บันทกึ ขอความ จธ. 1 (สำหรบั นกั ศึกษา) สวนราชการ ภาควชิ า หลกั สูตรการแพทยแผนไทย โทร ๑๐๙ ท่ี สธ ๑๑๐๔.๐๒ / วันท่ี ๒๘ กนั ยายน ๒๕๖๔ เรอ่ื ง ขอสงโครงการวจิ ัยเพ่ือรับการพิจารณารับรองจรยิ ธรรมการวิจยั ในมนุษย เรียน ประธานคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวจิ ยั ในมนุษย ขาพเจา นางสาว อรวรรยา เมรัตน และ นางสาว จีราพรรณ นึกสม นกั ศึกษาหลักสตู ร การแพทยแผนไทยบัณฑติ สาขาวิชา การแพทยแผนไทย ไดทำโครงการวิจัย เรือ่ ง (ระบ)ุ การศึกษาเทียบเคยี งโรคหละ ละออง จากคัมภรี ปฐมจินดาร กับโรคทางการแพทยแผนปจจุบัน โดยมอี าจารย สพุ รรษา สขุ สมทรง เปนประธานคณะกรรมการท่ีปรึกษาโครงการวิจยั โครงการวจิ ยั ดงั กลาวไดผานการสอบโครงรางการวิจยั เมอื่ วันท่ี ๒๓ สงิ หาคม ๒๕๖๔ และคณะผวู ิจัยไดดำเนินการ ปรบั แกตามขอเสนอแนะของคณะกรรมการสอบโครงรางการวิจยั แลว คณะผูวิจยั มีความประสงคขอขอสงเอกสารเพื่อรับการพิจารณารับรองจรยิ ธรรมการวจิ ัย ในมนุษยพรอมกันนี้คณะผูวิจัยไดสงโครงการวิจัยพรอมสำเนาจำนวน 3 ชุด ซึ่งเอกสารแตละชุด ประกอบดวย (จธ 1 สำหรับนักศึกษา) แบบเสนอโครงรางการวิจัยเพื่อขอรับการพิจารณาจริยธรรมการ วจิ ัยในมนษุ ย (จธ.2 สำหรับนกั ศึกษา) จึงเรียนมาเพื่อโปรดพจิ ารณาและดำเนินการตอไปดวย จะขอบคุณย่ิง ลงชอื่ อภรรยา ตเม ) ( นางสาว อรวรรยา เมรัตน ประธานโครงการวจิ ัย ลงชือ่ ) ลงชือ่ rnsszrmy asonoztthfsgggssazpcstostnczsonrsszcngrrtzzrs ( อาจารย ภควรรณ เหลาบัวดี ) ( อาจารย สุพรรษา สขุ สมทรง อาจารยผูรับผดิ ชอบรายวชิ า ประธานคณะกรรมการทีป่ รึกษางานวจิ ัย ลงชือ่ ( อาจารย นริ ตุ ิ ผง่ึ ผล ) หวั หนาภาควิชา/ประธานหลักสตู ร ร์นั
จธ. 2 (สำหรับนกั ศกึ ษา) แบบเสนอโครงการวิจยั เพื่อรบั การพจิ ารณาจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในมนษุ ย วิทยาลัยการสาธารณสุขสริ ินธร จังหวัดชลบุรี ประจำปการศึกษา........2..5...6..4................. __________________________________________________________________________________ 1. ช่ือโครงการ : (ภาษาไทย) การศึกษาเทยี บเคยี งโรคหละ ละออง จากคัมภรี ปฐมจินดากบั โรคทางการแพทยแผนปจจบุ ัน (ภาษาองั กฤษ) The Study Comparing Laryngitis From Pathomjinda Scripture With Conventional Medicine 2. โครงการวจิ ัยอยภู ายใตแผนการวิจัยของวทิ ยาลัย ฯ เปนการวจิ ยั การเรยี นการสอน ในคลินิก ในชุมชน วจิ ัยสถาบัน 3. ชื่อคณะผูวจิ ยั (ระบุรายช่ือทุกคน) 1. นางสาวอรวรรยา เมรตั น 2. นางสาวจรี าพรรณ นึกสม 4. ชอื่ ผูทรงคณุ วุฒิ (ถามี) 1. อาจารย สพุ รรษา สขุ สมทรง 2. อาจารย วราภรณ รตั นพาหิระ 5. วารสารเผยแพรผลงาน ระบุ ( วารสารทส่ี ามารถนบั ไดตามมาตรฐาน สกอ.รับรอง จำนวน 3 เลม ) 5.1 วารสารการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก 5.2 วารสารหมอยาไทยวิจัย มหาวิทยาลยั ราชภัฏอุบลราชธานี 5.3 วารสารการแพทยและวทิ ยาศาสตรสขุ ภาพ 6. หนวยงานทจ่ี ะนำผลการวิจัยไปใชประโยชน คณะการแพทยแผนไทยและการแพทยแผนไทยประยกุ ตของสถาบนั การศกึ ษาตางๆท่วั ประเทศ 7. โครงการวิจยั โดยยอ 7.1 ความเปนมาและความสำคญั ของการศกึ ษาวจิ ยั ของโครงการวจิ ัยนี้ การแพทยแผนไทยเปนภมู ปิ ญญาดานการดูแล รกั ษาสุขภาพของชนชาตไิ ทย ท่มี กี ารใชสบื ทอดกันมา อยางยาวนาน จนกระทั่งการแพทยแผนปจจบุ นั เขามามบี ทบาทมากขนึ้ ความเชอื่ ถือและการเลือกใชการแพทย แผนไทยจึงลดนอยลง แตอยางไรก็ตาม การจัดบริการแพทยแผนปจจบุ นั ซ่ึงเปน การแพทยกระแสหลักยังคงมี ขอจำกดั ในการตอบสนองความตองการของประชาชนดานการดูแลสุขภาพขอประชาชนท่คี รอบคลุมและทัว่ ถงึ ตอเนือ่ ง จงึ ทำใหมกี ารผลกั ดันภมู ิปญญาดานการแพทยแผนไทยเขาสนู โยบายสขุ ภาพ ระดับชาติมากขึ้นเปนลำดบั
โครงร่างวิจยั เรื่อง เรื่อง การศึกษาเทียบเคยี งโรคหละ ละออง จากคมั ภรี ์ปฐมจินดา กบั โรคทางการแพทย์แผนปัจจุบนั The Study Comparing Laryngitis From Pathomjinda Scripture With Conventional Medicine โดย นางสาวอรวรรยา เมรัตน์ นางสาวจรี าพรรณ นึกสม งานวจิ ัยนเี้ ป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษา วิชาโครงงานพเิ ศษทางด้านการแพทย์แผนไทย (65741560) หลกั สูตรการแพทย์แผนไทยบณั ฑติ สาขาการแพทย์แผนไทย วทิ ยาลยั การสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดชลบุรี ร่วมผลติ คณะการแพทย์แผนไทยอภยั ภูเบศร มหาวทิ ยาลยั บรู พา ลขิ สิทธ์ิเป็ นของวิทยาลยั การสาธารณสุขสิรินธร จังหวดั ชลบุรี ร่วมกบั มหาวทิ ยาลยั บูรพา
สารบัญ บทที่ หนา้ บทท่ี 1 .....................................................................................................................................................1 บทนา.......................................................................................................................................................1 ที่มาและความสาคญั ............................................................................................................................1 วตั ถุประสงค.์ .......................................................................................................................................4 ขอบเขตการวิจยั ..................................................................................................................................4 1. ขอบเขตดา้ นเน้ือหา .....................................................................................................................4 2. ขอบเขตดา้ นระยะเวลาการศึกษา.................................................................................................4 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ .................................................................................................................4 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ.................................................................................................................................5 บทท่ี 2 เอกสารงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ..........................................................................................................6 งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง.............................................................................................................................46 บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินการวิจยั ................................................................................................................51 รูปแบบงานวิจยั .................................................................................................................................51 เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ...................................................................................................................51 แหล่งขอ้ มูลในการวิจยั ......................................................................................................................51 เกณฑก์ ารคดั เลือกขอ้ มูล....................................................................................................................52 การดาเนินการวิจยั .............................................................................................................................53 บรรณานุกรม ......................................................................................................................................... 55
1 บทที่ 1 บทนา ทมี่ าและความสาคัญ การแพทยแ์ ผนไทยเป็ นภูมิปัญญาดา้ นการดูแล รักษาสุขภาพของชนชาติไทย ที่มีการใช้สืบ ทอดกนั มาอยา่ งยาวนาน จนกระทง่ั การแพทยแ์ ผนปัจจุบนั เขา้ มามีบทบาทมากข้ึน ความเชื่อถือและการ เลือกใช้การแพทยแ์ ผนไทยจึงลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม การจดั บริการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ซ่ึงเป็ น การแพทย์กระแสหลกั ยงั คงมีขอ้ จากัดในการตอบสนองความต้องการของประชาชนด้านการดูแล สุขภาพขอประชาชนท่ีครอบคลุมและทว่ั ถึง ประเด็นที่องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization: WHO) ให้ความสาคญั ในปี พ.ศ. 2521 องค์การอนามยั โลก ไดป้ ระกาศนโยบาย Health for All by the Year 2000 หรือสุขภาพดีถว้ นหนา้ ในปี พ.ศ. 2543 โดยระบุวา่ การมี สุขภาพดีเป็นสิทธิข้นั พ้ืนฐานของ มนุษยท์ ุกคนท่ีพึงไดร้ ับ ส่ิงน้ีส่งผลใหป้ ระเทศไทยเร่ิมมีนโยบายการสาธารณสุขมูลฐานในแผนพฒั นา สุขภาพแห่งชาติจนกระทงั่ มาถึงฉบบั ปัจจุบนั คือ ฉบบั ที่ 12 ไดก้ ล่าวถึงการปฏิรูประบบสาธารณสุข เพ่ือให้มีระบบบริการสุขภาพที่เป็ นมาตรฐานครอบคลุมและเชื่อมโยงทุกระดบั มีความเป็ นธรรม ยึด ผูร้ ับบริการเป็ นศูนยก์ ลาง มีประสิทธิภาพ ภายใตง้ บประมาณท่ีเหมาะสม ประเด็นในการปฏิรูป คือ ระบบบริการปกติ (ระดบั ปฐมภูมิ ติภูมิ ตติยภูมิ และตติยภูมิข้นั สูง) การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกนั โรค การแพทยฉ์ ุกเฉิน การพฒั นากาลงั คนดา้ นสุขภาพแบบองค์รวม การพฒั นายุทธศาสตร์เร่ืองยา การแพทยแ์ ผนไทยและสมุนไพร และการส่ือสารดา้ นสุขภาพ ประกอบกบั สถานการณ์ ค่าใชจ้ ่ายดา้ น การแพทยแ์ ละสาธารณสุขแผนปัจจุบนั มีอตั ราที่เพ่ิมข้ึนอย่างต่อเน่ือง จึงทาใหม้ ีการผลกั ดนั ภูมิปัญญา ดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยเขา้ สู่นโยบายสุขภาพ ระดบั ชาติมากข้ึนเป็นลาดบั การแพทยแ์ ผนไทยจึงกลบั มา มีบทบาทอีกคร้ังโดยการกระตุน้ ให้โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามยั มีการตื่นตวั ในการพฒั นางาน ดา้ น การแพทยแ์ ผนไทยและสมนุ ไพรและสนบั สนุนใหข้ ยายบริการในโรงพยาบาลของรัฐอยา่ งตอ่ เนื่อง (คณะกรรมการอานวยการ กระทรวงสาธารณสุข,2559) ปัจจุบนั เป็ นท่ียอมรับกนั แลว้ ว่าการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหา สุขภาพไดท้ ้งั หมด เน่ืองจากเป็นระบบการแพทยท์ ่ีมีราคาสูง ตอ้ งพ่ึงพิงเวชภณั ฑ์ อปุ กรณ์ทางการแพทย์ จากต่างประเทศ ซ่ึงเป็นขอ้ จากดั ที่สาคญั ท่ีทาให้การแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ไม่สามารถใหบ้ ริการประชาชน ไดอ้ ย่างทวั่ ถึงและเท่าเทียมกนั (ดารณี อ่อนชมจนั ทร์, 2548) ดงั น้ันการหันไปศึกษาภูมิปัญญาในการ
2 ดูแลรักษาสุขภาพของ การแพทยพ์ ้นื บา้ นเพือ่ ดึงสิ่งท่ียงั เหมาะสมกบั ยคุ สมยั มาปรับใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ สูงสุดในสถานการณ์จริงของชุมชนย่อมเป็ นสิ่งท่ีควรพิจารณาเพราะการแพทยพ์ ้ืนบา้ นไม่ไดแ้ ยกออก จากการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั แต่ดารงอยู่อย่างเก้ือกูลซ่ึงกนั และกนั ดงั น้นั การพฒั นาสาธารณสุขจึงควร พฒั นาการแพทยท์ ุกระบบไปพร้อมกนั แลว้ ให้ประชาชนเป็นผเู้ ลือก รูปแบบของการรักษาท่ีเหมาะสม ดว้ ยตนเองเพราะถึงแมว้ ่าการรักษาโรคของแพทยแ์ ผนปัจจุบนั จะเจริญกา้ วหน้ามากเพียงใด แต่ยงั มี ประชาชนจานวนหน่ึง ที่ยงั คงใชว้ ธิ ีการรักษาดว้ ยการแพทยแ์ ผนไทยซ่ึงเป็นภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่นท่ีสืบทอด ต่อกนั มา ทางกรมการแพทยแ์ ผนไทยและกรแพทยท์ างเลือก จึงมีนโยบายในการส่งเสริมการแพทยแ์ ผน ไทย ดว้ ยแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดา้ นสาธารณสุข สู่แผนยุทธศาสตร์กรมการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ทางเลือก 2560-2564 ท่ีมีการกล่าวถึงการพัฒนาวิชาการด้านการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ทางเลือกโดยคุ้มครองอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมและ พฒั นาการจัดระบบความรู้และสร้างมาตรฐานด้านการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือกให้ ทดั เทียมกบั การแพทยแ์ ผนปัจจุบนั และนาไปใชใ้ นระบบสุขภาพอย่างมีคุณภาพและปลอดภยั เพ่ือเป็ น ทางเลือกแก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ โดยมียุทธศาสตร์อีก 4 ยทุ ธศาสตร์ ดงั น้ี 1. ส่งเสริมผลิตผล ของสมุนไพรไทยท่ีมีศกั ยภาพ 2.พฒั นาอุตสาหกรรมและการตลาดสมุนไพรไทยให้มีคุณภาพระดับ สากล 3. ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพ่ือการรักษาโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น เพ่ิมตารับยา สมุนไพรในบญั ชียาหลกั แห่งชาติ 50 รายการ ขยายบริการการแพทยแ์ ผนไทยพฒั นาการศึกษาของ การแพทยแ์ ผนไทยเพิ่มบุคลากรดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยเป็ นตน้ 4.สร้างความแข็งแรงของการบริหาร และนโยบายภาครัฐ (กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือก,2560) จากรายงานการพฒั นาเด็กและเยาวชน ประจาปี 2562 ประชากรเด็กมีจานวนเพ่ิมข้ึน 271,400 คนและเพิม่ ข้ึนมาตลอดทุกปี ส่งผลใหก้ ารดูแล รักษาเดก็ น้นั เป็นส่ิงที่จาเป็นเพราะเดก็ ก็เป็นประชากรท่ี เป็นกาลงั ในการพฒั นาประเทศต่อไปในอนาคต และเราควรให้ความสาคญั ส่งเสริมสุขภาพร่างกายเดก็ ต้งั แต่เริ่มตน้ เม่ือกล่าวถึงความเจ็บป่ วยในเด็กโดยส่วนมากน้นั เป็นโรคเกี่ยวกบั ทางเดินหายใจและช่อง ปาก เช่น เป็ นไข้ ไอ เจ็บคอ ลิ้นเป็ นฝ้า มีเม็ดในปากในคอ ในทางการแพทยแ์ ผนไทยกล่าวว่าอาการ เหล่าน้ีอยู่ในกลุ่มโรคหละ ละออง ลมซาง และทบั ซ่ึงเกิดกบั เด็กต้งั แต่แรกคลอดกระทงั่ อายุ 5-6ขวบ (มาลา สร้อยสาโรง,2553,น.61) ประชาชนมกั จะรู้จกั และคุน้ เคยกบั โรคซาง ลมซางและตานโจรเป็ น ส่วนใหญ่ สามารถสังเกตได้จากข้อมูลมากมายท่ีสามารถสืบคน้ ได้ท้งั ในอินเทอร์เน็ตและหนังสือ เก่ียวกบั การแพทยแ์ ผนไทย หละ ละออง เป็ นอีกโรคหน่ึงที่เกิดข้ึนในเด็กเช่นเดียวกบั ซางและยงั เป็ น กลุ่มโรคเดียวกันอีกด้วย ปัจจุบนั การรวบรวมขอ้ มูล การศึกษาเร่ืองหละและละอองมีเพียงเล็กน้อย
