Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Best Practice นายจักรกฤษณ์ ศิริชยานันท์

Best Practice นายจักรกฤษณ์ ศิริชยานันท์

Description: Best Practice นายจักรกฤษณ์ ศิริชยานันท์

Search

Read the Text Version

แบบรายงานวิธีการปฏิบัติทีเ่ ป็นเลิศ (Best Practice) ปีการศึกษา 2566 โดย นายจักรกฤษณ์ ศิริชยานันท์ ตำแหน่งครู โรงเรียนวนาสงเคราะห์ สำนักงำนเขตพ้ืนท่กี ำรศึกษำประถมศึกษำสระแก้ว เขต 1 สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน กระทรวงศึกษำธิกำร

รายงานการปฏิบตั ิทเ่ี ป็นเลศิ (Best practice) การจดั การเรยี นรเู้ ชิงรกุ รปู แบบกจิ กรรมเป็นฐาน เรอื่ งแรงลพั ธแ์ ละแรงเสียดทาน รายวชิ าวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 นายจกั รกฤษณ์ ศิริชยานนั ท์ ตาแหนง่ ครู โรงเรยี นวนาสงเคราะห์ อาเภอเมอื งสระแก้ว จงั หวดั สระแกว้ สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสระแก้ว เขต 1 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ก คานา การจัดทารายงานนาเสนอผลการปฏบิ ัติท่ีเปน็ เลิศ (Best Practices) ประจาปีการศึกษา 2565 จากการจดั การเรยี นรเู้ ชิงรุกรปู แบบกิจกรรมเปน็ ฐาน เรอื่ งแรงลพั ธแ์ ละแรงเสยี ดทาน รายวิชาวิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ซ่ึงได้รายงานถึง ความเปน็ มาของ (Best Practice) จดุ ประสงค์และ เป้าหมายของการดาเนินงาน กระบวนการปฏิบัติงานหรือข้ันตอนการทางานซึ่งประยุกต์ใช้วงจร PDCA อนั ประกอบดว้ ย ข้ันวางแผน (P) ขนั้ วางแผน (D) ข้ันดาเนินงาน (C) ขัน้ ตดิ ตามตรวจสอบ ประเมนิ ผล (A) ข้ันพัฒนาแก้ไข/ปรับปรุง รวมทั้งได้รายงานผลการดาเนินการ ผลสัมฤทธ์ิประโยชน์ที่ได้รับปัจจัย ความสาเร็จ บทเรียนท่ีได้รับ ข้อเสนอแนะ การเผยแพร่ผลงาน การได้รับการยอมรับ และภาพกิจกรรม เพ่อื เป็นเอกสารประกอบกจิ กรรมคดั เลือก ผลงานทป่ี ฏบิ ัตเิ ป็นเลิศ ผ้นู าเสนอหวงั เปน็ อย่างยง่ิ วา่ เอกสารฉบบั นี้คงจะชว่ ยอานวยความสะดวกใหก้ ับคณะกรรมการ ประเมนิ ผลงานทป่ี ฏิบัติเป็นเลิศ (Best Practice) และจะเปน็ ประโยชน์สาหรับโรงเรยี นหรอื ผู้ทส่ี นใจ และ ผู้ที่กาลังจะพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพทั้งในด้าน ความรู้ ทักษะและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ให้มี ผลสัมฤทธิ์ทส่ี งู ข้ึนต่อไปไดเ้ ปน็ อย่างดี ขอขอบคุณ นายลาพอง ภาษาเวส ผู้อานวยการโรงเรยี นวนาสงเคราะห์ และขอขอบคุณผู้มสี ่วน เกี่ยวข้องทุกฝา่ ยท่ีสนบั สนุน ช่วยเหลือ และให้กาลังใจ จนผลงานประสบผลสาเรจ็ ในคร้ังนี้ นายจกั รกฤษณ์ ศริ ิชยานนั ท์ ครู

สารบัญ ข เร่อื ง หนา้ 1. ความสาคญั ของนวตั กรรม/วธิ ีการปฏิบัติทีเ่ ป็นเลิศ(Best Practice) 1 2. วตั ถปุ ระสงค์และเป้าหมายของการดาเนนิ งาน 2 3. ขนั้ ตอนการดาเนนิ งาน 2 4. ผลการดาเนนิ งาน/ประโยชน์ทีไ่ ดร้ ับ 9 5. ปัจจยั ความสาเรจ็ 10 6. บทเรยี นท่ไี ดร้ ับ (Lesson Learned) 10 7. การเผยแพร่/ การได้รับการยอมรบั 11 8. บรรณานกุ รม 11 9. ภาคผนวก 12 - ตัวอย่างแผนการเรยี นรู้เชงิ รุกรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลัพธแ์ ละแรงเสยี ดทาน ของนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 13 - ภาพกจิ กรรมการเรียนรูเ้ ชงิ รุกรูปแบบกิจกรรมเปน็ ฐาน เรื่องแรงลัพธแ์ ละแรงเสยี ดทาน ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 22

1 แบบรายงานวิธีการปฏิบัตทิ เ่ี ปน็ เลิศ (Best Practice) ปีการศกึ ษา 2566 สานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาสระแกว้ เขต 1 ช่ือผูน้ าเสนอ นายจกั รกฤษณ์ ศริ ชิ ยานนั ท์ โรงเรียน วนาสงเคราะห์ อาเภอ เมอื งสระแกว้ จังหวัด สระแก้ว ------------------------------------------------------------------------------------ ช่อื ผลงาน การจดั การเรยี นรูเ้ ชงิ รุกรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เร่อื งแรงลพั ธแ์ ละแรงเสียดทาน ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 1. ความสาคญั ของนวัตกรรม/วิธกี ารปฏบิ ัตทิ เ่ี ปน็ เลิศ (Best Practice) ปัจจุบันการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในโรงเรียนวนาสงเคราะห์นั้นยังไม่ดีพอ สังเกตจาการทาเป็นทดสอบกลางภาค และปลายภาคในปีท่ีผ่านๆมา และจากผลคะแนน Onet ของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งได้ผลการสอบ Onet วิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉล่ีย ต่า กว่า คะแนนโดยเฉลี่ยของระดับประเทศ ซึ่งน้อยกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนต้ังไว้ จากการวิเคราะห์และการ สอบถามนกั เรยี นท่ที าขอ้ สอบ ผลปรากฏวา่ นักเรียนสบั สนกับเน้อื หาของวชิ าวทิ ยาศาสตร์ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์น้ัน โรงเรียนวนาสงเคราะห์ ได้มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาความรู้แบบ บรู ณาการ เนน้ การเรียนรผู้ า่ นการลงมอื ทา โดยการจดั การเรียนรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เป็นการจดั การ เรียนรูปผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ไม่เนน้ ใหผ้ เู้ รียนท่องจา แต่ใหผ้ เู้ รียนลงมือปฏิบตั ิจริงและมีบทบาทในการ คน้ ควา้ หาความรูด้ ว้ ยตนเอง โดยเน้นใหผ้ ูเ้ รียนรูจ้ กั คิดวิเคราะห์ และเรียนรูจ้ ากกิจกรรมท่ีได้ทาจริง (Learning by doing) โดยเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีส่วนรว่ มในการสรา้ งองค์ ความรู้ การสรา้ งปฏิสมั พนั ธ์ และการร่วมมือกนั เพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรูค้ วามรบั ผิดชอบร่วมกนั มีวินยั ในการ ทางาน และแบ่งหนา้ ท่ี ความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั โดยผสู้ อนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้ เพ่ือให้ ผเู้ รยี นเป็น ผปู้ ฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง (สทุ ศั เอกา, 2557) ผจู้ กั ทาเห็นถึงความสาคญั และมีความสนใจในการพฒั นาการเรียนรูว้ ิชาวิทยาศาสตร์ โดยการ จัดการเรียนรู้เชิงรุกรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลัพธ์และแรงเสียดทาน ของนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 5 เพ่อื เป็นแนวทางในการพฒั นาการจดั การเรียนรู้รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ส่งผลใหน้ กั เรียน มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องแรงลัพธ์มากข้ึน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเร่ืองแรงลัพธ์และแรงเสียด ทานทีส่ งู ขน้ึ

