150
โลกวัตถนุ ยิ มขดั ขวางพฒั นาการเดก็ ตคี วามจากบทท่ี ๗ ที่ช่อื ว่า Stuffed : Navigating the Material World ปญั หาใหญใ่ นสหรฐั อเมรกิ า สำ� หรบั เดก็ กอ่ นวยั เรยี นคอื เดก็ ถกู มอมเมาดว้ ยวตั ถุ ทสี่ ว่ นหนงึ่ อา้ งวา่ เปน็ ของเลน่ ทช่ี ว่ ยสง่ เสรมิ พฒั นาการเดก็ สภาพเชน่ นร้ี ะบาดไปทว่ั โลก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ประเทศไทย 151
เล่นโดยไม่มีของเล่น ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ในชั้น ป. ๒ ท่ีสะท้อนหลักการ “น้อยคือมาก” (less is more) ซง่ึ หมายความวา่ ของเลน่ นอ้ ย ไดเ้ รยี นมาก จากวธิ กี ารscaffolding ของครูMehrnooshWatson(๑) ที่พื้นเพเป็นคนอิหร่าน เธอเร่ิมโดยเล่าให้เด็กฟังว่าในวัยเด็กของเธอท่ีประเทศอิหร่าน ในช้ัน ประถม ไม่มีของเล่นอย่างท่ีเด็กในห้องเรียนมีเลย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา หนังสือ สีเทียน ไม่มี สิ่งใดท่ีฝาผนัง เด็กถามว่าไม่มีกระดานอัจฉริยะหรือ ไม่มีคอมพิวเตอร์หรือ เด็กฮือฮา เมื่อครู บอกวา่ ไมม่ ชี อล์กเขียนกระดานดำ� กอ่ นหนา้ นน้ั เธอเคยใหเ้ ดก็ ๆ เรยี นเรอ่ื งราวของนกั ธรรมชาตวิ ทิ ยาHenryDavidThoreau(๑) ในชว่ งศตวรรษท่ี ๑๙ และใหเ้ ดก็ ๆ คดิ แทนธอโรวา่ ชวี ติ ในสมยั ศตวรรษท่ี ๒๑ ทเี่ ตม็ ไปดว้ ยวดิ โี อ เกม และอาหารขยะ เปน็ อยา่ งไร เทา่ กบั ใหเ้ ดก็ ไดเ้ ปรยี บเทยี บชวี ติ ในสองยคุ และใหเ้ ปรยี บเทยี บ กบั บทเรยี นทค่ี รเู คยใหน้ กั เรยี นเขยี นรายการทจี่ ำ� เปน็ ตอ่ ชวี ติ เทยี บกบั รายการทนี่ กั เรยี นอยากได้ หลงั จากเล่าเรอ่ื งชวี ิตในห้องเรยี นของประเทศอิหรา่ นสมัยสามสิบปีกอ่ น ครู Mehrnoosh ประกาศวา่ บา่ ยนจี้ ะไมม่ กี ารเรยี น ใหเ้ ดก็ ๆ เลน่ ไดโ้ ดยอสิ ระ แตม่ เี งอ่ื นไขอยา่ งเดยี ว ตอ้ งเลน่ ในหอ้ ง โดยไมม่ วี ตั ถใุ ดๆ ทมี่ อี ย่ใู นหอ้ งเรยี น เดก็ ๆ ตอ้ งเลน่ ดว้ ยหวั ใจ จติ ใจ และรา่ งกายของตนเองเทา่ นนั้ เดก็ ๆ งงมาก และแสดงทา่ ทีอดึ อัด เม่ือเวลาดังกล่าวมาถึง เด็กๆ งงอยู่นานว่าจะเล่นอะไรดี แต่ในท่ีสุดเด็กก็รวมตัวกัน เปน็ กลมุ่ ๆ ปรึกษาหารอื กนั แรกๆ กค็ ุยกันแบบขัดๆ เขนิ ๆ ต่อมาคุยกันคล่อง บางกลมุ่ น่ังเล่น Mehrnoosh (๑) https://www.mindfulschools.org/resources/certified-instructor/name/mehrnoosh-watson/ Henry (๑) https://en.wikipedia.org/wiki/Henry_David_Thoreau 152
เปน็ วงกลม บางกลุ่มเล่นเกมด้วยมือ บางกลุ่มนอนกับพ้นื เลน่ “โทรศพั ท”์ เสยี งหัวเราะเร่มิ เบาๆ แลว้ ดังขน้ึ ๆ เสียงหวั เราะดึงดดู เด็กบางคนให้ย้ายกลุ่ม มกี ารสอนเล่นเกม เช่นเกมตบมือ มเี ดก็ ท่ีขาพิการนั่งบนรถเข็น นั่งบรรยายเรื่องหลุมด�ำ (black hole) ให้เพ่ือนกลุ่มหน่ึงฟัง เพื่อนๆ ตอบแทนผู้บรรยายโดยการเขน็ รถไปรอบๆ หอ้ ง การเล่นโดยไม่มขี องเล่นเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ มปี ฏสิ ัมพันธ์กนั 153 และใช้จินตนาการชว่ ยการเลน่ การเล่นทง้ั หมดน้ันคือการเรียนรู้ของเดก็
เดก็ อกี กลมุ่ หนง่ึ เลน่ เกม ๒๐ คำ� ถาม มอี ยชู่ ว่ งหนง่ึ ทงั้ ชนั้ รว่ มกนั เลน่ รอ้ งเพลงประสานเสยี ง ในที่สุดช่วงเวลาเล่นก็จบลง ตามด้วยการไตร่ตรองสะท้อนคิดต่อประสบการณ์ดังกล่าว ร่วมกัน ขาดแคลน “เวลา” อดุ มดว้ ย “วัตถ”ุ เพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ เพ่อื ความบันเทิง กบั มนุษย์ หนอู ยากได้ “เวลาเล่นด้วยกัน” มากกว่า “ของเล่น” 154
เดก็ ๆ แสดงความพอใจในการเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ โดยไมไ่ ดต้ ระหนกั วา่ ทเ่ี กดิ เหตกุ ารณ์ เช่นน้นั ไดเ้ พราะครู Mehrnoosh ได้ท�ำ scaffolding ไว้ลว่ งหน้าดังเลา่ แลว้ เมอ่ื ผเู้ ขยี นบอกเดก็ ๆ ว่า ไม่ได้ยินเสยี งบน่ หรือทะเลาะกนั เลย เดก็ ๆ เห็นดว้ ยวา่ เป็นเรื่องแปลก แตกตา่ งจากการเล่น แบบมขี องเลน่ และตนกแ็ ปลกใจที่เลน่ แบบนส้ี นุกกว่า พรอ้ มกบั ขอร้องครูวา่ ในวนั ต่อไปขอให้ มีช่วงเวลาเช่นน้ีอกี เดก็ คนหนงึ่ สะทอ้ นคดิ ถงึ หนงั สอื ชอื่ The Book of Nothing ทอี่ า่ นเมอื่ สองสามสปั ดาหก์ อ่ น ว่านกึ ออกแลว้ วา่ ค�ำวา่ nothing มีความหมายวา่ something เห็นได้ชัดเจนว่า การเล่นโดยไม่มีของเล่นเปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กัน และใช้ จินตนาการช่วยการเลน่ การเล่นทง้ั หมดนัน้ คอื การเรยี นรขู้ องเด็ก จะเห็นว่า แนวทางจัดของเล่นจ�ำนวนมากให้เด็ก เพื่อช่วยเอื้อการเรียนรู้ เป็นมายา เปน็ เรอ่ื งของผลประโยชนข์ องธรุ กจิ ของเลน่ เดก็ ไมใ่ ชผ่ ลประโยชนท์ แ่ี ทจ้ รงิ ตอ่ การเรยี นรขู้ องเดก็ ทีร่ ฐั คอนเนค็ ตกิ ัต สหรฐั อเมริกามี Friends Center for Children (๒) ที่ใหก้ ารศกึ ษาเดก็ เลก็ โดยใช้หลักการความเรียบงา่ ย “นอ้ ยคือมาก” ตามแนวชมุ ชนเควเกอ้ ร์ สรุปว่า การศึกษาเด็กเล็กท่ีถูกต้อง คือการศึกษาที่เน้นจัดสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้ ผา่ นปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ย์ ไมใ่ ชเ่ พอ่ื ใหเ้ ดก็ มขี องเลน่ มากๆ ไมใ่ ชเ่ พอื่ ใหเ้ ดก็ ไปเลน่ “ของเลน่ เพือ่ การเรียนร้”ู ที่ผลกั ดันโดยบรษิ ัทขายของเดก็ เล่น (๒) http://www.friendscenterforchildren.org/ 155
