Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการนิเทศ การจัดการศึกษาทางไกล DLTV & DLIT สพป.ลำปาง เขต 1

คู่มือการนิเทศ การจัดการศึกษาทางไกล DLTV & DLIT สพป.ลำปาง เขต 1

Published by lpg1, 2020-06-22 22:58:36

Description: คู่มือการนิเทศ การจัดการศึกษาทางไกล DLTV & DLIT สพป.ลำปาง เขต 1

Search

Read the Text Version

1

ก2 คานา คู่มือการนิเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เล่มน้ีจัดทาขึ้น เพ่ือให้คณะกรรมการ และอนุกรรมการ ก.ต.ป.น. ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้อง นาไปเป็นเคร่ืองมือนิเทศ ติดตามงาน นโยบายสาคัญแหง่ รฐั กระทรวงศึกษาธิการ และสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานเป็นไป ตามตวั ช้วี ัดความสาเร็จ ทั้งในดา้ นการบรหิ ารจดั การ และการจดั การเรียนรู้ของสถานศึกษา สานักงาน เขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือการนิเทศเล่มนี้ คงจะมีประโยชน์ในการนามาวางแผน/ ออกแบบ กาหนดทิศทางการนิเทศ ติดตามสถานศึกษาให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพตาม กระบวนการนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เพื่อขับเคล่ือนนโยบายสาคัญต่างๆ ให้บรรลุตัวช้ีวัด ความสาเร็จในแต่ละนโยบาย อันที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสังกัด ต่อไป (ทานตะวัน มะโนพงศ์พนั ธ์) ศกึ ษานิเทศก์ สพป.ลาปาง เขต 1

ข3 สารบัญ เรอ่ื ง หน้า คานา ก สารบัญ ข ส่วนที่ 1 บทนา………………………………………………………………………..………………………….………… 1 ทม่ี าและความสาคญั ของปัญหา……………………………………………………………………………… 1 วตั ถุประสงคข์ องการนิเทศ................................................................................................ 3 เปาู หมายของการนิเทศ..................................................................................................... 3 ส่วนที่ 2 เอกสารทเ่ี กี่ยวข้อง.......................………………………………………………………..……………. 4 2.1 ทฤษฎี และแนวคิดที่เกี่ยวข้อง............................................................................ 5 2.1.1 การนเิ ทศการสอน…………………………………………………………………………. 5 (1) ความหมายของการนิเทศการสอน………………………………………….. 5 (2) จดุ มุ่งหมายของการนเิ ทศการสอน………………………………………….. 6 (3) ความจาเป็นนเิ ทศการสอน…………………………………………………….. 7 (4) กิจกรรมการนเิ ทศการสอน............................................................ 8 (5) ทักษะการนิเทศการสอน……………………………………………………….. 11 (6) กระบวนการการนเิ ทศการสอน………………………………………………. 11 (7) เทคนิคการสังเกตการสอน……………………………………………………… 20 2.1.2 การนเิ ทศแบบโคช้ ……………………………………………………………………….. 24 การโค้ชเพอื่ เนน้ นกั เรียนเปน็ สาคญั (Student Centered Coaching) 24 2.1.3 ทฤษฎีเกย่ี วกับการนิเทศการสอน…………………………………………………… 26 (1) ทฤษฎีการเปล่ยี นแปลง.................................................................. 26 (2) ทฤษฎแี รงจูงใจ............................................................................... 27 (3) ทฤษฎีการส่ือสาร........................................................................... 28 (4) ทฤษฎมี นุษย์สัมพันธ์...................................................................... 28 (5) ทฤษฎีภาวะผู้นา............................................................................ 29 (6) ทฤษฎีการเรยี นรูข้ องผใู้ หญ.่ ........................................................... 30

ค4 สารบญั (ตอ่ ) เรอ่ื ง หน้า 2.1.4 แนวคิดเกย่ี วกับการพฒั นารูปแบบ…………………………………………………. 31 (1) ความหมายของรปู แบบ………………………………………………………… 31 (2) ประเภทของรูปแบบ...................................................................... 31 (3) ลกั ษณะของรูปแบบที่ด.ี ................................................................ 32 (4) แนวคดิ การออกแบบและพัฒนารปู แบบ........................................ 32 2.1.5 การจัดการศึกษาทางไกล............................................................................ 36 ... 1) ความหมายการศึกษาทางไกล.............................................................36 2) ความสาคญั การจัดการศกึ ษาทางไกล............................................. 36 3) ปัจจัยสู่ความสาเร็จ........................................................................... 36 2.1.6 แนวคิดเกยี่ วกบั ความพึงพอใจ…………………………………………………………. 39 2.2 นโยบายและยทุ ธศาสตร์……………………………………….……………………………………... 40 2.2.1 แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)………………………………………………….…………………. 40 2.2.2 นโยบายความม่ันคงแหง่ ชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) …………..……..………… 41 2.2.3 แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานกั งาน เลขาธิการสภาการศกึ ษา…………………………………………………………………. 42 2.2.4 แผนพฒั นาการศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)……………………………………………………….……………. 43 2.2.5 แผนปฏบิ ตั ิราชการประจาปงี บประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน…………………………………………………. 44 สว่ นท่ี 3 แนวทางการนิเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา……………….……………………….…….47 การนิเทศการจัดการเรียนการสอนทางไกลโดยใช้ DLTV และDLIT…………………………..…. 49 บรรณานุกรม................................................................................................................... ............ 51 ภาคผนวก................................................................................................................................. 54 ภาคผนวก ก เคร่ืองมือนิเทศ DLTV............................................................................... 55 ภาคผนวก ข เครอ่ื งมอื นิเทศ DLIT............................................................................... 62 คณะผจู้ ัดทา.................................................................................................................. ............ 72

1 บทท่ี 1 บทนา ทม่ี าและความสาคญั ของปัญหา การนิเทศการศึกษา ถือได้ว่าเป็นงานท่ีมีความสาคัญในการจัดและบริหารสถานศึกษา เน่ืองจากการนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการบริหาร ชี้แนะ ให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือกับ ครูผู้สอนและบุคคลที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษา เพ่ือปรับปรุงการเรียนการสอนของครู และเพ่ิม คุณภาพของผู้เรียนให้เป็นไปตามเปูาหมายของการศึกษา เพราะการนิเทศการศึกษามีจุดมุ่งหมาย คือ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษาของผ้เู รยี น โดยปฏบิ ัติการผ่านครูผสู้ อน เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพสูงขึ้น ท่ีเกิดจากการพัฒนางานให้ได้ผลดีและเป็นการพัฒนากระบวนการทางานมีการประสานสัมพันธ์อันดี งามระหว่างผู้ปฏิบัติงาน ลดความขัดแย้งให้ได้มากท่ีสุด อีกทั้งยังเป็นการสร้างขวัญและกาลังใจใน การปฏิบัติงาน นอกจากน้ีการนิเทศการศึกษายังมีความสาคัญ คือ ช่วยปรับปรุงคุณภาพการเรียน การสอนให้ดาเนนิ การอย่างราบรนื่ เรียบร้อยและมผี ลสมั ฤทธ์สิ ูง การนาการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) มาเป็นขั้นตอนหน่ึงในการขับเคล่ือนให้ครูผู้สอน มีความรู้ ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน เนื่องจากหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งเน้นให้คนไทยทุกคน คิดเป็น ทาเป็น มีเหตุผล สามารถ เรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ให้นักเรียนมีทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์ และการประยกุ ต์ความรู้มาใช้เพื่อปูองกันและแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิตประจาวัน และ มคี วามคิดสรร้างสรรค์ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545 : 14 - 15) ในการนิเทศการสอนเพ่อื ให้เกดิ ผลสาเร็จ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จาเป็นอย่างยิ่งที่ จะต้องดาเนินการตามลาดับข้ันตอนอย่างต่อเนื่องกัน ซ่ึงนักการศึกษาหลายท่านได้นาเสนอ กระบวนการนิเทศ เช่น สงัด อุทรานันท์ (2530 : 10) ได้เสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนที่ สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ซ่ึงเรียกว่า “PIDRE” คือ การวางแผน (P- Planning) ให้ความรกู้ อ่ นดาเนนิ การนิเทศ (Informing-I) การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) การสร้างเสริม ขวญั กาลังใจแกผ่ ู้ปฏิบตั ิงานนิเทศ (Reinforcing-R) การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) ในส่วน ของวัชรา เล่าเรยี นดี (2550 : 18-19) ไดเ้ สนอกระบวนการนิเทศการสอน 7 ขั้นตอน คือ 1. วางแผน ร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับนิเทศ 2. เลือกประเด็นหรือเร่ืองท่ีสนใจจะปรับปรุงพัฒนา 3. นาเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบเพ่ืออนุมัติ ดาเนนิ การ 4. ให้ความรู้หรือแสวงหาความรู้จากเอกสารต่างๆและจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับ เทคนิคการสงั เกตการสอนในช้นั เรียน และความรูเ้ ก่ยี วกบั วธิ กี ารสอนและนวตั กรรมใหม่ ๆ ท่สี นใจ 5. จัดทาแผนการนิเทศ กาหนดวัน เวลา ที่จะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพ่ือแลกเปล่ียน ความคดิ เหน็ และประสบการณ์ 6. ดาเนินการตามแผนโดยครแู ละผ้นู ิเทศ (แผนการจัดการเรียนรู้และ การนิเทศ) 7. สรุปและประเมนิ ผลการปรับปรงุ และพัฒนา รายงานผลสาเร็จ นอกจากนี้ยังได้มีการนา วงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศการสอน ซ่ึง สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188) กล่าวถึง จุดหมายที่แท้จริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็น

2 กิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพน่ันมิใช่เพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบ่ียงเบนออกไปจากเกณฑ์ มาตรฐานให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบของ PDCA อย่างต่อเนื่องเป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ท่ีม้วนไต่สูงขึ้นเร่ือย ๆ 4 ข้ันตอน คือ ข้ันท่ี 1 การ วางแผน (Plan - P) ข้ันที่ 2 การดาเนินตามแผน (Do - D) ขั้นที่ 3 การตรวจสอบ (Check - C) ขั้นที่ 4 การแก้ไข ปัญหา (Act - A) นอกจากน้ีจากการศึกษาการวิจัยของเกรียงศักด์ิ สังข์ชัย (2552) เก่ียวกับการพัฒนา รปู แบบการนิเทศครูวิทยาศาสตร์ เพ่ือพัฒนาศักยภาพนักเรียนท่ีมีแววความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้รูปแบบการนิเทศทเี่ รยี กว่า APFIE Model มีกระบวนการดาเนินงาน 5 ข้ันตอน คือ ข้ันตอนที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการจาเป็น (Assessing needs : A) ข้ันตอนท่ี 2 จัดการให้ ความรู้ก่อนการนิเทศ (Providing information : P) ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการนิเทศ (Formation Plan : F) ขั้นตอนท่ี 4 ปฏิบัติการนิเทศ (Implementation : I) ซ่ึงประกอบด้วยกระบวนการนิเทศ 4 ขั้นตอน คือ 1 ขั้นเตรียมการก่อนสอนและการนิเทศ 2) สังเกตการสอนในชั้นเรียน 3) ขั้นประชุม ให้ข้อมูลย้อนกลับ หลังสังเกตการสอน 4) ประเมินผลการนิเทศ ติดตาม ดูแล และขั้นตอนท่ี 5 ประเมินผลการนิเทศตลอดภาคเรียน (Evaluating : E) และวชิรา เครือคาอ้าย (2552) เสนอรูปแบบ การนิเทศนักศึกษา ฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครู เพ่ือพัฒนาสมรรถภาพการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม การคิดของนักเรยี นประถมศึกษา มีชื่อวา่ รปู แบบ การนิเทศดับเบิ้ลพีไออี (PPIE) ประกอบด้วย 4 ข้ันตอน คือ 1 ข้ันเตรียมความรู้/เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ 2) ขั้นวางแผนการนิเทศ 3) ข้ันดาเนินการ นิเทศการสอน 4) ข้ันประเมินผลการนิเทศ ส่วนยุพิน ยืนยง (2553) เสนอรูปแบบการนิเทศแบบ หลากหลายวิธีการ เพ่ือส่งเสริมสมรรถภาพการวิจัยในชั้นเรียน มีช่ือว่า ซีไอพีอี (CIPE Model) ซ่ึงมี 4 ข้ันตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 Classifying : C การคัดกรองระดับความรู้ ความสามารถ ทักษะที่สาคัญ เก่ียวกับการจัดการเรียนรู้และการวิจัยในชั้นเรียน เพื่อจัดกลุ่มครูและเลือกวิธีการนิเทศท่ีเหมาะสม สาหรับครูแต่ละกลุ่ม ข้ันตอนที่ 2 Informing : I การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ ขั้นตอนท่ี 3 Proceeding : P การดาเนินงานได้แก่ 3.1 การประชุมก่อนการสังเกตการสอน (Pre conference) 3.2 การสังเกต การสอน (Observation) 3.3 การประชุมหลังการสังเกตการสอน (Post conference) ข้ันตอนท่ี 4 Evaluating : E การประเมนิ ผลการนิเทศ และธัญพร ชื่นกล่ิน (2553) ได้เสนอการพัฒนารูปแบบการ โค้ช เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของอาจารย์พยาบาลที่ส่งเสริมทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณของนกั ศกึ ษาพยาบาลในสงั กดั สถาบันพระบรมราชชนกกระทรวงสาธารณสุข พบว่า การ พัฒนารูปแบบโค้ช พีพีซีอี (PPCE Coaching Model) คือ ระยะที่ 1 ระยะการเตรียมการ (Preparing Phase : P) ระยะท่ี 2 ระยะวางแผนการโค้ช (Planning Phase : P) ระยะท่ี 3 ระยะการปฏิบัติการ โค้ช(Coaching Phase : C) ระยะท่ี 4 ระยะเวลาการประเมินผลการโค้ช (Evaluating Phase : E) การออกแบบการเรียนการสอนเป็นกระบวนการหนึ่งท่ีสาคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียน โดยการนาวิธีการเชิงระบบ (System Approach) มาใช้ในการดาเนินงานให้เกิด ประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลสูงสุด ซ่ึงในการออกแบบนั้น มีนักการศึกษาหลายท่านได้เสนอคานิยาม ท่ผี ูเ้ กี่ยวข้องกับการออกแบบ สามารถยดึ ถือเป็นหลักการในการปฏิบัติงาน โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับ ปัญหาและสถานการณซ์ ง่ึ ดกิ ค์ แคเรย์ และแคเรย์ (Dick Carey and Carey, 2005) ได้เสนอข้ันตอน การออกแบบระบบการเรียนการสอนไว้ 9 ข้ันตอน คือ 1) กาหนดเปูาหมายวัตถุประสงค์การเรียน

3 การสอน 2) วิเคราะห์สภาพการเรียนการสอนวิเคราะห์ผู้เรียนและบริบท 3) กาหนดเปูาหมาย จุดประสงค์เชิงปฏิบัติ 4) พัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล 5) พัฒนาหรือเลือกยุทธวิธีการเรียน การสอน 6) พฒั นาเลือกส่ือวัสดกุ ารเรียนการสอน 7) ออกแบบและประเมินผล เพื่อปรับปรุงการเรียน การสอน 8) ออกแบบและ ประเมินสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน 9) การปรับปรุงการเรียนการ สอน และครสู ซ์ (Kruse 2004) ได้เสนอข้ันตอนการออกแบบระบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิผล และมีความเหมาะสม โดยใช้แนวคิด “ADDIE Model” ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ข้ันวิเคราะห์ (Analysis) 2) ข้ันออกแบบ (Design) 3) ข้ันพัฒนา (Development) 4) ขั้นนาไปใช้ (Implement) และ 5) ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluation) ผู้นิเทศในฐานะศึกษานิเทศก์ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ กลุ่มงานส่งเสริม พัฒนาสื่อ นวตั กรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา จึงตระหนักถึงความสาคัญและความจาเป็นท่ีต้องปฏิบัติตาม แนวนโยบายในการจัดการเรียนร้ดู ้วยสอื่ ทางไกล เพ่ือแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูไม่ครบชั้น หรือ จบไม่ตรงสาขาวิชาเอก โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) คือ 1. A (Assessing Need) การศึกษาสภาพและความต้องการ 2. P (Planning) การวางแผนการนิเทศ 3. I (Informing) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ 4. C (Coaching) การนิเทศแบบโค้ช และ 5. E (Evaluating) การประเมินผลการนเิ ทศ วัตถปุ ระสงคข์ องการนเิ ทศ เพื่อนิเทศ ติดตามการจัดการศึกษาทางไกล DLTV และ DLIT โดย ใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เปา้ หมายของการนิเทศ เป้าหมายเชิงปริมาณ โรงเรียนในสงั กัดจานวน 94 โรงเรยี น เป้าหมายเชิงคุณภาพ 1. ผบู้ รหิ ารสถานศึกษานเิ ทศ ติดตามให้ความชว่ ยเหลือครูผสู้ อนสามารถจดั การเรียนรู้โดย ใช้สอื่ การศึกษาทางไกล DLTV และ DLIT ใหส้ อดคล้องและบรรลผุ ลตามหลกั สูตรสถานศกึ ษา 2. ครูผู้สอนมีความรคู้ วามเข้าใจสามารถประยุกตใ์ ช้สอ่ื การศึกษาทางไกล DLTV และ DLIT ใหบ้ รรลุตามตัวชี้วดั ตามหลกั สตู รสถานศึกษา

4 ส่วนที่ 2 เอกสารท่เี กยี่ วขอ้ ง การนิเทศ ติดตามงานนโยบายสาคัญแห่งรัฐ กระทรวงศึกษาธิการ และสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานของสถานศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ดาเนนิ การนเิ ทศ ตดิ ตาม โดยใช้กระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ดงั น้ี 2.1 ทฤษฎี และแนวคิดท่เี ก่ียวข้อง 2.1.1 การนิเทศการสอน (1) ความหมายของการนเิ ทศการสอน (2) จดุ มงุ่ หมายของการนิเทศการสอน (3) ความจาเปน็ นิเทศการสอน (4) กจิ กรรมการนิเทศการสอน (5) ทกั ษะการนิเทศการสอน (6) กระบวนการการนิเทศการสอน (7) เทคนิคการสงั เกตการสอน 2.1.2 การนิเทศแบบโคช้ (1) การโคช้ เพอ่ื การรู้หนังสือและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching) (2) การโคช้ เพื่อเนน้ นกั เรียนเปน็ สาคญั (Student Centered Coaching) 2.1.3 ทฤษฎเี กยี่ วกับการนิเทศการสอน (1) ทฤษฎีการเปลย่ี นแปลง (2) ทฤษฎีแรงจูงใจ (3) ทฤษฎกี ารสอื่ สาร (4) ทฤษฎมี นษุ ย์สัมพนั ธ์ (5) ทฤษฎีภาวะผูน้ า (6) ทฤษฎีการเรยี นรู้ของผู้ใหญ่ 2.1.4 แนวคิดเกี่ยวกบั การพัฒนารูปแบบ (1) ความหมายของรูปแบบ (2) ประเภทของรปู แบบ (3) ลกั ษณะของรูปแบบท่ดี ี (4) แนวคดิ การออกแบบและพัฒนารูปแบบ 2.1.5 การจดั การศกึ ษาทางไกล ... (1) ความหมายการศึกษาทางไกล (2) ความสาคญั การจดั การศึกษาทางไกล (3) ปจั จยั สคู่ วามสาเรจ็ 2.1.6 แนวคิดเกยี่ วกบั ความพึงพอใจ

5 2.2 นโยบายและยุทธศาสตร์ 2.2.1 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) 2.2.2 นโยบายความมัน่ คงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) 2.2.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานักงานเลขาธิการสภา การศึกษา 2.2.4 แผนพฒั นาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) 2.2.5 แผนปฏิบัติราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน 2.1 ทฤษฎี และแนวคดิ ท่เี กี่ยวข้อง 2.1.1 การนิเทศการสอน (1) ความหมายของการนิเทศการสอน การนิเทศการสอน มีความสาคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากศาสตร์ในเรื่องน้ีมีสิ่งต่างๆ มากมายที่จะต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบ มีข้ันตอนการทางานท่ีชัดเจน ซ่ึงได้มีนักการศึกษาต่างๆ ไดใ้ หค้ วามหมายของการนเิ ทศการสอนไว้หลายท่าน สรุปได้ดังนี้ สงัด อุทรานันท์ (2530 : 7), กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 262), วไรรัตน์ บุญสวัสด์ิ (2538 : 3), ปรยี าพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 48), ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 3) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกันไว้ว่า การนิเทศการสอน คือ กระบวนการบริหารจัดการศึกษาท่ีสร้างสรรค์ไม่หยุดน่ิง เพื่อช้ีแนะให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือ กับครูผู้สอน และบุคลากรต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาหรือในเร่ืองอ่ืนๆ ท่ีต้องอาศัยการนิเทศจาก ผรู้ ู้ ผูท้ ี่มคี วามสามารถเฉพาะเรือ่ ง โดยเปน็ กระบวนการดาเนินงานท่ีจะต้องทาร่วมกันระหว่างผู้นิเทศ กับผู้รับการนิเทศ ตลอดจนให้การช่วยเหลือ แนะนา และให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนในการปรับปรุง และพัฒนาคุณภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ ท้ังในเรื่องของการวิเคราะห์ นักเรียน การวางแผนการทางาน การผลิตสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ สรุปผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการรายงานการปฏิบัตงิ านในภาพรวม และในประเดน็ ท่มี คี วามสาคัญในแตล่ ะเรอ่ื ง นอกจากนี้ Burton, William H. and Bruecker, Lee J. (1955 : 7), Spears, Harold (1967 : 16), Harris, Ben M. (1985 : 10, Oliva, Peer F. (1989 : 8), Glickman, Card. D., Stephen P. Gordon and Jovita M. Ross-Gordon (2004 : 8) ได้ให้ความหมายที่สอดคล้อง สรุปได้ว่า การนิเทศการสอน หมายถึง เป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรที่ เก่ียวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอนทั้งในเร่ืองหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ส่ือการ เรียนรู้ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ และสิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ เพื่อพัฒนาการทางานของ ครูให้มปี ระสิทธภิ าพ และส่งผลตอ่ คณุ ภาพของนักเรยี น สรุปการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่งระหว่างผู้นิ เทศกับ ผู้รับการนิเทศ เพื่อมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้

