Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนำหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) สพป.ลำปาง เขต 1

คู่มือการนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนำหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) สพป.ลำปาง เขต 1

Published by lpg1, 2020-06-22 22:59:32

Description: คู่มือการนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนำหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) สพป.ลำปาง เขต 1

Search

Read the Text Version

1 การพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษาและการนาหลกั สูตร สถานศึกษาไปใชใ้ นการพฒั นาผู้เรยี น โดยใช้กระบวนการ นิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) จดั ทาโดย ดร.วัชรี เหล่มตระกลู ศึกษานิเทศก์ กลุม่ นิเทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศกึ ษา สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เอกสาร ศน. สพป.ลป.1 ที่ 16/2562

ก คานา คู่มือการนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ใน การพัฒนาผู้เรียน เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เล่มนี้จัดทาข้ึน เพื่อให้คณะกรรมการ และอนุกรรมการ ก.ต.ป.น. ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหาร สถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง นาไปเป็นเคร่ืองมือนิเทศ ติดตามการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เป็นไปตามตัวช้ีวัด ความสาเร็จ ท้ังในด้านการบริหารจัดการ และการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1 ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือการนิเทศเล่มนี้ คงจะมีประโยชน์ในการนามาวางแผน/ ออกแบบ กาหนดทิศทางการนิเทศ ติดตามสถานศึกษาให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพตาม กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสาคัญต่างๆ ให้บรรลุ ตวั ชีว้ ดั ความสาเร็จในแต่ละนโยบาย อันที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสังกัด ต่อไป ดร.วชั รี เหล่มตะกลู ศกึ ษานิเทศก์ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1

ข สารบัญ เร่ือง หน้า คานา ก สารบญั ข ส่วนท่ี 1 บทนา………………………………………………………………………..…………….……………………… 1 ท่มี าและความสาคญั ของปัญหา……………………………………………………………………………… 1 วัตถุประสงคข์ องการนเิ ทศ................................................................................................ 3 เปาู หมายของการนเิ ทศ..................................................................................................... 3 ส่วนท่ี 2 เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ ง.......................…………………………………………………………..……………. 5 2.1 ทฤษฎี และแนวคดิ ที่เกย่ี วขอ้ ง............................................................................ 5 2.1.1 การนเิ ทศการสอน…………………………………………………………………………. 5 (1) ความหมายของการนิเทศการสอน………………………………………….. 6 (2) จุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอน………………………………………….. 7 (3) ความจาเป็นนิเทศการสอน…………………………………………………….. 8 (4) กจิ กรรมการนเิ ทศการสอน............................................................ 9 (5) ทักษะการนเิ ทศการสอน……………………………………………………….. 12 (6) กระบวนการการนเิ ทศการสอน………………………………………………. 12 (7) เทคนคิ การสังเกตการสอน……………………………………………………… 21 2.1.2 การนิเทศแบบโคช้ ……………………………………………………………………….. 24 (1) การโคช้ เพอ่ื การรูห้ นงั สอื และการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching)…………………………………………..……………….. 25 (2) การโคช้ เพื่อเนน้ นักเรยี นเปน็ สาคัญ (Student Centered Coaching)……………………………………………………………………………. 26 2.1.3 ทฤษฎเี กย่ี วกับการนเิ ทศการสอน…………………………………………………… 28 (1) ทฤษฎกี ารเปล่ยี นแปลง.................................................................. 28 (2) ทฤษฎีแรงจูงใจ............................................................................... 29 (3) ทฤษฎีการสือ่ สาร........................................................................... 30 (4) ทฤษฎมี นุษยส์ ัมพันธ.์ ..................................................................... 30 (5) ทฤษฎภี าวะผ้นู า............................................................................ 31 (6) ทฤษฎีการเรยี นรขู้ องผู้ใหญ.่ ........................................................... 31

ค สารบัญ (ตอ่ ) เรื่อง หน้า 2.1.4 แนวคิดเกยี่ วกับการพฒั นารูปแบบ…………………………………………………. 33 (1) ความหมายของรปู แบบ………………………………………………………… 33 (2) ประเภทของรปู แบบ...................................................................... 33 (3) ลักษณะของรูปแบบท่ีด.ี ................................................................ 34 (4) แนวคดิ การออกแบบและพัฒนารูปแบบ........................................ 34 2.1.5 แนวคิดเกยี่ วกับความพึงพอใจ………………………………………………………. 37 2.2 นโยบายและยุทธศาสตร์……………………………………….……………………………………. 38 2.2.1 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)………………………………………………….…………………. 38 2.2.2 นโยบายความม่นั คงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) …………..……..………… 40 2.2.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานกั งาน เลขาธิการสภาการศกึ ษา…………………………………………………………………. 41 2.2.4 แผนพฒั นาการศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)……………………………………………………….……………. 41 2.2.5 แผนปฏบิ ัตริ าชการประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน…………………………………………………. 42 2.3 การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษาและการนาหลักสตู รสถานศกึ ษาไปใชใ้ นการพัฒนาผเู้ รียน …………………………………………………………………………………………………… 44 สว่ นที่ 3 แนวทางการนิเทศ เพ่ือยกระดบั คณุ ภาพการศึกษา……………….……………………….……. 50 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนาหลักสตู รสถานศกึ ษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรยี น ……………………………………………………………………………………………………. 50 การนเิ ทศ ติดตามการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และการนาหลกั สูตรสถานศึกษา (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2561) ไปใชใ้ นสถานศกึ ษา โดยใชก้ ระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)……………………………………………………………………………………………….. 53 บรรณานุกรม............................................................................................................................... 55 ภาคผนวก ............................................................................................................................... 58 แบบนิเทศ ติดตาม การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา ………………………………………………………… 59 คณะผู้จัดทา................................................................................................................................. 66

1 ส่วนที่ 1 บทนา ท่มี าและความสาคญั ของปัญหา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ใหเ้ ป็นหลกั สูตรแกนกลางของประเทศ เม่ือวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 เริ่มใชใ้ นโรงเรียนต้นแบบ การใชห้ ลกั สูตรและโรงเรียนท่ีมีความพร้อม ในปีการศึกษา 2552 และเริ่มใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศ ในปีการศึกษา 2553 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยสานักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา ได้ดาเนินการติดตามผลการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในหลายรูปแบบ ทั้งการประชุมรับฟังความคิดเห็น การนิเทศติดตามผลการใช้หลักสูตรของโรงเรียน การรับฟังความ คิดเหน็ ผา่ นเวป็ ไซต์ของสานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา รายงานผลการวิจัยของหน่วยงานและ องค์กรทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั หลกั สูตรและการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีข้อดีหลายประการ เช่น กาหนดเปูาหมายการพัฒนาไว้ชัดเจน มีความยืดหยุ่นเพียงพ อ ให้สถานศึกษาบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาได้ สาหรับปัญหาท่ีพบส่วนใหญ่เกิดจากการนา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สู่การปฏิบัติในสถานศึกษาและ ในห้องเรียน ในระบบการศึกษาที่มีการกระจายอานาจให้ท้องถิ่นและสถานศึกษามีบทบาทในการ พัฒนาหลักสูตรน้ัน หน่วยงานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องในแต่ละระดับ ต้ังแต่ระดับชาติ ระดับท้องถิ่นจนถึง ระดับสถานศกึ ษา มบี ทบาทหนา้ ท่ี และความรับผิดชอบในการพัฒนา สนับสนุน ส่งเสริม การใช้และ พัฒนาหลกั สูตรให้เปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ เพ่ือให้การดาเนินการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา และ การจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพ ผู้เรยี นบรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรทู้ ี่กาหนดไวใ้ นระดบั ชาติ สถานศกึ ษามหี นา้ ที่สาคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การวางแผนและดาเนินการ ใช้หลักสูตร การเพ่ิมพูนคุณภาพการใช้หลักสูตรด้วยการวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงและพัฒนา หลักสูตร จัดทาระเบียบการวัดและประเมินผล ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาต้องพิจารณาให้ สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน และรายละเอียดที่เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือ หนว่ ยงานตน้ สังกัดอ่ืนๆ ในระดบั ทอ้ งถิน่ ไดจ้ ดั ทาเพ่มิ เติม รวมทั้งสถานศกึ ษาสามารถเพิม่ เติมในส่วนท่ี เก่ยี วกบั สภาพปัญหาในชมุ ชนและสงั คม ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน และความตอ้ งการของผู้เรียน โดยทุกภาค ส่วนเขา้ มามสี ว่ นร่วมในการพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา ในการนิเทศการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ใน การพัฒนาผู้เรียนเพ่ือให้เกิดผลสาเร็จ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้อง ดาเนินการตามลาดับข้ันตอนอย่างต่อเนื่องกัน ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้นาเสนอกระบวนการ นิเทศ เช่น สงัด อุทรานันท์ (2530 : 10) ได้เสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนท่ีสอดคล้องกับสภาพ สังคมไทย ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน ซ่ึงเรียกว่า “PIDRE” คือ การวางแผน (P-Planning) ให้ความรู้ ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) การสร้างเสริมขวัญกาลังใจแก่ ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing-R) การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) ในส่วนของวัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18 - 19) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอน 7 ขั้นตอน คือ 1.วางแผนร่วมกัน

2 ระหวา่ งผนู้ เิ ทศและผู้รับนิเทศ 2.เลอื กประเดน็ หรือเรือ่ งท่ีสนใจจะปรบั ปรงุ พฒั นา 3.นาเสนอโครงการ พฒั นาและขั้นตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบเพื่ออนุมัติดาเนินการ 4.ให้ความรู้หรือ แสวงหาความรู้จากเอกสารต่างๆและจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเก่ียวกับเทคนิคการสังเกตการสอน ในช้ันเรียน และความรู้เก่ียวกับวิธีการสอนและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สนใจ 5.จัดทาแผนการนิเทศ กาหนดวัน เวลา ที่จะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อแลกเปล่ียนความคิดเห็นและ ประสบการณ์ 6. ดาเนินการตามแผนโดยครูและผู้นิเทศ (แผนการจัดการเรียนรู้และการนิเทศ 7.สรปุ และประเมนิ ผลการปรับปรุงและพฒั นา รายงานผลสาเรจ็ นอกจากนี้ยังไดม้ ีการนาวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศการสอน ซ่ึงสมศักดิ์ สินธุระ เวชญ์ (2542 : 188) กล่าวถึง จุดหมายท่ีแท้จริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพ้ืนฐาน ในการบรหิ ารคณุ ภาพนน่ั มใิ ช่เพยี งแคก่ ารปรบั แกผ้ ลลัพธ์ทเ่ี บยี่ งเบนออกไปจากเกณฑ์มาตรฐานให้กลับมา อยู่ในเกณฑ์ท่ีต้องการเท่าน้ัน แต่เพ่ือก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบของ PDCA อย่างต่อเน่ือง เป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ท่ีม้วนไต่สูงขึ้นเร่ือย ๆ 4 ขั้นตอน คือ ข้ันที่ 1 การวางแผน (Plan - P) ขน้ั ที่ 2 การดาเนินตามแผน (Do - D) ขั้นที่ 3การตรวจสอบ (Check -C) ขนั้ ที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act - A) นอกจากน้ีจากการศึกษาการวิจัยของเกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552) เกี่ยวกับการพัฒนา รูปแบบการนิเทศครวู ทิ ยาศาสตร์ เพือ่ พฒั นาศักยภาพนักเรียนท่ีมีแววความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ซง่ึ ใชร้ ปู แบบการนิเทศที่เรียกว่า APFIE Model มีกระบวนการดาเนนิ งาน 5 ข้ันตอน คือ ข้ันตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการจาเป็น (Assessing needs : A) ขั้นตอนที่ 2 จัดการให้ ความรู้ก่อนการนิเทศ (Providing information : P) ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการนิเทศ (Formation Plan : F) ข้ันตอนท่ี 4 ปฏิบัติการนิเทศ (Implementation : I) ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการนิเทศ 4 ขน้ั ตอน คือ 1 ขั้นเตรียมการก่อนสอนและการนิเทศ 2) สังเกตการสอนในช้ันเรียน 3) ขั้นประชุม ให้ข้อมูลย้อนกลับ หลังสังเกตการสอน 4) ประเมินผลการนิเทศ ติดตาม ดูแล และขั้นตอนที่ 5 ประเมินผลการนิเทศตลอดภาคเรียน (Evaluating : E) และวชิรา เครือคาอ้าย (2552) เสนอรูปแบบ การนิเทศนักศึกษา ฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครู เพ่ือพัฒนาสมรรถภาพการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม การคิดของนักเรียนประถมศึกษา มีช่ือว่า รูปแบบ การนิเทศดับเบิ้ลพีไออี ( PPIE) ประกอบด้วย 4 ข้ันตอน คือ 1 ข้ันเตรียมความรู้/เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ 2) ขั้นวางแผนการนิเทศ 3) ขั้นดาเนนิ การนเิ ทศการสอน 4) ข้ันประเมินผลการนเิ ทศ ส่วนยุพิน ยืนยง (2553) เสนอรูปแบบ การนิเทศแบบหลากหลายวิธีการ เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียน มีชื่อว่า ซีไอพีอี (CIPE Model) ซึ่งมี 4 ข้ันตอน คือ ข้ันตอนท่ี 1 Classifying : C การคัดกรองระดับความรู้ ความสามารถ ทกั ษะทส่ี าคัญเกี่ยวกบั การจดั การเรียนรแู้ ละการวจิ ยั ในชั้นเรยี น เพื่อจัดกลุ่มครูและเลือกวิธีการนิเทศ ท่ีเหมาะสมสาหรับครูแต่ละกลุ่ม ขั้นตอนที่ 2 Informing : I การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ ขั้นตอนที่ 3 Proceeding : P การดาเนินงานได้แก่ 3.1 การประชุมก่อนการสังเกตการสอน (Pre conference) 3.2 การสังเกตการสอน (Observation) 3.3 การประชุมหลังการสังเกตการสอน (Post conference) ขั้นตอนที่ 4 Evaluating : E การประเมินผลการนเิ ทศ และธัญพร ช่ืนกล่ิน (2553) ได้เสนอการพัฒนา รปู แบบการโคช้ เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของอาจารย์พยาบาลท่ีส่งเสริมทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาพยาบาลในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนกกระทรวงสาธ ารณสุข พบว่า การพัฒนารูปแบบโค้ช พีพีซีอี (PPCE Coaching Model) คือ ระยะที่ 1 ระยะการเตรียมการ

3 (Preparing Phase : P) ระยะที่ 2 ระยะวางแผนการโค้ช (Planning Phase : P) ระยะท่ี 3 ระยะการ ปฏิบัติการโค้ช(Coaching Phase : C) ระยะที่ 4 ระยะเวลาการประเมินผลการโค้ช (Evaluating Phase : E) การออกแบบการเรียนการสอนเปน็ กระบวนการหนึ่งที่สาคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียน โดยการนาวิธีการเชิงระบบ (System Approach) มาใช้ในการดาเนินงานให้เกิด ประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ลสงู สุด ซ่งึ ในการออกแบบน้นั มนี กั การศึกษาหลายท่านได้เสนอคานิยาม ทีผ่ ู้เกยี่ วข้องกับการออกแบบ สามารถยึดถอื เปน็ หลักการในการปฏบิ ัตงิ าน โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับ ปัญหาและสถานการณ์ซ่ึงดกิ ค์ แคเรย์ และแคเรย์ (Dick Carey and Carey, 2005) ได้เสนอขั้นตอน การออกแบบระบบการเรียนการสอนไว้ 9 ข้ันตอน คือ 1) กาหนดเปูาหมายวัตถุประสงค์การเรียน การสอน 2) วิเคราะห์สภาพการเรียนการสอนวิเคราะห์ผู้เรียนและบริบท 3) กาหนดเปูาหมาย จุดประสงค์เชิงปฏิบัติ 4) พัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล 5) พัฒนาหรือเลือกยุทธวิธีการเรียน การสอน 6) พัฒนาเลอื กส่อื วัสดุการเรยี นการสอน 7) ออกแบบและประเมนิ ผล เพอื่ ปรับปรงุ การเรียน การสอน 8) ออกแบบและ ประเมินสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน 9) การปรับปรุงการเรียน การสอน และครูสซ์ (Kruse 2004) ได้เสนอขั้นตอนการออกแบบระบบการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิผลและมีความเหมาะสม โดยใช้แนวคิด “ADDIE Model” ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน คือ 1) ขั้นวิเคราะห์ (Analysis) 2) ข้ันออกแบบ (Design) 3) ขั้นพัฒนา (Development) 4) ขั้นนาไปใช้ (Implement) และ 5) ขนั้ ประเมินผล (Evaluation) ดังน้ันกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 จึงมีแนวทางขับเคล่ือนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและ การนาหลกั สตู รสถานศกึ ษาไปใช้ในการพฒั นาผู้เรียน โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) คือ 1. A (Assessing Need) การศึกษาสภาพและความต้องการ 2. P (Planning) การวางแผนการนิเทศ 3. I (Informing) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ 4. C (Coaching) การนิเทศ แบบโคช้ และ5. E (Evaluating) การประเมินผลการนเิ ทศ วตั ถปุ ระสงค์ของการนิเทศ เพือ่ นเิ ทศ ติดตามการพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ใน การพัฒนาผู้เรียน ท้ังด้านการบริหารจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ของ ครผู สู้ อน โดยใชก้ ระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เป้าหมายของการนิเทศ เปา้ หมายเชงิ ปริมาณ เพือ่ นเิ ทศ ตดิ ตามการพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ใน การพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านการบริหารจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ ของครผู ู้สอน จานวน 94 โรงเรียน

4 เป้าหมายเชิงคุณภาพ 1. ผู้บริหารสถานศึกษาการบริหารจัดการการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนา หลักสตู รสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เป็นไปตามบริบทของสถานศึกษา และเป็นไปอย่างมี ประสิทธภิ าพ 2. ครูผู้สอนจดั การเรียนรสู้ อดคล้องกับการพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษาและการนาหลักสูตร สถานศกึ ษาไปใชใ้ นการพฒั นาผู้เรียน เปน็ ระบบมีคณุ ภาพตามตัวชวี้ ัดและมาตรฐานการเรียนรู้

5 สว่ นที่ 2 เอกสารทเ่ี กี่ยวข้อง การนิเทศ ติดตามงานการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษา ไปใช้ในการพัฒนา เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัด การศึกษา สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 จึงดาเนินการนิเทศ ติดตาม โดย ใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ดังนี้ 2.1 ทฤษฎี และแนวคดิ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 2.1.1 การนเิ ทศการสอน (1) ความหมายของการนิเทศการสอน (2) จุดม่งุ หมายของการนเิ ทศการสอน (3) ความจาเป็นนเิ ทศการสอน (4) กิจกรรมการนเิ ทศการสอน (5) ทกั ษะการนเิ ทศการสอน (6) กระบวนการการนเิ ทศการสอน (7) เทคนคิ การสงั เกตการสอน 2.1.2 การนเิ ทศแบบโคช้ (1) การโคช้ เพื่อการรู้หนงั สือและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching) (2) การโค้ชเพือ่ เนน้ นักเรียนเป็นสาคญั (Student Centered Coaching) 2.1.3 ทฤษฎีเกีย่ วกบั การนิเทศการสอน (1) ทฤษฎีการเปล่ียนแปลง (2) ทฤษฎแี รงจูงใจ (3) ทฤษฎีการส่อื สาร (4) ทฤษฎมี นษุ ย์สัมพนั ธ์ (5) ทฤษฎภี าวะผนู้ า (6) ทฤษฎกี ารเรียนรูข้ องผู้ใหญ่ 2.1.4 แนวคิดเกยี่ วกับการพฒั นารปู แบบ (1) ความหมายของรปู แบบ (2) ประเภทของรูปแบบ (3) ลักษณะของรปู แบบท่ีดี (4) แนวคดิ การออกแบบและพฒั นารปู แบบ 2.1.5 แนวคิดเก่ียวกับความพงึ พอใจ 2.2 นโยบายและยุทธศาสตร์ 2.2.1 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) 2.2.2 นโยบายความมนั่ คงแหง่ ชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564)

6 2.2.3 แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานักงานเลขาธิการสภา การศึกษา 2.2.4 แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) 2.2.5 แผนปฏบิ ตั ริ าชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน 2.3 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปใช้ในการพัฒนา ผ้เู รยี น 2.1 ทฤษฎี และแนวคิดที่เก่ียวขอ้ ง 2.1.1 การนเิ ทศการสอน (1) ความหมายของการนิเทศการสอน การนเิ ทศการสอน มีความสาคญั เป็นอย่างมาก เนื่องจากศาสตร์ในเร่ืองนี้มีส่ิงต่างๆ มากมายทจี่ ะต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนการทางานที่ชัดเจน ซ่ึงได้มีนักการศึกษาต่างๆ ไดใ้ หค้ วามหมายของการนเิ ทศการสอนไว้หลายทา่ น สรปุ ไดด้ งั น้ี สงัด อุทรานันท์ (2530 : 7), กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 262), วไรรัตน์ บุญสวัสด์ิ (2538 : 3), ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์ (2548 : 48), ชาญชยั อาจนิ สมาจาร (ม.ป.ป), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 3) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกันไว้ว่า การนิเทศการสอน คือ กระบวนการบรหิ ารจัดการศกึ ษาท่สี ร้างสรรคไ์ ม่หยุดนิง่ เพ่อื ชี้แนะให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือ กับครูผสู้ อน และบุคลากรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือในเร่ืองอื่นๆ ที่ต้องอาศัยการนิเทศจาก ผรู้ ู้ ผ้ทู มี่ ีความสามารถเฉพาะเร่อื ง โดยเปน็ กระบวนการดาเนินงานที่จะตอ้ งทาร่วมกนั ระหว่างผู้นิเทศ กบั ผู้รับการนิเทศ ตลอดจนให้การช่วยเหลอื แนะนา และให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนในการปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ ทั้งในเรื่องของการวิเคราะห์ นักเรียน การวางแผนการทางาน การผลิตสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ สรุปผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการรายงานการปฏบิ ัติงานในภาพรวม และในประเดน็ ท่ีมีความสาคญั ในแต่ละเรอ่ื ง นอกจากน้ี Burton, William H. and Bruecker, Lee J. (1955 : 7), Spears, Harold (1967 : 16), Harris, Ben M. (1985 : 10, Oliva, Peer F. (1989 : 8), Glickman, Card. D., Stephen P. Gordon and Jovita M. Ross-Gordon (2004 : 8) ได้ให้ความหมายที่สอดคล้อง สรุปได้ว่า การนิเทศการสอน หมายถึง เป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรท่ี เก่ียวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอนท้ังในเร่ืองหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ส่ือการ เรยี นรู้ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ และส่งิ อานวยความสะดวกต่างๆ เพ่ือพัฒนาการทางานของ ครูให้มีประสิทธภิ าพ และสง่ ผลตอ่ คุณภาพของนักเรียน สรุปการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดน่ิงระหว่างผู้ นิเทศ กับผรู้ บั การนิเทศ เพ่ือมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาท่ีส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียน โดยเน้นการให้บริการ การให้ความร่วมมือ และการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนแก่