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ยคุ นเ้ี ปน็ ยคุ เทคโนโลยกี า้ วหนา้ เครอ่ื งอเิ ลก็ ทรอนกิ สร์ าคาถกู บา้ นเรอื นอดุ มไปดว้ ยสงิ่ ของ ทีด่ งึ ดูดความสนใจของเดก็ จงึ เปน็ ยคุ ทีเ่ ด็กอดุ มสิ่งของหรอื วตั ถุ (สำ� หรับความบันเทงิ ) แต่กลับ ขาดแคลนเวลาสำ� หรบั มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เพอื่ นมนษุ ย์ เพอื่ การเรยี นรฝู้ กึ ฝนทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ เด็กเผชิญความอุดมและความขาดแคลนในเวลาเดียวกัน อุดม “ขยะ” ขาดแคลน “พนื้ ทท่ี างปัญญา” สำ� หรับเด็ก มงี านวิจัยของ Kaiser Family Foundation เปรยี บเทยี บเวลาทเ่ี ดก็ ใชอ้ ยกู่ ับส่อื ชนิดต่างๆ ในแตล่ ะวนั ระหวา่ งเดก็ ทีพ่ ่อแม่เรยี นจบมหาวิทยาลัย กับเด็กที่พอ่ แมจ่ บการศกึ ษาระดบั ต�ำ่ กว่า พบวา่ เดก็ กลมุ่ หลงั ใชเ้ วลามากกวา่ กลมุ่ แรกวนั ละ ๙๐ นาที สะทอ้ นวา่ เดก็ ในสภาพเศรษฐฐานะตำ�่ มโี อกาสถูกมอมเมาโยใช้เทคโนโลยเี ปน็ เครอ่ื งมอื มากกวา่ ยงิ่ จน ยง่ิ ขาดแคลนพน้ื ทที่ างปญั ญาสำ� หรบั เดก็ โดยทกี่ ารเบยี ดเบยี นมากบั ความปรารถนาดี และผรู้ บั กร็ สู้ กึ ดี ไมต่ ระหนกั ในผลรา้ ยทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ ลกู หลาน และสงั คมกย็ ง่ิ เสยี่ งตอ่ การมพี ลเมอื ง รนุ่ ใหมท่ ดี่ ้อยคณุ ภาพ โดยไมร่ ้ตู วั สภาพนเี้ กดิ ขนึ้ ท่ัวโลก เด็กเล็กควรได้เล่นกับเพ่ือนมนุษย์ด้วยกัน จะได้เรียนรู้มากกว่าเล่นกับของเล่นคนเดียว ยงิ่ สิ่งของทีเ่ ด็กเปน็ ผูเ้ สพฝ่ายเดยี ว ไม่ต้องลงมอื ทำ� อะไรเลย ย่งิ เป็นผลร้ายต่อพัฒนาการเด็ก ผมคิดวา่ เราไม่ควรโทษเทคโนโลยที ี่กา้ วหน้า เปน็ เรอื่ งปกติที่เทคโนโลยีมีท้ังคณุ และโทษ พ่อแม่ต้องรู้เท่าทัน และสังคมต้องมีวิธีจัดการ ให้เด็กไม่ถูกท�ำร้ายโดยเทคโนโลยี แต่ได้รับ ประโยชน์ คาถาทงี่ า่ ยทีส่ ุดคอื อย่าใชเ้ ทคโนโลยเี ลยี้ งเด็ก แทนคนเลีย้ ง 156
ทั้งเพิ่มและลดการเรียนรู้โลก เดก็ เลก็ ในยคุ ปจั จบุ นั อยใู่ นสภาพทแี่ ปลก คอื ทงั้ ยากขน้ึ และงา่ ยขนึ้ ในการเรยี นรคู้ วามจรงิ จากโลก กล่าวใหม่ว่า เทคโนโลยีกา้ วหน้า ท้ังสง่ เสริมการเรยี นรู้ และเปน็ อปุ สรรคตอ่ การเรียนรู้ ของเดก็ ส่ิงที่ผิดคือ หวังให้เทคโนโลยีท�ำหน้าท่ีให้ประสบการณ์การเรียนรู้แก่เด็ก ในขณะท่ีสิ่ง ที่ถูกคือ ใช้เทคโนโลยอี �ำนวยความสะดวกทตี่ ้องการ คือเราตอ้ งควบคุมการใชเ้ ทคโนโลยี ไม่ใช่ ใหเ้ ทคโนโลยคี วบคุมพฤตกิ รรมของเรา ความเขา้ ใจผดิ ทอี่ นั ตรายสดุ ๆ คอื คดิ วา่ ยงิ่ มเี ทคโนโลยมี าก หรอื ครบครนั การเรยี นรขู้ อง เดก็ เลก็ ยงิ่ เกดิ มาก และเปน็ การเรยี นรทู้ ค่ี ณุ ภาพดี เพราะปจั จยั สำ� คญั ทสี่ ดุ ตอ่ การเรยี นรขู้ องเดก็ เลก็ ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ การเรียนรู้ท่ีแท้จริงมีธรรมชาติเป็นกิจกรรม ทางสงั คม และการมเี ทคโนโลยีครบครัน มีสว่ นเปน็ ตวั ปิดกนั้ โอกาสมีปฏิสมั พันธ์ทางสงั คม มีผู้วิจัยพบว่า ส่ีห้าสิบปีมาแล้วในสหรัฐอเมริกา เด็กเร่ิมดูทีวีเม่ืออายุ ๔ ปี แต่ปัจจุบัน เด็กเร่ิมดทู ีวเี ม่อื อายุ ๔ เดือน และเวลานี้เด็กดทู ีววี นั ละ ๔ ชั่วโมงครง่ึ คดิ เป็นรอ้ ยละ ๔๐ ของ เวลาต่ืน ที่จริงมีวิธีดูทีวีที่ดีส�ำหรับเด็ก คือดูทีวีเร่ืองที่เหมาะสมกับเด็กพร้อมหน้ากันกับผู้ใหญ่ มีอะไรสงสยั กถ็ ามหรือพดู คยุ กบั ผู้ใหญ่ได้ ไม่ใช่ดูทวี เี ร่ืองอะไรก็ไดค้ นเดยี ว ในหอ้ งนอนสว่ นตัว มกี ารวจิ ยั พบวา่ รายการทวี สี ำ� หรบั เดก็ มกี ารเปลยี่ นฉากเรว็ มาก ถงึ ๗ ครงั้ ใน ๒๐ วนิ าที การเปล่ียนฉากเร็วเช่นน้ีสมองเด็กเล็กตีความหมายไม่ทัน จึงเพียงรับรู้ว่ามีการเปล่ียนแปลง รายการทีวีเช่นน้ีจึงมีผลลบต่อพัฒนาการของสมองเด็ก ไม่มีประโยชน์ต่อการกระตุ้นการเรียนรู้ ของเดก็ อย่างท่ีกล่าวอา้ ง ทมี่ ผี ลการวิจัยเป็นรปู ธรรมคือ กอ่ อาการสมาธสิ ้นั ใหแ้ กเ่ ดก็ 157
ท่ีน่าสนใจคือ เขาทดลองผลของการดูทีวีมากในหนู มีผลท�ำให้หนูไม่สนใจอยากเรียนรู้ สภาพแวดล้อม อย่างหนูทั่วไป เรื่องพิษภัยของรายการทีวีส�ำหรับเด็กนี้ มีผู้เปรียบเทียบว่า การโฆษณาเครือ่ งสำ� อางได้รบั การควบคมุ ไม่ให้ก่อพษิ ภัยตอ่ ผู้ใช้ แตต่ รงกันขา้ ม ผ้ผู ลิตรายการ ทีวีส�ำหรับเด็กมีอิสระโดยไม่มีการควบคุมใดๆ ทั้งๆ ท่ีมีผลการวิจัยบอกว่ารายการบางประเภท ทำ� รา้ ยเด็ก เรอ่ื งการลงทุนส�ำหรบั เดก็ เป็นดาบสองคมนี้ มีตัวอย่างจรงิ มากมาย พอ่ แม่จำ� นวนมาก ออกไปทำ� งานนอกบา้ นเพอ่ื หาเงนิ มาเลยี้ งลกู ซอ้ื วตั ถจุ ำ� นวนมากใหล้ กู เลน่ หรอื เสพ ดว้ ยความเชอื่ ว่าจะชว่ ยพัฒนาการของลกู แต่กลับมีผลรา้ ยต่อลกู การลงทนุ ซอ้ื คอมพวิ เตอร์ไวใ้ ชใ้ นชน้ั เดก็ เลก็ กบั การลงทนุ สรา้ งสนามเดก็ เลน่ ทด่ี ี อนั ไหน มีคุณตอ่ เดก็ เลก็ มากกว่ากนั เคล็ดลับในการเลือกเทคโนโลยีเพื่อกระตุ้นพัฒนาการเด็กคือ เลือกเทคโนโลยีที่ช่วยเอื้อ โอกาสใหเ้ ด็กไดใ้ กล้ชิดธรรมชาติและสง่ิ มีชวี ติ การเลยี้ งสตั วเ์ ลย้ี งจงึ มคี ณุ คา่ ตอ่ การเรยี นรขู้ องเดก็ มาก การเรยี นรทู้ เ่ี กดิ ขนึ้ ไดแ้ ก่ ฝกึ ดแู ล ผู้อ่อนแอ ฝึกความเคารพและสนองตอบต่อความต้องการของผู้อื่น ฝึกรู้จักรอผลดีท่ีได้รับ ในภายหลงั จากการทำ� งานทตี่ นไมส่ นกุ ในชว่ งแรก ฝกึ ควบคมุ ตนเอง กำ� กบั พฤตกิ รรมของตนเอง และเรยี นรกู้ ารทะนถุ นอมดแู ล ใหค้ วามรกั และอดทนตอ่ ความสญู เสยี เมอ่ื สตั วเ์ ลยี้ งตายหรอื หนไี ป มผี ลการวจิ ยั พบวา่ เดก็ ทเ่ี ปน็ ออทสิ ซมึ่ มอี าการดขี น้ึ จากการเลย้ี งหนตู ะเภาเปน็ สตั วเ์ ลย้ี ง ซง่ึ ใหผ้ ลดีกว่าการเลน่ ของเล่น 158
ยิ่งอยู่กับเทคโนโลยีมาก ก็ยิ่งเหลือเวลามีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์น้อยลง ก่ออาการสมาธิสน้ั ทีวเี ปลยี่ นฉากเรว็ มาก สมองของเดก็ เลก็ ตีความหมายไม่ทนั ในหนึ่งวัน เราปล่อยให้เด็กอยู่กับเทคโนโลยีกี่ชั่วโมง 159
ของเล่นปลอมส�ำหรับเด็กระบาดหนัก ไปสู่ทุกกิจกรรมของการเล่น ท�ำให้เด็กไม่ได้ รับประโยชน์จากการเล่น เขายกตัวอย่างของเล่นท�ำครัวแบบสมมติในโครงการ Head Start ของอเมรกิ นั มชี อ้ นไม้ ชามผสมสลดั เครอื่ งบดมนั ฝรง่ั เครอ่ื งทบุ กระเทยี ม และอน่ื ๆ มกี ารจดั พน้ื ท่ี เลน่ ทำ� อาหาร แตเ่ มอื่ เดก็ ขอทำ� อาหารจรงิ ๆ เพอ่ื กนิ กนั จรงิ ๆ โครงการ Head Start กลบั ไมอ่ นญุ าต แมช้ นิด ของอาหารทจี่ ะทำ� เปน็ สง่ิ ทก่ี นิ กนั อยแู่ ทบทกุ วนั โดยมี ผปู้ ระกอบอาหารทไ่ี ดร้ บั ใบอนญุ าตนำ� มาสง่ เดก็ ไดร้ บั อนญุ าตใหฝ้ กึ ทำ� เครอื่ งดม่ื ได้ แตห่ า้ มทำ� เพอื่ ใหเ้ ดก็ ดื่ม (ท�ำให้ครูด่ืมได้) เด็กได.้ ..คิดเอง ใชค้ วามเพ้อฟนั (fantasy) เด็กได้...ทำ�ตามคำ�ส่ังจาก “แอพพลิเคช่นั ” = ไม่ไดเ้ ล่นจริงๆ การเล่นประกอบอาหารเป็น โอกาสเรียนรู้วิชาการหลากหลายด้าน ไดแ้ ก่ สดั สว่ น การวดั มวลและปรมิ าตร ปฏิกิริยาเคมี การบวกและการลบ การเพ่ิมคลังค�ำ การเขียนหรือวาดภาพ 160