6 ของนักเรียน โดยเน้นการให้บริการ การให้ความร่วมมือ และการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนแก่ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรที่เกี่ยวข้องท้ังในด้านการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัด และประเมินผล และการจัดกิจกรรมเสริมอื่นๆ เน้นความร่วมมือกัน ความเป็นประชาธิปไตย ใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือสนบั สนนุ มากกวา่ การบังคบั ใหป้ ฏบิ ัตติ าม (2) จดุ มุ่งหมายของการนเิ ทศการสอน การนเิ ทศการสอนแต่ละคร้งั จะต้องมกี ารกาหนดจุดมงุ่ หมาย เพอื่ เป็นแนวทางในการ ปฏิบัติและแนวทางในการดาเนินการนิเทศการสอนท่ีชัดเจน เพื่อจะให้เกิดผลท่ีต้องการดังท่ีนักการ ศึกษาหลายท่านได้กาหนดจุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้อย่างสอดคล้องกัน ดังนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 8), ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 20), วไลรัตน์ บุญสวัสด์ิ (2538 : 7) มีความเห็นสอดคล้องกนั ว่า จดุ มุ่งหมายของการนิเทศการสอนเป็นการปรับปรุง กระบวนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน สร้างขวัญและกาลังใจ และสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีระหว่างบุคคลที่เก่ียวข้องในการทางานร่วมกัน โดยอาศัยการนิเทศช่วยเหลือ แนะนา ให้ความรู้ และการฝึกปฏิบัติดา้ นการพฒั นาหลักสตู ร เทคนิควิธีการเรียนการสอนใหม่ ๆ การใช้และการสร้างสื่อ นวัตกรรมด้านการสอนและการทาวิจัยในชั้นเรียน เพื่อให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนหรืองานในวิชาชีพของตนเองอย่างต่อเน่ือง มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ตามเปูาหมาย ส่วน กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 264) ได้สรุปจุดมุ่งหมายการนิเทศการสอนไว้ เพื่อช่วย ใหค้ รูค้นหาและรูว้ ิธกี ารทางานด้วยตนเอง ร้จู กั แยกแยะ วเิ คราะห์ปัญหาของตนเองโดยให้ครูรู้ว่าอะไร ที่เปน็ ปัญหาท่กี าลงั เผชญิ อยู่และจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร รู้สึกมั่นคงในอาชีพ และมีความเชื่อม่ัน ในความสามารถของตน คุ้นเคยกับแหล่งวิทยาการ และสามารถนาไปใช้ในการเรียนการสอนได้ เผยแพร่ให้ชุมชนเข้าถึงแผนการจัดการศึกษาของโรงเรียนและให้การสนับสนุนโรงเรียน ตลอดจน เข้าใจปรัชญาและความต้องการทางการศึกษา นอกจากน้ี ยุพิน ยืนยง (2553 : 38) ; เกรียงศักด์ิ สังข์ชัย (2552 : 71) ยังกล่าวว่าการนิเทศการสอน มีจุดมุ่งหมาย คือ การช่วยเหลือ แนะนา และ สนับสนุนให้ครูได้รับการพัฒนางานในวิชาชีพของตนเองให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันท่ีจะ สง่ ผลตอ่ การพฒั นาการดา้ นการเรียนรู้ของนักเรยี น สาหรับสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2547 : 180-181) ได้สรุป จุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้ว่า 1) เพ่ือให้สถานศึกษามีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ของนักเรียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานหลักสูตรและให้เป็นไปตามแนวทางของพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545) 2) เพ่ือให้สถานศึกษา สามารถบริหารและจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ 3) เพ่ือพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน สังคม ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน 4) เพื่อให้ บุคลากรสถานศึกษาได้เพิ่มความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และ การปฏิบัติงาน รวมท้งั ความต้องการในวชิ าชีพ 5) เพ่ือส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาปฏิรูประบบบริหาร โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมทา ร่วมตัดสินใจ และร่วมรับผิดชอบ ชื่นชมในผลงาน 6) เพื่อให้เกิด การประสานงานและความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระหว่างผู้เก่ียวข้อง ได้แก่ ชุมชน สังคม และวัฒนธรรม 7) เพ่ือพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีแก่ครูในด้านความเป็นผู้นาทางวิชาการและ ความคิด ความมมี นุษยส์ ัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ที่จะอบรมนักเรียนให้

7 เป็นผู้มีคุณภาพชีวิตท่ีดีตามความต้องการของสังคมประเทศชาติ 8) เพื่อพัฒนาวิชาชีพครูและ เสรมิ สร้างสมรรถภาพดา้ นการสอนใหแ้ กค่ รใู นดา้ นการวเิ คราะห์และปรับปรุงจุดประสงค์ในการเรียนรู้ วิธีการศึกษาพื้นฐานความรู้ของนักเรียน การเลือกและปรับปรุงเนื้อหาการสอนการดาเนินการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเหมาะสม ประเมินผลการเรียนการสอนและปรับปรุงกระบวนการวัดผลได้ อย่างมีประสิทธิภาพ 9) เพ่ือพัฒนากระบวนการทางานของครู โดยใช้กระบวนการกลุ่มในด้าน การร่วมมือกันจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและแก้ปัญหาการสอนการร่ วมมือกันทางานอย่างเป็น ขั้นตอน มีระบบ ระเบียบ การร่วมมือกันทางานด้วยความเข้าใจกัน เห็นอกเห็นใจกัน ยอมรับซึ่งกัน และกนั การร่วมมือกันทางานที่มีเหตุผลในการพัฒนาหลักสูตร สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องและก้าวหน้า เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นภาระหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าฝุาย วิชาการ และคณะครู อาจารย์ ภายในสถานศึกษาที่จะต้องมีหน้าท่ีดาเนินการนิเทศกันเอง มีการประสานความร่วมมือระหว่างการนิเทศครูผู้ทาหน้าที่นิเทศและแหล่งวิทยาการต่างๆ ให้บริการ ชว่ ยเหลอื งานวชิ าการของสถานศกึ ษาอยา่ งมปี ระสิทธิภาพและคล่องตัว มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครู ด้วยกัน ได้รบั ขวัญและกาลังใจจากผ้บู รหิ ารและการยอมรบั ในความรู้ ความสามารถของผู้ให้การนิเทศ รวมท้ังผู้รับการนิเทศจะต้องให้การสนับสนุนด้วย และมีกระบวนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรใน โรงเรยี นท่ีจะส่งผลใหโ้ รงเรียนพัฒนาตนเอง และ10) เพื่อสร้างขวัญและกาลังใจแก่ครูในด้านการสร้าง ความม่นั ใจและความถูกต้องในการใช้หลักสูตรและการสอน สร้างความสบายใจในการทางานร่วมกัน และความก้าวหน้าในตาแหน่งทางวิชาชพี ครู สรุปจุดม่งุ หมายของการนเิ ทศการสอนคอื การพัฒนาคน พัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถ ในการพัฒนางานด้านหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ในวิชาชีพครูทส่ี ่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคณุ ภาพของนกั เรยี น โดยอาศัยการนิเทศ ช่วยเหลือ แนะนา อันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียนให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีคุณลักษณะ ทพ่ี ึงประสงคต์ ามเปูาหมายของหลักสูตร (3) ความจาเปน็ ในการนเิ ทศการสอน การพฒั นาคุณภาพการศึกษาให้ประสบความสาเร็จได้น้ัน จะต้องอาศัยกระบวนการ นิเทศการสอนเป็นองค์ประกอบด้วย ท้ังนี้เพราะการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการของการทางาน ร่วมกับครเู พ่อื ปรับปรงุ การเรยี นการสอนในชั้นเรียนให้มีประสทิ ธผิ ล ดังท่ี กติ ิมา ปรีดดี ิลก (2532 : 263) ได้ให้ความเหน็ ว่าในปัจจบุ นั การนิเทศการสอนมี ความจาเป็นตอ่ กระบวนการเรียนการสอนเปน็ อย่างมากดว้ ยเหตุผลท่ีว่า 1) การศึกษาเป็นกิจกรรม ท่ี ซบั ซอ้ นและย่งุ ยาก จาเป็นจะต้องมกี ารนิเทศ 2) การนิเทศการสอนเป็นงานท่ีมีความจาเป็นต่อ ความ เจริญงอกงามของครู 3) การนิเทศการสอนมีความจาเปน็ ต่อการช่วยเหลอื ครูในการเตรียม การสอน 4) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลที่ทันสมัยอยู่เสมอ อัน เนื่องมาจากการเปล่ียนแปลงทางสังคมท่ีมีอยู่ตลอดเวลา ซ่ึงแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับกรองทอง จิรเดชากุล (2550 : 4) ที่ได้กล่าวถึงความจาเป็นของการนิเทศการสอนไว้ว่า การนิเทศการสอนเป็น การปรับปรุงคุณภาพของการจัดการศึกษา การพัฒนาสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่มาตรฐาน การศกึ ษา รวมทง้ั เปน็ การประสานงานใหเ้ กดิ การปฏบิ ตั ทิ ม่ี ีประสิทธภิ าพในสถานศึกษา ท้ังนี้เน่ืองจาก

8 สังคมมีการเปล่ียนแปลงทุกๆ ดา้ นตลอดเวลา นอกจากน้ี ชาญชยั อาจินสมาจาร (ม.ป.ป.) ยังกล่าวว่า การนิเทศการสอนมีความจาเป็น กลา่ วคือ 1. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นในการให้บริการทางวิชาการ การศึกษาเป็น กิจกรรมที่ซับซ้อน และยุ่งยาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับบุคคล การนิเทศการสอนเป็นการให้บริการ แก่ครูจานวนมากที่มีความสามารถต่าง ๆ กัน อีกประการหนึ่งการศึกษาได้ขยายตัวไปอย่างมาก เมอื่ ไมน่ านมาน้ี สิ่งเหล่าน้ีตา่ ง ๆ ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากการนิเทศทั้งน้ัน 2. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อความเจริญงอกงามของครู แม้ว่าครูจะได้รับ การฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ครูจะต้องปรับปรุงการฝึกฝนอยู่เสมอในขณะทางานใน สถานการณ์จรงิ 3. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการช่วยเหลือครูในการตระหนักเตรียมการสอน เนื่องจากครูต้องปฏิบัติงานในกิจกรรมต่าง ๆ กัน และจะต้องเผชิญกับภาวะที่ค่อนข้างหนัก ครูจึงไม่อาจสละเวลาได้มากเพียงพอต่อการตระเตรียมการสอน การนิเทศการสอนจึงสามารถ ลดภาระของครไู ด้ในกรณี ดังกล่าว 4. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลท่ีทันสมัยอยู่เสมอ จากการเปล่ียนแปลงทางสังคม ทาให้เกิดพัฒนาการทางการศึกษาทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ ข้อแนะนาท่ีได้จากการวิเคราะห์และจากการอภิปราย จากการค้นพบของการวิจัยมีความจาเป็นต่อ ความเจรญิ เติบโตดังกลา่ ว ซงึ่ การนิเทศการสอนสามารถใหบ้ รกิ ารได้ 5. การนเิ ทศการสอนมีความจาเปน็ ต่อภาวะผู้นาทางวชิ าชพี แบบประชาธิปไตย การ นเิ ทศการสอน สามารถใหป้ ระโยชนใ์ นทางสรา้ งสรรค์ นอกจากนี้ยังสามารถรวมพลังของทุกคนร่วมอยู่ ในกระบวนการทางการศกึ ษาดว้ ย สรุปการนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการจัดการศึกษาอย่างย่ิง เพราะเป็น การช่วยเหลือสนับสนุน ส่งเสริมให้ครูมีความสามารถในการพัฒนางานในวิชาชีพของตนเองให้มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันจะช่วยให้ครูเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ รวมท้ังส่งผลถึงนักเรียนและ คุณภาพการศกึ ษาโดยภาพรวมในท่ีสดุ (4) กจิ กรรมการนเิ ทศการสอน กิจรรมการนิเทศการสอน เป็นวิธีการนิเทศที่ผู้นิเทศจะต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์หรือสภาพปัญหาของสถานศึกษา และให้คานึงถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ กิจกรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนิเทศ และประโยชน์ที่ผู้รับ การนิเทศจะได้รบั เป็นสาคัญ Harris et al. (1985 : 71-86) ; ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 20) ; วัชรา เล่า เรยี นดี (2550 : 14-16) ได้เสนอกิจกรรมการนิเทศ ดงั น้ี 1. การบรรยาย (Lecturing) เป็นกิจกรรมที่เนน้ การถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจของ ผู้นเิ ทศไปสู่ผู้รับนเิ ทศ ใชเ้ พียงการพูดและการฟังเทา่ น้นั 2. การบรรยายโดยใช้สื่อประกอบ (Visualized lecturing) เป็นการบรรยายท่ีใช้สื่อเข้ามาช่วย เชน่ สไลด์ แผนภมู ิ แผนภาพ ฯลฯ ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ ู้ฟงั มีความสนใจมากยง่ิ ขึ้น

9 3. การบรรยายเปน็ กล่มุ (Panel Presenting) เปน็ กจิ กรรมการให้ข้อมูลเป็นกลุ่ม ทมี่ ีจุดเนน้ ท่ีการให้ข้อมูลตามแนวความคดิ หรือแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ซึง่ กันและกนั 4. การให้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ (Viewing film or Television) เป็นการใช้เคร่ืองมือท่ีเป็น สื่อทางสายตา ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ เพ่ือทาให้ผู้รับการนิเทศได้รับความรู้และ เกดิ ความสนใจมากขึน้ 5. การฟังคาบรรยายจากเทปวิทยุและเคร่ืองบันทึกเสียง (Listening to tape, Radio recordings) เป็นการใช้เครอ่ื งบนั ทึกเสียงเพ่ือนาเสนอแนวความคิดของบุคคลหนึ่งไปสู่ผูฟ้ ังอ่ืน 6. การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับวัสดุและเคร่ืองมือต่างๆ (Exhibiting Materials and Equipment’s) เปน็ กจิ กรรมที่ช่วยในการฝกึ อบรมหรือเป็นกิจกรรมสาหรบั งานพฒั นาส่ือต่างๆ 7. การสงั เกตในช้นั เรียน (Observing in Classroom) เป็นกิจกรรมท่ีทาการสังเกต การปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงของบุคลากร เพ่ือวิเคราะห์สภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งจะ ช่วยให้ทราบจุดดีหรือจุดบกพร่องของบุคลากร เพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานและใช้ใน การพฒั นาบุคลากร 8. การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ที่มุ่งให้ผู้อื่นเห็นกระบวนการและ วธิ ดี าเนนิ การ 9. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interviewing) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์ที่กาหนด จุดประสงค์ชดั เจนเพ่ือให้ได้ข้อมลู ต่าง ๆ ตามต้องการ 10. การสมั ภาษณเ์ ฉพาะเรือ่ ง (Focused Interview) เปน็ กจิ กรรมสัมภาษณ์แบบก่ึง โครงสร้างโดยจะทาการสัมภาษณ์เฉพาะโรงเรียนที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความสามารถจะตอบได้ เทา่ น้นั 11. การสัมภาษณ์แบบไม่ช้ีนา (Non-directive Interview) เป็นการพูดคุยและ อภปิ รายหรอื การแสดงความคดิ ของบุคคลที่สนทนาด้วย ลักษณะของการสัมภาษณ์จะสนใจกับปัญหา และความในใจของผ้รู ับการสัมภาษณ์ 12. การอภิปราย (Discussing) เป็นกิจกรรมที่ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศปฏิบัติร่วมกัน ซ่ึงเหมาะสมกับกลุ่มขนาดเล็ก มักใชร้ ว่ มกบั กิจกรรมอ่ืนๆ 13. การอ่าน (Reading) เป็นกิจกรรมท่ีใช้มากกิจกรรมหนึ่ง สามารถใช้ได้กับคน จานวนมาก เชน่ การอา่ นข้อความจากวารสาร มกั ใช้ผสมกับกิจกรรมอ่นื 14. การวิเคราะห์ข้อมูลและการคิดคานวณ (Analyzing and Calculating) เป็น กจิ กรรมทใี่ ชใ้ นการติดตามประเมนิ ผล การวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารและการควบคมุ ประสทิ ธิภาพการสอน 15. การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเสนอแนวคิด วิธีแกป้ ัญหาหรือใช้ขอ้ เสนอแนะนาตา่ งๆ โดยให้สมาชิกแต่ละคนแสดงความคิดโดยเสรี ไม่มีการวิเคราะห์ หรือวพิ ากษว์ จิ ารณ์แตอ่ ย่างใด 16. การบันทึกวดี ีทศั น์และการถ่ายภาพ (Videotaping and Photographing) วีดที ศั นเ์ ปน็ เครื่องมือท่แี สดงให้เห็นรายละเอียดท้ังภาพและเสียงส่วนการถ่ายภาพมีประโยชน์มากใน การจดั นทิ รรศการ กจิ กรรมนี้มปี ระโยชนใ์ นการประเมนิ ผลงานและการประชาสัมพนั ธ์

10 17. การจดั ทาเครอื่ งมือและข้อทดสอบ (Instrumenting and Testing) เป็นการใช้ แบบทดสอบและแบบประเมินตา่ งๆ 18. การประชมุ กลุ่มยอ่ ย (Buzz Session) เป็นกจิ กรรมการประชุมกลมุ่ เพ่ืออภปิ ราย ใหห้ ัวข้อเร่อื งท่เี ฉพาะเจาะจง มงุ่ เน้นการปฏสิ มั พันธ์ภายในกลุ่มมากที่สดุ 19. การจัดทัศนศึกษา (Field Trip) เป็นกิจกรรมการเดินทางไปสถานท่ีแห่งอ่ืน เพ่ือศึกษาและดูงานทสี่ ัมพันธก์ บั งานทต่ี นปฏบิ ัติ 20. การเย่ียมเยียน (Intervisiting) เป็นกิจกรรมท่ีบุคคลหนึ่งไปเย่ียมและสังเกต การทางานของอีกบคุ คลหนงึ่ 21. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นกิจกรรมที่สะท้อนให้เห็น ความรูส้ กึ นึกคดิ ของบุคคล กาหนดสถานการณ์ข้ึนแล้วให้ผู้ทากิจกรรมตอบสนองหรือปฏิบัติตนเองไป ตามธรรมชาตทิ ี่ควรจะเป็น 22. การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมที่ใช้เป็นส่ือกลางในการนิเทศเกือบทุกชนิด เช่น การเขียนโครงการนเิ ทศ การบันทึกข้อมูล การเขียนรายงาน การเขยี นบนั ทกึ ฯลฯ 23. การปฏิบัติตามคาแนะนา (Guided Practice) เป็นกิจกรรมท่ีเน้นการปฏิบัติ ในขณะทีป่ ฏิบัตมิ ีการดูแลชว่ ยเหลือ มักใชก้ บั รายบคุ คลหรือกลุ่มขนาดเลก็ 24. การประชุมปฏิบัติการ (Workshop) เป็นการประชุมท่ีเน้นให้ผู้เข้าประชุมมีความรู้ ความเขา้ ใจและทกั ษะทางด้านทฤษฎีและดา้ นปฏบิ ัตอิ ยา่ งแท้จรงิ โดยสามารถนาไปพัฒนางานให้มีคุณภาพ 25. การศึกษาเอกสารทางวิชาการ เป็นการมอบหมายเอกสารให้ผู้รับการนิเทศไป ศึกษาค้นควา้ เรื่องใดเรื่องหน่ึง แล้วนาความรมู้ าถา่ ยทอดใหแ้ ก่คณะครู 26. การสนทนาทางวิชาการ เป็นการประชุมครูหรือกลุ่มผู้สนใจในเร่ืองราว ข่าวสาร เดยี วกนั โดยกาหนดให้มีผูน้ าสนทนาคนหน่ึง นาสนทนาในเรื่องทก่ี ล่มุ สนใจ เพื่อเพ่ิมพูนความรู้ ความเข้าใจ แนวทางในการปฏิบตั ิงาน เทคนคิ วธิ กี ารแกค่ ณะครูในสถานที่ศึกษา 27. การสัมมนา เป็นการประชุมและเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ เพื่อสรุปข้อคิดเห็น และหาแนวทางในการปฏิบัติงานร่วมกัน 28. การอบรม เป็นการให้ครูเข้าศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมในวิชาชีพ เพ่ือเป็นการกระตุ้น ให้ครมู ีความตืน่ ตัวทางวิชาการ และนาความรู้ความสามารถที่ได้จากการอบรมไปใช้พัฒนาการจัดการเรียน การสอนให้มีคุณภาพ 29. การให้คาปรึกษาแนะนา เป็นการพบปะกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ เพ่ือช่วยแก้ปัญหาท้ังด้านส่วนตัวและการปฏิบัติงาน หรือช่วยแนะนาส่งเสริมให้การปฏิบัติงาน ประสบความสาเรจ็ ย่งิ ขึน้ การให้คาปรึกษาแนะนาสามารถดาเนนิ การไดท้ ้ังเป็นรายบุคคลและรายกล่มุ 30. การสังเกตการสอน เป็นการจัดให้บุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองการเรียน การสอนมาสังเกตพฤติกรรมของครูในขณะท่ีทาการสอน เพื่อให้ครูสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงการสอน ให้มีประสิทธภิ าพ โดยใช้ข้อมูลยอ้ นกลบั จากการสงั เกตการสอนของผนู้ เิ ทศ สรุปกิจกรรมนิเทศการศึกษาในแต่ละกิจกรรมจะมีจุดเด่น จุดด้อย และลักษณะ การนาไปใช้ที่แตกต่างกัน การเลือกใช้กิจกรรมการนิเทศ จึงมีความสาคัญเป็นอย่างย่ิง ซึ่งใน การเลือกใชก้ ิจกรรมการนเิ ทศในแตล่ ะครงั้ ควรคานึงถึงจุดประสงคข์ องการนเิ ทศ จานวนผู้รับ การ

