนกลาง ยกเลิก “ระบบกินเมือง” และการบริหาร ราชการส่วนท้องถ่ิน พระองค์ทรงมีพระราชดาริท่ีจะจัดให้มีการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบ สขุ าภิบาล เพอ่ื เป็นการเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนไดม้ สี ่วนร่วมในการปกครอง ในปี พ.ศ. 2440 พระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ ภายใต้การดาเนินงานของกรมสุขาภิบาล การบริหารจะเป็น
39 ลักษณะการกาหนดให้การประชุมของคณะกรรมการเป็นคราวๆไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 ได้มีการ จัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองแหง่ แรกขึ้นคอื สุขาภิบาลท่าฉลอม จังหวัดสมทุ รสาครสาหรับหลักการบริหาร ราชการ ในช่วงรัชกาลท่ี 6 จากกรณีการเกิดกบฏ ร.ศ. 130 ได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองสยาม พระองค์ทรงได้คิดทบทวนถึง “สาเหตุการกบฎของกลุ่ม ร.ศ. 130” และทบทวนถึงแนวคิดการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ด้วยการจาลองการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยให้จัดตั้ง เมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “ดุสิตธานี” ขึ้นมาเพื่อศึกษาเรียนรู้ถึงแนวคิดประชาธิปไตย ถือได้ว่าเป็นการสาน ต่อแนวคิดประชาธิปไตยจากพระราชบิดา ในปี พ.ศ. 2464 กระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างกฎหมาย ปรับปรุงการปกครองท้องถิ่น เพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบาย โดยจะนาแบบอย่างของดุสิตธานี ไปปฏิบัติในจังหวัดต่าง ๆ แต่การดังกล่าวก็ยังไม่ตกลงว่ากระไร คงเงียบอยู่จนส้ินรัชกาล จึงไม่มีการ เปลย่ี นแปลงทางการเมืองในยุคนี้ในชว่ งรชั กาลที่ 7 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความพยายามท่ีจะผลักดันให้เกิดนโยบายปรับปรุงกิจการสุขาภิบาล ซึ่งเป็นการบริหารแบบ ประชาภิบาล (เทศบาล) อันเป็นไปตามพระราชดาริของรัชกาลที่ 7 ที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้ ประชาชนได้ทดลองการปกครองตนเองในรปู แบบเทศบาล ก่อนท่ีจะมีการปกครองประเทศในระบอบ ประชาธิปไตย แต่ก็ติดขัดไม่สามารถผลักดันให้มีการปกครองรูปแบบเทศบาลได้เน่ืองจากถูกคัดค้าน จากเสนาบดบี างส่วน โดยให้ความเหน็ วา่ ขณะนีป้ ระเทศสยามยงั ไม่พร้อมจะเปล่ียนแปลงการปกครอง ด้วยปจั จัยทีว่ ่าสยามประเทศประชาชนยังมีความรู้เรอ่ื งการปกครองน้อยเกินไป สรุปปัญหาการปกครองยุครัตนโกสินทร์กลาง (ยุคแห่งการปฏิรูปการปกครอง) ดังต่อไปน้ี ปัญหาทางด้านการพัฒนาท้องถ่ิน กล่าวคือ ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพัฒนา ทอ้ งถน่ิ จะเห็นได้ว่าการทดลองการกระจายอานาจเพื่อให้ประชาชนได้ปกครองตนเองน้ัน ประชาชน เองยงั ขาดความเขา้ ใจในการบริหารท้องถิ่นอยู่มาก เหตุเพราะ การศึกษาในในช่วงน้ัน ประชาชนส่วน ใหญ่ยังชินกับการถูกปกครองโดยผู้ปกครอง มีเพียงชนช้ันปกครองเท่าน้ันท่ีได้รับการศึกษา เหตุที่ พระองค์ได้จัดต้ังสุขาภิบาลในกรุงเทพฯขึ้นน้ัน เพราะมีมูลเหตุท่ีว่า ต่างชาติติเตียนว่ากรุงเทพฯ ยัง เปน็ เมอื งโสโครก พระองคจ์ งึ มคี วามประสงค์ทีจ่ ะจัดสขุ าภบิ าลในกรุงเทพฯ แต่กระนั้นด้วยเหตุข้างต้น ทาให้เป็นปัญหาในการพัฒนาเป็นอย่างมาก ดังรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดารัสว่า “ประเทศอ่ืน ๆ ราษฎรเป็นผู้ขอให้ทา เจ้าแผ่นดินจาใจทา แต่ในเมืองเราน้ี เป็นแต่พระเจ้าแผ่นดินคิดเห็นว่าควร กระทา เพราะจะเป็นความเจริญแก่บ้านเมืองแลความเป็นสุขแก่ราษฎรทั่วไป จึงได้มาคิดทา เป็นการ ผิดอย่างตรงกันข้าม” กล่าวได้ว่าปัญหาการปกครองในรัตนโกสินทร์ตอนกลางนี้ มีการพัฒนาในช่วง ตอนต้นเท่าน้ัน เหตุเพราะช่วงปลายรัชกาลที่ 7 ประเทศได้ประสพปัญหาเร่ืองเศรษฐกิจอย่างหลัก ประกอบกับฝาุ ยข้าราชการยังไม่เห็นด้วยกับการให้อานาจประชาชนดาเนินการปกครองโดยลาพัง จึง ทาใหก้ ารกระจายอานาจสทู่ ้องถิน่ ไม่ได้ถูกพัฒนาตอ่ 2.7 การปกครองไทยในยุคประชาธิปไตย (หลงั พ.ศ. 2475) 2.7.1 การเปลย่ี นแปลงระบอบการเมืองการปกครองไทย พ.ศ. 2475 การเมืองไทยช่วงก่อนเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 นั้นได้เกิดการวมกลุ่มของนายทหาร และขา้ ราชการประจา จานวน 7 นาย ท่ีเมืองปารีส ประเทศฝร่ังเศส โดยการรวมกลุ่มเพื่อประชุมกัน ครงั้ แรกเมือ่ วนั ท่ี 5 กุมภาพันธ์ 2467 (ประยูร ภมรมนตรี, 2517, หน้า 10) ซึ่งกลุ่มบุคคลเหล่านี้ล้วน
40 กาลังศึกษาอยู่ในประเทศฝร่ังเศส อังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ ที่ต่างมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่อ ประเทศสยามในลกั ษณะหัวก้าวหน้า ดังน้ันสมาชิกกลุ่ม 7 นาย ได้แก่ “1. นายปรีดี พนมยงค์ 2. พัน โทประยูร ภมรมนตรี 3. พันโทแปลก ขีตตะสังคะ 4. ร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี 5. หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี) 6. นายตั้ว ลพานุกรม 7. นายแนบ พหลโยธิน” (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2553, หน้า 104) จากบคุ คลทงั้ หลายเหลา่ น้ีทม่ี ีการประชุมกันของคณะผูก้ ่อการได้มีความคิดร่วมกันตามที่ จากคา กลา่ วของ ร.ท.ประยรู ภมรมนตรีได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายแนวคิดร่วมกันของกลุ่มผู้ก่อการที่บันทึกไว้ใน หนังสอื บนั ทึกเรื่องการเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 วา่ ... “ความมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยยึดหลักประชาธิปไตยท่ีประชาชน จะต้องมีสทิ ธใิ นการปกครองตนเองโดยมีรฐั ธรรมนญู เปน็ รากฐานปกครองประเทศชาตเิ ยย่ี งอารยะ ประเทศเป็นรากฐานที่จะสร้างความรุ่งเรืองและความม่ันคงกับทั้งเป็นหลักประกันเสรีภาพของ ประชาชนทว่ั กัน ซง่ึ การปกครองตามระบบประชาธปิ ไตยจะต้องยึดหลักการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน คณะรัฐบาลกันไปตามวาระของการเลือกต้ัง อันหนทางที่จะสร้างความก้าวหน้าและความม่ันคง ให้แก่ประเทศชาติ” (ประยรู ภมรมนตรี, 2517, หนา้ 9) ดังน้ันการรวมตัวของสมาชิกจึงหลีกไม่พ้นท่ีจะต้องแสวงหาสมาชิกเพิ่มข้ึน และกลายเป็น คณะบุคคลจัดต้ังช่ือ “คณะราษฎร” นาโดย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้ เป็นหัวหน้าคณะซ่ึงประกอบด้วยนายทหารอีก 3 นาย คือ “พันเอกพระยาทรงสุรเดช พันเอกพระยา ฤทธิอัคเนย์ พันโทพระประศาสน์พิทยายุทธ” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2551, หน้า 379) รวมท้ังหมด มากกว่า 99 คน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสนใจกับการ เปลีย่ นแปลงระบอบการปกครองของข้าราชการอันที่จะนาประเทศให้ร่วมสมัยกับตะวันตกในด้านการ ปกครอง จากการปฏิวัติโดยการยึดอานาจพระมหากษัตริย์เม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน 2475 อาจถือได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสาคัญที่นาความเจริญก้าวหน้าทางบทบาททางการเมืองมาสู่ สยาม โดยเปล่ียนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) เป็นการปกครอง ร ะ บ อ บ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ที่ ก า ห น ด ใ ห้ พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ท ร ง เ ป็ น ป ร ะ มุ ข ที่ อ ยู่ ใ ต้ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ (Constitutional Monarchy) จากอานาจอยู่ที่กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวศูนย์อานาจถูกเปล่ียนไป โดยมงุ่ อานาจเปน็ ของประชาชนเป็นสาคญั 1. สาเหตุสาคัญของการเปล่ียนแปลงการปกครองไทย พ.ศ. 2475 สิ่งท่ีทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลงการปกครองปี 2475 มสี าเหตมุ าจากหลายด้านท่ีซับซ้อน และ ด้วยสาเหตุที่นาไปส่กู ารเปลีย่ นแปลงของประเทศสยามอิทธิพลจากโลกตะวันตกท่ีเข้ามาล่าอาณานิคม ของเหลา่ ทางยุโรปซ่งึ เปน็ ส่วนหน่งึ ทท่ี าใหเ้ กิดสงครามโลกคร้ังที่ 1 ท้ังนี้ด้วยบริบทของประทศสยามท่ี กาลังพัฒนาประเทศภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงจาเป็นต้องเปล่ียนแปลงไปสู่ภาวะความ ทันสมยั มากขึ้น และน่ีคอื สงิ่ ทจ่ี ดุ ประกายอันเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง การปกครอง 2475 อาจ สรปุ ประเดน็ สาคัญ ๆ ได้ดงั นี้ 1.1 เกิดจากกระแสนิยมการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แพร่กระจาย กล่าวคือ สาเหตุท่ีส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงการปกครองของไทยเมื่อปี 2475 ได้เกิดข้ึนจากความ คาดหวังท่ีจะให้ประเทศปกครองระบอบประชาธิปไตยในสมัยรัชกาลท่ี 5 ด้วยการเรียกร้องให้มี “รัฐธรรมนูญ และรัฐสภาอย่างต่อเน่ืองของกลุ่ม ร.ศ. 103” (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, 2533, หน้า 25)
41 ซ่ึงในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงได้เสด็จประพาสยุโรปโดยพระองค์ได้เห็นความเจริญก้าวหน้า ทางด้านการปกครองที่เอ้ือประโยชน์ต่อประเทศสยาม ซ่ึงเป็นรากฐานสาคัญของการกระจายอานาจ ในปัจจบุ ันนี้ 1.2 เกิดจากสภาพภาวะเศรษฐกิจตกตา่ กล่าวคือ สาเหตุท่สี ่งผลใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงการ ปกครอง 2475 เกิดจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศตกต่าอันเนื่องมาจากประเทศประสบกับปัญหา รายจ่ายมากกว่ารายรับ ซึ่งกระทบถึงปัญหาการคลังของประเทศ ซึ่งส่งผลให้พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าหัวต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกนโยบายให้ข้าราชการออกก่อนกาหนดอากร ประเทศ (นครินทร์ เมฆไตรรตั น์, 2533, หน้า 25) สร้างความไม่พอใจกับข้าราชการไม่น้อย และเป็น ส่วนหนึ่งของการปฏวิ ัติประเทศสยามอีกดว้ ย 1.3 เกิดจากการล่าอาณานิคมทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอานาจ กล่าวได้ว่า ภาวะจากความความตึงเครียดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ส้ินสุดลง ภาวะทางการเมือง ของมหาอานาจอังกฤษ ฝร่ังเศส อเมริกา ญี่ปุน ได้ขยายอานาจทางอุดมการณ์การเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยเพ่ือแข่งขันกับระบอบคอมมิวนิสต์ท่ีกาลังครอบงาภูมิภาคเอเชียโลกตะวันตกจึงจาเป็น เร่งแทรกซึมอุดมการณ์เหล่านั้นมาสู่โลกตะวันออกก็เพื่อจะนาวัตถุดิบจากประเทศที่ยึดครองได้ ปูอนเข้าสูร่ ะบบเศรษฐกจิ ของประเทศตนเอง 2. ด้านบทบาททางการเมอื งของชนชั้นนาหลงั การปฏิวัติ 2475 - 2500 1. บทบาททางการเมืองของฝ่ายคณ:ราษฎรกบั ฝา่ ยอนุรักษ์นยิ มหลังการปฏวิ ตั ิ 2475 เหตุการณ์การเข้ามาของกลุ่มคณะราษฎรท่ีเข้ามาเปล่ียนแปลงการปกครองทางการเมือง ใน ปี พ.ศ. 2475 กลายเป็นการต่อสู่ทางการเมืองกันระหว่างกลุ่มชนช้ันนาท้ัง 2 ชนช้ันประกอบชนช้ันที่ นิยมระบอบใหม่ในระบอบประชาธิปไตย และกลุ่มนิยมอานาจระบอบเก่าที่สูญเสียอานาจในระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์หรอื กลุม่ นิยมเจ้า ซ่ึงทั้งสองกลุ่มดังกล่าวต่างพยายามช่วงชิงพื้นที่ทางการเมือง อย่างตอ่ เนื่อง แตอ่ ย่างไรก็ตามการตอ่ สูท้ างการเมอื งของชนช้ันนาท้ัง 2 กลุ่ม เป็นส่ิงสะท้อนให้เห็นถึง การเปลี่ยนแปลงสถาบันทางการเมืองใหม่ ๆ กฎเกณฑ์และกติกาทางการเมืองใหม่ ๆ ขึ้น ท้ังยัง สะท้อนถงึ วธิ ีการแขง่ ขันกนั ทางการเมืองทเี่ ป็นไปในรูปแบบลกั ษณะทร่ี ุนแรงและไม่รนุ แรง 1.1 กาเนดิ สถาบันการเมือง : รฐั สภา รฐั ธรรมนูญ และคณะกรรมการราษฎร ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีการปกครองในรูปแบบใหม่ ด้วยการจัดต้ังสถาบันการเมือง ใหม่ท่ีเรียกว่า รัฐสภา น้ัน ถือว่าเป็นการกาเนิดสถาบันทางการเมืองครั้งแรกในปี 2475 ซ่ึง คณะราษฎรได้กาหนดให้มีส่ิงที่สาคัญท่ีสุดสาหรับระบอบประชาธิปไตย น่ันคือ เริ่มแรกคณะราษฎร กาหนดให้รัฐสภาเป็นสภาเดียวด้วยการแต่งต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประเภทเดียว “ทา หน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรชั่วคราวไปพรางก่อนจานวน 70 นาย โดยสภาผู้แทนฯ ดังกล่าวจะเป็นผู้ใช้ อานาจนิติด้วยการออกกฎหมาย และการควบคุมดูแลการบังคับใช้กฎหมาย” (พระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผน่ ดินสยามชัว่ คราว, 2475) เปน็ การนาไปสู่บทบาทของรัฐสภาหรือองค์กรนิติ บญั ญตั ทิ ส่ี าคญั ในระบบการเมืองสมัยใหม่ อีกท้ังเป็นการกาหนดกฎเกณฑ์ว่าพฤติกรรมใดของงบุคคล ใดในสังคมควรจะเป็นความผิดและมีความผิดสถานใด เมื่อกระทาผิดจะต้องมีโทษอย่างไร รวมไปถึง การกาหนดบทบาทองค์กรที่ให้ความคุ้มครองและสร้างหลักประกันในเร่ืองต่าง ๆ แก่ประชาชน โดยเฉพาะในเรอ่ื งสิทธเิ สรภี าพของประชาชน
42 ขณะท่ีคณะราษฎรดาเนินการด้วยการแถลงการณ์ของคณะราษฎรด้วยการอ่านประกาศ คณะราษฎรนั้น พระยาพหลฯ ได้มอบหมายให้นายปรีดี พนมยงค์ ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการ ปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ข้ึนเพ่ือใช้ในการปกครองประเทศซี่งรัฐธรรมนูญฉบับน้ี บังคับใช้เม่ือวันที่ 27 มิถุนายน 2475 มีทั้งหมด 39 มาตรา ได้กาหนดให้ “อานาจสูงสุดเป็นของ ราษฎรทั้งหลาย” โดยกาหนดให้บุคคลและคณะบุคคลใช้อานาจนี้โดย กษัตริย์ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎรและศาล พร้อมกับประกาศหลัก 6 ประการ เพ่ือใช้เป็นนโยบายปกครอง ประเทศ ไดแ้ ก่ “หลกั ความเป็นเอกราช หลักความปลอดภัย หลักเศรษฐกิจ หลักสิทธิเสมอภาค หลัก เสรภี าพ และหลักการศึกษา” (ประจวบ อัมพะเศวต, 2543, หน้า 18) แต่แล้วหลักการ 6 ประการน้ัน ถือว่าเป็นหลักการท่ีสาคัญท่ีปรีดี พนมยงค์ ใช้เพ่ือพัฒนาชาติไทยกลับทาให้เกิดการถกเถียงกันถึง เน้อื หาสาระบางประการของสมาชิกในสภาฯ จนนาไปสู่ความขัดแย้งกันเองในหมู่สมาชิกคณะราษฎร กับรฐั บาล นาไปส่กู ารแตกแยกในกลุ่มคณะราษฎรในเวลาต่อมา ส่วนสถาบันบริหารหรือคณะรัฐบาล ก็ถือกาเนิดขึ้นในช่ือ “คณะกรรมการราษฎร” ซ่ึงประกอบด้วย ประธานกรรมการราษฎรและกรรมการราษฎรอีก 14 คน โดยบุคคลที่ถูก คณะราษฎรเชิญน่ังตาแหน่งประธานกรรมการราษฎรคนแรก คือ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซ่ึงก็ เปรียบเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ซ่ึงเหตุผลที่เลือกพระยามโนปกรณ์ฯ นั่นอาจจะ สร้างความลงตัวทางการเมืองและมีความประนีประนอมทางการเมืองระหว่างคณะราษฎรกับ คณะเจ้าได้ ดังน้ันรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา จึงประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ ล้วนเป็นบุคคลสายคณะราษฎร ได้แก่ “พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา, พ.อ.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ), พระประศาสนพิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น), ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี,พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเล้ียง ฮุนตระกูล), ร.ท.แปลก พิบูลสงคราม” (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2553, หน้า 78) ภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรเมื่อ 10 ธันวาคม 2475 ไดม้ กี ารเปลีย่ นแปลงชอ่ื องคก์ รท่ใี ช้อานาจอธปิ ไตยเสียใหม่ว่า อานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหาร และอานาจตุลาการ อีกท้ังยังเปลี่ยนแปลงชื่อจากคณะกรรมการราษฎรเป็นคณะรัฐมนตรี (นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี) โดยหนึ่งในสาระสาคัญของรัฐรัฐธรรมนูญฉบับน้ีได้เร่ิม อานาจให้สภา ผู้แทนฯ สามารถยบุ สภาไดแ้ ละพระมหากษัตรยิ ์มีพระราชอานาจยับย้งั รา่ งกฎหมายได้ 1.2 ความขัดแย้งทางการเมอื งภายในกลุม่ คณะราษฎร สถานการณ์ทางการเมืองหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรกลับส่งผล ไม่เป็นอย่างท่ีคิด กลับทาให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองกันระหว่างรัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ กับคณะราษฎร และสมาชิกก็ขัดแย้งกันเอง ซึง่ สาเหตุหลกั 2 ประการดังน้ี 1. กรณีร่างเค้าโครงเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลืองโดยรัฐบาลได้มอบหมายให้หลวงประดิษฐ์ มนูธรรมดูแลเรื่องเศรษฐกิจ จนได้กาหนดร่างเค้าโครงเศรษฐกิจขึ้นชุดหนึ่งและนาเข้าสภา ผูแ้ ทนราษฎรเพ่อื ให้ความเห็นชอบ ขณะทีส่ มาชิกสภาผู้แทนฯ ประชุมอยู่นั้น ได้เกิดการถกเถียงกันถึง เน้ือหาของร่างเค้าโครงเศรษฐกิจว่าเน้ือหาส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากลัทธิสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ เป็นผลทาให้สมาชิกสภาผู้แทนฯ มีท้ังเห็นด้วยอยากให้นามาใช้ในประเทศกับไม่เห็นด้วย ทมี่ องวา่ เนื้อหามคี วามใกล้เคยี งกบั ลัทธิคอมมิวนสิ ต์ (ณรงค์ สินสวัสดิ์, 2539, หน้า 112) ด้วยเหตุน้ีจึง ทาให้ไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ว่าจะให้ผา่ นร่างดังกล่าวได้
43 2. กรณีการใช้ทหารเข้าตรวจค้นสมาชิกสภาฯ ก่อนเข้าสภาฯ ซึ่งนาไปสู่การกล่าวหาพระยา ทรงสุรเดชผู้ดูแลฝุายทหารของรัฐบาลพระยามโนปกรณ์ฯ ว่าลุแก่อานาจซึ่งสืบเน่ืองจากเม่ือวันที่ 31 มีนาคม 2475 ได้มีข่าวว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะพกอาวุธเข้าประชุมสภา (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2553, หน้า 104) จาก 2 กรณดี งั กล่าวได้นาไปสคู่ วามขัดแยง้ ระหวา่ งสมาชกิ สภาฯ นาไปสูก่ ารจัดต้ังรัฐบาลใหม่ ภายใต้อานาจของพระยามโนปกรณฯ์ เพยี งคนเดยี ว โดยคณะราษฎรแตกแยกกันมากขึ้นจนมีการแบ่ง ออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มฝุายพระยามโนปกรณ์ฯ กับฝุายนายปรีดี พนมยงค์ และการท่ีออกกฎหมาย คอมมิวนิสต์ 2476 ส่งผลทาให้นายปรีดี พนมยงค์ ต้องเดินทางออกนอกประเทศคือประเทศฝรั่งเศส ซ่ึงจากเหตุการณ์ดังกล่าวเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าการรัฐประหารตนเองหรือรัฐประหารเงียบ การ กระทาของของนายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์ฯ ได้ทาให้สมาชิกก็ย่ิงเป็นการสะท้อนว่ากลุ่มอานาจ ของพระยามโนปกรณ์ฯ ต้องการที่จะกาจัดและกีดกันฝุายคณะราษฎรอีกฝุายให้พ้นจากกลุ่มอานาจ ของตน และได้สร้างความไม่พอใจของอีกฝุายและได้ทาลายเจตนารมณ์และอุดมการณ์ทางการเมือง ของคณะราษฎรลงจนทาให้เกิดการรวมกลมุ่ ผนึกกาลังอานาจระหว่าง พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา และพ.ท.แปลก พิบูลสงครามข้นึ ดว้ ย เปน็ ทมี่ าของการทาการรัฐประหารพระยามโนปกรณ์ฯ เม่ือวันที่ 20 มถิ ุนายน 2.7.2 การเมอื งในยคุ ของพระยาพหลพลพยุหเสนา พ.ศ. 2476 - 2481 พระยาพหลพลพยหุ เสนา (พจน์ พหลโยธนิ ) กา้ วขนึ้ เปน็ นายกรฐั มนตรีเม่อื วันที่ 21 มถิ นุ ายน 2476 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร 2475 และได้ทาการหารือกับประธานสภาผู้แทนราษฎร(พระยา พิชัยญาต) ถึงการเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ เพื่อให้ดาเนินการเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ (นรนิติ เศรษฐ บุตร, , 2553, หนา้ 109) กลา่ วคือ พระยาพหลฯ มีความต้องการให้สภาผู้แทนฯ ได้ทาหน้าที่เพ่ือชาติ บ้านเมืองตามเจตนารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เม่ือได้อันเชิญนายปรีดี พนมยงค์กลับจาก ประเทศฝรั่งเศสเพ่ือมาช่วยงานรัฐบาลกลับต้องเจอปัญหา กรณีท่ีนายปรีดี พนมยงค์ยังมีข้อกล่าวหา ว่ามีความคิดไปทางสังคมนิยมคอมมินิสต์เป็นผลทาให้ไม่เป็นที่พอใจของฝุายนิยมเจ้าผนวกกับการที่ นายวัลย์ ฤทธเิ ดซ (กรรมกรรถราง) เลขานุการสมาคมรถรางย่ืนฟูองรัชกาลท่ี 7 (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2548, หนา้ 589) กรณีกบฏบวรเดชเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2476 ภายใต้การนาของ “พล.อ.พระวรวงศ์เธอบวร เดช นายทหารนอกประจาการ อดีตเสนาบดีกลาโหมท่ีได้รวมกาลังทหารตามหัวเมือง ประกอบด้วย อยุธยา สระบุรี อุบลราชธานี ปราจีนบุรีและเพชรบุรี” (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2548, หน้า 588) ได้นา กาลังเข้าสู่พระนคร และตั้งกาลังบริเวณดอนเมือง อีกท้ังพร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องให้ พ.อ.พระยาพล พยุหเสนาลาออกจากตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี แต่แล้ว พ.ท. แปลก พิบูลสงครามนากาลังฝุายทหารมา ต้ังกาลังต่อสู้ ปราบปรามจนทาให้ฝุายบวรเดชพ่ายกลายเป็นกบฏไปเป็นที่มาของการเรียกกบฏบวร เดช ในปี 2476 และเป็นผลทาให้หลวงพิบูลสงครามก็ได้เข้ามาดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481 2.7.3 การเมืองในยคุ ของจอมพลแปลก พิบลู สงคราม พ.ศ. 2481 - 2487 การเมืองไทยหลังการปฏิวัติของคณะราษฎร อุดมการณ์ทางการเมืองและอานาจในการ บริหารประเทศอยู่ภายใต้รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม โดยที่จอมพล ป. มีนโยบายท่ีมุ่งเน้น
44 พัฒนาประเทศมากข้ึนหลังจากประเทศไทยผ่านการบริหารงานของรัฐบาลก่อนหน้า ซ่ึงในช่วงเวลา ดังกล่าวสถานการณ์ระหว่างประเทศกาลังเกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะ ความขัดแย้งของประเทศมหาอานาจจนกลายเป็นเหตุการณ์สงครามโลกคร้ังที่ 2 ซ่ึงกรณีดังกล่าว สง่ ผลตอ่ การเมืองสมยั จอมพล ป. พบิ ูลสงคราม ดังน้ี 3.1 นโยบายทางดา้ นการเมืองแบบชาตินิยม กลา่ วคอื รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มี การกาหนดนโยบายรัฐนิยมหรือนโยบายชาตินิยมขึ้นมา เพื่อส่งเสริมความรักชาติของคนในประเทศ และเพ่ือใช้ในการบริหารประเทศ นโยบายนี้เกิดข้ึนในปี พ.ศ. 2481 - 2485 รวม 12 ฉบับ และได้มี การเปลี่ยนชื่อประเทศจากคาว่า สยามเป็นไทยต้ังแต่น้ันเป็นต้นมา กาหนดให้มี “เพลงชาติ เคารพธง ชาติ เพลงสรรเสรญิ พระบารมี” 3.2 นโยบายทางด้านเศรษฐกิจแบบชาตินิยม กล่าวคือ นโยบายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูล สงครามที่ส่งเสริมด้านเศรษฐกิจแก่ประเทศ และสิทธิในด้านการทากินให้แก่คนไทย คือ เร่ืองการให้ ชาวไทยใช้เครื่องอุปโภคบริโภคท่ีทาขึ้นในไทย นาไปสู่การออกกฎหมายเพื่อสงวนอาชีพไว้ให้แก่คน ไทย เป็นต้นว่า กฎหมายสวนการให้สัมปทานรังนกแก่องค์การของรัฐบาลหรือตัวแทน พระราชบัญญัติเกลือและยาสูบพ.ศ. 2482 กฎหมายควบคุมการฆ่าสัตว์ อีกทั้งยังออกกฎหมาย กฎหมายสงวนสิทธ์ิการจับปลาในเขตน่านน้าไทยให้แก่คนสัญชาติไทย ทั้งน้ีเพ่ือกีดกันอานาจทาง เศรษฐกจิ ของคนจนี โดยเฉพาะ 3.3 นโยบายทางดา้ นสงั คมและการเสริมสร้างวฒั นธรรมชาติ กล่าวคือ สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการออกกฎหมายเก่ียวกับวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2483 พร้อมกับจัดต้ังสภา วัฒนธรรมแห่งชาติข้ึนในปี พ.ศ. 2485 เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนไทยชักชวนกันขยันทามาหา กิน ได้รู้จักการค้าขาย พร้อมท้ังให้มีการแต่งกายแบบอารยประเทศ เป็นต้นว่า ทุกคนต้องสวมหมวก หา้ มคนไทยกนิ หมาก ต้องรจู้ กั รกั ษามารยาทในที่ จากกรณีขา้ งต้นวัตถปุ ระสงค์แฝงลงไปก็เพื่อต้องการ ใหป้ ระชาชนเพ่อื สร้างความรักชาติ 3.4 นโยบายเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสและช่วงสงครามอินโดจีน กล่าวคือ ในช่วง เวลาที่สงครามโลกคร้ังที่ 2 เริ่มต้นขึ้น คือ เกิดขึ้นราวปี พ.ศ. 2482 ประเทศเยอรมันสามารถบุกยึด ปารีสของฝรั่งเศสได้ เป็นผลทาให้อานาจทางการทหารฝรั่งเศสอ่อนแอ รวมถึงประเทศอาณานิคม ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส คือ เวียดนาม ลาว กัมพูชาที่เริ่มเรียกร้องเอกราชของตนเองและ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงถือโอกาสดาเนินนโยบายเรียกร้องเอาดินแดนคืนจากฝร่ังเศส (ชรินทร์ สันประเสริฐ, 2554, หน้า 26) ไทยได้ดินแดนคืนบางส่วนประมาณ 90,000 ตารางกิโลเมตร จนกระท่ังเม่ือสงครามโลกคร้ังที่ 2 ได้ยุติลงผลปรากฏว่าฝุายญี่ปุนแพ้สงครามจึงทาให้ฝร่ังเศสกลับมี อานาจข้นึ มาอกี คร้ัง และไดก้ ลับมาทวงดินแดนคืนจากไทย 3.5 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามกับสงครามมหาเอเชียบูรพา กล่าวคือ ในช่วง สงครามโลกคร้ังท่ี 2 เกิดขึ้น ญี่ปุนได้ยกกองทหารขึ้นบกในหลายแห่งบริเวณอ่าวไทยโดยไม่มีการแจ้ง ใหฝ้ าุ ยไทยทราบล่วงหน้า ทางญ่ีปนุ ได้ประสานงานให้เอกอัครราชทูตญี่ปุนประจากรุงเทพฯ และยังได้ ยนื่ ข้อเสนอขออนุญาตรัฐบาลไทยให้กองทัพญี่ปุนเดินทัพ โดยผ่านประเทศไทยเพ่ือเดินทางไปยังพม่า แต่ถ้าหากทางการไทยไม่อนุญาตก็ต้องเกิดสงครามระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจอมพล ป. จึง ยินยอมและออกประกาศนโยบายสนับสนุนญ่ีปุนภายใต้นโยบายของญี่ปุนน่ันคือ “เอเชียสาหรับชาว
