ร่างกายและวัสดตุ ่างๆ โดยฟอกให้ทั่ว นาน 0.5-1 นาที ล้างด้วยน้�ำ จะท�ำให้ สะอาดและปราศจากเชอื้ โควิด-19 ได้ การใชน้ �ำ้ อนุ่ ท�ำให้มี ฟองมากขึ้น ประสทิ ธิภาพดีขึ้น สบฆู่ า่ เชอ้ื (Antibacterial soap) มสี ารทมี่ ฤี ทธติ์ อ่ แบคทเี รยี เปน็ สว่ นประกอบ ไมม่ ปี ระโยชนเ์ พม่ิ ขน้ึ จากสบธู่ รรมดาทว่ั ไป ในการ ลดการเจ็บปว่ ยจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และ ในการก�ำจดั ไวรสั 2. แอลกอฮอล์ เอทานอล 70% (60%-90%) เปน็ แอลกอฮอลท์ ี่ก�ำจดั ไวรัส โคโรนาได้ดีที่สุด เป็นแอลกอฮอล์ล้างแผลที่มักจะมีอยู่ประจ�ำบ้าน ทาหรือฉีดละอองบนผิววัสดุ ท้ิงไว้นาน 30 วินาที จนแอลกอฮอล์ ระเหยแหง้ ไมต่ อ้ งเชด็ ซำ�้ ใชก้ บั พนื้ ทแี่ คบๆ เพราะแอลกอฮอลร์ ะเหย และติดไฟได้ หากใช้กบั พ้ืนทก่ี ว้างจะเป็นอนั ตราย ผลติ ภณั ฑท์ ่ี ใชใ้ นการก�ำจดั เชอ้ื โรคทม่ี อื ไดแ้ ก่ เจล โฟม สเปรย์ 3. ไอโอดีน และ ไอโอโดฟอร์ โพวิโดนไอโอดนี (povidone iodine, BetadineR) เปน็ สาร เคมกี �ำจดั เชอ้ื โรคบนผวิ หนงั (Antiseptic) ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพตอ่ จลุ ชพี กวา้ งขวางทสี่ ดุ ก�ำจดั เชอื้ ไดเ้ รว็ และอยนู่ าน ไดผ้ ลตอ่ แบคทเี รยี รวม ท้ังสปอร์ เช้ือรา โปรโตซัว และไวรัส หลายชนดิ เชน่ ไวรัสไข้หวัด ใหญ่ H1N1 และ ไวรัสโคโรนา ใช้เป็นยาทาแผล และใช้เป็น Antiseptic ในหอ้ งผา่ ตดั ใชท้ าเยื่อบไุ ด้ มีสตี ิดคา้ งพนื้ ผวิ 101
4. คลอรีน และ ไฮโปคลอไรท์ นำ�้ ยาฟอกผ้าขาว หรือ บลชี (Bleach) สารออกฤทธิ์ในน้�ำยาฟอกผ้าขาว (บลีช) คือ โซเดียมไฮโป คลอไรท์ ซ่ึงมปี ระสทิ ธภิ าพสงู ในการก�ำจดั แบคทเี รีย และไวรัส ชือ่ ทางการคา้ ทม่ี ใี นประเทศไทย เชน่ ไฮเตอร์ (Haiter®) และคลอรอ็ กซ์ (Clorox®) มโี ซเดยี มไฮโปคลอไรท์ ในรปู ของสารก�ำจดั เชอื้ คอื คลอรนี อยู่ 6% ตอ้ งเจอื จางใหไ้ ดค้ วามเขม้ ขน้ ทเี่ หมาะสมกบั การใช้ เชน่ ใช้ 1 สว่ น ผสมกับน�้ำ 9 สว่ น จะได้ความเขม้ ขน้ ประมาณ 0.6% ต้อง ให้น�้ำยาสัมผัสผิวที่จะก�ำจัดเช้ือโรคนาน 1-5-10 นาที ขึ้นกับชนิด ของเชื้อโรค แล้วล้างด้วยน�้ำหรือเช็ดออกจากผิวโลหะด้วยผ้าเปียก เพราะถ้าท้ิงไว้ จะกดั กร่อนโลหะ ขอ้ ควรปฏิบัติ ในการใชโ้ ซเดียมไฮโปคลอไรท์ • มีการระบายอากาศทีด่ ีในบริเวณปฏบิ ตั ิการ • ใสถ่ งุ มอื ชนดิ หนา อยา่ ใหผ้ วิ หนงั สมั ผสั สารเคมี ใสแ่ วน่ ตา ปอ้ งกนั ตา • อย่าผสมบลชี กับแอมโมเนีย หรือสารเคมอี ่ืนใด เพราะจะ เกิดอนั ตรายได้ • หลงั จากผสมให้เจือจางแลว้ ต้องใชภ้ ายใน 24 ช่ัวโมง 5.ไฮโดรเจนเพอรอ์ อกไซด์ (Hydrogen peroxide, H2O2) นำ�้ ยาไฮโดรเจนเพอรอ์ อกไซด์ 0.5% (โดยผสม 3% H2O2 1 สว่ น ตอ่ นำ้� 5 สว่ น) สามารถก�ำจดั ไรโนไวรสั ซงึ่ ก�ำจดั ยากกวา่ ไวรสั 102
โคโรนา ใน 6-8 นาที ฉะนน้ั ควรก�ำจัดไวรสั โควิด-19 ได้ดี ประสิทธภิ าพของสารเคมกี �ำจัดเชอ้ื โรค ขึ้นกบั ปัจจัยต่างๆ ดงั น้ี 1. ปรมิ าณของสิ่งสกปรกที่เปอ้ื นอยู่ในที่นั้น (Organic load) 2. ปริมาณของเช้ือโรค (Microbial load) 3. ชนิดของเชอ้ื โรคที่จะก�ำจดั 4. ลกั ษณะของพน้ื ผวิ ทจ่ี ะก�ำจัดเช้อื โรค เชน่ พ้นื แข็งหรอื นุม่ 5. ความเขม้ ขน้ ของนำ�้ ยาเคมี ความเปน็ กรดดา่ ง (pH) อณุ หภมู ิ และ ความชน้ื ระยะเวลาสัมผัส (Contact time) ฉะนั้น ต้องท�ำความสะอาดก่อนใช้น้�ำยาเคมีก�ำจัดเช้ือโรค เลอื กเวลาทเี่ หมาะ เชน่ ไมร่ อ้ นจดั แดดไมส่ อ่ ง ทง้ิ ใหน้ ำ้� ยาสมั ผสั นาน พอก่อนเช็ดออก การใชน้ ้�ำยาเคมใี หเ้ หมาะสมกับวสั ดุ 1. พนื้ ผวิ แข็ง เชน่ โตะ๊ เก้าอ้ี ตู้ เตยี ง ของใช้ ห้องน้ำ� และ ห้องตา่ งๆ • ใช้น้�ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.1% หรือ 1,000 ppm (ผสม 5%-6% โซเดยี มไฮโปคลอไรท์ 1 สว่ น ตอ่ นำ้� 49 สว่ น) เชด็ ให้ ทว่ั ท้งิ ไว้ 1 นาที จากนนั้ ให้เชด็ ออกดว้ ยน้ำ� สะอาดอกี คร้ัง • พื้นที่ผิวทม่ี ีเสมหะ น้ำ� มกู น้�ำลาย ใชโ้ ซเดยี มไฮโปคลอไรท์ 103