2 2. วัตถปุ ระสงค์และเปา้ หมายของการดาเนนิ งาน 2.1 จดุ ประสงค์ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องแรงลัพธ์และแรงเสียดทาน ด้วยการจัด กิจกรรมการเรยี นร้เู ชงิ รกุ แบบกจิ กรรมเปน็ ฐาน ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5 2.2 เปา้ หมาย เชิงปรมิ าณ นกั เรียนร้อยละ 70 ข้ึนไป มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ในเรื่องแรงลัพธแ์ ละแรงเสยี ดทาน เชงิ คุณภาพ นักเรยี นมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มเี จตคติที่ดีและเหน็ คุณค่าของการนาวิชา วทิ ยาศาสตรไ์ ปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ 3. ขัน้ ตอนการดาเนินงาน 3.1 การออกแบบนวัตกรรม ผู้จัดทาใช้กระบวนการการออกแบบผลงานโดยใช้แนวคิดและกระบวนการออกแบบนวัตกรรม การศึกษา PDCA ภาพที่ 1 วงจร PDCA ท่ีมา : https://www.pangpond.com/pdca

3 ขั้นวางแผนปฏิบตั ิงาน ( Plan : P ) 1. ศกึ ษาหลกั สูตรสถานศกึ ษาของโรงเรียนวนาสงเคราะห์ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 2. ศึกษาแนวคิด และวิธีการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เรื่องแรงลัพธ์และ แรงเสยี ดทาน ขน้ั ตอนการทาตามแผน ( Do : D ) 1. กาหนดเนอื้ หา/สาระสาคัญ จุดประสงคก์ ารเรยี รู้/ตัวชี้วดั แล้วสรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้เชงิ รุกรูปแบบ กิจกรรมเป็นฐาน 2. สรา้ งแบบประเมนิ ความสามารถ ความรู้ ความเข้าใจ ในเรอ่ื งแรงลัพธแ์ ละแรงเสียดทาน (ใบงาน) ข้ันตรวจสอบและประเมนิ ผล ( Check : C ) 1. นาแผนการจดั การเรยี นรเู้ ชิงรุกรูปแบบกิจกรรมเปน็ ฐาน เร่ืองแรงลัพธแ์ ละแรงเสียดทาน ไปใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 2. ทาการวดั ผลระหว่างเรียนดว้ ยการสอบถาม และการสรุปความรู้ดว้ ยการทา mind mapping 3. ทาแบบประเมินความสามารถ ความรู้ ความเข้าใจ ในเรือ่ งแรงลัพธแ์ ละแรงเสียดทาน (ใบงาน) 4. วิเคราะหห์ าคา่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี น ขน้ั นาผลการประเมนิ มาปรับปรุง ( Action : A ) 1. บันทึกและตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลัพธ์และแรงเสียด ทาน และดาเนนิ การปรบั ปรุง/สงั เคราะห์ รปู แบบใหเ้ หมาะสมสาหรบั การดาเนนิ การในคร้งั ต่อๆไป 3.2 การดาเนินงานตามกิจกรรม ผู้จดั ทาได้ดาเนินการ โดยใช้แผนการจัดการเรยี นรู้เชิงรุกรูปแบบกจิ กรรมเปน็ ฐาน เร่อื งแรงลัพธ์ และแรงเสยี ดทาน ดังนี้ ชวั่ โมงที่ 1-3 แผนการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกรปู แบบกจิ กรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลัพธ์ ชว่ั โมงที่ 4-6 แผนการจัดการเรียนรูเ้ ชิงรุกรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน เรือ่ งแรงเสียดทาน ช่วั โมงที่ 1 ขนั้ ท่ี 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engage) 1. ครูทกั ทายนกั เรียน แจง้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ 2. ครูยกตัวอย่าง หากมีตู้ไม้ 1 หลังอยู่หลังห้องเรียน และนักเรียนต้องการเคลื่อนที่ให้ตู้นั้นออก จากที่เดิม ไปยังสนามฟุตบอล นักเรียนจะมีวิธีการใดบ้างท่ีจะเคลื่อนตู้ไม้หลังนี้ให้ไปถึงสนามฟุตบอล

4 โดยสะดวกและรวดเรว็ ที่สดุ จากนั้นใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็น และครูตั้งคาถามเพม่ิ เติมคอื 2.1. นักเรยี นคิดวา่ ทาอย่างไรตไู้ มจ้ ะเคล่อื นท่ไี ด้เรว็ 2.2.นักเรียนคดิ วา่ การออกแรงในการเคลอ่ื นตไู้ ม้เป็นอย่างไร 3. ใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง แรงในชีวติ ประจาวัน 4. ครูเปิด สไลด์เพาเวอร์พอย เร่ืองแรงในชีวิตประจาวัน ดู/อ่าน สาระสาคัญของเรื่องน้ี และ สังเกตภาพต่างๆ ท่ีนาเสนอ แลว้ ต้ังคาถามแก่นกั เรียนถึงสถานการณต์ ่าง ( ไปขา้ งหน้า ข้างหลงั เรว็ ขนึ้ ชา้ ลง ) 5. ให้นักเรียนยกตัวอย่างสถานการณ์แล้วนามาเขียนหน้าช้ันเรียนให้เพ่ือนๆทาย/แสดงความ คดิ เห็น ว่าเพื่อนเขียนอะไรลงไป และเกดิ อะไรข้ึนบา้ ง 6. จากนั้นเข้าเนื้อหาโดยการถาม นักเรียนรู้หรือไม่ว่าแรงคืออะไร (อานาจท่ีทาให้วัตถุเกิดการ เปล่ียนแปลงตามผลของแรงน่ันๆ) และแรงลัพธ์คืออะไร (ผลรวมของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุเดียวกัน ตั้งแต่ 2 แรงขน้ึ ไป จึงทาใหว้ ัตถเุ กดิ การเปลีย่ นแปลงตามผลของแรงลพั ธ์นั่นๆ) ชัว่ โมงท่ี 2 แผนการจัดการเรยี นรู้เชงิ รกุ รปู แบบกจิ กรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลพั ธ์ ข้ันสารวจค้นหา (Explore) 1. ครูสอนคาศัพท์ คาเฉพาะท่ีเก่ียวข้องกับเนื้อหา (แรง แรงลัพธ์ นิวตัน เส้นแรง ทิศทางของ แรง) 2. นักเรียนแบ่งกลมุ่ เป็น 2 กลมุ่ (กลุ่มละ 5 คน) จากนน้ั อา่ นหนงั สอื เรียนเก่ยี วกับ เรือ่ งแรงลัพธ์ (แรง แรงลัพธ์ นิวตัน เส้นแรง ทิศทางของแรง) แรงน้ันสรุปความรู้ท่ีได้จากการนาเสนอหน้าชั้นเรียน และ อภปิ รายร่วมถึงหวั ข้อ/เร่ืองนัน่ ๆ 3. ครูกาหนดลูกศรใช้ในการแทนเส้นของแรง โดยจะมาลูกศรหลายขนาด(ความยาวตามขนาด ของแรง) แล้วให้ท้ังสองกลุ่มแข่งขันกันวางลูกศร(หางต่อไปต่อหัวตัวสุดท้าย)ตามโจทย์ท่ีกาหนด แล้วหา แรงลัพธ์(ลากเส้นจากหางตัวแรกไปยังหัวตัวสุดท้าย)ที่เกิดขึ้น ทีมไหนตอบได้ถูกต้อง และเร็วกว่ากว่าทีม นัน้ ชนะ 4. ครูอธิบายให้นักเรียนต่อว่า“การออกแรงหลายแรงกระทาต่อวัตถุในทิศทางเดียวกัน จะมีค่า เทา่ กบั แรงเพียงแรงเดียว ผลลัพธ์ของแรงหลายแรงนี้ เรยี กว่า แรงลัพธ์” 5. ครูให้นักเรียนดูภาพเด็กกาลังเป็นรถจากหนังสือเรียน แล้วครูอธิบายเก่ียวกับภาพว่า “จาก ภาพเด็ก 1 คนเข็นรถ กับเด็ก 2 คนเข็นรถ แรงที่ทาให้รถเคล่อื นที่จะแตกตา่ งกัน เด็ก 2 คนช่วยกันเขน็ รถ ย่อมมีแรง กระทาต่อรถมากกว่าจึงทาให้รถเคลื่อนท่ีเร็วกว่า เพราะแรงของเด็ก 2 คนท่ีกระทาต่อรถใน ทศิ ทางเดยี วกัน เทา่ กบั ผลรวมของแรงทงั้ สองแรงน้นั ”

