การตอนก่งิ การตอนก่งิ เป็นการขยายพันธุ์พืชโดยการทาใหเ้ กดิ ราก ขณะทยี่ ังไมไ่ ด้ ตดั กง่ิ ออกจากตน้ เดมิ 101
การตอนกิง่ วิธกี ารตอนกิง่ ดังนี้ 1.เลือกก่ิงท่ีสมบูร์ไม่อ่อนแอและไม่แก่เกินไป ใบงาม ไม่มีโรคหรือแมลงทาลาย ได้รบั แสงแดดสมา่ เสมอ และต้งั ตรง 2.ควั่นรอบ ๆ กิ่งให้รอยควั่นห่างกันประมาณ 0.5-1 น้ิว แล้วลอกเปลือกระหว่าง รอยควั่นออก 3.ใชส้ นั มดี ขดู เน้อื เยื่อลาเลยี งก่ิงออกให้หมดแล้วทาฮอร์โมนเรง่ รากบรเิ วณรอยควน่ั 4.นาดินร่วนค่อนข้างเหนียวหุ้มรอยควั่นจนมิดแล้วหุ้มด้วยกาบมะพร้าวชุ่มน้า จากนน้ั ใชเ้ ชอื กมัดหัวมดั ท้ายใหแ้ นน่ 5.ใชถ้ ุงพลาสติกพันทับกาบมะพร้าวอกี ครั้ง เพ่ือป้องกันนา้ เข้า 6.รักษาความชุ่งช้ืนอยู่เสมอ ถ้าเป็นฤดูแล้งและวัสดุที่หุ้มแห้งอาจใช้ฉีดน้าเข้าไปใน กระเปาะที่ห้มุ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง 7. ผ่านไปประมาณ 1-2 เดือนจะสังเกตเห็นรากสีขาวในถุง เมื่อเกิดรากปริมาณ มากพอ จึงตัดก่งิ ตอนนาลงปลกู ในกระถาง เลย้ี งไว้จนกระท่ังเห็นว่าก่ิงตอนแข็งแรง จึงนาไปปลกู ในบรเิ วณท่กี าหนด 102
ใบความรู้ การติดตา การติดตา เปน็ การขยายพนั ธุ์พืชโดยการเชื่อมประสานส่วนของตน้ พืชเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเป็นต้นพืชต้นเดียวกัน โดยการนาเอาแผ่นตาของพืชพันธุ์ดี ไปติดเข้า กบั ตน้ ตอ่ เพ่ือใหต้ าเจริญเติบโตเป็นตน้ พชื ตน้ ใหมต่ อ่ ไป พชื พนั ธ์ุดี ไดแ้ ก่ พชื ที่มดี อกและผลเปน็ ทีน่ ่าพอใจ พืชต้นตอ ได้แก่ พืชท่ีแข็งแรง หาอาหารเก่ง เจริญเติบโตแข็งแรง ทนทาน ตอ่ โรค และสภาพแวดลอ้ ม 103
การตดิ ตา วธิ กี ารตดิ ตามีหลายวิธีดงั นี้ 1.การตดิ ตาแบบตัวที(T) เป็นวิธีตดิ ตาท่เี ปิดปากแผลบนต้นตอแบบตวั T 2.การติดตาแบบเพลท หรือแบบเปิดเปลือกไม้ (Plat Budding) เป็นวิธีติด ตาที่คล้ายการติดตาแบบตัวที แต่ขาดต้นตอใหญ่กว่าแบบตัวที เหมาะสาหรับพชื ท่ีมี น้ายาง 3.การตดิ ตาแบบแผ่นแปะ หรอื แพทซ์ (Patch Budding) เปน็ การตดิ ตาอีก แบบหนึ่งโดยนาแผ่นตาพันธุ์ดีปะไปบนรอยแผลของต้นตอท่ีเตรียมไว้เป็นรูปต่าง ๆ นยิ มใช้กบั พชื ท่เี กิดรอยประสานเร็วและไมม่ ีนา้ ยาง 4.การตดิ ตาแบบซิปหรือไม่ลอกเน้ือไม้ (Chip Budding) วิธีการติดตาแบบน้ี นิยมใช้หับพืชที่ลอกเปลือกไม้ออกยากหรือเปลือกไม้บางและเปราะ ขนาดต้นตอ ประมาณ 0.5 นิ้ว เหมาะสาหรับการติดตาองุ่น เงาะ และไม้ผลอื่นที่ลอกเปลือกไม้ ยาก 104
การแยกหนอ่ การแยกหน่อ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ใช้กับพืชท่ีไม่ค่อยมีเมล็ด กิ่งก้าน ส่วนมากเป็นพืชใบเล้ียงเด่ียว เช่น ว่านส่ีทิศ ซ่อนกล่ิน พุทธรักษา สร้อยทอง หน้าววั เยอร์บรี า่ หอม กระเทียม ขงิ ข่า ขมนิ้ ตระไคร้ กล้วย เป็นตน้ พชื ท่ีขยายพนั ธุ์หรือปลูกโดยการแยกหัวหรือหน่อ สว่ นมากจะมีลาต้นอยู่ใต้ ดนิ สว่ นลาต้นน้ีอาจเรียกว่าหัว เหง้า แง่ง สามารถแยกออกไปปลูกได้ การคัดเลือก หัวและหน่อเพ่ือใช้เป็นต้นพันธ์ุ ควรเลือกหัวและหน่อที่สมบูรณ์แข็งแรง ขนาดไม่ เลก็ ไมโ่ ตจนเกนิ ไป แตกใบอ่อนประมาณ 2-3 ใบ เลอื กหัวและหน่อที่ปราศจากโรค และแมลงรบกวน นาลงปลกู ในภาชนะทีใ่ สด่ ินปลกู หรอื ในแปลงปลกู ต่อไป การขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ จะช่วยให้พืชท่ีมีลักษณะตรงตามพันธุ์เดิม ทุกประการ ทาได้ง่ายและให้ผลเร็วกว่าการขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด แต่มีข้อเสีย คือ ขยายพนั ธไุ์ ด้ครัง้ ละนอ้ ย และทาได้ชา้ วา่ การขยายพนั ธด์ุ ้วยเมล็ด 105
การทาบกิง่ การทาบกิ่ง เป็นวิธีการขยายพันธ์ุ ท่ีให้ได้ต้นพันธุ์ท่ีให้ได้ต้นพันธ์ุดีซึ่งมี ลักษณะทางสายพันธุ์เหมือนต้นแม่วิธีหน่ึง โดยก่ิงพันธุ์ดจี ะทาหน้าท่ีเป็นลาต้น ของต้นพืชใหม่ ส่วนต้นตอที่นามาทาบติดกับก่ิงของต้นพันธุ์ดีจะทาหน้าท่ีเป็น ระบบรากเพอื่ หาอาหารให้กับต้นพันธด์ุ ี วธิ ีการทาบกิ่ง แบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ 1.การทาบก่ิงแบบประกับ (Approac grafting) การทาบก่ิงแบบนีทัง้ ต้นตอ และก่ิงพนั ธ์ุดีตา่ งก็ยงั มีรากและยอดทงั้ คู่ มกั ใช้ในการทาบก่ิงไม้ผลท่ีรอยแผล ประสานกนั ช้า 2. การทาบกิ่งแบบเสียบ (Modified approach) เป็นวิธีทาบกิ่งท่ีแปลงมา จากวิธีการทาบกิ่งแบบประกบั โดยจะทาการตดั ยอดต้นตอออกให้เหลือสนั้ ประมาณ3-5 นิว้ เพอื่ ลดการคายนา้ 106
ข้นั ท3่ี ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ สรุป หนว่ ยที่ 5 เรื่องการขยายพนั ธพ์ุ ืช การขยายพนั ธแุ์ บบไม่อาศัยเพศ เปน็ การขยายพนั ธพุ์ ืชด้วยการใชส้ ว่ นต่าง ๆ ของ พืช ได้แก่ ราก ลาต้น ใบ โดยส่วนต่าง ๆ ของพืชทีส่ ามารถเกดิ รากและเจริบเติบโตเป็นต้น พืชได้ เชน่ การปักชากง่ิ เปน็ การนาเอาก่งิ หรอื ใบไมบ้ างชนดิ ทสี่ มบูรณ์ไปปกั ในดนิ และวางไว้ บริเวณทม่ี ีแสงแดก การตอนก่ิง เป็นการทาให้เกดิ ราก ขณะทยี่ ังไม่ไดต้ ดั กิ่งออกจากตน้ เดมิ โดยจะควัน่ ให้กิ่งไม้ ใสด่ ิน นากาบมะพรา้ วมาหุ้ม และนาพลาสตกิ มาพันอีกรอบเพื่อกันน้า การติดตา นาเอาแผ่นตาของพชื พันธุ์ดี ไปตดิ เขา้ กบั ต้นตอ่ เพอ่ื ใหต้ าเจรญิ เตบิ โต เป็นตน้ พชื ตน้ ใหมต่ ่อไป การทาบกิ่ง มี2วธิ ี คือ การทาบก่ิงแบบประกบั และ การทาบกิ่งแบบเสยี บ 107
ข้นั ท4่ี ขน้ั ขยายความรู้ คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นแบง่ กล่มุ กลุม่ ละ5-6คน ร่วมกันทาการขยายพนั ธพ์ุ ชื ด้วยวธิ ี ต่าง ๆ ทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย พร้อมท้งั วาดภาพและขน้ั ตอนการขยายพนั ธ์ลุ งใน กระดาษ ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... 108
ข้นั ท5่ี ขั้นประเมนิ ดาเนนิ การประเมนิ หนว่ ยที่ 5 การขยายพันธพุ์ ชื 1. ประเมินความรู้ระหวา่ งเรียนดว้ ยใบกจิ กรรมใสเ่ ครอื่ งหมายถกู ผดิ 2.ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วยแบบทดสอบ หน่วยท่ี5 เรื่อง การ ขยายพนั ธุ์ 109
