สารบญั หนา้ เรือ่ ง 3 8 แนวคดิ ทฤษฎี หลักการพยาบาลในวยั ผใู้ หญท่ ม่ี ภี าวการณเ์ จ็บปว่ ยเฉยี บพลนั วกิ ฤต 15 การพยาบาลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยของชวี ติ ในภาวะวกิ ฤต 24 การพยาบาลผปู้ ว่ ยทมี่ ภี าวะวกิ ฤตระบบหายใจ 51 การพยาบาลผปู้ ว่ ยทใี่ ชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ 62 การพยาบาลผปู้ ว่ ยระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด 73 การพยาบาลโรคหลอดเลอื ดหวั ใจ (Coronary Artery Disease: CAD) 100 การพยาบาลผปู้ ว่ ยโรคลน้ิ หวั ใจ 122 การพยาบาลผปู้ ว่ ยระบบทางเดนิ ปสั สาวะในระยะวกิ ฤต 124 การพยาบาลผปู้ ว่ ยทม่ี คี วามผดิ ปกตขิ องระบบประสาทและไขสนั หลงั 130 การพยาบาลผปู้ ว่ ยทม่ี ภี าวะชอ็ กและอวยั วะลม้ เหลวหลายระบบ หว่ งโซแ่ หง่ การรอดชวี ติ
แนวคดิ ทฤษฎี หลกั การพยาบาลในวยั ผใู้ หญท่ มี่ ภี าวการณเ์ จบ็ ปว่ ยเฉยี บพลนั วกิ ฤต การพยาบาลผปู้ ว่ ยทมี่ กี ารเจบ็ ปว่ ยภาวะเฉยี บพลนั วิกฤต การพยาบาลผ้ปู ่วยที่มกี ารเจบ็ ป่วยเกดิ ข้นึ กะทนั หัน จนถงึ ขนั้ อันตรายต่อชวี ติ เพื่อให้ผูป้ ่วยมีชีวิตรอดและสามารถ ปรับตวั เข้าสูภ่ าวะปกตไิ ด้ เป็นการพยาบาลเฉพาะสาขา พยาบาลจะต้องมีความรคู้ วามสามารถเฉพาะทาง ดแู ลผปู้ ว่ ยทั้งคน (Total human being) ตามอาการตอบสนอง รวมท้งั ดูแลการตอบสนองของครอบครัวผปู้ ว่ ย หลกั การสาคญั ของพยาบาลผปู้ ว่ ย 1.คานงึ ถงึ ความปลอดภยั ต่อชีวติ ความเจบ็ ปวดทุกข์ทรมานทัง้ รา่ งกาย จิตใจ จิตวญิ ญาณของผปู้ ว่ ยและครอบครวั 2. ยอมรบั ความเป็นบคุ คลท้งั คนของผู้ปว่ ย ยอมรบั เกยี รติศกั ดศ์ิ รี ความมคี ุณคา่ ของคนทัง้ คน องคป์ ระกอบของการพยาบาลผปู้ ว่ ยทมี่ กี ารเจบ็ ปว่ ยวกิ ฤตมี 3 องคป์ ระกอบ 1.ผปู้ ่วยที่มีภาวะเจ็บป่วยวิกฤต (Critical illpatient) 2.พยาบาลให้การพยาบาลผปู้ ่วยระยะวิกฤต(Critical care nurse) 3.สิง่ แวดลอ้ มภายในหอผปู้ ว่ ย (Critical careenvironment)
ประเดน็ ปญั หาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การดแู ลผปู้ ว่ ยภาวการณเ์ จบ็ ปว่ ยเฉยี บพลนั วิกฤต 1. มีปญั หาซบั ซ้อน ตอ้ งมีทมี สขุ ภาพทม่ี ีความร้คู วามสามารถเฉพาะทาง 2. ผู้ปว่ ยวกิ ฤตมีจานวนมากขนึ้ 3. มปี ัญหาทีเ่ กิดจากการจดั การของสหสาขาอาชีพในทมี สขุ ภาพ 4. มโี รคตดิ เช้อื อุบตั ิซ้า และติดเช้อื อุบตั ใิ หม่ 5. มีการระบาดโรคไวรัสสายพนั ธ์ุใหม่ 2009 ท่รี ุนแรงกว้างขวางขึ้น 6. ผสู้ งู อายเุ พมิ่ ขึ้น 7. มกี ารบาดเจบ็ เพมิ่ ข้นึ ทง้ั การบาดเจ็บจากจราจร อบุ ตั ิภัยและความรนุ แรงจากการถกู ทารา้ ยรา่ งกาย 8. ประเทศตา่ ง ๆ ประสบปญั หาการขาดแคลนพยาบาลและผมู้ คี วามรู้ 9. พบวา่ ความชุกของ ICU delirium ในผสู้ ูงอายุ 10. ทุกประเทศทัว่ โลก พบว่า โรคหัวใจเปน็ สาเหตกุ ารตายอนั ดับ 1
การดแู ลผปู้ ว่ ยภาวการณเ์ จ็บปว่ ยเฉยี บพลนั วกิ ฤตในปจั จบุ นั 1.ลดการใช้การแพทย์ทีเ่ สีย่ งอันตราย 2.ลดความเขม้ งวดในการเย่ยี มของญาติ 3.มกี ารทางานรว่ มกันของทีมสหวิชาชพี 4.การติดเชื้อดือ้ ยาเพ่มิ ขึน้ ในโรงพยาบาลใหญๆ่ สมรรถนะของพยาบาลในการดแู ลผปู้ ว่ ยภาวะเจบ็ ปว่ ย เฉยี บพลนั วกิ ฤต มกี ารประเมินสภาพและวนิ จิ ฉัยการพยาบาล วางแผนให้การพยาบาลร่วมกบั ทีมสหวิชาชีพ ดแู ลชว่ ยเหลอื ผปู้ ่วยในระยะวิกฤต ทง้ั ทางดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ ใหก้ ารดแู ลอย่างเทา่ เทียม มที กั ษะการส่ือสารกบั ผปู้ ่วยและญาติ มกี ารจดั สภาพแวดลอ้ มให้มี ความปลอดภยั นาหลักฐานเชิงประจกั ษ์ งานวจิ ัยมาใช้ในการพยาบาล การใชก้ ระบวนการพยาบาลผปู้ ว่ ยภาวะการเจบ็ ปว่ ย เฉยี บพลนั วกิ ฤต 1. การประเมนิ สภาพ (Assessment) เป็นข้นั ตอนแรก ไดแ้ ก่ การซักประวัติ การตรวจรา่ งกาย ผลตรวจพิเศษ 2. การวนิ ิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis) ระบุถงึ ปญั หา 3. การวางแผนการพยาบาล (Planning ) การวางแผนกิจกรรมท่จี ะแกป้ ญั หาโดยจดั ลาดบั ความสาคัญของปัญหา 4. การปฏิบัตกิ ารพยาบาล ( Implementation) การเอาแผนการพยาบาลมาปฏิบัติจริง 5. การประเมนิ ผลการพยาบาล (Evaluation) โดยกาหนดเกณฑผ์ ลลพั ธ์ เพื่อประเมินความสาเร็จความสาเร็จในการ พยาบาล
แนวคดิ การพยาบาลผปู้ ว่ ยภาวะการเจบ็ ปว่ ย เฉียบพลนั วิกฤต FAST HUGS BID เป็นแนวคดิ การดแู ลผู้ป่วยทมี่ แี นวทางชดั เจน ทาให้การดแู ลมีคุณภาพมากยิ่งขึน้ ประกอบดว้ ย 15 องค์ประกอบ ดังน้ี 1. เร่ิม feed ให้เรว็ ท่สี ดุ 2. ประเมินความปวดใหไ้ ด้และควบคมุ ใหไ้ ด้ 3. การใหย้ าระงับประสาท 4. การป้องกันการเกดิ ล่มิ เลือดในหลอดเลือดดา 5. การปรับเตียงให้หัวสูง 6. การให้ยาป้องกันเลือดออกในกระเพาะอาหาร 7. ควบคุมระดับนา้ ตาลใน เลอื ดใหอ้ ย่ใู นชว่ ง 80-200mg% 8. ดูแลเรอ่ื งการขับถา่ ยเพือ่ ลดของเสยี คงั่ 9. ส่งเสรมิ การเคล่ือนไหว 10. ดแู ลเรือ่ งการนอน หลับ 11. การปอ้ งกันโรคแทรกซอ้ นและการวางแผนจาหนา่ ย 12. การปกคลุมถุงลมในปอด 13. การปอ้ งกันการตดิ เชื้อ 14. การประเมินและการจดั การภาวะสบั สนเฉยี บพลัน 15. การดูแลผิวหนังและการดแู ลมิตจิ ติ วญิ ญาณ แนวปฏบิ ตั ทิ างการพยาบาลผปู้ ว่ ยภาวะการเจบ็ ปว่ ย เฉยี บพลนั วิกฤต แนวคิด ABCDE Bundle : ABCDE care Bundle คอื การจดั การปญั หาสขุ ภาพโดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ เพื่อให้ได้ ผลลพั ธ์ดีที่สดุ ซงึ่ อยบู่ นพนื้ ฐานสาคัญ 3 ประการคอื 1. สะดวกในการสอ่ื สารระหวา่ งบุคลากรทมี สขุ ภาพ ไอซยี ู 2. เป็นมาตรฐานการพยาบาล 3. ลดการใช้ยานอนหลบั ลดการใชเ้ คร่ืองช่วยหายใจเวลานานซึ่งอาจทาให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดา้ นร่างกาย และอาจเกดิ ICU Delirium การดแู ลตามแนวทาง ABCDE Bundle ในผ้ปู ่วยเฉียบพลัน วกิ ฤต ประกอบด้วย