5 6. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่กระทาต่อวัตถุในทิศทาง เดียวกัน เท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองแรงน้ันจริงหรือไม่ อย่างไร (แนวตอบ ข้ึนอยู่กับดุลยพินิจของ ครูผ้สู อน) 7. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ให้แต่ละกล่มุ ทาการทดลองและอธบิ ายเร่ือง การหาแรงลัพธ์ โดยใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกนั ทากิจกรรมที่ 1 การหาแรงลัพธ์ โดยให้ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม ดงั น้ี 7.1) ให้แต่ละกลุ่มนาดินน้ามันใส่ถุงพลาสติกหูห้วิ แล้วนามาเก่ียวที่ตะขอของเคร่ืองชั่งสปรงิ และถอื เครื่องช่ังสปริงในแนวดิ่ง จากน้ันอ่านคา่ ของแรงและบันทกึ ผลลงในสมดุ ประจาตวั 7.2) ชั่งน้าหนักของถุงก้อนหินอีกครั้งหน่ึง คร้ังน้ีใช้เคร่ืองช่ังสปริง 2 เคร่ือง โดยนาหูหิ้วของ ถุงพลาสติก เกี่ยวที่ตะขอเคร่ืองช่ังข้างละหู และให้ถือเคร่ืองชั่งสปริงในแนวด่ิง เพื่ออ่านค่าของแรงและ บันทึก ผล 7.3) รว่ มกันอภิปรายเพ่อื สรุปผลการทดลอง ข้ันอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครใู ห้ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงานทห่ี นา้ ชัน้ เรียน 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ท่ีได้จากการทดลอง ตอนท่ี 1 จนได้ข้อสรุปว่า การใช้ เครื่องช่ังสปริง 1 เครื่อง ชั่งส่ิงของจะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับผลรวมค่าของแรงท่ีอ่านได้ จากการใช้เครื่อง ชั่งสปริง 2เคร่ือง ช่ังสิ่งของ ดังน้ัน แรง 2 แรง ที่มีทิศทางเดียวกัน จะมีแรงลัพธ์เพียงแรงเดียว ซ่ึงเป็น ผลรวมของแรงท้ังสองแรงน่นั เอง 3. จากนั้นให้นักเรียนทุกกลุ่มร่วมกันอภิปรายผลการทากิจกรรม จนได้ข้อสรุปว่า แรงลัพธ์ คือ ผลรวมของแรงต้ังแต่ 2 แรงขึ้นไป ท่ีร่วมกันกระทาต่อวัตถุเดียวกัน จึงมีผลทาให้วัตถุนั้นเปล่ียนแปลงการ เคล่ือนท่ไี ปตามผลของแรงลัพธ์ ชวั่ โมงท่ี 3 ขัน้ ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ให้นักเรียนศึกษาเน้ือหาเกี่ยวกับแรงลัพธ์ วิธีการหาแรงลัพธ์ และการใช้ประโยชน์จากแรง ลพั ธ์ จากหนงั สือเรียน 2. ใหน้ ักเรียนนาความรู้ทไี่ ด้จากการศกึ ษาขอ้ มูลมาอภิปรายและรว่ มกนั สรุปภายในชนั้ เรยี น โดย ใหค้ รคู อยอธบิ ายเพม่ิ เติมในสว่ นที่บกพร่อง 3. ครูอธิบายเสริมให้นักเรียนเข้าใจเพิ่มเติมว่า “ในการวัดแรงน้ัน นักเรียนสามารถใช้เคร่ืองช่ัง สปริงวัดค่าของแรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ ซ่ึงมีหน่วยเป็นนิวตัน (โดยมีการเรียกหน่วยของแรงตามชื่อของ เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั )”

6 4. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหาท่ีได้เรียนผ่านมาจาก หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ โดยสุ่มเรยี กชือ่ นักเรียนให้ออกมาเลา่ ว่า ตนเองไดร้ บั ความรู้อะไรบ้าง 5. นักเรียนเขียนสรุปความรู้เก่ียวกับเร่ือง แรงลัพธ์ โดยเขียนเป็นแผนผังความคิดลงในสมุด ประจาตวั 6. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เพ่ือทากิจกรรมสร้างสรรค์ผลงาน ออกแบบและประดิษฐ์กระถางแขวนสาหรับปลูกพืช และนาเสนอแนวคิดในการออกแบบให้เก่ียวข้องกับ แรงลัพธ์ โดยนาเสนอผลงานหน้าชัน้ เรยี น ขน้ั ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูใหน้ ักเรยี นร่วมกันสรปุ ความรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง แรงลัพธ์ 2. ครูสรุปเพ่ิมเติมอีกว่า ในชีวิตประจาวันของเรามีการนาแรงลัพธ์มาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น การปนั่ เป็ด การใช้สัตวห์ ลายตัวลากจงู ซงึ่ เกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทาทาให้วัตถุเคลื่อนที่ไปตามทิศทาง ของแรง และถา้ ผลของแรงลัพธ์ท่ีมคี ่าเป็นศนู ย์ ก็จะทาให้สิง่ ตา่ ง ๆ เกดิ การหยุดนิ่งอยกู่ บั ท่ีไดเ้ ชน่ กนั 3. ครมู อบหมายภาระงานใหน้ ักเรยี นหาความรู้ เร่อื งแรงเสียดทาดท่จี ะเรยี นในครงั้ ถัดไป ชัว่ โมงท่ี 4 ข้นั ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับแรงเสียดทานท่ี ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอข้อมูล หน้าห้องเรียน 2. ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจด บันทึกของนักเรยี น และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดังน้ี 2.1. แรงเสยี ดทานคอื อะไร (แนวคาตอบ แรงตา้ นการเคล่อื นท่ีของวตั ถ)ุ 2.2. แรงเสียดทานเกิดข้ึนบริเวณใด (แนวคาตอบ แรงเสียดทานเกิดขึ้นระหว่างพ้ืนผิวสัมผัส ของวตั ถุ 2 ชนิด) 3. ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่นี ักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคน ละ 1 คาถาม ซึ่งครใู ห้นกั เรียนเตรียมมาลว่ งหน้า และใหน้ ักเรียนชว่ ยกันตอบและแสดงความคดิ เหน็ 4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรปุ เก่ียวกบั แรงเสยี ดทาน โดยครชู ่วยอธิบายใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า แรง เสียดทาน คือ แรงต้านการเคลอ่ื นท่ีของวัตถุ ซ่ึงเกิดข้ึนระหว่างพื้นผิวสัมผัสของวัตถุ 2 ชนิด และมีทิศทาง ตรงกันขา้ มกับทิศทางการเคล่ือนที่ของวตั ถุ