ข้ันท1่ี สรา้ งความสนใจ ใบกิจกรรมท1่ี กลว้ ยควรขยายพันธ์ุ หน่วยที่ 5 ด้วยวิธีใด การขยายพันธ์ุพชื แบบใดที่ตอ้ งมีกาบ เรอ่ื ง การขยายพนั ธพุ์ ืช ........................................... ............................................ มะพร้าวมาหุ้ม การตอนกิ่งทาได้ ............................................ อย่างไร ........................................... การขยายพันธแุ์ บบ ............................................ ........................................... อาศัยเพศ เปน็ การ ............................................ ............................................ ขยายพนั ธ์ยุ งั ไง ............................................ การขยายพนั ธพ์ุ ชื ........................................... สามารถทาไดด้ ้วยวธิ ี ............................................ ............................................ ใดบา้ ง ........................................... ............................................ ............................................ 110
ใบกจิ กรรมที่ 2 หนว่ ยท่ี 5 เรอ่ื ง การขยายพนั ธพุ์ ืช ข้นั ท่ี2 ข้ันสารวจและคน้ หา คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนบอกชื่อวธิ กี ารขยายพันธุแ์ ตล่ ะแบบใหถ้ กู ต้องและเขยี นวธิ กี าร ขยายพันธพ์ุ อสังเขป วิธีการขยายพันธ์ุ วธิ กี ารขยายพันธุ์ ............................... ............................... ขนั้ ตอน..................................................... ขนั้ ตอน..................................................... ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. วธิ กี ารขยายพันธ์ุ วธิ กี ารขยายพันธุ์ ............................... ............................... ขนั้ ตอน..................................................... ขนั้ ตอน..................................................... ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. วิธีการขยายพันธ์ุ ขนั้ ตอน..................................................... ............................... ................................................................. ................................................................. ................................................................. ................................................................. 111
ใบกจิ กรรมท3่ี หนว่ ยท่ี 5 เร่อื ง การขยายพันธ์พุ ืช ข้นั ท3่ี ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป คาชแี้ จง ให้นกั เรียนเตมิ คาตอบใหถ้ กู ตอ้ ง 1.การขยายพนั ธ์ุหมายถงึ อะไร ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... 2.การขยายพนั ธ์ุมีประโยชน์อย่างไร ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... 3.การขยายพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศทาได้อย่างไร ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... 4.มะมว่ ง ควรใช้การขยายพนั ธ์ุด้วยวิธีใด เพราะอะไร ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... 5.ข้อดขี องการขยายพนั ธ์ุแบบแยกหน่อ ....................................................................................................................... ....................................................................................................................... ..................................................................................................................... 112
ใบกจิ กรรมท4่ี หน่วยที่ 5 เรอื่ ง การขยายพันธุ์พชื ข้นั ท4่ี ข้นั ขยายความรู้ คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นสบื ค้นการขยายพันธ์ุของพืชตอ่ ไปน้ี ชนิดของพชื กำรขยำยพนั ธ์ุ ชนิดของพชื กำรขยำยพนั ธ์ุ เฟ่ื องฟา้ มะละกอ กหุ ลาบ แตงโม เขม็ ทเุ รียน โป๊ ยเซียน ส้ม กล้วยไม้ เงาะ กล้วย ขมนิ ้ 113
ข้ันท5ี่ ขั้นประเมิน ใบกิจกรรมท5ี่ หนว่ ยท่ี 5 เรอ่ื ง การขยายพันธุ์พชื คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนทาเครื่องหมาย √ หน้าข้อความท่ถี ูก และทาเครือ่ งหมาย X หน้าข้อความทีผ่ ิด ____1. การทาบก่ิง เป็นการขยายพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศ ____2. การเพาะเมลด็ เป็นการขยายพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ ____3. ขมิน้ ควรใช้การขยายพนั ธ์ุแบบทาบกิ่ง ____4. การตดิ ตาแบบซปิ เหมาะสาหรับไม้ทีม่ เี นือ้ บาง เปราะ ____5. การทาบก่ิง ต้องใช้กาบมะพร้าวห้มุ ทกุ ครัง้ ____6. ในการติดตา พชื ต้นตอ ควรพชื ทีแ่ ขง็ แรง หาอาหารเก่งเจรญิ เตบิ โต แขง็ แรง ทนทานต่อโรค และสภาพแวดลอ้ ม ____7. การตอนก่งิ เป็นการทาให้เกิดราก ขณะทยี่ งั ไมไ่ ด้ตัดกงิ่ ออกจากตน้ เดมิ ____8. การปักชาก่ิงหรือลาต้น ควรตดั ด้านบนและลา่ ง เฉียง 37 องศา ____9. การแยกหน่อ เป็นการขยายพนั ธ์ุโดยไมอ่ าศยั เพศเองตาม ธรรมชาติ ____10. การทาบกิง่ มี2วธิ ี คอื การทาบก่ิงแบบประกบั และ การทาบก่ิง แบบเสียบ เกณฑ์การประเมิน 8-10 ดีมาก 5-7 ดี ต่ากว่า 4 พอใช้ 114
แบบทดสอบหนว่ ยที่ 5 เร่ือง การขยายพันธุพ์ ชื คาชีแ้ จง ให้นักเรยี นเลอื กคาตอบทถี่ ูกต้องทีส่ ุดเพยี งข้อเดยี ว 1.ขอ้ ใดเป็นการสบื พันธุ์แบบไม่อาศยั เพศ 6. การขยายพนั ธุ์โดยวธิ กี ารตอนกิง่ เหตใุ ดจงึ ตอ้ งขูด ก. การตอนก่งิ เนอ้ื เยอ่ื ลาเลยี งออก ข. การปฏิสนธิ ก. เพ่ือให้นา้ ซึมผ่านไดด้ ี ค. การถา่ ยละอองเรณู ข. เพ่ือไมใ่ หพ้ ืชสร้างอาหาร ง. การผสมพนั ธขุ์ องเซลล์สืบพนั ธ์ุ ค. เพื่อปอ้ งกันการสูญเสยี น้า 2.การขยายพนั ธพ์ุ ืชโดยวิธใี ดทต่ี ้องกรดี แผลต้นตน ง. เพอื่ ให้บรเิ วณเหลอื รอยคว่ันเกิดราก 7. กง่ิ ทจ่ี ะนามาขยายพนั ธุโ์ ดยวธิ กี ารตอนก่ิง ควรมี เป็นรปู ตัว T ลักษณะอยา่ งไร ก. การตอนกง่ิ ก. กงิ่ ทีค่ ่อนข้างยาว ข. การทาบกงิ่ ข. กิง่ ทีม่ ขี นาดใหญ่ ค. การตดิ ตา ค. กงิ่ ทีค่ อ่ นขา้ งตง้ั ตรง ง. การปกั ชา ง. ก่ิงท่คี อ่ นข้างแก่ 3. ข้อดขี องการปักชา คือข้อใด 8. ขอ้ ใดเปน็ การสืบพันธแ์ุ บบไมอ่ าศัยเพศที่ไม่ได้เกดิ จาก ก. มีรากแกว้ ที่แขง็ แรง ฝมี อื มนุษย์ ข. ไม่ต้องรดน้าบอ่ ยๆ ก.การปักชา ค. สามารถทาได้กบั พืชทุกชนิด ข. การตดิ ตา ง. ใหด้ อกและผลเร็ว ค. การแตกหนอ่ 4. ข้อใดหมายถงึ การตอนกิ่ง ง. การตอนกิง่ ก. การตดั รากทข่ี น้ึ ใหมท่ ้งิ 9. พชื พในขอ้ ใดทส่ี ามารถขยายพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศเอง ข. การนาก่งิ ไปแช่น้าจนรากงอก ตามธรรมชาติ ค. การตดั ลาต้นส่วนท่มี ีตาออก ง. การทาให้ก่ิงเกดิ รากขณะท่ีอยบู่ นตน้ เดมิ ก. มะม่วง 5.ในการติดตาพชื หากไมม่ พี ลาสติกที่จะนามาพนั ข. ทเุ รยี น บริเวณตา เพือ่ กนั นา้ เขา้ เราสามารถใชว้ สั ดใุ นข้อ ค. เฟือ่ งฟา้ ง. ตน้ ตายใบเป็น ใดแทนได้ 10. ข้อใดเป็นข้อดขี องการขยายพนั ธ์พุ ชื โดยใช้ส่วนตา่ งๆ ก. ผา้ ชุบน้า ของพืช ข. ผา้ ชบุ เทยี นไข ก. ต้นพืชแขง็ แรง ค. กระดาษเยื่อ 115 ข. ย้ายพันธไุ์ ดง้ า่ ย ง. กระดาษหนงั สอื พมิ พช์ บุ นา้ ค. ประหยัดค่าใช้จา่ ย ง. ให้ผลตรงตามพันธ์ุทต่ี อ้ งการ