11 นิเทศ และประโยชนท์ ีผ่ รู้ บั การนเิ ทศจะได้รบั ตลอดจนสอดคล้องกบั สภาพปัญหาท่ีพบในโรงเรียนและ ความต้องการของผ้รู บั การนิเทศ (5) ทกั ษะการนเิ ทศการสอน ในการนิเทศการสอน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพการเรียน การสอนใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามวตั ถุประสงคน์ ั้น วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้กล่าวถึง ทักษะท่ีจาเป็นในการนิเทศไว้ สอดคลอ้ งกันคือ ทักษะด้านเทคนิค ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ และทักษะด้านการจัดการ รายละเอียด แต่ละด้าน ดงั นี้ 1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ วิธีการ และเทคนิคที่จาเป็นและที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศ ซ่ึงในการนิเทศแต่ละครั้งผู้นิเทศหรือผู้ทาหน้าที่นิเทศ จะต้องมคี วามรู้ ความสามารถเฉพาะอย่าง ต้องมีความรู้ความเข้าใจเทคนิควิธี และสามารถใช้เทคนิค วิธีเหล่าน้ันได้ เช่น เทคนิคการนิเทศแบบพัฒนาการ เทคนิคการนิเทศแบบคลินิก เทคนิคการนิเทศ สงั เกตการสอนและการจัดประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับ รวมทั้งต้องมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับเทคนิค วธิ สี อนแบบต่างๆทีส่ าคญั และสามารถสาธติ แนะนาให้กับครูได้ 2. ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) เป็นความสามารถใน การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายในกลุ่ม และสามารถสร้างความร่วมมือให้ เกิดข้ึนระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม รวมถึงความสามารถในการจูงใจและการมีอิทธิพลเหนือคนอื่น การได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจ สามารถพัฒนากลุ่มงานให้มีประสิทธิภาพและสร้างการยอมรับ ในการเปล่ียนแปลงมากขึน้ 3. ทักษะด้านการจัดการ (Managerial Skills) เป็นความสามารถในการท่ีจะจัดให้ และคงไว้ซ่ึงสภาพเง่ือนไขที่จะเป็นการสนับสนุนการทางานของหน่วยงาน หรือกลไกในการรักษาไว้ และทาใหอ้ งคก์ รดมี ีประสิทธภิ าพมากข้ึน ประกอบด้วยทักษะในการจดั การต่อไปน้ี 3.1 ความสามารถในการรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธท์ ดี่ รี ะหว่างบุคคลกบั หน่วยงาน 3.2 ความสามารถในการท่ีจะมองเห็นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆท่ีสาคัญ ท่ีเอือ้ ตอ่ การปฏบิ ัติงานในองคก์ รหรือโรงเรียน 3.3 ความสามารถในการทีจ่ ะสร้างองค์กรทมี่ ีคุณภาพ 3.4 ความสามารถในการสร้างและคงไวซ้ ึง่ สมรรถภาพขององคก์ ร สรุปได้ว่า ทักษะท่ีจาเป็นในการนิเทศท่ีสาคัญก็คือ 1) ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) 2) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) และ3) ทักษะด้าน การจัดการ (Managerial Skills) ซ่ึงทักษะท้ังสามด้านจะต้องผสมผสานกันในการนาไปใช้ใน การปฏิบตั ิการนเิ ทศ (6) กระบวนการนิเทศการสอน ในการนิเทศการสอนเพื่อให้เกิดผลสาเร็จ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จาเป็น อยา่ งยิ่งที่จะต้องดาเนินการตามลาดับข้ันตอนอย่างต่อเนื่องกัน ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้นาเสนอ กระบวนการนิเทศไว้ดงั น้ี

12 สงัด อุทรานันท์ (2530 : 10) ได้เสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกับ สภาพสงั คมไทย ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน ซ่งึ เรยี กวา่ “PIDRE” คอื 1. การวางแผน (P-Planning) เป็นข้ันตอนท่ีผู้บริหาร ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ จะทาการประชุม ปรึกษาหารือ เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญหาและความต้องการจาเป็นท่ีต้องมีการนิเทศ รวมทง้ั วางแผนถึงข้ันตอนการปฏิบัตเิ กี่ยวกับการนิเทศทจี่ ัดขน้ึ 2. ให้ความรู้ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) เป็นข้ันตอนของการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงสิ่งท่ีจะดาเนินการว่าต้องอาศัยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขั้นตอนใน การดาเนินการอย่างไร และจะดาเนินการอย่างไรให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ข้ันตอนนี้จาเป็น ทกุ คร้ังสาหรับเริ่มการนิเทศท่ีจัดข้ึนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม และเม่ือมีความจาเป็นสาหรับงาน นิเทศท่ยี งั เป็นไปไม่ไดผ้ ล หรอื ไดผ้ ลไม่ถึงข้ันทีพ่ อใจ ซง่ึ จาเปน็ ทจี่ ะต้องทบทวนให้ความรใู้ น การ ปฏบิ ัตงิ านท่ีถกู ต้องอีกคร้ังหนึ่ง 3. การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) ปะกอบด้วยการปฏิบัติงาน 3 ลักษณะ คือ การปฏิบัติงาน ของผู้รับการนิเทศ (ครู) การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ (ผู้นิเทศ) การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ (ผูบ้ รหิ าร) 4. การสร้างเสริมขวัญกาลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing-R) เป็นขั้นตอน ของการเสริมแรงของผู้บริหาร ซ่ึงให้ผู้รับการนิเทศมีความม่ันใจและบังเกิดความพึงพอใจใน การปฏิบัติงานขั้นน้ีอาจดาเนินไปพร้อม ๆ กับผู้รับการนิเทศท่ีกาลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้ เสร็จสน้ิ แลว้ กไ็ ด้ 5. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) เป็นขั้นตอนท่ีผู้นิเทศนาการประเมินผล การดาเนินงานท่ีผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามีปัญหาหรือ มีอุปสรรคอย่างใดอย่างหน่ึง ที่ทาให้การดาเนินงานไม่ได้ผล สมควรที่จะต้องปรับปรุง แก้ไข ซงึ่ การปรบั ปรุงแกไ้ ขอาจทาได้โดยการให้ความรู้เพิ่มเติมในเร่ืองท่ีปฏิบัติใหม่อีกครั้ง ในกรณีที่ผลงานยัง ไม่ถึงขั้นน่าพอใจ หรือได้ดาเนินการปรับปรุงการดาเนินงานท้ังหมดไปแล้ว ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการ สมควรที่จะตอ้ งวางแผนร่วมกนั วเิ คราะหห์ าจดุ ท่ีควรพัฒนาหลังใช้นวัตกรรมด้านการเรยี นรเู้ ขา้ มานเิ ทศ วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ 1. วางแผนร่วมกนั ระหวา่ งผ้นู เิ ทศและผูร้ บั นเิ ทศ (ครแู ละคณะคร)ู 2. เลอื กประเดน็ หรอื เรอ่ื งที่สนใจจะปรบั ปรุงพัฒนา 3. นาเสนอโครงการพัฒนาและข้ันตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบ เพอื่ อนมุ ัตดิ าเนินการ 4. ให้ความรู้หรือแสวงหาความรู้จากเอกสารต่างๆและจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เก่ยี วกับเทคนคิ การสังเกตการสอนในชัน้ เรยี น และความรู้เกย่ี วกบั วิธีการสอนและนวตั กรรมใหม่ๆ ทส่ี นใจ 5. จัดทาแผนการนิเทศ กาหนดวัน เวลา ท่ีจะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพอ่ื แลกเปลีย่ นความคดิ เห็นและประสบการณ์ 6. ดาเนินการตามแผนโดยครูและผนู้ ิเทศ (แผนการจัดการเรยี นรแู้ ละการนิเทศ) 7. สรปุ และประเมินผลการปรับปรุงและพัฒนา รายงานผลสาเรจ็

13 Harris et al. (1985 : 13-15) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอนประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คอื 1. ประเมินสภาพการทางาน (Assessing) เป็นกระบวนการศึกษาถึงสถานภาพต่างๆ รวมทงั้ ข้อมลู ท่จี าเป็นเพอื่ จะนามาเป็นตัวกาหนดถึงความต้องการจาเป็น เพ่ือก่อให้เกิดความเปล่ียนแปลง ซงึ่ ประกอบด้วยงานตอ่ ไปน้ีคือ 1.1 วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยการศกึ ษาหรอื พิจารณาธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของ สงิ่ ตา่ ง ๆ 1.2 สงั เกตส่งิ ตา่ ง ๆ ด้วยความรอบคอบถถ่ี ้วน 1.3 ทบทวนและตรวจสอบสิ่งตา่ ง ๆ ด้วยความระมัดระวัง 1.4 วัดพฤตกิ รรมการทางาน 1.5 เปรียบเทยี บพฤตกิ รรมการทางาน 2. จัดลาดับความสาคัญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกาหนด เปูาหมาย จุดประสงค์ และกิจกรรมต่าง ๆ ตามลาดบั ความสาคัญ ประกอบดว้ ย 2.1 กาหนดเปูาหมาย 2.2 ระบุจดุ ประสงค์ในการทางาน 2.3 กาหนดทางเลือก 2.4 จดั ลาดับความสาคญั 3. ออกแบบการทางาน (Designing) เป็นกระบวนการวางแผนหรือกาหนด โครงการต่าง ๆ เพ่ือกอ่ ใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงโดยประกอบดว้ ย 3.1 จดั สายงานใหส้ ว่ นประกอบตา่ งๆ มีความสัมพันธก์ นั 3.2 หาวธิ กี ารนาเอาทฤษฎหี รอื แนวคิดไปสู่การปฏิบตั ิ 3.3 เตรียมการต่างๆ ใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะทางาน 3.4 จดั ระบบการทางาน 3.5 กาหนดแผนในการทางาน 4. จัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการกาหนดทรัพยากร ตา่ งๆ ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ในการทางาน ซ่งึ ประกอบด้วยงานต่อไปนี้คือ 4.1 กาหนดทรัพยากรทีต่ อ้ งใชต้ ามความต้องการของหนว่ ยงานตา่ งๆ 4.2 จดั สรรทรัพยากรไปใหห้ น่วยงานต่างๆ 4.3 กาหนดทรัพยากรทจ่ี าเป็นจะตอ้ งใช้สาหรบั จุดม่งุ หมายบางประการ 4.4 มอบหมายบคุ ลากรให้ทางานในแตล่ ะโครงการหรือแต่ละเปาู หมาย 5. ประสานงาน (Coordinating) เป็นกระบวนการท่ีเก่ียวข้องกับคน เวลา วัสดุอุปกรณ์ และส่ิงอานวยความสะดวกทุกๆ อย่างเพ่ือจะให้การเปลี่ยนแปลงบรรลุผลสาเร็จงานในกระบวนการ ประสานงาน ไดแ้ ก่ 5.1 ประสานการปฏบิ ตั งิ านในฝาุ ยตา่ ง ๆ ใหด้ าเนินงานไปดว้ ยกนั ดว้ ยความราบรน่ื 5.2 สร้างความกลมกลืนและความพร้อมเพยี งกนั 5.3 ปรบั การทางานในส่วนต่าง ๆ ใหม้ ีประสทิ ธิภาพให้มากทสี่ ุด

14 5.4 กาหนดเวลาในการทางานในแตล่ ะช่วง 5.5 สร้างความสมั พนั ธใ์ หเ้ กดิ ขนึ้ 6. การอานวยการหรือการสั่งการ (Directing)เป็นกระบวนการทีมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงาน เพอ่ื ใหเ้ กดิ สภาพทีเ่ หมาะสมอนั จะสามารถบรรลุผลแหง่ การเปลีย่ นแปลงให้มากทสี่ ุดซึ่งได้แก่ 6.1 การแต่งต้งั บคุ ลากร 6.2 กาหนดแนวทางหรือกฎเกณฑ์ในการทางาน 6.3 กาหนดระเบยี บแบบแผนเกย่ี วกบั เวลา ปริมาณหรอื อัตราเรว็ ในการทางาน 6.4 แนะนาและปฏิบัตงิ าน 6.5 ช้ีแจงกระบวนการทางาน 6.6 ตัดสนิ ใจเกีย่ วกับทางเลือกในการปฏิบัติงาน Allen (อ้างในสงัด อุทธานันท์, 2530 : 76-79) กล่าวถึงกระบวนการนิเทศการสอนว่า ประกอบดว้ ยกระบวนการหลกั 5 กระบวนการซ่ึงนิยมเรียกกันงา่ ย ๆ ว่า “POLCA” โดยย่อมาจากคาศัพท์ ต่อไปนีค้ ือ P = Planing Processes (กระบวนการวางแผน) O = Organizing Processes (กระบวนการจดั สายงาน) L = Leading Processes (กระบวนการนา) C = Controlling Processes (กระบวนการควบคมุ ) A = Assessing Processes (กระบวนการประเมินผล) 1. กระบวนการวางแผน (Planing Processes) กระบวนการวางแผนในทัศนะของ Allen มีดังนี้ 1.1 คิดถึงสงิ่ ท่ีจะทาวา่ มีอะไรบ้าง 1.2 กาหนดแผนงานวา่ จะทาส่งิ ไหน เมอ่ื ไหร่ 1.3 กาหนดจุดประสงค์ในการทางาน 1.4 คาดคะเนผลทจี่ ะเกดิ จากการทางาน 1.5 พฒั นากระบวนการทางาน 1.6 วางแผนในการทางาน 2. กระบวนการจัดสายงาน (Organizing Processes) กระบวนการจัดสายงานหรือ จดั บุคลากรตา่ ง ๆ เพื่อทางานตามแผนงานทวี่ างไวม้ กี ระบวนการดังน้ี 2.1 กาหนดเกณฑม์ าตรฐานในการทางาน 2.2 ประสานงานกบั บุคลากรต่างๆ ท่ีจะปฏิบัติงาน 2.3 จัดสรรทรพั ยากรต่าง ๆ สาหรับการดาเนนิ งาน 2.4 มอบหมายงานให้บคุ ลากรฝุายตา่ งๆ 2.5 จดั ให้มีการประสานงานสัมพนั ธ์กันระหว่างผู้ทางาน 2.6 จดั ทาโครงสรา้ งในการปฏบิ ัติงาน 2.7 จัดทาภาระหนา้ ทีข่ องบุคลากร 2.8 พัฒนานโยบายในการทางาน

15 3. กระบวนการนา (Leading Processes) กระบวนการนาบุคลากรต่างๆ ให้งานน้ัน ประกอบดว้ ยการดาเนินงานต่อไปนคี้ ือ 3.1 ตดั สินใจเกี่ยวกบั สงิ่ ตา่ ง ๆ 3.2 ให้คาปรึกษาแนะนา 3.3 สร้างนวัตกรรมในการทางาน 3.4 ทาการสือ่ สารเพ่อื ความเขา้ ใจในคณะทางาน 3.5 สรา้ งแรงจงู ใจในการทางาน 3.6 เร้าความสนใจในการทางาน 3.7 กระตุ้นใหท้ างาน 3.8 อานวยความสะดวกในการทางาน 3.9 รเิ ร่ิมการทางาน 3.10 แนะนาการทางาน 3.11 แสดงตัวอยา่ งในการทางาน 3.12 บอกขนั้ ตอนการทางาน 3.13 สาธติ การทางาน 4. กระบวนการควบคุม (Controlling Processes) กระบวนการควบคุมประกอบด้วย การดาเนนิ งานในสง่ิ ต่อไปน้ี 4.1 นาให้ทางาน 4.2 แก้ไขการทางานท่ีไม่ถูกต้อง 4.3 วา่ กล่าวตักเตือนในสิง่ ที่ผดิ พลาด 4.4 เร่งเร้าให้ทางาน 4.5 ปลดคนทไ่ี ม่มคี ุณภาพให้ออกจากงาน 4.6 สรา้ งกฎเกณฑ์ในการทางาน 4.7 ลงโทษผูก้ ระทาผิด 5. กระบวนการประเมินสภาพการทางาน (Assessing Processes) กระบวนการ ประเมนิ สภาพการทางาน ประกอบดว้ ยสิ่งตอ่ ไปนี้ 5.1 การพิจารณาตดั สินเกีย่ วกับการปฏิบัติงาน 5.2 วดั พฤตกิ รรมในการทางาน 5.3 จัดการวจิ ยั ผลงาน Glickman et al. (1995 : 324-328) ได้นาเสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน คือ 1. การประชุมร่วมกับครูก่อนการสังเกตการสอน (Preconference with teacher) ผนู้ ิเทศเข้าร่วมประชมุ กบั ครเู พอ่ื พิจารณารายละเอียดก่อนการสังเกตการสอนของครูเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ของการสังเกตต้องการให้เน้นการสังเกตในประเด็นใดเป็นพิเศษวิธีการและรูปแบบการสังเกตที่จะนาไปใช้ เวลาที่ใช้ในการสังเกต และกาหนดเวลาท่ใี ช้ในการประชมุ หลังการสังเกต

16 2. การสังเกตการสอนในช้ันเรียน (Observation of Classroom) เป็นการติดตาม พฤติกรรมการสอนของครูในช้ันเรียน เพ่ือให้เกิดความเข้าใจสอดคล้องกับหลักการและรายละเอียด ต่างๆท่ีกาหนด ผ้สู งั เกตอาจใชว้ ธิ สี ังเกตเพียงวิธีใดวธิ ีหนง่ึ หรือหลายวิธีกไ็ ด้ 3. การวิเคราะห์และติดตามผลการสังเกตการสอน และพิจารณาวางแผนการประชุม ร่วมกับครู (Analyzing and interpreting observation and determining conference approach) ผู้นิเทศหลังจากได้สังเกตการสอนและได้รับข้อมูลของครูมาแล้ว ให้วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การนับ ความถต่ี วั แปรบางตัวท่ีได้กาหนดไว้ จาแนกตัวแปรหลักที่เกิดขึ้น รวมทั้งค้นหาตัวแปรบางตัวท่ีเกิดขึ้น ใหม่จากการปฏิบัติหรือบางตัวท่ีไม่เกิดข้ึน ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ผู้นิเทศวางตัวเป็นกลาง และ ให้ดาเนินการแปลความหมายของข้อมูล 4. ประชุมร่วมกับครูภายหลังการสังเกตการสอน (Post conference with teacher) ผนู้ ิเทศจัดประชมุ ครเู พื่อเป็นการให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับและรว่ มกนั อภิปราย ซ่ึงผลท่ีได้รับจากการอภิปราย รว่ มกนั ครูผู้สอนสามารถนาไปใช้ในการวางแผนปรบั ปรุงการสอนได้ 5. การวพิ ากษ์วิจารณผ์ ลท่ีไดร้ บั จากข้ันตอนท้งั 4 ขนั้ ตอน (Critique of previous four steps) ซ่ึงกระบวนการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกับกระบวนการนิเทศของ Copeland and Boyan (1978 : 23) ได้เสนอการนิเทศการสอนไว้ 4 ข้ันตอน คือ 1) การประชุมก่อนการสังเกตการสอน 2) การสังเกต การสอน 3) การวเิ คราะหข์ ้อมลู จากการสงั เกตการสอน และ 4) การประชมุ หลังการสงั เกตการสอน การนาวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยท่ัวไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศ การสอน ซึ่งสมศักด์ิ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188) กล่าวถึง จุดหมายท่ีแท้จริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพน่ันมิใช่เพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ท่ีเบ่ียงเบนออกไปจาก เกณฑ์มาตรฐานให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ท่ีต้องการเท่านั้น แต่เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบของ PDCA อยา่ งตอ่ เนื่องเป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ทมี่ ว้ นไตส่ ูงขึน้ เร่อื ยๆ 4 ข้นั ตอน คือ ขั้นท่ี 1 การ วางแผน (Plan-P) ข้ันที่ 2 การดาเนินตามแผน (Do-D) ขั้นท่ี 3 การตรวจสอบ (Check-C) ข้ันที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act-A)

17 ภาพที่ 2.1 กระบวนการ PDCA วางแผน(Plan-P) อะไร กาหนดปัญหา วเิ คราะห์ปัญหา ทาไม อยา่ งไร หาสาเหตุ วางแผนร่วมกัน ปฏิบัติ (Do-D) นาไปปฏิบตั ิ ตรวจสอบ (Check-C) ยืนยันผลลัพธ์ แก้ไข (Act-A) ทามาตรฐาน ทมี่ า : สมศกั ดิ์ สินธรุ ะเวชญ์ (2542 : 188) ขั้นตอนท่ี 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะช่วยพัฒนาความคิดต่าง ๆ เพ่ือนาไปสู่ รูปแบบที่เป็นจริงขึ้นมาในรายละเอียดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนที่ดีควรมีลักษณะ 5 ประการ ซง่ึ สรุปได้ ดังน้ี 1. อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (realistic) 2. สามารถเข้าใจได้ (understandable) 3. สามารถวัดได้ (measurable) 4. สามารถปฏิบัติได้ (behavioral) 5. สามารถบรรลุผลสาเร็จได้ (achievable) วางแผนที่ดีควรมีองค์ประกอบ ดังน้ี 1. กาหนดขอบเขตปัญหาให้ชัดเจน 2. กาหนดวัตถุประสงค์และเปูาหมาย 3. กาหนดวิธีการที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเปูาหมายให้ชัดเจนและถูกต้อง แม่นยาท่ีสุดเท่าที่เป็นไปได้ ขน้ั ตอนท่ี 2 ปฏิบัติ (Do) ประกอบดว้ ยการทางาน 3 ระยะ 1. การวางแผนกาหนดการ 1.1 การแยกกจิ กรรมต่างๆ ทต่ี ้องการกระทา

18 1.2 กาหนดเวลาท่ีคาดวา่ ต้องใช้ในกจิ กรรมแตล่ ะอยา่ ง 1.3 การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ 2. การจัดการแบบแมทริกซ์ (matrix management) การจัดการแบบน้ีสามารถ ช่วยดงึ เอาผูเ้ ช่ยี วชาญหลายแขนงจากแหลง่ ต่าง ๆ มาได้ และเปน็ วธิ ีชว่ ยประสานระหวา่ งฝุายต่างๆ 3. การพัฒนาขีดความสามารถในการทางานของผู้ร่วมงาน 3.1 ให้ผู้ร่วมงานเข้าใจถึงงานทั้งหมดและทราบเหตุผลท่ีต้องกระทา 3.2 ให้ผู้ร่วมงานพร้อมในการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสม 3.3 พัฒนาจิตใจให้รักการร่วมมือ ขนั้ ตอนท่ี 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบทาให้รับรู้สภาพการณ์ของงานท่ี เปน็ อยูเ่ ปรยี บเทียบกับสง่ิ ท่วี างแผน ซึง่ มีกระบวนการ ดังนี้ 1. กาหนดวัตถุประสงคข์ องการตรวจสอบ 2. รวบรวมข้อมูล 3. การทางานเป็นตอนๆ เพื่อแสดงจานวน และคุณภาพของผลงานที่ได้รับในแต่ละ ขัน้ ตอนเปรยี บเทยี บกบั ทไี่ ดว้ างแผนไว้ 4. การรายงานจะเสนอผลการประเมิน รวมท้ังมาตรการปูองกันความผิดพลาดหรือ ความล้มเหลว 4.1 รายงานเป็นทางการอย่างสมบูรณ์ 4.2 รายงานแบบอย่างไม่เปน็ ทางการ ข้ันตอนท่ี 4 การแก้ไขปัญหา (Act) ผลของการตรวจสอบหากพบว่าเกิดข้อบกพร่อง ขึ้นทาให้งานท่ีได้ไม่ตรงตามเปูาหมายหรือผลงานไม่ได้มาตรฐาน ให้ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาตามลักษณะ ปัญหาทีค่ ้นพบ 1. ถา้ ผลงานเบี่ยงเบนไปจากเปูาหมายต้องแกไ้ ขที่ต้นเหตุ 2. ถ้าพบความผิดปกติใดๆ ให้สอบสวนค้นหาสาเหตุแล้วทาการปูองกัน เพื่อมิให้ ความผิดปกตนิ ัน้ เกดิ ขึ้นซา้ อีก ในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ผลงานได้มาตรฐานอาจใชม้ าตรการดังต่อไปน้ี 1. การยา้ นโยบาย 2. การปรับปรุงระบบหรือวิธีการทางาน 3. การประชุมเกย่ี วกับกระบวนการทางาน จะเห็นได้ว่าวงจรคุณภาพ (PDCA) ประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การดาเนิน ตามแผน (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) โดยการวางแผน การลงมือ ปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบผลลัพธ์ท่ีได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามท่ีคาดหมายไว้ จะต้องทา การทบทวนแผนการโดยเริ่มต้นใหม่และทาตามวงจรคุณภาพซ้าอีก เมื่อวงจรคุณภาพหมุนซ้าไป เร่ือย ๆ จะทาให้เกิดการปรับปรุงงานและระดับผลลัพธ์ท่ีสูงข้ึนเร่ือยๆ ซ่ึงหลักการดังกล่าวหากนามา ปรบั ใชใ้ หส้ อดคล้องกบั บรบิ ทของสถานศึกษาจะช่วยพฒั นาบุคลากรและนกั เรยี นให้มีคุณภาพ

