Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

Published by DPD E-Lidrary, 2020-06-30 22:17:21

Description: หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

Search

Read the Text Version

100

เรียนรู้ไร้มาตรฐาน ตีความจากบทที่ ๔ ท่ีช่ือว่า The Search for Intelligent Life : Un-standard Learning หากให้ความเป็นอิสระ เด็กวัยส่ีขวบมีความสามารถในการเรียนรู้มากกว่าท่ีเราคิดอย่าง มากมาย โดยที่เป็นการเรยี นรจู้ ากการทดลองปฏิบตั ิ หากให้โอกาสอย่างเหมาะสม เด็กเล็กสามารถท�ำและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ท่ีมีความยาก และซบั ซอ้ นได้ อยา่ งท่ีผูใ้ หญ่มักไม่คิดว่าเดก็ เลก็ ขนาดน้ันจะทำ� ได้ แตอ่ ปุ สรรคตอ่ โอกาสเชน่ นน้ั คอื “มาตรฐาน” (standards) ทกี่ ำ� หนดตายตวั ใหจ้ ดั กจิ กรรม ในช้ันเด็กเล็กอย่างน้ันอย่างนี้ และต้องวัดและบันทึกสิ่งน้ันส่ิงน้ี จนครูมีโอกาสมีปฏิสัมพันธ์ กบั เดก็ ลดลงจนเกือบไมเ่ หลอื เลย 101

สมองเด็ก ผู้เขยี น (Erika Christakis) บอกว่า ตนรสู้ ึกอยตู่ ลอดวา่ ลกู ๆ สามคนของตนฉลาดกวา่ ตน สมยั เปน็ เด็ก และคดิ ว่าน่ีคอื ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ที่คนรุ่นหลังสมองดกี ว่าคนรุน่ กอ่ น แต่น่ันอาจ เกดิ จากการตคี วามหรอื เขา้ ใจเดก็ ผดิ ของคนสมยั กอ่ น ทป่ี ระเมนิ ขดี ความสามารถของเดก็ ตำ่� กวา่ ความเปน็ จรงิ ดังที่ปราชญ์ใหญ่ด้านพฒั นาการเดก็ อยา่ ง ฌอง เปยี เจต์ (Jean Piaget) กล่าวว่า เด็กมี “ความเห็นแกต่ วั ไร้เหตุผล และไรค้ ณุ ธรรม” การที่นักวิทยาศาสตร์ด้านเด็กในอดีตประเมินขีดความสามารถของเด็กต่�ำกว่าความเป็น จรงิ กเ็ พราะ ไมส่ ามารถวดั สงิ่ ทเ่ี กดิ ในสมองเดก็ ได้ แตป่ จั จบุ นั ศาสตรด์ า้ นจติ วทิ ยาพฒั นาการและ ประสาทวทิ ยาศาสตรก์ า้ วหนา้ มาก มกี ารทดลองในเดก็ มากมายทยี่ นื ยนั วา่ สมองเดก็ มคี วามสามารถ คิดซบั ซอ้ น เข้าใจเหตุการณ์ในชีวติ ประจำ� วนั มากกว่าทเี่ ราเขา้ ใจกนั อย่างไมน่ า่ เชอ่ื (๑, ๒) เดก็ ทีเ่ ขา้ เรียนชั้นเดก็ เลก็ จงึ มพี นื้ ฐานความรเู้ ดมิ และความสนใจใคร่รเู้ ปน็ สมบัตอิ นั มคี า่ ตดิ ตวั มา ผลของการวจิ ยั ดา้ นพฒั นาการเดก็ ทบ่ี อกวา่ เดก็ มคี วามสามารถในการเรยี นรสู้ งู นอกจาก มีคุณด้านช่วยให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็กแล้ว ยังก่อโทษด้วย โดยเฉพาะด้านการยกระดับมาตรฐาน (๑) บนั ทกึ ชดุ เลย้ี งลกู ยง่ิ ใหญน่ ี้ ตคี วามมาจากหนงั สอื Raise Great Kids : How to Help Them Thrive in School and Life ซง่ึ เปน็ หนงั สอื ชดุ รวบรวมบทความเดน่ จากนติ ยสาร Scientific American Mind หนงั สอื เลม่ นี้ เพง่ิ ออกจำ� หนา่ ยในเดอื นพฤษภาคม ๒๕๕๙ (๒) https://www.scbfoundation.com/publishing/292/เลยี้ งลกู ยง่ิ ใหญ-่ โดย-ศ-นพ-วจิ ารณ-์ พานชิ -14610 ดาวน์โหลดหนงั สอื เลยี้ งลกู ยงิ่ ใหญ่ https://www.scbfoundation.com/stocks/81/file/1482233937smfbi81pdf/ เลยี้ งลกู ยง่ิ ใหญ.่ pdf 102

งานวิจยั เขาบอกว่า การเรียนของช้ันเด็กเล็กสู่การเรียนเชิงวิชาการ เดก็ มีศกั ยภาพ หรือพ่อแม่ต้ังความคาดหวังสูงเกินจริงต่อลูก ท�ำให้ ในการเรยี นรู้ ชีวิตวัยเยาว์หมดสภาพความเป็นเด็ก เพื่อสนอง ความตอ้ งการของผใู้ หญ่ สภาพท่ีเด็กเล็กก�ำลังเผชิญ เป็นสภาพ ย้อนแย้ง คือสังคมเข้าใจศักยภาพเด็กดีขึ้น แตใ่ นขณะเดยี วกนั กต็ งั้ ความหวงั และระบบ การศึกษาเด็กเล็กท่ีท�ำลายโอกาสต่อ ยอดศักยภาพนัน้ โดยร้เู ท่าไมถ่ ึงการณ์ โดยเร่งให้เด็กเล็กเรียนวิชา และ ทดสอบผลลัพธ์การเรียนรู้ที่การรู้วิชา อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น โดย ใช้แบบทดสอบท่ีให้เด็กเขียนตอบ ในกระดาษ ใส่วิชาการ ใหเ้ ตม็ ที่เลย 103

การคล่ังทดสอบนี้ ท�ำให้เด็กต้องเสียเวลาไปกับการทดสอบ แทนท่ีจะใช้เวลาที่มีคุณค่า กว่าต่อพัฒนาการของเด็ก คือการเล่น และปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือนๆ และครู ผู้เขียนบอกว่าตรง กับหนังสือปฏิรูปการศึกษา ที่ระบุข้อหลงผิดด้านการจัดการศึกษาว่า วงการศึกษามักหลง การวินิจฉัยแทนท่ีจะบ�ำบัดโรค “การวินิจฉัย” ในท่ีนี้คือการทดสอบ และ “การบ�ำบัดโรค” หมายถงึ การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่เดก็ มาตรฐานการศกึ ษา และ แบบทดสอบ ผลสอบยงั ไม่ดี แตล่ ะทกั ษะ ดงึ วงการศกึ ษาชน้ั เดก็ เลก็ เขา้ สกู่ บั ดกั งน้ั เสารอ์ าทิตย์ ของการจดั การแบบแยกสว่ น และการประยกุ ต์ ไปเรยี นพเิ ศษนะ ใช้มาตรฐานแบบไม่เข้าใจสาระเชิงลึก จงึ ด�ำเนนิ การแบบผิดๆ อดเลน่ เลย เลข ภาษาไทย เลขคืออะไร จีน อังกฤษ 104

เล่นกับตัวเลข เดก็ เลก็ สามารถเรยี นรคู้ วามหมายของตวั เลขในชวี ติ จรงิ ไดจ้ ากการเลน่ เปน็ การเรยี นแบบ ใชง้ านการบวกลบเลขไปในตวั เพราะในการเล่นนั้น เด็กมเี ป้าหมายทำ� กิจกรรมทีต่ นจนิ ตนาการ ไว้ให้ส�ำเร็จ นอกจากต้องเข้าใจจ�ำนวนส่ิงของท่ีต้องการใช้ และหามาเพ่ิมให้ครบ (บวกเลข ภาคปฏิบัติ) แล้ว เด็กยังต้องฝึกแยกแยะ และจัดกลุ่มประเภทส่ิงของ เป็นต้น คือการเรียน ตามธรรมชาติของเด็กเป็นการเรยี นแบบซับซอ้ น ไม่ใช่เรียนแบบแยกส่วน เมอื่ ผใู้ หญเ่ ขยี นเลข 4 ลงบนกระดาษ (หรอื กระดาน) แลว้ บอกเดก็ ใหอ้ า่ นวา่ four และจำ� ไว้ คราวหลังเมอ่ื ผใู้ หญเ่ ขยี นเลข 4 และถามเด็กว่าอะไร หากเด็กตอบว่า four กอ็ ย่าหลงตคี วามว่า เด็กเข้าใจความหมายของจำ� นวน “ส”ี่ การสอนแบบถ่ายทอดความร้เู ชน่ น้เี ดก็ จำ� ได้ แตไ่ ม่เข้าใจ ความหมาย น่ีคือข้อจ�ำกัดของการเรียนแบบแยกส่วน ตามมาตรฐาน แต่หากเด็กเล่นสิ่งของ ทมี่ หี ลายชนิ้ เดก็ จะเขา้ ใจความหมายของจำ� นวน โดยทอี่ าจยงั บอกคำ� วา่ “ส”่ี ไมเ่ ปน็ ดงั กรณลี อ้ รถ เดก็ จะตอ้ งหาลอ้ มาประกอบให้ครบ ๔ ลอ้ สำ� หรับเป็นรถบรรทุกสิ่งของได้ 105