แบบทดสอบหลงั เรียน - 116
แบบทดสอบหลงั เรียน คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบที่ถูกตอ้ งท่สี ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. หมายเลข 1 เปน็ ส่วนใดของตน้ ไม้ 6. ขอ้ ใดคอื พชื ชัน้ สูงทัง้ หมด ก. เฟอ่ื งฟา้ เฟริ น์ หญา้ ถอดปลอ้ ง ดาวเรือง ก. ผล ข. กล้วยไม้ กหุ ลาบ ผกั ตบชวา ผักแว่น ค. เฟ่ืองฟา้ มอส บานไม่รโู้ รย ดอกเข็ม ข. ใบ ง. กหุ ลาบ ชบา ผกั ตบชวา ไมยราบ ค. ลาตน้ 1 7. ขอ้ ใดต่างจากพวก ง. ราก ก. มะม่วง ข. สน 2. ข้อใด ไมใ่ ช่ หนา้ ที่ของลาต้น ค. ข้าว ก. ลาเลียงอาหาร ง. ตะไคร้ ข. ช่วยชกู งิ่ กา้ นและใบ ค. ลาเลียงน้าและแร่ธาตุ 8. ข้อใดไมใ่ ช่พชื ไมม่ ดี อก ง. เปน็ ทางเข้าออกของออกซิเจน ก. ผักตบชวา ข. สน 3. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ลกั ษณะของใบ ค. มอส ก. ใบพชื สามารถสงั เคราะห์แสงได้ ง. จอกแหน ข. ใบพืชสามารถขยายพนั ธไ์ุ ด้ ค. ใบพืชสามารถดูดน้าและแร่ธาตไุ ด้ 9.ขอ้ ใดบอกลกั ษณะพชื ดอกไมถ่ ูกตอ้ ง ง. ใบพชื สามารถหายใจได้ ก. มีราก ข. มีลาตน้ 4. ตน้ ไผแ่ ละตน้ ออ้ ย มลี ักษณะในขอ้ ใดเหมือนกัน ค. มใี บ ก. ลาต้นตรงใหญ่ ง. มสี ปอร์ ข. ลาตน้ มีขอ้ ปล้อง ค. ลาต้นเปน็ เถาเลอื้ ย 10. จากภาพแสดงถงึ พืชกลุม่ ใด ง. ลาตน้ อยใู่ ตด้ ิน ก. แหน ข. สน 5. พืชใดเหน็ ข้อปลอ้ งชัดเจน ค. มีดอก ก. พรกิ ง. ไม่มดี อก ข. ไผ่ ค. กุหลาบ ง. มะเขอื 117
11. สง่ิ ใดจาเปน็ ตอ่ การดารงชวี ติ ของพืช 16. ขอ้ ใดเปน็ ส่วนประกอบที่สาคญั ของดอกไม้ ก. นา้ ก. ก้านดอก กลบี ดอก กลบี เลีย้ ง เกสรเพศเมีย ข. แสงแดด ข. กลีบเลย้ี ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย ค. ดิน ค. ก้านดอก ร้ิวประดับ เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ง. ถูกทุกขอ้ ง. กลบี ดอก ฐานรองดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย 12. ปัจจัยใดมผี ลต่อการงอกของเมล็ดมากที่สุด 17. ส่วนท่ีสาคญั ของดอกทีใ่ ชใ้ นการสืบพันธ์คอื ขอ้ ใด ก. แสงแดด ก. กลีบดอก ข. แร่ธาตุ ข. อับเรณแู ละรังไข่ ค. ยาฆ่าแมลง ค. กลีบดอกและเกสรเพศผู้ ง. นา้ ง. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี 13.นา้ ท่ีใชร้ ดตน้ พืช ไม่ควรใชน้ ้าประเภทใด 18. กลบี เลยี้ งมปี ระโยชน์อย่างไร ก. น้าประปา ก. สร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ ข. นา้ สะอาด ข. ใชใ้ นการสงั เคราะหแ์ สง ค. นา้ ร้อน ค. ป้องกันอันตรายจากแมลง ง. นา้ ฝน ง. ลอ่ แมลงเพอื่ ช่วยผสมเกสร 14.ตน้ พชื ทไ่ี มไ่ ด้รดนา้ นานๆ จะมีลกั ษณะอย่างไร 19. เกสรเพศเมียมสี ่วนประกอบอะไรบ้าง ก. เหย่ี วเฉา ก. รงั ไข่ ข. รากเนา่ ข. ยอดเกสรเพศเมีย ค. ใบซีด ค. ก้านชูเกสรเพศเมยี ง. ออกดอกสวยงาม ง. ถูกทุกขอ้ 15.ถ้าตน้ พืชไมไ่ ดร้ บั แสงแดดเปน็ เวลานานๆ ต้นพืช 20. ลักษณะของดอกในขอ้ ใดทแ่ี มลงมโี อกาสมาชว่ ย จะเปน็ อยา่ งไร ผสมเกสรมากทสี่ ดุ ก. เหย่ี วเฉา ก. มจี านวนเกสรเพศผมู้ าก ข. ใบซดี ข. กลบี เลี้ยงเรียงตัวเป็นชั้นสวยงาม ค. ราดเนา่ ค. กลีบดอกมีสสี นั สวยงามและมีนา้ หวาน ง. ใบเขยี วสด ง. ดอกมขี นาดใหญ่ มกี ลบี ดอกจานวนมาก 118
21. จากรปู เปน็ การขยายพนั ธด์ุ ว้ ยวิธใี ด ก. การตดิ ตา ข. การตอนกง่ิ ค. การปกั ชา ง. การทาบกงิ่ 22. วธิ กี ารใดเป็นการขยายพนั ธ์แุ บบอาศยั เพศ ก. การปักกงิ่ ข. แยกหนอ่ ค. การเพาะเมล็ด ง. การตดิ ตา 23. การปักชา ควรตดั ต้นไม้ทจ่ี ะปักชาเฉียงกอ่ี งศา ก. 25 องศา ข. 37 องศา ค. 45 องศา ง. 90 องศา 24. หอมควรใชก้ ารขยายพันธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศด้วยวธิ ีใด ก. การแยกหนอ่ ข. การเสยี บยอด ค. การทาบกง่ิ ง. การปกั ชา 25. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ารขยายพันธ์แุ บบไม่อาศัยเพศทง้ั หมด ก. การตอนก่ิง การปักชา ข. การปกั ชา การแยกหน่อ ค. การปกั ชา การเพาะเมล็ด ง. การทาบกิง่ การเสียบยอด 119
บรรณานุกรม วรญั ญา แวน่ ไธสง. (2560). โครงสรา้ งของพชื . สบื คน้ เมื่อ 30 ตุลาคม, 2562, จาก https://www.kroobannok.com/81559 ภารกจิ ไชยชาญ. (2561). การขยายพนั ธุ์พชื . สืบคน้ เมื่อ 30 ตุลาคม, 2562, จาก https://sci05wijai.blogspot.com ชยพร แอคะรัจน์. (2561). ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการเจริญเติบโตของพืช. สบื ค้นเม่อื 2 พฤศจกิ ายน, 2562, จากhttps://www.gotoknow.org/posts/644375 Sawwalak. (2560). พืชมีดอกและพืชไร้ดอก. สบื ค้นเม่ือ 16 พฤศจิกายน 2562. จาก.http://mynewsawalak.blogspot.com/2017/02/blog-post.html 120
ภาคผนวก 121
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น/หลงั เรียน คาชีแ้ จง ให้นักเรียนเลอื กคาตอบท่ีถูกตอ้ งท่สี ดุ เพยี งข้อเดียว 1. หมายเลข 1 เปน็ สว่ นใดของต้นไม้ 6. ข้อใดคอื พืชชั้นสูงทง้ั หมด ก. เฟ่อื งฟา้ เฟริ น์ หญ้าถอดปล้อง ดาวเรือง ก. ผล ข. กล้วยไม้ กุหลาบ ผกั ตบชวา ผักแว่น ค. เฟ่อื งฟ้า มอส บานไม่ร้โู รย ดอกเข็ม ข. ใบ ง. กหุ ลาบ ชบา ผกั ตบชวา ไมยราบ ค. ลาต้น 1 7. ข้อใดต่างจากพวก ง. ราก ก. มะมว่ ง ข. สน 2. ขอ้ ใด ไม่ใช่ หน้าที่ของลาตน้ ค. ขา้ ว ก. ลาเลยี งอาหาร ง. ตะไคร้ ข. ช่วยชกู ง่ิ ก้านและใบ ค. ลาเลยี งนา้ และแร่ธาตุ 8. ข้อใดไม่ใช่พืชไมม่ ีดอก ง. เปน็ ทางเขา้ ออกของออกซิเจน ก. ผักตบชวา ข. สน 3. ข้อใด ไม่ใช่ ลกั ษณะของใบ ค. มอส ก. ใบพชื สามารถสงั เคราะห์แสงได้ ง. จอกแหน ข. ใบพชื สามารถขยายพนั ธ์ไุ ด้ ค. ใบพชื สามารถดดู นา้ และแรธ่ าตไุ ด้ 9.ข้อใดบอกลักษณะพชื ดอกไม่ถูกตอ้ ง ง. ใบพชื สามารถหายใจได้ ก. มรี าก ข. มลี าตน้ 4. ต้นไผ่และต้นอ้อย มลี ักษณะในขอ้ ใดเหมือนกนั ค. มใี บ ก. ลาต้นตรงใหญ่ ง. มสี ปอร์ ข. ลาต้นมีขอ้ ปล้อง ค. ลาต้นเป็นเถาเล้ือย 10. จากภาพแสดงถงึ พืชกลุม่ ใด ง. ลาตน้ อยู่ใตด้ นิ ก. แหน ข. สน 5. พชื ใดเหน็ ข้อปลอ้ งชัดเจน ค. มีดอก ก. พรกิ ง. ไม่มดี อก ข. ไผ่ ค. กหุ ลาบ ง. มะเขือ 122
