ตรรกะ ความรสู้ กึ ความจริง จินตนาการ สัญชาตญาณ เหตุผล ศิลปะและดนตรี วทิ ยาศาสตร์ และภาษา สมอง ซีกซา้ ย vs ซกี ขวา ค้นพบโดยคณุ โรเจอร์สเปอรี่ (Dr.Roger W. Sperry) 50
ทาำ ใหเ้ รารู้มากข้ึนแลว้ ว่า หากพยายามจะคิดสรา้ งสรรค์ โดยใช้สมองซีกขวาแต่เพียงด้านเดียว ก็จะได้แต่ความคิดที่พูด ได้ แต่ทำาไม่ได้ เสมือนมองเห็นปัญหาแต่มองไม่เห็นทางออกของ ปญั หา เหน็ ความมดื ปกคลมุ หอ้ งแตไ่ มอ่ ยากจดุ ตะเกยี งใหแ้ สงสวา่ ง ไลค่ วามมดื ใหห้ มดไปจากห้อง คาำ ถามตอ่ มาคอื ทาำ ไมพวกเขาถงึ เปน็ “อจั ฉรยิ ะขา้ มคนื ” ได้ ? การนอนหลับพักผ่อนสามารถปลดล็อคความสามารถทาง สมองของพวกเขาไดจ้ ริงหรอื ? เรื่องน้ีวิทยาศาสตร์มีคำาตอบ อาจจะฟังดูแปลกเมื่อผล ของงานวจิ ยั บอกวา่ สมองของเราทาำ งานไดไ้ มเ่ ตม็ รอ้ ยในขณะทเ่ี รา กาำ ลงั ตงั้ ใจทาำ งานอยา่ งหนกั ในทางตรงกนั ขา้ มผลของงานวจิ ยั กลบั บอกวา่ สมองกลบั ทาำ งานไดด้ เี มอ่ื เราปลอ่ ยใหส้ มองวา่ งเปลา่ และไร้ จดุ หมาย 51
นักวิทยาศาสตร์ด้านสมองพบว่าความคิดสร้างสรรค์ สามารถเกิดข้ึนได้เม่ือเรากำาลังทำาบางสิ่งบางอย่างท่ีค่อนข้างจำาเจ และซ้ำาซาก เช่น การตกปลา อาบนำ้า นอนหลับ โดยสารโดยรถ ประจำาทาง และกิจวัตรต่างๆที่ไม่ได้ต้ังใจจนเกินไป การทำาในส่ิง ซ้ำาๆที่ไม่ต้องใช้ความคิดและล่องลอยไร้การควบคุมน้ัน เป็นรูป แบบหนง่ึ ในการพกั ผอ่ นของสมองสว่ นนอกซงึ่ เปน็ สมองทท่ี าำ หนา้ ท่ี ในการตัดสินใจ กาำ หนดเป้าหมายและดูแลพฤตกิ รรมทัว่ ไปในชีวิต ประจำาวัน การนอนหลบั ทาำ ใหส้ มองของเราลอ่ งลอยอยา่ งอสิ ระและ ไรก้ รอบ และไดพ้ กั ผอ่ นจากสภาวะปกตทิ ถ่ี กู กระตนุ้ ตลอดเวลาจาก สิ่งเร้าภายนอก เช่น กล่ินอาหาร เสียงโทรศัพท์ ซึ่งจะช่วยทำาให้ เราสามารถปลดล็อคศักยภาพทางสมองได ้ ใหพ้ บเจอกับความคิด สรา้ งสรรค์มากกว่าท่ีเคยเป็น นคี่ อื เหตผุ ลวา่ ทาำ ไมความคดิ ทด่ี ที ส่ี ดุ มกั จะออกมาในตอน ที่เราไม่ได้ตัง้ ใจ ตอนอาบน้าำ ตอนพกั ผ่อนนอนหลับ ไม่ใช่ตอนที่ เรากำาลงั นัง่ จมอยูใ่ นกองเอกสารท่ีทท่ี าำ งาน ถกู กระตุ้นให้ประสาท ตน่ื ตวั ในรา้ นกาแฟหรอื ถกู กดดันด้วยขอ้ มลู จากแผนกตา่ งๆในการ ประชมุ 52
เรอื่ งราวของเหลา่ “อจั ฉรยิ ะขา้ มคนื ” นน้ั ไมม่ อี ยจู่ รงิ หรอื ถ้ามอี ย่กู ถ็ ูกตกแต่งขดั เกลาใหฟ้ งั สนกุ และน่าประทบั ใจ จะมีก็แต่เรื่องราวของเหล่าบุคคลธรรมดาที่ตั้งเป้าหมาย ชีวิตอย่างมีจุดหมายปลายทาง เห็นหนทางว่า เส้นทางไหนนำาไป สคู่ วามสาำ เร็จไดจ้ รงิ แล้วมุ่งมัน่ ทุ่มเทไม่ยอ่ ท้อต่ออุปสรรค มคี วาม กล้าหาญเผชิญความท้าทายต่างๆตลอดเส้นทางและมุ่งมั่นพัฒนา ใหเ้ กดิ ความกา้ วหนา้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพอื่ ไปใหถ้ งึ ความฝนั อนั ยงิ่ ใหญ่ และจุดหมายปลายทางท่ีต้งั ใจไว้ น่ันคือความสามารถที่จะเปล่ียนคนธรรมดาให้เป็น “อจั ฉริยะ” ไดอ้ ย่างแทจ้ ริง ................. 53
“ดูเหมือนวา่ มีอะไรบางอยา่ ง แทรกซึมอย่ใู นองค์กรท่คี อย กัดเซาะความคดิ สร้างสรรค์ ของมนษุ ย์ อะไรบางอย่างท่ดี ูด คุณสมบตั เิ หล่าน้ีออกไปจากตัว พนักงานระหว่างเวลางาน สิ่งนัน้ ทำาใหเ้ หล่าคนทาำ งานเหมือน อยูใ่ นสภาพครง่ึ หลบั คร่งึ ตนื่ จนทาำ ใหศ้ ักยภาพลดลงไปเร่ือยๆ” แกร่ี แฮเมล นักวิจัยแห่งคณะบรหิ ารธรุ กิจ มหาวทิ ยาลัยฮาวาร์ด 54
บทท่ี 5 จินตนาการ องคก์ รเปน็ กลมุ่ สงั คมทใ่ี หร้ างวลั แกไ่ อเดยี สรา้ งสรรคท์ จี่ ะ กลายเปน็ กลยทุ ธส์ ำาคัญในการขับเคลื่อนองคก์ ร ผู้บริหารทุกท่านทราบดีว่าความคิดสร้างสรรค์น้ันมี ความสำาคัญอย่างไร ? แต่กลับไม่ค่อยจะเข้าใจในวิธีในข้ันตอน กระบวนการในการก่อให้เกิดไอเดียสรา้ งสรรค์เท่าไหรน่ ัก ทห่ี นกั กวา่ นนั้ คอื มผี บู้ รหิ ารและนกั จดั การหลายคนเชอื่ วา่ การทไี่ ดบ้ รษิ ทั จะไดไ้ อเดยี สรา้ งสรรคม์ าแตล่ ะชนิ้ นน้ั เปน็ เรอ่ื งของ โชคชะตาเหมือนกับการเสี่ยงโชค แต่ทำาไมพวกเราถึงผูกติดความ ราำ่ รวยกบั โชคชะตา ? 55
ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทย มีพ้ืนฐานจากประเทศ เกษตรกรรมในสมยั ทปี่ ระเทศไทยยงั อยใู่ นสมยั โบราณและคนยงั ไม่ เขา้ ใจระบบชลประทานดพี อ การทเ่ี กษตรกรคนไหนจะมง่ั คง่ั รา่ำ รวย หรือด้อยคา่ ยากจนทัง้ หมดถูกกาำ หนดโดยฟา้ ฝนและบญุ วาสนา ความรำ่ารวยขึ้นอยู่กับว่าพระพิรุณจะปราณีให้ฝนตกลง ในพนื้ ทขี่ องใคร ถา้ ฝนตกลงในทน่ี าของใครเยอะเจา้ ของกจ็ ะมงั่ คง่ั ราำ่ รวย ถา้ ตกในทนี่ าของใครนอ้ ยกจ็ ะมสี ภาพแหง้ แลง้ ไมม่ ผี ลผลติ และเมื่อความเชื่อเหล่าน้ีถูกปลูกฝังส่งต่อมาตั้งแต่บรรพ กาล ฝังรากมาจนถึงยุคปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไทยจะมี ความเชื่อว่า ความรำ่ารวยนนั้ จะมาคู่กับโชคชะตา บรษิ ทั ขนาดใหญเ่ ชอื่ วา่ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ปน็ เรอื่ งทยี่ ง่ิ ใหญเ่ หมอื นการขดุ เพชรออกจากเหมอื งทตี่ อ้ งกนิ และใชท้ รพั ยากร จำานวนมาก ตัวอย่างท่ีชัดเจนที่สุดคือการคิดค้นนวัตกรรมของ บริษทั 3 M ท่ที ุ่มงบประมาณมหาศาลใหก้ บั ฝ่าย R&D จนไดพ้ บ กบั สตู ร “3,000 ตอ่ 1” เปอรเ์ ซน็ ตท์ ป่ี ระเมนิ ความเปน็ ไปไดใ้ นการ คน้ พบนวตั กรรม วา่ ตอ้ งใชอ้ ตั ราสว่ นไอเดยี ทชี่ ดั เจนแลว้ ราว 3,000 ไอเดยี ถงึ จะไดห้ นง่ึ ไอเดยี ทป่ี ระสบความสาำ เรจ็ แตก่ ใ็ ชว่ า่ นวตั กรรม จะถูกสร้างข้ึนด้วยการค้นคว้าออกแบบในฝ่ายวิจัยและพัฒนาใน อยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั 56