ขอ้ ผดิ พลาดหลักของการศึกษาชั้นเด็ก ส่ี จำ�ได้ แตไ่ มเ่ ขา้ ใจ เล็ก (และการศึกษาระดับอ่ืนๆ) คือ มุ่งบรรลุ เป้าหมายการเรียนรู้เป็นส่วนๆ โดยไม่เข้าใจ ส่ี เป้าหมายภาพใหญข่ องการเรียนรู้ สี่ การเรียนให้รู้จักช่ือสิ่งของ กับเรียน ให้เข้าใจส่ิงของน้ันเป็นคนละการเรียนรู้ น่ีคือสัจธรรมของการเรียนรู้ในทุกระดับ ไม่เฉพาะในระดับเด็กเล็ก การเรียนจ�ำช่ือ เป็นการเรียนขัน้ ตำ่� สุด ตืน้ ที่สุด ก า ร เ รี ย น ต า ม ต� ำ ร า ห รื อ คู ่ มื อ มาตรฐานมกั ไดผ้ ลเพยี งระดบั จำ� ได้ เพราะ เมอื่ ครนู ำ� เอาคมู่ อื ไปใชส้ อนจรงิ กจ็ ะทำ� ตาม พธิ กี รรมทร่ี ะบใุ นคมู่ อื โดยไมเ่ ขา้ ใจเปา้ หมาย ภาพใหญข่ องกจิ กรรมนน้ั ๆ ตรงกนั ข้าม ครสู ามารถสอนดว้ ย การให้เด็กเล่นหรือท�ำกิจกรรม แล้วได้ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรตู้ รงตามเปา้ หมายของ มาตรฐาน แต่จะท�ำเช่นน้ันได้ ครูต้อง มีความสามารถสูง และกล้าจัดเวลาให้ เด็กได้ออกไปเล่นนอกหอ้ งเรยี น 106

เขา้ ใจ รู้ความหมาย ผู้เขียนบอกว่าปัญหาไม่ได้ ใช้งานได้ อยู่ที่คู่มือ แต่อยู่ท่ีการน�ำคู่มือไปใช้ น่ยี งั ไม่ครบ ๔ ล้อเลย ผู้เขียนยกตัวอย่างรายละเอียดใน ขาดอกี ลอ้ หนึ่ง คู่มือมากมาย ที่อ่านแล้วเห็นได้ชัด ช่วยกันหาหนอ่ ย ว่ามันชวนให้ครูมองกิจกรรมต่างๆ อกี ล้ออยู่ไหน แบบแยกส่วน รวมทั้งบริษัทจัดท�ำ และขายคู่มือก็ต้องการท�ำธุรกิจ จากการสอนแบบแยกสว่ นนี้ ประเทศที่เป็นตัวอย่างได้ คือ ฟินแลนด์ ที่ไม่ใช้คู่มือที่ระบุ รายละเอียดของกิจกรรม มีเพียง เอกสารบอกเป้าหมายพัฒนาการ เด็กท่ีต้องการ แล้วให้อิสระครู ในการจัดการเรียนรู้แบบให้อิสระ แก่เด็ก และครูประเมินได้ว่า เด็กบรรลุเป้าหมายพัฒนาการ ที่ก�ำหนดไว้ จะท�ำเช่นน้ีได้ ครตู ้องมคี วามสามารถสงู 107

เชื่อมชิ้นส่วน แทนที่จะมีคู่มือครู ประเทศฟินแลนด์มีเพียง ข้อก�ำหนดหลักสูตรส�ำหรับการศึกษา และดแู ลเด็กเลก็ โดยมเี ปา้ หมาย ๓ ประการคอื ๑. ส่งเสรมิ สขุ ภาวะส่วนตัวของเด็ก ๒. สง่ เสรมิ นิสัยและพฤติกรรมทเ่ี อ้ือเฟอื้ เห็นอกเหน็ ใจผ้อู น่ื ๓. คอ่ ยๆ พฒั นาความสามารถในการดแู ลตนเอง (autonomy) ฟนิ แลนด์ใหเ้ ดก็ เรยี นวชิ าเมอ่ื อายุ ๗ ขวบ ในชน้ั ป. ๑ ซงึ่ ถอื วา่ ชา้ มาก แตผ่ ลการทดสอบ สมรรถนะของเด็กอายุ ๑๕ ปี ของ PISA ของฟินแลนด์อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ดีกว่า ของสหรฐั อเมริกา (และของไทย) อยา่ งมากมาย หัวใจของการสอนท่ีดีคือ กระบวนการ ไม่ใช่สาระความรู้ เด็กเล็กในฟินแลนด์ไม่ได้รับ การสอนและทดสอบ ไม่มีหลักสูตรมาตรฐาน ไม่มีคู่มือ มีเอกสารแนวทาง ECEC (Early Childhood Education and Care) ว่า “กิจกรรมในชั้นเด็กเล็กเน้น การเล่น, การเคล่ือนไหว, การส�ำรวจ, และการแสดงออก ผ่านศิลปะท่ีหลากหลาย” โดยท่ีเป็น “วิธีการคิดและกระท�ำที่ แปลกและจ�ำเพาะส�ำหรบั เดก็ ” และช่วยสง่ เสริม “สุขภาวะและความมีตัวตนของเดก็ ” ฟินแลนด์เรียกวิชา เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ส�ำหรับเด็กเล็ก ว่า orientations และระบุว่า “เด็กไม่เรียนหรือดูดซับเนื้อหาของวิชาต่างๆ และไม่คาดหวังวัดสมรรถนะ ตัววิชาเป็น ตัวช่วยบอกครูด้วยกรอบงานว่าครูควรจัดประสบการณ์ สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมแบบ ใดบ้าง เพ่อื ชว่ ยใหเ้ ดก็ ได้มีการเจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการอยา่ งสมดุล” 108

วชิ า (orientation) สำ� หรับเดก็ เล็กของฟินแลนด์ แต่ละวชิ ามลี ักษณะจ�ำเพาะด้านการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking), ด้านความริเร่ิมสร้างสรรค์ (creativity) ด้านการฝึก จินตนาการ, การทำ� ให้มีความรู้สกึ ละเอยี ดออ่ น, และด้านการดำ� เนนิ กจิ กรรม โดยครคู �ำนงึ ถึง ประเด็นดงั กลา่ ว น�ำมาสรา้ งสภาพแวดลอ้ มทีเ่ อื้อต่อการเรียนร้เู พอื่ พฒั นาทกั ษะเหล่าน้นั ความคาดหวงั สมรรถนะเหลา่ นนั้ พงุ่ เปา้ ผรู้ บั ผดิ ชอบการประเมนิ ไปทคี่ รู ไม่ใชไ่ ปทน่ี กั เรยี น นี่คือ การเรียนรู้มาตรฐานสูง ท่ีไร้เอกสารก�ำหนดมาตรฐานในรายละเอียด เพราะเน้น การเรียนร้บู ูรณาการ หรอื “เชื่อมชิน้ ส่วน” ส่ิงทคี่ รคู ำ�นงึ ถงึ ...มีมากกว่าเนื้อหาวิชา ตัววิชาเปน็ แค่ตัวชว่ ยบอกกรอบงานว่าครูควรจัด ประสบการณ์ สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมแบบใดใหเ้ ด็กๆ การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ ความรเิ ร่มิ สร้างสรรค์ การทำ�ใหม้ คี วามรูส้ กึ ละเอียดออ่ น การฝกึ จินตนาการ การดำ�เนนิ กจิ กรรม เนื้อหาวชิ า 109

มาตรการและกิจกรรมที่ ไร้ความหมาย การศึกษาเป็นส่วนหน่ึงของสังคม และในหลายกรณีถูกแสวงหาผลประโยชน์โดยคน บางกลุ่มบางกิจการ ในนามของเจตนาดี อ้างเป้าหมายคุณภาพของการศึกษาของเด็กเล็ก เดก็ ท่มี ักตกเป็นเหยื่อคือเด็กจากครอบครัวทฐี่ านะทางสังคมและเศรษฐกิจต�ำ่ สารพัดมาตรการ และวิธกี ารถกู น�ำมาใช้ โดยไรผ้ ลดีต่อพฒั นาการเดก็ หรอื ในบางกรณี กอ่ ผลรา้ ย ไมม่ มี าตรการและวิธกี ารใดท่ีใหผ้ ลสงู กว่าครดู ีมคี วามสามารถและรบั ผดิ ชอบ ประเมิน ไม่ ใช่สอบ ถ้าตกน้ำ� ส่ิงทเ่ี ดก็ ต้องการไมใ่ ช่การทดสอบ แต่คอื การท้าทาย และไดก้ ล่าว ไมต่ ้องตกใจ แลว้ ในตอนท่ี ๓ วา่ สง่ิ ทค่ี รูทดี่ ีทำ� คือ calibration และ scaffolding การท้าทายต่อเดก็ อาจหมายถงึ การท�ำสิ่งท่ยี าก เสือ้ ช่วยให้หนูลอยได้ หรอื เส่ียงอนั ตรายส�ำหรับเด็ก Calibration เป็นการกำ� หนด ไมต่ อ้ งตกใจเลย ก่อนลงเรือตอ้ ง ทกั ษะทีค่ าดหวังใหเ้ ดก็ ฝึก ออกเป็น ใส่เสือ้ ชูชีพนะจ๊ะ ขน้ั ตอน สำ� หรบั ใช้สงั เกตเพื่อประเมนิ พัฒนาการหรอื ความก้าวหน้า แตถ่ ้าไม่ใส่ 110 เสือ้ คงจม