สูตรอาหาร เป็นต้น แต่ท่ีส�ำคัญย่ิงกว่าน้ัน คือการให้โอกาสเด็กได้ท�ำอาหารให้ผู้อ่ืนกิน เปน็ การฝึกความมใี จเผอ่ื แผ่ และฝึกมีความสขุ กับการท�ำอาหาร เหตุท่ีโครงการ Head Start ห้ามการให้เด็กฝึกประกอบอาหารก็เพราะเกรงอันตราย จากการแพอ้ าหาร ซึ่งร้กู ันวา่ มีการกระพอื ขา่ วเกนิ จรงิ การเล่นปลอมๆ ขยายสู่การเล่นผ่าน app เช่น pancake-maker app (ลองค้นดูใน App Store พบมากมาย) ท่จี ริงเด็กชอบการเล่นสมมติ ผ้เู ขยี นเลา่ วา่ สมัยตนอายุ ๕ ขวบได้เล่นแตง่ งาน โดยพีส่ าว เป็นคนจดั งาน การเล่นหม้อข้าวหมอ้ แกงของเด็กไทยก็เลน่ สมมติทง้ั ส้นิ โดยที่ในการเลน่ สมมติ เดก็ ใชค้ วามเพอ้ ฝนั และความเพอ้ ฝนั (fantasy) กบั สงิ่ ปลอม (artificial) เปน็ คนละเรอ่ื ง ของเลน่ ปลอมทีผ่ ใู้ หญจ่ ัดใหส้ ูก้ ารเล่นสมมติที่เดก็ คิดกันเองไม่ได้ แต่การเลน่ สมมติกส็ กู้ ารฝกึ ทำ� จรงิ ๆ ไมไ่ ด้ การเล่นหม้อข้าวหม้อแกงสู้การได้ฝึกท�ำอาหาร เล้ียงเพ่ือนและกินเองไม่ได้ เรียนโดยดูคนอ่ืนท�ำ เกดิ การเรยี นร้ไู มเ่ ทา่ ตนเองลงมอื ท�ำเอง เดก็ ได้...ความสนกุ ไดท้ กั ษะ 161
เทคโนโลยีโต้ตอบ เทคโนโลยีโต้ตอบ (interactive technology) อาจน�ำมาใช้ช่วยการเรียนรู้ของเด็กเล็ก ได้ดีกว่าเทคโนโลยีทางเดียว เช่น โทรทัศน์ และมีคนหาทางพัฒนาเทคโนโลยีน้ีขึ้นมาใช้ ขอ้ สะกดิ เตอื นคอื เทคโนโลยเี หลา่ นไ้ี มม่ ที างทดแทนมนษุ ยส์ มั ผสั มนษุ ยไ์ ด้ และไมม่ ที างทดแทน กจิ กรรมทีเ่ ด็กได้ฝกึ ทำ� จรงิ ได้ ขอ้ พงึ ระวงั คือ เดก็ ยงั มปี ระสบการณ์สัง่ สมไวน้ ้อย เมอ่ื ส่ือสารโต้ตอบกนั ผา่ นเทคโนโลยี โต้ตอบจึงขาดความเข้าใจลึกซ้ึง เพราะไม่ สามารถสร้างภาพทัศน์ขึ้นในสมองได้อย่าง ผใู้ หญท่ ่ีเคยพบเคยเห็นมามาก แเลทะคทสโดมันแผโลทสั ยจนีไามมกน่มมษุ ทีนยาษุ ์งย์ได้ ทดแทนกจิ กรรม ท่ลี งมือทำ�จริงๆ ก็ไม่ได้ 162
เรียนรู้เรื่องผ้าอ้อม ผา้ ออ้ มใชล้ ดความเลอะเทอะจากการควบคมุ การถา่ ยปสั สาวะและอจุ จาระไมไ่ ด้ เดมิ ใชก้ บั เด็กเล็กจนอายุประมาณขวบคร่ึงเด็กก็สามารถบอกได้ว่าต้องการฉ่ีหรือต้องการอึ ตอนหลังมี การท�ำผ้าอ้อมส�ำเร็จรูปขาย ช่วยให้พ่อแม่สะดวกข้ึน แต่ก็มีผลใหพ้ ่อแม่สมัยน้ีไม่รู้จักวิธีฝึกลูก ใหค้ วบคุมการถ่ายปสั สาวะและอุจจาระ จนมี app Potty Training with Animals ขาย เพ่ือโอนภาระฝึกเด็ก สู่ app และลามไปโอนภาระให้ศูนยเ์ ดก็ เลก็ ท่คี รูต้อง รบั หนา้ ทีเ่ ปลย่ี นผา้ อ้อม แทนท่ีจะใชเ้ วลาท�ำหน้าที่ ท่สี �ำคัญกวา่ มองอีกมุมหนึ่ง นี่คืออีกมิติหน่ึงของ วฒั นธรรมวตั ถุนิยมอเมรกิ ัน ทีบ่ รษิ ัทผา้ อ้อม รำ�่ รวย ทำ�ยังไงนะ โอ๊ะ...ไปไมท่ นั แล้ว เขาบ่นเรอื่ งสงั คมอเมริกนั ท่ีพ่อแม่ เราสอนเข้าห้องนำ้ � โอนภาระท่ีเดิมเป็นของครอบครัว (การฝึก แทนพอ่ กับแม่ ควบคุมการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มรรยาท ในโต๊ะอาหาร การสบตากับผู้อื่น) ไปให้ศูนย์ 163 เด็กเล็ก แล้วพ่อแม่รับเอาหน้าท่ีของโรงเรียน (การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นร)ู้ มาเปน็ ของตน
วัสดุประกอบการเรียน ห้องเรยี นในสมยั ปัจจุบัน เตม็ ไปด้วยวสั ดุประกอบการเรยี น ทมี่ กั ทำ� ด้วยพลาสติกสสี ดใส เพื่อแสดงความเป็นห้องเรียนที่ทันสมัย โดยผู้คนมักลืมไปว่า ส่ิงของเหล่านั้นเป็นส่วนประกอบ หรอื เคร่ืองอำ� นวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ของเด็ก ไมใ่ ช่ตวั เปา้ หมายของศูนย์เด็กเลก็ บริษัทขายวัสดุประกอบการเรียนในอเมริกามีกิจการดี ลูกค้าส�ำคัญคือตัวพ่อแม่เอง ที่ซื้อให้ลูก ด้วยกังวลว่าลูกจะล้าหลังเรียนไม่ทันเพ่ือน ซึ่งเป็นการหลงผิด ประเคนลูกด้วยวัตถุ แทนท่ีจะเอาใจใส่การมีปฏิสัมพันธ์กับลูก เพ่ือการเรียนรู้และพัฒนาการของลูก เพื่อกระตุ้น พัฒนาการของเด็กเล็ก ไม่มีอะไรทดแทนปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งมนุษย์ได้ เวลาของเด็ก มุมมองว่าด้วยเวลาของเด็กไม่เหมือนมุมมองของผู้ใหญ่ พ่อแม่และครูเด็กเล็กต้อง ฝกึ สังเกตเด็ก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ฟังเดก็ เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจเด็กแต่ละคน แปบ๊ นึงค่ะ ครา้ บ เดินเร็วๆ หน่อยคะ่ รีบกลับเขา้ หอ้ งเรยี นนะคะ ช้าๆ หน่อยครบั 164
การเคล่ือนท่ีของเวลาของเด็กช้ากว่าผู้ใหญ่ เราจึงได้ยินผู้ใหญ่เร่งเด็กอยู่เป็นประจ�ำ เดก็ ตอ้ งการเวลาผ่อนพัก ท�ำอะไรช้าๆ ตามสบาย และทส่ี �ำคญั ที่สดุ เด็กเล็กต้องการเวลานอนกลางวนั การนอนกลางวันช่วยให้พฒั นาการ เด็กดีข้ึน เด็กท่ีนอนไม่พอเกิดหลายปัญหาได้ง่าย เช่น อ้วน ปัญหาพฤติกรรม ความจ�ำ และปัญหาการเรยี น เด็กคือเด็ก หน้าที่ของครูเด็กเล็กคือ ใช้พื้นท่ี ฟังเดก็ ให้เขา้ ใจ และเวลาให้เป็นประโยชน์ต่อ มองให้เหน็ สง่ิ ท่มี อง พฒั นาการเด็กสูงสดุ บทบาท ไมเ่ ห็นด้วยสายตา ส�ำคัญยิ่งคือฟังเด็ก ฟังให้ เข้าใจส่ิงที่เด็กต้องการ บอก โดยพึงตระหนัก ว่า ส�ำหรับเด็ก สิ่งส�ำคัญต่อตัว เขาไม่ใช่สิ่งท่ีผู้ใหญ่ มองเห็นดว้ ยสายตา ครเู ดก็ เล็กจึงต้องฝึกมองตัวเด็กให้เห็น สงิ่ ท่ีไมเ่ หน็ ดว้ ยสายตา ภารกจิ นี้ไม่ใชข่ องยาก ท�ำไดโ้ ดยความรักและปฏิสัมพันธก์ ับเด็ก วจิ ารณ์ พานชิ 165 ๑๔ เม.ย. ๖๑
เลลอ่นยูกอ่จูจะ๊ะ๋าไร 166
“..เ.ดเ็กดเ็กลเก็ลค็กวครวไรดไเ้ดล้เ่นล่นกบักบัเพเพ่อื นอ่ื มนมนนษุ ุษยด์ย้ว์ดยว้ กยนักันจะจไะดไเ้ดร้เยีรนยี นรมู้รมู้ากากกวกา่วเา่ ลเ่นลน่กับกบัขอขงอเงลเน่ล่นคนคนเดเียดวยี ว เเรราาไไมม่คค่ ววรรโโททษษเเททคคโโนนโโลลยยีีทที่กีก่ ้้าาววหหนนา้า้ เเปปน็็นเเรรออื่่ื งงปปกกตติททิ ี่ีเ่เททคคโโนนโโลลยยีมีมีทที ังัง้้ คคุุณณแแลละะโโททษษ พอ่ แมต่ ้องรเู้ ท่าทัน แลพะอ่ สแังมคมต่ อ้ตงอ้ รงู้เมทีว่าิธทจี ันัดกแาลระสใหังค้เดม็กตไ้อมง่ถมกู ีวทธิ ำ�จี รดั า้ กยาโรดยเทคโนโลยี แต่ได้รบั ประโยชนใ์หค้เาดถก็ าไทมีง่ถ่ า่ ูกยททำ� ่สี รุดา้ คยดือ้วอยยเท่าใคชโเ้นทโคลยโนี แโลตยไ่ ีเดลร้ ้ยี ับงปเดร็กะโยแขทนน์ คนเลีย้ ง คาถาทีง่ า่ ยทส่ี ุดคือ อย่าใชเ้ ทคโนโลยเี ลีย้ งเด็ก แทนคนเลี้ยง...” 167
168
º··Õèù Ç¢Íѧ à´ç¡ 169
170