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความคิดสร้างสรรค์ท่ีสามารถ สร้างขึ้นมาจากไอเดียของบุคคลคนเดียวหรือกลุ่มคนที่มีอยู่แค่ไม่ กคี่ น เชน่ การเกิดของบรษิ ทั แอปเปลิ ของ สตฟี จ๊อบส ์ ทรี่ ่วมมือ กับ สตีฟ วอสเนยี ก หรอื การเกดิ ข้นึ ของบรษิ ัท ไมโครซอฟต์ ของ บิล เกต เป็นต้น ดงั น้นั ปจั จยั ท่ีทาำ ให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรคไ์ ดค้ ง ไม่ใช่ขนาดและเงนิ ทนุ เพยี งอย่างเดยี ว เบตต ้ี เน สมทิ ธ อดตี เลขานกุ ารสาวทเ่ี บอื่ เหลอื ทนกบั การ ทต่ี ้องพมิ พ์เอกสารใหมท่ ้งั หนา้ เพียงแคเ่ พราะคาำ ผดิ เพียงคำาเดียว เธอจึงได้ทดลองนำาสีทาบ้านสีขาวและขวดนำ้ายาทาเล็บมาผสม กันเปน็ การเกิดข้นึ ของนา้ำ ยาลบคำาผิดเงนิ ล้าน หรอื ลิควดิ เปเปอร์ (liquid paper) ตัวอย่างทั้งหมดเป็นการฉายภาพเพื่อแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยท่ีทำาให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้คงไม่ใช่ขนาดและเงินทุน เพยี งอย่างเดียว ถ้าเป็นเช่นนนั้ ปจั จัยคืออะไร ? ไอเดียสร้างสรรค์อาจจะเกิดได้หลายร้อยพันแบบ แต่ เกือบทั้งหมดจะมีหลักกิโลเมตรแรกเหมือนกัน น่ันคือการเริ่มตัน จากจินตนาการ (Imagination) 57
ภาษาอังกฤษเกือบทุกคำาได้อิทธิพลมาจากภาษาละติน (Latin) หากสืบค้นลึกลงไปในจะพบว่า “ความคิดสร้างสรรค์” (Creativity) น้ันมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า “creo “ ซ่ึง มีความหมายคล้ายคลึงกับคำาว่าการ “สร้างหรือทำาให้เกิด” (to create, make) จินตนาการจึงเป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับความคิด สรา้ งสรรค์อย่างไมส่ ามารถหลีกเลีย่ งได้ เพราะเป็นวธิ ีในการสร้าง ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้หลากหลายท่ีสุดโดยท่ีไม่ต้องคำานึงถึงรูป แบบ 10 บวก 10 เปน็ เทา่ ไหร?่ เช่อื ว่าทกุ ท่านคงตอบได้ว่า 20 แต่ถ้าเราแทรกแซงเล็กๆน้อยๆ เพื่อเปลี่ยนแค่ลำาดับ คาำ ถามนิดหน่อยว่า อะไรบวกกบั อะไรถงึ เป็น 20 ? เชอ่ื แนว่ า่ คำาตอบเปน็ ไปไดห้ ลายร้อยรูปแบบ 58
CREATIVITY (ความคดิ สรา้ งสรรค)์ ร า ก ศั พ ท์ creo คร-ี โอ เป็นภาษาลาติน แปลว่า To create To make = การสร้าง , ทำใหเ้ กิด 59
นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นว่าคำาถามสามารถบ่งบอกได้ถึง คำาตอบ ถ้าเราถามคำาถามท่ีไม่มีท่ีว่างให้จินตนาการก็ไม่มีทางท่ี จินตนาการจะกำาเนดิ ได ้ ดังนั้นถา้ เราต้องการจินตนาการเรากต็ ้อง เหลอื ทว่ี ่างให้กับจนิ ตนาการ มีองค์กรและหน่วยงานหลายแห่งพยายามส่งเสริม สนับสนุนให้พนักงานมีจินตนาการ แต่เป็นเรื่องท่ีน่าเสียดายคือ องคก์ รไมค่ อ่ ยจะเวน้ ทว่ี า่ งใหพ้ นกั งานไดป้ ลกุ จนิ ตนาการไดก้ าำ เนดิ ขน้ึ มาเทา่ ไหรน่ กั และ ถา้ เปน็ เชน่ นน้ั จนิ ตนาการจะกาำ เนดิ ขน้ึ มาได้ อยา่ งไร ? อุปสรรคสำาคัญที่ปิดก้ันและขัดขวางจินตนาการของ มนุษย์ ท่สี ุดคือความกลัว ซึ่งถ้าจะเอาชนะความกลัวเรากต็ อ้ งทำา ในส่ิงทต่ี รงกนั ขา้ ม แตส่ ิง่ ที่อยตู่ รงกนั ขา้ มกับความกลวั ในทีน่ ้ไี ม่ใช่ ความกลา้ หาญ แต่คอื ความร้สู กึ ปลอดภยั เมื่อท่านรู้สึกถึงความปลอดภัย เร่ืองราวต่างๆในหัว ของท่านจะมีความลื่นไหล สร้างความเชื่อมโยงจุดประกายความ สนกุ สนานทกุ อย่างเปน็ ไปตามธรรมชาต ิ แตถ่ ้าเราไม่รู้สึกถึงความ ปลอดภยั จะทาำ ใหเ้ ราตะกกุ ตะกกั พะวงเกรงกลวั รสู้ กึ อดึ อดั และบาง ครั้งก็ล่มกลางทางจนไม่สามารถทจ่ี ะไปต่อได้ 60
ลองสังเกตดูว่าเวลาท่ีท่านอยู่ในวงคนที่สนิทและไว้ใจ ท่านสามารถเล่าเร่ืองราวได้อย่างสนุกสนานและมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะ เป็นเร่ืองราวร้ายๆ ท่ีเกิดข้ึนหรือแม้แต่ประสบการณ์สุดแสนเจ็บ ปวดที่ผ่านมา ทา่ นก็สามารถเชอื่ มโยงกับเร่อื งใกลต้ ัวใหส้ นกุ สนาน ได้ แตเ่ มอ่ื ไหรท่ ที่ า่ นรสู้ กึ ไมป่ ลอดภยั เมอ่ื ตอ้ งไปนาำ เสนองาน ตอ่ หนา้ ทป่ี ระชมุ ทา่ นจะรสู้ กึ ถงึ ความเกรง็ และไมส่ ามารถเลา่ เรอ่ื ง ไดอ้ ยา่ งลน่ื ไหลและเปน็ กนั เอง จนิ ตนาการจะกาำ เนดิ ไดเ้ มอื่ คนเรารสู้ กึ ปลอดภยั และเมอื่ คนเรารสู้ กึ ถงึ ความปลอดภยั มนษุ ยถ์ งึ จะสามารถสรา้ งสรรคผ์ ลงาน ได ้ ดงั นน้ั ความทา้ ทายขององคก์ ร คือ จะทาำ อย่างไรใหห้ นักงาน รูส้ ึกถงึ ความปลอดภัย และมพี ้ืนทใ่ี หแ้ สดงผลงาน คำาว่า “ความคิดสร้างสรรค์” น้ันถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ เปน็ ช่ือทีต่ ั้งใหด้ ูโก้เกล๋ าำ้ ลึกเพยี งอยา่ งเดียว แต่เปน็ สิ่งทสี่ ามารถใช้ งานไดจ้ ริง จงึ กลายเป็นคำาสำาคญั ท่ีมเี สน่หช์ วนหลงใหล เพราะไอ เดยี สรา้ งสรรค ์ เปรยี บเสมอื นแหลง่ รายไดท้ สี่ รา้ งความเตบิ โตมนั่ คง และแขง็ แกรง่ ใหก้ บั บรษิ ทั หรอื เปลย่ี นสภาพของกจิ การเลก็ ๆทเ่ี รมิ่ ตน้ ในครวั เรอื นใหเ้ ตบิ โตขนึ้ มาเปน็ ธรุ กจิ ขนาดใหญท่ มี่ พี นื้ ฐานมน่ั คง เปน็ แลนด์มารค์ สถานท่ที ่ตี ้องตาต้องใจของแหล่งเงนิ ทนุ 61