ของเดก็ แลว้ ให้ความช่วยเหลอื (scaffolding) และการโคช้ ใหเ้ ด็กฝกึ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม หรอื เลน่ โดยไมเ่ ส่ียงต่อการบาดเจ็บ หรือในภาษาการศึกษากล่าวว่า ช่วยให้เดก็ ค้นพบ learning zone ของตน เพื่อยกระดับพัฒนาการขนึ้ ส่รู ะดบั ท่สี งู ข้นึ ส่ิงที่ไม่ควรท�ำคือ ห้ามเด็กท�ำหรือเล่นสิ่งท่ีเสี่ยงอันตราย ควรให้เด็กได้ฝึกท�ำโดยค�ำนึง ถงึ อันตราย และมีมาตรการปอ้ งกันการบาดเจบ็ พ่อแมก่ ็ควรทำ� อยา่ งเดียวกนั พ่อแม่และครูควรคิดสร้างสภาพแวดล้อมท่ีช่วยให้เด็กได้ใช้พลังเรียนรู้ของตนได้เต็มท่ี โดยพ่อแม่อาจรวมตัวกันเป็น CoP (Community of Practice) เพื่อพัฒนาทักษะการสังเกต การตง้ั คำ� ถาม และทกั ษะการแก้ปัญหา ในการใช้เวลาวา่ งกับลูก ในการตอบสนองความอยากรู้ อยากเหน็ ของลกู , สงั เกตวา่ ลกู ชอบเลน่ กบั ใคร, ลกู ชอบทำ� อะไรในยามวา่ ง ทง้ั หมดนน้ั เปน็ ขอ้ มลู สำ� หรับปรึกษาหารอื กันสร้างพ้นื ทเ่ี รียนรู้ให้แกล่ ูกท่บี า้ น และอาจจดั รว่ มกนั หลายบ้าน ผมขอเพม่ิ เตมิ วา่ ครกู ค็ วรรวมตวั กนั เปน็ CoP แลกเปลย่ี นเรยี นรขู้ อ้ สงั เกต และขอ้ เรยี นรู้ สำ� หรบั จดั พนื้ ทเ่ี รยี นรใู้ หแ้ กเ่ ดก็ ที่โรงเรยี น และเพอ่ื ใชแ้ ลกเปลย่ี นเรยี นรกู้ บั พอ่ แม่ อา่ นรายละเอยี ด เรื่อง CoPไดจ้ ากหนังสอื บนั เทงิ ชวี ิตครสู ู่ชมุ ชนการเรียนรู้ ซ่งึ ดาวน์โหลดไดฟ้ รี จะเหน็ วา่ การประเมนิ เป็นส่วนย่อยในภาพใหญ่ ของการสนบั สนนุ การเรียนรอู้ ย่างมพี ลัง ของเด็ก ช่วยให้เด็กได้ใช้พลังแห่งวัยเยาว์เรียนรู้และสร้างพัฒนาการให้แก่ตนเองอย่างเต็ม ศกั ยภาพ ดจี ัง ถ้าเกิดเหตุฉกุ เฉิน วจิ ารณ์ พานชิ ลกู เราก็นา่ จะรู้จกั ๙ เม.ย. ๖๑ วิธีเอาชวี ิตรอด 111

112

“...ขอ้ ผดิ พลาดหลกั ของการศึกษาช้นั เดก็ เล็ก (และการศกึ ษาระดับอ่ืนๆ) คือ มุ่งบรรลเุ ปา้ หมายการเรยี นรู้เปน็ สว่ นๆ โดยไม่เข้าใจเปา้ หมายภาพใหญข่ องการเรียนรู.้ ..” “...ส่งิ ทเ่ี ด็กตอ้ งการไม่ใช่การทดสอบ แต่คอื การทา้ ทาย...” “...ส่ิงที่ไม่ควรท�ำคือ หา้ มเด็กท�ำหรือเลน่ สงิ่ ท่ีเสีย่ งอันตราย ควรใหเ้ ดก็ ได้ฝึกทำ� โดยคำ� นงึ ถึงอนั ตราย และมมี าตรการป้องกนั การบาดเจ็บ...” 113

114

à´ç¡ ã¹ º··Õèö 115

116

เดก็ ในสังคมแยกสว่ น น้ี ตีความจากบทท่ี ๕ ท่ีชือ่ ว่า Just Kidding : The Fragmented Generation ไม่ว่าเร่ืองใดๆ การหลงหมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมแยกส่วน โดยไม่ได้ค�ำนึงถึงภาพใหญ่ หรอื ความเปน็ ทัง้ หมด (the whole) ของกจิ กรรมนนั้ จะน�ำไปส่ผู ลงานทแี่ ผ่วเบาไร้ความหมาย การจดั การศกึ ษาเดก็ เลก็ กเ็ ชน่ เดยี วกนั ตอ้ งไมห่ ลงดำ� เนนิ การเปน็ สว่ นๆ จนลมื “ความเปน็ เดก็ ” ของศิษยห์ รือของลกู ความเป็นเด็กมที ง้ั พลงั หรอื ศกั ยภาพ และความเปราะบาง อยดู่ ้วยกัน 117

เด็กสมัยนี้ เด็กสมัยน้ีมีชีวิตที่ดีกว่าสมัยร้อยสองร้อยปีก่อนอย่างมากมาย ทั้งเน่ืองจากระบบดูแล สุขภาพอนามัยดีข้ึนมาก ท�ำให้อัตราตายของทารกและเด็กเล็กลดลงเป็นร้อยเท่า นอกจากน้ัน ความรเู้ กย่ี วกบั พฒั นาการเดก็ กด็ ขี นึ้ มากมายเชน่ เดยี วกนั เวลานเี้ ราเขา้ ใจลกั ษณะจำ� เพาะของเดก็ ศักยภาพในการเรียนรู้ของเดก็ รวมทง้ั ประเดน็ ความเปราะบางของเดก็ เราเขา้ ใจความซบั ซอ้ นของพฒั นาการเดก็ และเรอื่ งปญั หาเกยี่ วกบั เดก็ ทเี่ มอื่ ไมน่ านมาน้ี เปน็ ความลบั ดำ� มดื หรอื มคี วามเขา้ ใจผดิ เดย๋ี วนเี้ รามคี วามรกู้ ระจา่ งชดั เชน่ เรอื่ งการกระทำ� มชิ อบ ตอ่ เด็ก ปัญหาทางจิตเวช ความผดิ ปกตทิ างกายและทางปัญญา เปน็ ต้น ความเข้าใจลึกๆ เกี่ยวกับเด็กก้าวหน้าข้ึนอย่างมากมาย เช่น เด็กสมองปราดเปร่ือง ก็มีปัญหาการเรียนรู้ (dyslexia) ได้ ผมเพิ่งได้รับค�ำบอกเล่าว่า มีนักศึกษาระดับปริญญาเอก ของไทยในสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับทุนอานันทมหิดลไปเรียนต่อ ได้รับการวินิจฉัยจากอาจารย์ ว่าเป็น dyslexia ประเภทหน่ึง คือมีความผิดปกติด้านมองข้ามรายละเอียดของเร่ืองต่างๆ ไป แตม่ องภาพรวมเกง่ มาก ในทางตรงกันข้าม เด็กที่มีปัญหาการอ่าน อาจเป็นเด็กที่สมองปราดเปรื่องที่สุดในชั้น มตี วั อยา่ ง Montgomery County ในรฐั แมรแี ลนด์ สหรฐั อเมรกิ า มโี ครงการสง่ เสรมิ เดก็ ปญั ญาเลศิ ทมี่ ีปญั หาการเรียน 118