7 ผบู้ ริหาร ครู และบคุ ลากรทเ่ี กีย่ วขอ้ งทั้งในด้านการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัด และประเมินผล และการจัดกิจกรรมเสริมอื่นๆ เน้นความร่วมมือกัน ความเป็นประชาธิปไตย ใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื สนับสนุนมากกวา่ การบงั คบั ใหป้ ฏิบัติตาม (2) จดุ มุง่ หมายของการนเิ ทศการสอน การนิเทศการสอนแต่ละคร้ังจะต้องมีการกาหนดจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นแนวทาง ในการปฏิบัติและแนวทางในการดาเนินการนิเทศการสอนท่ีชัดเจน เพื่อจะให้เกิดผลท่ีต้องการดังที่ นักการศึกษาหลายท่านได้กาหนดจุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้อย่างสอดคล้องกัน ดังน้ี วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 8), ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 20), วไลรัตน์ บญุ สวัสดิ์ (2538 : 7) มคี วามเหน็ สอดคล้องกนั ว่า จดุ มงุ่ หมายของการนิเทศการสอนเป็นการปรับปรุง กระบวนการสอนและกระบวนการเรียนรขู้ องนักเรียน สร้างขวญั และกาลังใจ และสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทางานร่วมกัน โดยอาศัยการนิเทศช่วยเหลือ แนะนา ให้ความรู้ และการฝึกปฏบิ ัติด้านการพัฒนาหลกั สตู ร เทคนคิ วธิ กี ารเรยี นการสอนใหม่ ๆ การใช้และการสร้างสื่อ นวตั กรรมด้านการสอนและการทาวิจัยในช้ันเรียน เพื่อให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนหรืองานในวิชาชีพของตนเองอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ตามเปาู หมาย สว่ น กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 264) ได้สรุปจุดมุ่งหมายการนิเทศการสอนไว้ เพื่อช่วย ให้ครคู ้นหาและรู้วิธกี ารทางานดว้ ยตนเอง รจู้ กั แยกแยะ วเิ คราะหป์ ัญหาของตนเองโดยใหค้ รูรู้ว่าอะไร ท่ีเปน็ ปญั หาทก่ี าลงั เผชญิ อยู่และจะแกไ้ ขปัญหาเหลา่ นั้นได้อย่างไร รู้สึกมั่นคงในอาชีพ และมีความเช่ือมั่น ในความสามารถของตน คุ้นเคยกับแหล่งวิทยาการ และสามารถนาไปใช้ในการเรียนการสอนได้ เผยแพร่ให้ชุมชนเข้าถึงแผนการจัดการศึกษาของโรงเรียนและให้การสนับสนุนโรงเรียน ตลอดจน เข้าใจปรัชญาและความต้องการทางการศึกษา นอกจากนี้ ยุพิน ยืนยง (2553 : 38) ; เกรียงศักด์ิ สังข์ชัย (2552 : 71) ยังกล่าวว่าการนิเทศการสอน มีจุดมุ่งหมาย คือ การช่วยเหลือ แนะนา และ สนับสนุนให้ครูได้รับการพัฒนางานในวิชาชีพของตนเองให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันที่จะ สง่ ผลตอ่ การพฒั นาการดา้ นการเรยี นรู้ของนกั เรยี น สาหรับสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2547 : 180-181) ได้สรุป จุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้ว่า 1) เพ่ือให้สถานศึกษามีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ของนักเรียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานหลักสูตรและให้เป็นไปตามแนวทางของพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2545) 2) เพื่อให้สถานศึกษา สามารถบริหารและจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ 3) เพื่อพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน สังคม ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน 4) เพ่ือให้ บุคลากรสถานศึกษาได้เพิ่มความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ การปฏิบัตงิ าน รวมทัง้ ความตอ้ งการในวชิ าชีพ 5) เพ่ือส่งเสริมใหส้ ถาบนั การศึกษาปฏิรูประบบบริหาร โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทา ร่วมตัดสินใจ และร่วมรับผิดชอบ ช่ืนชมในผลงาน 6) เพื่อให้เกิด การประสานงานและความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระหว่างผู้เก่ียวข้อง ได้แก่ ชุมชน สังคม และวัฒนธรรม 7) เพ่ือพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีแก่ครูในด้านความเป็นผู้นาทางวิชาการและ ความคิด ความมีมนุษย์สัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ที่จะอบรมนักเรียน ให้เป็นผู้มีคุณภาพชีวิตที่ดีตามความต้องการของสังคมประเทศชาติ 8) เพ่ือพัฒนาวิชาชีพครูและ

8 เสรมิ สรา้ งสมรรถภาพดา้ นการสอนใหแ้ กค่ รใู นดา้ นการวเิ คราะห์และปรับปรงุ จดุ ประสงค์ในการเรียนรู้ วิธีการศึกษาพ้ืนฐานความรู้ของนักเรียน การเลือกและปรับปรุงเนื้อหาการสอนการดาเนินการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเหมาะสม ประเมินผลการเรียนการสอนและปรับปรุงกระบวนการวัดผล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9) เพื่อพัฒนากระบวนการทางานของครู โดยใช้กระบวนการกลุ่มในด้าน การร่วมมือกันจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและแก้ปัญหาการสอนการร่วมมือกันทางานอย่างเป็น ขน้ั ตอน มีระบบ ระเบียบ การร่วมมือกันทางานด้วยความเข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน ยอมรับซ่ึงกัน และกนั การรว่ มมอื กันทางานทีม่ ีเหตุผลในการพฒั นาหลกั สตู ร สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องและก้าวหน้า เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นภาระหน้าท่ีของผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าฝุาย วิชาการ และคณะครู อาจารย์ ภายในสถานศึกษาที่จะต้องมีหน้าที่ดาเนินการนิเทศกันเอง มีการประสานความรว่ มมอื ระหว่างการนิเทศครูผู้ทาหน้าที่นิเทศและแหล่งวิทยาการต่างๆ ให้บริการ ช่วยเหลอื งานวชิ าการของสถานศึกษาอย่างมีประสิทธภิ าพและคล่องตัว มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครู ด้วยกนั ไดร้ บั ขวญั และกาลงั ใจจากผู้บรหิ ารและการยอมรับในความรู้ ความสามารถของผใู้ ห้การนิเทศ รวมทั้งผู้รับการนิเทศจะต้องให้การสนับสนุนด้วย และมีกระบวนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ในโรงเรยี นทีจ่ ะส่งผลให้โรงเรียนพัฒนาตนเอง และ 10) เพื่อสร้างขวัญและกาลังใจแก่ครูในด้านการ สร้างความมั่นใจและความถูกต้องในการใช้หลักสูตรและการสอน สร้างความสบายใจในการทางาน รว่ มกนั และความก้าวหน้าในตาแหน่งทางวชิ าชพี ครู สรุปจุดมงุ่ หมายของการนิเทศการสอนคือการพฒั นาคน พัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถ ในการพัฒนางานด้านหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ในวิชาชพี ครูท่ีส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพของนักเรยี น โดยอาศัยการนเิ ทศ ชว่ ยเหลือ แนะนา อนั จะสง่ ผลต่อการพฒั นาคุณภาพนกั เรียนให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีคุณลักษณะ ทีพ่ ึงประสงคต์ ามเปาู หมายของหลกั สตู ร (3) ความจาเป็นในการนิเทศการสอน การพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ประสบความสาเร็จได้นนั้ จะต้องอาศัยกระบวนการ นิเทศการสอนเป็นองค์ประกอบด้วย ท้ังน้ีเพราะการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการของการทางาน ร่วมกับครเู พือ่ ปรบั ปรุงการเรียนการสอนในช้นั เรยี นให้มีประสิทธผิ ล ดังท่ี กิตมิ า ปรดี ีดิลก (2532 : 263) ได้ให้ความเห็นว่าในปัจจุบันการนิเทศการสอน มีความจาเปน็ ตอ่ กระบวนการเรียนการสอนเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลท่ีว่า 1) การศึกษาเป็นกิจกรรม ท่ีซับซ้อนและยุ่งยาก จาเป็นจะต้องมีการนิเทศ 2) การนิเทศการสอนเป็นงานท่ีมีความจาเป็นต่อ ความเจริญงอกงามของครู 3) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการช่วยเหลือครูในการเตรียม การสอน 4) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลที่ทันสมัยอยู่เสมอ อันเนอื่ งมาจากการเปลีย่ นแปลงทางสังคมท่ีมีอยู่ตลอดเวลา ซงึ่ แนวคดิ ดงั กลา่ วสอดคล้องกบั กรองทอง จริ เดชากุล (2550 : 4) ที่ได้กล่าวถึงความจาเป็นของการนิเทศการสอนไว้ว่า การนิเทศการสอนเป็น การปรับปรุงคณุ ภาพของการจดั การศึกษา การพัฒนาสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่มาตรฐาน การศกึ ษา รวมทง้ั เป็นการประสานงานใหเ้ กดิ การปฏบิ ตั ทิ ่ีมีประสิทธภิ าพในสถานศกึ ษา ท้ังนี้เนื่องจาก สงั คมมกี ารเปล่ียนแปลงทกุ ๆ ดา้ นตลอดเวลา นอกจากนี้ ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป.) ยังกล่าวว่า การนเิ ทศการสอนมีความจาเป็น กล่าวคอื

9 1. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นในการให้บริการทางวิชาการ การศึกษาเป็น กิจกรรมที่ซับซ้อน และยุ่งยาก เพราะมันเก่ียวข้องกับบุคคล การนิเทศการสอนเป็นการให้บริการ แก่ครูจานวนมากที่มีความสามารถต่าง ๆ กัน อีกประการหนึ่งการศึกษาได้ขยายตัวไปอย่างมาก เม่ือไมน่ านมานี้ สง่ิ เหลา่ นตี้ า่ ง ๆ กต็ ้องอาศัยความช่วยเหลือจากการนเิ ทศทัง้ นน้ั 2. การนิเทศการสอนมีความจาเปน็ ต่อความเจริญงอกงามของครู แม้ว่าครูจะได้รับ การฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ครูจะต้องปรับปรุงการฝึกฝนอยู่เสมอในขณะทางาน ในสถานการณจ์ ริง 3. การนเิ ทศการสอนมีความจาเปน็ ตอ่ การช่วยเหลือครใู นการตระหนักเตรียมการสอน เนื่องจากครูต้องปฏิบัติงานในกิจกรรมต่าง ๆ กัน และจะต้องเผชิญกับภาวะที่ค่อนข้างหนัก ครูจึงไม่อาจสละเวลาได้มากเพียงพอต่อการตระเตรียมการสอน การนิเทศการสอนจึงสามารถ ลดภาระของครูไดใ้ นกรณี ดงั กลา่ ว 4. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลท่ีทันสมัยอยู่เสมอ จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทาให้เกิดพัฒนาการทางการศึกษาทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ ข้อแนะนาท่ีได้จากการวิเคราะห์และจากการอภิปราย จากการค้นพบของการวิจั ยมีความจาเป็น ต่อความเจรญิ เตบิ โตดงั กล่าว ซึ่งการนิเทศการสอนสามารถใหบ้ ริการได้ 5. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อภาวะผู้นาทางวิชาชีพแบบประชาธิปไตย การนิเทศการสอน สามารถให้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ นอกจากน้ียังสามารถรวมพลังของทุกคน ร่วมอยใู่ นกระบวนการทางการศึกษาด้วย สรุปการนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการจัดการศึกษาอย่างย่ิง เพราะเป็น การช่วยเหลือสนับสนุน ส่งเสริมให้ครูมีความสามารถในการพัฒนางานในวิชาชีพของตนเองให้มี ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผล อันจะช่วยให้ครูเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ รวมท้ังส่งผลถึงนักเรียนและ คุณภาพการศกึ ษาโดยภาพรวมในที่สุด (4) กจิ กรรมการนิเทศการสอน กิจรรมการนิเทศการสอน เป็นวิธีการนิเทศที่ผู้นิเทศจะต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์หรือสภาพปัญหาของสถานศึกษา และให้คานึงถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ กิจกรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนิเทศ และประโยชน์ที่ผู้รับ การนเิ ทศจะไดร้ ับเปน็ สาคัญ Harris et al. (1985 : 71-86) ; ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 20) ; วัชรา เลา่ เรียนดี (2550 : 14 - 16) ไดเ้ สนอกิจกรรมการนิเทศ ดงั น้ี 1. การบรรยาย (Lecturing) เป็นกิจกรรมท่ีเน้นการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ ของผนู้ เิ ทศไปสผู่ รู้ ับนิเทศ ใช้เพยี งการพูดและการฟังเท่าน้ัน 2. การบรรยายโดยใช้ส่ือประกอบ (Visualized lecturing) เป็นการบรรยายท่ีใช้ส่ือเข้ามาช่วย เช่น สไลด์ แผนภมู ิ แผนภาพ ฯลฯ ซ่งึ จะชว่ ยใหผ้ ฟู้ งั มคี วามสนใจมากยิ่งขน้ึ 3. การบรรยายเป็นกลมุ่ (Panel Presenting) เปน็ กิจกรรมการให้ขอ้ มูลเปน็ กลุ่ม ทมี่ จี ุดเนน้ ทีก่ ารให้ข้อมูลตามแนวความคิดหรอื แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซงึ่ กันและกัน

10 4. การให้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ (Viewing film or Television) เป็นการใช้เคร่ืองมือท่ีเป็น สื่อทางสายตา ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ เพ่ือทาให้ผู้รับการนิเทศได้รับความรู้และ เกิดความสนใจมากขน้ึ 5. การฟังคาบรรยายจากเทปวิทยุและเครื่องบันทึกเสียง (Listening to tape, Radio recordings) เป็นการใช้เคร่ืองบันทึกเสียงเพ่ือนาเสนอแนวความคิดของบุคคลหนงึ่ ไปสู่ผฟู้ งั อ่นื 6. การจัดนิทรรศการเก่ยี วกบั วัสดุและเคร่ืองมือต่างๆ (Exhibiting Materials and Equipment’s) เปน็ กิจกรรมที่ช่วยในการฝึกอบรมหรือเปน็ กจิ กรรมสาหรบั งานพัฒนาส่ือต่างๆ 7. การสังเกตในช้นั เรียน (Observing in Classroom) เป็นกจิ กรรมท่ีทาการสังเกต การปฏิบัตงิ านในสถานการณจ์ รงิ ของบคุ ลากร เพื่อวิเคราะห์สภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งจะ ช่วยให้ทราบจุดดีหรือจุดบกพร่องของบุคลากร เพ่ือใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานและใช้ใน การพัฒนาบคุ ลากร 8. การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ท่ีมุ่งให้ผู้อ่ืนเห็นกระบวนการและ วิธดี าเนนิ การ 9. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interviewing) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์ที่กาหนด จดุ ประสงคช์ ดั เจนเพ่อื ให้ไดข้ ้อมูลต่าง ๆ ตามต้องการ 10. การสัมภาษณ์เฉพาะเรื่อง (Focused Interview) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์แบบ กึ่งโครงสร้างโดยจะทาการสัมภาษณ์เฉพาะโรงเรียนท่ีผู้ตอบแบบสอบถามมีความสามารถจะตอบได้ เท่าน้นั 11. การสัมภาษณ์แบบไม่ชี้นา (Non-directive Interview) เป็นการพูดคุยและ อภิปรายหรือการแสดงความคิดของบคุ คลทสี่ นทนาด้วย ลกั ษณะของการสัมภาษณ์จะสนใจกับปัญหา และความในใจของผู้รับการสมั ภาษณ์ 12.. การอภิปราย (Discussing) เป็นกิจกรรมท่ีผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศปฏิบัติร่วมกัน ซ่ึงเหมาะสมกับกล่มุ ขนาดเลก็ มกั ใชร้ ว่ มกับกิจกรรมอ่ืนๆ 13. การอ่าน (Reading) เป็นกิจกรรมท่ีใช้มากกิจกรรมหนึ่ง สามารถใช้ได้กับคน จานวนมาก เชน่ การอ่านขอ้ ความจากวารสาร มักใชผ้ สมกับกจิ กรรมอ่นื 14. การวิเคราะห์ข้อมูลและการคิดคานวณ (Analyzing and Calculating) เป็นกิจกรรมท่ีใช้ในการติดตามประเมินผล การวิจัยเชิงปฏิบัติการและการควบคุมประสิทธิภาพ การสอน 15. การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสนอแนวคิด วิธีแก้ปญั หาหรอื ใช้ข้อเสนอแนะนาต่างๆ โดยให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความคิดโดยเสรี ไมม่ กี ารวิเคราะห์ หรือวิพากษว์ จิ ารณ์แตอ่ ย่างใด 16. การบันทึกวีดีทัศน์และการถ่ายภาพ (Videotaping and Photographing) วีดีทัศน์เป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นรายละเอียดทั้งภาพและเสียงส่วนการถ่ายภาพมีประโยชน์มาก ในการจัดนิทรรศการ กิจกรรมน้มี ีประโยชน์ในการประเมนิ ผลงานและการประชาสัมพันธ์ 17. การจัดทาเคร่ืองมือและข้อทดสอบ (Instrumenting and Testing) เป็นการใช้ แบบทดสอบและแบบประเมนิ ต่างๆ

11 18. การประชมุ กล่มุ ย่อย (Buzz Session) เปน็ กจิ กรรมการประชุมกลมุ่ เพื่ออภปิ ราย ให้หวั ข้อเร่ืองทเี่ ฉพาะเจาะจง มุง่ เน้นการปฏสิ มั พันธภ์ ายในกลุ่มมากท่สี ดุ 19. การจัดทัศนศึกษา (Field Trip) เป็นกิจกรรมการเดินทางไปสถานที่แห่งอื่น เพอื่ ศึกษาและดูงานที่สัมพนั ธ์กับงานทต่ี นปฏบิ ัติ 20. การเย่ียมเยือน (Intervisiting) เป็นกิจกรรมท่ีบุคคลหนึ่งไปเยี่ยมและสังเกต การทางานของอกี บุคคลหนงึ่ 21. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นกิจกรรมท่ีสะท้อนให้เห็น ความรู้สึกนึกคิดของบุคคล กาหนดสถานการณ์ข้ึนแล้วให้ผู้ทากิจกรรมตอบสนองหรือปฏิบัติตนเอง ไปตามธรรมชาติที่ควรจะเปน็ 22. การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมท่ีใช้เป็นสื่อกลางในการนิเทศเกือบทุกชนิด เช่น การเขยี นโครงการนเิ ทศ การบันทกึ ขอ้ มูล การเขยี นรายงาน การเขียนบนั ทึก ฯลฯ 23. การปฏิบัติตามคาแนะนา (Guided Practice) เป็นกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติ ในขณะทีป่ ฏบิ ัติมกี ารดูแลชว่ ยเหลอื มักใช้กบั รายบุคคลหรือกลุม่ ขนาดเล็ก 24. การประชุมปฏิบัติการ (Workshop) เป็นการประชุมท่ีเน้นให้ผู้เข้าประชุมมีความรู้ ความเขา้ ใจและทักษะทางด้านทฤษฎีและด้านปฏิบตั อิ ย่างแท้จริง โดยสามารถนาไปพัฒนางานให้มีคุณภาพ 25. การศึกษาเอกสารทางวิชาการ เป็นการมอบหมายเอกสารให้ผู้รับการนิเทศ ไปศึกษาค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนงึ่ แลว้ นาความรู้มาถ่ายทอดใหแ้ ก่คณะครู 26. การสนทนาทางวิชาการ เป็นการประชุมครูหรือกลุ่มผู้สนใจในเรื่องราว ข่าวสาร เดยี วกนั โดยกาหนดให้มีผนู้ าสนทนาคนหนง่ึ นาสนทนาในเร่ืองทีก่ ลมุ่ สนใจ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ แนวทางในการปฏบิ ตั งิ าน เทคนคิ วิธกี ารแก่คณะครูในสถานที่ศึกษา 27. การสัมมนา เป็นการประชุมและเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ เพื่อสรุปข้อคิดเห็น และหาแนวทางในการปฏิบัติงานร่วมกัน 28. การอบรม เป็นการให้ครูเข้าศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในวิชาชีพ เพ่ือเป็นการกระตุ้น ใหค้ รมู คี วามตืน่ ตวั ทางวชิ าการ และนาความรคู้ วามสามารถท่ีได้จากการอบรมไปใช้พัฒนาการจัดการเรียน การสอนให้มีคุณภาพ 29. การให้คาปรึกษาแนะนา เป็นการพบปะกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ เพื่อช่วยแก้ปัญหาทั้งด้านส่วนตัวและการปฏิบัติงาน หรือช่วยแนะนาส่งเสริมให้การปฏิบัติงาน ประสบความสาเร็จย่งิ ข้ึน การให้คาปรกึ ษาแนะนาสามารถดาเนินการได้ทง้ั เปน็ รายบุคคลและรายกล่มุ 30. การสังเกตการสอน เป็นการจัดให้บุคคลท่ีมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเรียน การสอนมาสังเกตพฤติกรรมของครูในขณะท่ีทาการสอน เพ่ือให้ครูสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงการสอน ให้มีประสทิ ธภิ าพ โดยใช้ขอ้ มลู ย้อนกลบั จากการสังเกตการสอนของผนู้ ิเทศ สรุปกิจกรรมนิเทศการศึกษาในแต่ละกิจกรรมจะมีจุดเด่น จุดด้อย และลักษณะ การนาไปใช้ท่ีแตกต่างกัน การเลือกใช้กิจกรรมการนิเทศ จึงมีความสาคัญเป็นอย่างย่ิง ซึ่งใน การเลือกใช้กิจกรรมการนิเทศในแต่ละคร้ัง ควรคานึงถึงจุดประสงค์ของการนิเทศ จานวนผู้รับ การนเิ ทศ และประโยชนท์ ผ่ี ู้รับการนเิ ทศจะไดร้ ับ ตลอดจนสอดคล้องกบั สภาพปัญหาที่พบในโรงเรียน และความต้องการของผรู้ บั การนิเทศ