ดงั วลอี นั อมตะทอ่ี ลั เบริ ต์ ไอนส์ ไตน ์ นกั วทิ ยาศาสตรท์ ยี่ ง่ิ ใหญ่ที่สุดทิ้งเอาไว้ให้แก่โลกใบน้ีว่า “จินตนาการสำาคัญกว่าความ รู้ เพราะความรูม้ ีพ้ืนทจี่ ำากัด แต่จนิ ตนาการมีทกุ ที่บนโลก” ต่อให้ มีความรู้มากขนาดไหน แต่ถ้าหากไม่มีจินตนาการก็ไม่มีทางรู้เลย วา่ จะเอาความรนู้ น้ั สง่ ออกไปทไี่ หน ? นาำ ไปใชก้ บั อะไร ? 62
10 10 คำถามปลายปดิ ตอบได้แบบเดยี ว 20 สามารถตอบไดห้ ลายรูปแบบ คำถามปลายเปดิ เพราะมกี ารเปิดพืน้ ท่วี ่าง ให้จินตนาการ 63
“มีหลายครั้งทท่ี ีมเราได้ แรงบันดาลใจจากกองขยะ บางคร้งั คณุ แคน่ าำ มันมารวม กับจินตนาการ และประดษิ ฐบ์ าง อย่างขึน้ มาในเวลาทเ่ี หมาะสม” ทอมัส แอลวา เอดสิ นั นักประดิษฐ์และนกั ธรุ กิจชาวอเมรกิ นั ผพู้ ัฒนาเครือ่ งมือมากมายทส่ี ่งอทิ ธิพลกับชีวิตคนท้ังโลก จนได้ฉายาว่า“พอ่ มดแห่งเมนโลพารก์ ” (The Wizard of Menlo Park ) 64
บทท่ี 6 นกั สะสม ลูกม้าเกิดเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถยืนบนขาตัวเองจน เดินไปไหนมาไหนได้ ลูกแมวหลังจากลืมตาไม่ก่ีวันก็สามารถออก หากนิ เองและดแู ลตวั เองได ้ แตล่ กู คนตอ้ งใชเ้ วลาอยหู่ ลายปใี นการ ให้พ่อแม่และคนท้ังตระกูลเลี้ยงดูประคบประหงมถึงจะเติบโตจน สามารถดำาเนนิ ชวี ติ ของตัวเองได้ มนุษย์น้ันอ่อนแอ ไม่ได้เกิดมาแข็งแกร่งเหมือนสัตว์ ชนิดอื่นๆ แต่อะไรคือปัจจัยที่ทำาให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมท่ีแสนจะ บอบบาง กลายมาเปน็ ผยู้ ืนอย่จู ุดสงู สดุ ของห่วงโซอ่ าหารได้ ? 65
มนษุ ยน์ นั้ นอกจากจะมีความสามารถในการใช้ไฟ ทำาให้ สัตว์ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยท่ีมีความสำาคัญไม่ย่ิงหย่อน ไปกวา่ กนั คอื มนษุ ย์นนั้ รจู้ กั ใช้ “เครอ่ื งมือ” เครอ่ื งมอื ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทเ่ี กดิ ตามธรรมชาต ิ แตเ่ กดิ จากการสรา้ ง ขนึ้ ดว้ ยนาำ้ มอื มนษุ ย ์ เรม่ิ จากการหยบิ ของมากกวา่ สองสง่ิ มาผสมกนั แล้วให้ความหมายใหมจ่ นกลายเปน็ “สิ่งใหม”่ หนิ ทม่ี คี มนาำ มาผสมกบั ไมด้ า้ มยาว จะกลายเปน็ “หอก” อุปกรณ์ไฮเทคที่คนยุคหินสมัยน้ันต้องพกติดตัวไว้เพ่ือป้องกัน อันตรายและไล่ต้อนสัตว์ให้ตกหลุมพรางเพื่อนำามาเป็นอาหาร ทอ่ นไม้ขนาดถอื ได้นำามาผสมกับกองเพลิง จนกลายเปน็ “คบไฟ” อุปกรณ์ส่องสว่างชิ้นแรกของประวัติศาสตร์ท่ีทำาให้มนุษย์ไม่เป็น อาหารมือ้ ดกึ ของเหล่าสัตว์รา้ ยในเวลาพระอาทิตยล์ บั ขอบฟ้า คำาถามก็คืออะไรท่ีทำาให้มนุษย์สามารถนำาสิ่งของสองส่ิง มาผสมกนั เพอื่ สร้างเป็นสิง่ ใหม่ได้ ? คาำ ตอบก็คือมนษุ ยน์ ั้นเปน็ นกั สะสม 66
ทอ่ นไมข้ นาดพอดมี อื ก้อนหินปลายแหลม เถาวัลย์ หอกเอาไว้ลา่ สตั ว์ และป้องกันสัตว์ร้าย 67
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลอื่นๆ เช่น ม้าลาย เสือดาว ท่มี นี ้าำ หนัก 60 กโิ ลกรัมน้ัน จะมขี นาดสมองประมาณ 200 กรัม แต่มนุษย์หนัก 60 กิโลกรัม มีขนาดสมองอยู่ที่ 1200-1400 กรมั สมองของผู้ชายหนักประมาณ 1,400 กรัม และ ของ ผู้หญิง ประมาณ 1,250 กรัม ไอน์สไตน์ซ่ึงเป็นอัจฉริยะทาง วิทยาศาสตร์ มีนำ้าหนักสมองเพียงประมาณ 1,230 กรัม สมอง ชา้ งหนกั 5,000 กรัม ขณะทีส่ มองปลาวาฬหนกั 9,000 กรมั ถา้ เทยี บคาำ นวณเปน็ รอ้ ยละจะอยทู่ ่ี 0.02 ขณะทม่ี นษุ ยจ์ ะอยทู่ ร่ี อ้ ยละ 2 ซึ่งนอ้ ยกว่าหนูอยู่ทีร่ ้อยละ 3 ข้อมูลนช้ี ้ใี ห้เหน็ ว่าสดั ส่วนของน้ำา หนักสมองต่อน้าำ หนกั ตัว ไมไ่ ด้เป็นดชั นีบ่งชคี้ วามฉลาดและคนหวั โตไมไ่ ด้ฉลาดกว่าคนหัวลบี คณุ สมบตั พิ เิ ศษของสมองมนษุ ยซ์ งึ่ แตกตา่ งจากสตั วช์ นดิ อ่ืนคือ มนุษย์น้ันรู้จักการประมวลผลจดจำา เมื่อมนุษย์เดินทางไป พบเจอส่ิงต่างๆท่ีแปลกใหม่หรือต้องตาต้องใจ มนุษย์จะมีความ รูส้ ึกอดรนทนไม่ได้ทจ่ี ะต้องหยิบติดไมต้ ิดมอื มา เม่ือเก็บเล็กผสมน้อยจนกองของฝากจากแดนไกลมี ปรมิ าณขนาดใหญถ่ งึ จุดหนง่ึ ยามว่างจากการหุงหาอาหารและล่า สตั ว ์ มนษุ ยจ์ ะใชเ้ วลาทเี่ หลอื ในการประดษิ ฐ ์ คดิ คน้ โดยเกบ็ เศษชน้ิ 68
ส่วนจากส่ิงต่างๆแล้วมามัดรวมกัน เพื่อสร้างเป็นส่ิงอำานวยความ สะดวกในการดำารงชีวติ หรือท่เี รียกส้นั ๆวา่ “อุปกรณ”์ มนุษย์พยายามอย่างแสนสาหัสในการประดิษฐ์อุปกรณ์ เพราะมนุษย์นั้นเข้าใจในธรรมชาติดีว่าตัวเองน้ันอ่อนแอบวกกับ การมองโลกในแง่ร้ายหน่อยๆ หลายๆครงั้ ทม่ี นษุ ย์ยคุ หนิ คดิ เยอะ จนฝนั รา้ ยวา่ จะมสี ตั วร์ า้ ยโผลม่ าหาโดยไมไ่ ดต้ ง้ั ตวั จงึ รสู้ กึ กลวั และ เกบ็ สะสมอปุ กรณท์ นี่ า่ จะตอ้ งใชใ้ นอนาคตอยขู่ า้ งตวั อยตู่ ลอดเวลา เผอ่ื เวลาทต่ี อ้ งใช ้ นนั่ สามารถอธบิ ายไดว้ า่ ทาำ ไมหลายคนถงึ ได ้ รสู้ กึ อุ่นใจในการมีหนังสือที่ไม่เคยได้อ่านวางไว้ในห้องนอน มีเสื้อผ้าที่ ไมเ่ คยใส่เลยแขวนอยบู่ นต้เู ส้ือผา้ มีอุปกรณช์ า่ ง เช่น ค้อน ตะป ู ไขควง ครบชดุ ทัง้ ๆทบี่ อกตัวเองว่าจะไมม่ ที างทาำ งานช่าง เราทุกคนล้วนเเล้วเเต่เป็นนักสะสม และเราสร้างตัวตน และผลงานจากสงิ่ ทเ่ี ราใหค้ า่ ราคา แต่การ “สะสม”น้ันเป็นคนละความหมายกับคำาว่า “กกั ตุน” การกกั ตุนคือการเก็บทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งทข่ี วางหนา้ มาไว้ใน คลงั จนกระทง่ั มากเกนิ จนนาำ มาใชป้ ระโยชนไ์ มไ่ ด ้ แตก่ าร “สะสม” นน้ั หมายถงึ การใหค้ วามสาำ คญั กบั คณุ ภาพมากกวา่ ปรมิ าณ คดั สรร ส่งิ ทด่ี ี เลือกสรรสิง่ ท่ีเหมาะกับตัวเรา เพ่ือเปน็ วัตถุดบิ ในการสรรค์ สรา้ งผลงาน 69