นอกจากนนั้ ยงั มกี ารยอมรบั เดก็ พกิ ารรปู แบบตา่ งๆ หรอื มคี วามเบยี่ งเบนหรอื ความจำ� เพาะ ในสารพัดด้าน รวมท้ังเด็กท่ีก่ออาชญากรรม กล่าวได้ว่า สมัยนี้สังคมเปิดรับลักษณะของเด็ก ทีม่ ีลกั ษณะจ�ำเพาะของตนเอง อยา่ งไม่เคยมมี าก่อน เด็ก “พิเศษ” ผเู้ ขยี นชี้ให้เหน็ วา่ “เดก็ พิเศษ” และ “คนพเิ ศษ” (หมายถงึ พิการ) เชน่ หูหนวก ตาบอด เดนิ ไมไ่ ด้ ในสมยั นไี้ ดร้ บั การยอมรบั และมกี ารจดั อำ� นวยความสะดวก ดกี วา่ สมยั กอ่ นอยา่ งเทยี บกนั ไมไ่ ดเ้ ลย ทำ� ใหค้ นเหล่าน้มี ีโอกาสเรยี น และใชช้ ีวิตไดค้ ลา้ ยคนทัว่ ไป การทสี่ งั คมเอาใจใสส่ นองตอบความตอ้ งการของ “เดก็ พเิ ศษ” เหลา่ นี้ สะทอ้ นวา่ เดก็ เหลา่ นี้ มคี วามเปราะบางอยู่ในตวั มากกวา่ เด็กปกติ ทีส่ �ำคัญต่อเดก็ เลก็ คือ ต้องสรา้ งความตระหนักต่อเดก็ ว่า เรามี “เด็กพิเศษ” อยรู่ ว่ มโลก รว่ มสงั คมดว้ ย เด็กทว่ั ไปต้องรูจ้ กั ใหค้ วามยอมรบั ให้ความช่วยเหลอื ปกปอ้ ง และเมตตากรณุ า ท่ีส�ำคัญคือไม่ล้อเลียน หรือดูหม่ินความแตกต่างของเขา ข้อความในย่อหน้านี้ ผมเขียนเอง ไมม่ ีในหนงั สอื The Importance of Being Little 119

มองจากมุมของ “ความพิเศษ” ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า เรามักตกหลุมมุมมองที่ผิด คือหลง ไปเนน้ ที่ “ความพิเศษ” แทนทจ่ี ะเน้นเอาใจใสต่ ัวเด็กทม่ี ี “ความพิเศษ” ข้อหลงผดิ น้มี ีรากฐาน หนไู ปเองได้ มาจากความคดิ แบบแยกสว่ น มผี ลทำ� ใหม้ อง ไมเ่ หน็ ตวั เดก็ เปน็ รายคน คณุ ครฝู กึ ใหห้ นูดแู ลตวั เอง นี่ไงครทู ำ�เส้นแถบนูนๆ ที่ผนังไว้ ใหแ้ ล้ว น่เี พอื่ นหนูเองคะ่ อยา่ หลงเนน้ เขาใจดมี าก เคยแบ่ง ที่ความพเิ ศษ แทนที่จะเนน้ ความเอาใจใส่ ขนมใหห้ นูดว้ ย 120

วัยเด็กที่ โกลาหล ความคิดแบบแยกส่วน แยกวยั เด็ก แยกตัวเดก็ ออกเปน็ “ลักษณะ” หลากหลายลักษณะ ท�ำให้มองไม่เหน็ หรอื ละเลยตวั เดก็ ในภาพรวม และมแี นวโน้มทีจ่ ะมองไม่เห็นพลงั และศกั ยภาพ ของเดก็ เหน็ แตด่ า้ นทเ่ี ปราะบาง หมอเหน็ แตค่ วามผดิ ปกติ เชน่ ความผดิ ปกติในการพดู ของเดก็ ไม่เหน็ ตัวเด็ก นกั จติ วิทยาเห็นแตโ่ รค ADHD ไม่เหน็ ตวั เด็ก ที่เปน็ คนทัง้ คน เรามแี นวโนม้ ทีจ่ ะสนใจ “ความผดิ ปกต”ิ ในตัวเดก็ แทนที่จะสนใจตวั เด็กเอง นอกจากน้ันพฤติกรรมของผู้ใหญ่ในสังคมยังมีผลต่อเด็กในภาพรวม ท�ำให้เด็กมีมุมมอง ตอ่ ตนเอง โดยเฉพาะด้าน “คุณค่าของตนเอง” (self-esteem) ลดลง ในด้านลบ เด็กกลายเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ของธรุ กจิ หรอื ของระบบทนุ นยิ ม โดยทหี่ ลายสว่ นมผี ลทำ� รา้ ยเดก็ เชน่ ตราวา่ เดก็ เปน็ โรคนน้ั โรคน้ี มากเกนิ จรงิ เพอื่ ขายยาหรอื ผลติ ภณั ฑ์ ตวั อยา่ งคอื โรค ออทสิ ซมึ่ โรค ADHD และความผดิ ปกติ ในการเรยี น มงี านวจิ ยั เรอื่ งโรคเหลา่ นม้ี ากมาย และพบปรากฏการณก์ ารวนิ จิ ฉยั โรคมากเกนิ จรงิ การทบ่ี รษิ ทั ยาใชก้ ลอบุ ายลดเกณฑว์ นิ จิ ฉยั โรคใหเ้ ดก็ เปน็ ADHD มากขนึ้ เพอื่ ขายยา เรอื่ งการปน่ั วงวชิ าชีพสุขภาพ ให้สมรรู้ ่วมคดิ กับกลมุ่ ผลประโยชนเ์ พอ่ื แสวงประโยชน์โดยมิชอบจากเดก็ นี้มี ความซับซ้อนและกว้างขวางมาก มีรายละอียดมาก รับรู้แล้วเศร้าใจ ว่าความโลภท�ำให้มนุษย์ ท�ำอาชญากรรมได้ถงึ เพียงนี้ 121

นอกจากน้ัน ตัวระบบช่วยเหลือเด็กเอง เมื่อมีการใช้อย่างแยกส่วน ไม่ค�ำนึงถึงตัวเด็ก ค�ำนึงแต่เรอ่ื งความผิดปกติ (ท่ีวินจิ ฉยั ผดิ ๆ) ของเด็ก กอ่ ผลทำ� รา้ ยตัวเดก็ ดังกรณเี ด็กชาย Tom ท่ผี ูเ้ ขยี นเอามาเลา่ ในตอนต่อไป ข้อท้าทายในการจดั การต่อพัฒนาการเดก็ คอื พฒั นาการเดก็ มีความแตกต่าง (variation) มีการกระจายเป็นเส้นโค้งปกติ (normal curve) การจะระบุว่าเด็กผิดปกติในด้านนั้นๆ หรือไม่ ขนึ้ กบั การกำ� หนดจดุ ตดั แตไ่ มว่ า่ จะกำ� หนดอยา่ งไร ยอ่ มมขี อ้ ผดิ พลาด (error) เสมอ โดยในทาง สถิติจ�ำแนกข้อผิดพลาดเป็น error type 2 (วินิจฉัยว่าปกติ โดยที่ความเป็นจริงผู้นั้นผิดปกติ หรือเป็นโรค) กับ error type 1 (วนิ ิจฉัยวา่ ผดิ ปกติ โดยที่ในความเป็นจริงผนู้ ั้นปกต)ิ การวินจิ ฉยั โดยใชก้ ารวัดหรอื ตรวจที่ “ลกั ษณะ” เดียว ซ่ึงย่อมมโี อกาสผิดพลาดเสมอ และหากพยายามลด error แบบหนงึ่ ก็จะมผี ลเพมิ่ error อกี แบบหนงึ่ การวนิ จิ ฉยั โรคหรอื ความผดิ ปกตขิ องพฒั นาการเดก็ จงึ ตอ้ งใชห้ ลายๆ “ลกั ษณะ” ประกอบกนั และท่ีดีที่สุดใช้ข้อมูลจากการสังเกตพฤติกรรมเด็กระยะยาว เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมตาม ธรรมชาติ ไมใ่ ชเ่ ชอ่ื ผลการตรวจเพยี งครง่ึ ชว่ั โมง ในสถานการณท์ ไี่ มเ่ ปน็ ธรรมชาติ ดว้ ยเหตผุ ลนี้ ผูม้ องเหน็ เดก็ ทงั้ คน เห็นจากพฤตกิ รรมท่เี ป็นธรรมชาติอย่างซับซ้อน คอื พ่อแมแ่ ละครู โดยทงั้ พ่อแม่และครูตอ้ งฝกึ ทักษะการสงั เกตพฤตกิ รรมดา้ นพัฒนาการเดก็ มีหลักฐานจากการวิจัยมากมายว่า ส่วนหน่ึงของเด็กท่ีถูกตราหรือวินิจฉัยว่าผิดปกติ ในดา้ นใดดา้ นหนง่ึ ของพฒั นาการเดก็ เมอื่ โตขนึ้ ความผดิ ปกตนิ นั้ หายไป คอื เปน็ อาการชวั่ คราว เทา่ นน้ั การดูแลและส่งเสริมพัฒนาการเด็กเล็กจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยต้องระมัดระวัง ไม่เขา้ ไปจัดการมากเกินควร (overdo/overcorrect) 122

ผมว่าการพูด ของเด็กคนน้ีผดิ ปกติ ผมวา่ เดก็ เปน็ โรค ADHD อย่ามองเพียงดา้ นท่ีเปราะบางของเดก็ อยา่ ลมื ใชข้ ้อมลู จากการสงั เกตพฤตกิ รรมตามธรรมชาตขิ องเด็กระยะยาว อยา่ เพ่ิงเชื่อผลการตรวจเพยี งคร่ึงชัว่ โมง ในสถานการณท์ ี่ไมเ่ ป็นธรรมชาติ 123