องคป์ ระกอบ แนวทางการนาไปใช้ A = Awakening trials โดยการประเมนิ และดแู ลส่งเสริมให้ผู้ปว่ ยตนื่ รู้สึกตวั โดยลดยานอนหลบั หรอื ให้ยานอนหลบั นอ้ ยลงหรือในระยะสนั้ ๆแต่เกิดประสทิ ธภิ าพสูงสดุ B = Breathing C = Co ordination โดยส่งเสรมิ ใหผ้ ปู้ ่วยหยา่ เครอ่ื งหายใจ และหายใจเอง โดยการทางานรว่ มกบั สหสาขาวิชาชพี เพ่อื กระตุ้น ส่งเสรมิ ผปู้ ว่ ยใช้ D = Delirium เคร่อื งช่วยหายใจระยะสน้ั E = Early mobilization การประเมินภาวะสบั สนการบรหิ ารยากลุม่ Opioidการบรหิ ารยานอนหลับ ambulation อย่างระมดั ระวงั และการปอ้ งกัน ICU delirium แบบไม่ใช้ยา การให้มีการเคลอ่ื นไหวร่างกายทากายภาพบาบัดและลุกออกจากเตยี งเรว็ ขึ้นลดภาวะแทรกซอ้ นระบบตา่ งๆ ตลอดจนการป้องกัน ICU delirium
การพยาบาลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยของชวี ติ ในภาวะวกิ ฤต ผปู้ ่วยระยะสดุ ท้าย คือ ผปู้ ่วยทมี่ ลี ักษณะความเจ็บป่วยซับซอ้ นและอาการของโรคไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายได้ 1.การพยาบาลผปู้ ว่ ยระยะสุดทา้ ยของชวี ติ ในภาวะวกิ ฤต (End of life care in ICU) 1.1 บรบิ ทของผ้ปู ว่ ยระยะทา้ ยในหอผ้ปู ว่ ย - เป็นหน่วยงานทเี่ น้นการให้บรกิ ารด้านการรักษาพยาบาลผปู้ ว่ ยวิกฤตท่มี คี วามเจบ็ ป่วยรนุ แรง และคุกคามต่อชีวิต - มีการใชเ้ ทคโนโลยที ที่ ันสมัยในการทาหัตถการและการตดิ ตามอาการ - รับเฉพาะผปู้ ่วยหนกั ทม่ี โี อกาสหายสงู เทา่ นนั้ - มีความยากลาบากในการระบวุ า่ ผปู้ ว่ ยรายอยูใ่ นระยะทา้ ย - ดูแลแบบองคร์ วมครอบคลุมทุกมิติ
1.2 ลกั ษณะของผปู้ ว่ ยระยะทา้ ยในไอซยี ู - ผ้ปู ว่ ยทม่ี ีโอกาสรอดน้อยและแนวโนม้ วา่ มสามารถชว่ ยชวี ติ ได้ - ผ้ปู ่วยทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลงของอาการและอาการแสดงไปในทางทีแ่ ยล่ ง 1.3 แนวทางการดแู ลผปู้ ว่ ยระยะทา้ ยในไอซยี ู - มีอปุ กรณท์ างการแพทย์ซบั ซอ้ นและโยงระยางเชอื่ มกบั ตวั ผปู้ ว่ ยเพอ่ื ชะลอความตายและยืดชวี ติ ให้ยาวนานข้ึน - การดูแลผู้ปว่ ยแบบองค์รวมและตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยเฉพาะมิตดิ า้ นจติ วิญญาณ เป็นเครอื่ งยดึ เหน่ยี วจิตใจ เพื่อให้ ผ้ปู ว่ ยเสยี ชวี ติ อยา่ งสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ - การดูแลญาติอย่างบคุ คลสาคญั ท่ีสดุ ของผ้ปู ่วยระยะท้าย โดยสอดคลอ้ งกับวัฒนธรรม ความเชอื่ ศาสนาและสงั คม - เปดิ โอกาสให้ญาตไิ ดพ้ ูดคุย เพ่ือลดความวิตกกงั วล - การดูแลจิตใจตนเองของพยาบาลขณะดแู ลผู้ป่วยระยะท้ายละญาติ ดูแลจิตใจตนเองใหพ้ รอ้ มในการดูแลผูป้ ว่ ยระยะทา้ ยและ ญาติ เพอ่ื ป้องกนั อารมณโ์ ศกเศร้า
2.การพยาบาลผปู้ ว่ ยระยะทา้ ยของชวี ติ ในผปู้ ว่ ยเรอื้ งรงั 2.1 ลักษณะของผปู้ ว่ ยเรอื้ งรงั ระยะทา้ ย 1.มปี ัญหาท่ีซับซ้อนและมอี าการที่ยากตอ่ การควบคุม อาการไปในทางทแี่ ยล่ ง 2.มคี วามสามารถในการทาหน้าท่ีของรา่ งกายลดลง 3.มคี วามวติ กกังวล ทอ้ แท้ ซมึ เศร้า หมดหวังและกลวั ตายอยา่ งโดดเดยี่ ว 2.2แนวทางการดแู ลผปู้ ว่ ยเรอ้ื รงั ระยะทา้ ย 1.การดูแลและให้คาแนะนาแก่ผปู้ ่วยและญาติ เชน่ การรับประทานอาหาร ดแู ลความสะอาด การขับถา่ ย 2.การดแู ลและให้คาแนะนาแก่ผปู้ ่วยและญาตใิ นการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม 3.การดแู ลด้านจิตใจและอารมณ์ของผู้ปว่ ยและญาติ พยาบาลต้องมสี มั พนั ธภาพทด่ี ีกับผูป้ ่วย 4.การเปน็ ผู้ฟังทดี่ ี มีความอดทนในการดแู ลผปู้ ว่ ย 5.การเปิดโอกาสใหญ้ าติหรอื ผใู้ กลช้ ดิ ในการดแู ลผู้ปว่ ย 6.ให้กาลงั ใจแกค่ รอบครัวและญาตใิ นการดาเนินชีวิตแมว้ า่ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตแลว้
2.3 หลักการดแู ลผปู้ ว่ ยเรอื้ รงั ระยะทา้ ยในมติ จิ ติ วญิ ญาณ 1.เปน็ การดแู ลแบบประคบั ประคองโดยยดึ ประโยชน์ของผู้ปว่ ยมากท่สี ดุ 2.การใหค้ วามรกั และความเห็นอกเห็นใจ เพราะชว่ ยลดความกลัวและชว่ ยผูป้ ว่ ยมคี วามมนั่ คงในจิตใจ 3.การใหผ้ ู้ป่วยยอมรบั ความตาย พยาบาลจึงควรสร้างสมั พันธภาพและความไวว้ างใจ 4.บทบาทในการใหข้ อ้ มูลท่ีเป็นจรงิ 5.ชว่ ยปลดเปล้อื งสงิ่ คา้ งคาใจและชว่ ยใหผ้ ปู้ ว่ ยปล่อยวางสง่ิ ตา่ ง 3. การพยาบาลดว้ ยหวั ใจความเปน็ มนษุ ย์ 3.1 ความสาคญั ของจติ วญิ ญาณในการดแู ลแบบประคบั ประคอง(Spirituality in Pallitive care) - จิตวิญญาณ (Spirituality) เปน็ แนวคิดที่มคี วามซับซอ้ น และเป็นส่ิงท่ีมคี ณุ ค่าสงู สดุ ต่อมนุษยบ์ นพื้นฐานความเช่ือท่ี เกีย่ วขอ้ งกบั ศาสนาและการใหค้ ณุ ค่าและความหมายของชีวติ - ตระหนกั ต่อหน้าท่ีความรับผิดชอบ การแก้ปัญหาอยา่ งมีเหตุผล - การเป็นภาวะสุขภาพบคุ คล หากบุคคลมจี ติ วิญญาณทด่ี ีจะเกิดการมองโลกในแง่บวก
3.2 ความสาคญั ของการดแู ลผปู้ ว่ ยดว้ ยหัวใจความเปน็ มนษุ ย์ (Humanized Care) - การปฏบิ ตั ิกบั ผู้ป่วยด้วยความรกั ความเมตตาควบคูไ่ ปกบั การรกั ษาพยาบาลด้วยความรัก -การมีความเชยี่ วชาญทางด้านการแพทยแ์ ละการพยาบาล เพอ่ื ช่วยฟื้นฟูสภาพผูป้ ่วยได้รวดเร็ว -การดูแลที่สอดคล้องกบั บรบิ ทของชวี ิต เนน้ การให้คณุ คา่ กับบคุ คล ยอมรบั ความต้องการพื้นฐานบคุ คล -การดูแลทคี่ านงึ ถึงสทิ ธแิ ละความแตกตา่ งทางวฒั นธรรมและใช้ครอบครวั เป็นศูนย์กลาง หลักการดแู ลผปู้ ว่ ยดว้ ยหวั ใจความเปน็ มนษุ ย์ 1.การมีจติ บรกิ ารดว้ ยการให้บรกิ ารดุจญาตมิ ติ รและเทา่ เทียมกนั 2.การดูแลทง้ั ร่างกายและจิตใจเพือ่ คงไวซ้ ่งึ ศักดศ์ิ รคี วามเป็นมนุษย์ 3.การมีเมตตา การดูแลอยา่ งเออื้ อาทรและเอาใจเขามาใสใ่ จเรา 4.การใหผ้ ู้รับบรกิ ารมีส่วนรว่ มในการดแู ลตนเอง 3.3 ลกั ษณะของการเปน็ ผดู้ แู ลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ยดว้ ยหวั ใจความเปน็ มนษุ ย์ - การมีความร้สู ึกเมตตา สงสาร เข้าใจและเหน็ ใจตอ่ ผปู้ ่วย - การมจี ิตใจอยากชว่ ยเหลอื โดยแสดงออกท้ังทางกายและวาจา - การรเู้ ขา รู้เรา คือ การร้จู กั ผปู้ ว่ ย รูจ้ กั ความสามารถและจติ ใจตนเอง
4.การพยาบาลแบบประคบั ประคอง -เปน็ การดูแลที่ครอบคลมุ ทุกมติ สิ ุขภาพทัง้ รา่ งกาย จติ ใจ สงั คมและจติ วญิ ญาณ -เน้นปอ้ งกนั และบรรเทาความทกุ ข์ทรมานต่างๆ ใหแ้ ก่ผ้ปู ว่ ยและครอบครวั -เพ่มิ คุณภาพชวี ิตของผ้ปู ่วยระยะทา้ ยและคอบครัวทาให้ผูป้ ว่ ยระยะท้ายมคี วามสขุ และจากโลกน้ไี ปอยา่ งสงบโดยสมศกั ด์ิศรี ความเป็นมนษุ ย์ 5.แนวปฏบิ ตั กิ ารดแู ลผปู้ ว่ ยเรอื้ รงั คกุ คามชวี ติ แบบประคบั ประคอง ด้านส่ิงแวดลอ้ ม เช่น ส่งเสริมใหผ้ ้ปู ่วยและครอบครวั มสี ว่ นร่วมและมอี สิ ระในการจดั ส่งิ แวดลอ้ ม จดั กอ้ งแยกหรอื สถานทเ่ี ป็น สดั ส่วนและสงบ ด้านการจดั ทมี สหวิชาชีพ เชน่ เปิดโอกาสให้วิชาชีพอ่ืนมสี ว่ นรว่ มในทีมสหวิชาชพี โดยขึ้นกบั ปญั หาผปู้ ่วย ดา้ นการดูแลผู้ป่วยแบบองคร์ วมสอดคล้องกับวฒั นธรรมของผปู้ ว่ ยและครอบครัว เช่น การดูแลแบบยึดผู้ป่วยเปน็ ศนู ย์กลาง มีกจิ กรรมบาบดั ที่ช่วยใหจ้ ติ ใจผอ่ นคลาย เปดิ โอกาสใหผ้ ปู้ ่วยและครอบครัวมีกจิ กรรมทางศาสนา ดา้ นการจัดการความปวดด้วยการใช้ยาและไมใ่ ชย้ า เชน่ การบรรเทาโดยวธิ ีการท่ไี ม่ใช้ยาร่วมกับการใช้ยา เชน่ เทคนคิ การ ผ่อนคลาย การกดจดุ
ด้านการวางแผนจาหนา่ ยและการสง่ ต่อผูป้ ่วย เช่น ประเมินความพร้อมในการส่งตอ่ ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ดา้ นการติดตอ่ ส่ือสารและการประสานงานกบั ทมี สหวชิ าชพี เช่น จัดระบบส่อื สารและใหค้ วามรู้ตั้งแตแ่ รกรบั จนกระทั่ง จาหนา่ ยออกจากหอผปู้ ่วย จดั ทมี การตรวจเยีย่ มผปู้ ่วยพรอ้ มกันอย่างสม่าเสมอ ด้านกฎหมายและจรยิ ธรรม เช่น กาหนดขอ้ ตกลงในการใส่ท่อชว่ ยหายใจ ผู้ปว่ ยและญาตจิ ะใส่/ไม่ใส่ ดา้ นการเพ่ิมสมรรถนะให้แก่บคุ ลากรและผบู้ ริบาล เช่น สนบั สนุนใหม้ ีวิจัยในเร่ืองการดแู ลแบบประคับประคองตลอดจนนา วทิ ยาการและทกั ษะมาใชใ้ นการพยาบาล ด้านการจดั การค่าใช้จา่ ย เชน่ สนับสนนุ ค่าใชจ้ ่ายโดยสอดคล้องกับสิทธิผู้ปว่ ย
การพยาบาลผปู้ ว่ ยทมี่ ภี าวะวกิ ฤตระบบหายใจ โรคหลอดลมอกั เสบเฉยี บพลนั (Acute Bronchitis or Tracheobronchitis) เปน็ การอกั เสบของ หลอดลมใหญ่หรือหลอดลมคอหรอื ท้งั หลอดลมใหญแ่ ละหลอดลมคอ เนื่องจากมกี ารระคายเคืองหรอื การติดเชือ้ เปน็ โรคท่ี พบบอ่ ยในปจั จบุ นั เน่อื งจากมลภาวะทางอากาศ สาเหตขุ องโรค เกิดจาก ➔ จาการตดิ เชือ้ แบคทีเรยี ไวรัส ไมโคพลาสมา พยาธิและการระคายเคือง พยาธสิ รรี วทิ ยา เชอ้ื โรค➔ มีการบวมของเยื่อบหุ ลอดลม ➔เยื่อบุหลอดลมอักเสบ➔ ขดั ขวางการทาหนา้ ทข่ี องขน กวกั ➔ทาให้เกิดเสมหะ ➔ไอเอาเสมหะออกมา การประเมนิ สภาวะผปู้ ว่ ย 1.ประวตั ิอาการและอาการแสดง 2.การตรวจรา่ งกาย 3. การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ การรกั ษา เปน็ การรกั ษาแบบประคบั ประคองไมใ่ ห้ลุกลามและปอ้ งกันการเปน็ ซา้ ยา ยาบรรเทาอาการไอ ยาขยายหลอดลม ยาปฏชิ วี นะ ยาแกป้ วดลดไข้ ข้อวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 1. การหายใจไม่เพียงพอเนอื่ งจากหลอดลมหดเกรง็ ตวั 2.มีความบกพร่องในการแลกเปลี่ยนแก๊สเน่ืองจากอตั ราสว่ นของการระบายอากาศกับการซมึ ซาบไม่สมดลุ กนั 3.อ่อนเพลยี เนือ่ งจากขาดออกซิเจนและการหายใจลาบาก
โรคปอดอกั เสบ (Pneumonia, Pneumonitis) หมายถงึ การอักเสบของเน้อื ปอด มีหนองขงั บวม จึงทาหนา้ ทไ่ี ม่ เต็มท่ี ทาใหก้ ารหายใจสะดุด เกิดอาการหายใจหอบ เหนอ่ื ย เปน็ โรครา้ ยแรงเฉยี บพลัน การตดิ ตอ่ ➔ มกั อยใู่ นนา้ ลายและเสมหะและสามารถแพร่กระจายโดยการไอ จาม หรอื หายใจรดกนั การสาลักเอาสารเคมี หรือเศษ อาหารเขา้ ไปในปอด การแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด สาเหตขุ องโรค เกดิ จาก➔ 1.เชอื้ แบคทเี รยี ที่พบบอ่ ย ไดแ้ กเ่ ช้ือ Pneumococcus และท่พี บนอ้ ย แตร่ ้ายแรง ได้แก่ Staphylococcusและ Klesiella 2.เช้ือไวรัส เชน่ ไข้หวัดใหญ่ หัด 3.ไมโคพลาสมา ทาให้เกิด Atypical pneumonia ไม่มี อาการหอบชัดเจน 4.อืน่ ๆ เช่นสารเคมี เช้อื รา พยาธสิ ภาพ ปอดอกั เสบ มีพยาธสิ ภาพแบง่ ได้เป็น 3 ระยะ ระยะท1่ี ระยะเลือดคัง่ พบใน 12-24 ชว่ั โมงแรกหลงั จาการติดเช้ือแบคทเี รยี เข้าในถงุ ลมและเพิ่มจานวนอยา่ งรวดเร็ว และเกดิ เลือดคั่ง บรเิ วณท่มี กี ารอกั เสบและมี Cellular Exudate เขา้ ในถงุ ลม ระยะน้ีอาจมเี ชือ้ เข้าสกู่ ระแสเลือด (Bacteremia) ระยะท2่ี ระยะปอดแข็งตวั (Hepatization) พบใน2-3 วันของโรค พบว่ามเี มด็ เลือดแดงและไฟบรินอยูใ่ นถงุ ลม หลอดเลือดฝอยที่ ผนงั ถงุ ลมขยายตัวออก ทาให้เน้อื ปอดมีสแี ดงจัด (Red Hepatization)ในรายที่มกี ารแกเสบรุนแรง หลอดเลอื ดฝอยที่ผนงั ถงุ ลม เล็กลง ทาให้เน้อื ปอดเปลี่ยนเป็นสเี ทา (Gray Hepatization) ระยะท3่ี ระยะฟื้นตัว (Resolution) พบใน7-10วันของโรค เมื่อร่างกายมีภูมติ ้านทานเมด็ เลอื ดขาวสามารถทาลายแบคทเี รียที่อยู่ใน ถงุ ลมหมดและเริ่มสลายตัว การอักเสบท่เี ย่อื หุ้มปอดจะหายไปหรอื มพี ังผดื เกดิ ขึน้ ในส่วนท่ีมีการอักเสบ
การประเมนิ สภาวะผปู้ ว่ ย 1.ประวัตอิ าการและอาการแสดง 2.การตรวจร่างกาย 3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ 4.ถา่ ยภาพ รงั สปี อด โรคแทรกซอ้ น ปอดแฟบ ฝีในปอด เยอื่ หุ้มสมองอักเสบ เยื่อหุม้ หัวใจอักเสบ ภาวะขาดออกซเิ จนและขาดนา้ การรกั ษา ยาบรรเทาอาการไอ ยาขยายหลอดลม ยาปฏิชีวนะ ยาแกป้ วดลดไข้ ข้อวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 1. การหายใจไม่เพยี งพอเน่อื งจากปอดถกู จากดั จากการอักเสบ 2.มีความบกพร่องในการแลกเปลี่ยนแกส๊ เน่อื งจากผนังถุงลมปอดไม่ดี 3.ไม่สามารถทาใหท้ างเดนิ หายใจสะอาดโล่งเนือ่ งจากเสมหะมาก และเหนียว
โรคฝใี นปอด (Lung Abscess) หมายถึง เป็นการอักเสบทมี่ เี นอ้ื ปอดตายและมีหนองบรเิ วณทเ่ี ปน็ ฝขี อบเขตชัดเจน เกิดจากเช้ือ แบคทเี รีย พบบ่อยในประเทศไทย สาเหตขุ องโรค ➔ การอุดตนั ของหลอดลม 2.การตดิ เชื้อแบคทีเรยี 3.สาลักน้ามกู น้าลายหรือสงิ่ แปลกปลอมเขา้ ปอด 4.มาจากฝีในตบั แตก เขา้ ในปอด พยาธสิ รรี วทิ ยา เชอื้ โรคลงไปยงั ปอดหรือมกี ารกระจายตัวของเชอื้ แบคทเี รยี ทางกระแสโลหติ เกดิ การอกั เสบ บริเวณที่เป็นฝจี ะแขง็ มกี ารอุดกน้ั ของหลอดโลหิต หนองจะระบายออกมาทางโพรงหลอดลม (ผู้ป่วยจะเร่ิมไอ มีเสมหะ มีกลน่ิ เหม็น) ถ้าหนองไหลได้สะดวกระบายออกหมด ฝจี ะยุบติดกัน แตถ่ า้ หนองไหลไม่สะดวก ระบายออกไม่หมด บรเิ วณฝีจะแข็งมีเยอ่ื พังผดื ในรายทม่ี กี ารอุดกนั้ เกดิ ขน้ึ ไมส่ ามารถระบายหนองออกได้ หนองจะมีจานวนเพิ่มขน้ึ และอาจแตกเขา้ เยอ่ื หมุ้ ปอด
ภาวะแทรกซอ้ น รายท่ีมีฝใี นปอด หนองอาจลุกลามเขา้ เยือ่ หุ้มปอด ถา้ ฝแี ตกเชือ้ ลุกลามตามกระแสเลือดทาให้ เกดิ การตดิ เชอื้ ถ้าเชื้อหลดุ ลอยไปท่สี มอง อาจเกิดฝีของสมอง การประเมนิ สภาวะผปู้ ่วย 1.ประวัติอาการและอาการแสดง เชน่ ประวัติสาลกั อาหาร อาการแสดงของปอด 2.การตรวจร่างกาย พบการขยายตัวของปอดทัง้ 2ขา้ งไม่เทา่ กนั ข้างทเี่ ปน็ จะขยายได้น้อย เคาะปอดไดย้ ินเสียงทึบ 3. การตรวจพิเศษ การถ่ายภาพรงั สีเอกซเรย์ การรกั ษา 1.การรกั ษาทางยา ให้ยาปฏชิ ีวนะตามผลการเพาะเชื้อ รกั ษาตามอาการ 2.การรักษาโดยการผ่าตัด ข้อวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 1.ไมส่ ามารถทาใหท้ างเดินหายใจสะอาดโล่งเนอื่ งจากมกี ารอกั เสบและมหี นองอยู่ภายในปอดมาก 2.การหายใจไมเ่ พียงพอเนอ่ื งจากเนื้อปอดบางสว่ นถกู ทาลายและหรือมอี าการเจบ็ หน้าอกจากการอกั เสบ 3.มีความบกพรอ่ งในการแลกเปล่ียนแกส๊ เนอื่ งจากทางเดนิ หายใจถูกอุดตันและเนอื้ ทป่ี อดลดลง
โรคปอดอดุ กน้ั เร้อื รงั (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) พบบอ่ ยในผูส้ งู อายุ สาเหตทุ ีส่ าคญั ท่สี ดุ คือการสบู บุหร่ี โรคนีป้ ระกอบไปด้วยโรค 2 ชนิดยอ่ ย คอื โรคหลอดลมอกั เสบเรือ้ รงั และโรคถุงลมโป่งพองร่วมกัน สาเหตขุ องโรค เกดิ จาก ➔ การสบู บหุ รี่ มลภาวะทางอากาศ การขาดAlpha 1 antitrypsin การตดิ เชอ้ื อายุ การประเมนิ สภาวะผปู้ ว่ ย 1.ประวตั ิอาการและอาการแสดง -ประวตั ิการสบู บหุ รี่ -ประวตั กิ ารหายใจลม้ เหลว -ประวตั ิการเบอ่ื อาหาร -ประวัตกิ ารใชย้ า เก่ียวกบั ทางเดินหายใจ 2.การตรวจร่างกาย -ผวิ กายเขยี วคล้า -การหายใจเกิน มีลักษณะหายใจแรง - หายใจนอ้ ยกว่าปกติ -อกถังเบียร์ - หลอดเลอื ดดาทคี่ อโปง่ นนู ฟงั จะได้เสียง Wheezing 3. การตรวจพเิ ศษ -ตรวจเลอื ด ดคู า่ PaO2, PaCO2 -การทดสอบสมรรถภาพของปอด -การถา่ ยภาพรงั สปี อด การรกั ษา 1.การรักษาดว้ ยยา 2.การรักษาด้วยออกซิเจน 2.1 โดยใหอ้ อกซเิ จนขนาดต่าๆ 2-3 LMP 2.2โดยการใส่ ท่อช่วยหายใจ
โรควณั โรคปอด (Tuberculosis) เป็นโรคติดตอ่ เรื้อรงั ทีเ่ กดิ จากเช้ือแบคทเี รยี เปน็ ได้กับอวัยสะทุกส่วน พบมากใน ปจั จุบันคอื วัณโรคปอด เพราะเชือ้ วัณโรคปอดสามารถแพร่กระจายและติดตอ่ ได้ง่ายโดยระบบทางเดนิ หายใจ สาเหตขุ องโรค เกดิ จาก➔ เปน็ แบคทเี รยี ช่อื ไมโรแบคทีเรียมทเู บอร์คโู ลซสิ (Bacterial Tuberculosis)หรอื เช้อื เอ เอฟบี (AFB) เปน็ โรคติดตอ่ เรื้อรัง อาการของโรค 1.ไอเร้ือรัง 3 สปั ดาห์ขน้ึ ไป หรอื ไอเป็นเลือด 2.ไข้ตอนบ่ายๆ เหงอื่ อกมากตอนกลางคืน 3.นา้ หนกั ลด อ่อนเพลยี เบ่อื อาหาร 4.เจ็บหนา้ อกและเหน่ือยหอบ การตดิ ตอ่ โดยการหายใจเอาเชอื้ โรคจากการไอ จาม พูดของผ้ปู ว่ ยทเี่ ปน็ วัณโรค วิธีปอ้ งกนั 1.รักษาสขุ ภาพใหแ้ ข็งแรง 2.หลกี เล่ียงผปู้ ่วยวณั โรค 3.ถา้ มีผูป้ ่วยวัณโรคอยู่ในบา้ น ควรดแู ลใหไ้ ด้รับยา สมา่ เสมอ 4.ควรตรวจรา่ งกาย เอกซเรย์ปอด อยา่ งนอ้ ยปลี ะครง้ั 5.พาบุตรหลานรบั วัคซนี BCG
การประเมนิ สภาวะผปู้ ่วยเกยี่ วกบั ปจั จยั ส่งเสรมิ มีคนในครอบครวั ปว่ ยเป็นวัณโรคหรอื ประเมนิ จากอาการและอาการแสดง มี อาการอ่อนเพลยี เหนอ่ื ยง่าย เบ่ืออาหาร น้าหนกั ลด ไขม้ าหลายสปั ดาห์ การฟงั ฟอดจะพบ capitation มีพยาธสิ ภาพ ปอดขยายตวั ไมด่ ี ฟงั เสียง breath sound ลดลง เสมหะเป็นสเี หลอื งยอ้ มเสมหะพบ Acid fast bacilli เพาะเชอ้ื ข้นึ Mycobacterium Tuberculosis ตรวจเลือดจะพบ WBC สูง การทดสอบทเู บอร์คลู ิน (Tuberculin Test) การรกั ษา สามารถรกั ษาโดยทง้ั ทางยาและการผา่ ตดั Frist line Drug ได้แก่ INH(Isoniazid), Ethambutol, Rifampin, Streptomycin Secondary line drug ไดแ้ ก่ Viomycin, Capreomycin วธิ กี ารใชย้ ารกั ษาวณั โรค แบ่งเป็น การรกั ษาครัง้ แรก (ไมเ่ คยรกั ษามากอ่ น) 1.วิธีรกั ษาแบบมาตรฐาน โดยใช้ INHรว่ มกับยารักษาวณั โรค - ให้ทานยาทกุ วนั เป็นเวลา 4สัปดาห์แลว้ ใหส้ ัปดาหล์ ะ1คร้งั จนครบ1ปี - รักษาโยช้าเตม็ ในระยะแรก - ใช้ยาแบบระยะส้ัน เน้นให้ INH300มก.รว่ มกับ Streptomycin 1กรัมร่วมกับ Rifampin600มก.ทกุ วนั ตดิ ตอ่ กนั 6 เดือน
- ผูท้ ร่ี กั ษาไมน่ ้อยกวา่ 6เดอื นและประเมนิ ว่าไมไ่ ดผ้ ล ควรเปล่ยี นขนานยาท่ีไม่เคยใชม้ ากอ่ น - ถ้าเคยไดร้ บั การรกั ษามาครบแลว้ โรคสงบลงแลว้ เกิดขน้ึ ใหม่ จะให้รักษาแบบเดมิ กอ่ นแลว้ ตรวจสอบเชื้อตา้ นยาชนิดใดแลว้ เปลี่ยนยาใหม่หรือให้ INHรว่ มกับยาอื่น ทีไ่ ม่เคยไดร้ บั มากอ่ น 2.การผา่ ตัด การปฏบิ ตั ติ น 1.ไปพบแพทยต์ ามนดั 2.กนิ อาหารท่ีมีปะโยชน์ 3.ปิดปาก จมูก เวลาไอหรือจามทกุ ครั้ง 4. จดั บ้าน อากาศถ่ายเทสะดวก 5.ให้บคุ คลในบา้ นไปรับการตรวจ 6.กินยาใหค้ รบถว้ นตามแพทยส์ ั่ง ข้อวนิ จิ ฉยั ทางการพยาบาล 1.ไม่สามารถทาให้ทางเดนิ หายใจสะอาดโลง่ เน่อื งจากทางเดนิ หายใจมีการอดุ ก้นั จากเสมหะ 2.วิตกกังวลเน่ืองจากถูกแยกออกจากผปู้ ่วยรายอ่นื 3.อ่อนเพลยี เนอ่ื งจากเสียน้าเกลอื แรแ่ ละพลังงานจากการหายใจ 4.อารมณห์ งดุ หงิดง่ายเนื่องจากการเจบ็ ปว่ ยเรื้อรัง 5.เฝา้ ระวัง/ป้องกนั การแพร่กระจายจากเชือ้ โรค
การพยาบาลผปู้ ว่ ยทใ่ี ชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ หลักการทางานของเครอื่ งชว่ ยหายใจ เป็นขบวนการดันอากาศเข้าสู่ปอด โดยอาศัยความดนั บวก มีหลกั กการเดยี วกบั การ เปา่ ปาก หรือเปา่ อากาศเข้าไปในปอดของผู้ปว่ ยเมอ่ื ปอดขยายตวั ไดร้ ะดับหนงึ่ แล้ว จงึ ปลอ่ ยให้อากาศระบายออก วงจรการทางานของเครอ่ื งชว่ ยหายใจ แบง่ เปน็ 4 ระยะ 1.Trigger คอื กลไกกระตุ้นแหลง่ จ่ายก๊าซทาให้เกดิ การหายใจเขา้ ไดจ้ ากความดัน ปริมาตร การไหลและเวลา 2.Limit คือ กลไกที่ดารงไว้ เคร่อื งมกี ารจากัดค่าความดนั ปริมาตร การไหล 3.Cycle คอื กลไกทีเ่ ปลี่ยนจากระยะหายใจเขา้ เป็นหายใจออก อาจจะกาหนดด้วยความดนั หรือปรมิ าตร 4.Baseline คอื กลไกทใี่ ชใ้ นการหยุดจ่ายก๊าซ
ชนดิ การทางานของเครอ่ื งชว่ ยหายใจ จาแนกตามตัวควบคมุ การหายใจเข้า (control variable) แบง่ เป็น 4 ชนดิ 1.เครอื่ งกาหนดอันตราการไหลตามทกี่ าหนด (Flow control variable) 2.เคร่อื งกาหนดปรมิ าตรท่กี าหนด (Volume control variable) 3.เครอื่ งกาหนดความดนั ถงึ จดุ ทก่ี าหนด (Pressure control variable) 4.เครอื่ งกาหนดเวลาในการหายใจเขา้ (Time control variable) ขอ้ บง่ ชใ้ี นการใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ 1.ปัญหาระบบหายใจ เชน่ - ผู้ป่วยท่ีมีภาวะหายใจชา้ (bradypnea) ภาวะหยุดหายใจ (apnea) - โรค asthmaหรอื COPD ที่มอี าการรุนแรง - มภี าวะหัวใจล้มเหลว เกิดภาวะ fail chest (อกรวน) - มีการอุดกัน้ ของทางเดนิ หายใจสว่ นบน จากการบาดเจบ็ /เน้อื งงอก/มะเรง็
2.ปญั หาระบบไหลเวยี น เชน่ - มภี าวะช็อครนุ แรง BP 70/50-80/60 mmHg หรือสัญญาณชีพไม่คงท่ี และต้องใช้ยาช่วยเพม่ิ ความดนั โลหติ - มภี าวะหัวใจหยดุ เต้น cardiac arrest เพราะอาจเกดิ cardiac arrest ซ้า 3.ผ้ปู ว่ ยบาดเจ็บศรี ษะ มเี ลอื ดออกในสมอง มี GCS <= 8 คะแนน 4.ผู้ปว่ ยหลงั ผา่ ตดั ใหญแ่ ละไดร้ บั ยาระงบั ความรสู้ กึ นาน เชน่ ผา่ ตดั ปอด/หวั ใจ/ผา่ ตัดทรวงอกหรือผา่ ตดั ช่องท้อง 5.ผปู้ ว่ ยทม่ี ภี าวะกรดดา่ งของรา่ งกายผดิ ปกติ มีค่า arterial blood gas ผิดปกติ
สว่ นประกอบของเครอ่ื งชว่ ยหายใจ มี4 สว่ น ส่วนที่ 1 เมือ่ เปดิ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ ในสว่ นท่ี 1 เป็นระบบการควบคมุ ของเคร่อื งชว่ ยหายใจ (Ventilation control system) มปี มุ่ ปรบั ตั้งค่า Mode ช่วยหายใจชนิดต่างๆ ให้กดเลือก เชน่ CVM / SIMV / SPONT(spontaneous) สว่ นต่อไปอยทู่ ีแ่ ถบลา่ งของหน้าจอ Ventilator เปน็ ส่วนที่ สามารถกดปมุ่ เพือ่ ตั้งค่า ให้เหมาะสมกับสภาพผูป้ ่วย เริม่ จากทางซา้ ย มี Fio2 ,rate, PEEP, Pressure control และtrigger สว่ นที่ 2 เปน็ ระบบการทางานของผปู้ ่วย (Patient monitor system) อยู่ที่แถบด้านบนของหน้าจอ เปน็ ส่วนท่แี สดงคา่ ต่างๆ สามารถวดั ไดจ้ ากผ้ปู ว่ ย และจากเคร่อื งชว่ ยหายใจ เรม่ิ จากทางซา้ ยประกอบ ด้วยค่า P peak (ค่าความดนั สงู สดุ ) , PEEP , Vte (tidal volum ชว่ งหายใจออก) คา่ VE (minute volume) และrate (อตั ราการหายใจ) สว่ นที่ 3 เป็นระบบสญั ญาณเตือนทั้งการทางานของเคร่ือง (Alarm system) ประกอบด้วย -Alarm system เป็นระบบสัญญาณเตือนทั้งการทางานของเครือ่ งและของผ้ปู ่วยที่ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นขอบเขตท่ีเครื่องต้งั ค่าไว้ เชน่ -high pressure alarm มีเสยี งเตือนเมอ่ื ความดันในทางเดนิ หายใจสงู กว่าคา่ ท่กี าหนดไว้ -low pressure alarm มเี สียงเตอื นเม่ือความดันในทางเดนิ หายใจต่ากว่าค่าทกี่ าหนดไว้ -Tidal volume มีเสยี งเตอื นขึ้นเม่ือปรมิ าตรกา๊ ซทจี่ า่ ยให้ผปู้ ่วยตา่ หรือสงู เกินคา่ ท่กี าหนดไว้ -apnea มีเสยี งเตือนเม่อื ผปู้ ่วยหยดุ หายใจนานเกิน 15-20 วนิ าที -Inoperative alarm มเี สียงเตือนเม่ือเกดิ ความผิดปกตภิ ายในเคร่อื ง เช่น ไฟฟา้ ดับ ความดันกา๊ ซต่า
สว่ นที่ 4 เป็นสว่ นทีใ่ ห้ความชุ่มชืน้ แก่ทางเดนิ หายใจ (Nebulizer or humidifier) ประกอบด้วย Nebulizer or humidifier เปน็ ระบบพน่ ละอองฝอย โดยทาใหน้ า้ ระเหยเปน็ ไอไปกับกา๊ ซ จะต้องเตมิ น้ากลน่ั ในกระบอกใสน่ ้า ตรวจสอบระดับน้าในกระบอกให้อยใู่ นระดับทเี่ หมาะสมและตรวจดขู ้อต่อ water trap และในท่อวงจรชว่ ย หายใจ จะต้องหมน่ั เททงิ้ อุณหภูมิในหม้อทเี่ หมาะสม ประมาณ 37 องศาเซลเซียส คาศพั ทห์ รอื ความหมายของแตล่ ะพารามเิ ตอร์ (parameter) ที่ใชใ้ นการตงั้ คา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ F หรือ rate หมายถึง คา่ อัตราการหายใจ ควรต้งั อัตราการหายใจประมาณ 12-20 ครงั้ / นาที Vt : tidal volume เปน็ คา่ ปริมาตรอากาศที่ไหลเขา้ หรอื ออกจากปอดผปู้ ว่ ยหรอื ค่าปรมิ าตรการหายใจเข้าหรือออกใน 1 ครงั้ ของการหายใจปกติ มหี นว่ ยเป็นมิลลลิ ติ ร Sensitivity หรอื trigger effort เปน็ ค่าความไวของเครอ่ื งท่ตี ั้งไว้ เพื่อให้ผปู้ ว่ ยออกแรงนอ้ ยท่สี ดุ ในการกระตุ้น เครอ่ื งช่วย หายใจ ตัง้ ค่าประมาณ 2 lit/min FiO2 (fraction of inspired oxygen) เป็นค่าเปอร์เซน็ ต์ ออกซิเจนทเี่ ปดิ ให้ผ้ปู ว่ ย ต้งั คา่ ประมาณ 0.4-0.5 หรือ 40-50 %
PEEP (Positive End Expiratory Pressure) เป็นค่าทีท่ าใหค้ วามดนั ในช่วงหายใจออกสุดท้ายมแี รงดนั บวกคา้ ง ไว้ในถุงลมปอดตลอดเวลา ปกติจะต้ัง 3-5 เซนตเิ มตรน้า ถ้าผู้ปว่ ยปอดมพี ยาธสิ ภาพรนุ แรงแพทย์ อาจปรับตั้งค่า PEEP มากกว่า 5 เซนตเิ มตรน้า Peak Inspiratory Flow (PIF) หมายถึง อตั ราการไหลของอากาศเขา้ สปู่ อดของผู้ปว่ ยสงู สดุ ในการหายใจเข้าแตล่ ะ ครงั้ มหี นว่ ยเปน็ ลิตร/ นาที I: E ( inspiration : expiration) อตั ราส่วนระหว่างเวลาทีใ่ ชใ้ นการหายใจเข้าตอ่ เวลาทีใ่ ช้ในการหายใจ ในผูใ้ หญ่ 1:2, 1:3 Minute Volume (MV) หรอื VE เปน็ ปรมิ าตรอากาศทหี่ ายใจเขา้ /ออก ทง้ั หมดใน 1 นาที มีค่าเท่ากับ tidal volume x อัตราการหายใจ
หลักการตง้ั เครอ่ื งชว่ ยหายใจ แบ่งเป็น 2 ชนดิ หลักๆ คอื 1. ชนิดชว่ ยหายใจ (full support mode) 2. ชนิดหย่าเคร่อื งช่วยหายใจ (weaning mode) 1. ชนิดชว่ ยหายใจ (full support mode) แบ่งเปน็ 1.1 continuous Mandatory Ventilation: CMV คอื เคร่อื งชว่ ยหายใจจะควบคมุ การหายใจหรือชว่ ยหายใจเอง ท้ังหมดตามทถ่ี กู กาหนด ใช้สาหรับผ้ปู ว่ ยท่ีมีภาวะวกิ ฤต นยิ มใชบ้ อ่ ย 2 วธิ ี คือ 1) การควบคุมด้วยปริมาตร (Volume Control : V- CMV Mode) 2) การควบคุมดว้ ยความดัน (Pressure Control : P-CMV Mode)
1.2 Assisted /Control ventilation: A/C เป็นวิธีทใี่ หผ้ ูป้ ่วยหายใจกระตุ้นเครือ่ ง (patient trigger) เคร่ืองจงึ จะเริม่ ชว่ ยหายใจ โดยกาหนดเป็นความดัน หรือปรมิ าตรตามทไ่ี ดก้ าหนดไว้ แตอ่ ตั ราการหายใจจะกาหนดโดยผปู้ ่วย 2. ชนิดหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ (weaning mode) ใช้สาหรับผ้ปู ว่ ยทห่ี ายใจเองไดแ้ ลว้ เชน่ ผูป้ ่วยรู้สึกตวั ดี สัญญาณชพี คงท่ี มพี ยาธสิ ภาพของโรคดีข้ึน แบ่งเปน็ 2.1 mode SIMV : synchronized intermittent mandatory ventilation คอื เครื่องชว่ ยหายใจตาม ปรมิ าตร (V-SIMV) หรือความดนั (P-SIMV) ที่ตง้ั คา่ ไว้ และตามเวลาทก่ี าหนด ไมว่ า่ ผ้ปู ่วยหายใจเองหรอื ไม่ 2.2 mode PSV: Pressure support ventilation คือ เครื่องชว่ ยเพิ่มแรงดันบวก เพอื่ ชว่ ยเพม่ิ ปริมาตรอากาศขณะ ผ้ปู ว่ ยหายใจเอง ซึง่ จะช่วยลดการทางานของกล้ามเน้ือหายใจ การตงั้ ค่า (setting) จึงไมก่ าหนด rate (อตั ราการ หายใจ) แตต่ ้องตัง้ FiO2 และ PEEP รว่ มด้วย 2.3 Mode CPAP: Continuous Positive Airway Pressure / Sponstaneous คือ ผปู้ ่วยกาหนดการหายใจ เอง โดยเครือ่ งไมต่ ้งั ค่า(setting) rate (อัตราการหายใจ) และเครอ่ื งช่วยเพ่มิ แรงดันบวกต่อเนอ่ื งตลอดเวลา
การพยาบาลผปู้ ว่ ยขณะคาทอ่ ชว่ ยหายใจและใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ 1. การพยาบาลขณะคาทอ่ ชว่ ยหายใจ - ตรวจวัดสญั ญาณชพี และบนั ทึกทุก 1-2 ชัว่ โมง หรือขึ้นกบั สภาพผ้ปู ่วย - จดั ทา่ นอนศีรษะสงู 45- 60 องศา เพอื่ ให้ปอดขยายตัวดี - ดูขนาดทอ่ ช่วยหายใจเบอรอ์ ะไร และขดี ตาแหน่งความลึกที่เทา่ ไหรแ่ ละลงบนั ทกึ ทกุ วัน - ฟังเสยี งปอด (Breath sound) ประเมนิ ลกั ษณะการหายใจ และดูว่ามภี าวะขาดออกซิเจนหรอื ไม่ - ตรวจสอบความดนั ในกะเปาะ (balloon) ของทอ่ ช่วยหายใจ หรือวัด cuff pressure ทุกเวร หรอื 8 ชม. ค่าปกติ 25-30 cm H20 หรอื 20-25 mmHg เพือ่ ปอ้ งกันการบวมตีบแคบของกลอ่ งเสียง(laryngeal edema)
2. การพยาบาลขณะใชเ้ ครอื่ งชว่ ยหายใจ - ดูแลสายทอ่ วงจรเคร่อื งชว่ ยหายใจไม่หกั พบั หรอื หลดุ และหมัน่ เตมิ น้าในหมอ้ น้าเครือ่ งชว่ ยหายใจใหม้ คี วามชนื้ เสมอ - ดแู ลใหอ้ าหารทางสายยาง (Nasogastric tube) อย่างเพยี งพอ - ติดตามค่า อัลบมู นิ ค่าปกติ 3.5-5 gm/dL. - ดูแลใหผ้ ปู้ ว่ ยไดร้ บั สารนา้ และอิเลคโตรไลต์ทางหลอดเลอื ดดา - ตดิ ตาม urine out put คา่ ปกติ 0.5-1 cc./kg/hr. และบันทกึ Intake/output - ติดตามผล aterial blood gas ในหลอดเลือดแดง
ภาวะแทรกซอ้ นจากการคาท่อชว่ ยหายใจและใชเ้ ครื่องชว่ ยหายใจ ระบบหวั ใจและการไหลเวยี นเลอื ด ➔ อาจทาให้ความดันเลือดต่า ระบบหายใจ ➔อาจเกิดการบาดเจ็บกลอ่ งเสยี ง หลอดลมบวม(laryngeal edema) ภาวะถุงลมปอดแตก (pulmonary barotrauma) จากการตัง้ tidal volume มากเกนิ ไป ภาวะปอดแฟบ (atelectasis) ภาวะพิษจาก ออกซเิ จน ภาวะเลือดไมส่ มดุลของกรด (respiratory acidosis) หรอื ด่าง (respiratory alkalosis) ภาวะปอด อกั เสบจากการใช้เครอ่ื งช่วยหายใจ (ventilator associated pneumonia : VAP) ระบบทางเดนิ อาหาร ➔ อาจมีแผล หรอื เลอื ดออกในทางเดินอาหารจากภาวะเครียดหรือขาดออกซิเจน ระบบประสาท ➔ อาจทาให้ผู้ปว่ ยมคี วามดันในกะโหลกศรี ษะสูง (increase intracranial pressure) จึงควรจดั ท่า ศรี ษะสงู 30-45 องศา ระวงั ไมใ่ หค้ อพับ และป้องกนั การไอและตา้ นเคร่ือง ปัญหาดา้ นจติ ใจ ➔ ผปู้ ่วยอาจมคี วามเครยี ด กลัว วิตกกังวล คับข้องใจทตี่ ้องพ่ึงพาผอู้ น่ื ถูกจากดั การเคลอ่ื นไหว อาจ มีอาการ ICU syndrome (ซมึ สบั สน กระสบั กระส่าย) พยาบาลจงึ ควรทักทาย บอกวนั เวลา ให้ผูป้ ่วยรับรู้ทกุ วัน ดแู ล ชว่ ยเหลือกจิ วัตรตา่ งๆ และให้กาลงั ใจ
การพยาบาลทม่ี ีภาวะวกิ ฤตทางเดนิ หายใจสว่ นบน สาเหตขุ องทางเดนิ หายใจสว่ นบนอดุ กนั้ 1. บาดเจบ็ จากสาเหตุตา่ งๆ เชน่ - ถกู ยงิ ถกู ทารา้ ยร่างกาย (ถูกตี ถูกชกต่อย ถกู ชา้ งเหยยี บ) - ได้รบั อบุ ัตเิ หตรุ ถมอเตอรไ์ ซด์ รถยนต์ - ไฟไหม้ (thermal burn) / กลืนหรอื สาลกั น้ากรดหรอื สารเคมี (chemical burn) 2. มีการอกั เสบตดิ เช้อื บริเวณทางเดินหายใจสว่ นบน เช่น กล่องเสยี งอักเสบ อวยั วะในช่องปากอกั เสบ (Ludwig Angina) 3. มีก้อนเนือ้ งอก มะเรง็ เชน่ มะเร็งท่ีคอหอย มะเรง็ กล่องเสยี ง 4. สาลกั ส่ิงแปลกปลอม เช่น เศษอาหาร ฟันปลอม เมลด็ ผลไม้ เหรียญ
อาการ และอาการแสดงของภาวะทางเดนิ หายใจสว่ นบนอดุ กนั้ 1. หายใจมีเสียงดงั (noisy breathing: inspiratory Stridor) 2. ฟังดว้ ยหฟู งั มีเสียงลมหายใจเบา (decrease breath sound) 3. เสยี งเปลย่ี น (voice change) 4. หายใจลาบาก (dyspnea) 5. กลนื ลาบาก (dysphagia) 6. นอนราบไมไ่ ด้ (nocturnal) 7. รมิ ฝีปากเขยี วคลา้ (hypoxia) ออกซิเจนตา่ (oxygen saturation< 90% การสาลกั สงิ่ แปลกปลอมและมีการอดุ กนั้ ทางเดนิ หายใจสว่ นบน (upper airway obstruction) แบง่ เปน็ 2 แบบ 1. การอุดกัน้ แบบไม่สมบูรณ์ (incomplete obstruction) 2. การอดุ ก้ันแบบสมบรู ณ์ (complete obstruction ผปู้ ่วยทมี่ กี ารอดุ กนั้ สมบรู ณ์ (complete obstruction) อาการและอาการแสดง เอามอื กุมคอ ไม่พูด ไม่ไอ ได้ยินเสยี งลมหายใจเขา้ เพียงเลก็ นอ้ ย หรอื ไมไ่ ดย้ ินเสียงลมหายใจรมิ ฝีปาก เขยี ว หน้าเขียว และอาจล้มลง