เมอ่ืได้รบั ขอ้ มลู มาใหม่ ใช่ ควรค่านำสะสมไหม ? ไมใ่ ช่ ไมแ่ นใ่ จ เกบ็ ไว้ใน แน่ใจไหม? โกดังไอเดยี แน่ใจ 70
นักศึกษาศิลปะหรือผู้ที่คุ้นชินกับระบบการศึกษาคงเคย ไดย้ นิ ชอ่ื วชิ า “ศิลปะวจิ ักษณ์” หรือ “Art appreciation” วิชาท่ี วา่ ดว้ ยการศกึ ษารปู แบบของศลิ ปะและหลกั การทางสนุ ทรยี ศาสตร์ ในสมัยต่างๆ วิชานจ้ี ะอยใู่ นกล่มุ วิชาพนื้ ฐานกอ่ นที่จะใหน้ กั ศกึ ษา เลือกวิชาเอก ข้อดีนอกจากจะเป็นการบังคับให้นักศึกษาดูงานใน หลายๆรูปแบบเพอ่ื จะได้มหี ตู าท่ีกว้างไกลแลว้ ยังเป็นการปลกู ฝงั รสนิยมหลายๆแบบให้นักศึกษาก่อนท่ีจะเลือกเอกลักษณ์ของตัว เอง จอห์น เลนนอน นักดนตรีหัวหอกของวงเดอะบีเทิลส์ วงดนตรีท่ีกลายเป็นตำานานในประวัติศาสตร์วงการดนตรีโลกจาก เกาะอังกฤษ หากรู้ช่ือเสียงเรียงนามของเขา ถ้าให้เดาคงจะคิด ว่าเขาเรียนจบด้านการดนตรีและขับร้อง แต่จริงๆแล้วเขาเป็น นกั เรยี นศิลปะทีว่ ิทยาลัยศลิ ปะลเิ วอร์พูลมากอ่ น และการที่เขาได้ ศึกษาศิลปะในหลายๆมุมมองทำาให้เขามีความเข้าใจในความคิด อา่ นของศลิ ปนิ และนกั กวีทีม่ ีผลงานท่โี ดดเด่นในแต่ละยคุ สมยั ดว้ ยความทเี่ ขาชนื่ ชอบการเลน่ ดนตร ี เขาจงี ลองเลน่ เพลง ของศลิ ปินดงั ในตอนนั้น เชน่ บดั ด้ี ฮอลล ่ี ลิตเตลิ รชิ ารด์ และเอล วสิ เพรสลยี ์ แตเ่ ขาไมไ่ ดศ้ กึ ษาแคท่ าำ นองดนตรอี ยา่ งเดยี ว แตไ่ ดด้ าำ ดิ่งลงลึกไปถงึ วธิ กี ารแตง่ เพลง คำาสมั ผัสและจังหวะจะโคน พอเขา ไดม้ โี อกาสแตง่ เพลงทเี่ ปน็ ของตวั เขาเอง เพอื่ เลน่ กบั พอล แมก็ คาร์ 71
ตนีย์ จอรจ์ แฮรร์ สิ นั และ ริงโก สตาร ์ ภายใตช้ ื่อวงเดอะบที เทลิ ส์ เขาจึงนำาวิธีคิดของอาจารย์แต่ละท่านนำามาตีความและถ่ายทอด ในมมุ มองใหม ่ แต่ไม่ใชผ่ า่ นทางพูก่ นั และฝแี ปรง แตเ่ ป็นบทกลอน ทผี่ สมคลกุ เคลา้ กบั เสยี งกตี าร ์ จนขยบั สถานะจากวงดนตรสี คี่ นจน กลายเป็นสัญลักษณท์ างประวตั ิศาสตร์ เป็นการยากท่ีจะเลือกสิ่งใดส่ิงหน่ึงจากส่ิงที่หลากหลาย แตจ่ ะงา่ ยกวา่ เมอื่ ตอ้ งเลอื กในสงิ่ ทเี่ ราเลอื กไวแ้ ลว้ ดงั นนั้ เมอื่ ทา่ นมี ตวั เลอื กในใจแลว้ วา่ ทา่ นชน่ื ชอบผลงานของนกั สรา้ งสรรคค์ นไหน ? ใหศ้ กึ ษาเรอื่ งราวของนกั สรา้ งสรรคร์ นุ่ พวี่ า่ เขามวี ธิ คี ดิ อยา่ งไรอะไร ทหี่ ลอ่ หลอมเขาใหก้ ลายเปน็ คนทท่ี า่ นชน่ื ชม และเมอ่ื ทา่ นศกึ ษาเขา ดแี ลว้ เพยี งพอแลว้ ใหท้ า่ นโดดไปหานกั สรา้ งสรรคอ์ กี คนทท่ี า่ นชน่ื ชอบลาำ ดบั ทสี่ อง แลว้ ทาำ แบบเดมิ กบั แรก และเมอื่ จบคนทส่ี องแลว้ ก็ทาำ กบั คนท่ีสามและคนท่สี ่ไี ปเรอ่ื ยๆ ทาำ ไมถงึ ตอ้ งเรยี นรจู้ ากหลายๆคนกนั ละ่ ? เพราะถา้ เรยี น จากอาจารยค์ นหนงึ่ คนใดทา่ นจะ “ลอกเลยี น” ผลงานของไอดอล ท่ีท่านชื่นชอบและท่านไม่มีทางแซงหน้าเขาได้เลย เพราะท่านมี เอกลกั ษณแ์ ละทรพั ยากรตา่ งจากเขา จงึ เปน็ เรอื่ งธรรมดาทคี่ ณุ ภาพ จะตา่ งกัน 72
แตถ่ า้ ทา่ นเรียนจากหลายๆ คนแลว้ นำาวตั ถดุ บิ สง่ิ ดๆี จาก แตล่ ะคนมาผสมกนั แลว้ นาำ มารอ้ ยเรยี ง เชอื่ มโยงกนั เสยี ใหมท่ า่ นไม่ ได้กาำ ลงั “ลอกเลยี น” แต่กาำ ลงั ”ลอกเรียน” จากหลายๆอาจารย์ แลว้ นำามาออกแบบเส้นทางของตนเอง เพื่อประสบความสาำ เร็จใน แบบฉบบั ของทา่ นเอง เพราะไม่อยา่ งน้ัน ถึงแม้ท่านจะลอกเลียนไดเ้ กง่ เทา่ ไหร ่ เหมอื นแคไ่ หน ประณตี เพยี งใด แตท่ า่ นจะเปน็ แคโ่ รงงานทผี่ ลติ แค่ ของกอ็ ปเกรดตาำ่ ท่ีรอเวลาใหเ้ สื่อมค่าลงเท่านนั้ เอง “ศลิ ปินชั้นดจี ะลอกเลียน ศิลปินผูย้ ่งิ ใหญ่จะขโมย” Pablo Ruiz Picasso (ปาโบล ปิกสั โซ่) 73
“สมองไม่แก่ตามอายุที่มาก ข้ึน แต่ยงั สามารถทาำ งานไดม้ ี ประสิทธภิ าพตลอดอายขุ ัย ถ้าเจา้ ของสมองกระตนุ้ ให้สมอง ทำางาน และสร้างพลงั สมองอย่าง สม่ำาเสมอ” รศ.ดร. กุลยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ ผู้แต่งหนังสือพลงั สขุ ภาพสมอง Healthy brain 74
บทที่ 7 สขุ ภาพสมองกส็ าำ คญั สมอง เป็นอวัยวะท่ีเปรียบเสมือนกับหน่วยประมวลผล ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ คอยออกคำาสั่งเพ่ือควบคุมการทำางานของ อวยั วะต่างๆ ในร่างกาย ไม่วา่ จะเป็นการมองเห็น การไดย้ นิ การ รับกลิน่ การรบั รส และการเคลื่อนไหวของรา่ งกาย รวมไปถึงการ ควบคมุ อารมณ์ ความรู้สกึ ความสามารถในการเรยี นรู้ และจดจำา ส่ิงเหล่านีล้ ้วนแลว้ เกดิ จากการทาำ งานของสมองทัง้ สน้ิ สมองเปน็ สง่ิ ที่มีความสำาคัญอย่างมาก และเป็นอวัยวะที่ ควรจะไดร้ บั การดแู ลรกั ษาเปน็ อยา่ งด ี แตส่ มองกลบั ถกู มองขา้ มให้ เปน็ อวยั วะทไ่ี มอ่ ยใู่ นขา่ ยทตี่ อ้ งทาำ นบุ าำ รงุ รกั ษาเหมอื นหนา้ ตาและ ผิวกาย 75