19 จากกระบวนการนิเทศการสอนดังกล่าว สรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศที่สาคัญๆ ประกอบด้วยขั้นตอนการวางแผน ขั้นตอนการดาเนินงานนิเทศ และข้ันตอนการวัดและประเมินผล การนิเทศ ดงั นั้นรปู แบบการนเิ ทศ จงึ เรยี กวา่ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) โดยมี 5 ข้นั ตอน ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 ศกึ ษาสภาพ และความต้องการ (Assessing Need = A) การศกึ ษาสภาพ และความตอ้ งการเป็นส่ิงท่ีมีความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะได้ ทราบสภาพจรงิ และความต้องการในการรับการนิเทศของครูผู้สอนในเร่ืองต่าง ๆ เนื่องจากบริบทของ แต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างกันทั้งในเร่ืองของการจัดการเรียนการสอน ความพร้อม ของครูและนักเรียน ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงมีความสาคัญท่ีผู้นิเทศจะต้องมีการศึกษาสภาพจริงที่ ครผู สู้ อนปฏบิ ตั ิ และความต้องการในการชว่ ยเหลือในการแก้ปญั หาการเรยี นการสอน ผวู้ จิ ัยนาแนวคิด มาจากรปู แบบจาลองการออกแบบการสอน The ADDIE Model ของ : Kevin Kruse (2007 : 1) ท่ี กล่าวว่า ขั้นตอนท่ี 1 เป็นข้ันของการวิเคราะห์ความต้องการจาเป็น และแนวคิดแบบจาลองการ ออกแบบการสอนเชงิ ระบบของ Dick et al. (2005 : 1-8) ในการวิเคราะห์ ความต้องการจาเป็น การ วิเคราะห์การเรียนการสอน การวิเคราะห์นักเรียนและบริบทซ่ึงผู้วิจัยได้ศึกษากระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 13-15) ทีก่ ล่าวว่า การนเิ ทศการสอนต้องมีการศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้น วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในองค์กร เพื่อพิจารณาถึงการเปล่ียนแปลง และเป็นไปตามแนวคิดของ Acheson, Keith A. and Gall, Meredith D. (1997 : 90), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 527-528) ท่ี กล่าวว่า ผู้นิเทศต้องวิเคราะห์การสอนของครูผู้สอนและการเรียนของนักเรียน เปิดโอกาสให้ผู้รับการ นิเทศนาเสนอความต้องการ ประเด็นที่สนใจจะปรับปรุงและพัฒนาและสอดคล้องรูปแบบการนิเทศ ของเกรยี งศักดิ์ สงั ข์ชยั (2552 : 37) ขัน้ ตอนท่ี 2 วางแผนการนิเทศ (Planning = P) การวางแผนการนิเทศเป็นข้ันของการเตรียมการในการกาหนดตัวชี้วัดความสาเร็จ ส่ือการนิเทศ เคร่ืองมือการนิเทศ และปฏิทินการนิเทศการจัดกิจกรรมและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 23 อ้างถึงใน วไลรัตน์ บุญสวัสด์ิ, 2538 : 40) ท่ีกล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียนต้องมีการวางแผน (Planning) ได้แก่ การคิดและการต้ังวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดาเนินงาน วางแผนโครงการ และ สอดคล้องกับแนวคิดของ Lucio, William H., and McNiel, John D (1979 : 24) ท่ีกล่าวว่าผู้นิเทศ ต้องร้จู ักการวางแผน และต้องมีการวางแผนการปฏิบัติงานของตนเอง นอกจากน้ใี นกระบวนการนิเทศ การสอนของ Glatthorn, Allan A. (1984 : 2), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 27), สงัด อุทรานันท์ (2530 : 84-85), เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 37), ธัญพร ช่ืนกลิ่น (2553 : 28) ยังได้ให้ความสาคัญ เกย่ี วกบั การวางแผน และไดน้ าขนั้ ตอนการวางแผนการนิเทศ เป็นสว่ นหนง่ึ ของรูปแบบการนิเทศ และ กระบวนการนเิ ทศการสอนทไี่ ด้พฒั นาข้ึน ข้ันตอนท่ี 3 การใหค้ วามรกู้ อ่ นการนิเทศ (Informing = I) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ เป็นขั้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมและ ประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น ผวู้ ิจยั ไดศ้ กึ ษาแนวคิดเกี่ยวกบั รปู แบบและกระบวนการนิเทศ การสอนของนักวิชาการในศาสตร์การนิเทศ เช่น Glatthorn et al. (1984 : 2),วัชรา เล่าเรียนดี

20 (2550 : 27), สงัด อุทรานันท์ (2530 : 86) พบว่า นักวิชาการดังกล่าวมีความคิดเห็นสอดคล้อง ตรงกันว่าในการนิเทศการสอนน้ันมีความจาเป็นต้องให้ความรู้ท่ีสาคัญ เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการพัฒนา ด้วยการประชมุ สมั มนาเชงิ ปฏิบตั กิ ารต่างๆ การสอ่ื สารท้งั การพดู และการเขยี น ตลอดจนการแสวงหา ความรจู้ ากเอกสาร ขั้นตอนท่ี 4 ปฏบิ ัติการโคช้ (Coaching = C) การปฏิบัติการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด รูปแบบและ กระบวนการนิเทศของวัชรา เล่าเรียนดี (2556 : 313-317), Sandvold, A (2008 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 314), Sweeney, Diane (2011 : 9) ธัญพร ชื่นกลิ่น (2553 : 28-29) เน่ืองจาก แนวคิดของนักวิชาการท่ีกล่าวถึงมุ่งเน้น การแก้ปัญหาการรู้หนังสือและการอ่านการคิดอย่างเป็น ระบบ เน้นให้ครูผู้สอนนาความรู้และทักษะท่ีสาคัญของการจัดการเรียนการสอนไปจัดกิจกรรมท่ีเน้น นักเรียนเป็นสาคัญ มีขั้นตอนท่ีสาคัญ คือ 1) ระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ของนักเรียนที่สัมพันธ์กับ มาตรฐานการเรียนรู้ 2) วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน 3) จัดการเรียนการสอนที่ตอบสนอง ความตอ้ งการของนักเรียน 4) วัดและประเมินผลหลังเรียน นอกจากน้ีการนิเทศแบบโค้ช ผู้นิเทศและ ผู้รับการนิเทศมีความใกล้ชิดกัน ร่วมกันคิดใน เชิงสร้างสรรค์ และแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็น ระบบและตอ่ เนือ่ ง ขน้ั ตอน ที่ 5 การประเมินผลการนเิ ทศ (Evaluating = E) การประเมนิ ผลการนเิ ทศ เปน็ ข้นั ท่ีผู้วจิ ัยนามาใชเ้ ป็นข้นั ตอนสุดท้าย เพื่อสรปุ ผลการ นิเทศในแต่ละขั้นตอนท่ีได้ดาเนินการไป เพื่อให้เห็นผลการดาเนินงานทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการนิเทศของสงัด อุทรานันท์ (2530 : 87-88) , วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 28) เกรียงศักดิ์ สงั ข์ชยั (2552 : 37-38), ยุพนิ ยนื ยง (2553 : 25-26), ธญั พร ชืน่ กล่นิ (2553 : 29) (7) เทคนิคการสังเกตการสอน เน่ืองจากการสังเกตการสอนเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการนิเทศการสอน ผลจากการสังเกต การสอนชว่ ยในการวิเคราะห์การสอนของครู ดังน้ันการสังเกตการสอนจะต้องสังเกตและบันทึกข้อมูล ตรงตามความจริงและใหต้ รงตามจดุ มุง่ หมายมากท่สี ดุ Acheson et al. (1997 : 23) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการนิเทศการสอน ซงึ่ ประกอบดว้ ย เทคนิควิธกี าร การกาหนดวัตถุประสงค์ และการวางแผนการสังเกตการสอน เทคนิค วิธีการสังเกตการสอนในช้ันเรียน เทคนิคการบันทึกการสังเกตการสอนโดยใช้เคร่ืองมือแบบต่างๆ เทคนิคการประชุมเพ่ือให้ข้อมูลย้อนกลับ และเทคนิคการนิเทศชี้แนะ แนะนาเพื่อช่วยเหลือครู ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา เทคนิคการสังเกตการสอนน้ันประกอบด้วย วิธีการสังเกตและ การบันทึกโดยเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม (ผู้สังเกตและครูร่วมกันเลือก) เพราะก่อนมีการสังเกต การสอนทุกครั้งจะต้องมีการตกลงร่วมกันก่อนระหว่างครูกับผู้นิเทศหรือผู้สังเกต และหลังจาก การสังเกตการสอนอาจจะร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลจากการสังเกตการสอนก่อนท่ีจะให้ข้อมูลย้อนกลับ แก่ครู เพอื่ ร่วมกันในการพิจารณาหาแนวทางในการปรบั ปรุงหรอื พฒั นาการเรยี นการสอนต่อไป ดังนั้น ผู้นิเทศ ผู้ทาหน้าท่ีนิเทศ หรือผู้ท่ีทาหน้าท่ีนิเทศการสอนจะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจพอสมคว ร เก่ียวกับวิธีการสังเกตการสอน เทคนิควิธีการสังเกตการสอน และการบันทึกเครื่องมือสังเกตการสอน

21 การสรา้ งและการประยกุ ต์ใชเ้ คร่ืองมือสังเกตการสอนจึงจะช่วยให้การนิเทศการสอนประสบผลสาเร็จ ตามเปูาหมาย การสังเกตการสอนและการบันทึกการสอนจาแนกได้หลายลักษณะ เช่น Oliva, Peer F. and Pawlas, George E. (1997 : 26-28) ได้จาแนกการสงั เกตเป็น 2 ประเภท 1. การสังเกตแบบกว้าง ๆ ท่ัวไป (Global Observation) เป็นการสังเกตในภาพรวม ไม่เฉพาะเจาะจงในพฤติกรรมประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยปกติจะเป็นการสังเกตหรือวิธีการสังเกตที่ ผู้บริหารหรือผู้นิเทศนิยมใช้ เมื่อต้องการสังเกตพฤติกรรมการสอนทั่ว ๆ ไป เป็นการสังเกตโดยภาพรวม ของการปฏิบัติการสอนของครู และมักจะใช้ผลการสังเกตและการบันทึก ด้วยวิธีการดังกล่าวใน การประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูด้วย เช่น แบบสังเกตและบันทึกแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating scale) เป็นต้น 2. การสังเกตแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Observation) เป็นการสังเกตและบันทึก เฉพาะพฤติกรรม เฉพาะเหตุการณ์ เฉพาะเรื่อง หรือเฉพาะประเด็น เช่น การสังเกตบันทึกพฤติกรรม ปฏสิ ัมพันธท์ างวาจาระหว่างครูกบั นักเรยี นเปน็ ตน้ นอกจากน้ี Glickman et al. (1995 : 36 ) ได้จาแนกการสังเกตการสอนเป็น 2 ประเภท คอื 1. การสังเกตเชิงปริมาณ (Quantitative Observation) เป็นวิธีการวัดเหตุการณ์ และพฤติกรรมต่างๆ และสิ่งต่างๆ ในห้องเรียน ท่ีสามารถสังเกตเห็นได้ วัดได้ เป็นจานวนคร้ังหรือ ความถขี่ องเหตกุ ารณ์ หรือพฤติกรรมต่างๆ ท่ีทาการสังเกตและบันทึกด้วยเคร่ืองมือหรือวิธีการสังเกต ดว้ ยปริมาณ เชน่ 1.1 เคร่ืองมือสังเกตการสอนแบบนับจานวนความถ่ี (Categorical Frequency Instrument) 1.2 เครื่องมือสังเกตการสอนแบบระบุพฤติกรรมตามกระบวนการจัดการเรียน การสอนในรูปแบบตา่ งๆ (Performance Indicator Instrument) 1.3 เคร่ืองมือสังเกตการสอนท่จี ัดเตรียมฟอร์มท่เี ป็นแผนผงั (Diagram) 1.4 เครื่องมอื สังเกตและบนั ทกึ ตรวจสอบรายการ (Check list) 1.5 เคร่ืองมือสังเกตและบันทึก แบบเลือกประเภทของคาพูดหรือการพูด จด และ บันทึกขอ้ มลู คาพดู น้ัน คาต่อคาตามเวลาท่ีกาหนด (Selective Verbatim Recording) 1.6 เคร่ืองมือสังเกตและบันทึกปฏิสัมพันธ์ทางวาจาระหว่างครูกับนักเรียนของ Ned Flanders FIAC (Flanders’s Interaction Analysis Category) 2. การสังเกตเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) การสังเกตด้วยวิธีนี้เป็น วิธีสังเกตและบันทึกท่ีจะใช้เม่ือผู้สังเกตหรือผู้นิเทศไม่ทราบว่าจะสังเกตหรือบันทึกอะไรบ้าง ในช้ันเรียน หรือผู้นิเทศสังเกตรายละเอียดพฤติกรรมในการจัดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน การสังเกตเชิงคุณภาพ การสังเกตเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ตลอดจนสภาพทางกายภาพ ในชั้นเรียน เช่น การจดบันทึก การจัดบอร์ด สื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทาการบันทึกแบบพรรณนาความ โดยไมใ่ สอ่ ารมณค์ วามรู้สึกของตนเองลงไปด้วย ประกอบด้วยเครื่องมือหรอื วธิ กี ารสังเกตดังต่อไปนี้ 2.1 การสังเกตแบบไม่มสี ว่ นรว่ ม (Detached-open Narrative)

22 2.2 การสงั เกตบนั ทึกขอ้ มูลการพูดเฉพาะอย่าง (Save Verbatim Recording) 2.3 การสังเกตบันทึกโดยใช้ V.D.O. (Audio record) 2.4 การสงั เกตและบนั ทกึ แบบส้ันๆ (Anecdotal Record) 2.5 การสงั เกตและบันทึกแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participant Observation) 2.6 การสงั เกตบันทกึ ตามประเด็นคาถาม (Focused Questionnaire Observation) 2.7 การสังเกตและบันทึกแบบบนั ทกึ การปฏบิ ัติงานของตนเอง (Journal Writing) 2.8 การวิจารณท์ างการศึกษา (Educational Criticism) 2.9 การสงั เกตบนั ทึกแบบเฉพาะเหตุการณ์ (Tailored Observation System) การสังเกตการสอนต้องมีเคร่ืองมือสังเกตการสอน (Observation Instrument) ซึ่ง เครือ่ งมอื สงั เกตการสอนหมายถงึ เคร่อื งมือท่ีใช้ในการสังเกตและบันทึกการเรียนการสอน เช่น ดินสอ ปากกา กระดาษ เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เทปบันทึกเสียง กล้องถ่ายวีดีโอ คอมพิวเตอร์ ขนาดเล็ก รวมถึงแบบฟอร์มการสังเกตและบันทึกที่ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศสร้างข้ึนเองหรือมีผู้อ่ืน สร้างข้ึน และเป็นที่ยอมรับและรู้จักแพร่หลาย เช่น แบบฟอร์มการสังเกต – บันทึกของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ซึ่งเป็นเคร่ืองมอื การสงั เกตการสอนที่ได้จากการสร้างและพัฒนาทดลองใช้จน แน่ใจว่าสามารถนาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่มักจะเป็นเคร่ืองมือที่สร้างข้ึน โดยเฉพาะงานวิจัยท่ีเกี่ยวกับพฤติกรรมการสอนของครูท่ีมีประสิทธิภาพหรือเพื่อใช้ใน การประเมิน ประสิทธภิ าพการสอนของครู เพอ่ื จดุ ประสงค์อ่ืนท่ีไม่ใช่เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน โดยตรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงเป็นเครื่องมือที่ค่อนข้างจะละเอียดซับซ้อน ผู้ท่ีจะนาไปใช้ต้องมี ความสามารถ ความคุ้นเคยและความชานาญในการใชม้ ากพอสมควร จึงขอแนะนาวา่ ควรจะประยุกต์ และปรับใช้เป็นเคร่ืองมือสังเกตการสอนอย่างง่าย สะดวกต่อการฝึกและการใช้ในสถานการณ์จริงจะ เหมาะสมกว่า ดังที่กล่าวมาแล้ว และใช้วิธีการสังเกตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการสอนที่มี ประสทิ ธิภาพของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ในการนิเทศการสอนเพ่ือปรับปรุงและพัฒนาการสอนนั้น ครูควรจะได้มีการส่งเสริม และพัฒนาให้มีความสามารถในการวิเคราะห์การสอนของตนเองได้ ซ่ึงมีการสังเกตและการวิเคราะห์ ตนเองอย่างง่าย ๆ คือ 1. การวิเคราะห์ตนเองโดยใช้เครื่องมือช่วย เช่น การฟังเสียงการพูดของตนเองจาก เทปบันทึกเสยี ง การสังเกตตนเองจากการดูวีดีโอเทปท่ีบันทึกการปฏิบัติงานของตนเองไว้ และการรับ ฟังข้อมูลย้อนกลับจากการสังเกตพฤติกรรมการสอนของผู้นิเทศ หรือผู้ทาหน้าที่นิเทศ หรือจากเพื่อน หรือจากนักเรยี น 2. การเยี่ยมชั้นเรียนซ่ึงกันและกัน เพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและ กนั อาจทาการเยี่ยมชน้ั เรียนเป็นกลมุ่ หรือคณะ เพ่ือสังเกตการสอนและให้สมาชิกภายในกลุ่มช่วยกัน ให้ข้อมูลย้อนกลับ ซ่ึงจะช่วยให้มองเห็นการสอนของผู้อื่นและการสอนของตนเองชัดเจนย่ิงขึ้น ด้วยการเปรยี บเทยี บกบั การสอนของตนเอง 3. ให้จับคู่เพ่ือนที่สนิทสนมและผลัดกันสังเกตการสอนซ่ึงกันและกันให้ข้อมูลย้อนกลับ จากการสังเกตการสอนในด้านต่าง ๆ ที่กาหนด ช่วยกันคิดและวิเคราะห์จุดท่ีเป็นปัญหา เพื่อหาทาง แกไ้ ขปรบั ปรงุ ต่อไป

23 4. ใช้เทคนิคแบบคลนิ ิก (Clinical Supervision) ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผน การสังเกตการสอน มีการบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ แล้วให้ข้อมูลย้อนกลับ จะช่วย ให้ทราบปัญหาข้อบกพร่องต่างๆท่ีจะต้องแก้ไขปรับปรุง ซึ่งการนิเทศแบบคลินิกเป็นการนิเทศที่มี จุดมงุ่ หมายเพื่อพัฒนาปรับปรุงการสอนและทักษะการสอนโดยเฉพาะ และที่สาคัญท่ีสุดจะต้องดาเนินการ โดยการมกี ารรว่ มมือกนั อย่างจริงจังระหวา่ งผูน้ ิเทศกบั ครู หรือผทู้ าหน้าทน่ี ิเทศกบั ครู ในการสังเกตการสอนต้องมีวิธีการบันทึกการสังเกตการสอนท่ีดี จะบันทึกอย่างไร ด้วยวิธีใด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการสังเกต ประเภทของการสังเกตการสอน และการเลือกใช้ เคร่ืองมือท่ีเหมาะสม เช่น เป็น การสังเกตการสอนเชิงปริมาณ (Qualitative Observation) จะต้องระบุ วัตถุประสงค์ชัดเจนว่า จะสังเกตพฤติกรรมอะไรบ้าง อย่างไร ใช้เคร่ืองมือแบบใดจึงเหมาะสม เช่นเดียวกับการสังเกตการสอนเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) จะต้องระบุวัตถุประสงค์ ชัดเจน วิธีการบันทึกและเครื่องมือที่เหมาะสม ดังน้ัน เคร่ืองมือสังเกตการสอน นอกจากจะเป็น แบบฟอร์มลักษณะต่าง ๆ ที่มีผู้สร้างและพัฒนาข้ึน และเผยแพร่ให้ใช้แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นการจดหรือ เขียนบันทึกเหตุการณ์หรือพฤติกรรมด้วยกระดาษ ดินสอ ปากกา (Written record) ใช้การบันทึกเสียง (Audio record) หรือด้วยการบันทึกภาพ (Videotaping) ประกอบการสังเกตและบันทึกด้วยวิธีการอื่นๆ ด้วยดงั ตัวอย่างวิธีการสงั เกตบันทึกการสอน ดงั น้ี 1. การบนั ทกึ แบบพรรณนาความ (Descriptive of Narrative Record) 2. การบันทกึ ส้นั ๆ ไม่เปน็ ความคิดหรือการประเมินผลใดๆ (Anecdotal Record or Note king) 3. การบันทึกเสียงและการบันทึกภาพเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องเรียน (Audio taping Videotaping) 4. การจดบันทกึ คาพูด คาต่อคา ประโยคต่อประโยค ท่ีกาหนด หรือคาพูดท่ีเลือกจะ บันทกึ (Selective Verbatim Recording) 5. การบันทกึ แบบบนั ทึกการปฏบิ ัติงานของตนเอง (Journal Writing) 6. การบันทึกตามประเดน็ คาถามท่ีกาหนด (Focused Questionnaire) 7. การบันทกึ โดยทาตารางบนั ทกึ ความถี่ (Frequency Tabulation) 8. การบันทกึ โดยใช้แผนผังท่นี ่ังเตรยี มไว้ (Seating Chart) 9. การบันทกึ พฤตกิ รรมภาพที่ปรากฏโดยใช้แบบตรวจสอบรายการ (Check list) 10. การบันทกึ พฤตกิ รรมทเี่ ป็นแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating scale) 11. การบันทกึ พฤตกิ รรมโดยใช้แบบบนั ทึกท่รี ะบุพฤติกรรมบ่งช้ี (Performance Indicator Recording) อย่างไรกต็ าม การสังเกตการสอนจะบันทึกด้วยเคร่ืองมือหรือวิธีการใดก็ตาม การนา เคร่ืองมือประเภทเคร่ืองอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องบันทึกเสียง บันทึกภาพ และฟิล์มต่างๆ มาใช้ประกอบ จะช่วยให้การบันทึกต่างๆในห้องเรียนมีความเที่ยงตรง ครบถ้วนและชัดเจนมากขึ้น เพราะภาพท่ีบันทึกจะแสดงการเคล่ือนไหว และการใช้ภาษาท่ีสังเกตและบันทึกด้วยวิธีอื่นๆ ท่ีได้บันทึกไว้ด้วย ซึ่งข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อการนาไปช่วยในการวิเคราะห์ผล การสังเกตการสอนได้ละเอียดย่ิงข้ึน ท่ีสาคัญการสังเกตการสอนน้ัน เป็นการสังเกตที่มีจุดมุ่งหมาย