7 ชัว่ โมงท่ี 5 ขน้ั สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่อง แรงเสียดทาน ในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ ว่า แรงเสียดทาน คือ แรงต้านการเคล่ือนท่ีของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคล่ือนที่ของวัตถุ เสมอ แรงเสียดทานเกิดข้ึนเม่ือออกแรงกระทาต่อวัตถุท่ีหยุดน่ิงให้เริ่มเคล่ือนที่และเกิดขึ้นขณะวัตถุกาลัง เคลื่อนท่ี มีผลทาให้วัตถุเคลื่อนท่ีช้าลง โดยขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้าหนักของ วตั ถแุ ละชนิดของพ้นื ผิวสมั ผสั 2. ครูแบง่ นักเรียนกลุ่มละ 3-4 คน สบื คน้ ขอ้ มูลเก่ียวกบั แรงเสยี ดทาน ตามขัน้ ตอน ดังนี้ 2.1 แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้น ตามท่ีสมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของแรงเสียดทาน ปัจจัยท่ีมีผลต่อขนาดของ แรงเสียดทาน และทศิ ทางของแรงเสยี ดทาน 2.2 สมาชิกกลมุ่ แต่ละคนหรอื กลุ่มยอ่ ยชว่ ยกันสืบคน้ ขอ้ มูลตามหวั ข้อยอ่ ยทีต่ นเองรับผิดชอบ โดยการสบื คน้ จากหนงั สอื หรอื อนิ เทอร์เนต็ ในหอ้ งสมดุ โรงเรียน 2.3 สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลที่สืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมท้ังร่วมกัน อภิปรายซักถามจนคาดวา่ สมาชิกทุกคนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจทีต่ รงกัน 2.4 สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทา รายงานการศึกษาค้นคว้าเก่ยี วกับแรงเสยี ดทาน 3. ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปิด โอกาสใหน้ กั เรยี นทกุ คนซกั ถามเม่ือมปี ัญหา ขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมหนา้ หอ้ งเรียน 2. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น - ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับปัจจัยใด (แนวคาตอบ น้าหนักของวัตถุ และชนิดของพืน้ ผิวสมั ผสั ) - แรงเสียดทานมีทิศทางใด (แนวคาตอบ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคลื่อนที่ของ วตั ถุ) 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แรง เสียดทาน คือ แรงต้านการเคลื่อนท่ีของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคล่ือนที่ของวัตถุ โดย ขนาดของแรงเสยี ดทานจะมากหรอื นอ้ ยขน้ึ อยู่กบั นา้ หนกั ของวัตถแุ ละชนิดของพื้นผิวสมั ผสั

8 ชัว่ โมงที่ 6 ขน้ั ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ครูแบ่งนกั เรยี นกลมุ่ ละ 3-4 คน สร้างรถลากจงู จากวสั ดุเหลอื ใช้ โดยจะตอ้ งมีล้อ 2. ครใู หน้ ักเรยี นทดสอบรถลากจงู ของกลุม่ ตนเอง และกาหนดสถานการณ์การลากจงู รถ ดังน้ี 2.1 ลากจูงปกติบนพน้ื กระเบอื้ ง 2.2 ลากจูงปกตบิ นพ้ืนขรขุ ระ 2.3 ลากจงู ปกติแตเ่ พิม่ น้าหนกั ของรถลากจงู โดยการใส่ดนิ ลงไปบนรถลากจูง - นักเรยี นสงั เกต และจดบันทึกลงสมุดบนั ทึก 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แรง เสียดทาน คือ แรงต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคลื่อนท่ีของวัตถุ โดย ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยข้นึ อยู่กับนา้ หนกั ของวัตถุและชนิดของพ้นื ผวิ สัมผสั ขั้นตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเร่ือง แรงลัพธ์แรงเสียดทานเป็น แผนภาพ มายแมปปงิ้ ลงสมดุ บันทกึ 2. ครูสรุปเพ่ิมเติมอีกวา่ ในชีวิตประจาวันของเรามีการนาแรงเสยี ดทานมาใชป้ ระโยชน์มากมาย ท้ังการเพม่ิ แรงเสียดทาน เชน่ การเพิม่ ลวดลายบนล้อรถ หรือบนพืน้ รองเท้า การทาพน้ื ผิวขรุขระบนปลาย บนั ได และการลดแรงเสยี ดทาน เชน่ การทานา้ มนั การทาเนินลง เปน็ ตน้ 3.3 ประสิทธิภาพของการดาเนินงาน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกกิจกรรมเปน็ ฐาน เร่ืองแรงลัพธ์และแรงเสียดทาน ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โดยการวางแผนผ่านระบบ PDCA ส่งผลให้ ผู้เรียนมีความสนใจ กระตือรือร้นใน การเรียนรู้ และมีความเข้าใจในเน้ือหาผ่านกระบวนการต่างๆ โดยการลงมือหาคาตอบ และทากิจกรรม ด้วยตนเอง ทั้งนี้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกกิจกรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลัพธ์และแรงเสียดทาน ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 นั้นเกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ท่ีสูงข้ึนอย่างมีนัยยะ ท้ังด้านการพัฒนา ความสามารถในการคดิ การทางานเป็นทมี ความสามารถในการค้นคว้า การวางแผนดาเนินงาน ไดพ้ ฒั นา ไปในทางท่ดี ีข้นึ และเชื่อวา่ จะสง่ ผลพัฒนาตนเองในศาสตร์อนื่ ๆตอ่ ไป

9 4. ผลการดาเนินงาน/ประโยชน์ที่ไดร้ บั 4.1 ผลทเี่ กดิ ตามจุดประสงค์ 4.1.1 ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ในเร่ืองแรงลัพธ์และแรงเสียดทาน โดยวัดและประเมิน จากการตรวจชนิ้ งาน ใบงาน การนาเสนอ และผลงานตา่ งๆ 4.2 ผลสมั ฤทธข์ิ องงาน ผลการดาเนินงาน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกแบบกิจกรรมเป็นฐาน เร่ืองแรงลัพธ์และ แรงเสียดทาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 พบว่า ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในกิจกรรมการเรียน การสอนวิทยาศาสตร์มากข้ึน เช่น การค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเอง การลงมือปฏิบัติกิจกรรมการทดลอง การทางานร่วมกันเป็นทีม การสรา้ งความร้ดู ้วยตนเอง และการแสดงผลงานท่ีสรา้ งความภมู ใิ จให้กับผู้เรียน โดยเฉพาะในข้ันสรุปจัดระเบียบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ผู้เรียนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษในการร่วมกัน สรุปความรู้ของกลุ่มออกมาเป็นแผนผังความรู้ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจะช่วยกันคิด และออกแบบผังของตนกัน อย่างเต็มที่ ทาให้ผู้เรียนสามารถจดจาและเข้าใจเน้ือหาท่ีเรียนไปได้ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ การคิดสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ และการคดิ แก้ปัญหา ค้นควา้ และคัดเลือก ข้อมูลหรือองค์ความรู้เป็นทักษะการเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงทักษะเหล่าน้ีจะติดตัวผเู้ รียนไปตลอด และ ผ้เู รยี นสามารถจัดทาผลงานซึง่ เป็นนวัตกรรมสาคญั ซง่ึ เป็นผลสรปุ ของการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และ สามารถนานวตั กรรมมาศึกษาหาความรู้ และนาสกู่ ารเผยแพร่ให้กวา้ งขวางมากข้ึน 4.3 ประโยชน์ทีไ่ ดร้ บั 4.3.1 นักเรียนเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษท่ี 21 ในการ ค้นคว้าและสร้างองค์ความรูด้ ้วยกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ เกิดทักษะการคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่าง มวี จิ ารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา สามารถแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ สามารถตดั สนิ ใจ 4.3.2 ผ้เู รียนมีความกระตอื รอื รน้ ในกจิ กรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตรม์ ากขึน้ 4.3.3 ผู้เรียนพยายามที่จะต้ังคาถามและตอบคาถามกับเพื่อน ได้ฝึกใช้ความรู้ท่ีเรียนมาไป อยา่ งไมร่ ู้ตัว 4.3.4 ผู้เรียนมีความสามารถทางการเรียนสูง มีพฤติกรรมกล้าแสดงออกสูง และผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นสัมพนั ธท์ างบวกกับพฤตกิ รรมกล้าแสดงออก 4.3.5 ผู้เรียนได้ฝึกวามคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์และเปิดใจกว้าง ยอมรับความคิดเห็นของผู้อ่ืน ทาให้เกดิ เปน็ นิสัยท่ตี ิดตัวและเคยชินจนสามารถพัฒนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวัน 4.3.6 ผู้เรียนสามารถเปล่ียนจากผู้รับองค์ความรู้มาเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ และเผยแพร่องค์ ความรู้ ทเี่ กิดจากการศึกษา คน้ คว้าให้เกิดประโยชนก์ ับตนเองและผู้อนื่