สาเหตสุ าำ คัญกน็ า่ จะเปน็ ไปได ้ 2 ปจั จยั หลัก หนง่ึ คอื เราหลายตอ่ หลายคนมจี นิ ตภาพทไี่ มค่ อ่ ยจะเชอ่ื ม โยงทกั ษะความฉลาดเขา้ กบั รา่ งกายทสี่ มบูรณแ์ ขง็ แรงเทา่ ไหร่นกั พวกเรามักจะมองเห็นภาพของบุคคลท่ีมีรูปลักษณ์ ร่างกายท่ีสมส่วนมักจะมีโอกาสยากท่ีจะเป็นอัจฉริยะ และในทาง กลับกันผู้ทีม่ สี มองทเี่ ปน็ เลิศก็มักจะไมใ่ ชผ่ ูท้ ่มี รี า่ งกายของนักกฬี า ธรรมชาติสร้างให้ร่างกายต้องได้รับได้รับสารอาหาร ท่ีเป็นประโยชน์ก่อน ถึงจะทำางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ไม่ใช่ร่างกายเท่านั้นที่ต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อบำารุง ฟ้ืนฟู และซอ่ มแซมส่วนที่สึกหรอ แตอ่ วัยวะท่บี างคนนึกไมถ่ งึ เช่น “สมอง” ท่มี ีน้ำาหนักแค่รอ้ ยละ 2 ของนา้ำ หนกั ร่างกาย ก็ต้องการ อาหารบาำ รุงด้วยเช่นกนั และบางคร้ังอาจต้องการอาหารที่มีประสิทธิภาพสูง มากกว่าอาหารโดยท่ัวไปด้วยซำ้าเพราะสมองซึ่งเป็นอวัยวะขนาด เล็ก แตก่ ลบั ตอ้ งใช้พลงั งานมากถึงร้อยละ 18 76
สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากกว่า 1 แสนลา้ นเซลล ์ เชอ่ื มตอ่ กนั เปน็ โครงขา่ ย ทาำ หนา้ ทคี่ วบคมุ ทกุ ระบบ ในรา่ งกาย ทง้ั การคดิ การเรยี นร ู้ ความจาำ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การ เคลือ่ นไหว หรือแมแ้ ต่ การหายใจ ในการดำาเนินชีวิตแต่ละวัน สมองต้องการกลูโคสและ ออกซิเจนเป็นพลงั งานหลกั ในการทาำ งาน โดยเฉพาะออกซิเจนนัน้ ทสี่ มองตอ้ งการมากถงึ 20% ของออกซเิ จนทเ่ี ขา้ สรู่ า่ งกายในแตล่ ะ ครัง้ ที่สดู ลมหายใจ ส่วนของสมองท่ีใช้ในการทำางานมากที่สุด คือ สมอง ส่วนหน้าที่เรียกว่า Forebrain เป็นสมองส่วนท่ีเก่ียวข้องกับ กระบวนการคดิ การจำา และการตัดสินใจ เรียกสน้ั ๆ ว่า สมองสว่ น ผู้บริหาร เมื่อไหร่ท่ีเราต้องใช้ความคิดมากๆ สมองก็ย่อมต้องการ ออกซิเจนมากขึ้น หรืออาจจะมากกว่าปกติ ซ่ึงหากได้รับอาหาร และออกซิเจนไปเล้ียงสมองไม่เพียงพอ ก็จะเกิดอาการท่ีเรียกว่า “สมองล้า” ซ่ึงปรากฏในรปู แบบความรูส้ กึ ชา้ มึน เบลอ ขึน้ มา แบบกะทันหัน 77
Fore brain Mid brain สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง ทำหน้าทีเ่ หมือน “ผบู้ ริหาร” ทำหนา้ ท่เี หมอื น นำขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาวเิ คราะห์ “เลขานุการ” และตดั สนิ ใจ คอยเกบ็ ขอ้ มลู ตา่ งๆ Hind brain สมองส่วนท้าย ทำหนา้ ท่เี หมือน “พนักงานรกั ษาความปลอดภัย” คอยระวงั และปอ้ งกนั ภัยอนั ตรายตา่ งๆ 78
ปจั จยั ทส่ี องคอื คาำ ว่า “อาหารสมอง” เวลาพูดถึง “อาหารสมอง” ในจินตภาพของคนทั่วไป อาจหมายถึงองค์ความรู้และเนื้อหาสาระต่างๆที่ได้จากการอ่าน การฟงั การคิด การได้ยิน หรือจากประสบการณในการเดนิ ทาง แตค่ วามหมายทแี่ ทจ้ รงิ คอื ความหมายทต่ี รงตามตวั อกั ษร หมายถงึ “สารอาหาร” ท ี่ “สมอง” รับเข้าไปช่วงบำารงุ 1 แสนลา้ น เซลลป์ ระสาททง้ั ในสว่ นของสมองและโครงขา่ ยทเ่ี ชอ่ื มโยงระหวา่ ง กนั ในเซลลป์ ระสาท สารอาหารทม่ี ีผลต่อสมอง คอื “ธาตุเหลก็ ” ทมี่ หี นา้ ที่ ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ซ่ึงเป็นตัวการสำาคัญท่ีจะนำา ออกซเิ จนไปเลย้ี งส่วนต่างๆ ได้อย่างราบรื่น คณุ สมบตั ขิ องธาตเุ หลก็ คอื ผลติ เฮโมโกลบนิ ไมโอโกลบนิ และเอนไซมบ์ างชนดิ การขาดธาตเุ หลก็ จงึ สง่ ผลใหเ้ ซลลส์ มองอาจ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้และ ความจำาลดลง 79
ธาตเุ หลก็ เปน็ สารอาหารทร่ี า่ งกายไมส่ ามารถสรา้ งขน้ึ มา เองได ้ ดงั นนั้ จงึ เปน็ สง่ิ จาำ เปน็ ทร่ี า่ งกายตอ้ งไดร้ บั ธาตเุ หลก็ จากการ รบั ประทานเข้าไป โดยแหล่งอาหารที่มีธาตเุ หลก็ สงู ก็คอื ปลา เป็ด ไก ่ ตบั มา้ ม อาหารทะเล เนื้อสตั ว์ ไข่แดง และ ผกั ใบเขยี วเข้มทกุ ชนดิ ไม่วา่ จะเปน็ ใบตำาลึง ผักโขม รวมท้ังถัว่ ดำา ข้าวโอ๊ต และถั่ว แดง เปน็ ต้น นอกจากน้ ี ยังมีสารอาหารหลายชนดิ มีส่วนชว่ ยบำารุงสขุ ภาพของสมอง และกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การเชอื่ มตอ่ ของกระแสไฟฟา้ ใน ระบบประสาท เช่น “น้ำามันปลา” ทมี่ มี ากในเน้อื ปลาทะเลน้าำ ลกึ “วิตามนิ บ”ี จากผลไม้รสเปรยี้ วตระกลู เบอรร์ ี เช่น บลูเบอร์รี สต รอเบอรร์ ี เชอร ี่ กเ็ ปน็ สว่ นหนง่ึ ทที่ าำ ใหร้ ะบบหมนุ เวยี นเลอื ดไปเลย้ี ง สมองดีขน้ึ ชว่ ยลดความดนั โลหิตท่ีสงู ให้สมดุล “เลซติ ิน” จากผกั โขม ไข่ แครอต “วิตามินอี” จากพืชตระกูลถ่ัว อาหารประเภท ธญั พชื แอปเปล้ิ ชอ็ กโกเลต แปะกว๊ ย ทเี่ ชอื่ กนั วา่ มสี ว่ นชว่ ยปอ้ งกนั โรคสมองเส่อื มได้ รวมท้งั โสมที่ถือว่าเปน็ พืชทชี่ ่วยบำารงุ สมองและ รา่ งกายได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ แมว้ า่ ในปจั จบุ นั จะมเี ทคโนโลยอี าหารทส่ี กดั สารอาหารที่ บาำ รงุ สมองไวแ้ ลว้ มากมาย ในรปู แบบแคปซลู หรอื อนื่ ๆ เพอื่ อาำ นวย ความสะดวกต่อวิถีชีวิตที่เร่งรีบของมนุษย์ แต่วิถีสังเคราะห์คงไม่ สามารถใหป้ ระสิทธิภาพเทา่ วิถีธรรมชาตไิ ด้ 80