12 (5) ทกั ษะการนเิ ทศการสอน ในการนิเทศการสอน เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพการเรียน การสอนใหบ้ รรลุผลสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงคน์ ั้น วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้กล่าวถึง ทักษะที่จาเป็นในการนิเทศ ไว้สอดคล้องกันคือ ทักษะด้านเทคนิค ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ และทักษะด้านการจัดการ รายละเอียดแตล่ ะด้าน ดังนี้ 1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ วิธีการ และเทคนคิ ท่ีจาเป็นและที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศ ซ่ึงในการนิเทศแต่ละคร้ังผู้นิเทศหรือผู้ทาหน้าที่นิเทศ จะต้องมคี วามรู้ ความสามารถเฉพาะอย่าง ต้องมีความรู้ความเข้าใจเทคนิควิธี และสามารถใช้เทคนิค วิธีเหล่านั้นได้ เช่น เทคนิคการนิเทศแบบพัฒนาการ เทคนิคการนิเทศแบบคลินิก เทคนิคการนิเทศ สังเกตการสอนและการจัดประชุมให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั รวมทั้งต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิค วิธีสอนแบบตา่ งๆทสี่ าคัญ และสามารถสาธติ แนะนาให้กับครไู ด้ 2. ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) เป็นความสามารถใน การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายในกลุ่ม และสามารถสร้างความร่วมมือ ใหเ้ กดิ ข้ึนระหวา่ งสมาชกิ ภายในกลุ่ม รวมถึงความสามารถในการจูงใจและการมีอิทธิพลเหนือคนอื่น การได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจ สามารถพัฒนากลุ่มงานให้มีประสิทธิภาพและสร้างการยอมรับ ในการเปลี่ยนแปลงมากขึน้ 3. ทกั ษะดา้ นการจัดการ (Managerial Skills) เป็นความสามารถในการท่ีจะจัดให้ และคงไวซ้ ่งึ สภาพเง่ือนไขที่จะเป็นการสนับสนุนการทางานของหน่วยงาน หรือกลไกในการรักษาไว้ และทาใหอ้ งคก์ รดีมปี ระสทิ ธภิ าพมากข้นึ ประกอบดว้ ยทกั ษะในการจัดการตอ่ ไปนี้ 3.1 ความสามารถในการรักษาไวซ้ ง่ึ ความสมั พันธ์ทดี่ ีระหวา่ งบุคคลกับหนว่ ยงาน 3.2 ความสามารถในการที่จะมองเห็นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆที่สาคัญ ทีเ่ ออ้ื ตอ่ การปฏบิ ัติงานในองคก์ รหรอื โรงเรียน 3.3 ความสามารถในการท่จี ะสรา้ งองค์กรทมี่ ีคณุ ภาพ 3.4 ความสามารถในการสรา้ งและคงไวซ้ งึ่ สมรรถภาพขององค์กร สรุปได้ว่า ทักษะท่ีจาเป็นในการนิเทศท่ีสาคัญก็คือ 1) ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) 2) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) และ 3) ทักษะด้าน การจัดการ (Managerial Skills) ซึ่งทักษะทั้งสามด้านจะต้องผสมผสานกันในการนาไปใช้ใน การปฏบิ ตั กิ ารนเิ ทศ (6) กระบวนการนเิ ทศการสอน ในการนิเทศการสอนเพื่อให้เกิดผลสาเร็จ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จาเป็น อยา่ งย่งิ ทจ่ี ะต้องดาเนนิ การตามลาดับขนั้ ตอนอย่างต่อเน่ืองกัน ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้นาเสนอ กระบวนการนิเทศไว้ดังนี้ สงัด อทุ รานันท์ (2530 : 10) ได้เสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนท่ีสอดคล้องกับ สภาพสังคมไทย ประกอบด้วย 5 ขน้ั ตอน ซ่งึ เรียกว่า “PIDRE” คือ

13 1. การวางแผน (P-Planning) เป็นขั้นตอนที่ผู้บริหาร ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ จะทาการประชุม ปรึกษาหารือ เพื่อให้ได้มาซ่ึงปัญหาและความต้องการจาเป็นที่ต้องมีการนิเทศ รวมทั้งวางแผนถงึ ขัน้ ตอนการปฏิบัตเิ กย่ี วกับการนเิ ทศท่ีจดั ขึ้น 2. ให้ความรู้ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะดาเนินการว่าต้องอาศัยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอน ในการดาเนินการอยา่ งไร และจะดาเนินการอย่างไรใหผ้ ลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ขั้นตอนน้ีจาเป็น ทกุ ครง้ั สาหรบั เริ่มการนิเทศทจี่ ดั ข้ึนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม และเมื่อมีความจาเป็นสาหรับงาน นิเทศท่ียังเป็นไปไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ถึงขั้นที่พอใจ ซึ่งจาเป็นท่ีจะต้องทบทวนให้ความรู้ ในการปฏิบตั ิงานทีถ่ ูกตอ้ งอกี ครั้งหนงึ่ 3. การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) ปะกอบด้วยการปฏิบัติงาน 3 ลักษณะ คือ การปฏิบัติงาน ของผู้รับการนิเทศ (ครู) การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ (ผู้นิเทศ) การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ (ผบู้ ริหาร) 4. การสร้างเสริมขวัญกาลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing-R) เป็นข้ันตอน ของการเสริมแรงของผู้บริหาร ซึ่งให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจใน การปฏิบัตงิ านข้ันน้ีอาจดาเนินไปพร้อม ๆ กับผู้รับการนิเทศท่ีกาลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้ เสร็จสน้ิ แล้วกไ็ ด้ 5. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) เป็นข้ันตอนที่ผู้นิเทศนาการประเมินผล การดาเนินงานที่ผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามีปัญหาหรือ มีอุปสรรคอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทาให้การดาเนินงานไม่ได้ผล สมควรที่จะต้องปรับปรุง แก้ไข ซ่ึงการปรับปรุงแก้ไขอาจทาได้โดยการให้ความรู้เพิ่มเติมในเร่ืองที่ปฏิบัติใหม่อีกครั้ง ในกรณีท่ีผลงาน ยงั ไม่ถงึ ขน้ั นา่ พอใจ หรือได้ดาเนินการปรับปรุงการดาเนินงานทั้งหมดไปแล้ว ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการ สมควรท่ีจะตอ้ งวางแผนรว่ มกันวเิ คราะห์หาจุดท่ีควรพัฒนาหลังใช้นวตั กรรมดา้ นการเรียนรเู้ ขา้ มานิเทศ วชั รา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วย 7 ขน้ั ตอน คอื 1. วางแผนรว่ มกันระหว่างผู้นเิ ทศและผู้รับนิเทศ (ครแู ละคณะคร)ู 2. เลอื กประเด็นหรือเรอื่ งท่สี นใจจะปรบั ปรุงพัฒนา 3. นาเสนอโครงการพัฒนาและข้ันตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบ เพือ่ อนมุ ตั ดิ าเนินการ 4. ให้ความรู้หรือแสวงหาความรู้จากเอกสารต่างๆและจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เก่ยี วกับเทคนคิ การสงั เกตการสอนในชั้นเรยี น และความรเู้ ก่ยี วกบั วธิ ีการสอนและนวตั กรรมใหมๆ่ ทีส่ นใจ 5. จัดทาแผนการนิเทศ กาหนดวนั เวลา ท่ีจะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพอ่ื แลกเปล่ียนความคดิ เหน็ และประสบการณ์ 6. ดาเนินการตามแผนโดยครูและผนู้ เิ ทศ (แผนการจัดการเรยี นรู้และการนิเทศ) 7. สรุปและประเมนิ ผลการปรบั ปรุงและพัฒนา รายงานผลสาเร็จ Harris et al. (1985 : 13-15) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอนประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คอื

14 1. ประเมินสภาพการทางาน (Assessing) เป็นกระบวนการศึกษาถึงสถานภาพต่างๆ รวมท้งั ข้อมูลท่จี าเปน็ เพือ่ จะนามาเป็นตวั กาหนดถงึ ความตอ้ งการจาเป็น เพื่อก่อให้เกิดความเปล่ียนแปลง ซ่ึงประกอบด้วยงานตอ่ ไปนี้คือ 1.1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการศึกษาหรือพิจารณาธรรมชาติ และความสัมพันธ์ ของสิง่ ต่าง ๆ 1.2 สงั เกตส่งิ ตา่ ง ๆ ดว้ ยความรอบคอบถ่ถี ้วน 1.3 ทบทวนและตรวจสอบส่ิงต่าง ๆ ด้วยความระมดั ระวงั 1.4 วดั พฤตกิ รรมการทางาน 1.5 เปรียบเทยี บพฤตกิ รรมการทางาน 2. จัดลาดับความสาคัญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกาหนด เปูาหมาย จดุ ประสงค์ และกจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามลาดบั ความสาคัญ ประกอบด้วย 2.1 กาหนดเปูาหมาย 2.2 ระบุจุดประสงคใ์ นการทางาน 2.3 กาหนดทางเลอื ก 2.4 จัดลาดับความสาคญั 3. ออกแบบการทางาน (Designing) เปน็ กระบวนการวางแผนหรือกาหนดโครงการ ต่าง ๆ เพอื่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยประกอบด้วย 3.1 จดั สายงานให้สว่ นประกอบต่างๆ มคี วามสมั พนั ธ์กัน 3.2 หาวธิ ีการนาเอาทฤษฎีหรือแนวคดิ ไปสูก่ ารปฏบิ ัติ 3.3 เตรยี มการตา่ งๆ ใหพ้ รอ้ มท่ีจะทางาน 3.4 จดั ระบบการทางาน 3.5 กาหนดแผนในการทางาน 4. จัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการกาหนดทรัพยากร ต่างๆ ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุดในการทางาน ซึง่ ประกอบดว้ ยงานตอ่ ไปน้ีคอื 4.1 กาหนดทรัพยากรที่ต้องใช้ตามความต้องการของหนว่ ยงานต่างๆ 4.2 จดั สรรทรัพยากรไปให้หนว่ ยงานตา่ งๆ 4.3 กาหนดทรัพยากรที่จาเปน็ จะตอ้ งใชส้ าหรับจุดมงุ่ หมายบางประการ 4.4 มอบหมายบคุ ลากรใหท้ างานในแตล่ ะโครงการหรือแตล่ ะเปูาหมาย 5. ประสานงาน (Coordinating) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับคน เวลา วัสดุอุปกรณ์ และส่ิงอานวยความสะดวกทุกๆ อย่างเพ่ือจะให้การเปล่ียนแปลงบรรลุผลสาเร็จงานในกระบวนการ ประสานงาน ได้แก่ 5.1 ประสานการปฏิบตั งิ านในฝาุ ยต่าง ๆ ใหด้ าเนินงานไปดว้ ยกนั ดว้ ยความราบรืน่ 5.2 สรา้ งความกลมกลนื และความพรอ้ มเพยี งกนั 5.3 ปรับการทางานในสว่ นตา่ ง ๆ ให้มปี ระสิทธิภาพใหม้ ากทีส่ ดุ 5.4 กาหนดเวลาในการทางานในแตล่ ะชว่ ง 5.5 สร้างความสมั พันธ์ให้เกดิ ข้ึน

15 6. การอานวยการหรือการสั่งการ (Directing)เป็นกระบวนการทีมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงาน เพื่อใหเ้ กดิ สภาพทเ่ี หมาะสมอันจะสามารถบรรลุผลแห่งการเปล่ียนแปลงใหม้ ากท่สี ุดซ่ึงไดแ้ ก่ 6.1 การแตง่ ต้ังบคุ ลากร 6.2 กาหนดแนวทางหรือกฎเกณฑใ์ นการทางาน 6.3 กาหนดระเบยี บแบบแผนเก่ยี วกบั เวลา ปริมาณหรืออัตราเร็วในการทางาน 6.4 แนะนาและปฏิบตั งิ าน 6.5 ชแ้ี จงกระบวนการทางาน 6.6 ตดั สินใจเกีย่ วกับทางเลอื กในการปฏิบัติงาน Allen (อ้างในสงัด อุทธานันท์, 2530 : 76-79) กล่าวถึงกระบวนการนิเทศการสอนว่า ประกอบดว้ ยกระบวนการหลกั 5 กระบวนการซง่ึ นิยมเรียกกนั งา่ ย ๆ วา่ “POLCA” โดยยอ่ มาจากคาศัพท์ ตอ่ ไปน้คี อื P = Planing Processes (กระบวนการวางแผน) O = Organizing Processes (กระบวนการจดั สายงาน) L = Leading Processes (กระบวนการนา) C = Controlling Processes (กระบวนการควบคุม) A = Assessing Processes (กระบวนการประเมนิ ผล) 1. กระบวนการวางแผน (Planing Processes) กระบวนการวางแผนในทัศนะ ของ Allen มดี งั น้ี 1.1 คิดถงึ สง่ิ ท่ีจะทาว่ามอี ะไรบ้าง 1.2 กาหนดแผนงานว่าจะทาสิ่งไหน เมือ่ ไหร่ 1.3 กาหนดจดุ ประสงคใ์ นการทางาน 1.4 คาดคะเนผลท่จี ะเกิดจากการทางาน 1.5 พัฒนากระบวนการทางาน 1.6 วางแผนในการทางาน 2. กระบวนการจัดสายงาน (Organizing Processes) กระบวนการจัดสายงานหรือ จดั บคุ ลากรต่าง ๆ เพื่อทางานตามแผนงานทว่ี างไว้มีกระบวนการดังนี้ 2.1 กาหนดเกณฑม์ าตรฐานในการทางาน 2.2 ประสานงานกบั บุคลากรต่างๆ ท่จี ะปฏบิ ัติงาน 2.3 จัดสรรทรพั ยากรต่าง ๆ สาหรับการดาเนินงาน 2.4 มอบหมายงานให้บุคลากรฝาุ ยต่างๆ 2.5 จดั ให้มีการประสานงานสัมพนั ธ์กนั ระหว่างผทู้ างาน 2.6 จัดทาโครงสรา้ งในการปฏิบตั งิ าน 2.7 จัดทาภาระหน้าทขี่ องบคุ ลากร 2.8 พัฒนานโยบายในการทางาน 3. กระบวนการนา (Leading Processes) กระบวนการนาบุคลากรต่างๆ ให้งานนั้น ประกอบด้วยการดาเนินงานตอ่ ไปนคี้ ือ

16 3.1 ตดั สินใจเกีย่ วกับสิง่ ต่าง ๆ 3.2 ใหค้ าปรึกษาแนะนา 3.3 สร้างนวัตกรรมในการทางาน 3.4 ทาการส่อื สารเพ่ือความเข้าใจในคณะทางาน 3.5 สรา้ งแรงจูงใจในการทางาน 3.6 เร้าความสนใจในการทางาน 3.7 กระต้นุ ให้ทางาน 3.8 อานวยความสะดวกในการทางาน 3.9 ริเริม่ การทางาน 3.10 แนะนาการทางาน 3.11 แสดงตัวอย่างในการทางาน 3.12 บอกข้ันตอนการทางาน 3.13 สาธิตการทางาน 4. กระบวนการควบคุม (Controlling Processes) กระบวนการควบคุมประกอบด้วย การดาเนินงานในสงิ่ ต่อไปน้ี 4.1 นาให้ทางาน 4.2 แก้ไขการทางานทไี่ มถ่ ูกต้อง 4.3 วา่ กลา่ วตกั เตอื นในส่ิงที่ผิดพลาด 4.4 เรง่ เร้าให้ทางาน 4.5 ปลดคนทไ่ี ม่มคี ณุ ภาพใหอ้ อกจากงาน 4.6 สร้างกฎเกณฑใ์ นการทางาน 4.7 ลงโทษผ้กู ระทาผิด 5. กระบวนการประเมินสภาพการทางาน (Assessing Processes) กระบวนการ ประเมนิ สภาพการทางาน ประกอบด้วยส่งิ ต่อไปน้ี 5.1 การพิจารณาตดั สนิ เก่ยี วกบั การปฏิบัตงิ าน 5.2 วัดพฤตกิ รรมในการทางาน 5.3 จดั การวจิ ยั ผลงาน Glickman et al. (1995 : 324-328) ได้นาเสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วย 5 ขน้ั ตอน คือ 1. การประชุมร่วมกับครูก่อนการสังเกตการสอน (Preconference with teacher) ผูน้ เิ ทศเข้ารว่ มประชุมกบั ครูเพ่อื พิจารณารายละเอยี ดก่อนการสงั เกตการสอนของครูเกยี่ วกับจุดมุ่งหมาย ของการสังเกตต้องการใหเ้ น้นการสังเกตในประเด็นใดเป็นพิเศษวิธีการและรูปแบบการสังเกตที่จะนาไปใช้ เวลาทใ่ี ช้ในการสังเกต และกาหนดเวลาทใี่ ช้ในการประชุมหลงั การสงั เกต 2. การสงั เกตการสอนในช้ันเรียน (Observation of Classroom) เป็นการติดตาม พฤติกรรมการสอนของครูในชั้นเรียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจสอดคล้องกับหลักการและรายละเอียด ตา่ งๆทก่ี าหนด ผ้สู ังเกตอาจใชว้ ิธีสงั เกตเพียงวธิ ใี ดวิธีหน่ึงหรือหลายวิธีก็ได้ 3. การวิเคราะห์และติดตามผลการสังเกตการสอน และพิจารณาวางแผนการประชุม ร่วมกับครู (Analyzing and interpreting observation and determining conference approach)

17 ผู้นิเทศหลังจากได้สังเกตการสอนและได้รับข้อมูลของครูมาแล้ว ให้วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การนับ ความถี่ตวั แปรบางตัวที่ไดก้ าหนดไว้ จาแนกตวั แปรหลกั ท่ีเกดิ ขึน้ รวมทั้งค้นหาตัวแปรบางตัวท่ีเกิดขึ้น ใหม่จากการปฏิบัติหรือบางตัวที่ไม่เกิดข้ึน ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ผู้นิเทศวางตัวเป็นกลาง และ ใหด้ าเนนิ การแปลความหมายของขอ้ มูล 4. ประชมุ ร่วมกับครูภายหลังการสังเกตการสอน (Post conference with teacher) ผ้นู ิเทศจัดประชุมครูเพื่อเป็นการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับและร่วมกนั อภปิ ราย ซ่ึงผลที่ได้รับจากการอภิปราย ร่วมกัน ครผู สู้ อนสามารถนาไปใช้ในการวางแผนปรบั ปรุงการสอนได้ 5. การวพิ ากษ์วจิ ารณ์ผลทไ่ี ด้รับจากขน้ั ตอนท้ัง 4 ขั้นตอน (Critique of previous four steps) ซ่งึ กระบวนการนิเทศการสอนท่ีสอดคล้องกับกระบวนการนิเทศของ Copeland and Boyan (1978 : 23) ได้เสนอการนิเทศการสอนไว้ 4 ข้ันตอน คือ 1) การประชุมก่อนการสังเกตการสอน 2) การสังเกต การสอน 3) การวเิ คราะห์ข้อมลู จากการสงั เกตการสอน และ 4) การประชุมหลงั การสงั เกตการสอน การนาวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยท่ัวไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศ การสอน ซ่ึงสมศักด์ิ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188) กล่าวถึง จุดหมายท่ีแท้จริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) วา่ เป็นกิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพน่ันมิใช่เพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบี่ยงเบนออกไปจาก เกณฑ์มาตรฐานให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพ่ือก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบ ของ PDCA อยา่ งต่อเน่อื งเป็นระบบและมกี ารวางแผน PDCA ท่ีมว้ นไต่สูงข้ึนเรื่อยๆ 4 ข้นั ตอน คือ ขั้นที่ 1 การวางแผน (Plan-P) ข้ันที่ 2 การดาเนินตามแผน (Do-D) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ (Check-C) ขั้นท่ี 4 การแกไ้ ขปัญหา (Act-A) ภาพท่ี 2.1 กระบวนการ PDCA อะไร กาหนดปญั หา วางแผน(Plan-P) วิเคราะหป์ ัญหา หาสาเหตุ ทาไม อย่างไร วางแผนรว่ มกัน ปฏิบตั ิ (Do-D) นาไปปฏิบัติ ตรวจสอบ (Check-C) ยืนยนั ผลลพั ธ์ แก้ไข (Act-A) ทามาตรฐาน ท่มี า : สมศักดิ์ สนิ ธรุ ะเวชญ์ (2542 : 188)

18 ข้ันตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะช่วยพัฒนาความคิดต่าง ๆ เพ่ือนาไปสู่ รูปแบบที่เป็นจริงขึ้นมาในรายละเอียดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนที่ดีควรมีลักษณะ 5 ประการ ซ่งึ สรปุ ได้ ดังนี้ 1. อยู่บนพ้ืนฐานของความเป็นจริง (realistic) 2. สามารถเข้าใจได้ (understandable) 3. สามารถวัดได้ (measurable) 4. สามารถปฏิบัติได้ (behavioral) 5. สามารถบรรลุผลสาเร็จได้ (achievable) วางแผนท่ีดีควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. กาหนดขอบเขตปัญหาให้ชัดเจน 2. กาหนดวัตถุประสงค์และเปูาหมาย 3. กาหนดวิธีการที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเปูาหมายให้ชัดเจนและถูกต้อง แม่นยาท่ีสุดเท่าท่ีเป็นไปได้ ข้ันตอนท่ี 2 ปฏิบตั ิ (Do) ประกอบดว้ ยการทางาน 3 ระยะ 1. การวางแผนกาหนดการ 1.1 การแยกกิจกรรมต่างๆ ที่ตอ้ งการกระทา 1.2 กาหนดเวลาที่คาดว่าต้องใช้ในกิจกรรมแตล่ ะอยา่ ง 1.3 การจดั สรรทรพั ยากรต่างๆ 2. การจัดการแบบแมทริกซ์ (matrix management) การจัดการแบบน้ีสามารถ ช่วยดึงเอาผู้เช่ยี วชาญหลายแขนงจากแหลง่ ต่าง ๆ มาได้ และเปน็ วธิ ชี ว่ ยประสานระหวา่ งฝุายตา่ งๆ 3. การพัฒนาขีดความสามารถในการทางานของผู้ร่วมงาน 3.1 ให้ผู้ร่วมงานเข้าใจถึงงานทั้งหมดและทราบเหตุผลท่ีต้องกระทา 3.2 ให้ผู้ร่วมงานพร้อมในการใช้ดุลพินิจท่ีเหมาะสม 3.3 พัฒนาจิตใจให้รักการร่วมมือ ข้ันตอนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบทาให้รับรู้สภาพการณ์ของงาน ทีเ่ ป็นอยู่เปรยี บเทยี บกบั ส่งิ ท่ีวางแผน ซ่ึงมีกระบวนการ ดงั นี้ 1. กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการตรวจสอบ 2. รวบรวมข้อมลู 3. การทางานเป็นตอนๆ เพ่ือแสดงจานวน และคุณภาพของผลงานที่ได้รับในแต่ละ ขน้ั ตอนเปรียบเทียบกับที่ได้วางแผนไว้ 4. การรายงานจะเสนอผลการประเมิน รวมทัง้ มาตรการปูองกันความผิดพลาดหรือ ความลม้ เหลว 4.1 รายงานเป็นทางการอย่างสมบูรณ์ 4.2 รายงานแบบอย่างไมเ่ ป็นทางการ