ความลับของวัยเดก็ ตคี วามจากบทที่ ๘ ทชี่ อื่ วา่ The Secret Lives of Children : Fear, Fantasy, and the Emotional Appetite ความลับส�ำคัญคือ เด็กคิดได้ลึกซ้ึงกว่าท่ีเราเข้าใจ หากได้อยู่ใน “พื้นที่เอ้ือการเรียนรู้” ซงึ่ หมายถงึ อย่กู ับครูที่ตนรักและไวว้ างใจ ในบรรยากาศและพนื้ ที่ทางกายภาพทเี่ ป็นธรรมชาติ 171
แย่งของเล่น ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ที่ “ครูวอล์กเก้อร์” แก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างเด็กผู้ชาย สองคน โดยเดก็ แยง่ ของเลน่ ท่ีโรงเรยี นจดั ไวใ้ ห้ วธิ ที คี่ รวู อลก์ เกอ้ รแ์ กป้ ญั หาเปน็ วธิ ที ่ีใชก้ นั ทวั่ ๆ ไป คือใหเ้ ดก็ ขอโทษซึ่งกนั และกัน นั่นเป็นวิธีการที่ไม่เข้าใจอารมณ์ของเด็ก และไม่ได้ใช้พลังของอารมณ์เป็นเคร่ืองมือ ให้เด็กได้เรียนรู้ และตัวปิดกั้นหลักคือ ผู้ใหญ่ตีความเหตุการณ์ที่เด็กระเบิดอารมณ์ตาม มุมมองหรือตามการตีความของผใู้ หญ่ ไมไ่ ดพ้ ยายามเขา้ ใจความ รู้สึกของเด็กในตอนน้ัน ไม่ได้ใช้ความรู้ว่าด้วยพัฒนาการเด็กใน เปิดโอกาสให้ การท�ำหน้าท่ีแก้ปัญหา ซ่ึงจะน�ำไปสู่กุศโลบายดึงจุดสนใจออก เดก็ เรียนรู้ ครูแค่ จากตุก๊ ตาของเลน่ ที่ก่อปัญหา เฝ้ามองรอจังหวะคะ่ ผู้เขียน (Erika Christakis) เล่าเหตกุ ารณท์ น่ี ำ� ไปสู่การ วิวาท และค�ำพูดโต้ตอบของครู วอล์กเก้อร์ กับเด็กทีละคน บางทเี ดก็ ๆ กแ็ กป้ ัญหาเองได้ อย่าใชม้ ุมมองแบบผู้ใหญต่ ีความ 172
เปดิ โอกาส แล้วเฉลยว่า “ครู วอล์กเก้อร์” คือตัว Erika Christakis เอง ให้เดก็ แสดง สมยั ยงั ขาดประสบการณ์ ความร้สู ึกออกมา ที่จริงความขัดแย้งเป็นเร่ืองปกติ ในชีวิต เด็กควรได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ ขัดแย้งท่ีตนเผชิญ แต่การที่มีความขัดแย้ง ระหว่างเด็กในห้องเรียน ถูกมองว่าเป็น ความบกพร่องของครู เมื่อเกิดเหตุการณ์ครู จึงต้องหาทางยุติโดยเร็วท่ีสุด ไม่เอาใจใส่ การใชเ้ ปน็ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรเู้ รอื่ งอารมณ์ ก า ร ร ะ เ บิ ด อ า ร ม ณ ์ ข อ ง เ ด็ ก ใ น ที่สาธารณะ เป็นเร่ืองที่พ่อแม่อับอาย น�ำไป สู่การระงับการอาละวาดด้วยวิธีการท่ีไม่ก่อ การเรยี นรู้แกเ่ ดก็ โปรดสงั เกตวา่ ผลประโยชนข์ องผใู้ หญ่ กลายเปน็ ตวั บดบงั ผลประโยชนด์ า้ นการเรยี นรขู้ องเดก็ นอกจากนนั้ เรายงั หลงใชม้ าตรฐานความประพฤตขิ องผใู้ หญต่ อ่ เดก็ อกี ดว้ ย โดยยดึ ถอื วา่ ผใู้ หญต่ อ้ งมคี วามสามารถควบคมุ อารมณข์ องตนได้ ไมร่ ะเบดิ อารมณ์ หรอื แสดงอารมณอ์ อกมา วิถีปฏิบัติต่อเด็กตามแนวน้ีผิด เป็นการยับย้ังการแสดงออกของ “ชีวิตด้านใน” (inner life) ของเด็ก มีผลลดทอนการเรยี นรูใ้ นมติ ทิ ลี่ ึก ครูและพ่อแม่ต้องรู้จักใช้เหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ เป็นสื่อการเรียนรู้เชิงลึกของเด็ก 173 โดยตงั้ คำ� ถามใหเ้ ดก็ ผลดั กนั แสดงความรสู้ กึ และการตคี วามออกมา ซงึ่ ผมมองวา่ นค่ี อื การเรยี นรู้ จากเหตุการณ์จริง ตามด้วยการไตร่ตรองสะท้อนคิด (reflection) นั่นเอง โดยครูต้องมีทักษะ กระตนุ้ ให้เดก็ แสดงออกอย่างอสิ ระ
ถ้อยคำ�ที่ลึกซึ้ง ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ในชั้นเด็กเล็ก ที่ครูให้ช่วยกันบอก ค�ำเก่ียวกับผักและสวนครัว ที่ขนึ้ ต้นด้วยตัวอกั ษร s แล้วครูเขยี นค�ำนัน้ ขึน้ กระดาน จนมาถึงเดก็ ชายคนหนึง่ เสนอคำ� วา่ soul ครูถามว่าหมายถงึ sow, soil ใชไ่ หม เด็กยำ�้ วา่ soul ชดั เจน ครบู อกวา่ ไม่ตรงกบั ค�ำในเรอ่ื งผกั และสวนครัว และไมเ่ ขยี นคำ� soul ลงบนกระดาน ผู้เขียนบอกว่า วิธีท่ีดีกว่าคือ ครูเขียนค�ำ soul ลงบนกระดาน ให้ผู้เสนออธิบายว่า เปน็ คำ� ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั พชื ผกั และสวนครวั อยา่ งไร และใหน้ กั เรยี นคนอน่ื ๆ ชว่ ยกนั ออกความเหน็ ดว้ ย ครกู จ็ ะไดท้ ำ� ความเข้าใจความคิดในมิติท่ีลึกของเดก็ เหตุการณ์ท่ีเด็กเผชิญในชีวิตประจ�ำวันสามารถน�ำมาเป็นหัวข้อเรียนรู้ในมิติที่ลึก ได้มากมาย เช่น เรียนรู้เรื่องความเจ็บปวดจากอาการปวดฟันของเด็กบางคน การมีญาติตาย และเหตุการณ์อื่นๆ ในครอบครัว และในชุมชน ซึ่งเป็นเร่ืองราวท่ีเด็กสนใจและหยิบยกขึ้นมา เลา่ ความประทบั ใจของตน เดก็ เล็กอเมรกิ นั ในยคุ น้ีจ�ำนวนหนึง่ มปี ญั หาพัฒนาการดา้ นอารมณ์ ร้อยละ ๑๐ มปี ัญหา ความผิดปกติทางอารมณ์อย่างรุนแรง อีกร้อยละ ๕ - ๑๕ มีความผิดปกติไม่รุนแรง แต่อาจ ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กได้ สาเหตุส่วนส�ำคัญคือความเครียด (toxic stress) และบางคนเผชิญ เหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลทางใจ ท�ำให้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งยิ่งเป็น 174
เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ อธิบาย ครจู ะได้ทำ�ความเข้าใจ อธิบายให้ ครูและเพือ่ นๆ ความคิดในมติ ทิ ่ลี กึ ขึน้ ของเด็ก ฟังหน่อยนะจ๊ะ การท�ำร้ายเด็กยิ่งขึ้นอีก ตัวอย่างเช่น ผลการวิจัยชิ้นหน่ึงบอกว่า ในเด็กท่ีไปรับการรักษาท่ี คลินิกเด็ก ของโรงพยาบาลประจ�ำนครบอสตัน ร้อยละ ๑๐ เคยเผชิญเหตุการณ์ยิงหรือแทง ด้วยตนเองกอ่ นอายุ ๖ ขวบ 175
นอกจากนั้นในสหรัฐอเมริกา มีเดก็ ๑๕ ล้านคน อยู่ในบา้ นท่ีพอ่ หรอื แม่เปน็ โรคซึมเศรา้ ขั้นรุนแรง ผลการวจิ ัยแม่ในนครนวิ ฮาเวน รฐั คอนเน็คตกิ ตั พบวา่ หน่ึงในสามเป็นโรคซมึ เศรา้ และเด็กท่ีไปเข้าศูนย์เด็กอายุ ๒ ขวบ (โครงการ Early Head Start) เกือบร้อยละ ๔๐ มีความอ่อนแอด้านความผูกพัน (attachment) กับแม่ ส่อสัญญาณว่า จะมีเด็กจ�ำนวนมาก เติบโตข้ึนเป็นคนมีปัญหา และย่ิงกว่านั้น พบว่าพนักงานดูแลเด็กเล็กเองมีอุบัติการณ์ของ โรคซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ มากกว่าคนท่ัวไป ทั้งหมดน้ีสะท้อนสภาพความเครียด ทางจิตใจที่เด็กเล็กอเมรกิ ันจำ� นวนมากก�ำลังเผชิญอยู่ สถานการณ์ในสังคมไทยเรา เปน็ อยา่ งไร? การใหค้ วามส�ำคญั ต่อชีวติ ด้านในของเดก็ เล็กเป็นเรอ่ื งส�ำคัญย่งิ ในการเล้ียงและดแู ลเด็ก ปญั หาสำ� คญั คอื เปน็ ธรรมชาตขิ องผใู้ หญ่ ท่ี “ไม่ใหค้ ณุ คา่ ตอ่ สงิ่ ทม่ี องไมเ่ หน็ และเมอื่ เรา ไมเ่ ห็น เราก็ไม่ใหค้ ุณคา่ ” (What we don’t see, we don’t value; and what we don’t value, we don’t see.) เขาอ้างถึงผลการวิจัยศึกษาวิธีเล้ียงเด็กอายุ ๒ - ๓ ขวบ ของชนเผ่าเอสกิโม (Inuit) โดยการกระตุ้นความคิด ด้วยการถามค�ำถามที่ก่อความสะเทือนใจ เช่น ท�ำไมเธอไม่ตายเสีย ฉนั จะได้เอาเสือ้ ตัวใหม่ของเธอ ทำ� ไมเธอไม่ฆ่านอ้ งทนี่ อนแบเบาะของเธอ เขาเล่าความกล้าหาญของศูนย์เด็กเล็กที่ผู้เขียนเคยท�ำงาน ที่ริเริ่มโครงการ “สร้างเรื่อง ราวจากส่ิงที่พบเห็น” ให้เด็กให้ค�ำอธิบายเรื่องราวของส่ิงที่ไปพบเห็น เพ่ือท�ำให้การเรียนรู้ ของเด็ก “ปรากฏแก่สายตา” (visible) เช่นเมื่อไปเห็นประติมากรรม The Fallen Knight ครูก็ต้ังค�ำถามว่า อัศวินไปท่ีน่ันได้อย่างไร เรื่องราวของอัศวินเป็นอย่างไร ตามมาด้วยค�ำถาม อ่ืนๆ ท้ังหมดน้ันเป็นแบบฝึกหัดให้เด็กเรียนโดยการคิด ผิดถูกไม่ส�ำคัญ ส�ำคัญท่ีได้ฝึกคิด และฝึกฟงั ความคดิ ของเพอ่ื นๆ 176
แนวคดิ เชน่ นี้ นำ� ไปสู่place-basededucation ทเ่ี ดก็ เลก็ ไดเ้ รยี นจากเหตกุ ารณจ์ รงิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ไมใ่ ชเ่ รยี นตามขอ้ กำ� หนดของผคู้ ดิ มาตรฐานการเรยี นของเดก็ เลก็ ทก่ี ำ� หนดวา่ วนั จนั ทร์ใหเ้ รยี นรจู้ าก... วันอังคารเรียนรู้จาก... ฯลฯ ซ่ึงเป็นการเรียนที่ขาดความเชื่อมโยง กบั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพของเหตุการณจ์ ริง ให้เด็ก อธิบายสิ่งที่ ได้พบเห็น ผิดถกู ไมส่ ำ�คัญ สำ�คัญที่ไดฝ้ ึกคิด และฝกึ ฟังความคดิ ของเพือ่ นๆ ฝึกฟัง การเรยี นรจู้ ากเหตกุ ารณ์ ฝึกคิด จริง ในสถานท่ีจริง ภายใต้ เง่ือนไขที่ถูกต้องช่วยให้เด็ก ได้ฝึกการคิดระดับสูง (Higher Order of Thinking) การศึกษา เด็กเล็กที่ดี ต้องจัดสถานการณ์ เชน่ นนั้ ใหเ้ กดิ ขน้ึ บอ่ ยๆ ทง้ั หมด นนั้ เทา่ กบั วา่ ตอ้ งจดั สถานการณ์ การเล่นของเด็กเล็กให้ปลอด จากการครอบงำ� ของธรุ กจิ 177
มิติด้านอารมณ์ มติ ิด้านอารมณก์ บั การเรียนรู้ของเดก็ เลก็ มีหลายด้าน • การเรยี นรดู้ า้ นอารมณ์ เพอ่ื วางรากฐาน สุขภาวะทางอารมณ์ใหแ้ กเ่ ดก็ • การสร้างสภาพอารมณ์ของเด็กให้ เออื้ ตอ่ การเรียนรู้ • การตรวจสอบสภาพทางอารมณ์ของครู เพื่อให้ครู อยู่ในอารมณ์ที่เหมาะต่อการท�ำหน้าท่ีจัดการเรียนรู้ แก่เด็ก มีเด็กท่ีมีปัญหาทางอารมณ์ เป็นเด็กก้าวร้าว ท่ีมีโอกาสสูงที่จะถูกให้ออกจากโรงเรียน ศาสตราจารยด์ า้ นจติ วทิ ยาแหง่ มหาวทิ ยาลยั เยล ชอื่ Walter Gilliam คดิ วธิ ชี ว่ ยเหลอื เดก็ เหลา่ นี้ โดยจัดบริการให้ค�ำปรึกษาในช้ันเรียนเด็กเล็กในรัฐคอนเน็คติกัต พบว่าช่วยให้ครูลดปัญหาเด็ก ก้าวร้าวลงไปได้ แตว่ ิธีให้คำ� ปรกึ ษาในสภาพจรงิ นี้ไมส่ ามารถครอบคลมุ ช้นั เดก็ เลก็ ทัง้ หมดได้ นอกจากนั้น ครูยังอยู่ภายใต้ข้อก�ำหนดให้ใช้วิธีจัดการชั้นเรียนเพ่ือจัดการอารมณ์ของ เด็กหลายรูปแบบ โดยใช้เวลาสัปดาห์ละ ๒๐ - ๓๐ นาที เช่น ลดความโกรธด้วยเทคนิคเต่า (หดหัวเขา้ กระดอง เพ่อื ไม่ตอ้ งเผชิญเร่ืองกวนอารมณ)์ บางวธิ ีการกม็ ีหลักฐานยนื ยันวา่ ไดผ้ ลดี แตส่ ่วนใหญ่ผลไมช่ ัดเจน การที่วงการศึกษาเด็กเล็กเอาใจใส่ชีวิตด้านสังคมและอารมณ์ของเด็กเป็นเรื่องดีย่ิง แตก่ ารแยกสว่ นเรอื่ งนเ้ี ป็นเวลาเรียนเฉพาะเรื่องอารมณ์น่าจะไมถ่ กู ต้อง การเรียนรดู้ ้านอารมณ์ น่าจะบูรณาการอยู่ในทุกส่วนของการเรียนรู้ของเด็ก ตามหลักการ “อารมณ์คือหลักสูตรช้ัน เดก็ เล็ก” (emotion is curriculum) การเรยี นรทู้ ้ังหมดของเด็กเลก็ เป็นพัฒนาการดา้ นอารมณ์ 178
วธิ ีการทผ่ี ิดพลาดนี้เอง ทเ่ี ป็นตวั ก่อปญั หา และน�ำไปส่คู วามละเลยทีจ่ ะสร้างพ้นื ท่เี รียนรู้ ท่ถี กู ตอ้ งให้แกเ่ ดก็ ตามหลักการ “สภาพแวดล้อมของเด็กเลก็ คอื หลกั สตู ร” (the young child’s environment is the curriculum) เพื่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก การริเริ่มใดๆ เกี่ยวกับ การเรียนรู้ด้านสังคม-อารมณ์ของเด็กที่ไม่เชื่อมโยงหรือบูรณาการกับวัฒนธรรมในชั้นเรียน เป็นส่งิ ที่ไม่ถูกต้อง เป็นการเสียเวลาและคา่ ใช้จา่ ยแบบสญู เปล่า ส�ำหรับเด็กเล็ก หลักสูตรมีความส�ำคัญน้อยกว่าบรรยากาศของความรักและความผูกพัน ระหวา่ งครูกบั ศิษย์ การเรียนร้ทู ้งั หมด ของเดก็ เล็กเปน็ พัฒนาการด้านอารมณ์ หลักสตู รสำ�คญั นอ้ ยกว่า บรรยากาศ ความรกั ความผกู พัน ไม่ต้องมีช่วั โมงเรียน ตารางสอนตามหลักสูตร เร่อื งอารมณ์ 179
เอาการทดสอบออกไป ปัญหาคือช้ันเรียนเด็กเล็กค่อยๆ เหมือนช้ันเรียนระดับประถมเข้าไปทุกที คือมีการต้ัง เป้าหมายการเรียนรู้ทางวิชาการ ท�ำให้บรรยากาศชั้นเรียนเป็นพิษต่อพัฒนาการเด็กเล็ก มีการสรา้ งความเครยี ดแกเ่ ดก็ โดยไม่จำ� เป็นจากการทดสอบ สิ่งท่ีส�ำคัญที่สุดส�ำหรับชีวิตวัยเด็กเล็กคือ จินตนาการ ชั้นเรียนเด็กเล็กต้องเป็นพื้นที่ สง่ เสริมจนิ ตนาการของเด็ก ไม่ใชพ่ น้ื ทดี่ บั จนิ ตนาการอย่างในปัจจบุ ัน จินตนาการ (imagination) เปน็ เส้นทางส่คู วามเขา้ ใจและเหน็ อกเห็นใจผ้อู น่ื (empathy) เม่ือเด็กเหยียบเท้าเพื่อน เด็กต้องจินตนาการความรู้สึกของเพื่อนออก จึงจะเข้าใจความรู้สึก ของเพื่อน จินตนาการจึงเปน็ เส้นทางสู่พฒั นาการทางอารมณ์ นคี่ อื ชวี ติ ดา้ นในของเดก็ เลก็ ทจี่ ะตอ้ งมกี ารปกปอ้ งใหเ้ ดก็ ไดม้ พี นื้ ทแ่ี ละเวลาสำ� หรบั พฒั นา ตนเอง ชีวิตด้านในที่เชื่อมโยงกับจินตนาการคือความเพ้อฝัน (fantasy) ความเพ้อฝันของเด็ก นำ� ไปสคู่ วามอยากรอู้ ยากเหน็ (curiosity) และการคน้ ควา้ ทดลอง เพอื่ หาคำ� ตอบ จากธรรมชาตจิ รงิ ชีวิตจริง ซึ่งเปน็ การเรยี นรทู้ ด่ี ีกว่าอา่ นจากหนงั สอื หรือสอ่ื อนื่ ๆ จดุ ออ่ นของการศกึ ษาเดก็ เลก็ ในปจั จบุ นั คอื เนน้ เฉพาะ ความจรงิ หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ละเลย จินตนาการ และความเพ้อฝัน 180
จนิ ตนาการเป็นเส้นทางสู่พัฒนาการทางอารมณ์ อยุ๊ เจบ็ ไหม โอ๊ย ขอโทษนะ 181