การดแู ลสุขภาพรา่ งกายตนเองอยา่ งเหมาะสม ดว้ ยการ กินอาหารท่ีมปี ระโยชน ์ ออกกาำ ลังกาย ลดความเครียด ยังคงเป็น วิธีท่ดี ที ส่ี ดุ ท่ีจะชว่ ยให้การไหลเวยี นโลหติ ดี สามารถนำาออกซเิ จน ไปบำารุงสมองได้ดีขึ้น ท้ังยังมีส่วนช่วยกระตุ้นให้สมองได้ปรับตัว ทำางานใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากขึ้นดว้ ย มีงานวิจัยจำานวนไม่น้อยบ่งชี้ว่าการออกกำาลังกายเป็น ประจำา จะช่วยเพ่มิ สมรรถนะของสมองใหม้ ีประสิทธิภาพย่ิงขึน้ การศึกษาของแผนกจิตวิทยา มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา พบว่าหลังจากท่ีกลุ่มผู้ถูกทดลองได้ออกกำาลังกาย เป็นเวลา 30 นาท ี จะมีการตอบสนองในดา้ นความจาำ มากมากกวา่ กลุ่มผู้ทไี่ ม่ไดอ้ อกกาำ ลังกาย นอกจากนี้ การออกกำาลังกาย ยังทำาให้มีความคิด สรา้ งสรรค์มากขนึ้ สามารถแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ไดด้ ขี นึ้ เพราะ การออกกำาลังกายจะช่วยพัฒนาเซลล์ประสาท ในสมองซีกขวา ที่มีผลต่อความคิด และจินตนาการของคนเรา รวมถึงการลด ความเครียดและปรับอารมณใ์ ห้คงที่ไดอ้ กี ดว้ ย 81
ความพร้อมของร่างกาย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ความพร้อมของสมอง และความพร้อมของสมองจะส่งผลกระทบ ตอ่ ความสมบรู ณพ์ รอ้ มของความคดิ ถา้ รา่ งกายไมส่ มบรู ณแ์ ขง็ แรง ออ่ นแอหรอื เจบ็ ปว่ ย กย็ อ่ มเปน็ เรอ่ื งธรรมดาทจ่ี ะสง่ ผลตอ่ จติ ใจและ ความคิด พรอ้ มกนั นค้ี วรหลกี เลย่ี ง “พฤตกิ รรมทที่ าำ รา้ ยสมอง”เชน่ การไม่ทานอาหารเช้า นอกจากจะทำาให้ระดับน้ำาตาลในเลือดต่ำา แล้ว ยงั ทาำ ให้สารอาหารไปเล้ียงสมองไม่เพียงพออกี ด้วย การดมื่ นา้ำ นอ้ ย ซงึ่ จะทาำ ใหร้ า่ งกายขาดนาำ้ ซง่ึ จะสง่ ผลตอ่ สมอง ทตี่ อ้ งอาศยั น้ำาในการทาำ งาน สง่ ผลทาำ ใหส้ มองทำางานเฉ่ือย ชา้ ลง การอดนอนตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลานาน ทาำ ใหส้ มองไมไ่ ดพ้ กั ผอ่ น จงึ ทำาให้เซลล์สมองมีปญั หาได้ การอยผู่ กู ตดิ กบั ความเครยี ดทที่ าำ ใหร้ า่ งกายหลงั่ ฮอรโ์ มน เครียดที่ชื่อคอร์ติซอลออกมา ท่ีส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยเฉพาะ สมอง ทาำ ใหส้ มองตบี ตนั และความจำาเส่อื มได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นอกจากสุขภาพกาย สุขภาพใจ ที่ เราตอ้ งดแู ลแลว้ วนั นีเ้ รายงั ต้องหันมาใส่ใจและใหค้ วามสำาคญั กับ “สขุ ภาพสมอง” อีกด้วย 82
พฤติกรรมทำลายสมอง ผลลพั ธ์ ท่คี วรหลกี เลีย่ ง ไม่ทานอาหารเชา้ จะทำใหส้ ารอาหารไปเล้ยี งสมองไม่พอ สบู บหุ รี่ จะทำให้เปน็ โรคสมองฝ่อและอลั ไซเมอร์ อดนอน ใชเ้ ซลลส์ มองมากเกินไป ทำให้เซลล์สมองออ่ นแอ และตายเรว็ นอนคลุมโปง ปดิ กน้ั ออกซเิ จนให้เดนิ ทางส่สู มองได้น้อยลง ชอบทานอาหารรสจดั ขดั ขวางการดดู ซมึ ของโปรตีนและสารอาหาร กนิ มากเกนิ อม่ิ การกินมากไปจะทำใหห้ ลอดเลือดแดงในสมอง แขง็ ตวั ทำใหค้ วามจำสัน้ *และอื่นๆอีกมากมายหลายสาเหตุ 83
..................................... “ความคดิ สร้างสรรค์ ไมใ่ ชเ่ ร่ืองของความสามารถ แต่เปน็ วถิ ขี องการทำางาน” เซอร์ พอล สมิธ ดีไซเนอร์และประธานบรหิ ารแบรนด์ Paul Smith แบรนดเ์ สือ้ ผา้ ชั้นนำาของโลก 84
บทที่ 8 การประสานพลัง คารบ์ อน (Carbon) เป็นธาตใุ นตารางธาตุท่ีมสี ญั ลักษณ์ C และเลขอะตอม 6 เปน็ พนื้ ฐานของอนิ ทรยี เ์ คมที มี่ คี ณุ สมบตั ทิ น่ี า่ สนใจ คอื สามารถทาำ พนั ธะกบั ตวั เอง และผสมกบั ธาตอุ นื่ ๆ จนกอ่ กำาเนดิ เป็นสารประกอบเกอื บ 10 ลา้ นชนิด ธาตอุ โลหะจงึ ปรากฏ อยูใ่ นสิง่ มชี ีวิตทกุ ชนดิ เม่ือคาร์บอนควบรวมเข้ากับออกซิเจน จะเกิดเป็น “คาร์บอนไดออกไซด์” ซ่ึงจำาเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของ พชื เมื่อรวมกับไฮโดรเจนจะเกิดเป็น “ไฮโดรคาร์บอน” ซ่ึง จำาเปน็ ตอ่ อุตสาหกรรมในรูปแบบของเชอ้ื เพลิง 85
เมื่อรวมกับทั้งไฮโดรเจนและออกซิเจน สามารถจะเกิด เปน็ สารประกอบไดห้ ลายประเภท เช่น “กรดไขมัน” ซ่ึงจาำ เปน็ ต่อ ชวี ติ และ “เอสเทอร์” ซงึ่ ใหร้ สชาตแิ กผ่ ลไม้หลายชนิด การประสานพลงั (Synergy) หมายถงึ การทส่ี ง่ิ ของอยา่ ง นอ้ ยสองสง่ิ ขนึ้ ไป ทาำ การเชอื่ มรอ้ ยเปน็ เนอื้ เดยี วกนั กระบวนการดงั กลา่ วจะนาำ ไปสคู่ ำาตอบและผลลพั ธ์ท่มี มี ลู ค่ามากกว่าเดมิ ยกตัวอยา่ งเชน่ มือกตี า้ รท์ ตี่ อ่ ให้มีฝมี อื ดีแคไ่ หน สุดทา้ ย เพลงท่ีออกมาก็เป็นเพลงท่ีมีแต่เสียงกีต้าร์ ถึงแม้จะสร้างความ บนั เทงิ ได้ แตอ่ าจขาดความไพเราะเสนาะหู เช่นเดยี วกัน นักรอ้ งทีเ่ สียงด ี แตถ่ ้าไม่มีดนตรปี ระกอบก็ จะไมน่ า่ ฟงั แตห่ ากคนสองคนนจ้ี บั มอื กนั ผลติ เพลงหนง่ึ เพลงขนึ้ มา จะก่อใหเ้ กดิ เพลงทมี่ อี งคป์ ระกอบครบและไพเราะนา่ ฟงั เรามกั จะพบเจอกบั คาำ วา่ synergy อยบู่ อ่ ยครงั้ ในแวดวง ของการบริหารธุรกิจ เช่นในสถานการณ์ที่เกิดการควบรวมแผนก หรือบริษัทขึ้น เพ่ือให้เกิดการ win-win ของทุกฝ่าย หรือท่ีนิยม อธิบายกนั ดว้ ยสมการตวั เลขวา่ 1 + 1 = 3 86