19 ข้ันตอนท่ี 4 การแกไ้ ขปญั หา (Act) ผลของการตรวจสอบหากพบว่าเกิดข้อบกพร่อง ขึน้ ทาให้งานทีไ่ ดไ้ มต่ รงตามเปาู หมายหรือผลงานไม่ได้มาตรฐาน ให้ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาตามลักษณะ ปญั หาที่คน้ พบ 1. ถ้าผลงานเบ่ยี งเบนไปจากเปูาหมายต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ 2. ถ้าพบความผิดปกติใดๆ ให้สอบสวนค้นหาสาเหตุแล้วทาการปูองกัน เพื่อมิให้ ความผิดปกติน้ันเกดิ ข้ึนซา้ อีก ในการแกไ้ ขปัญหาเพื่อให้ผลงานได้มาตรฐานอาจใชม้ าตรการดงั ต่อไปน้ี 1. การยา้ นโยบาย 2. การปรบั ปรงุ ระบบหรอื วธิ ีการทางาน 3. การประชุมเก่ยี วกับกระบวนการทางาน จะเห็นได้ว่าวงจรคุณภาพ (PDCA) ประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การดาเนิน ตามแผน (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) โดยการวางแผน การลงมือ ปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบผลลัพธ์ท่ีได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามท่ีคาดหมายไว้ จะต้องทา การทบทวนแผนการโดยเริ่มต้นใหม่และทาตามวงจรคุณภาพซ้าอีก เมื่อวงจรคุณภาพหมุนซ้าไป เร่ือย ๆ จะทาให้เกิดการปรับปรงุ งานและระดับผลลัพธ์ท่ีสูงข้ึนเรื่อยๆ ซ่ึงหลักการดังกล่าวหากนามา ปรับใช้ให้สอดคลอ้ งกับบริบทของสถานศึกษาจะช่วยพัฒนาบุคลากรและนกั เรียนให้มีคณุ ภาพ จากกระบวนการนิเทศการสอนดังกล่าว สรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศท่ีสาคัญๆ ประกอบด้วยข้ันตอนการวางแผน ข้ันตอนการดาเนินงานนิเทศ และขั้นตอนการวัดและประเมินผล การนิเทศ ดังน้นั รปู แบบการนิเทศ จึงเรยี กว่า เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) โดยมี 5 ขั้นตอน ดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 ศึกษาสภาพ และความต้องการ (Assessing Need = A) การศกึ ษาสภาพ และความตอ้ งการเป็นสิ่งทีม่ ีความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะได้ ทราบสภาพจริงและความตอ้ งการในการรับการนเิ ทศของครผู สู้ อนในเรื่องต่าง ๆ เนื่องจากบริบทของ แต่ละโรงเรยี นไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างกันทั้งในเร่ืองของการจัดการเรียนการสอน ความพร้อม ของครูและนักเรียน ดังน้ันในข้ันตอนนี้จึงมีความสาคัญท่ีผู้นิเทศจะต้องมีการศึกษาสภาพจริง ที่ครูผู้สอนปฏิบัติ และความต้องการในการช่วยเหลือในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน ผู้วิจัยนา แนวคิดมาจากรูปแบบจาลองการออกแบบการสอน The ADDIE Model ของ : Kevin Kruse (2007 : 1) ที่กล่าวว่า ข้ันตอนที่ 1 เป็นข้ันของการวิเคราะห์ความต้องการจาเป็น และแนวคิด แบบจาลองการออกแบบการสอนเชิงระบบของ Dick et al. (2005 : 1-8) ในการวิเคราะห์ ความ ต้องการจาเป็น การวิเคราะห์การเรียนการสอน การวิเคราะห์นักเรียนและบริบทซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษา กระบวนการนเิ ทศของ Harris et al. (1985 : 13-15) ท่ีกล่าวว่า การนิเทศการสอนต้องมีการศึกษา ขอ้ มลู เบอื้ งต้น วเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในองค์กร เพื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลง และ เป็นไปตามแนวคิดของ Acheson, Keith A. and Gall, Meredith D. (1997 : 90), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 527-528) ที่กล่าวว่า ผู้นิเทศต้องวิเคราะห์การสอนของครูผู้สอนและการเรียนของนักเรียน เปิดโอกาสให้ผู้รับการนิเทศนาเสนอความต้องการ ประเด็นท่ีสนใจจะปรับปรุงและพัฒนา และสอดคล้องรูปแบบการนเิ ทศของเกรียงศกั ด์ิ สังขช์ ยั (2552 : 37)

20 ขั้นตอนท่ี 2 วางแผนการนิเทศ (Planning = P) การวางแผนการนิเทศเป็นข้ันของการเตรียมการในการกาหนดตัวช้ีวัดความสาเร็จ สื่อการนิเทศ เคร่ืองมือการนิเทศ และปฏิทินการนิเทศการจัดกิจกรรมและประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขยี น ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดเก่ียวกับกระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 23 อ้างถึงใน วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์, 2538 : 40) ท่ีกล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียนต้องมีการวางแผน (Planning) ได้แก่ การคิดและการต้ังวัตถุประสงค์ ข้ันตอนการดาเนินงาน วางแผนโครงการ และ สอดคล้องกับแนวคิดของ Lucio, William H., and McNiel, John D (1979 : 24) ที่กล่าวว่าผู้นิเทศ ต้องรู้จักการวางแผน และต้องมีการวางแผนการปฏิบัติงานของตนเอง นอกจากน้ีในกระบวนการ นิเทศการสอนของ Glatthorn, Allan A. (1984 : 2), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 27), สงัด อุทรานันท์ (2530 : 84-85), เกรียงศักด์ิ สังข์ชัย (2552 : 37), ธัญพร ช่ืนกลิ่น (2553 : 28) ยังได้ให้ ความสาคญั เกี่ยวกับการวางแผน และได้นาขั้นตอนการวางแผนการนิเทศ เป็นส่วนหน่ึงของรูปแบบ การนเิ ทศ และกระบวนการนิเทศการสอนทีไ่ ด้พฒั นาข้นึ ขัน้ ตอนที่ 3 การให้ความร้กู อ่ นการนิเทศ (Informing = I) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ เป็นข้ันการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมและ ประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบและกระบวนการ นเิ ทศการสอนของนกั วิชาการในศาสตรก์ ารนเิ ทศ เช่น Glatthorn et al. (1984 : 2),วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 27), สงัด อุทรานันท์ (2530 : 86) พบว่า นักวิชาการดังกล่าวมีความคิดเห็นสอดคล้อง ตรงกนั วา่ ในการนิเทศการสอนนน้ั มคี วามจาเป็นต้องให้ความรู้ท่ีสาคัญ เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการพัฒนา ดว้ ยการประชมุ สมั มนาเชงิ ปฏิบตั ิการตา่ งๆ การสื่อสารท้ังการพูดและการเขียน ตลอดจนการแสวงหา ความรจู้ ากเอกสาร ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัตกิ ารโคช้ (Coaching = C) การปฏิบัติการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด รูปแบบและ กระบวนการนิเทศของวัชรา เล่าเรียนดี (2556 : 313-317), Sandvold, A (2008 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 314), Sweeney, Diane (2011 : 9) ธัญพร ช่ืนกลิ่น (2553 : 28-29) เนื่องจาก แนวคิดของนักวิชาการท่ีกล่าวถึงมุ่งเน้น การแก้ปัญหาการรู้หนังสือและการอ่านการคิดอย่างเป็น ระบบ เน้นใหค้ รผู ู้สอนนาความรู้และทักษะที่สาคัญของการจัดการเรียนการสอนไปจัดกิจกรรมที่เน้น นักเรียนเป็นสาคัญ มีข้ันตอนที่สาคัญ คือ 1) ระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ของนักเรียนที่สัมพันธ์ กับมาตรฐานการเรียนรู้ 2) วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน 3) จัดการเรียนการสอนท่ีตอบสนอง ความตอ้ งการของนักเรยี น 4) วัดและประเมนิ ผลหลังเรียน นอกจากนี้การนิเทศแบบโค้ช ผู้นิเทศและ ผู้รับการนเิ ทศมีความใกลช้ ดิ กนั รว่ มกันคิดใน เชงิ สร้างสรรค์ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็น ระบบและต่อเนอื่ ง ข้นั ตอน ที่ 5 การประเมนิ ผลการนเิ ทศ (Evaluating = E) การประเมินผลการนิเทศ เป็นข้ันท่ีผู้วิจัยนามาใช้เป็นข้ันตอนสุดท้าย เพ่ือสรุปผล การนเิ ทศในแต่ละขนั้ ตอนท่ีไดด้ าเนินการไป เพ่ือให้เห็นผลการดาเนินงานทุกข้ันตอนอย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั กระบวนการนิเทศของสงดั อทุ รานันท์ (2530 : 87-88) , วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 28) เกรียงศกั ดิ์ สังข์ชยั (2552 : 37-38), ยุพิน ยนื ยง (2553 : 25-26), ธญั พร ชืน่ กลนิ่ (2553 : 29)

21 (7) เทคนคิ การสังเกตการสอน เน่ืองจากการสงั เกตการสอนเป็นเครื่องมือสาคัญในการนิเทศการสอน ผลจากการสังเกต การสอนช่วยในการวเิ คราะห์การสอนของครู ดงั นนั้ การสงั เกตการสอนจะต้องสังเกตและบันทึกข้อมูล ตรงตามความจริงและใหต้ รงตามจดุ มงุ่ หมายมากทส่ี ุด Acheson et al. (1997 : 23) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการนิเทศการสอน ซึ่งประกอบดว้ ย เทคนิควธิ ีการ การกาหนดวัตถุประสงค์ และการวางแผนการสังเกตการสอน เทคนิค วิธีการสังเกตการสอนในช้ันเรียน เทคนิคการบันทึกการสังเกตการสอนโดยใช้เครื่องมือแบบต่างๆ เทคนิคการประชุมเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ และเทคนิคการนิเทศช้ีแนะ แนะนาเพื่อช่วยเหลือครู ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา เทคนิคการสังเกตการสอนนั้นประกอบด้วย วิธีการสังเกตและ การบันทึกโดยเลือกใช้เครื่องมือท่ีเหมาะสม (ผู้สังเกตและครูร่วมกันเลือก) เพราะก่อนมีการสังเกต การสอนทุกครั้งจะต้องมีการตกลงร่วมกันก่อนระหว่างครูกับผู้นิเทศหรือผู้สังเกต และหลังจาก การสังเกตการสอนอาจจะร่วมกันวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากการสังเกตการสอนก่อนที่จะให้ข้อมูลย้อนกลับ แก่ครู เพ่ือร่วมกันในการพิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงหรือพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป ดังน้ัน ผู้นิเทศ ผู้ทาหน้าที่นิเทศ หรือผู้ที่ทาหน้าที่นิเทศการสอนจะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจ พอสมควรเก่ียวกับวิธีการสังเกตการสอน เทคนิควิธีการสังเกตการสอน และการบันทึกเคร่ืองมือ สงั เกตการสอน การสรา้ งและการประยุกตใ์ ช้เคร่ืองมือสังเกตการสอนจึงจะช่วยให้การนิเทศการสอน ประสบผลสาเรจ็ ตามเปูาหมาย การสังเกตการสอนและการบันทึกการสอนจาแนกได้หลายลักษณะ เช่น Oliva, Peer F. and Pawlas, George E. (1997 : 26-28) ได้จาแนกการสังเกตเป็น 2 ประเภท 1. การสังเกตแบบกว้าง ๆ ท่ัวไป (Global Observation) เป็นการสังเกตในภาพรวม ไม่เฉพาะเจาะจงในพฤติกรรมประเภทใดประเภทหน่ึง โดยปกติจะเป็นการสังเกตหรือวิธีการสังเกต ท่ผี บู้ รหิ ารหรือผนู้ เิ ทศนยิ มใช้ เม่อื ต้องการสังเกตพฤตกิ รรมการสอนท่วั ๆ ไป เป็นการสงั เกตโดยภาพรวม ของการปฏิบัติการสอนของครู และมักจะใช้ผลการสังเกตและการบันทึก ด้วยวิธีการดังกล่าวใน การประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูด้วย เช่น แบบสังเกตและบันทึกแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) เป็นต้น 2. การสังเกตแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Observation) เป็นการสังเกตและบันทึก เฉพาะพฤติกรรม เฉพาะเหตกุ ารณ์ เฉพาะเรอ่ื ง หรอื เฉพาะประเด็น เช่น การสังเกตบันทึกพฤติกรรม ปฏสิ ัมพนั ธท์ างวาจาระหว่างครกู บั นักเรยี นเป็นต้น นอกจากนี้ Glickman et al. (1995 : 36 ) ได้จาแนกการสังเกตการสอนเป็น 2 ประเภท คอื 1. การสังเกตเชิงปริมาณ (Quantitative Observation) เป็นวิธีการวัดเหตุการณ์ และพฤติกรรมต่างๆ และส่ิงต่างๆ ในห้องเรียน ท่ีสามารถสังเกตเห็นได้ วัดได้ เป็นจานวนครั้ง หรือ ความถี่ของเหตกุ ารณ์ หรอื พฤติกรรมต่างๆ ท่ที าการสังเกตและบนั ทึกด้วยเครื่องมือหรือวิธีการสังเกต ดว้ ยปริมาณ เชน่ 1.1 เคร่ืองมอื สงั เกตการสอนแบบนับจานวนความถี่ (Categorical Frequency Instrument)

22 1.2 เครอื่ งมือสังเกตการสอนแบบระบุพฤติกรรมตามกระบวนการจัดการเรียน การสอนในรปู แบบต่างๆ (Performance Indicator Instrument) 1.3 เครอื่ งมอื สงั เกตการสอนท่จี ัดเตรยี มฟอร์มทีเ่ ป็นแผนผัง (Diagram) 1.4 เครือ่ งมือสงั เกตและบันทกึ ตรวจสอบรายการ (Check list) 1.5 เครือ่ งมอื สงั เกตและบนั ทึก แบบเลอื กประเภทของคาพูดหรือการพูด จด และ บนั ทกึ ขอ้ มลู คาพดู นั้น คาตอ่ คาตามเวลาที่กาหนด (Selective Verbatim Recording) 1.6 เคร่ืองมือสงั เกตและบันทึกปฏิสัมพันธ์ทางวาจาระหว่างครูกับนักเรียนของ Ned Flanders FIAC (Flanders’s Interaction Analysis Category) 2. การสังเกตเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) การสังเกตด้วยวิธีน้ีเป็น วิธีสังเกตและบันทึกท่ีจะใช้เม่ือผู้สังเกตหรือผู้นิเทศไม่ทราบว่าจะสังเกตหรือบันทึกอะไรบ้าง ในช้ันเรียน หรือผ้นู เิ ทศสงั เกตรายละเอียดพฤติกรรมในการจัดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน การสังเกตเชิงคุณภาพ การสังเกตเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ตลอดจนสภาพทางกายภาพ ในช้ันเรียน เช่น การจดบนั ทกึ การจดั บอร์ด สื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทาการบันทึกแบบพรรณนาความ โดยไม่ใสอ่ ารมณ์ความรสู้ ึกของตนเองลงไปดว้ ย ประกอบด้วยเครื่องมือหรอื วิธีการสงั เกตดังตอ่ ไปนี้ 2.1 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Detached-open Narrative) 2.2 การสงั เกตบนั ทึกขอ้ มลู การพูดเฉพาะอย่าง (Save Verbatim Recording) 2.3 การสังเกตบนั ทกึ โดยใช้ V.D.O. (Audio record) 2.4 การสงั เกตและบนั ทกึ แบบสัน้ ๆ (Anecdotal Record) 2.5 การสงั เกตและบนั ทึกแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) 2.6 การสงั เกตบันทกึ ตามประเดน็ คาถาม (Focused Questionnaire Observation) 2.7 การสังเกตและบนั ทกึ แบบบนั ทึกการปฏิบัติงานของตนเอง (Journal Writing) 2.8 การวจิ ารณ์ทางการศกึ ษา (Educational Criticism) 2.9 การสังเกตบนั ทึกแบบเฉพาะเหตกุ ารณ์ (Tailored Observation System) การสงั เกตการสอนตอ้ งมีเครื่องมือสังเกตการสอน (Observation Instrument) ซ่ึง เครอ่ื งมือสงั เกตการสอนหมายถึง เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการสังเกตและบนั ทกึ การเรียนการสอน เช่น ดินสอ ปากกา กระดาษ เคร่ืองใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เทปบันทึกเสียง กล้องถ่ายวีดีโอ คอมพิวเตอร์ ขนาดเล็ก รวมถึงแบบฟอร์มการสังเกตและบันทึกท่ีผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศสร้างข้ึนเองหรือมีผู้อื่น สร้างข้ึน และเป็นที่ยอมรับและรู้จักแพร่หลาย เช่น แบบฟอร์มการสังเกต – บันทึกของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ซึ่งเป็นเครื่องมือการสังเกตการสอนท่ีได้จากการสร้างและพัฒนาทดลองใช้ จนแน่ใจวา่ สามารถนาไปใช้ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่มักจะเป็นเครื่องมือท่ีสร้างขึ้น โดยเฉพาะงานวิจัยท่ีเก่ียวกับพฤติกรรมการสอนของครูที่มีประสิทธิภาพหรือเพื่อใช้ในการประเมิน ประสิทธภิ าพการสอนของครู เพือ่ จุดประสงคอ์ ่ืนท่ีไมใ่ ช่เพ่ือการปรบั ปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน โดยตรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงเป็นเคร่ืองมือท่ีค่อนข้างจะละเอียดซับซ้อน ผู้ท่ีจะนาไปใช้ต้องมี ความสามารถ ความคุ้นเคยและความชานาญในการใช้มากพอสมควร จึงขอแนะนาว่า ควรจะ ประยกุ ต์และปรบั ใช้เปน็ เคร่ืองมอื สังเกตการสอนอย่างงา่ ย สะดวกต่อการฝึกและการใชใ้ นสถานการณ์

23 จริงจะเหมาะสมกว่า ดังท่ีกล่าวมาแล้ว และใช้วิธีการสังเกตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการสอนที่มี ประสิทธภิ าพของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ในการนเิ ทศการสอนเพอ่ื ปรับปรุงและพฒั นาการสอนนนั้ ครูควรจะได้มีการส่งเสริม และพฒั นาใหม้ คี วามสามารถในการวิเคราะหก์ ารสอนของตนเองได้ ซึ่งมีการสังเกตและการวิเคราะห์ ตนเองอยา่ งงา่ ย ๆ คือ 1. การวเิ คราะหต์ นเองโดยใชเ้ ครื่องมือช่วย เช่น การฟังเสยี งการพูดของตนเองจาก เทปบันทกึ เสียง การสังเกตตนเองจากการดวู ีดีโอเทปที่บันทกึ การปฏิบัติงานของตนเองไว้ และการรับ ฟังข้อมูลย้อนกลับจากการสังเกตพฤติกรรมการสอนของผู้นิเทศ หรือผู้ทาหน้าท่ีนิเทศ หรือจากเพ่ือน หรอื จากนักเรยี น 2. การเยี่ยมชน้ั เรียนซึ่งกันและกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและ กนั อาจทาการเยย่ี มช้นั เรียนเป็นกลุ่ม หรอื คณะ เพื่อสงั เกตการสอนและให้สมาชิกภายในกลุ่มช่วยกัน ให้ข้อมูลย้อนกลับ ซ่ึงจะช่วยให้มองเห็นการสอนของผู้อื่นและการสอนของตนเองชัดเจนย่ิงข้ึน ด้วยการเปรยี บเทียบกับการสอนของตนเอง 3. ให้จบั คเู่ พื่อนทส่ี นิทสนมและผลัดกันสังเกตการสอนซึ่งกันและกันให้ข้อมูลย้อนกลับ จากการสงั เกตการสอนในด้านต่าง ๆ ท่ีกาหนด ช่วยกันคิดและวิเคราะห์จุดที่เป็นปัญหา เพ่ือหาทาง แก้ไขปรับปรงุ ต่อไป 4. ใช้เทคนิคแบบคลินิก (Clinical Supervision) ซึ่งเป็นกระบวนการท่ีต้องมีการวางแผน การสงั เกตการสอน มีการบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ แล้วให้ข้อมูลย้อนกลับ จะช่วย ให้ทราบปัญหาข้อบกพร่องต่างๆท่ีจะต้องแก้ไขปรับปรุง ซึ่งการนิเทศแบบคลินิกเป็นการนิเทศ ท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาปรับปรุงการสอนและทักษะการสอนโดยเฉพาะ และที่สาคัญที่สุดจะต้อง ดาเนนิ การโดยการมกี ารร่วมมือกันอย่างจรงิ จังระหว่างผ้นู เิ ทศกับครู หรือผู้ทาหนา้ ทน่ี เิ ทศกับครู ในการสังเกตการสอนต้องมีวิธีการบันทึกการสังเกตการสอนท่ีดี จะบันทึกอย่างไร ด้วยวิธีใด ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการสังเกต ประเภทของการสังเกตการสอน และการเลือกใช้ เคร่ืองมือท่ีเหมาะสม เช่น เป็น การสังเกตการสอนเชิงปริมาณ (Qualitative Observation) จะต้องระบุ วัตถุประสงค์ชัดเจนว่า จะสังเกตพฤติกรรมอะไรบ้าง อย่างไร ใช้เคร่ืองมือแบบใดจึงเหมาะสม เช่นเดียวกับการสังเกตการสอนเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) จะต้องระบุวัตถุประสงค์ ชัดเจน วิธีการบันทึกและเครื่องมือที่เหมาะสม ดังน้ัน เครื่องมือสังเกตการสอน นอกจากจะเป็น แบบฟอร์มลักษณะต่าง ๆ ท่ีมีผู้สร้างและพัฒนาขึ้น และเผยแพร่ให้ใช้แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นการจดหรือ เขียนบันทึกเหตุการณ์หรือพฤติกรรมด้วยกระดาษ ดินสอ ปากกา (Written record) ใช้การบันทึกเสียง (Audio record) หรือด้วยการบันทึกภาพ (Videotaping) ประกอบการสังเกตและบันทึกด้วยวิธีการอ่ืนๆ ดว้ ยดังตวั อย่างวธิ ีการสงั เกตบนั ทึกการสอน ดงั นี้ 1. การบันทกึ แบบพรรณนาความ (Descriptive of Narrative Record) 2. การบันทึกส้ันๆ ไม่เป็นความคิดหรือการประเมินผลใดๆ (Anecdotal Record or Note king) 3. การบนั ทกึ เสียงและการบันทึกภาพเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องเรียน (Audio taping Videotaping)

