6. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายอนุกรมการสลายของธาตกุ ัมมันตรังสใี นธรรมชาตไิ ด้ 2. บอกสมมติฐานเพอ่ื ใชอ้ ธิบายการสลายของธาตกุ ัมมนั ตรังสไี ด้ 3. บอกความหมายของค่าคงตวั การสลาย กมั มนั ตภาพ ครงึ่ ชีวติ ได้ 4. บอกความสัมพันธ์ระหว่างจานวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีเริ่มต้นที่เวลา t=0,จานวน นิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีที่เหลือ ค่าคงตัวการสลาย และค่ากัมมันตภาพ A ได้และใช้ความสัมพันธ์ดัง กล่าวหาปรมิ าณทเี่ ก่ยี วข้องได้ 5. บอกความสมั พนั ธ์ระหว่างคร่งึ ชวี ิตกบั ค่าคงตวั การสลายและหาปริมาณดังกลา่ วได้ 7. จดุ เน้นการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี น 7.1 ดา้ นความสามารถและทกั ษะ 1) ทักษะกระบวนการสบื เสาะหาความรดู้ ้วยวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะกระบวนการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน 3) ทกั ษะกระบวนการกลุม่ 4) ทักษะกระบวนการทางาน 5) ทกั ษะกระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด 6) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 7) ทกั ษะการวเิ คราะห์เชอื่ มโยง 7.2 ดา้ นคณุ ลกั ษณะเฉพาะชว่ งวยั มุ่งมัน่ ในการศึกษาและการทางาน 8. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 8.1 ความสามารถในการสอื่ สาร 8.2 ความสามารถในการคดิ 8.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา 8.4 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต 8.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 9. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 9.1 อยู่อย่างพอเพียง 9.2 มงุ่ มั่นในการทางาน อดทน รอบคอบ 9.3 ใฝเ่ รียนรู้ 9.4 มจี ติ สาธารณะ
10. หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1. ความพอประมาณ - นักเรียนออกแบบการทดลองการสลายตัวของกัมมันตภาพรังสีและไอโซโทปด้วยความ ประหยดั 2. ความมีเหตุผล - นักเรียนอธิบายการสลายตัวของกัมมันตภาพรังสแี ละไอโซโทป 3. การมีภมู คิ ุ้มกันในตวั ท่ดี ี - นักเรยี นปฏบิ ัตงิ านดว้ ยความซื่อสัตย์ในการทางาน 4. เงือ่ นไขความรู้ - นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจท่ถี กู ต้องในเรื่องการสลายตัวของกัมมนั ตภาพรงั สีและ ไอโซโทป 5. เงอ่ื นไขคุณธรรม - นักเรียนมคี วามซื่อสตั ยแ์ ละความรบั ผดิ ชอบ 11. การบรู ณาการ 11.1 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ 11.2 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย 11.3 กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ 12. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ขนั้ สรา้ งความสนใจ 1. ครทู บทวนเก่ยี วกับการสลายตัวของนวิ เคลียสให้ รังสแี อลฟา บตี าและแกมมา 2. ครอู ธิบายเกย่ี วกับการสลายของยูเรเนยี ม-238 โดยเน้นใหน้ ักเรียนทราบว่า การสลายของธาตุ กัมมนั ตรังสีในธรรมชาตินัน้ จะเปน็ การเปล่ยี นจากธาตหุ น่งึ ไปเปน็ อีกธาตุหน่งึ เป็นลาดับ ซ่ึงเรยี กว่าอนุกรม เชน่ อนกุ รมของธาตุยูเรเนยี ม-238 อนุกรมของธาตุยูเรเนียม-235 และธาตุสดุ ท้ายคือ ตะกว่ั -207 เปน็ ต้น 2. ขนั้ สารวจและคน้ หา 1. ครใู หค้ วามรูเ้ กยี่ วกบั อนุกรมการสลายของธาตกุ ัมมันตรงั สี ท้งั 4 อนกุ รม ได้แก่ อนุกรมยูเรเนียม อนกุ รมแอกทิเนียม อนกุ รมทอเรยี ม และอนุกรมเนปจเู นียม ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรียน 2. ครูให้ความรูเ้ ก่ยี วกับ ความหมายของคาวา่ ครงึ่ ชวี ติ คือ ช่วงเวลาทีน่ ิวเคลยี สของธาตนุ ัน้ สลายจน จานวนลดลงเหลือครง่ึ หน่งึ ของจานวนเริม่ ตน้ จากน้นั จงึ ชใ้ี ห้นกั เรียนเหน็ วา่ การท่ธี าตุแตล่ ะชนดิ มคี ่าครึ่งชวี ิต แตกตา่ งกันนี้ แสดงวา่ อัตราการสลายของธาตุแต่ละชนดิ ย่อมแตกตา่ งกัน เพื่อนาไปสกู่ ารศกึ ษาเกย่ี วกับกฎ การสลายของธาตุกมั มันตรังสีต่อไป
3. ครูนาอภิปรายเกย่ี วกับการตงั้ สมมติฐานการสลายของธาตุกมั มันตรงั สี ความหมายของกัมมนั ตภาพ และหน่วยของกมั มนั ตภาพ ตามรายละเอยี ดในใบความรู้ เพ่อื นาไปสสู่ มการที่ (2),(3),(4) จากนั้น ครูชใี้ ห้ นักเรียนศกึ ษาหน่วยของ โดยใชส้ มการท่ี (5) ซึ่งจะไดว้ ่า มีหนว่ ย ต่อเวลา 4. ครูใหค้ วามรู้เกีย่ วกบั กราฟแสดงการลดจานวนนิวเคลยี สของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี ณ เวลาต่างๆ และ กราฟแสดงอตั ราการสลายของธาตุ A จะเท่ากับอัตราการเกดิ ของธาตุ B ตามรายละเอียดในใบความรู้ 5. เพ่ือเสริมความเข้าในการใช้สมการคานวณทเ่ี รียนมา ครูยกตวั อย่าง ดงั นี้ ตวั อยา่ งที่ 1 กาหนด Half life ของธอเรยี ม เปน็ 20 วนั , โปรแตกติเนยี ม เป็น 2 นาที , ยูเรเนียม เปน็ 25,000 ปี เดมิ ธอเรียมมีจานวน 2.4 x 1012 อะตอม ก. คา่ สลายคงที่ ขอธอเรยี มเป็นเท่าใด = 0.693/ T½ = 0.693/20 = 0.03465 /วัน 9.625x10-6 /วินาที ตอบ ข. กมั มันตภาพของธอเรียมเป็นเทา่ ใด dN/dt = N = 9.625x10-6 (2.4x1012 ) = 2.31 x 107 นิวเคลยี ส/วินาที ตอบ ตวั อยา่ งที่ 2 จงหาค่าคงตวั ของการสลายของพอโลเนียม-218 ซ่งึ มีค่าครง่ึ ชีวติ 3.05 นาที วธิ ที า = 0.693/ T½ แทนค่า T½ ในสมการจะได้ 0.693 = 3.78 x 10-3 ต่อนาที 3.05x60 ดงั น้ัน คา่ คงตวั ของการสลายของพอโลเนยี ม-218 เท่ากับ 3.78 x 10-3 ตอ่ นาที ตอบ ตวั อยา่ งท่ี 3 ถ้ามเี รเดียม-226 ซึ่งมคี า่ คร่ึงชีวติ 1,600 ปีอยู่ 2.66 x 1021 อะตอม จงคานวณหา จานวนอะตอมของเรเดียมท่ีเหลืออยู่เมื่อเวลาผา่ นไป 8,000 ปี วธิ ที า เรเดียม-226 มีคร่งึ ชวี ิต 1,600 ปี เวลาที่ผา่ นไป 8,000 ปี ดงั นัน้ เวลาทผ่ี ่านไป = 8,000/1,600 = 5 เท่าของค่าครึง่ ชีวิต เน่ืองจากจานวนอะตอมของเรเดยี ม-226 ท่ีมอี ยู่เดิม = N0 = 2.66 x 1021 อะตอม จากสมการ N0 2n ดงั น้นั 2.66x1021 25 = 32 NN N 2.66x1021 = 8.3 x 1019 อะตอม 32 คาตอบ จานวนอะตอมที่เหลือเท่ากับ 8.3 x 1019 อะตอม 8. ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนสอบถามเน้อื หาเร่ือง การสลายของนิวเคลียสกัมมนั ตรงั สี วา่ มสี ว่ นไหนท่ี ยังไมเ่ ขา้ ใจและใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมในสว่ นน้ัน 3. ขน้ั ลงขอ้ สรปุ ครูสอบถามนกั เรยี นดว้ ยประเดน็ ต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. กมั มันตภาพของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี หมายถงึ อะไร (ความสามารถของธาตุกัมมันตรงั สใี นการแผร่ ังสี ออกมาได้มากนอ้ ยเพยี งใด ณ เวลาขณะหน่งึ ขณะใด)
2. สมมติฐานเพื่อใชอ้ ธิบายการสลายของธาตกุ มั มนั ตรังสี กล่าวว่าอยา่ งไร 1. การสลายตวั ของธาตุกัมมนั ตรังสเี ป็นการสลายตัวทเี่ กดิ ขึน้ เอง ไม่ขน้ึ กับสภาวะแวดล้อมของ นิวเคลียส (เช่น การจัดตัวของอิเล็กตรอน ความดัน อุณหภูมิ) 2. การสลายตวั เป็นกระบวนการส่มุ ในช่วงเวลาใดๆ ทุกๆ นิวเคลียสมโี อกาสทจ่ี ะสลายตวั เทา่ กัน) 3. ช่วงเวลาครึง่ ชวี ิต (Half life) ของธาตุกมั มันตภาพรังสี หมายถึงอะไร (ชว่ งเวลาท่ธี าตนุ ัน้ ๆ สลายตวั เหลือนวิ เคลียสเป็นคร่งึ หน่ึงของจานวนทม่ี ีอยกู่ ่อนสลายตัว) 4. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งจานวนนิวเคลียสของธาตกุ ัมมนั ตรังสเี รมิ่ ตน้ ทเี่ วลา t=0,จานวนนวิ เคลยี สของ ธาตุกัมมนั ตรงั สีท่ีเหลอื คา่ คงตวั การสลาย และคา่ กมั มันตภาพ A เขียนเป็นสมการได้ว่าอยา่ งไร (ปรมิ าณ – dN/dt = A = N ) 5. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคร่งึ ชวี ติ กบั ค่าคงตวั การสลาย เปน็ อย่างไร ( = 0.693/ T½ ) ครูมอบหมายให้นกั เรยี นไปทาแบบฝึกเสริมประสบการณ์ในใบงานใหเ้ รยี บรอ้ ยและศึกษาเนอ้ื หา เรือ่ ง ไอโซโทป ซึง่ จะเรียนในคาบต่อไปมาลว่ งหน้า 13. ส่อื /แหล่งการเรียนรู้ 1. คอมพวิ เตอรท์ ่เี ช่อื มต่อกบั อินเทอร์เน็ต 2.เพาเวอร์พอ้ ยนเ์ รือ่ งการสลายตวั ของกัมมันตรังสี 3. เอกสารประกอบการสอน เรอื่ ง ฟิสกิ ส์นวิ เคลียร์ 4. หนังสอื เรียนวิชาฟสิ ิกส์ เลม่ 3 14. การวัดและประเมนิ ผล 14.1 วิธกี ารวัดผล 1. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบอตั นัย 1 ขอ้ 2. ครูใหค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การให้คะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมูลไมเ่ พียงพอใช้วธิ สี ัมภาษณเ์ พม่ิ เติม 14.2 เครอ่ื งมือการวัดผล 1. ขอ้ สอบอตั นัย 1 ขอ้ 2. แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. แบบประเมินจติ วทิ ยาศาสตร์ 14.3 เกณฑ์การวดั ผลและประเมินผล 1. ขอ้ สอบอตั นัย ได้คะแนนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 75 2. แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 75 3. แบบประเมินจิตวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 75
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 16 ชอื่ เร่อื ง ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ หนว่ ยที่ 3 เรอื่ ง ฟสิ ิกสน์ วิ เคลยี ร์ รหสั วชิ า ว 30206 ภาคเรยี นท่ี 2 รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 6 เวลา 4 ชวั่ โมง ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ปกี ารศกึ ษา 2563 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. สาระท่ี ๕ พลงั งาน 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว ๕. ๑ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลงั งานต่อชีวิตและส่ิงแวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะ หาความรู้ สื่อสารส่งิ ทเ่ี รียนรแู้ ละ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานการเรยี นร้ชู ว่ งช้นั ม.4-6 สารวจตรวจสอบ สบื คน้ ข้อมลู และอธิบายการเกิดกัมมนั ตภาพรงั สี การนาไปใชป้ ระโยชน์ ผลกระทบต่อสิง่ มีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ ม 3. ผลการเรยี นรู้ สบื ค้นและอธบิ ายปฏกิ ริ ยิ านิวเคลียร์ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง พลงั งานนวิ เคลยี ร์ - ปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี ร์ (ฟิวชัน, ฟชิ ชัน) - คานวณหาพลังงานนวิ เคลียรจ์ ากปฏกิ ิริยานิวเคลียรไ์ ด้ - การใช้พลงั งานนวิ เคลียรใ์ นทางสันติ - แหลง่ พลังงานนิวเคลียร์ในอาเซียน - ประโยชน์ของพลังงานนวิ เคลยี ร์ - ผลกระทบจากการใชพ้ ลังงานนิวเคลยี ร์ 4.2 สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถนิ่ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ท่ีมีอยู่อย่างจากัดจาเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่ให้ เกิดผลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม
5. สาระสาคัญ การแตกตวั ของนิวเคลียสใหม่แต่ละครัง้ จะมีพลงั งานถูกปล่อยออกมาด้วย เรยี กว่า พลงั งานนิวเคลียร์ มนุษย์นาพลังงานนิวเคลยี ร์ไปใชป้ ระโยชนห์ ลายด้าน ท่ีสาคญั ทส่ี ุด คอื การนาไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ใช้ ขบั เคลื่อนเรือเดนิ สมุทร เป็นตน้ ปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี ร์ คือ กระบวนการทีน่ ิวเคลยี รเ์ กดิ การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ หรือระดับพลังงาน จากการชนระหวา่ งนิวเคลยี สกับนิวเคลยี ส หรือนวิ เคลียสกับอนุภาค แบง่ ออกเป็นปฏกิ ริ ิยานิวเคลียร์ฟิวชัน และปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร์ฟชิ ชัน 6. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. สบื ค้น อภิปราย สารวจตรวจสอบเกี่ยวกบั ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ 2. คานวณหาพลงั งานนิวเคลียร์จากปฏกิ ริ ิยานิวเคลียร์ได้ 3. นาความรคู้ วามเข้าใจเก่ยี วกบั พลงั งานนิวเคลยี ร์ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวนั 4. ประเมินความสาคัญของพลงั งานนวิ เคลยี ร์ ซง่ึ เป็นแหล่งพลงั งานทดแทน พร้อมท้งั บอกข้อดี / ข้อเสยี รวมถงึ การใชพ้ ลังงานตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง 5. สืบค้นแหล่งพลังงานนิวเคลียรใ์ นอาเซยี นทีส่ าคญั 6. มจี ิตวิทยาศาสตร์ 7. จดุ เน้นการพฒั นาคณุ ภาพผ้เู รยี น 7.1 ดา้ นความสามารถและทกั ษะ 1) ทักษะกระบวนการสืบเสาะหาความรดู้ ว้ ยวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะกระบวนการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 3) ทักษะกระบวนการกลมุ่ 4) ทกั ษะกระบวนการทางาน 5) ทกั ษะกระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด 6) ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 7) ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชื่อมโยง 7.2 ดา้ นคุณลกั ษณะเฉพาะช่วงวยั มุง่ มั่นในการศึกษาและการทางาน 8. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน 8.1 ความสามารถในการส่อื สาร 8.2 ความสามารถในการคิด 8.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหา
8.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 8.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 9. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 9.1 อยอู่ ย่างพอเพยี ง 9.2 มุ่งมน่ั ในการทางาน อดทน รอบคอบ 9.3 ใฝเ่ รยี นรู้ 9.4 มจี ิตสาธารณะ 10. หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. ความพอประมาณ - นกั เรียนออกแบบการนาเสนอการกาเนิดอะตอมดว้ ยความประหยดั 2. ความมเี หตผุ ล - นักเรียนจาแนกทฤษฎีอะตอมแบบต่างๆ 3. การมีภมู คิ ุ้มกันในตวั ท่ีดี - นกั เรียนปฏบิ ัติงานด้วยความซ่อื สัตยใ์ นการทางาน 4. เงอ่ื นไขความรู้ - นักเรยี นมีความรคู้ วามเขา้ ใจที่ถกู ตอ้ งในเรอื่ งการค้นพบอิเล็กตรอน 5. เงื่อนไขคณุ ธรรม - นักเรยี นมคี วามซ่อื สัตย์และความรบั ผดิ ชอบ 11. การบรู ณาการ 11.1 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ 11.2 กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย 11.3 กลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 12. กจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมนาส่กู ารเรียน ขนั้ ที่ 1 ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น (Engagement Phase) 1. ครูนาขา่ วโรงงานไฟฟ้านิวเคลยี รท์ ่เี กิดขนึ้ ในประเทศญป่ี ุ่นนักเรียนไดช้ ม 2. นาวดี ิทศั น์เกยี่ วกับพลังงานนวิ เคลียร์ ระเบดิ ปรมาณู ฉายให้นักเรียนชม 3. นกั เรยี นอภปิ รายและบอกได้วา่ พลังงานนวิ เคลียร์มีประโยชน์และโทษอยา่ งไรใน ชีวิตประจาวัน (อาจแบ่งนกั เรียนออกเป็นสองกลุ่ม และนาอภิปรายเป็นกลุ่มประโยชน์ /และกลมุ่ โทษของ พลังงานนิวเคลยี ร์ โดยใหเ้ หตุผลประกอบแข่งขันกัน)
4. ครถู ามกระตนุ้ วา่ พลงั งานนวิ เคลียรเ์ กดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร สามารถนามาใช้ประโยชนไ์ ด้ อยา่ งไรในชวี ิตประจาวัน ขั้นท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นพบ (Exploration Phase) 1. ครูใหน้ ักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มูลเกย่ี วกบั พลังงานนวิ เคลียร์ จากเอกสารต่างๆ เช่น วารสาร, หนงั สอื เรียน, อนิ เตอร์เนต็ , หนังสอื ประกอบ เปน็ ต้น 2. ให้นกั เรยี นเข้ากลุ่มเพอ่ื ทากิจกรรม การสบื คน้ ขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ ทส่ี นใจเก่ียวกับพลงั งาน นิวเคลียร์ แหล่งพลังงานนิวเคลียรใ์ นอาเซียน และการใชพ้ ลงั งานตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษาคน้ คว้าในหอ้ งสมดุ แหล่งเรียนรู้อน่ื ๆ นกั เรียนแต่ละกลมุ่ น าเสนอ ผลการสบื ค้น และการท ากจิ กรรมท ากจิ กรรมหนา้ ช้ันเรยี น ขน้ั ที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation Phase) 1. ผูส้ อนอธบิ ายเพ่ิมเติมเกยี่ วกับพลังงานนวิ เคลียร์ ความหมายของปฏิกริ ิยาฟิวชัน ฟิชชนั คานวณหาพลงั งานนิวเคลยี รจ์ ากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียร์ การเขียนสมการของการเกดิ ปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ 2. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรุปความสาคญั ของพลงั งานนวิ เคลียร์ในชวี ติ ประจาวัน แหลง่ พลังงานนวิ เคลยี ร์ในอาเซียน การใชป้ ระโยชนแ์ ละการใช้พลังงานตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ขัน้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Expansion Phase) 1. ให้ผ้เู รียนแบ่งกลุ่มทาใบงานการใช้พลังงานนวิ เคลียรใ์ นทางสันติ 2. ผ้เู รยี นสง่ ตวั แทนนาเสนอผลงานหน้าชน้ั เรยี น 3. ให้นักเรยี นทาแบบฝึกหดั เก่ียวกบั พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ขั้นที่ 5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) 1. เฉลยแบบฝกึ หดั พรอ้ มทงั้ ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความเข้าใจของการทาแบบฝึกหดั 2. ตรวจสอบจากการตอบคาถาม การอภปิ ราย หนา้ ชั้นเรียน 3. สังเกตความสนใจ ความกระตอื รือร้นในการเรียนรู้ 13. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 1. คอมพวิ เตอรท์ เี่ ชอื่ มต่อกับอนิ เทอร์เน็ต 2.เพาเวอร์พอ้ ยน์เรือ่ งโครงสร้างอะตอม 3. เอกสารประกอบการสอน เร่ือง ฟิสกิ สอ์ ะตอม 4. หนงั สือเรียนวชิ าฟิสกิ ส์ เลม่ 3 5. ขา่ วโรงงานไฟฟ้านิวเคลียรท์ ี่เกดิ ขน้ึ ในประเทศญีป่ ่นุ 6. วีดิทัศนเ์ กย่ี วกบั พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ระเบดิ ปรมณู 14. การวดั และประเมินผล 14.1 วิธีการวัดผล
1. ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบอตั นัย 1 ข้อ 2. ครใู หค้ ะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมลู ไม่เพียงพอใช้วธิ สี ัมภาษณ์เพิ่มเติม 14.2 เครอื่ งมือการวัดผล 1. ขอ้ สอบอตั นยั 1 ข้อ 2. แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ 14.3 เกณฑ์การวัดผลและประเมินผล 1. ข้อสอบอตั นัย ได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 75 2. แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 75 3. แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 75
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 17 ชอ่ื เร่ือง ประโยชนข์ องกมั มนั ตภาพรงั สแี ละพลังงานนวิ เคลยี ร์ หนว่ ยที่ 3 เรอื่ ง ฟสิ ิกสน์ วิ เคลยี ร์ รหสั วชิ า ว 30206 รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 6 เวลา 4 ชว่ั โมง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. สาระท่ี ๕ พลงั งาน 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว ๕. ๑ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใชพ้ ลังงานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะ หาความรู้ ส่ือสารส่งิ ท่เี รียนรู้และ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานการเรียนรชู้ ว่ งชน้ั ม.4-6 สารวจตรวจสอบ สบื ค้นข้อมูลและอธิบายการเกิดกมั มนั ตภาพรงั สี การนาไปใช้ประโยชน์ ผลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม 3. ผลการเรยี นรู้ สืบค้นขอ้ มูลและอธิบายประโยชนข์ องกัมมันตภาพรงั สีและพลังงานนิวเคลยี ร์ 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 1. การคนพบกมั มันตภาพรังสขี องเบค็ เคอเรล ชนดิ และสมบตั ขิ องกมั มนั ตภาพรงั สี 2. โครงสรางของนิวเคลียส และความหมายของไอโซโทป 3. เวลาคร่ึงชีวิตของกัมมันตภาพรังสี และกิจกรรมสถานการณจาลองของการสลายตัวของ กัมมันตภาพรังสี 4. ประโยชนและโทษของกมั มนั ตภาพรังสี 5. แรงนิวเคลยี ร การแตกตวั ของนวิ เคลยี ร (ฟชชัน) พลังงานนิวเคลียรจากปฏกิ ิรยิ าลูกโซ และโรงไฟฟานวิ เคลียร 6. ปฏกิ ริ ิยาฟวชัน และพลังงานท่ไี ดจากดวงอาทติ ย 4.2 สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถิ่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างจากัดจาเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่ให้ เกดิ ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดล้อม
5. สาระสาคญั พลงั งานนวิ เคลยี ร์เปน็ พลังงานซง่ึ เกิดจากการปลดปล่อยออกมาเมอ่ื มีการแยกรวมหรือแปลงนวิ เคลยี ส (หรือแกน) ของอะตอมปรมาณู ซึ่งพลังงานเหล่านั้นอาจเป็นพลังงานความร้อนและพลังงานจากการแผ่รังสี อันมีผลโดยตรงจากการที่มวลสารเปลี่ยนสภาพเป็นพลังงานตามทฤษฎีสัมพัทธภาพแห่งสสารและพลังงาน (E = mc2) ของไอน์สไตน์ นักวิทยา-ศาสตร์ชาวผร่ังเศสชื่อ อองรี แบ็กเกอแรล ได้ค้นพบโดยบังเอิญ เม่ือ พ.ศ. 2439 แต่คนทั่วไปเริ่มรู้จักพลังงานนิวเคลียร์หลังจากท่ีมีการท้ิงระเบิดปรมาณูท่ีเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ประเทศญ่ีปุ่น เมอ่ื พ.ศ. 2488 ในช่วงปลายสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ผลของระเบิดปรมาณูในคร้ังนั้นไดท้ าลายชีวิต มนุษย์ไปเป็นจานวนมาก รวมท้ังอาคารบ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างอ่ืนๆ นอกจากน้ี กัมมันตภาพรังสีท่ีเกิดข้ึน จากการระเบดิ ยังก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงของสงิ่ แวดลอ้ มและมผี ลต่อผ้รู อดชีวิตในระยะยาวอกี ด้วย หลังจาก ท่มี นุษย์ได้รู้ถงึ อานาจทาลายของระเบดิ ปรมาณูแลว้ จงึ ไดค้ ้นควา้ วิจัยเพอ่ื นาพลังงานนวิ เคลียร์ มาใชป้ ระโยชน์ ในทางสร้างสรรค์ จนในปัจจุบันมีหลายประเทศนาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ เกษตร และอุตสาหกรรม จนปัจจุบันนิวเคลียร์ได้เข้าไปมีบทบาทใน ชวี ิตประจาวันมากขึ้น ทุกที แต่ส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้สินค้าบางชนิด เช่น กระดาษ ปูนซีเมนต์ กระเบ้ือง ยา สีฟัน อาจผลิตโดยใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในการควบคุมคุณภาพ สาลี ผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ปิดแผล เข็ม หลอด ฉดี ยา เหล่านเ้ี ปน็ เวชภณั ฑท์ ่ที าใหป้ ลอดเชอ้ื โดยใช้รงั สี ซ่ึงเป็นรปู แบบหนงึ่ ของพลังงานนิวเคลยี ร์ 6. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. การใชกมั มนั ตภาพรงั สีทางการแพทย เกษตร อุตสาหกรรม และธรณีวทิ ยา 2. เคร่อื งวัดและหนวยวดั รังสี 3. อันตรายของรงั สที ่ีมีตอมนษุ ย และ background radiation (รังสีพน้ื ฐาน) 4. การกาจดั กากกัมมันตรังสี 5. เคร่อื งหมายเตอื นภัยจากรังสี 7. จุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรยี น 7.1 ด้านความสามารถและทกั ษะ 1) ทกั ษะกระบวนการสบื เสาะหาความรูด้ ว้ ยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะกระบวนการเรียนรูโ้ ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 3) ทักษะกระบวนการกลมุ่ 4) ทกั ษะกระบวนการทางาน 5) ทักษะกระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด 6) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 7) ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชือ่ มโยง 7.2 ดา้ นคุณลักษณะเฉพาะช่วงวยั
มุ่งมั่นในการศกึ ษาและการทางาน 8. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 8.1 ความสามารถในการสื่อสาร 8.2 ความสามารถในการคิด 8.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 8.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ 8.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 9. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 9.1 อยอู่ ย่างพอเพยี ง 9.2 มงุ่ มัน่ ในการทางาน อดทน รอบคอบ 9.3 ใฝ่เรียนรู้ 9.4 มีจติ สาธารณะ 10. หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 1. ความพอประมาณ - นักเรยี นออกแบบการนาเสนอด้วยความประหยัด 2. ความมเี หตผุ ล - นักเรียนอธิบายและบอกประโยชน์ของกมั มนั ตภาพรงั สีและพลังงานนิวเคลยี ร์ 3. การมภี มู คิ ุ้มกันในตวั ทดี่ ี - นกั เรียนปฏิบัติงานด้วยความซอ่ื สัตย์ในการทางาน 4. เงอ่ื นไขความรู้ - นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องในเร่ืองประโยชน์ของกัมมันตภาพรังสีและพลังงาน นวิ เคลียร์ 5. เงือ่ นไขคณุ ธรรม - นกั เรียนมีความซื่อสัตยแ์ ละความรบั ผดิ ชอบ 11. การบูรณาการ 11.1 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ 11.2 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย 11.3 กล่มุ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์
12. กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมนาสกู่ ารเรยี น 1. ข้ันสรางความสนใจ ( Engagement : E1) ผูสอนใหนักเรียนชมวิดีทัศนเก่ียวกับเรื่องการคนพบกัมมันตภาพรงั สี ปฏิกิริยานิวเคลียร โรงไฟฟานิว เคลียร การรักษาผูปวยโดยใชกัมมันตภาพรังสีแบบตาง ๆ ในโรงพยาบาล เคร่ืองจับกัมมันตภาพรังสี และวิธี ปองกันอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี และ/หรือผูสอนใหนักเรียนอภิปรายถึงขาวหรือเร่ืองราวเก่ียวกับ พลังงานนวิ เคลียรและกมั มนั ตภาพรงั สี ซ่งึ นักเรยี นทราบมากอนในอดตี 2. ข้ันสารวจและค้นหา ผูสอนจะใหผูเรียนสืบคนหาความรูเพ่ิมเติมเกี่ยวกับเรื่องกัมมันตภาพรังสี และพลังงานนิวเคลียร ประ โยชนของกัมมันตภาพในชีวติ ประจาวันและอันตรายจากเรอ่ื งเหลาน้ี เขียนรายงานยอและรวบรวมรายงาน เหลานี้ 3. ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป การสอนในคาบน้ีมีเน้ือหาโดยประมาณครอบคลุมเรอ่ื งตาง ๆ ดังน้ี 1. การคนพบกัมมนั ตภาพรงั สี 2. ชนดิ และสมบตั ิของกมั มันตภาพรงั สชี นิดตาง ๆ 3. สาเหตุการเกิดของกัมมนั ตภาพรงั สี 4. โครงสรางของนวิ เคลียส ไอโซโทป โครงสรางอะตอม นิวเคลยี สชนดิ ตาง ๆ อน่ึง ในการเรียนเนื้อหาน้ี นักเรียนควรมีความรูพ้ืนฐานเกี่ยวกับอะตอมและนิวเคลียสความรูนี้ไดมา จากบทที่ 5 (โครงสรางอะตอมและตารางธาตุ) ในหนังสือสาระการเรียนรูพื้นฐานเรื่อง“สารและสมบัติของ สาร” ซึ่งนักเรียนควรเรียนรูมากอนแลว ในกรณีที่นักเรียนไมไดเรียนเนื้อหาเหลานี้มากอน ผูสอนจะตองสอน เร่ืองเหลาน้ีกอนอยางยนยอกอนที่จะดาเนินเร่ืองในหัวขอขางบน ในตอนทายใหนักเรียนซอมเขียนสัญลักษณ
ของนิวเคลียสตาง ๆ เพื่อเสริมความเขาใจอาจใหจานวนโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียสท่ีกาหนดให เปนแบบฝกหัด กจิ กรรมรวบยอด 4. ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 ครูถามวา่ จงเสนอแนวคดิ ในการนาความเข้าใจเกยี่ วกบั ประโยชนข์ องกมั มันตภาพรังสแี ละ พลงั งานนวิ เคลียร์ 4.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปเชื่อมโยงความคิดเกี่ยวกับการนาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ใน ชวี ติ ประจาวนั 5. ขั้นประเมนิ ผล 5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งที่ต้องการรู้ และขอบเขต เป้าหมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ตั้งเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะ ทาอย่างไรต่อไป (อาจสอบถามให้ครูอธิบายเพิ่มเติม สอบถามให้เพ่ือนอธิบาย หรือวางแผนสืบค้น เพม่ิ เตมิ ) 5.2 ใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นด้านพุทธพิ ิสยั 5.3 ใหน้ กั เรียนบันทกึ หลงั เรยี น 5.4 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การให้ คะแนน สมุดบันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มูลไมเ่ พยี งพอใช้วิธีสัมภาษณเ์ พิ่มเตมิ 13. ส่ือ/แหลง่ การเรยี นรู้ 1. คอมพิวเตอร์ทเ่ี ชอ่ื มต่อกับอนิ เทอร์เน็ต 2.เพาเวอร์พอ้ ยน์เรื่องประโยชนข์ องกมั มนั ตภาพรังสแี ละพลงั งานนิวเคลยี ร์ 3. เอกสารประกอบการสอน เรื่อง ฟิสกิ สน์ วิ เคลยี ร์ 4. หนงั สอื เรียนวชิ าฟิสิกส์ เลม่ 3 14. การวัดและประเมนิ ผล 14.1 วิธีการวัดผล 1. ใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบอตั นัย 1 ขอ้ 2. ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การใหค้ ะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากขอ้ มลู ไม่เพียงพอใช้วิธีสมั ภาษณ์เพม่ิ เติม 14.2 เครือ่ งมือการวัดผล 1. ข้อสอบอัตนยั 1 ข้อ 2. แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. แบบประเมนิ จติ วิทยาศาสตร์
