ข้ันท่ี 2 ขั้นสารวจ และค้นหา ปจั จัยภายในสาหรบั การเจริญเติบโตของพืช “พืชจะดารงชีวิตและเจริญเติบโตได้ ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกและ ปจั จัยภายใน จึงจะทาให้พชื เจรญิ งอกงามและใหผ้ ลผลิตทม่ี คี ุณภาพดี” จะเห็นได้ว่า ต้นคะน้า ต้นคะน้า เจริญงอกงาม มีใบสีเขียว เพราะได้รับน้า แสงแดด และอุณหภูมิท่ีเหมาะสมใน การดแู ลใหเ้ จริญเตบิ โต 51
เมลด็ พืชที่สมบรู ณ์ และไมส่ มบรู ณ์ สภาพแวดล้อมภายใน เป็นปัจจัยในการเจริญเติบโตของพืช โดยที่ปัจจัย ภายในน้ันคือ “เมล็ด” ต้องมีความสมบูรณ์แข็งแรง เมล็ดพืชมีหน้าที่สาคัญคือ ขยายพนั ธ์ุพืช เมลด็ พืชแต่ละชนิด มขี นาด รปู รา่ ง ลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกัน การเปรยี บเทยี บระหวา่ งเมลด็ พืชท่สี มบรู ณ์ และไม่สมบูรณ์ รูปภาพเมล็ดถว่ั เขียวทีส่ มบูรณ์ และ เมล็ดถว่ั เขียวทีไ่ ม่สมบูรณ์ รูปภาพเมล็ดขา้ วทีส่ มบูรณ์ และ เมล็ดข้าวทีไ่ ม่สมบูรณ์ 52
การงอกของเมลด็ เมอ่ื เมลด็ ได้รับนา้ แสงแดด ดนิ และอณุ หภมู ิที่พอเหมาะ ต้นออ่ นใน เมลด็ จะเจริญเตบิ โต มีรากงอกออกจากเมลด็ แล้วเจริญลงสดู่ นิ สว่ นลาต้น เจริญขนึ ้ สอู่ ากาศ ดงั รูปตอ่ ไปนี ้ รูปภาพแสดงลาดบั การงอกของเมล็ด ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ภ า ย น อ ก ที่เป็นปัจจัยในการเจริญเติบโตของ พืช เมื่อพืชงอกออกจากเมล็ดและ เจริญเติบโตได้นั้น ขึ้นอยู่กับ น้า แสงแดด ดนิ และอุณหภูมิ 53
ปัจจัยในกำรดำรงชีวติ และ กำรเจริญเตบิ โตของพืช น้า น้า มีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชมาก เพราะน้าช่วยละลายแร่ ธาตอุ าหารในดนิ เพ่อื ให้รากดดู อาหารไปเล้ียงส่วนต่างๆ ของลาต้นได้ และยังช่วย ให้ดินมีความชุ่มช้ืน พชื สดช่ืนและการทางานของกระบวนการต่างๆ ในพชื เป็นไป อยา่ งปกติ การรดน้าตน้ ไม้ เพือ่ ใหต้ น้ ไมเ้ จริญงอกงาม 54
นา้ จากรูปภาพด้านลา่ งนี ้ จะ แสดงให้ เห็นว่า เม่ือพืช ขาดนา้ จะให้ ให้ พืชนัน้ เห่ยี วเฉานะครับ พืชเหีย่ วเฉา เพราะขาดน้า 55
น้า พีแ่ มวเหมียวอยากรูว้ า่ นา้ มีความสาคญั อย่างไร ต่อพืชบา้ ง ? ความสาคัญของน้าที่มตี อ่ พชื 1. น้าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญภายในเซลล์พืช ปริมาณน้าในพืชข้ึนอยู่กับชนิดของพืช อายชุ นิดของเนอื้ เยอื่ และอวยั วะของพืชดว้ ย 2. น้าชว่ ยให้เซลลพ์ ืชเต่ง ทาใหเ้ ซลลม์ ีรปู รา่ งคงตวั เม่ือพชื ขาดน้าทาให้เหีย่ วเฉา นา้ ในพชื ยังชว่ ยใหเ้ กิดการเปิดปดิ ของปากใบและการเคลอื่ นไหวของพืชด้วย 3. น้าเปน็ ตวั ทาละลาย เช่น ละลายแรธ่ าตุตา่ งๆ ทาใหก้ ารลาเลียงแร่ธาตุของพชื ละลาย สารอาหาร เชน่ กลูโคส ซูโครส ทาใหเ้ กิดการลาเลยี งสารอาหารในพชื 56
แสงแดด พืชต้องการแสงแดดมาใชใ้ นการสร้างอาหาร ถา้ ขาดแสงแดด พืชจะ แคระแกรน ใบจะมสี เี หลอื งหรอื ขาวซีดและตายในท่ีสุด แสงแดดจากพระอาทติ ย์ ใบใมท้ ่ีไม่ไดร้ บั แสงแดด จะมลี ักษณะแบบนี้ 57 ใบไมม้ สี ีเหลือง และซด๊