45 เอเชีย” พร้อมกับตัดสินใจให้ทหารญ่ีปุนเดินทัพผ่านประเทศไทยได้โดยมีข้อตกลงสาหรับทั้งสองฝุาย คอื 1. เพ่ือจะจัดการกับสถานการณ์เร่งด่วนในเอเชียตะวันออก ประเทศไทยจะยินยอมให้กอง ทหารญี่ปนุ ผ่านดินแดนของประเทศไทยไปได้ 2. รายละเอียดเพ่ือการปฏิบัติตามวรรคแรกจะต้องตกลงกันระหว่างเจ้าหน้าท่ีฝุายทหารทั้ง สองประเทศ 3. ประเทศญ่ีปุนให้ประกันเอกราชอธิปไตยแก่ไทย อีกทั้งญ่ีปุนต้องให้คามั่นสัญญาว่าจะ เคารพเอกราช และเกียรติศกั ด์ิของไทย 3.6 ขบวนการเสรีไทย กลา่ วคือ ขบวนการเสรไี ทย หรือขบวนการต่อต้านญี่ปุนจัดต้ังขึ้นเพื่อ ต่อต้านอานาจญี่ปุนในประเทศไทย คร้ันญ่ีปุนยอมจานนต่อสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร เป็นผลทาให้ ขบวนการเสไทยได้สลายตัวลงการดาเนินการของขบวนการเสรีไทยได้ปฏิบัติการอย่างต่อเน่ืองเพ่ือให้ ฝุายอังกฤษและอเมริกาทราบถึงเจตนารมณ์ของชาวไทยท่ีต่อต้านอานาจญี่ปุนเมื่อจอมพล ป. เร่ิม สงสัยในอานาจของญี่ปุนท่ีกาลังอ่อนลงจึงได้เสนอร่างกฎหมาย 2 ฉบับเพื่อสร้างเมืองนครบาล เพชรบรู ณ์ และพทุ ธบุรมี ณฑล(สระบรุ ี) ดังขอ้ ความบางตอนซ่ึงอ้างใน ชาญวิทย์ เกษตรศริ ิ ว่า... “เม่ือผมเห็นเป็นโอกาสอันเหมาะสมท่ีจะสร้างฐานทัพสาหรับเตรียมรบกับญ่ีปุ่นในขั้น สุดท้ายได้แล้วเพราะเห็นว่าญี่ปุ่นได้อ่อนกาลังลงไปมาก ถึงเราจะแข็งมือเอาบ้างญ่ีปุ่นก็คงจะไม่ กล้าหักหาญต่อประเทศไทย...ผมจึงได้ลงมือสร้างฐานทัพท่ีเพชรบูรณ์ และสร้างทางให้สามารถ ติดต่อระหว่างกรุงเทพฯ ลาปางตลอดไปจนถึงติดต่อกับกองทัพจีนในหนานใต้” (ชาญวิทย์ เกษตรศริ ,ิ 2551 หน้า 379) แต่ความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผลสาเร็จเน่ืองจากสภาผู้แทนราษฎรขณะน้ันไม่เห็นด้วยจึง ไม่อนุมัติร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวส่งเป็นผลทาให้จอมพล ป. พิบูลสงครามต้องลาออกจาก นายกรฐั มนตรี 2.7.4 การเมอื งในยคุ ของนายปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2489 พ.ศ. 2489 เป็นปีที่การเมืองไทยเกิดการเปล่ียนแปลงนายกรัฐมนตรีจากนายควง อภัยวงศ์ (2487 - 2488 และ 2489) นายทวี บุณยเกตุ (2488) ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (2488 - 2489) และนาย ปรีดี พนมยงค์ (2489) (ลิขิต ธีรเวคิน, 2547, หน้า 142) ซึ่งหลังจากการลงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ของนายควง อภัยวงศ์ได้ส่งผลให้ปรีดี พนมยงค์ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและประกาศยกเลิก รัฐธรรมนูญฉบับ 2475 “ด้วยเหตุผลเพราะใช้มานานเป็นเวลา 14 ปีและสถานการณ์ทางการเมือง พัฒนาไปมาก ประชาชนรู้เร่ืองการเมืองมากข้ึน” (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2553, หน้า 226) จากน้ันก็ ประกาศใช้รฐั ธรรมนญู ฉบบั 2489 ซ่งึ รฐั ธรรมนญู ฉบับนถ้ี ือเปน็ ฉบับที่ค่อนข้างเป็นประซาธิปไตย ทั้งนี้ เพราะไดก้ าหนดสิทธแิ ละหน้าท่ีของชนชาวไทยไว้หรอื เปดิ โอกาสให้ประชาชนได้มีเสรีภาพและสิทธิใน ด้านต่าง ๆ กาหนดให้สภามีวาระ 4 ปี ให้สภาผู้แทนฯ มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี รายบุคคลหรือทั้งคณะได้ อีกทั้งยังห้ามบุคคลควบตาแหน่งสมาชิกพฤฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ห้ามข้าราชการประจาเล่นการเมืองด้วยเม่ือการสวรรคตของรัชกาลท่ี 8 เกิดข้ึนเม่ือวันท่ี 9 มิถุนายน 2489 ส่งผลให้อานาจทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ ส่ันคลอนและนาไปสู่การโจมตีและกล่าวหาว่า รัฐบาลปรีดีว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวรรคต ซึ่งกลุ่มที่กล่าวหาและโจมตีนายปรีดีนั้น คือกลุ่มที่อยู่
46 ตรงข้ามกับรัฐบาลปรีดี และได้ใช้กรณีดังกล่าวเป็นเคร่ืองมือเพ่ือล้มรัฐบาลปรีดี “แต่แล้วปรีดีต้อง ลาออกจากนายกรฐั มนตรดี ว้ ยสาเหตุวา่ สขุ ภาพไมด่ ี” (ลิขิต ธีรเวคิน, 2547, หน้า 144) ซึ่งจากเหตุผล ดังกล่าวเป็นผลทาให้ฝุายเสรีนิยมต้องลงจากอานาจทางการเมืองและนาไปสู่การก้าวข้ึนเป็น นายกรัฐมนตรีของหลวงธารง นาวาสวัสด์ิ (2489 - 2490) แต่ก็ถูกฝุายอนุรักษ์นิยมและพรรค ประชาธิปัตย์นาโดยนายควง อภัยวงศ์เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจประมาณ 8 วัน 7 คืน (ประจวบ อัมพะเศวต, 2543, หน้า 226) จนทาให้ต้องลาออกจากนายกรัฐมนตรี และเปิดทางให้นายควง อภัย วงศ์ ขนึ้ เป็นนายกรฐั มนตรี (2490 - 2491) หลงั จากน้ันนายควง ก็ถูกนายทหารจ้ีให้ออกจากตาแหน่ง นายกรฐั มนตรี จากคณะรัฐประหาร 2490 ทน่ี าโดย พล.ท.ผนิ ชณุ หะวัณ ก็เพ่ือจะนากลุ่มนายทหารที่ จะกลับเข้าสู่อานาจทางการเมอื งอีกครง้ั ใน 2.7.5 การเมอื งในยุคของจอมพลแปลก พบิ ลู ลสงครามชว่ ง พ.ศ. 2491 - 2500 การเมอื งไทยชว่ งน้เี ร่ิมตน้ ท่ีเกดิ การยดึ อานาจรัฐเมื่อวันท่ี 8 พฤศจิกายน 2490 โดยพล.ท.ผิน ชุณหะวัณ จอมพล ป. พิบูลสงคราม พล.อ.สฤษด์ิ ธนะรัชต์และพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ในช่วงส้ินสุด สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ผลของสงครามได้ทาให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้นในประเทศอย่างต่อเนื่อง ไดแ้ ก่ “ปัญหาการขาดแคลนข้าว การขาดแคลนสนิ คา้ ตา่ ง ๆ การขาดเงนิ ตราต่างประเทศปัญหาภาวะ เงินเฟูอ” (ชรินทร์ สันประเสริฐ, 2554, หน้า 37 – 38) และจากกรณีดังกล่าวได้มีการเปล่ียน นายกรัฐมนตรีถึง 5 คนในรอบ 2 ปีเศษ ๆ เพื่อที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวและรวมถึงปัญหาทาง การเมืองด้วย (2488 - 2490) ได้แก่ นายควง อภัยวงศ์ นายทวี บุญยเกตุ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชนาย ปรีดี พนมยงค์และพล.ร.ต.ถวัลย์ ธารงนาวาสวสั ดิ์ (หลวงธารงนาวาสวสั ด์)ิ ตามลาดับ เม่ือเกิดปัญหาต่าง ๆ รัฐบาลภายใต้การนาของ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธารงนาวาสวัสด์ิ ไม่สามารถ แก้ไขปญั หาได้จงึ ถกู คณะนายทหารนาโดย พล.ท.ผนิ ชณุ หะวณั จอมพล ป. และน.อ.กาจ เก่งระดมยิง (หลวงกาจสงคราม) ได้ใช้กาลังเข้ายึดอานาจรัฐบาลในวันท่ี 8 พฤศจิกายน 2490 และยกเลิก รัฐธรรมนูญฉบับ 2489 แล้วนาร่างรัฐธรรมนูญที่ซ่อนไว้ใต้ตุ่มมาประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ ช่ัวคราวไปพลางก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีภายหลังได้ถูกเรียกว่า \"รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม\" 2490 โดย เข้ากลุ่มยดึ อานาจซง่ึ มีวตั ถุประสงค์ในการยึดอานาจรฐั บาลถวัลย์ ธารงนาวาสวัสดิ์ ตามที่ ชรินทร์ สัน ประเสรฐิ (2554, หน้า 44) ได้กล่าวไวด้ งั น้ี 1. มีจุดประสงค์กระทาการเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง มิใช่เพ่ือบุคคลใดบุคคลหน่ึง โดยเฉพาะ 2. มีจุดประสงค์เพ่ือล้มล้างรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธารงนาวาสวัสด์ิ แล้วสถาปนารัฐบาล ข้ึนมาใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพ รวมท้ังเทิดทูนศาสนา พระมหากษัตริย์ และประพฤติตาม รฐั ธรรมนูญโดยแท้จรงิ 3. มีจุดประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติของทหารบกท่ีถูกเหยียบย่า และทาลายให้กลับคืนดีดังเดิม อีกท้งั เพอ่ื ปรบั ปรุงใหม้ ีเกยี รติ และสมรรถภาพเขม้ แข็งยิง่ ขึน้ 4. มีจุดประสงค์เพ่ือแก้ไของค์การปกครองท่ีเสื่อมโทรมลงให้คงมีสมรรถภาพ และเพ่ือแก้ไข การเศรษฐกิจลดค่าครองชีพของประชาชนให้ถูกลงเพื่อทาให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดีตามสมควรแก่ ฐานะการเป็นอยู่
47 5. มีจุดประสงค์เพ่ือจัดการกับผู้ลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ และจัดการฟูองร้อง ลงโทษตามกฎหมายต่อไป 6. มีจุดประสงค์เพื่อกาจัดและกีดกันลัทธิคอมมิวนิสต์ให้สูญสิ้นแผ่นดินไทย เชิดชู พระพุทธศาสนาใหส้ ถติ ถาวรสบื ตอ่ ไป เหตกุ ารณ์สาคัญในยุคของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม 1. รฐั ธรรมนูญกบั การรองรบั ความชอบธรรมของจอมพลแปลก พิบลู สงคราม ปี พ.ศ. 2492 จอมพล ป. พิบูลสงคราม เร่ิมผ่อนคลายบรรยากาศความตึงเครียดทาง การเมืองเพ่ือสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง โดยประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ. 2492 ซ่ึง รัฐธรรมนูญฉบับนี้คอ่ นข้างมคี วามเป็นประชาธปิ ไตย ซ่งึ พจิ ารณาไดจ้ ากเนือ้ หาบางส่วนดงั นี้ 1. ห้ามบุคคลเปน็ ส.ว. และส.ส. ในคราวเดียวกัน ตามมาตรา 78 2. ห้ามข้าราชการดารงตาแหน่งทางการเมอื ง ตามมาตรา 79 3. หา้ ม ส.ส. และ ส.ว. ทาการค้าหรือแสวงหาประโยชนจ์ ากกิจการของรัฐ ตามมาตรา 80 4. ประชาชนมเี สรภี าพรวมตัวเปน็ พรรคการเมืองได้ ตามมาตรา 39 5. ประชาชนมเี สรีภาพชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามมาตรา 37 6. ประชาชนมีเสรีภาพในการพูด การเขียน การพิมพ์ และการโฆษณา การส่ังปิดโรงพิมพ์ หรอื ห้ามพมิ พ์ หรือก่อนพิมพ์จะเรยี กข้อความมาตรวจก่อนจะกระทามิได้ ตามมาตรา 37 2. กบฏแมนฮันตนั้ เม่ือประชาชนได้ใช้สิทธิ เสรีภาพเต็มที่และกว้างขวาง กลับกลายเป็นว่าประชาชน นิสิต นักศึกษา หนังสือพิมพ์ นักคิด นักเขียนและกลุ่มที่ต่อต้านอานาจรัฐบาลต่างออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องประชาธิปไตยมากข้ึน มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่ม นายทหารเรือบางนาย ไดแ้ ก่ “น.ต.มนสั จารภุ า ร.น. ได้ใช้ปีนกลมือบุกจูโจมเข้าจ้ีตัวจอมพล ป. พิบูล สงครามกลางพืธีมอบเรือขุด แมนฮัตตัน และนาไปกักตัวไว้ในเรือรบหลวงศรีอยุธยาซึ่งจอดทอดสมอ อยหู่ นา้ ชาธวิ าส” (อภวิ ฒั น์ วรรณกร, 2539, หน้า 58 – 59) ซ่ึงการกระทาของนายทหารเรือบางราย สะทอ้ นถงึ ความไม่ลงตัวทางการเมืองของกลุ่มทหารด้วยกันผนวกกับความขัดแย้งท่ีมีมาอย่างต่อเน่ือง สุดท้ายความพยายามช่วงชิงอานาจคืนของกลุ่มปรีดีกับกลุ่มทหารเรือบางรายจึงแสดงออกด้วยการ พยายามจะยึดอานาจรัฐบาลในวันที่ 29 มิถุนายน 2494 แต่ไม่สาเร็จจึงกลายเป็นกบฎ 2494 ซ่ึงเป็น เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนขณะท่ีจอมพลแปลกอยู่บนเรือแมนแฮตตันท่ีกาลังอยู่ระห ว่างพิธีรับมอบเรือแมน ฮัตตันจาก “วิลเลี่ยม ที. เทอร์เนอร์ อุปทูตอเมริกันประจาประเทศไทย...และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ เปิดประชุมฉุกเฉินและได้มีมติให้กองทัพอากาศส่งเคร่ืองบินท้ิงระเบิดเรือรบหลวงศรีอยุธยาจน เสียหาย” (อภวิ ัฒน์ วรรณกร, 2539, หนา้ 59) 3. ทาการปฏิวตั ิตนเอง ประเด็นจากกรณีกบฏแมนฮัตตัน 2494 ได้ส่งผลให้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามกระชับ อานาจของตนเองมากขึ้น และมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2492 ไม่เอื้อต่อการบริหารประเทศจนในที่สุด จอมพล ป. จึงถือโอกาสทาการรัฐประหารขึ้นภายใต้ชื่อใหม่ว่า คณะบริหารประเทศช่ัวคราว ในวันที่ 29 พฤศจกิ ายน 2494 โดยมขี อ้ อ้างวา่
48 “เนื่องจากสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันน้ีตกอยู่ในความคับขันทั่วไป ภัยแห่ง คอมมิวนิสต์ได้คุกคามเข้ามาอย่างรุนแรง ในคณะรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ก็ดี ในรัฐสถา มีอิทธิพลของ คอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกซึมอยู่เป็นอันมาก แม้ว่ารัฐบาลจะทาความพยายามสักเพียงใด ก็ไม่ สามารถแก้ปัญหาเร่ืองคอมมิวนิสต์ได้ ไม่สามารถปราบการทุจริตที่เรียกว่า คอรัปช่ัน ดังที่มุ่ง หมายจะปราบนั้นด้วยความเสื่อมโทรมมีมากขึ้นจนเป็นท่ีวิตกกันทั่วไปว่า ประเทศชาติจะไม่ สามารถดารงอยู่ได้ในสถานการณก์ ารเมืองอย่างนี้” (ชรินทร์ สันประเสรฐิ , 2554, หน้า 54) หลงั จากยดึ อานาจตนเอง ก็ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ 2492 ประกาศจัดต้ังคณะรัฐมนตรีชุด ใหม่ข้ึนบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์เป็นรัฐมนตรีช่วยบริหารประเทศ จนกระท่ังวันท่ี6 ธันวาคม 2495 รัฐบาลได้นารัฐธรรมนูญฉบับ 2475 มาใช้ปี 2495 และได้มีการแก้ไขในส่วนท่ีเกี่ยวกับประเด็น ส.ส. ใหม้ ี 2 ประเภทคอื ประเภทท่ี 1 มาจากเลือกตง้ั และประเภทท่ี 2 มาจากการแต่งต้ัง หลังจากนั้น กป็ ระกาศใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการอกี ครงั้ เมอื่ วันท่ี 8 มนี าคม 2495 ซ่งึ ช่วงนี้ถือว่าจอมพล ป. ได้ใช้อานาจ ทางการเมืองผ่านจอมพล สฤษด์ิ และ พล.ต.อ. เผ่า เล่นงานหรือกวาดล้างบุคคลต่าง ๆ โดยเฉพาะ หนังสอื พมิ พ์ นกั คิด นกั เขียนตา่ ง ๆ จนเรยี กเหตกุ ารณช์ ว่ งนั้นวา่ กบฏสันตภิ าพ 2495 การส้ินสดุ ของรฐั บาลของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เม่ือปี พ.ศ. 2498 การกาจัดกลุ่มอานาจเก่าและควบคุมสื่อ นักคิด นักเขียนได้เป็นผลสาเร็จ รัฐบาลช่วั คราวของจอมพล ป. โดยประกาศใช้กฎหมายพรรคการเมือง 2498 เป็นคร้ังแรก และจัดตั้ง พรรคเสรีมนังคศิลาขึ้นเพ่ือเป็นฐานเข้าสู่อานาจทางการเมืองและนาไปสู่การแข่งขันทางการเมือง ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์นาโดยนายควง อภัยวงศ์ และพรรคเสรีมนังคศิลา นาโดยจอมพล ป. ซึ่งการแข่งขันทางการเมืองขณะนัน้ ล้วนอาศัยคนรอบขา้ งอยา่ งพรรคเสรีมนังคศลิ าประกอบด้วย”พิบูล , เวชยันต์, บริภัณฑ์, ลัดพลี, พรหมโยธี, บัญญัติ, สวัสดิ์, เดช, รักษ์ โดยลูกทีมเหล่านี้ล้วนเป็นพวก พ้องและเครือญาติ” (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2530, หน้า 27) และในวันท่ี 26 กุมพาพันธ์ 2500 ท่ีได้ จดั การเลอื กต้ังขึน้ มา กลบั ไมเ่ ปน็ ไปอย่างบรสิ ทุ ธย์ิ ุตธิ รรม ตามที่ นรนิติ เศรษฐบตุ ร ไดก้ ลา่ วอา้ งไวว้ า่ “กอ่ นการเลือกตั้งไม่ก่ีวัน ก็มีการพกบัตรลงคะแนนท่ีปิดหมายเลขของผู้สมัครรับเลือกต้ัง พรรคเสรีมนังคศิลา โดยมีตราประทับของอาเภอดุสิต ติดอยู่อย่างเรียบร้อย...นับเป็นบัตรปลอมท่ี แนบเนียนมาก...ก่อนการเลือกตั้งยังมีบัตรปลอมระบาด...หน่วยเลือกตั้งหลายหน่วยไม่ป ระจา นับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ “พลร่ม และไฟไฟ” ออกมาปฏิบัติการได้สะดวก...การนับคะแนนใน อาเภออื่นล่าช้าไปอย่างผิดปกติถึง 2 วัน มีข่าวว่าหีบบัตรเลือกตั้งหาย...” (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2530, หน้า 28 - 29) กลา่ วคอื คาว่า “พลรม่ หมายถึง คนท่ีไม่มีสิทธ์ิแต่ไปออกเสียงเลือกต้ังแทนผู้มีสิทธ์ิคนอ่ืนโดย ทเ่ี จ้าของสทิ ธิไ์ ม่รู้ไม่เห็นด้วย ส่วนไฟไฟน่ัน หมายถึง การใช้บัตรเลือกต้ังปลอมลงคะแนนให้แก่ผู้ที่ตน สนับสนุนมาก ๆ” (นรนิติ เศรษฐบตุ ร, 2530, หน้า 25 - 26) ผลจากการกระทาข้างต้นนาพาความไม่ พอใจให้แก่ประชาชนจนเกิดการชุมนุมประท้วง เม่ือกลุ่มผู้ชุมชุมประท้วงได้เดินขบวนไปยังหน้า ทาเนียบรัฐบาล และจะขวา้ งปาสถานที่ราชการจนเปน็ เหตุใหส้ ถานการณ์เรม่ิ ตึงเครยี ดมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตดุ งั กลา่ วเปน็ ผลทาให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 2 - 14 มีนาคม พ.ศ. 2500 เนื้อความในประกาศมีเน้ือความโดยห้ามการชุมนุมในท่ีสาธารณะ อีกทั้งยังห้ามพิมพ์
49 โฆษณาข้อความอันเก่ียวกับการเมืองโดยที่ไมได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอีกด้วย แต่ในสถานการณ์ ณ ขณะน้ันก็ไม่สามารถระงับการชุมนุมของผู้ประท้วงลงได้ ท้ายสุดการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เกิดข้ึนเม่ือวันท่ี 16 กันยายน พ.ศ. 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะ ทหาร ซึง่ ถือเปน็ การปดิ ฉากการเมอื งของจอมพล ป. อยา่ งสน้ิ เชิง ตลอดมานับเปน็ เวลาถงึ 25 ปี การเมืองไทยต้ังแต่ พ.ศ. 2475 - 2500 ถือได้ว่าเป็นฉากหน้า ใหม่ครั้งสาคัญของการปกครองไทย และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองไทยคร้ังท่ี ยิ่งใหญน่ ับตั้งแต่สมยั สโุ ขทัยเลยก็ว่าได้ทป่ี ระเทศไทยปกครองโดยกษตั รยิ ์มาโดยตลอด ซ่ึงภายหลังการ ปฏิวัติโดยคณะราษฎรที่นาโดยนายปรีดี พนมยงค์ ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไทยจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้ รัฐธรรมนญู และมสี าระสาคัญที่วางหลกั การ 6 ประการไว้ปกครองประเทศคือ หลักความเป็นเอกราช หลักความปลอดภัย หลักทางเศรษฐกิจ หลักความเสมอภาค หลักเสรีภาพ และหลักการศึกษาท่ี มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาชาติ และประชาชน ส่งผลทาให้ประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญฉบับชั่วคราวพ.ศ. 2475 มีสถาบันการเมืองเกิดข้ึนตามรัฐธรรมนูญ คือ กษัตริย์สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการราษฎร และศาล ตามหลักการปกครองในรูปแบบ ประชาธิปไตยทางตะวันตก อีกทั้งยังมีคณะรัฐมนตรีชุดแรกภายใต้การนาของพระยามโนปกรณ์นิติ ธาดา ซง่ึ จากปรากฏการณท์ างการเมืองมีความมงุ่ หวังท่ีจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีข้ึน แต่กลับส่งผล ให้เกดิ ความขดั แย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอานาจใหม่โดยคณะราษฎรกับกลุ่มอานาจเก่าที่นิยมเจ้า ท่ีมองว่า นโยบายทั้ง 6 ประการ น้ัน มีความเป็นคอมมิวนิสต์สูง เป็นเหตุที่ทาให้เกิดความขัดแย้ง กันเองระหว่างสมาชิกคณะราษฎรท่ีมีความคิดหรืออุดมการณ์ที่ต่างกัน จนกระทั่งต้องสะสมกาลัง ทหารพยายามเข้ายึดอานาจรัฐบาลชุดเดิมต้ังรัฐบาลชุดใหม่ไปตลอด 25 ปีแรกของการเมืองและการ ปกครองของไทยเหมือนประชาธิปไตยย่าอยู่กับที่เพียงเพราะการแย่งชิงอานาจการปกครองของท้ัง 2 ฝาุ ยที่ต้องการการเปลีย่ นแปลงแตย่ ังคงตอ้ งการรักษาอานาจของตนไวน้ น่ั เอง อานาจเผดจ็ การท่ีอยู่เหนอื ระบอบประชาธปิ ไตย พ.ศ. 2500 - 2520 2.7.6 การเมืองในยคุ ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรตั น์ พ.ศ. 2500 - 2506 ภายหลังการยึดอานาจน้ัน พล.อ.สฤษด์ิ ธนะรัตน์ หัวหน้าคณะได้เชิญให้นายพจน์ สารสิน ดารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรีชว่ั คราวภายใต้รฐั ธรรมนูญฉบบั 2475 แก้ไขเพิ่มเตมิ 2495 เพื่อทาหนา้ ที่ บริหารประเทศไปพลางก่อนและทาหน้าที่จัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ ซ่ึงรัฐบาลพจน์ สารสินได้ กาหนดวันท่ี 15 ธันวาคม 2500 เป็นวันเลือกท่ัวไป ซ่ึงภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีข้อกาหนด และเนื้อหาในการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนน้อย แต่กลับเป็น เพิ่มอานาจให้กบั กลุม่ ทหารและข้าราชการประจามากกวา่ การเลือกตั้งในวันที่ 15 ธันวาคม 2500 ได้ส่งผลให้พรรคสหภูมิที่มีจอมพสสฤษด์ิ ธนะวัชต์ เป็นหัวหน้าพรรค ชนะการเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวน 44 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 39 คน พรรคเสรีประชาธิปไตยได้ 5 คน พรรคเสรีมนังคศิลาได้ 4 คนและไม่สังกัดพรรคใดได้ 59 คน (เพลิง ภผู า, 2541, หน้า 24) ภายหลงั การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประกอบกันขึ้นเป็นสภาผู้แทนฯ พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไดค้ านึงว่าสมาชิกสภาฯ ส่วนใหญ่ในสภาผแู้ ทนฯ ลว้ นเปน็ คนของพรรคเสรีมังคศิลาหรือเป็น
50 พรรคพวกของจอมพล ป. ที่แฝงมาในนามพรรคต่าง ๆ และไม่สังกัดพรรคใด ดังนั้น พล.อ.สฤษด์ิ(ยศ ขณะน้ัน) จึงได้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ชื่อ \"พรรคชาติสังคม\" โดยมีจอมพลสฤษดิ์ เป็นหัวหน้า พรรค มีพล.ท.ถนอม กิตตขิ จรเป็นรองหวั หน้าพรรค หลงั จากนั้นจอมพลสฤษด์ิ ได้เชิญ ส.ส.จากพรรค ตา่ ง ๆ และไมส่ ังกดั พรรคมาร่วมกนั จดั ต้งั รัฐบาลเพือ่ บริหารประเทศต่อไป ดังนัน้ เกมทางการเมอื งเพ่อื เลือกนายกรัฐมนตรีก็เกิดขึ้นโดยใช้เวทีสภาผู้แทนฯ หย่ังเสียงเพ่ือ เลือกพล.ท.ถนอม กิตติขจรข้ึนเป็นนายกรัฐมนตรีในวันท่ี 1 มกราคม 2501 อันเป็นการสะท้อนถึง การทหารนา (ช้ีนา) การเมืองมากกว่าการเมืองนาการทหาร ด้วยการใช้เวทีสภาผู้แทนฯ รองรับ ความชอบธรรมทางการเมอื งของกลมุ่ ตนในสภา นั่นคือ “เกิดการเรียกร้องขอมือภิสิทธิ์ต่าง ๆ สมาชิก เรม่ิ แสวงหาผลประโยชน์ จนนายกรฐั มนตรี อย่างไรก็ตามการบริหารประเทศของรัฐบาลพล.ท.ถนอม กลับต้องเผชิญกับเกมการเมืองไม่ สามารถควบคุมสมาชิกและสภาฯ ได้ จึงเป็นเหตุให้ พล.อ.สฤษติ์ต้องกลับจากต่างประเทศ เพ่ือมา แก้ไขสถานการณ์ด้วยการปรับคณะรัฐมนตรีและแจกจ่ายเงินให้กับสมาชิกสภาผู้แทนฯ” (ประจวบ อมั พะเศวต, 2543, หน้า 453) นอกจากนี้ ส.ส. ต่างพรรคในสภาฯ ต่างตีรวนพยายามแยกกลุ่มเป็นมุ้งเล็กมุ้งน้อยเพราะไม่ พอใจที่ตนเองไม่ใด้ตาแหน่งรัฐมนตรีทาให้พล.อ.ถนอม คุมสภาไมได้และรัฐบาลถนอมเริ่มเผชิญ สถานการณก์ ารนดั หยุดงานของกรรมกร อีกทั้งพนักงานโรงงานยาสูบได้ก่อตั้งสหภาพแรงงานและยื่น เง่ือนไขเรียกร้องสิทธิต่าง 'ๆ และไม่ยอมเข้าทางาน ท้ายสุดจอมพลสฤษต์ิ ต้องกลับจากต่างประเทศ เปน็ ครง้ั ที่ 2 เพอ่ื แกไ้ ขสถานการณ์ทางการเมืองจนนาไปส่กู ารยึดอานาจรัฐบาลถนอมน่นั เอง ท้ายสุดการรัฐประหารก็เกิดข้ึนอีกครั้ง เม่ือคณะรัฐประหารเรียกชื่อคณะรัฐประหารใหม่น้ี ว่า”คณะปฏิวัติ” (ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, 2552, หนา้ 179) ได้ทาการยึดอานาจรฐั บาลถนอมภายใต้ความ ยินยอมของพล.ท.ถนอม ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 โดยมีข้ออ้างว่า “การยึดอานาจคร้ังน้ีได้กระทาด้วยความจาเป็น...เพราะเหตุการณ์ที่สถานการณ์ทั้ง ภายในและภายนอกรัดดึงเครียดย่ิงขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยคอมมิวนิสต์ได้คุกคามประเทศ ไทยอย่างรุนแรง ไม่สามารถท่ีจะแก้โดยวิธีอ่ืน ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้โดยวิธีใด นอกจากยึด อานาจและดาเนนิ การปฏิวัตใิ นทางที่เหมาะสม” (ประจวบ อัมพะเศวต, 2543, หนา้ 457) หลังการปฏิวัติ 20 ตุลาคมนั้นมีผลทาให้รัฐธรรมนูญฉบับ 2475 แก้ไขเพ่ิมเติม 2495 และ สภาผ้แู ทนราษฎรถูกยกเลกิ และคณะปฏวิ ตั ิไดป้ ระกาศกฎอัยการศกึ ทว่ั ประเทศและออกประกาศคณะ ปฏิวัตเิ พอื่ ใช้จดั การสถานการณ์ทางการเมืองไปพลางก่อน ซ่ึงประกาศคณะปฏิวัติท่ีผลต่อการเผยแพร่ ขอ้ มลู ของสอื่ สง่ิ พมิ พน์ ั่นก็คือ ประกาศคณะปฏวิ ัตฉิ บับท่ี 3 ท่ไี ดก้ าหนดไวว้ ่า “การกระทาใด ๆ ของหนังสือพิมพ์ท่ีเป็นไปในทางก่อเร่ืองร้าย เสนอความเท็จแก่ ประชาชนหรือปราศจากความเปน็ ธรรม จะต้องถูกยับย้ังด้วยอานาจปฏิวัติซึ่งจาเป็นสาหรับรักษา ความสงบและความปลอดภัยของประเทศชาติ” (ราชกจิ จานุเบกษา, 2501) อย่างไรก็ตามภายหลังการใช้อานาจตามประกาศคณะปฏิวัติและธรรมนูญการปกครอง ชั่วคราว 2502 ส่ิงท่ีบ่งข้ีถึงการใช้อานาจตามกฎหมายดังกล่าวย่อมพิจารณาได้จากคดีต่างที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ นายกรัฐมนตรตี ัดสนิ เปน็ ราย ๆ ไปดังนี้ (เพลงิ ภผู า, 2541, หนา้ 32 – 34)