24 4. การจดบันทึกคาพูด คาต่อคา ประโยคต่อประโยค ท่ีกาหนด หรือคาพูดที่เลือก จะบันทึก (Selective Verbatim Recording) 5. การบันทึกแบบบันทกึ การปฏิบตั งิ านของตนเอง (Journal Writing) 6. การบันทกึ ตามประเด็นคาถามทกี่ าหนด (Focused Questionnaire) 7. การบนั ทกึ โดยทาตารางบนั ทึกความถี่ (Frequency Tabulation) 8. การบันทกึ โดยใชแ้ ผนผังที่นง่ั เตรียมไว้ (Seating Chart) 9. การบนั ทกึ พฤตกิ รรมภาพท่ีปรากฏโดยใช้แบบตรวจสอบรายการ (Check list) 10. การบันทกึ พฤติกรรมที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 11. การบันทึกพฤตกิ รรมโดยใช้แบบบันทกึ ทรี่ ะบุพฤตกิ รรมบง่ ชี้ (Performance Indicator Recording) อยา่ งไรก็ตาม การสงั เกตการสอนจะบันทึกดว้ ยเครอื่ งมอื หรอื วิธีการใดก็ตาม การนา เครื่องมือประเภทเคร่ืองอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เคร่ืองบันทึกเสียง บันทึกภาพ และฟิล์มต่างๆ มาใช้ประกอบ จะช่วยให้การบันทึกต่างๆในห้องเรียนมีความเท่ียงตรง ครบถ้วนและชัดเจนมากข้ึน เพราะภาพที่บันทึกจะแสดงการเคล่ือนไหว และการใช้ภาษาท่ีสังเกตและบันทึกด้วยวิธีอื่นๆ ที่ได้บันทึกไว้ด้วย ซ่ึงข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อการนาไปช่วยในการวิเคราะห์ผล การสังเกตการสอนได้ละเอียดย่ิงข้ึน ท่ีสาคัญการสังเกตการสอนน้ัน เป็นการสังเกตที่มีจุดมุ่งหมาย ดังน้ัน ผู้ทาการสังเกตหรือผู้นิเทศจะต้องรู้ว่าจะสังเกตการสอนครูในเร่ืองใด ด้านใด หรือพฤติกรรม อะไร ดงั นัน้ นอกเหนอื จากเทคนิควิธีการ และทักษะในการสังเกตการสอนแล้ว ผู้นิเทศหรือผู้สังเกต การสอนจะต้องมีความรู้เก่ียวกับเรื่องท่ีจะสังเกตการสอนเป็นอย่างดี เช่น เทคนิควิธีการสอนต่างๆ ทักษะการสอน รูปแบบการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมต่างๆรวมทั้งพฤติกรรมการสอนท่ีมี ประสิทธภิ าพในด้านตา่ ง ๆ ของครดู ้วย (วัชรา เลา่ เรยี นดี, 2544 : 24) การวิจัยในคร้ังนี้ผู้วิจัยได้มีการสังเกตการสอนและบันทึกผลการนิเทศ เช่น บันทึก ข้อมูลท่ีพบระหว่างการนิเทศ การถ่ายภาพการจัดกิจกรรมของครูผู้สอน การเรียนรู้และสืบข้อมูล ของนักเรยี น แลว้ นาข้อมูลมาตรวจสอบสรุปผลการนิเทศทัง้ ในภาพรวม และผลการสังเกตตามตัวชี้วัด ของการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน คือ 1) การอ่าน และการหาประสบการณ์จากส่ือท่ีหลากหลาย 2) การอ่าน และการจับประเด็นสาคัญ ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน 3) การอ่าน และ การเปรียบเทียบแง่มุมต่างๆ 4) การอ่าน และการแสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองที่อ่าน โดยมีเหตุผล ประกอบ 5) การอ่าน และการถา่ ยทอดความคดิ เหน็ ความร้สู กึ จากเรอื่ งทอ่ี ่าน โดยการเขยี น 2.1.2 การนเิ ทศแบบโคช้ (Coaching) การนิเทศแบบโค้ช เป็นกระบวนการหน่ึงที่มีความสาคัญในการช่วยเหลือให้ การจัดการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ผู้ที่มีบทบาทสาคัญ คือ ศึกษานิเทศก์ รวมท้ังเครือข่าย การนิเทศท่ีเข้ามามีส่วนร่วมในการนิเทศการสอน การดาเนินการเพื่อเพิ่มศักย ภาพในการจัด การเรียนรู้ให้แก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษา ให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพและ ไดม้ าตรฐาน ตลอดจนสามารถเสริมสรา้ งการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ให้เข้มแข็ง การนาเทคนิคการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) มาใช้ในการนิเทศการสอน จึงเป็นวิธีการ หนงึ่ ท่ีจะช่วยในการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษาใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากขึน้ ได้

25 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) เป็นวิธีการพัฒนาสมรรถภาพการทางานของครู โดยเน้นไปทกี่ ารทางานให้ได้ตามเปาู หมายของงาน หรือการช่วยให้สามารถนาความรู้ความเข้าใจท่ีมี อยู่และหรือได้รับการอบรมมา ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การโค้ชมีลักษณะเป็นกระบวนการ มีเปูาหมายที่ต้องการไปให้ถึง 3 ประการ คือ การแก้ปัญหาในการทางาน การพัฒนาความรู้ ทักษะ หรือความสามารถในการทางาน และการประยุกตใ์ ช้ทกั ษะหรือความรใู้ นการทางาน ที่ตั้งอยู่บนหลักการ ของการเรียนรู้ร่วมกัน (Co-Construction) โดยยึดหลักว่าไม่มีใครรู้มากกว่าใคร จึงต้องเรียนไปพร้อมกัน เพ่ือให้ค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง (สานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน, 2553 : 2-7) (1) การโค้ชเพ่ือการรู้หนังสือและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching) คาว่า Literacy Coaching หมายถึง การโค้ชเพื่อช่วยให้มีความรู้ มีความสามารถ ในด้านใดดา้ นหนึ่ง เชน่ การโคช้ เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่าน (Reading Coaching) ซง่ึ คา 2 คานีม้ กี ารนาไปใช้ แพร่หลายในโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งในด้านการศึกษา Literacy Coaching อาจหมายถึง การปฏิบัติงาน หลายอย่าง เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือเพื่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในหลายวิชาๆ เป็นตน้ การโคช้ เพื่อชว่ ยครพู ัฒนาทักษะการอ่านแกน่ ักเรยี น ผทู้ าหน้าที่โค้ชอาจจะทาหน้าท่ี สอนครูเกีย่ วกับยุทธวิธีการอา่ น การใช้แผนภูมิ แผนภาพ หรอื กิจกรรมการสอนทช่ี ว่ ยให้นกั เรยี นเข้าใจ ในบทอา่ นมากขึ้น ถ้าผ้ทู าหน้าทโี่ ค้ชเพื่อพฒั นาการรู้หนังสือ อาจะมีความรับผิดชอบ โดยการช่วยนักเรียน พฒั นาทักษะการเขยี น และทกั ษะการอ่านในทุกวิชา อาจทาหน้าท่ีโดยโค้ชครูบ่อยครั้งหรือไม่ทาการ โค้ชเลยก็ได้ โค้ชเพื่อการพัฒนาการอ่าน (Reading Coaching) อาจทาหน้าที่ครูปฏิบัติด้านการสอน แก่นักเรียนหรือประเมินผลการเรียนของนักเรียน การโค้ชทั้ง Literacy Coaching และ Reading Coaching อาจจะใช้สลับกันทาหน้าที่โค้ช แต่บทบาทของโค้ชเพ่ือพัฒนาการรู้หนังสือกับโค้ช เพ่ือพัฒนาการอ่านค่อนข้างชัดเจนท้ังตัวครู บทบาทและหน้าท่ี เช่น ในยุคศตวรรษท่ี 21 Literacy Coaching คือ โค้ชท่ีมาหน้าที่ช่วยพัฒนาความรู้จะต้องมีท้ังความรู้ ความสามารถด้านการอ่าน และ การอ่านออกเขยี นได้ด้วยวธิ ีต่างๆ เปน็ ต้น (วชั รา เล่าเรียนดี, 2556 : 111-112) นอกจากน้ี การโค้ชเพอ่ื พัฒนาความสามารถดา้ นการอ่านออกเขียนได้ (Literacy Coaching) หรือการร้หู นงั สือดาเนินการ ดงั นี้ 1. การแลกเปลี่ยนข้อมูล (Sharing Information) ระหว่างโรงเรียนที่เขา้ ร่วมโครงการ 2. การเตรียมความพร้อม สาหรับการโค้ช คือ ผู้ทาหน้าที่โค้ช ครูผู้รับการโค้ช จุดประสงค์สาคัญจากการโค้ช ก็คือ ผลการเรียนรู้ด้านการอ่านของนักเรียนท่ีมาจากการสอนท่ีมี ประสิทธิภาพ (Expert Teaching) ของครูที่ได้รับการโค้ช การโค้ชจึงมีจุดประสงค์เพ่ือพัฒนา ความเช่ียวชาญ ด้านการสอน โดยมีแนวคิดเชิงระบบง่ายๆ ดังนี้ Literacy Coaching Expert Teaching Student Achievement 3. การเลือกโค้ชที่เหมาะสม โค้ชต้องมีความรู้ความสามารถสูง โดยเฉพาะ ถ้าจะตอ้ งพฒั นาทักษะด้านใดด้านหน่ึง วิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น โค้ชท่ีจะทาการโค้ช เพ่ือพัฒนา

26 สมรรถนะการสอนอ่านให้เป็นผู้เช่ียวชาญการอ่านให้แก่ครูจะต้องมีความเช่ียวชาญด้านการอ่านจริง และเป็นท่ียอมรบั 4. พัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของ การพัฒนาในวิชาชีพระหว่างผู้ร่วมโครงการ ถา้ ผมู้ สี ว่ นรว่ มมคี วามเตม็ ใจ ตงั้ ใจ กระตือรอื รน้ ในการเร่ิมต้นในการพัฒนาอย่างจริงจัง เป็นการเร่ิมต้น บนรากฐานท่ีดใี นการพัฒนาตอ่ ไป 5. กาหนดความรับผิดชอบและความสัมพันธ์ต่อกันที่ชัดเจน เพราะเม่ือใด ทผี่ ู้บรหิ าร ครู และโค้ชทางานรว่ มกัน ผลการเรียนของนกั เรียนต้องมีการพัฒนาข้ึน 6. โค้ชต้องตดิ ตอ่ ปฏสิ มั พันธ์กับโรงเรยี นตลอดเวลา การพบปะพูดคุยกันระหว่าง ผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ ง ทุกสปั ดาห์ หรอื สองสปั ดาห์ตอ่ ครงั้ อย่างตอ่ เน่อื ง 7. โคช้ ตอ้ งรวู้ า่ แหล่งความรมู้ ีอะไรบา้ ง และเขา้ ถงึ ได้อยา่ งไร เชน่ เว็บไซตต์ า่ งๆ ศนู ยส์ ื่อต่าง ๆ ทโ่ี รงเรียนจะเขา้ ถงึ ได้ 8. การพดู จาภาษาเดียวกัน ผ้มู ีสว่ นรว่ มทุกคนตอ้ งพดู อธบิ ายในเร่ืองเดียวกันได้เข้าใจ 9. การประเมินความก้าวหน้า (Assess Progress) การติดตามดูแลช่วยเหลือ ความก้าวหนา้ ของครูในการใชห้ ลักสูตรการส่งเสริมการอ่าน หรือยุทธวิธีสอนจะต้องมีการเก็บบันทึก ขอ้ มูล ครูผู้สอนและโค้ช ก็ต้องไดร้ ับการฝกึ อบรม และมกี ารประเมินผลความกา้ วหนา้ 10. มีการวางแผนเพื่อพฒั นาอย่างต่อเนือ่ ง (2) การโค้ชทเ่ี น้นนกั เรยี นเปน็ สาคัญ (Student Centered Coaching) 1. แนวคดิ การโค้ชที่เน้นนกั เรียนเปน็ สาคญั (Student Centered Coaching) เป็นอีกแนวคิด หนึ่งในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เพื่อให้ความสาคัญกับนักเรียนและยึดนักเรียน เป็นสาคัญก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าเปูาหมายหลักสาคัญของการนิเทศในปัจจุบันหรือการโค้ช ทุกรูปแบบจะเน้นพัฒนาการของการเรียนรู้ของนักเรียนก็ตาม การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ เป็นแนวคดิ และงานของ Diane Sweeney (2011 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 323) จุดเด่น และลักษณะสาคัญของการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ คือ เป็นการดาเนินการโค้ชที่โรงเรียน โดยความรว่ มมือของโค้ชผ้บู รหิ าร และครู เพือ่ พัฒนาผลการเรยี นรขู้ องนักเรียนเป็นสาคัญ เป็นโค้ชที่มี วัตถุประสงค์ คือ ผลการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าการมุ่งปรับปรุงการปฏิบัติการสอนของครู การโค้ช แนวทางการโค้ช มุ่งสู่พัฒนาการของผลการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีเกิดข้ึน ซ่ึงต้องวัดได้ และ ประเมินได้ชดั เจน 2. สาระสาคญั ของการโค้ชที่เนน้ นักเรียนเปน็ สาคญั 2.1 การโค้ชท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ กาหนดเปูาหมายเฉพาะ คือ พัฒนา นักเรยี น เป็นการรว่ มมอื กนั ของโค้ช ผบู้ รหิ าร และครผู ู้สอน 2.2 ผู้บริหารมีบทบาทสาคัญยิ่งในการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน ในโรงเรียน ซ่งึ ต้องมีส่วนร่วมอย่างจรงิ จังในการโคช้ และการพฒั นาคุณภาพของนกั เรยี น 2.3 เป็นการวัดและประเมินผลกระทบโดยตรงท่ีเกิดขึ้นกับนักเรียน อันเน่ืองมาจากการโค้ช

27 2.4 การพัฒนาวิชาชีพด้วยการโค้ชภายในโรงเรียนมีหลายรูปแบบ หลายวิธีการ ปฏบิ ตั ใิ ชก้ ันแพรห่ ลายต่อเนอื่ ง และประสบผลสาเร็จ แต่การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญจะช่วยยืนยัน ได้ว่าการโค้ชเป็นการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่องของครูและบุคลากรในโรงเรียน ส่งผลถึงพัฒนาการ ของผลการเรียนรขู้ องนักเรียนจริง 2.5 การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ มีลักษณะและการปฏิบัติที่ชัดเจน ของการโค้ชในโรงเรียน โดยบุคลากรในโรงเรียน เน่ืองจากผู้บริหารต้องให้ความสาคัญและให้ความ รว่ มมอื เพือ่ การพฒั นาคณุ ภาพของนักเรียน โดยตรง 3. บทบาทของผบู้ รหิ ารในการโคช้ ท่ีเน้นนักเรียนเปน็ สาคญั 3.1 ทาความเข้าใจหลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติ ของการโค้ชที่เน้นนักเรียน เปน็ สาคัญ พร้อมกับโค้ชหรือผู้ทาหน้าท่ีโค้ช เพราะผู้บริหารเป็นบุคคลที่จะสร้างความร่วมมือให้เกิด ขึ้นกับคณะครใู นโรงเรียน ไม่ใช่โคช้ 3.2 ผู้บริหารต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดขึ้นในโรงเรียน บุคลากรทุกคนในโรงเรียนหรือครูทุกคน และผู้บริหาร เป็นนักเรียนที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อ ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของนักเรยี น 3.3 ผู้บริหารต้องมีส่วนร่วมในการโค้ชทุกข้ันตอนของการโค้ช คาถาม และ การอภิปรายร่วมกันระหว่างผู้บริหาร โค้ช และครู คือ เราต้องการให้นักเรียนของเราเรียนรู้และพัฒนา เรอ่ื งใด เราจะรู้ได้อยา่ งไรว่านักเรยี นของเราเกดิ การเรียนรู้และพัฒนาตามเปูาหมาย เราจะช่วยนักเรียน ท่ีมีปัญหาในการเรียนด้วยวิธีใหม่ ๆ อย่างไร การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และจุดเน้น การโค้ชจาก การปรับปรุงพัฒนาครูให้ได้ตามมาตรฐานการจัดการเรียนรู้ ให้เป็นการปรับปรุงพัฒนานั กเรียน เปน็ สาคัญเปน็ เรอ่ื งใหม่ โคช้ ทาหนา้ ทโ่ี ค้ชโดยลาพังไม่ได้ โรงเรียนต้องมีผู้นาเคียงข้างร่วมมือตลอดเวลา จึงจะทาให้การพัฒนาผลการเรยี นของนกั เรียนเพ่อื นักเรียนโดยโรงเรยี นประสบผลสาเรจ็ 4. ขน้ั ตอนการโคช้ ทเ่ี นน้ นกั เรียนเป็นสาคัญ 4.1 ร่วมกันระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือวิเคราะห์ข้อมูลการเรียนรู้ของ นักเรียนท่ีสมั พันธก์ ับมาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน โดยเปรียบเทียบกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ 4.3 จดั การเรยี นการสอนทต่ี อบสนองตอ้ งความต้องการของนักเรยี น 4.4 วัดและประเมินผลหลังเรียน เพ่ือตรวจสอบตัดสินว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้ ตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ กี่ าหนดหรอื ไม่ การนิเทศแบบโค้ช ซ่ึงเป็นการนิเทศท่ีผู้วิจัยได้นามาใช้ในการพัฒนารูปแบบ การนิเทศการจัดกจิ กรรมและประเมนิ การอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขียน เนอื่ งจากว่าการนิเทศแบบโค้ช ผู้ท่ีทาการนิเทศและผู้รับการนิเทศได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากกว่าการนิเทศในรูปแบบอ่ืนๆ ผู้รับ การนเิ ทศได้มีโอกาสพูดแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มท่ี ส่วนใหญ่ผู้นิเทศจะเป็นฝุายรับฟังมากกว่าพูด มีการแลกเปลย่ี นแสดงความคิดเห็น ซักถามพูดคุยในประเด็นที่นิเทศ นอกจากน้ีในเร่ืองของการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เพ่ือพัฒนาความสามารถการจัดกิจกรรมและประเมินของครูผู้สอน ส่งเสริม

28 ความสามารถทางด้านภาษา (literacy) ความสามารถทางด้านเหตุผล (Reasoning Abilities) โดยเน้นนักเรยี นเปน็ สาคัญ การนเิ ทศท่เี หมาะสมที่สดุ คือ การนเิ ทศแบบโคช้ 2.1.3 ทฤษฎเี ก่ียวกับการนเิ ทศการสอน การนิเทศการสอน เป็นกระบวนการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับ การนเิ ทศเพื่อที่จะพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษา และจัดการเรียนการสอนของครูเพ่ือให้ ได้มาซึ่งประสิทธผิ ลในการเรยี นของนักเรียน กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในการนิเทศการสอนมีความจาเป็น อย่างมากท่ีจะต้องนาทฤษฎีเก่ียวกับการนิเทศการสอนมาเป็นฐานคิดในการพัฒนาระบบของ การนิเทศการสอน ทั้งนี้ เน่ืองจากการนิเทศการสอนเป็นพฤติกรรมที่เป็นท้ังศาสตร์และศิลป์และ มีความเก่ียวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง ดังน้ัน จึงมีความจาเป็นท่ีต้องศึกษาทฤษฎีต่างๆ ทีเ่ กย่ี วข้องกบั การนิเทศการสอน เพอ่ื ที่จะนามาพจิ ารณาถึงความสอดคลอ้ งเหมาะสมในการพัฒนาครู ให้ตรงกับสภาพและความต้องการในการพัฒนาเทคนิคการนิเทศการสอน จากกา รศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับการนิเทศการสอนของนักคิด นักการศึกษา และนักจิตวิทยา สามารถสรุป สาระสาคญั ของทฤษฎตี ่าง ๆ ดงั น้ี (1) ทฤษฎีการเปลีย่ นแปลง การนิเทศการสอนมีเปูาหมาย เพ่ือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมโดยการช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและการปฏิบัติงานของครู และบุคลากร ท่ีเก่ียวข้อง ให้ส่งผลถึงคุณภาพของนักเรียนและคุณภาพของการศึกษาเป็นสาคัญ ดังนั้นใน การพัฒนารูปแบบการนเิ ทศการสอนในครัง้ น้ี ผู้วจิ ัยไดศ้ กึ ษาหลกั การ แนวคิด ทฤษฎกี ารเปล่ียนแปลง ของนักคิด นักการศึกษา และนักจิตวิทยา เพ่ือเป็นพื้นฐานท่ีจะนาไปประกอบกับเทคนิคและทักษะ ในการนิเทศ อาทิเช่น Bennis, Warren G., Benne and Chin R. (1969 : 34-35), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 33-34) ได้เสนอยุทธวิธีทั่วไปของการเปลี่ยนแปลงไว้ 3 ยุทธวิธี คือ 1) ยุทธวิธีการใช้หลัก เหตุผลและข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีความเชื่อว่า มนุษย์สามารถจะทาตามความสนใจของตนเอง ให้ปรากฏชัดเจนได้การเปลย่ี นแปลงจึงเกดิ ขน้ึ จากท่ีตัวบคุ คล กล่มุ บุคคลรู้ดีว่าตนเองมีความประสงค์ และเหน็ วา่ มีผลดีตามความสนใจของตนเอง 2) ยุทธวิธีการให้การศึกษาใหม่หรือให้ความรู้ใหม่ โดยมี ความเชื่อว่า มนุษย์มีแรงจูงใจท่ีแตกต่างกัน ยึดความเป็นเหตุผล และความฉลาดของมนุษย์ โดยที่ แบบแผนการปฏิบัติใดๆจะได้รับการสนับสนุนหรือเป็นผลมาจากบรรทัดฐานทางสังคมท่ีบุคคลน้ัน ยอมรับและยึดเป็นแนวปฏิบัติ และ 3) ยุทธวิธีในการใช้อานาจและการควบคุม กล่าวคือ เป็นการใช้ อิทธิพลของตาแหน่งหน้าท่ีและใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถคัดค้านหรือปฏิเสธได้ นอกจากนี้กระบวนการ เปลีย่ นแปลงยังประกอบด้วย 3 ขั้น คือ 1) ขั้นละลายความเคยชิน 2) ข้ันการเปลี่ยนแปลง 3) ขั้นทาให้อยู่ อย่างม่นั คง นอกจากน้ีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงมาจาก 2 สาเหตุ คือ สาเหตุจากภายนอก และสาเหตุจากภายใน ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงท่ีมาจากภายนอกอาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ สะสม จนทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลง จากลักษณะที่สาคัญของทฤษฎี สรุปได้ว่า ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงมีลักษณะของ การผสมผสานกัน ดังน้ันการเลือกใช้ทฤษฎี หลักการในการเปลี่ยนแปลงสาหรับการนิเทศ จาเป็น จะต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในทุกองค์ประกอบ ทั้งน้ี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการนิเทศ ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลสงู สดุ