แสงแดด พืชแต่ละชนิดต้องการแสงแดดไม่เท่ากันพืชบางชนิดต้องการแสงแดดจัด เช่น ดอกเฟอ่ื งฟ้า ดอกชวนชม ดอกเบญจมาศ เป็นต้น ดอกเฟ่อื งฟา้ แตพ่ ชื บางชนดิ กต็ ้องการแสงแดดราไร เช่น ดอกหนา้ ววั ดอกกลว้ ยไม้ กวักมรกต เป็นต้น 58 ดอกกลว้ ยไม้
ดิน ดนิ ทใี่ ช้ในการปลูกพืช ดิน เป็นปัจจัยสาคญั สาหรับการ ดารงชีวิต และการเจรญิ เตบิ โตของพชื เพราะภายในดนิ มีนา้ และธาตอุ าหาร ของพชื สะสมอยู่ พชื มกี ารลาเลี้ยงน้า 59
อุณหภมู ิ อุณหภูมิ ซ่ึงมีส่วนช่วยในเจริญเติบโตของพืช จะเห็นได้ว่าพืชบางชนิด ชอบขนึ้ ในท่ีมีอากาศหนาวเย็น แต่พืชบางชนิดก็ชอบขนึ้ ในที่มีอากาศร้อน การนา พืชมาปลูกจึงควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับอุณหภูมิท่ีเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ในแต่ ละท้องถ่ินอกี ด้วย ดอกคณู จะพลดั ใบ และผลิออกในฤดรู ้อน ดอกกระเจียว จะพลใิ บ และออกดอกในฤดูฝน 60
ข้นั ที่ 3 ข้ันอธิบาย และลงขอ้ สรปุ สรุปเนือ้ หำ หน่วยท่ี 3 เร่ือง ปัจจยั ในกำรดำรงชีวติ และกำรเจริญเติบโตของพชื 61
ข้นั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ 62
ขัน้ ที่ 5 ขั้นประเมิน ดาเนินการประเมิน หนว่ ยที่ 3 เร่อื ง ปจั จยั ในการ ดารงชีวติ และการเจริญเติบโตของพชื 1. ประเมนิ ความรรู้ ะหวา่ งเรียนดว้ ยใบกิจกรรมเติมเคร่ืองหมายถกู ผดิ 2. ทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนด้วยแบบทดสอบ หนว่ ยท่ี 3 เร่อื ง ปจั จัยในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เตบิ โตของพืช 63
ใบกิจกรรมที่ 1 หนว่ ยท่ี 3 เร่อื ง ปัจจัยในการดารงชวี ติ และการเจรญิ เตบิ โตของพชื ข้ันท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนตอบคาถามดังตอ่ ไปน้ี 1. ให้นกั เรียนสังเกตกระถางตน้ ไม้บรเิ วณภายในโรงเรยี น วา่ มอี ะไรอยใู่ นกระถางบ้าง ....................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 2. ใหน้ กั เรียนสงั เกตวา่ ในแต่ละกระถาง มพี ชื ชนิดใดบ้าง ....................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 3. แสงแดดมคี วามจาเป็นต่อการเจริญเตบิ โตพชื อยา่ งไร ? ....................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 4. น้ามีความจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพชื อยา่ งไร ? ....................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 5. ดนิ มคี วามจาเปน็ ต่อการเจริญเตบิ โตของพชื อยา่ งไร ? ....................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 6. อุณหภมู ิมีความจาเป็นตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืชอย่างไร ? ....................................................................................................................................... ....................................................................................................................................... 64