3 เท่าน้นั ถา้ นามาเปรียบเทียบกบั ขอ้ มูลของซาง ขณะที่ความเป็ นจริง โรคน้ีเกิดข้ึนในเด็กมาต้งั แต่สมยั อดีต และยงั มีวิธีการรักษาแต่ส่วนนอ้ ยที่จะมีการกล่าวถึง คมั ภีร์ปฐมจินดา ซ่ึงเป็นหลกั ของตารายาไทย มาต้งั แตอ่ ดีตและเป็นคมั ภีร์ที่กลา่ วถึงการกาเนิดชีวติ การดูแลรักษาสุขภาพของแม่และลกู ท้งั ก่อนคลอด และหลงั คลอด โรคหละ และละอองเป็นโรคในเด็กที่เกิดข้ึนเมื่อทารกไดค้ ลอดออกมาแลว้ และจะเกิด แต่เพียงในทารก เมื่อมีการรวบรวมมาต้งั แต่สมยั อดีตแสดงใหเ้ ห็นถึงการให้ความสาคญั เกี่ยวกบั โรคที่ เกิดข้ึนในเด็ก เราจึงไม่ควรมองขา้ มโรคใดโรคหน่ึงไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงในกลุ่มประชากรท่ีมีอตั รา เพิ่มข้ึนทุกปี อย่างประชากรเด็ก ภายในคมั ภีร์ปฐมจินดามีการกล่าวถึงหละละอองไวม้ ากมาย ในบาง ตารากลา่ ววา่ มีหละถึง 5ชนิดและละออง 7 ชนิด โดยละออง เกิดเพราะไอร้อนในช่องทอ้ ง ทาใหเ้ กิดปุย สีขาวในช่องปาก ลาคอ กระพุง้ แกม้ หรือบนลิ้น หละมีเม็ดข้ึนสีขาว ข้ึนเป็ นดอกคลา้ ยดอกไมจ้ ะบาน ข้นึ เป็นกระจุก 4-5 เมด็ เป็นเมด็ เลก็ ๆ มีขนาดเทา่ เมลด็ พริกไทย ข้ึนตามกระพงุ้ แกม้ เพดาน วธิ ีการรักษา ตามศาสตร์การแพทยแ์ ผนไทยการรักษา โดยจะดาเนินการรักษาดว้ ยภูมิปัญญาทางการแพทยแ์ ผนไทย ไดแ้ ก่ ตาราท่ีถ่ายทอดกันมาต้งั แต่สมยั โบราณ โดยเริ่มต้งั แต่การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคหละ ละออง จดั ทาเป็นอยา่ ตม้ กิน ยาอาบ ยากกวาดลิ้น ยาสุมกระหม่อม ยาทา สมุนไพรท่ีไดม้ กั มาจากแหลง่ ธรรมชาติเนื่องจากการรักษาอาศยั ภมู ิปัญญาของพ้ืนที่น้นั ๆ (เกษรินทร์ เจริญสุข,2563,น.190) ดงั น้นั ผจู้ ดั ทาจึงมีความสนใจโรคที่เกิดข้ึนในปากในคอเด็กซ่ึงเป็นโรคพบมากในเด็กเป็นส่วน ใหญ่ และเป็ นโรคที่มีมาต้งั แต่สมยั อดีตแต่ยงั ขาดการรวบรวมท่ีชัดเจน และขาดการรวบรวมที่เป็ น ระเบียบ นอกจากน้ีประชากรเด็กที่มีจานวนเพิ่มข้ึนทุกปี โรคในปากในคอเด็กท่ีเกิดข้ึนย่อมมี ความสาคญั ปัจจุบนั กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลือกมีการจดั ทา แผนยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดา้ นสาธารณสุข มุ่งเนน้ การใหค้ วามสาคญั แก่แพทยแ์ ผนไทย สถานการณ์การแพทยแ์ ผนไทยกาลงั จะ เป็นที่รู้จกั ในวงกวา้ งข้ึน ประชาชนเริ่มหันมาสนใจศาสตร์การรักษาทางดา้ นน้ีมากข้ึน ผจู้ ดั ทาจึงนาโรค หละ ละอองซ่ึงเป็ นโรคในปากในคอเด็กที่มีการปรากฏมาต้งั แต่อดีต จากคมั ภีร์ปฐมจินดา มาทาการ เปรียบเทียบกบั โรคทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั เพื่อศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลเก่ียวกบั ลกั ษณะ อาการ แสดงของโรคหละ ละออง และเพ่ือให้ง่ายต่อการศึกษาแก่ผูท้ ่ีสนใจ นอกจากน้ียงั รวบรวมเพื่อเป็ น ประโยชนต์ อ่ ประชาชน และผศู้ ึกษางานวจิ ยั เพ่ือใหก้ ารแพทยแ์ ผนไทยเป็นอีกตวั เลือกหน่ึงในการรักษา และสามารถเป็นขอ้ มูลประกอบการตดั สินใจ ในการเลือกรักษาโรคหละ ละออง ของประชาชน เพอ่ื ให้ การรักษาดว้ ยศาสตร์การแพทยแ์ ผนไทยอยคู่ ูก่ บั ประเทศไทยของเราตอ่ ไปไดอ้ ีกนานเท่านาน
4 วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ศึกษารวบรวมลกั ษณะอาการแสดงของโรคหละ ละออง ในคมั ภีร์ปฐมจินดา 2. เพื่อศึกษารวบรวมลกั ษณะอาการแสดง ของโรคในปากในคอเด็กในทางการแพทยแ์ ผน ปัจจุบนั 3. เพื่อเปรียบเทียบโรคหละ ละออง ในคมั ภีร์ปฐมจินดาและโรคในปากในคอเด็ก กบั ทาง การแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ขอบเขตการวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นเน้ือหา การวิจยั คร้ังน้ีเป็ นการศึกษา เกี่ยวกบั อาการแสดง โรคหละ ละออง ในคมั ภีร์ปฐมจินดา จากตาราทางการแพทยแ์ ผนไทย ท้งั หมด 3 เล่ม ได้แก่ ตาราแพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทาง การแพทยแ์ ละมรดกทางวรรณกรรมของชาติ,ตาราเวชศาสตร์ฉบบั หลวง รัชกาลท่ี 5 เล่ม 1,2 และตารา เวชศาสตร์ฉบบั หลวงของพระยาพิษนุประสาทเวช เล่ม 1,2 เพื่อนามาเทียบเคียงกบั โรคในปากในคอ เด็กทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ที่มีลกั ษณะอาการแสดงคลา้ ยคลึงกนั สามารถนามาเทียบเคียงกนั ได้ จาก หนงั สือ ตารา หรือแหล่งขอ้ มูลต่างๆผลงานการวิจยั จากอินเทอร์เน็ต ที่มีความน่าเชื่อถือและไดร้ ับการ ยอมรับในทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ซ่ึงไดร้ ับการตรวจสอบจากผเู้ ช่ียวชาญทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั ว่ามีความถูกตอ้ งเหมาะสมแก่การนามาใชเ้ ทียบเคียง รวมท้งั ผลงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั โรคหละ ละออง หรือโรคในปากในคอเดก็ ในทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั 2. ขอบเขตดา้ นระยะเวลาการศึกษา เดือนพฤษภาคม 2564 จนถึง เดือนสิงหาคม 2564 เป็นระยะเวลารวม 3 เดือน ประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รับ 1. ผวู้ ิจยั ผศู้ ึกษางานวจิ ยั และประชาชนไดร้ ับความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั โรคหละ ละอองจาก คมั ภีร์ปฐมจินดา 2. ผวู้ จิ ยั ผศู้ ึกษางานวจิ ยั และประชาชนไดท้ ราบถึงโรคในปากในคอเดก็ ทางการแพทยแ์ ผน ปัจจุบนั ที่ตรงกบั อาการแสดงของโรคหละ ละอองในคมั ภีร์ปฐมจินดา
5 3. งานวิจยั เป็นประโยชน์ต่อผทู้ ่ีตอ้ งการขอ้ มูลประกอบการตดั สินใจในการเลือกการรักษาโรค หละ ละออง หรือโรคที่เกิดข้ึนในปากในคอเดก็ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. คัมภรี ์ปฐมจินดา หมายถึง ตาราแพทยแ์ ผนไทย ท่ีเกี่ยวกบั แม่และเดก็ ซ่ึงมีเน้ือหาท่ีเกี่ยวกบั โรคในเด็ก ไดแ้ ก่ โรคหละ ละออง รวมท้งั มีการกล่าวถึงวิธีการรักษาโรคหละ ละอองตามศาสตร์ของ การแพทยแ์ ผนไทย 2. หละ หมายถึง ชื่อโรคชนิดหน่ึงท่ีเกิดข้ึนในเด็ก โดยจะเกิดข้ึนบริเวณเพดาน กระพุง้ แกม้ ริมฝีปากหรือลิน้ ลกั ษณะเป็นตมุ่ แขง็ เกิดในเดก็ อ่อน เดก็ จะดูดนมไม่ไดเ้ พราะเจบ็ ปาก 3. ละออง หมายถึง ช่ือโรคชนิดหน่ึงที่เกิดข้ึนในเด็ก มีลกั ษณะเป็ นปุยหรือฝ้าขาว ในปาก ลาคอและกระพงุ้ แกม้ หรือบนลิ้น 4. โรคในปากในคอเด็ก หมายถึง โรคที่เกิดข้ึนภายในปากและคอของเด็ก บริเวณเพดาน กระพุง้ แกม้ ริมฝี ปากหรือลิ้น ลกั ษณะเป็ นตุ่มแข็งและมีลกั ษณะเป็ นปุยหรือฝ้าขาว ในปากลาคอและ กระพุง้ แกม้ หรือบนลิน้ 5. การเทียบเคียง หมายถึง การเทียบเคียงอาการแสดงของโรคทางการแพทยแ์ ผนไทยกบั การแพทยแ์ ผนปัจจุบนั 6. อาการแสดง หมายถึง อาการท่ีบุคคลากรทางการแพทยต์ รวจพบ
6 บทที่ 2 เอกสารงานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง งานวิจยั เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบโรคหละ ละอองจากคมั ภีร์ปฐมจินดากบั โรคทางการ แพทยแ์ ผนปัจจุบนั และวิธีการรักษา มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษารวบรวมลกั ษณะ อาการและวิธีการรักษา โรคหละ และละออง ในคมั ภีร์ปฐมจินดาและเพ่ือเปรียบเทียบโรคหละ ละออง และโรคในปากในคอ เด็ก กบั ทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั โดยทาการศึกษา คน้ ควา้ และรวบรวม อนั ประกอบดว้ ย เอกสาร วิชาการ ตาราต่าง ๆ และงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง เพ่ือให้คลอบคลุมงานวิจยั ผูว้ ิจยั ไดแ้ บ่งประเด็นท่ีศึกษา ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ลกั ษณะอาการแสดงโรคหละ ละอองจากคมั ภีร์ปฐมจินดา 2. ลกั ษณะอาการแสดงของโรคในปากในคอเด็กทางการแพทยแ์ ผนปัจจุบนั 3. งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง คมั ภีร์ปฐมจินดา คมั ภีร์ปฐมจินดากล่าวถึงการกาเนิดชีวิต การดูแลรักษาสุขภาพของแม่และลูกท้งั ก่อนคลอด และหลงั คลอด รวมถึงมีการบนั ทึกเกี่ยวกบั โรค หละ ละอองไวด้ ว้ ย ซ่ึงคมั ภีร์ปฐมจินดามีการปรากฏอยู่ ในตาราหลายเล่มท่ีใชใ้ นการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทยแ์ ละ มรดกทางวรรณกรรมของชาติ ตาราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลท่ี 5 เล่ม 1,2 ตาราแพทย์ศาสตร์ สงเคราะห์พระยาพศิ ณุประสาทเวช เล่ม 1,2 โดยในแต่ละตารามีรายละเอียดดงั น้ี 1. ลกั ษณ อาการแสดงและวิธีการรักษาโรคหละ ละอองและวิธกี ารรักษา 1.1 ตาราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของ ชาติ หนงั สือแพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทยแ์ ละมรดกทางวรรณกรรมของ ชาติอุดมสมบูรณ์ดว้ ยองคค์ วามรู้อนั เป็นภูมิปัญญาตะวนั ออกผสานดว้ ยภมู ิปัญญาไทยดา้ นเวชกรรมและ เภสัชกรรมแลว้ ยงั เป็นหนงั สือท่ีแฝงไวด้ ว้ ยปรัชญาอนั มีคุณค่า อุดมสมบูรณ์ดว้ ยเน้ือหาที่ครอบคลุมท้งั จกั รวาลวิทยา โลกทศั น์ และวิธีคิดของคนโบราณ รวมไปถึงระบบความเชื่อพิธีกรรม คาถา และวิธี
7 เยียวยาแผนโบราณ สาหรับคมั ภีร์ปฐมจินดาน้ันเป็นคมั ภีร์ที่มีเน้ือหามากมาย ถือเป็นคมั ภีร์ท่ีใหญ่ อีก หน่ึงคมั ภีร์ โดยคาว่า \"ปฐมจินดา\" น่าจะหมายถึง \"ชีวิตใหม่ที่เริ่มตน้ อนั มีคุณค่าดุจดงั แกว้ มณี\" ในบาง ฉบบั ช่ือของคมั ภีร์อาจเขียนอย่างอ่ืนๆ เช่น \"ประถมจินดา\"และ \"ปฐมจินดา\" เป็ นตน้ พระคมั ภีร์ปฐม จินดา น่าจะมีมาแลว้ ต้งั แต่สมยั อยุธยาพระคมั ภีร์น้ีได้รับการยกย่องว่าเป็ นคมั ภีร์ท่ีวิเศษเป็ นหลกั เป็ น ประธานแห่งคมั ภีร์ฉนั ทศาสตร์ท้งั ปวง ซ่ึงหมายความวา่ พระคมั ภีร์ปฐมจินดา เป็นหลกั ของตารายาไทย มาต้งั แต่อดีตและเป็นคมั ภีร์ที่กล่าวถึงการกาเนิดชีวิต การดูแลรักษาสุขภาพของแม่และลูกท้งั ก่อนคลอด และหลงั คลอด โรคหละ และละอองน้นั เป็นโรคในเด็กที่เกิดข้ึนเม่ือทารกไดค้ ลอดออกมาแลว้ และจะ เกิดแต่เพียงในทารก ในตาราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทาง วรรณกรรมของชาติน้ี ไดก้ ล่าวถึง โรคหละและละอองดงั น้ี ลกั ษณะ อาการแสดงหละในคัมภีร์ปฐมจนิ ดา และวธิ กี ารรักษา หละอุทยั กาล อาการแสดง อนั ว่าลกั ษณะหละอุไทยกาล เมื่อจะบงั เกิดน้ันให้ชกั เทา้ กา มือกาแลว้ มกั ให้กระทืบเทา้ ร้องไห้ แลใหอ้ ุจาระปัสสาวะมิออก วิธกี ารรักษา ยาแกห้ ละอุไทยกาลขนานน้ี ใหเ้ อาพมิ เสน เกลือสินเธาว์ 1 สะคา้ น 1 กะเทียม 1 บดทาแทง่ ไว้ ละลาย น้านมโค ทาปากกุมารหาย ยาจุดหละขนานน้ีทา่ นใหเ้ อา ฝาง 1 จนั ทน์ ท้งั สอง พมิ เสน 1 บดละลายน้ามะเกลือจุดหละ หาย หละแสงพระจันทร์ อาการแสดง อนั ว่าลักษณะหละแสงพระจันทร์น้ัน เมื่อจะบังเกิดข้ึนเม็ด เติบเท่าเม็ดเข้าโภชน์ มีสี เหลือง ข้ึนต้งั แตต่ น้ ขากนั ไกรซา้ ยฤาขวา ก็ดุจกนั แลว้ จึงกระทาใหล้ งทอ้ งตาแขง็ แลว้ ใหล้ ิน้ กระดา้ ง คาง แขง็ แลใหร้ ้องไหน้ ้าตาไม่มี ใหห้ นา้ ผากตึงแลว้ ใหต้ วั เยน็ ดงั น้ี วิธีการรักษา ขนานน้ีให้เอา เทียนดา 1 สารส้ม 1 ผลมะแวงั ท้งั 2 ดีปลี 1 รวมยา 4 สิ่งน้ี เอาเสมอภาค ทาเปนจุณเอาน้าสุราเปนกกระสาย บดทาแทง่ ไวก้ วาดหละแสงพระจนั ทร์ หายดีนกั
8 ขนานน้ีท่านใหเ้ อาน้าประสานทองมูลตุกแก 1 มลู แมลงสาบสิ่งละ 2 กล่า เมลด็ ในมะนาว 7 เมล็ดรวมยา 4 ส่ิงน้ีทาเปนจุณ เอาสุราเปนกระสาย บททาแท่งแทรกชะมดพิมเสนจุดหละแสง พระจนั ทร์หายดีนกั หละเนยี รกนั ถี อาการแสดง เมื่อแรกจะบงั เกิดข้ึนน้นั เห็นเขยี วดงั ใบไมส้ ุดแลว้ เปนสายโลหิตผา่ นไป อยใู่ น 5 วนั จะให้ ลงทอ้ งๆ ข้นึ แลว้ ใหฝ้ ีปากแหง้ คอแหง้ วิธีการรักษา ยาแกห้ ละเนรกนั ถี นิลเพลิง ท่านใหเ้ อา ใบน้าเตา้ 1 ใบผกั ไห่ 1 ใบประดู่ 1 ผลประคาดีด วาย 1 ใบฟักเขา้ 1 ใบจนั ทนห์ อม 1 รวมยา 6 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาค บดป้ันแท่งไวล้ ะลาย สุราชะโลมหาย ขนานน้ีท่านให้เอา เทียนดา 1 ใบหนาด 1 ดินประสิวขาว 1 พริกไทย 1 ดอกจนั ทน์ 1 รวม ยา 2 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเป็นจุณ บดป้ันแทง่ ไวล้ ะลายสุราทาปากกมุ ารหายดีนกั หละนิลกาฬ อาการแสดง อนั ลกั ษณะหละนิลกาฬน้นั เม่ือจบงั เกิดข้ึนให้ตายไปคร่ึงตวั ร้องไห้มิออก ถา้ ข้ึนอยไู่ ด้ 1 วนั 2 วนั กด็ ีกลายเปนมหานิลกาฬกลา้ ข้นึ ร้ายนกั ใหเ้ ขยี วไปท้งั ตวั วธิ กี ารรักษา ยาแกห้ ละนิลกาฬ ใหเ้ อาเปลือกปี บ 1 เมลด็ สารพดั พิษ 1 รากหนาด 1 เปลือกมะกรูด 1 ใบ คนทีสอ 1 รากผกั โหมหิน 1 การบูร 1 เปลือกทบั ทิม 1 พิมเสน 1รวมยา 9 สิ่งน้ีเอาเสมอ ภาคทาเปนจุณ บดปั่นแท่งไวล้ ะลายน้านมโค ทาปากหายดีนกั ถา้ มิฟังท่านใหเ้ อาใบถว่ั แระ 1 เถาตาลึงตวั ผู้ 1 น้าประสานทอง 1 รวมยา 4สิ่งน้ี กลว้ ย ตีบ 1 กานพลู 1 บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้าเปรียงพระโคทาเอาเสมอภาคทาเปนจุณ ปากไดเ้ ช่ือแลว้ หายดี นกั หละมหานลิ กาฬ อาการแสดง อนั วา่ ลกั ษณะหละมหานิลกาพน้นั ต้งั ข้ึนยอดดาดงั ยอดนิลข้ึนอยู่ 1 วนั แปรเปนแสงเพลิง ข้ึนอยู่ 2 วนั แปรไปเปนสลกั เพด็ ท้งั คกู่ ่อนท้งั 2 ขา้ งถา้ มหานิลกาพข้ึนใหต้ ายไปคร่ึงตวั ร้องไหม้ ิออกเลย
9 วธิ ีการรักษา ยาแกห้ ละมหานิลกาฬ ใหเ้ อาเปลือกฝ่ิ น 1 เปลือก มะกรูด 1 ผลสารพดั พิษ 1 รากหนาด 1 ใบคนทีสอ 1 รากผกั โหมหิน 1 ใบทบั ทิม 1 การบูร 1 พิมเสน 1 รวมยา 9 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้านมโคทาปาก หายดีนกั ถา้ มิฟังท่านใหเ้ อา ใบถวั่ แระ 1 กานพลู 1 น้า ประสารทอง 1 ตาลึงตวั ผู้ 1 รากกลว้ ยตีบ 1 รวมยา 9 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณบดป้ันแทง่ ไวล้ ะลายน้าเปรียงพระโค ทาปากหายดีนกั ลกั ษณะอาการแสดง ละออง ในคมั ภรี ์ปฐมจนิ ดา และวธิ กี ารรักษา ละอองเปลวไฟฟ้าและละอองทับทิม อาการแสดง อนั ว่าลกั ษณะละอองพระบาทเปลวไฟฟ้า ละอองทบั ทิมก็วา่ น้นั เม่ือจะต้งั ก็บงั เกิดข้ึนเมด็ ยอดแดงดงั น้าชาด มิฉะน้นั ดุจดงั ยอดทบั ทิม กระทาพิษ ให้ลิ้นกระดา้ งคางแขง็ แลใหต้ าแขง็ ให้ชกั เทา้ กามือกาให้ตวั ร้อนเปนกาลงั ถา้ แกม้ ิทนั ท่านกาหนดไวแ้ ต่เชา้ จนเที่ยงตาย ถา้ แพทยจ์ ะรักษาท่านห้าม อยา่ ใหว้ างยาอนั ร้อนเขา้ เหลา้ น้ามนั น้าส้มน้นั เลย ท่านใหแ้ กด้ ว้ ยยาอนั เยน็ หอมฝาดขมน้นั จ่ึงรอดชีวิตแล ละอองพระบาท 7 ประการน้ีดุจกนั วิธีการรักษา ยาแกล้ ะอองเปลวไฟฟ้าและละอองทบั ทิม ให้เอาป่ ูเจา้ พุงแก ป่ ูเจา้ สมุงกุย ตบั เต่าท้งั สี หวดท้งั 2 นมแมวท้งั 2 ฉตั ร์พระอินทร์ 1รากไคร้เครือ 1 ระยอ่ ม 1 พศิ นาด 1 เนระภสู ี 1 จนั ทน์ท้งั 2 งวน หมู 1 รากประคาดีควาย 1โคนไมไ้ ผป่ ่ า 1 ผกั แพวแดง 1 รวมยา 19 สิ่งน้ีเอาเสมอภาดทาเปนจุณ บดป้ัน แทง่ ไวล้ ะลายน้าดอกไม้ น้าปูนใสก็ได้ ทาปากกุมารหายดีนกั ขนานหน่ึงท่านให้เอา รากทองหลางหนาม 1 รากพุงดอ 1 รากมะกล่าเครือ 1 กฤษณา 1 จนั ทน์ท้งั 2 ผลเบญ็ กานี 1 สีเสียดเทศ 1 รวมยา 8 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้า ทลายหมากดิบทาปากกไ็ ดก้ วาดก็ได้ หายแล ละอองแก้ววเิ ชียร อาการแสดง อนั วา่ ลกั ษณะละอองแกว้ วิเชียรน้นั ท่านใหพ้ ิจารณาดูในเพดานแลลิ้นแลกระพุง้ ปากท้งั 2 ถา้ เห็นขาวเปนดงั กลา้ มมะพร้าวยงั ไมไ่ ดข้ ดู น้นั ชื่อวา่ ละอองพระบาทเกิดเพื่อหละแสงพระจนั ทร์กระทา ใหล้ งไปจนตาแขง็ จะนบั เวลามิไดส้ ่วนลงให้ลงไป ส่วนทอ้ งข้ึนก็ใหข้ ้ึนไปเปนกาลงั สมมุติวา่ ท้งั ข้ึนท้งั ล่อง แพทยจ์ ะรักษายากนกั ถา้ แลพิจารณาเพดาลุแลลิ้น แลกระพุง้ แกม้ ท้งั สองน้นั เห็นขาวเปนมนั เลือก