11. สง่ิ ใดจาเปน็ ตอ่ การดารงชวี ติ ของพืช 16. ขอ้ ใดเปน็ ส่วนประกอบที่สาคญั ของดอกไม้ ก. นา้ ก. ก้านดอก กลบี ดอก กลบี เลีย้ ง เกสรเพศเมีย ข. แสงแดด ข. กลีบเลย้ี ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย ค. ดิน ค. ก้านดอก ร้ิวประดับ เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ง. ถูกทุกขอ้ ง. กลบี ดอก ฐานรองดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย 12. ปัจจัยใดมผี ลต่อการงอกของเมล็ดมากที่สุด 17. ส่วนท่ีสาคญั ของดอกทีใ่ ชใ้ นการสืบพันธ์คอื ขอ้ ใด ก. แสงแดด ก. กลีบดอก ข. แร่ธาตุ ข. อับเรณแู ละรังไข่ ค. ยาฆ่าแมลง ค. กลีบดอกและเกสรเพศผู้ ง. นา้ ง. เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี 13.นา้ ท่ีใชร้ ดตน้ พืช ไม่ควรใชน้ ้าประเภทใด 18. กลบี เลยี้ งมปี ระโยชน์อย่างไร ก. น้าประปา ก. สร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ ข. นา้ สะอาด ข. ใชใ้ นการสงั เคราะหแ์ สง ค. นา้ ร้อน ค. ป้องกันอันตรายจากแมลง ง. นา้ ฝน ง. ลอ่ แมลงเพอื่ ช่วยผสมเกสร 14.ตน้ พชื ทไ่ี มไ่ ด้รดนา้ นานๆ จะมีลกั ษณะอย่างไร 19. เกสรเพศเมียมสี ่วนประกอบอะไรบ้าง ก. เหย่ี วเฉา ก. รงั ไข่ ข. รากเนา่ ข. ยอดเกสรเพศเมีย ค. ใบซีด ค. ก้านชูเกสรเพศเมยี ง. ออกดอกสวยงาม ง. ถูกทุกขอ้ 15.ถ้าตน้ พืชไมไ่ ดร้ บั แสงแดดเปน็ เวลานานๆ ต้นพืช 20. ลักษณะของดอกในขอ้ ใดทแ่ี มลงมโี อกาสมาชว่ ย จะเปน็ อยา่ งไร ผสมเกสรมากทสี่ ดุ ก. เหย่ี วเฉา ก. มจี านวนเกสรเพศผมู้ าก ข. ใบซดี ข. กลบี เลี้ยงเรียงตัวเป็นชั้นสวยงาม ค. ราดเนา่ ค. กลีบดอกมีสสี นั สวยงามและมีนา้ หวาน ง. ใบเขยี วสด ง. ดอกมขี นาดใหญ่ มกี ลบี ดอกจานวนมาก 123
21. จากรปู เปน็ การขยายพนั ธด์ุ ว้ ยวิธใี ด ก. การตดิ ตา ข. การตอนกง่ิ ค. การปกั ชา ง. การทาบกงิ่ 22. วธิ กี ารใดเป็นการขยายพนั ธ์แุ บบอาศยั เพศ ก. การปักกงิ่ ข. แยกหนอ่ ค. การเพาะเมล็ด ง. การตดิ ตา 23. การปักชา ควรตดั ต้นไม้ทจ่ี ะปักชาเฉียงกอ่ี งศา ก. 25 องศา ข. 37 องศา ค. 45 องศา ง. 90 องศา 24. หอมควรใชก้ ารขยายพันธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศด้วยวธิ ีใด ก. การแยกหนอ่ ข. การเสยี บยอด ค. การทาบกง่ิ ง. การปกั ชา 25. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ารขยายพันธ์แุ บบไม่อาศัยเพศทง้ั หมด ก. การตอนก่ิง การปักชา ข. การปกั ชา การแยกหน่อ ค. การปกั ชา การเพาะเมล็ด ง. การทาบกิง่ การเสียบยอด 124
เฉลย แบบทดสอบหน่วยท่ี 1 เร่ือง โครงสร้างของพชื คาชแี้ จง ให้นักเรยี นเลือกคาตอบทถ่ี ูกตอ้ งทีส่ ดุ เพียงข้อเดียว 1. ส่วนประกอบทีส่ าคญั ของพืช 6. ใบของพชื เปรียบเหมอื นส่วนใดของคนเรา ก. ลาต้น ราก ใบ ก. ขา ข. ลาตน้ ราก ใบ ดอก ผล ข. แขน ค. ลาต้น ใบ ผล ค. จมกู ง. ผล ดอก ใบ ราก ง. ลาตัว 2. พชื ชนดิ ใดทีม่ ลี าตน้ อยู่ใตด้ ิน 7. ใบของพืชทาหน้าทีอ่ ะไร ก. เผอื ก ก. ยดึ ลาตน้ ข. ผกั บุ้ง ข. ลาเลยี งน้า ค. มะมว่ ง ค. สร้างอาหาร ง. กลว้ ยไม้ ง. ดดู น้าและแรธ่ าตุ 3. หนา้ ท่ีหลกั ของราก คือขอ้ ใด 8. สว่ นใดของพชื ท่ีทาหนา้ ที่ขยายพันธมุ์ ากทส่ี ุด ก. สรา้ งอาหารใหพ้ ืช ก. ใบ ข. ยดึ ลาต้นใหต้ ั้งตรง ข. ผล ค. ชูใบใหไ้ ดร้ บั แสงแดด ค. ดอก ง. ดดู น้าและแร่ธาตจุ ากดนิ ง. ลาตน้ 4. พชื ชนดิ ใดเปล่ยี นใบเปน็ หนามเพ่อื ลดการคายน้า 9. การคายน้า มปี ระโยชน์ต่อพชื อย่างไร ก. ตาลงึ ก. ทาให้ใบเหย่ี วเฉา ข. ตะบองเพชร ข. ปอ้ งกนั แมลงมากดั ค. ว่านหางจระเข้ ค. ลดความรอ้ นในใบ ง. คว่าตายหงายเปน็ ง. ให้รบั แสงแดดมากขนึ้ 5. การแลกเปลยี่ นก๊าซของต้นพืช เกิดข้นึ ที่ส่วนใด 10. หนา้ ที่ของลาตน้ คอื ขอ้ ใด ก. ใบ ก. หายใจ ข. ดอก ข. สรา้ งอาหาร ค. ราก ค. เป็นทางลาเลยี งนา้ และอาหาร ง. ลาต้น ง. เปน็ ทางเขา้ -ออกของออกซเิ จน 125
เฉลย แบบทดสอบหน่วยที่ 2 เร่ือง การจาแยกประเภทของพืช คาช้แี จง ให้นักเรียนเลือกคาตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ดุ เพยี งข้อเดียว 1. พชื ดอกมีลกั ษณะสาคญั อยา่ งไร จากภาพใชต้ อบคาถามข้อ 6-8 ก. มรี ากฝอย ข. เสน้ ใบเปน็ ร่างแห 6. พชื ในภาพอยูใ่ นพืชกลมุ่ ใด ค. มดี อกใชใ้ นการสบื พันธุ์ ก. เฟิร์น ง. กลีบดอกแบง่ เปน็ ชดุ ชุดละ 4-5 กลบี ข. มอส ค. พชื มีดอก 2. ลักษณะสาคญั ของพืชไมม่ ดี อก คอื อะไร ง. พชื ไม่มีดอก ก. มีระบบรากแกว้ ข. สืบพันธุด์ ว้ ยสปอร์ 7. ขอ้ ใดไม่ใชล่ ักษณะของพชื ในภาพ ค. ลาตน้ เปน็ ขอ้ ปลอ้ งชดั เจน ก. ไมม่ ีดอก และเมลด็ ง. สรา้ งเมลด็ จากดอกทผ่ี สมพนั ธุ์แล้ว ข. มีราก ลาตน้ และใบ ค. มีดอก และเมลด็ 3. ข้อใดไมเ่ กี่ยวขอ้ งกับพืชดอก ง. มีกลีบดอก ก. รังไข่ ข. สปอร์ 8. ข้อใดคอื การสบื พนั ธุ์ของพืชในภาพ ค. เกสร ก. การแบ่งเซลล์ ง. ละอองเรณู ข. สปอร์ ค. เมลด็ 4. กลุ่มของพืชดอก คอื ข้อใด ง. การแตกหนอ่ ก. กุหลาบ เฟื่องฟา้ มะลิ ข. กุหลาบ มอส เฟริ ์น 9. พืชชนดิ ใดมกี ารสบื พันธ์โุ ดยการแบง่ เซลล์ ค. มอส เฟริ ์น ผักกดู ก. ตะไคร้ ง. มอส มะลิ สน ข. ผักตบชวา ค. กาละเวก 5. กลมุ่ ของพืชไมม่ ีดอก คือข้อใด ง. พับพงึ ก. ปรง ผกั กูด จอก ข. เฟิร์น ไผ่ ผักแวน่ 10. พชื ในขอ้ ใดต่างจากพวก ค. มอส เฟริ ์น ผักกดู ก. ฟักทอง ง. มอส สน ผักตบชวา ข. กุหลาบ ค. เหด็ 126 ง. คะน้า
เฉลย แบบทดสอบหนว่ ยที่ 3 เรอ่ื ง ปัจจัยในการดารงชีวิต และการเจรญิ เติบโตของพืช คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบทถ่ี กู ต้องทส่ี ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. สิ่งใดจาเป็นตอ่ การดารงชวี ิตของพชื 6. ขอ้ ใดคอื องค์ประกอบทีส่ าคัญของปัจจยั ทม่ี ี ตอ่ การดารงชวี ติ ของพืช ก. นา้ และแสงแดด ก. นา้ ข. แสงแดด ข. มนษุ ย์ ค. แมลง ค. นา้ ง. สารเคมี 7. พืชชนดิ ใดท่ีไมต่ อ้ งการแสงแดดจัด ง. สารเคมี ก. ดอกเฟ่อื งฟา้ ข. ดอกเบญจมาศ 2. ปัจจัยใดมีผลต่อการงอกของเมล็ด ค. ดอกชวนชม ง. ดอกกลว้ ยไม้ ก. แสงแดด ข.แรธ่ าตุ 8. ข้อใดคือความสาคัญของน้า ก. ช่วยละลายแรธ่ าตุในดนิ ค. น้า ง. ไฟไหม้ป่า ข. ใชใ้ นการขยายพนั ธุ์ ค. ใช้ในการสรา้ งอาหาร 3. นา้ ท่ใี ชร้ ดต้นพชื ไมค่ วรใช้น้าประเภทใด ง. ใชใ้ นการลาเลยี งน้า 9. ขอ้ ใดคอื ความสาคัญของแสงแดด ก. น้าประปา ก. ช่วยละลายแร่ธาตใุ นดนิ ข. ใชใ้ นการขยายพนั ธุ์ ข. น้าสะอาด ค. ใชใ้ นการสร้างอาหาร ง. ใช้ในการลาเลยี งน้า ค. น้าร้อน 10. พืชชนิดใดต้องการแสงแดดราไร ก. ดอกเฟื่องฟ้า ง. ถูกทุกขอ้ ข. ดอกเบญจมาศ ค. ดอกชวนชม 4. ตน้ พชื ทไ่ี ม่ได้รดน้านานๆ จะมีลกั ษณะ ง. ดอกหน้าวัว อย่างไร ก. เหยี่ วเฉา ข. รากเน่า ค. ใบซดี ง. ใบเขียวสดใส 5. ถ้าตน้ พชื ไม่ไดร้ ับแสงแดดเป็นเวลานานๆ ตน้ พืชจะเปน็ อยา่ งไร ก. เหีย่ วเฉา ข. รากเนา่ ค. ใบซดี 127 ง. ถูกทุกขอ้