0.5% หรอื 5,000 ppm (ผสม 5%-6% โซเดยี มไฮโปคลอไรท์ 1 สว่ น กับน้�ำ 9 ส่วน) • ใช้ 70% แอลกอฮอล์กบั พน้ื ท่แี คบๆ เท่าน้ัน เพราะระเหย ติดไฟได้ 2. พื้นผวิ ที่เป็นโลหะ โทรศัพท์มอื ถือ แทบ็ เลต ใชแ้ อลกอฮอลค์ วามเขม้ ขน้ 70%-90% เชด็ ทง้ิ ไวน้ าน 1 นาที หรอื ทงิ้ ไวใ้ หแ้ หง้ หา้ มใชน้ ำ�้ ยาฟอกผา้ ขาว เพราะจะกดั กรอ่ นโลหะได้ ส�ำหรบั เครอื่ งอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ โทรศพั ทม์ อื ถอื และ แทบ็ เลต ควรศกึ ษา คมู่ ือจากผู้ผลติ ด้วย 3. ผา้ ตา่ งๆ เชน่ เสื้อผา้ ผ้าขนหนู ผ้าปเู ตยี ง ซกั ดว้ ยนำ�้ และผงซกั ฟอกตามปรกติ อาจจะใชน้ ำ้� รอ้ น 60oซ - 90oซ สรุป 1. ไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2) เปน็ Enveloped virus ซงึ่ เมอ่ื อยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มนอกรา่ งกาย ถูกท�ำลายได้ง่าย ด้วยสบู่ธรรมดาหรือผงซักฟอก แอลกอฮอล์ คลอรีน (ไฮโปคลอไรท์) และ แสงแดด ความรอ้ น • สบูธ่ รรมดา และผงซักฟอก ไดผ้ ลดมี าก • แสงแดด ร้อน >56oซ นาน >20 นาที หรอื ความร้อน 65oซ นาน 5 นาที 104
• สารเคมีทก่ี �ำจดั ไวรสั โคโรนาไดด้ ี ได้แก่ 70% เอทานอล, 0.5% ไฮโดรเจนเพอรอ์ อกไซด์ และ 0.1% โซเดยี มไฮโปคลอไรท์ • Benzalkonium chloride, Chloroxylenol, Chlorhex- idine ไม่ได้ผล หรือไดผ้ ลไม่ดนี กั ตอ่ ไวรสั 2. การใช้สารเคมีก�ำจดั เช้ือโรค • ต้องใหบ้ ริเวณน้ันสะอาดกอ่ นใชน้ ำ�้ ยาเคมเี สมอ • นำ้� ยาเคมใี ชท้ �ำความสะอาดไม่ได้ เชน่ ใชแ้ อลกอฮอล์ลา้ ง มือไมไ่ ด้ แตใ่ ช้กำ� จัดเชอื้ โรคเมอ่ื มอื ไม่สกปรก • ค�ำนงึ ถงึ ชนดิ ของเชอ้ื โรคทจี่ ะก�ำจดั และพนื้ ผวิ ทจ่ี ะใช้ แลว้ เลือกใชส้ ารเคมใี ห้ถูกชนดิ และความเขม้ ข้น ใหส้ มั ผัสทั่วถงึ ใหเ้ วลา สัมผัสนานพอ • ค�ำนึงถึงอันตรายของสารเคมีที่จะใช้ และป้องกันอย่าง เหมาะสม 3. สงิ่ ทไี่ มค่ วรท�ำ • การฉีดพน่ สารเคมีให้สัมผัสทง้ั รา่ งกาย • การพ่นสารเคมใี นพน้ื ทีก่ วา้ ง โดยเฉพาะอย่างย่งิ เม่ือไม่ได้ ท�ำความสะอาด และไมไ่ ดป้ อ้ งกนั อนั ตรายให้ คน สตั ว์ และสงิ่ แวดลอ้ ม 105
บทท่ี 9 แอลกอฮอล์ และ ไฮโปคลอไรท์ แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เป็นสารก�ำจัดเชื้อโรคท่ีใช้กันมากในขณะท่ีมี โควิด-19 ระบาดจนเกดิ ความขาดแคลนในบางชว่ ง มีผลิตภณั ฑ์ที่ ไม่ไดค้ ุณภาพ และมกี ารใช้โดยขาดความเข้าใจทีถ่ กู ตอ้ ง แอลกอฮอลม์ หี ลายชนดิ หลายรปู แบบ ซงึ่ มที ใ่ี ชแ้ ละขอ้ หา้ ม ใชแ้ ตกต่างกนั ท้ังแอลกอฮอลท์ เ่ี ป็นเครื่องดมื่ มนึ เมา และเชอ้ื เพลงิ อีกทั้งยังมคี วามเข้มข้นตา่ งกัน ควรท�ำความเข้าใจให้ดี แอลกอฮอลท์ ใ่ี ชก้ นั สว่ นมากมคี ารบ์ อนอะตอมไมม่ ากนกั เชน่ เอทานอล และ เมทานอล เป็นของเหลวใสท่ีระเหยง่าย ส่วน แอลกอฮอล์ท่มี คี ารบ์ อนอะตอมมาก จะเป็นของเหลวหนืด • เอทานอล (Ethanol) หรอื เอทลิ แอลกอฮอล์ (Ethyl alcohol) • ไอโซโพรพานอล (Isopropanol) หรอื ไอโซโพรพลิ แอลกอฮอล์ (Isopropyl alcohol) • เอ็น-โพรพานอล (n-Propanol) หรอื เอน็ -โพรพลิ แอลกอฮอล์ (n-Propyl alcohol) • เมทานอล (Methanol) หรอื เมทลิ แอลกอฮอล์ (Methyl alcohol) 107
ประโยชน์ของแอลกอฮอล์ 1. อาหารและเคร่ืองด่ืม • การเปน็ เครอ่ื งด่ืมและกินได:้ เอทานอลบรสิ ทุ ธิ์ เทา่ นนั้ 2. การแพทย์ เภสัชกรรม และสาธารณสุข • การก�ำจดั จลุ ชีพ: เอทานอล และ ไอโซโพรพานอล ดที ีส่ ุด 3. อุตสาหกรรม 1. อาหารและเคร่ืองดืม่ 1. แอลกอฮอลช์ นดิ กินได้ แอลกอฮอล์ท่ีใช้เป็นเคร่ืองดื่ม หรือใช้ผสมเครื่องด่ืมและ อาหาร โดยใชเ้ อทานอลบรสิ ทุ ธ์ิ 95%-99.5% ทีเ่ ปน็ food-grade ผลิตจากกระบวนการหมักและการกล่ันวัตถุดิบจากธรรมชาติ ผสม ใหค้ วามเขม้ ข้นลดลง 2. แอลกอฮอล์ชนิดกนิ ไมไ่ ด้ ไดแ้ ก่ • เอทานอลทม่ี คี วามบรสิ ทุ ธน์ิ อ้ ย ซงึ่ มตี น้ ทนุ การกลน่ั ตำ�่ กวา่ ใช้ในอตุ สาหกรรม • แอลกอฮอลแ์ ปลงสภาพ (Denatured alcohol) โดยมกี าร การเติมสารเคมีบางชนิด (Denaturant) ลงในเอทานอลที่มีความ บรสิ ทุ ธน์ิ อ้ ย เพอ่ื ให้รสขม กินไม่ได้ ให้มสี ตี า่ งๆ หรือเพื่อให้เหมาะ สมต่อการน�ำไปใช้งาน ตน้ ทุนการผลิตของแอลกอฮอลแ์ ปลงสภาพ จะถกู กวา่ แอลกอฮอลท์ ด่ี มื่ ได้ เอทานอลแปลงสภาพบางชนดิ ทค่ี วาม บริสุทธิ์ใกล้ Food grade ถูกใช้เป็นส่วนผสมของเคร่ืองดื่มและ 108