10 ดุจมะพร้าวกะทิช่ือว่าละอองแกว้ วิเชียรเกิดเพ่ือทรางน้า กระทาใหเ้ ลือกไปท้งั ปากจะกินเขา้ กินนมมิได้ ถา้ แพทยว์ างยาชอบจึงตกไปทีเดียวมิไดก้ ลบั ข้ึนอีกถา้ แลยามิชอบเปนแต่ประทงั อยถู่ า้ กวาดขา้ งเยน็ ตก ขา้ งเช้าข้ึนดังเก่ากวาดขา้ งเช้าตกขา้ งเย็นข้ึนดงั เก่าเปนแต่ดงั น้ี จึงกระทาพิษให้ร้อนนอนมิหลบั มกั หวาดสดุง้ บางทีทาใหล้ งทอ้ ง บางทีกระทาใหผ้ ูกแลว้ ทอ้ งข้ึนตาเหลือกตาชอ้ น แลว้ ให้ไอเปนกาลงั อนั วา่ ละอองแกว้ วิเชียรจาพวกน้ีถา้ ข้ึนแก่กุมารผใู้ ดแลว้ ร้ายนกั ถา้ แพทยว์ างยามิชอบใน 3 วนั รักษามิไดเ้ ลย ถา้ จะกวาดให้กวาดเมื่อตะวนั ตกดิน ละอองจึงจะตกห้ามมิให้กวาดเวลาเชา้ ไซ้ จะห้ามแต่ละอองแกว้ วิเชียรน้นั หามิไดท้ า่ นหา้ มไปทุก ๆ ทรางทุกๆ ละอองทกุ ๆ หละ ใหแ้ พทยท์ ้งั หลายพงึ รู้ โดยไนยดงั กลา่ ว มาน้ี วิธกี ารรักษา ขนานน้ีท่านให้เอา รากมะกรูด 1 รากมะนาว 1 รากมะงวั่ 1 รากพุดซอ้ น 1 รากอนั ชนั ขาว 1รากระยอ่ ม 1 รากพศิ นาด 1 รากเจตภงั คี 1 รากกรามแดง 1 รากกรามชา้ ง 1 รากครามดี 1ข่าแก่ 1 รวมยา 13 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาค ทาเปนจุณบดทาแทง่ ไวล้ ะลายน้าหยดั เหลา้ ท้งั ทาท้งั กิน แกล้ ะอองแกว้ วเิ ชียรหายดี นกั ขนานหน่ึงท่านให้เอา ป่ ูเจา้ ลอยท่า 1 รากสัมกบ 1 รากหางกะรอก 1 รวมยา 3 สิ่งน้ีเอา เสมอภาค ทาเปนจุณบดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้าสุรากิน แกล้ ะอองแกว้ วิเชียรหายดีนกั ละอองแก้วมรกต อาการแสดง ท่ีน้ีจะกลา่ วลกั ษณะละอองแกว้ มรกต เมื่อจะบงั เกิดข้ึน น้นั ร้ายนกั มกั ใหห้ นา้ เขยี วหนา้ ดา แลใหช้ กั เทา้ กามือกา อา้ ปากมิออก ใหล้ ิ้นกระดา้ งคางแขง ถา้ แกม้ ิฟังกมุ ารผนู้ ้นั จะตาย เปนเที่ยง วธิ ีการรักษา ถา้ จะแกท้ ่านใหเ้ อา จนั ทนท์ ้งั 2 เนระภูสี 1 ไคร้เครือ 1 ดีงตู น้ 1 ระยอ่ ม 1 พศิ นาด 1 กระดูก งูเหลือม 1 หวายตะคา้ 1 หวายตะมอย 1 รวมยา 10 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลาย น้าดอกไม้ ท้งั กินท้งั ชะโลม แกล้ ะอองแกว้ มรกตหายวิเศษนกั ยาแกล้ ะอองแกว้ มรกต ขนานน้ีทา่ นใหเ้ อา ป่ ูเจา้ พงุ แก ตบั เต่าท้งั 2 สีหวดนอ้ ย 1 ฉตั ร์พระ อินทร์ 1 ป่ ูเจา้ สมงุ กุย ไคร้เครือ 1 ระยอ่ ม 1 พิศนาด 1 เนระภสู ี 1 จนั ทน์ท้งั 2 งวหมู 1 รากหญา้ นาง 1 ราก ประคาดีควาย 1 โคนไม่ไผ่ป่ า ผกั แพวแดง 1 รวมยา 19 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณบดป้ันแท่งไว้ ละลายน้าดอกไม้ น้าซาวเขา้ กินก็ได้ แกล้ ะอองแกว้ มรกตหาย
11 ละอองแสงเพลงิ อาการแสดง เมื่อแรกเกิดน้นั กระทาใหก้ ระขาวขา้ งกระพุง้ ปากอยวู่ นั หน่ึงกบั คืนหน่ึง ก็ใหค้ ล้าเขียวเขา้ ดงั ใบไมแ้ ลว้ ทาพิษใหเ้ ชื่อมมึนใหล้ งทอ้ งให้อจุ จาระเขียวดงั ใบไมด้ ว้ ยเหตวุ า่ ละอองน้นั ลน่ั ลงไป จบั เอา ไสอ้ ่อนแลข้วั ดี วิธกี ารรักษา ถา้ จะแกล้ ะอองหมู่น้ี ท่านให้เอามะนาวท้งั ผลท้งั ใบท้งั ราก ตาไมไ้ ผ่ 1 บอระเพด็ 1 ฝาง 1 หอม 1ระยอ่ ม 1 พศิ นาด 1 เจตภงั คี 1 รวมยา 10 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเป็นจุณ บดป้ันแทง่ ไวล้ ะลายน้าปูน ใสทาปาก ถา้ จะกินละลาย สุรากินหาย ถา้ มิฟังขนานน้ี ท่านให้เอาใบครามท้งั 3 ใบรักขาว 1 ใบพลูแก 1 ใบกระเพรา 1 ผกั แพว แดง 1 เมล็ดในมะนาว 1 เมล็ดในมะกรูด 1 เมล็ดในมะง้วั 1 เมล็ดท้งั 3 สิ่งน้ีข้วั ให้เกรียม รากดินเผา 1 ฝักส้มปอยปิ้ ง 1 ตรีกฎก 1 กระเทียม 1 นอแรด 1 งาชา้ ง 1 เขากวาง 1 ดีงูเหลือม 1 ฝิ่ น 1 รวมยา 20 สิ่งน้ี เอาเสมอภาคทาเปนจุณ เอาสุราเปนกระสาย บดทาแทง่ ไวล้ ะลายน้าทา่ ทาปากกุมารหายถา้ มิฟังแพทยจ์ ะ ยายากนกั ดว้ ยลิ้นขาวไปข้ึนอยตู่ นั ลิ้นไก่น้นั จะกระทาใหก้ ายสูบผอมตวั เหลืองดงั ขมิ้นทา เมื่อจะตายน้นั จึงขาวออก ใหแ้ พทยพ์ ึงรู้ดงั น้ีเถิด ละอองมหาเมฆ อาการแสดง ทีน้ีจะว่าดว้ ยละอองพระบาทอนั ช่ือวา่ (ละออง)มหาเมฆ เกิดเพ่ือทรางโคต่อไป ให้แพทย์ ท้งั หลายพึงรู้โดยสังเขปดงั น้ีอนั ว่าลกั ษณะละอองมหาเมฆน้ัน เมื่อจะบงั เกิดต้งั ข้ึนดังดอกตะแบกช้า กระทาพษิ กลา้ มากนกั จบั ใหห้ นา้ เขยี ว ชกั เทา้ กามือกา แลใหต้ าชอ้ นดูสูงแลให้อุจจาระใหป้ ัสสาวะมิตก เปนดงั น้ี วิธีการรักษา ยาแก้ละอองมหาเมฆ ให้เอารากหนาด 1ราก แตงเถ่ือน 1 หวายตะคา้ 1หวายตะมอย 1 ระยอ่ ม 1 พศิ นาด 1 รากไคร้เครือ 1 จนั ทน์ท้งั 2 เนระภสู ี 1 ชะเอม 1 รวมยา 11 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปน จุณบดป้ันแท่งไวท้ ้งั กินท้งั ทาหายดีนกั
12 1.2 ตาราเวชศาสตร์ฉบบั หลวง รัชกาลที่ 5 เล่ม 1,2 ลกั ษณะ อาการแสดงหละในคมั ภีร์ปฐมจนิ ดา และวธิ ีการรักษา หละอทุ ัยกาล อาการแสดง เมื่อจะบงั เกิดน้นั ใหช้ กั เทา้ กามือแลว้ มกั ใหก้ ระทืบตีนร้องไหแ้ ลใหข้ ้เี หย้ยี วมิออก วิธีการรักษา ถา้ จะแกข้ นานน้ีใหท้ ่านเอาภมุ เสน เกลือสินเทา ตะคา้ น กเทียม บดทาแท่งไวล้ ะลายน้านม โคทาปากกุมารหาย ยาจุดหละทรางกระดูกขนานน้ี ทา่ นใหเ้ อา กระดูกงูเหลือม กระดูกงูทบั ทา ชาตหรคุณ.จีน เขา้ ข้วั มูลแมงสาบข้วั มูลหนู หร่ิงข้วั หวายตะคา้ รวมยา ๗สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายน้ามนาวจุดหายดีนกั หละแสงพระจนั ทร์ อาการแสดง เมื่อจะบงั เกิดเมดเติบเทา่ เมดเขา้ โภชน์ มีศีน้นั เหลืองข้นึ ต้งั เอขา้ ตน้ ขากรรไกร ซา้ ย ขวา ก็ดี ดุจกนั แลว้ จึงกระทาให้ลงโทดลงทอ้ งใหต้ าแขง แลว้ ให้ลิ้นกระดา้ งคางแขง แลใหร้ ้องไหน้ ้าตาไม่มีให้ หนา้ ผาตึงแลว้ ใหต้ วั เยนดงั น้ี วิธีการรักษา ถา้ จะแกท้ า่ นใหเ้ อาเทียนดา ส้มซ่า กามถนั แดง ผลเบญกาณี การพลู ดีปลี น้าประสานทอง ผวิ มกรูด พริกไทยข้วั เกลือข้วั รวมยา 11 สิ่งน้ีเสมอภาคทาเปนจุณ เอาน้าผลมะแวง้ เปนกระสาย บดป้ัน แทง่ ไวล้ ลายน้ามะนาว จุดหละแสงพระจนั ทร์อนั บงั เกิดเพอื่ ทรางชา้ งน้นั หาย ยากินแกห้ ละแสงพระจนั ทรขนานน้ีท่านให้เอาป่ ูเจา้ พุงแก ป่ ูเจา้ สมุงกุย ฉัตรพระอินทร นมแมวน้อย สิหวด ใหญ่น้อย ตบั เต่าน้อย ตับเต่าใหญ่ รากระย่อม รากใครเครือ พิศนาค เนียรภูสี จนั ทรแดง จนั ทนข์ าว งวนหมู รากยา่ นาง รากประคาดีกระบือ โคนไมไ้ ผป่ ่ า ผกั แพรวแดง รวมยา 18 สิ่ง น้ีเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายน้าดอกไม้ ท้งั กิน ชโลม หาย
13 หละเนยี รกนั ถี อาการแสดง จะว่าดว้ ยลกั ษณหละอนั ชื่อว่าเนรกนั ถี นิลเพลิง ก็วา่ หละจาพวนน้ีเกิดเพ่ือทรางสกอ ให้ แพทยท้งั หลายพ่ึงรู้โดยสังเขป อนั วา่ ลกั ขณหละอนั ชื่อวา่ เนียรกนั ถี นิลเพลิง น้นั เม่ือแรกจะบงั เกิดข้นึ เหนเขยี วดงั ใบไมส้ ด แลว้ เปนสายโลหิตผา่ นไปอยใู่ น 5 วนั จะใหล้ งทอ้ งข้ึนแลว้ ใหฝ้ ีปาก คอ แหง้ วธิ ีการรักษา ถา้ จะแกท้ ่านให้เอาใบน้าเตา้ ใบผกั ไห่ ใบประดู่ ผลประคาดีกระบือ ใบผกั เชา้ ใบจทั น์ หอม รวมยา 6 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคบดป้ันแท่งไวล้ ะลายสุราชโลมหาย ยาแกห้ ละชื่อเนรกนั ถี นิลเพลิง ขนานน้ีท่าใหเ้ อาเทียดา ใบหนาด ดินประสิวขาว พริกไทย ดอกจนั ทน์ รวมยา 5 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายสุราทาปากกุมารหายดีนกั ขนาด หน่ึงท่านใหเ้ อาแมงสาบตายซาก น้าประสานทอง ใบกเพรา กระวาร รวมยา 4 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคบดทา แท่นไว้ ลลายสุราทาปากกมุ าหายดีนกั จบลกั ขณาหละอนั ช่ือวา่ เนรกนั ถี นิลเพลิง น้นั แตเ่ พยี งเทา่ น้ี หละนลิ กาล อาการแสดง อนั วา่ ลกั ขณหละอนั ช่ือว่านิลกาลน้นั เม่ือจะบงั เกิดข้ึนน้นั ให้ตายไป คร่ึงตวั ร้องไห้มิออก ถา้ ข้ึนอยไู่ ด้ 1-2 วนั ก็ดีกลายเปนมหานิลกาลกลา้ ข้ึนร้ายนกั ใหเ้ ขยี วไปทวั่ ตวั วธิ ีการรักษา ถา้ จะแกท้ ่านใหเ้ อาเปลือกปี บ ผลสารพดั พศิ ฆ์ รากหนาด เปลือกมกรูด ใบคนทีสอ รากผกั โหมหิน การบูร เปลือกทบั ทิม ภุมเสน รวมยา 9 ส่ิงน้ีเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายน้านมโค ทาปากหายดีนกั ถา้ มิฟังท่านให้เอาใบถว่ั แระ เถาตาลึงตวั ผู้ รากกลา้ วตีบ การพลู น้าประสานทอง รวม ยา 5 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุบดป้ันแทง่ ไว้ 1 บาท ลลายน้าเปรียนพระโคทาปากไดเ้ ชื่อแลว้ หายดีนกั ถา้ มิฟังท่านใหเ้ อาผลโหรภา ผลแมงลกั ผลกเพรา ผลมนาว ดอกผกั กาด น้าประสานทอง รวมยา 6 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายน้ามนาวทาปาก ทาลิ้นกุมาร ถา้ จะแกท้ รางแดง ไฟ ขโมย แลทรางขาวลลายสุราดีงรู าหดั กวาดหายดีนกั
14 ลกั ษณะ อาการแสดง ละออง ในคมั ภรี ์ปฐมจนิ ดา และวธิ ีการรักษา ละอองเปลวไฟฟ้า และละอองทับทิม อาการแสดง เม่ือต้งั ก็บังเกิดข้ึนเมดยอดแดงดังน้าชาด มิฉน้ันดุจดังยอดทบั ทิมกระทาพิศม์ ให้ลิ้น กระดา้ งคางแขงแลใหต้ าแขงใหช้ กั เทา้ กามือให้ตวั ร้อนเปนกาลงั ถา้ แกม้ ิทนั ทา่ นใหก้ าหนดไวแ้ ต่เชา้ จน เที่ยงตาย ถา้ แพทยจะรักษาท่านห้ามอย่าให้วางยาอนั ร้อน เขา้ เล่า น้ามนั น้าซ่ม น้นั เลย ท่านใหแ้ กด้ ว้ ย นาอนั เยน หอม ฝาด ขม น้นั จึงรอนชีวิตรแลลองพระบาท 7 ประการน้ีดุจกนั วิธีรักษา ถา้ จะแกท้ ่านใหเ้ อาป่ ูเจา้ พุงแก่ ป่ ูเจา้ สมุงกุย ตบั เต่าท้งั สอง สีหวดท้งั สอง นมแมวท้งั สอง ฉตั รพระอินทร รากไครเครือง รยอ่ ม พิศนาด เนียรภสู ี จนั ทร์ท้งั สอง งวนหมู รากประคาดีควาย โคนไม่ ไผ่ป่ า พดั แพรวแดง รวมยา 19 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณบดป้ันแท่งไวล้ ลายน้าดอกไม้ ปูนใส ก็ทา ปากกมุ ารน้นั หายดีนกั ขนานหน่ึงท่านให้เอารากทองหลางหนาม รากพุงดอ รากมะกล่า กฤษณา จนั ทน์ท้งั สอง ผลเบญกานี สีเสียดเทษ รวมยา 8 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายน้าทลายหมากดิบ ทา ปากกไ็ ดก้ วาดกห็ าย ละอองแก้ววเิ ชียร อาการแสดง ท่านให้พิจารณาดูในเพดานและลิ้นและกระพุง้ แกม้ ปากท้งั 2 ถา้ เหนขาวด้งั กล่ามะพร้าว ยงั ไม่ไดข้ ูดน้นั ชื่อว่าละอองพระบาท เกิดเพ่ือหละแสงพระจนั ทรกระทาใหล้ งไปจนตาแขง จะนบั เวลา มิไดส้ ่วนลงกใ็ หล้ งไป ส่วนทอ้ งข้นึ ก็ใหข้ ้ึนเปนกาลงั สมมุตวา่ ท้งั ข้ึนท้งั ล่องแพทยจะรักษายากนกั วิธีการรักษา ยาทาปากแกล้ ะอองแกว้ วิเชียรให้ตกขนานน้ี ท่านใหเ้ อาชาตหรคุน พิมเสน ใบนมพิจิตร ใบมะระ มูลแมงสาบ ดีงูเหลือ เกลือ รวม 7 สิ่งน้ีเอาเสมอภาค ทาเปนจุณบดทาแท่งไวล้ ะลายน้าน้า มนาวกวาดหายวิเสศนกั ไดเ้ ช่ือแลว้ ยาทาปากแกล้ อองแกว้ วเิ ชียร พระบาท เพื่อแสงพระจนั ทรขนานน้ี ท่านให้เอา ผิวไมร้ วก เปราะหอม ลิ้นทเล น้าประสานทอง รวม๕ส่ิงน้ีเอาเสมอภาค ทาเปนจุณบดป้ันแท่งเอาไวล้ ะลายน้าปูน ใสทาปากกมุ ารหายดีนกั
15 ละอองแก้วมรกฎ อาการแสดง เมื่อจะบงั เกิดข้ึนน้นั ร้ายนกั มกั ใหห้ นา้ เขียว ดา ก็ดี แลใหช้ กั ชกั เทา้ กามืออา้ ปากมิออกให้ ลิน้ กระดา้ งคางแขง ถา้ แกม้ ิฟังกุมารผนู้ ้นั จะตายเปนเที่ยง วิธีการรักษา ถา้ จะแกใ้ ห้เอาจนั ทรท้งั สอง เนียรภูสี ใครเครือ ดีงูตน้ ระยอม พิศนาด กระดูกงูเหลือม หวายตะคา้ หวายตมอย รวมยา 10 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายน้าดอกไม้ ท้งั กิน ชโลม แกล้ อองแกว้ มรกฎหายวิเสศนกั ยาแกล้ ะอองแกม้ รกฎขนานน้ีท่านใหเ้ อา ปู้เจา้ พุงแกม ตบั เต่าท้งั สอง นมแมวท้งั สอง สิหวดนอ้ ย ฉตั รพระอินทร์ ป่ ูเจา้ สมุงกุย ใครเครือ ระยอ่ ม พิศนาด เนียรภูสี จนั ทน์ท้งั สอง มวนหมู รากหญา้ นาง ราก ประคาดีกระบือ โคนไมไ้ ผป่ ่ า พดั แพวแดงรวมยา 19 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลาย น้าดอกไม้ น้าเขา้ กินก็ไดแ้ กล้ ะอองแกม้ รกฎหาย ละอองแสงเพลงิ อาการแสดง เม่ือแรกเกิดน้นั กระทาใหก้ ระขาวขา้ งกระพงุ้ แกม้ ปาก อยวู่ นั หน่ึงกบั คนื หน่ึงก็ใหค้ ล้าเขียว เขา้ ดง่ั ใบไมแ้ ลว้ ทาพิศฆใ์ หเ้ ชื่อม มึน ใหล้ งทอ้ งใหอ้ ุจารน้นั เขียวดงั ใบไม้ ดว้ ยเหตุวา่ ละอองน้นั ลน่ั ลงไป จบั เอาใส้อ่อนแลข้วั ดีน้นั วธิ กี ารรักษา ถา้ จะแกล้ ะอองหมูน้ีท่านให้เอามนาวท้งั ผล ใบ ราก ตาไมไ้ ผ่ บรเพช ฝาง หอม รยอ่ ม พิศ นาด เจตภงั คี รวมยา 11 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้าปูนไสทาปาก ถา้ จะกิน ละลายสุรากินหาย ถา้ มิฟังขนานน้ี ท่านให้เอาใบครามท้งั 3 ในรักขาว ใบพลูแก ใบกเพรา ผกั แพวแดง เมดในมนาว เมดในมกรูด เมดในมะงวั่ ยา 3 สิ่งน้ีขวั่ ใหเ้ กรียมรากดินเผา ฝักซ่มป่ อยปิ้ ง ตรีกฏก กเทียม นอแรด งาชา้ ง เขากวาง ดีงูเหลือม ฝ่ิ น รวมยา 21 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ เอาสุราเปนกระสายบด ป้ันแท่งละลายน้าทา่ ทาปากกมุ ารหาย ละอองมหาเมฆ อาการแสดง อนั ว่าลกั ขณละอองบาทอนั ชื่อมหาเมฆน้ัน เม่ือบงั เกิดต้งั ข้ึนดงั ดอกแบกช้ากระทาพิศม์ น้นั มากลานกั จบั ใหห้ นา้ หนา้ เขียวชกั เทา้ กามือ แลใหต้ าชอ้ นดูสูงแลว้ ใหอ้ จุ จาร ปสาวะมิตกเปนดงั น้ี
16 วิธกี ารรักษา ถา้ จะให้ท่านให้เอารากหนาด รากแตงเถื่อน หวายตะคา้ หวายตมอย รย่อม พศนาด ราก ใครเครือ จนั ทน์ท้งั สอง เนียรภสู ี ชเอม รวมยา 11 ส่ิงน้ีเอาสมอภาคเปนจุณ บดป้ันแทง่ ไวท้ ้งั กิน ทา หาย ดีนกั อนั หน่ึงลกั ขรทราง ละออง หละ ก็ดี ถา้ ข้ึนสิ้นดงั กล่าวมาน้ีแต่หลงั น้นั ถา้ มิถอยดว้ ยยาสิ่ง ใดๆ แลว้ กวาดดว้ ยยาส่ิงใดๆ มิตก แลว้ กลบั ดา้ นลงดงั เก่าดงั กน้ ม่อ ถา้ จะแกเ้ อาใคลเสมาไชย ใครพระ เจดีย์ เทียนดา เทียนแดง เทียนขาว เทียนเขา้ เปลือก ผลจนั ทน์ โกดจุลาลาภา นอแรดเผา งาชา้ งเผา เขา กวางเผา กุยเขาแพะ ผิวมกรูดข้วั ฝักซ่มป่ อยข้วั รากดินข้วั เกลือกตงั เอาสิ่งละ 2 สลึง ชาดกอ้ น น้า ประสานทองเอาส่ิงละ 1 บาท รวมยา 20 สิ่งทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ลายสุราทาลิ้นดา แดง เขียว ก็ดี ลิ้นห่อก็ดีแลเปกระตงั อยกู่ ็ดีเปนเมดติดกน้ ลิน้ อยกู่ ด็ ีหายเปน มหาวเิ สศนกั 1.3 ตาราเวชศาสตร์ฉบับหลวงของพระยาพศิ นุประสาทเวช เล่ม 1,2 ตาราเวชศาสตร์ฉบบั หลวง รัชกาลท่ี 5 เป็ นตาราการแพทยแ์ ผนโบราณและตาราสมุนไพร พ้ืนบา้ นของไทย ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั มีพระบรมราชโองการฯ ดารัสสั่งพระเจา้ ราชวรวงษเ์ ธอ กรมหม่ืนภบู ดีราชหฤทยั จางวางกรมแพทยใ์ นรัชสมยั ใหเ้ ป็นแมก่ องจดั หารวบรวมฉบบั คมั ภีร์แพทยส์ าหรับรักษาโรคต่างๆ อนั เป็ นคุณประโยชน์แก่มหาชนมาตรวจสอบชาระเน้ือความให้ ถูกตอ้ งดีแลว้ ส่งมอบใหพ้ ระเจา้ ราชวรวงษเ์ ธอ กรมหม่ืนอกั ษรสาสนโสภณ จางวางกรมอาลกั ษณ์ กรม อกั ษรพิมพ์ การจดั สร้างข้ึนใหเ้ ป็นคมั ภีร์แพทยฉ์ บบั หลวง เพ่ือเป็นส่วนพระราชกุศลเฉลิพระเกียรติยศ และใชเ้ ป็นตาราหลกั สาหรับประเทศชาติบา้ นเมืองสืบไปคมั ภีร์แพทยฉ์ บบั หลวงน้ี เม่ือตรวจสอบชาระ ดีแลว้ ส่งไปให้กรมอาลกั ษณ์จดั สร้างข้ึน ระหว่างจุลศกั ราช 1232 (พ.ศ.2413) ถึงจุลศกั ราช 1233(พ.ศ. 2438) เพื่อเป็ นคมั ภีร์ฉบบั ใหม่น้นั เพ่ือพระราชทานให้หลายหน่วยงานสาหรับอ่านศึกษาคนั ควา้ และ จดั เก็บรักษาไวใ้ ห้คงอยเู่ ป็ นหลกั ฐานการใชป้ ระโยชน์ของชาติ โดยคมั ภีร์ประถมจินดา พบเน้ือหาอยู่ ภายในเล่มท่ี 1,2 ซ่ึงจะอยรู่ วมกบั ซางและซางประจาวนั โดยมีการกล่าวถึงโรคหละและละอองดงั น้ี ลกั ษณะ อาการแสดงหละในคมั ภรี ์ปฐมจินดา และวิธกี ารรักษา หละอทุ ัยกาล อาการแสดง ที่น้ีจะกล่าวถึงลกั ษณะหละ อนั ชื่อว่า อุไทยกาล ซ่ึงจะบงั เกิดข้ึนสาหรับทรางแดงน้ันต่อ ไปโดยสังเซป ดงั น้ีอนั วา่ ลกั ษณะหละอุไทยกาล เม่ือจะบงั เกิดน้นั ให้ซกั เทา้ กามือกาแลว้ มกั ใหก้ ระทืบ เทา้ ร้องไห้ แลใหอ้ จุ จาระ ปัสสาวะมิออก