เฉลย แบบทดสอบหนว่ ยที่ 5 เรอ่ื ง การขยายพนั ธพ์ุ ืช คาช้แี จง ใหน้ ักเรยี นเลือกคาตอบทถี่ ูกต้องทส่ี ุดเพียงข้อเดียว 1.ข้อใดเป็นการสบื พนั ธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศ 6. การขยายพนั ธ์โุ ดยวธิ ีการตอนก่งิ เหตใุ ดจงึ ตอ้ งขูดเนือ้ เยื่อ ก. การตอนก่ิง ลาเลยี งออก ข. การปฏิสนธิ ก. เพ่อื ให้น้าซึมผ่านได้ดี ค. การถา่ ยละอองเรณู ข. เพ่อื ไม่ให้พืชสร้างอาหาร ง. การผสมพนั ธข์ุ องเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ ค. เพอ่ื ปอ้ งกนั การสญู เสียนา้ 2.การขยายพนั ธพุ์ ืชโดยวธิ ใี ดทีต่ อ้ งกรดี แผลตน้ ตนเปน็ ง. เพอ่ื ให้บรเิ วณเหลอื รอยควน่ั เกดิ ราก 7. ก่ิงที่จะนามาขยายพันธ์โุ ดยวิธกี ารตอนกง่ิ ควรมีลกั ษณะ รูปตวั T อยา่ งไร ก. การตอนก่งิ ก. ก่ิงทค่ี อ่ นขา้ งยาว ข. การทาบกง่ิ ข. กิ่งท่ีมขี นาดใหญ่ ค. การตดิ ตา ค. กิ่งที่คอ่ นขา้ งต้งั ตรง ง. การปักชา ง. กง่ิ ทคี่ อ่ นขา้ งแก่ 3. ข้อดขี องการปักชา คือข้อใด 8. ข้อใดเป็นการสบื พนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศทไี่ ม่ได้เกิดจากฝมี อื ก. มีรากแกว้ ที่แขง็ แรง มนุษย์ ข. ไม่ตอ้ งรดนา้ บอ่ ยๆ ก.การปักชา ค. สามารถทาได้กบั พืชทุกชนิด ข. การติดตา ง. ใหด้ อกและผลเรว็ ค. การแตกหนอ่ 4. ขอ้ ใดหมายถงึ การตอนกิ่ง ง. การตอนก่งิ ก. การตัดรากทีข่ ึ้นใหม่ทงิ้ 9. พืชพในข้อใดท่ีสามารถขยายพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศเองตาม ข. การนากง่ิ ไปแชน่ ้าจนรากงอก ธรรมชาติ ค. การตดั ลาตน้ สว่ นท่ีมีตาออก ก. มะม่วง ง. การทาให้กงิ่ เกดิ รากขณะทอ่ี ยู่บนตน้ เดมิ ข. ทเุ รียน 5.ในการติดตาพืช หากไม่มีพลาสติกที่จะนามาพัน ค. เฟือ่ งฟ้า บรเิ วณตา เพ่ือกันนา้ เขา้ เราสามารถใชว้ สั ดุในขอ้ ใด แทนได้ ง. ตน้ ตายใบเปน็ 10. ข้อใดเปน็ ขอ้ ดขี องการขยายพันธ์ุพืชโดยใชส้ ว่ นตา่ งๆ ของพชื ก. ผ้าชุบน้า ก. ตน้ พชื แขง็ แรง ข. ผ้าชบุ เทยี นไข ข. ย้ายพนั ธไุ์ ด้งา่ ย ค. กระดาษเย่อื ค. ประหยัดคา่ ใชจ้ ่าย ง. กระดาษหนังสอื พมิ พ์ชบุ นา้ ง. ใหผ้ ลตรงตามพนั ธ์ทุ ต่ี ้องการ 128
เฉลย แบบทดสอบหนว่ ยท่ี 4 เรือ่ ง การสืบพนั ธุ์ของพืชดอก คาชแี้ จง: ใหน้ กั เรียนเลอื กคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งทสี่ ดุ เพียงขอ้ เดยี ว 1. ข้อใดเป็นสว่ นประกอบทีส่ าคญั ของดอกไม้ 6. ข้อใดไมใ่ ชส่ ว่ นประกอบของเกสรเพศผู้ ก. ก้านดอก กลบี ดอก กลบี เล้ียง เกสรเพศเมยี ก. ออวลุ ข. ละอองเรณู ข. กลีบเลย้ี ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ค. อับละอองเรณู ง. ก้านชอู ับละอองเรณู ค. ก้านดอก ร้วิ ประดบั เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย ง. กลีบดอก ฐานรองดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย 7. สว่ นใดของเกสรเพศผูท้ ท่ี าหนา้ ท่เี ป็นเซลลส์ บื พันธ์ุ ก. รงั ไข่ ข. อับเรณู 2. ส่วนใดของพืชทาหนา้ ท่ลี อ่ แมลงใหม้ าผสมเกสร ค. ละอองเรณู ง. กา้ นชูอบั เรณู ก. กลบี ดอก ข. กลีบเลยี้ ง ค. เกสรตวั เมีย ง. เกสรตัวผู้ 8. ข้อใดกลา่ วถูกต้องเก่ยี วกับสว่ นประกอบของพืชดอก ก. รงั ไขท่ าให้เกดิ กลิ่นหอมของดอก 3. ข้อใดคือหน้าที่ของกลบี เล้ยี ง ข. เซลลไ์ ขเ่ ปน็ เซลลส์ บื พันธ์ุเพศเมีย ก. ป้องกันอนั ตรายแก่ดอกอ่อน ค. อบั เรณเู มอ่ื แตกออกจะมยี างเหนียว ข. ปรุงอาหารนามาเลย้ี งดอก ง. ออวุลอยูบ่ นสว่ นปลายสุดของเกสรเพศเมยี ค. หาอาหารเลีย้ งต้นอ่อน ง. ปอ้ งกันอนั ตรายตอ่ ดอกเม่อื บานเต็มท่ี 9. ส่วนใดของพืชจะเจรญิ เปน็ ผลได้ ก. ใบ ข. รงั ไข่ 4. ข้อใดไมใ่ ชส่ ่วนประกอบของเกสรเพศเมยี ค. กลบี ดอก ง. เกสรตัวผู้ ก. รังไข่ ข. ออวลุ ค. ละอองเรณู ง. กา้ นชูเกสรเพศเมยี 10. ดอกเปรียบเสมอื นอวัยวะใดของร่างกายคน ก. ตา ข. ปาก 5. ลกั ษณะสาคัญของยอดเกสรเพศเมยี คือขอ้ ใด ค. จมกู ง. อวยั วะสบื พนั ธ์ุ ก. เปน็ ส่วนทีอ่ ยู่บรเิ วณโคนดอก ข. เปน็ เป็นป่มุ มียางเหนียว รสหวาน ค. เป็นส่วนท่อี ยดู่ ้านในสุด มองเห็นเด่นชัด 129 ง. เป็นเป็นปุม่ มกี ล่ินหอมเพ่ือชว่ ยล่อแมลง
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เร่ือง โครงสร้างของพชื เวลา 2 ชวั่ โมง ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 4 มาตรฐาน/ตวั ชีว้ ดั มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจสมบัตขิ องส่ิงมีชวี ติ หน่วยพนื้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ การลาเลยี งสารผา่ นเซลล์ ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทขี่ องระบบตา่ ง ๆ ของสัตว์และมนษุ ย์ทางานสัมพนั ธก์ นั ความสัมพนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธก์ ัน รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ว 1.1 ป.4/1 บรรยายหน้าท่ีของราก ลาต้น ใบ และ ดอกของพชื ดอกโดยใชข้ ้อมูลที่รวบรวมได้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งภายนอกของพชื ได้ ( K ) 2. นกั เรยี นสามารถสารวจและจาแนกสว่ นประกอบของพืชได้ ( P ) 3. นกั เรยี นมงุ่ มน่ั ในการทางาน ( A ) สาระสาคัญ พืชประกอบด้วยอวยั วะทีส่ าคญั ตอ่ การดารงชีวติ ได้แก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล และเมล็ด ซ่ึงอวัยวะแตล่ ะ สว่ นของพืชนนั้ มีหน้าทีแ่ ละสว่ นประกอบแตกตา่ งกัน แต่ทางานเกี่ยวข้องและสมั พนั ธ์กันหากขาดอวัยวะส่วนใด สว่ นหน่งึ ไป อาจทาใหพ้ ืชนนั้ ผิดปกติหรือตายได้ เนื้อหา โครงสร้างของพชื มีส่วนประกอบท่สี าคัญต่อการดารงชวี ติ ไดแ้ ก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล และเมลด็ ราก มหี นา้ ทยี่ ดึ ลาต้น ดดู นา้ ดูดสารอาหาร สง่ ไปยงั ปลายสดุ ของราก ลาตน้ มหี น้าที่ลาเลยี งนา้ แร่ธาตุ และอาหาร ชูก่งิ ก้านของพชื เพ่อื ให้ไดร้ ับแสง ใบ มหี น้าที่ปรุงอาหาร โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง และหายใจในเวลากลางคืนโดยการดดู ก๊าซออกซิเจน แลว้ คายก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ดอก มหี น้าที่สืบพนั ธุ์ โดยการถา่ ยละอองเรณูจากเกสรเพศผู้ปยังเกสรเพศเมยี ผล มีหน้าที่สะสมอาหาร และหอ่ หุ้มเมลด็ เพอ่ื ปอ้ งกนั ไม่ให้เมลด็ เกดิ อนั ตราย 130
กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ขน้ั นาเข้าสู่บทเรียน 1. ครูสอบถามนักเรียนในเรอ่ื งโครงสร้างของพืช เชน่ โครงสร้างภายนอกของพืชประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ขัน้ สอน 2. ครูสอนเร่อื งโครงสร้างของพชื โดยครนู าต้นดาวเรอื งมาให้นกั เรยี นศึกษาและดเู ป็นตัวอย่าง 3. ครูใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรมโดยให้นกั เรียนแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 5 - 6 คน ช่วยกนั วาดรปู ต้นไมท้ ี่สนใจ พรอ้ มและระบสุ ว่ นประกอบ ( ราก ลาตน้ ใบ ผล ดอก ) ของพืชให้ถูกต้อง ชั้นสรุป 4. ครูกับนักเรียนช่วยกนั สรปุ เร่อื งโครงสรา้ งของพืช 5. ครใู หน้ ักเรยี นทาใบกิจกรรม ชน้ิ งาน/ภาระงาน ใบกจิ กรรม สอื่ การเรยี นรู้ - ชดุ กิจกรรมการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรสู้ ืบเสาะเรือ่ ง การดารงชวี ิตของพืช - ต้นดาวเรือง การวัดและการประเมิน วิธีวัด เครอื่ งมือ เกณฑ์ ตรวจแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 2 ตอบถกู บางข้อ นกั เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสรา้ ง ใบกิจกรรม 1 ตอบไมถ่ กู เลย 3 ตอบถกู ทุกข้อ ภายนอกของพืชได้ ( K ) ใบกจิ กรรม 2 ตอบถูกบางขอ้ 1 ตอบไม่ถูกเลย นกั เรยี นสามารถสารวจและจาแนก ตรวจใบกจิ กรรม 3 ตอบถูกทกุ ข้อ ส่วนประกอบของได้ ( P ) 2 ตอบถกู บางขอ้ 1 ตอบไมถ่ ูกเลย นกั เรยี นมงุ่ มน่ั ในการทางาน ( A ) ตรวจใบกจิ กรรม 131
แผนการจดั การเรียนรู้ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 เร่ือง พืชดอกและพชื ไมม่ ดี อก กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การจาแนกประเภทของพืช เวลา 2 ชว่ั โมง มาตรฐาน/ตัวชีว้ ัด ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคญั ของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม สาร พนั ธุกรรม การ เปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรมทม่ี ผี ลตอ่ สงิ่ มชี ีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวฒั นาการของส่งิ มชี ีวิต รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ว 1.3 ป.4/2 จาแนกพชื ออกเปน็ พืชดอกและพืชไมม่ ีดอก โดยใชก้ ารมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มูล ท่รี วบรวม ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.นกั เรยี นสามารถจาแนกพชื ดอกและพชื ไมม่ ดี อกได้ (K) 2.นกั เรยี นสารถเขยี นแผนผงั ความคดิ สรปุ องคค์ วามรู้ เรอ่ื งการจาแนกพชื ได้ (p) 3.นกั เรยี นมคึ วามกระตอื รอื รน้ ในการเรยี น (A) สารสาคญั การจาแนกพชื พชื มีมากมายหลายชนิด แตล่ ะชนดิ มีโครงสร้างทเ่ี หมือนกนั และแตกตา่ งกัน เราสามารถใช้ โครงสรา้ งทเ่ี หมอื นกนั ของพืชจัดพชื ให้อยใู่ นกลุ่ม เดยี วกนั เช่น ใช้ดอกเป็นเกณฑ์ แบ่งพืชออกเป็นพืชมดี อกกบั พชื ไม่มดี อก และพชื มดี อก เน้อื หา พชื เป็นสิง่ มชี วี ิตทม่ี คี วามสาคัญตอ่ คนและสตั ว์เป็นอย่างมาก พชื ในโลกน้มี ีอยู่มากมายหลายชนดิ นักวทิ ยาศาสตรจ์ งึ ไดใ้ ชเ้ กณฑ์ต่าง ๆ ในการจัดหมวดหมู่พชื เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการจดั หมวดหมูพ่ ชื ที่แสดงถงึ สายสมั พนั ธข์ุ องพืชท่ีใกลช้ ิดทีส่ ดุ คอื การจาแนกพชื โดยการสบื พนั ธ์ุ ซึ่งทาให้สามารถแบง่ พืชไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ 1.พืชดอก หมายถงึ พชื ท่ีเมอื่ เจรญิ เติบโตเต็มทแ่ี ลว้ จะมีดอกใหเ้ ห็น ใช้ดอกในการสืบพนั ธ์ุ 2.พชื ไม่มีดอก หมายถึงพืชท่ีตลอดการดารงชวี 1ิต3ไ2ม่สามารถออกดอกเพ่อื ใชใ้ นการสืบพนั ธุ์
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ข้นั นา 1.ครูนารูปภาพตวั อย่าของพชื มาแสดงหน้าชัน้ เรียน 2.ครตู ้งั คาถามเพือ่ ให้นกั เรียนสนใจในบทเรยี น เช่น -นกั เรยี นรู้จกั พชื ในรูปหรอื ไม่ -แต่ละตน้ มีชอื่ วา่ อะไรบ้าง ขั้นสอน 3.ครสู อนเรอ่ื งการจาแนกประเภทของพืชดอกและพืชไม่มดี อกพรอ้ มท้งั ยกตัวอย่างของพชื แต่ละประเภท 4.ใหน้ กั เรียนทากจิ กรรมโดยแบ่งกล่มุ 4 – 5 คน ชว่ ยกันศึกษาค้นควา้ และจาแนกประเภทของพชื ทค่ี รกู าหนด มาให้ ขัน้ สรปุ 5.นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั กจิ กรรม และรว่ มกนั สรปุ เนอ้ื หา เรือ่ ง การจาแนกประเภทของพชื ดอกและพืชไม่มีดอก 6.ครใู ห้นกั เรยี นทาใบกจิ กรรม ชนิ้ งาน/ภาระงาน -ใบกิจกรรม สือ่ การเรยี นรู้ -รูปภาพของพชื -ชุดกิจกรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนร้สู บื เสาะ เรือ่ ง การดารงชวี ติ ของพืช 133
การวัดและประเมนิ ผล วิธีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์ ตรวจแบบฝึกหดั แบบฝกึ หดั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3 ตอบถูกทกุ ข้อ นกั เรยี นสามารถจาแนกพชื ดอก ใบกจิ กรรม 2 ตอบถกู บางข้อ และพชื ไมม่ ดี อกได้ (K) 1 ตอบไมถ่ กู เลย นกั เรยี นสารถเขยี นแผนผัง ตรวจใบกิจกรรม 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ ความคิดสรปุ องคค์ วามรู้ เรอ่ื ง 2 ตอบถกู บางขอ้ การจาแนกพชื ได้ (P) 1 ตอบไมถ่ กู เลย นกั เรยี นมคึ วามกระตอื รอื รน้ ใน สงั เกตพฤติกรรม ใบสงั เกตพฤติกรรม 3 ตอบถูกทกุ ข้อ การเรยี น (A) 2 ตอบถูกบางข้อ 1 ตอบไมถ่ กู เลย 134
แผนการจดั การเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ หน่วยท่ี 3เรือ่ ง ปจั จัยในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เติบโต ของพืช เวลา 1 ชว่ั โมง ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 มาตรฐาน / ตัวชว้ี ดั มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของสิ่งมีชวี ติ หนว่ ยพื้นฐานของสิง่ มชี วี ติ การลาเลียงสารผา่ นเซลลค์ วามสมั พนั ธ์ ของโครงสร้าง และหน้าท่ขี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ยท์ ่ที างานสัมพันธ์กนั ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้าง และหน้าทข่ี องอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ทที่ างานสมั พันธก์ นั รวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ว 1.1 ป.2/1 ระบวุ ่าพืชตอ้ งการแสงและน้าเพ่อื การเจริญเติบโต โดยใช้ข้อมลู จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ว 1.2 ป.2/2 ตระหนักถงึ ความจาเปน็ ที่พชื ตอ้ งการไดร้ บั นา้ และแสงเพื่อการเจริญเตบิ โต โดยดูแลพชื ให้ไดร้ บั สง่ิ ดงั กล่าวอย่างเหมาะสม จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายไดว้ า่ อาหาร นา้ แสงแดด ดนิ และอณุ หภมู ิ เปน็ ปจั จยั ทีจ่ าเปน็ ตอ่ การดารงชวี ติ ของพชื และการเจรญิ เตบิ โตของพชื (K) 2. นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา่ งปจั จยั ทจ่ี าเปน็ ตอ่ การดารงชวี ติ ของพชื ได้ (P) 3. นกั เรยี นมคี วามสนใจในการเรียนรู้ (A) สาระสาคัญ พชื เป็นสิง่ มชี ีวิต จึงต้องการปัจจยั ในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เตบิ โต พืชต้องการอาหาร น้า แสง สว่าง อากาศ และอณุ หภูมิท่พี อเหมาะ ในการดารงชีวิตและการเจรญิ เติบโต เนอ้ื หา พชื จะดารงชีวติ และเจรญิ เตบิ โตได้ ต้องอาศยั ปัจจยั ภายนอกและปจั จัยภายใน จึงจะทาให้พืชเจริญ งอกงามและให้ผลผลิตที่มีคณุ ภาพดี โดยปัจจยั ภายใน อาทเิ ชน่ เมล็ดพนั ธ์ุทอ่ี ุดมสมบรู ณ์ จะส่งผลต่อการ เจริญเติบโตงอกของเมลด็ พันธ์ุ ทาใหไ้ ดผ้ ลผลติ ทด่ี ี นอกจากนย้ี ังมปี จั จัยภายนอกท่ีสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี้ 135
น้า เป็นปัจจยั ที่มคี วามสาคญั ตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืชมาก เพราะน้าช่วยละลายแร่ธาตอุ าหารในดิน เพอื่ ให้รากดดู อาหารไปเลยี้ งสว่ นต่างๆ ของลาตน้ ได้ และยังชว่ ยให้ดินมคี วามชุ่มชน้ื พชื สดช่นื และการทางาน ของกระบวนการต่างๆ ในพชื เปน็ ไปอยา่ งปกติ แสงแดด เปน็ ปัจจัยทีพ่ ืชนา มาใช้ในการสรา้ งอาหาร ถ้าขาดแสงแดด พชื จะแคระแกรน ใบจะมสี ี เหลอื งหรอื ขาวซีดและตายในท่สี ดุ ดนิ เป็นปัจจยั สาคัญสาหรบั การดารงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โตของพืช เพราะภายในดิน มนี ้า และ ธาตุอาหารของพชื สะสมอยู่ พชื มีการลาเลี้ยงน้า อณุ หภมู ิ มีส่วนช่วยในเจริญเติบโตของพืช จะเห็นไดว้ า่ พืชบางชนิดชอบขน้ึ ในท่มี ีอากาศหนาวเยน็ แต่ พชื บางชนดิ กช็ อบข้นึ ในทีม่ อี ากาศร้อน การนาพชื มาปลกู จึงควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับอุณหภูมิท่ีเปล่ยี นไป ตามฤดูกาล ในแต่ละทอ้ งถนิ่ อกี ด้วย กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขั้นนา 1. ครกู ลา่ วทกั ทายนกั เรียน และนักเรียนตอบคาถาม ดังน้ี - “นกั เรยี นรู้หรอื ไมว่ า่ พชื มีการเจรญิ เตบิ โตไดอ้ ยา่ งไร” - “นกั เรยี นรู้หรอื ไมว่ า่ อะไรเปน็ ปจั จยั ในการดารงชวี ติ และการเจรญิ เตบิ โตของพชื ” ขัน้ สอน 2. นกั เรยี นดเู นอ้ื หาบนกระดานเรอ่ื ง ปัจจัยภายในในการดารงชีวิต และการเจรญิ เตบิ โตของพชื โดย นกั เรยี นดรู ปู ภาพเมลด็ พนั ธท์ ส่ี มบรู ณ์ และเมลด็ พนั ธท์ุ ไ่ี ม่สมบรู ณ์ 3. นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเปน็ กลมุ่ ละ 4 – 5 เพอ่ื ศกึ ษาค้นควา้ เร่อื ง ปจั จยั ภายนอกที่มีผลตอ่ การ ดารงชีวิต และการเจรญิ เตบิ โตของพชื จาก “ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรโ์ ดยใชก้ ระบวนการเรยี นรู้ สบื เสาะ เรอื่ ง ปัจจัยในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เติบโตของพชื ” 136
ขั้นสรปุ 4. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ ราย และสรปุ เน้อื หาทไี่ ดเ้ รียนไป เรอ่ื ง ปจั จยั ในการดารงชีวติ และ การเจรญิ เติบโตของพืช 5. นกั เรยี นทาใบกจิ กรรม เรอ่ื ง ปัจจยั ในการดารงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โตของพืช ช้นิ งาน / ภาระงาน ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง ปจั จยั ในการดารงชวี ติ และการเจริญเติบโตของพืช สือ่ การเรยี นรู้ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรโ์ ดยใช้กระบวนการเรียนรู้สืบเสาะ เรื่อง ปัจจยั ในการดารงชวี ิต และการเจริญเตบิ โตของพชื การวัด และการประเมินผล จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ ีวัด เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมิน 1. นักเรียนสามารถอธิบายได้ว่าอาหาร น้า ตรวจแบบฝกึ หดั แบบฝึกหัด 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ แสงแดด ดิน และอุณหภูมิ เป็นปัจจัยที่จาเป็นต่อ 2 ตอบถกู บางข้อ การดารงชีวิตของพืช และการเจริญเติบโตของพืช ตรวจใบกจิ กรรม ใบกจิ กรรม 1 ตอบไมถ่ กู เลย (K) 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ 2. นักเรียนสามารถยกตัวอย่างปัจจัยที่จาเป็นต่อ 2 ตอบถกู บางข้อ 1 ตอบไม่ถกู เลย การดารงชวี ติ ของพืชได้ (P) 3 มีความสนใจดีมาก 2 มีความสนใจดี 3. นักเรยี นมคี วามสนใจในการเรียนรู้ (A) สงั เกตพฤติกรรม แบบสังเกต 1 ไม่มีความสนใจเลย พฤตกิ รรม 137
แผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 เร่อื ง การสบื พันธ์ขุ องพืชดอก เวลา 1 ชวั่ โมง ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ขิ องสิง่ มชี วี ิต หน่วยพื้นฐานของสง่ิ มีชวี ติ การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนษุ ยท์ ่ีทางานสัมพันธก์ นั ความสมั พนั ธ์ ของโครงสร้าง และหน้าท่ขี องอวยั วะต่าง ๆ ของพืชท่ที างานสมั พนั ธก์ ันรวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชี้วดั ว 1.2 ป.4/1 บรรยายหน้าทขี่ องราก ลาตน้ ใบ และดอกของพืชดอกโดยใช้ขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ จุดประสงค์ของการเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายสว่ นประกอบของดอกไมไ้ ด้ ( K ) 2. นกั เรยี นสามารถสารวจและจาแนกสว่ นประกอบของดอกไมไ้ ด้ ( P ) 3. นกั เรยี นมงุ่ มน่ั ในการทางาน ( A ) สาระสาคญั การสบื พนั ธ์ุของพืชดอก มวี ธิ ีการผสมพนั ธ์ุ 2 ข้ันตอน คอื 1. การถ่ายละอองเรณู ( Pollination) เกิดขึ้นได้ 2 ลกั ษณะ คอื การถ่ายละอองเรณใู นต้นเดียวกนั การถ่ายละอองเรณูขา้ มต้น 2. การปฏิสนธิ ( Fertilization) หมายถึง กระบวนการท่สี เปิร์มนวิ เคลียสอนั หน่งึ เขา้ ไปผสมกบั นวิ เคลียสของเซลล์ไข่ และสเปริ ์มนวิ เคลยี สอีกอันหนงึ่ เขา้ ผสมกบั เซลล์โพลาร์นิวเคลียสเรยี กการปฏสิ นธิ ลกั ษณะนีว้ ่า การปฏสิ นธิซ้อน (Double fertilization) 138