24 ดังน้ัน ผู้ทาการสังเกตหรือผู้นิเทศจะต้องรู้ว่าจะสังเกตการสอนครูในเรื่องใด ด้านใด หรือพฤติกรรม อะไร ดังนั้น นอกเหนือจากเทคนิควิธีการ และทักษะในการสังเกตการสอนแล้ว ผู้นิเทศหรือผู้สังเกต การสอนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะสังเกตการสอนเป็นอย่างดี เช่น เทคนิควิธีการสอนต่างๆ ทักษะการสอน รูปแบบการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมต่างๆรวมท้ังพฤติกรรมการสอนท่ีมี ประสิทธภิ าพในด้านต่าง ๆ ของครดู ว้ ย (วชั รา เลา่ เรียนดี, 2544 : 24) การวิจัยในคร้ังนี้ผู้วิจัยได้มีการสังเกตการสอนและบันทึกผลการนิเทศ เช่น บันทึก ข้อมูลที่พบระหว่างการนิเทศ การถ่ายภาพการจัดกิจกรรมของครูผู้สอน การเรียนรู้และสืบข้อมูลของ นักเรยี น แลว้ นาข้อมลู มาตรวจสอบสรุปผลการนเิ ทศท้ังในภาพรวม และผลการสังเกตตามตัวชี้วัดของ การอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน คือ 1) การอ่าน และการหาประสบการณ์จากส่ือท่ีหลากหลาย 2) การอ่าน และการจับประเด็นสาคัญ ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นจากเรื่องท่ีอ่าน 3) การอ่าน และ การเปรียบเทียบแง่มุมต่างๆ 4) การอ่าน และการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่อ่าน โดยมีเหตุผล ประกอบ 5) การอา่ น และการถา่ ยทอดความคิดเห็น ความร้สู ึก จากเรือ่ งทอี่ ่าน โดยการเขียน 2.1.2 การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) การนิเทศแบบโค้ช เป็นกระบวนการหน่ึงท่ีมีความสาคัญในการช่วยเหลือให้ การจัดการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญ คือ ศึกษานิเทศก์ รวมท้ังเครือข่าย การนิเทศท่ีเข้ามามีส่วนร่วมในการนิเทศการสอน การดาเนินการเพื่อเพ่ิมศักยภาพในการจัด การเรียนรู้ให้แก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษา ให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพและได้ มาตรฐาน ตลอดจนสามารถเสริมสร้างการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาให้ เข้มแขง็ การนาเทคนิคการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) มาใช้ในการนเิ ทศการสอน จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ จะชว่ ยในการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศึกษาใหม้ ีประสิทธภิ าพมากข้ึนได้ การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) เป็นวิธีการพัฒนาสมรรถภาพการทางานของครู โดยเน้นไปท่ีการทางานให้ได้ตามเปูาหมายของงาน หรือการช่วยให้สามารถนาความรู้ความเข้าใจท่ีมี อยู่และหรือได้รับการอบรมมา ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การโค้ชมีลักษณะเป็นกระบวนการ มีเปูาหมายที่ต้องการไปให้ถึง 3 ประการ คือ การแก้ปัญหาในการทางาน การพัฒนาความรู้ ทักษะ หรือความสามารถในการทางาน และการประยุกต์ใช้ทักษะหรือความรู้ในการทางาน ท่ีต้ังอยู่บนหลักการ ของการเรียนรู้ร่วมกัน (Co-Construction) โดยยึดหลักว่าไม่มีใครรู้มากกว่าใคร จึงต้องเรียนไปพร้อมกัน เพ่ือให้ค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง (สานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน, 2553 : 2-7) การโค้ชทีเ่ นน้ นักเรียนเป็นสาคัญ (Student Centered Coaching) 1. แนวคิด การโคช้ ที่เนน้ นกั เรยี นเปน็ สาคัญ (Student Centered Coaching) เป็นอีกแนวคิด หนึง่ ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เพื่อให้ความสาคัญกับนักเรียนและยึดนักเรียนเป็น สาคัญก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าเปูาหมายหลักสาคัญของการนิเทศในปัจจุบันหรือการโค้ชทุก รูปแบบจะเน้นพัฒนาการของการเรียนรู้ของนักเรียนก็ตาม การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญเป็น แนวคิดและงานของ Diane Sweeney (2011 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 323) จุดเด่นและ ลักษณะสาคัญของการโค้ชท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ คือ เป็นการดาเนินการโค้ชที่โรงเรียน โดย

25 ความร่วมมือของโค้ชผู้บริหาร และครู เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสาคัญ เป็นโค้ชท่ีมี วตั ถปุ ระสงค์ คือ ผลการเรยี นรู้ของนกั เรยี นมากกว่าการมุง่ ปรับปรุงการปฏิบัตกิ ารสอนของครู การ โค้ช แนวทางการโคช้ มงุ่ สู่พฒั นาการของผลการเรียนรู้ของนักเรยี นท่เี กิดขึ้น ซึ่งต้องวัดได้และประเมิน ได้ชดั เจน 2. สาระสาคญั ของการโค้ชที่เน้นนักเรยี นเปน็ สาคญั 2.1 การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ กาหนดเปูาหมายเฉพาะ คือ พัฒนา นกั เรยี น เปน็ การรว่ มมือกนั ของโคช้ ผูบ้ ริหาร และครูผสู้ อน 2.2 ผู้บริหารมีบทบาทสาคัญย่ิงในการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนใน โรงเรียน ซ่งึ ตอ้ งมีสว่ นรว่ มอย่างจริงจงั ในการโค้ชและการพัฒนาคุณภาพของนักเรยี น 2.3 เป็นการวัดและประเมินผลกระทบโดยตรงท่ีเกิดข้ึนกับนักเรียน อัน เนือ่ งมาจากการโคช้ 2.4 การพัฒนาวิชาชีพด้วยการโค้ชภายในโรงเรียนมีหลายรูปแบบ หลายวิธีการ ปฏิบัติใช้กันแพร่หลายต่อเน่ือง และประสบผลสาเร็จ แต่การโค้ชท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญจะช่วยยืนยัน ไดว้ า่ การโคช้ เป็นการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเน่ืองของครูและบุคลากรในโรงเรียน ส่งผลถึงพัฒนาการของ ผลการเรียนรู้ของนักเรยี นจริง 2.5 การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ มีลักษณะและการปฏิบัติท่ีชัดเจนของ การโคช้ ในโรงเรียน โดยบุคลากรในโรงเรียน เน่อื งจากผู้บริหารต้องให้ความสาคัญและให้ความร่วมมือ เพือ่ การพฒั นาคณุ ภาพของนกั เรียน โดยตรง 3. บทบาทของผ้บู ริหารในการโคช้ ท่เี นน้ นกั เรียนเปน็ สาคญั 3.1 ทาความเขา้ ใจหลกั การ แนวคิด แนวปฏิบัติ ของการโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็น สาคัญ พรอ้ มกับโคช้ หรอื ผู้ทาหน้าท่ีโคช้ เพราะผู้บริหารเป็นบุคคลที่จะสร้างความร่วมมือให้เกิดข้ึนกับ คณะครใู นโรงเรียน ไมใ่ ชโ่ ค้ช 3.2 ผู้บริหารต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดข้ึนในโรงเรียน บุคลากรทุกคนในโรงเรียนหรือครูทุกคน และผู้บริหาร เป็นนักเรียนท่ีต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อ ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของนักเรยี น 3.3 ผู้บริหารต้องมีส่วนร่วมในการโค้ชทุกขั้นตอนของการโค้ช คาถาม และ การอภิปรายร่วมกันระหว่างผู้บริหาร โค้ช และครู คือ เราต้องการให้นักเรียนของเราเรียนรู้และพัฒนา เร่ืองใด เราจะรไู้ ด้อยา่ งไรว่านกั เรยี นของเราเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตามเปูาหมาย เราจะช่วยนักเรียนท่ี มีปัญหาในการเรียนด้วยวิธีใหม่ ๆ อย่างไร การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และจุดเน้น การโค้ชจาก การปรับปรุงพัฒนาครูให้ได้ตามมาตรฐานการจัดการเรียนรู้ ให้เป็นการปรับปรุงพัฒนานักเรียนเป็น สาคัญเป็นเรื่องใหม่ โค้ชทาหน้าท่ีโค้ชโดยลาพังไม่ได้ โรงเรียนต้องมีผู้นาเคียงข้างร่วมมือตลอดเวลา จึงจะทาใหก้ ารพัฒนาผลการเรียนของนักเรียนเพื่อนักเรยี นโดยโรงเรยี นประสบผลสาเร็จ 4. ขั้นตอนการโคช้ ทเ่ี น้นนกั เรียนเปน็ สาคัญ 4.1 ร่วมกันระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือวิเคราะห์ข้อมูลการเรียนรู้ของ นกั เรียนที่สมั พันธก์ บั มาตรฐานการเรียนรู้

26 4.2 วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน โดยเปรียบเทียบกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ 4.3 จดั การเรยี นการสอนทตี่ อบสนองต้องความต้องการของนักเรียน 4.4 วัดและประเมินผลหลังเรียน เพ่ือตรวจสอบตัดสินว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้ ตามจุดประสงค์การเรยี นรู้ท่ีกาหนดหรือไม่ การนิเทศแบบโค้ช ซึ่งเป็นการนิเทศที่ผู้วิจัยได้นามาใช้ในการพัฒนารูปแบบ การนิเทศการจดั กจิ กรรมและประเมนิ การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เนื่องจากว่าการนิเทศแบบโค้ช ผู้ที่ทาการนิเทศและผู้รับการนิเทศได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากกว่าการนิเทศในรูปแบบอ่ืนๆ ผู้รับ การนิเทศได้มีโอกาสพูดแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มท่ี ส่วนใหญ่ผู้นิเทศจะเป็นฝุายรับฟังมากกว่าพูด มีการแลกเปล่ียนแสดงความคิดเห็น ซักถามพูดคุยในประเด็นท่ีนิเทศ นอกจากนี้ในเร่ืองของการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เพื่อพัฒนาความสามารถการจัดกิจกรรมและประเมินของครูผู้สอน ส่งเสริม ความสามารถทางด้านภาษา (literacy) ความสามารถทางด้านเหตุผล (Reasoning Abilities) โดยเน้นนกั เรียนเป็นสาคัญ การนเิ ทศท่ีเหมาะสมทีส่ ดุ คือ การนเิ ทศแบบโคช้ 2.1.3 ทฤษฎีเกย่ี วกับการนเิ ทศการสอน การนิเทศการสอน เป็นกระบวนการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับ การนิเทศเพื่อท่ีจะพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการจัดการศึกษา และจัดการเรียนการสอนของครูเพ่ือให้ ได้มาซึ่งประสิทธิผลในการเรียนของนักเรียน กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในการนิเทศการสอนมีความจาเป็น อย่างมากที่จะต้องนาทฤษฎีเกี่ยวกับการนิเทศการสอนมาเป็นฐานคิดในการพัฒนาระบบของ การนิเทศการสอน ทั้งน้ี เนื่องจากการนิเทศการสอนเป็นพฤติกรรมท่ีเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์และ มีความเก่ียวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง ดังนั้น จึงมีความจาเป็นที่ต้องศึกษาทฤษฎีต่างๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการนเิ ทศการสอน เพื่อท่ีจะนามาพิจารณาถึงความสอดคล้องเหมาะสมในการพัฒนาครู ให้ตรงกับสภาพและความต้องการในการพัฒนาเทคนิคการนิเทศการสอน จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับการนิเทศการสอนของนักคิด นักการศึกษา และนักจิตวิทยา สามารถสรุป สาระสาคัญของทฤษฎตี ่าง ๆ ดังนี้ (1) ทฤษฎีการเปล่ียนแปลง การนิเทศการสอนมีเปูาหมาย เพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยการช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและการปฏิบัติงานของครู และบุคลากร ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ใหส้ ง่ ผลถึงคุณภาพของนกั เรยี นและคุณภาพของการศึกษาเปน็ สาคญั ดงั นั้นใน การ พัฒนารปู แบบการนเิ ทศการสอนในคร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ได้ศึกษาหลกั การ แนวคิด ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของ นักคิด นกั การศกึ ษา และนักจิตวิทยา เพื่อเป็นพ้ืนฐานท่ีจะนาไปประกอบกับเทคนิคและทักษะในการ นิเทศ อาทิเช่น Bennis, Warren G., Benne and Chin R. (1969 : 34-35), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 33-34) ได้เสนอยุทธวิธีท่ัวไปของการเปลี่ยนแปลงไว้ 3 ยุทธวิธี คือ 1) ยุทธวิธีการใช้หลัก เหตุผลและข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีความเช่ือว่า มนุษย์สามารถจะทาตามความสนใจของตนเองให้ ปรากฏชัดเจนได้การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น จากท่ีตัวบุคคล กลุ่มบุคคลรู้ดีว่าตนเองมีความประสงค์ และเห็นว่ามีผลดีตามความสนใจของตนเอง 2) ยุทธวิธีการให้การศึกษาใหม่หรือให้ความรู้ใหม่ โดยมี ความเชื่อว่า มนุษย์มีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ยึดความเป็นเหตุผล และความฉลาดของมนุษย์ โดยท่ี

27 แบบแผนการปฏิบัติใดๆจะได้รับการสนับสนุนหรือเป็นผลมาจากบรรทัดฐานทางสังคมที่บุคคลน้ัน ยอมรับและยดึ เปน็ แนวปฏบิ ัติ และ 3) ยทุ ธวิธใี นการใช้อานาจและการควบคมุ กล่าวคือ เปน็ การใช้อทิ ธิพล ของตาแหนง่ หนา้ ทแี่ ละใช้ข้อมูลที่ไม่สามารถคัดค้านหรือปฏิเสธได้ นอกจากนี้กระบวนการเปล่ียนแปลงยัง ประกอบด้วย 3 ขั้น คือ 1) ขั้นละลายความเคยชิน 2) ขั้นการเปลี่ยนแปลง 3) ข้ันทาให้อยู่อย่างมั่นคง นอกจากนีป้ จั จยั ท่ีส่งผลกระทบตอ่ การเปลีย่ นแปลงมาจาก 2 สาเหตุ คอื สาเหตุจากภายนอกและสาเหตุจาก ภายใน ซึ่งการเปล่ียนแปลงที่มาจากภายนอกอาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ สะสมจนทาให้เกิดการ เปล่ยี นแปลง จากลักษณะท่ีสาคัญของทฤษฎี สรุปได้ว่า ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงมีลักษณะของ การผสมผสานกัน ดังน้ันการเลือกใช้ทฤษฎี หลักการในการเปล่ียนแปลงสาหรับการนิเทศ จาเป็น จะต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงในทุกองค์ประกอบ ท้ังน้ี เพื่อปฏิบัติหน้าท่ีในการนิเทศ ใหม้ ีประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลสูงสดุ (2) ทฤษฎแี รงจงู ใจ ทฤษฎีแรงจูงใจที่ได้รับการยอมรับและกล่าวขวัญกันคือ ทฤษฎีแรงจูงใจของ Maslow และทฤษฎีแรงจูงใจของ Herzberg, F. โดยที่ Maslow ได้จาแนก ความต้องการของมนุษย์เรียงลาดับจาก ความตอ้ งการพืน้ ฐานจนถึงความต้องการสุดยอด 5 ประการ คือ 1. ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) 2. ความต้องการความปลอดภัย หรอื สวัสดิภาพ (Safety Needs) 3. ความต้องการความรักและการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ (Belongingness and love Needs) 4. ความต้องการได้รบั ความนบั ถือจากผู้อน่ื (Esteem Needs) 5. ความต้องการความเป็นตัวตนเองอันแท้จริงของตนเอง และต้องการท่ีจะพัฒนา ตนเองอย่างเต็มศักยภาพ (Self-actualization Needs) เป็นความต้องการข้ันสุดท้าย ซึ่งเป็น ความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์ ความต้องการของมนุษย์ทั้ง 5 ประเภทนี้อาจจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ในบางประเภท เช่น ความต้องการทางสังคม และความสาเร็จในตัวเอง หรือความต้องการทางกาย และ ความต้องการทางสงั คม ในทานองเดียวกัน Herzberg at el. (1959 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 68) ได้เสนอทฤษฎีแรงจูงใจสององค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านแรงจูงใจ (Motivation Factors) ได้แก่ โอกาสและความเป็นไปใน การเจริญก้าวหน้า การได้เลื่อนระดับหรือความก้าวหน้าในหน้าท่ีการงาน การไดร้ ับการยกยอ่ ง ยอมรบั การได้รับมอบหมายใหร้ ับผดิ ชอบ และผลสาเร็จหรือการประสบผลสาเร็จ ส่วน องคป์ ระกอบดา้ นสขุ ภาพศาสตร์ (Hygiene Factors) ประกอบด้วย เงนิ เดือนคา่ จา้ ง สภาพการทางาน ความ ปลอดภัยหรือสวัสดิการในการทางาน ชีวิตส่วนตัว นโยบายของโรงเรียนและการบริหาร การนิเทศและ เทคนิควิธีการนิเทศ ความสัมพันธ์ระหวา่ งบคุ คลในหน่วยงาน และฐานะหรือสถานภาพของบุคคล ส่วน Mc Gregor, Douglas (1960 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 68) ได้เสนอ ข้อสมมติเก่ียวกับมนุษย์ใน 2 ลักษณะ คือ ทฤษฎี X กล่าวว่า มนุษย์ท่ัวไปมีนิสัยประจาตัวก็คือ ไม่อยาก ทางานและพยายามที่จะหลีกเล่ียงงานเท่าท่ีจะทาได้ ต้องมีการบังคับควบคุมชี้แนะ และขู่เข็ญ ด้วยการลงโทษ รวมทั้งไมช่ อบท่ีจะถูกชแ้ี นะ ปรารถนาทจี่ ะหลกี เล่ียงความรบั ผิดชอบ มีความทะเยอทะยาน

28 นอ้ ย มีความต้องการความปลอดภยั มากท่ีสุด และทฤษฎี Y กล่าวคือ การใช้ความพยายามทางด้านร่างกาย และจติ ใจในการทางานเป็นเรอ่ื งธรรมชาติ การควบคมุ ภายนอกและการทาให้หวาดกลัวโดยการลงโทษไม่ใช่ เป็นวิธีการทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรการมีข้อผูกมัดกับจุดประสงค์ในการทางานเป็นวิธีการให้ รางวัลชนิดหน่ึงซ่ึงมีความเกี่ยวข้องกับความสาเร็จ มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ภายใต้ภาวการณ์ท่ีเหมาะสม ความสามารถในการใช้จิตนาการ ความจริงใจ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ไขปัญหาภายในองค์กรจะเป็นไป อยา่ งกวา้ งขวาง ไมใ่ ชภ่ ายในขอบเขตจากัด จากการศึกษาทฤษฎีแรงจูงใจ สรุปได้ว่า ในการนิเทศงานจาเป็นต้องคานึงถึง ธรรมชาติของมนุษย์ท่ีแท้จริง และความต้องการของผู้รับการนิเทศ หรือครูตามความต้องการพ้ืนฐาน ในข้ันความต้องการท่ีจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า และความต้องการที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงและ ความต้องการท่ีจะพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ ซ่ึงต้องอาศัยทฤษฎีแรงจูงใจต่างๆ มาประกอบกับ การปฏิบัตงิ านนเิ ทศด้วย โดยมงุ่ เนน้ ทงั้ ด้านงานและจิตใจ รวมท้งั การสรา้ งบรรยากาศในการปฏิบัติงานด้วย (3) ทฤษฎกี ารส่ือสาร การติดต่อสื่อสารมีความจาเป็นและสาคัญต่อการนิเทศการสอน เพราะการนิเทศ การสอนเป็นการปฏิบัติงานเพ่ือช่วยครูในการสอนที่ต้องอาศัยการติดต่อส่ือสารซึ่งกันและกัน การตดิ ต่อส่ือสารเกิดขึ้นในทุกองค์กรอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ เน่ืองจากกระบวนการพูด มีองค์ประกอบท่ี สาคัญ คือ 1) ผู้พูด 2) คาพูด 3) ผู้ฟัง คือ ผู้พูด คาพูด ผู้ฟัง มีจุดเน้นท่ีการกระทาของ ผู้ส่งและผู้รับซ่ึงทาหน้าท่ีอย่างเดียวกันและเปล่ียนบทบาทกันไปมาในการเข้ารหัสสาร การแปล ความหมาย และการถอดรหัสสาร นอกจากนั้น วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 165) กล่าวว่าการสื่อสาร เป็นการส่ือ ความหมายระหวา่ งกัน ในการนเิ ทศการสอนจงึ เปน็ เรอ่ื งสาคัญ เพราะผู้นิเทศนั้นจะต้องทางานร่วมกับ ครู ต้องพูดคุยปรึกษาหารือกัน ท้ังเป็นแบบทางการและไม่เป็นทางการอยู่ตลอดเวลา มีจุดเน้นท่ี กระทาของผู้ส่งและผู้รับซึ่งทาหน้าท่ีอย่างเดียวกัน และเปลี่ยนบทบาทกันไปมาในการเข้ารหัส การแปลความหมาย และการถอดรหัส ซึ่งในการสื่อสารน้ันจะต้องตอบคาถามต่อไปน้ีให้ได้ คือ ใคร พูดอะไร โดยวิธีการและช่องทางใด ไปยังใคร ด้วยผลอะไร จากคาถามดังกล่าว สรุปว่าการพัฒนา ทฤษฎกี ารส่ือสารโดยมีประเด็นทพ่ี ิจารณาว่าผูส้ ง่ จะสง่ สารอย่างไร และผู้รับจะแปลความหมาย และมี การโต้ตอบสารน้ันอย่างไร เรียกว่าทฤษฎี S M C R ประกอบด้วย ผู้ส่ง (Source) ข้อมูลข่าวสาร (Message) ช่องทางในการส่ง (Channel) ผู้รับ (Receiver) อันเป็นองค์ประกอบสาคัญของการ สือ่ สาร จากการศึกษาทฤษฎีการสื่อสาร สรุปได้ว่า ในการนิเทศการสอนในโรงเรียนนั้น บรรยากาศโรงเรียนแบบเปิด วัฒนธรรมโรงเรียนที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ การปฏิบัติงานร่วมกัน การยอมรบั ซงึ่ กันและกนั มีความสาคัญต่อการนิเทศให้บรรลุผลสาเร็จ รวมท้ังการติดต่อส่ือสารต่อกัน ท่ีมปี ระสิทธผิ ล ย่อมสรา้ งความเข้าใจตรงกันท่ีสาคญั ท่ีสดุ คอื การสอ่ื สารที่ดีตอ่ กนั (4) ทฤษฎมี นุษย์สัมพนั ธ์ นักคิดนักการศึกษา และนักจิตวิทยาได้กล่าวถึง ทฤษฎีมนุษย์สัมพันธ์ของ Elton Mayo (อ้างถึงใน Sergiovanni and Stratt 1988 : 8-10) ได้ศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ใน การทางานท่ีไม่ได้ข้ึนอยู่กับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจหรือการจูงใจทางด้านการเงินเท่านั้น