10 5. ปัจจัยความสาเร็จ 5.1 การจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ ชิงรุกแบบกจิ กรรมเป็นฐาน เรอื่ งแรงลพั ธแ์ ละแรงเสยี ดทาน ของ นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มีการวางแผนในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้อย่างเปน็ ระบบ รดั กุม ทาให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพในการสรา้ งองค์ความรู้ของผู้เรียน 5.2 ผู้สอนและผู้เรียนกล้าที่จะก้าวข้ามขีดจากัดของตนเอง กล้าคิด กล้าลงมือทา หวังผลเพ่ือ พฒั นาตนเองใหเ้ ตม็ ศกั ยภาพ เรยี นรูร้ ่วมกัน 5.3 ผู้เรยี นไดน้ าความรูท้ างวิทยาศาสตร์มาใชใ้ นการอธบิ าย เช่อื มโยง และบูรณาการองคค์ วามรู้ เดิม 5.4 ผู้บริหารและคณะครูให้ความเห็นชอบและให้การสนับสนุนการดาเนินกิจกรรม มีวัสดุ อปุ กรณ์ ท่ีใช้ในการจดั กิจกรรมอยา่ งเพียงพอ 5.5 การประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ท่ีได้จากการทากิจกรรมร่วมกันผ่านการเผยแพร่ท้ังภายใน โรงเรียนและภายนอกโรงเรียน(ออนไลน์) ทาให้องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษา ค้นคว้าได้เผยแพร่ไปในวง กวา้ ง 6. บทเรียนทไี่ ด้รบั (Lesson Learned) 6.1 การระบุขอ้ มลู ท่ีไดร้ บั จากการผลติ และการนาผลงานไปใช้ 1) ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการคน้ คว้า และสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เกิดทักษะการคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ และการคดิ แก้ปญั หา สามารถแกป้ ัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ 2) ผู้เรียนทราบวิธีการค้นคว้าและคัดเลือกข้อมูลหรือองค์ความรู้ได้อย่างถูกต้องและเป็น ระบบ 3) ผู้เรยี นมคี วามภาคภมู ิใจในผลงานหรือนวัตกรรมของตนเองและเพ่ือนร่วมช้นั 4) ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันในเรื่องท่ีเกี่ยวกับการนาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ไปพัฒนา ท้องถิ่น และรู้จักชุมชนของผู้เรียนในหลากหลายแง่มุมมากยิ่งขึ้น สนองตอบหลักสูตรสถานศึกษา และ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 6.2 ข้อเสนอแนะ ข้อควรระวงั 1) ผู้เรียนขาดประสบการณ์และทักษะในการค้นคว้า เลือกใช้และรวบรวมข้อมูล การจัดทา ผลงานหรือนวัตกรรมคร้ังนี้ ผู้สอนจาเป็นต้องดูแล ให้คาแนะนาในลักษณะของผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) และผู้ให้คาแนะนา (Coach) อย่างใกล้ชิด พร้อมช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหา ให้ ขอ้ เสนอแนะเพ่มิ เตมิ ในการปรับปรงุ แกไ้ ขและพัฒนางานให้ดีย่ิงขนึ้ 2) ผู้สอนต้องวางแผนการจัดทาผลงานหรือนวัตกรรมของนักเรียนให้มีความชัดเจน รัดกุม เพอ่ื ใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปตามแผนท่ีกาหนดไว้

11 3) ผู้สอนควรจัดกิจกรรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้มีการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง มี ส่วนร่วมในกิจกรรมมากที่สุดและท่ัวถึงทุกคน โดยให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะกระบวนการต่างๆในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ เพื่อให้สามารถค้นหาความรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ตลอดจนนาความรู้ไป ประยกุ ต์ใช้ในสถานการณ์ตา่ งๆ ได้ อันจะทาใหเ้ กิดความคงทนในการเรยี นรู้ได้ดขี นึ้ อกี ดว้ ย 4) ผู้สอนควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในขณะร่วมทากิจกรรมหรือตอบคาถาม โดยเฉพาะในขั้นตอนการแสวงหาความรู้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลและใช้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ โดยผู้สอนควรมีการช้ีแนะแนวทางในการหา คาตอบมากกว่าการบอกคาตอบน้ันแทน 7. การเผยแพร่/ การได้รับการยอมรับ 7.1 การเผยแพร่ 1) เผยแพร่เป็นเอกสารประชาสัมพนั ธ์ให้กับนกั เรียน และคณะครูในโรงเรยี น 2) เผยแพรเ่ ปน็ เอกสารออนไลน์ (E-book) บนส่อื ออนไลน์ 8. บรรณานุกรม สทุ ศั น์ เอกา. (2557). การเรยี นรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน. สบื ค้นเม่อื 20 มิถุนายน 2566, จาก http://www.krumontree.com/www/index.php/documents/74-abl-activitybasedlearning.

12 ภาคผนวก - ตัวอยา่ งแผนการเรยี นรู้เชงิ รุกรูปแบบกิจกรรมเปน็ ฐาน เรื่องแรงลัพธ์และแรงเสยี ดทาน ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 5 - ภาพกิจกรรมการเรียนรู้เชงิ รกุ รปู แบบกิจกรรมเปน็ ฐาน เรอ่ื งแรงลัพธแ์ ละแรงเสียดทาน ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5

13 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เรอ่ื ง แรงลพั ธ์ เวลา 3 ช่วั โมง ครผู สู้ อน นายจกั รกฤษณ์ ศิริชยานนั ท์ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชีว้ ัด ว 2.2 ป.5/1 อธบิ ายวธิ กี ารหาแรงลพั ธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกัน ท่กี ระทาต่อวตั ถุในกรณี ทว่ี ตั ถอุ ยนู่ ่งิ จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ป.5/2 เขยี นแผนภาพแสดงแรงทก่ี ระทาต่อวัตถทุ ี่อยู่ในแนวเดยี วกันและแรงลัพธ์ที่กระทาต่อวตั ถุ ป.5/3 ใชเ้ คร่ืองชง่ั สปรงิ ในการวดั แรงทก่ี ระทาต่อวตั ถุ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดยี วกนั ท่ีกระทาต่อวัตถุได้ (K) 2. ทาการทดลองเกยี่ วกับการหาแรงลพั ธข์ องแรงหลายแรงในแนวเดยี วกันท่ีกระทาตอ่ วัตถุได้ (P) 3. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาตอ่ วัตถุทอ่ี ยู่ในแนวเดียวกนั ได้ (P) 4. เขียนแผนภาพแสดงแรงลัพธ์ท่ีกระทาต่อวตั ถุได้ (P) 5. มีความม่งุ มน่ั ในการเรียนรู้และการทางานท่ีได้รับมอบหมายตลอดเวลา (A) สาระการเรยี นรู้ การหาแรงลพั ธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกนั ที่กระทาต่อวตั ถุในกรณีท่ีวตั ถุอยนู่ ่งิ สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด แรงลัพธเ์ ปน็ ผลรวมของแรงต้ังแต่ 2 แรงข้ึนไป ทรี่ ว่ มกันกระทาต่อวตั ถเุ ดยี วกนั จึงมีผลทาให้วตั ถุ นัน้ เปลย่ี นแปลงการเคล่ือนที่ไปตามผลของแรงลพั ธ์ ซ่งึ จะมีค่าเทา่ กบั การรวมแรงหลายแรงเป็นแรงเดยี ว สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

