Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการนิเทศ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning สพป.ลำปาง เขต 1

คู่มือการนิเทศ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning สพป.ลำปาง เขต 1

Published by lpg1, 2020-06-22 22:56:25

Description: คู่มือการนิเทศ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active Learning สพป.ลำปาง เขต 1

Search

Read the Text Version

ก ค่มู ือการนเิ ทศ การจัดการเรยี นรู้เชิงรุก Active Learning เพ่ือยกระดับคณุ ภาพการศึกษา โดยใชก้ ระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) นางพรนิภา ยศบญุ เรือง ศกึ ษานเิ ทศก์ ชานาญการพิเศษ กลมุ่ นเิ ทศ ติดตามและประเมินผลการจดั การศึกษา สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาลาปาง เขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เอกสาร ศน. สพป.ลป.1 ท่ี 3 /2562

ก คานา ตามท่ีกระทรวงศกึ ษาธิการมนี โยบายพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนการสอน ให้มีการปรับ ลดระยะเวลาเรียนภาควิชาการหรือภาคทฤษฎีลดลง แต่ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาหลักท่ีผู้เรียน ควรรู้ตาม มาตรฐานของหลักสูตร และให้ครผู ู้สอนปรบั เปลี่ยนวิธีการสอนและการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยเพิ่ม เวลาให้ผูเ้ รยี นไดเ้ รียนร้จู ากการปฏิบัติจริงมากขนึ้ ภายใต้โครงการ ลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้ เชื่อมโยง กบั การปฏิรูปการเรียนการสอนในยคุ ประเทศไทย 4.0 ทีม่ ุ่งเน้นการส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมี ความหมาย ให้ผูเ้ รียนมีบทบาทในการเรียนรู้มากข้ึน ครูลดบทบาทการสอนด้วย การบอกเล่า การให้ ข้อความร้แู ก่ผเู้ รยี นโดยตรง ไปเป็นการจดั กระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมที่จะทา ให้ผู้เรียนเกิดความ กระตือรือร้นในการเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ผู้สอน ต้องเป็นครูแบบ Actively Teach คือ สอนแบบมีส่วนร่วม จดั กจิ กรรมใหผ้ เู้ รียนอยากเรียนรู้ตลอดเวลา เปน็ การจัดการ เรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยผู้สอนสามารถนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไปจัด กิจกรรมการ เรยี นการสอนตามมาตรฐานและตวั ชีว้ ัดในทกุ กลุม่ สาระการเรียนรู้ ทุกรายวิชา รวมถึง นาไปใช้ในการ จดั กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น และกจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรยี นร้อู ืน่ เพ่ือเป็นการส่งเสริม สนับสนุนการนิเทศ ติดตามครผู ้สู อนในการนาหลักการ รูปแบบ และลักษณะกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกไปใช้จัดการจัดการ เรยี นการสอน และกจิ กรรมการเรียนรตู้ า่ งๆ ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าคู่มือการนิเทศการจัดการเรียนรู้เชงิ รกุ (Active Learning) เล่ม นี้ คงจะมีประโยชน์ในการให้ศึกษานิเทศก์และผู้เก่ียวข้อง ใช้เป็นเครื่องมือนิเทศ ติดตาม ช่วยเหลือ แนะนาการจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ ชิงรกุ Active Learning ตามนโยบายลดเวลาเรยี น เพ่ิมเวลารู้ ตาม สภาพบริบทของเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา นามาวางแผน/ออกแบบ กาหนดทิศทางการ นิเทศ ติดตามสถานศึกษาให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพตามกระบวนการนิเทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสาคัญต่างๆ ให้บรรลุตัวชว้ี ัดความสาเร็จในแต่ละนโยบาย อัน ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสังกัด ต่อไป (นางพรนภิ า ยศบญุ เรือง) ศกึ ษานิเทศก์ ชานาญการพิเศษ กลุ่มนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศกึ ษา สานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1

ข สารบญั เรอ่ื ง หน้า คานา ก สารบัญ ข ส่วนท่ี 1 บทนา………………………………………………………………………..…………….……………………… 1 ทม่ี าและความสาคญั ของปญั หา……………………………………………………………………………… 1 วตั ถปุ ระสงค์ของการนเิ ทศ................................................................................................ 3 เปา้ หมายของการนเิ ทศ..................................................................................................... 3 ส่วนที่ 2 เอกสารที่เกยี่ วข้อง ………………….....…………….........................................…..……………. 4 การนิเทศการสอน…………………………………………………………….........................……………. 4 (1) ความหมายของการนเิ ทศการสอน…………………………….....................…………….. 4 (2) จุดมงุ่ หมายของการนเิ ทศการสอน…………………………….....................…………….. 4 (3) ความจาเปน็ นิเทศการสอน…………………………………….....................……………….. 6 (4) กจิ กรรมการนเิ ทศการสอน.................................................................................. 7 (5) ทกั ษะการนิเทศการสอน…………………………………….....................………………….. 9 (6) กระบวนการการนิเทศการสอน……………………………....................…………………. 10 (7) เทคนคิ การสงั เกตการสอน………………………………....................……………………… 19 การนิเทศแบบโค้ช………………………………………………..........................……………………….. 22 (1) การโคช้ เพอ่ื การรู้หนังสือและการอา่ น (Literacy Coaching or Reading Coaching)……………………………………....................……..……………….. 23 (2) การโค้ชเพ่ือเน้นนักเรยี นเปน็ สาคญั (Student Centered Coaching) ….……. 24 แนวคิดการจดั การเรยี นรู้เชิงรุก (Active learning) ………………….....………………………….. 26 ความหมายของการจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ ………………….....………………………………………….. 26 ความสาคญั ของ Active learning ………………….....…………………………………………………. 26 ลกั ษณะการจัดการเรยี นรู้เชิงรกุ ………………….....…………………………………………………….. 27 รูปแบบวธิ ีการจดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active learning) ………………………………… 29 บทบาทของครใู นการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุก (Active learning) …………………………….…… 41

ค สารบญั (ต่อ) เร่อื ง หนา้ สว่ นที่ 3 การออกแบบการจัดการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active learning) ……………....……….……. 43 ความหมายของการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ ……………………………………………..……….. 44 แนวคดิ ในการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้เชงิ รกุ (Active Learning) ………………..…….. 44 หลกั การสาคญั ของการจัดการเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning) ในกจิ กรรมลดเวลาเรยี น เพมิ่ เวลารู้ ………………………………………………………..……. 48 การออกแบบหน่วยการเรียนรแู้ ละแผนการจดั การเรียนรู้ ที่เน้นการจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุก (Active learning) ……………………………………..……. 54 ส่วนท่ี 4 แนวทางการนเิ ทศ เพือ่ ยกระดับคณุ ภาพการศกึ ษา………………………………….....……. 64 การนิเทศการจัดการเรียนรเู้ ชิงรกุ Active Learning …………..…..……..............…..… 67 บรรณานกุ รม.............................................................................................................................. 69 ภาคผนวก................................................................................................................................... 71 คณะผจู้ ัดทา................................................................................................................................ 84

1 สว่ นที่ 1 บทนา ท่ีมาและความสาคญั ของปญั หา รฐั บาลกาหนดนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ใหเ้ ป็นแนวทางในการปฏิรูปการเรียนรู้ โดยมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ และสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดาเนินการ ตามนโยบาย มเี ป้าหมายใหค้ รผู ูส้ อนออกแบบการจัดการเรยี นรทู้ ส่ี ่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ มีทักษะ มี คุณธรรม และจริยธรรม สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างเหมาะสมตามบริบทท่ีปรับเปลี่ยนไป ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียน ค้นพบความชอบและความถนัดของตนเองตามศักยภาพ เพ่ือพัฒนาสู่การเป็นมนุษย์ ท่ีสมบูรณ์ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ดาเนินการตามนโยบาย ลดเวลาเรียน เพมิ่ เวลารู้ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ จานวน 4,100 โรงเรียน กิจกรรมเพิม่ เวลารู้ในระยะแรกเน้น 4 หมวด คอื หมวดท่ี 1 กจิ กรรมพัฒนา ผู้เรยี น (กิจกรรม บังคบั ตามหลกั สูตร) หมวดท่ี 2 สร้างเสรมิ สมรรถนะและการเรียนรู้ หมวดท่ี 3 สร้างเสริม คุณลักษณะ และค่านิยม และหมวดท่ี 4 สรา้ งเสริมทักษะการทางาน การดารงชีพและทักษะชีวิต ใช้รูปแบบการจัด กจิ กรรมทัง้ ในและนอกห้องเรียน กิจกรรมการพัฒนาเป็นไปตามความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนมีส่วน ร่วม ในการออกแบบกิจกรรม และมีความสุขในการปฏิบัติกิจกรรม ต่อมา มีการปรับเป้าหมาย กิจกรรมจากเดิม 4 หมวด เป็นการพัฒนา 4 H คือ Head (กิจกรรมพัฒนาสมอง) Heart (กิจกรรม พัฒนาจิตใจ) Hand (กิจกรรม พัฒนาทักษะการปฏิบัติ) และ Health (กิจกรรมพัฒนาสุขภาพ) ซ่ึง สอดคล้องกับองค์ประกอบ 4 ของการจัด การศึกษา คือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา หัตถศึกษา และพล ศึกษา ทั้งน้ี เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนในทุกด้าน ให้ ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้า สร้างความคิดเชิง เหตุผล และประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในชีวิตประจาวันหรือสถานการณ์ ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม การ ประเมินผลเนน้ การประเมนิ ความสขุ และความพึงพอใจในการเข้าร่วมกจิ กรรม ผลจากการติดตามของ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในระยะท่ี 1 พบว่าผู้เรียนมีคุณภาพ 4 H โดยรวมอยู่ใน ระดบั มาก ผูเ้ รยี นมีความต่นื ตัว และมีความสุขที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมตามเวลาที่กาหนด กล้าแสดงออก กระตือรอื ร้นในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม นอกจากน้ี ยังได้รับความร่วมมือจากบุคลากรใน ท้องถ่ิน ปราชญ์ ชาวบ้าน หน่วยงานราชการ และเอกชน แต่กิจกรรมที่ดาเนินการส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมพัฒนา ทักษะ การปฏิบัติ (Hand) และกิจกรรมพัฒนาสุขภาพ (Health) โดยท่ีกิจกรรมพัฒนาสมอง (Head) และ กิจกรรมพัฒนาจิตใจ (Heart) มีการดาเนินการน้อย ลักษณะกิจกรรมที่จัดยังพัฒนาได้ไม่เข้มข้น เทา่ ทีค่ วร และ มคี วามเข้าใจคลาดเคลือ่ นเก่ียวกับเปา้ หมายของนโยบายลดเวลาเรยี น เพิ่มเวลารู้ ระยะท่ี 2 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเพิ่มข้ึน จานวน 17,317 โรงเรียน รวม 2 ระยะมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการ จานวน 21,417 โรงเรียน ในระยะน้ี เน้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีเป้าหมาย การพัฒนา 4 H คือ Head (กิจกรรมพัฒนาสมอง) Heart (กิจกรรมพัฒนาจิตใจ) Hand (กิจกรรมพัฒนาทักษะ การปฏิบัติ) และ Health (กิจกรรมพัฒนา สุขภาพ) และเน้นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข โดยใช้ขั้นพัฒนาการของ Bloom Taxonomy เปน็ หลักในการจัดกจิ กรรม และเนน้ ให้เกิดทักษะ กระบวนการคิดขั้นสูง ผลจาก

2 การติดตามของกระทรวงศึกษาธิการ และสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พบว่า โรงเรยี นบางส่วน มคี วามไม่เข้าใจแนวทางการดาเนินงาน มีความเข้าใจคลาดเคลอื่ น สับสน ในการจัด กิจกรรมเพ่ิมเวลารู้ โดยแยกส่วนกับหลักสูตรของสถานศึกษา ซ่ึงอาจส่งผลให้ผู้เรียนได้เรียนวิชา พน้ื ฐานหรือวชิ าหลกั ไมค่ รบตามที่หลักสูตรกาหนด ทง้ั น้ี ในการจัดกิจกรรมเพิ่มเวลารู้ท่ีผู้เรียนเข้าร่วม และลงมือปฏิบัตินั้น เปา้ หมายสาคัญนอกจากผู้เรียนมีความสุขกับการเรียนรู้แล้ว ผู้เรียนควรจะได้รับ ประโยชน์ ท้งั ในด้านการดารงชวี ติ และการศกึ ษาตอ่ ระยะที่ 3 ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 มีการพัฒนากิจกรรมเพ่ิมเวลารู้ให้เช่ือมโยง กบั หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 และยังคงเน้นเป้าหมายในการพัฒนา 4 H ( Head Heart Hand และ Health ) โดยให้ความสาคัญทั้งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใน ห้องเรียนและกิจกรรมเพิ่ม เวลารู้ โดยมุ่งเน้นลดเวลาเรียนในลักษณะการสอน การถ่ายทอดความรู้ ด้วยการบรรยาย/สาธิต และเพ่ิมเวลา และโอกาสในการสร้างความรู้ด้วยตนเองผ่านการลงมือปฏิบัติ เป็นการเรียนร้ทู ่ผี เู้ รยี นมคี วามสขุ กบั การเรียนรู้ ครูผู้สอนปรับบทบาทเป็นผู้ให้คาปรึกษา ช้ีแนะ มีการ ประเมนิ พัฒนาการของผเู้ รียนอย่างหลากหลาย ตามสภาพจริง และเช่ือมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ช้วี ัดตามหลักสตู ร ทั้งน้ี กระทรวงศึกษาธกิ าร มีนโยบายให้นากระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ เพ่ือส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ข้ันสูง และมีพัฒนาการให้เกิดทักษะวิชาการ ทักษะอาชีพ และ ทักษะชวี ิต ในการดาเนินงานตามนโยบายดังกล่าว สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลาปาง เขต 1 ได้จัดทาเอกสาร คู่มือนิเทศการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพ่ือใช้เป็นแนวทาง พัฒนาการศกึ ษาใหก้ บั โรงเรยี นในสงั กดั ทกุ โรงเรียน โดยมุ่งให้เกิด การเปล่ียนแปลงการเรียนการสอน ทงั้ ในและนอกห้องเรียน ครูปรับบทบาทในการสอนเป็นผู้อานวยความ สะดวก ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิด การเรยี นรผู้ า่ นการปฏิบตั ิ ฝกึ การคิดวเิ คราะห์ แก้ปัญหา สร้างองคค์ วามรูใ้ หม่ เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวันด้วยตนเอง ดังนั้น เพ่ือเช่ือมโยงการขับเคล่ือนนโยบายลดเวลาเรียน เพ่ิมเวลารู้ และ ส่งเสริมให้ครูผู้สอนนาแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ไปใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ท้ังในรายวิชาพ้ืนฐาน รายวิชาเพ่ิมเติม กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน หรือกิจกรรมการ เรียนรู้อนื่ รวมถึง ส่งเสริมการนเิ ทศ ติดตามการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนที่เน้นกระบวนการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา จึงจัดทา เอกสารคู่มือการนิเทศเพ่ือพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ตาม นโยบายลดเวลาเรยี น เพ่ิมเวลารู้ ขึ้น วตั ถุประสงค์ของการนิเทศ เพ่ือนิเทศ ติดตามการจัดการเรียนการสอน Active Learning ของสถานศึกษาท้ังด้าน การบริหารจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน โดยใช้กระบวนการ นเิ ทศ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model)

3 เปา้ หมายของการนเิ ทศ เปา้ หมายเชงิ ปรมิ าณ เพื่อนิเทศ ติดตามการจัดการเรียนการสอน Active Learning ของสถานศึกษาทั้งด้าน การบริหารจัดการของผู้บรหิ ารสถานศึกษา และการจดั การเรยี นรู้ของครผู ู้สอน จานวน 94 โรงเรียน เป้าหมายเชงิ คณุ ภาพ 1. ผู้บริหารสถานศึกษามีหลักการบริหารจัดการงานนโยบายสาคัญแห่ง รัฐ กระทรวงศึกษาธิการ และสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นไปตามบริบทของ สถานศกึ ษา และเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ 2. ครูผู้สอนได้รับการนิเทศ ติดตาม แนะนา ช่วยเหลือ ให้สามารถบูรณาการการจัดการ เรียนรู้เชิงรุก (Active learning) ไปใช้ในการจดั การเรยี นการสอนและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่ือมโยง นโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้

4 สว่ นท่ี 2 เอกสารท่ีเก่ยี วขอ้ ง การนเิ ทศการสอน (1) ความหมายของการนเิ ทศการสอน การนเิ ทศการสอน มีความสาคัญเป็นอย่างมาก เน่ืองจากศาสตร์ในเรื่องนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่จะต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนการทางานท่ีชัดเจน ซ่ึงได้มีนักการศึกษาต่างๆ ไดใ้ ห้ความหมายของการนเิ ทศการสอนไวห้ ลายท่าน สรุปได้ดงั นี้ สงัด อุทรานันท์ (2530 : 7), กิติมา ปรีดีดิลก (2532 : 262), วไรรัตน์ บุญสวัสดิ์ (2538 : 3), ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2548 : 48), ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 3) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการนิเทศการสอนท่ีสอดคล้องกันไว้ว่า การนิเทศการสอน คือ กระบวนการบรหิ ารจดั การศกึ ษาทส่ี รา้ งสรรค์ไม่หยุดน่ิง เพื่อชี้แนะให้ความช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือ กับครูผูส้ อน และบคุ ลากรต่างๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการศกึ ษาหรือในเรอื่ งอ่ืนๆ ทีต่ ้องอาศัยการนิเทศจากผู้รู้ ผทู้ มี่ คี วามสามารถเฉพาะเรื่อง โดยเปน็ กระบวนการดาเนินงานท่ีจะต้องทาร่วมกันระหว่างผู้นิเทศกับ ผรู้ ับการนิเทศ ตลอดจนใหก้ ารช่วยเหลือ แนะนา และใหค้ วามร่วมมือกับครูผู้สอนในการปรับปรุงและ พัฒนาคุณภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญท้ังในเร่ืองของการวิเคราะห์นักเรียน การวางแผนการทางาน การผลิตสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ สรุปผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการ รายงานการปฏิบัติงานในภาพรวม และในประเด็นที่มีความสาคญั ในแต่ละเร่ือง นอกจากนี้ Burton, William H. and Bruecker, Lee J. (1955 : 7), Spears, Harold (1967 : 16), Harris, Ben M. (1985 : 10, Oliva, Peer F. (1989 : 8), Glickman, Card. D., Stephen P. Gordon and Jovita M. Ross-Gordon (2004 : 8) ได้ให้ความหมายท่ีสอดคล้อง สรุปได้ว่า การนิเทศการสอน หมายถึง เป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้บริหาร ครู และบุคลากรที่ เกยี่ วข้องกับการปรับปรงุ การเรียนการสอนทั้งในเร่อื งหลกั สูตร การจดั การเรยี นการสอน ส่อื การเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และสิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ เพื่อพัฒนาการทางานของครูให้มี ประสทิ ธภิ าพ และส่งผลต่อคณุ ภาพของนักเรยี น สรุปการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดน่ิงระหว่างผู้นิเทศกับ ผู้รับการนิเทศ เพ่ือมุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ ของนักเรียน โดยเน้นการให้บริการ การให้ความร่วมมือ และการให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนแก่ ผบู้ รหิ าร ครู และบคุ ลากรที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านการพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การวัด และประเมินผล และการจดั กิจกรรมเสรมิ อ่นื ๆ เน้นความร่วมมือกนั ความเปน็ ประชาธปิ ไตย ให้บริการ ชว่ ยเหลือสนับสนนุ มากกวา่ การบงั คบั ใหป้ ฏบิ ตั ติ าม (2) จุดมงุ่ หมายของการนเิ ทศการสอน การนเิ ทศการสอนแต่ละคร้งั จะตอ้ งมกี ารกาหนดจุดม่งุ หมาย เพ่อื เป็นแนวทางในการ ปฏิบัติและแนวทางในการดาเนินการนิเทศการสอนท่ีชัดเจน เพ่ือจะให้เกิดผลที่ต้องการดังท่ีนักการ ศึกษาหลายท่านได้กาหนดจุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้อย่างสอดคล้องกัน ดังน้ี

5 วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 8), ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 20), วไลรัตน์ บุญสวัสด์ิ (2538 : 7) มีความเห็นสอดคลอ้ งกนั ว่า จดุ มงุ่ หมายของการนิเทศการสอนเป็นการปรับปรุง กระบวนการสอนและกระบวนการเรียนรูข้ องนักเรยี น สรา้ งขวัญและกาลงั ใจ และสร้างความสัมพันธ์ท่ี ดีระหวา่ งบคุ คลท่ีเกี่ยวขอ้ งในการทางานร่วมกัน โดยอาศัยการนิเทศช่วยเหลือ แนะนา ให้ความรู้และ การฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาหลักสูตร เทคนิควิธีการเรียนการสอนใหม่ ๆ การใช้และการสร้างสื่อ นวัตกรรมด้านการสอนและการทาวิจัยในชั้นเรียน เพ่ือให้ครูสามารถปรับปรุงและพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนหรืองานในวชิ าชีพของตนเองอยา่ งตอ่ เน่ือง มปี ระสทิ ธิภาพและเกดิ ประสทิ ธิผลสงู สดุ ตาม เปา้ หมาย ส่วน กิติมา ปรีดดี ลิ ก (2532 : 264) ได้สรุปจุดมุ่งหมายการนิเทศการสอนไว้ เพื่อช่วยให้ครู ค้นหาและรวู้ ิธกี ารทางานดว้ ยตนเอง รูจ้ กั แยกแยะ วเิ คราะหป์ ญั หาของตนเองโดยให้ครูรู้ว่าอะไรที่เป็น ปัญหาที่กาลังเผชิญอยู่และจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร รู้สึกม่ันคงในอาชีพ และมีความเชื่อม่ันใน ความสามารถของตน ค้นุ เคยกบั แหลง่ วิทยาการ และสามารถนาไปใช้ในการเรียนการสอนได้ เผยแพร่ ใหช้ ุมชนเขา้ ถงึ แผนการจัดการศึกษาของโรงเรียนและให้การสนบั สนุนโรงเรยี น ตลอดจนเข้าใจปรัชญา และความต้องการทางการศึกษา นอกจากน้ี ยุพิน ยืนยง (2553 : 38) ; เกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2552 : 71) ยงั กล่าวว่าการนิเทศการสอน มีจุดมุ่งหมาย คือ การช่วยเหลือ แนะนา และสนับสนุนให้ครูได้รับ การพัฒนางานในวชิ าชีพของตนเองให้มีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผล อันที่จะส่งผลต่อการพัฒนาการ ดา้ นการเรียนรู้ของนักเรียน สาหรับสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2547 : 180-181) ได้สรุป จุดมุ่งหมายของการนิเทศการสอนไว้ว่า 1) เพ่ือให้สถานศึกษามีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ของนักเรยี นให้สอดคล้องกับมาตรฐานหลกั สูตรและให้เป็นไปตามแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทแี่ ก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบบั ท่ี 2 พ.ศ. 2545) 2) เพื่อให้สถานศึกษาสามารถบริหาร และจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ 3) เพ่ือพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสอดคล้อง กับความตอ้ งการของชมุ ชน สงั คม ทันต่อการเปล่ียนแปลงทุกด้าน 4) เพ่ือให้บุคลากรสถานศึกษาได้เพ่ิม ความรู้ ทกั ษะและประสบการณ์ในการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ าน รวมท้ัง ความต้องการใน วชิ าชีพ 5) เพ่ือสง่ เสริมใหส้ ถาบนั การศกึ ษาปฏริ ูประบบบริหาร โดยให้ทกุ คนมสี ่วนรว่ มคดิ ร่วมทา ร่วม ตัดสินใจ และร่วมรบั ผิดชอบ ชื่นชมในผลงาน 6) เพื่อให้เกิดการประสานงานและความร่วมมือในการ พัฒนาคุณภาพการศึกษาระหว่างผู้เก่ียวข้อง ได้แก่ ชุมชน สังคม และวัฒนธรรม 7) เพ่ือพัฒนา บุคลิกภาพท่ีดีแก่ครูในด้านความเป็นผู้นาทางวิชาการและความคิด ความมีมนุษย์สัมพันธ์ ความคิด สรา้ งสรรค์ และความมุง่ มน่ั มีอุดมการณท์ จี่ ะอบรมนักเรียนให้เป็นผู้มีคุณภาพชีวิตท่ีดีตามความต้องการ ของสังคมประเทศชาติ 8) เพ่ือพัฒนาวิชาชีพครแู ละเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพด้านการสอนให้แก่ครูในด้าน การวิเคราะห์และปรับปรุงจุดประสงค์ในการเรียนรู้ วิธีการศึกษาพ้ืนฐานความรู้ของนักเรียน การ เลือกและปรับปรุงเนอื้ หาการสอนการดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเหมาะสม ประเมินผล การเรยี นการสอนและปรบั ปรงุ กระบวนการวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9) เพื่อพัฒนากระบวนการ ทางานของครู โดยใช้กระบวนการกลุ่มในด้านการร่วมมือกันจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและ แกป้ ญั หาการสอนการรว่ มมอื กันทางานอยา่ งเป็นขั้นตอน มรี ะบบ ระเบียบ การร่วมมือกันทางานด้วย ความเขา้ ใจกัน เหน็ อกเห็นใจกัน ยอมรับซ่ึงกันและกัน การร่วมมือกันทางานท่ีมีเหตุผลในการพัฒนา หลักสูตร สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องและก้าวหน้าเกิดประโยชน์สูงสุด เป็นภาระหน้าท่ีของผู้บริหาร