51 1. เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นในเขตบางย่ีเรือเป็นเหตุทาให้เกิดการประหารชีวิตนายซัง แช่ล้ิมใน ขอ้ หาวางเพลงิ 2. เกิดไฟไหม้ตลาดพลู ตลาดการคา้ เสยี หายลา้ นบาท มีผตู้ อ้ งหาถูกยิงเปาู 2 คน 3. เกิดไฟไหม้โรงเล่ือยจักรบ้านเฮงหลง ตาบลวัดพระยาไกร โดยมีหลักฐานว่านายฮ่องถ่ิน แซฉ่ นิ เป็นผู้เผา ถูกย่งิ เปูาท่วี ดั ดอน 4. เกิดไฟไหม้บ้านเรือนเกือบ 300 หลังคาเรือน ที่อาเภอเดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี สืบตน้ เหตุเพลงิ ไดม้ าจากทีบ่ ้านของนายอง้ึ ศลิ ปงาม 5. เกิดกรณีการค้ายาเสพติดด้วยการผลิตและขายเฮโรอีนของนายเลี่ยงฮ้อ แช่เล้า ภายหลัง ถกู ตารวจจับได้ จนถูกประหารชีวติ 6. เกิดกบฏผีบุญมีนายศิลา วงศ์สิน จ.นครราชสีมาที่เป็นหัวหน้า อ้างตัวเป็นผู้วิเศษ ถูกประหารชีวติ ในขอ้ หาหลอกลวง ฆ่าคนและเป็นกบฏ นอกจากข้อหาในกรณีข้างต้นแล้วยังมีอีกกรณีท่ีเป็นข้อหาที่สามารถเอาผิดกับบุคคลต่าง ๆ ท้ังทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมท่ีคิดต่างทางการเมืองกับรัฐบาลด้วยการถูกกล่าวหาว่า กระทา การฝักใฝุในคอมมิวนิสต์ จากกรณีดังกล่าวนาไปสู่การแสดงความรับผิดชอบในการใช้อานาจท่ีเผด็จ การของสฤษดภิ์ ายใตว้ าทะท่ีเรียกว่า “ข้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดยการกระทาดังเป็นการรวม ศูนย์อานาจไว้ท่ีจอมพลสฤษด์ิ ที่ใช้แนวการบริหารปกครองประเทศแบบอานาจนิยมท่ีครอบครอง อานาจทางการเมืองแบบเผดจ็ การเบด็ เสร็จ” (มาลี บุญศริ ิพนั ธ์, 2548, หนา้ 80) กล่าวได้ว่า การใช้อานาจนายกรัฐมนตรีของจอมพลสฤษด์ิ นอกจากจะทาให้ความหมายของ ประชาธิปไตยแบบตะวันตกเปล่ียนไปเป็นประชาธิปไตยแบบไทยบนหลักการของความแต่มีประเด็น ทางสังคมทร่ี ัฐบาลจอมพลสฤษด์ิ จะต้องคอยสอดส่องดูแลไม่ให้ก่อความไม่สงบขึ้นจากพฤติกรรมทาง สังคมของคนหนุ่มสาว นั่นก็คือ การตรวจสอบพฤติกรรมของวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตอย่างเสรี เช่น การเที่ยว เตร่กลางคืน การแตง่ กายแบบตะวนั ตกท่นี ยิ มใสก่ างเกงยนี ขายาวทรงกระบอกเรียวเลก็ การสิ้นสุดอานาจทางการเมืองของรัฐบาลจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชตใด้เผชิญกับปัญหาส่วนตัว ในเร่ืองสุขภาพอันมีผลต่อการครองอานาจของรัฐบาลและเม่ือจอมพลสฤษดิ์ ได้บินไปรักษา ตัวที่สหรัฐอเมริกา และกลับประเทศไทยแต่อาการไม่ดีข้ึนเป็นผลให้ถึงแก่อสัญกรรมเม่ือ วันท่ี 8 ธันวาคม 2506 ขณะดารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี (วิทยา ตัณฑสุทธ์ิ, ม.ป.ป, หน้า 3) ซึ่งถือว่า เปน็ นายกรัฐมนตรคี นแรกของไทยทเ่ี สียชวี ิตขณะดารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี 2.7.7 การเมืองในยคุ ของจอมพลถนอม กิตตขิ จร พ.ศ. 2506 - 2516 หลังการเสียชีวิตของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ในปี 2506 สถานการณ์ทางการเมืองกลับมี แนวโน้มที่ความคาดหวังว่าประเทศจะไปสู่ประชาธิปไตยมากข้ึน หลังตกอยู่ภายใต้อานาจของ จอมพลสฤษต์ิ มานาน คร้ันเมื่อจอมพลถนอม กิตติขจรก้าวข้ึนดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันท่ี 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506 โดยมีจอมพลประภาส จารุเสถียรและพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เป็นผู้ร่วมบริหารปกครอง ประเทศไทย ซ่ึงในขณะนั้นประเทศไทยอยู่ภายใต้ความเปล่ียนแปลงทางการเมืองของประเทศ มหาอานาจทางแนวคิดการปกครอง ซ่ึงเป็นความขัดแย้งทางความคิดสองกระแสหลักระหว่าง ความคดิ เสรปี ระชาธิปไตยนาโดยสหรฐั อเมรกิ า และความคิดสังคมนิยมนาโดยสหภาพโซเวียต โดยทั้ง
52 สองกระแสแนวความคิดได้เร่ิมแพร่ขยายอิทธิพลทางความคิดไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศท่มี ีปัญหาที่เกี่ยวกับความขัดแย้งประเทศ จนเป็นเหตุทาให้การต่อสู้กันระหว่างคน ชาติเดียวกันเพ่ือรวมชาติเป็นชาติเดียว เป็นต้นว่า ประเทศเวียดนาม ซ่ึงเป็นการต่อสู้กันระหว่าง เวียดนามเหนือที่นิยมแนวคิดสังคมนิยม และเวียดนามใต้ที่นิยมแนวคิดเสรีนิยม ประเทศลาวซึ่งเป็น การตอ่ สรู้ ะหว่างชาวลาวเหนอื ทนี่ ิยมแนวคิดสงั คมนิยม และชาวลาวใตท้ นี่ ิยมแนวคิดเสรีนยิ ม อย่างไรก็ตามการพัฒนาประเทศภายใต้อานาจทางการเมืองของรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติ ขจร ประภาสจารเสถียร และพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน ภายใต้ นโยบายดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้ 1. นโยบายทางด้านการเมือง กล่าวคือ รัฐธรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2511 ซ่ึงรัฐธรรมนูญฉบับ ดังกล่าวมีประเด็นทีส่ ่งเสริมการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งพอสมควร เชน่ “กาหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งต้ังให้ สิทธิบุคคลจัดต้ังพรรคการเมืองได้ ประชาชนมีอายุ 20 ปีมีสิทธิเลือกต้ัง แต่อย่างไรภายใต้ รัฐธรรมนูญฉบับถาวรนี้ก็มีข้อบกพร่องบ้าง อาทิ ข้าราชการประจาเป็น ส.ว. ได้ ตุลาการถูก แทรกแซงจากฝ่ายการเมืองได้ และไม่มีข้อห้ามใดห้ามนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐแสวงหา ประโยชน์จากรัฐ และการคงมาตรา 17 ไว้ในมาตรา 183” (ราชกจิ จานเุ บกษา, 2511) 2. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ เป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่รัฐบาลมีแนวทางในการ สรา้ งฐานการผลติ เพ่ือการส่งออก เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม และการลงทุนจากต่างประเทศ ท้ังน้ีก็ เพื่อใหม้ กี ารนาเครอื่ งจกั ร อปุ กรณ์ เทคโนโลยที ี่ทันสมัยเขา้ มายงั ประเทศไทย 3. นโยบายทางด้านสังคม เปดิ โอกาสให้สังคมมีการเคลือ่ นไหวทางสงั คมได้เป็นอิสระมากข้ึน ภายใต้การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2511 แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติก็ยังคงปิดก้ันการ แสดงออกทางการเมืองของสังคมมิให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ด้วยเหตุน้ีทาให้คนหนุ่มสาวส่วน หน่งึ ในยุคนนั้ ทใี่ ฝุหาความรู้ไดห้ นั ไปดาเนินกิจกรรมทางสังคมแทน เช่น ด้วยการออกค่ายอาสาพัฒนา ชนบท การเล่นกีฬา ดนตรี หากแต่คนหนุ่มสาวอีกส่วนก็ยังแสดงออกทางการเมืองอย่างเสรี ภายใต้ ความกดดันทางการเมืองนับตั้งแต่สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษด์ิมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ตามเหตุผลของ การไม่เห็นด้วยในการบริหารของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ เช่น การเกิดภาวะข้าว และสินค้าราคาแพง ผนวกกบั ภัยคอมมวิ นิสตท์ ี่กาลังแพร่กระจายในประเทศ อีกทั้งนักการเมืองก็ถือนี้เพ่ือโอกาสเรียกร้องผลประโยชน์จากรัฐบาลในฐานะสมาชิกพรรค ร่วมรัฐบาล จนกระทบต่อการบริหารประเทศ อีกท้ังมีการรวมกลุ่มกันของนิสิตนักศึกษาจัดตั้ง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ในปี พ.ศ. 2513 เพื่อแสดงออกและทากิจกรรม ทางการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมขึ้น โดยเฉพาะที่สาคัญกิจกรรมรณรงค์คัดค้านการตั้งฐานทัพ อเมริกาในไทย รณรงค์ตอ่ ตา้ นจกั รพรรดนิ ยิ มทางเศรษฐกจิ ของญ่ปี นุ แตใ่ นทา้ ยท่ีสดุ รฐั บาลจอมพลถนอมกป็ ระกาศยึดอานาจตนเอง “ในคืนวันท่ี 17 พฤศจิกายน 2514 โดยกรมประชาสัมพันธ์ได้ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 1 ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์” (ประจวบ อัมพะเศวต, 2543, หน้า 505) คณะปฏิวัติในขณะประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ ทหาร อากาศ ตารวจ และพลเรอื นได้ร่วมกันยึดอานาจการปกครอง หลังจากยึดอานาจเป็นผลสาเร็จแล้วได้ มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ 2511 และยกเลกิ กฎหมายพรรคการเมอื งฉบบั 2511
53 ภายหลังการยึดอานาจตนเอง รฐั บาลจอมพลถนอม กิตตขิ จร ไดอ้ อกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบบั ท่ี 4 ทันที โดยหา้ มมีการมว่ั สุมทางการเมอื ง ณ ท่ีใด ๆ มีจานวนต้ังแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งการกระทา ดังกลา่ วก็เพื่อปูองกันการรวมกลุ่มของนักการเมืองฝุายตรงกันข้ามและประชาชนต่อต้าน คณะปฏิวัติ แต่แล้วในช่วง ปี 2515 “เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีต ส.ส. จ.ชลบุรี นายอนนั ต์ ภกั ด์ิประไพ อดตี ส.ส. จ.พิษณุโลก และนายบุญเกิด หิรัญคา อดีต ส.ส. จ.ชัยภูมิ ที่ไดร้ ่วมกันเปน็ โจทยย์ นื่ ฟูองจอมพลถนอม กติ ตขิ จร ในข้อหาเป็นกบฎ กระทาการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ใช้กาลังประทุษร้ายและขู่เข็ญประชาชน” (ประจวบ อัมพะเศวต, 2543, หน้า 506) แต่และในกรณี ดังกล่าวศาลไม่ได้พิจารณาคดีที่ท้ัง 3 ได้กล่าวหาในข้างต้น เป็นเหตุให้ผู้ฟูองท้ังสามคนถูกจับกุมโดย คาส่งั ของจอมพลถนอม กติ ตขิ จร การใช้อานาจภายใต้คาสั่งของคณะปฏิวัติ ท้ายที่สุดจอมพลถนอม ก็ได้ประกาศใช้ธรรมนูญ การปกครองช่ัวคราว โดยนาธรรมนูญการปกครองฉบับ 2502 มาปรับปรุงแล้วประกาศบังคับใช้เมื่อ วันท่ี 15 ธันวาคม 2515 ซึง่ ธรรมนญู ฉบบั นีน้ ้ันไดใ้ ห้อานาจทางการเมืองแก่รัฐบาลจอมพลถนอมอย่าง มากดงั นี้ “กาหนดให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพียงสภาเดียวทาหน้าที่นิติบัญญัติ ข้าราชการ ประจาดารงตาแหนง่ ท้งั สภานิติบญั ญัติและคณะรัฐมนตรีได้ และการกาหนดให้มีมาตรา 17” (ราช กิจจานเุ บกษา 2515) กระนั้นกต็ าม ก่อนจะถึงเหตุการณ์ 14 ตลุ าคม 2516 น้ัน ปรากฏการณ์ทางการเมอื งทีส่ าคญั ที่นาไปสู่ความสูญเสียของประชาชนคนไทยน้ันเริ่มจากความกดดันของสังคมโดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่ม สาวท่ีเป็นนิสิต นักศึกษาที่มีต่อการเมืองต้ังแต่สมัยจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ท่ีมีการนาธรรมนูญ การปกครอง พ.ศ. 2502 มาใช้ช่วั คราว และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ก็ใช้เวลาร่างเป็นเวลานานจึงเป็นเหตุผลทาให้เกิดการเรียกร้องของกลุ่มที่ต้องการให้มีรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวร เน่ืองจากบรรยากาศในประทศเต็มไปการใช้อานาจเผด็จการของจอมพลถนอม กิตติขจร พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร และพล.ท.ประภาส จารุเสถียร และในทางตรงกันข้ามรัฐบาลกลับไม่เปิดโอกาส ให้นิสิต นักศึกษา ประชาชนคนหนุ่มสาวได้แสดงคิดทางการเมืองได้ทั้ง ๆ ที่ระบบเศรษฐกิจเร่ิมมีการ พัฒนา ระบบสังคมเร่ิมมีการศึกษา มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานมากขึ้น แต่บรรยากาศกลับอยู่ในลักษณะที่ เรียกว่า “ยคุ สายลมและแสงแดด” หรือยคุ ท่ีวิทยากร เชียงกูลเรียกวา่ “ฉนั จงึ มาหาความหมาย” หรอื “ยุคบุปผาชน” (เพลิง ภผู า, ม.ป.ป., หน้า 48 – 58) กลา่ วได้วา่ เหตกุ ารณ์ 14 ตุลาคม 2516 นั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองของ นิสิต นักศึกษาอาจารย์ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง และนักเรียนท่ีมีความกล้าคิด กล้าแสดงออก และพร้อมที่จะเผชิญกับอานาจเผด็จการทหารที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อีกประการหน่ึงมีการแพร่ หลายของกระแสแนวคิดเสรีนิยม (Liberalism) สังคมนิยม (Socialism) ท่ีส่งผลทาให้เกิดความ เปลี่ยนแปลงในการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างรวดเร็วขึ้น ด้วยเหตุผลข้างต้นนั้น เป็นส่วนผลักดันจนนาไปสู่การใช้สิทธิเสรีภาพเรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ ภายใต้บรรยากาศแบบ ประชาธิปไตยที่แพร่ขยายจนท้ายท่ีสุดเกิดความขัดแย้งระหว่างกันของ 2 อุดมการณ์หลักคือ อุดมการณเ์ สรนี ิยมกบั อดุ มการณ์สงั คมนิยม
54 2.7.8 การเมอื งในยุคของรัฐบาลสญั ญา ธรรมศักดิ์ พ.ศ. 2516 ปี พ.ศ. 2516 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับโปรดเกล้าฯให้ดารงตาแหน่งนายกรัฐได้กาหนด คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจานวน 18 คนทาหน้าท่ียกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2517 และกลายเป็น รัฐธรรมนูญฉบับถาวรท่ีมีเน้ือหาค่อนไปทางประชาธิปไตยโดยเฉพาะที่มาของรัฐธรรมนูญท่ีไม่ได้มา จากการรัฐประหาร ดังนั้นเน้ือสาระของรัฐธรรมนูญจึงส่งผลให้ประเทศมีสถาบันทางการเมือง ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติ พรรคการเมืองและการเลือกต้ัง ซึ่งการเลือกตั้งได้ถูก จดั ตงั้ ข้นึ เม่ือวนั ที่ 26 มกราคม 2518 ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์นาโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชชนะการ เลือกตั้ง แต่ก็ไม่สามารถจัดต้ังรัฐบาลได้เมื่อถึงเวลา เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจขณะแถลงนโยบาย ต่อสภาฯก่อนบริหารประเทศ จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สภาผู้แทนฯ ประชุมเพื่อเลือก นายกรัฐมนตรคี นใหม่ ซ่งึ ขณะน้ันพรรคกจิ สงั คมนาโดย ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช ได้รับการสนับสนุนให้ เป็นนายกรัฐมนตรี (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 244 – 246) แต่ สถานการณ์ทางการเมืองกลับแปรผันเมื่อเกิดปัญหาภายในประเทศเก่ียวกับข่าวลือความพยายามล้ม รัฐบาลการชุมนุมของกรรมกรชาวไร่ชาวนา การหยุดงานประท้วงของคนงานในโรงแรมดุสิต และ โรงงานเพอ่ื เรียกร้องสทิ ธติ ่าง ๆ ต้นปี พ.ศ. 2519 รัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมชประกาศยุบสภาเพ่ือ จัดการเลือกตั้งใหม่เม่ือ 4 เมษายน 2519 พรรคประชาธิปัตย์นาโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมซ ชนะการ เลือกตั้ง และจัดต้ังรัฐบาลผสมขึ้น แต่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศกลับเกิดประเด็นต่าง ๆ ท่ีนาไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ข้ึน โดยเฉพาะการรวมตัวของกลุ่มนิสิต นักศึกษา กรรมกร ชาวไร่ชาวนา และประชาชนท่ัวไปที่พยายามต่อต้านอานาจเก่าท่ีหมดอานาจไปจากเหตุการณ์ 14 ตลุ า 2516 และพยายามจะเข้ามามอี านาจอีกคร้ัง (เกรียงศักด์ิ เชษฐพัฒนวณิช, 2551, หน้า 184) การพยายามเดินทางเข้าประเทศไทยของจอมพลประภาส จารุเสถียรยังถูกต่อต้านจากกลุ่ม นักศึกษา หากแต่จอมพลถนอม กิตติขจรกลับเข้าประเทศในรูปแบบการบวชเป็นสามเณรท่ีสิงคโปร์ และเดินทางถึงประเทศไทยในวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ. 2519 และเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศ บางลาพู กรุงเทพฯ ขณะเดียวกันผู้เคยต่อต้านเผด็จการถนอม ในเหตุการณ์ 14 ตุลา คือ “นายวิชัย เกษศรีพงษา และนายชุมพร ทุมไม เป็นพนักงานการไฟฟูาส่วนภูมิภาค 2 คน ได้รณรงค์ออกปิด ประกาศประท้วงการกลับเข้าประเทศของจอมพลถนอม กิตติขจรเม่ือวันท่ี 24 กันยายน 2519 เวลา 02.00 น. ท่ีจังหวัดนครปฐมจนรุ่งเช้ามีคนพบศพถูกแขวนคอไว้กับประตูแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ถูกคนร้ายฆ่าตายและนาไปแขวนคอไว้ในที่สาธารณะ” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2551, หน้า 10) ด้วย เหตุดังกล่าวสถานะการณ์เร่ิมบานปลาย จนนาไปสู่การประท้วงของนักศึกษาธรรมศาสตร์เมื่อ 4 ตุลาคม 2519 ที่ลานโพธิ์ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกท้ังนักศึกษานาฎศิลป์ และการละคร ได้นาเหตุการณ์การเสียชีวิตของ 2 พนักงานการไฟฟูามาแสดงการละครล้อเลียนด้วยการแขวนคอ โดยนายอภนิ นั ท์ บัวหภักดี ซึ่งในช่วงเหตุการณ์นั้น ความกดดันทางการเมืองส่งผลให้รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช “อนุมัติคาสั่งให้กลุ่มต่าง ๆ ทั้งตารวจ ทหาร พร้อมอาวุธปิดล้อมธรรมศาสตร์ และระดมยิงเข้าไปใน กลมุ่ ผชู้ มุ นุมในรว้ั ธรรมศาสตรป์ ระมาณเวลา 05.30 น. ของวนั ท่ี 6 ตุลาคม 2519 โดยรัฐบาลกล่าวหา กลุ่มผู้ประท้วงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าเป็นพวกที่จะทาลายสถาบันชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ และนิยมฝักใฝุในลัทธิคอมมิวนิสต์” (ซาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2551, หน้า 12) และใน
55 เยน็ วนั เดยี วกันน้นั เกดิ การยึดอานาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นาโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะ พร้อมยังใช้ข้ออ้างการยึดอานาจรัฐบาลคร้ังน้ีด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของคอมมิวนิสต์ที่ต้องการทาลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกท้ัง รัฐมนตรีบางคนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนิสิต นักศึกษา จนทาให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ ตามที่รฐั ธรรมนูญกาหนดไว้ การรัฐประหารเมอ่ื เย็นวนั ท่ี 6 ตลุ าคม 2519 “สง่ ผลใหร้ ัฐธรรมนูญฉบบั 2517 คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติถูกยกเลิก และห้ามไมให้มีการชุมนุมทางการเมือง ควบคุมส่ือทุกประเภทและจับกุมผู้ เปน็ ปฏปิ กั ษ์ทางการเมือง” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักดิ์ ม่วงมณี, 2551, หนา้ 261) หลงั ยึดอานาจส่งิ ตามมา คือ คณะปฏิวัติ ไดก้ าหนดธรรมนญู การปกครองชว่ั คราวฉบับ 2520 ข้ึนบังคับใช้ และเสนอช่ือของพล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรีเพ่ือทาหน้าที่บริหาร ประเทศเป็นการชว่ั คราวก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบบั พ.ศ. 2521 และน้ันจึงเป็นจุดเร่ิมต้นของการเมืองไทย ภายใตร้ ะบอบประชาธิปไตยคร่ึงใบตามการเรียกขานของนักวิชาการไทย ยุคสมัยแหง่ ระบอบประชาธปิ ไตยครึ่งใบ พ.ศ. 2521 - 2535 2.7.9 การเมอื งในยคุ ของรัฐบาลพลเอกเกียงศกั ดิ์ ชมะนันท์ พ.ศ. 2521 - 2523 การช่วงชิงอานาจทางการเมืองระหว่างชนช้ันนาทหารกับนักการเมืองค่อย ๆ เริ่มก่อตัวข้ึน ถึงแม้จะผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่สิ่งที่เป็นร่องรอยให้เห็นในระบบการเมืองคือ เกิดกลุ่มทหารทาการรัฐประหารยึดอานาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมซ เมื่อปี 2519 โดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ และได้เชิญนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ข้ึนเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศช่ัวคราว แต่ด้วยเพราะนโยบายบริหารประเทศของนายธานินทร์ ค่อนข้างมีแนวโน้มจะนาไปสู่ความรุนแรง โดยเฉพาะ นโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงกลับส่งผลให้คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ต้องเข้ายึดอานาจรัฐบาลธานินทร์อีกครั้ง พร้อมกับยกเลิกธรรมนูญการ ปกครอง พ.ศ. 2519 และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง 2520 ซ่ึงขณะนั้นพลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ ได้รับมอบหมายให้ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวไปพรางก่อน จนกระทั่งมีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับถาวร 2521 ขึ้น และรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้เป็นเคร่ืองมือสืบทอด อานาจให้แกก่ ลมุ่ ทหาร และพลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ ในประเด็นที่เก่ียวกับเรื่องดังน้ี (โสภณ เพชร สว่าง และทนงศกั ด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 272 - 273) 1. เรื่องการให้ข้าราชการประจาเล่นการเมืองได้ในช่วงวาระ 4 ปีแรกเท่ากับว่าข้าราชการ ทหาร และพลเรือนสามารถดารงตาแหน่งทางการเมืองใน 4 ปีแรกได้ 2. เร่ืองเกย่ี วกบั ทม่ี าของสมาชิกวุฒสิ ภามาจากการเสนอชอื่ ของนายกรฐั มนตรี 3. เรือ่ งเกย่ี วกบั การกาหนดให้ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา จากประเด็นท้ัง 3 ข้อข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบซึ่งเป็นคาท่ี สะท้อนที่มาของ ส.ว. จากการแต่งต้ังข้าราชการประจาเล่นการเมืองได้ในช่วง 4 ปีแรก และที่มาของ ส.ส. จากการเลือกต้ังนั่นเอง เช่นกันเดียวกันพลเอกเกรียงศักดิ์ก็มีอายุราชการท่ีจะเกษียณส้ินเดือน ตุลาคม 2521 ซ่ึงประเด็นดังกล่าวน้ีย่อมเป็นเหตุจูงใจให้พลเอกเกรียงศักดิ์พยายามที่สืบทอดอานาจ ทางการเมือง และย่ิงไปกว่าน้ัน สถานการณ์ทางการเมืองขณะนั้นทาให้กลุ่มยังเติรก์ หรือกลุ่ม ทหารจปร. รุ่น 7 ขณะนั้นได้คอยให้การสนับสนุนพลเอกเกรียงศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี อีกท้ังพลเอก
56 เสริม ณ นคร สมาชิกคณะปฏิรูปการปกครองก็เป็นอีกคนหน่ึงท่ีพลเอกเกรียงศักด์ิวางตัวไว้ให้ดูแล กองทัพในตาแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดและมอบตาแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้กับพลเอกเปรม ติณสลานนท์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้ง 2 ตาแหน่งดังกล่าวมีความสาคัญแต่ท่ีสาคัญคือตาแหน่งผู้บัญชาการ ทหารบก (ผบ. ทบ.) ที่คุมกองทัพท้ังหมด นั่นหมายความว่า พลเอกเกรียงศักดิ์คงรับรู้และไว้วางใจ พลเอกเสริม ณ นครน้อยกว่าพลเอกเปรม ท้ังท่ีพลเอกเปรมขณะน้ันเป็นแม่ทัพกองทัพภาคท่ี 2 ซ่ึงดู แล้วมีความหา่ งไกลจากกองทพั ภาคท่ี 1 เม่ือการเลือกตั้งท่ัวไปเกิดขึ้นเม่ือ “วันที่ 22 เมษายน 2522 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2521 กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ทั้งท่ีสังกัดพรรคการเมืองและไม่สังกัดพรรคการเมืองได้สมัครลงแข้งชันในสนาม การเมืองจนได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจานวน 301 ท่ีนั่ง” (ณรงค์ สินสวัสด์ิ, 2539, หน้า 166) และจากนั้นก็ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพ่ือหย่ังเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ท้ายสุดมติที่ ประชุมตกลงเลือกพลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 15 ซึ่งตัวท่านเองก็ไม่ได้มา จาก ส.ส.จากกรณีดังกล่าว พลเอกเกรียงศักดิ์ ได้เชิญพรรคการเมืองต่าง 1 จัดต้ังรัฐบาลผสมข้ึนอัน ประกอบไปด้วย “พรรคเสรีธรรม พรรคเกษตรสังคม พรรคพลังใหม่ พรรคกิจประชาธิปไตย พรรค ชาติประชาชน พรรครวมไทยและสมาชิกอิสระ” (พรศักด์ิ ผ่องแผ้ว, 2544, หน้า 200) จากนั้นพลเอก เกรียงศักด์ิก็นาคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อสภาฯ เพื่อรับความไว้วางใจจากสภาก่อนเข้าทาหน้าที่ บริหารประเทศ แต่ทาหน้าท่ีบริหารประเทศได้เพียงปีเศษ ๆ รัฐบาลก็เผชิญกับความขัดแย้งภายใน กลุ่มระหว่างฝุายรัฐบาลกับรัฐสภา อีกทั้งปัญหาด้านราคาน้ามันในประเทศพุ่งสูงขึ้น รัฐบาลเองก็ ประกาศขึ้นราคาน้ามันจนทาให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงข้ึนไปอีก เกิดภาวะเงินเฟูอ เงินฝืดข้ึน และสง่ ผลกระทบภาพลกั ษณ์ของรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ทีไ่ มส่ ามารถแกป้ ัญหาได้ อีกด้านหน่ึงรัฐบาลพลเอกเกรียงศักด์ิยังถูกกดดันจากกลุ่มยังเติร์กหรือกลุ่มทหาร จปร. รุ่น 7 (ณรงค์ สินสวัสด์ิ, 2539, หน้า 167) ท่ีประกอบด้วยพันโทจาลอง ศรีเมือง พันโทมนูญ รูปขจร และพันโทพัลลภ ป่ินมณี ได้เรียกร้องให้พลเอกเกรียงศักดิ์ลาออก ผนวกกับฝุายค้านในสภาได้ยื่นขอ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซ่ึงในท้ายสุดพลเอกเกรียงศักด์ิได้ประกาศลาออกจากตาแหน่ง นายกรัฐมนตรเี มอื่ วนั ท่ี 29 กมภาพันธ์ 2523 จะกล่าวได้ว่าการเมืองไทยช่วง พ.ศ. 2520 - 2523 น้ันย่อมบ่งชี้ให้เห็นได้ว่าการเมืองยังขาด เสถียรภาพ เป็นระบบการเมืองแบบปิดมากกว่าที่จะเปิดระบบการเมืองให้เสรี ท้ังนี้เพราะอานาจ ทางการเมืองยังคงตกอยู่ภายใต้กลุ่มทหารเฉพาะกลุ่มเท่าน้ัน ที่มีอานาจโดยเฉพาะกลุ่มทาการ รัฐประหาร และที่สาคัญพลเอกเกรียงศักด์ิ นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาอย่างถูกต้องแล้ว ยังกลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทาจากการทารัฐประหารปี 2519 อีกด้วย ส่ิงน้ียิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ พยายามสืบทอดอานาจทางการเมือง การจะเข้าสู่ระบบการเมืองต้องมีการแข่งขันกันทางการเมือง ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเป็นเพียงเคร่ืองชี้วัดความนิยมของพรรคการเมืองจากประชาชน เท่านั้น ทง้ั หมดทั้งมวลไดน้ าการเมอื งไทยไปสู่ ประชาธิปไตยครึ่งใบ ในเวลาต่อมา 2.5.10 การเมอื งในยคุ ของรัฐบาลพลเอกเปรม ตณิ สูลานนท์ พ.ศ. 2523 - 2531 หลังจากการลาออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ ในปี พ.ศ.2523 แล้วนั้น พลอากาศเอกหะริน หงสกุล ประธานรัฐสภาในขณะนั้นได้ประชุมสมาชิกสภาผู้ และสมาชิกวุฒิสภาเพ่ือหารือในการหย่ังเสียงเพ่ือเลือกนายกรัฐมนตรีแทนพลเอกเกรียงศักดิ์ ซึ่ง