อาหาร เชน่ น้ำ� ผลไม้ • แอลกอฮอลช์ นดิ อน่ื ๆ นอกจากเอทานอล 2. การแพทย์ เภสัชกรรม และสาธารณสุข ในทางการแพทย์และเภสัชกรรม ใช้แอลกอฮอล์ก�ำจัดเชื้อ โรค (Antiseptic) หรือเป็นตัวท�ำละลายในยาน้�ำชนิดกิน ใช้ได้ท้ัง แอลกอฮอลแ์ ปลงสภาพบางสตู ร และ แอลกอฮอลบ์ รสิ ทุ ธิ์ (ซง่ึ ไมต่ อ้ ง บริสทุ ธ์เิ ทา่ กบั ที่ใชก้ นิ แต่ต้องปลอดภัยต่อคนโดยไม่มีสิ่งปนเปื้อนท่ี เปน็ อนั ตราย) ไดแ้ ก่ เอทานอล ไอโซโพรพานอล และ เอน็ -โพรพานอล แอลกอฮอล์ก�ำจดั เชื้อโรค (หรือทม่ี ักเรียกกันวา่ แอลกอฮอล์ ลา้ งแผล ซง่ึ ใชฆ้ า่ เชอื้ โรครอบๆ แผล แตห่ า้ มถกู แผล) ใชใ้ นการก�ำจดั เชอื้ โรคจากมอื ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั แอลกอฮอลเ์ จลทามอื โดยแบง่ ใสข่ วด สเปรยส์ �ำหรบั พกพา ทง้ั ยงั ใชท้ �ำความสะอาดลกู บดิ ประตู โตะ๊ เกา้ อ้ี ไดอ้ ีกดว้ ย ห้ามวางใกล้เปลวไฟ หรือตากแดด เพราะแอลกอฮอล์ เป็นเช้ือเพลิง เมื่อเปิดขวดแอลกอฮอล์แล้ว ให้ รีบปิด เพราะ แอลกอฮอล์จะระเหยท�ำให้ความเข้มข้นลดลง ประสิทธิภาพการ ก�ำจัดเชอ้ื โรคลดลง นอกจากนย้ี งั น�ำแอลกอฮอลม์ าใชใ้ นเครอื่ งอปุ โภค เชน่ นำ้� ยา บว้ นปาก น�้ำหอม เครอ่ื งส�ำอาง สเปรย์ฉีดผม นำ�้ ยาบว้ นปาก บางชนดิ มแี อลกอฮอลเ์ ปน็ สว่ นประกอบ เพอื่ เป็นตัวน�ำสารประกอบอื่นที่จะช่วยก�ำจัดหินปูน บางชนิดมี 109
แอลกอฮอลถ์ งึ 25% ซงึ่ ไมม่ ผี ลในการก�ำจดั เชอื้ โรคในปาก นอกจาก นี้ แอลกอฮอลท์ �ำใหเ้ ยอ่ื บชุ อ่ งปากแหง้ จงึ นยิ มใชน้ ำ้� ยาบว้ นปากชนดิ ท่ีไม่มแี อลกอฮอล์กันมากกวา่ 3. อุตสาหกรรม ใชแ้ อลกอฮอลเ์ ปน็ เชอื้ เพลงิ ตวั ท�ำละลาย สารตง้ั ตน้ ในการ ผลิตอะซิโทน เป็นตน้ ใชท้ ้ังเอทานอลแปลงสภาพบางสตู ร ไอโซ โพรพานอล เมทานอล บวิ ทานอล เพนทานอล ห้ามกนิ หรอื สัมผัสกบั ผิว เพราะเปน็ อนั ตรายได้ เชน่ เมทา นอล ซ่งึ หากกนิ เขา้ ไป เปน็ อันตรายมากถึงตาย หรือ ตาบอด การใชแ้ อลกอฮอล์ ในทางการแพทย์ เภสชั กรรม และสาธารณสุข ส�ำนกั งานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปน็ ผกู้ �ำหนดวา่ แอลกอฮอล์ประเภทไหนใช้กบั รา่ งกายคนได้ และจดั อยู่ในกลมุ่ ไหน ซงึ่ ใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ วบคมุ ตา่ งกนั ไดแ้ ก่ พ.ร.บ.ยา พ.ร.บ.เครอื่ งมอื แพทย์ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ร.บ.เคร่ืองส�ำอาง เป็นต้น แบ่งเป็น กล่มุ ดังนี้ 1. ใช้ก�ำจดั เชอ้ื โรคที่ผวิ หนังของคน (Antiseptic) 2. ใช้ก�ำจดั เชือ้ โรคทว่ี ัตถุ (Disinfectant) 3. เปน็ ส่วนประกอบในสงิ่ ที่ใชก้ บั คน เชน่ น�ำ้ ยาบว้ นปาก น้ำ� หอม 110
ขอ้ ดี ขอ้ ดอ้ ย • มฤี ทธ์ิก�ำ จดั จลุ ชีพกวา้ งขวาง ทัง้ • ไม่ก�ำจดั สปอร์ แบคทเี รยี เชอื้ วณั โรค เชอื้ รา และ • อ่อนฤทธ์ิลงเม่ือเจอสารอนิ ทรีย์ เชน่ ไวรัส คราบสกปรก นำ้� ลาย เสมหะ • ออกฤทธเ์ิ รว็ ใชเ้ วลาก�ำ จดั เชอ้ื สน้ั • ออกฤทธชิ์ า้ ตอ่ ไวรสั ทไ่ี มม่ เี ยอ่ื ไขมนั หมุ้ • ไมก่ ดั กร่อนโลหะ ไมม่ ีสตี ิดคา้ ง • ไม่มคี ุณสมบัตใิ นการท�ำความสะอาด • เหมาะสำ�หรับมือ พื้นผิวแคบๆ • มผี ลเสยี ต่อเครื่องหนงั ยาง ท�ำให้แข็ง วสั ดแุ ข็ง • ตดิ ไฟได้ หา้ มเกบ็ ในทร่ี อ้ นหรอื ใกลไ้ ฟ • ไม่มีสารอันตรายค้างอยู่ หลัง • ระเหยเร็ว ท�ำใหไ้ ด้ระยะเวลาสัมผสั ระเหย ตามทีค่ วรเปน็ นน้ั เปน็ ไปได้ยาก • ใชง้ ่าย • เส่ียงต่อการเกิดไฟไหม้ ถ้าใช้ก�ำจัด • มีกล่นิ ทยี่ อมรบั กนั ได้ เชอื้ บนพ้นื ท่กี ว้าง แอลกอฮอลท์ ่ีใช้ทางการแพทย์ เภสัชกรรม และสาธารณสขุ ทงั้ 3 ชนดิ คือ เอทานอล ไอโซโพรพานอล และ เอ็น-โพรพานอล เป็นสารทล่ี ะลายในน�ำ้ ไดด้ ี และละลายไขมนั ได้ เอทานอล และ ไอโซโพรพานอล ใช้ก�ำจัดเชอ้ื โรคที่ผิวหนงั ของคน และ วตั ถุ โดยเปลย่ี นสภาพของจลุ ชพี ทช่ี นั้ เยอื่ หมุ้ ทเี่ ปน็ ไขมนั และโปรตนี เชน่ แบคทเี รยี รา ไวรสั แตไ่ มท่ �ำลายสปอรข์ องแบคทเี รยี และ สปอร์ของเชื้อรา การที่เป็นสารเคมีที่ท�ำให้เกิดความแห้ง แอลกอฮอล์จะดึงน�้ำออกจากเซลล์ ท�ำให้จุลชีพตายหรือหมดฤทธ์ิ ซึ่งท�ำให้ผิวหนงั ของคนแห้งดว้ ย 111