ส่วนที่หายไป เม่ือผู้เขียนไปพบเด็กชาย Tom นั้น เธอเรียนชั้น ป. ๒ มีประวัติจากช้ันเด็กเล็กว่าเป็น เด็กกา้ วร้าว ทกั ษะการใช้กล้ามเนอ้ื มดั เล็กของมือไมด่ ี กล้ามเน้ือสว่ นบนของรา่ งกายอ่อนแอ ในชนั้ ป. ๒ ทอม มปี ระวตั วิ า่ เคลื่อนไหวอยตู่ ลอดเวลา น่ังนิ่งๆ ไมไ่ ด้ บางครง้ั หยาบคาย ต่อครู เป็นเด็กท่ีต้องเอามือไปถูกตัวเพื่อนอยู่ตลอดเวลา จับดินสอไม่มั่น นั่งตัวตรงไม่ได้ ไวตอ่ เสยี งและการสมั ผสั ทรี่ บกวนการเรยี น กฎหมายในสหรฐั อเมรกิ ากำ� หนดใหต้ อ้ งมผี เู้ ชยี่ วชาญ ท�ำ IEP (Individual Education Plan) แก่เด็กท่ีมีสภาพเช่นน้ี และทอมได้รับการรักษาด้วย อาชีวบ�ำบัด (occupation therapy) สปั ดาหล์ ะ ๒ ครั้ง แต่ครูประจ�ำชั้นของทอมท่ีผู้เขียนไปพบบอกว่า ทอมเป็นเด็กท่ีมีความอยากรู้อยาก เห็นสูงเป็นพิเศษ เป็นเด็กพูดจาดี เอาใจใส่งานการเรียน และสร้างปัญหาแก่เพื่อนๆ น้อยมาก และเมือ่ เข้าไปสังเกตก็ไม่พบลักษณะทีส่ อ่ ว่าทอมไมส่ ามารถควบคมุ การเคล่อื นไหวร่างกายสว่ น บนแต่อย่างใด และผลการเรียนของทอมสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กท่ัวไปในทุกด้าน ยกเว้นด้าน การขดี เขียน แตผ่ ู้เขียนกส็ ังเกตเห็นทา่ ทรี งั เกยี จของเหลา่ ครูในโรงเรยี นตอ่ ทอม อาชีวบ�ำบัดอย่างหน่ึงท่ีทอมได้รับคือการเอา “แผ่นป้องกันการเตะ” (kick plate) วาง รองพนกั เกา้ อี้ เพอ่ื ปอ้ งกนั ไม่ใหท้ อมเตะเพอ่ื นทน่ี งั่ ขา้ งหนา้ ซงึ่ เมอื่ ผเู้ ขยี นไปนง่ั สงั เกต ก็ไมเ่ หน็ พฤติกรรมการเตะเพ่ือนที่น่งั ข้างหน้าแต่อยา่ งใด เพอื่ ย่อใหเ้ ร่ืองสน้ั ผู้เขียนไม่พบความผิดปกติดา้ นพฤตกิ รรมใดๆ ของทอม นอกจากมีครู บางคนบอกวา่ เวลาท�ำงาน ทอมพูดดงั ๆ กับตวั เองมากกว่าเด็กคนอืน่ ๆ ซงึ่ เรอื่ งนี้ในทางทฤษฎี ถือเป็นวธิ ีการเรยี นรทู้ ่ีดี หรือเปน็ ร่องรอยความเปน็ เดก็ ฉลาด เรอ่ื งน้ีผมเคยเขยี นไว้ที่ (๑) (๑) ปรับปรงุ การสอนเลก็ น้อย ไดผ้ ลยงิ่ ใหญ่ : 7. อธบิ ายใหต้ ัวเองฟัง (self-explaining) https://www. gotoknow.org/posts/645183 124

ตอน ป.๒ เด็กคนนี้น่ังนิ่งๆ ไมไ่ ด้ ชอบเอามือไปถกู ตัวเพ่ือน บางครั้งกห็ ยาบคายกบั คร.ู .. ต้องทำ� IEP คะ่ ตอนนั้น ไม่ใชต่ อนนี้ครบั กป็ กติดี เปน็ เดก็ ใฝ่รู้ ใฝเ่ รียน พูดจาดี ผลการเรียนดี ไม่มีปญั หากับเพอื่ น สรุปได้ว่า ทอมเป็นเหยื่อของ การดูแลเด็กเล็กแบบแยกส่วน จับเอาข้อมูล จากเพียงบางช่วงของชีวิตมาเป็นตรา และในการด�ำเนินการ ต่อเดก็ ไมม่ ีการทบทวนขอ้ มลู หลักฐาน ไมฟ่ ังข้อมลู จากครคู นปัจจุบัน และทีเ่ ลวรา้ ยสุดๆ คือ กิจกรรมทีท่ �ำใหแ้ กเ่ ดก็ แบบทอมน้ัน จา้ งคนมาท�ำงานไดก้ เ็ พราะ มเี ด็กแบบทอมเขา้ มาใช้บรกิ าร หากมีเด็กมาใชบ้ รกิ ารนอ้ ย คนเหล่าน้กี ต็ กงาน 125

ปัญหาในทุกแห่งหน เปน็ ธรรมชาตขิ องการฝกึ อบรมครู แพทย์ และนกั วจิ ยั ทเ่ี นน้ การศกึ ษาสว่ นทกี่ ระเดน็ ออก ไปจากเกณฑ์ปกติ เขาใชค้ ำ� ภาษาองั กฤษวา่ pathology bias จารตี น้มี ีผลให้วงการศกึ ษาเด็กเลก็ สนใจเดก็ ท่ี “มีปญั หา” มากกวา่ สนใจ เด็กปกติ ผมจดส่งิ ท่ีเด็ก ผมจดส่ิงท่ี ทำ�ไม่ไดด้ ี เด็กทำ�ไดด้ ี ผมจะแกไ้ ข ส่งเสรมิ การเรียนรู้ ใหไ้ ด้ ตามความถนัด ของเดก็ ดีกว่าครบั เนน้ แก้ไขแตส่ ่ิงท่ี เดก็ ทำ�ไม่ได้ เดก็ กห็ มดกำ�ลงั ใจ ครกู เ็ ครยี ดนะครับ ค� ำ ถ า ม ส� ำ คั ญ เ ว ล า พ บ เด็กผิดปกติคือ สภาพที่เห็นอยู่ ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ (อย่างกรณี ของทอม) เพราะเป็นท่ีรู้กันท่ัวไปว่า พัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กปกติมี 126

การปรวนแปร (variation) สูงมาก ใน แทนท่ีจะเน้นปญั หา บางเร่ือง มีการขยายความปรวนแปร ไปเป็นการจัดกลุ่มเด็ก เช่นเร่ืองสไตล์ ควรเนน้ ทักษะในตัวเด็ก การเรียนรู้ (learning style / cognitive orientation) มีการจัดกลุ่มเด็กทม่ี สี ไตล์ การเรยี นทักษะเน้นการฝกึ ฝน การเรียนรู้แบบเน้นใช้สายตา แบบเน้น ทำ�ไมวาดรูป ใช้หู แบบเน้นการเคล่ือนไหว ฯลฯ เกง่ จงั นำ� ไปสกู่ ารจดั การเรยี นรแู้ บบ learning style - based instruction แต่น่า สอนเค้าวาดบา้ งสิื เสียดายท่ี “กระบวนทัศน์เจ้าปัญหา” ได้ชักน�ำใหใ้ ช้ learning style - based instruction ในทางลบ คอื เนน้ แกไ้ ขสงิ่ ที่เด็กท�ำไม่ได้ดี แทนทีจ่ ะใช้ learning style- basedinstruction ในทางบวก คือส่งเสริมวิธีการเรียนรู้ตามที่เด็ก คนนั้นทำ� ได้ดี หรือมคี วามถนัด เพอื่ นของเราไมค่ อ่ ยไดย้ นิ ครับ แตเ่ ขาเปน็ คน เวลาคยุ กันก็คุยใกลๆ้ ครับ ทวี่ าดรูปเก่งมากเลยค่ะ เราตอ้ งพูดกับเพอื่ นดงั นิดนึง 127