14 คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินยั 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมัน่ ในการทางาน 4. กลา้ แสดงออก กิจกรรมการเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรียนร้โู ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ซง่ึ มขี ้ันตอนดังน้ี ช่วั โมงที่ 1 ขัน้ ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1. ครูทกั ทายนกั เรียน แจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2. ครูยกตัวอย่าง หากมีตู้ไม้ 1 หลังอยู่หลังห้องเรียน และนักเรียนต้องการเคล่ือนที่ให้ตู้นั้นออก จากที่เดิม ไปยังสนามฟุตบอล นักเรียนจะมีวิธีการใดบ้างท่ีจะเคล่ือนตู้ไม้หลังนี้ให้ไปถึงสนามฟุตบอล โดยสะดวกและรวดเร็วทสี่ ุด จากนัน้ ใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเหน็ และครูตั้งคาถามเพม่ิ เติมคือ 2.1. นกั เรียนคดิ ว่าทาอย่างไรตู้ไมจ้ ะเคล่อื นท่ีได้เรว็ 2.2.นักเรียนคดิ ว่าการออกแรงในการเคลือ่ นต้ไู มเ้ ป็นอย่างไร 3. ใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอ่ื ง แรงในชีวติ ประจาวนั 4. ครูเปิด สไลด์เพาเวอร์พอย เร่ืองแรงในชีวิตประจาวัน ดู/อ่าน สาระสาคัญของเร่ืองนี้ และ สงั เกตภาพต่างๆ ทน่ี าเสนอ แล้วต้ังคาถามแก่นกั เรียนถึงสถานการณต์ ่าง ( ไปข้างหนา้ ขา้ งหลัง เรว็ ขึน้ ช้า ลง ) 5. ให้นักเรียนยกตัวอย่างสถานการณ์แล้วนามาเขียนหน้าชั้นเรียนให้เพื่อนๆทาย/แสดงความ คิดเหน็ วา่ เพอ่ื นเขียนอะไรลงไป และเกดิ อะไรข้นึ บ้าง 6. จากน้ันเข้าเน้ือหาโดยการถาม นักเรียนรู้หรือไม่ว่าแรงคืออะไร (อานาจที่ทาให้วัตถุเกิดการ เปลี่ยนแปลงตามผลของแรงนั่นๆ) และแรงลัพธ์คืออะไร (ผลรวมของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุเดียวกัน ตั้งแต่ 2 แรงขึ้นไป จึงทาใหว้ ัตถเุ กดิ การเปลย่ี นแปลงตามผลของแรงลัพธ์น่ันๆ) ช่วั โมงท่ี 2 ขนั้ สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูสอนคาศัพท์ คาเฉพาะท่ีเก่ียวข้องกับเน้ือหา (แรง แรงลัพธ์ นิวตัน เส้นแรง ทิศทางของ แรง)

15 2. นักเรียนแบง่ กลมุ่ เปน็ 2 กลมุ่ (กลุม่ ละ 5 คน) จากนน้ั อา่ นหนงั สือเรยี นเก่ยี วกับ เร่ืองแรงลพั ธ์ (แรง แรงลัพธ์ นิวตัน เส้นแรง ทิศทางของแรง) แรงนั้นสรุปความรู้ที่ได้จากการนาเสนอหน้าชั้นเรียน และ อภปิ รายร่วมถงึ หวั ข้อ/เรือ่ งนนั่ ๆ 3. ครูกาหนดลูกศรใช้ในการแทนเส้นของแรง โดยจะมาลูกศรหลายขนาด(ความยาวตามขนาด ของแรง) แล้วให้ทั้งสองกลุ่มแข่งขันกันวางลูกศร(หางต่อไปต่อหัวตัวสุดท้าย)ตามโจทย์ท่ีกาหนด แล้วหา แรงลัพธ์(ลากเส้นจากหางตัวแรกไปยังหัวตัวสุดท้าย)ที่เกิดข้ึน ทีมไหนตอบได้ถูกต้อง และเร็วกว่ากว่าทีม น้ันชนะ 4. ครูอธิบายให้นักเรียนต่อว่า“การออกแรงหลายแรงกระทาต่อวัตถุในทิศทางเดียวกัน จะมีค่า เทา่ กับ แรงเพยี งแรงเดียว ผลลัพธ์ของแรงหลายแรงน้ี เรยี กว่า แรงลพั ธ์” 5. ครูให้นักเรียนดูภาพเด็กกาลังเป็นรถจากหนังสือเรียน แล้วครูอธิบายเก่ียวกับภาพว่า “จาก ภาพเด็ก 1 คนเข็นรถ กับเด็ก 2 คนเข็นรถ แรงท่ีทาให้รถเคลื่อนท่จี ะแตกตา่ งกัน เด็ก 2 คนช่วยกันเขน็ รถ ย่อมมีแรง กระทาต่อรถมากกว่าจึงทาให้รถเคลื่อนที่เร็วกว่า เพราะแรงของเด็ก 2 คนท่ีกระทาต่อรถใน ทิศทางเดียวกัน เทา่ กับผลรวมของแรงทัง้ สองแรงน้นั ” 6. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับแรงลัพธ์ของแรงสองแรงท่ีกระทาต่อวัตถุในทิศทาง เดียวกัน เท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองแรงนั้นจริงหรือไม่ อย่างไร (แนวตอบ ข้ึนอยู่กับดุลยพินิจของ ครูผู้สอน) 7. นักเรยี นแบ่งกลมุ่ กลมุ่ ละ 5 คน ใหแ้ ต่ละกล่มุ ทาการทดลองและอธบิ ายเรื่อง การหาแรงลัพธ์ โดยให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกันทากจิ กรรมที่ 1 การหาแรงลพั ธ์ โดยใหป้ ฏบิ ตั ิกิจกรรม ดงั น้ี 7.1) ให้แต่ละกลุ่มนาดินน้ามันใสถ่ ุงพลาสติกหูหว้ิ แล้วนามาเก่ียวที่ตะขอของเครื่องช่ังสปรงิ และถอื เครื่องชง่ั สปริงในแนวด่ิง จากนนั้ อ่านคา่ ของแรงและบนั ทึกผลลงในสมดุ ประจาตวั 7.2) ช่ังน้าหนักของถุงก้อนหินอีกคร้ังหน่ึง ครั้งน้ีใช้เครื่องช่ังสปริง 2 เครื่อง โดยนาหูห้ิวของ ถุงพลาสติก เกี่ยวที่ตะขอเครื่องช่ังข้างละหู และให้ถือเคร่ืองชั่งสปริงในแนวดิ่ง เพ่ืออ่านค่าของแรงและ บนั ทึก ผล 7.3) ร่วมกันอภิปรายเพ่ือสรปุ ผลการทดลอง ขัน้ อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูให้ตวั แทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงานที่หนา้ ชัน้ เรยี น 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จากการทดลอง ตอนท่ี 1 จนได้ข้อสรุปว่า การใช้ เคร่ืองชั่งสปริง 1 เคร่ือง ช่ังสิ่งของจะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับผลรวมค่าของแรงที่อ่านได้ จากการใช้เคร่ือง ชั่งสปริง 2เคร่ือง ช่ังสิ่งของ ดังนั้น แรง 2 แรง ที่มีทิศทางเดียวกัน จะมีแรงลัพธ์เพียงแรงเดียว ซ่ึงเป็น ผลรวมของแรงทัง้ สองแรงน่ันเอง