17 วธิ ีการรักษา ยาแกห้ ละอุไทยกาล ขนานน้ีท่านใหเ้ อา พิมเสน 1 เกลือสินเธาว์ 1 สะคา้ น 1 กระเทียม 1 บดทาแท่งไวล้ ะลายน้านมโคทาปากกุมารหาย ยาจุดหละ ขนานน้ีท่านใหเ้ อาฝาง 1 จนั ทน์ท้งั 2 พมิ เสน 1 บดละลายน้ามะเกลือจุดหาย หละแสงพระจันทร์ อาการแสดง ที่น้ีจะวา่ ดว้ ยลกั ษณะหละอนั ช่ือว่า แสงพระจนั ทร์น้นั ต่อไปหละจาพวกน้ีบงั เกิดเพ่อื ทรา งช้าง ( แล ทรางน้า) ให้แพทยท์ ้งั หลายพึงรู้โดยสังเขป อนั ว่าลกั ษณะ หละแสงพระจนั ทร์น้ัน เม่ือจะ บงั เกิดข้ึนเมด็ เติบเท่าเม็ดเขา้ โภชน์ มีสีเหลืองข้ึนต้งั แต่ตน้ ขากนั ไกรซา้ ย ฤๅ ขวาก็ดุจกนั แลว้ จึงกระทา ใหล้ งทอ้ ง ตาแขง็ แลว้ ใหล้ ิ้น กระดา้ งคางแขง็ แลใหร้ ้องไหน้ ้าตาไมม่ ี ใหห้ นา้ ผากตึงแลว้ ใหต้ วั เยน็ ดงั น้ี วิธีการรักษา ขนานน้ีให้เอา เทียนดา 1 สารส้ม 1 ผลมะแวงั ท้งั 2 ดีปลี 1 รวมยา 4 ส่ิงน้ี เอาเสมอภาค ทาเปนจุณเอาน้าสุราเปนกกระสาย บดทาแทง่ ไวก้ วาดหละแสงพระจนั ทร์ หายดีนกั ขนานน้ีท่านใหเ้ อาน้าประสานทองมลู ตกุ แก 1 มลู แมลงสาบส่ิงละ 2 กล่า เมลด็ ในมะนาว 7 เมล็ดรวมยา 4 ส่ิงน้ีทาเปนจุณ เอาสุราเปนกระสาย บททาแท่งแทรกชะมดพิมเสนจุดหละแสง พระจนั ทร์หายดีนกั หละเนยี รกนั ถี อาการแสดง อนั ว่าลกั ษณะ หละเนระกนั ถี นิลเพลิงน้นั เม่ือแรกจะบงั เกิดข้ึนน้นั เห็นเข้ียวดงั ใบไมส้ ด แลว้ เปนสาย โลหิตผา่ นไปอยใู่ น 5 วนั จะใหล้ งทอ้ ง ทอ้ งข้นึ แลว้ ใหม้ ีปากคอแหง้ วธิ กี ารรักษา ยาแกห้ ละเนรกนั ถี นิลเพลิง ท่านใหเ้ อา ใบน้าเตา้ 1 ใบผกั ไห่ 1 ใบประดู่ 1 ผลประคาดีด วาย 1 ใบฟักเขา้ 1 ใบจนั ทนห์ อม 1 รวมยา 6 สิ่งน้ีเอาเสมอภาค บดป้ันแท่งไวล้ ะลาย สุราชะโลมหาย ขนานน้ีท่านใหเ้ อา เทียนดา 1 ใบหนาด 1 ดินประสิวขาว 1 พริกไทย 1 ดอกจนั ทน์ 1 รวม ยา 2 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเป็นจุณ บดป้ันแท่ง ไวล้ ะลายสุราทาปากกุมารหายดีนกั
18 หละนลิ กาฬ อาการแสดง ทีน้ีจะว่าดว้ ย หละ อนั ช่ือว่านิลกาฬน้ัน ต่อไปน้ีเกิดเพื่อทรางโค ให้แพทยท์ ้งั หลายพ่ึงรู้ โดยสงั เขป ดงั น้ี อนั ลกั ษณ หละนิลกาฬน้นั เมื่อจะบงั เกิดข้ึนใหต้ ายไปคร่ึงตวั ร้องไหม้ ิออก ถา้ ข้นึ อยู่ได้ วนั 1, 2, วนั ก็ ดีกลายเปนมหานิลกาฬ กลา้ ข้นึ ร้ายนกั ใหเ้ ขียวไปท้งั ตวั วิธีการรักษา ยาแกห้ ละนิลกาฬ ใหเ้ อาเปลือกปี บ 1 เมลด็ สารพดั พิษ 1 รากหนาด 1 เปลือกมะกรูด 1 ใบ คนทีสอ 1 รากผกั โหมหิน 1 การบูร 1 เปลือกทบั ทิม 1 พิมเสน 1รวมยา 9 ส่ิงน้ีเอาเสมอ ภาคทาเปนจุณ บดป่ันแทง่ ไวล้ ะลายน้านมโค ทาปากหายดีนกั ถา้ มิฟังท่านใหเ้ อาใบถว่ั แระ 1 เถาตาลึงตวั ผู้ 1 น้าประสานทอง 1 รวมยา 4สิ่งน้ี กลว้ ยตีบ 1 กานพลู 1 บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้าเปรียงพระโคทาเอาเสมอภาคทาเปนจุณ ปากไดเ้ ชื่อแลว้ หายดีนกั หละมหานลิ กาล อาการแสดง อนั วา่ ลกั ษณะหละมหานิลกาฬน้นั ต้งั ข้นึ ยอดดาดงั ยอดนิลข้ึน อยู่ 1 วนั แปรเปนแสงเพลิง ข้นึ อยู่ 2 วนั แปรไปเปนสลกั เพด็ ท้งั คู่ก่อน ท้งั 2 ขา้ ง ถา้ มหานิลกาฬข้นึ ให้ตายไปคร่ึงตวั ร้องไห้มิออก เลยดุจกล่าวมา ดงั น้ี วิธกี ารรักษา ยาแกห้ ละมหานิลกาฬ ให้เอาเปลือกฝิ่ น 1 เปลือก มะกรูด 1 ผลสารพดั พิษ 1 รากหนาด 1 ใบคนทีสอ 1 รากผกั โหมหิน 1 ใบทบั ทิม 1 การบูร 1 พิมเสน 1 รวมยา 9 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแทง่ ไวล้ ะลายน้านมโคทาปาก หายดีนกั ถา้ มิฟังท่านให้เอา ใบถว่ั แระ 1 กานพลู 1 น้า ประสารทอง 1 ตาลึงตวั ผู้ 1 รากกลว้ ยตีบ 1 รวมยา 9 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณบดป้ันแทง่ ไวล้ ะลายน้าเปรียงพระโค ทาปากหายดีนกั ลกั ษณะ อาการแสดงละออง ในคัมภรี ์ปฐมจินดา และวธิ ีการรักษา ละอองเปลวไฟฟ้าและละอองทบั ทมิ อาการแสดง อนั วา่ ลกั ษณะละอองพระบาทเปลวไฟฟ้า ละอองทบั ทิมกว็ า่ เม่ือจะต้งั กบ็ งั เกิดข้ึนเมด็ ยอด แดงดงั น้าชาด มิฉน้นั ดุจดงั ยอดทบั ทิม กระทาพศิ มใ์ หถ้ นั กระดา้ งคางแขง็ แลใหต้ าแขง็ ให้ ซกั เทา้ กามือ กาให้ตวั ร้อน เปนกาลงั ถา้ แกม้ ิทนั ท่านกาหนดไวแ้ ต่เชา้ จนเที่ยงตาย ถา้ แพทยจ์ ะรักษาท่านหา้ มอยา่ ให้
19 วางยาอนั ร้อนเขา้ เหลา้ น้ามนั ส้ม น้ันเลย ท่าน ให้แกด้ ว้ ยยาอนั เยน็ หอม ฝาด ขม น้ันจ่ึงรอดชีวิต แล ลอองพระบาท 7 ประการ น้ีดุจกนั วธิ ีการรักษา ยาแกล้ ะอองเปลวไฟฟ้าและละอองทบั ทิม ให้เอาป่ ูเจา้ พุงแก ป่ ูเจา้ สมุงกุย ตบั เต่าท้งั สี หวดท้งั 2 นมแมวท้งั 2 ฉตั ร์พระอินทร์ 1รากไคร้เครือ 1 ระยอ่ ม 1 พศิ นาด 1 เนระภสู ี 1 จนั ทน์ท้งั 2 งวน หมู 1 รากประคาดีควาย 1โคนไมไ้ ผป่ ่ า 1 ผกั แพวแดง 1 รวมยา 19 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาดทาเปนจุณ บดป้ัน แท่งไวล้ ะลายน้าดอกไม้ น้าปนู ใสก็ได้ ทาปากกมุ ารหายดีนกั ขนานหน่ึงท่านให้เอา รากทองหลางหนาม 1 รากพุงดอ 1 รากมะกล่าเครือ 1 กฤษณา 1 จนั ทน์ท้งั 2 ผลเบญ็ กานี 1 สีเสียดเทศ 1 รวมยา 8 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้า ทลายหมากดิบทาปากกไ็ ดก้ วาดกไ็ ด้ หายแล ละอองแก้ววิเชียร อาการแสดง อนั ว่าลกั ษณละอองแกว้ วิเชียรน้นั ท่านให้พิจารณาดูในเพคานแลลิ้น แลกะพุง้ ปากท้งั 2 ถา้ เห็นขาว เปนดงั กลา้ มมะพร้าว ยงั ไม่ได้ขูดน้ันช่ือว่าละอองพระบาทเกิดเพ่ือหละแสงพระจันทร์ กระทาให้ลงไปจนตาแขง จะนบั เวลามิได้ ส่วนลงใหล้ งไป สวนทอ้ งข้ึน ก็ให้ข้ึนไปเปนกาลงั สมมุติวา่ ท้งั ข้ึนท้งั ล่อง แพทยจ์ ะรักษายากนกั ถา้ แลพิจารณาเพดานแลลิ้น แลกะพุง้ แกม้ ท้งั 2น้นั เห็นขาวเปนมนั เลือกดุจมะพร้าวกะทิ ช่ือวา่ ละอองแกว้ วเิ ชียรเกิดเพ่ือทรางน้ากระทาใหเ้ ลือกไปท้งั ปากจะกินเขา้ กินนม มิได้ ถา้ แพทยว์ างยาชอบ จึงตกไปท่ีเดียวมิไดก้ ลบั ข้ึนอีก ถา้ แลยามิชอบเปนแต่ประทงั อยู่ ถา้ กวาดขา้ ง เยน็ ตกขา้ งเชา้ ข้ึนดงั เก่า ถา้ กวาดขา้ งเชา้ ตกขา้ งเยน็ ข้ึนดงั เก่าเปนแต่ดงั น้ี จ่ึงกระทาพิศมใ์ ห้ร้อน นอนมิ หลบั มกั หวาดสดุง้ บางทีทาให้ลงทอ้ ง บางทีกระทาใหผ้ กู แลว้ ทอ้ งข้ึนตาเหลือก ตาซ้อน แลว้ ให้ไอเปน กาลงั อนั ว่าละอองแกว้ วิเชียรจาพวกน้ี ถา้ ข้ึนแก่กุมารผูใ้ ดแลว้ ร้ายนัก ถา้ แพทยว์ างยามิชอบใน 3 วนั รักษามิไดเ้ ลย ถา้ จะกวาดใหก้ วาด เมื่อตวนั ตกดิน ละของจึงจะตก หา้ มมิให้ กวาดเวลาเขา้ ไซร้จะหา้ มแต่ ละอองแกว้ วิเชียรน้ัน หามิไดท้ ่านห้ามไปทุก ๆ ทรางทุก ๆ ละออง ทุก ๆ หละ ให้แพทยท์ ้งั หลายพึงรู้ โดยใน ดงั กล่าวมาน้ี
20 วิธกี ารรักษา ขนานน้ีท่านให้เอา รากมะกรูด 1 รากมะนาว 1 รากมะงวั่ 1 รากพดุ ซอ้ น 1 รากอนั ชนั ขาว 1รากระยอ่ ม 1 รากพศิ นาด 1 รากเจตภงั คี 1 รากกรามแดง 1 รากกรามชา้ ง 1 รากครามดี 1ข่าแก่ 1 รวมยา 13 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาค ทาเปนจุณบดทาแท่งไวล้ ะลายน้าหยดั เหลา้ ท้งั ทาท้งั กิน แกล้ ะอองแกว้ วิเชียรหายดี นกั ขนานหน่ึงท่านใหเ้ อา ป่ ูเจา้ ลอยท่า 1 รากสัมกบ 1 รากหางกะรอก 1 รวมยา 3 สิ่งน้ีเอา เสมอภาค ทาเปนจุณบดป้ันแทง่ ไวล้ ะลายน้าสุรากิน แกล้ ะอองแกว้ วเิ ชียรหายดีนกั ละอองแก้วมรก อาการแสดง ทีน้ีจะกลา่ ว ลกั ษณะละอองแกว้ มรกฎ เมื่อจะบงั เกิดข้นึ น้นั ร้ายนกั มกั ใหห้ นา้ เขียวหนา้ ดา แลใหซ้ กั เทา้ กามือกาอา้ ปากมิออก ใหล้ ิ้นกระดา้ ง คางแขง ถา้ แกม้ ิฟัง กมุ ารผนู้ ้นั จะตายเปนเท่ียง วิธกี ารรักษา ถา้ จะแกท้ า่ นใหเ้ อา จนั ทนท์ ้งั 2 เนระภสู ี 1 ไคร้เครือ 1 ดีงตู น้ 1 ระยอ่ ม 1 พิศนาด 1 กระดูก งูเหลือม 1 หวายตะคา้ 1 หวายตะมอย 1 รวมยา 10 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลาย น้าดอกไม้ ท้งั กินท้งั ชะโลม แกล้ ะอองแกว้ มรกตหายวิเศษนกั ยาแกล้ ะอองแกว้ มรกต ขนานน้ีทา่ นใหเ้ อา ป่ ูเจา้ พงุ แก ตบั เต่าท้งั 2 สีหวดนอ้ ย 1 ฉตั ร์พระ อินทร์ 1 ป่ เู จา้ สมงุ กุย ไคร้เครือ 1 ระยอ่ ม 1 พิศนาด 1 เนระภสู ี 1 จนั ทน์ท้งั 2 งวหมู 1 รากหญา้ นาง 1 ราก ประคาดีควาย 1 โคนไม่ไผ่ป่ า ผกั แพวแดง 1 รวมยา 19 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปนจุณบดป้ันแท่งไว้ ละลายน้าดอกไม้ น้าซาวเขา้ กินก็ได้ แกล้ ะอองแกว้ มรกตหาย ละอองแสงเพลงิ อาการแบบ อนั วา่ ลกั ษณะ ละอองแสงเพลิงน้นั บงั เกิดข้ึนเพ่อื ทรางสกอ เม่ือแรกเกิดน้นั กระทาใหก้ ระ ขาว ขา้ ง กระพงุ้ ปากอยวู่ นั หน่ึงกบั คืนหน่ึง กใ็ หค้ ล้าเขียวเขา้ ดงั ใบไม้ แลว้ ทาพศิ มใ์ หเ้ ชื่อมมึน ใหล้ งทอ้ ง ใหอ้ จุ จาระ เขยี ว ดงั ใบไมด้ ว้ ยเหตุวา่ ละออง น้นั ลนั่ ลงไปจบั เอาไสอ้ อ่ น วธิ กี ารรักษา ถา้ จะแกล้ ะอองหมู่น้ี ท่านใหเ้ อามะนาวท้งั ผลท้งั ใบท้งั ราก ตาไมไ้ ผ่ 1 บอระเพด็ 1 ฝาง 1 หอม 1ระยอ่ ม 1 พศิ นาด 1 เจตภงั คี 1 รวมยา 10 สิ่งน้ีเอาเสมอภาคทาเป็นจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลายน้าปูน ใสทาปาก ถา้ จะกินละลาย สุรากินหาย
21 ถา้ มิฟังขนานน้ี ท่านให้เอาใบครามท้งั 3 ใบรักขาว 1 ใบพลูแก 1 ใบกระเพรา 1 ผกั แพว แดง 1 เมล็ดในมะนาว 1 เมล็ดในมะกรูด 1 เมล็ดในมะง้วั 1 เมล็ดท้งั 3 ส่ิงน้ีข้วั ให้เกรียม รากดินเผา 1 ฝักส้มปอยปิ้ ง 1 ตรีกฎก 1 กระเทียม 1 นอแรด 1 งาชา้ ง 1 เขากวาง 1 ดีงูเหลือม 1 ฝ่ิ น 1 รวมยา 20 ส่ิงน้ี เอาเสมอภาคทาเปนจุณ เอาสุราเปนกระสาย บดทาแทง่ ไวล้ ะลายน้าท่าทาปากกุมารหายถา้ มิฟังแพทยจ์ ะ ยายากนกั ดว้ ยลิน้ ขาวไปข้นึ อยตู่ นั ลิ้นไก่น้นั จะกระทาใหก้ ายสูบผอมตวั เหลืองดงั ขมิน้ ทา เมื่อจะตายน้นั จึงขาวออก ใหแ้ พทยพ์ งึ รู้ดงั น้ีเถิด ละอองมหาเมฆ อาการแสดง อนั วา่ ลกั ษณะ ละอองมหาเมฆน้นั เม่ือจะบงั เกิดต้งั ข้ึนดงั ดอกตะแบกช้า กระทาพิศมก์ ลา้ มากนกั จบั ใหห้ นา้ เขยี ว ชกั เทา้ กามือกา แลใหต้ าชอ้ น ดูสูง แลใหอ้ ุจจาระ ใหป้ ัสสาวะ มิตกเปนดงั น้ี วธิ ีการรักษา ยาแกล้ ะอองมหาเมฆ ให้เอารากหนาด 1ราก แตงเถื่อน 1 หวายตะคา้ 1หวายตะมอย 1 ระยอ่ ม 1 พิศนาด 1 รากไคร้เครือ 1 จนั ทนท์ ้งั 2 เนระภสู ี 1 ชะเอม 1 รวมยา 11 ส่ิงน้ีเอาเสมอภาคทาเปน จุณบดป้ันแทง่ ไวท้ ้งั กินท้งั ทาหายดีนกั อน่ึงลกั ษณะทราง, ละออง, หละ, ก็ดี ถา้ ข้ึนลิน้ ดงั กล่าวมาน้ีแต่หลงั น้นั ถา้ มิถอยดว้ ยยาสิ่ง ใดๆ แลว้ กวาดดว้ ยยาสิ่งใดๆมิตก แลว้ กลบั ดา้ นลงดงั เก่าดงั กนั หมอ้ ถา้ จะแกเ้ อาไคลเสมาไชย 1 ไคล พระเจดีย์ 1 เทียนดา 1 เทียนแดง 1 เทียนขาว 1 เทียนเขา้ เปลือก 1 งาชา้ งขาว 1ผลจนั ทน์ 1โกฐจุลาลาภา 1นอแรดเผา 1 เขากวางเผา่ 1 เขากุย 1 ผิวมะกรูดข้วั 1 ฝักส้มป่ อยข้วั 1 รากดินข้วั 1เกลือกะตงั เอาสิ่งละ 2 สลึง ชาดกอ้ น 1น้าประสานทอง 1 เอาส่ิงละ 1บาท รวมยา 19 สิ่งน้ีทาเปนจุณ บดป้ันแท่งไวล้ ะลายสุรา ทาลิ้นดา,ลิ้นแดง, ลิ้นเขียว, ก็ดี ลิ้นห่ออยู่ก็ดีแลเปนกะตงั อยกู่ ็ดี เปนเมด็ โคนตน้ ลิ้นอยกู่ ็ดี หายเปนมหา วิเศษนกั 2. ลกั ษณะอาการแสดงของโรคในปากในคอเด็กทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 2.1 ตาราการตรวจรักษาโรคท่ัวไปนายแพทย์สุรเกียรติ อาชานุภาพ เล่มท่ี 2 โรคกบั การดูแล รักษาและการป้องกนั เล่มน้ีไดม้ ีการรวบรวมองคค์ วามรู้เก่ียวกบั โรคพ้ืนฐานท่ีพบบ่อย ในแง่ของสาเหตุและกลไก ของการเกิดโรค การวินิจฉยั การรักษาพยาบาล และการป้องกนั โดยในส่วนของโรคในปากในคอเดก็ ที่ มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั โรคหละและละออง ไดแ้ ก่ โรคแผลเป่ื อยท่ีปาก (Mouth sore) ซ่ึงมีสาเหตุที่พบ
22 บ่อย ไดแ้ ก่ แผลแอฟทสั แผลเปื่ อยท่ีเกิดจากการบาดเจ็บ แผลเริมในช่องปาก ปากนกกระจอก โรคเช้ือ ราในช่องปาก 2.1.1 แผลแอฟทสั (Apthous ulcers) อาการแสดง ท่ีสาคัญคือ มีแผลเป่ื อยเจ็บในช่องปากเป็ นๆ หายๆ อยู่ประจาเวลามีส่ิงกระตุ้น (เช่น ความเครียด กดั ถูกปากตนเอง การใชย้ าสีฟันหรือยาบางชนิด แพอ้ าหาร บางชนิด เวลามีประจาเดือน เป็นตน้ ) หรืออาจอยดู่ ีๆก็ กาเริบข้นึ โดยไมท่ ราบว่ามีอะไรเป็นส่ิงกระตุน้ ก็ได้ อาการเจ็บแผลจะเป็ นมาก ใน 2-3 วนั แรก และ รู้สึกปวดแสบเวลากินอาหารรสเผด็ หรือเปร้ียวจดั ถา้ เป็นแผลขนาดใหญ่ อาจเจ็บ มากจนกลืนหรือพูดไม่ถนัด เมื่อตรวจดูจะพบแผลในปาก ส่วนใหญ่ (มากกว่า ร้อยละ 80) จะเป็ น แผลต้ีนลักษณะกลมหรือรูปไข่ ขนาด 3-5 มม. (ไม่เกิน 1 ชม. ) พ้ืนแผลมีสีขาวหรือเหลือง และ กลายเป็นสีเทาเม่ือใกลห้ าย มีวงสีแดงอย่โู ดยรอบ ขอบ อาจบวมเล็กนอ้ ย มกั พบที่ริมฝี ปาก กระพุง้ แกม้ และลิ้น (ดา้ นขา้ งและดา้ นใต้ นอกจากน้ียงั อาจพบท่ีเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนงั คอหอย พ้ืนปาก (เน้ือเย่อื ท่ี อยู่ใตล้ ิ้นและ เหงือก) มกั ไม่พบที่เหงือก เพดานแข็ง และลิ้น (ด้านบน) อาจเป็ นเพียงแผลเดียว หรือ หลายแผล (2-5 แผล) พร้อม กนั เรียกวา่ แผลแอฟทสั เลก็ (minor aphthous ulcers) ซ่ึงจะมีอาการเจ็บปวด ไม่รุนแรง และหายไดเ้ องภายใน 7-10 วนั โดยส่วนใหญ่จะไม่เป็นแผลเป็น อาจกาเริบได้ ทุก 1-4 เดือน ส่วนนอ้ ย (ประมาณร้อยละ 10) อาจพบแผลแอฟทสั ใหญ่ (major aphthous ulcers) มีลกั ษณะแบบเดียว กบั แผลแอฟทสั เลก็ แต่มีขนาดมากกวา่ 1 ชม.ข้นึ ไปขอบแผลบวม มีอาการเจ็บปวดรุนแรงกว่า นอกจาก พบ ในตาแหน่งเดียวกบั แผลแอฟทสั เลก็ ยงั อาจพบที่เพดาน แข็งและลิ้น (ดา้ นบน) ไดอ้ ีกดว้ ย แผลมกั หายชา้ (ใชเ้ วลา ประมาณ 10-40 วนั ) อาจเป็นแผลเป็นและกาเริบไดบ้ ่อย มาก บางคร้ังอาจพบในผูป้ ่ วย เอดส์ นอกจากน้ี ยงั อาจพบแผลแอฟทสั ชนิดคลา้ ยเริม (herpetiform ulceration) ซ่ึงไม่เกี่ยวขอ้ งกบั การ ติดเช้ือ เริม จะพบในกลุ่มคนท่ีมีอายมุ ากกว่า 2 ชนิดดงั กล่าว พบในผหู้ ญิงมากกว่าผูช้ าย แรกเร่ิมจะข้ึน เป็นตุ่มใสเลก็ (1-2 มม.) หลายตุ่ม แลว้ แตกแผร่ วมเป็นแผลเดียวขนาด ใหญ่ (คลา้ ยแผลแอฟทสั ใหญ่) มี อาการเจ็บปวดค่อนขา้ ง รุนแรง พบในตาแหน่งต่างๆ ในช่องปากแบบเดียวกบั แผลแอฟทสั ใหญ่ แผล หายไดเ้ อง แต่ใช้เวลานานกว่า 10 วนั (อาจนานถึง 2 เดือน) ผูป้ ่ วยมกั ไม่มีอาการไข้ อ่อนเพลีย เบ่ือ อาหาร คลื่น ไส้ อาเจียน ตอ่ มน้าเหลืองโต หรืออาการผดิ ปกติอ่ืนๆ ร่วมดว้ ย