14.3 เกณฑก์ ารวดั ผลและประเมนิ ผล 1. ข้อสอบอัตนยั ได้คะแนนไม่น้อยกวา่ ร้อยละ 75 2. แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 75 3. แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 75
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 18 ชอ่ื เรือ่ ง กมั มนั ตภาพรงั สใี นธรรมชาติ อนั ตรายจากกมั มนั ตภาพรงั สแี ละการป้องกนั หนว่ ยท่ี 3 เรอ่ื ง ฟสิ กิ ส์นวิ เคลยี ร์ รหสั วชิ า ว 30206 รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 6 เวลา 2 ชว่ั โมง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. สาระท่ี 5 พลังงาน 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานกับการดารงชีวิต การเปล่ียนรูปพลังงาน ปฏิสมั พันธ์ระหว่างสารและพลังงาน ผลของการใช้พลงั งานต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีกระบวน การสืบเสาะ หาความรู้ ส่อื สารส่ิงทเ่ี รยี นร้แู ละ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐานการเรียนร้ชู ่วงช้นั ม.4-6 สารวจตรวจสอบ สืบคน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายการเกิดกมั มันตภาพรงั สี การนาไปใชป้ ระโยชน์ ผลกระทบต่อสงิ่ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อม 3. ผลการเรยี นรู้ สืบค้นข้อมลู และอธิบายประโยชนข์ องกัมมนั ตภาพรงั สแี ละพลงั งานนิวเคลยี ร์ กัมมันตภาพรงั สใี น ธรรมชาติ อนั ตรายจากกัมมันตภาพรงั สีและการปอ้ งกนั ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ประโยชน์และโทษของกมั มนั ตรงั สี 4.2 สาระการเรียนรทู้ ้องถนิ่ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างจากัดจาเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่ให้ เกดิ ผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดลอ้ ม 5. สาระสาคัญ ความสามารถในการปลดปล่อยพลงั งาน และรังสีท่ีมีพลงั งานและมีอานาจทะลทุ ะลวงของธาตุ กมั มนั ตรังสีได้ถูกนาไปประยุกต์ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ มากมายท้ังในด้านการแพทย์ การเกษตร อตุ สาหกรรม รวมจนถงึ ด้านธรณีวทิ ยาการหาอายุของวตั ถุตา่ ง ๆ โดยธาตกุ มั มันตรังสีที่มีการใช้ประโยชนก์ ัน อยา่ งกวา้ งขวาง ได้แก่
1 ยเู รเนียม-235 (U-235) ใช้สาหรับเป็นเช้ือเพลิงในโรงไฟฟ้าพลังนวิ เคลียร์ ใชใ้ นอุตสาหกรรมการผลติ เคร่ืองบนิ และยานอวกาศ และใชใ้ นการผลิตรงั สเี อก็ ซ์ (X-ray) ซึ่งมีพลงั งานสูง 2 โคบอลต์-60 (Co-60) เป็นธาตกุ มั มันตรงั สีทสี่ ามารถแผก่ มั มันตรงั สชี นิดแกมมาซง่ึ มีผลในการยบั ยงั้ การ เจริญเตบิ โตของเซลลไ์ ด้ จงึ มีการนามาใชใ้ นการยับยง้ั การเจรญิ เตบิ โตเชอื้ จุลินทรีย์ในอาหาร ผักและผลไม้ และนามาใชใ้ นการรกั ษาโรคมะเรง็ 3 คารบ์ อน-14 (C-14) เป็นธาตกุ ัมมนั ตรังสีที่สามารถพบไดใ้ นวัตถตุ า่ ง ๆ เกือบทุกชนดิ บนโลก จึงสามารถ นาระยะเวลาครึ่งชวี ิตของธาตุนีม้ าใช้ในการคานวณหาอายขุ องวัตถุโบราณ อายขุ องหนิ และเปลอื กโลกและ อายุของซากฟอสซิลตา่ ง ๆ ได้ (C-14 มีครึ่งชีวติ ประมาณ 5,730 ปี 4 ฟอสฟอรสั -32 (P-32) เป็นสารประกอบกมั มันตรงั สที ี่สามารถละลายน้าได้ มีระยะเวลาครึ่งชวี ิตประมาณ 14.3 วนั ทางการแพทยน์ ามาใช้ในการรักษาโรคมะเรง็ ของเมด็ โลหิตขาว (ลิวคเี มยี ) โดยให้รบั ประทานหรือ ฉีดเขา้ ในกระแสโลหิต นอกจากนย้ี ังสามารถใชใ้ นการตรวจหาเซลล์มะเร็ง และตรวจหาปรมิ าณโลหติ ของผทู้ ่ี จะเขา้ รับการผา่ ตดั อนั ตรายจากธาตุกมั มนั ตรงั สี อันตรายจากธาตุกัมมันตรังสเี กิดขึ้นได้ เนื่องจากหากรา่ งกายของส่งิ มีชวี ิตได้รับกัมมนั ตรังสใี น ปรมิ าณท่ีมากเกินไปจะทาใหโ้ มเลกลุ ของนา้ สารอนิ ทรยี ์และสารอนนิ ทรียต์ า่ ง ๆ ในร่างกายเสียสมดลุ ทาให้ เกดิ ความเสยี หายต่อเซลล์ในร่างกาย ซง่ึ จะทาให้สงิ่ มชี วี ิตเกดิ ความเจบ็ ปว่ ย หรอื หากไดร้ บั ในปรมิ าณมากก็ อาจทาให้เสยี ชีวิตได้ ดงั นัน้ ผู้ปฏบิ ตั ิงานที่เกีย่ วข้องกับรังสจี ึงจะตอ้ งมีอุปกรณ์ทช่ี ว่ ยป้องกันอันตรายจากรังสี และมกี ารกาหนดระยะเวลาในการทางานเพ่ือไม่ให้สมั ผัสกับรังสีเปน็ เวลานานเกนิ ไป 6. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบกัมมนั ตรงั สีชนิดต่างๆ ได้ 2) บอกสมบัติสาคญั ของธาตทุ ีเ่ ปน็ สารกมั มนั ตภาพรงั สีได้ 3) อธิบายเกย่ี วกบั ชนดิ ของกมั มันตภาพรังสีได้ 4) อธิบายเกย่ี วกบั สมบัตทิ ส่ี าคัญของกมั มันตภาพรังสแี ตล่ ะชนดิ ได้ 5) บอกประโยชนแ์ ละอนั ตรายของกัมมนั ตภาพรงั สีได้ 6) ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาต่างได้อย่างเหมาะสม และด้วยจิต วิทยาศาสตร์ 7. จุดเน้นการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียน 7.1 ดา้ นความสามารถและทักษะ 1) ทักษะกระบวนการสบื เสาะหาความรดู้ ้วยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทักษะกระบวนการเรียนร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน 3) ทกั ษะกระบวนการกลุ่ม