29 (2) ทฤษฎแี รงจงู ใจ ทฤษฎีแรงจูงใจที่ได้รับการยอมรับและกล่าวขวัญกันคือ ทฤษฎีแรงจูงใจของ Maslow และทฤษฎีแรงจูงใจของ Herzberg, F. โดยท่ี Maslow ได้จาแนก ความต้องการของมนุษย์เรียงลาดับ จากความต้องการพน้ื ฐานจนถึงความต้องการสุดยอด 5 ประการ คือ 1. ความต้องการทางดา้ นร่างกาย (Physiological Needs) 2. ความตอ้ งการความปลอดภัย หรอื สวัสดภิ าพ (Safety Needs) 3. ความต้องการความรักและการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ (Belongingness and love Needs) 4. ความต้องการไดร้ บั ความนบั ถอื จากผอู้ นื่ (Esteem Needs) 5. ความต้องการความเป็นตัวตนเองอันแท้จริงของตนเอง และต้องการท่ีจะพัฒนา ตนเองอย่างเต็มศักยภาพ (Self-actualization Needs) เป็นความต้องการข้ันสุดท้าย ซ่ึงเป็น ความต้องการข้ันสูงสุดของมนุษย์ ความต้องการของมนุษย์ท้ัง 5 ประเภทน้ีอาจจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ในบางประเภท เช่น ความต้องการทางสงั คม และความสาเร็จในตัวเอง หรือความต้องการทางกาย และ ความต้องการทางสงั คม ในทานองเดียวกัน Herzberg at el. (1959 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 68) ได้เสนอทฤษฎีแรงจูงใจสององค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านแรงจูงใจ (Motivation Factors) ได้แก่ โอกาสและความเป็นไปใน การเจริญก้าวหน้า การได้เล่ือนระดับหรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การได้รับการยกย่อง ยอมรับ การได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ และผลสาเร็จหรือการประสบผลสาเร็จ ส่วนองคป์ ระกอบดา้ นสขุ ภาพศาสตร์ (Hygiene Factors) ประกอบด้วย เงินเดือนค่าจ้าง สภาพการทางาน ความปลอดภัยหรือสวสั ดกิ ารในการทางาน ชวี ติ สว่ นตัว นโยบายของโรงเรียนและการบรหิ าร การนิเทศและ เทคนิควิธีการนเิ ทศ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งบคุ คลในหนว่ ยงาน และฐานะหรือสถานภาพของบคุ คล ส่วน Mc Gregor, Douglas (1960 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 68) ได้เสนอ ข้อสมมติเกี่ยวกับมนุษย์ใน 2 ลักษณะ คือ ทฤษฎี X กล่าวว่า มนุษย์ท่ัวไปมีนิสัยประจาตัวก็คือ ไม่อยาก ทางานและพยายามท่ีจะหลีกเลี่ยงงานเท่าที่จะทาได้ ต้องมีการบังคับควบคุมช้ีแนะ และขู่เข็ญ ดว้ ยการลงโทษ รวมท้ังไม่ชอบทจ่ี ะถูกชีแ้ นะ ปรารถนาทจี่ ะหลกี เลี่ยงความรับผดิ ชอบ มีความทะเยอทะยาน น้อย มคี วามตอ้ งการความปลอดภัยมากท่สี ุด และทฤษฎี Y กล่าวคือ การใช้ความพยายามทางด้านร่างกาย และจติ ใจในการทางานเป็นเรื่องธรรมชาติ การควบคุมภายนอกและการทาให้หวาดกลัวโดยการลงโทษไม่ใช่ เป็นวิธีการทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรการมีข้อผูกมัดกับจุดประสงค์ในการทางานเป็นวิธีการให้ รางวัลชนิดหน่ึงซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความสาเร็จ มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ภายใต้ภาวการณ์ท่ีเหมาะสม ความสามารถในการใชจ้ ติ นาการ ความจรงิ ใจ ความคิดสร้างสรรค์ เพ่ือแก้ไขปัญหาภายในองค์กรจะเป็นไป อย่างกว้างขวาง ไมใ่ ช่ภายในขอบเขตจากดั จากการศึกษาทฤษฎีแรงจูงใจ สรุปได้ว่า ในการนิเทศงานจาเป็นต้องคานึงถึง ธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จรงิ และความต้องการของผู้รับการนิเทศ หรือครูตามความต้องการพ้ืนฐาน ในข้ันความต้องการที่จะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า และความต้องการที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงและ ความต้องการท่ีจะพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ ซ่ึงต้องอาศัยทฤษฎีแรงจูงใจต่างๆ มาประกอบกับ การปฏบิ ตั ิงานนเิ ทศด้วย โดยมุ่งเน้นท้ังด้านงานและจิตใจ รวมทง้ั การสร้างบรรยากาศในการปฏบิ ัติงานด้วย

30 (3) ทฤษฎีการส่ือสาร การติดต่อส่ือสารมีความจาเป็นและสาคัญต่อการนิเทศการสอน เพราะการนิเทศ การสอนเป็นการปฏิบัติงานเพื่อช่วยครูในการสอนที่ต้องอาศัยการติดต่อส่ือสารซ่ึงกันและกัน การติดต่อสือ่ สารเกิดขึ้นในทุกองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากกระบวนการพูด มีองค์ประกอบ ท่ีสาคัญ คือ 1) ผู้พูด 2) คาพูด 3) ผู้ฟัง คือ ผู้พูด คาพูด ผู้ฟัง มีจุดเน้นที่การกระทาของ ผู้ส่งและผู้รับซ่ึงทาหน้าท่ีอย่างเดียวกันและเปลี่ยนบทบาทกันไปมาในการเข้ารหัสสาร การแปล ความหมาย และการถอดรหัสสาร นอกจากน้ัน วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 165) กล่าวว่าการส่ือสาร เป็นการสื่อ ความหมายระหว่างกนั ในการนเิ ทศการสอนจึงเป็นเรื่องสาคญั เพราะผู้นเิ ทศน้ันจะตอ้ งทางานร่วมกับ ครู ต้องพูดคุยปรึกษาหารือกัน ทั้งเป็นแบบทางการและไม่เป็นทางการอยู่ตลอดเวลา มีจุดเน้น ที่กระทาของผู้ส่งและผู้รับซ่ึงทาหน้าที่อย่างเดียวกัน และเปลี่ยนบทบาทกันไปมาในการเข้ารหัส การแปลความหมาย และการถอดรหัส ซึ่งในการสื่อสารนั้นจะต้องตอบคาถามต่อไปนี้ให้ได้ คือ ใคร พูดอะไร โดยวิธีการและช่องทางใด ไปยังใคร ด้วยผลอะไร จากคาถามดังกล่าว สรุปว่าการพัฒนา ทฤษฎีการสื่อสารโดยมีประเดน็ ทพี่ ิจารณาวา่ ผสู้ ่งจะส่งสารอยา่ งไร และผู้รับจะแปลความหมาย และมี การโต้ตอบสารน้ันอย่างไร เรียกว่าทฤษฎี S M C R ประกอบด้วย ผู้ส่ง (Source) ข้อมูลข่าวสาร (Message) ช่องทางในการส่ง (Channel) ผู้รับ (Receiver) อันเป็นองค์ประกอบสาคัญของการ สอื่ สาร จากการศึกษาทฤษฎีการสื่อสาร สรุปได้ว่า ในการนิเทศการสอนในโรงเรียนน้ัน บรรยากาศโรงเรียนแบบเปิด วัฒนธรรมโรงเรียนท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ การปฏิบัติงานร่วมกัน การยอมรบั ซง่ึ กันและกัน มีความสาคญั ต่อการนิเทศใหบ้ รรลุผลสาเร็จ รวมท้ังการติดต่อสื่อสารต่อกัน ทมี่ ีประสทิ ธิผล ย่อมสรา้ งความเข้าใจตรงกนั ทส่ี าคญั ทสี่ ุด คือ การสอ่ื สารท่ีดตี อ่ กัน (4) ทฤษฎมี นษุ ยส์ ัมพนั ธ์ นักคิดนักการศึกษา และนักจิตวิทยาได้กล่าวถึง ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์ของ Elton Mayo (อ้างถึงใน Sergiovanni and Stratt 1988 : 8-10) ได้ศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ใน ก าร ท าง า น ท่ีไ ม่ ไ ด้ ข้ึ น อ ยู่ กั บปั จ จัย ท าง ด้ า น เ ศ ร ษ ฐ กิ จห รื อก า ร จู ง ใ จท า ง ด้ า น ก า ร เงิ น เท่ า น้ั น แต่ยังขึ้นอยู่กบั ความต้องการทางดา้ นจิตใจ หรอื เรื่องราวทางดา้ นสงั คมทีไ่ มไ่ ดเ้ ก่ยี วกับการเงินโดยตรง ด้วยและยังศึกษาถึง “Hawthorne Studies” ในประเด็นปัจจัยด้านปทัศถานทางสังคม พฤติกรรม ของคนถูกกาหนดตามสัมพันธภาพในกลุม่ และผนู้ าอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ ส่วน Maslow (1954 อ้างถึงใน Glickman, Gordon and Ross-Gordon 1995 : 156) มีแนวคิดท่ีมุ่นเน้นกระบวนการในการจูงใจ (Process Theory of Motivation) เพื่อหาคาตอบว่าจะมีวิธีการจูงใจอย่างไรท่ีจะทาให้คนมีพฤติกรรมตามท่ีเราต้องการได้ ซ่ึงนามาเป็น หลักทางด้านมนุษย์สัมพันธ์ ตามทฤษฎีลาดับความต้องการของ Maslow’s Hierarchy of Needs Theory บนสมมติฐาน 3 ข้อ คือ 1) บุคคลคือส่ิงมีชีวิตที่มีความต้องการ 2) ความต้องการ ถูก เ รี ย ง ล า ดั บ ต า ม ค ว าม ส า คั ญ จ า ก ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร พื้ น ฐ า น ไ ป จ น ถึ ง คว า ม ต้ อ ง ก า ร ท่ี ซั บ ซ้ อ น และ3) บุคคลจะก้าวสู่ความต้องการในระดับต่อไปเม่ือความต้องการระดับต่าลงมาได้รับ การตอบสนองแลว้

31 (5) ทฤษฎภี าวะผูน้ า ในการนิเทศการสอน ผู้นิเทศจะต้องใช้ภาวะผู้นาในการนิเทศอย่างเหมาะสม เพ่ือให้การนิเทศประสบผลสาเร็จและบรรลุตรงตามเปูาหมาย ดังน้ัน ผู้นิเทศจะต้องรู้และเข้าใจ เกี่ยวกับภาวะผู้นา ประเภทผู้นา และการใช้ภาวะผู้นาในการส่งเสริมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การปฏบิ ตั ิงานของครู ใหส้ ่งผลถึงคณุ ภาพของนักเรียนมากท่ีสุด เกี่ยวกับเร่ืองนี้ Mc Gregor, Douglas (1960 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 58) ได้กล่าวถึงลักษณะของผู้นา ตามแนวทฤษฎี X และ ทฤษฎี Y และไดเ้ สนอขอ้ สมมติฐานเก่ียวกับมนุษย์ใน 2 ลักษณะ คือ ทฤษฎี X กล่าวว่า มนุษย์ทั่วไป มนี สิ ัยประจาตวั ก็ คือ ไม่อยากทางานและพยายามท่ีจะหลีกเล่ียงงานเท่าท่ีจะทาได้ ต้องมีการบังคับ ควบคุมชี้แนะ และขู่เข็ญด้วยการลงโทษ รวมทั้งไม่ชอบที่จะถูกชี้แนะ ปรารถนาที่จะหลีกเล่ียง ความรับผิดชอบ มีความทะเยอทะยานน้อย มีความต้องการความปลอดภัยมากที่สุด และทฤษฎี Y กล่าวคือ การใช้ความพยายามทางด้านร่างกายและจิตใจในการทางานเป็นเรื่องธรรมชาติ การควบคุม ภายนอกและการทาให้หวาดกลัวโดยการลงโทษไม่ใช่เป็นวิธีการทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร การมีข้อผูกมัดกับจุดประสงค์ในการทางานเป็นวิธีการให้รางวัลชนิดหน่ึงซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับ ความสาเร็จ มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ภายใต้ภาวการณ์ที่เหมาะสม ความสามารถในการใช้จินตนาการ ความจริงใจ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ไขปัญหาภายในองค์กรจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ภายใน ขอบเขตจากดั นอกจากนั้น Hersey P. and Blanchard K. (1977 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 65) ได้เสนอรูปแบบภาวะผู้นา 4 แบบ ซ่ึงเน้นพฤติกรรมการทางาน (Task Behavior) กับ พฤติกรรมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Relationship Behavior) คือ 1) ให้ความสาคัญกับงานสูง และให้ความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลต่า จัดเปน็ การใช้ภาวะผนู้ าแบบเผด็จการ 2) ให้ความสาคัญกับงาน และใหค้ วามสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสูง จัดเป็นการใช้ภาวะผู้นาแบบประชาธิปไตย 3) ให้ความสาคัญ กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสูง และความสาคัญกับงานต่า และ4) ให้ความสาคัญกับงานและให้ ความสัมพันธ์ระหว่างบคุ คลตา่ จดั เป็นการใช้ภาวะผนู้ าแบบปล่อยปละละเลย จะเห็นได้ว่าทฤษฎีที่เก่ียวข้องกับความสาเร็จของการนิเทศ ย่อมขึ้นอยู่กับ ความสามารถ และรูปแบบของความเป็นผู้นา โดยการรู้จักในสิ่งจูงใจเป็นเคร่ืองกระตุ้น ในการปฏิบัติงาน การให้ความร่วมมือ ดังนั้น ภาวะผู้นา จึงเป็นเทคนิคหนึ่งที่จาเป็นของผู้นาและ ผนู้ เิ ทศจะต้องเลือกใชท้ ้งั รูปแบบภาวะผูน้ าให้เหมาะสมกบั คนและกลมุ่ คน (6) ทฤษฎกี ารเรียนรขู้ องผูใ้ หญ่ พัฒนาการของผู้ใหญ่ในด้านการเรียนรู้และความเจริญก้าวหน้าน้ัน เป็นไป ตามลาดับข้ันตอน โดยเฉพาะการเปล่ียนแปลงการเรียนรู้ของผู้ใหญ่จาเป็นต้องคานึงถึงการ เปลย่ี นแปลงลักษณะของความรู้ ความสามารถ ความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่กับสภาพแวดล้อมด้วย และ ผใู้ หญ่แต่ละคนจะมรี ะดับความคิดรวบยอดท่ีแตกต่างกันตามลาดับ เกี่ยวกับเร่ืองนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 38) ได้ให้แนวคิดในการพัฒนาความคิดรวบยอดของผู้ใหญ่ ดังนี้ คือ 1) ความคิดรวบยอด ระดับต่าเป็นบุคคลท่ีมีความสามารถในการคิดท่ีเป็นรูปธรรม เช่น สามารถประเมินส่ิงต่างๆ ด้วย เกณฑ์ธรรมดาง่ายๆ ไม่สามารถนิยามปัญหาได้ จาเป็นต้องแสดงวิธีทาให้ดูหรือแสดงวิธีการแก้ปัญหา ให้ดูเป็นตัวอย่าง 2) ความคิดรวบยอดระดับปานกลาง เป็นบุคคลท่ีมีความสามารถในการคิด

32 เชิงนามธรรมได้มากข้นึ ไดแ้ ก่ อธบิ ายหรือนยิ ามปญั หาได้ และคิดวิธแี กป้ ญั หาทเี่ หมาะสมได้ในจานวน ที่จากัด แต่ยังไม่มีการวางแผนแก้ปัญหาทีช่ ัดเจน 3) ความคดิ รวบยอดระดับสูง เป็นบุคคลท่ีมีลักษณะ เป็นนักคิดที่ละเอียดลออ สามารถคิดเชิงนามธรรมระดับสูง เป็นตัวของตัวเอง เช่ือม่ันในตัวเอง มีความรู้ มคี วามยืดหยุน่ และมคี วามสามารถในการบรู ณาการเร่ืองตา่ งๆ เข้าดว้ ยกันได้ กล่าวโดยสรุป ผู้ใหญ่ที่มีความคิดรวบยอดระดับสูงจะมีลักษณะการเรียนรู้ ทแ่ี ตกต่างกนั จากผู้ใหญท่ ่มี ีความคิดรวบยอดระดับต่า โดยเฉพาะในประเดน็ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และเทคนิควิธีการที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ นอกจากนั้นการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ยังมีความสัมพันธ์ เก่ียวโยงกับการนเิ ทศและผู้นิเทศโดยตรง ดังน้ันหากผู้นิเทศท่ีมีความรู้เก่ียวกับผู้ใหญ่ พัฒนาการของ ผู้ใหญ่และแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ก็จะช่วยให้การนิเทศการสอน ของครู เกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมการเรียนการสอนใหม้ ีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการนิเทศแบบ พัฒนาการของ Glickman at el. (2004 อ้างในวัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 36-37) ท่ีให้ความสาคัญ กบั ครู และการเลือกใช้วิธกี ารนิเทศทเี่ หมาะสมกบั ครูแตล่ ะแบบ ในการนิเทศการสอนความรู้เก่ียวกับผู้ใหญ่และแนวทางการพัฒนาผู้ใหญ่ หากผู้นิเทศมีความรู้ เกี่ยวกับผู้ที่จะทาการช่วยเหลือแนะนาหรือร่วมปฏิบัติงานด้วย ก็จะช่วยทาให้ การดาเนนิ การนเิ ทศเปน็ ไปได้งา่ ย และมีแนวโนม้ จะประสบผลสาเร็จมากกว่าการไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ผใู้ หญ่หรือครูเลย นอกจากนน้ั ยงั เปน็ การสง่ เสรมิ ใหค้ รมู ีความกา้ วหน้า มีการพัฒนาการ และส่งผลถึง ผลการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งวัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 37, 141-142), Glickman at el. (1995 : 80-81), ชิดชงค์ ส.นันทนาเนตร (2549 : 94-96), Wiles, Jon and Joseph B. (2004 : 152 – 153), Knowles, M.S., Holtion and Swanson (1998 : 64-68) ได้สรุปหลักการส่งเสริมและพัฒนาการ เรียนรูข้ องผใู้ หญ่ ดังน้ี 1) ต้องคานึงถึงความต้องการท่ีจะรู้หรือความต้องการเรียนรู้ของผู้ใหญ่แต่ละ บคุ คลเปน็ หลกั 2) การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ อาศัยความรู้เดิมและประสบการณ์ท่ีได้ส่ังสมมาเป็น พน้ื ฐานในการเรียนรู้ 3) สภาพแวดลอ้ มและความพร้อมในการเรียนรู้ ผู้ใหญ่ต้องการความสะดวกสบาย เหมาะสม ตลอดจนได้รบั ความไวว้ างใจและการใหเ้ กยี รติผู้เรียน 4) ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตนเอง ผู้ใหญ่มองตนเองว่าเป็นบุคคลท่ีมี ความรับผดิ ชอบต่อชวี ิตของตนเอง 5) เปูาหมายการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะมีแนวโน้มจะมุ่งเปูาหมายการเรียนรู้ ในเรื่องท่เี กย่ี วข้องกับวถิ ีชีวิตเพ่อื การแกป้ ญั หา 6) การเรียนรู้ของผู้ใหญ่เกดิ จากแรงจงู ใจภายในมากกว่าแรงจูงใจภายนอก จากหลกั การส่งเสรมิ และพัฒนาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ สรุปได้ว่า ผู้ใหญ่มีลาดับของ การเรียนรู้จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ดังน้ันในการนิเทศการสอนจึงต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องการเรียนรู้ของผู้ใหญ่และการพัฒนาการของผู้ใหญ่ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ท่ีเก่ียวกับ การนิเทศ

33 2.1.4 แนวคดิ เกย่ี วกบั การพฒั นารูปแบบ ผู้วจิ ัยได้ศึกษาหลกั การแนวคดิ เก่ยี วกับรูปแบบ และการพฒั นารปู แบบ ดงั นี้ (1) ความหมายของรูปแบบ คาศัพท์ในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกรูปแบบมี 2 คา คือ Model และ Paradigm ซ่ึงสงัด อุทรานันท์ (2530 : 11) ได้อธิบายว่า ท้ัง 2 คาน้ี นาไปใช้แตกต่างกัน โดยคาว่า Model ใช้กับทฤษฎีหรือสิ่งที่เกิดข้ึนคร้ังแรก แต่หากเป็นการนาไปประยุกต์ใช้ หรือดัดแปลงจากของเดิม เรียกว่า Paradigm แตใ่ นปจั จบุ นั นยิ มใช้คาวา่ Model ทงั้ ในกรณีทฤษฎหี รือสิ่งทเ่ี กิดขึ้นครั้งแรก และ ในกรณกี ารนาไปประยุกต์ใช้ คาว่ารูปแบบหรือ Model ตามพจนานกุ รมของ Webster (1970 : 913) ได้ให้ความหมายแบ่งออกเป็น 4 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1) แบบจาลองที่ลอกเลียนแบบย่อส่วนจาก วัตถขุ องจริง ตวั ต้นแบบ รปู แบบแรกเร่ิม แบบสมมุติ หุ่นจาลอง หุ่นขี้ผึ้ง 2) บุคคลหรือสิ่งของที่ได้รับ การยกย่องให้เป็นมาตรฐานของความยอดเย่ียม 3) วิถีทางหรือแบบแผน 4) บุคคลที่เป็นแบบให้แก่ ศิลปิน ช่างภาพ หรือนางแบบแสดงเคร่ืองแต่งกาย คานี้ในภาษาไทยมีคาอ่ืน ๆ ท่ีใช้เรียก ในความหมายเดียวกันกับรูปแบบ เช่น ต้นแบบ ตัวแบบ แบบจาลอง ซึ่งนักวิชาการทางการศึกษา หลายท่านได้อธบิ ายความหมายรปู แบบ ดงั น้ี รูปแบบ หมายถึง แผนผัง แผนภูมิหรือหุ่นจาลอง ซึ่งมีลักษณะการจาลองสภาพ ความเปน็ จริงของปรากฏการณ์ เพ่ืออธิบายความสมั พันธ์ทีซ่ บั ซอ้ นขององค์ประกอบหรือปรากฏการณ์ ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น (สงัด อุทรานันท์ (2530 : 11), วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537 : 41), Stoner, Jame A. F. and Wankel, Charles. (1986 : 12) รูปแบบจึงเป็นรูปธรรมทางความคิดที่เป็นนามธรรม มลี ักษณะเปน็ โครงสรา้ งทางความคิด ที่แสดงองคป์ ระกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบท่ีสาคัญ ของสิ่งที่ศึกษา หรือส่ิงที่บุคคลใช้ในการหาคาตอบ ความรู้ และความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆ วิจิตรา ปัญญาชยั (2543 : 74), ทิศนา แขมมณี (2545 : 1) สรุปว่า รูปแบบหมายถึง โครงสร้างของความคิดท่ีแสดงองค์ประกอบต่างๆ และ ความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบเหลา่ นนั้ (2) ประเภทของรูปแบบ Keeves (1988, อ้างถึงใน วิจิตรา ปัญญาชัย 2543 : 74) จาแนกประเภท รปู แบบทางการศกึ ษาและสงั คมศาสตร์ ออกเปน็ 4 ประเภท ดงั นี้ 1. รูปแบบเชงิ เทยี บเคยี ง (Analogue Model) เปน็ รูปแบบท่ใี ช้ในการอุปมาอปุ ไมย เทียบเคียง ในการอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเป็นนามธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงรูปธรรม โดยใช้ หลักการเทียบเคียงโครงสร้างของรูปแบบให้สอดคล้องกับลักษณะข้อมูลหรือความรู้ที่มีอยู่ ซงึ่ องค์ประกอบของรูปแบบต้องมีความชดั เจน สามารถนาไปทดสอบข้อมลู เชงิ ประจกั ษไ์ ด้ 2. รูปแบบเชิงข้อความ (Semantic Model) เปน็ รปู แบบทใ่ี ช้ภาษาเป็นส่ือ ในการบรรยาย หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาด้วยภาษา แผนภูมิ หรือรูปภาพ เพื่อให้เห็น โครงสร้างทางความคิด องคป์ ระกอบและความสัมพันธข์ ององค์ประกอบของปรากฏการณ์น้ันๆ 3. รูปแบบเชงิ คณติ ศาสตร์ (Mathematical Model) เป็นรูปแบบทใ่ี ช้สมการทาง คณติ ศาสตร์ แสดงความสมั พันธข์ องตัวประกอบหรือตวั แปร