อยา่ งไรก็ตาม ถา้ ยอ้ นรอยมองประวตั ิศาสตร ์ และศึกษา ถงึ ทมี่ าของความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรมทเ่ี ปลย่ี นแปลงโลกใบ นไี้ ด ้ จะพบวา่ “แนวความคดิ ของการผสานพลงั “ นนั้ จะแอบแฝง ตัวอยู่ในร่องรอยของการกอ่ กาำ เนดิ ไอเดียอย่เู สมอ นกั วจิ ัยทางสมองช่อื เควนิ ดันบาร์ นกึ สงสัยใครร่ ู้ขน้ึ มา วา่ ความคิดสร้างสรรค์นัน้ เกิดขนึ้ มาไดอ้ ยา่ งไร ? ดว้ ยการทเี่ ขามพี นื้ หลงั เปน็ นกั วจิ ยั ทางดา้ นสมองอยแู่ ลว้ เขาจงึ ตดั สนิ ใจจะหาคาำ ตอบดว้ ยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร ์ (Scientif- ic method) ซึ่งเป็นแบบแผนวิธีการที่เป่ียมไปด้วยหลักฐานและ สามารถพสิ จู นซ์ าำ้ ได ้ ซงึ่ วธิ กี ารดงั กลา่ วจะอยดู่ า้ นตรงขา้ มกบั วธิ กี าร หาคาำ ตอบดว้ ยสญั ชาตญาณซงึ่ เกดิ ขนึ้ ในชวั่ เวลาเพยี งแคแ่ วบ้ เดยี ว ในปี 1990 เขาได้ทดลองหาคำาตอบดังกล่าวในพ้ืนที่ซ่ึง ความคิดสร้างสรรค์และไอเดียต่างๆมักจะก่อตัวข้ึนเสมอ น่ันคือ “ห้องทดลองทางวทิ ยาศาสตร์” ท่เี ขาเปน็ คนดแู ลอยู่ นอกเหนือ ไปกวา่ นน้ั เขาลงทนุ ตดิ ตงั้ กลอ้ งถา่ ยวดิ โี อในทกุ มมุ ของหอ้ งทดลอง ทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือบันทึกเสียงและภาพในทุกกิจกรรมของนัก วิทยาศาสตร์ เพ่ือที่เขาจะได้สืบค้นย้อนรอยว่าวินาทีไหนที่ไอเดีย ของนักวิทยาศาสตร์จะเร่ิมก่อตัวขึน้ 87
พอเขาเอาเทปมานั่งดู มันทำาให้เขาประหลาดใจ เขาคิด วา่ จะเหน็ ภาพเหมอื นในวฒั นธรรมความบนั เทงิ แบบฮอลลวี ดู ทน่ี กั วิทยาศาสตรก์ ำาลังส่องกลอ้ งจุลทรรศน์อย ู่ ระหว่างท่เี ขามองไปใน กล้องจุลทรรศน์และเห็นวัตถุขนาดเล็กกำาลังเต้นรำากันอยู่น้ัน สัก พกั นักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นก็จะได้ไอเดยี ออกมา แต่ในความเป็นจริงเขาพบว่า จุดเร่ิมต้นแรกสุดที่ทำาให้ เกิดความคิดที่ก้าวกระโดดแทบท้ังหมดไม่ได้เกิดข้ึนโดดๆ ในห้อง ทดลอง แต่จะเร่ิมก่อตัวเกิดข้ึนบนพื้นท่ีที่อนุญาตให้ข้อมูลต่างๆ ทาำ การ “ปฎสิ ัมพนั ธ”์ กนั เช่นโตะ๊ ประชุมที่ประชมุ กนั รายสัปดาห ์ หรือแม้แต่ในโรงอาหารท่ีท่ีทุกคนมารวมตัวกันพูดคุยแลกเปลี่ยน ขอ้ มลู ที่ค้นพบลา่ สดุ การทขี่ อ้ มลู มาปฏสิ มั พนั ธก์ นั นน้ั ไมจ่ าำ เปน็ ตอ้ งเปน็ ในรปู แบบของการพูดคุยกันแบบมนุษย์กับมนุษย์เพียงอย่างเดียว การ อ่านรายงาน ดูหนัง ฟังเพลง แม้แต่การอ่านป้ายโฆษณาข้างทาง หรอื บงั เอญิ ไดย้ นิ บทสนทนาของคนอนื่ โดยไมไ่ ดต้ ง้ั ใจกถ็ อื วา่ อยใู่ น ขอบข่ายเหมอื นกนั เมื่อส่ิงที่สุดแสนธรรมดามากกว่าหน่ึงสิ่งมาอยู่ในพื้นที่ บริเวณเดียวกันและหากสามารถสร้างความเช่ือมโยงได้จะก่อให้ เกิดสิ่งมหัศจรรยไ์ ด้อยา่ งไม่น่าเชอื่ 88
เฉกเชน่ เดียวกับการท ่ี เจมส ์ วตั ต ์ คน้ พบวา่ เม่ือไฟท่รี ้อน แรงผสมเขา้ กบั กบั ถา่ นหนิ และเกดิ การสนั ดาปเกนิ กวา่ ความรอ้ นท ่ี 212 องศาฟาเรนไฮต ์ จดุ เดอื ดนน้ั จะทาำ ใหเ้ ปน็ ความรอ้ นทสี่ ามารถ ทาำ ใหน้ าำ้ เดอื ดจนกลายเปน็ “ไอนาำ้ ” พลงั งานทสี่ ามารถขบั เคลอื่ น ผลักดนั เครือ่ งจักรกลขนาดใหญ ่ ทาำ ให้เกดิ การปฏิวัติอตุ สาหกรรม (The Industrial Revolution) นาำ มาสู่การพฒั นารถไฟ สรา้ งเรอื เดนิ สมทุ ร สรา้ งความมง่ั คงั่ ราำ่ รวยใหป้ ระเทศองั กฤษอยา่ งมหาศาล กลายเป็นตน้ แบบแนวทางให้ประเทศอ่นื ๆไดด้ ำาเนินการตาม และ ทำาให้มนุษยเ์ ราเดินมาได้ในทุกวันน้ี หนมุ่ นกั ธรุ กจิ ชาวสหรฐั อเมรกิ า จอรจ์ โทมสั ผซู้ ง่ึ ในอดตี เคยทำางานในโรงงานผลิตนำ้ายาระงับกลิ่นเหง่ือใต้วงแขนมาก่อน แตส่ ามารถตกผลกึ และหาความเช่ือมโยงระหว่าง นาำ้ ยาระงบั กลิ่น เหงอ่ื ใต้วงแขน และลูกกลงิ้ ปลายปากกาลกู ลนื่ ได้ สมการดงั กล่าว กอ่ ใหเ้ กดิ ลกู กลง้ิ ระงบั กลนิ่ เหงอื่ (Roll-on Deodorant) นวตั กรรม ช้ินนี้สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้คนที่ไม่มั่นใจในกล่ินเหง่ือที่มี อยูท่ ว่ั โลก เช่นเดียวกบั เบตต้ ี เนสมทิ เกรแฮม เลขานกุ ารสาวท่ีช่นื ชอบเรื่องงานศิลปะ เธอพบปัญหาการพิมพ์คำาผิดจากเคร่ืองพิมพ์ ดีดบ่อย ๆ เพราะมันลบได้ยาก และหลายคร้ังท่ีเธอต้องพิมพ์ เอกสารใหมท่ งั้ หนา้ เพยี งแคเ่ พราะคำาผิดเพียงคำาเดียว วนั หนง่ึ ใน 89
ขณะท่เี ธอกำาลังรับจ็อบทาสหี น้าต่างอยนู่ ั้น เธอก็คดิ ไดว้ า่ “ศิลปิน ไม่เคยแก้จุดที่ผิดด้วยการลบ แต่พวกเขาจะระบายสีทับจุดน้ัน แทน” เธอจึงขบคิดต่อจนพบกับความเช่ือมโยงระหว่างสีทาบ้าน สีขาวและขวดนำ้ายาทาเล็บ ไอเดียนั้นถูกพัฒนาต่อจนกลายเป็น ลคิ วิด เปเปอร์ (liquid paper) นา้ำ ยาลบคำาผดิ เงนิ ล้าน ใน ป ี ค.ศ. 1976 เธอสามารถผลิตลิควิด เปเปอรไ์ ด้ ถงึ 25 ลา้ นขวด ออกจำาหนา่ ยไปท่วั โลก และต่อมาในป ี ค.ศ. 1979 เธอไดข้ ายกจิ การใหก้ ับบรษิ ทั ยลิ เล็ต (Gillette) ในราคา 47.5 ล้านดอลลาร์ สุภาษิตโบราณว่าไว้ “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” อันหมาย ถึง เม่ือคนสองคนคิดหาทางออกร่วมกัน ย่อมดีกว่าที่ต่างคนต่าง หาทางออกโดยไมป่ รึกษากัน โดยพน้ื ฐานของปจั เจกแลว้ คนเรามกั อยใู่ นมมุ ของตวั เอง ไม่ยอมรับความเห็นของผู้อ่ืน แต่ถ้าเราเปิดใจยอมรับความเห็นที่ แตกต่างได้ สง่ิ นน้ั ยอ่ มนาำ มาซง่ึ ผลลัพธท์ ่คี าดไมถ่ ึง 90
เช่นเดียวกับธรรมชาติที่ได้นำาสสารที่แตกต่างกัน มาทับ ซอ้ นกันและกอ่ ใหเ้ กดิ “กระบวนทางชวี ภาพ” ระบบทเ่ี ออ้ื อาำ นวย อุปถัมภ์เติบโตของสรรพชีวิต เป็นพ้ืนที่ท่ีจะอนุญาตให้กำาเนิดผล ผลิตใหมๆ่ ถา้ ปราศจากปฏกิ ริ ยิ ามหศั จรรยด์ งั กลา่ วโลกใบนจี้ ะไรซ้ ง่ึ “ธาราแห่งชีวติ ” หรือ “primordial soup” และจะเป็นแคด่ าว เคราะห์ดวงหน่ึงท่ีไร้ชีวิตและล่องลอยอย่างปราศจากจุดหมายอยู่ ในเอกภพ 91
ไอเดียที่ 1 ไอเดยี ท่ี 1 ความหมายใหม่ น้ำ ไฟ พลังงานไอน้ำ นำ้ ยาระงับ ลกู กลิ้ง ลูกกล้ิงระงับกลิ่นเหง่อื กลน่ิ เหงือ่ ใตว้ งแขน ปลายปากกาลูกลนื่ ใตว้ งแขน สที าบ้านสขี าว ขวดนำ้ ยาทาเลบ็ นำ้ ยาลบคำผิด 92