4) ทักษะกระบวนการทางาน 5) ทกั ษะกระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด 6) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 7) ทกั ษะการวิเคราะหเ์ ช่อื มโยง 7.2 ด้านคุณลักษณะเฉพาะชว่ งวยั มุ่งมนั่ ในการศึกษาและการทางาน 8. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน 8.1 ความสามารถในการสื่อสาร 8.2 ความสามารถในการคดิ 8.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 8.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ 8.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 9. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 9.1 อยูอ่ ย่างพอเพียง 9.2 มงุ่ มั่นในการทางาน อดทน รอบคอบ 9.3 ใฝเ่ รยี นรู้ 9.4 มีจติ สาธารณะ 10. หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1. ความพอประมาณ - นักเรยี นออกแบบการนาเสนอดว้ ยความประหยัด 2. ความมีเหตผุ ล - นกั เรียนบอกประโยชน์และอนั ตรายของกัมมันตภาพรงั สีได้ 3. การมีภูมิคุ้มกนั ในตัวทีด่ ี - นกั เรียนปฏิบตั ิงานด้วยความซ่ือสตั ยใ์ นการทางาน 4. เง่ือนไขความรู้ - นกั เรยี นมีความรู้ความเข้าใจทถ่ี ูกตอ้ งในเรอื่ งประโยชนแ์ ละอนั ตรายของกัมมันตภาพรังสีได้ 5. เง่ือนไขคณุ ธรรม - นักเรียนมีความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ 11. การบูรณาการ 11.1 กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ
11.2 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย 11.3 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 12. กิจกรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมนาสูก่ ารเรยี น ขนั้ ที่ 1 ขนั้ นาเขา้ สูบ่ ทเรยี น (Engagement Phase) 1. สนทนาทบทวนเกีย่ วกบั นิวเคลยี สของธาตกุ ัมมนั ตภาพรังสี 2. จากการศึกษาเกีย่ วกับการสลายตวั ของธาตุกัมมนั ตภาพรังสี นักเรยี นคิดว่า เราจะสามารถ นาส่ิง เหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในเร่ืองใดได้บ้าง และสิ่งเหล่าน้ีจะทาให้เกิดผลต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้ หรือไม่ อยา่ งไร ข้นั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นพบ (Exploration Phase) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา ค้นคว้า เก่ียวกับการใช้ประโยชน์และโทษของ กัมมันตภาพรังสี ตามรายละเอียดในแบบเรียน และแหล่งสืบค้นอ่ืนๆ เช่นห้องสมุด อินเทอร์เน็ต รวบรวม ขอ้ มูลจากการศึกษา ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation Phase) 1. นาข้อมูลท่ีนักเรียนรวบรวมได้จากการสืบค้น มาร่วมกันวิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดระบบ ข้อมูล ปรับปรุงแก้ไของค์ความรู้ที่ได้ให้สมบูรณ์ที่สุด แล้วคิดสร้างสรรค์ในการจัดทาส่ือการเรียนรเู้ พ่ือนาเสนอ เก่ียวกับข้อมูลท่ีได้ให้น่าสนใจ ตามมติของกลุ่มโดยอาจอยู่ในรูปของเกม ป้ายนิเทศ ละคร นักข่าว หนังสือพิมพ์ แผน่ พบั power point หรอื อื่นๆ ตามความสนใจ 2. ให้แต่ละกลุ่มนาเสนอส่ือการเรียนรู้ของกลุ่มตนเอง พร้อมผลักเปล่ียนกันให้คะแนน (ครู เปิดโอกาสใหแ้ ลกเปลยี่ นเรียนร้ซู ึ่งกันและกันตามความเหมาะสม) ขน้ั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ (Expansion Phase) ครูใหค้ วามรเู้ พมิ่ เติมเกยี่ วกับประโยชน์และโทษของพลงั งานนิวเคลยี ร์ โดยใชส้ อื่ power point และ สอ่ื animation ขั้นที่ 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) 1. เปิดโอกาสให้นกั เรยี นซกั ถามข้อสงสยั ท่ีนกั เรียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจเก่ยี วกบั เร่อื งท่เี รียน 2. สุ่มนกั เรยี นอภิปรายสรุปเก่ียวกบั ความรูท้ ไ่ี ดร้ ับในการศกึ ษาในคร้ังนี้ 3. นกั เรยี นบนั ทกึ ผลการเรยี นรใู้ นสมุดบนั ทกึ ผลการเรียนรู้รายชวั่ โมง 4. ตชิ ม/เสนอแนะเกี่ยวกบั ขอ้ คน้ พบต่างๆ จากทางานของนักเรียน 13. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 1. คอมพิวเตอร์ที่เช่ือมตอ่ กบั อนิ เทอรเ์ น็ต
2.เพาเวอร์พอ้ ยนเ์ รอื่ งกมั มนั ตภาพรงั สีในธรรมชาติ อันตรายจากกัมมนั ตภาพรังสีและการปอ้ งกนั 3. เอกสารประกอบการสอน เรอ่ื ง ฟสิ กิ ส์นวิ เคลยี ร์ 4. หนงั สือเรียนวชิ าฟสิ ิกส์ เลม่ 3 14. การวัดและประเมนิ ผล 14.1 วธิ ีการวดั ผล 1. ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบ 10 ข้อ 2. ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์ การให้คะแนน ใบงาน และรายงานการทดลอง หากข้อมูลไม่เพยี งพอใช้วิธีสมั ภาษณเ์ พ่มิ เติม 14.2 เครอ่ื งมือการวัดผล 1. ข้อสอบปรนยั 10 ขอ้ 2. แบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์ 14.3 เกณฑ์การวดั ผลและประเมินผล 1. ขอ้ สอบปรนัย ได้คะแนนไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 75 2. แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ได้คะแนนไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ 75 3. แบบประเมินจติ วทิ ยาศาสตร์ ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 75 แบบทดสอบท้ายบท จงเลอื กคาตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