16 3. จากนั้นให้นักเรียนทุกกลุ่มร่วมกันอภิปรายผลการทากิจกรรม จนได้ข้อสรุปว่า แรงลัพธ์ คือ ผลรวมของแรงต้ังแต่ 2 แรงขึ้นไป ที่ร่วมกันกระทาต่อวัตถุเดียวกัน จึงมีผลทาให้วัตถุนั้นเปล่ียนแปลงการ เคลอ่ื นทีไ่ ปตามผลของแรงลัพธ์ ชว่ั โมงท่ี 3 ขน้ั ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate) 1. ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเก่ียวกับแรงลัพธ์ วิธีการหาแรงลัพธ์ และการใช้ประโยชน์จากแรง ลัพธ์ จากหนังสอื เรียน 2. ใหน้ กั เรยี นนาความรู้ท่ีได้จากการศึกษาขอ้ มลู มาอภิปรายและรว่ มกนั สรปุ ภายในช้นั เรยี น โดย ให้ครูคอยอธิบายเพ่มิ เตมิ ในส่วนท่บี กพรอ่ ง 3. ครูอธิบายเสริมให้นักเรียนเข้าใจเพิ่มเติมว่า “ในการวัดแรงน้ัน นักเรียนสามารถใช้เคร่ืองชั่ง สปริงวัดค่าของแรงลัพธ์ท่ีเกิดขึ้นได้ ซึ่งมีหน่วยเป็นนิวตัน (โดยมีการเรียกหน่วยของแรงตามชื่อของ เซอร์ ไอแซก นิวตัน)” 4. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อทบทวนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน้ือหาท่ีได้เรียนผ่านมาจาก หนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ โดยสุ่มเรียกชอื่ นักเรยี นให้ออกมาเล่าว่า ตนเองได้รับความรอู้ ะไรบา้ ง 5. นักเรียนเขียนสรุปความรู้เก่ียวกับเร่ือง แรงลัพธ์ โดยเขียนเป็นแผนผังความคิดลงในสมุด ประจาตวั 6. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เพื่อทากิจกรรมสร้างสรรค์ผลงาน ออกแบบและประดิษฐ์กระถางแขวนสาหรับปลูกพืช และนาเสนอแนวคิดในการออกแบบให้เกี่ยวข้องกับ แรงลัพธ์ โดยนาเสนอผลงานหน้าช้นั เรยี น ขน้ั ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครใู ห้นกั เรยี นร่วมกันสรปุ ความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับเร่อื ง แรงลัพธ์ 2. ครูสรุปเพ่ิมเติมอีกว่า ในชีวิตประจาวันของเรามีการนาแรงลัพธ์มาใชป้ ระโยชน์มากมาย เช่น การปนั่ เป็ด การใช้สตั วห์ ลายตวั ลากจงู ซ่ึงเกดิ จากแรงหลายแรงท่ีกระทาทาใหว้ ัตถุเคล่ือนท่ีไปตามทิศทาง ของแรง และถา้ ผลของแรงลัพธ์ทีม่ คี ่าเปน็ ศนู ย์ กจ็ ะทาใหส้ ง่ิ ตา่ ง ๆ เกดิ การหยดุ นง่ิ อยกู่ ับที่ได้เช่นกัน 3. ครูมอบหมายภาระงานให้นักเรยี นหาความรู้ เร่ืองแรงเสยี ดทาดท่จี ะเรียนในครัง้ ถดั ไป

17 การวัดและประเมนิ ผล วธิ วี ัด เครอ่ื งมอื เกณฑ์ รายการวดั ตรวจแบบทดสอบก่อน แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ประเมนิ ตามสภาพจริง แบบทดสอบก่อนเรยี น เรยี น ตรวจสมุดบนั ทกึ สมดุ บนั ทกึ ประเมนิ ตามสภาพจรงิ ระหวา่ งกิจกรรม ประเมนิ การนาเสนอ แบบประเมนิ การนาเสนอ รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์ การนาเสนอผลงาน ผลงาน ผลงาน สังเกตพฤตกิ รรมการ แบบสังเกตพฤติกรรมการ รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์ พฤติกรรมการทางาน ทางานรายบคุ คล ทางานรายบุคคล รายบคุ คล สังเกตพฤติกรรมการ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ รอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑ์ พฤติกรรมการทางานกลมุ่ ทางานกลมุ่ ทางานกลุม่ สงั เกต แบบประเมนิ คณุ ลักษณะ รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ อันพงึ ประสงค์ ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ ส่อื การเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชวี ิตประจาวนั 2. แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ป.5 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 แรงในชีวติ ประจาวัน 3. แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวัน 4. วสั ดุ-อุปกรณ์การทดลองในกจิ กรรม เชน่ โตะ๊ เรยี น ดินนา้ มัน กระดาษแขง็ แผ่นใหญ่ ถุงพลาสติกหูหว้ิ เคร่อื งชง่ั สปริงแบบแขวน 5. วสั ดุ-อุปกรณ์ในการทากจิ กรรมสรา้ งสรรคผ์ ลงาน 6. สมุดประจาตัว แหล่งการเรยี นรู้ 1) หอ้ งเรียน

18 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2 สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 เรื่อง แรงเสยี ดทาน เวลา 3 ชวั่ โมง ครูผสู้ อน นายจักรกฤษณ์ ศิริชยานันท์ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 2.2 ป.5/4 ระบผุ ลของแรงเสียดทานที่มตี ่อการเปลย่ี นแปลงการเคลื่อนทขี่ องวตั ถจุ ากหลักฐาน เชิงประจักษ์ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมายและลกั ษณะของแรงเสยี ดทานได้ (K) 2. ระบปุ ัจจยั ท่มี ผี ลตอ่ ขนาดของแรงเสียดทานได้ (K) 3. มคี วามสนใจใฝร่ ู้หรืออยากรอู้ ยากเห็น (A) 4. พอใจในประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ีเ่ กย่ี วกบั วทิ ยาศาสตร์ (A) 5. ทางานร่วมกบั ผอู้ น่ื อยา่ งสร้างสรรค์ (A) 6. สื่อสารและนาความรู้เร่ืองแรงเสยี ดทานไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P) สาระการเรียนรู้ แรงเสียดทาน สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด แรงเสียดทาน คือ แรงต้านการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ ซ่งึ เกดิ ขึน้ ระหวา่ งพ้ืนผิวสมั ผัสของวตั ถุ 2 ชนดิ และมที ิศทางตรงกันข้ามกบั ทิศทางการเคลอื่ นท่ีของวัตถุ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