1.การรดั กระตกุ หนา้ ทอ้ ง (abdominal thrust) ถา้ ผ้ปู ว่ ยทาาเองได้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยยืนและเอามือกาเข้าหากันและกดทอ้ งตวั เอง กระแทกขนึ้ ด้านบนแนว ก่งึ กลางลิ้นป่ี หรอื กม้ ตัวเอาหน้าทอ้ งพาดกบั พนักเก้าอ้ีและดันท้องตวั เองเขา้ หาพนกั เก้าอี้ กรณี ผปู้ ่วยมีผูช้ ว่ ยเหลอื มีขนั้ ตอนการทา abdominal thrust มขี ั้นตอน ดงั นี้ -ผู้ชว่ ยเหลอื ยนื ด้านหลงั ผู้ปว่ ย ใหผ้ ู้ป่วยยนื กางขาเลก็ น้อย ผชู้ ว่ ยเหลอื เอาแขนท้ัง 2 ขา้ งโอบ บริเวณท้องผู้ปว่ ย และกามือทั้ง 2 ขา้ ง โดยใหห้ ัวแม่มืออยใู่ นแนวกึ่งกลางลนิ้ ปีข่ องผ้ปู ่วย -ผ้ชู ่วยเหลือใชม้ อื อกี ข้างกระตุกมอื ท่กี าเข้าดา้ นในหน้าทอ้ งและเฉียงขึ้น ทาประมาณ 5 ครั้ง ติดกนั / 1 รอบ จนกระทง่ั ส่ิง แปลกปลอมหลุดออกมา ถ้าไมห่ ลุดและผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยดุ เตน้ ต้องรีบกดนวดหัวใจ (Cardiopulmonary resuscitation: CPR)
2.การรดั กระตกุ หนา้ อก (Chest thrust ) ทาโดยยืนเอาแขนโอบด้านหลงั ผุ้ป่วย และกามอื ทัง้ 2 ข้างเขา้ ดว้ ยกนั และกด กระแทกหน้าอกบรเิ วณล้ินป่เี หมือนการกดนวดหน้าอก (chest compression) ในการ CPR 3.การตบกง่ึ กลางหลงั ระหวา่ งสะบกั ทง้ั 2 ขา้ ง (Back Blow) โดยผูช้ ว่ ยเหลอื ยนื ด้านขา้ งลาตวั ผปู้ ่วยคอ่ นไปทางหลงั และ ใหผ้ ปู้ ่วยยืนกม้ โนม้ ตวั ไปดา้ นหน้า ผู้ชว่ ยเหลอื ใชม้ อื ทไี่ มถ่ นัดวางท่ีหนา้ อก ผู้ป่วย และใชส้ น้ มือท่ถี นดั ตบกลางหลงั ระหวา่ ง สะบักทั้ง 2 ข้าง 5 ครัง้
การเปดิ ทางเดนิ หายใจใหโ้ ลง่ โดยใชอ้ ปุ กรณ์ oropharyngeal airway การเลอื กขนาด Oropharyngeal airway โดยการวัดที่บรเิ วณมมุ ปากถงึ ติ่งหขู องผู้ปว่ ย การใส่ Oropharyngeal airway
การชว่ ยหายใจทางหนา้ กาก (mask ventilation) ขั้นตอนการชว่ ยหายใจทางหนา้ กาก 1. จดั ทา่ ผปู้ ว่ ยโดยวางใบหน้าผปู้ ่วยแนวตรง 2. จัดทางเดินหายใจใหโ้ ล่ง 3.มือทีไ่ มถ่ นดั C and E technique โดยเอาน้ิวกลาง นาง ก้อย จับที่ขากรรไกร นิว้ ช้ีกบั นิว้ หัวแมม่ ือวางบนหนา้ กาก และ ครอบหน้ากากให้แน่น ไมใ่ หม้ ลี มร่ัวและใช้มือขวาหรอื มือที่ถนดั บีบ ambu bag ช่วยหายใจ ประมาณ 16-24 ครง้ั /นาที 4. ตรวจดูหนา้ อกวา่ มกี ารขยาย และขยบั ขนึ้ ลง แสดงว่ามลี มเข้าทรวงอก 5. ดสู ผี ิว ปลายมือปลายเทา้ วดั check vital signs และ ค่า O2 saturation 6. หลงั บีบ ambu bag ช่วยหายใจ ถ้าผู้ปว่ ยท้องโป่งมากแสดงว่าบีบลมเขา้ ทอ้ ง ให้ใสส่ าย suction ทางปากลงไปใน กระเพาะอาหารและดดู ลมออก
การชว่ ยหายใจโดยการใส่ Laryngeal mask airway (LMA) กรณีผู้ป่วยมปี ญั หาร่างกายขาดออกซิเจน หรอื ไม่ร้สู กึ ตัว และหยุดหายใจและไม่มแี พทยใ์ สท่ ่อชว่ ยหายใจ หรือกรณใี สท่ ่อช่วย หายใจยาก หรอื ใส่ทอ่ ช่วยหายใจไม่ได้ ขนั้ ตอนการใส่ Laryngeal airway mask (LMA) 1. ชว่ ยหายใจทางทาง mask เพอ่ื ให้ออกซเิ จนสารอง ผูป้ ่วยก่อนใส่ LMA 2. ใชม้ ือขวาจบั LMA เหมือนจบั ปากกา และเอาด้านหลงั ของหน้ากากใสป่ ากผุ้ป่วยใหช้ นกับเพดาน (againt hard palate) 3. เมือ่ ใสเ่ สร็จแลว้ ใช้ syringe 10 ml. ใส่ลมเขา้ กระเปาะ (blow balloon) การชว่ ยเหลือผู้ป่วยที่มปี ัญหาภาวะวกิ ฤตทางเดินหายใจสว่ นบนโดยการใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ ขอ้ บง่ ชี้ ➔ ผปู้ ่วยทมี่ ที างเดินหายใจส่วนบนอดุ ก้ัน และหายใจเหนอ่ื ย หายใจลาบาก /ร่างกายขาดออกซเิ จน / หยดุ หายใจ สาเหตุ ➔ บาดเจ็บบริเวณใบหน้า คอ อวัยวะทางเดนิ หายใจอักเสบ หอบหดื รุนแรง ได้ยาขยายหลอดลมแลว้ อาการไม่ ดขี ้ีน และรา่ งกายขาดออกซเิ จน
การชว่ ยแพทยใ์ สท่ อ่ ชว่ ยหายใจ (endotracheal tube: E.T tube) ข้ันตอนปฏบิ ตั ิ 1.แจ้งใหผ้ ปู้ ่วยทราบ 2.เตรียมอุปกรณ์ให้พรอ้ ม เลอื ก E.T ทีเ่ หมาะสมกบั ผปู้ ่วยผู้ใหญ่ NO 7,7.5,8 และใช้ syringe 10 cc. ใสล่ มเขา้ กระเปาะบอลลูนเพ่ือ ทดสอบว่าไมร่ ว่ั และดดู ลมออก (test blow cuff) และหลอ่ ลนื่ stylet และทอ่ ชว่ ยหายใจ แลว้ ใส่ stylet เข้าไปใน ET.โดยดงึ stylet ถูข้นึ ลง 2-3 คร้ัง และดัดทอ่ ช่วยหายใจ เปน็ รปู ตวั J ส่วนปลายไมโ่ ผลพ่ น้ ปลาย E.T 3.ช่วยหายใจ (Positive pressure) ด้วย mask ventilation เพอ่ื ให้ผู้ป่วยได้รบั ออกซิเจนเพียงพอ จน O2 sat> 95% 4. Suction clear airway 5. แพทย์เปดิ ปาก ใส่laryngoscope พยาบาล ส่ง E.T ให้แพทย์ในมือด้านขวา และเมื่อแพทย์ ใส่ E.T เขา้ trachea แพทยจ์ ะบอก ให้ดึง stylet ออก 6.ใช้ syringe ขนาด 10 cc. ใส่ลมเขา้ กระเปาะท่อ E.T ประมาณ 5-6 ml. และใชน้ ิ้วมือคลาดบู รเิ วณ cricoid ถาลมรว่ั ใหใ้ สล่ มเพมิ่ ที่ กระเปาะครง้ั ละ 1 ml. จนไมม่ ลี มรั่วที่คอ 7.เอาสายออกซิเจน ต่อเขา้ กบั ambu bag บีบปอดช่วยหายใจ ดกู ารขยายตัวของหนา้ อก ให้ 2 ข้างเท่ากนั และฟังเสยี งปอดใหเ้ ท่ากัน ทัง้ 2 ข้าง 8.ดตู าแหน่งทอ่ ชว่ ยหายใจมปากลึกกซ.ม และติดพลาสเตอรท์ ่ีทอ่ E.T ถ้าผปู้ ว่ ยด้ินให้ใส่ oropharyngeal airway เพ่ือป้องกนั การกดั ท่อชว่ ยหายใจ
การพยาบาลผปู้ ว่ ยทห่ี ยา่ เคร่อื งชว่ ยหายใจ (Weaning) การหยา่ เครอื่ งช่วยหายใจ หมายถึง กระบวนการลดและเลิกใช้เครือ่ งชว่ ยหายใจหรอื ให้ผ้ปู ว่ ยหายใจเอง ทางT-piece หรือ หายใจเองโดยไมพ่ งึ่ พาเครื่องช่วยหายใจ หลักการหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ เม่อื ผูป้ ่วยมพี ยาธิสภาพดขี ้ึน แพทย์จะประเมนิ อาการแลว้ พิจารณาให้หย่าเคร่อื งชว่ ยหายใจ ซ่ึงมีเกณฑ์ทีจ่ ะหยา่ เครือ่ งช่วยหายใจหลกั ๆ ดงั นี้ 1.พยาธิสภาพของโรคหมดไปหรือดขี ้ึน 2.กาลังของปอดเพยี งพอ เชน่ คา่ Tidal volume > 5 ml./kg ค่า RSBI < 105 breath/min/lit 3.ผู้ปว่ ยมภี าวะหายใจได้เองอยา่ งปลอดภัย และไม่มีการทางานของระบบอื่นๆ ล้มเหลว