1. รงั สีแกมมาคืออะไร 1. อเิ ลก็ ตรอน 2. โปรตอน 3. นิวตรอน 4. คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า 2. จากการทดลองหากัมมันตรังสขี องสาร A โดยวธิ ีของแบ็กเกอแรล ปรากฏวา่ ไม่มรี อยดาบนแผน่ ฟลิ ์มเมื่อ นาฟลิ ม์ นนั้ ไปลา้ ง แสดงว่า A เปน็ สารอย่างไร 1. เสถยี ร 2. เสถียรหรอื แผร่ ังสีแอลฟา 3. ไม่เสถยี รหรือแผร่ งั สบี ตี า 4. แผร่ งั สีแอลฟาและรงั สีบตี า 3.รังสแี อลฟามีอานาจในการทะลผุ า่ นนอ้ ยกว่ารังสีชนดิ อ่นื ท่ีออกมาจากธาตกุ ัมมันตรังสี เนื่องจากอะไร 1. รังสแี อลฟามพี ลังงานนอ้ ยกวา่ รงั สชี นิดอ่ืน 2. รังสแี อลฟามีสมบตั ิในการทาให้สารทร่ี ังสผี า่ นแตกตวั เป็นไอออนไดด้ ี 3. รังสแี อลฟาไม่มปี ระจุไฟฟ้า 4. ถกู ต้องทง้ั ขอ้ 1 และ 2 4. จานวนนวิ ตรอนในนวิ เคลยี ส 27 Al เปน็ เท่าใด 13 1. 13 2. 14 3. 27 4. 40 5. ผลบวกของเลขมวลและเลขอะตอมของธาตกุ ัมมนั ตรังสี X มคี า่ เทา่ กบั 3.5 เทา่ ของเลขอะตอมของมัน และเมื่อธาตนุ ส้ี ลายกลายเปน็ ธาตุ Y และอนภุ าคแอลฟา ปรากฏวา่ ผลต่างของเลขมวลและเลขอะตอม ของธาตุ Y มคี า่ เทา่ กับ 127 จงหาวา่ ธาตุ X คือธาตอุ ะไร 1. 210 Po 2. 215 Rn 84 86 3. 220 Ra 4. 225 Th 88 90 6. สารกัมมันตรังสีชนิดหน่ึงสลายและมจี านวนลดลง 10 เปอร์เซน็ ตใ์ นเวลา 5 ปี อยากทราบวา่ ในชว่ งเวลา อกี 5 ปถี ัดไป จะมีสารกัมมันตรงั สเี หลืออยู่กี่เปอรเ์ ซ็นตจ์ ากปรมิ าณเดมิ 1. 81 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณเดิม 2. 85 เปอรเ์ ซ็นต์ของปรมิ าณเดิม 3. 90 เปอรเ์ ซ็นต์ของปรมิ าณเดิม 4. 95 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณเดิม 7. ไอโซโทปของโซเดียม (Na) มีครึ่งชีวติ 15 ชั่วโมง จงหาว่าเวลาผา่ นไป 75 ช่ัวโมง นวิ เคลยี สของ ไอโซโทปน้จี ะสลายไปแล้วประมาณกเี่ ปอรเ์ ซ็นต์ของจานวนท่ตี ัง้ ตน้ ถ้าตอนเริ่มแรกนิวเคลยี สของ ไอโซโทปน้มี ีค่า 5 ครู ี 1. 75.0 เปอร์เซน็ ต์ 2. 87.5 เปอร์เซน็ ต์ 3. 94.0 เปอร์เซ็นต์ 4. 97.0 เปอรเ์ ซน็ ต์ 8. เม่อื นาซากไมโ้ บราณ 6 กรัมมาวัดปริมาณรังสี ปรากฏวา่ กัมมันตภาพเทา่ กบั ไม้ท่ีมีชวี ติ 2 กรัม ถ้าครึ่ง ชวี ติ ของคารบ์ อน–14 เป็น 5,600 ปี แสดงว่าซากไม้มอี ายุเทา่ ไร
1. ไม่เกนิ 5,600 ปี 2. ระหวา่ ง 5,600 – 11,200 ปี 3. ระหว่าง 11,200 – 16,800 ปี 4. เกนิ 16,800 ปี 9. ไอโอดีน–131 มีคา่ คงตวั การสลายเทา่ กบั 0.087 ตอ่ วนั ถา้ มไี อโอดีน–131 อยู่ 10 กรัมตอนเร่มิ ตน้ เม่ือ เวลาผ่านไป 24 วัน จะมไี อโอดีน –131 เหลอื อยูเ่ ทา่ ไร (กาหนดให้ 1n 2 = 0.693) 1. 0.63 กรัม 2. 1.25 กรัม 3. 2.50 กรัม 4. 5.00 กรมั 10. ค่าคงตวั การสลาย (decay constant) ของ 232 Th เท่ากับ 1.6 10-18 (วินาท)ี -1 ถ้ามี 232 Th อยู่ 1 90 90 กโิ ลกรมั จงหาอตั ราการสลายเป็นอะตอมตอ่ วนิ าที (NA = 6 1023 ตอ่ โมล) 1. 4.1 103 2. 4.1 106 3. 9.6 105 4. 9.6 108 เฉลยแบบทดสอบทา้ ยแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 8 1. 4 2. 2 3. 2 4. 2 5. 2 6.1 7. 4 8. 2 9. 2 10. 2
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 8 ชอื่ เรอ่ื ง การทดลองของฟรงั ก์และเฮิรตซ์ หน่วยที่ 2 เรอ่ื ง ฟสิ ิกส์อะตอม รหสั วชิ า ว 30206 รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 6 เวลา 2 ช่วั โมง ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. สาระที่ ๕ พลงั งาน 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว ๕. ๑ เข้าใจความสมั พันธ์ระหว่างพลงั งานกับการดารงชวี ิต การเปลยี่ นรูปพลังงาน ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งสารและพลงั งาน ผลของการใช้พลังงานต่อชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม มกี ระบวน การสืบเสาะ หาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรยี นรู้และ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐานการเรียนรู้ชว่ งชัน้ สืบคน้ ข้อมลู และอธิบายสเปกตรมั ของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้ง ประโยชน์และอันตรายของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า 3. ผลการเรยี นรู้ สืบค้นข้อมลู สารวจ ตรวจสอบ และอภิปรายเกี่ยวกับการทดลองของฟรงั ก์และเฮริ ตซ์ 4. สาระการเรยี นรู้ 4.1 สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ในเวลาต่อมาได้มีการทดลองและพบปรากฏการณ์ต่างๆ อีก ท่ีสนับสนุนทฤษฎีอะตอมของโบร์ว่า อะตอมมีระดับพลังงานเป็นข้ันๆ เช่น การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ โดยให้อิเล็กตรอนว่ิงด้วยพลังงานจลน์ เข้าชนกับอะตอมของปรอท เขาสังเกตพบว่า ถ้าพลังงานน้อยกว่า 4.9 eV อิเล็กตรอนจะไม่เสียพลังงานจลน์ เลย และถ้าเพิ่มพลังงานจลน์ไปถึงประมาณ 5 eV อิเล็กตรอนจะถ่ายเทพลังงานประมาณ 4.9 eV ถ้าเพ่ิม พลังงานจลน์ข้ึนไปอีก การถ่ายเทพลังงานก็ยังเป็น 4.9 eV จึงสรุปได้ว่าอะตอมพลังงานของอะตอมปรอท มี ลักษณะเป็นระดับช้ันท่ีไม่ต่อเน่ือง และจากทฤษฎีของโบร์ เม่ืออิเล็กตรอนในอะตอมของปรอทลดระดับ พลังงานมายังระดับพื้นจะต้องให้โฟตอนที่มีพลังงานเท่ากับ 4.9 eV ซ่ึงจากการทดลองปรากฏว่าวัดความยาว คลื่นแสงที่เปล่งออกมาจากไอปรอทได้แสงมีความยาวคลื่น 253.5 นาโนเมตร ตรงกับพลังงาน 4.9 eV พอดี อะตอมทพี่ ลังงานต่าสดุ เรยี กว่าสถานะพื้น ทีพ่ ลงั งานสูงสุดเรียกว่าสถานะกระตุน้
โรงเรยี นสระแกว้ ตาบลสระแกว้ อาเภอเมอื งสระแก้ว จงั หวัดสระแกว้ สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 7
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125