29 แต่ยงั ข้นึ อยู่กบั ความต้องการทางดา้ นจติ ใจ หรือเร่ืองราวทางด้านสังคมที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเงินโดยตรง ด้วยและยังศึกษาถึง “Hawthorne Studies” ในประเด็นปัจจัยด้านปทัศถานทางสังคม พฤติกรรม ของคนถูกกาหนดตามสัมพนั ธภาพในกลุ่ม และผนู้ าอยา่ งไม่เปน็ ทางการ ส่วน Maslow (1954 อ้างถึงใน Glickman, Gordon and Ross-Gordon 1995 : 156) มแี นวคิดท่มี นุ่ เน้นกระบวนการในการจูงใจ (Process Theory of Motivation) เพ่ือ หาคาตอบว่าจะมีวิธีการจูงใจอย่างไรท่ีจะทาให้คนมีพฤติกรรมตามที่เราต้องการได้ ซ่ึงนามาเป็นหลัก ทางด้านมนุษย์สัมพันธ์ ตามทฤษฎีลาดับความต้องการของ Maslow’s Hierarchy of Needs Theory บนสมมติฐาน 3 ข้อ คือ 1) บุคคลคือส่ิงมีชีวิตที่มีความต้องการ 2) ความต้องการ ถู ก เ รี ย ง ล า ดั บ ต า ม ค ว า ม ส า คั ญ จ า ก ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร พ้ื น ฐ า น ไ ป จ น ถึ ง ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ที่ ซั บ ซ้ อ น และ3) บุคคลจะก้าวสู่ความต้องการในระดับต่อไปเม่ือความต้องการระดับต่าลงมาได้รับ การตอบสนองแลว้ (5) ทฤษฎีภาวะผู้นา ในการนิเทศการสอน ผู้นิเทศจะต้องใช้ภาวะผู้นาในการนิเทศอย่างเหมาะสม เพ่ือให้การนิเทศประสบผลสาเร็จและบรรลุตรงตามเปูาหมาย ดังน้ัน ผู้นิเทศจะต้องรู้และเข้าใจ เก่ียวกับภาวะผู้นา ประเภทผู้นา และการใช้ภาวะผู้นาในการส่งเสริมเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การปฏิบัติงานของครู ให้ส่งผลถึงคุณภาพของนักเรียนมากที่สุด เกี่ยวกับเร่ืองน้ี Mc Gregor, Douglas (1960 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 58) ได้กล่าวถึงลักษณะของผู้นา ตามแนวทฤษฎี X และ ทฤษฎี Y และได้เสนอขอ้ สมมตฐิ านเกยี่ วกับมนุษย์ใน 2 ลักษณะ คือ ทฤษฎี X กล่าวว่า มนุษย์ทั่วไปมี นิสัยประจาตัวก็ คือ ไม่อยากทางานและพยายามที่จะหลีกเล่ียงงานเท่าที่จะทาได้ ต้องมีการบังคับ ควบคุมชี้แนะ และขู่เข็ญด้วยการลงโทษ รวมทั้งไม่ชอบท่ีจะถูกชี้แนะ ปรารถนาที่จะหลีกเล่ียง ความรับผิดชอบ มีความทะเยอทะยานน้อย มีความต้องการความปลอดภัยมากที่สุด และทฤษฎี Y กล่าวคือ การใช้ความพยายามทางด้านร่างกายและจิตใจในการทางานเป็นเร่ืองธรรมชาติ การควบคุม ภายนอกและการทาให้หวาดกลัวโดยการลงโทษไม่ใช่เป็นวิธีการทาให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร การมีข้อผูกมัดกับจุดประสงค์ในการทางานเป็นวิธีการให้รางวัลชนิดหนึ่งซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับ ความสาเร็จ มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ภายใต้ภาวการณ์ท่ีเหมาะสม ความสามารถในการใช้จินตนาการ ความจริงใจ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ไขปัญหาภายในองค์กรจะเป็นไปอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ภายใน ขอบเขตจากัด นอกจากนั้น Hersey P. and Blanchard K. (1977 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 65) ได้เสนอรูปแบบภาวะผู้นา 4 แบบ ซึ่งเน้นพฤติกรรมการทางาน (Task Behavior) กับ พฤติกรรมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Relationship Behavior) คือ 1) ให้ความสาคัญกับงานสูง และใหค้ วามสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลต่า จัดเปน็ การใช้ภาวะผูน้ าแบบเผดจ็ การ 2) ให้ความสาคัญกับงาน และให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสูง จัดเป็นการใช้ภาวะผู้นาแบบประชาธิปไตย 3) ให้ความสาคัญ กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสูง และความสาคัญกับงานต่า และ4) ให้ความสาคัญกับงานและให้ ความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลตา่ จัดเป็นการใชภ้ าวะผู้นาแบบปลอ่ ยปละละเลย จะเห็นได้ว่าทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับความสาเร็จของการนิเทศ ย่อมขึ้นอยู่กับ ความสามารถ และรูปแบบของความเป็นผู้นา โดยการรู้จักในส่ิงจูงใจเป็นเครื่องกระตุ้นใน

30 การปฏิบตั งิ าน การให้ความร่วมมือ ดังนั้น ภาวะผู้นา จึงเป็นเทคนิคหน่ึงท่ีจาเป็นของผู้นาและผู้นิเทศ จะตอ้ งเลือกใชท้ ้งั รปู แบบภาวะผ้นู าใหเ้ หมาะสมกับคนและกลุม่ คน (6) ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องผ้ใู หญ่ พัฒนาการของผู้ใหญ่ในด้านการเรียนรู้และความเจริญก้าวหน้าน้ัน เป็นไป ตามลาดับข้ันตอน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ของผู้ใหญ่จาเป็นต้องคานึงถึงการ เปล่ียนแปลงลักษณะของความรู้ ความสามารถ ความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่กับสภาพแวดล้อมด้วย และ ผู้ใหญ่แต่ละคนจะมีระดับความคิดรวบยอดที่แตกต่างกันตามลาดับ เก่ียวกับเรื่องนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 38) ได้ให้แนวคิดในการพัฒนาความคิดรวบยอดของผู้ใหญ่ ดังนี้ คือ 1) ความคิดรวบยอด ระดบั ต่าเป็นบคุ คลทม่ี ีความสามารถในการคดิ ท่เี ปน็ รปู ธรรม เชน่ สามารถประเมนิ สิ่งต่างๆ ด้วยเกณฑ์ ธรรมดาง่ายๆ ไม่สามารถนิยามปัญหาได้ จาเป็นต้องแสดงวิธีทาให้ดูหรือแสดงวิธีการแก้ปัญหาให้ดู เป็นตัวอย่าง 2) ความคิดรวบยอดระดับปานกลาง เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการคิด เชิง นามธรรมได้มากข้ึน ได้แก่ อธิบายหรือนิยามปัญหาได้ และคิดวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมได้ในจานวนท่ี จากัด แต่ยังไม่มีการวางแผนแกปัญหาท่ีชัดเจน 3) ความคิดรวบยอดระดับสูง เป็นบุคคลที่มีลักษณะ เป็นนักคิดที่ละเอียดลออ สามารถคิดเชิงนามธรรมระดับสูง เป็นตัวของตัวเอง เช่ือม่ันในตัวเอง มคี วามรู้ มีความยืดหยุน่ และมคี วามสามารถในการบรู ณาการเร่อื งต่างๆ เข้าดว้ ยกนั ได้ กล่าวโดยสรุป ผู้ใหญ่ท่ีมีความคิดรวบยอดระดับสูงจะมีลักษณะการเรียนรู้ที่ แตกต่างกันจากผู้ใหญ่ท่ีมีความคิดรวบยอดระดับต่า โดยเฉพาะในประเด็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ และเทคนิควิธีการท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้ นอกจากนั้นการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ยังมีความสัมพันธ์ เกี่ยวโยงกับการนิเทศและผู้นิเทศโดยตรง ดังนั้นหากผู้นิเทศที่มีความรู้เกี่ยวกับผู้ใหญ่ พัฒนาการของ ผู้ใหญ่และแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ก็จะช่วยให้การนิเทศการสอนของครู เกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากข้ึน ซึ่งสอดคล้องกับการนิเทศแบบ พฒั นาการของ Glickman at el. (2004 อา้ งในวัชรา เล่าเรียนดี, 2550 : 36-37) ที่ให้ความสาคัญกับ ครู และการเลือกใช้วธิ ีการนเิ ทศทเี่ หมาะสมกบั ครูแต่ละแบบ ในการนเิ ทศการสอนความร้เู กยี่ วกับผใู้ หญ่และแนวทางการพัฒนาผูใ้ หญ่ หาก ผู้นิเทศมีความรู้ เกี่ยวกับผู้ท่ีจะทาการช่วยเหลือแนะนาหรือร่วมปฏิบัติงานด้วย ก็จะช่วยทาให้การ ดาเนินการนิเทศเป็นไปได้ง่าย และมีแนวโน้มจะประสบผลสาเร็จมากกว่าการไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ผใู้ หญห่ รอื ครูเลย นอกจากนั้นยังเป็นการส่งเสริมให้ครูมีความก้าวหน้า มีการพัฒนาการ และส่งผลถึง ผลการเรียนรู้ของนักเรียน ซ่ึงวัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 37, 141-142), Glickman at el. (1995 : 80-81), ชิดชงค์ ส.นันทนาเนตร (2549 : 94-96), Wiles, Jon and Joseph B. (2004 : 152 – 153), Knowles, M.S., Holtion and Swanson (1998 : 64-68) ได้สรุปหลักการส่งเสริมและพัฒนาการ เรียนรูข้ องผู้ใหญ่ ดังนี้ 1) ตอ้ งคานงึ ถึงความต้องการทจ่ี ะรหู้ รือความต้องการเรยี นรขู้ องผู้ใหญ่แต่ละบุคคล เป็นหลัก 2) การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ อาศัยความรู้เดิมและประสบการณ์ที่ได้ส่ังสมมาเป็น พน้ื ฐานในการเรียนรู้

31 3) สภาพแวดลอ้ มและความพร้อมในการเรียนรู้ ผู้ใหญ่ต้องการความสะดวกสบาย เหมาะสม ตลอดจนได้รับความไว้วางใจและการใหเ้ กยี รติผเู้ รยี น 4) ความคิดรวบยอดเก่ียวกับตนเอง ผู้ใหญ่มองตนเองว่าเป็นบุคคลที่มี ความรับผิดชอบตอ่ ชีวิตของตนเอง 5) เปาู หมายการเรียนรู้ของผูใ้ หญ่ ผใู้ หญ่จะมีแนวโน้มจะมุ่งเปูาหมายการเรียนรู้ใน เรื่องท่ีเกย่ี วขอ้ งกับวิถชี วี ิตเพ่ือการแก้ปัญหา 6) การเรียนรูข้ องผู้ใหญ่เกดิ จากแรงจูงใจภายในมากกว่าแรงจงู ใจภายนอก จากหลักการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ สรุปได้ว่า ผู้ใหญ่มีลาดับของ การเรียนรู้จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ดังนั้นในการนิเทศการสอนจึงต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจใน เร่ืองการเรียนรู้ของผใู้ หญแ่ ละการพฒั นาการของผ้ใู หญ่ควบคูไ่ ปกบั การใหค้ วามรู้ท่ีเกยี่ วกับการนเิ ทศ 2.1.4 แนวคดิ เกี่ยวกบั การพัฒนารูปแบบ ผวู้ จิ ยั ได้ศึกษาหลกั การแนวคดิ เกยี่ วกับรปู แบบ และการพัฒนารูปแบบ ดังน้ี (1) ความหมายของรปู แบบ คาศัพท์ในภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกรูปแบบมี 2 คา คือ Model และ Paradigm ซ่ึงสงัด อุทรานันท์ (2530 : 11) ได้อธิบายว่า ทั้ง 2 คาน้ี นาไปใช้แตกต่างกัน โดยคาว่า Model ใช้กับทฤษฎีหรือส่ิงที่เกิดขึ้นครั้งแรก แต่หากเป็นการนาไปประยุกต์ใช้ หรือดัดแปลงจากของเดิม เรยี กว่า Paradigm แต่ในปัจจบุ ันนยิ มใชค้ าวา่ Model ทั้งในกรณีทฤษฎีหรือสิ่งท่ีเกิดข้ึนคร้ังแรก และ ในกรณีการนาไปประยกุ ตใ์ ช้ คาว่ารูปแบบหรือ Model ตามพจนานุกรมของ Webster (1970 : 913) ได้ให้ความหมายแบ่งออกเป็น 4 ประการด้วยกัน ได้แก่ 1) แบบจาลองที่ลอกเลียนแบบย่อส่วนจาก วัตถุของจริง ตัวต้นแบบ รูปแบบแรกเริ่ม แบบสมมุติ หุ่นจาลอง หุ่นข้ีผึ้ง 2) บุคคลหรือสิ่งของที่ได้รับ การยกย่องให้เป็นมาตรฐานของความยอดเย่ียม 3) วิถีทางหรือแบบแผน 4) บุคคลที่เป็นแบบให้แก่ ศิลปิน ช่างภาพ หรือนางแบบแสดงเคร่ืองแต่งกาย คาน้ีในภาษาไทยมีคาอ่ืน ๆ ท่ีใช้เรียกใน ความหมายเดียวกันกับรูปแบบ เช่น ต้นแบบ ตัวแบบ แบบจาลอง ซ่ึงนักวิชาการทางการศึกษาหลาย ทา่ นได้อธบิ ายความหมายรปู แบบ ดงั นี้ รูปแบบ หมายถึง แผนผัง แผนภูมิหรือหุ่นจาลอง ซึ่งมีลักษณะการจาลองสภาพ ความเป็นจรงิ ของปรากฏการณ์ เพ่ืออธิบายความสัมพันธ์ท่ซี บั ซ้อนขององค์ประกอบหรือปรากฏการณ์ ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายข้ึน (สงัด อุทรานันท์ (2530 : 11), วิชัย วงษ์ใหญ่ (2537 : 41), Stoner, Jame A. F. and Wankel, Charles. (1986 : 12) รูปแบบจึงเป็นรูปธรรมทางความคิดที่เป็นนามธรรม มลี กั ษณะเป็นโครงสร้างทางความคดิ ท่แี สดงองคป์ ระกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบท่ีสาคัญ ของสิ่งท่ีศึกษา หรือส่ิงท่ีบุคคลใช้ในการหาคาตอบ ความรู้ และความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆ วิจติ รา ปัญญาชัย (2543 : 74), ทศิ นา แขมมณี (2545 : 1) สรุปว่า รูปแบบหมายถึง โครงสร้างของความคิดที่แสดงองค์ประกอบต่างๆ และ ความสัมพนั ธข์ ององค์ประกอบเหล่าน้ัน (2) ประเภทของรูปแบบ Keeves (1988, อ้างถึงใน วิจิตรา ปัญญาชัย 2543 : 74) จาแนกประเภท รูปแบบทางการศึกษาและสังคมศาสตร์ ออกเป็น 4 ประเภท ดงั นี้

32 1. รปู แบบเชิงเทียบเคียง (Analogue Model) เปน็ รูปแบบท่ีใช้ในการอปุ มาอุปไมย เทียบเคียง ในการอธิบายปรากฏการณ์ที่เป็นนามธรรม เพ่ือสร้างความเข้าใจเชิงรูปธรรม โดยใช้ หลักการเทียบเคียงโครงสร้างของรูปแบบให้สอดคล้องกับลักษณะข้อมูลหรือความรู้ท่ีมีอยู่ ซ่งึ องคป์ ระกอบของรูปแบบต้องมีความชัดเจน สามารถนาไปทดสอบขอ้ มลู เชงิ ประจักษ์ได้ 2. รปู แบบเชิงข้อความ (Semantic Model) เป็นรปู แบบที่ใชภ้ าษาเปน็ สอ่ื ในการบรรยาย หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาด้วยภาษา แผนภูมิ หรือรูปภาพ เพ่ือให้เห็น โครงสรา้ งทางความคิด องค์ประกอบและความสมั พนั ธ์ขององค์ประกอบของปรากฏการณ์นัน้ ๆ 3. รปู แบบเชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) เป็นรูปแบบท่ีใชส้ มการทาง คณิตศาสตร์ แสดงความสัมพันธ์ของตวั ประกอบหรือตวั แปร 4. รูปแบบเชงิ สาเหตุ (Causal Model) เปน็ รปู แบบท่พี ฒั นามาจากการวเิ คราะห์ เส้นทาง (path analysis) ร่วมกบั หลักการสร้างรูปแบบเชิงข้อความ โดยอาศัยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องหรือ งานวิจัยทมี่ ีมาแล้ว นามาแสดงความสัมพนั ธเ์ ชงิ เหตแุ ละผลระหว่างตวั แปร ซ่งึ สามารถทดสอบได้ (3) ลักษณะของรปู แบบทีด่ ี Keeves (1988 อ้างถึงใน วิจิตรา ปัญญาชัย, 2543 : 75) ได้สรุปลักษณะของ รูปแบบท่ีดี ดงั น้ี 1. ประกอบด้วยความสมั พันธ์เชงิ โครงสรา้ งระหว่างตัวแปรแตล่ ะตวั 2. นาไปสู่การทานายผล ซง่ึ สามารถตรวจสอบไดด้ ้วยข้อมลู เชิงประจกั ษ์ 3. อธิบายโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงเหตุผลได้อย่างชัดเจน สามารถพยากรณ์ และอธบิ ายปรากฏการณไ์ ดด้ ว้ ย 4. นาไปสูก่ ารสร้างแนวคดิ ใหม่ หรือความสมั พันธใ์ หมใ่ นเรือ่ งที่ศกึ ษา 5. ลกั ษณะรปู แบบของเร่อื งใด ๆ ควรข้ึนกับกรอบทฤษฎขี องเรื่องนน้ั ๆ (4) แนวคดิ การออกแบบและพฒั นารปู แบบ การออกแบบระบบการเรียนการสอน เป็นกระบวนการหนึ่งทีส่ าคญั โดยการนา วิธีการเชิงระบบ (System Approach) มาใช้ในการดาเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล สูงสุด ทั้งนี้เน่ืองจาก“ระบบ”ช่วยให้การดาเนินงานต่างๆ เกิดสัมฤทธิผลตามเปูาหมาย (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 197) ระบบเป็นกลุ่มองค์ประกอบท่ีเช่ือมโยงซ่ึงกันและกัน มุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน ดังน้ัน การนาวิธีเชิงระบบไปใช้กับการออกแบบจะช่วยทาให้เกิดประสิทธิภาพในการนาไปสู่จุดมุ่งหมายทาง การศึกษาได้มากย่ิงข้ึน นอกจากน้ีการตรวจสอบข้อมูลที่ปูอนกลับสู่ระบบเป็นการควบคุมการทางาน ของระบบทาให้การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างคล่องตัวและราบรื่น Kruse (2007 : 1) แบบจาลองท่ีใช้ในการออกแบบทางการศึกษามีอยู่มากมาย ในท่ีนี้ผู้วิจัยได้ทบทวนแบบจาลอง เชิงระบบ 2 ระบบ ดังน้ี 1. แบบจาลองการออกแบบระบบการเรยี นการสอน The ADDIE Model เป็นแบบจาลองทใ่ี ช้วธิ กี ารเชงิ ระบบ ประกอบด้วย ขน้ั ตอนตา่ ง ๆ 5 ข้ันตอน Kruse (2007 : 1) คือ 1.1 ขั้นตอนการวิเคราะห์ (Analysis) วิเคราะห์ความต้องการจาเป็น และ ขอบเขตในการจัดการเรยี นการสอน

33 1.2 ข้ันตอนการออกแบบ (Design) ระบุกิจกรรมการเรียนรู้ การประเมิน การเรยี นรู้ การเลอื กสื่อ และวิธกี ารจดั การเรียนการสอน 1.3 ขั้นตอนการพัฒนา (Development) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนา นวัตกรรมที่ใช้ในการจัดการเรียนรแู้ ละพฒั นาเครื่องมือวดั และประเมนิ ผล 1.4 ขัน้ ตอนการนาไปใช้ (Implementation) เป็นการนาแผนการจดั การ เรยี นรู้ นวตั กรรม และเคร่ืองมอื วดั ผลการเรียนไปใชใ้ นสถานการณ์จรงิ 1.5 ข้ันตอนการประเมินผล (Evaluation) ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ทกุ ระดับสาหรบั การนาไปใชใ้ นคร้ังต่อไป แผนภาพท่ี 2.2 แบบจาลอง The ADDIE Model Analysis Design Development Implementation Evaluation ทม่ี า : Kevin Kruse. Instruction to Instructional Design and the ADDIE Model. (Online). Accessed 19 June 2007. Available from http : www.elearninggurn.com/articles/art1_1.htm. 2. แบบจาลองการออกแบบระบบการสอนของ Dick et al. (2005 : 56) ประกอบดว้ ยองค์ประกอบสาคญั ท้ังสิน้ 10 องคป์ ระกอบ คือ 2.1 กาหนดเปูาหมายการเรยี นการสอน (Identify Instructional Goals) ขน้ั ตอนนเี้ ปน็ ขั้นตอนแรกของการออกแบบในแบบจาลองน้ี เปน็ การกาหนด ว่าต้องการให้นักเรียนสามารถทาอะไรได้บ้างเมื่อเรียนจบบทเรียนแล้ว เปูาหมายการเรียนการสอน อาจไดม้ าจากบัญชีรายการเปาู หมาย ได้มาจากการวเิ คราะห์การปฏบิ ตั ิงาน (Performance analysis) การวิเคราะห์ความต้องการจาเป็น (Needs Assessment) จากประสบการณ์การปฏิบัติงานที่ พบว่า เป็นเร่ืองยากสาหรับนกั เรียน หรือเปน็ ความตอ้ งการในการเรยี นรูใ้ นสิง่ ใหม่ 2.2 วเิ คราะหก์ ารเรยี นการสอน (Analyze Instruction) หลงั จากการกาหนดเปูาหมายการเรียนการสอนแลว้ เปน็ ขน้ั ที่ต้องวเิ คราะห์ ว่าจะต้องดาเนินการต่อไปอย่างไร หากกาหนดเปูาหมายไว้เช่นน้ัน ด้วยการวิเคราะห์ไปทีละลาดับ ขั้นตอน และในข้ันตอนสุดท้ายของการวิเคราะห์การเรียนการสอน เป็นการกาหนดว่า ทักษะ ความรู้ และเจตคตทิ รี่ ู้จักกันในชื่อว่า พฤติกรรมนาเข้า (Entry Behavior) อะไรบ้างที่นักเรียนต้องสามารถทา ได้ก่อนทจี่ ะเรม่ิ การเรียนการสอนครงั้ นี้ 2.3 วิเคราะห์นกั เรียนและบรบิ ท (Analyze learners and Contexts) นอกจากการวิเคราะห์เปูาหมายการเรียนการสอนแล้ว ยงั มีการวเิ คราะหท์ ่ี ตอ้ งดาเนนิ การไปแบบคขู่ นาน คอื การวิเคราะหน์ กั เรยี นและบรบิ ท ทีจ่ ะชว่ ยให้นักเรียนได้เรียนรู้