34 4. รูปแบบเชิงสาเหตุ (Causal Model) เปน็ รปู แบบทีพ่ ฒั นามาจากการวิเคราะห์ เส้นทาง (path analysis) ร่วมกบั หลักการสร้างรปู แบบเชงิ ขอ้ ความ โดยอาศัยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องหรือ งานวิจยั ท่ีมมี าแลว้ นามาแสดงความสมั พันธ์เชงิ เหตุและผลระหวา่ งตัวแปร ซง่ึ สามารถทดสอบได้ (3) ลกั ษณะของรปู แบบทด่ี ี Keeves (1988 อ้างถึงใน วิจิตรา ปัญญาชัย, 2543 : 75) ได้สรุปลักษณะของ รปู แบบท่ดี ี ดังนี้ 1. ประกอบดว้ ยความสัมพันธเ์ ชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรแตล่ ะตัว 2. นาไปสูก่ ารทานายผล ซ่ึงสามารถตรวจสอบได้ดว้ ยขอ้ มูลเชิงประจักษ์ 3. อธิบายโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้อย่างชัดเจน สามารถพยากรณ์ และอธิบายปรากฏการณไ์ ด้ดว้ ย 4. นาไปสู่การสร้างแนวคดิ ใหม่ หรือความสัมพนั ธ์ใหม่ในเร่อื งทศี่ ึกษา 5. ลกั ษณะรปู แบบของเรอ่ื งใด ๆ ควรขึ้นกับกรอบทฤษฎีของเร่ืองนั้นๆ (4) แนวคิดการออกแบบและพัฒนารปู แบบ การออกแบบระบบการเรียนการสอน เปน็ กระบวนการหนึง่ ทส่ี าคญั โดยการนา วิธีการเชิงระบบ (System Approach) มาใช้ในการดาเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สูงสดุ ทัง้ นเี้ นอ่ื งจาก“ระบบ”ช่วยใหก้ ารดาเนินงานตา่ งๆ เกิดสัมฤทธิผลตามเปูาหมาย (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 197) ระบบเป็นกลุ่มองค์ประกอบที่เช่ือมโยงซ่ึงกันและกัน มุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน ดังน้ัน การนาวิธีเชิงระบบไปใช้กับการออกแบบจะช่วยทาให้เกิดประสิทธิภาพในการนาไปสู่จุดมุ่งหมาย ทางการศึกษาได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การตรวจสอบข้อมูลที่ปูอนกลับสู่ระบบเป็นการควบคุม การทางานของระบบทาให้การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเกิดข้ึนอย่างคล่องตัวและราบรื่น Kruse (2007 : 1) แบบจาลองท่ีใช้ในการออกแบบทางการศึกษามีอยู่มากมาย ในที่นี้ผู้วิจัยได้ทบทวน แบบจาลองเชงิ ระบบ 2 ระบบ ดังน้ี 1. แบบจาลองการออกแบบระบบการเรียนการสอน The ADDIE Model เปน็ แบบจาลองทีใ่ ชว้ ิธกี ารเชงิ ระบบ ประกอบด้วย ข้นั ตอนตา่ ง ๆ 5 ขน้ั ตอน Kruse (2007 : 1) คอื 1.1 ข้ันตอนการวิเคราะห์ (Analysis) วิเคราะห์ความต้องการจาเป็น และ ขอบเขตในการจดั การเรียนการสอน 1.2 ข้ันตอนการออกแบบ (Design) ระบุกิจกรรมการเรียนรู้ การประเมิน การเรยี นรู้ การเลือกส่ือ และวธิ กี ารจดั การเรียนการสอน 1.3 ขัน้ ตอนการพัฒนา (Development) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนา นวตั กรรมที่ใช้ในการจัดการเรียนร้แู ละพฒั นาเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผล 1.4 ขั้นตอนการนาไปใช้ (Implementation) เป็นการนาแผนการจัด การเรยี นรู้ นวัตกรรม และเครอื่ งมอื วดั ผลการเรียนไปใช้ในสถานการณจ์ รงิ 1.5 ขั้นตอนการประเมินผล (Evaluation) ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ทุกระดบั สาหรบั การนาไปใชใ้ นคร้ังตอ่ ไป

35 แผนภาพท่ี 2.2 แบบจาลอง The ADDIE Model Analysis Design Development Implementation Evaluation ที่มา : Kevin Kruse. Instruction to Instructional Design and the ADDIE Model. (Online). Accessed 19 June 2007. Available from http : www.elearninggurn.com/articles/art1_1.htm. 2. แบบจาลองการออกแบบระบบการสอนของ Dick et al. (2005 : 56) ประกอบด้วยองคป์ ระกอบสาคญั ทัง้ สน้ิ 10 องค์ประกอบ คือ 2.1 กาหนดเปาู หมายการเรียนการสอน (Identify Instructional Goals) ข้ันตอนนีเ้ ป็นขนั้ ตอนแรกของการออกแบบในแบบจาลองนี้ เป็นการกาหนด ว่าต้องการให้นักเรียนสามารถทาอะไรได้บ้างเมื่อเรียนจบบทเรียนแล้ว เปูาหมายการเรียนการสอน อาจได้มาจากบัญชีรายการเปูาหมาย ได้มาจากการวิเคราะห์การปฏิบัติงาน ( Performance analysis) การวิเคราะห์ความต้องการจาเป็น (Needs Assessment) จากประสบการณ์ การปฏิบัตงิ านทพี่ บว่าเปน็ เร่ืองยากสาหรับนักเรยี น หรือเป็นความต้องการในการเรยี นร้ใู นสิ่งใหม่ 2.2 วเิ คราะหก์ ารเรยี นการสอน (Analyze Instruction) หลงั จากการกาหนดเปาู หมายการเรยี นการสอนแล้ว เปน็ ข้นั ทีต่ ้องวิเคราะห์ ว่าจะต้องดาเนินการต่อไปอย่างไร หากกาหนดเปูาหมายไว้เช่นนั้น ด้วยการวิเคราะห์ไปทีละลาดับ ขัน้ ตอน และในขนั้ ตอนสุดทา้ ยของการวิเคราะหก์ ารเรียนการสอน เป็นการกาหนดว่า ทักษะ ความรู้ และเจตคติท่ีรู้จักกันในชื่อว่า พฤติกรรมนาเข้า (Entry Behavior) อะไรบ้างท่ีนักเรียนต้องสามารถ ทาไดก้ ่อนท่ีจะเรม่ิ การเรียนการสอนครัง้ นี้ 2.3 วิเคราะห์นกั เรยี นและบรบิ ท (Analyze learners and Contexts) นอกจากการวิเคราะหเ์ ปูาหมายการเรยี นการสอนแลว้ ยังมกี ารวเิ คราะหท์ ี่ ตอ้ งดาเนินการไปแบบคขู่ นาน คือ การวิเคราะหน์ ักเรยี นและบริบท ทจี่ ะช่วยใหน้ ักเรยี นไดเ้ รยี นรู้ ทักษะและบริบทต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ ลกั ษณะต่าง ๆ เช่น ทักษะ ความชอบ เจตคติของนักเรียนจะถูก กาหนดดว้ ยคณุ ลักษณะของสถาบัน และแหล่งฝึกทักษะ ข้อมูลท่ีสาคัญเหล่าน้ีจะมีผลต่อความสาเร็จ ในแต่ขัน้ ตอนของแบบจาลอง โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในขั้นการพฒั นากลยทุ ธ์การสอน 2.4 เขียนวตั ถุประสงคเ์ ชิงปฏิบัติ (Write Performance Objective) ขน้ั ตอนน้ีข้นึ อยู่กบั ข้ันการวิเคราะห์การเรยี นการสอน และพฤติกรรมนาเขา้ ท่ี ระบุไว้ เปน็ การเขียนระบใุ หช้ ัดเจนว่า นักเรียนจะสามารถทาอะไรไดบ้ ้างในด้านความรู้และการปฏิบัติ เม่ือส้ินสุดการเรียนการสอนแล้ว ข้อความที่เขียนขึ้นนี้ได้มาจากทักษะท่ีระบุไว้ในขั้นการวิเคราะห์ การเรียนการสอน ข้ันตอนนี้จึงเป็นการระบุทักษะท่ีต้องเรียนรู้ เงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติในการพัฒนา ทกั ษะ และเกณฑท์ ่บี ่งช้กี ารบรรลุความสาเรจ็

36 2.5 พัฒนาเคร่ืองมอื ประเมินผล (Develop Assessment Instrument) ข้ันตอนการพัฒนาเครอื่ งมือประเมนิ ผลน้ีขน้ึ อย่กู ับวัตถปุ ระสงค์ทีไ่ ด้กาหนดไว้ เคร่ืองมือทพี่ ฒั นาขนึ้ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดงั กลา่ ว คือสามารถวดั ความสามารถของนักเรียน ได้ตรงตามความต้องการ จุดเน้นหลัก คือ ทักษะท่ีระบุในวัตถุประสงค์กับทักษะท่ีต้องการประเมิน มีความสอดคล้องกนั 2.6 พัฒนากลยทุ ธก์ ารสอน (Develop Instructional Strategy) เปน็ การกาหนดกลยุทธ์ท่ีต้องใชใ้ นการสอน เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ จะเปน็ องค์ประกอบของการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ได้แก่ 1) กิจกรรมก่อนเรียน 2) การนา เสนอเน้ือหา 3) การมีส่วนร่วมของนักเรียน และ 4) การประเมินผลและติดตามกิจกรรมการเรียน กลยุทธ์ควรอยู่ภายใต้ทฤษฎีการเรียนรู้ และผลการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ ลักษณะของสื่อ อุปกรณ์ การเรยี นทตี่ อ้ งใช้ในการจดั การเรียนการสอน เนื้อหาท่ีจะสอน และลักษณะของนักเรียน ส่ิงเหล่าน้ีใช้ สาหรบั การพัฒนา การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และแผนการสร้างปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียน ส่ือการสอน การเรียนรู้โดยใชเ้ ทคโนโลยี เช่น เว็ปไซด์ หรือหนว่ ยการเรยี นต่างๆ 2.7 พฒั นาและเลือกสอื่ การเรียนการสอน (Develop and select Instructional materials) เป็นข้ันตอนของการใช้กลยุทธ์การสอนในการกาหนดการจัดการเรียน การสอน อันประกอบด้วย คู่มือนักเรียน สื่อการเรียนการสอน และการประเมินผล (ส่ือการเรียน การสอน รวมถึงสื่อทุกชนิด เช่น คู่มือครู หน่วยการเรียนรู้ เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ วีดีโอเทป คอมพวิ เตอร์ เว็บเพจ สาหรบั การเรยี นทางไกล ฯลฯ) การตัดสินใจเลือกสื่อข้ึนอยู่กับชนิดของผลลัพธ์ การเรยี นรแู้ ละการเข้าถึงสือ่ เหล่านั้น 2.8 ออกแบบและประเมนิ ผลระหว่างการเรยี นการสอน (Design and Conduct Formation Evaluation of Instruction) หลังจากการออกแบบการสอนเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นขั้นของการประเมินผล โดยการรวบรวมขอ้ มลู ที่ใช้เพอ่ื ระบวุ ิธกี ารปรบั ปรุงการเรียนการสอน การประเมินผลระหวา่ งการเรียน การสอนนี้ แบง่ ออกเป็น 3 ประเภทดว้ ยกนั คอื การประเมินผลรายบุคคล การประเมินกลุ่มย่อย และ การประเมินผลการทดสอบภาคสนาม (Field-trial Evaluation) แต่ละประเภทของการประเมินผล ทาให้ผอู้ อกแบบต้องเตรยี มแบบประเมินท่ีแตกต่างกันออกไปสาหรับใช้ในการปรบั ปรงุ การเรียนรู้ 2.9 ทบทวนการจดั การเรียนการสอน (Revise Instruction) ขั้นตอนสุดทา้ ยของการออกแบบและกระบวนการพฒั นา (และเป็นขั้นแรก ของการเริ่มต้นใหม่ของกระบวนการ) คือ ขั้นการทบทวนการจัดการเรียนการสอน ข้อมูลจาก การประเมนิ เพื่อพัฒนาการเรยี นร้ถู กู สรุปและตคี วามเพ่ือระบปุ ระสบการณ์ที่แตกต่างกันของนักเรียน ในการบรรลุวัตถุประสงค์ และบ่งบอกถึงปัจจัยที่ทาให้การจัดการเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพ เส้นท่ีลากเช่ือมไปยังข้ันตอนต่าง ๆ ซ่ึงข้อมูลจากการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนไม่ได้ นาไปใช้เพียงการปรับปรุงการสอนเท่านั้น แต่ยังใช้สาหรับการตรวจสอบซ้าถึงความเชื่อถือได้ของ การวเิ คราะห์การเรียนการสอน แต่เป็นข้อสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมนาเข้า และคุณลักษณะของ

37 นักเรียนและอาจจาเป็นต่อการตรวจสอบซ้าเกี่ยวกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและการจัด แบบทดสอบ 2.10 ออกแบบและการประเมนิ ผลภายภายหลังการเรยี นการสอน (Design and Conduct Summative Evaluation) แม้วา่ การประเมนิ ผลภายหลงั การเรยี นการสอน เปน็ การรวบรวมการประเมิน ประสิทธิภาพของการเรยี นการสอน แตโ่ ดยทว่ั ไปไมไ่ ดเ้ ป็นสว่ นหนึง่ ของกระบวนการออกแบบข้ันตอน นีเ้ ป็นการประเมนิ ค่า หรือคุณค่าของการเรียนการสอน และปรากฏเฉพาะหลังจากการสอนเสร็จสิ้น และได้ประเมิน เพอ่ื การพฒั นาการเรยี นการสอนในระหว่างกระบวนการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้ว และเปน็ การทบทวนการบรรลุถึงมาตรฐานที่ผอู้ อกแบบได้กาหนดไว้ แผนภาพที่ 2.3 แบบจาลองการออกแบบระบบการเรยี นการสอน แบบจาลองการออกแบบระบบการเรียนการสอน การ การทบทวน วเิ คราะห์ การจดั การเรียน การเรี ยน การสอน การสอน การกาหนด การวิเคราะห์ การเขียน การพฒั นา การพฒั นากล การพฒั นาและ การออกแบบ เป้าหมาย ผเู้ รียนและ วตั ถุ เคร่ืองมือ ยทุ ธก์ ารสอน เลือกสื่อการ และประเมินผล การเรี ยน ประเมินผล การสอน บริบท ประสงค์ เรียน ระหว่าง เชิงปฏบิ ตั ิ การสอน การเรียน การสอน การออกแบบ และ การระเมินผล หลงั การเรียน การสอน ท่ีมา Dick et al., The Systematic of Instruction 6thed. (Boston : Pearson, 2005) 2.1.5 แนวคิดเกีย่ วกับความพึงพอใจ มนี กั วชิ าการหลายท่านได้ใหค้ วามหมายเกย่ี วกับความพึงพอใจ ดงั น้ี ศุภสิริ โสมเกตุ (2544 : 49) ; สุพจน์ ศรนารายณ์ (2548 : 5) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติส่วนบุคคลท่ีมีต่อการทางานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวก

38 ดังนั้นความพอใจในการเรียนรู้ จึงหมายถึง ความรู้สึกพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัติกิจกรรม การเรียนการสอนและต้องการดาเนินกิจกรรมนั้นๆ จนบรรลุผลสาเร็จ อันมีผลสืบเนื่องมาจาก องค์ประกอบหรือปัจจัยอ่ืน ๆ ในการปฏิบัติงาน เช่น ลักษณะงาน สภาพแวดล้อมในการทางาน ประโยชน์ ค่าตอบแทนและอ่นื ๆ ถา้ องคป์ ระกอบต่างๆ สามารถตอบสนองตอ่ ความต้องการของบุคคล ได้เหมาะสมก็จะมีผลให้เกิดความพึงพอใจ บุคคลจะมีความพึงพอใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ความต้องการของแต่ละบุคคล และองคป์ ระกอบท่เี ปน็ ส่งิ จูงใจในท่มี ีอยใู่ นงานนั้นด้วย นอกจากนี้แลว้ Applewhite P.B. (1965 : 6), Good C.V. (1973 : 13), Wolman B.B. (1973 : 384) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจที่เป็นผลมาจากความสนใจ และเป็นความสุขท่ีได้รับจาก สภาพแวดล้อมทางกายภาพในการทางาน ความสุขในการทางานร่วมกับเพื่อน การมีทัศนคติที่ดีต่อ งานและความพอใจเก่ยี วกับรายได้ซง่ึ เป็นเจตคติของบุคคล สรุปความพึงพอใจ คือ สภาพความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติในทางท่ีดีของบุคคลที่มี ต่อการใหบ้ รกิ ารด้านใดดา้ นหน่ึง เป็นพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ท่ีเกิดขึ้นจากภายในจิตใจ ของบุคคล ได้แก่ ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อการได้รับส่ิงท่ีต้องการ มีความพอใจ มีความกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะปฏบิ ตั กิ ิจกรรมอยา่ งต่อเนอ่ื ง เพอ่ื ใหก้ ารดาเนนิ กิจกรรมนั้นบรรลผุ ลสาเร็จ 2.2 นโยบายและยทุ ธศาสตร์ 2.2.1 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทาแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) สาหรับใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศไทย ในระยะ 5 ปี ซงึ่ เป็นการแปลงยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเตรียม ความพร้อมและ วางรากฐานในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความมั่นคง ม่ังคง่ั ย่ังยืน ดว้ ยการพฒั นาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การพฒั นาประเทศในระยะแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 -2564) ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย 10 ยุทธศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 6 ยทุ ธศาสตร์ สรุปได้ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ให้ความสาคัญกับการ วางรากฐาน การพัฒนาคนให้มีความ สมบูรณ์เร่ิมต้ังแต่กลุ่มเด็กปฐมวัยที่ต้องพัฒนาให้มีสุขภาพกาย และใจท่ดี ี มที ักษะทางสมอง ทักษะการเรียนรู้ และทกั ษะชีวิตเพื่อให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่กับ การพฒั นาคนไทยในทกุ ชว่ งวยั ให้เป็นคนดีมสี ุขภาวะที่ดมี ีคุณธรรมจริยธรรมมีระเบียบวินัยมีจิตสานึก ท่ีดีต่อสังคมส่วนรวมมีทักษะความรู้และความสามารถปรับตัวเท่าทันกับการเปล่ียนแปลงรอบตัว ที่รวดเร็ว บนพื้นฐานของการมีสถาบันทางสังคมที่เข้มแข็งทั้งสถาบันครอบครัวสถาบันการศึกษา สถาบนั ศาสนาสถาบนั ชุมชน และภาคเอกชนที่ร่วมกนั พัฒนาทุนมนุษย์ใหม้ ีคณุ ภาพสูงอีกท้งั ยังเป็นทุน ทางสงั คมสาคญั ในการขบั เคลอ่ื นการพฒั นาประเทศ ยทุ ธศาสตร์ท่ี 2 การสร้างความเป็นธรรมลดความเหล่ือมล้าในสังคม ให้ความสาคัญ กับการดาเนินการยกระดับคุณภาพบริการทางสังคมให้ทั่วถึงโดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านการศึกษาและ สาธารณสขุ รวมทัง้ การปิดชอ่ งว่างการคมุ้ ครองทางสงั คมในประเทศไทยซ่งึ เป็นการดาเนินงานต่อเนื่อง

39 จากท่ีได้ขับเคล่ือนและผลักดันในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 11 และมุ่งเน้นมากขึ้นในเรื่องการเพิ่ม ทกั ษะแรงงานและการใช้นโยบายแรงงานท่ีสนับสนุนการเพ่ิมผลิตภาพแรงงานและเสริมสร้างรายได้ สูงข้ึน และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างย่ิงการสนับสนุนในเรื่องการสร้าง อาชีพ รายได้และให้ความช่วยเหลือท่ีเช่ือมโยง การเพิ่มผลิตภาพสาหรับประชากรกลุ่มร้อยละ 40 รายได้ต่าสุด ผดู้ อ้ ยโอกาส สตรีและผูส้ งู อายุ อาทกิ ารสนบั สนนุ ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาด ย่อม วสิ าหกิจชุมชนและวสิ าหกิจเพอื่ สงั คม การพัฒนาองค์กรการเงิน ฐานรากและการเข้าถึงเงินทุน เพือ่ สรา้ งอาชีพ และการสนบั สนนุ การเข้าถงึ ปจั จัยการผลติ คณุ ภาพดที ี่ราคาเป็นธรรม เป็นต้น และใน ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณเชิงพ้ืนท่ีและบูรณาการเพ่ือการลดความ เหลือ่ มล้า ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประเด็นท้าทายที่ต้องเร่งดาเนินการในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้แก่ การสร้างความม่ันคงของ ฐานทรัพยากรธรรมชาติและยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพ่ือสนับสนุนการเติบโตท่ีเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชวี ิตของประชาชน เร่งแก้ไขปัญหาวิกฤติส่ิงแวดล้อมเพื่อลดมลพิษที่เกิดจาก การผลิต และการบริโภคพัฒนาระบบบริหารจัดการท่ีโปร่งใสเป็นธรรม ส่งเสริมการผลิตและการ บริโภคที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมเป็นวงกว้างมากขึ้น ต้องเร่งเตรียมความพร้อมในลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถ ในการปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้ง บรหิ ารจดั การเพื่อลดความเสย่ี งดา้ นภัยพบิ ตั ทิ างธรรมชาติ ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การเสริมสร้างความม่ันคงแห่งชาติเพ่ือการพัฒนาประเทศ สู่ความ ม่ังค่งั และยั่งยืน ให้ความสาคัญต่อการฟ้ืนฟูพ้ืนฐานด้านความม่ันคงท่ีเป็นปัจจัยสาคัญต่อการพัฒนา ทางเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกนั ในสังคมอยา่ งสันติขอ ผู้มีความเห็นต่าง ทางความคิดและอุดมการณ์บนพ้ืนฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขและการเตรียม การรับมือกับภัยคุกคามข้ามชาติซ่ึงจะส่งผลกระทบอย่าง มีนัยยะสาคัญ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะ 20 ปีข้างหน้า ยุทธศาสตร์ท่ี 6 การบริหารจัดการในภาครัฐการปูองกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และธรรมาภิบาลในสงั คมไทย เปน็ ชว่ งเวลาสาคญั ทีต่ อ้ งเร่งปฏิรูป การบริหารจัดการภาครัฐให้เกิดผล สัมฤทธอ์ิ ย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นปัจจัยสนับสนุนสาคัญท่ีจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาประเทศในทุกด้าน ให้ประสบผลสาเร็จบรรลเุ ปูาหมาย ทั้งการบริหารจัดการภาครัฐให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ รับผิดชอบ ตรวจสอบได้อย่างเป็นธรรม และประชาชนมีส่วนร่วม มีการกระจายอานาจ และแบ่งภารกิจ รับผิดชอบทเ่ี หมาะสมระหวา่ งสว่ นกลาง ภมู ิภาค และทอ้ งถ่ิน และวางพ้ืนฐานเพ่ือให้บรรลุตามกรอบ เปูาหมายอนาคตในปี 2579 ยุทธศาสตร์ที่ 8 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิจัย และนวัตกรรมให้ ความสาคัญกับการใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผลงานวิจัยและพัฒนา ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์อย่างเข้มข้นท้ังในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชา สังคม รวมทั้งให้ความสาคัญกับการพัฒนาสภาวะแวดล้อมหรือปัจจัยพื้นฐานท่ีเอื้ออานวยท้ังการ ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากรวิจัย โครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีและการบริหารจดั การเพ่ือช่วยขับเคลอื่ นการพฒั นาประเทศให้กา้ วสูเ่ ปูาหมายดงั กล่าว