วธิ กี ารหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ แบง่ เปน็ 3 วิธี วิธที ี่1และวิธีที่ 2 เปน็ การหยา่ เครอ่ื งช่วยหายใจขณะยงั ใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ วิธีท่ี 3 เป็นการหยา่ เคร่อื งช่วย หายใจด้วยอุปกรณ์ oxygen T-piece วธิ ที ่ี 1 การใช้ pressure support ventilation (PSV) นิยมใชร้ ว่ มกับ CPAP (PSV+CPAP) เรียกวา่ Mode pressure support /CPAP/Spontaneous ซ่งึ เป็น mode wean ทผ่ี ู้ป่วยหายใจไดเ้ อง หลกั ของ PSV คือเคร่ืองช่วยหายใจจะชว่ ยใหม้ ีแรงดันบวกเทา่ ทก่ี าหนดตลอดชว่ งเวลาหายใจเข้า การต้งั ค่าแรงดันบวก (pressure support) อาจจะเร่ิมจาก 14-16 ซม.น้า แลว้ คอ่ ยๆ ปรบั ลด ถา้ ใช้ 6-8 ซม.นา้ แสดงว่าผ้ปู ว่ ยหายใจได้ดี สามารถหยา่ เครอ่ื งช่วยหายใจได้ วิธที ่ี 2 การใช้ Synchronize Intermittent Mandatory Ventilation (SIMV) นยิ มใช้ร่วมกบั pressure support (SIMV+PSV) หลักการ คอื ผู้ปว่ ยหายใจเองบางส่วน โดยทางานประกันกันกับการชว่ ยหายใจของเครอื่ งชว่ ยหายใจ ซ่งึ จะชว่ ยหายใจ เท่ากับอตั ราเครอ่ื งที่กาหนดไว้
วธิ ีที่ 3 โดยใช้ O2 T-piece O2 T-piece แบ่งเปน็ 2 ชนิด ชนิดท่ี 1 ทดลองให้ผู้ป่วยหายใจเอง ทาง T-piece หรือ (Spontaneous Breathing Trial : SBT) ถ้าหายใจเองได้ นานมากกว่า 30 นาที จะมีโอกาสถอดทอ่ หายใจออกได้ ถา้ หายใจเหน่อื ยใหห้ าสาเหตุ ชนิดท่ี 2 ใหผ้ ู้ปว่ ยฝกึ หายใจเอง ทาง T-piece( traditional T-piece weaning) หลักการคอื ใหผ้ ปู้ ว่ ยหายใจเอง เท่าทที่ าได้ แต่ไม่ควรเหนือ่ ย สลบั กบั การพักโดยใช้เครื่องช่วยหายใจ เช่น ให้ผู้ปว่ ยหายใจเอง 5-30 นาที สลับกับให้ เครือ่ งช่วยหายใจ 1 ชม. (full support) ถา้ หายใจได้ไม่เหนอื่ ยนานกว่า 30- 120 นาที แสดงวา่ สามารถหยุดใช้ เครื่องช่วยหายใจได้
การพยาบาลผปู้ ว่ ยทห่ี ยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ แบง่ เปน็ 4 ระยะ คือ - ระยะก่อนหยา่ เครอื่ งช่วยหายใจ - ระยะหย่าเครอื่ งช่วยหายใจ - ระยะก่อนถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ - ระยะถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ และหลังถอดท่อช่วยหายใจ การพยาบาลระยะกอ่ นหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ 1.ประเมินสภาพท่วั ไป 2.สญั ญาณชีพคงที่ - อัตราการเต้นของหัวใจ 50-120 ครง้ั /นาที หัวใจเตน้ ไมผ่ ดิ จังหวะ - ความดันโลหิต Systolic 90-120 diastolic 60-90 mmHg และไมใ่ ชย้ ากระตุ้นความดันโลหติ
3.PEEP ไม่เกนิ 5-8 cmH2O, Fio2 >= 4050% O2 Sat >= 90% 4.ผูป้ ว่ ยหายใจได้เอง (Spontaneous tidal volume > 5cc./kg.) Minute volume > 5-6 lit/min 5.ค่า RSBI < 105 breaths/min/L (Rapid shallow breathing index) คือความสามารถในการหายใจเองของ ผูป้ ว่ ย คานวณไดจ้ าก อัตราการหายใจ หนว่ ยครงั้ /นาที หารด้วย spontaneous tidal volume หนว่ ยเป็นลิตร (RR/TV) 6. คา่ อิเลคโตรไลท์ Potassium > 3 mmol/L 7. ผู้ปว่ ยมี metabolic status ปกติ PaO2 > 60 mmHg O2 saturation > 90% ในขณะทตี่ ั้งค่า FiO2 ≤ 0.4 (40%) PH 7.35- 7.45, PaCO2 ปกติ 8.albumin > 2.5 gm/dL 9.ไม่มภี าวะซดี Hematocrit > 30% 10.ไม่ใช้ยานอนหลับ (sedative) หรอื ยาคลายกล้ามเนือ้ (muscle relaxant) 11. ประเมนิ cuff leak test ผา่ นหรือมีเสียงลมรัว่ ทีค่ อ (cuff leak test positive) แสดงวา่ กล่องเสียง (larynx) ไม่บวม
การพยาบาลระยะหยา่ เครอ่ื งชว่ ยหายใจ (wean) 1.พูดคุยให้กาลังใจ ใหค้ วามม่ันใจ 2. จดั ทา่ นอนศีรษะสงู 30- 60 องศา 3. ดูดเสมหะใหท้ างเดนิ หายใจโล่ง หรอื อาจพน่ ยาขยายหลอดลม ตามแผนการรักษา 4. สงั เกตอาการเหงื่อแตก ซึม กระสับกระส่าย 5. วดั สัญญาณชพี ทุก 15 นาที – 1 ช.ม monitor หรือวดั ความดนั โลหิต อย่ใู นช่วง 90/60 - 180/110 mmHg HR 50-120 ครง้ั /นาทไี มม่ ีภาวะหวั ใจเต้นผิดจังหวะ (no arrhythmia) RR < 35 ครง้ั /นาที หายใจไม่เหน่ือย O2 sat (SPO2) ≥ 90%
ระยะกอ่ นถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ ผู้ป่วยท่ี wean สาเรจ็ หายใจเองได้โดยไม่ใช้เคร่อื งช่วยหายใจ 30-120 นาที ขัน้ ตอนต่อไปจะถอดทอ่ ชว่ ยหายใจให้ ผปู้ ่วย มกี ารประเมินและเตรยี มอปุ กรณก์ อ่ นถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ ได้แก่ 1.ประเมินวา่ ผูป้ ่วยความรสู้ ึกตวั ดี มีreflex การกลนื การไอ 2.ประเมนิ ปริมาณเสมหะผู้ปว่ ย เสมหะไม่เหียวข้น 3.วัด cuff leak test มีเสยี งลมรว่ั (cuff leak test positive) 4. ใหผ้ ูป้ ่วยงดน้าและอาหาร 4 ชม. เพื่อป้องกันการสาลกั เข้าหลอดลมและปอด ถ้าตอ้ งใส่ท่อช่วยหายใจใหม่
ระยะถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ และหลงั ถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ มีแนวปฏิบัติ ดังนี้ 1.บอกให้ผู้ป่วยทราบ 2.Suction clear airway และบบี ambu bag with oxygen 100%อยา่ งนอ้ ย 3-5 ครงั้ แลว้ บอกใหผ้ ูป้ ่วยสดู หายใจเข้าลกึ พร้อมบบี ambu bag คา้ งไว้และใช้ syringe 10 CC. ดูดลมในกระเปาะท่อชว่ ยหายใจออกจนหมด แล้ว จงึ ถอดท่อชว่ ยหายใจออก 3.หลังถอดท่อช่วยหายใจ ให้ออกซเิ จน mask with bag / mask with nebulizer และบอกใหผ้ ้ปู ่วยหายใจเขา้ ลกึ ๆ 4.จัดท่านอนศีรษะสูง 45-60 องศา 5. check Vital signs , O2saturation สังเกตลกั ษณะการหายใจ และบันทกึ ทกุ 15- 30 นาที ในชว่ งแรก ถา้ ยหายใจเหนื่อย มเี สียงหายใจดงั (stridor) ตอ้ งรายงานแพทย์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121