6 สถานศกึ ษา รองผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา หัวหน้าฝ่ายวชิ าการ และคณะครู อาจารย์ ภายในสถานศึกษาท่ี จะต้องมีหน้าท่ีดาเนินการนิเทศกันเอง มีการประสานความร่วมมือระหว่างการนิเทศครูผู้ทาหน้าท่ี นเิ ทศและแหลง่ วิทยาการต่างๆ ให้บริการช่วยเหลืองานวิชาการของสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ และคล่องตวั มคี วามสมั พนั ธท์ ่ดี ีระหว่างครดู ้วยกัน ไดร้ บั ขวญั และกาลงั ใจจากผบู้ ริหารและการยอมรับ ในความรู้ ความสามารถของผู้ให้การนิเทศ รวมท้ังผู้รับการนิเทศจะต้องให้การสนับสนุนด้วย และมี กระบวนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในโรงเรียนท่ีจะส่งผลให้โรงเรียนพัฒนาตนเอง และ10) เพื่อ สร้างขวัญและกาลังใจแก่ครูในด้านการสร้างความมั่นใจและความถูกต้องในการใช้หลักสูตรและการ สอน สร้างความสบายใจในการทางานร่วมกนั และความกา้ วหนา้ ในตาแหนง่ ทางวิชาชพี ครู สรุปจุดมุ่งหมายของการนเิ ทศการสอนคือการพัฒนาคน พัฒนาครูให้มีความรู้ ความสามารถ ในการพัฒนางานด้านหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ในวิชาชพี ครูทส่ี ่งผลโดยตรงตอ่ การพัฒนาคุณภาพของนักเรียน โดยอาศัยการนิเทศ ช่วยเหลือ แนะนา อนั จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียนให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีคุณลักษณะ ทพ่ี ึงประสงคต์ ามเป้าหมายของหลกั สูตร (3) ความจาเป็นในการนเิ ทศการสอน การพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาให้ประสบความสาเร็จได้น้ัน จะต้องอาศัยกระบวนการ นิเทศการสอนเป็นองค์ประกอบด้วย ท้ังนี้เพราะการนิเทศการสอนเป็นกระบวนการของการทางาน รว่ มกับครเู พอื่ ปรับปรุงการเรียนการสอนในชนั้ เรยี นให้มีประสิทธิผล ดังท่ี กติ ิมา ปรดี ดี ิลก (2532 : 263) ไดใ้ ห้ความเห็นว่าในปัจจุบันการนิเทศการสอนมี ความจาเป็นต่อกระบวนการเรียนการสอนเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลท่ีว่า 1) การศึกษาเป็นกิจกรรมท่ี ซบั ซอ้ นและยุ่งยาก จาเป็นจะต้องมีการนิเทศ 2) การนิเทศการสอนเป็นงานที่มีความจาเป็นต่อความ เจริญงอกงามของครู 3) การนเิ ทศการสอนมคี วามจาเป็นตอ่ การชว่ ยเหลือครใู นการเตรียมการสอน 4) การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลที่ทันสมัยอยู่เสมอ อันเนื่องมาจากการ เปล่ียนแปลงทางสังคมที่มีอยู่ตลอดเวลา ซ่ึงแนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับกรองทอง จิรเดชากุล (2550 : 4) ที่ไดก้ ล่าวถึงความจาเป็นของการนิเทศการสอนไว้ว่า การนิเทศการสอนเป็นการปรับปรุง คุณภาพของการจัดการศึกษา การพัฒนาสถานศึกษา ครู และผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่มาตรฐานการศึกษา รวมทั้งเป็นการประสานงานให้เกดิ การปฏบิ ตั ทิ มี่ ปี ระสิทธิภาพในสถานศกึ ษา ทง้ั นเ้ี น่อื งจากสังคมมีการ เปลี่ยนแปลงทุกๆ ด้านตลอดเวลา นอกจากน้ี ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป.) ยังกล่าวว่า การนิเทศการสอนมีความจาเป็น กล่าวคอื 1. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นในการให้บริการทางวิชาการ การศึกษาเป็น กิจกรรมท่ีซับซ้อน และยุ่งยาก เพราะมันเก่ียวข้องกับบุคคล การนิเทศการสอนเป็นการให้บริการ แก่ครูจานวนมากที่มีความสามารถต่างๆ กัน อีกประการหนึ่งการศึกษาได้ขยายตัวไปอย่างมาก เมื่อไมน่ านมานี้ สิง่ เหลา่ นี้ต่างๆ ก็ตอ้ งอาศัยความช่วยเหลอื จากการนิเทศทงั้ นนั้ 2. การนเิ ทศการสอนมคี วามจาเป็นต่อความเจริญงอกงามของครู แม้ว่าครูจะได้รับ การฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีก็ตาม แต่ครูจะต้องปรับปรุงการฝึกฝนอยู่เสมอในขณะทางานใน สถานการณ์จรงิ

7 3. การนิเทศการสอนมีความจาเปน็ ต่อการช่วยเหลือครูในการตระหนักเตรียมการสอน เนื่องจากครูต้องปฏิบัติงานในกิจกรรมต่างๆ กัน และจะต้องเผชิญกับภาวะที่ค่อนข้างหนัก ครูจึงไม่อาจสละเวลาได้มากเพียงพอต่อการตระเตรียมการสอน การนิเทศการสอนจึงสามารถ ลดภาระของครไู ดใ้ นกรณี ดังกลา่ ว 4. การนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการทาให้ครูเป็นบุคคลที่ทันสมัยอยู่เสมอ จากการเปล่ียนแปลงทางสังคม ทาให้เกิดพัฒนาการทางการศึกษาท้ังทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ ข้อแนะนาที่ได้จากการวิเคราะห์และจากการอภิปราย จากการค้นพบของการวิจัยมีความจาเป็นต่อ ความเจรญิ เตบิ โตดงั กล่าว ซึง่ การนิเทศการสอนสามารถให้บริการได้ 5. การนิเทศการสอนมีความจาเปน็ ตอ่ ภาวะผ้นู าทางวชิ าชพี แบบประชาธิปไตย การ นเิ ทศการสอน สามารถใหป้ ระโยชน์ในทางสร้างสรรค์ นอกจากน้ยี ังสามารถรวมพลังของทุกคนร่วมอยู่ ในกระบวนการทางการศึกษาด้วย สรุปการนิเทศการสอนมีความจาเป็นต่อการจัดการศึกษาอย่างยิ่ง เพราะเป็น การช่วยเหลือสนับสนุน ส่งเสริมให้ครูมีความสามารถในการพัฒนางานในวิชาชีพของตนเองให้มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันจะช่วยให้ครูเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ รวมท้ังส่งผลถึงนักเรียนและ คณุ ภาพการศึกษาโดยภาพรวมในท่ีสุด (4) กจิ กรรมการนเิ ทศการสอน กิจรรมการนิเทศการสอน เป็นวิธีการนิเทศท่ีผู้นิเทศจะต้องพิจารณาเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์หรือสภาพปัญหาของสถานศึกษา และให้คานึงถึงหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ กิจกรรม แต่ละชนิดอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนิเทศ และประโยชน์ท่ีผู้รับ การนเิ ทศจะได้รับเป็นสาคญั Harris et al. (1985 : 71-86) ; ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 20) ; วัชรา เล่า เรียนดี (2550 : 14-16) ไดเ้ สนอกิจกรรมการนิเทศ ดังนี้ 1. การบรรยาย (Lecturing) เปน็ กจิ กรรมทีเ่ นน้ การถา่ ยทอดความรู้ความเข้าใจของ ผูน้ เิ ทศไปส่ผู รู้ บั นเิ ทศ ใช้เพยี งการพูดและการฟังเท่านั้น 2. การบรรยายโดยใช้ส่ือประกอบ (Visualized lecturing) เป็นการบรรยายที่ใช้สื่อเข้ามาช่วย เช่น สไลด์ แผนภมู ิ แผนภาพ ฯลฯ ซ่งึ จะช่วยใหผ้ ้ฟู ังมีความสนใจมากยงิ่ ขึ้น 3. การบรรยายเป็นกลุ่ม (Panel Presenting) เป็นกจิ กรรมการใหข้ ้อมูลเป็นกลมุ่ ทมี่ จี ุดเน้นท่กี ารให้ขอ้ มูลตามแนวความคดิ หรือแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ซ่งึ กนั และกัน 4. การให้ดูภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ (Viewing film or Television) เป็นการใช้เครื่องมือที่เป็น ส่ือทางสายตา ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ เพ่ือทาให้ผู้รับการนิเทศได้รับความรู้และ เกดิ ความสนใจมากขึน้ 5. การฟังคาบรรยายจากเทปวิทยุและเครื่องบันทึกเสียง (Listening to tape, Radio recordings) เป็นการใชเ้ ครอ่ื งบันทึกเสยี งเพื่อนาเสนอแนวความคิดของบุคคลหนึง่ ไปสู่ผฟู้ ังอ่นื 6. การจัดนิทรรศการเก่ียวกับวัสดุและเครื่องมือต่างๆ (Exhibiting Materials and Equipment’s) เปน็ กิจกรรมทีช่ ่วยในการฝกึ อบรมหรอื เปน็ กิจกรรมสาหรบั งานพัฒนาสอื่ ตา่ งๆ

8 7. การสงั เกตในชั้นเรียน (Observing in Classroom) เป็นกิจกรรมที่ทาการสังเกต การปฏบิ ตั งิ านในสถานการณ์จริงของบุคลากร เพื่อวิเคราะห์สภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งจะ ช่วยให้ทราบจุดดีหรือจุดบกพร่องของบุคลากร เพ่ือใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานและใช้ในการ พัฒนาบคุ ลากร 8. การสาธิต (Demonstrating) เป็นกิจกรรมการให้ความรู้ที่มุ่งให้ผู้อื่นเห็นกระบวนการและ วธิ ดี าเนนิ การ 9. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interviewing) เป็นกิจกรรมสัมภาษณ์ที่กาหนด จุดประสงค์ชัดเจนเพอ่ื ให้ได้ข้อมูลต่าง ๆ ตามต้องการ 10. การสัมภาษณเ์ ฉพาะเรอ่ื ง (Focused Interview) เปน็ กิจกรรมสัมภาษณ์แบบกึ่ง โครงสร้างโดยจะทาการสัมภาษณ์เฉพาะโรงเรียนท่ีผู้ตอบแบบสอบถามมีความสามารถจะตอบได้ เท่านนั้ 11. การสัมภาษณ์แบบไม่ช้ีนา (Non-directive Interview) เป็นการพูดคุยและ อภปิ รายหรือการแสดงความคิดของบคุ คลทส่ี นทนาด้วย ลักษณะของการสัมภาษณ์จะสนใจกับปัญหา และความในใจของผรู้ บั การสัมภาษณ์ 12. การอภิปราย (Discussing) เป็นกจิ กรรมท่ีผ้นู ิเทศและผรู้ ับการนเิ ทศปฏิบัติร่วมกันซึ่ง เหมาะสมกบั กลุ่มขนาดเลก็ มักใช้รว่ มกับกิจกรรมอน่ื ๆ 13. การอ่าน (Reading) เป็นกิจกรรมที่ใช้มากกิจกรรมหนึ่ง สามารถใช้ได้กับคน จานวนมาก เชน่ การอา่ นข้อความจากวารสาร มกั ใชผ้ สมกับกจิ กรรมอนื่ 14. การวิเคราะห์ข้อมูลและการคิดคานวณ (Analyzing and Calculating) เป็น กิจกรรมทีใ่ ช้ในการติดตามประเมินผล การวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารและการควบคุมประสิทธิภาพการสอน 15. การระดมสมอง (Brainstorming) เป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการเสนอแนวคิด วิธีแกป้ ัญหาหรอื ใช้ข้อเสนอแนะนาตา่ งๆ โดยใหส้ มาชิกแตล่ ะคนแสดงความคิดโดยเสรี ไม่มีการวิเคราะห์ หรอื วพิ ากษว์ ิจารณ์แต่อย่างใด 16. การบันทึกวีดีทัศนแ์ ละการถา่ ยภาพ (Videotaping and Photographing) วีดที ศั นเ์ ปน็ เครอื่ งมือท่แี สดงใหเ้ ห็นรายละเอียดทั้งภาพและเสียงสว่ นการถ่ายภาพมปี ระโยชน์มากใน การจัดนิทรรศการ กจิ กรรมน้ีมีประโยชน์ในการประเมินผลงานและการประชาสัมพันธ์ 17. การจัดทาเคร่ืองมือและข้อทดสอบ (Instrumenting and Testing) เป็นการใช้ แบบทดสอบและแบบประเมนิ ต่างๆ 18. การประชุมกลุม่ ย่อย (Buzz Session) เปน็ กิจกรรมการประชุมกลมุ่ เพือ่ อภปิ ราย ใหห้ วั ขอ้ เรือ่ งทเี่ ฉพาะเจาะจง มงุ่ เน้นการปฏสิ ัมพันธ์ภายในกลมุ่ มากท่สี ดุ 19. การจัดทัศนศึกษา (Field Trip) เป็นกิจกรรมการเดินทางไปสถานท่ีแห่งอ่ืน เพื่อศกึ ษาและดูงานทสี่ มั พนั ธก์ ับงานทต่ี นปฏบิ ตั ิ 20. การเยี่ยมเยียน (Intervisiting) เป็นกิจกรรมที่บุคคลหน่ึงไปเย่ียมและสังเกต การทางานของอีกบุคคลหนึง่

9 21. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นกิจกรรมท่ีสะท้อนให้เห็น ความรู้สกึ นึกคิดของบุคคล กาหนดสถานการณ์ขึ้นแล้วให้ผู้ทากิจกรรมตอบสนองหรือปฏิบัติตนเองไป ตามธรรมชาติทคี่ วรจะเปน็ 22. การเขียน (Writing) เป็นกิจกรรมท่ีใช้เป็นสื่อกลางในการนิเทศเกือบทุกชนิด เช่น การเขียนโครงการนเิ ทศ การบนั ทกึ ขอ้ มูล การเขยี นรายงาน การเขยี นบันทกึ ฯลฯ 23. การปฏิบัติตามคาแนะนา (Guided Practice) เป็นกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติ ในขณะท่ีปฏิบัตมิ กี ารดูแลช่วยเหลอื มกั ใชก้ ับรายบคุ คลหรอื กลุม่ ขนาดเล็ก 24. การประชุมปฏิบัติการ (Workshop) เป็นการประชุมที่เน้นให้ผู้เข้าประชุมมีความรู้ ความเข้าใจและทกั ษะทางด้านทฤษฎีและด้านปฏบิ ตั ิอยา่ งแทจ้ ริง โดยสามารถนาไปพัฒนางานให้มีคุณภาพ 25. การศึกษาเอกสารทางวิชาการ เป็นการมอบหมายเอกสารให้ผู้รับการนิเทศไป ศกึ ษาคน้ ควา้ เร่อื งใดเร่ืองหนึ่ง แล้วนาความรู้มาถ่ายทอดให้แกค่ ณะครู 26. การสนทนาทางวิชาการ เป็นการประชุมครูหรือกลุ่มผู้สนใจในเร่ืองราว ข่าวสาร เดยี วกัน โดยกาหนดใหม้ ผี นู้ าสนทนาคนหนึง่ นาสนทนาในเร่ืองที่กลุ่มสนใจ เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ ความเข้าใจ แนวทางในการปฏิบตั งิ าน เทคนิควิธกี ารแก่คณะครูในสถานที่ศึกษา 27. การสัมมนา เป็นการประชุมและเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ เพ่ือสรุปข้อคิดเห็น และหาแนวทางในการปฏิบัติงานร่วมกัน 28. การอบรม เป็นการให้ครูเข้าศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมในวิชาชีพ เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้ครูมีความตืน่ ตวั ทางวชิ าการ และนาความรู้ความสามารถที่ได้จากการอบรมไปใช้พัฒนาการจัดการเรียน การสอนให้มีคุณภาพ 29. การให้คาปรึกษาแนะนา เป็นการพบปะกันระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศเพื่อ ช่วยแก้ปัญหาทั้งด้านส่วนตัวและการปฏิบัติงาน หรือช่วยแนะนาส่งเสริมให้การปฏิบัติงาน ประสบความสาเร็จย่ิงข้นึ การใหค้ าปรึกษาแนะนาสามารถดาเนนิ การได้ท้งั เปน็ รายบุคคลและรายกลุ่ม 30. การสังเกตการสอน เป็นการจัดให้บุคคลท่ีมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองการเรียน การสอนมาสังเกตพฤติกรรมของครูในขณะท่ีทาการสอน เพ่ือให้ครูสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงการสอน ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ โดยใชข้ ้อมลู ย้อนกลบั จากการสังเกตการสอนของผู้นเิ ทศ สรุปกิจกรรมนิเทศการศึกษาในแต่ละกิจกรรมจะมีจุดเด่น จุดด้อย และลักษณะ การนาไปใช้ที่แตกต่างกัน การเลือกใช้กิจกรรมการนิเทศ จึงมีความสา คัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในการ เลือกใช้กิจกรรมการนิเทศในแต่ละคร้ัง ควรคานึงถึงจุดประสงค์ของการนิเทศ จานวนผู้รับการนิเทศ และประโยชนท์ ผ่ี ู้รับการนิเทศจะไดร้ บั ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพปัญหาท่ีพบในโรงเรียนและความ ตอ้ งการของผูร้ ับการนเิ ทศ (5) ทักษะการนเิ ทศการสอน ในการนิเทศการสอน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพการเรียน การสอนใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามวตั ถุประสงค์น้ัน วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้กล่าวถึง ทักษะที่จาเป็นในการนิเทศไว้ สอดคลอ้ งกันคอื ทกั ษะด้านเทคนคิ ทกั ษะดา้ นมนุษย์สัมพันธ์ และทักษะด้านการจัดการ รายละเอียด แต่ละดา้ น ดงั น้ี

10 1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ วิธีการ และเทคนิคที่จาเป็นและท่ีเก่ียวข้องกับการนิเทศ ซึ่งในการนิเทศแต่ละครั้งผู้นิเทศหรือผู้ทาหน้าที่นิเทศ จะต้องมคี วามรู้ ความสามารถเฉพาะอย่าง ต้องมีความรู้ความเข้าใจเทคนิควิธี และสามารถใช้เทคนิค วิธีเหล่านั้นได้ เช่น เทคนิคการนิเทศแบบพัฒนาการ เทคนิคการนิเทศแบบคลินิก เทคนิคการนิเทศ สงั เกตการสอนและการจัดประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับ รวมท้ังต้องมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับเทคนิค วิธสี อนแบบต่างๆท่ีสาคญั และสามารถสาธติ แนะนาให้กับครไู ด้ 2. ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) เป็นความสามารถใน การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายในกลุ่ม และสามารถสร้างความร่วมมือให้ เกดิ ขึน้ ระหวา่ งสมาชกิ ภายในกลุม่ รวมถงึ ความสามารถในการจงู ใจและการมีอทิ ธิพลเหนือคนอืน่ การ ได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจ สามารถพัฒนากลุ่มงานให้มีประสิทธิภาพและสร้างการยอมรับในการ เปล่ียนแปลงมากข้นึ 3. ทักษะด้านการจัดการ (Managerial Skills) เป็นความสามารถในการที่จะจัดให้ และคงไว้ซ่ึงสภาพเงื่อนไขที่จะเป็นการสนับสนุนการทางานของหน่วยงาน หรือกลไกในการรักษาไว้ และทาให้องค์กรดีมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน ประกอบดว้ ยทกั ษะในการจดั การต่อไปน้ี 3.1 ความสามารถในการรกั ษาไวซ้ ึ่งความสัมพันธท์ ด่ี รี ะหวา่ งบคุ คลกบั หนว่ ยงาน 3.2 ความสามารถในการท่ีจะมองเห็นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆท่ีสาคัญ ที่เอ้ือตอ่ การปฏิบตั งิ านในองค์กรหรอื โรงเรียน 3.3 ความสามารถในการทีจ่ ะสร้างองค์กรท่ีมคี ณุ ภาพ 3.4 ความสามารถในการสร้างและคงไวซ้ ึ่งสมรรถภาพขององค์กร สรปุ ได้ว่า ทักษะที่จาเป็นในการนเิ ทศท่สี าคัญก็คือ 1) ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) 2) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) และ3) ทักษะด้านการจัดการ (Managerial Skills) ซ่ึงทกั ษะทัง้ สามด้านจะตอ้ งผสมผสานกนั ในการนาไปใชใ้ นการปฏบิ ตั กิ ารนิเทศ (6) กระบวนการนเิ ทศการสอน ในการนิเทศการสอนเพ่ือให้เกิดผลสาเร็จ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จาเป็น อยา่ งยง่ิ ที่จะตอ้ งดาเนนิ การตามลาดับขั้นตอนอย่างต่อเน่ืองกัน ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้นาเสนอ กระบวนการนิเทศไวด้ งั น้ี สงัด อุทรานันท์ (2530 : 10) ได้เสนอแนะกระบวนการนิเทศการสอนท่ีสอดคล้องกับ สภาพสังคมไทย ประกอบดว้ ย 5 ขน้ั ตอน ซึง่ เรยี กว่า “PIDRE” คือ 1. การวางแผน (P-Planning) เป็นขั้นตอนท่ีผู้บริหาร ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ จะทาการประชุม ปรกึ ษาหารือ เพื่อใหไ้ ดม้ าซงึ่ ปญั หาและความต้องการจาเปน็ ทีต่ อ้ งมกี ารนเิ ทศรวมทั้ง วางแผนถึงขน้ั ตอนการปฏิบัติเกี่ยวกบั การนเิ ทศทจ่ี ัดขึ้น 2. ให้ความรู้ก่อนดาเนินการนิเทศ (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงสิ่งที่จะดาเนินการว่าต้องอาศัยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีข้ันตอนใน การดาเนินการอย่างไร และจะดาเนินการอย่างไรให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ข้ันตอนน้ีจาเป็น ทุกครัง้ สาหรบั เรม่ิ การนิเทศท่จี ัดข้ึนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองใดก็ตาม และเม่ือมีความจาเป็นสาหรับงาน