ตารางเปรียบเทยี บ เอทานอล กับ ไอโซโพรพานอล เอทานอล ไอโซโพรพานอล (Ethanol) (Isopropanol) • บางประเทศเรยี กวา่ • บางประเทศเรยี กว่า Drinking alcohol Rubbing alcohol • เปน็ แอลกอฮอลช์ นิดเดยี วที่ • หา้ มกิน หรือดืม่ การดม่ื มี กนิ ได้ แตต่ อ้ งเปน็ ชนดิ ทม่ี คี วาม อนั ตรายตอ่ รา่ งกายอยา่ งมาก บรสิ ทุ ธพ์ิ อ มอี ันตรายจากฤทธ์ิ สุรา • ประสทิ ธภิ าพสงู ในการท�ำ ลาย • มฤี ทธ์ติ อ่ enveloped enveloped virus (เชน่ influ- viruses enza, corona) และยงั มีฤทธ์ิ • ไม่มีฤทธติ์ ่อ non-enveloped ตอ่ non-enveloped viruses viruses หลายชนิด • ไม่ก�ำ จดั สปอร์ • ไมก่ ำ�จัดสปอร์ • ผลข้างเคียงนอ้ ยกว่า • ผิวหนัง: แห้ง แตกถลอก แอลกอฮอลช์ นดิ อ่ืน • ระคายเคอื งทางเดนิ หายใจ • ผิวหนงั : แหง้ และตา • ไมร่ ะคายเคอื งต่อทางเดนิ • ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก หายใจ คอ และเยอ่ื บุตา เป็นแผลท่ี กระจกตา • เหมาะส�ำ หรับการใชก้ ับ • ส�ำ หรับใชก้ ับวตั ถุ ผิวหนัง 112
ประเทศไทยใช้ เอทานอล เปน็ หลัก เพราะผลิตจากผลติ ผล ทางเกษตร ซึง่ ประเทศไทยมีก�ำลงั ผลติ มาก สหรัฐอเมรกิ าใช้ ไอโซ โพรพานอล ซง่ึ เปน็ สารสังเคราะห์ เป็นหลกั ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ท่ีเหมาะทีส่ ดุ ในการก�ำจดั เชอ้ื โรค คอื 70% (60%–90%) โดยผสมกบั นำ้� ถา้ ความเขม้ ขน้ นอ้ ย กว่า 50% ความสามารถในการก�ำจดั เชอ้ื โรคจะลดลงมาก แอลกอฮอลเ์ ขม้ ขน้ 95%-100% ก�ำจดั เชอ้ื ไมไ่ ด้ เพราะจะระเหย เรว็ มาก ยงั ไมท่ นั ท�ำปฏกิ รยิ ากบั เชอื้ โรค กร็ ะเหยหมดแลว้ ทง้ั นใ้ี น การ ก�ำจดั เชอื้ โรค ตอ้ งใหเ้ วลาแอลกอฮอลท์ �ำปฏกิ ริ ยิ าไมน่ อ้ ยกวา่ 20 วนิ าที แอลกอฮอล์ทามือเพื่อก�ำจัดเช้ือโรคท้ังชนิดน�้ำและเจล ซ่ึงมี วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ก�ำจดั เชอ้ื โรคทม่ี อื โดยไมใ่ ชน้ ำ้� ตอ้ งมคี วามเขม้ ขน้ ของ เอทานอล หรอื ไอโซโพรพานอล หรอื เอน็ -โพรพานอล เพยี ง สารเดียวหรือรวมกนั 70%-90% แอลกอฮอลแ์ ปลงสภาพ (Denatured alcohol) กรมสรรพสามติ ก�ำหนดให้ ผทู้ ข่ี อรบั สทิ ธปิ ระโยชนท์ างภาษี สรรพสามติ ร ในการนำ� เอทานอล ไปผลติ ใชท้ างสาธารณสขุ ตอ้ งน�ำ เอทานอลมาแปลงสภาพ (denature) กอ่ นที่จะน�ำไปผลติ เช่น เจล ลา้ งมอื โดยการเตมิ สารแปลงสภาพ (denaturant) เชน่ ไอโซโพรพา นอล ซ่งึ กนิ หรือดื่มไม่ได้ เรยี กว่า แอลกอฮอล์แปลงสภาพ และ อย. ก�ำหนดใหเ้ ตมิ สีจางๆ ไปดว้ ย ซง่ึ มักเปน็ สฟี ้า หรือ สชี มพู เพอ่ื จะไม่ เขา้ ใจผิดว่าเปน็ ส่งิ ท่ีด่มื ได้ 113
แอลกอฮอล์ทามือเพอ่ื ก�ำจดั เชือ้ โรค เปน็ ผลติ ภณั ฑท์ น่ี ยิ มใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย พกพาไปใชไ้ ดส้ ะดวก ใชใ้ นกรณที ไี่ มม่ นี ำ้� และสบู่ ใหล้ า้ งมอื การเรยี กวา่ แอลกอฮอลล์ า้ งมอื หรอื เจลลา้ งมอื เปน็ ชอ่ื เรยี กทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง เพราะเปน็ การใชเ้ พอื่ ก�ำจดั เชอ้ื โรค ไมใ่ ชล่ า้ งท�ำความสะอาดมอื การเรยี กวา่ “แอลกอฮอลท์ ามอื ” นา่ จะเหมาะสมกวา่ การก�ำจดั เชอ้ื โรคทม่ี อื ดว้ ยแอลกอฮอล์ ตอ้ งไมม่ คี ราบสกปรก จึงจะได้ผล ใชแ้ อลกอฮอล์ 70%-90% ทาทัว่ ฝา่ มอื นว้ิ ซอกนิว้ และ หลังมือ ท้งิ ใหแ้ หง้ สนิท หรอื 20 วนิ าที โดยไม่สัมผัสอะไร ไมล่ า้ งน�ำ้ ส่วนผสมในแอลกอฮอลท์ ามือ Glycerol หรอื Glycerin: ส�ำหรับใหค้ วามชมุ่ ชนื้ ตอ่ ผิวหนงั (สูตรท่ไี มม่ ีสารนี้ ใช้ครมี ทามือแก้ปญั หามือแหง้ ได)้ Hydrogen peroxide: ส�ำหรับก�ำจดั สปอร์ของแบคทเี รียท่ี อาจจะปนเปอ้ื นมา Carbopol 940: เป็นสารสรา้ งเนือ้ เจล ต้องปรบั pH ใหไ้ ด้ 6-7 เพอื่ ให้ Carbopol มคี วามหนดื ทดี่ แี ละใหเ้ จลใส การท�ำเปน็ เจล ตอ้ งคอ่ ยๆ เท Carbopol ลงในนำ้� รอ้ นทีละน้อย แลว้ คนให้กระจาย ตวั ปลอ่ ยใหพ้ องตวั เต็มที่ แลว้ เติมส่วนประกอบอื่น Triethanolamine:เพอื่ ปรบั pHท�ำใหเ้ จลใสและเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั เปน็ สารทีเ่ ปน็ อนั ตรายจาการสัมผัส ห้ามใช้เปน็ สว่ นผสมท่ีเกิน 5% 114
ส ตู รผลติ ภณั ฑแ์ อลกอฮอลท์ ามอื เพือ่ ก�ำจัดเชอื้ โรค สตู รที่ 1 สตู รที่ 2 สตู รที่ 3 สูตรท่ี 4 สตู รที่ 5 WHO WHO กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สูตร 1 สูตร 2 แอลกอฮอล์ทามือฯ แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ (1,000 มล.) สเปรยม์ อื 70% เจล (100 มล.) (95 มล.) (500 มล.) “ส่วนผสมของแตล่ ะสูตร” Ethanol Isopropanol Ethanol Ethanol Ethanol 95% 99.8% 95% 95% 95% (70 มล.) (70 มล.) (833.3 มล.) (751.5 มล.) (75 มล.) Hydrogen peroxide 3% Glycerin Carbopol (41.7 มล.) (5 มล.) 940 (1 กรมั ) Glycerol หรือ Glycerin 98% Triethanol- amine (14.5 มล.) (1 กรมั ) Glycerin น้�ำสะอาดทต่ี ม้ สกุ และเย็นแล้ว หรือ น�้ำกล่ัน (3 กรัม, 2.5 มล.) 110 มล. 192 มล. 20 มล. 25 มล 125.5 มล. ความเขม้ ขน้ สดุ ท้ายของแอลกอฮอล์ Ethanol Isopropanol Ethanol Ethanol Ethanol 80% 75% 71% 70% 70% ปิดฝาภาชนะใหส้ นิทเพื่อป้องกนั การระเหยของแอลกอฮอล์ 115
การผสมแอลกอฮอล์ 95% ใหเ้ ป็น 70% ใช้สูตร C1 x V1 = C2 x V2 C1 = ความเข้มขน้ เร่มิ ต้น C2 = ความเขม้ ข้นทตี่ ้องการ V1 = ปรมิ าตรเริ่มตน้ V2 = ปรมิ าตรทต่ี อ้ งการ ตัวอยา่ ง: เมื่อ C1=95%, C2=70%, V2=100 มล., V1=? จากสตู ร C1 x V1 = C2 x V2 95% x V1 มล. = 70% x 100 มล. V1 = (70% / 95%) x 100 = 73.7 มล. 95% แอลกอฮอล์ 73.7 มล. ผสมนำ้� 26.3 มล. ได้ 70% แอลกอฮอล์ 100 มล. การผลิตแอลกอฮอล์ การผลิตแอลกอฮอล์มี 2 กระบวนการ 1. การผลติ แอลกอฮอลโ์ ดยใชว้ ตั ถดุ บิ จากธรรมชาติ โดยการ หมกั และกลนั่ 2. การผลิตโดยการสังเคราะห์ทางปิโตรเคมี โดยการ สงั เคราะห์ จากเอทิลนี 1. การผลติ แอลกอฮอลโ์ ดยใชว้ ตั ถุดบิ จากธรรมชาติ แบ่งวัตถุดบิ ได้ 3 ประเภท ดงั น้ี • แป้ง ไดแ้ ก่ ธญั พืช ขา้ วเจ้า ข้าวสาลี ขา้ วโพด ข้าวฟ่าง ขา้ ว 116
บาร์เลย์ และ พืชหวั เช่น มันส�ำปะหลงั มันฝรั่ง มันเทศ • น�้ำตาล ได้แก่ อ้อย กากนำ้� ตาล บตี รูต ขา้ วฟา่ งหวาน • เสน้ ใย ซึง่ เปน็ ผลพลอยไดจ้ ากผลผลติ ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ชานอ้อย ซังข้าวโพด ราข้าว เศษไม้ เศษกระดาษ ข้ีเล่ือย วชั พชื รวมทงั้ ของเสยี จากโรงงานอตุ สาหกรรม เชน่ โรงงานกระดาษ การผลิตเอทานอลโดยใช้วัตถุดิบทางการเกษตร ซึ่ง ประเทศไทยมอี ยมู่ าก ทำ� ใหต้ น้ ทุนการผลติ ต�ำ่ กว่าการสงั เคราะห์ ทง้ั ยงั ไดแ้ อลกอฮอลท์ ีม่ ีความบรสิ ทุ ธ์สิ ูง 2. การผลติ แอลกอฮอล์โดยการสังเคราะหท์ างปิโตรเคมี แอลกอฮอล์ที่ผลิตโดยวิธีน้ีเรียกว่า แอลกอฮอล์สังเคราะห์ (Synthetic alcohol) เช่น การสังเคราะห์แอลกอฮอล์จากเมทิล เอทิลนี ได้ไอโซโพรพานอล ไมใ่ ชก้ นิ ดื่ม หรอื ผสมอาหาร เพราะมี การปนเปือ้ นสารเคมี นิยมใชเ้ ป็นตัวท�ำละลาย สารสกดั น�ำ้ ยาลา้ ง กระจก และสารตวั กลางในการสังเคราะห์สารเคมชี นดิ อ่ืน การผลิตแอลกอฮอล์โดยวิธีนี้ ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย เนอ่ื งจากตน้ ทนุ ในการผลติ สงู ไม่คุ้มคา่ กบั การลงทุน แตเ่ ป็นท่นี ิยม ในบางประเทศ เชน่ สหรัฐอเมรกิ า ตน้ ทุนการผลติ ทต่ี ่างกันท�ำให้ราคาต่างกัน การทเี่ อทานอลทใี่ ชเ้ พอื่ ก�ำจดั เชอ้ื โรคทม่ี อื แพงวา่ นำ�้ มนั แกส๊ 117