34 ทักษะและบริบทต่าง ๆ ท่ีจะต้องใช้ ลักษณะต่าง ๆ เช่น ทักษะ ความชอบ เจตคติของนักเรียนจะถูก กาหนดด้วยคุณลักษณะของสถาบัน และแหล่งฝึกทักษะ ข้อมูลท่ีสาคัญเหล่านี้จะมีผลต่อความสาเร็จ ในแตข่ น้ั ตอนของแบบจาลอง โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในขัน้ การพฒั นากลยุทธก์ ารสอน 2.4 เขียนวตั ถุประสงค์เชงิ ปฏบิ ัติ (Write Performance Objective) ขน้ั ตอนนีข้ ้นึ อยูก่ บั ขัน้ การวเิ คราะห์การเรยี นการสอน และพฤติกรรมนาเขา้ ท่ี ระบไุ ว้ เปน็ การเขยี นระบใุ หช้ ดั เจนว่า นักเรยี นจะสามารถทาอะไรได้บ้างในด้านความรู้และการปฏิบัติ เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนแล้ว ข้อความท่ีเขียนขึ้นนี้ได้มาจากทักษะที่ระบุไว้ในข้ันการวิเคราะห์ การเยนการสอน ขนั้ ตอนน้ีจงึ เป็นการระบุทักษะท่ีต้องเรียนรู้ เง่ือนไขที่ต้องปฏิบัติในการพัฒนาทักษะ และเกณฑ์ที่บ่งชี้การบรรลุความสาเร็จ 2.5 พัฒนาเครือ่ งมือประเมนิ ผล (Develop Assessment Instrument) ขน้ั ตอนการพฒั นาเครอ่ื งมือประเมินผลน้ีขึน้ อยู่กบั วตั ถุประสงค์ที่ได้กาหนดไว้ เคร่ืองมือท่พี ฒั นาข้ึนตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ดังกล่าว คือสามารถวัดความสามารถของนักเรียน ได้ตรงตามความต้องการ จุดเน้นหลัก คือ ทักษะท่ีระบุในวัตถุประสงค์กับทักษะที่ต้องการประเมินมี ความสอดคล้องกัน 2.6 พัฒนากลยทุ ธ์การสอน (Develop Instructional Strategy) เป็นการกาหนดกลยทุ ธ์ทต่ี อ้ งใชใ้ นการสอน เพอ่ื ให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ กลยทุ ธ์ จะเป็นองค์ประกอบของการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ได้แก่ 1) กิจกรรมก่อนเรียน 2) การนา เสนอเนื้อหา 3) การมีส่วนร่วมของนักเรียน และ 4) การประเมินผลและติดตามกิจกรรมการเรียน กลยุทธ์ควรอยู่ภายใต้ทฤษฎีการเรียนรู้ และผลการวิจัยเก่ียวกับการเรียนรู้ ลักษณะของสื่อ อุปกรณ์ การเรียนท่ีตอ้ งใช้ในการจัดการเรียนการสอน เน้ือหาที่จะสอน และลักษณะของนักเรียน ส่ิงเหล่านี้ใช้ สาหรับ การพัฒนา การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์และแผนการสร้างปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียน ส่ือการสอน การเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคโนโลยี เช่น เวป็ ไซด์ หรอื หนว่ ยการเรยี นต่างๆ 2.7 พัฒนาและเลือกสอื่ การเรียนการสอน (Develop and select Instructional materials) เป็นข้ันตอนของการใช้กลยุทธ์การสอนในการกาหนดการจัดการเรียน การสอน อันประกอบด้วย คู่มือนักเรียน สื่อการเรียนการสอน และการประเมินผล (ส่ือการเรียน การสอน รวมถึงสื่อทุกชนิด เช่น คู่มือครู หน่วยการเรียนรู้ เคร่ืองฉายภาพข้ามศีรษะ วีดีโอเทป คอมพิวเตอร์ เว็บเพจ สาหรับการเรียนทางไกล ฯลฯ) การตัดสินใจเลือกส่ือข้ึนอยู่กับชนิดของผลลัพธ์ การเรยี นร้แู ละการเข้าถึงสอ่ื เหล่านัน้ 2.8 ออกแบบและประเมนิ ผลระหวา่ งการเรยี นการสอน (Design and Conduct Formation Evaluation of Instruction) หลังจากการออกแบบการสอนเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นขั้นของการประเมินผล โดยการรวบรวมข้อมลู ทีใ่ ช้เพือ่ ระบุวิธีการปรับปรุงการเรียนการสอน การประเมินผลระหว่างการเรียน การสอนน้ี แบง่ ออกเป็น 3 ประเภทดว้ ยกัน คือ การประเมินผลรายบุคคล การประเมินกลุ่มย่อย และ การประเมินผลการทดสอบภาคสนาม (Field-trial Evaluation) แต่ละประเภทของการประเมินผล ทาให้ผู้ออกแบบตอ้ งเตรยี มแบบประเมนิ ท่ีแตกต่างกันออกไปสาหรบั ใช้ในการปรับปรุงการเรยี นรู้

35 2.9 ทบทวนการจัดการเรยี นการสอน (Revise Instruction) ขั้นตอนสดุ ท้ายของการออกแบบและกระบวนการพฒั นา (และเป็นขั้นแรก ของการเริ่มต้นใหม่ของกระบวนการ) คือ ขั้นการทบทวนการจัดการเรียนการสอน ข้อมูลจาก การประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ถูกสรุปและตีความเพื่อระบุประสบการณ์ท่ีแตกต่างกันของนักเรียน ในการบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ และบ่งบอกถงึ ปัจจัยที่ทาให้การจัดการเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพ เส้น ท่ีลากเช่ือมไปยังขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลจากการประเมินเพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนไม่ได้นาไปใช้ เพียงการปรับปรุงการสอนเท่าน้ัน แต่ยังใช้สาหรับการตรวจสอบซ้าถึงความเชื่อถือได้ของ การวิเคราะห์การเรียนการสอน แต่เป็นข้อสมมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมนาเข้า และคุณลักษณะของ นักเรียนและอาจจาเป็นต่อการตรวจสอบซ้าเก่ียวกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและการจัด แบบทดสอบ 2.10 ออกแบบและการประเมนิ ผลภายภายหลงั การเรยี นการสอน (Design and Conduct Summative Evaluation) แมว้ ่าการประเมินผลภายหลังการเรียนการสอน เป็นการรวบรวมการประเมิน ประสิทธภิ าพของการเรยี นการสอน แต่โดยท่ัวไปไม่ได้เป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการออกแบบขั้นตอน นี้เป็นการประเมินค่า หรือคุณค่าของการเรียนการสอน และปรากฏเฉพาะหลังจากการสอนเสร็จสิ้น และได้ประเมิน เพ่ือการพัฒนาการเรียนการสอนในระหว่างกระบวนการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้ว และเป็นการทบทวนการบรรลถุ งึ มาตรฐานทีผ่ ้อู อกแบบไดก้ าหนดไว้ แผนภาพท่ี 2.3 แบบจาลองการออกแบบระบบการเรียนการสอน แบบจาลองการออกแบบระบบการเรียนการสอน การ การทบทวน วเิ คราะห์ การจดั การเรียน การเรยี น การสอน การสอน การ การ การเขยี น การพฒั นา การพัฒนา การพฒั นา การออกแบบ กาหนด วิเคราะห์ วตั ถุ และเลอื กสื่อ และ ผู้เรยี นและ เคร่อื งมอื กลยุทธ์การ การเรยี น เปูาหมาย บริบท ประสงค์ ประเมินผล สอน ประเมินผล การเรยี น เชงิ ปฏิบัติ การสอน ระหว่าง การเรยี น การสอน การสอน การออกแบบ และ การระเมนิ ผล หลงั การเรียน การสอน ท่ีมา Dick et al., The Systematic of Instruction 6thed. (Boston : Pearson, 2005)

36 2.1.5 การจดั การศึกษาทางไกล 1. ความหมายการศึกษาทางไกล เชยี รศรี วิวิธสิริ (2535: 27) กล่าวว่า การศึกษาทางไกล (Distance Education) หมายถึง การเรียนการสอนทีผ่ ูเรยี นเรยี นดวยตนเองอยางอิสระ โดยไมตองติดตอส่ือสารกบั ผูสอนโดยตรงทากจิ กรมการเรียนการสอนโดยอาศัยสอื่ ตางๆ ไมตองมานง่ั เผชญิ หนากันในหองเรียน ผสู อนและผูเรียน จะอยูไกลกันในดานระยะทาง ไมเนนปฏสิ ัมพันธระหวางผูสอนกบั ผูเรยี น การศึกษาทางไกลเปนการ ศกึ ษาที่ยึดหลักการ ผสมผสาน ระหวางสังคมการเรียนรูและสังคมเทคโนโลยที างการศกึ ษาเขาดวยกนั โดยการเรียนการสอนจะอาศัยสอ่ื เปนสาคัญ สมุ าลี สงั ขศรี (2539 : 93) การศึกษาทางไกล หมายถงึ วธิ ีการจดั การศกึ ษาทีผ่ ูเรียนและ ผู สอนไมไดพบกันโดยตรงเปนสวนใหญ แตผูสอนจะถายทอดเนื้อหาวชิ าความรู มวลประสบการณตางๆ ไป ทางสือ่ อาจจะเปนส่ือสงิ่ พิมพ วิทยุ โทรทศั น เทปเสียง วดี ิทศั น คอมพิวเตอร หรืออื่นๆ ผูเรียนจะ รบั ความรู จากส่ือเหลานีใ้ นลักษณะของการเรียนดวยตนเอง พงศประเสรฐิ หกสุวรรณ (2540: 10) ไดใหความหมายวา การสอนทางไกลหมายถึง การ สอนทีผ่ ูเรียนและผูสอนไมจาเปนตองอยูเผชญิ หนากนั แตใชการจัดระบบเพอ่ื ชวยใหผูเรียนสามารถ เรยี นรู ไดดวยตนเองจากสือ่ ตางๆ ทีจ่ ัดให สรุป การศกึ ษาทางไกล หมายถึง วิธกี ารจดั การศึกษาท่ีผูเรยี นและผูสอนไมไดพบกัน โดยตรง แตผูสอนจะถายทอดเนอ้ื หาวิชาความรู มวลประสบการณตางๆ ไปทางส่ือ อาจจะเปน ส่ือสิ่งพิมพ วทิ ยุ โทรทัศน เทปเสียง วิดที ัศน และส่ือคอมพิวเตอรทกุ ประเภท 2. ความสาคัญของการจดั การศึกษาทางไกล 1) เปน็ การเพม่ิ ทางเลอื กในการกระจายโอกาสและยกระดับการศึกษาของผเู้ รยี น 2) เป็นตวั การเปล่ียนแปลงกระบวนวธิ กี ารเรียนร้แู ละการจัดการศึกษาของสังคมในปจั จุบนั และอนาคต 3) ช่วยสรา้ งความเสมอภาคในการเข้าถงึ บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ ช่วยลดอปุ สรรคดา้ นทรพั ยากร สถานท่ี เวลา และบคุ ลากร 4) ช่วยลดภาระของครูท้ังในด้านการเตรยี มการ การใช้เวลา และยังชว่ ยเพ่มิ ประสิทธิภาพใน การจัดการเรียน การสอนให้มีคณุ ภาพ 5) การเรียนการสอนทางไกลสามารถ \"แพร่กระจาย\" และ \"เข้าถึง\" ตัวบุคคลได้อย่าง หลากหลายและกว้างขวาง 3. ปัจจยั สู่ความสาเรจ็ ปัจจยั สู่ความสาเร็จการจัดการศึกษาทางไกลผา่ นดาวเทยี ม โดยใช้ยุทธศาสตร์ 4 5 6 มลู นธิ ิการศึกษาทางไกลผานดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ และสานกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน (2561, หนา้ 22 ) กล่าวถงึ ปจั จยั สู่ความสาเร็จการจดั การศกึ ษาทางไกลผา่ น ดาวเทยี ม โดยใชย้ ุทธศาสตร์ 4 5 6 รายละเอียด ดงั นี้ 4 ข้อพนื้ ฐาน

37 1. สภาพแวดลอ้ มของโรงเรยี นและภายในห้องเรียนต้องสะอาดและเป็นระเบยี บ 2. โทรทศั น์ขนาดเหมาะสมกบั หอ้ งเรียนและจานวนนักเรียน ติดต้ังโทรทัศน์ให้เหมาะสมกับ ระดบั สายตานกั เรียน 3. บทบาทของครูต้องเอาใจใส่ กากับดูแล ช่วยเหลือนักเรียนก่อนเรียน ระหว่างเรียน และ หลงั เรยี น 4. นักเรียนตอ้ งมีสว่ นร่วมกจิ กรรมและตัง้ ใจเรียนรพู้ ร้อมกับนักเรยี นโรงเรียนไกลกงั วล 5 ขอ้ ผบู้ ริหาร ต้องทา 1. วางแผนการบรหิ ารจดั การอย่างเป็นระบบ สง่ เสริม สนับสนนุ การจดั การเรยี นการสอน ทางไกลผ่านดาวเทียมอยา่ งจริงจงั และอานวยความสะดวกให้การจัดการเรยี นการสอน เป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพและตอ่ เนื่อง 2. จดั สภาพแวดลอ้ มของโรงเรยี นและภายในหอ้ งเรียนตอ้ งสะอาดและเปน็ ระเบยี บ 3. ต้องเป็นผนู้ าดว้ ยความมุง่ มนั่ และนาพาครูทุกคน ทุกฝุาย ตระหนัก เห็นความสาคญั และให้ ความร่วมมือดาเนินการอย่างจริงจังต่อเน่ือง 4. กากบั ตดิ ตามการติดต้งั โทรทัศน์ให้มีความสงู เหมาะสมกบั ระดบั สายตานกั เรียน พรอ้ มท้งั จดั หาคมู่ ือครสู อนทางไกลผา่ นดาวเทียมและอปุ กรณท์ ่ีสนับสนนุ ใหก้ ารจดั การเรยี นการสอน เป็นไปดว้ ยความเรยี บร้อย 5. นิเทศ ติดตาม การจดั การเรียนการสอนทุกหอ้ งเรียนอยา่ งสมา่ เสมอ ครูนา 6 ขอ้ ปฏบิ ัติ 1. จดั สภาพหอ้ งเรียนให้เหมาะสมเอ้ือต่อการปฏิบัตกิ จิ กรรมตามแผนการจดั การเรียนรู้ 2. เตรียมการสอนลว่ งหนา้ ท้ังสอื่ วสั ดุ อุปกรณ์ ใบงาน ใบความรู้และกิจกรรมเสรมิ ตามที่คูม่ อื ครสู อนทางไกลผา่ นดาวเทียมกาหนด รวมท้ังมอบหมายงานให้นักเรยี นเตรยี มพร้อมในการ เรยี นครั้งตอ่ ไป 3. รว่ มจดั การเรยี นรไู้ ปพรอ้ มกับครูโรงเรียนต้นทางและตอ้ งเอาใจใส่ กากับ ดูแล แนะนา นักเรยี นใหป้ ฏิบัตกิ จิ กรรมการเรยี นทุกครัง้ 4. สรุปสาระสาคญั รว่ มกับนักเรียนหลงั จากกิจกรรมการเรียนรูส้ ิ้นสุดลงและบันทึกผลการจัดการ เรียนรู้หลงั สอนทุกครงั้ 5. วดั และประเมินผล เม่ือกิจกรรมการเรียนรู้ส้ินสุดในแต่ละครัง้ แตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ ทาให้ ทราบว่าผลการเรยี นรขู้ องนกั เรียนบรรลุจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้หรือไม่ เพ่อื ปรบั ปรงุ แก้ไข ต่อไป 6. จัดกจิ กรรมสอนซ่อมเสริมนอกตารางออกอากาศเพ่ือชว่ ยเหลือนกั เรยี นท่ีไม่บรรลุจดุ ประสงค์ การเรียนรู้หรือให้ความรู้เพ่ิมเตมิ แก่นักเรียน สรปุ ปัจจัยที่จะทาให้การจัดการเรยี นรดู้ ้วยสื่อทางไกลผ่านดาวเทียมประสบผลสาเร็จน้ันผบู้ ริหาร ต้องกากบั ดูแลจัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรยี นและภายนอกห้องเรียนสะอาดเป็นระเบียบเอื้อต่อการ จัดการเรียนรู้ วางแผนการบรหิ ารจัดการอย่างเป็นระบบและต้องนเิ ทศ ติดตามการจัดการเรียนการสอนใน

38 หอ้ งเรียนอย่างสม่าเสมอ เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครผู ้สู อนเตรียมการสอน ล่วงหน้ารว่ มทากิจกรรมไปพร้อมกับโรงเรยี นวังไกลกังวลเอาใจใสด่ ูแลนักเรยี นให้ปฏิบัตกิ ิจกรรมทุกครั้ง ปจั จัยสูค่ วามสาเรจ็ การจดั การศกึ ษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) โดยใช้ยทุ ธศาสตร์ 357 ศนู ย์พัฒนาการศึกษาทางไกล (2561, หน้า 22) กลา่ วถึงปัจจัยสคู่ วามสาเร็จการจัด การศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยสี ารสนเทศ (DLIT) โดยใช้ยุทธศาสตร์ 3 5 7 รายละเอียด ดังนี้ 3 ขอ ตองมี สงิ่ สาคญั 3 ข้อท่ีโรงเรยี นต้องจัดหาให้มเี พ่ือให้ครู นักเรียนและผมู้ ีส่วนเกยี่ วขอ้ ง ได้นาไปใช้ในการดาเนนิ งานการจัดการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ ประกอบด้วย 1. ตองมีโครงสรางพืน้ ฐานที่เอ้อื ตอการจัดการศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยสี ารสนเทศ (DLIT) 2. ตองใชโทรทศั น จอภาพ และคอมพิวเตอรเพื่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช DLIT อยาง คุมคา 3. ตองมีสอ่ื วัสดอุ ปุ กรณสาหรบั นกั เรยี นมเี พียงพอตอการเรียนรูดวยการจัดการศึกษา ทางไกลผานเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) 5 ขอ ตองทา หมายถึง สง่ิ สาคญั 5 ขอทผี่ ูบริหารสถานศึกษาตองทา หรอื ดาเนินการเพ่ือให้การ บริหารจดั การเกีย่ วกบั การจดั การศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยสี ารสนเทศ (DLIT) ประสบผลสาเร็จ ประกอบดวย 1. ตองตระหนักและใหความสาคัญของการจดั การศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยี สารสนเทศ (DLIT) อยางมปี ระสิทธิภาพ 2. ตองเปนผูนา และมวี ิสัยทศั นในการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยี สารสนเทศ (DLIT) 3. ตองสงเสริม สนบั สนนุ การจัดการศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยสี ารสนเทศ (DLIT) 4. ตองนเิ ทศภายใน กากับตดิ ตาม การพฒั นาคุณภาพการศึกษาทางไกล 5. ตองสงเสรมิ การเขารวมเครอื ขายการจดั การศกึ ษาทางไกลผานเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT)

39 7 ขอ ตองปฏิบัติ หมายถึง สิ่งสาคัญ 7 ขอที่ครูผูสอนตองนาลงสูการปฏิบัติเพ่ือใหเกิดการใช การจดั การศกึ ษาทางไกลผานเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) ในการจัดการเรียนการสอนอันนาไปสู่การ พฒั นาศกั ยภาพผูเรยี น ประกอบดวย 1. ตองจัดเตรียมส่ือวัสดุและอุปกรณท่ีจาเปนตอการนาไปใชในกระบวนการเรียนการสอน และการจดั การศกึ ษาทางไกลผานเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) 2. ตองพัฒนาตนเองใหมีความรูเกี่ยวกับการใชการจัดการศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยี สารสนเทศ (DLIT) 3. ตองออกแบบการจัดการเรียนรูโดยใชการจัดการศึกษาทางไกลผานเทคโนโลยีสารสนเทศ (DLIT) ตามความเหมาะสม 4. ตองจัดกิจกรรมการเรียนรูและใหนักเรียนเขาถึงการจัดการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยี สารสนเทศ (DLIT) ตามความเหมาะสม 5. ตองวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ ดวยวิธกี าร เคร่อื งมือท่ีหลากหลายครอบคลุม มาตรฐาน และตวั ชวี้ ดั หลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูในแตละครั้ง แตละหนวยการเรียนรู เพอื่ ให ทราบถึง ผลการเรียนรูของนักเรียน 6. ตองนาผลการวดั และประเมินมาวเิ คราะหจดุ เดน จุดดอย และวางแผนการสอน ซอมเสริม โดยใชการจดั การศกึ ษาทางไกลผานเทคโนโลยสี ารสนเทศ (DLIT) ตามความเหมาะสม 7. ตองเขารวมเครอื ขายชมุ ชนการเรียนรูครมู อื อาชีพ เพื่อเผยแพร และแลกเปล่ียนเรียนรู ใน อันท่ีจะไดนาองคความรูตางๆ ไปใชในการปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนา คุณภาพการศึกษา 2.1.6 แนวคดิ เกี่ยวกบั ความพงึ พอใจ มีนักวชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายเก่ียวกบั ความพงึ พอใจ ดังนี้ ศุภสิริ โสมเกตุ (2544 : 49) ; สุพจน์ ศรนารายณ์ (2548 : 5) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติส่วนบุคคลที่มีต่อการทางานหรือการปฏิบัติกิจกรรมในเชิงบวก ดังนั้นความพอใจในการเรียนรู้ จึงหมายถึง ความรู้สึกพอใจ ชอบใจในการร่วมปฏิบัติกิจกรรม การเรียนการสอนและต้องการดาเนินกิจกรรมน้ันๆ จนบรรลุผลสาเร็จ อันมีผลสืบเนื่องมาจาก องค์ประกอบหรือปัจจัยอ่ืน ๆ ในการปฏิบัติงาน เช่น ลักษณะงาน สภาพแวดล้อมในการทางาน ประโยชน์ คา่ ตอบแทนและอื่นๆ ถ้าองค์ประกอบต่างๆ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของบุคคล ได้เหมาะสมก็จะมีผลให้เกิดความพึงพอใจ บุคคลจะมีความพึงพอใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ความตอ้ งการของแต่ละบุคคล และองคป์ ระกอบที่เปน็ สิง่ จูงใจในท่ีมอี ยู่ในงานน้นั ด้วย นอกจากนแ้ี ลว้ Applewhite P.B. (1965 : 6), Good C.V. (1973 : 13), Wolman B.B. (1973 : 384) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจท่ีเป็นผลมาจากความสนใจ และเป็นความสุขท่ีได้รับจาก สภาพแวดล้อมทางกายภาพในการทางาน ความสุขในการทางานร่วมกับเพ่ือน การมีทัศนคติที่ดีต่อ งานและความพอใจเกีย่ วกบั รายไดซ้ ึ่งเปน็ เจตคติของบุคคล สรุปความพึงพอใจ คือ สภาพความรู้สึกนึกคิดหรือเจตคติในทางท่ีดีของบุคคลที่มี ต่อการให้บริการด้านใดด้านหนึ่ง เป็นพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ท่ีเกิดข้ึนจากภายในจิตใจ