เน้อื หา พชื มีดอก คือ พืชทเ่ี จรญิ เติบโตเตม็ ทแ่ี ล้วมสี ว่ นของดอกสาหรับใช้ในการผสมพันธเ์ุ พ่อื ใหเ้ กิดเปน็ พชื ตน้ มสี ว่ นประกอบท่สี าคัญ กลบี เล้ียง กลีบดอก เกสรตวั ผู้ ประกอบดว้ ย อบั ละอองเรณู กา้ นชูอับละอองเรณู เกสรตวั เมีย ประกอบด้วย .ยอดเกสรตัวเมีย กา้ นเกสรตัวเมีย รังไข่ ออวลุ การสบื พนั ธ์ขุ องพืชดอก มวี ธิ ีการผสมพนั ธุ์ 2 ขน้ั ตอน คือ 1. การถา่ ยละอองเรณู (Pollination) 1.1 การถ่ายละอองเรณใู นตน้ เดยี วกนั 1.2 การถา่ ยละอองเรณขู า้ มต้น 2. การปฏิสนธิ (Fertilization) กระบวนการท่ีสเปิรม์ นิวเคลยี สอนั หนงึ่ เขา้ ไปผสมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่ และสเปริ ม์ นิวเคลียสอีกอนั หน่ึงเข้า ผสมกบั เซลล์โพลารน์ ิวเคลยี สเรยี กการปฏสิ นธลิ กั ษณะน้ีว่า การปฏสิ นธซิ ้อน หลังจากการปฏสิ นธแิ ล้วจะได้ผล ของพืช แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ผลเด่ียว ผลกล่มุ ผลรวม กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขั้นนา 1. ครูถามนักเรยี นว่าในโรงเรียนของเรามีดอกไม้อะไรบ้าง 2. ครูนาดอกชบาใหน้ ักเรียนดู ขน้ั สอน 1. ครอู ธบิ ายส่วนประกอบทส่ี าคัญและหนา้ ที่ของดอกชบา 2. นกั เรยี นดวู ดิ โี อขน้ั ตอนการสบื พนั ธข์ุ องพชื 3. นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 4-5 คน เพ่ือเกบ็ ดอกไม้อะไรกไ็ ด้ในโรงเรียนกลมุ่ ละ 1 ดอก 4. นกั เรยี นเขยี นสว่ นประกอบและหนา้ ท่ีของดอกไมท้ เ่ี กบ็ มา ลงในกระดาษ 139
ข้ันสรุป 1. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สรปุ เรือ่ ง การสบื พนั ธข์ุ องพชื ดอก 2. นกั เรยี นทาใบกจิ กรรม เรอ่ื ง การสืบพนั ธข์ุ องพชื ดอก ช้ินงาน/ภาระงาน - ใบกจิ กรรม เรือ่ ง การสบื พนั ธขุ์ องพืชดอก ส่ือการเรียนรู้ - ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้สบื เสาะ เรอื่ ง การสบื พนั ธุข์ องพชื ดอก - วดี ีโอเรื่อง การสืบพนั ธข์ุ องพืชดอก การวัดและการประเมินผล จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีวดั เคร่อื งมอื เกณฑ์ นั ก เ รี ย น ส า ม า ร ถ อ ธิ บ า ย ตรวจแบบฝกึ หัด แบบฝกึ หดั 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ ส่วนประกอบของดอกไม้ได้ 2 ตอบถูกบางข้อ (K) ตรวจใบกิจกรรม ใบกจิ กรรม 1 ตอบไม่ถกู เลย นักเรียนสามารถสารวจและ 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ จ า แ น ก ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ข อ ง 2 ตอบถกู บางข้อ ดอกไม้ได้ ( P ) 1 ตอบไม่ถูกเลย นักเรียนมุ่งมั่นในการทางาน สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม 3 มีความสนใจดีมาก (A) 2 มีความสนใจดี 1 ไม่มคี วามสนใจ 140
แผนการจดั การเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 5 เรอ่ื ง การขยายพนั ธพุ์ ืช เวลา 2 ชว่ั โมง ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพันธร์ ะหว่างสงิ่ ไมม่ ีชวี ิตกบั ส่งิ มชี วี ิต และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่งิ มชี วี ิตกบั สงิ่ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอด พลงั งาน การเปล่ียนแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทีม่ ีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาสงิ่ แวดลอ้ มรวมท้งั น ความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ชว้ี ดั ว 1.1 ป. 4/2 อธบิ ายการสบื พันธข์ุ องพชื ดอก การขยายพนั ธุ์พืช และนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ที่ เก่ยี วข้องกบั การสืบพนั ธ์ขุ องพืชดอก จดุ ประสงคข์ องการเรียนรู้ 1.นกั เรยี นสามารถบอกไดว้ า่ พชื สามารถขยายพนั ธไ์ุ ดห้ ลายวธิ ี(K) 2.นกั เรยี นสามารถสารวจและสบื คน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั การขยายพนั ธไ์ุ ด้ (P) 3.นกั เรยี นใหค้ วามรว่ มมอื ในการทากจิ กรรม (A) สาระสาคัญ การขยายพนั ธุ์พืชสามารถทาไดห้ ลายวธิ ี คือ การเพาะเมล็ด การใช้หนอ่ การปักชา การตอนกงิ่ การ ติดตา การทาบกิ่ง การเสียบยอด การะเพาะเล้ียงเนื้อเยอ่ื เนื้อหา การรขยายพันธพุ์ ชื เป็นขั้นตอนแรกของการเพาะปลกู ต้องมีต้นกล้าพืชเสียกอ่ น การเลือกวธิ กี าร ขยายพนั ธ์ุพชื ท่เี หมาะสม จะทาใหส้ ามารถผลติ ตน้ กล้าได้ตามปริมาณของผลผลติ ตน้ กลา้ ไดต้ ามปรมิ าณและ คณุ ภาพที่ตอ้ งการ ซง่ึ เป็นผลไปถงึ คณุ ภาพหรอื ปริมาณของผลผลิตของพชื นั้น ๆ นอกจากนี้การขยายพันธพ์ุ ชื ยังมคี วามสาคญั ในดา้ นการอนุรกั ษพ์ ันธ์ุพชื ท่ีหายากหรอื ใกล้จะสญู พนั ธ์ุ ซ่งึ ทาไดห้ ลายวิธี เชน่ การเพาะเมลด็ ปักชา ตอนกง่ิ ติดตา ทาบกิง่ เสยี บยอด การแยกห1น4่อ1 และการเพาะเล้ยี งเนอ้ื เยอ่ื เป็นต้น
กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน 1.ครสู อบถามนกั เรียนเร่อื งการสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศ พร้อมทัง้ ตั้งคาถามเกี่ยวกบั การขยายพันธพุ์ ืช ขนั้ สอน 1.ครอู ธิบายเนือ้ หา เร่อื ง การขยายพันธพ์ุ ืช พร้อมทง้ั เปิดวดี โี อ 2.นกั เรยี นไดร้ บั ใบกจิ กรรมท่ี1-3เพื่อสรุปความรูข้ ณะท่คี ณุ ครกู าลงั อธบิ าย 3.นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ4-5คน และสง่ ตัวแทนออกมาจับฉลากเลอื กวิธีการขยายพนั ธแุ์ บบตา่ ง ๆ 4.นกั เรยี นรว่ มกนั สาธติ การขยายพนั ธพ์ุ ชื ทไ่ี ดร้ บั พรอ้ มทง้ั บนั ทกึ และวาดรปู ผลงานทอ่ี อกมา ขั้นสรุป 1.นกั เรยี นทาใบกจิ กรรมท่ี5 เพือ่ สรุปความรู้ที่ได้ 2.นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั การขยายพนั ธพ์ุ ชื 3.นกั เรยี นไดร้ บั ใบกจิ กรรมท่ี4 กลบั ไปทบทวนทีบ่ า้ น ชนิ้ งาน/ภาระงาน -ใบกจิ กรรม -การขยายพันธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศ เชน่ การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง การตดิ ตา การแยกหน่อ การปักชา ส่อื การเรียนรู้ - ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการเรียนรู้สบื เสาะ เร่ือง การขยายพันธุ์พืช - วีดโี อ 142
การวดั และการประเมินผล จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธวี ดั เครือ่ งมือ เกณฑ์ นักเรียนสามารถบอกได้ว่า ตรวจแบบฝกึ หดั แบบฝึกหัด 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ พื ช ส า ม า ร ถ ข ย า ย พั น ธ์ุ ไ ด้ 2 ตอบถูกบางขอ้ หลายวิธ(ี K) ตรวจใบกิจกรรม ใบกิจกรรม 1 ตอบไมถ่ กู เลย นักเรียนสามารถสารวจและ 3 ตอบถกู ทกุ ข้อ สื บ ค้ น ข้ อ มู ล เ ก่ี ย ว กั บ ก า ร 2 ตอบถูกบางขอ้ ขยายพนั ธ์ไุ ด้ (P) 1 ตอบไมถ่ ูกเลย นักเรียนให้ความร่วมมือใน สังเกตพฤตกิ รรม แบบสังเกตพฤติกรรม 3 มีความสนใจดมี าก การทากิจกรรม (A) 2 มคี วามสนใจดี 1 ไม่มีความสนใจ 143
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144