โซฮอล์ E85 ท่มี ีส่วนผสมของแอลกอฮอลถ์ ึง 85% เพราะต้นทนุ ใน การผลติ ตา่ งกัน จากกระบวนการผลิตบางส่วนท่ีต่างกนั การน�ำแอลกอฮอล์ที่ผลิตเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ไปใช้ในทาง สาธารณสขุ การที่จะน�ำแอลกอฮอล์ท่ีผลติ เพอื่ ใชใ้ นอุตสาหกรรม ไปใช้ ในทางสาธารณสุข แอลกอฮอล์นั้นต้องมีความบริสุทธิ์หรือความ สะอาดเพียงพอ ทีจ่ ะน�ำไปใช้ก�ำจัดเชอื้ โรคท่ีมือ เพราะหากมสี าร ปนเปื้อนมาก เมื่อแอลกอฮอล์ระเหยไปหมด จะเหลือสารตกค้างที่ เป็นอันตรายติดอยู่ที่มือ ซึ่งอาจจะน�ำไปเข้าปาก ขย้ีตา หรือเกิด อาการแพห้ รอื ระคายเคอื งผวิ หนงั หากน�ำไปผลติ นำ�้ ยาก�ำจดั เชอื้ โรค บนวัตถุ เชน่ ลกู บดิ ประตู โต๊ะ เกา้ อ้ี กไ็ มม่ ปี ัญหาอะไร แม้ว่าคุณภาพของของแอลกอฮอล์ประเภทน้ีจะไม่ได้ มาตรฐาน Food grade แต่ก็ไมใ่ ช่ Industrial grade ซึง่ เปน็ เกรด ทต่ี ำ่� กอ่ นน�ำมาใชใ้ นทางสาธารณสขุ กต็ อ้ งไดร้ บั การตรวจมาตรฐาน ก่อน เมทานอล (Methanol) - สารพษิ ตอ่ รา่ งกาย เมทานอล ไมใ่ ช้ในทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ เพราะมี ฤทธ์ิต่อจลุ ชพี นอ้ ยทส่ี ดุ และยงั มีพิษต่อรา่ งกายรุนแรง ติดไฟได้งา่ ย และดบั ยากกว่าชนิดอ่นื 118
เมทานอล เป็นแอลกอฮอล์ที่มีพิษ ห้ามใช้กับร่างกาย ใช้ ส�ำหรบั อุตสาหกรรมตา่ งๆ เชน่ ใช้เปน็ เช้อื เพลงิ จุดให้แสงสวา่ ง เปน็ ตัวท�ำละลายในอุตสาหกรรมการท�ำเฟอรน์ ิเจอร์ เช่น สีทาไม้ นำ้� มนั เคลอื บเงา ยาลอกสี ฯลฯ เมทานอล เปน็ ของเหลวใส ระเหยงา่ ย สารระเหยจะถกู ดดู ซมึ ทางผิวหนงั ลมหายใจ • หากสมั ผสั ท�ำใหร้ ะคายเคอื งผวิ หนงั กรณที ส่ี ารระเหยเขา้ ตา หรอื สัมผัสตา สง่ ผลท�ำให้เยื่อบุตา และกระจกตาอกั เสบ • หากสดู ดมเขา้ ไปจะท�ำใหเ้ กดิ การระคายเคอื งตอ่ ระบบทาง เดนิ หายใจ หลอดลมอักเสบ หลอดคออักเสบ หากสูดดมเข้าไป มากๆ จะท�ำให้ ปวดทอ้ ง เวยี นหวั คลน่ื ไส้ อาเจยี น กลา้ มเนอื้ กระตกุ หายใจล�ำบาก อาจสง่ ผลกระทบต่อสมองและระบบประสาท • หากกนิ จะท�ำให้ตาบอด หรอื เสียชวี ิต เมอ่ื มีความต้องการในการใช้แอลกอฮอลใ์ นการก�ำจดั เชื้อสงู ข้นึ สง่ ผลใหเ้ อทานอล และ ไอโซโพรพานอล มรี าคาสูง ขึ้น จึงมคี น น�ำ เมทานอล ซึง่ มีราคาถูกกว่า มาลักลอบใช้แทน ห้ามน�ำ เมทานอล มาใช้ในด้านสุขภาพและสาธารณสุข เพราะเปน็ สารพษิ ตอ่ รา่ งกายคน ทงั้ ทางการสมั ผสั การหายใจ และ การดม่ื ทง้ั ยงั ตดิ ไฟงา่ ยและการดบั ไฟยาก ประสทิ ธภิ าพในการฆา่ เชื้อตำ่� มาก 119
หลกั การเลอื กซ้ือแอลกอฮอลเ์ พอื่ การก�ำจดั เชอ้ื โรค 1. ซอ้ื จากรา้ นทน่ี า่ เชือ่ ถอื 2. ตรวจสอบเลขที่ใบรับจดแจ้งของผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ กอ่ นซอ้ื ทุกครงั้ 3. อ่านฉลากของวัตถดุ บิ แอลกอฮอลท์ ่ีซื้อ 4. เลอื กซอ้ื เอทลิ แอลกอฮอลท์ ม่ี คี วามเขม้ ขน้ อยา่ งนอ้ ย70% โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (Sodium hypochlorite) คลอรนี เปน็ สารเคมีทใ่ี ช้ในการก�ำจัดเชื้อโรค ต้ังแต่ พ.ศ. 2390 หรือ 170 กว่าปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนำ�้ ประปา ไฮโปคลอไรท์ (Hypochlorite) เปน็ สารประกอบคลอรีนท่ี ใช้ก�ำจัดเชื้อโรคกนั มากที่สดุ มีทง้ั ทีเ่ ป็นของเหลว (โซเดยี มไฮโปคลอ ไรท์) และ ของแขง็ (แคลเซียมไฮโปคลอไรท)์ ที่ใช้มากคือ โซเดยี ม ไฮโปคลอไรท์ ชนดิ น�ำ้ 5%–6% ที่เรียกวา่ น้�ำยาฟอกขาว หรอื เรียก ทบั ศัพทว์ ่า บลีช (Bleach) การท�ำลายไวรัสเป็นผลจากคลอรนี ความสามารถในการก�ำจดั จุลชพี ของคลอรนี ขึ้นอยู่กบั กรด ไฮโปคลอรสั ทไ่ี มแ่ ตกตัว (HOCl) ซงึ่ การแตกตัวเป็นไฮโปคลอไรท์ ไอออน (Hypochlorite ion, OCl) จะเพมิ่ ขนึ้ เมอื่ ความเปน็ ดา่ งเพมิ่ ข้นึ (เพม่ิ pH) ซึ่งจะทำ� ใหฤ้ ทธิ์ต่อจุลนิ ทรียล์ ดลง ในการก�ำจัดเชื้อ โรคแตล่ ะชนดิ ต้องใชค้ วามเข้มข้นของคลอรีนตา่ งกนั 120