57 สมาชิกรัฐสภาได้เลือกพลเอกเปรม ติณสลานนท์ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีเสียง “สมาชิกส.ภาผู้แทน จานวน 195 เสียง วุฒิสภาจานวน 395 เสียงจากผู้เข้าร่วมประชุมจานวน 496 เสียง” (ณรงค์ สินสวสั ด์ิ, 2539, หน้า 167) อยา่ งไรก็ตามหลังก้าวข้ึนเป็นนายกรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 พลเอกเปรมได้ จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร และจะได้กล่าวถึง การบรหิ ารประเทศในภาพรวมในประเด็นท่ีสาคัญเพ่ือให้ทราบถึงการพัฒนาประเทศของพลเอกเปรม ดงั ต่อไปน้ี 1. บทบาททางการเมืองของพล.อ.เปรม ติณสลานนท์ คือ การก้าวดารงตาแหน่ง นายกรฐั มนตรีไดเ้ พราะรฐั ธรรมนญู ฉบับ 2521 ไม่ได้กาหนดใหน้ ายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. หรือมา จากการเลือกตั้ง และไม่จาเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพเสนอ บุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีผนวกกับการสนับสนุนของพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้แก่ พรรคกิจสังคม พรรคชาติไทย และพรรคประชาธิปัตย์ (ชัยวัฒน์ ม่านศรีสุข, 2554, หน้า 16) นอกจากน้ีรัฐบาลยัง สามารถกาหนดการให้โควต้าตาแหน่งทางการเมอื งสาคัญ ๆ ให้กับพรรคการเมืองต่าง ๆ อีกด้วย และ สามารถเลือกบุคคลเข้าไปเป็นสมาชิกนิติบัญญัติได้ เป็นผลทาให้รัฐบาลสามารถควบคุมรัฐสภาได้ อีก ท้ังยังเปิดโอกาสผู้บุคคลที่เห็นต่างทางการเมืองที่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้วยการออกนโยบาย 66/2523 ซึง่ เปน็ นโยบายการเมอื งท่ีใหโ้ อกาสผูท้ ่ีเขา้ ปาุ ออกมาร่วมกันพัฒนาประเทศโดยไมม่ ีความผิด 2. บทบาททางเศรษฐกิจของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มุ่งเน้นท่ีการส่งเสริมนโยบายทาง เศรษฐกิจการส่งออกเพื่อทดแทนการนาเข้า เน้นการพัฒนา และการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมใน ประเทศ 3. ไดร้ ับการสนบั สนนุ จากกองทพั เทคโนแครต และพรรคการเมือง แต่การสนับสนุนของกลุ่ม ดังกล่าวกลบั ทาให้เกิดความขดั แย้งกันขน้ึ โดยเฉพาะกรณีท่ีมีการต่ออายุราชการอออกไปอีก 1 ปี ของ พล.อ.เปรม ด้วยเหตุน้ีจึงส่งผลทาให้เกิดความไม่พอใจต่อกองทัพโดยเฉพาะพล.อ.อาทิตย์ กาลังเอก และกลุ่มยงั เตริ ์ก 4. จุดส้ินสุดอานาจทางการเมืองของรัฐบาลพล.อ.เปรมน้ัน เกิดการปฏิเสธการไม่ยอมรับ ตาแหนง่ นายกรฐั มนตรีในปี พ.ศ. 2531 กลา่ วไดว้ า่ รฐั บาลพล.อ.เปรม เป็นรัฐบาลที่กาลังเปลี่ยนผ่านจากระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ สู่ประชาธิปไตยเต็มใบ ซึ่งหมายถึงช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจาก การเลอื กตง้ั ส.ส. ให้มาจากการเลือกตั้ง แต่ท้ังนี้รัฐบาลพล.อ.เปรม ก็ยังเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการ เลือกต้ัง อีกท้งั เปน็ ชว่ งทขี่ า้ ราชการทหารสามารถเขา้ ดารงตาแหน่งทางการเมืองได้ ซึ่งประเด็นเหล่าน้ี ได้ส่งผลให้การบริหารการปกครองของรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์จากส่ือมวลชน นักวิชาการ โดยเฉพาะประเด็นท่ีมาของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ผนวกกับประเด็นความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่มนักการเมืองด้วยกันที่มีการช่วงชิงตาแหน่งทางการเมืองจนส่งผลให้มีการปรับเ ปลี่ยน คณะรัฐมนตรีบ่อยคร้ัง ซ่ึงการช่วงชิงตาแหน่งทางการเมืองในรัฐบาล พล.อ..เปรม กลับส่งผลกระทบ ต่อกลุ่มทหารท่ีเคยสนับสนุนรัฐบาลเร่ิมไม่ไว้วางใจรัฐบาล “โดยเฉพาะพล.อ.เปรม ได้ต่ออายุราชการ ตนเองในตาแหนง่ ผ้บู ญั ชาการทหารบกออกไป 1 ปีภายใต้การสนับสนุนของพล.ต.อาทิตย์ กาลังเอก” (โสภณ เพชรสวา่ ง และทนงศกั ด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 286)
58 จากการต่ออายุราชการของพล.อ.เปรม ได้ทาให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม ทหารยังเติร์ก ท้ังน้ีเป็นเพราะกลุ่มทหารยังเติร์กและพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้พล.อ.สัณฑ์ จิตร ปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบกก้าวขึ้นดารงตาแหน่งผู้บัญชาการทหารบกตามธรรมเนียมของ กองทัพบก ซึ่งกรณีดังกล่าวได้สร้างรอยร้าวจนนาไปสู่ความพยายามจะยึดอานาจรัฐบาลพล.อ.เปรม แต่ไม่สาเร็จกลายเป็นกบฎ 2524 หรือเรียกว่า “กบฏยังเติร์ก หรือกบฏเมษาฮาวาย 2524” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 288) อีกประเด็นหน่ึงที่ได้สร้างความไม่พอใจ คือในกรณีรัฐบาลไม่ยอมต่ออายุราชการให้กับ พล.อ.อาทิตย์ กาลังเอกออกไปอีกเป็นคร้ังท่ีสอง แต่ มอบตาแหน่งผู้บญั ชาการทหารบกแกพ่ ล.อ.ชวลติ ยงใจยุทธ จนกระทั่งเกิดความพยายามยึดอานาจรัฐบาลเมื่อวันท่ี 9 กันยายน 2528 ของกลุ่มคณะ ปฏิวัตภิ ายใต้การนาโดยพล.อ.เสรมิ ณ นคร พ.อ.มนูญ รูปขจร พล.อ.เกรียงศักด์ิ ชมณะนันท์ แต่การ กระทาดังกล่าวของคณะปฏิวัติไม่สาเร็จจึงถูกเรียกว่ากบฏทหารนอกราชการ ท่ีเรียกอย่างน้ันเพราะ นายทหารส่วนใหญเ่ ป็นนายทหารเกษียณอายรุ าชการแล้ว จากกรณีข้างต้นได้ขยายไปสู่ความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลพล.อ.เปรม จนต้องมีการ ปรับรัฐมนตรีหลายคร้ัง และประกาศยุบสภา ท้ายท่ีสุดก็นาไปสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งทาให้พรรค การเมืองต่างแข่งขันส่งผู้สมัครลงเลือกต้ัง ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทยและพรรคราษฎร ที่เป็นกาลังหลักของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยสนับสนุน พล.อ.เปรม ติณสลานนท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่แล้วก็เกิดความขัดแย้งภายในพรรคร่วม รฐั บาลขน้ึ อนั เน่อื งมาจากความขัดแย้งในกลุ่มการเมืองอันส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและนาไปสู่ จดุ สิ้นสดุ อานาจทางการเมอื งของรัฐบาลพล.อ.เปรม จากกรณีนายวีระ มุกสิกพงศ์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ถูกดาเนินคดีอาญาระหว่างอภิปราย หาเสียง ขอ้ หาหม่ินพระบรมเดชานุภาพ ในเวลาต่อมาความขัดแย่งกันเองของพรรคร่วมรัฐบาลพรรค ประชาธิปัตยข์ ัดแยง้ กับพรรคกิจสงั คม เก่ียวกับสมาชกิ พรรคประชาธิปัตย์ฝาุ ยรฐั บาลได้ร่วมมือกับฝุาย ค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อีกท้ังกรณีความขัดแย้งของสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองเก่ียวกับการเลือกกรรมการบริหารพรรคส่งผลให้นายวีระ มุกสิกพงศ์ ประกาศนาสมาชิก 31 คนแยกตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปตั้งกลุ่มการเมืองใหม่ชื่อว่ากลุ่ม 10 มกรา ภายหลังเหตุการณ์การประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นเม่ือวันที่ 29 เมษายน 2531 และ จัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 อันเป็นผลให้พรรคชาติไทยจัดต้ังรัฐบาลท่ีนาโดย พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวณั เมือ่ วนั ท่ี 4 สิงหาคม 2531 2.7.11 การเมอื งในยุคของรฐั บาลพลเอกชาติชาย ชณุ หะวณั พ.ศ. 2531 - 2534 การบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ของรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณะวัณมปี ระเด็นสาคัญ ๆ โดยเฉพาะ นโยบายทางเศรษฐกิจท่ีส่งเสริมให้มีการค้าการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นภายใต้นโยบายเปลี่ยน สนามรบใหเ้ ปน็ ตลาดการคา้ ซ่ึงจากประเด็นดังกล่าวทาให้ภาคเอกชนสนใจร่วมลงทุนในโครงการของ รัฐมากข้ึนท้ังในตัวเมืองส่วนกลางและต่างจังหวัด ได้แก่ “ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบการขนส่ง สาธารณะ และทา่ เรือแหลมฉบงั ซ่ึงกรณดี ังกล่าวส่งผลให้ราคาซ้ือขายท่ีดินและอสังหาริมทรัพย์สูงข้ึน
59 เกดิ การขายท่ีดิน เกิดเศรษฐีใหม่ในตา่ งจงั หวดั (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 308 - 309) น่นั หมายความว่า ระบบเศรษฐกจิ ไทยไดร้ ับอิทธิพลจากรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และขยายเพ่ิมมากขึ้นในยุครัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมที่เน้น การผลิตเพ่ือส่งออกจนนาไปสู่ “การคาดการณ์ว่าประเทศไทยกาลังจะกลายเป็นเสือตัวท่ีห้า (the fifth tiger) ตามประเทศอตุ สาหกรรมใหมใ่ นเอเชยี ตะวนั ออกและสิงคโปร์” (ชัยวัฒน์ ม่านศรีสุข , 2554, หนา้ 47) จากการบริหารภายใต้นโยบายเปล่ียนสนามรบให้เป็นสนามการค้าน้ัน ได้ส่งผลให้เกิดการ เคลื่อนไหวของกลุ่มส่ือสารมวลชน และนักวิชาการกล่าวหาว่ารัฐบาล ส่งเสริมให้บุคคลใน คณะรัฐมนตรีใช้อานาจในตาแหน่งหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนจาก สมาชิกในรฐั บาลเข้ามาเกบ็ เกีย่ วหาผลประโยชน์จากรฐั และภาคเอกชนได้เต็มท่ีโดยไม่มีการตรวจสอบ จากฝุายคา้ นและสมาชกิ รัฐสภาจากโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ต่าง ๆ อกี ด้วย เม่ือสถานการณ์ทางการเมืองมีการเคล่ือนไหวของกลุ่มการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลอยู่อย่าง ต่อเน่ือง ได้ปรากฏว่า เกิดความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บารุงข้ึน ส่งผลให้พล.อ.ชวลิต ต้องลาออกจากราชการทหารเข้าสู่ระบบการเมือง จัดต้ังพรรคความหวังให ม่ ปี 2533 พร้อมเข้าสู่ระบบการเมืองและจัดหาสมาชิกพรรคท่ัวประเทศ และกรณีดังกล่าวได้ส่งผลให้ เกิดข่าวลือว่ามี “กลุ่มทหารจะทาการปฏิวัติรัฐบาลจึงทาให้รัฐบาลต้องปรับคณะรัฐมนตรีด้วยการนา พรรคปวงชนชาวไทยมีพล.อ.อาทิตย์ กาลังเอกเป็นหัวหน้าเข้าร่วมรัฐบาล” (โสภณ เพชรสว่าง และ ทนงศกั ดิ์ มว่ งมณ,ี 2551, หน้า 312 – 313) ท้ายที่สุดพล.อ.สุจินดา คราประยูร ต้องออกมาเรียกร้อง ให้นายกรัฐมนตรีปลด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บารุง ออกจากรัฐมนตรี เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องปรับ คณะรัฐมนตรี โดยการทารัฐประหาร 2534 ทาใหก้ ารคืนสู่อานาจทางการเมืองของกลุ่มทหาร เหตุจากการปรับคณะรัฐมนตรีส่งผลให้เกิดข่าวลือว่าจะมีการปรับเปล่ียนตาแหน่งสาคัญ ๆ ในกองทัพจึงด้วยเหตุน้ีส่งผลให้เกิดรัฐประหารรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เม่ือวันที่ 23 กุมภาพนั ธ์ 2534 โดยคณะรักษาความสงบเรยี บร้อยแห่งชาตหิ รอื คณะ รสช. การยึดอานาจดังกล่าวกระทาช่วงเวลาที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณกาลังเดินทางด้วย เคร่ืองบินชี-130 จากสนามบินดอนเมืองเพื่อปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นช่วงเวลาท่ี บทบาททางการเมืองของพลเอกชาติชายได้สนิ้ สุดลงอย่างไมม่ ีการสญู เสียเลือดเน้ือหากกล่าวถึงสาเหตุ ท่ีนาไปสู่การรัฐประหารปีพ.ศ. 2534 ของคณะ รสช. คงเป็นเรื่องกับความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับ กองทัพจนนาไปสูค่ วามไม่ไว้วางใจกนั และกนั จนกระทงั่ การรัฐประหารก็เกิดขึ้นด้วยการนาสาเหตุของ การยดึ อานาจมาประกาศแก่สาธารณะ 5 ข้อคอื (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2550, หนา้ 28) 1. รฐั บาลมีพฤติการณ์ทที่ ุจรติ 2. ขา้ ราชการประจากดข่ีขม่ เหงโดยการใชอ้ านาจนกั การเมือง 3. อานาจรฐั บาลครอบงารัฐสภา 4. ความแตกแยกในสถาบนั ทหารนัน้ เกดิ ขนึ้ โดยรฐั บาล 5. การบิดเบือนคดลี ้มลา้ งสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ของรฐั บาล
60 ยคุ สมัยแห่งพรรคการเมอื งและการเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 - 2554 2.7.12 การเมืองในยุคของพลเอกสุจินดา คราประยูร กับเหตุการณ์พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ภายหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร 2534 เมื่อวันท่ี 9 ธันวาคม 2534 เกิดการจัดตั้ง พรรคการเมืองใหม่คือ พรรคสามัคคีธรรม มีนายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าเพ่ือนาพรรคเข้าสู่การ เลอื กตัง้ เมอื่ วันท่ี 22 มีนาคม 2535 ซึง่ ทาให้มีพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้รับเลือกตั้งประมาณ 11 พรรค แต่ไมม่ ีพรรคใดไดเ้ สยี งเกินกึ่งหนึ่งของจานวนสมาชิกสภาผู้แทนฯ ท้ังหมด จึงนาไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล ผสมข้ึน ซ่ึงพรรคสามัคคีธรรมได้รับการสนับสนุนจากพรรคต่าง ๆ ให้นาการจัดต้ังรัฐบาลโดยมีนาย ณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจากมีข่าวจากสื่อมวลชนว่า นางมากาเร็ต แท็ต ไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการตา่ งประเทศสหรฐั อเมริกาแจ้งใหป้ ระเทศไทยทราบวา่ “นายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็น บุคคลต้องห้ามไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ จึงส่งผลให้นายณรงค์ไม่ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 330 – 331) และน้ันกลับกลายเป็นโอกาสเปิดช่องอานาจทางการเมืองให้กับ พล.อ.สุจินดา คราประยูรได้เข้าสู่ ตาแหนง่ ทางการเมืองต่อไป เม่ือพล.อ.สุจินดาเข้าดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ทางการเมืองเกิดการรวมตัว ของทหาร บุคคล กลุ่มประชาธิปไตย และกลุ่มมวลชนเพ่ือต่อต้านรัฐบาล เช่น เรืออากาศตรีฉลาด วรฉตั ร นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) สหพันธ์นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย กลุ่มนักวิชาการเพ่ือประชาธิปไตย 15 สถาบันกดดันให้พล.อ.สุจินดา ลาออกจากตาแหนง่ นายกรฐั มนตรี ในช่วงวันที่ 17 - 23 พฤษภาคม 2535ตารวจเข้าปราบปรามประชาชนผู้ประท้วง ณ ถนน ราชดาเนิน มีช่ือเรียกว่าเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ในท้ายที่สุดเหตุการณ์คร้ังน้ันได้ยุติลงด้วยการ ยอมลาออกจากนายกรัฐมนตรขี องพล.อ.สจุ ินดา คราประยูร 2.7.13 การเมอื งใยยุคของรัฐบาลชวน หลีกภยั พ.ศ. 2535 - 2538 บทบาททางการเมืองของรัฐบาลชวน หลีกภัย พ.ศ. 2535 - 2538การเมืองหลังเหตุการณ์ พฤษภาคม พ.ศ. 2535 หลงั จากพลเอกสุจินดาลงจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยการลาออกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 บรรยากาศทางการเมืองมีกรเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองสองฝุายได้แก่ “ฝาุ ยพรรคการเมืองท่ีรว่ มรฐั บาลพลเอกสุจินดา คือพรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทยและพรรคราษฎร กับฝุายพรรครวมฝุายค้าน คือ พรรคความหวังใหม่ พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรมและพรรคเอกภาพ” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักดิ์ ม่วงมณี, 2551, หน้า 341) รัฐบาลชวนหลังเข้าบริหารประเทศนับต้ังแต่ 21 ตุลาคม 2535 สิ่งแรกที่ถือเป็นผลงานของ รัฐบาลนั่นคือ การแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนด้วยการเร่งรัดการปฏิรูปที่ดิน และออก เอกสารสิทธิเพื่อกระจายสิทธิการถือครองท่ีดินให้กับราษฎรผู้ยากไร้ และเกษตรกรที่ครอบครองท่ีดิน ของรัฐให้ได้เฉล่ียปีละ 4 ล้านไร่ ภายใต้ชื่อท่ีเรียกว่า “ส.ป.ก. 4 - 01” หรือสานักงานการปฏิรูปที่ดิน เพือ่ เกษตรกรรม หรอื เอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ซึง่ เป็นเอกสารสาคัญท่ีออกให้กับเกษตรกรเพ่ือทากิน (ลขิ ติ ธีรเวคนิ , 2547, หน้า 287) แตส่ ามารถโอน แบง่ แยก และตกทอดทางมรดกได้
61 นอกจากนีด้ า้ นเศรษฐกิจ รัฐบาลชวน หลีกภัย มีนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน เพ่ือต้องการให้ นักลงทุนสามารถนาเงินตราเข้าออกไทยจากต่างประเทศได้โดยไม่จากัด (ลิขิต ธีรเวคิน, 2547, หน้า 286) ท้ังนี้เพ่ือต้องการกระตุ้นการลงทุนภาคบริการในประเทศไทย โดยการลดความเข้มงวดทาง การเงิน และผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ก็เพ่ือเอ้ือต่างชาติต่อการนาเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยมี เปูาหมายใหไ้ ทยกลายเปน็ ศูนยก์ ลางทางการเงนิ ของภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ จากกรณีการเปดิ เสรที างการเงนิ ของรัฐบาลชวนน้ัน สว่ นหนึ่งคงมีความตอ้ งการทจี่ ะอนญุ าต ใหเ้ กดิ “ธนาคารพาณชิ ยป์ ระกอบกิจการวิเทศธนกิจข้ึนเพื่อทาธุรกรรมด้านเงินตราต่างประเทศโดยมี หน้าทีร่ บั ฝากและให้ก้ยู มื จากต่างประเทศและนามาปลอ่ ยกใู้ ห้ลูกค้าในประเทศ” (เฉลิมพงษ์ คงเจริญ, 2553, หน้า 58) ซง่ึ การประกาศนโยบายเสรีทางการเงิน และการเปิดกิจการวิเทศธนกิจ เป็นผลทาให้ เงินทนุ ไหลเข้าประเทศมากข้ึน พร้อมกับดอกเบ้ียภายในประเทศไทยสูงกว่าต่างประเทศ และอีกส่วน หนึ่งเป็นเพราะการใช้ระบบอัตราแลกเปล่ียนแบบตายตัวมาอย่างต่อเนื่อง ทาให้นักธุรกิจ และนัก ลงทุนได้กู้เงินจากต่างประเทศดอกเบ้ียถูก และใช้คืนในระยะส้ันเพียง 5 ปี แล้วนาเข้ามาปล่อยกู้เพ่ือ เก็งกาไรในประเทศไทยบ้าง นาไปลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์บ้าง บ้าน อาคาร และท่ีดินบ้าง ลงทุน ดา้ นภาคบรกิ ารบา้ งแต่ขณะเดยี วกนั น้ใี นปี พ.ศ. 2537 ธนาคารคารพาณิซย์มีการปล่อยกู้และการกู้ยืม ท่มี ากเกนิ ไป มีการลงทนุ ในอสังหาริมทรพั ย์ในปรมิ าณที่มาก จากเหตุน้ีระบบเศรษฐกิจไทยเร่ิมมีความ ผันผวนหรือเกิดความผิดปกติในระบบเศรษฐกิจ ซื้อมีการลงทุนมากกว่าการซ้ือยอดซ้ือ อสังหารมิ ทรัพย์ทีม่ ปี รมิ าณนอ้ ยกวา่ การใช้หนีค้ ืนลดลง การสนั่ คลอนทางการเมอื งกบั การสนิ้ สุดอานาจ การจัดต้ังรัฐผสมที่มีหลายพรรคเมือง ได้ส่งผลให้เกิดต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของ พรรคร่วมรัฐบาล จนกลายเป็นเกมการเมืองข้ึนในปี พ.ศ. 2537 โดยเฉพาะการช่วงชิงการคุมเกมใน สภาฯ ด้วยการท่ีฝุายค้านอันประกอบด้วย “พรรคชาติพัฒนา พรรคมวลชน พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎรจะขอยุบรวมเข้ากับพรรคกิจสังคมซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลชวน” (ณรงค์ สินสวัสด์ิ, 2544, หนา้ 219) ภายหลงั ทาใหร้ ฐั บาลชวน ตอ้ งปรับคณะรัฐมนตรีด้วยการปรับพรรคกิจสังคมโดยให้ออกจาก พรรคร่วมรัฐบาล อีกประเด็นพรรคความหวังใหม่ที่เล่นเกมต่อรองทางการเมืองเรื่องให้แก้ไข รฐั ธรรมนญู ฉบับ พ.ศ. 2534 ในมาตรา 198 ในประเดน็ ทีว่ า่ “มาตรา 198 ท่ีกาหนดให้สมาชิกสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกต้ัง และมาตรา 199 ท่ี กาหนดให้คณะผู้บริหารท้องถิน่ มาจากการเลือกตัง้ ” (ราชกิจจานุเบกษา, 2534) ในกรณีดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์นั้นต้องการให้กานันและผู้ใหญ่บ้านออกจากองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ซ่ึงกรณีดังกล่าวทาให้พรรคความหวังใหม่ และพรรคพลังธรรมประกาศถอนตัว ออกจากพรรครว่ มรฐั บาลอีกเช่นกนั ย่ิงไปกว่าน้ันฝุายค้านขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเร่ืองการแจก เอกสารสิทธิ 4 - 01 ในปี 2537 จากกรณีข้างต้น รัฐบาลชวน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนโยบาย ส.ป.ก. 4 - 01 ได้เพราะจานนต่อหลักฐานการอภิปรายฯ ของฝุายค้าน พร้อมกับถูกกดตันจากฝุาย คา้ นอย่างหนักจนตอ้ งประกาศเหตุผลในการยุบสภาในเดือนพฤษภาคม 2538 2.7.14 การเมืองในยคุ ของรฐั บาลบรรหาร ศิลปอาชา พ.ศ. 2538 - 2539
62 หลังการยุบสภาของนายชวน หลีกภัยในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 นายบรรหาร ศิลป อาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยถือโอกาสหาเสียงด้วยนโยบายปฏิรูป การเมือง และรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งโดยมีการสนับสนุนของนายเสนาะ เทียนทอง ในขณะนั้นพรรคการเมืองหลากหลายพรรคลง เข้าชิงเก้าอ้ีทางการเมือง แต่ก็ไม่มีพรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด แต่มี พรรคชาติไทยท่ีได้คะแนนเสียงมากกว่าทุกพรรคโดยได้ ส.ส. เข้าสภาฯ ซ่ึงก็เป็นผลทาให้ พรรคชาติไทยจดั ตั้งรฐั บาลผสม จากการต้ังรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรีท่ีมาจาก หลายพรรคที่รัฐบาลของนายบรรหารกลับสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ลงตัว และไม่เป็นเอกภาพทาง การเมืองภายในพรรคชาตไิ ทยทงั้ ๆ ที่ชนะการเลือกตั้ง พรรคร่วมรัฐบาลกลับเป็นฝุายต่อรองและเล่น เกมการเมืองได้เหนือกว่าพรรคชาติไทยในลักษณะท่ีว่าถ้าไม่ให้ตาแหน่งทางการเมืองก็ไม่ร่วมจัดตั้ง รัฐบาล ผลท่ีตามมาก็คือ รัฐบาลภายใต้การนาของพรรคชาติไทยจะมีจานวนเสียงในสภาผู้แทนฯ ไม่ มากพอที่จะให้การสนับสนุน และปอู งกันการขออภิปรายไมไ่ วว้ างใจในสภาฯ ได้ แต่ขณะเดยี วกันสภาพการณด์ งั กล่าว ได้ทาให้รฐั บาลบรรหาร ต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจท่ี มีเค้าลางเร่ิมกลายเป็นฟองสบู่ หมายความว่า “เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนกับฟองสบู่ คือโตอย่างรวดเร็วแบบบวม ๆ แต่ไม่ยั่งยืน เพราะเป็นการเติบโตโดยอาศัยทุนและการกู้ยืมจาก ตา่ งชาตมิ าลงทุนในอสงั หาริมทรพั ย์ ตลาดห้นุ เพอ่ื เก็งกาไร” (วทิ ยากร เชียงกลู , 2545, หน้า 59) การส่ันคลอนของรัฐบาลกบั กลยทุ ธท์ างการเมือง การจัดตั้งรัฐบาลผสมของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งบริหารประเทศถึงช่วงเมษายน พ.ศ.2539 ก็ถูกพรรคฝุายค้านอันประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติพัฒนา พรรคเสรีธรรม และพรรคเอกภาพขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แต่ก่อนจะถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ บรรหาร ศิลปอาชาได้เดินเกมการเมืองด้วยการ “จัดงานเล้ียงท่ีโรงแรมเมดิสันสาหรับพรรคร่วม รัฐบาลเพ่อื ทดสอบสมาชิกพรรคร่วมรฐั บาลว่าจะยังคงเหนียวแน่นหรือไม่” (โรม บุนนาค, 2553, หน้า 146) ซ่ึงในงานเล้ียง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จากพรรคความหวังใหม่ก็ได้ขึ้นร้องเพลง “เก็บตะวัน” ของศิลปินนักร้องช่ือ อิทธิ พลางกูร ทั้งน้ีเพื่อให้นายบรรหาร สบายใจในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ เมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันท่ี 18 - 20 กันยายน 2539 ซึ่งเหตุผลที่ขอเปิด อภิปรายฯ คือ รัฐบาลบรรหารบริหารราชการแผ่นดินไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นไปตามที่แถลงฯ นโยบายตอ่ รัฐสภา โดยญตั ติหรือประเด็นทอี่ ภิปรายไม่ไว้วางใจที่กดดันนายบรรหารมาก น่ันก็คือ\"การ ถูกตง้ั ข้อสงสัยวา่ เปน็ บคุ คลตา่ งดา้ ว (ลขิ ิต ธรี เวคิน, 2539, หนา้ 289) นับต้ังแต่เร่ิมอภิปรายไม่ไว้วางใจนายบรรหาร ผ่านไปได้ 3 วัน และจะถึงการลงมติเพื่อ ไวว้ างใจหรือไม่ไว้วางใจ ก็เกิดส่ิงท่ีไม่คาดคิดเมื่อ นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทากับนายโภคิน พลกุลนา หนังสือท่ีลงนามโดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บารุง เพื่อย่ืนให้นายบรรหาร ศิลป อาซา ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้กับนายบรรหารอย่างไม่ คาดคดิ จนนาไปสู่การต่อรองถึงระยะเวลาขอลาออก ซ่ึงนายบรรหาร ก็ตอบตกลงว่าจะลาออกแต่ขอ เวลา 30 วัน แต่ตกลงกันได้แค่ 7 วันเพ่ือแลกกับการลงคะแนนไว้วางใจจากสภาฯด้วยคะแนนเสียง ไวว้ างใจจานวน 207 เสียงจาก 391 เสยี ง พรอ้ มกบั ใหน้ ายบรรหารแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งท้ายสุด นายบรรหารได้แถลงขา่ วต่อสื่อมวลชนและประกาศตอ่ สาธารณชนวา่ “จะลาออกภายใจ 7 วันเพื่อเปิด
63 โอกาสให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหมโดยพรรคร่วมรัฐบาล6 พรรคจะเป็นแกนนาในการจัดต้ัง รัฐบาลตามเดิม” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 366) แต่เม่ือครบกาหนด 7 วัน นายบรรหาร ได้ประกาศยบุ แทนการลาออกทนั ที 2.7.15 การเมอื งในยุคของรฐั บาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พ.ศ. 2539 - 2540 นบั ตงั้ แต่การบรหิ ารราชการแผ่นดินในยุครัฐบาลบรรหาร ศลิ ปอาชา ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 27 กนั ยายน 2539 และกาหนดวนั เลอื กตัง้ ทว่ั ไปในวันท่ี 17 พฤศจิกายน 2539 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ มีพรรคการเมืองหลายพรรคต่างแข่งขันกันส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งผลปรากฎว่า “พรรคความหวัง ใหม่ชนะการเลือกต้ังโดยได้ ส.ส. จานวน 125 คน พรรคชาติพัฒนา 52 คน พรรคชาติไทย 39 คน พรรคกิจสังคม 20 คน พรรคประชากรไทย 18 คน พรรคเอกภาพ 8 คน พรรคเสรีธรรม4 คน พรรค มวลชน 2 คน พรรคพลังธรรม 1 คน และพรรคไท 1 คน” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักดิ์ ม่วงมณี, 2551, หน้า 369) ด้านพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็รู้ดีว่าตนได้คะแนนเสียงข้างมากท่ีไม่เด็ดขาดซ่ึง อาจจะเปน็ ปัญหาในการจดั ตงั้ รัฐบาลได้ไมต่ า่ งจากรัฐบาลท่ผี ่านมา นโยบายทางการเมอื งกบั กาเนดิ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 เมื่อพลเอกชวลิต ยงใจยุทธได้รับแต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 แล้วนั้นก็ได้นาคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อช้ีแจงนโยบายท่ีจะต้องนาไปบริหารราชการ แผ่นดินในวันท่ี 11 ธันวาคม 2539 ซึ่งนโยบายท่ีแถลงต่อรัฐสภานั้นประกอบไปด้วยนโยบายท้ังหมด 11 ด้าน ซ่ึงถือว่ามากกว่านโยบายของรัฐบาลบรรหารเสียอีกโดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษาและด้านการพัฒนาชนบทและการกระจายได้จะให้ความสาคัญมากเลยทีเดียว ขณะเดียวกันรัฐบาลพลเอกชวลิต เม่ือบริหารราชการแผ่นดินไปได้ 7 เดือนกว่า (มกราคม - สิงหาคม 2540) ปรากฎว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จานวน 99 คน ท่ีถูกจัดต้ังในสมัยอดีตรัฐบาล บรรหารนน้ั ได้ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ พร้อมกับมอบให้รัฐบาลนาเข้าสู่สภาผู้แทนฯ เพ่ือให้พิจารณา และผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันในช่วงเวลานั้นได้เกิดการเรียกร้องจากนักวิชาการและ นกั การเมอื งบางสว่ นใหน้ ายกรัฐมนตรีพลเอกชวลิต ดาเนินการปฏิรูปการเมืองโดยเร็วหลังประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยยุบสภาเพ่ือการคืนอานาจให้กับประชาชน และจัดให้มีการเลือกต้ังทั่วไป โดยเร็ว วิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 ส่กู ารสั่นคลอนรัฐบาล กล่าวคือ รัฐบาลพลเอกชวลิตได้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจท่ีกาลังจะถดถอยอย่างหนักต้ังแต่ปี พ.ศ. 2539 และเกิดวิกฤติข้ึนในประเทศ อันมีภาวะถดถอยต่อเน่ืองมาต้ังแต่สมัยรัฐบาลชวนและ รัฐบาลบรรหาร จนกระท่ังบริษัท มูด้ีส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส จากัด ได้จัดอันดับลดความน่าเชื่อถือ ทางการเงินของประเทศไทยลง ซึ่งทาให้รัฐบาลพลเอกชวลิต ต้องประกาศชะลอการลงทุนทาง เศรษฐกิจและลดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และหลังจากน้ันไม่นาน “นายจอร์จ โซรอส (George Soros มหาเศรษฐที ี่ร่ารวยจากการเก็งกาไรค่าเงินบาทในช่วงกุมภาพันธ์และพฤษภาคม พ.ศ. 2540” (อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์, 2542, หน้า 30) กล่าวได้ว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีกับนายเริง ชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ละความพยายามและก็มีความอดทนในการ แก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง “โดยการประกาศใช้มาตรการทางการเงินอย่างเคร่งครัด โดยพยายามจะลดสนิ เช่อื แก่
64 ธุรกิจเช่าซื้อและอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยสูง” (สมชาย ภาคภาสน์วิวัฒน์, 2547, หน้า 107) ท้ายสุดรฐั บาลพลเอกชวลติ ยงใจยุทธ จงึ จาเป็นตอ้ งประกาศลาออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 2.7.16 การเมืองในยคุ ของรฐั บาลชวน หลกี ภัย พ.ศ. 2540 - 2543 (สมัยที่ 2) ภายหลงั จากที่พลเอกชวลติ ยงใจยุทธ ได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี สภาผูแ้ ทนราษฎรในสภา ฯไดป้ รึกษาหารือกันเพ่ือเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซ่ึงพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกชวิต ยงใจยุทธ ต่างก็ เสนอพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หากแต่ว่าเสียงส่วนใหญ่กลับเลือกนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ข้ึนเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นท่ีผู้นาฝุายค้านในสภาฯ อีกทั้ง ยังเป็นพรรคท่ีครองคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับสองรองจากพรรคความหวังใหม่ในปี พ.ศ. 2539 นัง่ เอง อยา่ งไรกต็ าม รัฐบาลชวน หลกี ภยั หลังเข้ารบั ตาแหน่งก็เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง และได้ออกพระราชกาหนดจานวน 4 ฉบบั เพ่ือฟ้ืนฟูระบบเศรษฐกิจให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินใน ประเทศและสถาบันการเงนิ อย่างไรก็ดี ภายหลังปี 2540 การบริหารประเทศของรัฐบาลชวน ต้องประสบกับปัญหา ทางการเมือง และการบริหาร ที่ยังไม่คุ้นกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ซ่ึงเป็นฉบับใหม่และยังไม่มี การนาหลักการในรัฐธรรมนูญไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เช่น “ปัญหาเรื่องใดเป็นบทเฉพาะกาล เรื่องใด ต้อง นามาปฏิบัติทันทีปัญหาการเร่งออกกฎหมายและการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ” (วษิ ณุ เครอื งาม, 2554, หน้า 230 – 231) ซ่ึงจะว่าไปแล้วภารกิจลาดับต้น ๆ ท่ีรัฐบาลชวนจะต้องทา ในชว่ งแรกเรม่ิ กม็ ีอยู่ดว้ ยกัน 2 ประเดน็ นัน่ คอื 1. เพ่อื แก้ไขปัญหาวกิ ฤติการเงนิ และเศรษฐกิจเพอ่ื สร้างความเชื่อม่ันให้แก่ประชาชน และนัก ลงทนุ ทัง้ ในประเทศ และตา่ งประเทศ 2. สร้างกลไก และองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 กาหนดไว้ให้เป็นรูปธรรม และประกาศใชบ้ ังคบั ซึง่ ท้งั 2 ประเด็นข้างต้น ถือว่าเปน็ ความท้าทายของรัฐบาลชวน ทีจ่ ะตอ้ งดาเนินการให้เห็นถึง ความรู้ความสามารถของทีมบริหารภายใต้รัฐบาลผสมของนายชวน หลีกภัย ขณะเดียวกันความท้า ทายของรัฐบาลก็เผชิญกับปัญหาทางการเมืองมากข้ึน เม่ือพล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ สมาชิกสภาฯ ฝุายค้านได้ย่ืนขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในประเด็นความสามารถในการ บรหิ ารประเทศของรฐั บาลชวนท่ีไม่มีประสิทธิภาพ แต่ท้ายสุดสมาชิกสภาฯ กลับมติไว้วางใจรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี หากแต่ประเด็นไม่ไว้วางใจแล้ว ก็เกิดกรณี “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์รอง นายกรฐั มนตรีและรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทย ต้องวินิจฉัย ป.ป.ช. เร่ืองกทรัพย์สินและหนี้สิน ไมถ่ ูกต้องหรอื ปกปดิ ขอ้ ความบางเร่อื งจนท่านต้องลาออก” (วิษณุ เครืองาม, 2554, หนา้ 233) แต่อย่างไรก็ดี สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงปี 2541 - 2543 รัฐบาลชวนเองก็พยายามที่ จะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกจิ อยา่ งค่อยเปน็ ค่อยไป สภาผแู้ ทนฯ พรรความหวังใหม่ในฐานะฝุายค้านใน สภาได้เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภา เนื่องจากความไม่พอใจในรัฐบาลของนายชวน ในการ แก้ปัญหาเป็นไปอย่างล่าช้า อย่างไรก็ตามแต่การเรียกร้องของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กลับไม่มีผลต่อ
65 รฐั ขณะท่ีรฐั บาลชวนกลบั ดเู หมอื นไมส่ นใจในการเรียกร้องข้อเสนอดังกล่าว อีกทั้งการรอดพ้นจากการ อภปิ รายไมไ่ ว้วางใจในปี 2541 อย่างไรก็ตาม เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนฯ ในสภาเห็นว่าการทาหน้าที่ของตนไม่สามารถทาให้ รัฐบาลชวน พ้นจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ดังนั้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พรรคความหวังใหม่ อาศัยความอ่อนแอของรัฐบาลในช่วงน้ัน อีกท้ังฝุายค้านท่ีพยายามตรวจสอบการบริหารงานของ รฐั บาลอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ทา้ ยทส่ี ดุ แล้วการกดดนั ฝุายคา้ นก็เป็นผลจนทาให้รัฐบาลชวนประกาศยุขสภาใน เวลาต่อมา ยคุ สมัยประชาธปิ ไตยกับอานาจทนุ นิยม พ.ศ. 2544 - 2550 2.7.17 บทบาททางการเมอื งของรัฐบาล พ.ต.ท.ทกั ษณิ ชินวตั ร พ.ศ. 2544 - 2548 ภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ บรรยากาศทางการเมืองเร่ิม พลิกผันแปรเปลี่ยนเข้าสู่ประชาธิปไตยท่ีสมบูรณ์มากข้ึน กล่าวคือ ระบบการเมืองไทยอันมีสภา ผู้แทนราษฎรเป็นศูนย์กลางในปรึกษาหารือ พัฒนา และแก้ไขปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ให้กบั การเมอื งไทยมากข้นึ และยงั ถอื ว่ารฐั ธรรมนูญปี 2540 ถือเป็นฉบับที่ดีที่สดุ เท่าทีเ่ คยมีมาอีกดว้ ย 1. การก่อตวั ของพรรคไทยรกั ไทย ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ได้ส่งผลให้มีการส่งเสริม สิทธิ และ เสรีภาพของประชาชนกว้างขวางมากข้ึน กล่าวได้ว่า เป็นการเปิดโอกาสทางการเมืองท่ีกว้างขวาง กว่าเดิม จนทาให้เกิดการรวมตัวของนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ อดีตข้าราชการจานวนหนึ่ง ได้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, นายไชยวัฒน์ สินธุวงศ์, ร.ต.อ.ปุระชัย เป่ียมสมบูรณ์, พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา, นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, นายสุวรรณ วลัยเสถียร, นายคณติ ณ นคร, นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ และนายพันศักด์ิ วิญญรัตน์ ได้ร่วมกันจัดตั้งพรรคไทยรัก ไทยเพื่อลงเล่นการเมืองในปี พ.ศ. 2544 เป็นส่ิงที่สะท้อนถึงภาพใหม่ทางการเมืองท่ีประกอบไปด้วย บุคคลที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์หลายด้านเข้ามาร่วมทางานทางการเมือง รวมไปถึง บุคคลท่ีมาจากพรรคการเมืองอื่นที่มีประสบการณ์ทางการเมืองยอมท้ิงพรรคเดิมเข้ามาจัดต้ังพรรค ไทยรกั ไทยร่วมกับ พ.ต.ท.ทกั ษิณ ชนิ วัตร หากแตใ่ นช่วงเวลาเดียวกนั นั้นก็มนี ักการเมืองต่างพรรคต่างกลุ่มได้ย้ายและลาออกจากพรรค ที่ตนสังกัดเพื่อเข้าร่วมกับพรรค์ไทยรักไทยระหว่างก่อต้ังพรรค ได้แก่ “นายเสนาะ เทียนทองลาออก จากเลขาธิการพรรคความหวังใหม่พร้อมสมาชิกโดยรับตาแหน่งประธานท่ีปรึกษาพรรคไทยรักไทย นายสุวิทย์ คุณกิตติและนายสมศักด์ิ เทพสุทิน ลาออกจากพรรคกิจสังคมนายจาตุรนต์ ฉายแสง ลาออกจากเลขาธกิ ารพรรคความหวงั ใหม่ นายประจวบ ไชยสาสน์ นายจาลอง ครุทขุนทด นายประวัติ อุตตะโมต และนายโสภณ เพชรสว่าง จากพรรคชาติพัฒนา” (โสภณ เพชรสว่าง และทนงศักดิ์ ม่วงมณ,ี 2551, หนา้ 396) อย่างไรก็ดี การแข่งขันทางการเมืองในวันท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2544 อันประกอบด้วย พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติไทย พรรคชาติพัฒนาพรรคเสรี ธรรม พรรคราษฎร พรรคกิจสังคม พรรคราษฎร และพรรคถิ่นไทย (กองบรรณาธิการมติชน , 2548, หน้า 32) ส่งผลให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งด้วยท่ีน่ัง ส.ส. มากสุดจานวน 248 คน จากจานวน ส.ส. 500 คน พรรคประชาธิปตั ย์ 128 คน, พรรคชาติไทย 41 คน, พรรคความหวังใหม่
66 36 คน, พรรคชาติพัฒนา 29 คน, พรรคเสรีธรรม 14 คน, พรรคกิจสังคม 1 คน, พรรคราษฎร 2 คน และพรรคถิ่นไทย 1 คน (รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ุ, 2544, หนา้ 193) การมีจานวนท่ีน่ัง ส.ส. มากท่ีสุดของไทยรักไทย ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของการ เมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 - 2543 ที่สะท้อนภาพให้เห็นว่า ความเป็นสถาบันทางการเมืองกับ อุดมการณ์ทางการเมือง และนักการเมืองถูกลดความสาคัญลง แต่ให้ความสาคัญกับนโยบายของ พรรค ทุนของพรรคมากกวา่ จนกลายเปน็ ภาพลกั ษณ์ใหม่ทางการเมืองไทยในขณะน้ัน กล่าวได้อีกว่า จานวน ส.ส. 248 คน ของไทยรักไทยกลับเป็นจานวนเสียงที่มีไม่เกินคร่ึงของ จานวน 500 ในสภาฯ อันจะนาไปสู่การตรวจสอบการบริหารประเทศด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจใน สภาฯ ของฝุายคา้ น จากสถานการณด์ งั กล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเดินเกมการเมืองด้วยการจัดตั้งรัฐบาล ผสมระหว่างไทยรักไทย ชาติไทย และความหวังใหม่ขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544ซึ่งการจัด รัฐบาลผสมกลับทาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพยายามเสริมฐานอานาจในสภามากขึ้นด้วยการชักชวน สมาชิกพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทย ซ่ึงผลที่ได้คือ “พรรคเสรีธรรมนาโดยนาย ประจวบ ไชยสาส์น นาสมาชิกประกาศยุบรวมกับไทยรักไทยในปี พ.ศ. 2544,พรรคความหวังใหม่นา โดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ยุบรวมในปี พ.ศ. 2545 และพรรคชาติพัฒนานาโดยนายสุวัจน์ ลิปต พัลลภ ยบุ รวมในปี พ.ศ. 2547” (กองบรรณาธกิ ารมตชิ น, 2548, หน้า 38) จากปรากฏการณ์ยุบรวมพรรคดังกล่าวเป็นผลมาจาก “รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ไดก้ าหนดเกณฑส์ าหรับการแขง่ ขันการเลือกตงั้ ของ ส.ส. ในระบบบัญชีรายช่ือของพรรคการเมืองต้อง ได้คะแนนเสียงข้ันต่า 5 เปอร์เซ็นต์” (รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ุ, 2544, หน้า 194 - 195) นั่นหมายความ ว่าพรรคเสรีธรรมและพรรคถิ่นไทยได้ 2 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ซึ่งมีผลให้ต้องยอมย้ายและยุบพรรคเข้า ร่วมกับไทยรักไทยเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง และยิ่งไปกว่านั้น เง่ือนไขท่ีสาคัญท่ีสนับสนุนการ ย้ายและยบุ พรรคน้นั คือ “การย้ายพรรคเพราะนักการเมืองได้รับผลตอบแทนสูงทั้งท่ีเป็นเงินอุดหนุน การเลือกต้ัง เงินเดือนหรือผลตอบแทนที่ได้เป็นรายคาบรายเดือนและค่าตัวการย้ายพรรคที่จ่ายเป็น ก้อน พรอ้ มกับผลตอบแทนที่มิใช่ตัวเงิน ได้แก่ ตาแหน่งทางการเมืองท่ีได้รับ” (รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ุ, 2544, หนา้ 327) จากกรณดี ังกล่าวอาจจะกล่าวไดว้ า่ ผนึกฐานอานาจทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยในสภา ให้มคี วามเข้มแขง็ มากขึ้น ขณะเดียวกันการย้ายและยุบพรรคเล็กสู่พรรคใหญ่ย่ิงสะท้อนให้เห็นการให้ ผลตอบแทนท่ีเป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินอย่างชัดเจน แต่กลับเป็นการสร้างกลุ่มก้อนอานาจย่อยใน กลมุ่ กอ้ นอานาจใหญท่ างการเมอื งใหแ้ ก่พรรค์ไทยรกั ไทย นโยบายของพรรคไทยรักไทย นบั ต้งั แต่การกา้ วขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรขี อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ใต้ สโลแกน คดิ ใหม่ ทาใหม่ ของพรรคไทยรักไทย อันมีนโยบายท่ีใช้หาเสียงและได้นาปฏิบัติอย่างจริงจัง คือ นโยบายพักชาระหน้ี 3 ปีแก่เกษตรกรรายย่อย นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคนโยบายหน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ นโยบายจัดต้งั กองทนุ หม่บู ้าน นโยบายจัดต้ังธนาคารประชาชนนโยบายบ้านเอ้ืออาทร และนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่งนโยบายเหล่านี้ได้ทาให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ทางการเมืองท่ีไม่ ค่อยปรากฏในพรรคการเมอื งใดในอดตี ทีผ่ ่านมา ซง่ึ เม่ือพรรคไทยรักไทยนามาการหาเสียงจนชนะการ เลือกต้ังเมื่อวันท่ี 6 มกราคม 2544 และนอกจากน้ียังเป็นการสะท้อนให้เห็นอีกว่า นโยบายดังกล่าว
67 เปน็ ที่นิยมของประชาชนจนนกั วิชาการกลา่ วขานถึงนโยบายของพรรคไทยรักไทยว่า “นโยบายประชา นิยม อันเป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้กับนโยบายของรัฐบาลทักษิณที่คะแนนนิยมจากประชาชน” (เขียน ธีระวิทย์, 2554, หน้า 16 - 17) และนโยบายดังกล่าวกลับทาให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน กว่าเดิม ทัง้ ยังเปน็ การสรา้ งฐานเสยี งของพรรคไทยรักไทยให้มคี วามเขม้ แข็งข้นึ อกี ด้วย การสิน้ สดุ อานาจทางการเมืองของรัฐบาลพรรคไทยรกั ไทย เมอื่ การขน้ึ ดารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในนามพรรคไทยรักไทยก็ ไดเ้ ผชิญกบั ปัญหาทางการเมืองอันเป็นผลมาจากการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซ่ึงประเด็นท่ี นาไปส่ปู ัญหาทางการเมืองนั่นมีหลายประการด้วยกนั ดังน้ี ประการแรก เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพ้ืนท่ีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี พ.ศ. 2547 ท่ีประกอบไปด้วย “เหตุการณ์ปล้นปืนทหารท่ีค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ จังหวัดนราธิวาสเมื่อ วันท่ี 4 มกราคม 2547 เหตุการณ์สังหารหมู่ผู้ก่อความไม่สงบที่มัสยิดกรือเซะเม่ือวันที่ 28 เมษายน 2547 และเหตุการณ์สลายม็อบท่ีตากใบเมื่อวันท่ี 25 ตุลาคม 2547” (โสภณ เพชรสว่าง และทนง ศักด์ิ มว่ งมณ,ี 2551, หน้า 404 – 405) ประการท่ีสอง การนารูปแบบการบริหารประเทศภายใต้การรวมศูนย์อานาจไว้ที่บุคคลคน เดียวของรัฐบาล กล่าวได้ว่าการที่มีอานาจมากเกินไปนั้นกลายเป็นจุดอ่อนทาให้ฝุายตรงข้ามทาง การเมืองยกประเด็นน้ีขึ้นมาทาลายอานาจของพ.ต.ท.ทักษิณ และอีกประเด็นคือการนารูปแบบการ บริหารราชการแผ่นดินน้ันสามารถนาเอาหลักการของภาคเอกชนเข้าปรับใช้ได้ เพราะการบริหารใน รูปแบบเอกชนและรูปแบบข้าราชการนั้นมีรากฐานโครงสร้างการปกครองท่ีต่างกัน การจะทาให้ 2 ระบอบเขา้ กนั ได้จะต้องใช้เวลา และความละเอียดอ่อนในกระบวนการในการปรับใช้ ด้วยเหตุนี้จึงถูก นกั วิชาการวพิ ากษ์ และวิจารณก์ ารบรหิ ารของรฐั บาล พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเน่อื ง ประการท่ีสาม ความพยายามใชอ้ านาจรัฐแทรกแซงส่ือมวลชน อีกทั้งถูกโจมตีโดยสื่อมวลชน ที่เห็นต่างทางการเมืองที่คอยปลุกระดมมวลชนให้ออกมาต่อต้านรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ จนเป็น ทวี่ า่ ของวาทะทว่ี า่ “ระบอบทักษณิ ” ท่สี ื่อมวลชนต้งั ให้ ประการที่ส่ี การปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยคร้ัง ซึ่งการปรับคณะรัฐมนตรีบ่อยครั้งของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษณิ ในชว่ งปีพ.ศ. 2547 - 2548 ซึ่งเกิดมาจากความขัดแย้งภายใน จนกลายเป็นจุดอ่อนถูก ฝุายค้านนาโดยพรรคประชาธิปัตย์ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้อานาจรัฐ ออกนโยบายเออ้ื ประโยชน์แกพ้ วกพ้อง ประการท่ีห้า การเตรียมการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 กล่าวได้ว่าในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็น ระยะเวลาครบวาระ 4 ปีของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการเลือกตั้งท่ัวไปก็กาหนดขึ้นในวันท่ี 6 กุมภาพันธ์ 2548 ซ่ึงในช่วงนี้ก็มีการเคล่ือนไหวของพรรคการเมืองต่าง ๆ จานวน 38 พรรคแต่จะมี เพียงไม่ก่ีพรรคท่ีมีความโดดเด่นในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ได้แก่ “พรรคไทยรักไทยชูสโลแกน 4 ปี สร้างชาติให้แข็งแกร่งย่ังยืน อีก 4 ปีข้างหน้าผมจะทา, พรรคประชาธิปัตย์ชูสโลแกน 5 คาม่ันสัญญา แก้ปัญหาประชาชน, พรรคชาติไทย (เดิม) ชูสโลแกน สัจจะชาติไทย, และพรรคมหาชน ชูสโลแกน สวสั ดิการกา้ วหนา้ ” (กองบรรณาธกิ าร, 2547, หนา้ 41- 42) ประการที่หก เกิดความขัดแย้งในพรรค์ไทยรักไทยขึ้นเกี่ยวกับการแต่งต้ังคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในกรณีว่าด้วยกระบวนการสรหามีความไม่ถูกต้องตาม
68 กฎหมาย กรณีการใช้อานาจรัฐเข้าแทรกแซงคณะกรรมการการเลือกต้ัง กรณีการทุจริตในโครงการ ของรัฐ “กรณีการใช้อานาจในตาแหน่งทางการเมืองเอื้อประโยชน์แก่เครือญาติให้ได้ประโยชน์ และ กรณีการขายหุ้นจานวน 73,000 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีของ พ.ต.ท.ทักษิญ ชินวัตร” (โสภณ เพชร สวา่ ง และทนงศกั ด์ิ ม่วงมณี, 2551, หน้า 43) ซ่งึ กรณดี ังกลา่ วได้สง่ ผลใหร้ ัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เร่มิ สน่ั คลอน จนเกิดการตรวจสอบจากคณะ กรรมปอู งกนั และปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ (ปปช) อย่างจริงจังจนนาไปสู่การยื่นฟูองต่อศาลฎีกา ในกรณี “ทักษิณปกปิดไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหน้ีสินให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกาหนด” (วิษณุ เครืองาม, 2554, หน้า 251) และนาไปสู่การส่งเร่ืองให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยคะแนน 8 : 7 ว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 295 ในวันท่ี 3 สิงหาคม พ.ศ. 2544 (เจิมศักด์ิ ป่ินทอง, 2547, หนา้ 35) ประการที่เจ็ด เกิดข้อถกเถียงในประเด็นนายกฯ พระราชทานตามมาตรา 7 กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของรัฐบาลทักษิณส่อเค้าให้เห็นความขัดแย้งทางการเมืองในกลุ่มการเมืองพรรค ไทยรักไทย ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มวังน้าเย็น (เสนาะ เทียนทอง) ในกรณีการแต่งต้ัง พงษเ์ ทพ เทพกาญจนา นง่ั ตาแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แทนเสนาะ เทยี นทอง (กองบรรณาธิการมติชน, 2551, หน้า 141) ความพยายามของรัฐบาลทักษิณที่ จะลดทอนอานาจของกลุ่มวังน้าเย็นท่ีเป็นกลุ่มเดินเกมอานาจต่อรองกับกลุ่มทักษิณมากเกินไป จากกรณีดังกล่าว คือ จุดเร่ิมของความชัดแย้งทางการเมืองภายในกลุ่มการเมืองของกลุ่มทักษิณและ กลุม่ วังนา้ เยน็ ทเ่ี กิดจากการรวมตวั ของกลุม่ การเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2544 กล่าวอีกว่า กรณกี ลุ่มวังนา้ เย็น คือ กลุ่มท่ีมีผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองท่ีทิ้งร่องรอยความ ขัดแย้งทางการเมืองไว้ และตามด้วยความขัดแย้งทางการเมืองในปี พ.ศ. 2548 ระหว่างกลุ่มทักษิณ กับนายสนธิ ลมิ้ ทองกุล ผู้ก่อตั้งหนงั สือพิมพผ์ ูจ้ ดั การ และเจ้าของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ไม่ได้ รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทักษิณในประเด็น “การปลดนายวิโรจน์ นวลแข ออกจากกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ประเด็นเคเบิลทีวี เอเอสทีวี ประเด็นหุ้นทีพีไอ” (กองบรรณาธิการมติ ชน, 2551, หน้า 141) ประการที่แปด จากกรณีความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทักษิณกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ท่ีนาไปสู่การเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2549 ในกรณีดังกล่าวภายหลังที่รัฐบาล ทักษิณถูกกดดันทั้งจากสภาฯ และภาคประชาชนที่หลากหลายกลุ่ม ที่ไม่มีเพียงเฉพาะนักการเมือง นกั วชิ าการอาจารย์ ส่อื มวลชนเทา่ นนั้ ท้ายสุดรัฐบาลทักษิณประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อให้มีการเลือกต้ัง ใหม่โดย กกต. ทีน่ าโดย พล.ต.อ.วาสนา เพม่ิ ลาภ ประธาน กกต, นายปรญิ ญา นาคฉตั รยี ์, นายวรี ะชยั แนวบุญเนียร, พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กรรมการ กกต. (ขณะนั้นอยู่ต่างประเทศ) ได้ร่วมกัน กาหนดวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เปน็ วันเลอื กตัง้ และออกระเบียบใหม่ให้การจัดคูหาเลือกต้ัง ด้วย การปรบั เปลีย่ นการจดั คหู าเลือกตัง้ โดยใหผ้ ลู้ งคะแนนหนั หลงั ใหก้ บั เจา้ หน้าที่หรือหันหน้าเข้าผนังคูหา เลอื กตง้ั จนกระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชนประกาศคว่าบาตรการเลือกต้ังไม่ สง่ ผู้สมัครฯ ทัว่ ประเทศ (กองบรรณาธกิ ารมตชิ น, 2550, หนา้ 5)
69 จากการเลือกตั้งวันท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ได้ทาให้ปัญญาชนสายวิชาการเร่ิมต่อต้านกลุ่ม ทักษิณและคณะกรรมการการเลือกตั้งข้ึน เช่น ไชยันต์ ไขยพร ได้ฉีกบัตรเลือกตั้งในวันเลือกตั้งท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เพื่อแสดงถึงความไม่ชอบธรรมในการจัดการเลือกตั้งของคณะกรรมการเลือกตั้ง และความไม่ชอบธรรมทางการเมืองของระบอบทักษิณ ซึ่งไชยันต์ ไชยพร ได้กล่าวไว้ว่า “เราไม่ควร เอาตัวของเราไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับรองการกระทาความผิดทางการเมืองของผู้นา ” (ภญิ โญ ไตรสรุ ิยธรรมา, 2550, หน้า 164) ประการที่เก้า เกิดบทบาทของตุลาการท่ีมีต่อการเมืองนับต้ังแต่ปี พ.ศ. 2548 - 2549ความ ขัดแย้งการเมืองได้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและต่อกลุ่มทหาร โดยกรณีด้าน สังคม สะท้อนได้จากการเดินขบวนประท้วงของมวลชนในปี พ.ศ. 2548 และเหตุผลเบ้ืองต้นของการ เข้ามายึดอานาจของกลุ่มทหารล้วนเป็นประเด็นท่ีเอื้ออานวยต่อการยึดอานาจโดยเฉพาะช่วงที่ระบบ การเมืองไร้ความชอบธรรมทางการเมืองอันเกิดจากการใช้อานาจภายใต้รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรเช่น “การใชอ้ านาจแทรกแซงคณะกรรมการเลือกต้ังการแทรกแซงองค์กรทหารและตารวจการคอร์รับชัน เชิงนโยบายหรือใช้อานาจในตาแหน่งเอ้ือประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง การขายหุ้นไม่เสียภาษี หรือ ความพยามทาลายบทบาทการตรวจสอบของรัฐสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญเพ่ือลดบทบาทสถาบัน พระมหากษัตรยิ ์และทาลายระบบส่ือมวลชน” (วัชระ เพชรทอง, 2557, หน้า 16) อาจกล่าวได้ว่าการ ครองอานาจทางการเมืองและอานาจรัฐมากเกิน จนกระท่ังองค์กรอิสระใด ๆ ไม่สามารถเข้า ตรวจสอบไดก้ ารปกครองนั้นย่อมไม่เป็นไปตามหลักการของประชาธปิ ไตย หากพิจารณาจากข้อเสนอในงานเสวนาวิชาการปลายปี พ.ศ. 2549 ของ พิชิต ลิขิตกิจ สมบูรณ์ที่ได้ช้ีถึง “ต้นตอปัญหาการเมืองไทยปัจจุบัน คือ กลไกตรวจสอบถ่วงดุลของระบอบ ประชาธิปไตยไม่ทางาน จนเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง” (พิชิต ลิขิตกิจ สมบูรณ์, 2550, หน้า 145) การผูกขาดอานาจในสภาของรัฐบาลทักษิณจนกลไกสภาฯ ไม่สามารถ ถ่วงดุลและตรวจสอบได้ การเรียกร้องให้คณะตุลาการเข้ามามีบทบาทช่วยแก้ไขปัญหาทางการเมือง จึงถูกเสนอขึ้นภายใต้กระบวนการท่ีเรียกว่า “ตุลาการภิวัฒน์” อันหมายถึงการที่อานาจตุลาการเข้า ตรวจสอบการออกกฎหมายและการใชอ้ านาจของนักการเมือง การรฐั ประหาร : 19 กันยายน 2549 การต้ังสงสัยถึงใช้อานาจรัฐแทรกแซงการโยกย้ายประจาปี การแทรกแซงองค์กรอิสระ รวมถึงพฤติกรรมทางการเมืองของกถูกวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านจากสังคมท้ังกลุ่มปัญญาชนต่าง ๆ และได้ก่อตัวขยายแนวร่วมเป็นกลุ่มก้อนข้ึนกลายเป็นฝุายมวลชนการเมืองท่ีต่อต้านอานาจรัฐบาล ทักษิณข้ึน ส่งผลต่อความเคล่ือนไหวท้ังทางตรงและทางอ้อมต่อกลุ่มรัฐบาลทักษิณ ซ่ึงกระทบต่อ ภาพลกั ษณท์ างการเมืองของรัฐบาลทักษิณท่ีกาลังสั่นคลอน และนาไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2548 ถึงมิถุนายนพ.ศ. 2549 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถูกรัฐประหารโดยกลุ่มทหาร ภายใต้คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นาโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะฯ เมื่อวันท่ี 19 กันยายน 2549 อันมีข้ออ้างในการยึด อานาจคร้ังนี้ คือ 1. การคอรร์ ปั ชั่นในการบรหิ ารงานของรัฐบาล 2. เพราะสรา้ งความแตกแยกข้ึนระหว่างคนในชาติ
70 3. การแทรกแซงอานาจองค์กรอิสระโดยรฐั บาล 4. และมีพฤติกรรมทเ่ี ขา้ ขา่ ยหม่ินพระบรมเดชานุภาพ อย่างไรก็ตามแต่ข้ออ้างในการยึดอานาจดังกล่าวเป็นเพียงการยกขึ้นมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ทักษิณแต่ไมม่ ีคาตดั สินจากศาลปกครอง ท่ีชี้ชัดว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นจริง แต่การยึดอานาจในปี พ.ศ. 2549 เป็นเหตุให้เกิดการการแทรกแซงทางการเมืองโดยกองทัพทหาร แต่บทบาทของกองทัพ กลับถูกต่อต้านจากนักวิชาการ และกลุ่มภาคประชาชน ซึ่งกลับกลายเป็นว่าบรรยากาศของคนใน สงั คมไทยไมย่ อมรับการรัฐประหารในครั้งนี้ 2.7.18 การเมืองสู่การรัฐประหารอีกคร้ัง : 22 พฤษภาคม 2557 ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทย ได้เสนอชื่อย่ิงลักษณ์เข้าชิงตาแหน่ง นายกรัฐมนตรใี นการเลือกตั้งท่ัวไป ผลปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยได้ผู้แทนราษฎร 265 ที่น่ัง เป็นพรรค เดียวครองเสียงข้างมากในสภา ต่อมานางสาวย่ิงลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันท่ี 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ให้ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมพี ระบรมราชโองการแตง่ ต้ังในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554 อย่างไรก็ดี ในช่วงพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 มีการชุมนุมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษ กรรมแก่ผู้ซ่ึงกระทาความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของ ประชาชน ซ่ึงเดิมวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพ่ือไทย และแกนนา นปช. เป็นผู้เสนอร่าง แต่ภายหลังมีการแก้ไขในช้ันกรรมาธิการ นาโดยประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองประธานกรรมาธิการ และอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จนมีการคัดค้านจากพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นการเอ้ือประโยชน์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (คม ชัด ลกึ ออนไลน์, 2564) ซงึ่ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่สร้าง ความไม่พอใจให้กับผู้สนับสนุนการเมืองฝุายตรงกันข้าม กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของรัฐบาล ยง่ิ ลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยได้เผชิญกับการต่อต้านจากกลุ่มมวลชนจนนาไป จนนาไปสู่ความขัดแย้ง ทางการเมืองอีกคร้ังระหว่างฝุายรัฐบาล และกลุ่ม กปปส. ข้ึน ซ่ึงความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2554 - 2557 การประกาศยุบสภาฯ ของนายกรัฐมนตรีย่ิงลักษณ์ ชินวัตร ในวันท่ี 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ได้สะท้อนถึงวธิ ีการแกป้ ัญหาทางการเมืองและยังถือเป็นบทพิสูจน์ทางการเมืองของกลุ่มทักษิณที่ยอม ถอยจังหวะก้าวทางการเมืองเพ่ือให้บรรยายความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่ม กปปส. และกลุ่ม มวลชน กลุ่มนักคิด และประชาชนกับรัฐบาลลดทอนลง หากแต่ในช่วงจังหวะถอยทางการเมืองกลับ ไม่ได้ส่งผลให้ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองฝุายลดลง ทั้งน้ีเพราะการยุบสภาถือเป็นการ ยอมรับข้อเรียกร้องของกลุ่มคัดค้านเท่าน้ัน หากแต่ไม่ยอมลงจากอานาจทางการเมือง และยังคง รักษาการในตาแหน่งนายกรัฐมนตรีตอ่ ไปหลังยุบสภา จนกระทง่ั ศาลรัฐธรรมนูญมีคาวินิจฉัยในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ว่า “การใช้อานาจในตาแหน่งนายกรัฐมนตรีโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ตาแหน่งเลขาอิการสภาความมน่ั คงแหง่ ชาติ เปลี่ยนเป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” (ศูนย์ข้อมูล มติชน, 2557, หน้า 177 – 178) กล่าวคือการพ้นจากตาแหน่งฯ ของถวิล เปล่ียนศรี ซึ่งเป็น ขา้ ราชการระดบั สงู ในฝุายความมนั คง ได้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อานาจทางการเมืองแทรกแซงระบบ ราชการตอ่ ผ้คู ดิ ต่างทางการเมอื ง ทั้งน้ีด้วยเพราะรัฐบาลรักษาการไม่ยอมลาออกจากตาแหน่ง และจึง
71 เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกคร้ังนับจากการรัฐประหารวันท่ี 19 กันยายน 2549 ซ่ึงห่างกันเพียงแค่ 8 ปี กว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองข้างต้น ได้ทาให้กองทัพที่นาโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศกฎอัยการศึกเพ่ือเปิดทางให้กองทัพเข้ามาดูแลความปลอดภัย และกระจายกาลังในพ้ืนท่ี ท่ัวกรงุ เทพฯ รวมไปถึงสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ เพื่อให้ระงับออกอากาศ และได้เช่ือมต่อสัญญาณไป ทชี่ ่อง 5 อกี ทง้ั ได้จดั ตั้งศูนยอ์ านวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ขนึ้ การทารัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เกิดขึ้นเมื่อวันท่ี 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:30 น. โดยกองทัพไทยและสานักงานตารวจแห่งชาติ ซ่ึงภายหลังได้จัดตั้งเป็นคณะรักษาความสงบ แหง่ ชาติ (คสช.) อนั มี พลเอก ประยทุ ธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารโค่นรัฐบาลย่ิงลักษณ์ ซ่ึงมีนิวัฒน์ธารง บุญทรงไพศาลรักษาการ นับเป็นรัฐประหารครั้งท่ี 13 ใ นประวัติศาสตร์ไทย รัฐประหารดังกล่าวเกิดข้ึนหลังวิกฤตการณ์การเมืองซึ่งเร่ิมเมื่อเดือนตุลาคม 2556 เพื่อคัดค้านร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ และอิทธิพลของทักษิณ ชินวัตร ในการเมืองไทย หลังรัฐประหาร มี ประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ส้ินสุด ลงยกเว้นหมวด 2 คณะรัฐมนตรีรักษาการหมดอานาจ ตลอดจนให้ยุบวุฒิสภา จนเม่ือวันท่ี 22 กรกฎาคม 2557 มีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งให้มีสภานิติ บญั ญัตแิ ห่งชาติทาหน้าที่แทนสภาผแู้ ทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา วันที่ 21 สิงหาคม 2557 สภาฯ มีมตเิ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หลายประเทศประณามรัฐประหารครั้งน้ี ส่วน ในประเทศไทยมีการตอบสนองทัง้ ยนิ ดีและต่อต้าน อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ทหารแจกใบปลิวให้ประชาชนท่ีสัญจร ย่านอนสุ าวรยี ช์ ัยสมรภูมิ เนอ้ื หาระบุเหตุผลท่ี คสช. ยดึ อานาจ ดงั น้ี 1. มคี วามขัดแยง้ ทางความคดิ การเมืองอย่างรนุ แรงจนถงึ ระดับครอบครัวคนไทย 2. การใชอ้ านาจการปกครองแบบเดมิ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและการกระทาผดิ 3. แนวทางการเลือกต้ังในรูปแบบเดิมมีการต่อต้านอย่างกว้างขวาง ถ้าปล่อยไว้อาจเกิด ปญั หาว่นุ วายไม่รู้จบ 4. การชุมนุมทางการเมืองส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนทุกหมู่เหล่า ทาให้ ประชาชนแตกความสามคั คี 5. ปัญหาทจุ รติ 6. การบังคบั ใช้กฎหมายต่อปัญหาข้างต้น บังคับใช้ไม่ได้ทุกกลุ่ม ทาให้เกิดความหวาดระแวง เกลยี ดชงั กันในหม่ปู ระชาชนเป็นวงกว้าง มกี ารยยุ งปลุกป่นั ใหใ้ ชค้ วามรุนแรง 7. การบริหารราชการแผ่นดินไม่สามารถกระทาได้อย่างเด็ดขาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ของชาติ และความทกุ ข์ของประชาชน 8. ความผิดตอ่ องคพ์ ระมหากษัตริย์ไทย 9. การปลุกระดมมวลชนโดยไม่คานงึ ถึงผลประโยชน์ของคนสว่ นใหญ่ 10. มกี ารจัดตัง้ และใช้กองกาลังตดิ อาวธุ (ผจู้ ดั การออนไลน์ คสช., 2564) ภายหลังการรัฐประหารในปี 2557 ได้มีการประกาศใช้รฐั ธรรมนูญฉบับช่ัวคราว 2557 และมี รัฐบาลที่นาโดยพลเอกประยุทธ์ จนั ทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศชั่วคราวก่อน อีกทั้งยัง
72 มสี ภานิบญั ญัติแหง่ ชาติ (สนช.) ทาหน้าท่ีด้านนิติบัญญัติไปการเลือกต้ังใหม่ ซึ่งนับต้ังแต่ปี 2557 เป็น ตันมา รัฐบาลเฉพาะกาลของพลเอกประยุทธ์ได้ใช้อานาจพิเศษในมาตรา 44 ในการจัดการ และ บริหารประเทศในขณะน้ัน ซ่ึงลายละเอียดมีใจความดังน้ี “มาตรา 44 ในกรณีท่ีหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจาเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง (การส่งเสริมความ สามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพ่ือป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการ กระทาอันเป็นการบ่อนทาลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจ ของประเทศ หรือราชการแผ่นดินไม่ว่าจะเกิดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอานาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทาการใด ๆ ได้ไม่ว่าการกระทาน้ันจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทาง บริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคาส่ัง หรือการกระทา รวมท้ังการปฏิบัติตามคาสั่ง ดังกล่าว เป็นคาสง่ั หรือการกระทา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐธรรมนูญน้ีและเป็น ท่ีสุด ทั้งนี้เมื่อได้ดาเนินการดังกล่าวแล้วให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว” (ราชกิจจานเุ บกษา ,2557) จากนั้นได้การมอบหมายให้มีการจัดทาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ท่ีกาหนดให้มี คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการสรรหามาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติรวมจานวน 36 คน อย่างไรก็ตามแต่ร่างดังกล่าวก็ไม่ ผ่านสภาปฏิรูปแห่งชาติ จนกระท่ังเม่ือวันที่ 6 เมษายน 2560คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้แต่งตั้ง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ จานวน 21 คน โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ุ เป็นประธานและทา หน้าท่ีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จนนาไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร 2560 ถือว่าเป็น รฐั ธรรมนญู ฉบบั ที่ 20 ของประเทศไทย อย่างไรก็ตามประเด็นท่ีมีความพิเศษในรัฐธรรมนูญและรัฐบาลเฉพาะกาล นั่นคือ มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนั้นได้เป็นเคร่ืองมือในการบริหารจัดการประเทศของพลเอกประยุทธ์ใน เรื่องหลายเร่ืองกลับทาให้สถานการณ์ของประเทศสงบลงได้ ได้แก่ เร่ืองการชุมนุม การศึกษาของ สถาบนั การศึกษา การค้า และเรื่องทางศาสนาพุทธ การเข้ามาของรัฐบาล คสช. ได้มีนักหนังสือพิมพ์ และนักวิจารณ์การเมืองหลายคนเชื่อว่าประยุทธ์ตั้งใจครองอานาจต่อโดยใช้การเปลี่ยนแปลงใน รัฐธรรมนูญปี 2560 ผลเป็นไปตามคาด โดยรัฐธรรมนูญกาหนดให้วุฒิสภามาจากการคัดเลือกของ คสช. และมีอานาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี 5 ปี มีใจความสาคัญที่ว่า พรรคการเมืองสามารถเสนอ ช่ือผู้ที่มิใช่ สส. และมิใช่สมาชิกพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีได้ อย่างไรก็ตามการร่างรัฐธรรมนูญ ในปี 2560 ยังถูกมองว่าเป็นการปูพรมให้รัฐบาลของพลเอก ประยุทธ จันโอชา เข้ามารับตาแหน่งอีกสมัย และผลก็เป็นไปตามคาด หลังการเลือกต้ังทั่วไปปี 2562 มีการต้ังรัฐบาลผสมท่ีมีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนา ใน การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันท่ี 5 มิถุนายน สมาชิกวุฒิสภาทุกคนเลือกประยุทธ์เป็น นายกรัฐมนตรีต่อ (ZHelen Regan and Kocha Olarn, CNN., 2562) เกือบท้ังหมดมาจากการ แต่งตั้งของ คสช. เช่นเดียวกับมีพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 19 พรรค ซ่ึงรวมพรรคเล็กพรรคน้อยหลาย พรรคที่ไดป้ ระโยชน์จากการตคี วามกฎหมายเลือกต้งั ของ กกต. นานถงึ 44 วัน โดยประเด็นน้ีได้ถูกนัก วิจารณ์หลาย ๆ ท่านได้ออกมาให้ความเห็นว่าเป็นการทาลายมารยาททางการเมืองของการจัดตั้ง
73 รัฐบาลทีว่ ่าดว้ ย การจัดต้ังรัฐบาลจะต้องหลีกทางให้แก่พรรคที่มีเสียงรับเลือกต้ังอันดับ 1 เป็นผู้จัดตั้ง รัฐบาลก่อน อย่างไรก็ตามแต่การสนับสนุนให้ประยุทธ์จัดต้ังรัฐบาลก็ยังดาเนินต่อไป อีกท้ังยังมี พันธมิตรทางการเมืองท้ังในศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง กกต. และ คณะกรรมการปูองกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้ายทส่ี ุดโดยการจัดต้งั รฐั บาลผสมของพลเอก ประยุทธ์ก็เปน็ ผลสาเร็จและได้เป็นนายกรัฐมนตรตี อ่ ไป สรปุ ปัญหาการปกครองยคุ ประชาธปิ ไตย (พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน) อาจอธิบายเป็นประเด็นได้ ดงั ต่อไปน้ี ปญั หาการพัฒนาของระบอบประชาธปิ ไตย จะเห็นไดว้ า่ ตั้งแต่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลง ระบอบการปกครองพ.ศ. 2475 เปน็ ตน้ มา การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังไม่พัฒนา ไปเท่าท่ีควรจะเป็น สาเหตุหลัก ๆ อาจเป็นเพราะปัญหาด้านการปกครองท่ีไม่มีเสถียรภาพเท่าที่ควร จะเปน็ กลา่ วคอื เหตุเพราะประเดน็ แรก คอื ชนช้นั ปกครองได้ถูกแยก ออกเป็น 2 ฝุาย คือฝุายอนุรักษ์ นิยม (ฝุายนิยมเจ้า) และฝุายแนวคิดใหม่ (คณะราษฎร) ซึ่งส่ิงน้ีเป็นเพียงจุดเร่ิมต้นของการช่วงชิง อานาจบริหารของบรรดานักปกครองท้ังหลาย ประเด็นต่อมา การเข้ามาของทหารท่ีเข้ามายึดอานาจ บ่อยคร้ังจนทาให้ประชาธิปไตยเติมโตไปอย่างช้า ๆ มีเพียงยุคหลัง ๆ เท่าน้ัน ท่ีทหารว่างเว้นจาก การเมือง แต่ก็ไม่ปลอ่ ยใหป้ ระชาชนได้ปกครองซะทีเ่ ดยี ว ยงั คงมีสว่ นร่วมในการปกครองอยู่หา่ ง ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามแต่ในการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้ระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน การเข้ามาของผู้นาในช่วงต่าง ๆ นั้นท่ีเข้ามาบริหารประเทศมิได้เข้ามาเพ่ือบริหาร ประเทศชาติให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และเพ่ือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในช่วงเวลาน้ัน ๆ แต่ด้วย เหตุผลที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดท่ีขึ้นมามีบทบาทในการบริหารประเทศก็ล้วนแล้วแต่จะมาหา ผลประโยชน์ให้กับพวกพ้องหรือหรือกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มเท่าน้ัน ซ่ึงจะสังเกตได้จากการกาหนด นโยบาย หากมองลึกลงไปถึงผู้ท่ีได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลคงไม่พ้นนักการเมือง และนายทุน กลุ่มผลประโยชน์ และผู้มีอิทธิพล ท่ีให้การสนับสนุนพรรครัฐบาล ในขณะเดียวกันฝุายตรงข้ามทาง การเมอื ง ก็พยายามหาทางที่จะล้มล้างรัฐบาลเพื่อที่ตนเปิดทางให้ตนเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ด้วย เช่นกนั พอเกดิ เหตุทีร่ นุ แรงมากขนึ้ การเข้ามาปฏิวตั ขิ องทหารทต่ี ามมาด้วย ด้วยสาเหตุนี้ทาให้เกิดผล กระทบท่ตี ามมาก็ คอื การพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยหยุดชะงักลงไป อีกทั้งยังส่งผลไปถึงความ สงบสุขของประเทศชาติ และความอย่ดู ีกนิ ดีของประชาชนอกี ด้วย ประเดน็ ปญั หาต่อมา สบื เนื่องมาจากข้างต้นคือ การไม่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของประชาชน ชาวไทย กลา่ วคือ การสืบเนื่องจากอดตี ที่มกี ารแบ่งฝาุ ยกันของชนชนั้ ปกครอง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ การแตกสามัคคีของคนในชาติ โดยส่วนนั้นเป็นเพียงชนชั้นผู้ปกครองเท่านั้น พอมีถึงยุคสมัยอานาจ เผด็จการท่ีอยู่เหนือระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2500 – 2520 ประชาชน และเหล่าคณาจารย์ นักศึกษาเริ่มเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการวิจารณก์ ารทางานของรัฐบาล และแสดงออกทางการเมืองมากข้ึน จนมาถึงปัจจุบัน ประชาชนเริ่มมีการแบ่งฝักแบ่งฝุายชัดเจนมากข้ึน เหตุเพราะวิวัฒนาการการมีส่วน ร่วมได้ส่งเสริมให้ประชาชนสนใจการเมือง และความเจริญของประเทศ ซ่ึงส่งผลต่อความกินดีอยู่ดี ของประชาชน โดยการแสดงออกย่ิงชัดเจนมากในด้านมีการเลือกสนับสนุนพรรคการเมืองที่ตนเอง มุ่งหวังให้เป็นรัฐบาลได้เข้าไปมีบทบาททางการเมือง ด้วยสาเหตุนี้จึงส่งผลทาให้การแบ่งฝักแบ่งฝุาย เกดิ ขน้ึ มา เกิดความแตกสามัคคีของคนในชาติตามมาด้วยสรุปการเปลี่ยนแปลงระบอบสิ่งท่ีทาให้เกิด
74 การเปล่ียนแปลงการปกครองปี 2475 มีสาเหตุมาจากหลายด้านท่ีซับซ้อน และด้วยสาเหตุท่ีนาไปสู่ การเปลยี่ นแปลงของประเทศสยามอิทธิพลจากโลกตะวันตกที่เข้ามาล่าอาณานิคมของเหล่าทางยุโรป ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งท่ีทาให้เกิดสงครามโลกคร้ังที่ 1 ท้ังน้ีด้วยบริบทของประทศสยามที่กาลังพัฒนา ประเทศภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงจาเป็นต้องเปล่ียนแปลงไปสู่ภาวะความทันสมัยมาก ขน้ึ และนี่คือสง่ิ ทจี่ ุดประกายอันเปน็ สาเหตุของการเปล่ียนแปลง การปกครอง 2475 โดยมีสาเหตุดังน้ี 1) เกิดจากกระแสนิยมการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยท่ีแพร่กระจาย 2) เกิดจากสภาพ ภาวะเศรษฐกิจตกต่า 3) เกิดจากการล่าอาณานิคมทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของประเทศ มหาอานาจ และอาจสรุปการเมืองการปกครองครองในระบอบประชาธิปไตยได้คร่าว ๆ โดยแบ่งเป็น ยุคได้ดงั ตอ่ ไปนี้ การปกครองไทยในยุคประชาธิปไตย (หลัง พ.ศ. 2475) ช่วงแห่งการช่วงชิงอานาจของ 2 ข้ัว อานาจ ระหว่างกลุ่มอานาจใหม่โดยคณะราษฎร และกลุ่มอานาจเก่าโดยกลุ่มนิยมเจ้า ในปี พ.ศ. 2475 – 2500 เป็นผลทาให้การเมืองของไทยอยู่ในช่วงการช่วงชิงอานาจกันท้ัง 2 ฝุาย ทาให้ การเมืองการปกครองของไทย รวมไปถึงการพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างช้า ๆ และขาดเสถียรในการ ปกครองเปน็ อย่างยงิ่ ยุคสมัยอานาจเผด็จการท่ีอยู่เหนือระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. 2500 – 2520 ช่วงแห่งการ ตื่นตัว ระหว่างปี พ.ศ. 2500 – 2520 ยุคแห่งการตื่นตัวทางการเมืองของ นิสิต นักศึกษา อาจารย์ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง และนักเรียนท่ีมีความคิด กล้าแสดงออก ที่ออกมาต่อต้านกับอานาจ เผด็จการ จนผลักดันให้เกิดการเรียกร้องของกลุ่มต่าง ๆ ในด้านสิทธิ เสรีภาพ ตามแนวทางของ ระบอบประชาธิปไตย จนทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ กันระหวา่ ง 2 อุดมการณ์ คอื เสรนี ยิ ม กบั สังคมนิยม ยุคสมยั แห่งระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ พ.ศ. 2521 – 2535 ช่วงแห่งการเกิดประชาธิปไตย แบบคร่ึงใบ ระหว่างปี พ.ศ. 2521 – 2543 อาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเวลาท่ีมีการเมืองท่ีเข้มข้นเข้ามา แทนท่ี และมีความตืน่ ตัวของนักการเมือง นิสิต ประชาชนทั่วไป หันมาจนใจการเมอื งมากข้ึน ด้วยการ ทเี่ ป็นประชาธปิ ไตยคร่งึ ใบ จึงทาใหก้ ารวพิ ากษ์ วิจารณ์ การทางานของรัฐบาล เป็นไปอย่างมีเสรีมาก ข้ึน มีการกระจายอานาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้นมีรัฐธรรมนูญท่ีเอื้อต่อประชาชนมากข้ึน นักการเมืองยัง เคารพกติกาทางการเมืองเปิดโอกาสให้ผู้มีเสียงข้างมากอันดับ 1 ในรัฐสภาได้จัดตั้งรัฐบาลก่อน และ ยุบสภาเม่ือเหน็ ว่ารฐั บาลทาหน้าท่ีตอ่ ไปไม่ได้แลว้ ยุคสมัยแห่งพรรคการเมืองและการเลือกต้ัง พ.ศ. 2535 – 2554 ช่วงแห่งการเลือกตั้ง หลังผ่านการเมืองในยุคประชาธิปไตยคร่ึงใบมา บรรยากาศการเมืองท่ีเต็มไปด้วยพรรคการเมือง บรรยากาศแห่งการแขง่ ขัน และการรณณรงค์ให้ประชาชนใช้สิทธิในการเลือกตั้ง ประชาชนโดยทั่วไป สนใจการเมืองมากข้ึน และจับตาดูการทางานของรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากยุค ประชาธปิ ไตยคร่ึงใบ ท้ังน้ีประเด็นท่ีประชาชนให้ความสนใจอีกประเด็นคือ 1) เพ่ือแก้ไขปัญหาวิกฤติ การเงินและเศรษฐกิจเพ่ือสร้างความเชื่อม่ันให้แก่ประชาชน และนักลงทุนท้ังในประเทศ และ ต่างประเทศ 2) สร้างกลไก และองค์กรอิสระ ประเด็นน้ีแสดงให้เห็นว่า การว่างเว้นจากการเมือง ทหารทลี่ ดบทบาทลงไป ยุคสมัยประชาธิปไตยกับอานาจทุนนิยม พ.ศ. 2544 – 2550 ช่วงแห่งการมีประชาธิปไตยที่ เดินไปพร้อมกับทุนนิยม พ.ศ. 2544 – 2550 เป็นช่วงแห่งการพัฒนาประเทศไทย ทั้งการเมือง
75 เศรษฐกิจ สงั คม เป็นอย่างมากมีการเจรญิ เติมโตของธุรกิจรายยอ่ ย และรายใหญ่เป็นจานวนมาก ด้วย การบริหารแบบเอกชนที่ประยุกต์ใช้กับระบบราชการประเทศไทยในช่วงน้ีเป็นท่ีรู้จักของชาวโลกมาก ข้ึน อกี ท้งั เปน็ การรวมตัวของผทู้ ่ีมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศจนพูดได้ว่ารัฐบาลในยุค นี้มีความเข้าแข็งมากที่สุดท่ีเคยมีมา แต่ด้วยความเข้มแข็งกลับกลายเป็นดาบ 2 คม ท่ีก่อให้เกิดการ ทจุ ริตท่ีมากขึน้ ซึง่ เปน็ จดุ อ่อนใหฝ้ าุ ยตรงขา้ มทางการเมืองนาการรฐั ประหารเขา้ มายึดอานาจอกี คร้งั
บทที่ 3 หลกั พุทธธรรม การศึกษาวิจยั เร่ือง การประยกุ ต์ใช้หลกั พทุ ธธรรมกับการปกครองไทย ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า โดยได้รวบรวมท่ีปรากฏเปน็ หลักฐานอยใู่ นพระไตรปิฎก และงานวิจัยของนักวิชาการหลาย ๆ ท่านซ่ึง มีรายละเอยี ด ดงั ทีผ่ ้วู จิ ัยจะไดน้ าเสนอตอ่ ไปน้ี โดยวางหลกั ธรรม ไว้ 3 ประการ ดังน้ี 3.1 แนวคิดเก่ียวกบั หลกั ทศพธิ ราชธรรม 10 3.2 แนวคิดเกีย่ วกบั หลักสปั ปุรสิ ธรรม 7 3.3 แนวคิดเกี่ยวกับหลักอปรหิ านิยธรรม 7 3.4 แนวคดิ เกี่ยวกบั หลกั ราชสงั คหวัตถุ 4 3.1 แนวคดิ เกยี่ วกับหลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ 3.1.1 ความเปน็ มาของหลกั ทศพธิ ราชธรรม ทศพิธราชธรรมนี้ได้มีท่ีมาจากในคัมภีร์ชาดกช่ือว่า มหาหังสซาดก แปลว่า ชาดกเร่ืองพญา หงส์ แตน่ ามาสรุปเนอ้ื ความโดยยอ่ ตามที่พระอรรถกถาจารย์ท่านไดเ้ ล่าไวด้ งั นี้ ในครั้งอดีตกาล ณ เมอื งพาราณสี พระเจ้ากรุงพาราณสีมีพระนามวา่ สังยมะ มีพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่า พระนางเขมา ในกาลน้ันพระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นหงส์ทอง มีบริวารเป็นอัน มากมายอาศยั อยู่ ณ ท่ีภูเขาคิชฌกูฎ พระยาหงส์โพธิสัตว์มีพระนามว่า ธตรัฏฐ มีฐานะเป็นหัวหน้าฝูง หงส์ โดยมหี งสท์ องเปน็ อัครมหาเสนาบดีชื่อว่า สุมุขะ ในคร้ังน้ันพระเทวี เขมา พระองค์ทรงสุบินว่ามี พระยาหงส์ทอง 2 ตัวได้มาแสดงธรรมกถาด้วยเสียงอันไพเราะจับใจ ครั้นเม่ือแสดงธรรมเสร็จ พระ นางประทานสาธุการแก่ธรรมน้ัน ครั้นเม่ือราตรีก็สว่างพระยาหงส์ก็บินออกไป พระนางจึงได้ตรัสทูล กบั พระราชาถึงเรอ่ื งท่พี ระองคท์ รงสบุ ิน พระองค์เองตอ้ งการที่จะได้เห็นและได้ฟังหงส์ทองแสดงธรรม อีก ครั้นเม่ือทรงฟังแล้ว พระเจ้ากรุวงพาราณสีจึงทรงโปรดให้นายพรานนาหงส์ไปถวายพระองค์ ไม่นานนายพรานออกอุบายจับพระยาหงส์ ท้ัง 2 มาถวายพระองค์ได้เป็นอันสาเร็จ พระองค์ทรงพอ พระทยั และบอกว่าให้พักอยู่ระยะหน่ึงก็จะปล่อยไป ครั้นเมื่อถึงโอกาสได้เสวนากัน ฝ่ายพญาหงส์น้ัน ก็ไดท้ ูลแก่พระราชาเปน็ การปฏิสนั ถารวา่ ใจความมดี ังนี้ พระองค์ใม่มีพระโรคาพาธ ทรงสาราญดีอยู่ ทรงปกครองรัฐมณฑลอันสมบูรณ์นี้โดยธรรม หรือพระราชาก็ตรัส ตอบว่า เราไม่มีโรคาพยาธิ มีความสาราญดี และเราก็ปกครองรัฐมณฑลอัน สมบูรณ์นี้โดยธรรมพญาหงส์ก็ทูลถามว่า โทษอะไร ๆ ไม่มีอยู่ในอามาตย์ของพระองค์ละหรือ และ อามาตย์เหล่านั้นไม่มีอาลัยชีวิตในประโยชน์ของพระองค์ละหรือ พระราชาก็ตรัสตอบว่า โทษอะไร ๆ ไม่มใี นหมู่อามาตย์ของเราและอามาตย์เหล่านั้นไม่อาลัยชีวิตในประโยชน์ของเรา พญาหงส์ทูลถามว่า พระมเหสีซึ่งมีพระชาติเสมอกัน ทรงเชื่อฟัง มีพระเสาวนีย์อัน น่ารัก ประกอบด้วยพระโอรสพระรูป พระโฉมพระยศ เป็นไปตามอัธยาศัยของพระองค์ละหรือ พระราชาก็ตรัสตอบว่าพระมเหสีซึ่งมีพระ ชาติเสมอกัน ทรงเชื่อฟังมีพระเสาวนี่ย์อันน่ารัก ทรง ประกอบด้วยพระโอรส พระรูป พระโฉมและ พระยศ เป็นไปตามอัธยาศัยของเรา พญาหงส์ทูลถามว่า พระองค์มิได้ทรงเบียดเบียนชาวแว่นแคว้น
77 ปกครองใหป้ ราศจากอันตรายแก่ทไ่ี หน โดยความไมเ่ กรย้ี วกราด โดยธรรม โดยความสม่าเสมอละหรือ พระราชาก็ตรัสตอบว่า เรามิได้เบียดเบียนชาวแว่นแคว้น ปกครองให้ปราศจากอันตรายแต่ที่ไหน ๆ โดยความ ไม่เกรี้ยวกราด โดยธรรม โดยความสม่าสมอ พญาหงส์ทูลถามว่า พระองค์ทรงยาเกรง สัตบุรุษ ทรงเว้นอสัตบุรุษพระองค์ไม่ทรง ละทิ้งธรรม ไม่ทรงประพฤติคล้อยตามอธรรมละหรือ พระราชาก็ตรสั ตอบวา่ เรายาเกรงสัตบรุ ษุ เวน้ อสัตบรุ ษุ ประพฤติคล้อยตามธรรม ละทิง้ อธรรม พญา หงส์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นชัดซ่ึง พระชนมายุอันเป็น อนาคตย่ังยืนยาวอยู่หรือ พระองค์ทรงมัวเมาในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ไม่สะดังกลัว ปรโลกหรือ พระราชาก็ตรัสตอบว่า เราพิจารณาเห็นชัดซ่ึงอายุอันเป็นอนาคต ย่ังยืนยาวอยู่ เราต้ังอยู่ แล้วในธรรม 10 ประการ จึงไม่สะดุ้งกลัวปรโลก เราเห็นกุศลธรรมที่ดารงอยู่ในตนเหล่านี้ คือ ทาน ศีล การบริจาค ความชื่อตรง ความอ่อนโยนความเพียร ความไม่ โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความ อดทน ความไม่พีโรธ คือความกระทาไม่ให้ผิดต่อมาพญาหงส์ถวายอนุโมทนาแก่พระราชา และได้ พระราชทานทรพั ย์แกน่ ายพราน ทรงใหพ้ ญาหงส์กับเสนาบดีพญาหงส์พักอยู่ ทรงพระราชทานเลี้ยงดู ให้มีความสุข แล้วก็ทรง ปล่อยพญาหงส์และหงส์เสนาบดีนั้นให้กลับไปสู่เขาคิชฌกูฏ (สุกิจ ชัยมุสิก, 2563, หนา้ 278 – 279) 3.1.2 องค์ประกอบและความหมายหลักทศพิธราชธรรม ราชธรรม 10 หรือ ทศพิธราชธรรม ธรรมของพระราชา, กิจวัตรท่ีพระเจ้าแผ่นดินควร ประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู้ กครองบา้ นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง 1. ทาน การให้ คือ สละทรัพย์สิ่งของ บารุงเลี้ยง ช่วยเหลือประชาราษฎร์ และบาเพ็ญ สาธารณประโยชน์ 2. ศีล ความประพฤติดีงาม คือ สารวมกายและวจีทวาร ประกอบแต่การสุจริต รักษากิตติ คุณใหค้ วรเป็นตัวอยา่ ง และเป็นทีเ่ คารพนับถือของประชาราษฎร์ มใิ หม้ ีข้อท่ีใครจะดูแคลน 3. ปริจจาคะ การบริจาค คือ เสียสละความสุขสาราญ เป็นต้น ตลอดจนชีวิตของตน เพ่ือประโยชนส์ ุขของประชาชน และความสงบเรยี บร้อยของบา้ นเมือง 4. อาชชวะ ความซื่อตรง คือ ซ่อื ตรงทรงสตั ยไ์ ร้มารยา ปฏิบัตภิ ารกจิ โดยสุจริต มีความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน 5. มัททวะ ความอ่อนโยน คือ มีอัธยาศัย ไม่เย่อหย่ิงหยาบคายกระด้างถือองค์ มีความงาม สงา่ เกดิ แตท่ ว่ งทกี ริ ยิ าสภุ าพน่มุ นวล ละมุนละไม ให้ไดค้ วามรักภักดี แต่มิขาดยาเกรง 6. ตปะ ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให้เข้ามาครอบงาย่ายีจิต ระงับยับยั้งข่มใจ ได้ไม่ยอมให้หลงใหลหมกมุ่นในความสุขสาราญและความปรนเปรอ มีความเป็นอยู่สม่าเสมอ หรือ อย่างสามญั มุ่งม่นั แตจ่ ะบาเพ็ญเพยี ร ทากจิ ให้บรบิ ูรณ์ 7. อักโกธะ ความไม่โกรธ คือ ไม่กร้ิวกราดลุอานาจความโกรธ จนเป็นเหตุให้วินิจฉัยความ และกระทาการต่าง ๆ ผิดพลาดเสียธรรม มีเมตตาประจาใจไว้ระงับความเคืองขุ่น วินิจฉัยความและ กระทาการดว้ ยจติ อนั ราบเรียบเป็นตวั ของตนเอง 8. อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน คือ ไม่บีบคั้นกดขี่ เช่น เก็บภาษีขูดรีด หรือเกณฑ์แรงงาน เกินขนาด ไม่หลงระเริงอานาจ ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่ประชาราษฎร์ ผใู้ ดเพราะอาศยั ความอาฆาตเกลียดชัง
78 9. ขันติ ความอดทน คือ อดทนต่องานท่ีตรากตรา ถึงจะลาบากกายน่าเหน่ือยหน่ายเพียงไร ก็ไมท่ ้อถอย ถึงจะถูกย่วั ถูกหยันด้วยคาเสียดสีถากถางอย่างใด ก็ไม่หมดกาลังใจ ไม่ยอมละทิ้งกรณีย์ที่ บาเพญ็ โดยชอบธรรม 10. อวโิ รธนะ ความไมค่ ลาดธรรม คือ วางองค์เป็นหลักหนักแน่นในธรรม คงท่ีไม่มีความเอน เอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ้ ยคาท่ดี ีรา้ ย ลาภสักการะ หรืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใดๆ สถิตมั่นในธรรมท้ัง ส่วนยุติธรรม คือ ความเท่ียงธรรม ก็ดี นิติธรรม คือ ระเบียบแบบแผนหลักการปกครอง ตลอดจน ขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดีงาม กด็ ี ไม่ประพฤตใิ ห้เคลอ่ื นคลาดวบิ ัติไป ราชธรรม 10 น้ี พึงจดจางา่ ยๆ โดยคาถาในบาลี ดังน้ี ทาน สลี ปรจิ จฺ าค อาชชฺ ว มทฺทว ตปํ อกฺโกธ อวิหสึ ญจฺ ขนตฺ ิญจฺ อวโิ รธน. (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), 2559, หน้า 326) สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฺฒโน) ทรงนิพนธ์ว่า ธรรม 10 ประการน้ี ท่านแสดงว่า พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีบริบูรณ์ในพระองค์จึงเป็นผู้ปกครองที่ดี ไม่รุกรานผู้อ่ืนด้วยอานาจเพราะ ปกครองท่ีด้วยธรรมมีธรรมเหล่าน้ีเป็นอุบายประเทศท้ังหลายจึงสวามิภักดิ์ยอมเข้าอยู่ในปกครองที่ ท่านเรียกว่าปกครองโดยธรรมไม่ใช่โดยอานาจ และต่างก็มีความสุขความเจริญร่วมกันท้ังหมด เมื่อพระมหากษัตริย์เจ้าทรงดาริทศพิธราชธรรมน้ีให้ตั้งบริบูรณ์ด้วยดีในพระองค์ ฝ่ายราชวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท และอาณาประชาราษฎร ข้าขอบชัณฑสีมา ก็ย่อมมีความสวามีภักด์ินับถือ รักใคร่ต้ังใจประกอบราชกิจฉลองพระเดชพระคุณต็มกาลังกาย เต็มกาลังความคิด ช่ือสัตย์สุจริตมิได้ ทรยศ ช่วยบารุงรัฐชนบทให้บริบูรณ์มั่งค่ัง สมดังพระราชประสงค์ เบื้องหน้าแต่น้ัน เมื่อพิจารณาด้วย พระปรีชาญาณถึงวุฒิศุภผลก็ทรงเห็นกุศลปีติถึงเพียงนั้น ก็ทรงพระปีติโสมนัสเป็นอันมากพ้น ประมาณ เน้อื ความในมหาหังสชาตก เรื่องทศพิธราชธรรม มาจากคาตอบ หรือพระราชดารัสตอบของ พระราชาตอนท่วี า่ “เราตงั้ อยู่ในธรรม 10 ประการ จงึ ไม่สะดงุ้ กลัวปรโลก เราเห็นกุศลธรรมท่ีดารงอยู่ ในตนเหล่าน้ี คือ ทาน การให้ ศีล ความสารวม ปริจจาคะ การบริจาค อาชชวะ ความชื่อตรง มัททวะ ความอ่อนโยน ตบะ ความเพียร อักโกธะ ความไม่โกรธ อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน ขันติ ความอดทน อวิโรธนะ ความไม่ทาผิด รวมเป็น 10 ประการ” (สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฺฒ โน), 2544, หนา้ 72) หลักปฏิบัติ 10 ประการ ตามรอยพระยุคลบาท นับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ พระองค์ทรงดารงอยู่ใน ทศพิธราชธรรม คือ ธรรมะ 10 ประการ สาหรับ พระมหากษัตริย์เสมอมา พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ท่ีทรงปฏิบัติและพระราชจริยวัตรมากมายท่ีทรง ประกอบน้ัน ยังประโยชน์มหาศาลและเป็นท่ีตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นว่าทรงอุทิศ พระองคเ์ พอ่ื ประเทศชาตแิ ละพสกนิกร ดร.สเุ มธ ตนั ติเวชกุล เลขาธกิ ารมูลนธิ ิชัยพัฒนา ได้ประมวลไวใ้ นหนงั สอื “หลักธรรม หลักทา ตามรอย พระยุคลบาท 10 ประการ” การเปน็ ข้าราชการที่ดี และคนดนี นั้ ดังตอ่ ไปน้ี ข้อที่ 1 ทางานอย่างผู้รู้จริง และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง เน้นในเร่ือง “ความรู้” หรือความเป็น ผู้รู้จริง ก่อนท่ีจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพ่ือประชาชนใน
79 ทุกเรื่อง ทรงศึกษา หาความรู้เป็นอันดับแรก โดยจะทรงค้นคว้าจากเอกสารต่าง ๆ ศึกษาอย่าง ละเอียด ในแตล่ ะเรื่อง เมื่อพร้อมแล้วจึงลงมือทา ทุกคนจึงควรเป็นผู้รู้จริงในการทางานเพื่อให้ผลงาน เป็นทย่ี อมรับ และบงั เกดิ ผลดีต่อทกุ ฝา่ ย ข้อท่ี 2 มีความอดทน มุ่งมั่น ยึดธรรมะและความถูกต้อง ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่ทรงงาน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงถอื เรื่องความถูกต้องย่งิ กวา่ สิ่งใด นอกจากน้ันยังทรงทนเผชิญปัญหา นานัปการโดยรับสั่งว่าตามปกติโครงสร้างทั่ว ๆ ไปของสังคมจะเป็นรูปพีระมิด มีพระเจ้าแผ่นดิน เปรียบเหมือนอยู่บนยอดพีระมิด แต่โครงสร้างของสังคมไทยเป็นพีระมิดหัวกลับ คือ พระเจ้าแผ่นดิน แทนท่ีจะอยู่บนยอดกลับต้องมารองรับทุกอย่างท่ีก้นกรวยแทน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล จึงกล่าวไว้ใน หนังสือว่า “เพราะฉะนั้น เร่อื งความอดทนนน้ั ขอให้มองพระเจา้ อยู่หัวไวแ้ ลว้ พยายามทาตามใหไ้ ด้” ขอ้ ที่ 3 ความอ่อนนอ้ มถ่อมตน เรยี บง่าย และประหยัด พระบรมฉายาลักษณ์ที่ประชาชนชาว ไทยพบเห็นจนชินตาก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์สูทแบบเรียบง่าย สะพาย กลอ้ งทีพ่ ระศอ ในพระหัตถ์เต็มไปด้วยเอกสาร น้อมพระวรกายไปหาประชาชนเพ่ือทรงสอบถามทุกข์ สุขและปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และมักจะทรงประทับบนพ้ืนเดียวกันกับประชาชนเสมอ ขา้ ราชการจงึ สมควรปฏิบัติตนในขอ้ น้ใี ห้ได้ ข้อที่ 4 ม่งุ ประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก ตลอดระยะเวลา 60 ปีท่ีทรงงาน พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นท่ีต้ัง โดยไม่ทรงคานึงถึงพระวรกายเลยแม้แต่น้อย ดร.สเุ มธ ตนั ตเิ วชกุล เลา่ ไวใ้ นหนังสือว่า “เคยเขา้ ไปขอพระราชทานพร บอกวันนี้วันเกิดพระพุทธเจ้า ค่ะ ขอพระราชทานพรพระราชทานว่าอย่างไร ขอให้มีร่างกายท่ีแข็งแรงเพื่อสามารถทาประโยชน์ ใหก้ บั คนอน่ื เขาได้ ขอให้มคี วามสขุ จากการทางาน และขอให้ได้รับความสุขจากผลสาเร็จของงานนั้น” เห็นได้วา่ ทุกส่งิ ในพระราชดาริ และทท่ี รงปฏบิ ัตเิ ป็นไปเพ่อื ประโยชนข์ องส่วนรวมท้งั ส้นิ ข้อที่ 5 รับฟังความเห็นของผู้อื่น และเคารพความคิดท่ีแตกต่าง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล่าว ไวใ้ นหนงั สอื วา่ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมายุพรรษาปี 2546 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระ ราชดารัสเตือนทุกฝ่ายให้ “น่ังปรึกษาหารือกัน ฟังเขาแสดงเหตุแสดงผลออกมา แล้วเราแสดงเหตุ แสดงผลออกไป แล้วดูซิเหตุผลอันไหนจะยอมรับได้ถูกต้องมากกว่า และเม่ือตกลงกันแล้วก็เลิกเถียง กันต่อลงมือปฏิบัติเลย”โดยเฉพาะเมื่อจะทาอะไรให้นึกถึง “บ้าน” ซึ่งก็คือ “บ้านเมือง” หรือ “แผน่ ดนิ ไทย” ให้มากทสี่ ุด ข้อที่ 6 มคี วามต้งั ใจจริงและขยันหมั่นเพียรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งม่ันในเรื่องที่ ทรงปฏิบัตมิ าก ทรงงานทุกวันไม่มีวันเสาร์ วันอาทิตย์ ไม่มีกลางวัน กลางคืน และทรงเป็นเลิศในด้าน ต่าง ๆ อาทิ ด้านดนตรี ด้านกีฬา ด้านเกษตร และอื่น ๆ ซ่ึงผู้ปฏิบัติหน้าท่ีต่าง ๆ โดยเฉพาะ ข้าราชการจงึ ตอ้ งมีจิตสานกึ ในการบริการ มีความขยัน และตัง้ ใจปฏบิ ตั งิ านเพ่ือประชาชน ขอ้ ที่ 7 มีความสุจรติ และความกตญั ญู ทรงแสดงให้ประจกั ษใ์ นเร่ืองของความกตัญญูต่อพระ ราชมารดาต่อแผ่นดิน และต่อส่ิงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์โดยเฉพาะส่วนรวม ทรงเตือนให้ยึดส่ิงนี้ไว้ เพราะเป็นเรือ่ งที่จาเป็น มคี วามสาคญั และมีคุณค่ายิง่ ข้อที่ 8 พึ่งตนเอง ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง พึ่งตนเอง หรือเศรษฐกิจพอเพียง คือ การวาง เส้นทางชีวิตของตนเองให้เรียบง่าย ธรรมดา และเดินสายกลาง เป็นทฤษฎีสาคัญท่ีพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล่าวไว้ในหนังสือว่า
80 “เศรษฐกิจพอเพียงนี้ พระเจ้าอยู่หัวบอกว่าคาท่ีสาคัญท่ีสุดในเร่ืองราวท่ีอธิบายมานี้คือคาว่า “พอ” ทกุ คนต้องกาหนดเส้นความพอให้กบั ตนเองให้ได้ และยึดเส้นนน้ั ไว้เปน็ มาตรฐานของตนเอง” ข้อท่ี 9 รักประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักประชาชน และทางานเพื่อ ประชาชน ครง้ั หนงึ่ มรี บั ส่ังกับ ดร.สเุ มธ ตนั ติเวชกลุ ว่า ทรง “ทาราชการ” ดังน้ัน คนที่ “รับราชการ” ซึ่งถือว่า รับงานของราชามาทาต่อ สิ่งแรกที่ต้องทา คือต้องรักประชาชน และทางานเพื่อประชาชน เฉกเช่นเดียวกับพระองค์ ข้อที่ 10 การเอ้ือเฟื้อซ่ึงกันและกัน ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กล่าวไว้ในหนังสือว่า “รู้ไหม บ้านเมืองอยู่รอดมาได้ ทุกวันน้ีเพราะอะไร เพราะคนไทยเรายัง “ให้” กันอยู่” ท้ังนี้ เพราะคนใน ครอบครัวยังรักและดูแลกัน คนในชุมชนยังเอ้ือเฟ้ือกัน ข้าราชการยังให้บริการแก่ประชาชนและทุก คนยงั รวมตวั ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกัน ซงึ่ ยากจะหาได้ทีไ่ หนในโลกน้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างท่ีดีงามในทุกด้าน สมควรท่ีจะดาเนินรอย ตามพระยุคลบาทดว้ ยหลกั ปฏบิ ตั ิ 10 ประการดังกลา่ วข้างตน้ และหากประชาชนทุกสาขาอาชีพ และ คนไทยทุกคนได้ทบทวน ยึดถือ และน้อยนาไปปฏิบัติดังท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ แลว้ จะสามารถดาเนนิ ชีวิตได้ด้วยดี สังคมจะสงบสุข และประเทศชาติเจริญก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน (สเุ มธ ตนั ตเิ วชกลุ , 2550ก, หน้า 78) อาจสรุปได้ว่า หลักทศพิธราชธรรม ธรรมของพระราชา เป็นกิจวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินควร ประพฤติ อันเป็นคุณธรรมของผู้ปกครองหรือนักปกครองบ้านเมือง ประกอบด้วย 10 ประการ คือ 1) ทาน การให้ คือ สละทรัพย์สิ่งของ เพ่ือประโยชน์สาธารณประโยชน์ 2) ศีล ความประพฤติดีงาม เป็นตัวอย่าง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน 3) ปริจจาคะ การบริจาค คือ เสียสละความสุข สว่ นตน เพ่ือประโยชน์สขุ สว่ นรวม 4) อาชชวะ ความซื่อตรง คือ มีความจรงิ ใจ ไม่หลอกลวงประชาชน 5) มทั ทวะ ความออ่ นโยน มีอธั ยาศยั ดี ไมห่ ยาบคายกระด้างถือตัวถอื ตน งามสง่าสุภาพนุ่มนวล เป็นท่ี น่ายาเกรงต่อคนยาเกรง 6) ตปะ ความทรงเดช ความแก่กล้า คือ การระงับยับย้ังข่มใจได้ ไม่ยอมให้ หลงใหลหมกม่นุ ในความสุขสบายจนเกินไป มุ่งม่ันในการทางาน 7) อักโกธะ ความไม่โกรธ คือ มิเอา ความโกรธเป็นท่ีตงั้ อันเป็นเหตุให้เกิดความขาดสติ ขาดเหตุ และผล 8) อวิหิงสา ความไม่เบียดเบียน คือ บีบคั้น ข่มเหง ผู้ใต้ปกครอง ผู้ใต้บังคับบัญชา ขาดความกรุณา ถืออภัยไม่เบียดเบียน 9) ขันติ ความอดทน คือ อดทนต่องานท่ีตรากตรา อดทนต่อความลาบากทางกาย ความเหน็ดเหนื่อย เหน่ือย หน่าย อดทนต่อคาพูด และอุปสรรค ไม่ละท้ิงการงาน อย่างไม่ท้อถอยต่อการงาน 10) อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม คือ วางองคเ์ ป็นหลกั หนักแน่นในธรรม ยึดหลักในความเท่ียงธรรม ความยุติธรรม เป็นท่ีตั้ง และใช้หลักนิติธรรมเป็นหลักแห่งการปกครอง วิฉิจฉัยความด้วยความเที่ยงธรรม กล่าวคือ ทศพิธราชธรรมเป็นหลัก และแบบอย่างของนักปกครองทั้งหลาย หากซึ้งนามาปฏิบัติแล้วย่อมเกิด ความเจรญิ งอกงามแต่ตนเอง คนสว่ นใหญ่ และประเทศชาติอกี ด้วย
81 3.2 แนวคดิ เก่ียวกับหลักสปั ปุริสธรรม 7 3.2.1 ความเปน็ มาของหลักสปั ปุริสธรรม 7 สัปปุริสธรรม 7 ประการนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในธัมมัญญสูตร ปรากฎเนื้อความใน พระไตรปิฎก(องฺ.สตฺตก.23/65/104) มีความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 7 ประการ เป็นผคู้ วรของคานบั ฯลฯเปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มีนาบญุ อน่ื ย่ิงกว่า ธรรม 7 ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นธัมมัญญู รู้จักธรรม 1 อัตถัญญู รู้จักอรรถ 1 อัตตัญญู รู้จักตน 1 มัตตัญญู รู้จักประมาณ 1 กาลัญญู รู้จักกาล 1 ปริสัญญู รู้จักบริษัท 1 ปุคคล ปโรปรัญญู รจู้ ักเลือกคบคน 1 ดูกรภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุเป็นธัมมัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยน้ีย่อม รู้ธรรม คือ สตุ ตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะอัพภูตธรรม เวทัลละ หากภิกษุ ไม่พงึ รจู้ กั ธรรม คือ สตุ ตะ ...เวทลั ละ เราก็ไม่พึ่งเรียกว่าเป็นธัมมัญญ แต่เพราะภิกษุรู้ธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ ฉะนนั้ เราจงึ เรยี กวา่ เป็นธมั มัญญู ดว้ ยประการฉะน้ี ฯ ก็ภิกษุเป็นอตั ถญั ญูอยา่ งไร ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักเนื้อความแห่งภาษิตน้ัน ๆ ว่า น้ีเป็น เนื้อความแห่งภาษติ น้ี ๆ หากภกิ ษุไมพ่ ึงรเู้ น้ือความแห่งภาษิตนั้น ๆ ว่า นี้เป็นเน้ือความแห่งภาษิตนี้ ๆ เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็นอัตถัญญู แต่เพราะภิกษุรู้เน้ือความแห่งภาษิตน้ัน ๆ ว่า น้ีเป็นเนื้อความแห่ง ภาษิตน้ี ๆ ฉะนัน้ เราจึงเรียกว่าเปน็ อตั ถญั ญู ภิกษเุ ป็นธัมมญั ญู อัตถญั ญู ดว้ ยประการฉะนี้ ฯ ก็ภิกษุเป็นอัตตัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักตนว่า เราเป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณ เพียงเท่านี้ ถ้าภิกษุไม่พึงรู้จักตนว่า เราเป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณ เพียงเท่านี้เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็นอัตตัญญู แต่เพราะภิกษุรู้จักตนว่า เราเป็นผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาปฏิภาณ เพียงเท่านี้ ฉะน้ัน เราจึงเรียกว่าเป็นอัตตัญญูภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตณัญญู อัตตัญญู ด้วยประการฉะนี้ ฯ ก็ภิกษุเป็นมัตตัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้จักประมาณในการรับจีวร บิณทบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หากภิกษุไม่พึงรู้จักประมาณในการรับจีวร บิณทบาต เสนาสนะ และคิลานุปัจจัยเภสัชบริขาร เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็นมัตตัญญู แต่เพราะภิกษุรู้จักประมาณ ในการรับจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นมัตตัญญู ภิกษเุ ป็นธัมมญั ญู อัตถญั ญู อัตตญั ญู มัตตญั ญู ด้วยประการฉะนี้ ฯ ก็ภิกษุเป็นกาลัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมรู้จักกาลว่า น้ีเป็นกาลเรียน นี้เป็นกาล สอบถาม นเี้ ปน็ กาลประกอบความเพยี ร นเี้ ป็นกาลหลกี ออกเร้น หากภิกษุไม่พึงรู้จักกาลว่า น้ีเป็นกาล เรียน น้ีเป็นกาลสอบถามน้ีเป็นกาลประกอบความเพียร น้ีเป็นกาลหลีกออกเร้น เราไม่พึงเรียกว่าเป็น กาลัญญู แต่เพราะภกิ ษุรู้จกั กาลวา่ นเี้ ป็นกาลเรยี น นเ้ี ป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความเพียร นเ้ี ปน็ กาลหลีกออกเร้น ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็นกาลัญญู ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญู อัตตัญญูมัตตัญญู กาลญั ญู ดว้ ยประการฉะน้ี ฯ ก็ภิกษุเป็นปริสัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมรู้จักบริษัทว่า นี้บริษัทกษัตริย์ นี้บริษัท คฤหบดี นบี้ ริษัทสมณะ ในบริษทั นั้น เราพึงเข้าไปหาอย่างน้ี พึ่งยืนอย่างน้ี พึงทาอย่างน้ี พึงนั่งอย่างน้ี พึงนิ่งอย่างน้ี หากภิกษุไม่รู้จักบริษัทว่า นี้บริษัทกษัตริย์ ... ฟังนิ่งอย่างนี้ เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็น ปริสัญญูแต่เพราะภิกษุรู้จักบริษัทว่า นี้บริษัทกษัตริย์ ... ฟังนิ่งอย่างนี้ ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าเป็น ปริสญั ญู ภกิ ษเุ ป็นธมั มัญญู อัตถญั ญู อตั ตญั ญู มตั ตัญญู กาลัญญูปรสิ ัญญู ดว้ ยประการฉะน้ี ฯ.