11 นิเทศที่ยังเป็นไปไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ถึงขั้นท่ีพอใจ ซึ่งจาเป็นท่ีจะต้องทบทวนให้ความรู้ในการ ปฏิบัติงานทีถ่ ูกตอ้ งอกี ครงั้ หน่งึ 3. การดาเนินการนิเทศ (Doing-D) ปะกอบด้วยการปฏิบัติงาน 3 ลักษณะ คือ การปฏิบัติงาน ของผ้รู ับการนเิ ทศ (ครู) การปฏบิ ัติงานของผู้ให้การนิเทศ (ผู้นิเทศ) การปฏบิ ตั ิงานของผู้สนับสนุนการนิเทศ(ผู้บรหิ าร) 4. การสร้างเสริมขวัญกาลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานนิเทศ (Reinforcing-R) เป็นข้ันตอน ของการเสริมแรงของผู้บริหาร ซึ่งให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจในการ ปฏบิ ตั งิ านขนั้ น้อี าจดาเนินไปพร้อม ๆ กับผู้รับการนิเทศท่ีกาลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้เสร็จ สิน้ แล้วกไ็ ด้ 5. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) เป็นข้ันตอนท่ีผู้นิเทศนาการประเมินผล การดาเนินงานที่ผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามีปัญหาหรือ มีอุปสรรคอย่างใดอย่างหน่ึง ท่ีทาให้การดาเนินงานไม่ได้ผล สมควรท่ีจะต้องปรับปรุง แก้ไข ซ่ึงการ ปรับปรุงแก้ไขอาจทาได้โดยการให้ความรู้เพ่ิมเติมในเร่ืองท่ีปฏิบัติใหม่อีกคร้ัง ในกรณีที่ผลงานยังไม่ถึง ขัน้ นา่ พอใจ หรือไดด้ าเนนิ การปรับปรุงการดาเนินงานทั้งหมดไปแล้ว ยังไม่ถึงเกณฑ์ท่ีต้องการ สมควรที่ จะตอ้ งวางแผนรว่ มกันวเิ คราะห์หาจดุ ทีค่ วรพฒั นาหลังใชน้ วัตกรรมด้านการเรยี นร้เู ขา้ มานิเทศ วชั รา เลา่ เรียนดี (2550 : 18-19) ไดเ้ สนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบด้วย 7 ขัน้ ตอน คอื 1. วางแผนรว่ มกนั ระหวา่ งผูน้ ิเทศและผรู้ บั นิเทศ (ครูและคณะคร)ู 2. เลอื กประเด็นหรือเรอ่ื งที่สนใจจะปรับปรุงพัฒนา 3. นาเสนอโครงการพัฒนาและขั้นตอนการปฏิบัติให้ผู้บริหารโรงเรียนได้รับทราบ เพื่ออนมุ ตั ดิ าเนนิ การ 4. ให้ความรู้หรือแสวงหาความรู้จากเอกสารต่างๆและจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เก่ยี วกบั เทคนิคการสังเกตการสอนในช้นั เรียน และความรูเ้ ก่ยี วกบั วิธกี ารสอนและนวตั กรรมใหมๆ่ ทสี่ นใจ 5. จัดทาแผนการนิเทศ กาหนดวัน เวลา ท่ีจะสังเกตการสอน ประชุมปรึกษาหารือ เพ่ือแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และประสบการณ์ 6. ดาเนินการตามแผนโดยครูและผนู้ เิ ทศ (แผนการจัดการเรยี นรแู้ ละการนิเทศ) 7. สรปุ และประเมนิ ผลการปรับปรุงและพฒั นา รายงานผลสาเร็จ Harris et al. (1985 : 13-15) ได้เสนอกระบวนการนิเทศการสอนประกอบด้วย 6 ขนั้ ตอน คอื 1. ประเมินสภาพการทางาน (Assessing) เป็นกระบวนการศึกษาถึงสถานภาพต่างๆ รวมท้งั ขอ้ มลู ท่จี าเป็นเพอ่ื จะนามาเป็นตัวกาหนดถึงความต้องการจาเป็น เพ่ือก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ซ่ึงประกอบด้วยงานต่อไปน้คี ือ 1.1 วิเคราะหข์ ้อมลู โดยการศึกษาหรอื พจิ ารณาธรรมชาติ และความสัมพันธ์ของ สง่ิ ต่างๆ 1.2 สงั เกตสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบถีถ่ ้วน 1.3 ทบทวนและตรวจสอบส่งิ ต่าง ๆ ดว้ ยความระมดั ระวงั 1.4 วดั พฤติกรรมการทางาน

12 1.5 เปรียบเทยี บพฤตกิ รรมการทางาน 2. จัดลาดับความสาคัญของงาน (Prioritizing) เป็นกระบวนการกาหนด เป้าหมาย จุดประสงค์ และกจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามลาดบั ความสาคญั ประกอบดว้ ย 2.1 กาหนดเปา้ หมาย 2.2 ระบจุ ดุ ประสงคใ์ นการทางาน 2.3 กาหนดทางเลือก 2.4 จดั ลาดับความสาคัญ 3. ออกแบบการทางาน (Designing) เปน็ กระบวนการวางแผนหรอื กาหนดโครงการ ตา่ งๆ เพ่ือก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงโดยประกอบดว้ ย 3.1 จัดสายงานให้สว่ นประกอบต่างๆ มีความสัมพันธ์กนั 3.2 หาวธิ ีการนาเอาทฤษฎหี รอื แนวคิดไปสู่การปฏิบัติ 3.3 เตรียมการต่างๆ ให้พรอ้ มท่จี ะทางาน 3.4 จัดระบบการทางาน 3.5 กาหนดแผนในการทางาน 4. จัดสรรทรัพยากร (Allocating Resources) เป็นกระบวนการกาหนดทรัพยากร ตา่ งๆ ให้เกดิ ประโยชน์สูงสุดในการทางาน ซงึ่ ประกอบด้วยงานตอ่ ไปนค้ี ือ 4.1 กาหนดทรัพยากรที่ต้องใช้ตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ 4.2 จดั สรรทรพั ยากรไปใหห้ น่วยงานต่างๆ 4.3 กาหนดทรัพยากรที่จาเปน็ จะต้องใชส้ าหรับจุดมุ่งหมายบางประการ 4.4 มอบหมายบคุ ลากรให้ทางานในแต่ละโครงการหรือแต่ละเปา้ หมาย 5. ประสานงาน (Coordinating) เป็นกระบวนการท่ีเกี่ยวข้องกับคน เวลา วัสดุอุปกรณ์ และส่ิงอานวยความสะดวกทุกๆ อย่างเพื่อจะให้การเปลี่ยนแปลงบรรลุผลสาเร็จงานในกระบวนการ ประสานงาน ไดแ้ ก่ 5.1 ประสานการปฏบิ ตั ิงานในฝ่ายต่างๆ ใหด้ าเนินงานไปด้วยกนั ดว้ ยความราบร่ืน 5.2 สรา้ งความกลมกลนื และความพร้อมเพยี งกัน 5.3 ปรับการทางานในส่วนต่างๆ ให้มปี ระสทิ ธิภาพให้มากท่สี ุด 5.4 กาหนดเวลาในการทางานในแต่ละชว่ ง 5.5 สรา้ งความสัมพันธใ์ ห้เกดิ ขน้ึ 6. การอานวยการหรือการส่ังการ (Directing)เป็นกระบวนการทีมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกดิ สภาพทเ่ี หมาะสมอันจะสามารถบรรลุผลแหง่ การเปลีย่ นแปลงใหม้ ากท่สี ุดซง่ึ ไดแ้ ก่ 6.1 การแตง่ ตงั้ บุคลากร 6.2 กาหนดแนวทางหรอื กฎเกณฑ์ในการทางาน 6.3 กาหนดระเบียบแบบแผนเก่ยี วกบั เวลา ปริมาณหรืออัตราเร็วในการทางาน 6.4 แนะนาและปฏบิ ตั ิงาน 6.5 ชแี้ จงกระบวนการทางาน 6.6 ตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั ทางเลอื กในการปฏบิ ัตงิ าน

13 Allen (อ้างในสงัด อุทธานันท์, 2530 : 76-79) กล่าวถึงกระบวนการนิเทศการสอนว่า ประกอบดว้ ยกระบวนการหลกั 5 กระบวนการซึ่งนิยมเรียกกันง่ายๆ ว่า “POLCA” โดยย่อมาจากคาศัพท์ ต่อไปน้คี ือ P = Planing Processes (กระบวนการวางแผน) O = Organizing Processes (กระบวนการจดั สายงาน) L = Leading Processes (กระบวนการนา) C = Controlling Processes (กระบวนการควบคุม) A = Assessing Processes (กระบวนการประเมนิ ผล) 1. กระบวนการวางแผน (Planing Processes) กระบวนการวางแผนในทัศนะของ Allen มีดังนี้ 1.1 คิดถงึ สงิ่ ท่ีจะทาวา่ มีอะไรบ้าง 1.2 กาหนดแผนงานว่าจะทาสงิ่ ไหน เมอ่ื ไหร่ 1.3 กาหนดจดุ ประสงค์ในการทางาน 1.4 คาดคะเนผลที่จะเกดิ จากการทางาน 1.5 พฒั นากระบวนการทางาน 1.6 วางแผนในการทางาน 2. กระบวนการจัดสายงาน (Organizing Processes) กระบวนการจัดสายงานหรือ จดั บุคลากรต่าง ๆ เพ่อื ทางานตามแผนงานทีว่ างไว้มีกระบวนการดังนี้ 2.1 กาหนดเกณฑม์ าตรฐานในการทางาน 2.2 ประสานงานกับบคุ ลากรต่างๆ ทีจ่ ะปฏบิ ัติงาน 2.3 จัดสรรทรพั ยากรต่าง ๆ สาหรบั การดาเนนิ งาน 2.4 มอบหมายงานให้บุคลากรฝา่ ยต่างๆ 2.5 จดั ใหม้ ีการประสานงานสมั พันธ์กนั ระหว่างผทู้ างาน 2.6 จดั ทาโครงสร้างในการปฏบิ ัติงาน 2.7 จัดทาภาระหน้าท่ีของบุคลากร 2.8 พฒั นานโยบายในการทางาน 3. กระบวนการนา (Leading Processes) กระบวนการนาบุคลากรต่างๆ ให้งานนั้น ประกอบดว้ ยการดาเนินงานต่อไปนี้คือ 3.1 ตัดสินใจเกีย่ วกับสิ่งตา่ ง ๆ 3.2 ให้คาปรึกษาแนะนา 3.3 สร้างนวตั กรรมในการทางาน 3.4 ทาการสื่อสารเพ่ือความเข้าใจในคณะทางาน 3.5 สรา้ งแรงจงู ใจในการทางาน 3.6 เร้าความสนใจในการทางาน 3.7 กระต้นุ ให้ทางาน 3.8 อานวยความสะดวกในการทางาน

14 3.9 รเิ ริ่มการทางาน 3.10 แนะนาการทางาน 3.11 แสดงตวั อย่างในการทางาน 3.12 บอกขั้นตอนการทางาน 3.13 สาธติ การทางาน 4. กระบวนการควบคุม (Controlling Processes) กระบวนการควบคุมประกอบด้วย การดาเนินงานในสิ่งตอ่ ไปนี้ 4.1 นาใหท้ างาน 4.2 แกไ้ ขการทางานท่ีไมถ่ กู ต้อง 4.3 ว่ากลา่ วตกั เตือนในสง่ิ ทผ่ี ดิ พลาด 4.4 เรง่ เร้าใหท้ างาน 4.5 ปลดคนท่ไี ม่มีคุณภาพให้ออกจากงาน 4.6 สรา้ งกฎเกณฑใ์ นการทางาน 4.7 ลงโทษผูก้ ระทาผิด 5. กระบวนการประเมินสภาพการทางาน (Assessing Processes) กระบวนการ ประเมนิ สภาพการทางาน ประกอบด้วยสิ่งตอ่ ไปน้ี 5.1 การพจิ ารณาตัดสินเกี่ยวกบั การปฏบิ ัตงิ าน 5.2 วดั พฤติกรรมในการทางาน 5.3 จัดการวิจัยผลงาน Glickman et al. (1995 : 324-328) ได้นาเสนอกระบวนการนิเทศการสอน ประกอบดว้ ย 5 ขน้ั ตอน คือ 1. การประชุมร่วมกับครูก่อนการสังเกตการสอน (Preconference with teacher) ผู้นเิ ทศเขา้ รว่ มประชุมกบั ครูเพอื่ พิจารณารายละเอียดก่อนการสังเกตการสอนของครูเกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ของการสังเกตต้องการให้เน้นการสังเกตในประเด็นใดเป็นพิเศษวิธีการและรูปแบบการสังเกตท่ีจะนาไปใช้ เวลาทีใ่ ชใ้ นการสงั เกต และกาหนดเวลาทใี่ ชใ้ นการประชุมหลังการสงั เกต 2. การสังเกตการสอนในชั้นเรียน (Observation of Classroom) เป็นการติดตาม พฤติกรรมการสอนของครูในช้ันเรียน เพื่อให้เกิดความเข้าใจสอดคล้องกับหลักการและรายละเอียด ตา่ งๆที่กาหนด ผสู้ งั เกตอาจใช้วธิ ีสังเกตเพยี งวิธใี ดวิธหี นึ่งหรอื หลายวธิ ีกไ็ ด้ 3. การวิเคราะห์และติดตามผลการสังเกตการสอน และพิจารณาวางแผนการประชุม ร่วมกับครู (Analyzing and interpreting observation and determining conference approach) ผู้ นเิ ทศหลังจากได้สังเกตการสอนและไดร้ ับข้อมลู ของครมู าแลว้ ใหว้ ิเคราะห์ขอ้ มูล โดยใช้การนับความถ่ี ตัวแปรบางตัวท่ไี ด้กาหนดไว้ จาแนกตัวแปรหลกั ที่เกิดข้นึ รวมทง้ั ค้นหาตัวแปรบางตวั ที่เกิดข้ึนใหม่จาก การปฏบิ ตั หิ รอื บางตัวทีไ่ ม่เกดิ ขนึ้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ผู้นิเทศวางตัวเป็นกลาง และให้ดาเนินการ แปลความหมายของข้อมลู

15 4. ประชุมร่วมกับครูภายหลังการสังเกตการสอน (Post conference with teacher) ผู้นิเทศจดั ประชุมครูเพ่ือเปน็ การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั และรว่ มกันอภิปราย ซ่ึงผลท่ีได้รับจากการอภิปราย รว่ มกัน ครูผ้สู อนสามารถนาไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงการสอนได้ 5. การวพิ ากษ์วจิ ารณ์ผลที่ได้รับจากข้ันตอนท้ัง 4 ขั้นตอน (Critique of previous four steps) ซ่ึงกระบวนการนิเทศการสอนที่สอดคล้องกับกระบวนการนิเทศของ Copeland and Boyan (1978 : 23) ได้เสนอการนิเทศการสอนไว้ 4 ขั้นตอน คือ 1) การประชุมก่อนการสังเกตการสอน 2) การสังเกต การสอน 3) การวเิ คราะหข์ อ้ มูลจากการสงั เกตการสอน และ 4) การประชมุ หลงั การสังเกตการสอน การนาวงจรคุณภาพ (PDCA) หรือโดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า PDCA มาใช้เป็นกระบวนการนิเทศ การสอน ซ่งึ สมศักด์ิ สินธุระเวชญ์ (2542 : 188) กล่าวถึง จุดหมายที่แท้จริงของวงจรคุณภาพ (PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพน่ันมิใช่เพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบ่ียงเบนออกไปจาก เกณฑ์มาตรฐานให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพ่ือก่อให้เกิดการปรับปรุงในแต่ละรอบของ PDCA อยา่ งตอ่ เน่อื งเป็นระบบและมีการวางแผน PDCA ทม่ี ้วนไตส่ งู ขึน้ เรื่อยๆ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นท่ี 1 การ วางแผน (Plan-P) ขั้นที่ 2 การดาเนินตามแผน (Do-D) ข้ันท่ี 3 การตรวจสอบ (Check-C) ขั้นท่ี 4 การแก้ไขปัญหา (Act-A) ภาพท่ี 2.1 กระบวนการ PDCA วางแผน(Plan-P) อะไร กาหนดปญั หา วิเคราะหป์ ัญหา ทาไม อย่างไร หาสาเหตุ วางแผนรว่ มกนั ปฏิบัติ (Do-D) นาไปปฏบิ ัติ ตรวจสอบ (Check-C) ยืนยนั ผลลพั ธ์ แกไ้ ข (Act-A) ทามาตรฐาน ทีม่ า : สมศกั ด์ิ สนิ ธุระเวชญ์ (2542 : 188)

16 ข้ันตอนท่ี 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะช่วยพัฒนาความคิดต่าง ๆ เพื่อนาไปสู่ รูปแบบที่เป็นจริงขึ้นมาในรายละเอียดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนที่ดีควรมีลักษณะ 5 ประการ ซง่ึ สรปุ ได้ ดงั นี้ 1. อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง (realistic) 2. สามารถเข้าใจได้ (understandable) 3. สามารถวัดได้ (measurable) 4. สามารถปฏิบัติได้ (behavioral) 5. สามารถบรรลุผลสาเร็จได้ (achievable) วางแผนที่ดีควรมีองค์ประกอบ ดังน้ี 1. กาหนดขอบเขตปัญหาให้ชัดเจน 2. กาหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย 3. กาหนดวิธีการที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจนและถูกต้อง แม่นยาท่ีสุดเท่าที่เป็นไปได้ ขน้ั ตอนที่ 2 ปฏิบัติ (Do) ประกอบดว้ ยการทางาน 3 ระยะ 1. การวางแผนกาหนดการ 1.1 การแยกกิจกรรมตา่ งๆ ทต่ี อ้ งการกระทา 1.2 กาหนดเวลาทีค่ าดวา่ ต้องใช้ในกิจกรรมแตล่ ะอยา่ ง 1.3 การจดั สรรทรัพยากรต่างๆ 2. การจัดการแบบแมทริกซ์ (matrix management) การจัดการแบบน้ีสามารถ ช่วยดงึ เอาผู้เชีย่ วชาญหลายแขนงจากแหล่งต่าง ๆ มาได้ และเปน็ วิธีช่วยประสานระหวา่ งฝ่ายตา่ งๆ 3. การพัฒนาขีดความสามารถในการทางานของผู้ร่วมงาน 3.1 ให้ผู้ร่วมงานเข้าใจถึงงานทั้งหมดและทราบเหตุผลท่ีต้องกระทา 3.2 ให้ผู้ร่วมงานพร้อมในการใช้ดุลพินิจท่ีเหมาะสม 3.3 พัฒนาจิตใจให้รักการร่วมมือ ข้นั ตอนท่ี 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบทาให้รับรู้สภาพการณ์ของงานที่ เปน็ อยู่เปรยี บเทยี บกบั สง่ิ ทว่ี างแผน ซ่งึ มีกระบวนการ ดังนี้ 1. กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการตรวจสอบ 2. รวบรวมขอ้ มลู 3. การทางานเป็นตอนๆ เพื่อแสดงจานวน และคุณภาพของผลงานท่ีได้รับในแต่ละ ขน้ั ตอนเปรยี บเทียบกับทีไ่ ดว้ างแผนไว้ 4. การรายงานจะเสนอผลการประเมิน รวมท้ังมาตรการป้องกันความผิดพลาดหรือ ความล้มเหลว 4.1 รายงานเป็นทางการอย่างสมบูรณ์ 4.2 รายงานแบบอย่างไม่เป็นทางการ

17 ขั้นตอนท่ี 4 การแกไ้ ขปัญหา (Act) ผลของการตรวจสอบหากพบว่าเกิดข้อบกพร่อง ขึน้ ทาใหง้ านที่ได้ไม่ตรงตามเป้าหมายหรือผลงานไม่ได้มาตรฐาน ให้ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาตามลักษณะ ปัญหาที่คน้ พบ 1. ถ้าผลงานเบีย่ งเบนไปจากเปา้ หมายตอ้ งแกไ้ ขทีต่ ้นเหตุ 2. ถ้าพบความผิดปกติใดๆ ให้สอบสวนค้นหาสาเหตุแล้วทาการป้องกัน เพื่อมิให้ ความผดิ ปกติน้ันเกดิ ขนึ้ ซ้าอีก ในการแก้ไขปญั หาเพ่อื ให้ผลงานได้มาตรฐานอาจใช้มาตรการดังต่อไปน้ี 1. การย้านโยบาย 2. การปรบั ปรุงระบบหรอื วธิ กี ารทางาน 3. การประชมุ เกีย่ วกบั กระบวนการทางาน จะเห็นได้ว่าวงจรคุณภาพ (PDCA) ประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การดาเนิน ตามแผน (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรับปรุงแก้ไข (Act) โดยการวางแผน การลงมือ ปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามท่ีคาดหมายไว้ จะต้องทา การทบทวนแผนการโดยเร่ิมต้นใหม่และทาตามวงจรคุณภาพซ้าอีก เม่ือวงจรคุณภาพหมุนซ้าไป เรอ่ื ย ๆ จะทาให้เกิดการปรับปรุงงานและระดับผลลัพธ์ท่ีสูงข้ึนเรื่อยๆ ซึ่งหลักการดังกล่าวหากนามา ปรบั ใชใ้ ห้สอดคล้องกบั บริบทของสถานศึกษาจะช่วยพฒั นาบคุ ลากรและนกั เรียนใหม้ คี ุณภาพ จากกระบวนการนิเทศการสอนดังกล่าว สรุปได้ว่า กระบวนการนิเทศท่ีสาคัญๆ ประกอบดว้ ยขัน้ ตอนการวางแผน ขนั้ ตอนการดาเนินงานนเิ ทศ และข้นั ตอนการวัดและประเมินผลการ นเิ ทศ ดงั น้นั รปู แบบการนเิ ทศ จงึ เรยี กวา่ เอ พี ไอ ซี อี (APICE Model) โดยมี 5 ขน้ั ตอน ดังนี้ ขน้ั ตอนท่ี 1 ศึกษาสภาพ และความต้องการ (Assessing Need = A) การศึกษาสภาพ และความต้องการเปน็ สิ่งทม่ี คี วามสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะได้ ทราบสภาพจรงิ และความต้องการในการรับการนิเทศของครูผู้สอนในเร่ืองต่าง ๆ เน่ืองจากบริบทของ แต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน มีความแตกต่างกันท้ังในเร่ืองของการจัดการเรียนการสอน ความพร้อม ของครูและนักเรียน ดังน้ันในขั้นตอนนี้จึงมีความสาคัญท่ีผู้นิเทศจะต้องมีการศึกษาสภาพจริงท่ี ครผู ูส้ อนปฏิบัติ และความต้องการในการชว่ ยเหลือในการแก้ปญั หาการเรยี นการสอน ผู้วิจัยนาแนวคิด มาจากรูปแบบจาลองการออกแบบการสอน The ADDIE Model ของ : Kevin Kruse (2007 : 1) ท่ี กล่าวว่า ข้ันตอนที่ 1 เป็นขั้นของการวิเคราะห์ความต้องการจาเป็น และแนวคิดแบบจาลองการ ออกแบบการสอนเชงิ ระบบของ Dick et al. (2005 : 1-8) ในการวิเคราะห์ ความต้องการจาเป็น การ วิเคราะหก์ ารเรียนการสอน การวิเคราะห์นักเรียนและบริบทซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษากระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 13-15) ทก่ี ล่าววา่ การนเิ ทศการสอนต้องมีการศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้น วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในองค์กร เพื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลง และเป็นไปตามแนวคิดของ Acheson, Keith A. and Gall, Meredith D. (1997 : 90), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 527-528) ที่ กล่าววา่ ผู้นเิ ทศต้องวิเคราะห์การสอนของครูผู้สอนและการเรียนของนักเรียน เปิดโอกาสให้ผู้รับการ นิเทศนาเสนอความต้องการ ประเด็นที่สนใจจะปรับปรุงและพัฒนาและสอดคล้องรูปแบบการนิเทศ ของเกรยี งศักด์ิ สังข์ชยั (2552 : 37)