นิทานสำ�หรับเด็ก นิทานส�ำหรับเด็กมีท้ังที่คุณภาพดี และคุณภาพไม่ดี นิทานคุณภาพดีมีท้ังที่เป็นนิทาน อมตะ และท่ีแต่งขึ้นใหม่ในสมัยปัจจุบัน ส�ำหรับเด็กเล็กมักเป็นนิทานภาพ ส�ำหรับให้ผู้ใหญ่ อ่านใหเ้ ดก็ ฟัง เพราะเดก็ เลก็ ยังอ่านหนังสอื ไมอ่ อก บรบิ ทสำ� หรบั การเรยี นรขู้ องเดก็ เลก็ เปน็ บรบิ ทที่ชว่ ยใหเ้ ดก็ เชอ่ื มโยงกบั โลกของตนเองได้ แต่ในขณะเดียวกันเด็กก็ต้องการบริบทสมมติที่เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่เด็กเชื่อมโยงกับตนเองได้ นค่ี อื ธรรมชาตขิ องมนษุ ยท์ ม่ี ตี ลอดชวี ติ ดงั กรณผี ใู้ หญอ่ า่ นนวนยิ าย กเ็ พอื่ เชอ่ื มโยงโลกของตนเอง กับบริบทใหมๆ่ ท่ีตนอาจจะไมค่ ุ้นเคย นทิ านอมตะสำ� หรบั เดก็ อาจมบี รบิ ททแี่ ตกตา่ ง จากชีวติ ในปจั จบุ ันมาก ผู้ใหญ่อาจช่วยอธิบาย ความแตกต่างน้ันให้เด็กเห็น เช่นเป็น เร่ืองราวผจญภัยของเด็กผู้ชาย ทงั้ ส้นิ ครอู าจเร่มิ ตน้ อธบิ าย ก่อนอ่านนิทาน ว่า สมัยร้อยปีก่อน เด็ก ผู้หญิงไม่มีโอกาสได้ ใชช้ วี ติ อสิ ระเทา่ เทยี ม กับเด็กผู้ชายอย่างใน สมัยนี้ แล้วจึงอ่าน นิทาน 182
การอ่านนิทานให้เด็กฟัง เป็นการเปิดจินตนาการให้แก่เด็ก ผมมีความเห็นว่า ผู้อ่าน ควรหยดุ เปน็ ชว่ งๆ และชวนเด็กคดิ ว่าตนมีมุมมองต่อเหตกุ ารณ์ หรอื ตัวละคร ในนิทานสว่ น ท่ีอ่านมาแล้วอย่างไรบ้าง นี่คือการท�ำ กิจกรรมสะท้อนคิด (reflection) ฝึกการคิดให้แก่เด็ก รวมทัง้ ฝกึ ฟังความคดิ ของเพือ่ นทอ่ี าจคดิ ต่างจากตนเองดว้ ย คุณธรรมในนิทาน นิทานที่เด็กชอบคือนิทานคุณธรรมท่ีผู้แต่งแต่งเก่ง เพราะเด็กมีธรรมชาติรักความ ยุติธรรมและความเปน็ ธรรม ผู้เขียนเลา่ ประสบการณ์อ่านนทิ านอมตะเรื่อง Big Bad Bruce (๑) ใหเ้ ดก็ เล็กฟงั เดก็ ๆ ตื่นเต้นและชอบตอนจบ ทีห่ มยี ังคงสภาพโดนแม่มดสาปให้มตี วั เลก็ เทา่ หนู ท่ีไม่สามารถไปรงั แกสตั ว์อื่นไดอ้ ีก อยา่ งสมัยมีรา่ งกายกำ� ยำ� ใหญ่โต ความลบั ของวยั เดก็ คอื เดก็ มธี รรมชาติ “ตสี องหนา้ ” หนา้ หนงึ่ เดก็ เปน็ คนออ่ นแอ ตอ้ งการ ความช่วยเหลือ อีกหน้าหนึ่งเด็กมีพลัง ต้องการเป็นตัวของตัวเอง วัยเด็กเป็นวัยของการอยู่ใต้ ปกครอง และในขณะเดยี วกัน เปน็ วยั ท่ีต้องการอสิ ระ วจิ ารณ์ พานิช ๑๕ เม.ย. ๖๑ (๑) https://www.youtube.com/watch?v=1dqgX374Ims 183
184
“...เด็กคิดได้ลกึ ซึง้ กว่าท่ีเราเขา้ ใจ หากไดอ้ ยู่ใน “พื้นทเ่ี อ้อื การเรียนร”ู้ ...“ “...ปญั หาส�ำคญั คอื เปน็ ธรรมชาตขิ องผู้ใหญ่ ท่ี “ไม่ให้คณุ ค่าต่อสิ่งท่มี องไมเ่ หน็ และเม่ือเราไม่เห็น เรากไ็ ม่ ใหค้ ณุ ค่า”...” “...ชีวิตดา้ นในทีเ่ ช่อื มโยงกับจินตนาการคอื ความเพอ้ ฝัน (fantasy) นำ� ไปส่คู วามอยากรอู้ ยากเหน็ (curiosity) และการคน้ ควา้ ทดลอง เพ่ือหาคำ� ตอบจากธรรมชาตจิ รงิ ชวี ิตจริง ซ่งึ เปน็ การเรียนร้ทู ีด่ ีกว่าอา่ นจากหนังสอื หรือส่อื อืน่ ๆ...” 185
186
ภาษาพูดของเด็กๆ เป็นอย่างไร? º··Õèñð à ´ ç ¡วิธีสอนของเรา¢เปÍใ็นช§อ้ภยา่าษงไาร?แบบไหน? หรือว่าขัดขวาง? 187
188
ภาษาของเดก็ ตคี วามจากบทท่ี ๙ ท่ีช่ือว่า Use Your Words : Hearing the Language of Childhood เด็กเกิดมาพร้อมกับศักยภาพในการเรียนภาษา โดยภาษาพูดพัฒนาก่อนอย่างรวดเร็ว ตามด้วยภาษาอ่านและเขียน ปัจจัยส�ำคัญท่ีสุดของการพัฒนาภาษาของเด็กคือปฏิสัมพันธ์ ทางสงั คม มนี กั วทิ ยาศาสตรบ์ อกวา่ ทารกรบี มพี ฒั นาการดา้ นภาษาพดู อยา่ งรวดเรว็ เพอื่ ความอยรู่ อด ของชีวติ เพื่อแสดงออกดา้ นความต้องการของตน นน่ั เป็นมมุ มองจากการทำ� ความเข้าใจตวั เด็ก 189
การสอนภาษาในศูนย์เด็กเล็ก มุมมองจากศูนย์เด็กเล็ก ว่าควรสอนภาษาอย่างไร เป็นข้อโต้แย้งระหว่าง ๒ แนวทาง คอื แนวทางเนน้ การออกเสยี งคำ� (phonicsinstruction) กบั แนวทางเนน้ เรยี นความหมาย(meaning- based literacy approach) ผู้เขียนบอกว่า เราควรใช้ท้ังสองหลักการน้ัน แต่หลักการที่ส�ำคัญ ยิ่งกวา่ คอื “การฟงั เสยี งเด็ก” ย�้ำว่ายุทธศาสตร์ส�ำคัญต่อการเอ้ือให้เด็กเรียนภาษา คือการที่ผู้ใหญ่ฟังเด็ก คุยกับเด็ก ครศู นู ย์เดก็ เล็กตอ้ งมที ักษะคุยกับเดก็ เพ่ือใหเ้ ดก็ เกิดการเรยี นรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเรียนรู้ ด้านภาษา ชีวิตวยั เยาวข์ องเดก็ เตม็ ไปด้วยความย้อนแย้ง (paradox) แตค่ วามยอ้ นแย้งที่ใหญ่หลวง ที่สุดคือเร่ืองพัฒนาการด้านภาษา ในขณะท่ีพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็กเล็กยังอ่อนแอมาก และพัฒนาชา้ ๆ แตพ่ ฒั นาการดา้ นภาษาด�ำเนินไปอยา่ งรวดเรว็ ได้กล่าวย้�ำแล้วย�้ำอีกว่า พัฒนาการของเด็กเป็นกระบวนการทางสังคม หลักการนี้ ยง่ิ เดน่ ชดั สำ� หรบั พฒั นาการดา้ นภาษา เดก็ ตอ้ งการผใู้ หญ่ และปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผใู้ หญเ่ ปน็ ตวั กระตนุ้ พัฒนาการของสมองเพ่ือการนี้ และความรู้ท่ีส�ำคัญย่ิงคือ หน้าต่างแห่งโอกาสในการฝึกสมอง ใหเ้ รยี นรภู้ าษาอยา่ งเตม็ ที่ มชี ว่ งเวลาไมย่ าวนกั ดงั มตี วั อยา่ งเดก็ ทเ่ี ตบิ โตในสถานเลยี้ งเดก็ กำ� พรา้ สมยั กอ่ นท่ีไมม่ ีคนคยุ ด้วย เตบิ โตเปน็ คนที่อ่อนด้อยดา้ นภาษาไปตลอดชวี ติ แม้ตอนเตบิ โตขึ้น ไดไ้ ปอยู่ในสงั คมตามปกติ ไดก้ ลา่ วแลว้ วา่ พฒั นาการของเดก็ เลก็ ดา้ นภาษาพดู เกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ เมอื่ อายุ ๓ ขวบ กพ็ ดู ไดค้ ลอ่ ง และมคี ลงั คำ� มากมาย แตท่ กั ษะการอา่ นพฒั นาชา้ กวา่ มาก เพราะเปน็ กระบวนการ ท่ีต้องการทักษะมากมายหลายอย่างประกอบกัน เป็นภาระหนักต่อสมอง และมีผู้เสนอว่า 190