23 การรักษา 1. หลีกเล่ียงอาหารที่ระคายแผล เช่น อาหาร เผด็ หรือเปร้ียวจดั อาหารแข็ง บว้ นปากดว้ ยน้าเกลือ (ผสมเกลือ 1 ชอ้ นชา ในน้า 1 แกว้ ) วนั ละ 2-3 คร้ัง ถา้ ปวดใหอ้ มน้าแขง็ กอ้ นเลก็ ๆ ดื่มน้าเยน็ ถา้ ปวดมาก ใหพ้ าราเซตามอลบรรเทา ส่วนใหญ่จะคอ่ ย ๆ หายไดเ้ องตามธรรมชาติ เป็นคร้ังคราว 2. ถา้ ปวดรุนแรง หรือตอ้ งการใหแ้ ผลหายเร็ว ให้ ป้ายแผลดว้ ยยาชนิดใดชนิดหน่ึงตอ่ ไปน้ีวนั ละ 2- 4 คร้ัง จนกว่าจะหาย สตีรอยด์ เช่น ครีมป้ายปากไตรแอมชิโนโลนอะเชโทไนด์ ยาชา เช่น เจลลิโดเคน (lidocaine) ชนิด 2% 3. ในรายท่ีเป็ นๆหาย ๆ บ่อยควรหาสาเหตุ และ ให้การแกไ้ ข เช่น ให้ยาบารุงโลหิตในรายที่มี โลหิตจาง จากภาวะขาดเหลก็ ใหก้ รดโฟลิกหรือวิตามินบีในรายท่ี ขาด หลีกเล่ียงอาหารที่แพ้ ยาสีฟัน และยาที่เป็นส่ิงกระตุน้ ผ่อนคลายความเครียดดว้ ยการออกกาลงั กายและวิธี อ่ืนๆ ใชแ้ ปรงสีฟันขนาด เลก็ และขนนุ่มเพ่อื ไม่ใหป้ ากถูก กระทบกระแทก เป็นตน้ 4. ถา้ แผลไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ หรือเป็นรุนแรง หรือเป็นคร้ังแรกในคนอายมุ ากกวา่ 40 ปี ควร ส่งโรง พยาบาล หรือส่งตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม ในรายที่ใชว้ ิธีอื่นไม่ไดผ้ ล หรือเป็นแผลแอฟทสั ชนิด คลา้ ยเริม อาจให้การรักษาดว้ ยการใชเ้ ตตราไชคลีน 250 มก. ผสมน้า 180 มล. หรือดอกชีไซคลีน 100 มก. ผสมน้า 10 มล. กล้วั คอประมาณ 3 นาที วนั ละ 4 คร้ัง นาน 5 วนั จะช่วยลดอาการปวดและ แผลหาย เร็วข้นึ 2.1.2 แผลเปื่ อยทเ่ี กดิ จากการบาดเจบ็ แผลเป่ื อยท่ีเกิดจากการบาดเจ็บ เช่น ถูกแปรง สีฟันครูดหรือกระแทก ถูกฟันกดั รากฟัน ปลอมเสียดสี มกั ทาให้เกิดเป็ นแผลเพียง 1-2 แผลท่ีริมฝี ปาก ลิ้น หรือ เหงือก แผลเปื่ อยชนิดน้ีไม่มี อนั ตรายและมกั หายไดเ้ อง ภายใน 1 สัปดาห์ การรักษา บว้ นปากดว้ ยน้าเกลือวนั ละ 2-3 คร้ัง กินยาแก้ ปวดถา้ รู้สึกปวด ถา้ อกั เสบเป็นหนองป้ายดว้ ย เจนเชียนไวโอเลต ถา้ แผลลุกลามหรือไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ ควร ส่งโรงพยาบาลเพอื่ ตรวจหาสาเหตุ ในรายที่เกิดจากฟันปลอมไม่กระชบั เสียดสีจน เป็ นแผลบ่อย ควรพบทนั ตแพทยเ์ พื่อแกไ้ ขฟันปลอม ใหก้ ระชบั หากปล่อยไว้ อาจเสี่ยงตอ่ การเกิดมะเร็งช่องปากได้
24 2.1.3 เริมในช่ องปากชนิดเฉียบพลัน (Acute herpetic gingivostomatitis) เฮอร์ แปงไจนา (Herpangina) สาเหตุ เริมในช่องปากชนิดเฉียบพลนั เกิดจากการติดเช้ือคร้ังแรก มกั เกิดจากเช้ือไวรัสเริมชนิดที่ 1 (herpes simplex virus/HSV-1) เป็ นส่วนใหญ่ พบบ่อยในเด็ก อายุ 10 เดือนถึง 3 ปี ติดต่อโดยการ สมั ผสั โดยตรง ระยะฟักตวั 2-3 วนั (อาจนานถึง 20 วนั ) เฮอร์แปงไจนา เกิดจากการติดเช้ือไวรัสค็อกแซกกี (coxsackie virus) ซ่ึงอยู่ในตระกูล เดียวกบั ไวรัสท่ีทา ให้เกิดโรคมือ-เทา้ -ปาก แต่เป็นชนิดเอ 2-6 และ เอ 10 พบบ่อยในเด็กอายตุ ่ากว่า 6 ปี ติดต่อโดยการสัมผสั เริมในช่องปากชนิดเฉียบพลนั เกิดจากการติดโดยตรง ระยะฟักตวั 2-9 วนั อาการ เด็กมกั มีไขส้ ูงเกิดข้ึนเฉียบพลนั มีอาการเจ็บใน ปากหรือคอหอย ไม่ยอมกินอาหารและด่ืมน้า เด็กเล็ก อาจร้องกวน ไมย่ อมดูดนม ถา้ เป็นอยหู่ ลายวนั อาจมีภาวะขาดน้าตามมา ไขม้ กั จะเป็นอยู่ 1-4 วนั (ไมเ่ กิน 1สัปดาห์) เดก็ เลก็ บางคนอาจมีอาการชกั จากไข้ ส่วนแผลในปากมีลกั ษณะดงั น้ี สาหรับโรคเริม จะมีตุ่ม น้าเล็กๆ พุข้ึนท่ีเยื่อบุ ของริมฝี ปาก เหงือก ลิ้น และเพดานปาก แลว้ แตกเป็นแผลต้ีนสีเทาบนพ้ืนสีแดง ขนาด 1-3 มม. มกั มีอาการ เหงือกบวมแดง ซ่ึงอาจมีเลือดซึมและมีกล่ินปาก มกั ตรวจพบต่อมน้าเหลือง ใตค้ างโตและเจ็บ อาการต่างๆ จะเป็นอย่ปู ระมาณ 4-5 วนั แลว้ จะเริ่มทุเลา แผลมกั หายไดเ้ องภายใน 10- 14 วนั สาหรับเฮอร์แปงไจนา จะมีจุดแดงหรือตุ่มน้า เล็กๆ พุข้ึนที่เพดานอ่อน ลิ้น ลิ้นไก่ ผนงั คอหอย ทอนซิล แลว้ แตกเป็นแผลสีขาวปนเทา ขนาด 2-5 มม. ซ่ึงมกั หายไดเ้ องภายใน 5-7 วนั การรักษา 1. ใหก้ ารรักษาตามอาการ ไดแ้ ก่ ใหย้ าพาราเซตามอล ลดไข้ หลีกเล่ียงการใชย้ าแอสไพริน เพราะอาจทาให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรยช์ ินโดรมพยายามป้อนอาหารเหลวหรือของน้าๆ (เช่นนม น้า เตา้ หู้ น้าหวาน ขา้ วตม้ โจ๊ก แกงจืด) โดยใชช้ อ้ นป้อนหรือกระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเขา้ ปาก ใหเ้ ด็กอม น้าแขง็ กอ้ นเลก็ ๆ ดื่มน้าหรือนมเยน็ ๆ หรือกินไอศกรีม เพื่อลดอาการเจ็บแผล 2. ถา้ มีภาวะขาดน้าหรือกินไมไ่ ดค้ วรส่งโรงพยาบาลเพือ่ ใหน้ ้าเกลือทางหลอดเลือดดา 3. ถา้ วินิจฉัยว่าเป็ นเริมในช่องปาก แพทยจ์ ะ พิจารณาให้ยาตา้ นไวรัสอะไชโคลเวียร์ 15 มก./กก. วนั ละ 5คร้ัง นาน 7 วนั ขอ้ แนะนา เด็กท่ีมีไขแ้ ละแผลเป่ื อยในปาก ควรแยกออกจาก โรคมือ- เทา้ -ปาก ซ่ึงจะมีผ่ืนข้ึนที่มือและเทา้ ร่วม ดว้ ย และกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน ซ่ึงจะมี ผื่นข้ึนตามตวั ร่วมดว้ ย
25 2.1.4 ปากนกกระจอก (Angular stomatitis/Angular cheilitis) อาการแสดง ผปู้ ่ วยจะมีอาการเป็นแผลเปื่ อย ลกั ษณะเป็นสี เหลืองๆ ขาวๆ ท่ีมุมปากท้งั 2 ขา้ ง อาจพบ อาการอกั เสบของเย่ือบุริมฝี ปาก (ริมฝี ปากมีลกั ษณะแดง แห้งหยาบบาง และแตกเป็ นร่องๆ) ลิ้น (มี ลักษณะเป็ นสีม่วงแดง) นอกจากน้ี อาจมีภาวะซีด กระจกตาอกั เสบ (ตาแดง กลัวแสง น้าตาไหล) ผิวหนงั อกั เสบ ท่ีเรียกว่า seborrheic dermatitis ซ่ึงผิวหนงั บริเวณหู ตา จมูก อณั ฑะ ปากช่องคลอด มี ลกั ษณะเป็นมนั เป็นผืน่ แดง มีสะเกด็ การรักษา 1. ใหก้ ินวติ ามินบี 2 หรือวิตามินบีรวม วนั ละ 1-3 เมด็ จนกวา่ จะหาย 2. ถา้ ไม่ไดผ้ ล ควรตรวจหาสาเหตุอื่น ในวยั กลาง คนข้ึนไปอาจเกิดจากโรคเช้ือรา การ ป้องกนั โรคน้ีสามารถป้องกนั ไดด้ ว้ ยการกินอาหารท่ีมี วิตามินบี 2 เช่น เน้ือสัตว์ ปลา ถว่ั นม ไข่แดง ตบั ผกั ใบเขยี ว เป็นตน้ 2.1.5 โรคเชื้อราในช่องปาก มมุ ปากเป่ื อยจากเชื้อรา(Oral candidiasis/thrush/moniliasis) อาการแสดง โรคเช้ือราในช่องปาก จะมีอาการลิ้นเป็ นฝ้าขาว คลา้ ยคราบนม บางรายอาจมีฝ้าขาวท่ี เหงือกกระพงุ้ แกม้ เพดานปาก ผนงั คอหอย เมื่อใชไ้ มก้ ดลิ้นเขีย่ ออกจะพบพ้ืนขา้ งใตอ้ กั เสบ (เป็นสีแดง) บางคร้ังอาจมีเลือดซึม บางรายอาจมีอาการเจ็บหรือแสบลิ้น หรือในช่องปากร่วมดว้ ย ถา้ พบในทารก อาจทาใหท้ ารกไม่ดูดนมหรือร้องงอแง มุมปากเป่ื อยจากเช้ือรา จะมีอาการมุมปาก 2 ขา้ งเป็นแผลเปื่ อย และเจบ็ ภาวะแทรกซ้อน ในเด็กและผใู้ หญท่ ่ีมีสุขภาพทวั่ ไปแข็งแรงดี มกั ไม่มีภาวะแทรกซอ้ นจากโรคน้ีส่วนผูท้ ่ีมี ภูมิคุม้ กนั ต่า (โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ผปู้ ่ วยเอดส์) มกั เป็นโรคเช้ือราในช่องปากรุนแรง เจ็บปากจนกินไม่ได้ และขาดอาหารได้ บางรายเช้ืออาจลุกลามลงไปที่หลอดอาหาร ทาให้หลอดอาหารอกั เสบ (candidal esophagitis) มีอาการเจ็บหนา้ อกเวลากลืน ทาให้กลืนลาบาก คล่ืนไส้ อาเจียน กินอาหารไม่ได้ และขาด อาหารได้ นอกจากน้ี เช้ือรายงั อาจกระจายเขา้ กระแสเลือดไปยงั อวยั วะต่าง ๆ ทวั่ ร่างกาย เกิดการติดเช้ือ ร้ายแรง เช่น ปอดอกั เสบ ไตอกั เสบ หัวใจอกั เสบ สมองอกั เสบเป็ นตน้ ทารกที่เป็ นโรคเช้ือราในช่อง ปากหากดูดนมมารดาอาจทาใหเ้ ตา้ นมมารดาอกั เสบได้
26 การรักษา 1. ถา้ ผปู้ ่ วยมีสุขภาพทว่ั ไปดี ใหก้ ารรักษาดงั น้ี มมุ ปากเป่ื อยจากเช้ือรา ป้ายดว้ ยยารักษาโรค เช้ือรา เช่น เจลป้ายปากไมโคนาโชลไนเทรต (micona zole nitrate oral gel) ชนิด 2% ป้ายวนั ละ 3-4 คร้ังนาน 7-14 วนั โรคเช้ือราในช่องปาก ใชเ้ จนเชียนไวโอเลต ป้ายปากและลิ้น (ผูใ้ หญ่ใชช้ นิด 2% เด็กใช้ ชนิด 18) ป้ายวนั ละ 2-3 คร้ังจนกว่าจะหาย หรือนิสแตติน(nystatin) ชนิดน้า (100,000 ยูนิต/มล.) ป้าย คร้ังละ 1 มล. วนั ละ 4 คร้ังจนกว่าจะหาย แลว้ ให้ต่ออีก 48 ชวั่ โมงสาหรับผูใ้ หญ่และเด็กโต อาจใช้ยา ชนิดอม เช่นโคลไตรมาโซล (clotrimazole troche) 10 มก./เมด็ อม คร้ังละ 1 เมด็ ใหอ้ มในปากจนละลาย หมดแลว้ กลืน วนั ละ 5 คร้ัง นาน 14 วนั สาหรับมารดาท่ีให้บุตรดูดนม ขณะท่ีรักษา บุตรท่ีเป็ นโรคเช้ือราในช่องปากควรใช้ยา รักษาโรคเช้ือราในช่องปากป้ายหวั นมมารดาพร้อม ๆ กนั ไป เพื่อป้องกนั ไมใ่ หม้ ารดาติดเช้ือ 2. ถา้ เป็ นๆหายๆเร้ือรัง หรือให้ยารักษาแลว้ ไม่ได้ ผล หรือสงสัยว่าผูป้ ่ วยเป็ นเอดส์ ควรส่ง โรงพยาบาลเพ่อื ทาการตรวจวินิจฉยั และใหก้ ารรักษาท่ีเหมาะสมถา้ พบวา่ เป็นโรคเอดส์ จาเป็นตอ้ งใหย้ า รักษาโรคเช้ือราใหไ้ ดผ้ ล เพื่อป้องกนั ไมใ่ หเ้ กิดภาวะแทรกซอ้ นร้ายแรงตามมา 2.2 คู่มือการใช้ ยาอย่างสมเหตุสมผลตามบัญชียาหลักแห่ งชาติ ยาที่ใช้ ทางทันตกรรม โดย คณะอนุกรรมการพฒั นาบัญชียาหลกั แห่งชาติ และคณะทางานผู้เช่ียวชาญแห่งชาติด้านการคัดเลือกยา สาขาทันตกรรม 2560 โรคของเย่ือเมือกช่องปาก (Oral Mucosal Diseases) 2.2.1 แผลร้อนใน (Recurrent aphthous ulcer) นิยามของโรค เป็ นแผลท่ีพบไดบ้ ่อยบนเย่ือเมือกช่องปาก มกั เร่ิมเป็ นต้งั แต่วยั เด็ก และวยั หนุ่มสาว ลักษณะเฉพาะของแผลจะเป็ นแผลขนาดเล็กลักษณะกลม หรือรี มีเย่ือเทียมสีเหลืองเทาปกคลุม ลอ้ มรอบดว้ ยรอยแดงแผลอาจเกิดเป็นแผลเด่ียว หรือหลายแผลผปู้ ่ วยมกั มีอาการเจบ็ ปวดร่วมดว้ ย
27 แนวทางการวินิจฉัยโรค อาการแสดง (sign) ทีส่ าคญั ทเ่ี ป็ นลกั ษณะเฉพาะ หรือท่ีพบบ่อย แผลร้อนในขนาดเลก็ (Minor aphthous ulcer) เป็ นแผลขนาดเล็กลกั ษณะกลมหรือรี มีเยื่อเทียมสีเหลืองเทาปกคลุม ลอ้ มรอบดว้ ยขอบ อกั เสบแดง ขนาดของแผลมกั จะไมเ่ กิน 5 มิลลิเมตร แผลอาจเกิดเป็นแผลเดี่ยว หรือหลายแผล มกั เกิดท่ี เยื่อเมือกริมฝี ปาก เย่ือเมือกแกม้ ส่วนทบเยอ่ื เมือกดา้ นแกม้ ขอบของลิ้น เพดานอ่อน และพ้ืนปาก แผล จะหายภายใน 10-14 วนั และไมพ่ บแผลเป็น แผลร้อนในขนาดใหญ่ (Major aphthous ulcer) เป็นแผลขนาดใหญโ่ ดยพบวา่ ขนาดอาจใหญก่ ว่า 10 มิลลิเมตร เป็นแผลลึก มีเน้ือตายท่ีกน้ แผล ขอบของแผลยกนูน และรอบๆ แผลจะมีการบวมและอกั เสบแดง อาจพบการหายของแผลแบบมี แผลเป็ น แผลชนิดคล้ายเฮอร์ปี ส์ (Herpetiform ulcer) พบเป็ นแผลเล็กๆ รูปร่างกลมหรือรี ขนาดเท่าหัวเข็มหมุดหลายแผลอยู่เป็ นกลุ่ม แผล หลายแผลอาจจะรวมกนั เป็นแผลขนาดใหญ่ขอบไม่เรียบ ลกั ษณะแผลจะคลา้ ยเฮอร์ปี ส์ แผลสามารถพบ ไดท้ ุกบริเวณในช่องปาก ผปู้ ่ วยมกั มีอาการเจบ็ ปวด ทาใหก้ ารรับประทานอาหาร และ การกลืนลาบาก 2.2.2 ไลเคนแพลนัสในช่องปาก(Oral lichen planus) นยิ ามของโรค เป็ นโรคอกั เสบเร้ือรังชนิดหน่ึง ท่ีเกิดข้ึนกบั เยือ่ เมือกช่องปาก สาเหตุของการเกิดโรคยงั ไม่เป็ นที่ทราบแน่ชดั แต่มีหลายการศึกษารายงานว่าเกี่ยวขอ้ งกบั ระบบภูมิคุม้ กนั ชนิดเซลล์เป็ นส่ือที่ ผิดปกติ (cell-mediated immunological dysfunction) แนวทางการวนิ จิ ฉัยโรค อาการแสดง (sign) ท่ีสาคัญ ที่เป็ นลกั ษณะเฉพาะ หรือทพ่ี บบ่อย เป็นลายเส้นสีขาวคลา้ ยร่างแห โดยลายเส้นมีลกั ษณะหนานูนข้ึนมาจากเน้ือเย่ือปกติที่ขูด เช็ดถูไม่ออก ลายเส้นสีขาวน้ี อาจพบร่วมกบั รอยแดงอกั เสบของเย่ือเมือกช่องปาก หรือร่วมกบั แผล ถลอก โดยส่วนใหญ่จะพบท้งั สองขา้ งในช่องปาก บริเวณที่พบรอยโรคไดบ้ ่อย ไดแ้ ก่ กระพุง้ แกม้ ส่วน ทบเย่ือเมือกดา้ นแกม้ โดยเฉพาะในบริเวณใกลเ้ คียงกบั ฟันกรามล่างซี่ดา้ นใน บางคร้ังสามารถพบไดท้ ่ี สิ้น เหงือก หรือเยอื่ บดุ า้ นในของริมฝีปากได้
28 ผลการตรวจทางห้องปฏบิ ัติการท่สี าคญั /จาเพาะสาหรับการวินจิ ฉัย 1. การตดั เน้ือตรวจ (biopsy) ทางจุลพยาธิวทิ ยา 2. การตดั เน้ือตรวจดว้ ยวิธีอิมมโู นฟลอู อเรสเซนต์ 2.2.3 โรคติดเชื้อราแคนดดิ าช่องปาก (Oral candidiasis) นิยามของโรค เป็ นโรคติดเช้ือราที่พบบ่อยในช่องปาก สาเหตุเกิดจากเช้ือราแคนดิดา (Candida species) โดย แคนดิดาอลั บิแคนส์ (Candida albicans) เป็นชนิดที่พบบอ่ ยท่ีสุดสาหรับการติดเช้ือราในช่องปาก แนวทางการวินิจฉัยโรค อาการแสดง (sign) ที่สาคัญ ท่เี ป็ นลกั ษณะเฉพาะ หรือทีพ่ บบ่อย ชนดิ เย่ือเทียม (Pseudomembranous) พบเป็นเยื่อหนาสีขาวคลุมบนเยื่อบุช่องปาก ซ่ึงสามารถขดู ออกได้ และเหลือเป็นรอย ถลอกแดงอาจมีเลือดออก ชนิดผื่นแดง (Erythematous) พบเป็นรอยแดงของเยอื่ เมือกช่องปาก อาจพบการอกั เสบของลิน้ (glossitis) ปากอกั เสบเหตฟุ ันเทยี ม (Denture stomatitis) จะพบเป็นรอยแดงของเยอ่ื เมือกบริเวณเยอ่ื เมือกท่ีคลุมดว้ ยฟันเทียมอะคริลิก โดยขอบ ของรอยแดงน้นั จะสามารถแยกจากเยอื่ เมือกบริเวณขา้ งเคียงท่ีปกติไดอ้ ยา่ งชดั เจน อาจพบมีมมุ ปากอกั เสบ (angular cheilitis) ร่วมดว้ ย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัตกิ ารที่สาคัญ/จาเพาะสาหรับการวินิจฉัย 1. การตรวจเซลลท์ ี่หลุดลอก (Exfoliative cytology), ยอ้ มดว้ ย 10% KOH 2. การเพาะเช้ือรา (Fungal culture) 2.3 หนังสื อ Oral Pathology in the Pediatric Patient: A Clinical Guide to the Diagnosis and Treatment of Mucosal Lesions ผ้แู ต่ง Elizabeth Philipone และ Angela J. Yoon 2560 รอยโรคและความผดิ ปกตขิ องเนื้อเยื่อช่องปากในเด็ก (Pediatric oral lesions) ลกั ษณะรอยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก 1. Macule เป็นรอยโรคที่เป็นลกั ษณะข้ึน ผิวไม่ยกนูน ความเรียบเท่ากบั ผิวปกติขา้ งเคียง อาจ มีสี เข้ม (Hyperpigmentation) หรื อจางกว่าผิวข้างเคียง ( Hypopigmentation) มีขอบเขตชัดเจน