18 ขัน้ ตอนท่ี 2 วางแผนการนิเทศ (Planning = P) การวางแผนการนิเทศเป็นขั้นของการเตรียมการในการกาหนดตัวช้ีวัดความสาเร็จ ส่ือการนิเทศ เคร่ืองมือการนิเทศ และปฏิทินการนิเทศการจัดกิจกรรมและประเมินการอ่านคิด วิเคราะห์ และเขียน ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการนิเทศของ Harris et al. (1985 : 23 อ้างถึงใน วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์, 2538 : 40) ท่ีกล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียนต้องมีการวางแผน (Planning) ได้แก่ การคิดและการต้ังวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดาเนินงาน วางแผนโครงการ และ สอดคล้องกับแนวคิดของ Lucio, William H., and McNiel, John D (1979 : 24) ท่ีกล่าวว่าผู้นิเทศ ต้องร้จู กั การวางแผน และตอ้ งมกี ารวางแผนการปฏบิ ัติงานของตนเอง นอกจากนีใ้ นกระบวนการนิเทศ การสอนของ Glatthorn, Allan A. (1984 : 2), วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 27), สงัด อุทรานันท์ (2530 : 84-85), เกรียงศักด์ิ สังข์ชัย (2552 : 37), ธัญพร ชื่นกล่ิน (2553 : 28) ยังได้ให้ความสาคัญ เกี่ยวกบั การวางแผน และไดน้ าข้ันตอนการวางแผนการนเิ ทศ เป็นสว่ นหน่ึงของรูปแบบการนิเทศ และ กระบวนการนเิ ทศการสอนทไี่ ดพ้ ฒั นาขึน้ ขน้ั ตอนที่ 3 การใหค้ วามรู้ก่อนการนเิ ทศ (Informing = I) การให้ความรู้ก่อนการนิเทศ เป็นขั้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมและ ประเมินการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน ผู้วจิ ยั ได้ศกึ ษาแนวคดิ เกยี่ วกับรปู แบบและกระบวนการนิเทศ การสอนของนักวิชาการในศาสตร์การนิเทศ เช่น Glatthorn et al. (1984 : 2),วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 27), สงดั อุทรานันท์ (2530 : 86) พบวา่ นักวิชาการดงั กล่าวมีความคดิ เห็นสอดคล้องตรงกัน ว่าในการนิเทศการสอนนัน้ มีความจาเป็นต้องใหค้ วามรู้ท่ีสาคัญ เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้วยการ ประชมุ สมั มนาเชงิ ปฏบิ ตั ิการต่างๆ การส่ือสารทั้งการพูดและการเขียน ตลอดจนการแสวงหาความรู้ จากเอกสาร ขน้ั ตอนท่ี 4 ปฏิบตั กิ ารโคช้ (Coaching = C) การปฏิบัติการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด รูปแบบและ กระบวนการนิเทศของวัชรา เล่าเรียนดี (2556 : 313-317), Sandvold, A (2008 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 314), Sweeney, Diane (2011 : 9) ธัญพร ชื่นกลิ่น (2553 : 28-29) เนื่องจาก แนวคดิ ของนักวชิ าการที่กลา่ วถงึ มุ่งเนน้ การแก้ปญั หาการรหู้ นังสอื และการอา่ นการคิดอยา่ งเป็นระบบ เนน้ ให้ครผู สู้ อนนาความร้แู ละทักษะท่สี าคญั ของการจัดการเรยี นการสอนไปจัดกิจกรรมท่ีเน้นนักเรียน เปน็ สาคญั มีขน้ั ตอนที่สาคัญ คอื 1) ระบุจดุ ประสงคก์ ารเรียนรขู้ องนักเรียนท่ีสัมพันธ์กับมาตรฐานการ เรยี นรู้ 2) วดั และประเมินผลนักเรียนก่อนเรยี น 3) จัดการเรยี นการสอนที่ตอบสนองความต้องการของ นักเรียน 4) วัดและประเมินผลหลังเรียน นอกจากนี้การนิเทศแบบโค้ช ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศมี ความใกล้ชิดกัน ร่วมกันคิดใน เชิงสร้างสรรค์ และแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบและ ตอ่ เนือ่ ง ขัน้ ตอน ที่ 5 การประเมนิ ผลการนิเทศ (Evaluating = E) การประเมินผลการนเิ ทศ เปน็ ข้ันท่ผี ้วู จิ ยั นามาใช้เป็นขน้ั ตอนสุดท้าย เพื่อสรุปผลการ นิเทศในแต่ละขั้นตอนที่ได้ดาเนินการไป เพื่อให้เห็นผลการดาเนินงานทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ซึง่ สอดคลอ้ งกับกระบวนการนิเทศของสงัด อุทรานันท์ (2530 : 87-88) , วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 28) เกรยี งศกั ด์ิ สงั ขช์ ยั (2552 : 37-38), ยพุ ิน ยนื ยง (2553 : 25-26), ธญั พร ช่ืนกลิน่ (2553 : 29)

19 (7) เทคนคิ การสงั เกตการสอน เนือ่ งจากการสังเกตการสอนเป็นเครื่องมือสาคัญในการนิเทศการสอน ผลจากการสังเกต การสอนช่วยในการวเิ คราะห์การสอนของครู ดังนั้นการสังเกตการสอนจะต้องสังเกตและบันทึกข้อมูล ตรงตามความจรงิ และให้ตรงตามจุดมุง่ หมายมากท่สี ดุ Acheson et al. (1997 : 23) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการนิเทศการสอนซ่ึง ประกอบด้วย เทคนิควิธีการ การกาหนดวัตถุประสงค์ และการวางแผนการสังเกตการสอน เทคนิค วิธีการสังเกตการสอนในช้ันเรียน เทคนิคการบันทึกการสังเกตการสอนโดยใช้เคร่ืองมือแบบต่างๆ เทคนิคการประชุมเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ และเทคนิคการนิเทศช้ีแนะ แนะนาเพื่อช่วยเหลือครู ให้เกิดการเปล่ียนแปลงและพัฒนา เทคนิคการสังเกตการสอนน้ันประกอบด้วย วิธีการสังเกตและ การบันทึกโดยเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม (ผู้สังเกตและครูร่วมกันเลือก) เพราะก่อนมีการสังเกต การสอนทุกคร้ังจะต้องมีการตกลงร่วมกันก่อนระหว่างครูกับผู้นิเทศหรือผู้สังเกต และหลังจาก การสังเกตการสอนอาจจะร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลจากการสังเกตการสอนก่อนท่ีจะให้ข้อมูลย้อนกลับ แก่ครู เพอ่ื รว่ มกันในการพจิ ารณาหาแนวทางในการปรับปรุงหรอื พฒั นาการเรียนการสอนต่อไป ดังนั้น ผู้นิเทศ ผู้ทาหน้าท่ีนิเทศ หรือผู้ที่ทาหน้าท่ีนิเทศการสอนจะต้องมีความรู้ มีความเข้าใจพอสมควร เกี่ยวกบั วธิ กี ารสังเกตการสอน เทคนิควิธีการสังเกตการสอน และการบันทึกเครื่องมือสังเกตการสอน การสร้างและการประยุกตใ์ ชเ้ ครื่องมือสงั เกตการสอนจึงจะช่วยให้การนิเทศการสอนประสบผลสาเร็จ ตามเป้าหมาย การสังเกตการสอนและการบันทึกการสอนจาแนกได้หลายลักษณะ เช่น Oliva, Peer F. and Pawlas, George E. (1997 : 26-28) ไดจ้ าแนกการสังเกตเป็น 2 ประเภท 1. การสังเกตแบบกว้าง ๆ ท่ัวไป (Global Observation) เป็นการสังเกตในภาพรวม ไม่เฉพาะเจาะจงในพฤติกรรมประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยปกติจะเป็นการสังเกตหรือวิธีการสังเกตที่ ผูบ้ รหิ ารหรอื ผูน้ ิเทศนยิ มใช้ เมื่อต้องการสังเกตพฤติกรรมการสอนทั่ว ๆ ไป เป็นการสังเกตโดยภาพรวม ของการปฏิบัติการสอนของครู และมักจะใช้ผลการสังเกตและการบันทึก ด้วยวิธีการดังกล่าวใน การประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูด้วย เช่น แบบสังเกตและบันทึกแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating scale) เป็นต้น 2. การสังเกตแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Observation) เป็นการสังเกตและบันทึก เฉพาะพฤติกรรม เฉพาะเหตกุ ารณ์ เฉพาะเรื่อง หรือเฉพาะประเด็น เช่น การสังเกตบันทึกพฤติกรรม ปฏิสมั พนั ธท์ างวาจาระหวา่ งครูกบั นกั เรียนเป็นตน้ นอกจากนี้ Glickman et al. (1995 : 36 ) ได้จาแนกการสังเกตการสอนเป็น 2 ประเภท คอื 1. การสังเกตเชิงปริมาณ (Quantitative Observation) เป็นวิธีการวัดเหตุการณ์ และพฤติกรรมต่างๆ และส่ิงต่างๆ ในห้องเรียน ท่ีสามารถสังเกตเห็นได้ วัดได้ เป็นจานวนครั้งหรือ ความถีข่ องเหตกุ ารณ์ หรอื พฤตกิ รรมต่างๆ ท่ที าการสังเกตและบันทึกด้วยเคร่ืองมือหรือวิธีการสังเกต ด้วยปริมาณ เช่น 1.1 เครื่องมือสังเกตการสอนแบบนับจานวนความถ่ี (Categorical Frequency Instrument)

20 1.2 เคร่ืองมือสังเกตการสอนแบบระบุพฤติกรรมตามกระบวนการจัดการเรียน การสอนในรปู แบบต่างๆ (Performance Indicator Instrument) 1.3 เคร่ืองมือสังเกตการสอนทจี่ ดั เตรยี มฟอรม์ ท่เี ปน็ แผนผงั (Diagram) 1.4 เครอ่ื งมอื สังเกตและบนั ทึกตรวจสอบรายการ (Check list) 1.5 เครอ่ื งมอื สังเกตและบันทึก แบบเลือกประเภทของคาพูดหรือการพูด จด และ บันทกึ ข้อมลู คาพดู นั้น คาตอ่ คาตามเวลาที่กาหนด (Selective Verbatim Recording) 1.6 เคร่ืองมือสังเกตและบันทึกปฏิสัมพันธ์ทางวาจาระหว่างครูกับนักเรียนของ Ned Flanders FIAC (Flanders’s Interaction Analysis Category) 2. การสังเกตเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) การสังเกตด้วยวิธีน้ีเป็น วิธีสังเกตและบันทึกที่จะใช้เม่ือผู้สังเกตหรือผู้นิเทศไม่ทราบว่าจะสังเกตหรือบันทึกอะไรบ้าง ในชน้ั เรียน หรือผู้นิเทศสังเกตรายละเอียดพฤติกรรมในการจัดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน การสังเกตเชิงคุณภาพ การสังเกตเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ตลอดจนสภาพทางกายภาพ ในชน้ั เรียน เช่น การจดบันทึก การจัดบอร์ด ส่ืออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทาการบันทึกแบบพรรณนาความ โดยไม่ใส่อารมณ์ความรูส้ กึ ของตนเองลงไปดว้ ย ประกอบด้วยเครอ่ื งมือหรือวิธกี ารสังเกตดังต่อไปนี้ 2.1 การสังเกตแบบไมม่ สี ว่ นร่วม (Detached-open Narrative) 2.2 การสงั เกตบนั ทึกข้อมูลการพูดเฉพาะอย่าง (Save Verbatim Recording) 2.3 การสงั เกตบันทกึ โดยใช้ V.D.O. (Audio record) 2.4 การสงั เกตและบันทึกแบบสน้ั ๆ (Anecdotal Record) 2.5 การสงั เกตและบนั ทึกแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) 2.6 การสังเกตบันทึกตามประเดน็ คาถาม (Focused Questionnaire Observation) 2.7 การสงั เกตและบันทกึ แบบบันทกึ การปฏิบัติงานของตนเอง (Journal Writing) 2.8 การวจิ ารณท์ างการศึกษา (Educational Criticism) 2.9 การสังเกตบนั ทกึ แบบเฉพาะเหตุการณ์ (Tailored Observation System) การสังเกตการสอนต้องมีเคร่ืองมือสังเกตการสอน (Observation Instrument) ซ่ึง เครอ่ื งมอื สงั เกตการสอนหมายถึง เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการสังเกตและบันทึกการเรียนการสอน เช่น ดินสอ ปากกา กระดาษ เคร่ืองใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เทปบันทึกเสียง กล้องถ่ายวีดีโอ คอมพิวเตอร์ ขนาดเล็ก รวมถึงแบบฟอร์มการสังเกตและบันทึกท่ีผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศสร้างข้ึนเองหรือมีผู้อ่ืน สร้างข้ึน และเป็นท่ียอมรับและรู้จักแพร่หลาย เช่น แบบฟอร์มการสังเกต – บันทึกของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ซึง่ เปน็ เครื่องมอื การสังเกตการสอนที่ได้จากการสร้างและพัฒนาทดลองใช้จน แน่ใจว่าสามารถนาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แต่มักจะเป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้น โดยเฉพาะงานวิจัยท่ีเก่ียวกับพฤติกรรมการสอนของครูท่ีมีประสิทธิภาพหรือเพื่อใช้ในการประเมิน ประสทิ ธภิ าพการสอนของครู เพื่อจุดประสงคอ์ ่นื ทไ่ี ม่ใช่เพอื่ การปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน โดยตรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงเป็นเครื่องมือท่ีค่อนข้างจะละเอียดซับซ้อน ผู้ที่จะนาไปใช้ต้องมี ความสามารถ ความคุน้ เคยและความชานาญในการใช้มากพอสมควร จงึ ขอแนะนาว่า ควรจะประยุกต์ และปรับใช้เป็นเครื่องมือสังเกตการสอนอย่างง่าย สะดวกต่อการฝึกและการใช้ในสถานการณ์จริงจะ

21 เหมาะสมกว่า ดังท่ีกล่าวมาแล้ว และใช้วิธีการสังเกตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการสอนท่ีมี ประสทิ ธภิ าพของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ในการนเิ ทศการสอนเพอื่ ปรบั ปรงุ และพัฒนาการสอนน้ัน ครูควรจะได้มีการส่งเสริม และพฒั นาให้มีความสามารถในการวิเคราะห์การสอนของตนเองได้ ซึ่งมีการสังเกตและการวิเคราะห์ ตนเองอย่างงา่ ยๆ คอื 1. การวเิ คราะหต์ นเองโดยใช้เคร่อื งมอื ชว่ ย เช่น การฟังเสียงการพูดของตนเองจาก เทปบนั ทึกเสยี ง การสงั เกตตนเองจากการดวู ีดีโอเทปที่บันทึกการปฏิบัติงานของตนเองไว้ และการรับ ฟงั ขอ้ มลู ย้อนกลับจากการสงั เกตพฤติกรรมการสอนของผู้นเิ ทศ หรือผทู้ าหน้าทน่ี เิ ทศ หรือจากเพื่อนหรือ จากนกั เรยี น 2. การเยี่ยมช้ันเรียนซึ่งกันและกัน เพ่ือแลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและ กัน อาจทาการเย่ียมชน้ั เรียนเป็นกลมุ่ หรือคณะ เพ่ือสังเกตการสอนและให้สมาชิกภายในกลุ่มช่วยกัน ให้ข้อมูลย้อนกลับ ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นการสอนของผู้อื่นและการสอนของตนเองชัดเจนย่ิงข้ึน ดว้ ยการเปรยี บเทยี บกับการสอนของตนเอง 3. ให้จบั คเู่ พื่อนท่ีสนิทสนมและผลัดกันสังเกตการสอนซึ่งกันและกันให้ข้อมูลย้อนกลับ จากการสังเกตการสอนในด้านต่างๆ ท่ีกาหนด ช่วยกันคิดและวิเคราะห์จุดที่เป็นปัญหา เพื่อหาทาง แกไ้ ขปรบั ปรุงตอ่ ไป 4. ใช้เทคนิคแบบคลินิก (Clinical Supervision) ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผน การสังเกตการสอน มีการบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ แล้วให้ข้อมูลย้อนกลับ จะช่วย ให้ทราบปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ ที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง ซึ่งการนิเทศแบบคลินิกเป็นการนิเทศที่มี จดุ มุ่งหมายเพ่อื พัฒนาปรับปรุงการสอนและทักษะการสอนโดยเฉพาะ และที่สาคัญที่สุดจะต้องดาเนินการ โดยการมกี ารร่วมมือกนั อย่างจริงจงั ระหว่างผูน้ ิเทศกับครู หรอื ผทู้ าหน้าท่นี ิเทศกับครู ในการสังเกตการสอนต้องมีวิธีการบันทึกการสังเกตการสอนท่ีดี จะบันทึกอย่างไร ด้วยวิธีใด ขึ้นอยกู่ บั วัตถปุ ระสงค์ของการสงั เกต ประเภทของการสงั เกตการสอน และการเลือกใช้เครื่องมือ ท่ีเหมาะสม เช่น เป็นการสังเกตการสอนเชิงปริมาณ (Qualitative Observation) จะต้องระบุ วัตถุประสงค์ชัดเจนว่า จะสังเกตพฤติกรรมอะไรบ้าง อย่างไร ใช้เครื่องมือแบบใดจึงเหมาะสม เช่นเดียวกับการสังเกตการสอนเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) จะต้องระบุวัตถุประสงค์ ชัดเจน วิธีการบันทึกและเคร่ืองมือท่ีเหมาะสม ดังนั้น เครื่องมือสังเกตการสอน นอกจากจะเป็น แบบฟอร์มลักษณะตา่ งๆ ท่มี ีผู้สร้างและพัฒนาข้ึน และเผยแพร่ให้ใช้แล้ว ซึ่งอาจจะเป็นการจดหรือเขียน บันทึกเหตุการณ์หรือพฤติกรรมด้วยกระดาษ ดินสอ ปากกา (Written record) ใช้การบันทึกเสียง (Audio record) หรือด้วยการบันทึกภาพ (Videotaping) ประกอบการสังเกตและบันทึกด้วยวิธีการอ่ืนๆด้วยดัง ตวั อยา่ งวธิ ีการสังเกตบันทึกการสอน ดังน้ี 1. การบันทึกแบบพรรณนาความ (Descriptive of Narrative Record) 2. การบันทกึ สั้นๆ ไมเ่ ปน็ ความคดิ หรือการประเมินผลใดๆ (Anecdotal Record or Note king) 3. การบันทึกเสียงและการบันทึกภาพเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องเรียน (Audio taping Videotaping)

22 4. การจดบนั ทกึ คาพูด คาต่อคา ประโยคต่อประโยค ท่ีกาหนด หรือคาพูดที่เลือกจะ บนั ทกึ (Selective Verbatim Recording) 5. การบันทึกแบบบนั ทึกการปฏบิ ตั ิงานของตนเอง (Journal Writing) 6. การบนั ทึกตามประเดน็ คาถามท่กี าหนด (Focused Questionnaire) 7. การบันทกึ โดยทาตารางบนั ทกึ ความถ่ี (Frequency Tabulation) 8. การบันทกึ โดยใช้แผนผังทนี่ ง่ั เตรยี มไว้ (Seating Chart) 9. การบันทึกพฤตกิ รรมภาพทีป่ รากฏโดยใชแ้ บบตรวจสอบรายการ (Check list) 10. การบนั ทกึ พฤตกิ รรมท่ีเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) 11. การบนั ทกึ พฤติกรรมโดยใช้แบบบันทกึ ทีร่ ะบุพฤติกรรมบง่ ช้ี (Performance Indicator Recording) อยา่ งไรก็ตาม การสังเกตการสอนจะบันทึกดว้ ยเครื่องมือหรือวิธีการใดก็ตาม การนา เคร่ืองมือประเภทเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เคร่ืองบันทึกเสียง บันทึกภาพ และฟิล์มต่างๆ มาใช้ประกอบ จะช่วยให้การบันทึกต่างๆในห้องเรียนมีความเที่ยงตรง ครบถ้วนและชัดเจนมากขึ้น เพราะภาพที่บันทึกจะแสดงการเคล่ือนไหว และการใช้ภาษาที่สังเกตและบันทึกด้วยวิธีอ่ืนๆ ท่ีได้บันทึกไว้ด้วย ซ่ึงข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อการนาไปช่วยในการวิเคราะห์ผล การสังเกตการสอนได้ละเอียดยิ่งขึ้น ที่สาคัญการสังเกตการสอนน้ัน เป็นการสังเกตท่ีมีจุดมุ่งหมาย ดังน้ัน ผู้ทาการสังเกตหรือผู้นิเทศจะต้องรู้ว่าจะสังเกตการสอนครูในเรื่องใด ด้านใด หรือพฤติกรรม อะไร ดังนั้น นอกเหนือจากเทคนิควิธีการ และทักษะในการสังเกตการสอนแล้ว ผู้นิเทศหรือผู้สังเกต การสอนจะต้องมีความรู้เก่ียวกับเร่ืองที่จะสังเกตการสอนเป็นอย่างดี เช่น เทคนิควิธีการสอนต่างๆ ทักษะการสอน รูปแบบการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมต่างๆรวมท้ังพฤติกรรมการสอนท่ีมี ประสทิ ธภิ าพในด้านตา่ ง ๆ ของครดู ้วย (วัชรา เลา่ เรียนดี, 2544 : 24) การวิจัยในคร้ังนี้ผู้วิจัยได้มีการสังเกตการสอนและบันทึกผลการนิเทศ เช่น บันทึก ข้อมลู ทพ่ี บระหว่างการนิเทศ การถ่ายภาพการจัดกิจกรรมของครูผู้สอน การเรียนรู้และสืบข้อมูลของ นักเรียน แล้วนาขอ้ มูลมาตรวจสอบสรปุ ผลการนิเทศท้ังในภาพรวม และผลการสังเกตตามตัวชี้วัดของ การอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน คือ 1) การอ่าน และการหาประสบการณ์จากสื่อท่ีหลากหลาย 2) การอ่าน และการจับประเด็นสาคัญ ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นจากเรื่องท่ีอ่าน 3) การอ่าน และ การเปรียบเทียบแง่มุมต่างๆ 4) การอ่าน และการแสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองท่ีอ่าน โดยมีเหตุผล ประกอบ 5) การอ่าน และการถา่ ยทอดความคิดเห็น ความรู้สึก จากเรอื่ งที่อา่ น โดยการเขียน การนเิ ทศแบบโค้ช (Coaching) การนิเทศแบบโค้ช เป็นกระบวนการหน่ึงที่มีความสาคัญในการช่วยเหลือให้ การจัดการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญ คือ ศึกษานิเทศก์ รวมทั้งเครือข่าย การนเิ ทศที่เขา้ มามสี ่วนรว่ มในการนิเทศการสอน การดาเนนิ การเพอื่ เพม่ิ ศักยภาพในการจัดการเรียนรู้ ให้แก่ครูและผู้บริหารสถานศึกษา ให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน ตลอดจนสามารถเสริมสร้างการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาให้เข้มแข็ง

23 การนาเทคนิคการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) มาใช้ในการนิเทศการสอน จึงเป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะช่วย ในการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษาให้มีประสทิ ธิภาพมากขนึ้ ได้ การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) เป็นวิธีการพัฒนาสมรรถภาพการทางานของครู โดยเน้นไปท่กี ารทางานให้ได้ตามเป้าหมายของงาน หรือการช่วยให้สามารถนาความรู้ความเข้าใจที่มี อยูแ่ ละหรอื ได้รบั การอบรมมา ไปสูก่ ารปฏิบัติได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ การโค้ชมีลักษณะเป็นกระบวนการ มี เปา้ หมายทต่ี อ้ งการไปใหถ้ ึง 3 ประการ คอื การแกป้ ญั หาในการทางาน การพัฒนาความรู้ ทักษะ หรือ ความสามารถในการทางาน และการประยุกต์ใช้ทักษะหรือความรู้ในการทางาน ท่ีต้ังอยู่บนหลักการของ การเรยี นรูร้ ว่ มกัน (Co-Construction) โดยยดึ หลักวา่ ไม่มใี ครรู้มากกว่าใคร จึงต้องเรียนไปพร้อมกันเพ่ือให้ ค้นพบวธิ กี ารแก้ไขปญั หาดว้ ยตนเอง (สานกั ทดสอบทางการศกึ ษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพนื้ ฐาน, 2553 : 2-7) (1) การโค้ชเพื่อการรู้หนังสือและการอ่าน (Literacy Coaching or Reading Coaching) คาว่า Literacy Coaching หมายถงึ การโค้ชเพ่ือช่วยให้มีความรู้ มีความสามารถใน ด้านใดด้านหน่ึง เช่น การโค้ชเพ่ือพัฒนาทักษะการอ่าน (Reading Coaching) ซึ่งคา 2 คาน้ีมีการนาไปใช้ แพร่หลายในโรงเรียนต่างๆ ซ่ึงในด้านการศึกษา Literacy Coaching อาจหมายถึง การปฏิบัติงานหลาย อย่าง เพ่อื พฒั นาคณุ ภาพการศึกษาหรือเพอ่ื การพฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอนในหลายวิชาๆ เป็นตน้ การโคช้ เพ่อื ช่วยครูพฒั นาทักษะการอา่ นแก่นักเรียน ผู้ทาหน้าท่ีโค้ชอาจจะทาหน้าท่ี สอนครูเกี่ยวกับยทุ ธวิธีการอา่ น การใช้แผนภูมิ แผนภาพ หรอื กจิ กรรมการสอนท่ีช่วยให้นักเรียนเข้าใจ ในบทอา่ นมากข้นึ ถา้ ผูท้ าหน้าท่ีโค้ชเพ่ือพัฒนาการรู้หนังสือ อาจะมีความรับผิดชอบ โดยการช่วยนักเรียน พัฒนาทกั ษะการเขยี น และทักษะการอา่ นในทุกวิชา อาจทาหน้าท่ีโดยโค้ชครูบ่อยครั้งหรือไม่ทาการ โคช้ เลยกไ็ ด้ โคช้ เพอ่ื การพฒั นาการอา่ น (Reading Coaching) อาจทาหนา้ ที่ครปู ฏบิ ตั ิดา้ นการสอนแก่ นักเรียนหรือประเมินผลการเรียนของนักเรียน การโค้ชท้ัง Literacy Coaching และ Reading Coaching อาจจะใช้สลับกันทาหน้าที่โค้ช แต่บทบาทของโค้ชเพ่ือพัฒนาการรู้หนังสือกับโค้ชเพื่อ พัฒนาการอ่านค่อนข้างชัดเจนท้ังตัวครู บทบาทและหน้าท่ี เช่น ในยุคศตวรรษที่ 21 Literacy Coaching คือ โค้ชที่มาหน้าท่ีช่วยพัฒนาความรู้จะต้องมีทั้งความรู้ ความสามารถด้านการอ่าน และ การอา่ นออกเขยี นได้ดว้ ยวธิ ีตา่ งๆ เป็นตน้ (วัชรา เล่าเรยี นดี, 2556 : 111-112) นอกจากน้ี การโค้ชเพือ่ พัฒนาความสามารถด้านการอ่านออกเขียนได้ (Literacy Coaching) หรอื การรูห้ นงั สอื ดาเนนิ การ ดังนี้ 1. การแลกเปลี่ยนข้อมูล (Sharing Information) ระหว่างโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 2. การเตรียมความพร้อม สาหรับการโค้ช คือ ผู้ทาหน้าที่โค้ช ครูผู้รับการโค้ช จุดประสงค์สาคัญจากการโค้ช ก็คือ ผลการเรียนรู้ด้านการอ่านของนักเรียนท่ีมาจากการสอนท่ีมี ประสิทธิภาพ (Expert Teaching) ของครูท่ีได้รับการโค้ช การโค้ชจึงมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนา ความเชี่ยวชาญ ด้านการสอน โดยมีแนวคดิ เชงิ ระบบง่ายๆ ดงั น้ี Literacy Coaching Expert Teaching Student Achievement 3. การเลือกโค้ชท่ีเหมาะสม โค้ชต้องมีความรู้ความสามารถสูง โดยเฉพาะถ้า จะต้องพัฒนาทักษะด้านใดด้านหนึ่ง วิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น โค้ชที่จะทาการโค้ช เพื่อพัฒนา

24 สมรรถนะการสอนอ่านให้เป็นผู้เชี่ยวชาญการอ่านให้แก่ครูจะต้องมีความเช่ียวชาญด้านการอ่านจริง และเป็นทย่ี อมรบั 4. พัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของ การพัฒนาในวิชาชีพระหว่างผู้ร่วมโครงการ ถา้ ผู้มสี ว่ นรว่ มมีความเต็มใจ ต้ังใจ กระตือรือร้น ในการเริ่มต้นในการพัฒนาอย่างจริงจัง เป็นการเริ่มต้น บนรากฐานทีด่ ีในการพัฒนาต่อไป 5. กาหนดความรับผิดชอบและความสัมพันธ์ต่อกันท่ีชัดเจน เพราะเมื่อใด ท่ีผบู้ ริหาร ครู และโคช้ ทางานร่วมกัน ผลการเรียนของนักเรียนตอ้ งมีการพัฒนาข้นึ 6. โค้ชต้องติดตอ่ ปฏิสัมพนั ธก์ บั โรงเรียนตลอดเวลา การพบปะพูดคุยกันระหว่าง ผู้ท่เี กยี่ วขอ้ ง ทกุ สปั ดาห์ หรอื สองสปั ดาห์ตอ่ คร้งั อย่างตอ่ เนื่อง 7. โคช้ ต้องรวู้ า่ แหล่งความรมู้ อี ะไรบ้าง และเข้าถึงได้อยา่ งไร เชน่ เว็บไซต์ต่างๆ ศูนย์ส่ือต่างๆ ท่ีโรงเรียนจะเข้าถึงได้ 8. การพดู จาภาษาเดยี วกนั ผ้มู ีสว่ นรว่ มทุกคนตอ้ งพดู อธบิ ายในเรอื่ งเดียวกันไดเ้ ขา้ ใจ 9. การประเมินความก้าวหน้า (Assess Progress) การติดตามดูแลช่วยเหลือ ความกา้ วหน้าของครูในการใช้หลักสูตรการส่งเสริมการอ่าน หรือยุทธวิธีสอนจะต้องมีการเก็บบันทึก ขอ้ มูล ครผู ู้สอนและโคช้ ก็ต้องไดร้ บั การฝกึ อบรม และมีการประเมนิ ผลความกา้ วหนา้ 10. มกี ารวางแผนเพื่อพัฒนาอย่างตอ่ เนือ่ ง (2) การโคช้ ท่ีเน้นนักเรียนเปน็ สาคัญ (Student Centered Coaching) 1. แนวคิด การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ (Student Centered Coaching) เป็นอีกแนวคิด หน่งึ ในการพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนของครู เพื่อให้ความสาคัญกับนักเรียนและยึดนักเรียนเป็น สาคัญก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าเป้าหมายหลักสาคัญของการนิเทศในปัจจุบันหรือการโค้ชทุก รูปแบบจะเน้นพัฒนาการของการเรียนรู้ของนักเรียนก็ตาม การโค้ชท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญเป็น แนวคิดและงานของ Diane Sweeney (2011 อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556 : 323) จุดเด่นและ ลกั ษณะสาคัญของการโคช้ ทีเ่ นน้ นกั เรียนเปน็ สาคญั คอื เป็นการดาเนนิ การโคช้ ทโ่ี รงเรียน โดย ความ ร่วมมือของโค้ชผู้บริหาร และครู เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นสาคัญ เป็นโค้ชท่ีมี วตั ถุประสงค์ คือ ผลการเรยี นรู้ของนกั เรยี นมากกวา่ การมงุ่ ปรับปรงุ การปฏิบตั ิการสอนของครู การ โค้ช แนวทางการโคช้ ม่งุ สู่พฒั นาการของผลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นทเี่ กดิ ข้ึน ซ่ึงต้องวัดได้และประเมิน ไดช้ ดั เจน 2. สาระสาคัญของการโคช้ ทเ่ี นน้ นักเรียนเปน็ สาคัญ 2.1 การโค้ชท่ีเน้นนักเรียนเป็นสาคัญ กาหนดเป้าหมายเฉพาะ คือ พัฒนา นกั เรยี น เป็นการรว่ มมือกันของโค้ช ผบู้ ริหาร และครูผสู้ อน 2.2 ผู้บริหารมีบทบาทสาคัญย่ิงในการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนใน โรงเรยี น ซงึ่ ต้องมสี ่วนร่วมอยา่ งจริงจังในการโค้ชและการพฒั นาคณุ ภาพของนักเรียน 2.3 เป็นการวัดและประเมินผลกระทบโดยตรงท่ีเกิดข้ึนกับนักเรียนอัน เนื่องมาจากการโคช้

25 2.4 การพัฒนาวิชาชีพด้วยการโค้ชภายในโรงเรียนมีหลายรูปแบบ หลายวิธีการ ปฏิบัติใชก้ นั แพร่หลายตอ่ เน่อื ง และประสบผลสาเรจ็ แตก่ ารโคช้ ทีเ่ น้นนักเรยี นเป็นสาคญั จะชว่ ยยืนยันได้ ว่าการโคช้ เปน็ การพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนอ่ื งของครแู ละบุคลากรในโรงเรียน ส่งผลถึงพัฒนาการของผล การเรียนรูข้ องนักเรียนจริง 2.5 การโค้ชที่เน้นนักเรียนเป็นสาคัญ มีลักษณะและการปฏิบัติท่ีชัดเจนของ การโค้ชในโรงเรยี น โดยบคุ ลากรในโรงเรียน เนือ่ งจากผู้บริหารต้องให้ความสาคัญและให้ความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาคุณภาพของนกั เรียน โดยตรง 3. บทบาทของผูบ้ รหิ ารในการโคช้ ทเ่ี น้นนักเรียนเปน็ สาคญั 3.1 ทาความเขา้ ใจหลกั การ แนวคิด แนวปฏิบัติ ของการโค้ชท่ีเน้นนักเรียนเป็น สาคญั พร้อมกับโค้ชหรือผทู้ าหนา้ ที่โคช้ เพราะผ้บู ริหารเป็นบุคคลท่ีจะสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นกับ คณะครใู นโรงเรยี น ไม่ใชโ่ คช้ 3.2 ผู้บริหารต้องสร้างวัฒนธรรมของการเรียนรู้ร่วมกันให้เกิดข้ึนในโรงเรียน บุคลากรทุกคนในโรงเรียนหรือครูทุกคน และผู้บริหาร เป็นนักเรียนที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพ่ือ ตอบสนองต่อความตอ้ งการของนักเรียน 3.3 ผู้บริหารต้องมีส่วนร่วมในการโค้ชทุกข้ันตอนของการโค้ช คาถาม และ การอภิปรายร่วมกันระหว่างผู้บริหาร โค้ช และครู คือ เราต้องการให้นักเรียนของเราเรียนรู้และพัฒนา เร่ืองใด เราจะรไู้ ดอ้ ย่างไรวา่ นกั เรียนของเราเกิดการเรียนรู้และพฒั นาตามเปา้ หมาย เราจะช่วยนักเรียนท่ี มีปัญหาในการเรียนด้วยวิธีใหม่ ๆ อย่างไร การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และจุดเน้น การโค้ชจาก การปรบั ปรุงพัฒนาครูใหไ้ ด้ตามมาตรฐานการจัดการเรยี นรู้ ให้เปน็ การปรับปรุงพฒั นานกั เรียนเป็นสาคัญ เปน็ เร่ืองใหม่ โคช้ ทาหนา้ ทโี่ คช้ โดยลาพังไมไ่ ด้ โรงเรียนตอ้ งมีผู้นาเคียงข้างร่วมมือตลอดเวลา จึงจะทาให้ การพัฒนาผลการเรียนของนักเรียนเพือ่ นักเรยี นโดยโรงเรยี นประสบผลสาเร็จ 4. ขั้นตอนการโค้ชท่ีเนน้ นกั เรยี นเป็นสาคญั 4.1 ร่วมกันระบุจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือวิเคราะห์ข้อมูลการเรียนรู้ของ นกั เรียนท่ีสมั พนั ธก์ บั มาตรฐานการเรียนรู้ 4.2 วัดและประเมินผลนักเรียนก่อนเรียน โดยเปรียบเทียบกับจุดประสงค์การ เรยี นรู้ 4.3 จัดการเรียนการสอนท่ีตอบสนองตอ้ งความตอ้ งการของนักเรียน 4.4 วัดและประเมินผลหลังเรียน เพื่อตรวจสอบตัดสินว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้ ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ก่ี าหนดหรือไม่ การนิเทศแบบโค้ช ซ่ึงเป็นการนิเทศที่ผู้วิจัยได้นามาใช้ในการพัฒนารูปแบบ การนเิ ทศการจดั กจิ กรรมและประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียน เนื่องจากว่าการนิเทศแบบโค้ช ผู้ที่ทาการนิเทศและผู้รับการนิเทศได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากกว่าการนิเทศในรูปแบบอื่นๆ ผู้รับ การนิเทศได้มีโอกาสพูดแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ส่วนใหญ่ผู้นิเทศจะเป็นฝ่ายรับฟังมากกว่าพูด มีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น ซักถามพูดคุยในประเด็นที่นิเทศ นอกจากน้ีในเร่ืองของการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เพ่ือพัฒนาความสามารถการจัดกิจกรรมและประเมินของครูผู้สอน ส่งเสริม

26 ความสามารถทางด้านภาษา (literacy) ความสามารถทางด้านเหตุผล (Reasoning Abilities) โดยเน้นนกั เรยี นเปน็ สาคัญ การนิเทศทเ่ี หมาะสมท่ีสุด คอื การนเิ ทศแบบโค้ช แนวคดิ ของการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมให้ ผูเ้ รยี นมีสว่ นรว่ มในชน้ั เรียน สร้างปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างครผู ู้สอนกับผเู้ รียน ม่งุ ใหผ้ ูเ้ รยี นลงมือปฏบิ ตั ิ โดย มีครู เป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) สร้างแรงบันดาลใจ ให้คาปรึกษา ดูแล แนะนา ทา หนา้ ที่เปน็ โคช้ และพ่เี ลยี้ ง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธีการจัดการเรยี นรู้ และแหล่งเรียนรู้ที่ หลากหลาย ให้ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรอู้ ย่างมีความหมาย (Meaningful learning) ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ได้ มีความเข้าใจในตนเอง ใช้สติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่บ่งบอกถึงการมี สมรรถนะสาคญั ในศตวรรษท่ี 21 มีทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ บรรลุเป้าหมายการ เรียนรู้ตามระดับช่วงวยั ความหมายของการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ (Active Learning) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) คือ การเรียนท่ีเน้นให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับ การเรียนการสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ด้วยการ วิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟัง ผู้เรียนต้องอ่าน เขียน ต้ังคาถาม และถาม อภิปรายรว่ มกัน ผู้เรยี นลงมือปฏิบตั ิจริง โดยต้องคานึงถึงความรู้เดิมและความต้องการของผู้เรียนเป็น สาคญั ท้ังน้ี ผูเ้ รยี นจะถกู เปล่ียนบทบาทจากผรู้ บั ความรไู้ ปสู่การมีส่วนรว่ มในการสร้างความรู้ ความสาคญั ของการจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active Learning) 1. Active Learning ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทาของผู้เรียน การมีวจิ ารณญาณ และการคดิ สร้างสรรค์ ผู้เรียนจะมีโอกาส มีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริงและมีการ ใช้วิจารณญาณในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบัติกิจกรรมน้ัน มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเป็นผู้กากับทิศ ทางการเรียนรู้ ค้นหาสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเป็นผู้รู้คิด รู้ตัดสินใจด้ว ยตนเอง (Metacognition) เพราะฉะนั้น Active Learning จึงเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีมุ่งให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาความคิดข้ันสูง (Higher order thinking) ในการมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์ การคิด แกป้ ญั หา การประเมิน ตัดสนิ ใจ และการสร้างสรรค์ 2. Active Leaning สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ความร่วมมือในการปฏบิ ัติงานกลุ่มจะนาไปส่คู วามสาเร็จในภาพรวม 3. Active Learning ทาให้ผ้เู รียนทมุ่ เทในการเรียน จงู ใจในการเรียน และทาให้ผู้เรียน แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น ในสภาพแวดล้อม ทีเ่ อื้ออานวย ผ่านการใช้กิจกรรมท่ีครูจัดเตรียมไว้ให้อย่างหลากหลาย ผู้เรียนเลือก เรียนร้กู จิ กรรมตา่ งๆ ตามความสนใจและความถนดั ของตนเอง เกิดความรับผิดชอบและทุ่มเทเพ่ือมุ่งสู่ ความสาเร็จ 4. Active Learning ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเชิงบวกท้ังตัว ผ้เู รยี นและตัวครู เป็นการปรับการเรยี นเปล่ียนการสอน ผู้เรียนจะมีโอกาสได้เลือกใช้ความถนัด ความ

27 สนใจ ความสามารถท่เี ป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) สอดรับกับแนวคิดพหุ ปัญญา (Multiple Intelligence) เพ่อื แสดงออกถึงตวั ตนและศักยภาพของตัวเอง ส่วนครูผู้สอนต้องมี ความตระหนักท่ีจะปรับเปล่ียนบทบาท แสวงหาวิธีการ กิจกรรมท่ีหลากหลาย เพ่ือช่วยเสริมสร้าง ศักยภาพของผู้เรียนแต่ละ คน ส่ิงเหล่าน้ี จะทาให้ครูเกิดทักษะในการสอนและมีความเชี่ยวชาญใน บทบาท หน้าที่ ทีร่ บั ผดิ ชอบ เป็นการพัฒนาตน พัฒนางาน และพัฒนาผู้เรียนไปพร้อมกัน ลักษณะของการจัดการเรยี นรเู้ ชงิ รุก (Active Learning) ลกั ษณะของการจดั การเรียนรูเ้ ชงิ รกุ มีดังน้ี 1. เป็นการพฒั นาศกั ยภาพการคิด การแก้ปัญหา และการนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. ผูเ้ รยี นมสี ่วนรว่ มในการจัดระบบการเรียนรู้ และสรา้ งองคค์ วามรโู้ ดยมปี ฏสิ ัมพันธร์ ่วมกัน ในรูปแบบของความร่วมมอื มากกว่าการแขง่ ขัน 3. เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นมสี ว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรสู้ ูงสุด 4. เป็นกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ สู่ทักษะการคิดวิเคราะห์ และประเมนิ ค่า 5. ผ้เู รยี นได้เรียนรคู้ วามมีวนิ ยั ในการทางานร่วมกับผู้อ่ืน 6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ และการสรปุ ของผู้เรียน 7. ผู้สอนเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ตนเอง จากลักษณะการเรยี นรแู้ บบ Active Learning ดงั กล่าว จึงควรมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทีส่ อดคล้องกนั ดังน้ี 1. จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหาและการนา ความรู้ไปประยกุ ต์ใช้ 2. จัดการเรียนรูท้ ่เี ปดิ โอกาสให้ผู้เรียนมสี ่วนรว่ มในกระบวนการเรยี นร้สู งู สุด 3. จดั ใหผ้ เู้ รียนสรา้ งองค์ความรู้และจดั กระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 4. จดั ให้ผเู้ รยี นมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ท้ังในดา้ นการสรา้ งองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ ร่วมกนั สร้างร่วมมือกนั มากกวา่ การแข่งขัน 5. จัดให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทางานและการแบ่ง หน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบในภารกิจต่างๆ 6. จัดกระบวนการเรยี นที่สร้างสถานการณใ์ หผ้ ู้เรยี นอ่าน พูด ฟัง คดิ อย่างลุ่มลึก ผู้เรียน จะ เป็นผู้จดั ระบบการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 7. จัดกิจกรรมการจัดการเรยี นร้ทู ่ีเน้นทักษะการคิดขัน้ สงู 8. จัดกิจกรรมทเี่ ปิดโอกาสใหผ้ ้เู รียนบรู ณาการขอ้ มลู ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลักการ ความคิดรวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ตนเอง

28 10. จดั กระบวนการสรา้ งความรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุป ทบทวนของผู้เรยี น ลักษณะกิจกรรมทเี่ ปน็ การเรียนรูเ้ ชิงรกุ 1. กระบวนการเรยี นร้ทู ลี่ ดบทบาทการสอนและการให้ความรโู้ ดยตรงของครู แต่เปิดโอกาส ให้ ผู้เรียนมสี ่วนร่วมสรา้ งองคค์ วามรู้ และจัดระบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 2. กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้นาความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ สามารถ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า คิดสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ พัฒนาทักษะกระบวนการคิดไปสู่ระดับท่ี สูงข้นึ 3. กิจกรรมเช่ือมโยงกับนักเรียน กับสภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปัญหาของชุมชน สังคม หรือ ประเทศชาติ 4. กจิ กรรมเปน็ การนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใชแ้ ก้ปัญหาใหม่ หรอื ใชใ้ นสถานการณใ์ หม่ 5. กิจกรรมเนน้ ใหผ้ ู้เรยี นไดใ้ ช้ความคิดของตนเองอยา่ งมเี หตุมีผล มโี อกาสร่วมอภิปรายและ นาเสนอผลงาน 6. กิจกรรมเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง ผเู้ รยี น ด้วยกัน รปู แบบวธิ กี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ ชิงรุก (Active Learning) การจดั การเรียนรู้ท่ีเน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ในลักษณะการจัดการเรียนรู้ เชิงรุก (Active Learning) มีวธิ กี ารจัดการเรยี นรหู้ ลากหลายวิธี เช่น - การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเปน็ ฐาน (Activity-Based Learning) - การเรยี นรูเ้ ชงิ ประสบการณ์ (Experiential Learning) - การเรียนร้โู ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) ฯลฯ อยา่ งไรกต็ ามรปู แบบ วธิ กี ารจัดกิจกรรมการเรยี นรูเ้ หลา่ น้ี มีพื้นฐานมาจากแนวคิดเดียวกัน คอื ให้ผู้เรียนเป็นผมู้ บี ทบาทหลกั ในการเรียนรขู้ องตนเอง โดยสรุป การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน โดยการนาเอา วิธกี าร สอนเทคนคิ การสอนทห่ี ลากหลายมาใชอ้ อกแบบแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ กระตุ้นให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับ ผู้สอน เป็นการจัดการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะ และเช่ือมโยงองค์ความรู้นาไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาหรือประกอบอาชีพในอนาคต และถือเป็นการ จัดการเรียนรู้ประเภทหน่ึงท่ีส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีคุณลักษณะสอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงในยุค ปัจจุบนั รูปแบบวธิ ีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ที่เนน้ บทบาทและการมีสว่ นร่วมของผเู้ รียน ดงั ต่อไปนี้

29 รูปแบบการเรียนรู้โดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) การเรียนรูโ้ ดยใช้กจิ กรรมเปน็ ฐาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีพัฒนามาจากแนวคิดในการ จัดการเรียนการสอนท่ีเผยแพร่ในปลายศตวรรษที่ 20 ที่เรียกว่า การเรียนรู้ที่เน้นบทบาท และการมี ส่วนร่วม ของผู้เรียน หรือ “การเรียนรู้เชิงรุก” (Active Learning) ซึ่งหมายถึง รูปแบบการเรียน การสอน ท่ีมงุ่ เนน้ สง่ เสริมให้ผู้เรยี นมสี ่วนร่วมในการเรียนรู้ และบทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรียน \"ใช้ กิจกรรมเป็นฐาน\" หมายถึง นากิจกรรมเป็นที่ต้ังเพ่ือที่จะฝึกหรือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ให้ บรรลุวัตถปุ ระสงค์หรือเปา้ หมายที่กาหนด ลกั ษณะสาคญั ของการเรยี นรู้โดยใช้กจิ กรรมเป็นฐาน 1. ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนมคี วามตนื่ ตัวและกระตอื รอื รน้ ดา้ นการรู้คิด 2. กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้จากตัวผู้เรียนเอง มากกว่าการฟังผู้สอนในห้องเรียน และการ ท่องจา 3. พัฒนาทักษะการเรียนรขู้ องผู้เรียน ให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ทาให้เกิดการเรียนรู้ อย่างตอ่ เนอ่ื งนอกห้องเรยี นด้วย 4. ได้ผลลัพธใ์ นการถ่ายทอดความรูใ้ กลเ้ คยี งกบั การเรยี นรู้รูปแบบอื่น แต่ได้ผลดีกว่าในการ พฒั นาทักษะดา้ นการคดิ และการเขียนของผู้เรยี น 5. ผู้เรียนมีความพึงพอใจกับการเรียนรู้แบบนี้มากกว่ารูปแบบท่ีผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้ ซ่ึงเปน็ การเรยี นรแู้ บบตัง้ รับ (Passive Learning) 6. มุ่งเน้นความรับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนรู้โดยผ่านการอ่าน เขียน คิด อภิปราย และ เขา้ รว่ มในการแกป้ ัญหา และยังสัมพนั ธก์ ับการเรียนรตู้ ามลาดับขัน้ การเรยี นรู้ของบลูม ทั้งในด้าน พุทธิพิสัย ทกั ษะพสิ ยั และจติ พิสยั หลกั การจัดการเรยี นรโู้ ดยใชก้ จิ กรรมเป็นฐาน 1. ให้ความสนใจที่ตัวผู้เรียน 2. เรียนรู้ผา่ นกจิ กรรมการปฏิบัติทีน่ า่ สนใจ 3. ครูผสู้ อนเปน็ เพียงผอู้ านวยความสะดวก 4. ใชป้ ระสาทสัมผัสทัง้ 5 ในการเรยี น 5. ไม่มกี ารสอบ แตป่ ระเมนิ ผลจากพฤตกิ รรม ความเข้าใจ และผลงาน 6. เพือ่ นในชัน้ เรียนชว่ ยสง่ เสริมการเรียน 7. มีการจัดสภาพแวดล้อม และบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการพัฒนาความคิด และเสริมสร้าง ความ มัน่ ใจในตนเอง ประเภทของกจิ กรรมในการเรียนรู้โดยใชก้ จิ กรรมเปน็ ฐาน กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน มีหลากหลายกิจกรรม การเลือกใช้ข้ึนอยู่กับ ความเหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมนั้นๆ ว่ามุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ หรือ พัฒนาในเร่อื งใด สามารถจาแนกออกเปน็ 3 ประเภทหลกั คอื 1. กจิ กรรมเชิงสารวจ เสาะหา ค้นคว้า (Exploratory) ซึ่งเก่ียวข้องกับการรวบรวมสั่งสม ความรู้ ความคดิ รวบยอด และทกั ษะ

30 2. กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Constructive) ซึ่งเก่ียวข้องกับการรวบรวม ส่ังสม ประสบการณ์ โดยผา่ นการปฏบิ ตั ิ หรอื การทางานทร่ี ิเร่มิ สรา้ งสรรค์ 3. กจิ กรรมเชิงการแสดงออก (Expressional) ได้แก่ กิจกรรมท่เี ก่ยี วกับ การนาเสนอ การ เสนอผลงาน กจิ กรรมการเรยี นรู้ทนี่ ิยมใชจ้ ัดการเรียนร้โู ดยใช้กิจกรรมเปน็ ฐาน - การอภปิ รายในชน้ั เรยี น (class discussion) ที่ใชไ้ ดท้ ้งั ในห้องเรียนปกติ และการอภิปราย ออนไลน์ - การอภปิ รายกลุ่มยอ่ ย (Small Group Discussion) - กิจกรรม “คดิ -จับค-ู่ แลกเปล่ยี น” (think-pair-share) - เซลการเรยี นรู้ (Learning Cell) - การฝกึ เขียนขอ้ ความสัน้ ๆ (One-minute Paper) - การโต้วาที (Debate) - การแสดงบทบาทสมมตุ ิ (Role Play) - การเรยี นรู้โดยใชส้ ถานการณ์ (Situational Learning) - การเรยี นแบบกลมุ่ รว่ มแรงรว่ มใจ (Collaborative learning group) - ปฏิกริ ิยาจากการชมวิดทิ ัศน์ (Reaction to a video) - เกมในชนั้ เรียน (Game) - แกลเลอรี่ วอล์ค (Gallery Walk) - การเรยี นรโู้ ดยการสอน (Learning by Teaching) ฯลฯ รูปแบบการเรียนรู้เชงิ ประสบการณ์ (Experiential Learning) การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) หรือการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เชิงประจักษ์ เป็นการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมหรือการปฏิบัติ ซึ่งเป็น ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม เพ่ือนาไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชิงนามธรรมโดยผ่านการสะท้อน ประสบการณ์ การคิดวิเคราะห์ การสรุปเป็นหลักการ ความคิดรวบยอด และการนาความรู้ไป ประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์จรงิ ลักษณะสาคัญของการเรียนรู้เชงิ ประสบการณ์ 1. เปน็ การเรียนรทู้ ผี่ ่านประสบการณ์เชิงประจักษจ์ ากกจิ กรรม หรอื การปฏิบตั ิของผู้เรียน 2. ทาให้เกดิ การเรยี นรู้ใหม่ๆ ท่ีท้าทายอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากบทบาท การมสี ่วนรว่ มของผ้เู รยี น 3. มีปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รียนด้วยกนั เอง และระหวา่ งผเู้ รยี นกับผสู้ อน 4. ปฏิสัมพันธ์ที่มีทาให้เกิดการขยายตัวของเครือข่ายความรู้ท่ีทุกคนมีอยู่ออกไปอย่าง กว้างขวาง

31 5. อาศัยกิจกรรมการสื่อสารทุกรูปแบบ เช่น การพูด การเขียน การวาดรูป การแสดง บทบาทสมมุติ การนาเสนอด้วยสื่อต่างๆ ซ่ึงเอ้ืออานวยให้เกิดการแลกเปลี่ยน การวิเคราะห์ และ สงั เคราะหก์ ารเรียนรู้ รูปแบบการเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem-Based Learning) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ โดยใชป้ ัญหาเปน็ ตัวกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นตั้งสมมติฐาน สาเหตุและกลไกของการเกิดปัญหานั้น รวมถึงการ คน้ ควา้ ความรพู้ ้ืนฐานที่เกี่ยวขอ้ งกับปัญหา เพือ่ นาไปสู่การแก้ปัญหาต่อไป โดยผู้เรียนอาจไม่มีความรู้ ในเร่ืองนัน้ ๆ มากอ่ น แตอ่ าจใชค้ วามรู้ทีผ่ ้เู รียนมีอยเู่ ดิมหรือเคยเรียนมา นอกจากนีย้ ังมุ่งให้ผู้เรียนใฝ่หา ความรู้เพ่ือแก้ไข ปัญหา ได้คิดเป็น ทาเป็น มีการตัดสินใจท่ีดี และสามารถเรียนรู้การทางานเป็นทีม โดยเนน้ ใหผ้ ู้เรียนได้เกิดการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง และสามารถนาทักษะจากการเรียนมาช่วยแก้ปัญหาใน ชีวติ การเรยี นรโู้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐานเปน็ การเรียนรูจ้ ากประสบการณ์ โดยเรมิ่ จากการได้ประสบการณ์ ตรงจากโจทยป์ ัญหา ผา่ นกระบวนการคดิ และการสะท้อนกลับ ไปสู่ความรู้และความคิดรวบยอด อัน จะนาไปใชใ้ นสถานการณใ์ หมต่ อ่ ไป การเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐานยังเป็นการตอบสนองต่อแนวคิด constructivism โดยให้ผู้เรียนวิเคราะห์หรือตั้งคาถามจากโจทย์ปัญหา ผ่านกระบวนการคิดและ สะทอ้ นกลบั เน้นปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งผู้เรยี นในกลุ่ม เน้นการเรียนรู้ท่ีมี ส่วนร่วม นาไปสู่การค้นคว้าหา คาตอบหรือสรา้ งความร้ใู หม่ บนฐานความรู้เดิมท่ีผู้เรียนมีมาก่อนหน้านี้ นอกจากน้ี การเรียนรู้โดยใช้ ปญั หาเป็นฐานยงั เปน็ การสรา้ งเงอื่ นไขสาคัญท่ีสง่ เสริมการเรยี นรู้ กล่าวคอื 1. การเรียนรู้สิ่งใหม่จะได้ผลดีขนึ้ ถ้าไดม้ กี ารเช่อื มโยงหรือกระตุ้นความรูเ้ ดิมท่ีผเู้ รยี นมีอยู่ 2. การเรียนรเู้ นอ้ื หาทใี่ กลเ้ คียงสถานการณ์จริงหรือมีประสบการณ์ตรงจากโจทย์ปัญหาจะ ทาใหผ้ เู้ รียนเรยี นรู้ได้ดีข้ึน 3. เน่ืองจากการเรยี นรโู้ ดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นการเรยี นกลุ่มย่อย การได้แสดงออก แสดง ความคดิ เหน็ หรือ อภิปรายถกเถียงกันจะทาให้ผู้เรียนเข้าใจและเรียนรู้ส่ิงนั้นได้ดีข้ึน การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน เป็นรปู แบบการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผเู้ รียนสรา้ งความรใู้ หม่ จากการใชป้ ัญหาท่ีเกิดขึ้นจริงในโลก เป็นบริบทของ การเรียนรู้ เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นเกิดทักษะในการคิดวิเคราะหแ์ ละคดิ แก้ปัญหา รวมท้งั ได้ความรู้ตามศาสตร์ใน สาขาวิชาที่ ตนศึกษาไปพร้อมกันด้วย การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการ ทางานทีต่ อ้ งอาศยั ความเขา้ ใจและการแกไ้ ขปัญหาเป็นหลัก สง่ิ สาคัญในการจดั การเรียนรแู้ บบใชป้ ัญหาเป็นฐาน คือ ปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็น ส่ิงกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาท่ีมีประสิทธิภาพ ผู้สอน จะต้องคานึงถึง พื้นฐานความรู้ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ความสนใจและภูมิหลังของ ผูเ้ รยี น เพราะคนเรามีแนวโนม้ ทีจ่ ะสนใจเร่ืองใกล้ตัวมากกว่าเรื่องไกลตัว สนใจส่ิงที่มีความหมายและ ความสาคัญต่อตนเองและเป็นเร่ืองท่ีตนเองสนใจใคร่รู้ ดังนั้น การกาหนดปัญหาจึงต้องคานึงถึงตัว ผเู้ รยี นเปน็ หลกั รวมถงึ สภาพแวดล้อม และ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนท่ีเอ้ืออานวย ตอ่ การแสวงหาความรูข้ องผู้เรยี นด้วยการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบน้ีจะเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลง

32 มือปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง เผชิญหนา้ กับปญั หาด้วยตนเอง เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกทกั ษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคดิ วิจารณญาณ คดิ วิเคราะหค์ ิดสงั เคราะห์ คิดสร้างสรรค์ เป็นต้น วัตถปุ ระสงคห์ รือผลลพั ธ์ทีค่ าดหวังจากการเรียนรูโ้ ดยใช้ปญั หาเป็นฐาน ไดแ้ ก่ 1. ไดค้ วามรทู้ ่ีสอดคล้องกบั บริบทจรงิ และสามารถนาไปใช้ได้ 2. พัฒนาทกั ษะการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ การใหเ้ หตผุ ล และนาไปสู่การแกป้ ญั หา 3. ผเู้ รยี นสามารถเรียนรไู้ ด้ดว้ ยตัวเองอย่างตอ่ เนื่อง 4. ผูเ้ รยี นสามารถทางานและส่ือสารกับผอู้ ื่นไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 5. สรา้ งแรงจูงใจในการเรยี นร้ใู ห้แก่ผเู้ รียน 6. ความคงอยู่ (retention) ของความรู้จะนานขนึ้ ลักษณะสาคญั ของการเรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 1. ใช้ปญั หาทส่ี อดคล้องกับสถานการณ์จริงเป็นตัวกระตุ้นการแก้ปัญหาและเป็นจุดเริ่มต้น ในการแสวงหาความรู้ ปัญหาทเ่ี หมาะสมกับการนามาจัดกจิ กรรมควรมลี ักษณะ ดังนี้ - เป็นเรอื่ งจริงเกีย่ วข้องกับชีวติ ประจาวนั ที่เกิดขนึ้ ในชวี ิตจริงและเกิดจากประสบการณ์ของ ผเู้ รียนหรอื ผูเ้ รียนอาจมโี อกาสเผชญิ กับปญั หาน้นั - ท้าทาย กระตุน้ ความสนใจ อาจตื่นเต้นบา้ ง เป็นปัญหาทีย่ ังไม่มคี าตอบชัดเจนตายตัว เป็น ปญั หาทีม่ คี วามซบั ซ้อน คลุมเครือ หรอื ผ้เู รยี นเกดิ ความสับสน - เป็นปัญหาที่พบบ่อย มีความสาคัญ มีข้อมูลประกอบเพียงพอสาหรับการค้นคว้าได้ฝึก ทักษะ การตัดสนิ ใจโดยข้อเทจ็ จริง ขอ้ มูลขา่ วสาร ตรรกะ เหตุผล และตั้งสมมติฐาน - เชื่อมโยงความรเู้ ดิมกับข้อมูลใหม่ สอดคล้องกับเน้ือหา/แนวคิดของหลักสูตร มีการสร้าง ความรูใ้ หม่ บรู ณาการระหวา่ งบทเรยี น นาไปประยุกต์ใช้ได้ - ปญั หาซับซ้อนท่ีก่อให้เกิดการทางานกลุ่มร่วมกัน มีการแบ่งงานกันทาโดยเชื่อมโยงกันไม่ แยกส่วน เหมาะสมกบั เวลา เกิดแรงจงู ใจในการแสวงหาความรูใ้ หม่ - ชกั จูงให้เกดิ การอภิปรายไดก้ ว้างขวาง ปญั หาที่เป็นประเด็นขัดแย้ง ข้อถกเถียงในสังคมที่ ยงั ไมม่ ขี อ้ ยตุ ิ เป็นปลายเปิด ไมม่ คี าตอบทีช่ ัดเจน มีหลายทางเลือก/หลายคาตอบ สัมพันธ์กับสิ่งที่เคย เรียนรู้ มาแล้ว มขี ้อพจิ ารณาทีแ่ ตกตา่ ง แสดงความคิดเห็นได้หลากหลาย - ปญั หาทส่ี รา้ งความเดือดรอ้ น เสยี หาย เกิดโทษภัยเป็นสงิ่ ที่ไม่ดีหากใช้ข้อมูลโดยลาพัง คน เดยี วอาจทาให้ตอบปัญหาผิดพลาด - ปัญหาที่มีการยอมรับว่าจริง ถูกต้อง แต่ผู้เรียนไม่เชื่อจริง ไม่สอดคล้องกับความคิดของ ผเู้ รยี น - ปัญหาที่อาจมีคาตอบหรือแนวทางในการแสวงหาคาตอบได้หลายทาง ครอบคลุมการ เรียนรู้ ทกี่ ว้างขวางหลากหลายเน้ือหา - ปัญหาทม่ี ีความยากความง่ายเหมาะสมกบั พ้ืนฐานของผ้เู รยี น - ปญั หาที่ไม่สามารถหาคาตอบได้ทันที ต้องการการสารวจ ค้นคว้าและการรวบรวมข้อมูล หรอื ทดลองดกู ่อน ไม่สามารถที่จะคาดเดาหรอื ทานายได้งา่ ยๆ วา่ ตอ้ งใช้ความรอู้ ะไร - ปัญหาที่ส่งเสริมความรู้ด้านเน้ือหาทักษะ สอดคล้องกับหลักสตู รการศึกษา

33 - ใช้ส่ือหลากหลายรูปแบบในการระบุปัญหา เช่น ข้อความบรรยาย รูปภาพ วีดีทัศน์สั้นๆ ข้อมูลจากผลการทดลองในห้องปฏบิ ัติการ ข่าว บทความจากหนังสอื พมิ พ์ วารสาร ส่งิ พมิ พ์ 2. บูรณาการเนือ้ หาความรู้ในสาขาตา่ งๆ ทีเ่ กยี่ วข้องกับปญั หานั้น 3. เนน้ กระบวนการคดิ อย่างมีเหตุผลและเปน็ ระบบ 4. เรียนเปน็ กลมุ่ ยอ่ ย โดยมคี รหู รอื ผู้สอนเป็นผู้สนับสนุนและกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมกันสร้าง บรรยากาศทส่ี ่งเสริมการเรียนรู้ใหเ้ กิดขึน้ ในกลุ่ม 5. ผู้เรียนมีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ และเรียนโดยการกากับตนเอง (Self-directed learning) กล่าวคือ - สามารถประเมนิ ตนเองและบง่ ชีค้ วามตอ้ งการได้ - จดั ระบบประเดน็ การเรียนรู้ได้อย่างเที่ยงตรง - รู้จักเลอื กและใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ทีเ่ หมาะสม - เลอื กกิจกรรมการศึกษาคน้ ควา้ แกป้ ญั หา ทต่ี รงประเด็น มปี ระสิทธภิ าพ - บง่ ช้ขี อ้ มูลทไี่ ม่เกย่ี วข้องได้ และคัดแยกออกได้อยา่ งรวดเร็ว - ประยุกตใ์ ช้ความรใู้ หม่เชิงวิเคราะหไ์ ด้ - รจู้ กั ขัน้ ตอนการประเมิน กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ข้ันท่ี 1 กาหนดปัญหา จัดสถานการณต์ ่างๆ กระตนุ้ ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และมองเห็น ปญั หา สามารถกาหนดสิง่ ทเ่ี ป็นปญั หาที่ผเู้ รยี นอยากรู้ อยากเรยี นเกดิ ความสนใจทจี่ ะคน้ หาคาตอบ 1. จดั กลุ่มผู้เรยี นให้มีขนาดเล็ก (ประมาณ 3-5 /8-10 คน) 2. ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ โดยลักษณะของปัญหาที่นามาใช้ ควรมี ลกั ษณะ คลุมเครือไม่ชัดเจน มีวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย อาจมีคาตอบได้หลายคาตอบ โดย คานงึ ถึงการเชอื่ มโยงความร้ใู หม่เข้ากับความรเู้ ดมิ ความซบั ซอ้ นของปญั หาจากง่ายไปสู่ยาก ระดับและ ประสบการณ์ผู้เรยี น เวลาทกี่ าหนดใหผ้ เู้ รยี นใชด้ าเนินการ และแหลง่ ค้นคว้าข้อมูล ข้นั ที่ 2 ทาความเข้าใจกับปัญหา ปัญหาท่ีต้องการเรียนรู้ ต้องสามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ท่ี เกี่ยวข้องกับ ปัญหาได้ 3. ผู้เรียนทาความเข้าใจหรือทาความกระจ่างในคาศัพท์ที่อยู่ในโจทย์ปัญหานั้น เพื่อให้ เข้าใจ ตรงกนั 4. ผู้เรียนจับประเด็นข้อมูลท่ีสาคัญหรือระบุปัญหาในโจทย์วิเคราะห์ หาข้อมูลที่เป็น ข้อเท็จจริง ความจริงที่ปรากฏในโจทย์ แยกแยะข้อมูลระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น จับประเด็น ปัญหา ออกเปน็ ประเดน็ ยอ่ ย 5. ผู้เรียนระดมสมองเพ่ือวิเคราะห์ปัญหา อภิปราย แต่ละประเด็นปัญหาว่าเป็นอย่างไร เกิดขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร ความเปน็ มาอย่างไร โดยอาศยั พนื้ ความร้เู ดมิ เทา่ ท่ีผูเ้ รยี นมีอยู่ 6. ผู้เรียนร่วมกันต้ังสมมติฐานเพื่อหาคาตอบปัญหาประเด็นต่างๆ พร้อมจัดลาดับ ความสาคัญ ของสมมตฐิ านท่เี ป็นไปไดอ้ ย่างมีเหตุผล 7. จากสมมติฐานทตี่ งั้ ขน้ึ ผู้เรียนจะประเมินว่ามีความรู้เร่ืองอะไรบ้าง มีเรื่องอะไรที่ยังไม่รู้ หรือขาดความรู้ และความรอู้ ะไรจาเปน็ ที่จะตอ้ งใชเ้ พ่ือพิสูจน์สมมติฐาน ซ่ึงเชื่อมโยงกับโจทย์ปัญหาท่ี

34 ได้ ขนั้ ตอนน้กี ลุม่ จะกาหนดประเด็นการเรียนรู้ หรอื วัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้ เพ่อื จะไปค้นคว้าหาข้อมูล ต่อไป ขั้นที่ 3 ดาเนนิ การศึกษาค้นควา้ ผเู้ รียนศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเองดว้ ยวิธกี ารหลากหลาย 8. ผู้เรียนค้นคว้าหาข้อมูลและศึกษาเพิ่มเติมจากทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือ ตารา วารสาร สื่อการเรียนการสอนต่างๆ การศึกษาในห้องปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน อนิ เทอรเ์ นต็ หรอื ปรึกษาผ้รู ู้ในเนือ้ หาเฉพาะ เปน็ ต้น พรอ้ มทั้งประเมนิ ความถกู ตอ้ งโดย - ประเมนิ แหลง่ ขอ้ มูล ความถูกต้อง เช่อื ถือได้ของข้อมูล - เลอื กนาความรทู้ ่ีเกี่ยวข้องมาเชอื่ มโยงวา่ ตรงประเดน็ เพียงพอที่จะแกป้ ญั หาอยา่ งไร - หาประเด็นความรเู้ พิม่ เติม ถา้ จาเปน็ - สรุป เตรียมส่ือ เลือกวธิ นี าเสนอผลงาน ขัน้ ท่ี 4 สงั เคราะหค์ วามรู้ ผู้เรยี นนาความร้ทู ีไ่ ด้ค้นคว้ามาแลกเปลีย่ นเรยี นร้รู ว่ มกัน 9. ผเู้ รยี นนาข้อมูลหรือความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์ อธิบาย พิสูจน์สมมติฐานและประยุกต์ให้ เหมาะสมกับโจทย์ปญั หา พร้อมสรปุ เปน็ แนวคดิ หรือหลักการทั่วไปโดย - นาเสนอผลงานกลุ่มด้วยส่อื หลากหลาย - สะท้อนความคดิ ให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั อภิปราย ทาความเข้าใจ แลกเปล่ียนความคิดเห็น ระหวา่ งกลมุ่ ถงึ กระบวนการเรียนรู้ การแกป้ ญั หา การเชื่อมโยง การสร้างองคค์ วามรูใ้ หม่ - สรปุ ภาพรวมเปน็ ความรู้ทว่ั ไป ขน้ั ที่ 5 สรปุ และประเมินคา่ หาคาตอบ 10. ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม สรุปผลงานของกลุ่มตนเอง และประเมินผลงานว่าข้อมูลที่ศึกษา ค้นคว้ามีความเหมาะสม หรือไม่เพียงใด โดยพยายามตรวจสอบแนวคิดภายในกลุ่มของตนเองอย่าง อิสระ ทุกกลุม่ ชว่ ยกันสรุปองค์ความรู้ ในภาพรวมของปัญหาอกี ครั้ง 11. ประเมนิ ผลจากสภาพจรงิ โดยดจู ากความสามารถในการปฏบิ ตั ิ บทบาทของครใู นการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 1. ทาหนา้ ท่ี เปน็ ผู้อานวยความสะดวก หรอื ผใู้ ห้คาปรกึ ษาแนะนา 2. เป็นผกู้ ระตุน้ ให้เกดิ การเรียนรู้ มไิ ด้เป็นผ้ถู า่ ยทอดความรูใ้ หแ้ ก่ผ้เู รยี นโดยตรง 3. ใช้ทักษะการต้งั คาถามทีเ่ หมาะสม 4. กระตุ้นและส่งเสรมิ กระบวนการกกล่มุ ให้กล่มุ ดาเนินการตามขนั้ ตอนของการเรียนรู้โดย ใชป้ ัญหาเป็นฐาน 5. สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนและเน้นให้ผู้เรียนตระหนักว่าการเรียนรู้เป็นความ รับผดิ ชอบของผเู้ รยี น 6. กระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเอาความร้เู ดมิ ท่มี อี ยมู่ าใชอ้ ภปิ รายหรอื แสดงความคดิ เหน็ 7. สนับสนุนใหก้ ล่มุ สามารถต้ังประเด็นหรอื วตั ถุประสงค์การเรียนรู้/แก้ปัญหาได้สอดคล้อง กับวตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ กรรมทีค่ รูกาหนด 8. หลีกเลี่ยงการแสดงความคดิ เห็นหรือตัดสนิ วา่ ถกู หรอื ผิด 9. สง่ เสริมให้ผู้เรียนประเมินการเรียนรู้ของตนเอง รวมทั้งเป็นผู้ประเมินทักษะของผู้เรียน และ กลมุ่ พรอ้ มการให้ข้อมูลยอ้ นกลับ

35 รปู แบบการเรยี นร้โู ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ( Project-Based Learning ) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ( Project-Based Learning ) หมายถึง การเรียนรู้ที่ จดั ประสบการณใ์ นการปฏิบตั ิงานให้แก่ผู้เรียนเหมือนกับการทางานในชีวิตจริงอย่างมีระบบ เพื่อเปิด โอกาสให้ ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการหาความรู้ความจริงอย่างมี เหตุผล ได้ทาการทดลอง ไดพ้ สิ จู นส์ ิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง รู้จักการวางแผนการทางาน ฝึกการเป็นผู้นา ผู้ ตาม ตลอดจนได้ พัฒนากระบวนการคิดโดยเฉพาะการคิดข้นั สงู และการประเมินตนเอง โดยมีครูเป็น ผู้กระตุ้นเพื่อนาความสนใจที่เกิดจากตัวผู้เรียนมาใช้ในการทากิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเอง นาไปส่กู ารเพิ่มความรู้ที่ไดจ้ าก การลงมอื ปฏิบัติ การฟัง และการสังเกตจากผู้รู้ โดยผู้เรียนมีการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการทางานเป็นกลุ่มที่จะนามาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียนกระบวนการจัดทา โครงงานและได้ผลการจัดกิจกรรมเป็นผลงาน แบบรูปธรรม นอกจากน้ีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ โครงงานเป็นฐาน ยังเน้นการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ชีวิตขณะที่เรียน ได้พัฒนาทักษะ ต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพัฒนาการตามลาดับข้ันความรู้ ความคิดของบลูม ท้ัง 6 ขั้น คือ ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่าและการคิด สร้างสรรค์ การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน ถือได้ว่าเป็น การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็น สาคญั เนื่องจากผูเ้ รยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ฝกึ ทักษะต่างๆ ดว้ ยตนเองทุกขน้ั ตอน โดยมีครูเป็น ผู้ให้การ สง่ เสริม สนับสนนุ ลกั ษณะสาคญั ของจดั การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน 1. ยึดหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทางานตาม ระดบั ทักษะท่ีตนเองมอี ยู่ 2. เป็นรูปแบบหน่ึงของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของ ผเู้ รียน (Active Learning) 3. เปน็ เรือ่ งที่ผเู้ รียนสนใจและรู้สึกสบายใจท่จี ะทา 4. ผเู้ รยี นไดร้ ับสิทธิในการเลือกว่าจะตั้งคาถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทา โครงงาน 5. ครูทาหน้าทเ่ี ป็นผสู้ นบั สนนุ อปุ กรณแ์ ละจดั ประสบการณ์ใหแ้ กผ่ ู้เรยี น สนบั สนุนการแก้ไข ปญั หาและสร้างแรงจงู ใจให้แก่ผเู้ รยี น 6. ผเู้ รยี นกาหนดการเรยี นรู้ของตนเอง 7. เช่อื มโยงกบั ชวี ติ จริง ส่งิ แวดลอ้ มจรงิ 8. มฐี านจากการวจิ ัย ศกึ ษา ค้นคว้า หรือองค์ความรู้ท่เี คยมี 9. ใชแ้ หลง่ ขอ้ มูล หลายแหล่ง 10. ฝังตรงึ ด้วยความรู้และทกั ษะต่างๆ 11. สามารถใช้เวลามากพอเพยี งในการสร้างผลงาน 12. มผี ลผลิต

36 ประเภทของโครงงาน โครงงานท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน อาจจาแนกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คอื โครงงานท่แี บ่งตามระดบั การให้คาปรกึ ษาของครู และโครงงานท่ีแบง่ ตามลักษณะกิจกรรม ดังน้ี 1. โครงงานท่ีแบ่งตามระดับการใหค้ าปรกึ ษาของครูหรือระดับการมบี ทบาทของผู้เรียน 1) โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project) 2) โครงงานประเภทครูลดการนาทาง - เพิ่มบทบาทผู้เรียน (Less – guided Project) 3) โครงงานประเภทผู้เรียนนาเอง ครูไม่ตอ้ งนาทาง (Unguided Project) 2. โครงงานท่แี บง่ ตามลกั ษณะกิจกรรม 1) โครงงานเชงิ สารวจ (Survey Project) ลักษณะกิจกรรมคือผู้เรียนสารวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนาข้อมูลเหล่าน้ันมาจาแนก เป็นหมวดหมู่และนาเสนอในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเร่ืองที่ต้องการ ศกึ ษาได้ ชัดเจนยงิ่ ข้ึน 2) โครงงานเชิงการทดลอง (Experiential Project) ขนั้ ตอนการดาเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะประกอบด้วยการกาหนดปัญหา การ กาหนดจุดประสงค์ การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดาเนินการทดลอง การรวบรวม ข้อมูล การตคี วามหมายขอ้ มูลและการสรปุ 3) โครงงานเชิงพัฒนาสร้างสง่ิ ประดษิ ฐแ์ บบจาลอง (Development Project) เป็นโครงงานเก่ียวกับการประยุกต์องค์ความรู้ ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ด้านอ่ืนๆ มาพัฒนา สร้างสิ่งประดิษฐ์ เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ อุปกรณ์ แบบจาลอง เพ่ือ ประโยชน์ใช้ สอยต่างๆ ซึง่ อาจจะเป็นสิง่ ประดิษฐใ์ หม่ หรือปรับปรงุ เปล่ียนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ มปี ระสิทธิภาพสูงข้ึน กไ็ ด้ อาจจะเป็นด้านสังคม หรือด้านวิทยาศาสตร์ หรือการสร้างแบบจาลองเพื่อ อธิบายแนวคดิ ตา่ งๆ 4) โครงงานเชงิ แนวคดิ ทฤษฎี (Theoretical Project) เป็นโครงงานนาเสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของ สูตร สมการ หรือคาอธบิ ายกไ็ ด้ โดยผเู้ สนอได้ตงั้ กตกิ าหรอื ขอ้ ตกลงข้ึนมาเอง แล้วนาเสนอทฤษฎี หลักการ หรือ แนวคดิ หรอื จนิ ตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้น หรืออาจจะใช้กติกาหรือข้อตกลง เดิมมาอธิบาย ก็ได้ ผลการอธิบายอาจจะใหม่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจจะขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรืออาจจะเป็นการขยาย ทฤษฎหี รอื แนวคิดเดมิ กไ็ ด้ การทาโครงงานประเภทน้ตี ้องมกี ารศกึ ษาคน้ คว้า พ้ืนฐานความรู้ ในเรอ่ื งนนั้ ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง 5) โครงงานด้านบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม (Community Service and Social Justice Project) เป็นโครงงานที่มุ่งให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าประเด็นที่เป็นปัญหา ความต้องการในชุมชน ท้องถ่ินและดาเนินกิจกรรมเพ่ือการให้บริการทางสังคม หรือร่วมกับชุมชน องค์กรอ่ืนๆ ในการ แกป้ ญั หา หรือพัฒนาในเรือ่ งนัน้ ๆ

37 6) โครงงานดา้ นศลิ ปะและการแสดง (Art and Performance Project) เป็นโครงงานท่ีมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า นาความรู้ที่ได้จากการเรียนตาม หลักสูตร โดยเฉพาะอย่างยิง่ ด้านภาษาและสังคม มาตอ่ ยอด สรา้ งผลงานดา้ นศลิ ปะและการแสดง เช่น งานศิลปกรรม ประติมากรรม หนังสือการ์ตูน การแต่งเพลง ดนตรี แสดงคอนเสิร์ต การแสดงละคร การสรา้ งภาพยนตรส์ น้ั ฯลฯ 7) โครงงานเชิงบูรณาการการเรียนรู้ เป็นโครงงานท่ีมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนบูรณาการเชื่อมโยงความรู้จากต่างสาระการเรียนรู้ ต้ังแต่สองสาขาวชิ าขนึ้ ไป มาดาเนินการแกป้ ญั หา หรือสร้างประเด็นการศึกษาค้นคว้า ท้ังในแง่มิติเชิง ประวัติศาสตร์ทักษะการประกอบอาชีพข้ามสาขาวิชา การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม ท่ีต้องนา ความรตู้ า่ งสาขามาประยกุ ต์ใช้ การคดิ ค้นสร้างนวตั กรรมจากการบูรณาการความรู้ ฯลฯ กระบวนการและข้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบใช้โครงงานเปน็ ฐาน การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกันไป ตามแต่ละทฤษฎี ในที่นี้ ขอนาเสนอแนวคิดการจดั การเรียนร้แู บบใช้โครงงานเป็นงาน ท่ีเหมาะสมกับ บริบท การจัดการศึกษาของไทย คือ แนวคิดที่ 1 การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน ของ สานักงาน เลขาธิการสภาการศกึ ษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) แนวคิดท่ี 2 การจัดการเรียนรู้ตามโมเดล จักรยานแห่งการเรียนรู้ แบบ PBL ของ นายแพทย์วิจารณ์ พาณิช (2555) และ แนวคิดท่ี 3 การ จัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ท่ีได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพ่ือสร้างเสริมทักษะแห่ง ศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน : จาก ประสบการณ์ความสาเร็จของโรงเรียนไทย ของดุษฎี โย เหลาและคณะ (2557) มรี ายละเอียด ดังนี้ แนวคดิ ท่ี 1 การจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน ของ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและ กระทรวงศกึ ษาธิการ ซงึ่ ได้นาเสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ไว้ 4 ข้นั ตอน ดังน้ี 1. ขั้นนาเสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กาหนดสถานการณ์ ศึกษา สถานการณ์ เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือผูส้ อนใชเ้ ทคนิคการตัง้ คาถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ที่กาหนดใน แผนการ จัดการเรียนรู้แตล่ ะแผน เชน่ สาระการเรียนรู้ตามหลกั สูตรและสาระการเรยี นรู้ที่เป็นข้ันตอน ของโครงงานเพื่อ ใช้เปน็ แนวทางในการวางแผนการเรียนรู้

38 2. ขั้นวางแผน หมายถึง ขัน้ ที่ผูเ้ รียนร่วมกนั วางแผน โดยการระดมความคดิ อภิปรายหารือ ขอ้ สรุปของกลมุ่ เพอื่ ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบตั ิ 3. ข้ันปฏิบัติ หมายถึง ข้ันท่ีผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลที่เกิดข้ึนจากการ วางแผนร่วมกัน 4. ข้ันประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุ จุดประสงค์ การเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผู้สอน ผู้เรียนและเพื่อนร่วมกัน ประเมิน แนวคิดที่ 2 การจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบจักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ วจิ ารณ์ พาณิช (2555 : 71-75) ซ่ึงแนวคดิ น้ี มีความเชื่อว่า หากต้องการให้การเรียนรู้มีพลังและฝังใน ตวั ผู้เรยี นได้ ต้องเปน็ การเรียนร้โู ดยการลงมือทาเปน็ โครงการ (Project) ร่วมมือกันทาเป็นทีม และทา กับปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตจริง ซึ่ง ส่วนของวงล้อมี 5 ส่วน ประกอบด้วย Define Plan Do Review และ Presentation ดงั รปู 1. Define คือ ข้ันตอนการระบุปัญหา ขอบข่าย ประเด็นที่จะทาโครงงาน เป็นการสร้าง ความเขา้ ใจระหว่างสมาชกิ ของทีมงานร่วมกับครู เกี่ยวกับ คาถาม ปัญหา ประเด็น ความท้าทายของ โครงงาน คอื อะไร และเพ่อื ใหเ้ กิดการเรยี นรอู้ ะไร 2. Plan คือ การวางแผนการทาโครงงาน ครูก็ต้องวางแผนในการทาหน้าที่โค้ช รวมทั้ง เตรียมเคร่ืองอานวยความสะดวกในการทาโครงงานของผู้เรียน เตรียมคาถามเพื่อกระตุ้นให้คิดถึง ประเดน็ สาคัญบางประเด็นทีผ่ ูเ้ รยี นอาจมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงาน ขาดโอกาสคิดเอง แก้ปัญหาเอง ผู้เรียนที่เป็นทีมงานก็ต้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าท่ีกัน รับผิดชอบ การประชุมพบปะ ระหว่างทีมงาน การแลกเปล่ียนข้อค้นพบแลกเปลี่ยนคา ถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ ยิ่งทาความเขา้ ใจร่วมกนั ไว้ ชดั เจนเพียงใด งานในข้ันต่อไป (Do) ก็จะสะดวกเล่ือน ไหลดีเพียงน้นั

39 3. Do คือ การลงมือทา ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การประสานงาน การ ทางานรว่ มกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทางานภายใต้ทรัพยากรจากัด ทักษะใน การค้นหา ความรู้เพ่ิมเติม ทักษะในการทางานในสภาพท่ีทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย ทักษะ การทางานในสภาพ กดดัน ทักษะการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผล และแลกเปลี่ยนข้อ วิเคราะห์กับเพอื่ นรว่ มทีม เป็นต้น ในขั้นตอน Do น้ี ครูจะได้มีโอกาสสังเกตทาความรู้จักและเข้าใจ ผู้เรียนเป็นรายคน และ เรยี นรู้หรือฝกึ ทาหนา้ ที่เปน็ ผดู้ ูแล สนบั สนนุ กากบั และโคช้ ดว้ ย 4. Review คือ ผู้เรียนจะทบทวนการเรียนรู้ ว่าโครงงานได้ผลตามความมุ่งหมายหรือไม่ รวมถึงทบทวนวา่ งานหรอื กิจกรรม หรือพฤติกรรมแต่ละขั้นตอนได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง ท้ังขั้นตอนที่ เป็นความสาเร็จและความล้มเหลว เพ่ือนามาทาความเข้าใจ และกาหนดวิธีทางานใหม่ที่ถูกต้อง เหมาะสมรวมทง้ั เอาเหตกุ ารณร์ ะทกึ ใจ หรือเหตุการณท์ ี่ภาคภมู ใิ จ ประทับใจ มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กัน ขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้ แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือ เรียกว่า AAR (After Action Review) 5. Presentation ผู้เรียนนาเสนอโครงงานต่อชั้นเรียน เป็นขั้นตอนท่ีให้การเรียนรู้ทักษะ อีกชุดหน่ึงต่อเนื่องกับข้ันตอน Review เป็นขั้นตอนที่ทาให้เกิดการทบทวนข้ันตอนของงานและการ เรียนรู้ท่ี เกิดขึ้นอย่างเข้มข้น แล้วเอามานาเสนอในรูปแบบท่ีเร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ ทีมงาน อาจสร้างนวตั กรรม ในการนาเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนาเสนอเป็นการรายงานหน้า ชั้น มสี อ่ื ประกอบ หรอื จดั ทา วดี ทิ ัศน์ หรอื นาเสนอเปน็ ละคร เปน็ ต้น การจัดการเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ที่ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพ่ือสร้างเสริม ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน : จากประสบการณ์ความสาเร็จของโรงเรียนไทย ของ ดษุ ฎี โยเหลาและคณะ แนวคดิ ที่ 3 การจดั การเรยี นรู้แบบใช้โครงงานเปน็ ฐาน ท่ไี ด้จากโครงการสรา้ งชุดความรู้ เพื่อสร้าง เสริมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21ของเด็กและเยาวชน : จากประสบการณ์ความสาเร็จของโรงเรียน ไทย ของดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557) มี 6 ขัน้ ตอน ดังนี้

40 1. ขั้นให้ความรู้พ้ืนฐาน ครูให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทาโครงงานก่อนการเรียนรู้ เนือ่ งจากการทาโครงงานมีรูปแบบและขนั้ ตอนทชี่ ัดเจนและรดั กุม ดังนนั้ ผ้เู รยี นจึงมีความจาเป็นอย่าง ยิง่ ทจี่ ะตอ้ งมีความรู้ เก่ยี วกบั โครงงานไว้เป็นพน้ื ฐาน เพ่ือใช้ในการปฏิบัติขณะทางานโครงงานจริงใน ข้ันแสวงหาความรู้ 2. ขัน้ กระตุ้นความสนใจ ครเู ตรียมกจิ กรรมทีจ่ ะกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน โดยต้องคิด หรือเตรียมกิจกรรมที่ดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทาโครงงานหรือกิจกรรม รว่ มกัน โดยกิจกรรมน้ันอาจเป็นกิจกรรมท่ีครูกาหนดขึ้น หรืออาจเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีความสนใจ ต้องการจะทาอยู่แล้ว ทั้งนี้ในการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอจากกิจกรรมที่ได้ เรียนรู้ผ่านการจัดการเรียนรู้ ของครูที่เก่ียวข้องกับชุมชนท่ีผู้เรียนอาศัยอยู่หรือเป็นเร่ืองใกล้ตัวที่ สามารถเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเอง 3. ขั้นจัดกลุ่มร่วมมอื ครูให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุ่มในการ วางแผนดาเนินกิจกรรม โดยนักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเอง โดยระดม ความคิด และหารือแบ่งหนา้ ท่เี พอ่ื เป็นแนวทางปฏบิ ตั ริ ่วมกนั หลังจากท่ีได้ทราบหัวข้อสิ่งท่ีตนเองต้อง เรียนรู้ในภาคเรยี นน้นั ๆ เรียบรอ้ ยแลว้ 4. ข้ันแสวงหาความรู้ ในขั้นแสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบัติสาหรับผู้เรียนในการทา กิจกรรม ดงั นี้ 4.1 นักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงานตามหัวข้อที่กลุ่มสนใจผู้เรียนปฏิบัติหน้าท่ี ของตนตามข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมท้ังร่วมมือกันปฏิบัติกิจกรรม โดยขอคาปรึกษาจากครูเป็นระยะ เม่ือมีข้อสงสยั หรือปญั หาเกิดขึ้น 4.2 ผเู้ รียนร่วมกันเขยี นรปู เล่ม สรปุ รายงานจากโครงงานทตี่ นปฏบิ ตั ิ 5. ขั้นสรุปสิ่งที่เรียนรู้ ครูให้ผู้เรียนสรุปส่ิงที่เรียนรู้จากการทากิจกรรม โดยครูใช้คาถาม ถามผูเ้ รยี น นาไปสูก่ ารสรปุ ส่ิงท่ีเรยี นรู้ 6. ขน้ั นาเสนอผลงาน ครูให้ผเู้ รียนนาเสนอผลการเรยี นรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรม หรือจัด เวลาให้ผู้เรียนได้เสนอส่ิงท่ีตนเองได้เรียนรู้ เพ่ือให้เพื่อนร่วมชั้น และผู้เรียนอ่ืนๆ ในโรงเรียนได้ชม ผลงานและเรียนรู้กจิ กรรมที่ผู้เรียนปฏบิ ัตใิ นการทาโครงงาน การประเมนิ ผล 1. ประเมินตามสภาพจริง โดยผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลว่ากิจกรรมที่ทาไปนั้น บรรลุตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ปัญหาและอุปสรรคท่ีพบคืออะไรบ้าง ได้ใช้วิธีการ แก้ไข อยา่ งไร ผูเ้ รยี นได้เรยี นรูอ้ ะไรบ้างจากการทาโครงงานน้ันๆ 2. ประเมนิ โดยผเู้ กยี่ วขอ้ ง ไดแ้ ก่ ผู้เรยี นประเมินตนเอง เพ่ือนช่วยประเมิน ผู้สอนหรือครู ทปี่ รกึ ษาประเมนิ ผปู้ กครองประเมิน บคุ คลอื่นๆ ท่สี นใจและมีส่วนเก่ยี วขอ้ ง นอกจากรูปแบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ตามแนวคดิ Active Learning ทน่ี าเสนอข้างต้น ครูผู้สอนหรือผู้จัดกิจกรรมอาจใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้อ่ืนๆ เช่น Peer Instruction Class Debate Role-Playing Case Studies Creative Scenarios and Simulations Think-Pair- Share Discovering Plate Boundaries Peer Review Discussion Problem solving using real data Just in time teaching Game based Learning ฯลฯ

41 บทบาทของครูในการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แนวทาง Active Learning ครูผู้สอนต้องออกแบบกิจกรรม ทีส่ ะทอ้ นการพฒั นาผเู้ รียนให้เกดิ การเรียนรู้ และเนน้ การนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตจริง โดยดาเนินการ ดงั นี้ 1. สร้างบรรยากาศการมสี ่วนรว่ ม และการเจรจาโต้ตอบ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี กบั ผ้สู อนและเพ่ือนในชั้นเรยี น 2. ลดบทบาทการสอน และการให้ความรู้โดยตรง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ จัดระบบการเรยี นรู้ แสวงหาความรู้ และสรา้ งองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง 3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เป็นพลวัต (มีการเคล่ือนไหว/การขับเคล่ือน) ส่งเสริม ให้ผเู้ รยี นมสี ่วนร่วมในทกุ กิจกรรม กระตุ้นให้ผเู้ รยี นค้นพบความสาเร็จในการเรียนรู้ สามารถนาความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าและคิดสร้างสรรค์ส่ิงต่างๆ โดย เชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมใกล้ตัว ปญั หาของชุมชน สงั คม หรอื ประเทศชาติ 4. จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน วางแผนเก่ียวกับ เวลาในจัดการเรยี นรอู้ ย่างชัดเจน รวมถงึ เนื้อหาและกจิ กรรม 5. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากวิธีการสอนท่ี หลากหลาย 6. เปดิ ใจกว้างยอมรบั ในความสามารถ การแสดงออกและการแสดงความคดิ เห็นของผู้เรียน 7. ผสู้ อนควรทราบว่าผ้เู รียนมคี วามถนัดทแี่ ตกตา่ งกนั และทราบความรู้พืน้ ฐานของผเู้ รียน 8. ผู้สอนควรสร้างบรรยากาศในการเรียน ให้ผู้เรียนกล้าพูด กล้าตอบและมีความสุข ในการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ท่ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมมากท่ีสุด ครูผู้สอนต้องพยายามสร้าง ลักษณะการเรียนรู้เชิงรุก ให้เกิดข้ึนอย่างสม่าเสมอ โดยจะต้องให้ผู้เรียนได้เข้าใจและรู้ว่า ในขณะที่ กาลงั เรียนรู้นั้น ผูเ้ รียนจะต้องมลี ักษณะดังน้ี 1. รู้ว่าตวั เองจะต้องเรียนร้เู ก่ียวกับอะไรบา้ ง รู้สิง่ ที่จะเรียน 2. สิง่ ทจี่ ะเรียนรู้นนั้ เกย่ี วข้องกับเร่ืองท่เี รียนไปแล้วอย่างไร 3. สิง่ ทจ่ี ะเรยี นรนู้ ้นั สอดคล้องหรอื ไม่สอดคลอ้ งกับความเป็นไปของโลกปจั จบุ นั อย่างไร 4. ผเู้ รียนตอ้ งรวู้ า่ ทาอยา่ งไรจึงจะร้วู ่าข้อเทจ็ จริงหรือขอ้ ความรทู้ ไ่ี ด้รับรูน้ น้ั ถูกต้องแนน่ อน 5. ผู้เรียนจะต้องกลับไปตรวจสอบการบ้าน หรือส่ิงท่ีค้นคว้าใหม่ ว่าได้คาตอบที่ถูกต้อง หรอื ไม่ หรอื ตอบถกู ตอ้ งตรงกบั คาถามข้อไหน 6. สามารถสอบถามความรู้เพิ่มเติมจากผู้อื่น หรือทางานร่วมกับผู้อ่ืน เพื่อให้ได้คาตอบ ก่อนที่จะสรุปคาตอบสุดท้าย โดยต้องฟังหรือหาคาตอบให้ได้มาอย่างสมบูรณ์ท่ีสุด ก่อนที่จะสรุป นาเสนอ

42 บทบาทของครูในฐานะเป็นผูก้ ระตุ้นการเรียนรู้ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) ได้กล่าวถึง บทบาทสาคัญของครูในขณะจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ว่า ครจู ะต้องแสดงบทบาทต่างๆ เพือ่ ส่งเสรมิ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ขึ้น โดยครูจะตอ้ งเปน็ ผสู้ ังเกตการทางานของนักเรียน ครูต้องสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ โดยใช้ คาถาม ปลายเปิดกระตุ้นการเรียนรู้แทนการบอกกล่าว ครูต้องศึกษาและรู้จักข้อมูลนักเรียนเป็น รายบุคคลเพื่อแสดง บทบาทให้เหมาะสมในการทาให้เกิด Active Learning กับนักเรียนเป็นรายคน ดงั น้ี 1. ใช้คาถามกระต้นุ การเรียนรู้ คาถามท่ใี ชใ้ นการกระตนุ้ การเรียนรู้นั้น ต้องเป็นคาถามท่ีมี ลักษณะเป็นคาถามปลายเปดิ เพ่ือให้ผเู้ รียนได้อธบิ าย โดยข้ึนตน้ วา่ “ทาไม” หรือ ลงท้ายว่า “อย่างไร บ้าง” “อะไรบ้าง” “เพราะอะไร” 2. ทาหน้าท่ีเป็นผู้สังเกต ครูจะต้องคอยสังเกตว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร ขณะปฏิบตั กิ จิ กรรมเพ่ือหาทางช้แี นะ กระตุน้ หรือยับย้ังพฤติกรรมทไ่ี ม่เหมาะสม 3. สอนให้ผู้เรียนเรียนรกู้ ารตง้ั คาถาม เม่อื ผู้เรยี นสามารถต้งั คาถามได้ จะทาใหผ้ ู้เรียน รู้จัก ถามเพื่อค้นควา้ ขอ้ มูล ร้จู ักรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน และร่วมแสดงความคิดเห็นของตนเองในเร่ือง ท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การเรียนรู้ 4. ให้คาแนะนาเมื่อผู้เรียนเกดิ ข้อสงสัย ครูจะต้องเป็นผู้คอยแนะนา ชี้แจง ให้ข้อมูลต่างๆ หรือยกตัวอย่างเหตุการณ์ใกล้ตัวต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจาวันของผู้เรียนเช่ือมโยงไปสู่ความรู้ด้าน อืน่ ๆ ในขณะทากจิ กรรมเม่ือผู้เรียนเกดิ ข้อสงสัย หรือคาถาม โดยไมบ่ อกคาตอบ 5. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดหาคาตอบด้วยตนเอง สังเกตและคอยกระตุ้นด้วยคาถามให้ ผเู้ รยี น ไดค้ ิดกจิ กรรมท่อี ยากเรียนรู้และหาคาตอบในสิ่งทีส่ งสัยดว้ ยตนเอง 6. เปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นสร้างสรรคผ์ ลงานอย่างอิสระ ตามความคิดและความสามารถของ ตนเอง เพ่ือใหผ้ ูไ้ ด้ใชจ้ ินตนาการและความสามารถของตนเองในการคดิ สร้างสรรค์อยา่ งเต็มท่ี

43 สว่ นที่ 3 การออกแบบการจัดการเรยี นรู้เชงิ รุก Active Learning การออกแบบเป็นการถ่ายทอดจากรูปแบบความคิด ออกมาเป็นผลงานท่ีผู้อ่ืนสามารถ มองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ การออกแบบต้องใช้ทั้งศาสตร์แห่งความคิดและศิลป์ เพื่อสร้างสรรค์ส่ิง ใหม่ หรือปรับปรงุ พัฒนาส่งิ เดิมให้ดีข้ึน การออกแบบการเรยี นรู้ เปน็ กระบวนการวางแผนการสอนอยา่ งมีระบบ โดยมีการวเิ คราะห์ องค์ประกอบการเรียนรู้ ทฤษฎีการเรียนการสอน สื่อ กิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึงการประเมินผล เพื่อให้ผู้สอน สามารถถ่ายทอดความรู้สู่ผู้เรียน และให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบการจดั การ เรยี นร้ทู ดี่ ี จะช่วยผูส้ อนวางแผนการสอนอยา่ งมรี ะบบ บรรลุจุดมุ่งหมาย โดย มีหลักการออกแบบการเรียนรู้ ดงั นี้ 1. การออกแบบและพัฒนาการเรียนรู้นั้น เพื่อใคร ใครเป็นผู้เรียนหรือใครเป็น กลมุ่ เปา้ หมาย ผ้อู อกแบบควรมคี วามเข้าใจ และรูจ้ ักกลุ่มผเู้ รียนทีเ่ ปน็ เป้าหมาย 2. ต้องการให้ผู้เรียนเรียนรู้อะไร มีความรู้ความเข้าใจ มีความสามารถอะไร ผู้สอนต้อง กาหนดจุดมงุ่ หมายของการเรียนรใู้ ห้ชัดเจน 3. ผู้เรยี นจะเรียนรเู้ นื้อหาในรายวิชานั้นๆ ได้ดีท่ีสุดอย่างไร ควรใช้วิธีการและกิจกรรมการ เรยี นรู้ อะไรท่จี ะชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเรียนรไู้ ดอ้ ย่างเหมาะสม และมีปจั จัย สิ่งใดที่ต้องคานงึ ถงึ บา้ ง 4. เม่ือผู้เรยี นเขา้ ส่กู ระบวนการเรียนรู้ ผสู้ อนจะทราบได้อย่างไรว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น และประสบผลสาเร็จในการเรยี นรู้ และจะใชว้ ิธีการใดในการประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน สรุปได้ว่า การออกแบบการเรียนรู้ ควรมีการวางแผนเพื่อพิจารณาว่าผู้เรียนเป็นใคร มีลกั ษณะพน้ื ฐานอย่างไร จะกาหนดจดุ ม่งุ หมายในการสอนครั้งน้ันอย่างไร จะใช้วิธีการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนรู้ และวิธีการประเมินผลการเรียนอย่างไรบ้าง จึงจะสามารถทาให้การเรียนรู้น้ัน บรรลเุ ป้าหมายคอื ภายหลงั เรยี นรแู้ ลว้ ผู้เรียนเข้าใจ จดจา นาไปใช้ ทาได้ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ เป็นต้น ดังน้ัน ส่ิงที่ควรพิจารณา ในการออกแบบการเรียนรู้ ได้แก่ ตัวผู้เรียน จุดมุ่งหมาย วิธีการ สอนและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ และการประเมินผล วิธีการสอน คือ ข้ันตอนท่ีผู้สอนดาเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ด้วย วิธีการต่างๆ ท่ีแตกต่างไปตามองคป์ ระกอบและขนั้ ตอนสาคญั อนั เปน็ ลักษณะเฉพาะหรือลักษณะเด่น ทข่ี าดไมไ่ ดข้ องวธิ ีนั้นๆ (ทศิ นา แขมมณี, 2551 หน้า 323) เทคนิคการสอน หมายถึง กลวิธีต่างๆ ท่ีใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนการสอน หรือ การกระทาตา่ งๆ ในการสอนใหม้ คี ณุ ภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขนึ้ (ทศิ นา แขมมณี, 2551 หน้า 386) จากความหมาย และนิยามดงั กล่าวขา้ งตน้ จงึ สรปุ ได้วา่ วิธีการสอน เปน็ ขั้นตอนการสอนท่ที าให้ผูเ้ รียนบรรลวุ ตั ถุประสงค์ เทคนิคการสอน เป็นวิธีการเสริมที่จะช่วยใหว้ ิธีการสอนเกิดประสิทธิภาพมากขึน้ กลยทุ ธ์การสอน เปน็ วธิ กี ารสอนที่ใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ในการสอน มาช่วยในการจัดการ เรียนรใู้ หเ้ กดิ ประสิทธิภาพ

44 วิธีการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ จะต้องเป็นการสอนที่มีขั้นตอน ที่ทาให้ผู้เรียนบรรลุ วัตถุประสงค์ และใช้วธิ ีการส่งเสรมิ การสอนให้เกดิ ประสิทธภิ าพสูงสดุ มีเทคนคิ การสอนทห่ี ลากหลาย ความหมายของการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ คาว่า “การออกแบบ” และ “การจัดการเรียนรู้” เม่ือนามารวมกันเป็น“การออกแบบ การจัดการเรียนรู้” (Instructional design) ได้มีนักการศึกษาด้านการออกแบบการจัดการเรียนรู้ ใหค้ วามหมายไว้วา่ การออกแบบการเรียนรู้ เป็นกระบวนการทีเ่ ป็นระบบ ที่นามาใชใ้ นการศกึ ษาความ ตอ้ งการ ของผเู้ รยี นและปัญหาการเรียนการสอน เพื่อแสวงหาแนวทางท่ีจะช่วยแก้ปัญหาการจัดการ เรยี นรู้ ซ่งึ อาจเป็น การปรับปรุงส่งิ ทีม่ ีอยู่ หรือสร้างสิง่ ใหม่ โดยนาหลักการเรียนรู้และหลักการสอนมา ใช้ เปา้ หมายของการออกแบบการจัดการเรยี นรู้ คอื การพฒั นาการเรียนร้ขู องผเู้ รียน แนวคดิ ในการออกแบบกจิ กรรมการเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active Learning) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพ่ือเช่ือมโยงกิจกรรมลดเวลา เรยี น เพ่มิ เวลารู้ มีเปา้ หมายเพ่อื ให้ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่เี นน้ ให้ผเู้ รียนลงมือปฏิบัติ เรียนรู้ด้วย ตนเอง โดยมแี นวคดิ ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวข้อง ดงั น้ี แนวคิดของ บลมู (Bloom’s Taxonomy) สี่เสาหลกั ทางการศึกษา (Four Pillars of Education) หลักการพฒั นาทักษะ 4 H (Head , Heart , Hand , Health) พระบรมราโชบายด้านการศกึ ษาของสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั วชิราลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกูร แนวคิดของ บลูม (Bloom’s Taxonomy) บลูม ( Benjamin S. Bloom.1976) นักการศึกษาชาวอเมริกัน เชื่อว่า การเรียนการสอน ท่ีจะประสบความสาเร็จและมีประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องกาหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน เพื่อให้ ผู้สอน กาหนดและจัดกิจกรรมการเรียน รวมท้ังวัดประเมินผลได้ถูกต้อง โดยได้จาแนกจุดมุ่งหมาย ทางการศึกษา ท่ีเรียกว่า Taxonomy of Educational Objectives (อติญาณ์ ศรเกษตริน. 2543 : 72-74 ; อา้ งอิงจาก บญุ ชม ศรีสะอาด. 2537 ; Bloom. 1976 : 18) ออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิ พิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทกั ษะพสิ ัย 1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) หมายถึง การเรียนรู้ทางด้านความรู้ ความคิด การแก้ปัญหา จัดเป็นพฤติกรรมด้านสมองเกี่ยวกับสติปัญญา ความคิด ความสามารถในการคิด เร่ืองราวตา่ งๆ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ โดยแอนเดอรส์ นั และแครทโวทล์ (Anderson & Krathwohl) ได้ปรับปรุงการจาแนก จุดมุ่งหมายทางการศึกษาตามแนวคิดของ บลูม ขึ้นใหม่ มีการปรับเปล่ียน ระดับพฤตกิ รรม เปน็ 6 ระดับ ดงั น้ี 1.1 จา (Remember) หมายถงึ ความสามารถในการดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ในหน่วยความจา ระยะยาวออกมา แบง่ ประเภทย่อยได้ 2 ลกั ษณะคือ จาได้ (Recognizing) ระลึกได้ (Recalling) 1.2 เข้าใจ (Understand) หมายถึงความสามารถในการกาหนดความหมายของคาพูด ตัวอักษรและการสื่อสารจากส่ือต่างๆ ท่ีเป็นผลมาจากการสอน แบ่งประเภทย่อยได้ 7 ลักษณะ คือ

45 ตีความ (Interpreting) ยกตัวอย่าง (Exemplifying) จาแนกประเภท (Classifying) สรุป (Summarizing) อนุมาน (Inferring) เปรียบเทยี บ (Comparing) อธบิ าย (Explaining) 1.3 ประยุกต์ใช้ (Apply) หมายถึงความสามารถในการดาเนินการหรือใช้ระเบียบวิธีการ ภายใต้สถานการณ์ท่ีกาหนดให้ แบ่งประเภทย่อยได้ 2 ลักษณะคือ ดาเนินงาน (Executing) ใช้เป็น เครอ่ื งมือ (Implementing) 1.4 วิเคราะห์ (Analyze) หมายถึงความสามารถในการแยกส่วนประกอบของส่ิงต่างๆ และค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ ความสัมพันธ์ระหว่างของส่วนประกอบกับโครงสร้าง รวมหรือ ส่วนประกอบเฉพาะ แบ่งประเภทย่อยได้ 3 ลักษณะคือ บอกความแตกต่าง (Differentiating) จัดโครงสรา้ ง (Organizing) ระบุคณุ ลกั ษณะ (Attributing) 1.5 ประเมินค่า (Evaluate) หมายถึงความสามารถในการตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์หรือ มาตรฐาน แบง่ ประเภทย่อยได้ 2 ลกั ษณะคอื ตรวจสอบ (Checking) วพิ ากษว์ ิจารณ์ (Critiquing) 1.6 สร้างสรรค์ (Create) หมายถึงความสามารถในการรวมส่วนประกอบต่างๆเข้า ด้วยกัน ด้วยรูปแบบใหม่ๆ ท่ีมีความเช่ือมโยงกันอย่างมีเหตุผลหรือทาให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นต้นแบบ แบง่ ประเภทยอ่ ย ได้ 3 ลกั ษณะคอื สร้าง (Generating) วางแผน (Planning) ผลติ (Producing) 2. ด้านจิตพิสยั (Affective Domain) พฤติกรรมด้านจิตพสิ ัยเป็นค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ และคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังน้ัน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการจัด สภาพแวดล้อม ท่ีเหมาะสม และสอดแทรกส่ิงที่ดีงามตลอดเวลา จะทาให้พฤติกรรมของผู้เรียน เปลยี่ นไปในแนวทางที่พึงประสงคไ์ ด้ จิตพสิ ัยประกอบด้วยพฤติกรรม 5 ระดับ ได้แก่ 2.1 การรับรู้ (Receiving/Attending) เป็นความรู้สึกท่ีเกิดข้ึนต่อปรากฏการณ์ หรือสิ่ง เร้า อย่างใดอย่างหน่ึงซ่ึงเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของส่ิงเร้านั้นว่าคืออะไร แล้วจะ แสดงออกมาใน รปู ของความรู้สึกทีเ่ กดิ ขึ้น 2.2 การตอบสนอง (Responding) เป็นการกระทาท่ีแสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยนิ ยอม และพอใจตอ่ สง่ิ เรา้ นน้ั ซ่ึงเปน็ การตอบสนองที่เกดิ จากการเลือกสรรแลว้ 2.3 การเกิดค่านิยม (Valuing) การเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม การ ยอมรับนับถือในคุณค่าน้ันๆ หรือปฏิบัติตามในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง จนกลายเป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิด ทศั นคตทิ ่ีดีในสิง่ น้นั 2.4 การจัดระบบ (Organizing) การสรา้ งแนวคดิ จัดระบบของคา่ นยิ มทีเ่ กิดขึ้นโดยอาศัย ความสัมพันธ์ ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับ อาจจะยอมรับค่านิยมใหม่โดย ยกเลกิ คา่ นยิ มเกา่ 2.5 บุคลิกภาพ (Characterizing) การนาค่านิยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิสัย ประจาตัว ใหป้ ระพฤติปฏิบัตแิ ตส่ ่ิงทถี่ กู ตอ้ งดีงาม พฤติกรรมด้านนี้จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจ ซึ่ง จะเร่มิ จากการไดร้ บั รจู้ ากสง่ิ แวดล้อม แลว้ จึงเกิดปฏกิ ริ ิยาโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่างๆ จนกลายเป็น ค่านิยม และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ ซึ่งจะเป็นการควบคุมทิศทาง พฤตกิ รรมของคน

46 3. ดา้ นทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมท่ีบ่งบอกถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้ อย่างคล่องแคล่ว ชานิชานาญ ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรง โดยมีเวลาและคุณภาพของงานเป็นตัวช้ี ระดบั ของทกั ษะ ประกอบด้วย 5 ขั้น ดงั น้ี 3.1 การรับรู้ เลียนแบบ ทาตาม (Imitation) เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติท่ี ถกู ตอ้ ง หรอื เปน็ การเลือกหาตวั แบบทสี่ นใจ 3.2 การทาเอง/การปรับให้เหมาะสม (Manipulation) เป็นพฤติกรรมท่ีผู้เรียนพยายาม ฝึกตามแบบท่ีตนสนใจและพยายามทาซ้า เพ่ือที่จะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏบิ ัตงิ าน ได้ตามข้อแนะนา 3.3 การหาความถูกต้อง (Precision) พฤตกิ รรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้อง อาศยั เครอ่ื งชีแ้ นะ เมื่อไดก้ ระทาซ้าแลว้ ก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏิบัติ 3.4 การทาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง (Articulation) หลังจากตดั สนิ ใจเลือกรูปแบบที่เป็นของตัวเอง จะกระทาตามรูปแบบน้ันอย่างต่อเนื่อง จนปฏิบัติงานท่ียุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง คล่องแคลว่ การทีผ่ ้เู รียนเกดิ ทักษะได้ ตอ้ งอาศัยการฝกึ ฝนและกระทาอยา่ งสม่าเสมอ 3.5 การทาได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) พฤติกรรมท่ีได้จากการฝึกอย่าง ต่อเน่ืองจนสามารถปฏิบัติ ได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่างธรรมชาติซึ่งถือเป็น ความสามารถของ การปฏิบตั ใิ นระดับสูง สเ่ี สาหลกั ของการศกึ ษา (Four Pillars of Education) องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ศึกษา แนวทางการจัดการศึกษาทเี่ หมาะสมในศตวรรษท่ี 21 โดยเสนอสเ่ี สาหลกั ของการศึกษา (Four Pillars of Education) ประกอบด้วยการเรยี นรู้ 4 ลักษณะ ไดแ้ ก่ การเรียนเพ่ือรู้ (Learning to know) การ เรียนรู้เพ่ือปฏิบัติได้จริง (Learning to do) การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน และการเรียนรู้ท่ีจะอยู่ ร่วมกับผ้อู ่นื (Learning to Live together) และการเรียนรู้เพือ่ ชีวติ (Learning to be) Learning to know : หมายถึง การเรียนเพื่อรู้ทุกส่ิงทุกอย่าง อันจะเป็นประโยชน์ต่อไป ได้แก่ การแสวงหาให้ได้มาซึ่งความรู้ท่ีต้องการ การต่อยอดความรู้ท่ีมีอยู่ รวมท้ังการสร้างความรู้ข้ึน ใหม่ เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีมุ่งพัฒนากระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ และ วิธีการเรียนรู้ ของผู้เรียน เพ่ือให้สามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต กระบวนการเรียนรู้ เน้นการฝกึ สติ สมาธิ ความจา ความคดิ ผสมผสานกับสภาพจริงและประสบการณใ์ นการปฏบิ ัติ Learning to do : หมายถงึ การเรยี นเพ่อื การปฏบิ ัตหิ รือลงมอื ทา มุ่งพัฒนาความสามารถ และความชานาญ รวมท้ังสมรรถนะทางด้านวิชาชีพ สามารถทางานเป็นหมู่คณะ ปรับประยุกต์องค์ ความรู้ ไปสกู่ ารปฏบิ ัติงานและอาชพี กระบวนการเรียนรู้เน้นบรู ณาการระหว่างความรู้ภาคทฤษฎีและ การฝกึ ปฏบิ ัตงิ านท่ีเนน้ ประสบการณต์ ่างๆ ทางสังคม ซ่ึงอาจนาไปสู่การประกอบอาชีพจากความรู้ที่ ไดศ้ กึ ษามา รวมท้ัง การปฏิบตั เิ พอ่ื สร้างประโยชน์ใหส้ งั คมทีส่ ามารถทางานได้หลายอยา่ ง Learning to live together : หมายถงึ การเรียนรู้เพ่ือการดาเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข ท้ังการดาเนินชีวิตในการเรียน ครอบครัว สังคม และการทางาน เป็นการดารงชีวิต