ววิ ฒั นาการของมนษุ ยชาตไิ มไ่ ดเ้ พอื่ การอา่ น เดก็ จากสงั คมไมม่ ตี วั หนงั สอื และไมเ่ คยเขา้ โรงเรยี น จะไมม่ วี ันเรียนอา่ นในภายหลังไดเ้ ลย ทั้งๆ ที่เด็กเหลา่ นีส้ ามารถคดิ เลขได้ พัฒนาการด้านภาษาของเด็กจากครอบครัวท่ีเศรษฐฐานะแตกต่างกัน มีความแตกต่าง กันได้มาก เด็กจากครอบครัวด้อยโอกาส มีคลังค�ำในสมองน้อยกว่าเด็กจากครอบครัวฐานะดี ท่ีมีโอกาสสื่อสารกับคนในครอบครัวอย่างใกล้ชิด ความแตกต่างน้ีเร่ิมเห็นเมื่ออายุ ๑๘ เดือน และเมอ่ื อายุ ๒๔ เดือน พัฒนาการด้านภาษาพดู ของเด็กจากครอบครวั เศรษฐฐานะต่ำ� จะล้าหลัง เด็กจากครอบครวั ฐานะดี ๖ เดือน ทรี่ า้ ยกวา่ นนั้ คอื วธิ สี อนใหเ้ ดก็ รจู้ กั คำ� ตามทค่ี รบู อก ซงึ่ เปน็ วธิ เี รยี นคำ� ทแ่ี ปลกแยกจากชวี ติ จรงิ เด็กจะเข้าใจความหมายของคำ� เพยี งตื้นๆ เทา่ น้นั และในศูนย์เดก็ เลก็ ครูมกั ใชภ้ าษาสัง่ การ (directive language) เช่น ดีมาก, วางตุก๊ ตาลง, ไปลา้ งมือไดแ้ ลว้ ซ่งึ เป็นภาษาทางเดยี ว เดก็ ได้ เรียนรู้ไม่ซับซ้อน ต่างจากภาษาพูดคุย (conversational / instructional language) ซ่ึงเป็น ภาษาสองทาง และมีความซับซ้อนมากกว่า เขาแนะน�ำให้ลองแอบฟังเด็กคุยกันเองตามสบาย จะพบวา่ เด็กใช้ภาษาทซ่ี ับซ้อนอย่างไมน่ า่ เชือ่ แมช่ อบใหเ้ คา้ ขอแอบฟังหน่อย ใสก่ ระโปรงชุดเอลซา่ เอลซ่าเค้าก็มี แตเ่ คา้ ชอบใสก่ างเกงมากกว่า เงอื กก็มี กระโปรงยาวๆ เล่นอะไรก็ไม่ถนดั ชุดเงือกเหรอ 191
พัฒนาการทุกด้านของเด็กเป็นไปอย่างซับซ้อนและต่อเนื่อง แม้จะไม่สม่�ำเสมอ และมีความแตกต่างระหว่างเด็กแตล่ ะคนได้มาก กอ่ นจะเขยี นตัวหนงั สอื ตวั แรกได้ เด็กไดเ้ รียนรู้ มากมายผ่านการสังเกต การเลียนแบบ การฝึกฝนการเคล่ือนไหวโดยใช้กล้ามเนอื้ มัดเล็ก และความอดทนเพง่ ความสนใจ เมอื่ เดก็ เรม่ิ หดั เขยี น สงิ่ ทเี่ ขาเขยี นไมไ่ ดเ้ ปน็ ไปแบบไรค้ วามหมาย แต่แฝงรากทางวฒั นธรรมและความใฝ่ฝนั การร้หู นงั สอื เกดิ ข้ึนก่อนทเี่ ด็กจะรู้จักตัวอักษร โดยประสบการณท์ างภาษาชว่ งเป็นทารก จะเปน็ รากฐานตอ่ การเรยี นรชู้ ว่ งเปน็ เดก็ เลก็ และเปน็ รากฐานของทกั ษะการอา่ นในชว่ งตอ่ ๆ มา เดก็ เลก็ ตอ้ งการสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยภาษา ทจ่ี ะชว่ ยใหพ้ ฒั นาทกั ษะทหี่ ลากหลาย ทีต่ อ่ มามสี ่วนชว่ ยใหอ้ า่ นตัวหนังสอื ได้ถูกต้อง และเน่อื งจากมคี วามแตกตา่ งได้มากระหว่างเด็ก แตล่ ะคน คำ� วา่ “เดก็ เลก็ ” ในเรอื่ งพฒั นาการทางภาษาน้ี จงึ หมายถงึ ชว่ งทารกถงึ เดก็ อายุ ๗ - ๘ ปี บรหิ าร ฝกึ ใชภ้ าษา กลา้ มเนอ้ื มอื สอ่ื สาร จำ� จำ� จำ� สนกุ เขียน เขยี น เขียน อา่ น อ่าน อา่ น ฝกึ กระบวน สงิ่ ท่ีพงึ เอาใจใส่คอื การคิด พัฒนาการเดก็ อย่างเป็นองคร์ วม 192 ไม่ ใช่มองพ ัฒนาการแบบแยกส่วน
ความหมายของการอ่าน ท�ำอย่างไรเด็กจึงจะอ่านเก่ง หรือกล่าวใหม่ว่า เพ่ือการอ่านหนังสือออกต้องการทักษะ อะไรบ้าง ผู้เขียนบอกว่าหากสังเกตจากเด็กเราจะรู้สึกสับสน เพราะเด็กส่งสัญญาณท่ีไม่เป็นไป ในทางเดยี วกนั อยา่ งในกรณขี องภาษาพดู เดก็ แสดงออกทง้ั เหมอื นกบั พดู ภาษาแม่ และบางคน หรอื บางทกี เ็ หมอื นพดู ภาษาตา่ งดา้ ว บางครง้ั ใชภ้ าษาในระดบั ผเู้ ชย่ี วชาญ แตบ่ างครงั้ หรอื บางคน ก็ใชผ้ ดิ ๆ ถกู ๆ บางครงั้ ตอ้ งการการสอน แตบ่ างครงั้ หรอื บางคนกต็ อ้ งการความเปน็ อสิ ระ นค่ี อื เดก็ แม้ในเด็กคนเดียวกันก็มีความไม่คงเส้นคงวา ดังนั้นการสอนเด็กทั้งชั้นเด็กเล็กด้วยกัน จงึ เปน็ เรอ่ื งท้าทายมาก การเรยี นรู้หรือพฒั นาการของเดก็ มี ๓ แบบ คอื (๑) เกิดจากสัญชาตญาณภายในล้วนๆ เช่น การยืนและเดิน เมื่อถึงเวลาเด็กจะยืน และเดินเอง (๒) เกิดจากปฏิสัมพนั ธก์ ับคนอนื่ ตามธรรมชาติ โดยแทบไม่ต้องสอน เช่น การพดู (๓) ตอ้ งมกี ารสอน ไดแ้ กก่ ารอ่านและเขียน หลกั สตู รอ่านและเขยี นในชัน้ เด็กเล็กในประเทศต่างๆ แตกตา่ งกันมาก ตวั อยา่ งประเทศ ที่ต่างกันอย่างสดุ ขวั้ คือองั กฤษกับฟินแลนด์ เมื่อเด็กอังกฤษอายุ ๔ ขวบ ตอ้ งเรียนออกเสียงคำ� และฝกึ เขยี น แต่ในฟินแลนด์ไม่กำ� หนดใหเ้ ดก็ ต้องอา่ นหนังสือออกกอ่ นอายุ ๗ ขวบ ข้อสรุปเชิงเตือนใจพ่อแม่และครูเด็กเล็กคือ เป็นสิ่งผิดที่เอาใจใส่เด็กเฉพาะที่การอ่าน เพราะเป็นการมองพัฒนาการเด็กแบบแยกส่วน สิ่งที่พึงเอาใจใส่คือ พัฒนาการเด็กอย่างเป็น องคร์ วม 193
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน องคป์ ระกอบพนื้ ฐานของการอา่ นมี ๕ ประการคอื (๑) การรับรู้เสยี ง (phonological awareness) (๒) ความเช่อื มโยงตัวอักษรกับเสยี ง (phonics) (๓) ค�ำศพั ท์ (vocabulary) (๔) ความเข้าใจ (comprehension) (๕) ความคล่องแคล่ว (fluency) ตัวอย่างของการรบั ร้เู สียงเชน่ รู้จักแยกเสยี ง ไก่ กบั ไข่ ไกล กบั ใกล้ ความเชือ่ มโยงตวั อกั ษรกบั เสยี ง เชน่ รวู้ ่า ก อ่านว่า กอ การรูค้ �ำศัพท์ หรือมคี ลงั คำ� ในสมอง ไดโ้ ดยอัตโนมตั ิจากปฏสิ มั พนั ธพ์ ดู คุยกับผอู้ น่ื ดีกวา่ เรยี นคำ� จากหนงั สอื หรอื จากครู เพราะไดร้ คู้ วามหมายทล่ี กึ และบางครงั้ คำ� คำ� หนงึ่ มหี ลายความหมาย การอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว มีจังหวะจะโคน เร็วพอเหมาะท่ีตนเองจะเข้าใจข้อความ ทอ่ี ่าน และผฟู้ ังกเ็ ขา้ ใจ ต้องการการฝึก การเรียนรู้ ๕ องค์ประกอบของการอ่านนั้น เกิดข้ึนพร้อมกัน และมีความสัมพันธ์ ส่วนเสริมซึง่ กันและกัน 194
แต่มีเด็กบางคนเรียนอ่านข้ามขั้นตอน คือละเลยเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างตัวอักษร กับเสยี ง (phonetics) ไปโดยสิ้นเชงิ อาศัยความเขา้ ใจบริบทและจ�ำคำ� ทั้งค�ำ ก็อ่านออกเสียงได้ ถกู ตอ้ ง ทจี่ รงิ เดก็ ทกุ คนแตกตา่ งกนั ครตู อ้ งยดื หยนุ่ และทดลองวธิ กี ารทเ่ี หมาะสำ� หรบั เดก็ แตล่ ะคน แตน่ ่ีไม่ใชน่ โยบายของผมู้ อี ำ� นาจ ทมี่ กั จะกำ� หนดรปู แบบตายตวั ใหค้ รปู ฏบิ ตั ิ และครตู อ้ งไมล่ มื วา่ บทเรียนแรกของการอ่านคือการฟัง ฝึกฟังให้จับความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ของเสียงได้ ซงึ่ แบบฝกึ หัดที่ดีคอื การพูดคุยกบั เพ่ือนๆ และครู ความตระหนกั ในความแตกตา่ งของเสยี งอา่ นของคำ� ทมี่ อี งคป์ ระกอบคลา้ ยกนั (phonemic awareness) เช่น ชาม กับ สาม ช่วยให้อ่านไดค้ ลอ่ ง และวิธีฝึกเรอื่ งนี้มีการคดิ และใช้ฝึกกนั มา หลายร้อยปี โดยการแต่งโคลงกลอนหรือเพลงของคำ� ท่ีคล้ายกนั ใหเ้ ด็กทอ่ ง ผู้ใหญ่หาผา้ ใหม ่ ให้สะใภใ้ ช้คล้องคอ ใฝ่ใจเอาใสห่ ่อ มิหลงใหลใครขอดู จะใคร่ลงเรอื ใบ ดนู ้ำ� ใสและปลาปู สง่ิ ใดอยู่ในต้ ู มิใชอ่ ยู่ใตต้ ั่งเตยี ง บ้าใบ้ถอื ใยบวั หตู ามัวมาใกลเ้ คยี ง เลา่ ท่องอยา่ ละเลีย่ ง ยี่สบิ ม้วนจ�ำจงดี นอกจากใช้จ�ำค�ำท่ีใช้ไม้ม้วนแล้ว ยังใช้ ฝึก phonemics ได้อย่างดี การฝึกให้เด็กฟังและ ออกเสยี งคำ� ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั น้ี ดที ส่ี ดุ โดยทำ� แบบเลน่ สนกุ โดยแตง่ เพลงใหเ้ ดก็ รอ้ งไปดว้ ยเตน้ ไปดว้ ย เดก็ ทมี่ ปี ญั หาการฟงั และการเปลง่ เสยี งจะไดป้ ระโยชนม์ าก ดีกว่าการฝกึ แบบต้งั ใจใหพ้ ดู ซำ้� ๆ 195