29 นอกจากน้นั อาจเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดไดผ้ ิวหนงั (Vascular abnormalities) สีผิวที่พบมี ไดท้ ้งั สีน้าตาล สีแดง สีคล้า ฯลฯ ถา้ ขนาคของป้ื นที่มีขอบเขตเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางมากวา่ มิลลิเมตร เรียกวา่ Patch 2. Papule เป็ นรอยโรคของเน้ือเยื่ออ่อนท่ีมีผิวยกนูนกว่าผิวขา้ งเดียง รอยโรคมีลกั ษณะเน้ือ แน่น (fim) ไม่มีของเหลวขา้ งใต้ มีขนาดเล็ก สีท่ีพบมีต้งั แต่ แดง น้าตาล น้าเงิน หรือม่วง ถา้ มีขนาด ใหญ่เรียกวา่ Nodule สามารถพบรอยโรคไดท้ ้งั ในช้นั Mucosa และ Submucosa 3. Vesicle, Bleb, Bulla เป็นรอยโรคผิวยกนูน ภายในบรรจุดว้ ยของเหลว อาจเป็น ของเหลว ใส (Serous) ขนุ่ (Mucous) หรือ หนอง (Pus) ถา้ ภายในรอยโรคเป็นหนอง นิยมเรียกวา่ Pastule 4. UIcer เป็นรอยโรคของเน้ือเยื่ออ่อนที่มีการฉีกขาดของเย่ือบุผิว (Epithelium) เกิดเป็นรอย แผล อาจพบเน้ือเยอ่ื ตาย (Slough) ปกคลุมท่ีผิว รอยแผลท่ีพบอาจมีสีขาว สีเหลือง หรือปนกบั เลือดทา ใหม้ ีสีแคง 5. Sessile, Peduncle เป็นรอยโรคของเน้ือเช่ืออ่อนท่ียกนูน และมีกา้ นเช่ือมต่อกบั ผิวหนงั ขา้ ง ใตท้ ่ีปกติ กา้ นที่เชื่อมตอ่ กบั รอยโรคมีขนาดเลก็ กวา่ รอยโรค 6. solitary เป็ นลกั ษณะรอยโรคท่ีอยู่เป็ นรอยโรคเดี่ยว มีลกั ษณะต่างๆ เช่น Ulcer, Nodule, Papule หรือ Macule 7. Diffuse เป็นลกั ษณะรอยโรคของเน้ือเช่ืออ่อนในลกั ษณะเดียวกนั ที่อยู่ใกลๆ้ กนั หลายรอย โรค ไดแ้ ก่ Diffuse vesicle, Diffuse nodule หรือ Diffuse ulceration เป็นตน้ 8. Leukoplakia เป็ นรอยโรคสีขาวในลักษณะป้ื น (Patch) บริเวณ Mucous membrane ของ Oral mucosaรอยโรคยดึ ติดกบั เน้ือเยอ่ื อ่อนขา้ งใต้ ทาใหข้ ดู ไมอ่ อก รอยโรคของเนื้อเย่ืออ่อนในช่องปากทผ่ี ดิ ปกติ (Oral soft tissue developmental anomalies lesions) 1. รอยโรคเกิดจากความผิดปกติของการพัฒนาเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก (Soft issue developmental anomalies) Fissure tongue รอยโรคพบที่ Dorsal surface of tongue มีลกั ษณะเป็นร่อง หลายร่อง (Multiple furrows or grooves) รอยโรคอาจพบมีอาการเจ็บ หรือไม่เจ็บก็ได้ ลกั ษณะที่ลิ้นเป็นร่องน้ีทาให้การทาความสะอาด ยาก เป็นสาเหตุของการเกิดกล่ินปาก (Halitosis) นอกจากน้นั พบว่ามีความสัมพนั ธ์กบั พนั ธุกรรม หรือ
30 พบร่วมกบั Erythema migrans (Geographic tongue) ลกั ษณะ Fissure tongue น้ีมกั พบบ่อยในเดก็ Down's syndrome รอยโรคน้ีไม่ตอ้ งการรักษาแต่ควรแนะนาให้ผูป้ ่ วยดูแลทนั ตสุขภาพให้ดี ควรแปรงลิ้น เพื่อ ลดการเกิดกลิ่นปาก Lingual thyroid เป็ น Ectopic thyroid gland พบบริเวณ Midline ที่ Base of tongue ลักษณะเป็ น Nodular mass ผิวเรียบสีชมพู มกั พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เกิดจากความลม้ เหลวของการพฒั นา Thyroid gland ซ่ึงปกติในระยะ Embryo พบวา่ Thyroid gland อย่บู ริเวณ Base of tongue จากน้นั จะ Migrate ไป ยงั บริเวณลาคอ ส่วนหนา้ เกิดเป็น Thyroid gland ทาหนท้ ่ีสร้าง Thyroid hormones แต่ถา้ เกิดการขดั ขวาง การเคลื่อนของ Thyroid gland ทาใหค้ งอยู่ที่เดิมเหมือนใน Embryo เกิดเป็น Lingual thyroid (ดงั รูป 3) Lingual thyroid ทาให้เกิด Hypothyroidism ภาวะ Cretinism การรักษาใช้ Thyroid hormone therapy หรือตดั ออกถา้ พบวา่ บริเวณลาคอมี Thyroid gland ปกติ แต่ถา้ เกิดความลม้ เหลวระหวา่ งการเคล่ือนของ Thyroid gland ไปสู่บริเวณลาคอ และเกิดส่วนหลงเหลือของ Embryonic thyroglossal duct ซ่ึงเป็ นทาง เชื่อมระหวา่ งการเคล่ือนท่ีของ Thyroid gland จากOropharynx ไปยงั ลาคอ ปกติทางเชื่อมน้ีจะสลายไป ก่อนคลอดแตถ่ า้ เกิดการหลงเหลืออยจู่ ะเกิดเป็นรูเปิ ดบริเวณลาคอ เรียกวา่ Thyroglossal duct cyst 2. รอยโรคของเนื้อเย่ืออ่อนสีขาว (Oral white lesions) Linea alba Linea alba หรือ Lenia albe buccalis เป็ นลักษณะปกติที่พบบ่อยในช่องปาก ไม่จัดเป็ น พยาธิสภาพ มกั เกิดบริเวณ Buccal mucosa ตรงกบั ระนาบการสบฟัน (Occlusal plane) ลกั ษณะเป็ นผิว เรียบสีขาวเป็นรอยเสน้ ทอดไปตามแนวสบฟัน หรืออาจพบลกั ษณะเป็น Scalloped line Hairy tongue Hairy tongue เกิดจากการมี Hyperkeratosis และ การยนื่ ยาว (Elongate) ของ Filliform papilla บนดา้ น Dorsal ของลิน้ ทาใหด้ ูเหมือนกบั เป็นเสน้ ขน (Hairlike appearance) พบเป็นลกั ษณะสี ขาว น้าตาล หรือดา จากการติดสีจาก อาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือการมีภาวะทนั ตสุขภาพที่ไม่ดี ปกติมกั ไม่มีอาการผิดปกติรอยโรคน้ียงั ไม่ทราบสาเหตแุ น่ชดั อาจเกิดจากการทานยาบางชนิค การขาด สารอาหารการมีภาวะทนั ตสุขภาพไม่ดี แต่เป็นสาเหตหุ น่ึงที่ทาใหเ้ กิดกลิ่นปาก (Halitosis) การรักษาถา้ ทราบสาเหตุใหร้ ักษาที่สาเหตุ แตถ่ า้ ไม่ทราบสาเหตุตอ้ งแนะนาใหผ้ ปู้ ่ วยรักษาทนั ตสุขภาพใหด้ ี เพือ่ ลด การเกิดกลิ่นปาก และควรแปรงลิ้น
31 Coated tongue ตาแหน่งท่ีพบคือบริเวณดา้ น Dorsal ของลิ้น ลกั ษณะที่พบเป็นฝ้าขาว หรือขาวปนเหลือง ปกคลุมลิ้น สามารถขดู ออกได้ ไม่ก่อใหเ้ กิดอาการความผิดปกติ แต่มกั เป็นสาเหตุของกล่ินปาก ฝ้าขาว บนลิ้นเป็ นท่ีสะสมของเช้ือโรคโดยเฉพาะแบคทีเรีย และเช้ือรา Coaed tongue พบมากในคนท่ีหายใจ ทางปาก เด็กที่มีไขห้ รือมีภาวะ Dchydration และเด็กท่ีมีภาวะทนั ตสุขภาพไม่ดี การรักษาให้ดูแลทนั ต สุขภาพ แปรงลิ้น ใหด้ ื่มน้าบ่อยๆ เพื่อป้องกนั ภาวะ Dehydration Erictional keratosis Frictional keratosis เป็ นรอยโรคสีขาวชนิดหน่ึง พบไดท้ ว่ั ไปในช่องปาก แต่ที่พบบ่อย ไดแ้ ก่ Oral mucosa, Lateral tongue และ attached gingiva ลกั ษณะที่พบอาจพบเป็ นบริเวณเล็ก ๆ หรือ พบเป็นรอยโรคสีขาวบริเวณกวา้ ง เป็นลกั ษณะของ Leukoplakia ชนิดหน่ึงท่ีไม่มีอาการความเจ็บปวด หรืออาการผิดปกติอื่นๆ สาเหตุมกั เกิดจากการมี Chronic irritation เช่น การกดั หรือเค้ียว วสั ดุอุดหรือ ฟันแตกและคมการใส่เคร่ืองมือจดั ฟันที่มีบริเวณท่ีระดายเคือง หรือพบในผูป้ ่ ายจิตเวชที่ชอบทาร้าย ตวั เองโดยการกดั ยกิ บริเวณช่องปาก การรักษาใหห้ าสาเหตุ และกาจดั สาเหตุ Hairy leukoplakia รอยโรคน้ีมีความสาคญั เพราะเป็นรอยโรคท่ีมีความสัมพนั ธ์กบั รอยโรคเอดส์ จะพบเป็น ลักษณะฝ้าขาวที่มีรอยหยัก ย่น บริ เวณค้านข้างของลิ้น (White patch with corrugated or hairy appcarance) (รูปท่ี 18) สาเหตุเช่ือว่าเกิดจากเช้ือไวรัส Epstein-Barr มกั พบได้ในผูท้ ี่มีภาวะภูมิคุม้ กนั ของร่างกายบกพร่อง หรือโรคเอดส์ ถา้ พบควรหาสาเหตุของการเกิด ปกติมกั ไม่มีอาการ อาจไม่ตอ้ ง รักษา หรือถา้ จะรักษาใหใ้ ชย้ าตา้ นไวรัส เช่น Acyclovia,Valacyclovia เป็นตน้ Pseudomembranous candidiasis Pseudomembraneous candidiasiaหรือThrushเป็นรอยโรคสีขาวที่พบบ่อย ตาแหน่งที่พบ ไดแ้ ก่ Mucosa ทางคา้ น Buccal, Tongue และ Palate ลกั ษณะที่พบเป็นฝ้าขาวขดู ออก จะพบเน้ือเยือ่ ขา้ ง ใตส้ ีแดง มีเลือดออก พบการการเจ็บ แสบเวลาขดู สาเหตเุ กิดจากเช้ือรา Candida albicans ลกั ษณะที่เป็น Thrush เป็นรูปแบบหน่ึงของการติดเช้ือรา Candida ปัจจยั เสริมท่ีทาใหเ้ กิดโรคไดแ้ ก่ การใชย้ าปฏิชีวนะ เป็ นเวลานานจรทาให้สมดุลของเช้ือในปากเสียไป ผูป้ ่ วยที่ได้รับการกดภูมิคุ้มกัน หรือได้รับสาร Steroids ภาวะทนั ตสุขภาพท่ีไม่ดี เช่นการดูดนมขวดและไม่ได้รับการเช็ดปากทาความสะอาดเป็ น เวลานาน การรักษาดว้ ยการใหย้ าดา้ นเช้ือรา เช่น Nystantin ร่วมกบั การดูแลทนั ตสุขภาพท่ีดี การแนะนา ใหม้ ารดาเช็ดทาความสะอาดช่องปากใหท้ ารกหลงั ดูดนม
32 Congenital epulis รอยโรคจดั เป็ น Benign tumor ชนิดหน่ึงท่ีพบในเด็กทารก พบไดบ้ ่อยบริเวณ Maxillary alveolar ridgeพบไดน้ อ้ ยใน Mandibular alveolar ridge ลกั ษณะเป็นกอ้ นเน้ือผิวเรียบสีเหมือน Muocsa (Smooth,pedunculated swelling mass) พบในเพศหญิงมากกวา่ เพศชาย ถ้ากอ้ นเน้ือมีขนาดใหญ่จะทาให้ เกิดปัญหาในการดูดนม การรักษาใหต้ ดั อ่อน และไม่ค่อยเกิดการ Recur Dental lamina cyst of new born Dental lamina cyst of new born (Inclusion cyst) มีช่ือเรียกหลายชื่อตามตาแหน่งในช่อง ปาก ถา้ พบท่ี Maxillary alveolar mucosa ซ่ึงเป็ นตาแหน่งท่ีพบบ่อย เรียกว่า Gingival cyst of new born พบบริเวณMedian palatal raphe เรียกวา่ Epstein' pearls พบที่ Hard palate หรืo Sof palate เรียกวา่ Bohn's nodules ถุงน้า (Cyst) ชนิดน้ีพบไดม้ ากกว่าร้อยละ 85 ในเด็กเกิดใหม่ เช่ือวา่ เกิดจากส่วนหลงเหลือของ Epithelium (Epithelial ramnants) จากการสร้าง Palate ในตวั อ่อน ของเหลวภายในถุงน้ามีสาร Keratin เป็นส่วนประกอบ (Keratin filled cyst) ลกั ษณะที่พบเป็น Papules สีขาว พบไดท้ ้งั รอยโรคเดี่ยวหรืออยู่ เป็นกลุ่ม (Solitary or multiple discreted papules) ขนาดแต่ละรอยโรคประมาณ 1-3 ม.ม. มกั ไม่มีอาการ และไม่ตอ้ งรักษา สามารถหายไดเ้ องเมื่อถงุ น้าแตกออกภายใน 1-3 เดือนแรกหลงั คลอด 3. รอยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนสีแดง หรือม่วง (Oral red or purple-blue lesions) Medial rhomboid glossitis รอยโรคพบท่ีก่ึงกลางลิ้น (Midline, posterior dorsal tongue) เป็นรอยโรคสีแดงเขม้ กว่าสี ของลิ้น ลักษณะเป็ นป้ื น (patch) รูป Rhomboid หรือ Ovoid บริเวณที่เป็ นรอยโรคไม่พบ ลักษณะ Filliform papillae รอยโรคส่วนใหญ่ผิวเรียบ (Smooth) (รูปที่ 25) แต่อาจมีลีกษณะยกนูน (nodule) ได้ มกั ไม่มีอาการเจ็บปวดสาเหตุเกิดจากการติดเช้ือรา Candida การรักษาใชย้ าตา้ นเช้ือรา และ การดูแล ทนั ตสุขภาพที่ดี Erythema migrans (Geographic tongue) Erythema migrans (Geographic tongue) หรือ Benign migratory glossitis ตาแหน่งท่ีพบ คอื Dorsal และ Lateral tongue เป็นลกั ษณะป้ื น (Patch) สีแดงรูปร่างมีหลายลกั ษณะ เช่น Oval, circular, scalloped border (รูปที่ 26) บริเวณที่เป็ นรอยโรคไม่พบ ลกั ษณะ Fillifom papilae พบในเด็กมากกว่า ผูใ้ หญ่ เพศหญิงมากกว่าเพศชาย และมกั เกิดร่วมกบั Fissure tongue การท่ีลกั ษณะของรูปร่างของรอย
33 โรคไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตอยู่ตลอดเวลาจึง เรียกว่า Migratory glossitis ส่วนมากไม่ตอ้ ง รักษาเพราะไม่ก่อใหเ้ กิดอาการเจ็บปวดแต่ถา้ มีอาการอาจให้ Topical steroid treatment 4. รอยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนทีเ่ ป็ นแผล (Oral ulcerative lesions) Aphthous uleer Aphthous ulcer หรือแผลร้อนใน เป็นแผล UIcer ที่พบบ่อยในช่องปาก ไมท่ ราบสาเหตแุ น่ ชดั สันนิษฐานว่าเกิดจากปฏิกิริยาของภูมิคุม้ กนั ของร่างกายท่ีมีต่อเน้ือเย่อื ในช่องปาก มีปัจจยั เสริมจาก ความเครียด การขาดวิตามิน การแพอ้ าหาร หรือได้รับ Trauma บริเวณท่ีพบได้แก่ Movable non- keratinized mucosa เช่น Buccal or labial mucosa, Floor of mouth, Tongue, Soft palate ลักษณะรอย แผลเป็น แผล UIcer ท่ีมี Fibropurulent membrane ปกคลุมลอ้ มรอบดว้ ย Erythematous red halo แผลทา ให้เกิดอาการเจ็บรับประทานอาหารลาบาก ชนิดของ Aphthous ulcer แบ่งตามขนาด และการกระจาย ของรอยโรค มี 3 ชนิด -Minor aphthous ulceration พบไดบ้ ่อยสุดกว่าร้อยละ 80 ของแผล Aphthous พบรอย แผลเป็นรูปกลมหรือรี (Oval shape) มี 1 -5 รอยแผล แตล่ ะรอยแผลอยู่ห่างกนั มีเส้นผ่าศูนยก์ ลางไม่เกิน 1 ม.ม. รอยแผลทาให้เกิดความเจ็บปวด สามารถหายไดใ้ นเวลา 7-10 วนั ไม่เกิดรอยแผลเป็นหลงั จาก แผลหาย - Major aphthous ulceration เ ป็ น แ ผ ล Ulcer มี ข น า ด ลึ ก มี ค ว า ม ก ว้า ง ข อ ง เส้นผ่าศูนยก์ ลางมากกวา่ 1 ม.ม. แผลทาใหเ้ กิดความเจ็บปวดมาก สามารถหายไดภ้ ายใน2-6สัปดาห์ แต่ เกิดแผลเป็น (Scar formation) -Hepetiform aphthous ulceration) เป็ นแผล U1cer ขนาดเล็กขนาดน้อยกว่า 2 ม.ม. กระจายอยู่ในบริเวณ ใกลเ้ คียงกนั (Diffuse lesion) อาจพบมากต้งั แต่ 10-100 รอยแผล แผลทาให้เกิด อาการเจบ็ ลกั ษณะของแผลตอ้ งวนิ ิจฉยั แยกโรคกบั Herpes lesion เพราะการรักษาตา่ งกนั รอยแผลหาย ไดเ้ องโดยไมม่ ีแผลเป็น Primary herpetic gingivostomatitis รอยแผลเกิดจากเช้ือไวรัส Herpes simplex Type I เมื่อแรกเร่ิมจะเกิดรอยแผลเป็ นตุ่มน้า ใสขนาดเล็ก(Small vesicles) หลายรอยแผลและแตกออกเป็ นแผล UIcer ลกั ษณะของเน้ือเช่ือในช่อง ปากมีอาการแดง อาจพบแผล UIcer ตามขอบเหงือก และมีกล่ินปาก แผลทาให้เกิดอาการเจ็บ พบการ เกิดแผลบ่อยที่ Keratinized mucosa เช่น Gingiva, Hard palate ผปู้ ่ วยมกั มีไข้ อ่อนเพลีย มาก่อน 1-2 วนั พอไขล้ ดจึงเริ่มมีแผลในช่องปากนอกจากน้นั ยงั พบต่อมน้าเหลืองโต (Lymphadinopathy) น้าลายไหล
34 ยอ้ ย (Drooling) รอยโรค Primary herpetic lesions มกั เกิดในเด็กเล็ก และ เด็กก่อนวยั เรียน รอยโรคหาย ไดเ้ องภายใน 7-14 วนั ปกติไม่ตอ้ งใหย้ า แต่ตอ้ งระวงั ภาวะ Dehydration ในเด็กเน่ืองจากเจ็บแผลทาน อาหาร และดื่มน้าไดน้ อ้ ย รักษาตามอาการเพอื่ ลดความเจ็บปวดเช่น ใช้ Topical diclonine hydrocholrise, Diphenhydramine elixir การให้ Antiviral agent เช่น Acyclovir ควรให้ภายใน 3 วนั แรกของการติดเช้ือ (First 3 day of onset) จะไดผ้ ลดี แต่ถา้ เกิดรอยแผลในปากจนเป็น Ulcer แลว้ มกั จะเลยระยะน้ีไปแลว้ แต่ แนะนาให้ยาต้านไวรัสผูป้ ่ วย Immunocompromised host ที่ติดเช้ือ Herpes ห้ามให้ Steroid treatment เพราะยามีผลกดภูมิคุ้มกันทาให้ช้ือไรัสแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ดังน้ันการวินิฉัยแยกโรค จาก Aphthous ulceration จึงเป็นส่ิงสาคญั Secondary herpetic ulcer ปกติการติดเช้ือ Hepes virus แลว้ เด็กจะมีเช้ืออยใู่ นร่างกายจนกระทง่ั ร่างกายอ่อนแอ จาก ภาวะความเกรี ยด อดนอน เป็ นโรค ถูกแสงแดดจัด ฯลฯ รอยโรค Herpes ก็กลับเป็ นอีกคร้ัง (Reactivation) รอยโรคท่ีเป็ นคร้ังน้ี (รี ยกว่า Recurrent herpes infection, Sccondary herpetic ulcer ส่วนมากพบท่ี Paraoral skin และ Lip vermillion จึงเรียกวา่ Herpes labialis ลกั ษณะรอยแผลเริ่มจากเป็น ตุ่มน้าใสเลก็ ๆ (Small vesicles) เม่ือรอยแผลแตกออกก็จะเป็นแผล Painful ulcer มีอาการปวดแสบปวด ร้อน (Burning sensation) โรคน้ีสามารถหายได้เองภายใน 7-14 วนั หรืออาจใช้ Topical antiviral (Acyclovir) Angular chelitis Angular chelitis เป็นรอยโรคท่ีเกิดท่ีมุมปาก(Commissures of mouth) เกิดจากการติดเช้ือ รา Candida หรือ Straphyococci ทาให้เกิดรอยแผลที่มีลกั ษณะ Fissure with bleeding ulcerate, scaling and cluster surfaceเวลาอา้ ปากเคก็ จะเจบ็ ทาใหค้ วามร่วมมือลคลง การรักษา ใช้ Antifungal agents หรือ ทาสาร Lubricate เพอ่ื ลดอาการที่ผวิ หนงั แตกแหง้ 2.4 หนังสือ Atlas of Oral Diseases : A Guide for Daily Practice ฉบบับภาษาไทย ผู้แต่ง Isaac van def waal แปลและเรียบเรียงโดย ทพญ.ดร. เปี่ ยมกมล วัชโรทยางกูร 2561 Candidiasis (รอยโรคติดเชื้อราแคนดิดา) คาจากดั ความ การติดเช้ือราจากสกุล Candida โดยมากเกิดจากเช้ือ C. albicans (แคนดิดาอลั บิแคนส์)