สารฟอกขาว ค�ำวา่ “สารฟอกขาว” มกี ารใชเ้ รยี กกนั ทง้ั “สารฟอกขาวใน อาหาร” และ “สารฟอกผา้ ขาว” ซงึ่ มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งสน้ิ เชงิ “สารฟอกขาวในอาหาร” หรือ สารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (Sodium hydrosulfite) เป็นวัตถุเจือปนอาหาร น�ำมาใช้รักษา คุณค่าทางโภชนาการของอาหาร หรือช่วยยืดอายุการเก็บอาหาร ไม่มผี ลในการก�ำจัดเช้ือโรค สว่ น “บลีช” น้นั หมายถงึ สารฟอกขาวที่ใช้กบั วัตถุ และมัก มีไว้ใช้ประจ�ำบ้านในการซักผ้า เรียกว่า “สารฟอกผ้าขาว” หรือ Household bleach สารฟอกผ้าขาว หรอื น�้ำยาซักผ้าขาว (Bleach) แบ่งเป็น 2 กล่มุ ดังนี้ 1. คลอรีนบลีช (Chlorine bleach): สารฟอกขาวประเภท นม้ี สี ารละลาย โซเดยี มไฮโปคลอไรท์ ทม่ี ฤี ทธ์ิ ในการกดั กรอ่ นคราบสงู ฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และ รา ได้ดี และยังฟอกผ้าให้ขาวได้อีกด้วย เหมาะกับการซกั ผา้ ขาว โซเดยี มไฮโปคลอไรท์ เปน็ สารทม่ี ฤี ทธต์ิ า้ นจลุ ชพี กวา้ งขวาง ไมม่ ี สารทเี่ ปน็ อนั ตรายตกคา้ ง ไมม่ ผี ลเสยี จากนำ้� กระดา้ ง และออกฤทธไิ์ ดเ้ รว็ 2. ออกซิเจนบลชี (Oxygen bleach): เปน็ สารฟอกผ้าขาว ทเ่ี ปน็ โซเดยี มเปอรค์ ารบ์ อนเนต ลกั ษณะเปน็ ผง เมอ่ื ผสมนำ้� จะแตก 121
ตัว เปน็ ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ ซง่ึ เปน็ สารเคมีก�ำจดั เชื้อโรค และ ก�ำจดั คราบอนิ ทรยี แ์ ละคราบเปอ้ื นทว่ั ไป ท�ำใหผ้ า้ สสี ดใส เหมาะกบั การท�ำความสะอาดผ้าสี ราคาแพงกวา่ คลอรนี บลีช ข้อดแี ละขอ้ ดอ้ ยของไฮโปคลอไรท์ ขอ้ ดี ข้อด้อย • มฤี ทธิต์ อ่ จุลชีพกว้างขวาง • กัดกร่อนโลหะ ท�ำใหส้ ีจาง หลังใช้ • สามารถก�ำจัดไวรัสทท่ี นทานต่อ แลว้ ตอ้ งเชด็ ล้างออก สารเคมอี ืน่ เช่น ไวรัสตับอักเสบ • สารอนิ ทรยี ์ เชน่ เลอื ด ท�ำใหอ้ อ่ นฤทธิ์ • หาใชไ้ ด้ง่าย ราคาไม่แพง ลง • ก�ำจดั เชือ้ โรคเรว็ • การเพม่ิ ความเปน็ ดา่ ง หรอื เพม่ิ pH • ไมม่ ีสารอนั ตรายตกค้าง ใชไ้ ด้กับ จะท�ำใหฤ้ ทธ์ิต่อจุลชพี ลดลง พ้นื ทเี่ ตรียมอาหาร • มีกล่นิ ฉนุ • ไม่มผี ลเสยี จากน้ำ� กระดา้ ง ข้อควรระวังในการใชโ้ ซเดียมไฮโปคลอไรท์ 1. เป็นสารเคมีอันตรายและมีฤทธิ์กัดกร่อน ต้องใช้อย่าง ระมดั ระวงั และท�ำตามทีร่ ะบุไว้ในฉลากอยา่ งเครง่ ครัด ความเขม้ ขน้ ท่สี งู >0.05% ท�ำใหโ้ ลหะผกุ รอ่ น 2. ท�ำใหเ้ กดิ การระคายเคอื งตา ระวงั อย่าใหเ้ ข้าตา ถ้าเขา้ ตา อยา่ ขยตี้ า รบี ใชน้ ำ้� ไหลผา่ นดวงตานาน 15 นาที แลว้ ไปพบแพทย์ 3. ท�ำปฏิกิรยิ ากับสารเคมีอ่ืนไดง้ ่าย เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ก่ี อ่ อนั ตราย 122
• หา้ มผสมกบั อยา่ งอนื่ นอกจากนำ�้ เพราะจะลดประสทิ ธภิ าพ และอาจเกิดปฏิกิรยิ าทางเคมีทรี่ ุนแรง • เมอ่ื ผสมกับแอมโมเนีย หรอื กรด (เชน่ ในน�ำ้ ยาท�ำความ สะอาดบา้ นชนดิ อนื่ ) หรือปสั สาวะ (มแี อมโมเนยี ) ท�ำใหเ้ กดิ แกซ๊ คลอรีนซ่ึงเปน็ แก๊สพิษ • เมอ่ื ไฮโปคลอไรทผ์ สมกบั ฟอรม์ ลั ดไี ฮด์ จะเกดิ สารกอ่ มะเรง็ • ในการล้างห้องน้�ำด้วยสารท�ำความสะอาดประเภทน�้ำยา ซักล้าง ต้องล้างออกให้หมดก่อน แล้วจึงใช้น้�ำยาไฮโปคลอไรท์ เพราะอาจเกิดแกส๊ ทีเ่ ป็นพษิ ได้ 4. สารอนิ ทรยี ท์ �ำใหไ้ ฮโปคลอไรทอ์ อ่ นฤทธิ์ จงึ ตอ้ งท�ำความ สะอาดก่อนก�ำจดั เช้อื โรค 5. สลายตวั งา่ ยเม่ือเจอความร้อนและแสงสว่าง ตอ้ งเก็บใน ทรี่ ม่ และไม่รอ้ นจดั • นำ�้ ยาไฮโปคลอไรทเ์ ข้มข้น จะสลายเป็นแก๊สพษิ เมื่อโดน ความร้อนและแสงสว่าง • เมอ่ื ผสมใหเ้ จอื จาง จะสลายตวั เรว็ ขน้ึ เตรยี มใชใ้ นวนั เดยี ว ลงขอ้ มูลสารเคมี สว่ นผสม และวันที่ ไวใ้ หช้ ัดเจน เททง้ิ เมอื่ ครบ 24 ช่ัวโมง 123