มุมมองที่ผิดต่อเด็ก การมองเดก็ แบบแยกสว่ น นำ� ไปสกู่ ารมองเดก็ ผดิ ๆ คอื หลงมองเปน็ “ผใู้ หญท่ ต่ี วั ยงั เลก็ อย”ู่ เพราะเราจะเอาสว่ นทเ่ี ดก็ คลา้ ยผใู้ หญเ่ ปน็ ตวั ตง้ั ไมม่ องลกั ษณะจำ� เพาะของความเปน็ เดก็ เราจงึ เอากระบวนทศั น์ของผใู้ หญ่ไปตีความพฤติกรรมของเดก็ กอ่ ความวุ่นวายใหญ่โต อยา่ งกรณีเด็ก ผชู้ ายอายุ ๕ ขวบ จบู เพอื่ นผหู้ ญงิ ครมู องวา่ เปน็ พฤตกิ รรมคกุ คามทางเพศ มองการทเี่ ดก็ ใชป้ นื เดก็ เล่นเลง็ ไปยังเพอ่ื นเป็นพฤติกรรมเดยี วกันกับที่ผู้ใหญ่ใชป้ นื ขู่ผู้อน่ื ในสหรัฐอเมริกา มีข่าวกรณีเด็กเล็กอาละวาด และครูและผู้บริหารศูนย์เด็กเล็กโทรศัพท์ เรียกต�ำรวจมาใส่กุญแจมือเด็กไม่ให้อาละวาดท�ำลายสิ่งของ นี่คือกรณีตัวอย่างแบบสุดโต่ง ของการหลงมองเดก็ เป็นผู้ใหญต่ วั เล็ก มุมมองที่ผิดต่อเด็ก นอกจากมองเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กแล้ว ยังมีกระบวนทัศน์แบบหยุดน่ิง มองวา่ เดก็ ทม่ี คี วามประพฤตบิ างอยา่ งไมเ่ หมาะสมกจ็ ะตอ้ งเปน็ เชน่ นน้ั ตลอดไป (ดงั กรณเี ดก็ ชาย ทอม) ไมม่ องวา่ ชว่ งชวี ิตความเป็นเดก็ เปน็ ชว่ งของการเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเอง ผลงานวิจยั ชิ้นหนง่ึ บอกว่า ร้อยละ ๑๐ ของเด็กเล็กที่ไดร้ บั การวนิ ิจฉัยว่าเปน็ ออทสิ ซม่ึ หายไดเ้ องเมอ่ื เติบโตเป็นผ้ใู หญ่ อีกผลงานวิจัยหน่ึงบอกว่า พฤติกรรมท่ีมีปัญหาของเด็กเล็กไม่สัมพันธ์กับผลการเรียน ตอนเรยี นจบช้ันประถมศึกษา บง่ ชวี้ า่ ท่ีเรยี กวา่ “ปญั หา” นัน้ เปน็ ของผู้ใหญ่ ไม่ใช่ของเด็ก มมุ มองท่ีผดิ ประการที่ ๓ คอื การใช้ “กฎของคา่ เฉลย่ี ” (the law of average) เปน็ ตวั ตงั้ เดก็ ทม่ี พี ฤตกิ รรมใดไมอ่ ยใู่ นคา่ เฉลยี่ ถอื วา่ ผดิ ปกติ ซงึ่ ทจี่ รงิ แนวคดิ แบบนก้ี ย็ อ้ นกลบั ไปทแ่ี นวคดิ แบบแยกส่วน ไมม่ องเดก็ ท้ังคน 128

ของขวัญจากความทันสมัย ของขวัญส�ำคัญท่ีสุดของความทันสมัยคือ เด็กรอดชีวิตเพ่ิมข้ึนอย่างมากมาย อุบัติเหตุ ในเดก็ กล็ ดลงอยา่ งมากมาย รวมทงั้ การทเี่ ดก็ มพี นื้ ทแี่ ละเวลาสำ� หรบั การเรยี นรไู้ ดม้ าก นอกจากนนั้ เรายงั เขา้ ใจความแตกตา่ งของเดก็ วา่ เด็กปกติมีความแตกตา่ งกันไดม้ าก แต่ส่ิงท่ีไม่ควรท�ำคือ การปกป้องเด็กมากเกินไป จนเด็กขาดโอกาสเป็นตัวของตัวเอง ในการฝึกฝนและเรียนรู้จากสถานการณ์จริง และการสร้างนิสัยการด�ำรงชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ขาดการเคลือ่ นไหวและการออกกำ� ลงั กาย น�ำไปสกู่ ารเป็นรังโรคเร้อื รงั เม่ือสงู อายขุ น้ึ ของขวญั จากความทนั สมยั ทไ่ี มค่ วรรบั คอื โรคเรอื้ รงั ยามสงู อายทุ เี่ กดิ จากการปลกู ฝงั นสิ ยั การด�ำรงชีวติ ผดิ ๆ ยามเปน็ เดก็ ตอนน้ี หนูแคอ่ ยาก จะเล่นมากกว่าเขียน ชวี ิตเด็กไม่ได้แยกสว่ นจากชวี ติ ยามเปน็ ผูใ้ หญ่ และยามชรา เทา่ นน้ั เองนะป้า จากค่าเฉล่ยี เด็กคนน้ีผิดปกติ เดก็ คนนี้มพี ฤติกรรมใช้ เปน็ เด็กสมาธสิ ้ัน ความรุนแรงแนๆ่ แน่นอน อยู่นง่ิ ๆ ไม่ไดต้ ้องได้รบั ยา วจิ ารณ์ พานิช กแ็ คเป่ อืนงนกา้ะนลงุกลว้ ย ๑๐ เม.ย. ๖๑ ตลอดไป 129

130

“...เรามักตกหลมุ มมุ มองท่ผี ดิ คอื หลงไปเนน้ ท่ี “ความพิเศษ” แทนทีจ่ ะเน้นเอาใจใสต่ ัวเด็กที่มี “ความพเิ ศษ” ขอ้ หลงผดิ นี้มีรากฐานมาจากความคิดแบบแยกส่วน มผี ลทำ� ให้มองไมเ่ ห็นตวั เดก็ เป็นรายคน...” 131

132

º··Õè÷ ¾×é¹·Õèà¾×èÍ¡Òà µÒÁ ¢Í§à´ç¡ ÍÂÙ‹ã¹ÊÀÒ¾ 133

134

พนื้ ทเ่ี พอ่ื การเลน่ ตามธรรมชาตขิ องเดก็ อยใู่ นสภาพเสอื่ มโทรม ตคี วามจากบทท่ี ๖ ทชี่ อ่ื วา่ Played Out : Habitat Loss and the Extinction of Play เดก็ สมยั หลายสบิ ปกี อ่ นโชคดกี วา่ เดก็ สมยั น้ี ตรงทมี่ พี น้ื ทต่ี ามธรรมชาตเิ พอ่ื การเลน่ อสิ ระ เหลือเฟือ และพ่อแม่ก็ปล่อยให้ลูกหลานเล่นกันเองโดยไม่เข้าไปก�ำกับควบคุมมากนัก นั่นคือ พื้นทเ่ี รียนรทู้ ีป่ ระเสรฐิ สุดสำ� หรบั เดก็ เลก็ ยุคทองของการเล่น ผู้เขียนยกตัวอย่างข้อความใน The American Boy’s Handy Book, 1882 แนะน�ำวิธี ปฏิบัติตัวในการไปเข้าค่ายในป่ากับเพ่ือนๆ สะท้อนสภาพปกติของการเรียนรู้จากการไปอยู่ใน ธรรมชาติของป่าหลายๆ วันหรือหลายสัปดาห์ และสะท้อนว่าเด็กอเมริกันในปัจจุบันไม่ค่อยมี โอกาสเชน่ น้ันอกี แลว้ ผู้เขียนเล่าความพยายามของตนเอง ในการเข้าไปส่งเสริมการเล่นของเด็ก จนในที่สุด ได้ขอ้ สรปุ ว่า การเลน่ ของเดก็ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่ตอ้ งมคี นกลางเขา้ ไปว่นุ วาย 135

ในศตวรรษท่ี ๒๑ เกิดการเปล่ียนแปลงหลักๆ ๓ ประการในเร่ืองการเล่นของเด็ก (๑) พ้ืนที่เพื่อการเล่นเปลี่ยนจากกลางแจ้งสู่ท่ีร่ม (๒) ของเล่นมีเทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น และ (๓) เวลาเล่นเปลี่ยนจากเวลาในครอบครวั กบั คนหลายรนุ่ อายุ ไปสู่การเลน่ กับเพ่ือนรนุ่ เดียวกัน แบบมกี ารจัดการในโรงเรยี น สมัยก่อนผู้ใหญ่ปล่อยให้เด็กเล่นกันเองโดยบ่อยครั้งไม่อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เด็กๆ มกี ารผจญภยั หรือเสี่ยงภัยกันเอง ทีเ่ ดก็ สมัยน้มี โี อกาสนอ้ ยมาก (กขาอรงเเดล็ก่น)� อุปกรณก์ ารเลน่ ง่ายๆ คืออะไร ทีพ่ วกเราคดิ กนั เอง นิยามของการเล่น ทำ�กนั เอง มีมากมาย ผู้เขียนชอบ นิยามว่า “กรอบความคิด ด้านปัญญาและอารมณ์ที่ เด็กเห็นพ้องกันว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้มีความหมายตามค�ำ พูดหรือตัวอักษร” มากที่สุด ตามนิยามน้ี อะไรก็เป็นการ เลน่ ได้ รวมทงั้ การกินอาหาร คณุ ปู่เกง่ จัง การเล่นเป็นเจตคติ มากกวา่ เปน็ กจิ กรรม 136