35 สาเหตุ ประมาณ 40% ของประชากร พบว่ามีเช้ือ C. albicans อาศยั อยใู่ นช่องปากและลาคอโดย ไม่ก่อใหเ้ กิดอาการใด ๆ แต่เม่ือมีปัจจยั เสริมชกั นาไม่วา่ เฉพาะที่หรือทางระบบ ทาใหเ้ กิดรอยโรคเช้ือรา ข้ึน เรียกว่า candidiasis ปัจจยั เสริมเฉพาะที่ ได้แก่ การมีสุขภาพช่องปากท่ีไม่ดี ปากแห้ง การใชย้ าส เตียรอยด์เฉพาะท่ีเช่นใชใ้ นลกั ษณะพ่นจมูก การสูบบุหร่ี และการไดร้ ับรังสีรักษามะเร็งที่บริเวณศีรษะ และลาคอปัจจยั เสริมทางระบบ ได้แก่ การมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ติดเช้ือเอซไอวี การเป็ น เบาหวานภาวะทุพโภชนาการ โรคเลือด เช่น เป็ นมะเร็งเม็ดเลือดขาวลิวคีเมีย และการใชย้ าปฏิชีวนะ นานๆ ลกั ษณะอาการทางคลนิ กิ มีไดห้ ลายแบบ โดยอาจเกิดข้ึนพร้อม ๆ กนั ในผปู้ ่ วยรายเดียวกนั ส่วนมากมกั เป็นท้งั สอง ขา้ งอย่างค่อนขา้ งสมมาตรกนั รอยโรคเช้ือราแคนดิดาชนิดฝ้าขาวขูดออกไดห้ รือ pseudomembranous candidiasis (thrush) เป็นลกั ษณะเยื่อสีขาวท่ีขูดออกไดง้ ่ายบนพ้ืนผิวช่องปาก มกั พบที่กระพุง้ แกม้ และ ลิน้ อาจทาใหเ้ กิดอาการแสบร้อนและรับรสอาหารไดผ้ ิดปกติไปรอยโรคเช้ือราแคนดิดาชนิดสีแดง หรือ erythematous candidiasis ทาให้เกิดความเจ็บแสบพ้ืนผิวเป็นสีแดงจดั มกั เป็นที่เพดานปากและดา้ นบน ของลิ้น ลกั ษณะหน่ึงท่ีพบไดเ้ รียกวา่ median rhomboid glossitis เกิดเป็นรอยแดงที่ลิ้นและเพดานปากท่ี สัมผสั กนั (เรียกว่า kissing lesion) นอกจากน้ี C. albicans ยงั ทาใหเ้ กิดรอยโรคมุมปากอกั เสบที่เรียกว่า angular cheilitis (perleches) กรณีรอยโรคใตฟ้ ันปลอมที่เรียกว่า denture stomatitis (รอยโรคปากอกั เสบ จากฟันปลอม) น้ัน อาจเป็ นรูปแบบหน่ึงของรอยโรคเช้ือราชนิดสีแดงน้ี แต่ในปัจจุบนั เชื่อว่าบทบาท ของ เช้ือ C.albicans ต่อการเกิดโรคน้ีไม่มากนัก กรณีที่รอยโรคพบเพียงขา้ งเดียว ควรเพิ่มการวินิจฉัย แยกโรคจากข้ึนแดงปนขาวท่ีเรียกว่า อึริโทรลิวโค-แพลเกีย(erythroleukoplakia) เขา้ ไปดว้ ย แมพ้ บได้ น้อย แต่เป็ นรอยโรคก่อนมะเร็งท่ีต้องระวงั รอยโรคเช้ือราแคนดิดาชนิดฝ้าขาวท่ีขูดไม่ออก หรือ hyperplastic candidiasis มีลกั ษณะจาเพาะคอื เกิดเป็นฝ้าขาวที่ไมส่ ามารถขดู ออกไดเ้ ลย พบมากที่บริเวณ มุมปากและดา้ นบนของลิน้ บางคร้ังใหช้ ื่อวา่ candida-associated leukoplakia รอยโรคเช้ือราแคนดิดาชนิด mucocutaneous candidiasis หรือท่ีเป็นท้งั ผิวหนงั และในเยอื่ บุตาแหน่งต่าง ๆ เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุม้ กนั ในร่างกายทาให้เกิดการติดเช้ือราที่ในปาก ผิวหนงั และเลบ็ พบไดน้ อ้ ยมาก
36 Lupus Erythematodes,Discoid Type (โรคลูปัสอรี ิทมี าโตซัสชนิดดสี คอยด์) คาจากดั ความ รอยโรคของเยอ่ื บุและผิวหนงั ท่ีเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุม้ กนั มีลกั ษณะรอยโรค ท่ีผวิ หนงั เป็นการหลุดลอก เป็นป้ื นแดงข้นึ และอาจพบรอยโรคลกั ษณะคลา้ ยไลเคนแพลนสั ใน ลกั ษณะ ช่องปาก (ในตาราน้ีจะไม่กลา่ วถึงโรค systemic lupus erythematodes) ลกั ษณะทางคลนิ กิ รอยโรคในช่องปากอาจจะคลา้ ยรอยโรคไลเคนแพลนสั หรืออาจปรากฏเป็นตุ่ม ๆ สีแดง โดย เฉพาะที่พบบนเพดานปาก รอยโรคมกั ทาให้เกิดความเจ็บแสบ เป็นท้งั สองขา้ ง เป็นมากท่ีกระพุง้ แกม้ และเพดานปาก ไม่ค่อยพบว่าผปู้ ่ วยเป็นรอยโรคท่ีในปากเพียงอยา่ งเดียว มกั พบรอยโรคท่ีผิวหนงั ดว้ ย เสมอ White Sponge Nevus (ไวท์สปองจ์นีวัส) คาจากดั ความ โรคทางพนั ธุกรรมชนิดทายกรรมลกั ษณะเด่น(autosomal dominant) ไม่ใช่โรคร้ายแรง เกิด จากการสร้างเคอราตินที่ผดิ ปกติ สัมพนั ธก์ บั โปรตีนเคอราติน ชนิด 4, 13 ลกั ษณะทางคลินิก เป็ นรอยโรคสีขาวที่หนาตวั ข้ึน ที่บริเวณกระพุง้ แก้มและด้านขา้ งของลิ้น เป็ นท้งั สองขา้ ง สามารถใหก้ ารวินิจฉยั รอยโรคน้ีจากลกั ษณะทางคลินิกและการซกั ประวตั ิได้ โดยไมต่ อ้ งตดั ชิ้นเน้ือเพ่ือ ส่งตรวจตอ้ งวินิจฉยั แยกโรคจาก pachyonycia congenita และ morsicatio Lymphangioma (ก้อนของหลอดนา้ เหลือง) คาจากดั ความ เป็นการสร้างหลอดน้าเหลือง (lymphatic vessels) อยา่ งผดิ ปกติ แสดงอาการหลงั จากแรกเกิด เพียงไม่นาน พบเป็ นการบวมคลา้ ยพวงองุ่น หลายๆ ตาแหน่งสีผิวออกเทา ๆ มกั ถูกเสียดสีที่พ้ืนผิว ตาแหน่งท่ีพบบ่อยคือที่ลิ้น พ้ืนช่องปาก แกม้ หากพบมีการติดเช้ือซ้าซ้อนข้ึนทาให้เกิดการบวอกั เสบ เจ็บปวดและเป็ นๆ หาย ๆ คลา้ ยกบั พบในรอยโรคคลา้ ย hemangioma ในหลายๆ คร้ังสามารถให้การ วินิจฉยั โรค lymphangioma น้ีไดจ้ าก ลกั ษณะทางคลนิ ิก การตดั ชิ้นเน้ือเพ่ือส่งตรวจจะช่วยยนื ยนั การวินิจฉยั ไดด้ ีกวา่
37 Multifocal Epithelial Hyperplasia (มัลตโิ ฟคอลเอพธิ ีเลยี ลไฮเปอร์พลาเซีย) คาจากดั ความ รอยโรคไม่ร้ายแรงของเน้ือเยอ่ื ช่องปากท่ีเกิดจากไวรัสบางชนิด สาเหตุ เกิดจากเช้ือ human papillomaviruses ชนิด 13, 32 (HPV 13, 32) ยงั ไม่ทราบเส้นทางการ กระจายเช้ือมายงั ช่องปาก แตภ่ าวะทพุ โภชนาการอาจเป็นปัจจยั ส่งเสริมใหเ้ กิดโรคได้ ลกั ษณะทางคลนิ กิ เป็นป้ี นสีขาว ๆ หรือชมพู ท่ียกตวั ข้ึนเลก็ นอ้ ยส่วนมากจะมีหลาย ๆ อนั ไม่มีอาการอ่ืนๆ พบ มากท่ีริมฝี ปาก ดา้ นขา้ งของลิ้นและที่กระพุง้ แกม้ สามารถให้การวินิจฉัยทางคลินิกโดยไม่ตอ้ งตดั ชิ้น เน้ือส่งตรวจได้ Sarcomas of The soft tissues (มะเร็งของเนื้อเยื่ออ่อน) คาจากดั ความ เป็นมะเร็งของเน้ือเยอื่ ประเภทเมเซนคยั ม์ (mesen chymal tissue) ระบาดวิทยา พบมะเร็งจาพวกน้ีไดป้ ระมาณ 1% ของมะเร็งท้ั งหมดที่เกิดในช่องปาก อุบตั ิการณ์การเกิด โรคประมาณ 1 : 1,000,000 ตอ่ ปี เกิดไดใ้ นทกุ วยั ลกั ษณะทางคลนิ ิก มีการบวมอย่างผิดปกติที่เน้ือเยื่อช่องปากมกั ไม่มีแผล การกระจายของมะเร็งมกั ไปทาง หลอดเลือด Stomatitis (เนื้อเยื่อช่องปากอกั เสบ) คาจากดั ความ เป็ นคาทว่ั ไปที่หมายถึงการอกั เสบของเน้ือเยื่อช่องปาก หากเป็ นการอกั เสบที่เกิดจากการ ไดร้ ับรังสีรักษาหรือเคมีบาบดั เรียกว่าเยื่อเมือกอกั เสบ(mucositis)รอยโรคเน้ือเย่ือช่องปากอกั เสบจาก สารนิโคติน(nicotinic stomatitis) เกิดไดจ้ ากหลายสาเหตุ ไดแ้ ก่ อนามยั ในช่องปาก ท่ีไม่ดีในผู้ที่ใส่ฟันปลอม ทาให้เกิดรอยโรคปากอักเสบ จากฟันปลอม (denture stomatitis หรื อ stomatitis prothetica) โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ เช่น หนองใน (gonorrhea) อาจทาให้เกิดเน้ือเยื่อช่อง ปากอกั เสบ เช่น ที่เพดานปาก นอกจากน้ี ยาบางชนิด เช่น azathioprine (ยาในกล่มุ กดภูมิคมุ้ กนั ร่างกาย)
38 อาจทาใหเ้ กิดอาการเน้ือเยอ่ื ช่องปากอกั เสบ (drug stomatitis) ได้ โดยอาจทาให้เกิดแผลร่วมดว้ ยท้งั สอง ขา้ ง การติดเช้ือเริม (herpes simplex) รอยโรคอีริธีมามลั ติฟอร์เม (erythema multiforme) ภาวะโลหิตจาง ภาวะโลหิตเป็นพษิ (uremia) และการใชร้ ังสีรักษาในช่องปาก ทาใหเ้ กิดการอกั เสบของเยอื่ บุช่องปากได้ เช่นกนั ลกั ษณะทางคลนิ กิ เยื่อบุช่องปากเป็ นสีแดงจดั บางคร้ังเป็ นแผลร่วมดว้ ยมกั เป็ นท้งั สองขา้ ง ที่เหงือกก็อาจเกิด รอยโรคได้ เรียกวา่ gingivostomatitis Ulcers in Mucocutaneous Diseases (แผลที่พบในโรคของผิวหนงั และเยอ่ื บุ Erythema Multiforme (อรี ิธีมามลั ตฟิ อร์ม) คาจากดั ความ โรคที่มีการอกั เสบของผิวหนังและเยื่อบุ กรณีที่เป็ นข้นั รุนแรงเรียกว่ากลุ่มอาการสตีเวนส์ จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome) โดยมีอาการไปท่ีตาและอวยั วะเพศ อีกโรคหน่ึงที่ใกลเ้ คียงกนั และมีความรุนแรงมาก เรียกว่า กลุ่มอาการไลเอล (Lyellsyndrome) หรือเรียกว่า toxic epidermal necrolysis สาเหตุ ไม่ทราบชัดเจน อาจจะสัมพนั ธ์กับเช้ือ HSV อาจเกิดจากยาบางชนิด เช่น sulfonamides, penicilins, ยากนั ชกั นอกจากน้ีพบวา่ เช้ือ mycoplasma pneumoniae อาจมีส่วนทาใหเ้ กิดโรคได้ ลกั ษณะทางคลนิ ิก มีอาการอ่อนเพลีย อาการในช่องปากมกั เกิดข้ึนก่อนเกิดที่ผิวหนัง โดยมีลกั ษณะเป็ นเย่ือบุ อกั เสบและถา้ เป็นที่ริมฝี ปากมกั เกิดเป็นสะเก็ดข้ึน รอยโรคที่ผวิ หนงั เป็นวงๆ สีแดงคลา้ ยเป้าธนู เรียกว่า bull's-eye หรือ target lesion ในโรค Stevens-Johnson syndrome มีรอยโรคท่ีตา (conjunctivitis) และที่ อวยั วะเพศ (balanitis) Pemphigus Vulgaris (เพมฟิ กสั วลั การิส) คาจากดั ความ โรคตุ่มน้าของผิวหนังและเย่ือบุ สาเหตุและกลไกการเกิดโรคยงั ไม่เป็ นที่ทราบชดั อาจเกิด จากภาวะภูมิคุม้ กนั ทางานผิดปกติ ลกั ษณะทางคลินิก
39 รอยโรคท่ีเยอื่ บุอาจเป็นก่อนที่ผิวหนงั โดยเกิดเป็นตุ่มน้าท่ีเจ็บปวด ตุ่มน้าน้ีแตกออกง่าย ทา ให้เกิดแผลที่เย่ือบุและเหงือก การทดสอบดว้ ยวิธี Nikolsky (นิโคลสก้ี ไดผ้ ลเป็ นบวก (ทาโดยการถู บริเวณเน้ือเยอ่ื หรือผิวหนงั ปกติท่ีบริเวณห่างจากแผลอยา่ งนอ้ ย 0.5 เซนติเมตร จะทาใหช้ ้นั เยอ่ื บุผิวหลุด แยกออกจากเน้ือเยื่อขา้ งใต)้ การวินิจฉัยแยกโรคทางคลินิกไดแ้ ก่ โรค erythema multiforme, mucous membrane pemphigoid,drug stomatitis, erosive lichen planus, linear lIgA บางคร้ังพบวา่ โรค pemphigus vulgaris เป็ นอาการแสดงของกลุ่มอาการท่ีสัมพนั ธ์กบั มะเร็ง (paraneo-plastic pemphigus) ท่ีผูป้ ่ วยมี มะเร็งร่วมดว้ ย เช่น มะเร็ง non-Hodgkin lymphoma เป็นตน้ Mucocele (ถงุ น้าเมือกจากต่อมน้าลาย) สาเหตุ การสะสมคงั่ คา้ งของ mucous เกิดข้ึนไดเ้ ม่ือมีภยนั ตรายต่อทางเปิ ดของท่อน้าลาย ทาใหเ้ กิด การคงั่ ของน้าลายในระบบท่อน้นั ๆ (เรียกวา่ retention phenomenon) หรืออาจเกิดจากการฉีกขาดของท่อ น้าลาย ทาใหน้ ้าลายไหลออกมาคง่ั อยขู่ า้ งนอกท่อ (เรียกวา่ extravasation phenomenon) ลกั ษณะทางคลนิ กิ มีลกั ษณะเป็นตุ่มบวมคลา้ ยถงุ น้า ผิวสีฟ้า ๆ เป็นอนั เด่ียว ๆ ที่ไม่มีอาการใด ๆ ท่ีริมฝี ปากล่าง (เรียกวา่ mucocele) หรือที่พ้นื ช่องปาก (เรียกวา่ ranula) และบางคร้ังพบไดท้ ี่ดา้ นใตล้ ิน้ ค่อนมาทางปลาย ลิ้นหรือที่กระพุง้ แกม้ ส่วนบริเวณท่ีพบไม่บ่อย คือท่ีริมฝี ปากบนและเพดานปาก ขนาดมีไดต้ ้งั แต่ไม่กี่ มิลลิเมตรไปจนถึง 1 เซนติเมตร การวินิจฉยั แยกโรคที่บริเวณริมฝี ปากล่าง แยกจาก phlebectasia (เส้น เลือดขอด หรือ varicosity)หากพบอาการบวมคลา้ ย mucocele ที่เพดานปากควรนึกถึงมะเร็งหรือเน้ือ งอกของตอ่ มน้าลายมากกวา่ Geographic Tongue/Migrating Glossitis (ลนิ้ แผนท)ี่ คาจากดั ความ เป็ นลกั ษณะอาการของลิ้นท่ีไม่มีความร้ายแรง พบเป็ นบริเวณสีแดงที่ดา้ นบนทางดา้ นหนา้ ของลิ้น รอยโรคเคล่ือนยา้ ยไปมาไดใ้ นช่วงเวลาต่าง ๆ บริเวณสีแดงน้ีลอ้ มรอบดว้ ยขอบสีขาวซ่ึงเป็ น เน้ือเยอ่ื บผุ ิวที่หลุดลอกออกมา สาเหตุ ไม่ทราบสาเหตุ มีการกล่าวถึงปัจจยั ดา้ นความเครียดมีส่วนทาให้เกิดอาการข้ึน นอกจากน้ี เน่ืองจากว่ารอยโรคมีลกั ษณะทางจุลพยาธิวิทยาคลา้ ยกบั โรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) จึงมีการกล่าวถึงว่า อาจมีความสัมพนั ธก์ นั
40 ลกั ษณะทางคลนิ กิ มีรอยโรคสีแดงผิวเรียบข้ึนที่ดา้ นบนของลิ้น และบางคร้ังตามบริเวณขอบลิ้น ซ่ึงลอ้ มรอบ ดว้ ยเน้ือเยอื่ สีขาวที่หลุดลอกออกมาจากพ้นื ผิว บริเวณสีแดงที่เรียบน้ีหายไปเองได้ โดยใชเ้ วลา เป็ นวนั หรือสัปดาห์ หรือเป็ นเดือน แลว้ เกิดข้ึนใหม่ท่ีบริเวณอ่ืนของลิ้น หรือบางคร้ัง (ซ่ึงพบไดน้ ้อย มาก)พบว่าเกิดที่บริเวณอ่ืนนอกจากลิ้น (เรียกว่า geo graphic stomatitis, ectopic geographic tongue) ผปู้ ่ วยอาจมีอาการแสบร้อนไดห้ ากทานอาหารเผด็ การวนิ ิจฉยั หรือดื่มน้าผลไม้ และอาจสมั พนั ธ์กบั การ เป็นรอยโรค fissured tongue (ลิ้นเป็นร่อง) Granular Cell Tumor (เนื้องอกชนิดแกรนูล่าร์เซลล์) คาจากดั ความ เป็ นเน้ืองอกไม่ร้ายแรงท่ีอาจพัฒนามาจาก Schwann cells หรื อจากเซลล์ของระบบ neuroendocrine ลกั ษณะทางคลนิ ิก พบไดท้ กุ ตาแหน่งในร่างกายแต่พบมากท่ีสุดที่ลิ้นโดยปกติพบเป็นกอ้ นเน้ือเด่ียวๆ แตอ่ าจพบ หลายกอ้ นได้ โดยเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีเหลืองท่ีบนลิ้น หรืออาจเป็นที่ตาแหน่งอ่ืนในปาก ไม่มีอาการใด ๆ มี บางราย (พบนอ้ ยมาก) พบวา่ เกิด granular cell tumorท่ีตาแหน่งอ่ืนในร่างกายดว้ ย เช่น ปอด Traumatic Eosinophilic Granuloma or Traumatic Ulcerative Granuloma with Stromal Eosinophilia /TUGSE (ทรอมาติกอโี อซิโนฟิ ลกิ แกรนูโลมา) คาจากดั ความ โรคของการอกั เสบชนิดหน่ึงซ่ึงมีลกั ษณะจาเพาะ คือ มีเซลล์แกรนูโลไซต์จาพวกอีโอซีโน ฟิ ล (eosinophilic granulocytes) จานวนมากปรากฏอยู่ สาเหตุ แมว้ า่ ช่ือของโรคจะบ่งถึงการไดร้ ับภยนั ตราย แต่ยงั ไม่เป็นที่พิสูจน์ไดช้ ดั วา่ มีความเกี่ยวขอ้ ง กนั โดยตรงของกระดูก ลกั ษณะทางคลนิ ิก เกิดแผลขอบเขตชดั เจนที่บนลิน้ แผลน้ีกดไดไ้ ม่แขง็ ไม่เจ็บปวด มกั เป็นอยู่หลายสปั ดาห์โดย ไม่มีแนวโนม้ วา่ หายได้ และอาจทาใหส้ บั สนกบั แผลจากมะเร็งชนิดสความสั เซลลค์ าร์ซิโนมา แผลท่ีอยูด่ า้ นใตต้ รงปลายลิ้นท่ีพบในโรค Riga-Fede disease อนั เนื่องมาจากการข้ึนของฟันน้านมซ่ีฟัน ตดั ลา่ งในเด็กทารก ไดร้ ับการจดั ใหเ้ ป็นชนิดแปรผนั ของ TUGSE
41 Gingival Cyst of the Newborn /Dental Lamina Cyst of the Newborn (ถุงน้าทเ่ี หงือกในวัยแรกเกดิ ) คาจากดั ความ เป็นถงุ น้าท่ีเกิดจากความผดิ ปกติของการพฒั นาของฟัน พบท่ีสนั เหงือกในเด็กทารกแรกเกิด ลกั ษณะทางคลนิ กิ พบเป็ นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวหรือเทา เป็ นอันเด่ียวๆหรือหลายอัน ที่บริเวณสันเหงือกของ ขากรรไกรท้งั บนและลา่ ง การวินิจฉยั ทาไดจ้ ากการตรวจทางคลินิกไม่มีความจาเป็นตอ้ งตดั ข้นึ เน้ือเพี ส่งตรวจดว้ ยลกั ณะทางจุลพยาธิวทิ ยา 2.5 หนังสือ รอยโรคในช่องปาก ที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ผู้แต่ง กอบกาญจน์ ทองประสม 2559 ลูปัสอรี ิทีมาโตซัสของระบบ (Systemic lupus erythematosus - SLE) SLE เป็ นโรคที่มีลกั ษณะเฉพาะ คือ ปรากฎความผิดปกติของแอนติบอดีในซีร่ัมและอิมมูน คอมเพล็กซ์ โรคน้ีจะมีผลต่ออวยั วะท่ีสาคญั ในร่างกาย และมีลกั ษณะทางคลินิกปรากฎไดห้ ลายอยา่ ง แอนติบอดีต่อร่างกายตนเองในผปู้ ่ วย SLE จะมีผลโดยตรงต่อโปรตีนของนิวเคลียสเม็ดเลือดแดง เม็ด เลือดขาว เกลด็ เลือด สารท่ีช่วยในการแขง็ ตวั ของเลือด ตบั ไต และเน้ือเยอ่ื ของหวั ใจ สาเหตุของ SLE สาเหตทุ ่ีแทจ้ ริงของโรคน้ียงั ไม่เป็นที่ทราบแน่ชดั แตม่ ืองคป์ ระกอบหลายชนิดท่ีมี บทบาทสาคญั ตอ่ การเกิดโรค SLE ดงั ต่อไปน้ี 1.ฮอร์โมน พบวา่ ระดบั ฮอร์โมนเพศหญิงสามารถทาให้โรค LE กาเริบได้ เช่น รับประทานยา คมุ กาเนิด เป็นตน้ 2. กรรมพนั ธุ์ จะพบว่าญาติพ่ีน้องของผูป้ ่ วยมีแอนติบอดีต่อตวั เองเป็ นจานวนมาก และมี ภาวะบกพร่องทางระบบภูมิตา้ นทานร่วมดว้ ย โอกาสเกิดโรคในผปู้ ่ วยที่เป็นฝาแฝดมีค่อนขา้ งมาก 3. ความบกพร่องทางชีวเคมี ทฤษฎีของความบกพร่องทางชีวเคมีไดร้ ับการสนับสนุนโดย การพบสารท่ีขบั ออกจาก เมทาบอลิซึมมีปริมาณเพิ่มข้ึนโดยเฉพาะอย่างย่ิงไทโรซีน (yrosine) และเฟ นิลอะลานีน (phenylalanine) ในผปู้ ่ วย 4.ไวรัส เนื่องจากมีการตรวจพบส่วนประกอบคลา้ ยไวรัสชนิด RNA ไวรัสในเน้ือเยื่อของ ผปู้ ่ วย SLE
42 5. ระบบภูมิต้านทาน พบอิมมูนคอมเพล็กซ์ซ่ึงประกอบไปด้วย นิวคลิอิกแอซิด และ แอนติบอดีเป็นจานวนมากที่บริเวณเน้ือเย่ือท่ีถูกทาลายในผูป้ ่ วย SLE ผูป้ ่ วยเหล่าน้ีจะมีอาการของโรค ข้ันรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดที่บริเวณไต และอาจพบในอวยั วะอื่น ๆ ได้ เช่น ระบบประสาท ส่วนกลาง ผวิ หนงั และปอด 6. แสงแดด แสงแดดทาใหผ้ ปู้ ่ วย SLE มีอาการโรคกาเริบข้ึน สังเกตไดจ้ ากผ่ืนของโรค SLE มกั เป็นบริเวณที่ถูกแสงแดดเป็นส่วนใหญ่ แอนติบอดีต่อร่างกายตวั เองเป็นสาเหตุของภาวะที่มีจานวน น้อยกว่าปกติของเม็ดเลือดแดงหรือเฮโมโกลบิน เนื่องจากการละลายเม็ดเลือดแดงและปล่อย เฮโมโกลบินออกมา (hemolytic anemia) และ เกลด็ เลือดต่า (hrombocytopenia) ซ่ึงพบไดใ้ นผปู้ ่ วย SLE การเกิดแอนติบอดีต่อร่างกายตวั เองเช่ือว่ามีความสัมพนั ธ์ต่อการลดการทางานของซพั เพรสเซอร์ที-ลิม โฟโฟไซต์ (suppressor T-lymphocyes) แสงแดดหรือการทาลายที่เกิดจากสารเคมีจะมีส่วนทาให้มีการ ปลดปล่อยแอนติเจนการทางานของซัพเพรสเซอร์ ที-ลิมโฟไซต์ ที่ลดลงจะชักนาให้เกิดการสร้าง แอนติบอดีต่อร่างกายตวั เองและอิมมูนคอมเพล็กซ์ ซ่ึงจะเป็ นผลทาให้มีการทาลายเน้ือเยื่อต่าง ๆ ท่ี สาคญั ของร่างกายอยา่ งมากมาย ลกั ษณะทางคลนิ กิ SLE เป็นโรคท่ีเป็นไดก้ บั อวยั วะหลายแห่ง ผปู้ ่ วยคนหน่ึงอาจปรากฎอาการที่ผิวหนงั และโรค ไต ในขณะท่ีอีกคนจะปรากฎอาการขอ้ อักเสบ โลหิตจาง เย่ือหุ้มปอดอักเสบ(pleurisy) ได้เป็ นต้น ลกั ษณะรอยโรคท่ีผิวหนงั ของผปู้ ่ วย SLE จะแตกต่างจาก DLE คือมีอาการอกั เสบ บวม รุนแรง และรอย โรคมักเป็ นท้ังสองข้าง แต่กว้างมากกว่า DLE ไม่พบรอยแผลเป็ นแบบใน DLE นอกจากน้ีพบ ปรากฏการณ์เรยน์ อดส์ (Raynaud's phe- nomenon) ของนิ้วมือและนิ้วเทา้ แผลบริเวณผิวหนงั ซ่ึงเป็ นผล จากหลอดเลือดอกั เสบ (vas- culis) นอกจากน้ียงั พบกระดูกขอ้ ต่ออกั เสบ กลา้ มเน้ือฝอลีบ เน้ือเยื่อหวั ใจ อกั เสบความดนั เลือดของระบบปอดสูงข้ึน (pulmonary hypertension) ลมชกั และความผิดปกติทางจิต ได้ บริเวณไตจะพบวา่ มีการถกู ทาลายประมาณร้อยละ 50 ของผปู้ ่ วยซ่ึงเป็นผลจากการสะสมของอิมมูน คอมเพล็กซ์ และเป็ นสาเหตุที่ทาให้ผูป้ ่ วย SLE เสียชีวิต ถา้ มีการแพร่ของโรคไปที่ระบบประสาท ส่วนกลาง การพยากรณ์ของโรคไมด่ ี ลกั ษณะในช่องปาก ผลต่อในช่องปากมกั จะเกี่ยวขอ้ งกบั ความผิดปกติหลายอย่าง บริเวณที่พบรอยโรคมากท่ีสุด คือ เพดานปาก กระพงุ้ แกม้ ริมฝีปาก และสนั เหงือก ลกั ษณะรอยโรคในช่องปากพบวา่ เยอื่ เมือกในช่อง ปากจะมีการเปล่ียนแปลงต้งั แต่มีแผลต้ืนที่ไม่เจ็บปวดหรือผื่นแดง มีรอยโรคสีขาวหนาตวั ข้ึนพบได้
43 นอ้ ยประมาณร้อยละ 10-25 ของผปู้ ่ วยท้งั หมด และเป็นลกั ษณะที่สาคญั ท่ีพบไดใ้ น SLE บริเวณพดาน จะพบรอยโรคได้บ่อย ลักษณะเป็ นแผลถลอกลึก หรือเป็ นจุดเลือดออก (purpura) อาการห้อเลือด (ecchymoses) และจุดเลือดออกลกั ษณะกลมเลก็ ๆ(petechiae) สามารถเกิดร่วมกบั การตกสะเกด็ และการหนาตวั ของเยอ่ื บุบริเวณริมฝี ปาก แผลที่เกิดข้ึนบริเวณเย่อื เมือกในช่องปาก เมื่อเวลาหายมกั จะ ไม่พบมีการสร้างเน้ือเย่ือเส้นใยอย่างผิดปกติ (ibrosis)/ และไม่พบรอยแผลเป็นนอกจากน้ียงั พบว่าการ ติดเช้ือราแคนดิดา และเช้ือเฮอร์ปี ส์ไวรัส พบไดบ้ ่อยในผปู้ ่ วย SLE ผทู้ ี่ศึกษาในเร่ืองน้ีไดล้ งความเห็นวา่ SLE มีความเกี่ยวขอ้ งกับการเกิดการผูป้ ่ วย SLE ผูท้ ่ีศึกษาในเร่ืองน้ีได้ลงความเห็นว่า SLE มีความ เก่ียวขอ้ งกบั การเกิดการติดเช้ือในช่องปากไดง้ ่าย ไม่เพียงแต่เช้ือที่ให้เกิดหนอง (pyogenic organisms) เท่าน้ัน เช้ือชนิดฉวยโอกาส (opportunistic organisms) ก็เกิดข้ึนได้เช่นกัน ซ่ึงการติดเช้ือเป็ นสาเหตุ สาคญั ที่ทาให้ผูป้ ่ วย SLE เสียชีวิต มีรายงานพบว่าผูป้ ่ วย SLE มีการติดเช้ือโรคเหงือกอกั เสบเน้ือตาย ฉับพลนั (acute necrotizing ulcerative gingivitis) เนื่องมาจากผูป้ ่ วยมีสุขภาพในช่องปากไม่ดีร่วมกบั ผปู้ ่ วยอยู่ในระหว่างการรักษาดว้ ยสเตียรอยดซ์ ่ึงทาใหก้ ลไกในการต่อตา้ นการติดเช้ือลดลง ผปู้ ่ วยจะมี อาการเจ็บปวดในช่องปากมาก มีรายงานวา่ พบ การอกั เสบถลอกลึกของริมฝี ปาก (erosive cheilitis) ใน ผูป้ ่ วย SLE ผูป้ ่ วยมีอาการบวมและมีแผลขนาดใหญ่ที่ริมฝี ปากบนและล่าง เลือดออกง่าย ซ่ึงโดยปกติ แลว้ ลกั ษณะเฉพาะของรอยโรคท่ีบริเวณริมฝี ปากจะประกอบไปดว้ ย การฝ่ อลีบของเน้ือเย่ือตรงกลาง ของรอยโรค และมีจุดสีขาวเล็ก ๆ รอบ ๆ มีการหนาตวั ของเย่ือบุผิวเป็ นเส้นสีขาวเล็ก ๆ แผ่กระจาย ออกไป ตรงกลางรอยโรคอาจเป็นแผลไดค้ วามผดิ ปกติท่ีต่อมน้าลายจะเกิดร่วมกบั กลุม่ อาการโซเกรนส์ (Sjogren's syn- drome) ไดป้ ระมาณร้อยละ 30 ของผปู้ ่ วยท้งั หมด อริ ิมทีมลั ตฟิ อร์ม (Eythema multifomme - EM) เป็ นโรคเฉียบพลันของผิวหนังและเยื่อเมือกในช่องปาก ซ่ึงจะปรากฎรอยโรคได้หลาย รูปแบบ รอยโรคในช่องปากจะมีลกั ษณะเฉพาะคือต่มุ น้าใสขนาดเลก็ และใหญ่จะแตกออกอยา่ งรวดเร็ว และเห็นเป็ นลกั ษณะทางคลินิกท่ีสาคญั EM อาจเกิดข้ึนคร้ังเดียวหรือเกิดข้ึนมาใหม่ได้ ดงั น้ันทันต แพทยจ์ ึงควรคานึงถึงการวินิจฉยั โรคของแผลในปากท่ีเกิดข้ึนอยา่ งเฉียบพลนั ไม่ว่าจะมีประวตั ิของการ เกิดรอยโรคคลา้ ยคลึงกบั คร้ังก่อนหรือไม่ก็ตาม สาเหตุ การเกิด EM เชื่อว่ามีความสัมพนั ธ์เกี่ยวขอ้ งกบั เช้ือแบคท่ีเรีย เช้ือรา และไวรัสหลายชนิด รวมท้งั มยั โคพลาสมานิวโมเนีย (Mycoplasma pneumoniae) โดยเฉพาะอย่างย่ิงมีรายงานของการเกิด EM เกี่ยวขอ้ งกบั การเกิดโรคเริมที่ริมฝี ปากชนิดซ้าซาก (re-current herpes labialis) มีรายงานวา่ ร้อยละ
44 15 ของผูป้ ่ วย EM ท่ีเกิดบ่อย ๆ มีประวตั ิว่าเคยติดเช้ือเฮอร์ปี ส์ซิมเพล็กซ์ (herpes simplex) บ่อย ๆ มา ก่อน และไดท้ าการทดลองใชเ้ ฮอร์ปี ส์ชิมเพลก็ ซ์แอนติเจน (herpes simplex antigen) ทดสอบท่ีผิวหนงั ในผูป้ ่ วยและพบว่ามีรอยโรคของ EM เกิดข้ึนได้จากการศึกษาชิ้นเน้ือของรอยโรค EM พบว่ามีการ เกาะติดของ IgM และ C,ในพ้ืนผิวของหลอดเลือดฝอย เช่ือว่าการเกิด EM เกี่ยวข้องกับอิมมูนคอม เพล็กซ์ท่ีติดอยูท่ ่ีผิวของหลอดเลือดฝอยของผิวหนงั และเย่ือเมือกในช่องปาก องคป์ ระกอบเฉพาะ และ กระตุน้ หเ้ กิดหลอดเลือดอกั เสบ มีหลายชนิด เช่น การแพอ้ าหาร ปฏิกิริยาต่อเช้ือจุลินทรีย์ การฉายรังสี โรคทางระบบตา่ ง ๆ และมะเร็ง ลกั ษณะในช่องปาก รอยโรคในช่องปาก มักจะปรากฎหลังจากมีรอยโรดเกิดข้ึนที่บริเวณผิวหนัง บางรายมี รายงานว่า ผูป้ ่ วยไม่มีรอยโรดที่ผิวหนังเลย รอยโรคในช่องปากจะเป็ นอาการเด่นชดั เพียงอาการเดียว ของโรคน้ี รอยโรคในช่องปากของ EM พบไดท้ ่ีบริเวณริมฝีปาก กระพุง้ แกม้ เหงือก ลิ้น เพดานแขง็ และ เพดานอ่อน เน่ืองจากภายในช่องปากมีความชุ่มช้ืนและเยอ่ื เมือกในช่องปากมีการเคลื่อนไหวขณะเค้ียว อาหาร ดงั น้นั รอยโรคในปากจึงไม่ชดั เจน เหมือนกบั ที่ผิวหนงั การเกิดรอยโรคแบ่งออกไดเ้ ป็น 5 ระยะ คือ แบนราบ (macular) ตุ่มน้ าใส (vesicular) เน้ื อตายหลุดลอก (sloughing) เย่ือเมือกเทียม (pseudomembra-nous) และการหายของแผล (healing) ในระยะแรกจะพบผ่ืนแดงขนาดเล็ก ๆ ราบติด กบั ผวิ และจะเปล่ียนเป็นตุ่มน้าใสในระยะเวลาส้ัน ๆ ซ่ึงไม่ค่อยพบบ่อย เน่ืองจากตุ่มน้าใส่ในช่องปากน้ี มีโอกาสแตกง่ายกวา่ ตุ่มน้าใสบริเวณผิวหนงั เมื่อตุ่มน้าใสแตกจะพบรอยถลอกต้ืน ๆ มีการอกั เสบแดง อยรู่ อบ ๆ และปกคลุมดว้ ยเน้ือตายทาให้พบอยใู่ นลกั ษณะระยะเยอ่ื เมือกเทียม ผปู้ ่ วยจะมีอาการเจ็บปวด ในช่องปากมากเม่ือตุ่มน้าใสแตกออกกลายเป็ นแผล และจะมีการติดเช้ือทุติยภูมิเกิดข้ึน ผูป้ ่ วยจะไม่ สามารถรับประทานอาหารหรือกลืนไดเ้ หมือนปกติ จะมีเลือดปนน้าลายอยใู่ นช่องปากตลอดเวลา แมว้ า่ รอยโรดจะเกิดได้ทุกท่ีในช่องปาก บริเวณริมฝี ปากจะเห็นเด่นชัด อาจจะพบรอยถลอกแดงเป็ นแนว กวา้ ง จะมีลกั ษณะเฉพาะคือมีสะเก็ดเลือดเกาะติด การท่ีมีสะเก็ดเลือดปรากฎท่ีริมฝี ปากน้ี จะสามารถมี ส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรค ผูป้ ่ วยจะมีกลิ่นปาก บริเวณเหงือกจะมีเน้ือตายปกคลุมอยู่ทวั่ ไปโดยปกติ รอยโรคจะหายไปไดภ้ ายใน 2 สัปดาห์ แต่พบไดบ้ ่อยว่ารอยโรคเกิดข้ึนมาใหม่อีก บางรายท่ีมีอาการ รุนแรงและโรคแผก่ ระจายออกไปกวา้ ง รอยโรคจะเป็นต่อไป อีกหลายสัปดาห์
45 เพมพกี อยด์ (Pemphigoid)เป็ นโรดที่จดั อยู่ในกล่มุ โรคภูมิต้านทาน เน้ือเยื่อตวั เองและมีความผิดปกติ ของโรคตุ่มน้าชนิดใตช้ ้นั เยื่อบุผิว (sub-epithelial bulla) สาเหตุของโรคน้ียงั ไม่ทราบแน่นอน แต่พบแอนติบอดี มีปฏิกิริยาต่อบริเวณเบสเมันต์ (basement membrane zone) โรคน้ีแบ่งได้เป็ น 2 ชนิด คือ บุลลัสเพมฟิ กอยด์ (bullous pemphigoid)และบีไนน์ มิวคสั เมมเบรนเพมฟี กอยด์ (benign mucous membrane pemphigoid) บุลลสั เพมฟิ กอยด์ ลกั ษณะทางคลนิ กิ บุลลสั เพมฟิ กอยด์ (Bullous pemphigoid - BP) เป็นโรคเร้ือรังและไม่รุนแรงมีลกั ษณะเฉพาะคือมีตุ่มน้า ใสจานวนมาก ซ่ึงอาจรวมกนั จนมีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางประมาณ 5-7 เซนติเมตรโดยอาการแสดง เริ่มแรกจะมีผ่ืนแดงท่ีบริเวณแขน ขา ก่อนของตุ่มน้าใสขนาดใหญ่จะตึงและอยู่นานกว่าเพมฟิ กัส ภายหลงั จากตุ่มน้าใสแตกออกแลว้ แผลจะหายเร็วกว่าเพมฟิ กสั อาจพบหรือไม่พบ นิโคลสก็ไซน์ ไม่ พบอะแคนโทลยั ชิส ลกั ษณะในช่องปาก พบว่าผูป้ ่ วยร้อยละ 33 มีรอยโรดในช่องปาก ตุ่มน้าใสในช่องปากพบไดน้ ้อยกว่าเพมฟิ กสั และพบนอ้ ยที่จะเกิดก่อนรอยโรคบริเวณผิวหนงั อาการไม่รุนแรง รอยโรคในช่องปากพบมากบริเวณ กระพุง้ แกม้ ตุ่มน้าใสมีขนาดเล็ก เกิดข้ึนอยา่ งชา้ ๆ และเจ็บปวดนอ้ ยกวา่ เพมฟิ กสั และรอยโรคไม่ค่อย แผก่ ระจายออกมาที่บริเวณ ริมฝี ปากเหมือนเพมฟิ กสั ถา้ รอยโรคเกิดท่ีบริเวณเหงือก จะพบวา่ มีลกั ษณะ บวมแดงอกั เสบ มีการหลุดลอกตรงบริเวณตุ่มน้าใสกระจดั กระจาย มีลกั ษณะคลา้ ยกบั บีไนน์มิวดสั เมม เบรนเพมฟิ กอยดล์ กั ษณะของตุ่มน้าใสจะปกคลุมดว้ ยเยอ่ื บุผิวและยงั คงพบวา่ มีของเหลวอยภู่ ายใน เป็นเวลานานก่อนที่จะแตกออก (ภาพท่ี 20) เมื่อตุ่มน้าใสแตกออกแผลจะหายเร็วโดยไมม่ ีรอยแผลเป็น แผลร้อนใน (Recurrent aphthous ulceration - RAU) เป็ นโรคที่พบได้บ่อย และมีลกั ษณะเฉพาะคือ จะมีแผลเกิดข้ึนท่ีเน้ือเยื่อบุผิวของช่องปาก แผลท่ีเกิดข้ึนอาจเกิดเพียงหน่ึงอนั หรือหลายอนั และทาใหเ้ กิดความเจ็บปวดมาก สาเหตุ เชื่อว่ามีความเกี่ยวขอ้ งกบั ความผิดปกติของระบบภูมิคุม้ กนั โดยที่ลิมโฟชยั ตม์ ีปฏิกิริยากบั เยื่อบุช่องปาก นอกจากน้ียงั มีความสัมพนั ธ์เกี่ยวกบั สภาพทางจิตใจ (psychologica)และสังคม (social) โดยพบว่ากลุ่มผูป้ ่ วยท่ีมีฐานะดีจะมีโอกาสเกิด RAU ได้มากกว่ากลุ่มท่ีดอ้ ยฐานะกว่า และยงั พบว่า
46 ลกั ษณะผูป้ ่ วยท่ีมีบุคลิกภาพท่ีแข็ง ไม่ยึดหยุ่น และผูท้ ่ีตอ้ งมีการแข่งขน้ มีโอกาสที่จะเกิดรอยโรคน้ีได้ บอ่ ยเช่นกนั ลกั ษณะทางกรรมพนั ธุ์มีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั รอยโรค RAU โดยพบว่าเด็กที่มีพ่อ แม่มีประวตั ิ เคยเป็ น RAU ลูกจะมีโอกาสเกิดรอยโรคไดถ้ ึงร้อยละ 10 ในขณะที่พ่อแม่เด็กไม่เคยมีประวตั ิของการ เป็ นโรค RAU มาก่น เด็กจะมีโอกาสเกิดรอยโรค RAUไดเ้ พียงร้อยละ 20 เท่าน้ัน นอกจากน้ีลกั ษณะ ของกรรมพนั ธุ์ HLA - B51 หรือ HLA-Cw7 มีโอกาสเกิดรอยโรคน้ีไดส้ ูง ในผปู้ ่ วยโรดซิลิแอก (coeliac disease) ร้อยละ 17 ท่ีเป็น RAU พบวา่ เก่ียวขอ้ งกบั DRw10 และ DQW1 HLA แอนติเจน ดว้ ย เชื่อว่าการเปล่ียนแปลงทางฮอร์โมนมีความเก่ียวขอ้ งกบั การเกิดแผลในช่องปาก แต่จากการ วจิ ยั ไมพ่ บความแตกตา่ งอยา่ งมีนยั สาคญั ภาวะการขาดสารอาหารมีส่วนเกี่ยวขอ้ งกับ RAU โดยพบว่าผูป้ ่ วยท่ีขาดธาตุเหล็ก โฟเลต (folate) วิตามินบี,2 (Vitamin B ) มีความเก่ียวขอ้ งกบั การเกิดโรค RAU และมกั เกิดร่วมกบั โรคซิลิแอก นอกจากน้ียงั พบในผหู้ ญิงก่อนมีประจาเดือน (menstruation) แผลร้อนในชนิดคล้ายเฮอร์ปี ส์ (herpetiform ulceration) แผลท่ีเกิดข้ึนจะมีลกั ษณะคลา้ ยกบั แผลขนาดเล็ก และมกั พบไดบ้ ่อยโดยเฉพาะบริเวณใตล้ ิ้น เพดานอ่อน หรือริมฝี ปากดา้ นใน ลกั ษณะแผลจะเป็ นกลุ่มหลายอนั มีขนาดต้งั แต่หัวเข็มหมุด กลม รี หรืออาจจะมีขนาดใหญข่ อบขรุขระ และเจบ็ ปวดแผลอาจจะหายไดภ้ ายใน 7-14 วนั ผปู้ ่ วยมกั จะมีอาการ กลืนลาบาก น้าหนกั ลดเนื่องจากรับประทานอาหารลาบากและไมเ่ พียงพอ 3. งานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง เกษรินทร์ เจริญสุข (2563) การศึกษาภูมิปัญญาหมอพ้ืนบา้ นในการรักษาโรคหละ ละอองซาง ในเด็ก มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อศึกษาองคค์ วามรู้และภูมิ ปัญญาหมอพ้ืนบา้ นในการตรวจ วินิจฉยั และการใช้ ยาสมุนไพรและรวบรวมตารายาสมุนไพรของหมอพ้ืนบา้ น เป็ นการวิจยั เชิง คุณภาพ (Descriptive research) ประซากรและกลุ่มตวั อย่างที่ใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ีเป็ น หมอพ้ืนบา้ นที่ความรู้ความชานาญมี ประสบการณ์การรักษาโรคเด็ก หละ ละออง ซาง ซ่ึงเป็ นผูท้ ่ีมีใบประกอบวิชาชีพ ประเภท ก หรือ ค โดยการเลือกตวั อยา่ งแบบ เจาะจงจานวน 4 ราย การศึกษาขอ้ มูลทวั่ ไปของหมอพ้ืนบา้ น พบวา่ เป็นชาย ท้งั หมด มีอายุ 68-84 ปี มีประการณ์และความชานาญในการรักษา โรคมากกวา่ 10 ปี และไตร้ ับการสืบ ทอดมาจากบรรพบุรุษ และไดศ้ ึกษาเพิ่มเติมจากตาราและสมาคมแพทยแ์ ผนไทยจงั หวดั กระบี่ เพื่อเป็น แนวทางในการปฏิบตั ิที่ถูกตอ้ งซ่ึงมีความสอดคลอ้ งการศึกษาของ ปิ ยนุช ยอดสมสวย ,สุพิมพว์ งษท์ อง แท(้ 2552) การศึกษา ภูมิปัญญาของหมอพ้ืนบา้ นในอาเภอองครักษจ์ งั หวดั นครนายก เหตุจูงใจสาคญั ที่
Search