นำ้� ยาฟอกผา้ ขาวทม่ี ใี ช้ในประเทศไทย ได้แก่ คลอร็อกซR์ (CloroxR) และ ไฮเตอรR์ (HaiterR) ซ่งึ มี Sodium hypochlorite 6% w/w ผลติ ภณั ฑน์ ำ�้ ยาฟอกผา้ ขาวในทางการคา้ ตอ้ งดขู อ้ มลู ส�ำคญั 2 อย่าง คือ 1. ความเขม้ ขน้ ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ 5.25% เพราะถา้ นอ้ ยกวา่ น้ี จะสลายตัวเร็วมาก 2. วันท่ผี ลิต เพราะถา้ เกบ็ ไวน้ านเกิน 6-8 เดือน ความเขม้ ขน้ จะลดลงมาก เมอื่ น�ำมาใชจ้ ะไม่ได้ผลตามทค่ี วรเปน็ ความเข้มขน้ ทใ่ี ช้ก�ำจัดเช้ือโรคบนพืน้ ผิวท่ีมสี ารอินทรีย์ เชน่ เลือด น้�ำมูก น�้ำลาย คอื 5,000-10,000 ppm หรือ 0.5%-1% การเตรียมน้�ำยาไฮโปคลอไรทเ์ พอื่ ใช้ก�ำจัดเช้อื 1. ใชผ้ า้ ปดิ ปากและจมกู สวมถงุ มอื ยางอยา่ งหนา และผา้ กนั เปอ้ื นทกี่ นั นำ้� ได้ ถา้ มแี วน่ ตาดว้ ยกจ็ ะดี เพอื่ กนั นำ�้ ยาเคมกี ระเดน็ เขา้ ตา 2. ผสมนำ�้ ยาฟอกผา้ ขาวในทท่ี อี่ ากาศถา่ ยเทไดด้ ี ในทรี่ ม่ และ ไมร่ ้อน 3. ตรวจสอบดวู ่าน�ำ้ ยาเคมีไม่หมดอายุ 4. ผสมน�ำ้ ยาฟอกผา้ ขาวกบั น�้ำท่ีอุณหภมู ปิ รกติ (น้ำ� รอ้ นจะ ท�ำให้โซเดียมไฮโปคลอไรทส์ ลายตัวท�ำให้หมดฤทธ์)ิ 124
นำ�้ ยาฟอกผา้ ขาวโดยทวั่ ไป มโี ซเดยี มไฮโปคลอไรท์ 5%-6% (คลอรนี 50,000 - 60,000 ppm) เมือ่ ผสมกบั น้ำ� • 1:10 จะได้ความเข้มข้น 0.5%-0.6% (คลอรีน 5,000– 6,000 ppm.) • 1:100 จะได้ความเข้มขน้ 0.05%-0.06% (คลอรีน 500- 600 ppm) ควรผสมแลว้ ใชท้ นั ที ไมน่ านเกนิ 24 ชว่ั โมง ไมใ่ หถ้ กู แสงและ ความร้อน เช่น แสงแดด ในการก�ำจัดเชื้อโรคหลังท�ำความสะอาด ใช้ความเข้มข้น 0.05%-0.5% (คลอรีน 500 - 5,000 ppm) ความเข้มข้น 0.5%-0.6% ใช้ส�ำหรับพ้ืนที่ผิวที่มีละออง เสมหะ น้ำ� มูก นำ�้ ลาย 125
ท้ายเล่ม 11 เดือนผ่านไป ท่ีประเทศไทย และทั่วโลก ได้รับภัยจาก โควดิ -19 ประเทศไทยมกี ารจดั การสภู้ ยั โควดิ -19 ไดด้ มี าก โดยมปี จั จยั ทส่ี �ำคญั คอื 1. ความพรอ้ มและมปี ระสทิ ธภิ าพของกระทรวงสาธารณสขุ • แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินทางการ แพทย์ และสาธารณสขุ พ.ศ. 2560 – 2564 • ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารภาวะฉกุ เฉนิ ทางสาธารณสขุ กรมควบคมุ โรค • บคุ ลากรมคี ณุ ภาพ 2. ความสามารถในการประสานหลายภาคสว่ น • ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ระดบั ประเทศ และระดบั กระทรวง (ศบค.) รวมทงั้ การ สอ่ื สารทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ • เครอื ขา่ ยประสานภาคประชาชน ภาครฐั และภาควชิ าการ ในพนื้ ที่ โดยเครอ่ื งมอื ตามพระราชบญั ญตั สิ ขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 ไดแ้ กก่ ระบวนการสมชั ชาสขุ ภาพ และธรรมนญู สขุ ภาพ • การประสานงานโดยมอี าสาสมคั รทเ่ี ขา้ ถงึ ใกลช้ ดิ ชมุ ชน เชน่ อาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจ�ำหมบู่ า้ น (อสม.) อาสาสมคั รสาธารณสขุ กรงุ เทพมหานคร พระอาสาสมคั รสง่ เสรมิ สขุ ภาพประจ�ำวดั (อสว.) 126
3. บคุ ลากรสขุ ภาพทมี่ คี วามสามารถ ดา้ นระบาดวทิ ยา โรค ตดิ เชอ้ื ไวรสั วทิ ยา พยาธวิ ทิ ยา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ น ระบาดวทิ ยาภาคสนาม จากโครงการฝกึ อบรม Field Epidemiology Training Program (FETP เรมิ่ พ.ศ. 2523) 4. ประชาชนเขา้ ถงึ การตรวจหาโควดิ -19 การปอ้ งกนั การแพร่ เชอ้ื และการรกั ษาไดอ้ ยา่ งทวั่ ถงึ โดย ระบบหลกั ประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาติ การเตรียมพร้อมของสถานพยาบาลและบุคลากรสุขภาพที่ เกย่ี วขอ้ งมคี ณุ ภาพ 5. ประสทิ ธภิ าพในการตรวจหาผ้ตู ิดเชื้อ ตงั้ แตร่ ายแรกทเ่ี ข้า ประเทศไทย การตดิ ตามสอบสวนผสู้ มั ผสั โรคอยา่ งเขม้ แขง็ รวมทงั้ ระบบการแยกผสู้ มั ผสั และผตู้ ดิ เชอื้ ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ 6. ความรว่ มมอื รว่ มใจ ชว่ ยเหลอื กนั และกนั ของภาคประชาชน ส่ิงท่ีจะท�ำให้ดีข้ึนได้ คือการลดผลกระทบ ทางเศรษฐกิจ คณุ ภาพชวี ติ และการพฒั นาเดก็ และเยาวชน โดยการวเิ คราะหร์ อบ ดา้ นอยา่ งเขา้ ใจและบรู ณาการ “ความรู้ สปู่ ญั ญา พฒั นาการปฏบิ ตั ”ิ 127
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128