เม่ือการเล่นเป็นส่ิงท่ีไม่ได้มีความหมายตายตัว การเล่นจึงมีจินตนาการ และ ความสร้างสรรค์สูงมาก เป็นดินแดนฝึกความสร้างสรรคแ์ ละจนิ ตนาการของเด็ก มิติท่ีส�ำคัญของการเล่นคือ เด็กมีอิสระท่ีจะเลือกเอง ควบคู่กับ แรงจูงใจส่วนตัว การมีความหมาย ทางอารมณ์ นามธรรม และเพ้อฝนั ในชีวิตประจ�ำวัน การเล่น ของเดก็ คอื สงิ่ ทเ่ี มอ่ื เราเหน็ เราบอก ได้ทนั ทีวา่ เดก็ ก�ำลังเลน่ หลักการอย่างหน่ึงของการ ใหเ้ ด็กๆ เล่นคือ ไม่จ�ำ (no memory) และ จบั คู่ชายหญิง ผลัดกนั เลน่ ไม่มีเป้าหมายชัดเจน (no desire) ซึ่งช่วยให้ตระหนักว่าเป็นการเล่น คนละ ๓ ครัง้ นะจะ๊ คนเล่นไม่มีการถือสากัน และไม่ หวงั ผลอะไร ในเชิงถ้อยค�ำ “เล่น” (play) เป็นคู่ตรงกันข้ามกับ “ท�ำงาน” (work) อ่านถึงตรงน้ี ผมนึกถึงค�ำ ว่า “งานอดิเรก” (hobby) แต่นั่น เป็นเร่ืองของผู้ใหญ่ โดยผมขอ ให้ความเห็นว่างานอดิเรกเป็นสิ่ง ทีเ่ ราทำ� แล้วสนกุ เหมอื นเล่น 137

เล่นคือเรียน มักมีคนเข้าใจผิดว่า การเล่นของเด็กมีผลพลอยได้เป็นการเรียนรู้ ผ่านการฝึก ควบคุมอารมณ์ และการฝึกเป็นผู้ให้และผู้รับ การเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้เล่นก่อน กับเป็นผู้รอ ในความเป็นจริง การเล่นของเด็กมีผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ ผ่านการฝึกภาษา และการท�ำ ความเขา้ ใจคณติ ศาสตร์ การเลน่ เปน็ สงิ่ ทมี่ นษุ ยร์ บั มรดกมาจากววิ ฒั นาการ สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนม มีการเล่นท้ังสิ้น คนท่ีเล้ียงสุนัขจะเห็นสุนัขเล่นกัน แม้แต่สุนัขที่โตเต็มวัยแล้วก็ยังเล่นกัน ในสัตวเ์ หลา่ น้ี (รวมทงั้ คน) การเล่นเปน็ กลไกหนง่ึ ของการเรยี นรู้ตามธรรมชาติ การเลน่ เปน็ พน้ื ฐานของการเรยี นรขู้ องมนษุ ย์ เปน็ การวางพนื้ ฐานของสขุ ภาวะดา้ นอารมณ์ และดา้ นพฤตกิ รรมสงั คม การเลน่ ชว่ ยเพมิ่ ความจำ� ชว่ ยการฝกึ คณติ ศาสตร์ในสมอง ฝกึ การผลดั กนั เลน่ ควบคุมความววู่ าม และฝึกพูดดว้ ยถ้อยค�ำท่ีซบั ซอ้ น มีนักจิตวิทยาวิวัฒนาการเสนอว่า การเล่นเป็นกลไกทางวิวัฒนาการเพื่อพัฒนาทักษะ ที่จ�ำเปน็ ตอ่ การมชี วี ิตรอด ปกป้องเกินไป เด็กสมัยก่อนมีโอกาสเล่นในท่ามกลางธรรมชาติ ในพื้นที่ท่ีไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยหากเด็กโต พอสมควรท่ีจะชว่ ยตนเอง และชว่ ยเหลอื กันเองได้แลว้ สมัยโน้นการเล่นซุกซนหรอื เล่นแผลงๆ ของเด็ก เป็นเร่ืองท่ีผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้เกินขอบเขต ไม่ให้เสี่ยงอันตรายเกินไป แต่ไม่ห้ามเล่น ตรงกันข้าม เด็กสมัยนี้ต้องถูกจ�ำกัดขอบเขตของการเล่น ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย รวมทั้งถกู ชักจงู ให้เล่นในบ้าน หรอื ในอาคาร โดยใชเ้ ทคโนโลยี (เช่นวิดโี อเกม) โปรดสงั เกตว่า เด็กๆ ถูกกระทำ� โดยระบบธรุ กิจทนุ นิยมอยา่ งไรบ้าง ท�ำให้การเล่นของเด็ก “เข้ากรอบ” มากยิ่งขึ้น ตามการเปล่ียนแปลง ๓ ประการของ การเลน่ ดังกล่าวแลว้ 138

สร้างพื้นที่เล่นใหม่ ให้แก่เด็ก พ้ืนที่เล่นของเด็กในอุดมคติคือพ้ืนท่ีท่ีปลอดจากบงการ ของผใู้ หญ่ โดยเดก็ ๆ จดั การกนั เอง มเี ดก็ หลายอายุ เล่นกัน โดยใช้หลักการว่าเด็กเล็กต้องการ การดแู ล และเด็กโตชอบดูแลน้อง ในชมุ ชนจดั พนื้ ทแ่ี ละเวลาตาม นดั หมาย เชน่ สปั ดาหล์ ะวนั ใหพ้ อ่ แม่ พาเด็กไปรวมตัวกันเพื่อเล่นด้วยกัน หากจะให้เด็กเล็กเล่นเกมด้วยกัน เดก็ โตอาจทำ� หนา้ ท่ีบอกกติกา และเปน็ กรรมการห้ามหรือตัดสิน ผู้ใหญ่ห้ามเข้าไปยุ่งเก่ียว ยกเว้น คอยให้รางวัลเมื่อเด็กๆ เล่นกันได้ดี เช่น มขี นมและนำ้� ไวเ้ ลย้ี ง เมอื่ เหน็ วา่ เดก็ ๆ ทำ� กนั ไดด้ ี คอ่ ยๆ ขยายขึ้นเป็นค่ายเสาร์-อาทิตย์ ค้างคืน ใหเ้ ดก็ ๆ คดิ และจดั การกนั เอง โดยผใู้ หญ่ เป็นเพียงกองสนับสนุน และต่อไปอาจ ขยายเป็นค่ายเดินป่าศึกษาธรรมชาติ สามสว่ี ัน เปน็ “พื้นท่ีใหม่” ของการเลน่ ที่เด็กๆ สร้างกันเอง ผู้ใหญ่ท�ำหนา้ ท่สี นบั สนนุ ไม่ใชเ่ ปน็ ผ้จู ดั 139

เล่นหรือรังแก เรื่องเด็กเล่นด้วยกันแล้วถูกรังแก หรือกระทบกระท่ังกัน เป็นเร่ืองปกติ สมัยก่อนพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่มักถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ลุกลามเป็นเรื่องราวขัดแย้งใหญ่โต พ่อแม่อาจเพียงปราม ลูกของตนว่า ต่อไปหากพบเด็กคนน้ันอย่าเข้าไปเล่นด้วย และพ่อแม่เองก็ช่วยพาลูกหลบด้วย โดยทผ่ี ใู้ หญ่สมยั กอ่ นยอมรับวา่ เดก็ ๆ ไรเ้ ดียงสา จงึ ไมถ่ ือสาในความประพฤตไิ มถ่ กู ต้อง ยกเวน้ ความประพฤตทิ ก่ี ่ออนั ตรายรา้ ยแรง แตพ่ อ่ แมส่ มยั นเ้ี ปลยี่ นไป ยดึ ถอื สทิ ธแิ ละความถกู ตอ้ งเปน็ หลกั หากลกู ของตนถกู เดก็ อน่ื รกุ รานสิทธ์ิก็จะร้องเรยี นและเอาเร่อื ง สภาพดังกล่าวมีต้นตอที่การเอาโลกทัศน์ของผู้ใหญ่ไปตีความเด็ก ใช้กติกาของผู้ใหญ่ กับพฤติกรรมของเดก็ คอื ไมเ่ ข้าใจความเปน็ เด็กน่ันเอง ท่ีร้ายกว่านั้น คือเด็กเล่นสนุก และต้องการเล่นแบบน้ัน แต่ผู้ใหญ่น่ังดูอยู่ รู้สึกว่าลูก ของตนถูกเด็กโตกว่ารังแก ท้ังๆ ท่ีมันเป็นเกมการเล่น และถ้อยค�ำและเสียงที่เปล่งออกมา ในทำ� นองวา่ อยู่ในสภาพท่ีไม่ชอบใจนนั้ เปน็ สว่ นหนึง่ ของการเล่นสนุก ย่ิงข้ึนไปอีก ผู้เขียนบอกว่า เด็กมีอารมณ์ก่ึงๆ กลางๆ หลายอย่างในเวลาเดียวกัน ตอนเล่นสนุกสุดขีด คือทั้งสนุกทั้งกลัว หรือทั้งสนุกทั้งรู้สึกทรมาน ท�ำให้ผู้ใหญ่ท่ีน่ังสังเกตอยู่ และใช้ความรู้สึกของตนเข้าไปตัดสินคิดว่าลูกของตนก�ำลังถูกกระท�ำ ท้ังๆ ที่เห็นอยู่กับตา วา่ ลกู ของตนร่วมเล่นกับเขา 140

หนแู คต่ ื่นเต้นค่ะ ใจเย็นๆ คะ่ นั่นลกู ใคร เดก็ ๆ เขาเล่นกันอยู่ แกล้งลูกฉนั นะคะคณุ แม่ 141