เรียนเขียน สมัยน้ีถือเป็นมาตรฐานว่าเด็กต้องฝึกท้ังภาษาปากและฝึกเขียนไปพร้อมๆ กันเพ่ือ สง่ เสริมการฝกึ อา่ น หรือกลา่ ววา่ ฝึกอา่ นและเขียนไปดว้ ยกนั และดีทสี่ ดุ คือให้เดก็ เขยี นเล่าเรื่อง ของตัวเอง แล้วอ่านให้เพ่ือนๆ และครูฟัง โดยท่ีเด็กอาจเลือกวิธีเล่าเร่ืองได้หลากหลายแบบ เช่น บางคนอาจวาดภาพ (แบบเด็ก) บางคนยังเขียนไม่ได้ก็เล่าด้วยวาจาให้ครูช่วยเขียน แลว้ ตวั เองอ่านให้เพือ่ นฟัง ในทุกกจิ กรรมสร้างสรรคข์ องเดก็ ครยู ุใหเ้ ดก็ เขยี นปา้ ยบอกด้วยวา่ คอื อะไร เชน่ เมื่อเดก็ รว่ มกนั ต่อเลโกเ้ ป็นรถยนต์ ก็ใหเ้ ขียนลงบนกระดาษว่า “รถยนต”์ เอาไปตดิ ไว้ เด็กจะภูมิใจมาก การเรยี นเขยี นอา่ นของเดก็ เลก็ ควรเปน็ การเรยี นจากกจิ กรรมทเี่ ดก็ ชอบทำ� ทำ� แลว้ สนกุ มี ความภมู ใิ จในผลงานของตน ไมค่ วรเปน็ การเรยี นแบบครสู อนหรอื ถา่ ยทอดความรใู้ หต้ ามรปู แบบ ความอึดอัดขัดข้อง ครูและพ่อแม่พึงเข้าใจความอึดอัดขัดข้องของเด็ก เม่ือต้องอ่านข้อความยาวๆ มีค�ำ หรือวลียากๆ หรอื มีบรบิ ทที่ไม่คุ้นเคย หรอื เป็นเรอื่ งไร้สาระส�ำหรับเดก็ นอกจากประเด็นอึดอัดขัดข้อง จนท�ำให้เด็กเบื่อเรียนแล้ว ยังมีเร่ือง “ได้ไม่คุ้มเสีย” คอื หากพยายามกวดขนั ใหเ้ ดก็ เขยี นสะกดการนั ตแ์ ละอา่ นออกเสยี งไดถ้ กู ตอ้ งไมม่ ผี ดิ เลย กจ็ ะกนิ เวลาของเดก็ มาก ไปเบยี ดบังการเรยี นรู้ดา้ นศลิ ปะ วทิ ยาศาสตร์ และอ่นื ๆ เรียนภาษาชา้ หนอ่ ย แต่ได้พัฒนาการครบด้าน ย่อมดีกวา่ 196
หาความหมาย การเรียนภาษาของเด็กเล็กมีสองข้ัวตรงกันข้าม คือขั้วเขียนถูกต้องแต่ความหมาย อาจจะตน้ื กบั ขว้ั ความหมายลกึ ซง้ึ แตเ่ ขยี นผดิ ๆ ถกู ๆ ถามวา่ ขวั้ ไหนใหค้ วามหมายตอ่ พฒั นาการ เด็กมากกวา่ ตัวอย่างคือ “สุนขั ด”ุ กบั “สุนกบางกวหวงของ” (สนุ ขั บางแก้วหวงของ) เป็นปญั หาโลกแตกแบบเดียวกนั กับววิ าทะการเรยี นค�ำแบบผสมคำ� (phonics) หรือเรียน คำ� ท้งั ค�ำ (whole language) ไมว่ า่ จะขว้ั ใด เปา้ หมายของการเรยี นภาษาของเดก็ กค็ อื เพอื่ หาความหมายในชวี ติ ของตน และส่อื สารความหมายท่ีตนให้คณุ คา่ ไก่กับไข่ ปัญหาไก่หรือไข่เกิดก่อนเป็นปัญหาโลกแตก เขาน�ำมาเปรียบเทียบกับประเด็นควรเรียน ผสมค�ำก่อนหรือเรียนความหมายของทั้งค�ำก่อน จึงจะอ่านหนังสือแตก เพราะการอ่านหนังสือ เปน็ กิจกรรมทซี่ บั ซอ้ น ตอ้ งการหลายทกั ษะประกอบกัน และต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนมี วิธีเรียนไม่เหมือนกัน โดยผมขอแถมว่า การจ้องมองเฉพาะการเรียนอ่านเท่าน้ัน นา่ จะไมถ่ กู ตอ้ ง เรานา่ จะเนน้ ท่ีพัฒนาการ รอบด้านของเด็กเล็กมากกวา่ 197
ทางสายกลาง เร่ืองแนวไหนดีกว่า ระหว่างแนว phonics กับแนว whole language น�ำไปสู่แนวสาย กลาง (balanced literacy instruction) คือต้องสอนการผสมค�ำ และต้องน�ำค�ำไปใช้ในบริบท ทก่ี ว้างดว้ ย แต่แลว้ แนวสายกลางก็ถกู พิสูจนว์ า่ เก๊ โดยกลมุ่ ใหม่ ท่ีให้ใช้วธิ ีที่เรียกวา่ systematic phonic instruction ภายใต้การสนบั สนนุ ทางการเงินโดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ในชอื่ โครงการ ว่า Reading First ตั้งเปา้ ทเ่ี ด็กจากครอบครวั ยากจน ซึ่งในท่สี ดุ กพ็ ิสูจน์วา่ ลม้ เหลว ทางสายความส�ำเร็จคือทางสายธรรมชาติ ที่เด็กเล็กได้เรียนจากชีวิตประจ�ำวัน ในการพดู คยุ อยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ แลว้ สรา้ งความเขา้ ใจขนึ้ ในสมองของตน บางสว่ นเขา้ ใจผดิ ใน เบือ้ งต้น ตอ่ ไปก็จะได้รบั การแกไ้ ขจากเหตกุ ารณอ์ ่ืนๆ ความรูค้ วามเข้าใจของเดก็ ก็จะลึกซ้ึงขน้ึ และขยายเช่ือมโยงมากข้ึน คุณค่าของการสนทนา ภาษาพูดมีคุณค่าอย่างย่ิงต่อพัฒนาการของการอ่านออกเขียนได้ของเด็ก แต่ครูเด็กเล็ก ส่วนใหญ่ชวนเด็กคุยไม่เป็น และฟังเด็กไม่เป็น ไม่มีความรู้วิธีการสอนเด็กให้สนทนากัน ด้วยภาษาซับซ้อน มีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งในเด็กเล็กเกือบ ๗๐๐ คน พบว่าเพียงร้อยละ ๑๕ ของการพดู ระหวา่ งครกู ับศษิ ยเ์ ท่านน้ั ทีม่ ีผลตอ่ การเรยี นภาษาของเด็ก ผู้เขียนกล่าวอย่างเสียดสีว่า ครูจ�ำนวนมาก (ในสหรัฐอเมริกา) ไม่รู้วิธีคุยเพื่อการเรียนรู้ ของเดก็ ทางการจงึ จดั กระดาษใบงานใหป้ กึ หนงึ่ สำ� หรบั นำ� ไปแจกเดก็ เปน็ คำ� กลา่ วเพอื่ สะทอ้ นวา่ ปัญหาอยทู่ ่ีวิธผี ลติ ครูเด็กเล็ก หากพอ่ แมต่ ระหนกั วา่ หวงั พง่ึ ครเู ดก็ เลก็ ไมไ่ ดม้ ากนกั พอ่ แมก่ ต็ อ้ งชว่ ยเหลอื ลกู ดว้ ยตวั เอง โดยมเี วลาเลน่ หวั พดู คยุ หยอกเยา้ ลกู รอ้ งเพลง อา่ นหนงั สอื และเลา่ นทิ านใหล้ กู ฟงั และคยุ เรอ่ื ง สนุกๆ นา่ สนใจ เร่อื งตลก ท่เี ดก็ พบในชวี ติ ประจำ� วนั ของตน 198
ต้องการมากกว่าหนังสือ เด็กเลก็ ต้องการสภาพแวดล้อมท่อี ุดมไปดว้ ยภาษา (language-rich environment) แตใ่ น ศนู ย์เดก็ เล็กอุดมไปดว้ ยส่งิ พมิ พ์ (print-rich environment) ซึง่ ไมก่ อ่ ใหเ้ กิดสภาพแวดลอ้ มทเ่ี ต็ม ไปดว้ ยภาษา ผเู้ ขยี นเลา่ ชวี ติ ของตนเองทที่ บ่ี า้ นเตม็ ไปดว้ ยหนงั สอื และตนเองกช็ อบอา่ นหนงั สอื ตงั้ แตเ่ ดก็ และสมยั เปน็ ครเู ดก็ เลก็ กห็ าหนงั สอื สำ� หรบั เดก็ มาจดั มมุ หนงั สอื ในหอ้ งเรยี น เปน็ พนื้ ที่ ยอดนิยมของเด็กๆ แต่ก็ยังเห็นว่ามีหนังสือให้เด็กก็ยังไม่เพียงพอ ดังข้อเขียนแนวทางจัดช้ัน เด็กเล็กของประเทศฟินแลนด์ ดังนี้ “พน้ื ฐานของการรหู้ นงั สอื ของเดก็ คอื เดก็ ไดฟ้ งั และไดร้ บั การรบั ฟงั เดก็ ไดพ้ ดู และมคี นพดู ดว้ ย มคี น พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นในเร่ืองต่างๆ กับเด็ก เดก็ ได้มีโอกาสถาม และไดร้ บั ค�ำตอบ” ใหห้ นพู ดู หน่อย ฟงั หนหู นอ่ ย วิจารณ์ พานชิ ๑๗ เม.ย. ๖๑ 199
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242