40 2.2.2 นโยบายความมนั่ คงแหง่ ชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติกาหนดขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการดาเนินการด้านความ มั่นคงของภาครฐั ในระยะ 7 ปี แบง่ เป็น 2 ส่วน คอื ส่วนที่ 1 นโยบายเสริมสร้างความม่ันคงที่เป็นแก่นหลักของชาติ สว่ นท่ี 2 นโยบายความม่ันคงแห่งชาติท่ัวไป โดยกาหนดกรอบความคิดหลักจากการ กาหนดนโยบายไดค้ านงึ ถงึ คา่ นิยมหลกั ของชาติ 12 ประการดงั นี้ วสิ ยั ทัศน์ “ชาติมเี สถียรภาพและเปน็ ปกึ แผน่ ประชาชนมคี วามม่นั คงในชวี ติ ประเทศ มีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองปลอดภัยจากภัยคุกคามข้ามพรมแดน พร้อมเผชิญวิกฤติการณ์มีบทบาท เชิงรุกในประชาคมอาเซียนและดาเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างมีดุลยภาพ” นโยบาย ความม่นั คงท่เี กย่ี วข้องกบั สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน มดี ังนี้ ส่วนที่ 1 นโยบายสาคัญเพื่อเสริมสร้างความม่ันคงท่ีเป็นแก่นหลักของชาติ กระทรวงศึกษาธิการเปน็ หนว่ ยงานหลักเกี่ยวข้องใน 3 นโยบาย นโยบายที่ 1 เสรมิ สร้างความม่นั คงของสถาบันหลกั ของชาติและการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้อง เกย่ี วกับสถาบนั ชาติศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ นโยบายที่ 2 สร้างความเป็นธรรม ความปรองดอง และความสมานฉันท์ในชาติ โดยการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความรัก ความภาคภมู ใิ จในความเปน็ ชาติและเปน็ สงั คมพหวุ ฒั นธรรมท่ีเข้มแขง้ นโยบายท่ี 3 ปอู งกนั และแกไ้ ขการกอ่ ความไมส่ งบในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ โดยการเสริมสร้างสันติสุขและการพัฒนาอย่างย่ังยืนโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาค ส่วนเป็นพลังในการเข้าถึงประชาชนโดยในส่วนของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน มียุทธศาสตรท์ ่ีเกี่ยวข้องมีดงั น้ี 3.1 ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ได้แก่ 1) การเสริมสร้างความม่ันคงของสถาบัน หลักของชาติ 2) การสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ 3) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 4) การปูองกัน ปราบปราม และบาบดั รกั ษาผู้ตดิ ยาเสพตดิ 3.2 ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้แก่ 1) การพฒั นาเศรษฐกิจดจิ ิทลั 2) การสง่ เสริมการวจิ ยั และนวัตกรรม 3.3 ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน ได้แก่ 1) การพัฒนา ศักยภาพคนตามช่วงวยั 2) การยกระดับคุณภาพการศกึ ษาและการเรยี นรตู้ ลอดชีวิต 3.4 ยทุ ธศาสตรด์ ้านการแก้ไขปญั หาความยากจน ลดความเหล่ือมล้าและสร้างการ เตบิ โตจากภายใน ได้แก่ การส่งเสรมิ การดาเนนิ งานตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3.5 ยุทธศาสตร์ด้านการจัดการน้าและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตร กับสงิ่ แวดล้อมอยา่ งยง่ั ยืน ได้แก่ การบริหารจัดการขยะและสงิ่ แวดลอ้ ม 3.6 ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ การปูองกนั ปราบปรามการทุจรติ และประพฤติมชิ อบ

41 2.2.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานักงานเลขาธิการ สภาการศกึ ษา สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้จัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 เพ่ือใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวสาหรับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศ ได้นาไปใช้เป็นกรอบและแนวทางการพัฒนาการศกึ ษาและเรียนรู้สาหรับพลเมืองทุกช่วงวัยต้ังแต่แรก เกิดจนตลอดชีวิต โดยจดุ มุ่งหมายที่สาคัญของแผน คือ การมุ่งเน้นการประกันโอกาสและความเสมอ ภาคทางการศึกษาและการศึกษาเพื่อการมีงานทาและสร้างงานได้ภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศและของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์รวมท้ังความเป็นพลวัตร เพ่ือให้ประเทศไทยสามารถ ก้าวข้ามกับดักประเทศท่ีมีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ซ่ึงภายใต้กรอบแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ได้กาหนดสาระสาคัญสาหรับบรรลุ เปูาหมายของการพัฒนาการศึกษาใน 5 ประการ ได้แก่การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Access) ความเทา่ เทียมทางการศึกษา (Equity) คุณภาพการศึกษา (Quality) ประสิทธิภาพ(Efficiency) และ ตอบโจทย์บรบิ ทที่เปลีย่ นแปลง (Relevancy) ในระยะ 15 ปขี ้างหนา้ ยุทธศาสตร์ ท่เี กย่ี วขอ้ ง คือ 1. การจดั การศึกษาเพอ่ื ความมน่ั คงของสังคมและประเทศชาติ 2. การผลิตและพัฒนากาลังคน การวิจัย และนวัตกรรม เพ่ือสร้างขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ 3. การพัฒนาศกั ยภาพคนทกุ ชว่ งวัย และการสร้างสังคมแหง่ การเรยี นรู้ 4. การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทยี มทางการศกึ ษา 5. การจดั การศึกษาเพื่อสรา้ งเสริมคณุ ภาพชีวติ ทเ่ี ปน็ มติ รกบั สงิ่ แวดล้อม 6. การพฒั นาประสิทธิภาพของระบบบรหิ ารจัดการศึกษา 2.2.4 แผนพัฒนาการศกึ ษาของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ได้จดั ทาแผนพัฒนาการศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยได้น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบ ในการดาเนินงาน และสอดคล้องกบั ทศิ ทางการพัฒนาประเทศในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) โดยมีเปูาหมายหลักของแผนพัฒนาการศึกษา ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) 1. คุณภาพการศึกษาของไทยดีข้ึน คนไทยมีคุณธรรมจริยธรรม มีภูมิคุ้มกันต่อการ เปล่ยี นแปลง และการพัฒนาประเทศในอนาคต 2. กาลงั คนไดร้ บั การผลติ และพฒั นา เพ่อื เสริมสร้างศักยภาพการแขง่ ขนั ของประเทศ 3. มอี งค์ความรูเ้ ทคโนโลยีนวัตกรรม สนับสนุนการพฒั นาประเทศอย่างย่งั ยนื 4. คนไทยได้รับโอกาสในเรยี นรู้อยา่ งต่อเน่อื งตลอดชวี ิต 5. ระบบบริหารจัดการการศึกษามีประสทิ ธิภาพ และทกุ ภาคส่วนมีส่วนร่วมตามหลัก ธรรมาภิบาล

42 ตัวช้ีวดั ตามเปาู หมายหลัก 1. ผลคะแนนสอบ PISA ในแต่ละวชิ า 2. ร้อยละที่เพม่ิ ขึน้ ของคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาหลักระดับการศึกษา ข้นั พืน้ ฐานจากการทดสอบระดับชาติ 3. ร้อยละคะแนนเฉล่ียของผ้เู รียนทีม่ ีคณุ ธรรมจริยธรรม 4. ร้อยละคะแนนเฉลยี่ ของผเู้ รียนทกุ ระดบั การศึกษามคี วามเป็นพลเมอื งและพลโลก 5. สัดสว่ นผู้เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายประเภทอาชวี ศึกษาต่อสายสามญั 6. จานวนปีการศกึ ษาเฉล่ียของคนไทยอายุ 15 - 59 ปี 7. ร้อยละของกาลังแรงงานทีส่ าเรจ็ การศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ข้นึ ไป 8. ร้อยละของนกั เรียนตอ่ ประชากรวยั เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อายุ15 - 17 ปี 9. สัดสว่ นผูเ้ รียนในสถานศึกษาทกุ ระดบั ของรัฐต่อเอกชน 10. จานวนภาคเี ครอื ขา่ ยทเี่ ข้ามามีส่วนรว่ มในการจดั /พฒั นาและส่งเสรมิ การศกึ ษา ยทุ ธศาสตร์ 1. ยุทธศาสตร์พัฒนาหลักสตู ร กระบวนการเรยี นการสอน การวัดและประเมนิ ผล 2. ยทุ ธศาสตรผ์ ลิต พฒั นาครคู ณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศึกษา 3. ยทุ ธศาสตรผ์ ลติ และพัฒนากาลังคน รวมทั้งงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการ ของการพฒั นาประเทศ 4. ยุทธศาสตร์ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่าง ต่อเนือ่ งตลอดชวี ติ 5. ยุทธศาสตรส์ ง่ เสริมและพัฒนาระบบเทคโนโลยดี จิ ิทัลเพอื่ การศึกษา 6. ยุทธศาสตรพ์ ฒั นาระบบบรหิ ารจดั การและส่งเสริมให้ทกุ ภาคสว่ นมสี ว่ นร่วมในการ จัดการศกึ ษา 2.2.5 แผนปฏิบัติราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นโยบายและยุทธศาสตร์ทางด้านการพัฒนาคุณการศึกษา ของสานัก งาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน แนวทางหลักการดาเนินงาน และโครงการสาคัญของ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โดยยดึ กรอบยทุ ธศาสตรช์ าติ 6 ดา้ น ที่เป็นจุดเน้นสาคัญและเกี่ยวข้องกับหน่วย ศึกษานเิ ทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ดังนี้ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 ด้านการจัดการศกึ ษาเพอ่ื ความมนั่ คง นโยบายท่ี 1 ดา้ นการจัดการศึกษาเพอื่ ความมนั่ คง กลยุทธ์ ข้อที่ 1 เสริมสร้างความม่ันคงของสถาบันหลักและการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข แนวทาง น้อมนาแนวพระราชดาริสืบสานพระราชปณิธานและพระบรมราโชบาย ด้านการศกึ ษา หรอื “ศาสตรพ์ ระราชา” มาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรอู้ ยา่ งยง่ั ยืน ตัวชี้วัดความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศึกษามีการบูรณาการ “ศาสตร์ พระราชา” มาใชใ้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้อยา่ งย่งั ยืน

43 กลยุทธ์ ข้อที่ 3 พัฒนาการจัดการศึกษาโรงเรียนในเขตพ้ืนท่ีพิเศษให้เหมาะสมตาม บริบทของพน้ื ที่ แนวทาง พัฒนาการจัดการศึกษาโรงเรียนในเขตพ้ืนท่ีพิเศษให้เหมาะสมตามบริบท ของพืน้ ท่ี เช่น เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกจิ จงั หวัดชายแดนภาคใต้ เขตระเบยี งเศรษฐกจิ เขตสามเหล่ียม มน่ั คง มั่งคัง่ ยง่ั ยืน เขตพนื้ ที่ชายแดน เขตพัฒนาเศรษฐกจิ พเิ ศษ ตวั ชวี้ ดั ความสาเรจ็ ร้อยละ 80 ของสถานศึกษาในเขตพน้ื ทพ่ี เิ ศษแต่ละประเภทมีการ พัฒนาการจัดการศกึ ษาตามบรบิ ทของพ้นื ที่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพผู้เรียน และส่งเสริมการจัดการศึกษาเพ่ือสร้าง ขดี ความสามารถในการแขง่ ขัน นโยบายท่ี 2 ด้านพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และส่งเสริมการจัดการศึกษาเพ่ือสร้าง ขีดความสามารถในการแขง่ ขนั กลยทุ ธ์ ข้อที่ 1 เสรมิ สร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาผู้เรียนอย่างมีคุณภาพด้วยการ ปรับหลักสตู ร การวดั และประเมนิ ผลทเี่ หมาะสม โดยมแี นวทาง ดงั น้ี 1.1 ปรับปรุงหลักสูตรในระดับปฐมวัย และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพและจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร ตาม ความจาเป็นและความต้องการของผเู้ รยี น ชมุ ชน ท้องถิน่ ละสังคม 1.2 การพฒั นา ปรบั ปรุงหลกั สตู ร การเรียนการสอน คือ 1) หลักสูตรมีความยืดหยุ่น ชุมชนท้องถิ่นสามารถออกแบบหลักสูตรเองได้ 2) ปรับปรุงตัวชี้วัด 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ (คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และสาระภูมศิ าสตร์) ตัวช้ีวัดความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศึกษานาหลักสูตรระดับปฐมวัยและ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน และนาไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพ และร้อยละ 100 ของสถานศึกษาจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตร ตามความจาเป็นและความต้องการของผู้เรียน ชมุ ชน ท้องถ่ิน และสังคม กลยุทธท์ ี่ 2 พฒั นาคุณภาพกระบวนการเรยี นรู้ โดยมแี นวทาง ดงั นี้ ส่งเสริมการจัดการการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมปฏิบัติจริง (Active Learning) เน้นทักษะกระบวนการให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา และคิดสร้างสรรค์ ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทง้ั ในและนอกหอ้ งเรยี น ตัวช้ีวัดความสาเร็จ ร้อยละ 70 ของผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา และคดิ สร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมการปฏบิ ตั จิ รงิ (Active Learning) กลยทุ ธท์ ่ี 3 สรา้ งขีดความสามารถในการแขง่ ขัน ส่ง เสริ มการ เรี ยนรู้ เชิ งบู ร ณาก าร แบบสหวิ ทยาก ร เช่ น สะเต็ มศึ ก ษา (ScienceTechnology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) เพ่ือพัฒนา กระบวนการคิดและการสร้างสรรคน์ วัตกรรม เพ่ือสรา้ งมูลค่าเพ่มิ สอดคลอ้ งกบั ประเทศไทย 4.0 ตัวชว้ี ัดความสาเรจ็ ร้อยละ 100 ของสถานศึกษาที่จัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็ม ศึกษา STEM Education) มนี วตั กรรมเพ่อื สรา้ งมูลค่าเพิ่มสอดคล้องกับประเทศไทย 4.0

44 ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 3 ดา้ นการส่งเสรมิ พฒั นาครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา นโยบายท่ี 3 สง่ เสรมิ สนับสนุนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา กลยทุ ธ์ ข้อท่ี 1 พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถจัดการเรียนรู้อย่างมี คุณภาพในรปู แบบทห่ี ลากหลาย พัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษาใหส้ ามารถจัดการเรยี นรอู้ ย่างมีคณุ ภาพทั้งระบบ เชื่อมโยงกับการเล่ือนวิทยฐานะในรูปแบบท่ีหลากหลาย เช่น TEPE Online ( Teachers and Educational Personnel’s Enhancement Based on Mission and Functional Areas as Majors) ชุมชนแหง่ การเรยี นรู้ วิชาชีพ (Professional Learning community : PLC ) การเรียนรู้ ผ่านกจิ กรรมการปฏิบตั ิจรงิ (Active learning) ตวั ชี้วดั ความสาเร็จ ร้อยละ 80 ของครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการพัฒนา ผา่ นส่ือเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการส่ือสารที่ทันสมัย และร้อยละ 80 ของครูและบุคลากรทางการ ศกึ ษาไดร้ ับการพัฒนาการจดั การเรียนรู้อย่างมคี ุณภาพในรูปแบบท่หี ลากหลาย ดังน้ันเพือ่ ให้งานนโยบายสาคญั แห่งรัฐ กระทรวงศึกษาธกิ าร และสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปตัวช้ีวัดความสาเร็จ กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 จึงขับเคลื่อนการดาเนินงาน โดยใช้ กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ทั้งในดา้ นการบรหิ ารจดั การ และการจัดการเรียนรู้ ของสถานศกึ ษา 2.3 การพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษาและการนาหลกั สูตรสถานศกึ ษาไปใชใ้ นการพฒั นาผู้เรยี น กระทรวงศึกษาธกิ ารไดป้ ระกาศใชห้ ลักสตู รการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็น หลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกาหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเปูาหมายและ กรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมี ขีด ความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) พร้อมกันนี้ได้ปรับ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ท่ีมุ่งเน้นการกระจายอานาจ ทางการศึกษาให้ท้องถ่ินและสถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้ สอดคล้องกบั สภาพ และความตอ้ งการของท้องถ่นิ (สานกั นายกรฐั มนตร,ี 2542) จากการวิจัย และติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตรในช่วงระยะ 6 ปีที่ผ่านมา (สานัก วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2546 ก., 2546 ข., 2548 ก., 2548 ข.; สานักงานเลขาธิการสภา การศึกษา, 2547; สานักผู้ตรวจราชการและติดตามประเมินผล, 2548; สุวิมล ว่องวาณิช และ นงลักษณ์ วิรัชชัย, 2547; Nutravong, 2002; Kittisunthorn, 2003) พบว่า หลักสูตรการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 มีจุดดีหลายประการ เช่น ช่วยส่งเสริมการกระจายอานาจทาง การศึกษาทาให้ท้องถ่ินและสถานศึกษามีส่วนร่วมและมีบทบาทสาคัญในการพัฒนาหลั กสูตร ใหส้ อดคล้องกบั ความต้องการของท้องถน่ิ และมแี นวคิดและหลกั การในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียน แบบองค์รวมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าวยังได้สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นที่เป็น ปัญหาและความไม่ชัดเจนของหลักสูตรหลายประการท้ังในส่วนของเอกสารหลักสูตร กระบวนการ

45 นาหลกั สตู รสู่การปฏิบัติ และผลผลิตท่ีเกิดจากการใช้หลักสูตร ได้แก่ ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติ ในระดบั สถานศกึ ษาในการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กาหนดสาระและผลการ เรียนรู้ท่ีคาดหวังไว้มาก ทาให้เกิดปัญหาหลักสูตรแน่น การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน สง่ ผลตอ่ ปญั หาการจดั ทาเอกสารหลกั ฐานทางการศึกษาและการเทียบโอนผลการเรียน รวมทั้งปัญหา คุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะที่พึงประสงค์อันยังไม่เป็น ท่นี ่าพอใจ นอกจากน้ันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 ( พ.ศ. 2550 – 2554) ได้ชี้ให้เห็นถึงความจาเป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทยให้ มี คุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และ ศีลธรรม สามารถก้าวทนั การเปลย่ี นแปลงเพื่อนาไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนา คนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพ้ืนฐานจิตใจท่ีดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะและความรู้พื้นฐานที่จาเป็นในการดารงชีวิต อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน (สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2549) ซ่ึงแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียน มีคุณธรรม รกั ความเปน็ ไทย ใหม้ ที กั ษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถ ทางานร่วมกับผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธิการ , 2551) จากข้อค้นพบในการศึกษาวิจัยและติดตามผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้น ฐาน พุทธศักราช 2544 ที่ผ่านมา ประกอบกับข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 เก่ียวกับแนวทางการพัฒนาคนในสังคมไทย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาเยาวชนสู่ศตวรรษที่ 21 จึงเกิดการทบทวนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อนาไปสู่การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ีมีความ เหมาะสม ชัดเจน ท้ังเปูาหมายของหลักสูตรในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการนา หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นท่ีการศึกษาและสถานศึกษา โดยได้มีการกาหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด ท่ีชัดเจน เพื่อใช้เป็นทิศทางในการจัดทาหลักสูตร การเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากน้ัน ได้กาหนดโครงสร้างเวลาเรียนขั้นต่าของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละชั้นปีไว้ในหลักสูตร แกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพ่ิมเติมเวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลผู้เรียน เกณฑ์การจบการศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดง หลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และมีความชัดเจนต่อการนาไป ปฏบิ ัติ เอกสารหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ จัดทาขึ้นสาหรับท้องถิ่น และสถานศึกษาได้นาไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทาหลักสูตรสถานศึก ษาและจัดการเรียน การสอนเพอื่ พัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทกั ษะท่จี าเปน็ สาหรบั การดารงชวี ิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา ตนเองอย่างต่อเนือ่ งตลอดชีวติ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีกาหนดไว้ในเอกสารน้ี ช่วยทาให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ในทุกระดับเห็นผลคาดหวังท่ีต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนตลอดแนว ซ่ึงจะ

46 สามารถช่วยใหห้ นว่ ยงานที่เก่ียวข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่าง มั่นใจ ทาให้การจัดทาหลกั สูตรในระดบั สถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพย่ิงข้ึน อีกทั้งยัง ช่วยให้เกิดความชัดเจนเร่ืองการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอน ระหวา่ งสถานศกึ ษา ดังนั้นในการพฒั นาหลักสูตรในทกุ ระดบั ตัง้ แตร่ ะดับชาตจิ นกระท่ังถึงสถานศึกษา จะ ต้อง สะ ท้อน คุณภาพ ต ามมาตร ฐาน ก าร เรี ยน รู้ และ ตัว ชี้วั ดที่ก า หน ดไ ว้ ใน หลัก สูตร แก น ก ลา ง การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผู้เรียน ทุกกลมุ่ เปูาหมายในระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน การจัดหลักสูตร การ ศึกษาขั้นพื้ น ฐาน จะ ประ สบความสาเร็จต ามเปูาหมายท่ีคาดหวัง ไ ด้ ทุกฝุายท่ีเก่ียวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทางาน อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง ในการวางแผน ดาเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจน ปรับปรงุ แกไ้ ข เพ่ือพัฒนาเยาวชนของชาตไิ ปส่คู ณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ท่กี าหนดไว้ วิสยั ทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยึดมัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ ทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมงุ่ เนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั บนพน้ื ฐานความเชอ่ื วา่ ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ หลกั การ หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน มีหลักการทส่ี าคัญ ดงั น้ี 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเปูาหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพ้ืนฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเปน็ สากล 2. เปน็ หลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมคี ุณภาพ 3. เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาทสี่ นองการกระจายอานาจ ให้สงั คมมีสว่ นร่วมในการจัดการศึกษา ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพและความต้องการของทอ้ งถ่นิ 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีมีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด การเรยี นรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสาคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลมุ่ เปูาหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์