ผู้เขียนบอกว่า พ่อแม่ควรเข้าหลักสูตรเข้าใจการเล่นของเด็ก และผู้เขียนเคยท�ำหน้าท่ี วทิ ยากร แนะนำ� พ่อแม่ในประเดน็ ต่อไปน้ี • ฝกึ เบนความสนใจ หากเดก็ มาฟอ้ งวา่ ถกู เพอ่ื นเอาเปรยี บ หรอื รงั แก ใหต้ รวจสอบวา่ เปน็ เรื่องจกุ จกิ เลก็ ๆ น้อย แลว้ ใช้เทคนคิ เปลยี่ นเรอื่ ง เช่นตอบวา่ “เสื้อของหนสู วยจัง ใคร ซอื้ ให”้ “ใชน่ า่ รำ� คาญหนหู นอ่ ยจรงิ ๆ แตว่ า่ ในกระเปา๋ สะพายของหนมู อี ะไรอวดครบู า้ ง” เด็กบางคนอาจรบเรา้ เพอื่ ใหม้ ่ันใจวา่ ผ้ใู หญไ่ ด้ยินเรื่องทตี่ นมาฟอ้ ง • หากเด็กมาฟ้องว่าถูกเพ่ือนด่า เช่นว่าโง่ ผู้ใหญ่ต้องตอบด้วยเสียงปกติว่า “เป็นเร่ือง ตลกทีเ่ ขาว่าหนอู ย่างน้นั ” “เป็นคำ� พูดท่ีโงท่ สี่ ุดในโลก” • หากเด็กมาร้องเรียนด้วยค�ำกว้างๆ เช่น “หนูเกลียดปิ๊ด” “เขาชอบมาดึงผมเปีย ของหนู” ผู้ใหญ่ต้องใช้กุศโลบายเบนความสนใจ เช่นตอบว่า “วันก่อนปิ๊ดเขาแบ่ง ขนมให้หนูกินใช่ไหม วันน้ีเขาเอาอะไรมาแบ่งให้หนูบ้าง” คือผู้ใหญ่ต้องเข้าใจว่า การเลน่ กนั เปน็ เรอื่ งไมร่ าบรนื่ ตลอดเวลามกี ารกระทบกระทงั่ กนั บา้ ง สภาพเชน่ นน้ั เอง คอื ประโยชน์อย่างหน่ึงของการเลน่ 142

• เตือนสติเด็กว่า ตอนเล่นทุกคนมุ่งม่ันท�ำส่ิงที่ตนต้ังใจท�ำ โดยท่ีเด็กแต่ละคนมีนิสัยและ สไตล์แตกต่างกัน บางคนขี้อาย บางคนช้า บางคนเร็ว บางคนมุทะลุ บางคนยึดกติกา แต่เป็นคนก้าวร้าวรุนแรง เม่ือเล่นด้วยกันก็ต้องกระทบกระท่ังกันบ้าง ไม่ถูกใจกันบ้าง ผูใ้ หญต่ ้องเตอื นสติเดก็ วา่ เล่นด้วยกนั กต็ ้องไมถ่ ือสากนั (เป็นการเตอื นสติผู้ใหญเ่ องดว้ ย) • หลีกเล่ียงการใช้ค�ำ “รังแก” (bully) ต่อเหตุการณ์ กระทบกระทั่งระหว่างที่เด็กเล่นด้วยกัน โดยเฉพาะ ในระหวา่ งเดก็ ในชว่ งอายุ ๔ - ๕ ขวบ แมว้ า่ เหตกุ ารณ์ นนั้ จะเกดิ ซำ�้ หลายครงั้ การรงั แกทแี่ ทจ้ รงิ เกดิ กบั เดก็ โต ท่จี งใจต่อเด็กท่ีเป็นเหย่อื และมีการทำ� ซ�้ำๆ • สอนเด็กให้รู้จักหลบเล่ียง หากเผชิญสถานการณ์ ที่ไมช่ อบ ไมพ่ อใจ เชน่ แนะวา่ หากไมต่ อ้ งการถกู วง่ิ ไล่ ก็อย่าวิ่งหนี ให้นั่งลงเสีย หรือหากไม่อยากเล่น กับเพอื่ นคนน้ัน ก็ให้เดนิ หนไี ปเสีย • จงตระหนักในพลังของเด็ก เด็กมีความแข็งแรง เพียงพอต่อการเล่น ซึ่งบางกรณีเป็นการเล่นแรงๆ การกระทบกระท่งั บา้ งไม่เป็นเร่ืองน่ากังวล 143

สนามเด็กเล่นที่เป็นธรรมชาติ ค�ำแนะน�ำส�ำหรับพ่อแม่สมัยปัจจุบันคือ ให้เวลาให้เด็กเล่นกลางแจ้งเพ่ิมข้ึนเป็นสองเท่า โดยเน้นเล่นของเล่นท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติ เป้าหมายส�ำคัญคือ ให้เด็กมีอิสระในการเล่นกันเอง โดยผู้ใหญ่ไม่เข้าไปบงการ โดยท่ีไม่จ�ำเป็นต้องมีการเตรียมการใหญ่โต ไม่ต้องพาไปเดินป่า แคม่ ีถาดทรายเลก็ ๆ หนา้ บ้าน เด็กๆ กเ็ ลน่ กนั ได้สารพดั เร่ืองแลว้ หรอื อาจเล่นดรู ังนกทรี่ ะเบียง คอนโด เลน่ เพาะเมล็ดต้นไม้ในกระถาง เล่นสังเกตดอกไม้ในสวน เป็นต้น ประสบการณ์ของเด็กต่อสิ่งท่ีเป็นธรรมชาติมีคุณต่อเด็กมากมายหลากหลายประการ มผี ลงานวจิ ยั ยนื ยนั วา่ มผี ลบวกตอ่ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรแู้ ละพฒั นาการเดก็ เลก็ เชน่ การเลน่ สรา้ งสรรค์ และจินตนาการช่วยเพิ่มทักษะการก�ำกับตนเอง เพ่ิมผลการทดสอบ และลดความเหน่ือยล้า ทางสมอง ผลงานวจิ ยั บอกวา่ พน้ื ทเี่ ลน่ ทเ่ี ปน็ ธรรมชาติ มตี น้ ไม้ ชว่ ยใหอ้ าการของเดก็ ADHD ทเุ ลาลง เด็กวัยเด็กเล็กท่ีเล่นในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจริงๆ มีผลพัฒนาการของกล้ามเน้ือและ การเคล่อื นไหวดกี ว่าเดก็ ท่เี ลน่ ในสนามเด็กเลน่ รวมทงั้ อุบัติการณ์ของโรคอว้ นตำ่� กวา่ พึงตระหนักว่า บริการจัดค่ายที่พิพิธภัณฑ์ ค่ายฤดูร้อน และค่ายเด็กเล็กท่ีฟาร์ม เหล่าน้ีไม่ใช่พ้ืนท่เี ลน่ ตามธรรมชาตขิ องเด็ก พื้นที่เล่นแพ้หลักสูตรมาตรฐาน ยิ่งนับวัน หลักสูตรมาตรฐานท่ีไร้จินตนาการ ก็ย่ิงเข้าไปเบียดเวลาเบียดโอกาสท่ีเด็ก จะมที เ่ี ลน่ และเรยี นรแู้ บบธรรมชาตเิ ปน็ ฐาน หลกั สตู รมาตรฐาน คมู่ อื ประกอบการสอนมาตรฐาน สำ� หรบั ครชู นั้ เดก็ เลก็ ใชส้ อนนกั เรยี น กลายเปน็ ตวั กอ่ อปุ สรรคตอ่ การเรยี นรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ ของเดก็ เลก็ 144

ให้เด็กมีอิสระ� ในการเล่นกันเอง โดยผู้ ใหญ่ไม่เข้าไปบงการ หากจะให้ประเทศไทยมี ตามหลักสตู ร พลเมอื งคณุ ภาพสงู ตอ้ งเรม่ิ ทเี่ ดก็ เลก็ อ.๓ ตอ้ ง.... เราก�ำลังเดินมาถูกทาง แต่อย่าหลง ไปเลียนแบบอเมริกัน ท่ีย่ิงนับวัน 145 ระบบทนุ นยิ มกเ็ ขา้ ไปหาประโยชนจ์ าก เด็กเล็กมากขึ้นๆ ส่งผลทางอ้อม ใหค้ ณุ ภาพการเรยี นรขู้ องเดก็ เลก็ เลวลง อย่าเข้าไปขวางการเรียนรู้ อย่างอิสระของเด็กในสภาพแวดล้อม ท่ีเป็นธรรมชาติ เรียนจากส่ิงของท่ีมี ในธรรมชาติ วิจารณ์ พานชิ ๑๒ เม.ย. ๖๑

146

“...มักมคี นเขา้ ใจผิดว่า การเลน่ ของเด็กมผี ลพลอยไดเ้ ปน็ การเรยี นรู้ ผา่ นการฝึกควบคมุ อารมณ์ และการฝกึ เปน็ ผใู้ ห้และผรู้ บั การเปล่ียนบทบาทเปน็ ผ้เู ลน่ ก่อน กบั เป็นผ้รู อ ในความเปน็ จรงิ การเลน่ ของเดก็ มีผลโดยตรงต่อการเรยี นรู้ ผา่ นการฝกึ ภาษา และการทำ� ความเข้าใจคณติ ศาสตร์...” 147

148

º··Õèø âÅ¡Çѵ¶Ø¹ÔÂÁ à´ç¡ 149