19 คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1. มวี นิ ัย 2. ใฝเ่ รยี นรู้ 3. มุง่ ม่ันในการทางาน 4. มีจติ วิทยาศาสตร์ กิจกรรมการเรยี นรู้ จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ซ่งึ มขี น้ั ตอนดงั นี้ ชว่ั โมงที่ 1 ข้นั ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแรงเสียดทานที่ ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอข้อมูล หน้าห้องเรยี น 2. ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจด บนั ทึกของนักเรยี น และถามคาถามเกีย่ วกบั ภาระงาน ดังน้ี 2.1. แรงเสยี ดทานคืออะไร (แนวคาตอบ แรงตา้ นการเคล่ือนท่ขี องวัตถ)ุ 2.2. แรงเสียดทานเกิดขึ้นบริเวณใด (แนวคาตอบ แรงเสียดทานเกิดขึ้นระหว่างพ้ืนผิวสัมผัส ของวตั ถุ 2 ชนิด) 3. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนตั้งประเดน็ คาถามทีน่ ักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคน ละ 1 คาถาม ซง่ึ ครใู หน้ ักเรยี นเตรียมมาลว่ งหน้า และให้นักเรยี นช่วยกนั ตอบและแสดงความคิดเห็น 4. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เกย่ี วกบั แรงเสยี ดทาน โดยครูชว่ ยอธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า แรง เสียดทาน คือ แรงต้านการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ ซ่ึงเกิดข้ึนระหวา่ งพ้ืนผวิ สัมผัสของวตั ถุ 2 ชนิด และมีทิศทาง ตรงกันขา้ มกับทิศทางการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุ ชวั่ โมงที่ 2 ข้ันสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ือง แรงเสียดทาน ในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ ว่า แรงเสียดทาน คือ แรงต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ เสมอ แรงเสียดทานเกิดขึ้นเม่ือออกแรงกระทาต่อวัตถุท่ีหยุดนิ่งให้เร่ิมเคลื่อนท่ีและเกิดขึ้นขณะวัตถุกาลัง เคล่ือนที่ มีผลทาให้วัตถุเคล่ือนที่ช้าลง โดยขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับน้าหนักของ วัตถแุ ละชนิดของพ้ืนผิวสมั ผสั 2. ครแู บ่งนกั เรียนกลุ่มละ 3-4 คน สบื ค้นข้อมูลเกย่ี วกับแรงเสียดทาน ตามข้นั ตอน ดังนี้

20 2.1 แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้น ตามที่สมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของแรงเสียดทาน ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของ แรงเสยี ดทาน และทิศทางของแรงเสยี ดทาน 2.2 สมาชกิ กล่มุ แต่ละคนหรือกลุ่มยอ่ ยชว่ ยกันสืบคน้ ข้อมูลตามหวั ข้อย่อยทีต่ นเองรบั ผิดชอบ โดยการสืบคน้ จากหนังสือ หรืออนิ เทอรเ์ น็ต ในห้องสมดุ โรงเรยี น 2.3 สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพ่ือน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกัน อภิปรายซักถามจนคาดวา่ สมาชิกทกุ คนมคี วามรู้ความเขา้ ใจท่ตี รงกนั 2.4 สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ท่ีได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทา รายงานการศึกษาค้นควา้ เกยี่ วกับแรงเสยี ดทาน 3. ครูคอยแนะนาช่วยเหลอื นักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปดิ โอกาสให้นกั เรียนทกุ คนซักถามเมือ่ มีปัญหา ข้ันอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรมหนา้ หอ้ งเรยี น 2. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายผลจากการปฏิบัติกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น - ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับปัจจัยใด (แนวคาตอบ น้าหนักของวัตถุ และชนดิ ของพนื้ ผิวสมั ผัส) - แรงเสียดทานมีทิศทางใด (แนวคาตอบ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคล่ือนที่ของ วัตถ)ุ 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แรง เสียดทาน คือ แรงต้านการเคลื่อนท่ีของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคล่ือนท่ีของวัตถุ โดย ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยู่กบั นา้ หนักของวัตถุและชนิดของพืน้ ผิวสมั ผสั ชั่วโมงท่ี 3 ขั้นขยายความเข้าใจ (Elaborate) 1. ครแู บ่งนกั เรยี นกลมุ่ ละ 3-4 คน สรา้ งรถลากจูงจากวัสดเุ หลอื ใช้ โดยจะตอ้ งมีลอ้ 2. ครใู หน้ ักเรยี นทดสอบรถลากจูงของกลมุ่ ตนเอง และกาหนดสถานการณ์การลากจูงรถ ดังน้ี 2.1 ลากจูงปกตบิ นพ้ืนกระเบ้ือง 2.2 ลากจูงปกติบนพืน้ ขรุขระ 2.3 ลากจูงปกตแิ ตเ่ พิม่ นา้ หนกั ของรถลากจูงโดยการใส่ดนิ ลงไปบนรถลากจูง - นักเรยี นสังเกต และจดบนั ทกึ ลงสมดุ บันทึก

21 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า แรง เสียดทาน คือ แรงต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางการเคล่ือนท่ีของวัตถุ โดย ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรอื นอ้ ยขึน้ อยู่กบั นา้ หนักของวัตถแุ ละชนิดของพ้นื ผิวสมั ผสั ขนั้ ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเร่ือง แรงลัพธ์แรงเสียดทานเป็น แผนภาพ มายแมปปง้ิ ลงสมุดบันทกึ 2. ครูสรุปเพ่ิมเติมอีกว่า ในชีวิตประจาวันของเรามีการนาแรงเสยี ดทานมาใชป้ ระโยชน์มากมาย ทั้งการเพมิ่ แรงเสยี ดทาน เชน่ การเพ่มิ ลวดลายบนล้อรถ หรอื บนพนื้ รองเทา้ การทาพืน้ ผิวขรขุ ระบนปลาย บนั ได และการลดแรงเสียดทาน เช่น การทาน้ามนั การทาเนนิ ลง เปน็ ตน้ การวัดและประเมินผล รายการวดั วิธวี ัด เครอื่ งมือ เกณฑ์ ความร้เู รื่อง แรงเสียดทาน ตรวจชนิ้ งานหรือภาระงาน งานหรอื ภาระงานของ ประเมินตามสภาพจริง ของกจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ กจิ กรรมฝึกทักษะระหวา่ ง ระหวา่ งเรยี น เรยี น ระหว่างกจิ กรรม ตรวจสมุดบนั ทกึ สมดุ บนั ทึก ประเมินตามสภาพจรงิ การนาเสนอผลงาน ประเมินการนาเสนอ แบบประเมินการนาเสนอ ร้อยละ 70 ผา่ นเกณฑ์ ผลงาน ผลงาน พฤตกิ รรมการทางาน สังเกตพฤตกิ รรมการ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์ รายบคุ คล ทางานรายบคุ คล ทางานรายบคุ คล พฤติกรรมการทางานกลุ่ม สงั เกตพฤตกิ รรมการ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการ รอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑ์ ทางานกลุ่ม ทางานกลมุ่ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ สงั เกต แบบประเมินคณุ ลกั ษณะ รอ้ ยละ 70 ผา่ นเกณฑ์ อนั พึงประสงค์ ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 3 แรงในชีวิตประจาวนั 2. แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ป.5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชวี ติ ประจาวัน 3. แบบทดสอบกอ่ นเรียนหน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงในชีวิตประจาวนั 4. วสั ดุ-อุปกรณก์ ารทดลองในกจิ กรรม เชน่ โต๊ะเรียน ดนิ หลอดน้า เชอื ก แผน่ ฟวิ เจอร์บอร์ด กาว ขวดนา้ 5. สมดุ ประจาตัว แหลง่ การเรยี นรู้ 1) ห้องเรยี น 2) หอ้ งสมดุ

22 ภาพกิจกรรมการเรียนรูเ้ ชงิ รุกรปู แบบกจิ กรรมเป็นฐาน เรือ่ งแรงลพั ธแ์ ละแรงเสียดทาน ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5

23

แบบรายงานวธิ ีการปฏบิ ัติที่เป็นเลศิ (Best Practice) ปีการศกึ ษา 2566 โรงเรยี นวนาสงเคราะห์ สำนักงำนเขตพื้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำสระแก้ว เขต 1 สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน กระทรวงศึกษำธิกำร