“จงบ่นด่าเสน้ ตายใหห้ นาำ ใจ และจงกลา่ วโทษข้อจำากดั ให้เต็มที แต่โปรดจำาไว้วา่ เวลาและปัญหา คือสิง่ ทท่ี ำาใหเ้ ราสร้างสรรคท์ ีส่ ดุ เรามกั พบวา่ ประสทิ ธภิ าพ ในการทาำ งานจะเพ่มิ ขึ้นมาก เมอ่ื เส้นตายใกล้เขา้ มา” สาธิต กาลวนั ตวานิช ผกู้ ำากบั ภาพยนตร์โฆษณามอื ทอง ผูก้ อ่ ตั้งบรษิ ัทโปรดักชัน่ เฮ้าส์อนั ดบั หนึ่งของไทย Phenomena และผู้ก่อต้งั แบรนด์ Propaganda 94
บทที่ 9 ปญั หาคือบิดาของนกั ประดษิ ฐ์ คำาว่า “ความคิดสร้างสรรค์” น้ันถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ เปน็ ชอ่ื ทตี่ ั้งให้ดโู กเ้ กล๋ าำ้ ลึกเพียงอยา่ งเดียว แต่เปน็ สิง่ ท่สี ามารถใช้ งานไดจ้ รงิ จงึ กลายเปน็ คาำ สำาคญั ทม่ี ีเสน่ห์ชวนหลงใหล เพราะไอ เดยี สรา้ งสรรค ์ เปรยี บเสมอื นแหลง่ รายไดท้ ส่ี รา้ งความเตบิ โตมน่ั คง และแขง็ แกรง่ ใหก้ บั บรษิ ทั หรอื เปลยี่ นสภาพของกจิ การเลก็ ๆทเี่ รมิ่ ตน้ ในครวั เรอื นใหเ้ ตบิ โตขนึ้ มาเปน็ ธรุ กจิ ขนาดใหญท่ มี่ พี นื้ ฐานมน่ั คง เปน็ แลนด์มาร์คสถานที่ทีต่ ้องตาต้องใจของแหล่งเงนิ ทุน 95
ก่อนที่เราจะใจร้อนและมองไกลในอนาคต เราควรจะ ถอยไปยังจุดเริ่มต้นเสียก่อน เพื่อมองย้อนไปถึงที่มาและศึกษาว่า “ความคิดสร้างสรรค”์ หมายความว่าอย่างไร ? และเมื่อเราเขา้ ใจ อย่างถ่องแท้แล้ว เราจะมีความสามารถในการถอดบทเรียนของ ความคิดสร้างสรรค์เพ่อื สร้างอนาคตได้ ภาษาอังกฤษเกือบทุกคำาได้อิทธิพลมาจากภาษาละติน (Latin) นอกจากนค้ี าำ ศพั ทท์ ใ่ี ชใ้ นสาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละการแพทย ์ ล้วนเป็นคำาศัพท์ภาษาละตินหรือสร้างจากภาษาละติน และหาก สืบค้นลึกลงไปในจะพบว่า “ความคิดสร้างสรรค์” (Creativity) นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า “creo“ ซึ่งมีความหมาย คลา้ ยคลงึ กบั คาำ วา่ การ “สรา้ งหรอื ทาำ ใหเ้ กดิ ” (to create, make) ดังน้ันในมุมมองที่เข้าใจง่ายท่ีสุดความคิดสร้างสรรค์ หมายความถึงการสร้างส่ิงใหม่ๆ แต่การจะสร้างสิ่งใหม่ๆได้มักจะ เริม่ ตน้ จาก “ปัญหา” (Problem) เสียกอ่ น เพราะถ้าไม่มีปัญหา เกิดข้ึน และปัญหานั้นเราไม่ต้องการจะแก้ก็ไม่มีความจำาเป็นท่ีจะ ต้องสร้างสรรค์วิธกี ารใหม่ๆข้ึนมา เช่ือแน่ว่าคงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของปราชญ์ ตะวันออกอย่างขงจ้ือ (Confucius) และโซเครติส (Socratis) ปราชญ์ตะวันตกแห่งกรุงเอเธนส์ ท้ังสองท่านมีลูกศิษย์ลูกหา 96
มากมายทง้ั ในระดบั วรรณะกษัตริย์จนถึงระดับคนธรรมดา ทั้งสองท่านมีแนวทางการสอนสานุศิษย์ที่คล้ายคลึงกัน ซ่ึงเป็นวิธีเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพท่ีสุด นั่นคือการ “ปุจฉา- วสิ ชั นา” หรอื การถามตอบระหวา่ งครแู ละผเู้ รยี น ระหวา่ งการสอน ท้ังขงจื้อและโซเครตสิ จะหลีกเล่ียงการถาม “คาำ ถามปลายปิด” ท่ี จะสามารถตอบอยา่ งถกู ตอ้ งไดเ้ พยี งสง่ิ เดยี ว แตจ่ ะพจิ ารณาเลอื กใช ้ “คาำ ถามปลายเปดิ ” ทส่ี ามารถตอบไดด้ ว้ ยความคดิ เหน็ สมมตุ ฐิ าน การแทนคา่ ตา่ งๆในหลากหลายเหตผุ ลทใ่ี ชอ้ า้ งตามแตจ่ นิ ตนาการ ของผ้เู รยี น ไม่มีวิธีใดจะกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียนได้ดีเท่ากับ คาำ ถามจากครอู กี แลว้ เมอ่ื ครใู ชป้ ญั หากระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นมคี วามคดิ โลดแลน่ วเิ คราะหเ์ พอื่ หาเหตผุ ล หาความเหน็ เพอ่ื วจิ ารณ ์ นกั เรยี น ถึงจะเกดิ ความคดิ ท่เี ฉยี บคมได้ มนษุ ยท์ กุ คนบนโลกใบนลี้ ว้ นแลว้ แตม่ สี ญั ชาตญาณหนง่ึ ท่ี เหมอื นๆกันนน่ั คอื “เราไมอ่ ยากถูกขอร้องใหท้ าำ สิ่งด ี ๆ ดว้ ยเครอื่ ง มือที่แย่ ๆ” เราไมอ่ ยากเผชิญกบั ความยากลำาบากท่ไี ม่จาำ เปน็ จึง เป็นเร่ืองธรรมดาท่ีเราจะพยายามอย่างมากในการหาวิธีหลีกเล่ียง จากปญั หาท่ดี เู หมอื นจะมดื มนและไร้ซึง่ ทางออก 97
“ผมยอมแลกเทคโนโลยที ง้ั หมดทผ่ี มมี เพื่อใชเ้ วลาชว่ งบ่ายกับ โซเครติส” Steve Jobs (สตีฟ จอ๊ บส)์ 98
แต่ในหลายๆ คร้ังปัญหาหรืออุปสรรคที่ขวางทางเราอยู่ และพยายามหาวิถีทางในการคล่ีคลายอยู่น้ัน อาจเป็นเสมือนตัว กระตนุ้ ใหไ้ ดนาโมของความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นตวั ทา่ นไดท้ าำ งานอยา่ ง มีประสิทธภิ าพมากกว่าเดมิ เร่ืองเล่าของไอเดียท่ีเหนือชั้นและนวัตกรรมท่ีล้ำาเลิศทั่ว โลกเกือบท้ังหมดเกิดจากหลักกิโลเมตรแรกท่ีเรียกว่า “ปัญหา” ปญั หานั้นเกดิ จากการท่เี ราใช้ชุดความรูท้ ่ีมีมานน้ั แกไ้ ขคลคี่ ลายไม่ ได้ จนทาำ ให้เราเจอเขา้ กบั อปุ สรรคในช่วงเวลาหนงึ่ แต่โชคดีท่ีธรรมชาติออกแบบมนุษย์มาควบคู่กับ สญั ชาตญาณในการเอาชวี ติ รอด เมอ่ื มาถงึ จดุ ๆหนง่ึ ทมี่ นษุ ยถ์ กู บบี คน้ั กดดนั มากๆเขา้ มนษุ ยจ์ ะสามารถปลดลอ็ คใหก้ ลไกความคดิ ตก ตะกอนและคดั กรองออกมาเปน็ ชุดความคิดชิน้ ใหม่ล่าสุด ซง่ึ มนั จะทาำ ใหเ้ ราคดิ ออก เปน็ แสงสวา่ งทป่ี ลายอโุ มงคใ์ ห้ มองเหน็ ลกู กญุ แจทจี่ ะปลดลอ็ คใหป้ มปญั หาคลคี่ ลาย และยกระดบั ความคดิ ของเราไปขา้ งหนา้ อยา่ งไมม่ วี นั หันหลังกลบั มาอีก 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140