82 ก็ภิกษุเป็นปุคคลปโรปรัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้รู้จักบุคคลโดยส่วน 2 คือ บุคคล 2 จาพวก คือ พวกหนึ่งต้องการเห็นพระอริยะ พวกหนึ่งไม่ต้องการเห็นพระอริยะ บุคคลที่ไม่ ต้องการเห็นพระอริยะ พึงถูกติเตียนด้วยเหตุน้ัน ๆ บุคคลที่ต้องการเห็นพระอริยะ พึงได้รับความ สรรเสริญด้วยเหตุน้ัน 1 บุคคลที่ต้องการเห็นพระอริยะก็มี 2 จาพวก คือ พวกหน่ึงต้องการจะฟัง สัทธรรม พวกหนึ่งไม่ต้องการฟังสัทธรรม บุคคลที่ไม่ต้องการฟังสัทธรรม พึงถูกติเตียนด้วยเหตุน้ัน ๆ บุคคลท่ีต้องการฟังสัทธรรม พึงได้รับความสรรเสริญด้วยเหตุน้ัน ๆ บุคคลท่ีต้องการฟังสัทธรรมก็มี 2 จาพวก คือพวกหนึ่งต้ังใจฟังธรรม พวกหนึ่งไม่ตั้งใจฟังธรรม บุคคลท่ีไม่ตั้งใจฟังธรรม พึงถูกติเตียน ด้วยเหตุน้ัน ๆ บุคคลท่ีตั้งใจฟังธรรม พึงได้รับความสรรเสริญด้วยเหตุน้ัน 1 บุคคลที่ต้ังใจฟังธรรมก็มี 2 จาพวก คอื พวกหนง่ึ ฟังแล้วทรงจาธรรมไว้พวกหน่ึงฟังแล้วไม่ทรงจาธรรมไว้ บุคคลที่ฟังแล้วไม่ทรง จาธรรมไว้ พึงถกู ตเิ ตยี นดว้ ยเหตุน้ัน ๆ บุคคลท่ีฟังแล้วทรงจาธรรมไว้พึงได้รับความสรรเสริญด้วยเหตุ นัน้ ๆ บคุ คลท่ีฟงั แล้วทรงจาธรรมไว้ก็มี 2 จาพวก คือ พวกหนึ่งพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจา ไว้ พวกหน่ึงไม่พิจารณา เน้ือความแห่งธรรม ท่ีทรงจาไว้บุคคลท่ีไม่พิจารณาเน้ือความแห่งธรรมท่ีทรง จาไว้ พึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น ๆ บุคคลท่ีพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมท่ีทรงจาไว้ พึงได้รับความ สรรเสริญด้วยเหตุนั้น ๆ บุคคลที่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมท่ีทรงจาไว้ก็มี 2 จาพวก คือพวกหน่ึงรู้ อรรถรู้ธรรมแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม พวกหน่ึงหารู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ ธรรมไม่ บุคคลท่ีหารู้อรรถรู้ธรรมปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ พึงถูกติเตียนด้วยเหตุน้ัน บุคคลที่รู้ อรรถรธู้ รรมแลว้ ปฏบิ ัติธรรมสมควรแก่ธรรม พึงได้รับความสรรเสริญ ด้วยเหตุนั้น ๆ บุคคลท่ีรู้อรรถรู้ ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็มี 2 จาพวก คือ พวกหน่ึงปฏิบัติเพ่ือประโยชน์ของตน ไม่ ปฏิบัติเพ่ือประโยชน์ของผู้อ่ืน พวกหน่ึงปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตนและเพ่ือประโยชน์ผู้อื่น บุคคลที่ ปฏบิ ตั ิเพอ่ื ประโยชน์ตน ไมป่ ฏบิ ตั ิเพ่อื ประโยชนผ์ ู้อนื่ พึงถูกตเิ ตียนด้วยเหตุนั้น ! บุคคลท่ีปฏิบัติท้ังเพ่ือ ประโยชน์ตนและเพ่ือประโยชน์ผู้อื่นพึงได้รับความสรรเสริญด้วยเหตุนั้น ๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ เป็นผู้รู้จักบุคคลโดยส่วน 2 ฉะน้ีแล ภิกษุเป็นบุคคลปโรปรัญญูอย่างนี้แล ดูกรภิกษุท้ังหลาย ภิกษุ ประกอบด้วยธรรม 7 ประการน้ีแล เป็นผู้ควรของคานับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอ่ืนย่ิง กว่า ฯ (อง.สตตก, 23/65/104-107) 3.2.2 ความหมายและองคป์ ระกอบของหลักสปั ปรุ ิสธรรม 7 สัปปุริสธรรม 7 ธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมท่ีทาให้เป็นสัตบุรุษ, คุณสมบัติของคนดี, ธรรม ของผ้ดู ี 1. ธัมมัญญุตา ธัมมัญญุตา ความรู้จักธรรม รู้หลัก หรือ รู้จักเหตุ คือ รู้หลักความจริง รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมชาติ รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักการท่ีจะทาให้เกิดผล เชน่ ภิกษุรู้ว่าหลักธรรมข้อนั้น ๆ คืออะไร มีอะไรบ้าง พระมหากษัตริย์ทรงทราบว่าหลักการปกครอง ตามราชประเพณีเปน็ อย่างไร มีอะไรบ้าง รู้ว่าจะต้องกระทาเหตุอันนี้ ๆ หรือกระทาตามหลักการข้อนี้ ๆ จงึ จะให้เกดิ ผลท่ตี ้องการหรือบรรลุจดุ หมายอนั นน้ั ๆ เป็นตน้ 2. อัตถัญญุตา ความรู้จักอรรถ รู้ความมุ่งหมาย หรือ รู้จักผล คือ รู้ความหมาย รู้ความมุ่ง หมาย รู้ประโยชน์ที่ประสงค์ รู้จักผลท่ีจะเกิดข้ึนสืบเนื่องจากการกระทา หรือความเป็นไปตามหลัก เช่น รู้ว่าหลักธรรมหรือภาษิตข้อน้ัน ๆ มีความหมายว่าอย่างไร หลักน้ัน ๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร
83 กาหนดไว้หรือพึงปฏิบัติเพ่ือประสงค์ประโยชน์อะไร การท่ีตนกระทาอยู่มีความมุ่งหมายอย่างไร เมื่อ ทาไปแล้วจะบังเกดิ ผลอะไรบ้าง ดังนเ้ี ป็นต้น 3. อัตตัญญุตา ความรู้จักตน คือ รู้ว่า เรานั้น ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กาลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เปน็ ต้น บดั นี้ เทา่ ไร อย่างไร แล้วประพฤติให้เหมาะสม และรู้ ท่จี ะแกไ้ ขปรับปรงุ ตอ่ ไป 4. มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดี เช่น ภิกษุรู้จักประมาณในการรับและ บริโภคปัจจัยสี่ คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ พระมหากษัตริย์รู้จักประมาณในการ ลงทณั ฑอาชญาและในการเก็บภาษี เป็นต้น 5. กาลญั ญุตา ความรจู้ ักกาล คอื ร้กู าลเวลาอนั เหมาะสม และระยะเวลาท่ีควรหรือจะต้องใช้ ในการประกอบกิจ ทาหน้าที่การงาน หรือปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ใหพ้ อเวลา ใหเ้ หมาะเวลา เป็นต้น 6. ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท คือ รู้จักชุมชน และรู้จักท่ีประชุม รู้กิริยาที่จะประพฤติต่อ ชุมชนนั้น ๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทากิริยาอย่างน้ี จะต้องพูดอย่างน้ี ชุมชนน้ีควร สงเคราะห์อย่างนี้ เปน็ ต้น 7. ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา ความรู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้ท่ีจะปฏิบัติต่อ บุคคลนั้น ๆ ด้วยดี ว่าควรจะคบหรือไม่ จะใช้ จะตาหนิ ยกย่อง และแนะนาส่ังสอนอย่างไร เป็นต้น (ที.ปา.11/331/264; 439/312; องฺ.สตตฺ ก.23/65/114) สมเด็จพระมหาสมณช้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ให้ความหมายของสัปปุริสธรรม ว่า สัปบุริสธรรม หมายถึง ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมสมบัติของผู้มีสกุล วางตนพอดี พอเหมาะแก่ สมาคมสมแก่กาล และสถานที่ (สมเด็จพระมหาสมณจา้ กรมพระยาชริ ญาณวโรรส, 2538, หน้า 52) พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจติ ร ฐติ วณฺโณ) ได้อรรถาธิบายว่า สัปปุริสธรรม หมายถึง คนดี หรือ บณั ฑติ ซึง่ ลักษณะของบัณฑิต มีข้อสังเกตที่ ให้ทราบ ได้อยู่ 3 ประการ คือ ชอบทาดี พูดดี และคิดดี คือชอบทากายสุจริต วสุจริต และมโนสุจริตน่ันเอง (พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ), 2548, หน้า 35) ในสปั บรุ สิ สูตร อุปริปญั ญาสก็ มัชฌิมนิกาย ปรากฎพุทธโอวาทเร่ืองธรรมของคนดี (สัตบุรุษ) คนที่สมบูรณ์แบบ หรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซ่ึงถือว่าเป็นสมาชิกท่ีดี มีคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์ชาติ มี ธรรมะหรอื คณุ สมบตั ทิ ีเ่ รยี กวา่ สัปปรุ ิสธรรม 7 ประการ คอื 1. ธัมมัญญุตา รู้หลักการ เม่ือดารงตาแหน่ง มีฐานะ หรือจะทาอะไรก็ตาม ต้องรู้หลักการรู้ งาน รหู้ นา้ ที่ รู้กฎเกณฑก์ ติกาที่เก่ียวขอ้ ง เชน่ อย่างผปู้ กครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลักรัฐศาสตร์และรู้ กฎกตกิ าของรัฐ คือกฎหมาย ต้ังแต่รัฐธรรมนูญลงมา แล้วก็ยืนอยู่ในหลักการ ต้ังตนอยู่ในหลักการให้ ได้ชุมชน สังคม องค์กร หรือกิจการอะไรก็ตาม ก็ต้องมีหลักการ มีกฎ มีกติกาท่ีผู้นาจะต้องรู้ชัดแล้วก็ ตงั้ ม่นั อยใู่ นหลกั การนั้น 2. อัตถัญญุตา รู้จุดหมาย ผู้นาถ้าไม่รู้จุดหมายก็ไม่รู้ว่าจะนาคนและกิจการไปไหนนอกจากรู้ จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้ว จะต้องมีความแน่วแน่มุ่งมั่นท่ีจะไปให้ถึงจุดหมายด้วย ข้อน้ี เป็นคุณสมบัติท่ีสาคัญมาก เมื่อใจมุ่งจุดหมาย แม้มีอะไรมากระทบกระท่ัง ก็จะไม่หวั่นไหว อะไรไม่
84 เกีย่ วข้อง ไม่เข้าเปา้ ไม่เขา้ แนวทางก็ไมม่ ั่ววุ่นวาย ใครจะพดู ว่าด่าเหนบ็ แนมเม่ือไม่ตรงเร่ือง ก็ไม่มัวถือ สา ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ไม่ยุ่งกับเร่ืองจุกจิกไม่เป็นเรื่อง เอาแต่เรื่องท่ีเข้าแนวทางสู่จุดหมาย ใจมุ่งสู่ เป้าหมาย อยา่ งชัดเจน และมุ่งม่ันแนว่ แน่ 3. อัตตัญญุตา รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีภาวะเป็นอะไร อยู่ในสถานะใด มีคุณสมบัติ มคี วามพร้อม มีความถนัด สติปัญญา ความสามารถอย่างไร มีกาลังแค่ไหน มีข้อยิ่งข้อหย่อน จุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร ซึ่งจะต้องสารวจตนเอง และเดือนตนเองอยู่เสมอ ท้ังน้ีเพ่ือประโยชน์ในการพัฒนา ปรบั ปรงุ ตัวเอง ให้มคี ณุ สมบตั คิ วามสามารถย่ิง 1 ขึ้นไปไม่ใช่ว่าเป็นผู้นาแล้วจะเป็นคนสมบูรณ์ไม่ต้อง พฒั นาตนเอง ยงิ่ เปน็ ผ้นู าก็ยิ่งต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลาให้นาไดด้ ียิ่งขึ้นไป 4. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี หมายความว่าต้องรู้จักขอบเขตขีดช้ันความ พอเหมาะที่จะจัดทาในเร่ืองต่าง ๆ ท่านยกตัวอย่าง เช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการลง ทัณฑ์อาญา และการเก็บภาษี เป็นต้น ไม่ใช่เอาแต่จะให้ได้อย่างใจ และต้องรู้จักว่าในการกระทานั้น หรือในเร่ืองราวนั้น “มีองค์ประกอบหรือมีปัจจัยอะไรเก่ียวข้องบ้างทาแค่ไหนองค์ประกอบของมันจะ พอดี ไดส้ ดั สว่ นพอเหมาะ การทาการตา่ ง ๆ ทกุ อย่างต้องพอดถี า้ ไม่พอดกี ็พลาดความดีจึงจะทาให้เกิด ความสาเรจ็ ท่ีแทจ้ รงิ ฉะนนั้ จะตอ้ งรอู้ งคป์ ระกอบและปจั จยั ท่ีเกย่ี วข้องและจัดใหล้ งตวั พอเหมาะพอดี 5. กาลัญญุตา รู้กาล คอื ร้จู ักเวลา เชน่ รู้ลาดับ ระยะ จังหวะ ปริมาณ ความเหมาะของเวลา ว่า เรื่องน้ีจะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะทาอะไรอย่างไร จึงจะเหมาะ ดังจะเห็นว่าแม้แต่การพูดจาก็ ต้องรู้จักกาลเวลา ตลอดจนรู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา ซ่ึงเป็นเรื่องใหญ่ เช่น วางแผนว่าสังคมมี แนวโน้มจะเป็นอยา่ งน้ีในเวลาขา้ งหน้าเทา่ น้นั และเหตุการณ์ทานองน้ีจะเกิดขึ้น เราจะวางแผนรับมือ กบั สถานการณน์ นั้ อย่างไร 6. ปริสัญญุตา รู้ชุมชน คือ รู้สังคมต้ังแต่ในขอบเขตที่กว้างซวาง คือ รู้สังคมโลก รู้สังคมของ ประเทศชาตวิ า่ อยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไร มีความต้องการโดยเฉพาะถ้าจะช่วยเหลือเขา ก็ต้องรู้ปัญหารู้ความต้องการของเขา แม้แต่ชุมชนย่อย ๆ ถ้าเราจะช่วยเหลือเขา เราต้องรู้ความ ต้องการของเขา เพื่อสนองความต้องการได้ถูกตอ้ ง หรอื แก้ไขปัญหาไดต้ รงจุด 7. ปุคคลัญตา รู้บุคคล คือ รู้จักบุคคลท่ีเก่ียวข้อง โดยเฉพาะคนที่มาร่วมงานร่วมการร่วมไป ด้วยกัน และคนท่ีเราไปให้บริการตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพ่ือปฏิบัติต่อเขาได้ถูกต้องเหมาะสม และได้ผล ตลอดจนสามารถบริการให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามความต้องการ รู้ว่าจะใช้วิธีสัมพันธ์ พูดจาแนะนาติชมหรือจะให้เขายอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ซ่ึงต้องรู้ว่าคนไหนเป็น อยา่ งไร มคี วามถนดั อธั ยาศัยความสามารถอยา่ งไรเพ่ือใชค้ นใหเ้ หมาะกับงานนอกจากนั้นก็รู้ประโยชน์ ที่เขาพึ่งได้ เพราะว่าในการทางานน้ันไม่ใช่ว่าจะเอาเขามาเป็นเพียงเครื่องมือทางานได้ แต่จะต้องให้ คนท่ีทางานทุกคนได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตัวเอง ผู้นาควรรู้ว่า เขาควรจะได้ประโยชน์อะไรเพ่ือความ เจรญิ งอกงามแห่งชีวิตที่แท้จริงของเขาด้วย (พระมหาประยูร เขมจาโร (คาแก้ว), 2560, หนา้ 9 – 10) ดังที่ได้กล่าวมาสรุปได้ว่า สัปปุริสธรรมทั้ง 7 ประการ เป็นคุณสมบัติของผู้นาท่ีต้องมี ปฏสิ มั พนั ธ์ท่ีดี และความสัมพันธ์ท่ีดกี ับผรู้ ว่ มงานทไ่ี ปด้วยกันน้ัน กลา่ วคือ สัปปรุ สิ ธรรมเป็นคุณสมบัติ ของผู้ท่ีควรจะมีสาหรับการเป็นผู้นาบุคคล องค์กร หรือประเทศ ผู้ท่ีเป็นผู้นาน้ันจะต้องมีธรรมะ หรือคุณสมบัติในตัวของผู้นามีท้ัง 7 ประการด้วย เพราะผู้นาเปรียบเสมือนหัวเรือท่ีจะนาพาองค์กร หรือประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า เกิดความเรียบร้อย และสงบสุขได้ดังจะอธิบายดังต่อไปนี้
85 1) ผู้นาจักต้อง รู้จักเหตุ ผู้นาจะต้องรู้หลักความจริง เป็นผู้มีหลักการ มีหลักเกณฑ์ รอบรู้กฎแห่ง ธรรมชาติ มีการกาหนดกฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักการวิธีการท่ีจะทาให้เกิดผล 2) ผู้นาจักต้อง รู้จักผล คือ รู้ถึงจุดประสงค์ ความมุ่งหมาย และประโยชนท์ ่ปี ระสงคใ์ หส้ าเร็จ รู้จักผลท่ีจะเกิดจากการ กระทาแลว้ จะได้ผลอย่างไร 3) ผู้นาจักต้อง รู้จักตน คือ รู้ว่าเราน้ัน มีสถานะเป็นเช่นไร ภาวะอารมณ์ เพศ พละกาลัง ความรู้ความสามารถ และความถนัดในด้านใด 4) ผู้นาจักต้อง รู้จักประมาณ คือ ความพอดี เช่น รู้จักประมาณการงบประมาณท่ีจะต้องจับจ่ายในองค์กรของตนเอง เพ่ือสร้าง ประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าแก่การลงทุน 5) ผู้นาจักต้อง รู้จักกาล คือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และ ระยะเวลาที่ควรหรือจะต้องใช้ในการประกอบกิจ ทาหน้าท่ีการงาน หรือปฏิบัติการต่าง ๆ 6) ผู้นาจัก ตอ้ ง รจู้ ักชมุ ชน คอื ร้จู ักชุมชน และรู้จักท่ีประชุม ส่ิงจาเป็นสาหรับผู้นาก็ต้องเข้าสมาคมอย่างไร ควร ปฏิบัติตนตามธรรมเนียมนั้นอย่างไรว่า จะต้องทากิริยาอย่างน้ี จะต้องพูดอย่างน้ี และวางตัวอย่างไร ก็เพ่ือประโยชน์ร่วมกันในการบริหารงาน ไม่ควรสร้างศัตรู 7) ผู้นาจักต้อง รู้จักบุคคล คือ ความ แตกต่างแห่งบุคคลในองค์กรของตน มีอุปนิสัยอย่างไร มีความสามารถ ความถนัดในด้านใด อย่างท่ี ภาษิตที่ว่า มองคนให้ออก บอกคนให้ได้ ใช้คนให้เป็น ในการจัดวางหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคคล น้นั ๆ ก็เพื่อทาใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุดขององคก์ รของตนเอง 3.3 แนวคดิ เกี่ยวกับหลักอปรหิ านิยธรรม 7 3.3.1 ความเป็นมาของหลกั อปรหิ านิยธรรม 7 เวสาลี นครหลวงแหง่ แคว้นวชั ชีน้ี นบั วา่ เป็นจุดศนู ย์กลางของพระพทุ ธศาสนาที่สาคัญยิ่งแห่ง หน่ึงในสมยั พุทธกาล คือ องค์สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้า เสด็จเยี่ยมเวสาลีครั้งแรก ในพรรษา 5แห่ง การตรัสรู้ ตามการกราบทูลเชิญของคณะผู้ครองแคว้น ในคราวที่เวสาลีประสพทุพภิกขภัยข้าวยาก หมากแพง และฉาตกภัยร้ายแรง ผู้คนล้มตายนับจานวนไม่ถ้วน และเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับท่ี เวสาลีแล้ว ด้วยอานาจพุทธานุภาพ ทาให้ภัยต่าง ๆ สงบลงและหมดส้ินไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว ในปี น้ัน พระองค์เสด็จจาพรรษาที่ กูฎาคารศาลา ในป่ามหาวันใกล้เวสาลี และปรากฎหลักฐานว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จสู่นครเวสาลีอีกหลายครั้ง ต่างวาระกัน ที่สาคัญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไดท้ รงแสดงพระสตู รท่สี าคัญท่เี มืองเวสาลนี หี้ ลายสตู ร เชน่ รตนสูตร มหาสีหนาทสูตร เตวชิ ชสูตร และ สารันททสตู ร เป็นตน้ อกี ทัง้ ได้ทรงแสดงอปริหานยิ ธรรม 7 ประการ แก่เจ้าลิจฉวีจานวนมาก ท่ีพากัน มาเขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจ้า ณ สารันททเจดีย์ อันเป็นท่ีทรงแสคงพระสูตรดังกล่าว อีกทั้งเมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จเข้าจาพรรษาท่ีเวฬุวคามอันเป็นพรรษาสุดท้าย ทรงปลงอายุสังขารท่ีปาวารเจดีย์ และ เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วได้ 100 ปี ได้มีการทาสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งท่ีสอง ณ วาลุกาคาม ซ่ึงทั้งหมดอยู่ท่ีเวสาลี นครหลวงแห่งแคว้นวัชซี (พระราชธรรมมุณี (เกียรติ สุกิตฺติ), 2549, หนา้ 2) แควันวัชชีในสมัยพุทธกาล มีเมืองหลวงช่ือว่า เวสาลี หรือ ไพสาลี หรือไวสาลี กล่าวได้ว่าเป็น แควันที่รุ่งเรืองมากแคว้นหนึ่ง มีการปกครองแบบคณะราชย์ หรือสามัคคีธรรม หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยลักษณะหนึ่ง กล่าวคือเป็นการปกครองแบบไม่มีกษัตริย์เป็น ประมขุ ที่ทรงอานาจตัดสินใจสิทธ์ิขาด มีแต่ผู้ได้รับเลือกให้เป็นประมุขแห่งรัฐ การบริหารงานโดยการ ปรึกษาหารอื กบั สภา ซ่ึงประกอบด้วยสมาชิกแห่งเจา้ วงศต์ า่ ง ๆ รวมเข้าด้วยกันเป็นคณะผู้ครองแคว้น
86 โดยคณะผู้ครองแควันดังกล่าวน้ีประกอบด้วย เจ้าหรือกษัตริย์วงศ์ต่าง ๆ รวมกันถึง 8 วงศ์ด้วยกัน และในจานวนน้ี วงศ์ลิจฉวีแห่งเวสาลี และวงศ์วิเทหะแห่งมิถิลาเป็นวงศ์ที่มีอิทธิพลมากท่ีสุด ในเวลาน้ัน อปริหานิยธรรม 7 ประการที่กษัตริย์ลิจฉวีนามาเป็นธรรมนูญในการปกครองบ้านเมือง อัน เป็นหลักธรรมะทางพระพุทธศาสนา ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ในคราวท่ีพระองค์ เสด็จมาเยือนยังแควันวัชชีคร้ังแรก ตามคาอาราธนานิมนต์ของเจ้าลิจฉวีมีพระนามว่า มหาลิ ในครั้ง น้นั พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ช่อื รตั นสูตร ว่าด้วยธรรมอันเป็นพ้ืนฐานของพุทธศาสนิกชน อีกทั้งได้ทรงแสดงอปริหานิยธรรม 7 นี้แก่กษัตริย์ลิจฉวีท้ังหลายด้วย โดยสาระสาคัญของอปริหานิย ธรรมน้ีเป็นธรรมะท่ีมุ่งเน้นไปถึงความสมัครสมาน สามัคคี อันเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ หมู่คณะ โดยนาจุดเด่นกลบจุดด้อย อีกท้ังส่งเสริมการเมืองระบอบต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม กล่าวได้ว่า เปน็ เทคนิคในการบริหารองคก์ ร ท้งั ดา้ นการบรหิ ารทด่ี ี การวางตัวของสมาชิก และการสมานไมตรีกับ หมู่คณะ และรวมไปถึงการแสดงหน้าที่ของรัฐ หน้าท่ีของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นธรรมท่ีเกี่ยวกับการ ปกครองบ้านเมอื งโดยตรง เมอื่ กษัตรยิ ล์ จิ ฉวไี ดน้ าหลกั อปริหานิยธรรม 7 ประการน้ีไปใช้เป็นธรรมนูญ ทางการปกครองในแคว้นวัชซีแล้ว ทาให้แคว้นวัชชีก็กลายเป็นแว่นแควันที่ยิ่งใหญ่ มีพลานุภาพ มีแสนยานุภาพทางการทหาร จนเป็นท่ียาเกรงของแว่นแคว้นทั้งหลาย จนกลายเป็นแว่นแควันที่มี อานาจ เละประสบความสาเร็จอยา่ งมากมายมหาศาลในเวลาตอ่ มา ในส่วนของการบรหิ ารงานราชกิจต่าง ๆ ของรัฐน้ัน กล่าวได้ว่า เม่ือมีราชกิจ หรือการงานอันใด ที่จะต้องทาสมาชิกก็จะต้องนาราชกิจนั้น ๆ เข้าสู่สภา เพ่ือที่จะเสนอให้ที่ประชุมช่วยกันปรึกษา และพิจารณา ไตรต่ รอง แสดงความคดิ เห็น ถือเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนได้มีส่วนร่วมในการ แสดงความคิดเห็น และอภิปรายถึงผลดี และผลเสีย เม่ือท่ีประชุมมีมติความเห็นชอบอย่างไรแล้ว โดยได้ข้อสรุปและแนวทางแล้ว ทุกคนก็เคารพเสียงส่วนมาก แล้วจึงนาญัตติน้ันไปสู่ภาคปฏิบัติ โดย การบรหิ ารมีโครงสร้างคล้ายคลึงกบั ระบอบรฐั สภาในปจั จบุ ัน 3.3.2 ความหมายของอปริหานยิ ธรรม 7 อปริหานิยธรรม เป็นหลักธรรมท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์ท่ีสาคัญทางพระพุทธศาสนา ใน พระไตรปิฎก ในพระสุตตันตปิฎก มีกล่าวอยู่ในอรรถคถาหลายหมวดด้วยกัน เช่น ในทีฆนิกาย มหาวรรด และในองั อตุ ตรนิกาย สตั ตกนิบาต อปริหานิยธรรม โดยทั้งส้ินเป็นหลักธรรมท่ีเก่ียวข้องกับ ผูท้ เี่ ปน็ นกั บรหิ ารปกครองโดยเฉพาะ ซ่ึงเก่ียวข้องกับพุทธบริษัทโดยตางในฐานะที่เป็นแนวหลักธรรม คาสอนทางพระพุทธศาสนาด้วย โดยความหมายตามแล้วมีผู้รู้หลายทา่ นได้ให้ทัศนะไวด้ ังนี้ คอื อปริหานิยธรรม 7 ของกษัตริย์วัชชี หรือ วัชชีอปริหานิยธรรม 7 (ธรรมอันไม่เป็นท่ีต้ังแห่ง ความเสอื่ ม เป็นไปเพอ่ื ความเจริญฝา่ ยเดยี ว สาหรับหม่ชู น หรอื ผ้บู รหิ ารบา้ นเมือง) 1. หมน่ั ประชุมกนั เนืองนติ ย์ 2. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทากิจที่พึงทา ข้อน้ี แปลอกี อย่างหนง่ึ วา่ : พรอ้ มเพรียงกนั ลกุ ขึ้นป้องกนั บ้านเมอื ง พรอ้ มเพรียงกันทากจิ ทง้ั หลาย 3. ไม่บัญญัติสิ่งท่ีมิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตาม หลักการเดิม) 4. ทา่ นเหล่าใดเป็นผูใ้ หญใ่ นชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านัน้ เห็นถอ้ ยคาของทา่ น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138