ใบกิจกรรมที่ 2 หน่วยท่ี 3 เรอ่ื ง ปัจจยั ในการดารงชวี ิต และการเจริญเติบโตของพืช ข้ันท่ี 2 ขั้นสารวจ และคน้ หา คาช้แี จง ให้นกั เรยี น เลอื กตอบวา่ เมล็ดพนั ธใุ์ นรปู ภาพดังต่อไปน้ีเปน็ เมลด็ ทสี่ มบรู ณ์ หรอื ไม่สมบรู ณ์ 1. 2. 3. 4. 65
ใบกจิ กรรมท่ี 3 หนว่ ยท่ี 3 เร่อื ง ปจั จยั ในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เติบโตของพชื ข้ันท่ี 3 ขน้ั อธบิ าย และลงข้อสรุป คาช้ีแจง ให้นักเรียนอธิบายระหว่าง ปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการการ ดารงชวี ิต และการเจรญิ เตบิ โตของพชื โดยใช้แผนผังความคดิ พรอ้ มตกแตง่ ใหส้ วยงาม 66
ใบกิจกรรมที่ 4 หนว่ ยที่ 3 เรอ่ื ง ปจั จัยในการดารงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โตของพชื ขน้ั ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ คาช้ีแจง ให้นักเรียนสังเกต ความสูง ลาต้น และจานวนใบของต้นไม้ที่ปลูก ณ บ้าน ของตนเองระหว่างกระถางท่ีรดน้าต้นไม้ และกระถางท่ีไม่รดน้าต้นไม้ พร้อมวาดรูป และระบายสีใหส้ วยงาม ตน้ ไมข้ องฉัน 1. ความสงู ……..……….. 2. ลาตน้ ……..………….. 3. จานวนใบ …………….. 67
ใบกิจกรรมที่ 5 หนว่ ยที่ 3 เรอื่ ง ปัจจัยในการดารงชวี ติ และการเจริญเตบิ โตของพืช ขนั้ ที่ 5 ขั้นประเมิน คาช้แี จง จงทาเครื่องหมาย หน้าข้อความท่ีถกู ตอ้ ง และทาเครื่องหมาย หน้าขอ้ ความ ทไี่ ม่ถกู ต้อง .......1. พืชอาศัยการดารงชีวิต และการเจรญิ เติบโตดว้ ยไฟฟา้ เทา่ นัน้ ........2. แสงแดดมคี วามจาเปน็ ต่อการดารงชวี ิต และการเจริญเตบิ โตของพชื ........3. น้าร้อนมีความจาเปน็ ต่อการดารงชวี ติ และการเจรญิ เติบโตของพืช ........4. อุณหภูมิมคี วามจาเป็นตอ่ การดารงชีวิต และการเจริญเตบิ โตของพืช ........5. พชื มีการลาเลียงน้า โดยอาศยั ใชแ้ สงแดดเปน็ ตวั กลาง ........6. ดอกกล้วยไมต้ ้องการแสงแดดจัด ในการเจริญเตบิ โต ........7. ดอกเฟื่องฟา้ ต้องการแสงแดดราไร ในการเจริญเตบิ โต ........8. เม่ือพืชขาดนา้ จะให้ให้พืชนนั้ มสี เี ขียวสดใส ........9. พชื ทไ่ี ดร้ บั นา้ อณุ หภมู ิ ดนิ และแสงแดด จะเจรญิ เตบิ โตไดเ้ รว็ กวา่ พชื ทไ่ี ดร้ บั นา้ เพยี ง อย่างเดยี ว .........10. น้าถือเป็นปัจจัยภายในของการเจรญิ เตบิ โตของพืช เกณฑ์คะแนน 8 - 10 ดมี าก 68 5 - 7 ดี ต่ากวา่ 4 พอใช้
แบบทดสอบยอ่ ย หน่วยท่ี 3 เรือ่ ง ปัจจัยในการดารงชีวิต และการเจรญิ เติบโตของพืช คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนเลือกคาตอบทถ่ี ูกตอ้ งทสี่ ุดเพียงข้อเดียว 1. ส่ิงใดจาเป็นต่อการดารงชวี ติ ของพชื 6. ข้อใดคือองคป์ ระกอบทส่ี าคญั ของปัจจยั ท่มี ตี อ่ ก. นา้ และแสงแดด การดารงชีวิตของพชื ข. แสงแดด ค. น้า ก. น้า ง. สารเคมี ข. มนษุ ย์ ค. แมลง 2. ปจั จยั ใดมีผลต่อการงอกของเมล็ด ง. สารเคมี 7. พืชชนดิ ใดท่ไี ม่ตอ้ งการแสงแดดจดั ก. แสงแดด ก. ดอกเฟ่อื งฟา้ ข. แรธ่ าตุ ข. ดอกเบญจมาศ ค. น้า ค. ดอกชวนชม ง. ไฟไหมป้ ่า