40 ของบุคคล ได้แก่ ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อการได้รับส่ิงที่ต้องการ มีความพอใจ มีความกระตือรือรน้ ที่จะปฏบิ ัติกิจกรรมอย่างต่อเนอื่ ง เพอ่ื ให้การดาเนินกจิ กรรมน้ันบรรลุผลสาเรจ็ 2.2 นโยบายและยุทธศาสตร์ 2.2.1 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทาแผนพัฒนา เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) สาหรับใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศไทย ในระยะ 5 ปี ซ่ึงเป็นการแปลงยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพ่ือเตรียม ความพร้อมและ วางรากฐานในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความ ม่ันคง มั่งค่ัง ย่ังยืน ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาประเทศในระยะ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 -2564) ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย 10 ยุทธศาสตร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน 6 ยทุ ธศาสตร์ สรปุ ได้ ดังน้ี ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ให้ความสาคัญกับการ วางรากฐาน การพัฒนาคนให้มีความ สมบูรณ์เร่ิมตั้งแต่กลุ่มเด็กปฐมวัยที่ต้องพัฒนาให้มีสุขภาพกาย และใจทดี่ ี มีทักษะทางสมอง ทักษะการเรียนรู้ และทักษะชีวิตเพ่ือให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ควบคู่กับ การพฒั นาคนไทยในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดีมีสุขภาวะที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรมมีระเบียบวินัยมีจิตสานึก ที่ดีต่อสังคมส่วนรวมมีทักษะความรู้และความสามารถปรับตัวเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงรอบตัวท่ี รวดเร็ว บนพ้นื ฐานของการมสี ถาบนั ทางสงั คมที่เข้มแข็งทั้งสถาบันครอบครัวสถาบันการศึกษาสถาบัน ศาสนาสถาบันชุมชน และภาคเอกชนท่ีร่วมกันพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีคุณภาพสูงอีกทั้งยังเป็นทุนทาง สงั คมสาคัญ ในการขบั เคลอื่ นการพัฒนาประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้าในสังคม ให้ความสาคัญ กับการดาเนินการยกระดับคุณภาพบริการทางสังคมให้ท่ัวถึงโดยเฉพาะอย่ างย่ิงด้านการศึกษาและ สาธารณสขุ รวมทั้งการปดิ ชอ่ งวา่ งการค้มุ ครองทางสังคมในประเทศไทยซ่ึงเป็นการดาเนินงานต่อเน่ือง จากท่ีได้ขับเคลื่อนและผลักดันในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 และมุ่งเน้นมากข้ึนในเรื่องการเพ่ิม ทักษะแรงงานและการใช้นโยบายแรงงานที่สนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและเสริมสร้างรายได้ สูงขึ้น และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนในเรื่องการสร้าง อาชีพ รายได้และให้ความช่วยเหลือที่เชื่อมโยง การเพ่ิมผลิตภาพสาหรับประชากรกลุ่มร้อยละ 40 รายไดต้ า่ สุด ผู้ด้อยโอกาส สตรแี ละผสู้ ูงอายุ อาทิการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาด ย่อม วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพ่ือสังคม การพัฒนาองค์กรการเงิน ฐานรากและการเข้าถึงเงินทุน เพื่อสรา้ งอาชพี และการสนับสนนุ การเขา้ ถงึ ปัจจัยการผลิตคุณภาพดีท่ีราคาเป็นธรรม เป็นต้น และใน ขณะเดียวกันก็ต้องเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้งบประมาณเชิงพื้นที่และบูรณาการเพื่อการลดความ เหล่อื มล้า ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างย่ังยืน ประเด็นท้าทายท่ีต้องเร่งดาเนินการในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 ได้แก่ การสร้างความมั่นคงของ ฐานทรัพยากรธรรมชาติและยกระดับคุณภาพส่ิงแวดล้อม เพ่ือสนับสนุนการเติบโตที่เป็นมิตรกับ

41 ส่ิงแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน เร่งแก้ไขปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อมเพ่ือลดมลพิษท่ีเกิดจาก การผลิต และการบริโภคพัฒนาระบบบริหารจัดการที่โปร่งใสเป็นธรรม ส่งเสริมการผลิตและการ บริโภคท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมเป็นวงกว้างมากข้ึน ต้องเร่งเตรียมความพร้อมในลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกและเพ่ิมขีดความสามารถ ในการปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้ง บรหิ ารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงด้านภยั พบิ ตั ทิ างธรรมชาติ ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความ มั่งคั่งและย่ังยืน ให้ความสาคัญต่อการฟื้นฟูพื้นฐานด้านความมั่นคงท่ีเป็นปัจจัยสาคัญต่อการพัฒนา ทางเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติของผู้มีความเห็นต่าง ทางความคิดและอุดมการณ์บนพ้ืนฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระม หากษัตริย์ เป็นประมขุ และการเตรียม การรบั มอื กบั ภัยคุกคามขา้ มชาติซึ่งจะส่งผลกระทบอย่าง มีนัยยะสาคัญต่อ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะ 20 ปีข้างหน้า ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 6 การบรหิ ารจัดการในภาครฐั การปอู งกนั การทุจรติ ประพฤติมิชอบและ ธรรมาภิบาลในสังคมไทย เป็นช่วงเวลาสาคัญที่ต้องเร่งปฏิรูป การบริหารจัดการภาครัฐให้เกิดผล สมั ฤทธ์ิอย่างจริงจงั เพอื่ ให้เป็นปัจจัยสนับสนนุ สาคญั ท่ีจะชว่ ยสง่ เสริมการพัฒนาประเทศในทุกด้านให้ ประสบผลสาเร็จบรรลุเปูาหมาย ทั้งการบริหารจัดการภาครัฐให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ รับผิดชอบ ตรวจสอบได้อย่างเป็นธรรม และประชาชนมีส่วนร่วม มีการกระจายอานาจ และแบ่งภารกิจ รับผดิ ชอบท่เี หมาะสมระหว่างส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถ่ิน และวางพื้นฐานเพ่ือให้บรรลุตามกรอบ เปาู หมายอนาคตในปี 2579 ยุทธศาสตร์ท่ี 8 การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยวี จิ ยั และนวตั กรรมใหค้ วามสาคัญ กบั การใช้องคค์ วามรูท้ างวิทยาศาสตร์ ผลงานวิจัยและพัฒนา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์อย่างเข้มข้นท้ังในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม รวมท้ังให้ ความสาคัญกับการพัฒนาสภาวะแวดล้อมหรือปัจจัยพ้ืนฐานท่ีเอื้ออานวยท้ังการลงทุนด้านการวิจัย และพัฒนา การพฒั นาบุคลากรวิจัย โครงสรา้ งพนื้ ฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการบริหาร จัดการเพ่อื ชว่ ยขับเคลอ่ื นการพฒั นาประเทศให้กา้ วสเู่ ปาู หมายดงั กลา่ ว 2.2.2 นโยบายความมน่ั คงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558 - 2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติกาหนดขึ้นเพ่ือเป็นกรอบในการดาเนินกา รด้านความ มน่ั คงของภาครฐั ในระยะ 7 ปี แบ่งเป็น 2 สว่ น คอื ส่วนที่ 1 นโยบายเสริมสร้างความมนั่ คงทเ่ี ป็นแกน่ หลักของชาตแิ ละ ส่วนท่ี 2 นโยบายความม่ันคงแห่งชาติทั่วไป โดยกาหนดกรอบความคิดหลักจากการ กาหนดนโยบายได้คานึงถึงค่านยิ มหลกั ของชาติ 12 ประการดงั น้ี วสิ ัยทัศน์ “ชาติมีเสถียรภาพและเปน็ ปกึ แผ่น ประชาชนมคี วามม่ันคงในชีวิต ประเทศ มกี ารพัฒนาอยา่ งต่อเนอ่ื งปลอดภัยจากภัยคุกคามข้ามพรมแดน พร้อมเผชิญวิกฤติการณ์มีบทบาทเชิง รุกในประชาคมอาเซียนและดาเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างมีดุลยภาพ” นโยบายความ มั่นคงทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน มดี ังน้ี ส่วนท่ี 1 นโยบายสาคัญเพ่ือเสริมสร้างความมั่นคงท่ีเป็นแก่นหลักของชาติ กระทรวงศึกษาธกิ ารเป็นหนว่ ยงานหลักเกี่ยวข้องใน 3 นโยบาย

42 นโยบายที่ 1 เสริมสร้างความม่ันคงของสถาบันหลักของชาติและการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้อง เกย่ี วกับสถาบนั ชาตศิ าสนา พระมหากษัตริย์ นโยบายท่ี 2 สรา้ งความเปน็ ธรรม ความปรองดอง และความสมานฉนั ท์ในชาติ โดยการส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหน่ึงของชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมีความรัก ความภาคภูมใิ จในความเป็นชาตแิ ละเป็นสังคมพหวุ ฒั นธรรมทีเ่ ข้มแขง้ นโยบายท่ี 3 ปอู งกันและแก้ไขการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการเสริมสร้างสันติสุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาค ส่วนเป็นพลังในการเข้าถึงประชาชนโดยในส่วนของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน มียุทธศาสตรท์ ่เี กย่ี วข้องมดี ังน้ี 3.1 ยุทธศาสตร์ด้านความม่ันคง ได้แก่ 1) การเสริมสร้างความม่ันคงของสถาบัน หลักของชาติ 2) การสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ 3) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ 4) การปูองกนั ปราบปราม และบาบดั รกั ษาผูต้ ดิ ยาเสพติด 3.2 ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้แก่ 1) การพฒั นาเศรษฐกิจดจิ ิทลั 2) การส่งเสรมิ การวิจัยและนวตั กรรม 3.3 ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน ได้แก่ 1) การพัฒนา ศกั ยภาพคนตามชว่ งวัย 2) การยกระดับคณุ ภาพการศึกษาและการเรียนรตู้ ลอดชวี ิต 3.4 ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้าและสร้าง การเตบิ โตจากภายใน ได้แก่ การส่งเสริมการดาเนนิ งานตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3.5 ยุทธศาสตร์ด้านการจัดการน้าและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรกับ สิ่งแวดลอ้ มอย่างยงั่ ยืน ได้แก่ การบรหิ ารจัดการขยะและส่ิงแวดลอ้ ม 3.6 ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ได้แก่ การปูองกัน ปราบปรามการทจุ ริตและประพฤตมิ ชิ อบ 2.2.3 แผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ของสานักงานเลขาธิการ สภาการศึกษา สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้จัดทาแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 เพื่อใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวสาหรับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาของ ประเทศได้นาไปใช้เป็นกรอบและแนวทางการพัฒนาการศึกษาและเรียนรู้สาหรับพลเมืองทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต โดยจุดมุ่งหมายที่สาคัญของแผน คือ การมุ่งเน้นการประกันโอกาสและ ความเสมอภาคทางการศึกษาและการศึกษาเพื่อการมีงานทาและสร้างงานได้ภายใต้บริบทเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศและของโลกทข่ี บั เคลอ่ื นด้วยนวตั กรรมและความคดิ สรา้ งสรรค์รวมทั้งความเป็น พลวตั ร เพ่ือให้ประเทศไทยสามารถ ก้าวข้ามกับดักประเทศท่ีมีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศท่ีพัฒนา แล้ว ซึ่งภายใต้กรอบแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ได้กาหนดสาระสาคัญสาหรับบรรลุ เปูาหมายของการพัฒนาการศึกษาใน 5 ประการ ได้แก่การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Access)

43 ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity) คุณภาพการศึกษา (Quality) ประสิทธิภาพ(Efficiency) และ ตอบโจทย์บริบทที่เปลีย่ นแปลง (Relevancy) ในระยะ 15 ปขี ้างหนา้ ยุทธศาสตร์ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง คือ 1. การจดั การศกึ ษาเพือ่ ความม่นั คงของสังคมและประเทศชาติ 2. การผลิตและพัฒนากาลงั คน การวิจยั และนวตั กรรม เพอ่ื สร้างขีดความสามารถใน การแขง่ ขันของประเทศ 3. การพัฒนาศกั ยภาพคนทกุ ช่วงวัย และการสรา้ งสงั คมแห่งการเรียนรู้ 4. การสรา้ งโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทยี มทางการศกึ ษา 5. การจัดการศกึ ษาเพือ่ สรา้ งเสรมิ คุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรกับสิง่ แวดลอ้ ม 6. การพฒั นาประสิทธิภาพของระบบบรหิ ารจดั การศึกษา 2.2.4 แผนพัฒนาการศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) กระทรวงศกึ ษาธิการ ไดจ้ ัดทาแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยได้นอ้ มนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบใน การดาเนินงาน และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับท่ี 12 (พ.ศ.2560 - 2564) โดยมีเปูาหมายหลักของแผนพัฒนาการศึกษาของ กระทรวงศกึ ษาธิการ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) 1. คุณภาพการศึกษาของไทยดีข้ึน คนไทยมีคุณธรรมจริยธรรม มีภูมิคุ้มกันต่อการ เปลย่ี นแปลง และการพัฒนาประเทศในอนาคต 2. กาลังคนไดร้ ับการผลติ และพัฒนา เพือ่ เสริมสร้างศกั ยภาพการแขง่ ขันของประเทศ 3. มีองคค์ วามรู้เทคโนโลยีนวตั กรรม สนบั สนนุ การพฒั นาประเทศอย่างยั่งยืน 4. คนไทยได้รับโอกาสในเรียนรอู้ ย่างต่อเน่ืองตลอดชวี ิต 5. ระบบบรหิ ารจดั การการศึกษามีประสิทธิภาพ และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมตามหลัก ธรรมาภบิ าล ตัวชว้ี ัดตามเปูาหมายหลกั 1. ผลคะแนนสอบ PISA ในแต่ละวชิ า 2. ร้อยละทเ่ี พ่ิมขึน้ ของคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาหลักระดับการศึกษา ข้นั พื้นฐานจากการทดสอบระดับชาติ 3. รอ้ ยละคะแนนเฉล่ียของผเู้ รียนท่มี ีคุณธรรมจริยธรรม 4. ร้อยละคะแนนเฉลีย่ ของผ้เู รียนทกุ ระดบั การศึกษามคี วามเป็นพลเมือง และพลโลก 5. สดั สว่ นผู้เรียนระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายประเภทอาชีวศกึ ษาตอ่ สายสามัญ 6. จานวนปกี ารศึกษาเฉลีย่ ของคนไทยอายุ 15 - 59 ปี 7. ร้อยละของกาลงั แรงงานที่สาเรจ็ การศึกษาระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ ขนึ้ ไป 8. รอ้ ยละของนักเรียนต่อประชากรวัยเรียนระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย อายุ15 - 17 ปี 9. สัดสว่ นผเู้ รยี นในสถานศกึ ษาทกุ ระดับของรฐั ต่อเอกชน 10. จานวนภาคเี ครือข่ายท่ีเขา้ มามสี ว่ นร่วมในการจดั /พัฒนาและสง่ เสรมิ การศึกษา ยทุ ธศาสตร์ 1. ยุทธศาสตรพ์ ฒั นาหลกั สูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดและประเมนิ ผล

44 2. ยุทธศาสตร์ผลติ พฒั นาครคู ณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศกึ ษา 3. ยุทธศาสตร์ผลิตและพัฒนากาลังคน รวมทั้งงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการ ของการพัฒนาประเทศ 4. ยุทธศาสตร์ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่าง ต่อเนือ่ งตลอดชวี ติ 5. ยทุ ธศาสตร์สง่ เสรมิ และพฒั นาระบบเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เพอ่ื การศกึ ษา 6. ยุทธศาสตรพ์ ฒั นาระบบบรหิ ารจดั การและสง่ เสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการ จดั การศกึ ษา 2.2.5 แผนปฏิบัติราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน นโยบายและยุทธศาสตร์ทางด้านการพัฒนาคุณการศึกษา ของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน แนวทางหลักการดาเนินงาน และโครงการสาคัญของ กระทรวงศกึ ษาธิการ โดยยดึ กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 6 ดา้ น ที่เปน็ จดุ เนน้ สาคัญและเก่ียวข้องกับหน่วย ศึกษานิเทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน ดงั นี้ ยุทธศาสตรท์ ี่ 1 ด้านการจดั การศึกษาเพอ่ื ความมัน่ คง นโยบายที่ 1 ด้านการจัดการศกึ ษาเพอ่ื ความมน่ั คง กลยุทธ์ ข้อท่ี 1 เสริมสร้างความม่ันคงของสถาบันหลักและการปกครองในระบอบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข แนวทาง น้อมนาแนวพระราชดาริสืบสานพระราชปณิธานและพระบรมราโชบาย ด้านการศึกษา หรอื “ศาสตร์พระราชา” มาใช้ในการจัดกระบวนการเรยี นรู้อยา่ งยัง่ ยนื ตัวชี้วัดความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศึกษามีการบูรณาการ “ศาสตร์ พระราชา” มาใช้ในการจดั กระบวนการเรียนรู้อย่างยั่งยืน กลยุทธ์ ข้อที่ 3 พัฒนาการจัดการศึกษาโรงเรียนในเขตพื้นที่พิเศษให้เหมาะสมตาม บริบทของพืน้ ที่ แนวทาง พัฒนาการจัดการศึกษาโรงเรียนในเขตพื้นที่พิเศษให้เหมาะสมตามบริบท ของพื้นท่ี เช่น เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขตระเบียงเศรษฐกิจ เขตสามเหลีย่ มมน่ั คง ม่ังคั่ง ยง่ั ยนื เขตพ้นื ท่ชี ายแดน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพเิ ศษ ตัวช้ีวัดความสาเร็จ ร้อยละ 80 ของสถานศึกษาในเขตพ้ืนท่ีพิเศษแต่ละประเภทมี การพฒั นาการจัดการศกึ ษาตามบรบิ ทของพน้ื ที่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพผู้เรียน และส่งเสริมการจัดการศึกษาเพ่ือสร้างขีด ความสามารถในการแข่งขนั นโยบายที่ 2 ด้านพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อสร้างขีด ความสามารถในการแขง่ ขัน กลยุทธ์ ขอ้ ท่ี 1 เสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาผู้เรียนอย่างมีคุณภาพด้วยการ ปรบั หลักสตู ร การวัดและประเมินผลทเ่ี หมาะสม โดยมีแนวทาง ดังนี้

45 1.1 ปรบั ปรุงหลักสตู รในระดบั ปฐมวัย และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน และนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพและจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร ตาม ความจาเป็นและความต้องการของผเู้ รียน ชมุ ชน ท้องถนิ่ ละสังคม 1.2 การพัฒนา ปรับปรุงหลักสูตร การเรียนการสอน คือ 1) หลักสูตรมีความยืดหยุ่น ชุมชนท้องถ่ินสามารถออกแบบหลักสูตรเองได้ 2) ปรับปรุงตัวชี้วัด 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ (คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมศิ าสตร์) ตวั ช้วี ดั ความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศึกษานาหลักสูตรระดับปฐมวัยและและ หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน และนาไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพ และร้อยละ 100 ของสถานศึกษาจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตร ตามความจาเป็นและความต้องการของผู้เรียน ชมุ ชน ท้องถิ่น ละสงั คม กลยุทธ์ที่ 2 พัฒนาคุณภาพกระบวนการเรียนรู้ โดยมีแนวทาง ดังนี้ ส่งเสริมการจัดการการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมปฏิบัติจริง (Active Learning) เนน้ ทักษะกระบวนการให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา และคิดสร้างสรรค์ใน ทุกกล่มุ สาระการเรียนร้ทู งั้ ในและนอกหอ้ งเรยี น ตัวชี้วัดความสาเร็จ ร้อยละ 70 ของผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา และคดิ สร้างสรรค์ผา่ นกิจกรรมการปฏิบตั ิจริง (Active Learning) กลยทุ ธ์ที่ 3 สร้างขดี ความสามารถในการแขง่ ขนั ส่งเสริ มการเรียนรู้เชิงบูรณาการแบบสหวิ ทยากร เช่น สะเต็มศึกษา (ScienceTechnology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) เพ่ือพัฒนา กระบวนการคดิ และการสรา้ งสรรค์นวัตกรรม เพือ่ สร้างมลู ค่าเพมิ่ สอดคลอ้ งกับประเทศไทย 4.0 ตัวชี้วัดความสาเร็จ ร้อยละ 100 ของสถานศึกษาที่จัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็ม ศึกษา STEM Education) มีนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพ่ิมสอดคล้องกบั ประเทศไทย 4.0 ยทุ ธศาสตร์ที่ 3 ดา้ นการส่งเสรมิ พัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา นโยบายท่ี 3 ส่งเสริม สนับสนุนการพฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา กลยทุ ธ์ ขอ้ ที่ 1 พฒั นาครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาให้สามารถจัดการเรียนรู้อย่างมี คณุ ภาพในรูปแบบทีห่ ลากหลาย พฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาให้สามารถจัดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพทั้งระบบ เชื่อมโยงกับการเลื่อนวิทยฐานะในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น TEPE Online ( Teachers and Educational Personnel’s Enhancement Based on Mission and Functional Areas as Majors) ชุมชนแหง่ การเรียนรู้ วิชาชีพ (Professional Learning community : PLC ) การเรียนรู้ ผา่ นกจิ กรรมการปฏิบัติจรงิ (Active learning) ตวั ชี้วดั ความสาเรจ็ รอ้ ยละ 80 ของครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการพัฒนา ผ่านสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารที่ทันสมัย และร้อยละ 80 ของครูและบุคลากรทางการ ศึกษาได้รบั การพัฒนาการจัดการเรียนรู้อยา่ งมคี ุณภาพในรปู แบบท่ีหลากหลาย ดงั นนั้ เพ่ือให้งานนโยบายสาคัญแห่งรัฐ กระทรวงศึกษาธิการ และสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นไปตัวชี้วัดความสาเร็จ กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา

46 สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 จึงขับเคล่ือนการดาเนินงาน โดยใช้ กระบวนการนเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) ท้ังในด้านการบริหารจัดการ และการจัดการเรียนรู้ ของสถานศกึ ษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook