Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี

เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี

Description: รูปเล่มเพลงกล่อมเด็ก

Search

Read the Text Version

เรื่อง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี

คำนยิ ม การจัดการความรู้ (Knowledge management - KM) คือการรวบรวมข้อมูล สร้าง และจัด ระเบียบแลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร เพื่อก่อให้เกิดความรู้และปัญญา การจัดการ ความรู้จะอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ภายในองค์กร อันนำไปสู่การจัดการสารสนเทศที่มี ประสทิ ธิภาพมากขึน้ การจัดการความรู้ เรื่อง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ประจำปี 2564 เป็นการจดั เก็บองค์ความรู้ในด้านการขับร้องเพลงกลอ่ มเด็กเพื่อเผยแพร่แก่ผู้สนใจจะ ศึกษาในวงกว้างมากขน้ึ โดยแนวทางแบบแผนการขบั รอ้ งฉบับคมุ้ พระราชชายาเจ้าดารารศั มี ขอชื่นชมคณะทำงานการจัดการความรู้ด้านการวิจัย ของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ที่ได้ ดำเนินโครงการจัดการความรู้ (KM) ตามนโยบายการพัฒนาการจัดการความรู้ของสถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อนำองค์ความรู้ดังกล่าวเผยแพร่สู่สังคมทางด้านวัฒนธรรมภูมิ ปัญญาท้องถน่ิ อกี ทงั้ ไดน้ ำมาพัฒนาองค์กร และบุคลากรของวิทยาลัยนาฏศลิ ปเชียงใหมต่ อ่ ไป (ดร.กษมา ประสงค์เจริญ) ผูอ้ ำนวยการวิทยาลยั นาฏศลิ ปเชียงใหม่

คำนำ การจัดการความรู้ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง เพลงกล่อมเด็ก ภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นการนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคลที่ได้รับการ ถ่ายทอดการขับร้องเพลงกล่อมเด็กฉบับคุ้มพระราชชายาฯ มาโดยตรง จึงได้รวบรวมให้เป็นองค์ ความรู้ที่สมบูรณ์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ประโยชน์ในการเรียนการสอน และประโยชน์ ในการแสดงเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม อันภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ไว้ ตลอดจนการนำกระบวนการ ความรมู้ าจัดเข้าระบบใหเ้ กิดเป็นความรูแ้ ก่ผูท้ ่ีสนใจตอ่ ไป เอกสารการจัดการความรู้ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่อง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้มีการรวบรวมข้อมูล และเทคนิคการ ขบั ร้องเพลงกล่อมเด็กไว้อย่างครบถว้ น เพอ่ื ให้ผสู้ นใจได้ทำการศึกษาซ่งึ สามารถฝึกขับร้องเพลงกล่อม เด็กได้จากองค์ความรู้ที่ได้ถูกจัดเก็บไว้ในเล่มน้ี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ ศึกษา และจุดประกายใหเ้ กิดแนวคิดทีส่ ร้างสรรค์ผลงานตอ่ ไป คณะผูจ้ ดั ทำงาน การจดั การความรู้ดา้ นภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ

สารบัญ หนา้ คำนยิ ม คำนำ 1. โครงการจดั การความรู้ (ด้านการวิจยั )..............................................................................................1 2. รายชอ่ื คณะทำงานการจดั การความรู้ (ดา้ นภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ).........................................................6 3. แบบฟอรม์ KM และแผนการจัดการความร.ู้ .....................................................................................7 4. กระบวนการดำเนินการจดั การความรู้อยา่ งละเอยี ด ตาม 7 ขนั้ ตอน 4.1 การค้นหาความรู.้ ............................................................................................................15 4.2 การสรา้ งและแสวงหาความร้.ู .........................................................................................15 4.3 การจัดการความรู้ใหเ้ ป็นระบบ.......................................................................................29 4.4 การประมวลและกล่ันกรอง............................................................................................ 52 4.5 การเข้าถึงความร.ู้ ...........................................................................................................52 4.6 การแบง่ ปนั แลกเปลีย่ นเรยี นร้.ู ....................................................................................... 52 4.7 การเรียนร.ู้ ......................................................................................................................52 5. ข้อเสนอแนะกจิ กรรมที่จะดำเนินการต่อไป.................................................................................... 52 บรรณานุกรม

1 การจดั การความรู้ เร่อื ง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนอื ฉบบั คุ้มพระราชชายาเจา้ ดารารศั มี 1. หลกั การและเหตผุ ล การขับร้องเพลงพืน้ บา้ นภาคเหนอื เปน็ วรรณกรรมอยา่ งหนึ่งทวี่ ่าด้วยเร่อื งการขบั การรอ้ ง การเอื้อน เสียง อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาวล้านนาไทยที่มีมาแต่อดีต และมีความหลากหลายคล้ายคลึงกับ ภูมิภาคอื่นของประเทศไทย ซึ่งมรดกการขับร้องพื้นบ้านภาคเหนือจะมีตั้งแต่การเอื้อนเสียงเป็นทำนองสวด เบกิ การขับจ๊อย ขบั ซอ การกล่อมเดก็ เป็นต้น เพลงกลอ่ มเดก็ ภาคเหนอื เป็นการร้องเพลงกล่อมเด็กที่เกิดข้ึน ทั่วไป มีสำเนียงภาษาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ผู้ที่ทำหน้าที่โดยตรงในการร้องเพลงกล่อมคือผู้ที่เป็นแม่ เป็นการแสดงออกที่สื่อให้เห็นถึงความรักความผูกพันธ์ของแม่ที่มีต่อลูก เป็นคติความเชื่ออย่างหนึ่งของ ชาวล้านนา ที่เชื่อว่าการกล่อมเดก็ จะช่วยขัดเกลาจติ ใจ ให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน ผูกพันธ์กบั วัฒนธรรมวถิ ีชีวติ เป็นการยกระดบั จติ วิญญาณอยา่ งหน่ึงของชาวลา้ นนา เมื่อปีพ.ศ.2457 พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้เสด็จกลับมาประทับยังจังหวัดเชียงใหม่เป็นการถาวร พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้านดนตรีพื้นเมือง และศิลปะการแสดงพื้นเมือง โปรดให้รื้อฟื้นศิลปะการฟ้อนรำ การดนตรีพื้นเมืองทั้งหมด รวบรวมศิลปินล้านนาเก่าแก่มาเป็นบรมครู ผู้ประสาทวิชา จัดการฝึกสอนขึ้นในพระตำหนัก พระญาติของพระองค์ต่อมาได้มีบทบาทในการสานต่อพระ ปณิธานดงั กลา่ ว อาทิเชน่ เจา้ เครอื แก้ว ณ เชยี งใหม่ ซึ่งต่อมาเป็นศลิ ปินแห่งชาติ และเจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ ผู้สบื ทอดการผลิตเคร่ืองดนตรีและการเล่นดนตรีพ้ืนเมือง โปรดให้ครูช่างฟ้อนเมืองทุกแบบและฟ้อนม่านมุย เชียงตาในวังมาสอนนักเรียนด้วยเพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางนาฏศลิ ป์ ซึ่งในขณะเดียวกัน เพลงกล่อมเด็ก ภาคเหนือ ก็ถูกนำมาฝึกหัดในคุ้มพระราชชายาฯ ด้วยเช่นกัน จึงถูกเรียบเรียงให้เป็นระบบระเบียบแบบแผน ตามฉบับเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ภายหลังจากที่โรงเรียนนาฏศิลป เชยี งใหม่ไดก้ อ่ ตงั้ ข้นึ เม่ือปี พ.ศ.2514 จงึ ไดเ้ ชิญ เจา้ เครือแก้ว ณ เชียงใหม่ มาเปน็ ผ้เู ชี่ยวชาญด้านคตี ศิลปไ์ ทย เจา้ เครอื แกว้ ณ เชียงใหม่ ไดถ้ ่ายทอดเพลงร้องพื้นเมอื ง และเพลงกลอ่ มเดก็ ภาคเหนอื ให้กับนักเรียนโรงเรยี น นาฏศิลปเชยี งใหม่รุ่นแรก ๆ อาทิเชน่ ครนู ันทิตา คุม้ มา ครูพงั งา ถาวร ครูจิราภรณ์ สุเกษม ท้งั 3 ทา่ น ได้รับ บรรจรุ าชการสอนสาขาวิชาคีตศิลป์ไทย - พ้ืนเมือง ทว่ี ิทยาลยั นาฏศลิ ปเชียงใหม่ และถ่ายทอดให้แก่นักเรียน วิทยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ในเวลาตอ่ มา ปัจจุบันบุคคลากรครูผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว ได้เกษียณอายุราชการ ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างของ องค์ความรู้วิธีการขับร้องเพลงร้องพื้นเมืองภาคเหนือ และโดยเฉพาะเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือแบบฉบับคุ้ม พระราชชายาเจา้ ดารารัศมี นบั วันกจ็ ะเลือนรางหายไปจากแบบแผนการเรียนการสอนของวิทยาลัยนาฏศิลป เชยี งใหม่ และวถิ ีชีวติ คนลา้ นนาลงไปทกุ ที ดงั นั้น เพ่อื ใหส้ ามารถคงไวซ้ ่ึงองค์ความรู้ดังกล่าวอย่างลุม่ ลึก คณะ ผู้จัดการองค์ความรู้ (KM) จึงมีความประสงค์ที่จะรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้เรื่อง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ ฉบับคุ้มพระราชชายาเจา้ ดารารัศมี ไว้สำหรับบคุ คลากรครอู าจารย์ นักเรียน นกั ศึกษา และยุวชนผู้ที่สนใจ ได้ ศึกษาคน้ คว้า อนั จะเปน็ ประโยชนใ์ นอนาคตอย่างทรงคณุ ค่าย่งิ สบื ต่อไป

2 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพอ่ื สรา้ งความรูค้ วามเข้าใจในกระบวนการจดั การความรู้ดา้ นทำนุบำรุงศลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ และนำไปดำเนินการตามขนั้ ตอนการจัดการความรู้ได้อยา่ งถกู ต้อง 2.2 เพ่ือให้เกิดการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ ภายใต้หัวขอ้ เพลงกลอ่ มเด็กภาคเหนอื ฉบับค้มุ พระราชชายา เจา้ ดารารศั มี 2.3 เพ่ือเปน็ แนวทางในการจัดการความรู้ของบุคลากรด้านศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาทอ้ งถ่นิ ของ สถาบันการศึกษาตอ่ ไป 2.4 เพอ่ื ระดมความคิดเหน็ การจดั การความร้ใู นเพลงกล่อมเดก็ ภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้า ดารารัศมีและกลั่นกรองสรปุ ผล เพ่อื เผยแพร่ต่อไป 3. ขนั้ ตอนการดำเนนิ การ 1. การคน้ หาความรู้ 1.1. แต่งตั้งคณะกรรมการจัดการความรู้ (KM Team) เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้ม พระราชชายาเจา้ ดารารัศมี โดยเป็นผูท้ ม่ี ีคุณสมบัติเปน็ ผู้บริหาร และผทู้ มี่ ีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานด้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1.2. ประชมุ คณะกรรมการวางแผนเพ่ือจัดการความรู้ โดยจัดทำ (Knowledge Mapping) เพื่อหา องค์ความรู้ โดยการระดมความคิดและเลือกประเด็นท่ีตกลงร่วมกัน เรื่อง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนอื ฉบับค้มุ พระราชชายาเจา้ ดารารศั มี 1.3. ประชุมคณะกรรมการเพื่อระบุความรู้ที่จำเป็นในการจัดการความรู้เรื่อง เพลงกล่อม เด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ซง่ึ ประโยชน์ที่ไดร้ ับสามารถนำไปเพ่ิมประสิทธิภาพในการ เรยี นการสอนให้มีประสิทธภิ าพดียง่ิ ขึ้น ฯ ล ฯ 2. การสรา้ งและแสวงหาความรู้ 2.1. ประชุมคณะกรรมการ 2.2. ชุมชนนกั ปฏบิ ตั ิ การสอนงาน การเปน็ พ่เี ลย้ี ง - การเกบ็ ข้อมูลจากการสงั เกตกุ ระบวนการทำงาน หรือ สัมภาษณ์ - เลขานุการจดบันทกึ ข้อมูลและเรียบเรยี งเพ่อื บันทึกการสนทนาและนำสง่ ให้แก่ คณะกรรมการทางทราบ 2.3. สบื ค้นเอกสารท่ีเกีย่ วข้องกบั ความรเู้ รื่อง การพฒั นางาน 2.4. กระบวนการและแนวทางการปรับปรงุ การทำงาน 3. การจัดการความรูใ้ ห้เป็นระบบ 3.1. ฝา่ ยเลขานกุ ารนำความรู้ท่ีได้รับจากการสนทนามาจัดหมวดหมู่ เชน่ คำสั่งผู้ปฏิบัติงาน แต่ละฝ่าย/งานงบประมาณ ฯลฯ การจัดสรรงบประมาณ การกำกับติดตามและประเมินผลเพื่อนำส่งให้ คณะกรรมการทางเอกสาร หรอื E – mail

3 3.2. การประชุมเพ่ือจดั ระบบในการจดั การความรู้ และยืนยนั ความรูใ้ นการจำแนกตาม ประเภท 3.3. เรยี บเรยี งขอ้ มูลตามลำดับข้นั ตอนอยา่ งเป็นระบบ 4. การประมวลและกล่ันกรองความรู้ 4.1. ฝ่ายเลขานุการจัดทำสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการสนทนาของคณะกรรมการและนำส่ง ใหแ้ กค่ ณะกรรมการ และทมี งานจัดการความรู้ 4.2. ประชุมวิเคราะห์ จัดหมวดหมู่และสังเคราะห์ความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อปรับปรุงองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการเรียบเรียงเรื่อง ภาษา ความเชื่อมโยงของความรู้ ความสวยงามของรปู เลม่ เปน็ ต้น 5. การเข้าถึงความรู้ ฝ่ายเลขานุการนำคู่มือองค์ความรู้ที่ได้ปรับปรุงแล้ว ยื่นเสนอผู้อำนวยการเพื่อลงความ เห็นชอบคณะทำงานการจดั การความรู้ จะเผยแพร่คู่มือองค์ความรู้ในช่องทางตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ - เว็บไซต์วิทยาลยั ฯ - เอกสาร - ห้องสมดุ วิทยาลัย ฯ - บอรด์ ประชาสัมพันธ์ 6. การแบง่ ปนั แลกเปล่ียนความรู้ - จัดเวทแี ลกเปล่ียนเรียนรู้ KM DAY - ทาง facebook - ทาง You Tube 7. การเรียนรู้ - การนำความรไู้ ปใช้ในการเพิ่มประสิทธภิ าพในหนว่ ยงาน - การนำความรู้จากกจิ กรรมทดลองมาใชเ้ พ่มิ ศกั ยภาพใหก้ ับบุคลากร - นำผลของการนำไปใช้มาแลกเปลยี่ นเพ่ือปรบั ปรุงและพัฒนางานดา้ นการวจิ ยั ให้ประสบ ความสำเร็จ

4 สามารถสรปุ เปน็ ตารางการดำเนนิ งานดังนี้ รายการ พ.ค.64 ม.ิ ย.64 ก.ค.64 ส.ค.64 ก.ย. 64 1) การค้นหาความรู้ ✓ - แต่งตง้ั คณะกรรมการจดั การความรู้ โดยกำหนด Expertise Knowledge - ประชุมคณะกรรมการจัดการความรู้ เพื่อจัดทำ knowledge Mapping 2) การสรา้ งและแสวงหาความรู้ ✓✓ - กำหนดประเดน็ หวั ข้อความรู้ - กำหนดบทบาทผู้เข้าร่วมกจิ กรรม - จัดกจิ กรรม Communities of Practice : CoPs จำนวน 3 ครงั้ โดยกำหนดวนั เวลา และสถานท่ใี น การเขา้ CoPs ทกุ สัปดาห์ /สปั ดาหล์ ะ 2 คร้งั - บนั ทึกองค์ความรู้ท่ีได้รับจากการทำ กจิ กรรม 3) การจัดการความรใู้ ห้เปน็ ระบบ ✓ - ทำการรวบรวมความรทู้ ่ีไดม้ าเรียบ เรยี งจดั ทำเป็นเอกสาร - จัดทำบญั ชรี ายการความรู้ จำแนก เป็นหมวดหมู่ให้เหมาะสมกับการ นำไปใชง้ าน และจดั ทำเปน็ ฐานขอ้ มลู ความรู้ของวิทยาลัย 4) การประมวลและกลนั่ กรองความรู้ ✓ - ประมวลกลนั่ กรองความรทู้ ี่ได้โดยให้ ผ้ทู ี่เกีย่ วขอ้ งกบั องค์ความรู้ ตรวจสอบ เน้อื หา และรายละเอยี ดของความรู้ - ปรบั ปรุงรปู แบบเอกสาร และจัดทำ เป็น Knowledge map

5 รายการ พ.ค.64 มิ.ย.64 ก.ค.64 ส.ค.64 ก.ย. 64 5) การเข้าถึงความรู้ ✓ - สง่ กระจายความรู้ใหผ้ ใู้ ช้ ท้ัง 2 ลักษณะ คอื แบบ Push และแบบ Pull ทัง้ ทาง E-mail และ Web site 6) การแบ่งปันแลกเปลยี่ นความรู้ ✓ - จัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรยี นรู้ - จัดนิทรรศการ 7) การเรียนรู้ ✓ - สง่ เสริมให้บุคลากรในองค์กรนำ ความรู้ไปใช้ในการปฏบิ ัติงาน - ตดิ ตามประเมนิ ผล การนำความร้ไู ป ใช้ - สรุปบทเรียนการดำเนินการจัดการ ความรู้ นำความรู้ไปใช้ปฏิบัติงานจริง โดยมีการระบุถึงปัญหา อุปสรรค และ ขอ้ เสนอแนะ 4. ผลทคี่ าดวา่ จะได้รบั 4.1 สามารถสรา้ งความรู้ความเข้าใจในกระบวนการจัดการความรู้ดา้ นทำนุบำรุงศิลปวฒั นธรรม ทอ้ งถิน่ และนำไปดำเนนิ การตามขนั้ ตอนการจัดการความรู้ได้อย่างถูกตอ้ ง 4.2 เกดิ การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ ภายใตห้ ัวข้อ เพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบบั คุม้ พระราชชายาเจา้ ดารารศั มี 4.3 ทราบถึงแนวทางในการจัดการความรู้ของบุคลากรด้านศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นของ สถาบนั การศึกษาต่อไป 4.4 ได้ความคิดเห็นการจัดการความรู้ในเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มพระราชชายาเจ้าดารา รศั มีและกล่ันกรองสรปุ ผล เพื่อเผยแพร่ต่อไป

6 5. คณะทำงานการจัดการความรู้ (ดา้ นทำนบุ ำรงุ ศิลปวฒั นธรรมภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ ) คณะกรรมการจัดการความรู้ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามคำสั่งที่ 82/2564 ลงวันท่ี 22 มนี าคม 2564 มดี ังนี้ 1. คณะกรรมฝ่ายอำนวยการ 1. ดร.กษมา ประสงค์เจริญ ประธานกรรมการ 2. รองผู้อำนวยการทุกฝ่าย กรรมการ 3. ประธานหลักสตู รทุกหลักสูตร กรรมการ 4. หวั หนา้ ภาควชิ าทุกภาควชิ า กรรมการ 5. หวั หน้างานการจัดการความรู้ (KM) กรรมการและเลขานุการ มีหน้าท่ี 1. ให้คำปรึกษา แนะนำ ในการดำเนนิ การจดั การความรู้ 2. กำกบั ดูแล ติดตาม การจัดการความรใู้ ห้เป็นไปตามระยะเวลาท่สี ถาบนั ฯ กำหนด 3. อำนวยการความสะดวกในการดำเนนิ งานการจดั การความรู้ 2. คณะทำงานการจดั การความรู้ ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมภูมปิ ัญญาท้องถิ่น 1. นายธีรวัฒน์ หมืน่ ทา ประธานกรรมการ 2. นายสรายุธ รอบรู้ กรรมการ 3. นายประชา คชเดช กรรมการ 3. นางสาววรัญญา เปง้ ทอง กรรมการ 4. นายสาวนิ มูลธมิ า กรรมการ 5. นายรณฤทธิ์ ไหมทอง กรรมการและเลขานุการ มีหนา้ ที่ ดำเนนิ การประชุมเพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้ ระดมความคิดเห็น และจัดทำรายงานการจัดการ ความรดู้ า้ นทำนุบำรุงศิลปวฒั นธรรมภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ เรื่อง เพลงกล่อมเด็ก ฉบบั คุ้มพระราชชายาเจ้าดารารศั มี

แบบฟอร์ม KM การจำแนกองคค์ วามรู้ทจี่ ำเปน็ ต่อการผลักดันตามประเด็นยุทธศาสตร์ของ ชือ่ หน่วยงาน : วทิ ยาลยั นาฏศิลปเชยี งใหม่ ประเด็นยุทธศาสตร์ เปา้ ประสงค์ ต ยทุ ธศาสตร์ สถาบนั บัณฑติ พัฒนศิลป์ บคุ ลากรครู อาจารย์ นกั เรยี น 1. บคุ ลากรครู อาจ ยทุ ธศาสตร์ที่ 4 นกั ศึกษาวิทยาลัยนาฏศลิ ป วิทยาลัยนาฏศ กลยทุ ธท์ ่ี 1 สืบสานศิลปวฒั นธรรมท้ังใน ระดบั ท้องถน่ิ และในระดบั ชาติ เชยี งใหม่ และผทู้ ส่ี นใจ มีความ ผทู้ ส่ี นใจประส เขา้ ใจ และทกั ษะในการรอ้ ง กลยทุ ธ์ที่ 2 สร้างเสรมิ คุณคา่ ทางสังคม เพลงกล่อมเด็กภาคเหนอื ฉบับ 2. เผยแพร่ส่ือ และมูลคา่ ทางเศรษฐกิจ ใหก้ ับท้องถ่นิ และประเทศชาตดิ ว้ ยทุนทาง ค้มุ พระราชชายาฯเจ้าดารารัศมี ผคู้ นสามารถเ ศลิ ปวัฒนธรรม เกณฑร์ ้อยละ

7 งส่วนราชการสถาบันบัณฑติ พัฒนศลิ ป์ ตัวชีว้ ัด (KPI) เป้าหมายของตัวชี้วัด องค์ความรู้ทีจ่ ำเปน็ ต่อการปฏิบัติงาน จารย์ นักเรียน นกั ศึกษา หน่วยงานท่ีมผี ลการ - การรอ้ งเพลงกล่อมเดก็ ภาคเหนอื ศลิ ปเชียงใหม่ และบุคคล ประเมนิ ตาม สบความสำเรจ็ ร้อยละ 85 แผนกลยุทธ์ผ่านเกณฑ์ - เทคนคิ การร้องเพลงกล่อมเด็ก อท่ีได้จัดเก็บองค์ความรู้ให้ ร้อยละ 80 ภาคเหนือ เข้าถึงองค์ความรู้ ผา่ น - เพลงกล่อมเดก็ ภาคเหนือ ฉบบั คุ้ม พระราชชายาเจ้าดารารัศมี 80

ชอื่ หน่วยงาน : วิทยาลยั นาฏศิลปเชยี งใหม่ ประเด็นยทุ ธศาสตร์ : ท่ี 4 การสบื สานศิลปวัฒนธรรมและสรา้ งเสรมิ คุณคา่ ทางสังคมแล กลยทุ ธท์ ่ี 1 สืบสานศิลปวฒั นธรรมทง้ั ในระดบั ทอ้ งถิ่นและใน กลยุทธท์ ่ี 2 สรา้ งเสรมิ คุณคา่ ทางสังคมและมูลคา่ ทางเศษฐก องค์ความรู้ที่จำเปน็ ต่อการปฏบิ ัตงิ าน : การรอ้ งเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ เทคนิคการรอ้ ตวั ช้วี ดั (KPI) : 1. บุคลากรครู อาจารย์ นกั เรียน นกั ศึกษาวทิ ยาลยั นาฏศลิ ปเชียงใหม่ แล 2. เผยแพรส่ อ่ื ทีไ่ ดจ้ ดั เกบ็ องค์ความรู้ให้ผู้คนสามารถเขา้ ถึงองค์ความรู้ ผา่ น เป้าหมายของตัวชี้วดั : ประเมินตามแผนกลยทุ ธผ์ ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 80 ลำดับ กจิ กรรมการจัดการความรู้ ระยะเวลา ตัวชีว้ ดั ท่ี 1. การค้นหาความรู้ (Knoledge มกราคม คณะกรรมการทม่ี ีควา Identification) 2564 ดา้ นศิลปวัฒนธรรมแล 1. แต่งตงั้ คณะกรรมการจัดการ ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ิน ความรู้ (KM Team) การขับร้องเพลง (จำนวน 10 คน) กล่อมเด็กภาคเหนือ ฉบับคุ้มพระราช ชายาเจ้าดารารัศมี โดยเป็นผู้ที่มี ประสบการณ์ด้านศิลปวัฒนธรรมและ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน

8 ละมลู ค่าทางเศรษฐกิจให้กับท้องถนิ่ และประเทศชาติด้วยทนุ ทางศิลปวฒั นธรรม นระดบั ชาติ กิจ ให้กับท้องถนิ่ และประเทศชาติดว้ ยทุนทางศลิ ปวัฒนธรรม องเพลงกล่อมเดก็ ภาคเหนอื เพลงกล่อมเด็กภาคเหนอื ฉบับคมุ้ พระราชชายาเจา้ ดารารัศมี ละผทู้ ส่ี นใจ ประสบความสำเร็จรอ้ ยละ 85 นเกณฑร์ ้อยละ 80 เปา้ หมาย กลุม่ เปา้ หมาย ผูร้ ับผดิ ชอบ สถานะ หมายเหตุ ามรู้ คณะกรรมการที่มี บุคลากรครู คณะทำงาน แตง่ ตงั้ ละ ความรูด้ า้ น อาจารย์ การจดั การ คณะกรรมการ ความรู้ดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรม นักเรียน ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญา นักศกึ ษาของ และภูมิปัญญา ทอ้ งถิ่น วิทยาลยั นาฏ ท้องถน่ิ (จำนวน 10 คน) ศิลปเชยี งใหม่ และผูท้ ่สี นใจ

ลำดบั กจิ กรรมการจัดการความรู้ ระยะเวลา ตัวชีว้ ดั ที่ มกราคม จำนวนคร้ังทม่ี ี การ 2. ประชมุ คณะกรรมการวางแผนเพอ่ื 2564 ประชมุ คณะกรรมการ จดั การความรู้ โดยจดั ทำ (1 วนั ) (Knowledge Mapping) เพ่ือหา องค์ ความรู้ โดยการระดมความคิดและ เลอื กประเด็นทต่ี กลงรว่ มกนั เร่ือง การ ขบั ร้องเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือ ฉบับ คมุ้ พระราชชายาเจา้ ดารารศั มี 3. ประชมุ คณะกรรมการเพือ่ ระบุ กุมภาพันธ์ จำนวนความร้ทู ่จี ำเป็น ความรูท้ จี่ ำเป็นในการจัดการความรู้ 2564 ในการจัดการความรู้ การขบั ร้องเพลงกลอ่ มเด็กภาคเหนอื (1วัน) ด้านศลิ ปวัฒนธรรมแล ฉบับคุ้มพระราชชายาเจา้ ดารารศั มี ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ หวั ข ซึง่ ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ สามารถนำไปสืบ เร่ือง การขับรอ้ งเพลง สานศลิ ปวฒั นธรรมทัง้ ในระดับทอ้ งถิ่น กล่อมเด็กภาคเหนือ และในระดบั ชาติ และสรา้ งเสรมิ คณุ ค่า ฉบบั คมุ้ พระราชชายา ทางสงั คมและมูลค่าทางเศษฐกจิ ใหก้ ับ เจา้ ดารารัศมี ท้องถ่ินและประเทศชาตดิ ้วยทุนทาง ศิลปวฒั นธรรม

เปา้ หมาย กลุ่มเปา้ หมาย ผู้รบั ผดิ ชอบ สถานะ 9 หมายเหตุ 1 ครัง้ KM Team คณะทำงาน บันทึกการประชุม ร การจัดการ ความรู้ดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรม และภมู ปิ ญั ญา ทอ้ งถิ่น น 3 คร้งั KM Team คณะทำงาน บนั ทกึ การประชุม การจดั การ ละ ความรู้ดา้ น ข้อ ศลิ ปวฒั นธรรม ง และภมู ปิ ญั ญา ท้องถน่ิ า

ลำดับ กิจกรรมการจดั การความรู้ ระยะเวลา ตวั ช้วี ดั ท่ี 2. การสรา้ งและแสวงหาความรู้ กุมภาพันธ์ – จำนวนคร้งั ในการ (Knowledge Creation Acquisition) เมษายน ประชมุ เพื่อสนทนาใน 1. ประชมุ คณะกรรมการ 2564 ทีมงาน และเปลย่ี น 2. ชุมชนนกั ปฏบิ ตั ิ การสอนงาน การ ความรู้ เป็นพ่ีเล้ียง - การเกบ็ ข้อมูลจากการสงั เกตุ กระบวนการทำงาน หรือ สมั ภาษณ์ - เลขานกุ ารจดบันทกึ ข้อมูลและ เรียบเรยี งเพ่ือบันทกึ การสนทนาและ นำส่งให้แกค่ ณะกรรมการทางทราบ 3. สบื คน้ เอกสารทเ่ี กีย่ วข้องกับ กมุ ภาพันธ์ – จำนวนชอ่ งทางการ ความร้เู รอ่ื ง เพลงกล่อมเด็กภาคเหนอื เมษายน สบื ค้นสารสนเทศ 4. กระบวนการและแนวทางการ 2564 ปรบั ปรุงการทำงาน

เปา้ หมาย กลุ่มเป้าหมาย ผรู้ ับผดิ ชอบ สถานะ 10 หมายเหตุ 3 คร้ัง KM Team คณะทำงาน บันทกึ การประชุม น การจดั การ ความรู้ดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรม และภูมิปญั ญา ทอ้ งถ่ิน บนั ทึกการประชุม ไมต่ ่ำกวา่ KM Team คณะทำงาน 2 ช่องทาง การจดั การ ความรู้ดา้ น ไมต่ ่ำกว่า 10 คร้ัง ศลิ ปวฒั นธรรม และภูมปิ ญั ญา ท้องถิ่น

ลำดับ กิจกรรมการจัดการความรู้ ระยะเวลา ตวั ช้ีวดั ท่ี มนี าคม – จำนวนตน้ ฉบับรา่ งกา 3. การจดั การความรใู้ หเ้ ปน็ ระบบ เมษายน หมวดหมู่ความรู้อย่าง (Knowledge Organization) 2564 ระบบ 1. ฝา่ ยเลขานุการนำความรู้ ทีไ่ ด้รับจากการสนทนามาจัดหมวดหมู่ เช่น คำส่งั ผู้ปฏิบัตงิ านแตล่ ะฝ่าย/งาน งบประมาณ ฯลฯ การจดั สรร งบประมาณ การกำกบั ติดตามและ ประเมนิ ผลเพื่อนำส่งให้คณะกรรมการ ทางเอกสาร หรือ E – mail 2. การประชุมเพ่ือจัดระบบในการ จดั การความรู้ และยนื ยนั ความรใู้ นการ จำแนกตามประเภท 3. เรียบเรยี งขอ้ มูลตามลำดับข้ันตอน อยา่ งเปน็ ระบบ

เป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย ผรู้ บั ผดิ ชอบ สถานะ 11 หมายเหตุ ารจดั 1 ฉบบั KM Team คณะทำงาน เอกสารรา่ งการจดั งเป็น การจดั การ หมวดหมู่องค์ ความรู้ดา้ น ความรู้ ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญา บนั ทกึ การประชุม ท้องถน่ิ

ลำดับ กจิ กรรมการจดั การความรู้ ระยะเวลา ตัวชว้ี ดั คมู่ ือองค์ความรู้ ท่ี คมู่ อื องคค์ วามรูท้ ่ผี า่ น 4. การประมวลและการกลนั่ กรองความรู้ กลั่นกรอง (Knowledge Codification and เมษายน Refinement) 2564 1. ฝา่ ยเลขานกุ ารจัดทำสรุปองค์ ความรทู้ ไ่ี ด้จากการสนทนาของ คณะกรรมการและนำสง่ ใหแ้ ก่ คณะกรรมการ และทีมงานจัดการ ความรู้ 2. ประชมุ วเิ คราะห์ จัดหมวดหม่แู ละ สงั เคราะหค์ วามร้ทู ไ่ี ด้รบั การถา่ ยทอด และการแลกเปล่ียนเรยี นรู้ เพื่อสบื สาน ตอ่ ยอดศลิ ปวฒั นธรรมภมู ิปัญญา ท้องถิ่นดา้ น การขับรอ้ งเพลงกล่อมเด็ก ภาคเหนอื ฉบบั คุ้มพระราชชายาเจา้ ดารารัศมี

เป้าหมาย กล่มุ เปา้ หมาย ผรู้ ับผิดชอบ สถานะ 12 หมายเหตุ จำนวน 1 เลม่ KM Team คณะทำงาน คมู่ ือองค์ความรู้ นการ จำนวน 1 เล่ม การจดั การ ความรู้ดา้ น ศิลปวฒั นธรรม และภมู ปิ ญั ญา ทอ้ งถิ่น

ลำดบั กจิ กรรมการจัดการความรู้ ระยะเวลา ตัวชีว้ ัด ท่ี ช่องทางการเขา้ ถึง ขอ้ มูลทีจ่ ะเผยแพร่ 5. วธิ ีการเขา้ ถึงความรู้ พฤษภาคม ฝ่ายเลขานุการนำส่อื ทจ่ี ัดเกบ็ องค์ 2564 ความรทู้ ไี่ ด้ปรับปรงุ กลัน่ กรองแลว้ ย่นื เสนอผู้อำนวยการเพ่ือลงความเหน็ ชอบ คณะทำงานการจดั การความรู้ จะเผยแพร่คมู่ ือองค์ความรู้ใน 3 ชอ่ งทาง ได้แก่ - เวบ็ ไซต์/เพจ วิทยาลัย ฯ - เอกสาร - หอ้ งสมดุ วทิ ยาลยั ฯ - บอร์ดประชาสัมพนั ธ์ - สอ่ื โซเชยี ล เน็ตเวริ ค์ (Social Network)

เปา้ หมาย กลุม่ เปา้ หมาย ผรู้ ับผิดชอบ สถานะ 13 หมายเหตุ อยา่ งน้อย 3 บคุ ลากรครู คณะทำงาน แบบบนั ทกึ ข้อมลู ช่องทาง อาจารย์ การจัดการ การเผยแพร่ นักเรยี น ความรู้ดา้ น นกั ศกึ ษาของ ศิลปวฒั นธรรม วิทยาลยั นาฏ และภูมิปัญญา ศิลปเชียงใหม่ ท้องถิน่ และผู้ทีส่ นใจ

ลำดับ กิจกรรมการจัดการความรู้ ระยะเวลา ตวั ชว้ี ดั ท่ี 6 การแบง่ ปนั แลกเปลยี่ นความรู้ พฤษภาคม จำนวนครง้ั ในการ อ - จดั เวทแี ลกเปลี่ยนเรียนรู้ KM 2564 แลกเปลย่ี นความรู้ ค DAY - ทาง facebook - ทาง Line 7 การเรียนรู้ พฤษภาคม ร้อยละของบุคลากรที่ รอ้ - การนำความรู้ไปใช้ในการถา่ ยทอด - กนั ยายน นำความรู้ไป ให้แกก่ ลุ่มเปา้ หมาย 2564 ประยกุ ตใ์ ช้ - การนำความรู้จากกจิ กรรมทดลอง มาใชเ้ พม่ิ ทักษะด้านภูมิปัญญา ท้องถน่ิ ใหก้ ับบุคลากรครู อาจารย์ นกั เรียน นักศึกษา และผู้ท่ีสนใจ - นำผลของการนำไปใช้มาแลกเปล่ียน เพอ่ื ปรับปรุงและพฒั นางานดา้ น ศลิ ปวฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่

เป้าหมาย กลุม่ เป้าหมาย ผรู้ บั ผิดชอบ สถานะ 14 หมายเหตุ อยา่ งน้อย 1 - KM Team คณะทำงาน ภาพถา่ ยและสรุป ครั้ง - บุคลากรในวิทยาลัย ฯ การจัดการ บันทกึ การแลก - ผู้ทสี่ นใจ ความรู้ดา้ น เปลีย่ น ศิลปวฒั นธรรม อยละ 80 - KM Team และภูมิปญั ญา รายงานสรุป - บุคลากรในวิทยาลยั ฯ ทอ้ งถ่นิ บทเรียนการ - ผทู้ สี่ นใจ คณะทำงาน ดำเนนิ การจดั การ การจัดการ ความรู้ ความรู้ดา้ น ศิลปวัฒนธรรม และภมู ปิ ญั ญา ท้องถ่นิ

15 5. กระบวนการดำเนินการจดั การความรู้ กระบวนการดำเนินการจดั การความรู้ ไดด้ ำเนนิ การใน 7 ขัน้ ตอน ตามกระบวนการดงั น้ี 5.1 การคน้ หาความรู้ ในกระบวนการจัดการความรู้นั้นสิ่งสำคัญอันดับแรกเป็นการ กำหนดและสร้าง ทีมงานจัดการองค์ความรู้ในองค์กร หรือ Knowledge Management Team : KM teamซึ่งจะเป็น ผู้ที่รับผิดชอบในการสร้าง KM ในองค์กร เชื่อมโยงกับเป้าหมายของผู้นำองค์กร ผู้บริหารโครงการมี ทีมงานที่หลากหลายตามลักษณะการดำเนินขององค์กร โดยหลักการจะมีต้องผู้ที่จัดการองค์ความรู้ เฉพาะด้าน (Subject Manager)มผี ู้เช่ือมโยงองคค์ วามรู้จากหลายกลุ่มผู้เชย่ี วชาญไปยงั ผู้ใช้ที่ต้องการ (Knowledge Broker)มีผู้เชี่ยวชาญกระบวนการ KM ซึ่งทำหน้าที่เป็นโค้ชในองค์กร (KM Coordinator) และมที ปี่ รกึ ษาของกระบวนการจดั การความรู้ (KM Project Consultant) 5.2 การสร้างและแสวงหาความรู้ การสร้างและแสวงหาความรู้เป็นกระบวนการสำคัญหนึ่งของการจัดการความรู้ ซ่ึงไดศ้ กึ ษาแนวคิด ทฤษฎีหลกั การจากเอกสาร ตำรา งานวจิ ัย ผูร้ ู้ ผู้เชย่ี วชาญ เว็บไซต์ โดยกำหนด หัวข้อสำคญั ในการสรา้ งและแสวงหาความรู้ไวด้ ังน้ี - การจดั การความรู้ (Knowledge Management : KM) การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) การจดั การความรู้ หรอื เคเอม็ (Knowledge Management: KM) คอื การรวบรวมองค์ ความรทู้ ม่ี ีอยใู่ นองค์กรซงึ่ กระจดั กระจายอยู่ในตัวบคุ คลหรือเอกสาร มาพฒั นาใหเ้ ป็นระบบ เพ่อื ให้ทุก คนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ อันจะส่งผลให้องคก์ รมคี วามสามารถในเชิงแขง่ ขันสงู สุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) และความรู้ที่ ชัดแจง้ (Explicit Knowledge) ดงั น้ี 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรคห์ รอื สัญชาตญิ าณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสง่ิ ต่าง ๆ เปน็ ความรู้ที่ไม่สามารถ ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือ การคดิ เชงิ วเิ คราะห์ บางคร้ัง จึงเรียกวา่ เปน็ ความรู้แบบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็น ความรแู้ บบรูปธรรม

16 ทักษะสำหรับการจดั การความรู้ หลักการสำคัญของการใช้ KM ในการพัฒนาองค์กร คือ การใช้พลังของการจดั การแบบ ไม่เป็นทางการของKM คู่ขนานไปกับพลังของการจัดการแบบเป็นทางการตามปกติซึ่งทำให้เกิดพลัง ยกกำลังสอง เคล็ดลับ ก็คือ ต้องทำให้พลังของการจัดการทั้ง 2 แบบนี้ มีการสนธิพลัง (synergy) ซ่ึง กันและกนั ความเป็นองค์กรอัจฉริยะอยู่ตรงท่ีการดงึ พลงั ของการจัดการท้ัง 2 แบบ ออกมาขับเคลื่อน องค์กรและขบั เคล่ือนซึ่งกนั และกนั จนดเู สมือนเกดิ พลังอตั โนมัตใิ นการขับเคล่ือนองค์กร ยุทธศาสตร์ KM ต้องบูรณาการกับยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) ขององค์กร และกิจกรรม KM กับกิจกรรม HRM ต้องบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน นั่นคือ กิจกรรม HRD (Human Resource Development) ส่วนที่ใหญ่ที่สุดเป็นกิจกรรมที่ผูกอยู่กับ กิจกรรม KM ซึ่งการใช้ KM ในการพัฒนาครูอย่างต่อเน่ืองทำใหอ้ งคก์ รและสมาชิกขององค์กรไม่หยุด นง่ิ มกี ารเปล่ียนแปลงหรือพฒั นาอย่ตู ลอดเวลาซงึ่ เป็นลกั ษณะขององคก์ รอจั ฉรยิ ะ ทักษะพื้นฐานของพนักงานเพ่ือการเป็นองคก์ รอัจฉริยะ สว่ นใหญเ่ ป็นทักษะไม่ใช่ความรู้ เชิงทฤษฎี แต่เป็นทักษะด้านวิธีคดิ คุณค่า และวิธีปฏิบตั ิ ไม่สามารถเรยี นรู้ได้จากการฟังการบรรยาย หรือการอ่านหนังสือ แต่เรียนรูไ้ ด้โดยการฝึกฝนจากการปฏิบัติจริง ในชีวิตการทำงานจริง ซึ่งสำหรับ องค์กรทางการศึกษาไม่ว่าจะเป็นสำนักงานหรือโรงเรียนบุคลกรหรือครูก็สามารถนำทักษะใหม่ใน ศตวรรษที่21 น้ี ไปใช้ในการปฏิบัติงานรวมถึงใช้ในกระบวนการเรียนการสอนได้เปน็ อย่างดี ตัวอย่าง ของทักษะพื้นฐานเหล่านี้ ได้แก่ ทักษะในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่เรียกว่า knowledge sharing literacy (K-Sharing) อาทเิ ชน่ - ทกั ษะดา้ นการเลา่ เรอื่ งหรือเร่อื งเลา่ เรา้ พลัง (storytelling) - ทกั ษะด้านการฟังอย่างต้ังใจ (deep listening) - ทกั ษะในการเสวนา หรอื สนุ ทรยี สนทนา (dialogue) - ทกั ษะในการถามอย่างชนื่ ชมหรอื สุนทรยี ปจุ ฉา (appreciative inquiry) - ทักษะในการพดู ออกมาจากใจทเี่ ป็นอิสระ ไม่กงั วลว่าจะถกู หรอื ผดิ - ทกั ษะในการตีความตามมุมมองของตน - ทักษะในการส่อื สารจากใจถงึ ใจ - ทกั ษะในการรบั สารจากใจถึงใจ - ทักษะในการเรยี นรู้ร่วมกันเปน็ กลุ่มจากเหตุการณท์ เี่ กดิ ขนึ้ (collective reflection) - ทกั ษะในการคดิ เชงิ บวก นอกจากนัน้ ยงั มีทักษะในการเรียนรู้ภายในตนจาก เหตุการณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ อาทิเช่น

17 - ทักษะในการตรวจสอบใครค่ รวญทำความเข้าใจเหตุการณ์ท่ีเกดิ ขน้ึ (reflection) ดว้ ยตนเอง - ทักษะในการ “คิดแบบไมค่ ดิ ” หรอื การใช้ปญั ญาญาณ (intuition) - ทักษะในการเรียนรเู้ ปน็ กลุ่ม หรอื เป็นทมี - ทักษะในการจดบนั ทกึ ความรู้ทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ตั งิ าน - การสอื่ สารแลกเปลยี่ นความรู้ดงั กล่าวความม่นั ใจท่จี ะแสดงความคดิ เห็นของตนอย่าง อสิ ระ - สรา้ งสรรค์ความเขา้ ใจ mental model ของตนเองและของผอู้ ื่น การพัฒนาทักษะพื้นฐานเหล่านี้ ทำได้โดยการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ และเรียนรู้ จากการฝึกฝนในการปฏิบัติงานประจำขององค์กรอัจฉริยะ นอกจากจะมีพนักงานที่มีทักษะพื้นฐาน เหล่านี้ ยงั มีการพัฒนาความชำนาญในการใชท้ ักษะพ้นื ฐานอยา่ งต่อเนื่อง และทกั ษะพื้นฐานเหล่านี้ไม่ ใชเ้ ป็นทกั ษะเฉพาะปัจเจกเท่านน้ั แตย่ ังเปน็ ทักษะรวมหมู่ (Collective Skill) ทเี่ กดิ ขึน้ เมือ่ พนักงานท่ี “รู้ใจ” กัน ทำงานรว่ มกนั นอกจากทักษะพื้นฐานข้างต้นแล้วต้องมีการพัฒนาทักษะในการใช้ “ตัวช่วย” (enabler) ต่อการจัดการความรู้ ซึ่งตัวช่วย (enabler) ในการจัดการความรู้มีมากมาย และเป็น เครื่องมือที่ช่วยให้การพัฒนาครูควบคู่ไปกับการดูดซับความรู้ สร้างความรู้ ใช้ความรู้ และยกระดับ ความรู้เกดิ ขนึ้ อย่างเป็นอตั โนมัติ แทบไมต่ อ้ งออกแรงหรอื ใช้พลังงานเลย การเลือกตัวช่วยนั้นควรเลือกตัวช่วยสำคัญ ๆ ที่เหมาะต่อองค์กรจำนวนหนึ่งแล้ว นำมาใช้และฝกึ ฝนจนเกิดความชำนาญ ไมม่ ีความจำเปน็ ตอ้ งรู้จักตวั ช่วยทุกตวั และไม่จำเป็นต้องใช้ตัว ช่วยทกุ ตัวทีม่ ี ทส่ี ำคัญคือ ตอ้ งใชต้ ัวชว่ ยหลายตวั ประกอบกันเปน็ ชุด ให้เขา้ กันกบั สถานการณ์ของแต่ ละองค์กร และต้องใช้ตวั ชว่ ยให้เป็นตัวช่วยจริง ๆ อย่ายึดติดตัวช่วย ให้เข้าใจทฤษฎีที่อยู่เบือ้ งหลังตวั ชว่ ยแตอ่ ยา่ ยดึ ติดทฤษฎี ตวั อย่างของตวั ช่วย ไดแ้ ก่ - AAR (After Action Review) - BAR (Before Action Review) - การเล่าเรื่อง หรอื เรอ่ื งเล่าเรา้ พลัง (Storytelling) - การฟังอยา่ งตง้ั ใจ (Deep Listening) - สนุ ทรียสนทนา หรือการเสวนา (Dialogue) - การซักถามอย่างช่ืนชม หรอื สนุ ทรียปุจฉา (Appreciative Inquiry) - แผนท่ีผลลพั ธ์ (OM - Outcome Mapping) - Business Process Mapping & Redesign - Champions & Advocates

18 - การจดั การการเปลยี่ นแปลง (Change Management) - การจดั การสาระ (Content Management) - ชมุ ชนท่มี ีความสนใจรว่ มกัน (Community of Interest) - ชมุ ชนแนวปฏบิ ัติ (Community of Practice) - การเรยี นรู้จากเหตุการณ์สำคัญ (Critical Incident Technique) - การจดั การเอกสาร (Document Management) - การตรวจสอบสารสนเทศ (Information Auditing) - การตรวจสอบความรู้ (Knowledge Auditing) - ความร้คู วามเขา้ ใจเร่อื งความรู้ (Knowledge Literacy) - การทำแผนท่คี วามรู้ (Knowledge Mapping) - การเรยี นรู้และการพัฒนา (Learning & Development) - คลังสารสนเทศ (Information Repository) - ตลาดนัดความรู้ - Mentoring & Coaching - การจดั การเรื่องเลา่ (Narrative Management) - เครอื ข่าย และชุมชน (Networks & Communities) - สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) - ความสนุกสนาน (Play Theory) - การใคร่ครวญ (Reflection) - รางวลั และการยกย่อง (Rewards & Recognition) - การวิเคราะหเ์ ครือข่ายทางสังคม (Social Network Analysis ) - ยุทธศาสตรส์ นทนา (Strategic Conversation) - Taxonomies & Thesauri - บรู ณาการเทคโนโลยี (Technological Integration) - เทคโนโลยเี พือ่ การส่ือสารและการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ (Technologies for Communication & Knowledge Sharing) - เทคโนโลยเี พือ่ การคน้ หาและการสรา้ งความรู้ (Technologies for Discovery & Creation) - เทคโนโลยเี พื่อการจัดการคลงั ความรู้ (Technologies for Managing Repositories)

19 ในที่นี้จะขออธิบายทักษะสำคัญที่เป็นทั้งทักษะพื้นฐานและตัวช่วยด้านทักษะในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการความรู้ ที่เรียกว่า knowledge sharing literacy (K-Sharing) ได้แก่ สนุ ทรยี สนทนา(Dialogue) ดงั ต่อไปน้ี สุนทรียสนทนา (Dialogue) การสนทนาเพื่อการคิดร่วมกันแบบ “สุนทรียสนทนา” (dialogue) ตามแนวทางของ David Bohmกำลังได้รับความสนใจ และมีแนวโน้มว่าจะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในทุกวงการใน อนาคต เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว และสอดคล้องกับวิถีไทยซึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบปากต่อปาก (oral tradition) นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการกระดมความคิดเพื่อค้นหาวิธีการและ ความรใู้ หมๆ่ ในการทำงาน รวมทง้ั สามารถแก้ไขปญั หาความขัดแย้งในระดบั บุคคลไดด้ ีอีกดว้ ย ความหมายและความเปน็ มา คำว่า dialogue มีผู้นำไปใช้ในสำนวนภาษาไทยที่แตกต่างกันหลายสำนวน เช่น “สุนทรียสนทนา” “สนทนาแลกเปลี่ยน” “วาทวิจารณ์” รวมทั้งคำว่า “สนทนา” และมีคำขยาย ตอ่ ทา้ ยออกไป เช่น “การสนทนาอยา่ งสรา้ งสรรค์” หรือ “การสนทนาเพือ่ คดิ ร่วมกนั ” หรอื “สนทนา วิสาสะ” ซึ่งหมายถึง การพูดคุยแบบคนคุ้นเคยกัน สำหรับความหมายที่กระชับและสื่อถึงความเป็น เอกลักษณ์เฉพาะของ Bohmian Dialogue คือคำว่า “สุนทรียสนทนา” แทนคำว่า dialogue ใน ความหมายของ David Bohm ความหมายของรากศัพท์ดั้งเดิมของคำว่า dialogue คือ dia= through แปลว่า“ทะลุ ทะลวง”และ logo = meaning of the word แปลวา่ “ความหมายของคำที่พดู ออกไป” แต่ David Bohmผู้ซึ่งนำเอาวิธีการแบบ “สุนทรียสนทนา” ไปเผยแพร่ในบริบทของสังคมตะวันตก ยืนยัน ความหมายใหม่ของคำว่า ‘dialogue’ มิใชเ่ พียงแค่การเข้าใจความหมายของคำท่ีพูดออกมาแบบทะลุ ทะลวง แตเ่ ป็น stream of meaning หรอื “กระแสธารของความหมาย” ทไ่ี หลเลือ่ นเคลือ่ นที่ ถ่ายเท ไปหากันได้โดยปราศจากการปิดกั้น (blocking) ของสิ่งสมมุติใดๆที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฐาน คติเดิมที่ฝังอยู่ในหัว (presupposition) วิธีการกำหนดใจเพื่อรับรู้โลกภายนอก (assumption) รวมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ อำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือตำแหน่งหน้าที่ใดๆที่บุคคลได้มาจากการเป็น สมาชิกของสงั คมใดสังคมหน่ึง การเข้าสู่กระบวนการแบบสุนทรียสนทนา คือ การสร้างพื้นที่ทางสังคมใหม่ที่เอื้อต่อใน การคิดร่วมกันอย่างเสมอภาค ในสภาวะปกติ คนจะคิดคนเดียวและเอาความคิดของตนเองออกไป ปะทะประสานกับคนอื่นในรูปของการถกเถียง โต้แย้ง ทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นฝ่ายแพ้ ฝ่ายชนะ และฝ่ายถูก ฝ่ายผิด อันเป็นการบ่มเพาะเชื้อของความอึดอัด คับข้องใจ และนำไปสู่ความขัดแย้งท่ี รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่การสนทนาที่นำไปสู่การคิดร่วมกันแบบ “สุนทรียสนทนา” นั้น ไม่ใช่เป็น การนำเอาความคิดของแต่ละคนมาเสนอแนะ หรือมาโต้เถียง ขัดแย้งกันเพื่อหาผู้ชนะ แต่เป็นการมา

20 เพื่อจะฟังซึ่งกันและกันโดยไม่มีการตัดสินด้วยข้อสรุปใด ๆ ความคิดที่ดีเกิดจากการฟังที่มีคุณภาพ การตงั้ ใจฟงั กัน คอื การเทใจมารวมกัน มีสมาธอิ ยูก่ ับตวั เองและส่งิ ที่ไดย้ นิ ไมส่ รวลเสเฮฮา ไมว่ อกแวก แยกวงคุย แต่จะให้ความสนใจกับเสียงของคนอื่น แม้กระทั่งเสียงของความเงียบ จะต้องกำหนดใจ รับรู้ความเงียบด้วยความรู้สึกในเชิงบวก เห็นความเงียบเป็นสิ่งเดียวกับตนเอง และในความเงียบน้ัน กัลยาณมิตรในวงสนทนาต่างก็กำลังลำดับความคิดของตนเองอยู่ ยังไม่พร้อมที่จะพูดออกไป เช่นเดยี วกับตวั เราทกี่ ำลังรบั ฟงั อยู่ เราสามารถรอได้ คอยได้เสมอ กระบวนการสุนทรียะสนทนาที่เหมาะสม จะทำให้เกิดการคิดร่วมกันได้อย่างมีพลัง แต่ ผู้เข้าร่วมวงสุนทรียสนทนาจะต้องพยายามถอดถอนวาระ เป้าหมายส่วนตัว รวมทั้งอาภรณ์เชิง สัญลักษณ์ที่ใช้ห่อหุ้มตนเองอยู่ในรูปของยศถาบรรดาศักดิ์ และอำนาจทั้งปวงออกจากตัวเอง เพื่อให้ สามารถเข้าใจสรรพสิง่ (entities) ได้ตามสภาพที่มนั เป็นจริง โดยปราศจากอทิ ธิพลการปรงุ แต่งของสิ่ง สมมุติที่มนุษย์สร้างขึ้นตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เชื่อกันว่าพลังของสุนทรียสนทนา คือ ความคิด สร้างสรรค์ที่ผุดบังเกิดขึ้น ภายหลังจากที่กระบวนการสุนทรียสนทนาจบสิ้นลงไปแล้ว โดยผู้ที่ร่วม กระบวนการจะได้ขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมีใครชี้แนะ นอกจากนี้ กระบวนการสุนทรียสนทนาที่เน้นให้ เกิดการฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) สงบ ระงับ ไม่ด่วนสรุป (suspension) จะช่วยแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งระหว่างบคุ คลไดเ้ ป็นอยา่ งดี ดังนั้น ในการเข้าถึงองค์ความรู้ทางศิลปะ ควรใช้หลักการทางสนุ ทรยี ศาสตร์ ถือเป็นส่ิง สำคัญต่อการเชื่อมความสัมพันธ์ของการสนทนาระหว่างผู้ถ่ายทอด กับ ผู้รับการถ่ายทอด เป็นสิ่งที่ ผู้รับการถ่ายทอด ควรเข้าหาด้วยความประณีตความดีงาม ตลอดถึงทำให้เกิดความช่างสังเกตต่อ ปฏิกิริยาบางอย่างที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นกระบวนการรับรู้ทางศลิ ปะ ซึ่งในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ ตอ่ การเข้าหาองคค์ วามร้ไู ด้ดเี ปน็ อยา่ งย่ิง สำหรับกระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่ จะช่วยใหเ้ กดิ พฒั นาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกดิ ขน้ึ ภายในองคก์ ร ซึ่งมีรูปแบบของ การจัดการความรู้ที่หลากหลาย ในครั้งนี้จะนำเสนอเพียงบางองค์กรที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จัก ของไทย ได้แก่ การจัดการความรู้ตามแนวของสำนกั งาน กพร. มที งั้ หมด 7 ขั้นตอนดงั นี้ 1. การบง่ ชี้ความรู้ เป็นการพจิ ารณาวา่ องค์กรมวี ิสยั ทัศน์ พันธกิจ ยทุ ธศาสตร์ เปา้ หมาย คอื อะไร และเพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมาย เราจำเปน็ ตอ้ งใช้อะไร ขณะนเ้ี รามคี วามรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบ ใด อย่ทู ่ใี คร 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรเู้ ก่า กำจดั ความรทู้ ใ่ี ชไ้ มไ่ ด้แล้ว

21 3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ การเกบ็ ความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบในอนาคต 4. การประมวลและกลัน่ กรองความรู้ เช่น ปรบั ปรงุ รปู แบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ ภาษาเดียวกัน ปรบั ปรงุ เนื้อหาให้สมบรู ณ์ 5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผูใ้ ช้ความรู้เข้าถึงความรูท้ ี่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ (IT) Web board บอรด์ ประชาสมั พนั ธ์ เปน็ ต้น 6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีที่เป็นความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีที่เป็น ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) จัดทำเป็นระบบทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและ นวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นตน้ 7. การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่น เกิดระบบการเรียนรู้จาก สร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไป อยา่ งต่อเน่อื ง การจดั การความรแู้ บบ Demarest ดังนี้ 1. การสร้างความรู้ (Knowledge Construction) 2. การเก็บรวบรวมความรู้ (Knowledge Embodiment) 3. การกระจายความรูไ้ ปใช้ (Knowledge Dissemination) 4. การนำความรู้ไปใช้ (Use) การจัดการความรแู้ บบ Turban และคณะ ดังน้ี 1. การสรา้ ง (Create) 2. การจับและเกบ็ (Capture and Store) 3. การเลอื กหรอื กรอง (Refine) 4. การกระจาย (Distribute) 5. การใช้ (Use) 6. การติดตาม/ตรวจสอบ (Monitor) การจัดการความรู้แบบ Probstและคณะ 1. การกำหนดความรู้ (Knowledge Identification) 2. การจดั หาความรู้ (Knowledge Acquisition) 3. การพฒั นาความรู้ใหม่ (Knowledge Development) 4. การถา่ ยทอดความรู้ (Knowledge Transfer)

22 5. การจัดเกบ็ ความรู้ (Knowledge Storing) 6. การนำความรมู้ าใช้ (Knowledge Utilization) จะเห็นได้ว่าการจัดการความรู้ตามรูปแบบต่าง ๆข้างต้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ปรับหัวข้อสำคัญแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็จะมีรูปแบบที่ต้องดำเนินการไม่แตกต่างกัน ซึ่งอาจ สรุปไดว้ า่ กระบวนการจัดการความรู้ต้องมีการสรา้ งและแสวงหาความรู้ การพฒั นา ถา่ ยทอด จดั เก็บ และนำความร้นู ัน้ ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุดสำหรับหนว่ ยงานนนั้ พัฒนาการของจติ มนษุ ย์ ไปสู่การยกระดบั จติ จิต (Mind) คือการทำหน้าที่ของสมองส่วนต่าง ๆร่วมกัน ในการดำรงชีวิตของบุคคลตาม สภาพแวดล้อมนั้น จึงถือว่าจิตเป็นกระบวนการทำงานของสมอง(Mental Process) ที่มีลักษณะเป็น การบรู ณาการ (Integaion Process) (อ้างใน ปภัส ฉัตรยาลักษณ์, 2558 : 3) โดยมีกระบวนการ ตาม แผนผงั ดังนี้ กระบวนการทำงานของจติ เปน็ กระบวนการต่อเนื่องตงั้ แต่ไดร้ ับสิ่งเรา้ จนถึงการเกิดการ รบั ร้คู วามเข้าใจการคดิ หาเหตผุ ลการจำจนิ ตนาการซง่ึ อาจเขยี นเปน็ แผนภูมิได้ 1. สง่ิ เรา้ (Stminulus) หมายถึง ส่ิงต่าง ๆที่อยรู่ อบตัวเราและสามารถสมั ผัสได้ ดว้ ย อวยั วะรับสัมผัสตา่ ง ๆ คือหู ตา จมกู ล้นิ ผิวหนัง และอวยั วะภายใน 2. ประสาทสมั ผัส (Sensory Nerve) เปน็ ตวั การท่ีจะเปล่ยี นการรับสัมผัสของ อวยั วะรบั สมั ผสั (ตามข้อ1) แตล่ ะอยา่ งให้เปน็ กระแสประสาท เชน่ กันกระแสประสาทการเหน็ กระแส ประสาทการได้ยิน กระแสประสาทการได้กล่นิ ฯลฯ แลว้ ส่งไปยังระบบประสาทสว่ นกลางต่อไป 3. ระบบประสาทสว่ นกลาง (Centran Nervous System) เป็นการทำงานของ สมองและไขสันหลัง ซึ่งสมองแต่ละส่วนจะทำหนา้ ที่แตกต่างกันออกไปและทำหนา้ ที่ประสานสัมพันธ์ ทำใหเ้ กดิ การรับรู้ไปสู่การจำ การคิด อารมณ์ ฯลฯ 4. การเกิดการรับรู้ (Per Ception)ความคิด (Thinking)ความรูส้ กึ (Feeling) อารมณ(์ Emotion) ซงึ่ ตอ้ งอาศัยประสบการณเ์ ดมิ มาช่วยแปลความหมายหรือประเมนิ ค่า ฯลฯ

23 5. การแสดงปฏกิ ริ ิยาโตต้ อบ(Reaction) เปน็ ผลของการท่ีสมองคิดและสั่งการ โดย แปลงเป็นกระแสประสาทไปยังอวัยวะตา่ ง ๆได้แก่ กลา้ มเน้ือ และต่อมให้ทำงาน การศึกษาเรื่องของจิต เป็นส่ิงที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน ประกอบกับวิธีการศึกษาอาจไม่มี ความเที่ยงตรง ซึ่งไม่เหมือนกับการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่ สามารถพิสูจน์ได้ ทดลองได้ ตรงจุดนี้เอง ที่เกิดการยอมรับว่าจิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นใน การศึกษากระบวนการทำงานของจิตที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม จึงต้องอาศัยการอ้างอิงพฤติกรรมท่ี มนุษยแ์ สดงออกมา เพ่ือใช้อธิบายลักษณะทางจิตใจของบุคคลน้นั เช่น - เช่นถา้ เราเห็นคนกำลังน่ังร้องห่มร้องไห้ฟมู ฟาย เราสามารถจะบอกได้ว่าจิตใจของเขากำลัง เปน็ ทุกขด์ ้วยเรือ่ งใดเรือ่ งหนง่ึ - คนที่สามารถคิดประดิษฐ์สิ่งแปลกๆใหม่ๆออกมาได้ เช่นประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือได้ ประดิษฐค์ อมพิวเตอร์ร่นุ ใหม่ๆ แสดงว่าคนคนนั้นมีความคดิ สรา้ งสรรค์ (ซง่ึ เปน็ ลักษณะทางจติ ใจ) กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism) เชื่อว่าจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ดังนั้นถ้าต้องการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลต้องเปลี่ยนที่จิตใจของเขาก่อน อาจจะทำได้โดยการสร้างแรงจูงใจ การสรา้ งเจตคติ การโฆษณาชวนเชือ่ การใชต้ ัวแบบอย่าง ซ่งึ จะทำให้เกิดพฤติกรรมท่ตี อ้ งการได้ เช่นเดียวกัน ผลของการแสดงพฤติกรรมจะทำให้เกิดสภาพทางจิตใจได้ เช่น เวลา นักศึกษาออกไปพูดหน้าชั้นปรากฏว่าเพื่อนๆในห้องตั้งใจฟังอย่างดี อย่างสนใจ และไม่มีเสียงพูดกัน เลย มีการปรบมือใหเ้ ป็นระยะ ๆ เชน่ นี้ กจ็ ะทำให้นกั ศึกษา ทอี่ อกมาพูดหน้าฉนั รสู้ ึกว่า ตนเองประสบ ความสำเรจ็ ในการพดู รู้สึกภมู ใิ จ ดใี จ มีกำลงั ใจและมคี วามสขุ ตอ่ การพดู ครั้งนั้น จะเหน็ ไดว้ า่ จติ และ พฤติกรรมเป็นสิง่ ท่มี คี วามสมั พันธ์ซึ่งกันและกันโดยไม่จำกดั ว่าสงิ่ ใด จะเป็นเหตุมาก่อน ปัจจัยทก่ี อ่ ให้เกิดพฤตกิ รรมไดแ้ กท่ างดา้ นรา่ งกายการรับรูเ้ ชาวป์ ัญญา การคิดและแก้ไข ปัญหา อารมณ์เจตคติค่านิยมปัจจัยทางสังคมสิ่งแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว สภาพแวดล้อมในสถานศึกษาและสภาพแวดล้อมในชุมชนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ บุคคล ก่อให้เกิดบุคลิกภาพหรือพฤติกรรมการแสดงออกที่แตกต่างกัน การควบคุมพฤติกรรมของ บุคคลเป็นการตรวจสอบถึงความถูกต้องเหมาะสมของปัจจัยดังกล่าว การให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ บุคคลเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูบุตรให้ถูกต้องเหมาะสม การพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาใน โรงเรียนให้ได้มาตรฐาน รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมในชุมชนท้องถิ่นให้มีความเจริญทางด้านความคิด และจิตใจ จะชว่ ยสง่ เสริมวฒั นธรรมทางสงั คมใหบ้ ุคคลอยรู่ ว่ มกนั ได้อยา่ งสันติสขุ (ปภสั ฉตั รยาลักษณ์ , 2558 : 11) ดงั นน้ั อิทธพิ ลทางวฒั นธรรม อาจจะถอื ว่าเปน็ ส่วนหนง่ึ หรือเป็นปัจจัยหน่ึง ทก่ี ่อให้เกิด พฤตกิ รรม ไดแ้ กร่ า่ งกายการรบั รูเ้ ชาวน์ปัญญาการคดิ และแก้ไขปัญหาอารมณ์เจตคติคา่ นิยมทางสังคม นั้นได้ โดยเฉพาะ ในส่วนของ ศิลปวัฒนธรรม ดนตรี การขับร้อง ซึ่งเป็นอิทธิพล ที่ก่อให้เกิด การ

24 กระทบผัสสะ ทางหู ของกล่มุ คนในสังคมนน้ั ๆ ให้เกิด ความซาบซ้งึ เกิดค่านยิ ม เกิดแรงบนั ดาลใจข้ึน ในกลุ่มสังคมดังกล่าว พลังทางเสียง ของแม่ ที่ไปสู่ลูกน้อยนั้น ทำให้เกิด ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เกิด ความรสู้ ึก ไว้วางใจระหวา่ งแมส่ ่ลู กู ทำใหส้ งั คมน้ันๆเกิดบรบิ ทค่านิยมท่แี ตกต่างกนั อีกด้วย เปา้ หมายสำคัญของการจัดการความรู้ คือ เพื่อพัฒนางาน พัฒนาคน พัฒนาองค์การ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงาน ตามแผนปฏิบตั ิราชการที่วางไว้ ทุกคนสามารถเข้าถงึ ความรู้ มีการพัฒนาตนเองตามสายงาน และนำ ความรู้ทีไ่ ดไ้ ปประยุกตใ์ ชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ต่อท้ังตนเองและองคก์ าร ดังนี้ 1. การสนองตอบ (Responsiveness) ต่อความต้องการของผ้รู ับบรกิ าร ต่อ เพ่ือนร่วมงาน ตอ่ ผู้บังคบั บญั ชาและผูใ้ ตบ้ ังคับบญั ชา ตอ่ องคก์ าร ตอ่ ชมุ ชนและสงั คมสว่ นรวม 2. การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน นวัตกรรมด้านผลติ ภัณฑ์ และนวตั กรรมดา้ นการให้บรกิ าร 3. ขีดความสามารถ (Competency) ของบุคลากรและองค์การที่พัฒนา เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการจัดการความรู้ขององค์การ และการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การนำความร้ไู ป ประยกุ ต์ใช้ และการรจู้ ักต่อยอดความรขู้ องบุคลากร 4. ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อยแต่ ได้ผลมากหรือคณุ ภาพสูง เป้าหมายสำคญั ของการจดั การความรู้ คือ การทีก่ ลุม่ คนที่ดำเนนิ การจดั การ ความรู้รว่ มกัน มชี ุดความรขู้ องตนเองสำหรบั ใชง้ าน มกี ารทดลองนำความรจู้ ากภายนอกมาผสมผสาน ปรับปรงุ และพัฒนาให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์การของตนเอง มกี ารทดลองใช้งานและบูรณาการ รว่ มกบั ทุกกจิ กรรมของการทำงาน การจัดการความรู้ท่ีดีเริ่มด้วย 1. สัมมาทิฐิ คือ ใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุความสำเร็จและความ มัน่ คงในระยะยาว มีการจดั ทีมริเริม่ ดำเนินการ 2. การฝกึ ฝนอบรมโดยการปฏบิ ตั จิ รงิ และดำเนนิ การอย่างตอ่ เนอ่ื ง 3. การสร้างแรงจูงใจในการรเิ ริม่ ดำเนินการจัดการความรู้ โดยมีเป้าหมายที่งาน คน องค์การ และความรกั สามัคคีในทท่ี ำงาน ในระดับทีเ่ ปน็ หวั ใจสคู่ วามสำเร็จในการจัดการความรู้ ไม่ทำ เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำ ทำเพราะถูกบังคับตามข้อกำหนด ทำตามแฟชั่นแต่ไม่เข้าใจความหมายและ วธิ ีการดำเนนิ การจัดการความรู้อยา่ งแทจ้ ริง

25 องคป์ ระกอบสำคัญของการจัดการความรู้ (Knowledge Process) 1. คน ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ 2. เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือช่วยให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน รวมทั้งนำความรู้ไป ใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึน้ 3. กระบวนการความรู้ เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ พฒั นา และปรับปรงุ เพ่อื สรา้ งนวัตกรรมใหมๆ่ องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนจะต้องเชื่อมโยงและบูรณาการอย่างสมดุล การจัดการความรู้ของ กรมการปกครองจากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 กำหนดให้องค์การรฐั ทุกภาคส่วนมีหน้าที่พัฒนาความรู้อย่างสมำ่ เสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูล ข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้ อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคลากรในสังกัดให้มีประสิทธิภาพ มีการเรียนรู้ร่วมกัน และเพื่อให้เป้าหมายบรรลุผล ควรจัดให้มีกิจกรรมกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process) และ กิจกรรมกระบวนการเปลี่ยนแปลง (Change Management Process) ควบคู่กันไป เพื่อให้องค์การ เป็นจดุ เรม่ิ ต้นแหง่ การเรียนรู้ทีย่ ั่งยืนต่อไป การสร้างและต่อยอดความรู้ในองค์กร นิคม อ่อนละมยั (สบื ค้นเม่อื 31 สิงหาคม 2563) กล่าวถึงเรื่องการสร้างและต่อยอด ความรู้ในองคก์ รไว้วา่ nonaka และ takeuchi เขียนหนงั สอื ชื่อ “the knowledge company” ซ่ึงต่อมาได้ สรา้ งกระแสการจดั การความร้ใู นองค์กร โดยนำเสนอ โมเดลการสร้างองค์ความรู้ ขยายผลจาก ชนดิ ของความรู้ คือ ความรู้ท่ีอยู่ในสมองคน (tacit knowledge) กบั ความรทู้ ีส่ ามารถหาไดจ้ ากส่ือภายนอก (explicit knowledge) โมเดลดังกลา่ วมีช่ือวา่ “seci-knowledge conversion process” Socialization ในโมเดลน้ี จึงเป็นการถ่ายโอนความรู้โดยตรงระหว่างกลุ่มคนหรือบุคคล โดยไม่ผ่านการเขียน ผมขอใช้นิยามแบบไทยๆ ว่า “การเสวนาธรรมกัน” กลุ่มคนที่มีการแลกเปลี่ยน ประสบการณจ์ ากคนหนึง่ ไปอกี คนหน่ึงโดยการคุยกัน โดยอาจใช้เวลาคุยกันเพียง 5 นาที ก็เข้าใจแล้ว แตถ่ ้าใชเ้ วลาเขยี นเพื่อบรรยายความเขา้ ใจดังกลา่ วอาจใชเ้ วลาถงึ 5 วนั กลุ่มคนทม่ี าเสวนาธรรมแลกเปลย่ี นความรู้กันน้ี มกั จะมพี นื้ ฐานความรู้ท่สี อดคล้องกนั หรือ เคยมปี ระวตั ิศาสตร์ อดีตทีค่ ลา้ ยคลึงกนั จะมีคลนื่ ความถี่ท่ีใกล้เคยี งกันสามารถสือ่ สารและทำความ เขา้ ใจกนั ได้โดยงา่ ย ดังนน้ั องคก์ รสามารถสร้างความรู้ได้โดยจัดเวทีแลกเปลย่ี นความรู้กัน (forum) มุม

26 พกั ผ่อนทานกาแฟรว่ มกัน การจดั ตงั้ community of practice หรอื community of interest การ พบปะกับองค์กรอนื่ เพื่อทำการเทยี บเคยี ง (benchmarking) ทง้ั กบั องค์กรภายนอกและภายใน Externalization ในองค์กรอาจมผี ู้เชี่ยวชาญท่ีมีความสามารถในการสอนและการถา่ ยโอน ความร้ผู ่านสือ่ ต่างๆ ได้ จากประสบการณใ์ นสมองของเขา (tacit knowledge) ออกมาภายนอก (explicit knowledge) ให้ผูอ้ ่ืนในองคก์ ร ทำให้องค์กรมโี อกาสได้จดั เก็บและกระจายใช้งานความรู้ ดงั กล่าวได้อย่างกวา้ งขวางมากย่งิ ขึ้น ดังนั้นองคก์ รควรสร้างคา่ นิยมและสง่ เสรมิ “ผู้รู้ที่มีความสามารถ ถ่ายทอดได้” อย่างเป็นระบบอยา่ งจริงจงั Combination การที่องค์กรต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง จำเปน็ ตอ้ งมีการศึกษาเรียนรจู้ ากความรู้ภายนอก และมกั จะประสบปญั หาว่าแนวทางความคิดมีความ หลากหลาย แม้กระทั้งเรื่องเดียวกันยังมีความแตกต่างในการสื่อสารและการสร้างความเข้าใจใน องค์กรเป็นอยา่ งมาก บคุ ลากรทส่ี ามารถเชื่อมโยงความร้ทู ห่ี ลากหลายดังกล่าวใหเ้ ปน็ ภาษาที่ใช้ส่ือสาร ในองคก์ รไดด้ ีน้นั จะชว่ ยสรปุ องค์ความร้ใู หม่ๆ ใหก้ ับองค์กรได้ องคค์ วามร้ใู หม่ท่ีมีการเช่ือมโยงให้กับ องคก์ รตนเองแลว้ Internalization และเมื่อสามารถนำความรู้ใหม่ดงั กลา่ วมาลงมือปฏิบตั ิจรงิ ผู้ปฏบิ ตั นิ ัน้ จะ เกดิ การซึมซาบ ใหเ้ กิดเป็นความรปู้ ระสบการณ์และปญั ญา เปน็ ประสบการณ์ อยู่ในสมองเป็น tacit knowledge ต่อไป ความรเู้ ก่ยี วกับเพลงกลอ่ มเด็ก เพลงกล่อมเด็กเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะชนิดหนึ่ง โดยเป็นเพลงที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยง เด็กใช้รอ้ งขบั กล่อมใหเ้ ด็กฟังเพอ่ื ให้เด็กนอนหลับสบาย ไมง่ อแง พฒั นามาจากการเล่านิทานให้เด็กฟัง กอ่ นนอนในสมยั ก่อน ต่อมาจงึ มกี ารใส่ทำนองเพลงชา้ ๆ เพือ่ ความไพเราะ และสร้างบรรยากาศให้เด็ก หลับง่ายขึ้น สานสัมพันธ์ความรัก ความห่วงใยจากพ่อแม่สู่ลูก ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม วิถีชวี ิตของคนในสมยั ก่อนผา่ นบทเพลง ในภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และ แม่ฮ่องสอน มีปรากฏเพลงกล่อมเด็กอยู่ในวัฒนธรรมพื้นบ้านมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ปรากฏหลักฐาน ยืนยันช่วงเวลาแน่ชัด โดยลักษณะของเพลงกล่อมเด็กล้านนา ส่วนมากมักขึ้นต้นด้วยการร้อง \"อื่อ จา จา\" หรือ \"อื่อ อื่อ จา จา\" จึงมักเรียกว่า เพลงอื่อ คำว่า “อื่อ” หมายถึง เพลงที่ขับร้องโดยมีการส่ง เสียงหึ่งจากลำคอให้ดังออกมาทางจมูก และมักจะทอดเสียงท้ายว่า ชา หรือ ชาชา เป็นทำนองต่างๆ เพื่อให้เกิดเสียงนุม่ นวล ชวนใหเ้ ด็กหลับไดง้ า่ ย โดยเน้ือหาจะพรรณนาถึงสงิ่ ตา่ งๆ ปจั จุบัน เพลงออ่ื ไม่ ค่อยเป็นที่รู้จัก เนื่องจากเป็นเพลงที่ใช้การจดจำสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์ อักษร ที่มีปรากฏส่วนมากมาจากคนรุ่นเก่าๆ ที่ได้สืบทอดไว้นั่นเอง (พิมพา สุธัญญาวัชชัย, ออนไลน์, สืบค้นวนั ที่ 15 สงิ หาคม 2564)

27 อดุ ม รุง่ เรืองศรี (2542 : 4746-4757) ไดก้ ล่าวถึงเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ ซึ่งเป็นงานเขียนที่ขยายขอบเขตขึน้ จากขอ้ มูลหลักที่เปน็ ผลมาจากการทำงานร่วมกบั คณะทำงานจาก สำนกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยมีศาสตราจารยค์ ุณหญงิ แม้นมาส ชวลิต เป็นประธาน คณะทำงานจากสำนักงานคณะทำงาน ซึ่งอาจารย์กุลวดี เจริญศรี และผู้เรียบเรียงเป็นกรรมการ โดย ประสงคท์ ี่จะสอบคน้ หาเพลงกล่อมเด็กและเพลงท่เี ด็กใช้รอ้ งเลน่ ในภาคเหนือ เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ คือในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอนมีปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมพื้นบ้านเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ไม่ปรากฏ หลักฐานยืนยนั ถึงช่วงเวลาทีเ่ พลงเหล่านั้นประเพณีความเชื่อที่เก่าแก่และมีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับ คนไทยเผ่าอื่นได้ด้วย ปัจจุบันนี้เห็นได้ว่าผู้ที่พอจะรู้เรื่องเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นเหล่าน้ัน มกั จะมไี ม่น้อยกวา่ 50 ปี และจำนวนผูร้ ูด้ ังกล่าวก็นับวนั จะลดน้อยลงตามลำดบั ลกั ษณะของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเลน่ ฉันทลกั ษณ์ ฉันทลักษณ์ของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ มีลักษณะร่วมกับเพลง ลักษณะเดียวกันในกลุ่มชนเผ่าไทย ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นลักษณะสากลก็ได้ กล่าวคือบทเพลงเหล่านั้น จะไม่มีการกำหนดความยาวที่แน่นอน ความยาวของบทเพลงขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่พรรณนา โดยปกติ เพลงเหล่านั้นจะแบ่งเป็นวรรค เพื่อให้สะดวกต่อการขับขาน และโดยทั่วไปมักจะมีความยาววรรคละ 4 คำ ที่น่าสังเกตก็คือในการส่งสัมผัสนั้น มักเป็นการสัมผัสเสียงสระหรือเสียงวรรณยุกต์ และไม่ เคร่งครดั ทจ่ี ะต้องสง่ สัมผสั กันด้วยเสยี งตวั สะกดหรือตัวสะกด ทำนอง ทว่ งทำนองในการขับขานเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นน้ี อาจจัดเป็นสอง ประการใหญ่ ๆ คือ • ทำนอง อื่อ เป็นทำนองที่มาจากเสียงซึ่งเปล่งเสียงหึ่งออกทางจมูก ให้มีเสียงสูงต่ำตาม ต้องการ ใช้เปล่งประกอบการขับเพลง นิยมใช้กับเพลงกล่อมเด็ก และทำนอง อื่อ นี้อาจจะ แยกไดเ้ ป็นสองแบบ คอื การ ออ่ื แบบง่ายตามทีช่ าวบ้านทัว่ ไปพอจะขับได้ และการ อื่อ แบบ ที่ใช้ทำนองธรรมวัตร หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะตนในการขับทำนองเทศนาแบบล้านนา ประกอบ • ทำนองร่ำ (ฮ่ำ) คือทำนองที่ขับขานบทเพลงตามจังหวะโดยเอื้อนเสียงทอดยาวที่พยางค์ สุดท้ายของวรรค และเปล่งเสียงข้นึ ลงตามระดบั สูงต่ำของเสียงวรรณยุกต์

28 • ทำนองร่วมสมัย คือจะมีการขับเพลงตามสมัยนิยมซึ่งในยุคก่อนอาจขับจ๊อย หรือซอแบบ ตา่ งๆ ซ่ึงเป็นทนี่ ยิ มกันในขณะนัน้ และยุคปจั จุบนั อาจขับเพลง ซึ่งเป็นท่ีนิยมกันอยู่เป็นเพลง กล่อมเดก็ กไ็ ด้ การนำเพลงกลอ่ มเดก็ และเพลงร้องเลน่ ไปใช้ การนำเพลงกลอ่ มเดก็ และเพลงร้องเลน่ ภาคเหนือไปใช้นั้นเป็นไปอย่างไม่แพรห่ ลาย ทั้งน้ีอาจ มีเด็กตามหมู่บ้านบางแห่งที่ร้องเพลงเล่นอยู่บ้างหรืออาจมีแม่เฒ่าบางท่านที่ร้องเพลงกล่อมหลาน เทา่ นั้น หากจะมกี ารนำเพลงกลอ่ มเด็กและเพลงร้องเลน่ มาใช้แลว้ อาจดำเนนิ ได้ดังนี้ - รวบรวมเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นจากแหลง่ ต่างๆ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้ว เผยแพร่เพลงเหล่านัน้ ในรปู ของเอกสาร - ส่งเสริมให้ใชเ้ พลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นอย่างกว้างขวาง เช่น อาจจดั ทำเทปตลับของ เพลงเหล่านน้ั เพ่ือใช้ในโรงเรยี นอนบุ าล หรือทำหนังสือภาพ เป็นต้น - รว่ มมอื กับสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในการเผยแพร่เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่น - จดั ประกวดเพลงกลอ่ มเดก็ และเพลงร้องเลน่ ท้งั แบบเก่าและทแี่ ต่งขึน้ ใหม่ ลักษณะของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเลน่ ภาคเหนือ 1. มฉี นั ทลกั ษณ์ที่ไมต่ ายตัว ความยาวไม่แน่นอน และมกี ารสง่ สัมผัสท่ีไม่เคร่งครัด ซง่ึ เปน็ ไป ตามลักษณะของวรรณกรรม มุขปาฐะท่วั ไป 2. ภาษาทีใ่ ช้เปน็ ภาษาไทยแทท้ ีเ่ รียบง่ายและตรงไปตรงมา 3. มกี ารกร่อยและการเพ่ิมของคำและเน้ือหาในเพลง 4. เนือ้ หาของเพลงมักกล่าวถงึ สภาพแวดล้อมทั้งในธรรมชาตแิ ละในสังคมอย่างตรงไปตรงมา โดยมอี ารมณห์ ลักคอื แสดงความรกั และห่วงใย มกั ไมม่ อี ารมณ์เศร้า เสียใจ โกรธแค้นหรือเพอ้ ฝัน 5. เนอื้ หาของเพลงชัดเจนและตรงไปตรงมาคือ เพลงกลอ่ มเด็กก็จะมุ่งชักจูงใหเ้ ด็กหลับ ส่วน เพลงร้องเลน่ กจ็ ะกล่าวถึงเร่อื งที่สนกุ สนานเพลดิ เพลิน ไมน่ ยิ มเร่อื งนิยาย นิทานหรอื ชาดก 6. เพลงกล่อมเด็ก สามารถจำแนกตามคำขึ้นต้นของเนื้อร้องได้ 12 แบบ ส่วนเพลงร้องเล่น อาจจำแนกตามคำข้นึ ตน้ ของเนือ้ ร้องได้ 4 แบบ 7. บางเพลงเมอื่ สืบจากภาษาและเน้อื หาแลว้ อาจสนั นษิ ฐานได้วา่ มีอายปุ ระมาณ 80-200 ปี 8. เพลงกล่อมเด็กและเพลงเด็กร้องเล่นนี้ เมื่อดูจากปริมาณแลว้ เห็นว่าเปน็ เพลงที่ใช้ อื่อ คือ เพลงที่ใช้ขับกล่อมให้เด็กหลับ และเพลงสิกจุ้งจา หรือเพลงที่เด็กใช้ประกอบการเล่นชิงช้า โดยที่มี เพลงเด็กเล่นเพียงไม่กี่เพลง แต่ต่อมาแล้วเหน็ ว่ามีการใช้เพลงตา่ งๆ ร่วมสมัยเป็นเพลงเด็กได้ดว้ ยโดย ไม่จำกัด (ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ออนไลน์ สืบค้นวันที่ 15 สิงหาคม 2564)

29 4.3 การจดั การความรู้ใหเ้ ปน็ ระบบ

30 เพลงกลอ่ มเดก็ ภาคเหนอื ฉบับคุ้มหลวงพระราชชายาเจ้าดารารศั มี การกล่อมเด็กภาคเหนือ ภูมิปัญญาหนึ่งของการขับกล่อมพื้นบ้านล้านนา ที่มีลักษณะ เรียบง่าย เสียงยาว เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสงบ หรือเกิดความเพลิดเพลิน กระทั่งเด็กทารกหลับ ไป เพลงกล่อมเด็กไดเ้ ข้าไปสู่กระบวนการขับร้องเพลงในรูปแบบราชสำนักคุ้มหลวง ซ่ึงในคร้ังเม่ือพระ ราชชายาเจ้าดารารัศมี เสด็จนิวัติกลับมานครเชียงใหม่เป็นการถาวร พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูทำนุบำรุง ศลิ ปวฒั นธรรมลา้ นนาผนวกรวม ปรับปรงุ สร้างสรรค์ เพ่อื ให้เป็นไปในรปู แบบราชสำนกั กระทงั่ ก่อตั้ง วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ พ.ศ. 2514 จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีนาฏศิลป์ราชสำนักคุ้มหลวง มาสอนในวิทยาลัยนาฏศิลปเชยี งใหม่ จำนวน 3 ทา่ น ได้แก่ เจ้าสนุ ทร ณ เชยี งใหม่ (ดนตรรี าชสำนัก) เจ้าเครือแกว้ ณ เชียงใหม่ (ขบั รอ้ งราชสำนัก) และครสู มพนั ธ์ โชตนา (ฟอ้ นราชสำนกั ) เจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ ครูขับร้องที่ได้เรียนวิทยาการการขับร้องทั้งเพลงไทยและ พื้นบ้านในราชสำนักคุ้มพระราชชยาเจ้าดารารัศมี เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ได้ให้เป็นนางต้นห้องประจำ พระองค์ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี (นันทิตา คุ้มมา. สัมภาษณ์, วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564) เมื่อเจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ ได้ถูกเชิญให้มาสอนในวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ท่านจึงได้ต่อเพลง ขับร้องต่าง ๆ ในแบบราชสำนักคุ้มหลวง ให้แก่นักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ในยุคนั้น อาทิ เช่น ครูนันทิตา คุ้มมา ครูพังงา ถาวร ครูจิราภรณ์ สุขเกษม ทั้งสามท่านไดร้ ับการถ่ายทอดและบรรจุ ข้าราชการในสาขาคีตศิลป์ไทย (ขับร้องเพลงไทย) ตำแหน่ง ครูผู้สอนในวิทยาลัยนาฏศิลปะเชียงใหม่ ในเวลาต่อมา ตลอดระยะเวลาร่วม 30 ปี ทั้งสามท่านได้สอนลูกศิษย์ในด้านการขับร้องทั้งเพลงไทย และเพลงในราชสำนักคุ้มหลวงมากมาย สำหรบั เพลงที่รับสืบทอดมาน้ัน มีทง้ั เพลงประกอบการแสดง เช่น ฟ้อนม่านมุยเชียงตา ฟ้อนม่านแม่เล้ ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนระบำซอ ฟ้อนโยคีถวายไฟ เพลงที่ ประกอบการบรรเลงรบั ร้อง เช่น เพลงพม่า เพลงจะปุ และเพลงกลอ่ มเด็กภาคเหนือในแบบราชสำนัก คมุ้ หลวง (พระราชชายาเจ้าดารารัศมี) ซ่ึงท้งั สามท่านได้รบั การสืบทอดและเปน็ ที่ไว้วางใจให้ถ่ายทอด องค์ความรู้ทางด้านการขับร้องให้เป็นแบบฉบับในเวลาต่อมา เช่นในการบรรเลงรับร้องในชุดเพลง บรรเลงล้านนา ของวงดนตรีเจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ ซึ่งครูทั้งสามท่านก็ได้ขับร้องเพลงไว้เป็นต้นฉบับ ในการบันทกึ เสียงท้ังนน้ั ดว้ ย ดังนั้น คณะทำงานการจัดการความรู้ด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ท้องถิ่น จึงได้เชิญครูทั้งสามท่านที่รับการสืบทอดภูมิปัญญาเพลงกล่อมเด็กฉบับราชสำนักคุ้มหลวง และเป็นครูผู้เชี่ยวชาญของวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ เพื่อเก็บองค์ความรู้ดังกล่าวไว้สำหรับให้ผู้ท่ี สนใจได้ศกึ ษาตอ่ ไป อีกท้ังสาขาดนตรศี ึกษาวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ไดม้ ีการเรียนการสอนรายวิชา การขับร้องเพลงกล่อมเด็กอีกด้วย ทั้งนี้ นับว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับองค์กรต่อการจัดการองค์ ความรู้ไวใ้ หเ้ ปน็ สมบตั ขิ องสถานศกึ ษาและสังคมวฒั นธรรมไทย สบื ไป

31 ในครั้งนี้ คณะทำงานการจัดการความรู้ฯ ได้ดำเนินการจัดเก็บองค์ความรู้ แบบ New normal ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถจัดประชุมในแบบ ปกติได้ ดังนั้น คณะผู้ทำงานจึงปรับการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในรูปแบบออนไลน์ โดย ผ่านโปรแกรม VDO Line ซึง่ มีการดำเนนิ งาน ดงั น้ี ครนู ันทติ า คมุ้ มา 1. ครูนนั ทติ า ค้มุ มา ประวัติ ครูนนั ทิตา คมุ้ มา เกิดวนั ท่ี 1 เมษายน 2502 อายุ 62 ปี (2564) บา้ นเลขท่ี 95 หมู่ 5 ตำบลดงป่าคำ อำเภอเมือง จังหวดั พจิ ติ ร บิดาชอ่ื นายโต คุ้มมา มารดาชือ่ นางจำรสั คุ้มมา ท่อี ยู่ บา้ นเลขที่ 166/39 หมู่ 5 หม่บู า้ นพรสวรรค์ ทา่ รัว้ ตำบลสันปเู ลย อำเภอดอยสะเก็ด จงั หวดั เชยี งใหม่ 50220 โทรศพั ท์ 081-9603479 ประวัตกิ ารศกึ ษา ระดับประถมปีที่ 4 โรงเรยี นวัดวังหัวกลด อำเภอเมือง จงั หวดั พจิ ติ ร ระดบั ประถมปีท่ี 6 โรงเรียนวดั เขาลูกชา้ ง อำเภอเมอื ง จงั หวดั พจิ ิตร ระดับประถมปีที่ 7 โรงเรียนอนุศึกษา อำเภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่ ระดับชัน้ ต้น 1-3 โรงเรียนนาฏศลิ ปเชียงใหม่ กรมศลิ ปากร กระทรวงศึกษาธกิ าร

32 ระดับชัน้ กลาง 1-3 วิทยาลยั นาฏศิลปเชยี งใหม่ กรมศลิ ปากร กระทรวงศึกษาธกิ าร ระดบั ชั้นสงู 1-2 วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปเชยี งใหม่ กรมศลิ ปากร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ระดบั ชั้นปริญญาตรี สาขาภาษาไทย หลกั สตู รครศุ าสตรบณั ฑติ วิทยาลยั ครูเชยี งใหม่ ประวตั กิ ารทำงาน ครูนันทิตา (ชื่อเดิมทองเลียม) คุ้มมา ภูมิลำเนาเดมิ จากจังหวัดพิจิตร จบการศึกษา จากวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ เรียนต่อเพลงขับร้องกับครูหลายท่าน เช่น ครูประคอง ชลานุภาพ เป็นครูวางพื้นฐาน ครูภาอุษา บูรณะพิมพ์ ครูอัจฉรา งามระเบียบ ครูนิตยาแก้วบูชา ครูวัฒนา โกศินานนท์ ครูเจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ และครูเจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ เมื่อจบการศึกษาได้รับ ราชการตำแหนง่ ครู 2 ระดับ 2 เม่ือ 14 พฤษภาคม 2524 ณ วทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ สอนวชิ าเอก คีตศิลป์ เพลงพ้ืนบ้านภาคตา่ ง ๆ ปฏบิ ตั ิราชการพเิ ศษทัง้ ขับร้องเพลงไทยเดิม เพลงพืน้ เมอื งภาคเหนือ ปฏิบัติหน้าที่ครูที่ปรึกษา ครูผู้ปกครอง งานพยาบาล งานประชาสัมพันธ์ งานบรรณารักษ์ งานแนะ แนว เป็นวิทยากร กรรมการและประธานกรรมการตัดสินขับร้องเพลงไทยเดิม เพลงไทยสากลและ เพลงลูกทุ่ง สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดคือได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในคราวที่พระองค์ท่านเสด็จแปรพระราชฐานมาประทับท่ีพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ได้เข้าเฝ้า และขับร้องถวายสมเด็จพระพี่นางฯ และสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ จนได้รับประทานเข็มพระนามซึ่ง เป็นทองแท้ รางวัลที่ได้รับและทำความภาคภูมิใจต่อตนเองและครอบครัวคือรางวัลแม่ดีเด่น สาขาผู้ บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา วัดยานนาวา เมื่อปี พ.ศ.2558 รางวัลครูผู้สอนวิชาคตี ศิลป์ไทย ดีเด่น ปี พ.ศ.2558 รางวัลหนึ่งแสนครูดี และรางวัลครูดีในดวงใจ เป็นต้น เกษียณอายุราชการ เมื่อ วนั ที่ 30 กนั ยายน 2562 (รวมอายุราชการ 37 ป)ี ปัจจบุ ันเปน็ ข้าราชการบำนาญ

33 1. การถา่ ยทอดองคค์ วามรู้เพลงกล่อมเดก็ ภาคเหนอื ฉบับคมุ้ หลวงพระราชชายา เจา้ ดารารศั มี ของครูนันทิตา คมุ้ มา 1.1 เพลงซอสิกจ้งุ จา เวลาแดดฮอ้ น จะว่งิ ลมเจย สิกจุ้งจาโหน สองคนปี้น้อง ล่องกองใต้ แผว๋ กาดต้าแป หันหมูแ่ ม่ก้า ขายเหมี้ยงขายปู แม่เลีย้ งเหย นายไคร่แอ่วใบ้ จาวบ้านโตง้ ออ้ ขายป๋าสวาย หนั เป้นิ ขายแห ขายแพรผนื ผ้า ข้าวหนมขา้ วต้ม อันใดก่อมี ขายจิน้ หมู อนั นั้นหมู่ฮ้อ ซัมพ่องขายแปง้ จ๋ันกูจ่ นั๋ มนั ลำจะต๋าย มาแกง๋ ใสส่ ้ม ถ่วั ลาดปนั ตี จิน้ แห้งปล๋าแหง้ ซมั พ่องขายจน๋ั คงิ ปนั ออยลอย 1.2 เพลงอื่อจาจา อื่อ อือ ออื อื้อ อื้อ อื่อ อือ อือ อือ อือ ฮ้ือ อ่ือ ต๊ะโต๋งเตง๋ ไฟไหม้เฮือนเม็ง ค้างกา้ โอ่งฮา้ ปา่ ว อ่ือ ออื ออื อื้อ อ้อื ออ่ื อือ อือ อือ อือ ฮื้อ อื่อ หลบั ฮอ้ื จนื้ จ้นื ตน่ื แลว้ กิ๋นนม กอนต๋าวนั ลง อ่ีปจี้ ะปาไปแอว่ ออื่ ออื ออื ออื้ ออ้ื ออื่ อือ อือ อือ อือ ฮื้อ อื่อ อ่อื จาจา หลบั สองต๋า กนั แมน่ ายมา อห่ี ล้าก้อยตน่ื ออื่ อือ ออื อื้อ อื้อ อื่อ อือ อือ อือ อือ ฮ้ือ อ่ือ แม่ไปกาดไปซ้ือหนังปอง ไปซ้ือปล่ี ิน้ ตอง มาปันเองพ่องแหล่ ออ่ื ออื อือ อือ้ ออ้ื อ่ือ อือ อือ อือ อือ ฮ้ือ อ่ือ

34 นางผแู้ ม่ วา่ บา่ มสี ัง ลกู บ่าถ้าหวงั ว่าจะไดล้ ิน้ ป่ี อื่อ อือ อือ อือ้ ออ้ื อื่อ อือ อือ อือ อือ ฮื้อ อื่อ ปี่ไม้เฮย้ี ะ เปิ้นจะขายสบิ สอง ปลี่ นิ้ ตอง เป้ินจะขาย สิบห้า ออ่ื อือ ออื ออ้ื อ้ือ ออ่ื อือ อือ อือ อือ ฮ้ือ อ่ือ 2. การบนั ทึกทำนองและทางรอ้ งเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มหลวงพระราชชายาเจา้ ดารา รัศมี ของครูนนั ทติ า คุ้มมา 2.1 เพลงซอสกิ จุง้ จา รอ้ ง - สิก-จุ้ง -จา-โหน - - - - - - - - -สอง-คน -ปี-้ นอ้ ง - - - - - - - - ดนตรี - ซ - ดํ - ร - ม - - - - - - - - - ม - ร ด ล - ดํ - - - - - - - - รอ้ ง -เว- ลา -แดด-ฮอ้ น - - - - - - - - - จะ-ว่งิ -ลม-เจย - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ด - - - - - - - - - ล - ด - ด - ด - - - - - - - - รอ้ ง - - -แม่ -เลี้ยง-เหย - - - - - - - - -นาย-ใคร่ -แอว่ -ใบ้ - - - - - - - - ดนตรี - - - ดํ - ร - ม - - - - - - - - - ม - ร ด ล - ดํ - - - - - - - - ร้อง --- ลอง -กอง-ใต้ - - - - - - - - -แผว-กาด -ตา้ -แป - - - - - - - - ดนตรี - - - ล - ด - ด - - - - - - - - - ล - ด - ล - ม - - - - - - - - ร้อง -อนั -หมู่ -แม่-ก้า - - - - - - - - -ขาย-เหมยี้ ง -ขาย-ปู - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ด - - - - - - - - - ด - ร - ด - ม - - - - - - - - ร้อง - - - ขาย -จิ้น-หมู - - - - - - - - -อนั -น้นั -หมู่-ออ้ - - - - - - - - ดนตรี - - - ร - ด - ม - - - - - - - - - ม - ร ด ล - ด - - - - - - - - รอ้ ง -จาว-บา้ น -โต้ง-อ้อ - - - - - - - - -ขาย-ป๋า --สวาย - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ด - - - - - - - - - ด - ร - ด - ม - - - - - - - - ร้อง - - - ลำ - -จะต๋าย - - - - - - - - -มา-แก๋ง -ใส่-สม้ - - - - - - - - ดนตรี - - - ร - - ด ม - - - - - - - - - ด - ร - ด - ด - - - - - - - -

35 ร้อง - ขา้ ว-หนม -ขา้ ว-ตม้ - - - - - - - - -อัน-ใด -กอ่ -มี - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ด - - - - - - - - - ด - ร - ด - ม - - - - - - - - รอ้ ง - ถ่วั -ลาด -ปนั -ต๋ี - - - - - - - - -จิ้น-แหง้ -ปา๋ -แหง้ - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ม - - - - - - - - - ด - ร - ด - ด - - - - - - - - รอ้ ง - ซมั -พ่อง -ขาย-แป้ง - - - - - - - - -จัน๋ -กู่ -จั๋น-มนั - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ด - - - - - - - - - ด - ร - ด - ม - - - - - - - - รอ้ ง - ซัม-พ่อง -ขาย-จ๋ัน - - - - - - - - -คิง-ปนั -ออย-ลอย - - - - - - - - ดนตรี - ด - ล - ด - ม - - - - - - - - - ด - ร - ด - ด - - - - - - - - 2.2 เพลงอ่ือจาจา รอ้ ง - - - - - - - อือ่ - - - ออื - อือ - ออ้ื - - - ออื้ -ออ่ื - อื้อ - - อือออื่ -ออื ฮอื้ ออ่ื ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ รอ้ ง - - - - - - - ตะ๊ - - - - โต๋ง-เต๋ง -ไฟไหม้ -เฮือน-เม็ง ค้างก้า-โอ่ง -ฮา้ -ปา่ ว ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ ร้อง - - - - - - - อือ่ - - - ออื - ออื - อื้อ - - - ออ้ื -อื่อ- อ้ือ - - อือออ่ื -ออื ฮื้อออ่ื ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ ร้อง --หลบั ฮ้ือ -จ้นื -จ้นื --ต่ืนแลว้ กิน๋ -นม -กอนตา๋ --- วนั ลง อีป่ ้ีจะปา -ไป-แอว่ ดนตรี - - ม ม - ซ - ล - - ซ ล - ด - ม - - ซ ล - ด - ร ดํ ดํ ล ดํ - ดํ - ซ รอ้ ง - - - - - - - อ่ือ - - - อือ - อือ - อื้อ - - - อือ้ -อ่อื - อ้ือ - - อือออ่ื -อือฮือ้ ออื่ ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ

36 รอ้ ง - - -อือ่ -จา-จา ---หลบั สอง-ตา๋ -กอนแม่ ---นายมา - - อห่ี ล้า -กอ้ ย-ตน่ื ดนตรี - - ม ม - ซ - ล - - ซ ล - ด - ม - - ซ ล - ด - ร ดํ ดํ ล ดํ - ดํ - ซ ร้อง - - - - - - - อ่ือ - - - ออื - ออื - อือ้ - - - อื้อ -ออ่ื - อื้อ - - อือออื่ -ออื ฮื้อออ่ื ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ รอ้ ง - - -แม่ -ไป-กาด --ไปซอื้ หนงั -ปอง ไปซื้อ-ปี่ --ลนิ้ ตอง มาป๋นั -เอง -พ่อง-ก่า ดนตรี - - ม ม - ซ - ล - - ซ ล - ด - ม - - ซ ล - ด - ร ดํ ดํ ล ดํ - ดํ - ซ รอ้ ง - - - - - - - ออื่ - - - ออื - ออื - อ้ือ - - - อือ้ -อ่ือ- อื้อ - - ออื ออ่ื -ออื ฮอื้ ออื่ ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ รอ้ ง - - -นาง -ผู้-แม่ - - ว่าบา่ -ม-ี สงั --ลูกบา่ -ถา้ -หวัง -วา่ จะได้ -ลิน้ -ปี่ ดนตรี - - - ร - ดํ - ล - - ซ ล - ร - ด - - ซ ล - ด - ร ดํ ดํ ล ดํ - ดํ - ซ รอ้ ง - - - - - - - อื่อ - - - ออื - ออื - ออื้ - - - อื้อ -อื่อ- อ้ือ - - อือออื่ -อือฮื้อออ่ื ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ ร้อง - - -ปี่ -ไม้-เฮย๊ี ะ -เป้ินจะขาย -สิบ-สอง - - -ปี่ - - ลิ้นตอง -เปิ้นจะขาย -สบิ -ห้า ดนตรี - - ม ม - ซ - ล - - ซ ล - ด - ม - - ซ ล - ด - ร ดํ ดํ ล ดํ - ดํ - ซ ร้อง - - - - - - - อ่ือ - - - อือ - ออื - อ้อื - - - อ้อื -อ่อื - อ้ือ - - ออื ออื่ -อือฮื้อออื่ ดนตรี - - - - - - - ม - - - - - ซ - ล - ด - ม - ร - ด - - - ล - ดํ - ซ

37 3. สรุปองค์ความรู้ เพลงกลอ่ มเด็กภาคเหนอื ฉบับคมุ้ หลวงพระราชชายาเจ้าดารารศั มี ของครนู นั ทติ า คมุ้ มา ในบทร้องเพลงกล่อมเด็กภาคเหนือฉบับคุ้มหลวงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี โดยครู นันทิตา คุ้มมา ที่ได้รับการถ่ายทอดองค์รู้มาจากเจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ มีจำนวน 2 เพลง ได้แก่ เพลงซอสิกจุ้งจา และ เพลงอื่อจาจา ซึ่งเพลงดังกลา่ วมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบริบททางสังคมในยุคสมัย นั้น บทร้องเป็นแบบฉันทลักษณ์ “ร่าย” เพลงแรก เพลงซอสิกจุ้งจา มีการพรรณถึงวิถีชีวิตความ เป็นอยู่ บรรยากาศบริเวณลานบ้าน กิจกรรมการซอสิกจุ้งจา (เล่นชิงช้า) การยกตัวอย่างการค้าขาย เช่น ขายแห ขายผ้า ขายเหมี้ยง ขายปู (หมากพลู) ขายจิ้นหมู (เนื้อหมู) ขายปลาสวาย ขายถั่ว ขาย ปลาแหง้ ขายแปง้ ของชาตพิ นั ธกุ ลมุ่ ตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยา่ งหลากหลายและใหเ้ กดิ ความเพลิดเพลินสำหรับใช้ กลอ่ มเดก็ (ละออ่ น) ในการรอ้ งเพลงกล่อมเดก็ จะเป็นการรอ้ งโดยปากเปล่า ไมม่ เี ครื่องดนตรปี ระกอบ เพลงที่สอง เพลงอื่อจาจา ซอที่ไม่มีสลักสำคัญอันใดมากนัก เป็นการร้องที่บรรยายไปเรื่อย ๆ รวมถึง บรรยายถึงลักษณะการลอกล่อให้เด็กเงียบฟังเสียงผู้ขับร้อง เช่น ต๊ะโต๋งเต๋ง ไฟไหม้เฮือนเม็ง ค้างก้า โอ่งฮ้าป่าว (เหลือแค่โอ่งปลาร้าว่างเปล่า) ซึ่งในเพลงนี้ ช่วงท้ายเพลง จะร้องเสียง “อือ” เป็นเสียง กล่อมทุก ๆ ท่อน ของแต่ละบทเรื่อยไป สำหรับกลอ่ มใหเ้ ด็กเคลิบเคล้ิมหลบั ไปในทีส่ ดุ ร้องปากเปลา่ ไม่มีดนตรปี ระกอบ

38 ครูพงั งา ถาวร 2. ครพู งั งา ถาวร ประวัติ ครูพงั งา ถาวร (สภุ าษติ ) เกดิ วันท่ี 8 สงิ หาคม 2500 อายุ 64 ปี (2564) บ้านใหมล่ ังกา ตำบลรอ้ งวัวแดง อำเภอสันกำแพง จงั หวัดเชยี งใหม่ บิดาชอื่ นายนวน สภุ าษติ มารดาชอ่ื นางเอ้ย มะโนคำ ทีอ่ ยู่ บา้ นเลขท่ี 204/28 หมู่ 9 สันกําแพงปารค์ วิว ตำบลสนั กำแพง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชยี งใหม่ 50130 โทรศัพท์ 098-6625226 ประวตั กิ ารศึกษา ระดบั ประถมปีที่ 4 โรงเรียนวัดบา้ นใหม่ อำเภอสันกำแพง จงั หวัดเชียงใหม่ ระดบั ประถมปีที่ 7 โรงเรียนวดั ร้องววั แดง อำเภอเมือง จังหวดั พจิ ิตร ระดบั ชนั้ ต้น 3 โรงเรยี นนาฏศลิ ปเชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ระดับช้ันกลาง 3 วิทยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ กรมศลิ ปากร กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประวตั กิ ารทำงาน ครูพังงา ถาวร (สุภาษิต) อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ จบการศึกษาจาก วทิ ยาลัยนาฏศลิ ปเชียงใหม่ระดบั ชน้ั กลาง 3 และสอบเทียบเท่าระดับอนุปริญญา เรียนตอ่ เพลงขบั ร้อง กับครูหลายท่าน เชน่ ครูประคอง ชลานุภาพ เป็นครวู างพ้นื ฐาน ครอู จั ฉรา งามระเบยี บ ครูอาภาภรณ์ ทองไกลแสน ครูบรรหยัด โสวัตร ครูนิตยา แก้วบูชา ครูประเวท กุมุท ครูวัฒนา โกศินานนท์ และ