ง. ดอกกลว้ ยไม้ 3. น้าทใี่ ชร้ ดต้นพชื ไมค่ วรใชน้ ้าประเภทใด 8. ข้อใดคอื ความสาคัญของน้า ก. นา้ ประปา ก. ชว่ ยละลายแรธ่ าตุในดิน ข. ใช้ในการขยายพันธุ์ ข. นา้ สะอาด ค. ใช้ในการสร้างอาหาร ค. น้ารอ้ น ง. ใช้ในการลาเลยี งนา้ ง. ถกู ทกุ ขอ้ 9. ขอ้ ใดคอื ความสาคัญของแสงแดด 4. ตน้ พชื ทไ่ี มไ่ ด้รดนา้ นานๆ จะมลี ักษณะอย่างไร ก. ชว่ ยละลายแร่ธาตุในดนิ ก. เหีย่ วเฉา ข. ใช้ในการขยายพันธ์ุ ค. ใชใ้ นการสร้างอาหาร ข. รากเนา่ ง. ใช้ในการลาเลียงนา้ ค. ใบซีด 10. พืชชนดิ ใดต้องการแสงแดดราไร ง. ใบเขยี วสดใส ก. ดอกเฟื่องฟ้า 5. ถ้าต้นพชื ไม่ไดร้ ับแสงแดดเป็นเวลานานๆ ข. ดอกเบญจมาศ ตน้ พืชจะเปน็ อย่างไร ค. ดอกชวนชม ก. เหีย่ วเฉา ง. ดอกหนา้ วัว ข. รากเน่า ค. ใบซดี ง. ถกู ทกุ ขอ้ 69
หน่วยท่ี 4 เรือ่ ง การสบื พันธข์ุ องพชื ดอก 70
มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ช้ีวดั มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมชี ีวติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสิง่ มีชีวิต การลาเลียงสารผา่ น เซลลค์ วามสัมพันธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทขี่ องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ท่ที างาน สัมพันธก์ ัน ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ที่ของอวัยวะตา่ ง ๆ ของพชื ทที่ างานสัมพนั ธ์ กนั รวมทั้งนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตวั ชวี้ ัด ว 1.2 ป.4/1 บรรยายหน้าทีข่ องราก ลาต้น ใบ และดอกของพืชดอกโดยใช้ข้อมลู ที่รวบรวมได้ 71
สาระสาคญั การสบื พันธุ์ของพืชดอก มวี ิธีการผสมพนั ธุ์ 2 ข้นั ตอน คอื 1. การถา่ ยละอองเรณู (Pollination) 1. การถา่ ยละอองเรณู วธิ กี ารทล่ี ะอองเกสรตัวผูเ้ คล่อื นทไ่ี ปตกลงบนยอดเกสรตวั เมยี เพอื่ ให้เกิดการผสมพนั ธใ์ุ นโอกาสต่อไป เกิดข้นึ ได้ 2 ลักษณะ คือ 1.1 การถ่ายละอองเรณูในต้นเดยี วกนั 1.2 การถา่ ยละอองเรณขู า้ มต้น 2. การปฏสิ นธิ (Fertilization) หมายถงึ กระบวนการที่สเปิร์มนวิ เคลียสอนั หนงึ่ เขา้ ไปผสม กบั นวิ เคลยี สของเซลล์ไข่ และสเปริ ม์ นิวเคลียสอกี อันหนึ่งเขา้ ผสมกับเซลล์โพลาร์นิวเคลยี ส เรยี กการปฏสิ นธิลักษณะนว้ี า่ การปฏิสนธิซ้อน (Double fertilization) จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธิบายส่วนประกอบของดอกไมไ้ ด้( K ) 2. นักเรียนสามารถอธบิ ายการสืบพันธุข์ องพชื ดอกได้ (K) 2. นักเรียนสามารถสารวจและจาแนกสว่ นประกอบของดอกไม้ได้ ( P ) 3. นกั เรียนมุ่งมั่นในการทางาน ( A ) 72
ใบความรหู้ นว่ ยที่ 4 เร่อื ง การสืบพนั ธข์ุ องพชื ดอก ข้นั ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ สว่ นประกอบของดอกไม้ พืชดอกกบั พืชไม่มีดอก มอี ะไรบ้าง แตกต่างกันอยา่ งไร การแบ่งประเภทของพืช การผสมพนั ธ์ขุ องพชื ดอกใชอ้ ะไรเป็นเกณฑ์ ดอกเปน็ อยา่ งไร หลงั การผสมพันธุ์ของ พืชดอกจะไดอ้ ะไร 73
ขั้นท่ี 2 ข้นั สารวจและคน้ หา การสืบพันธุ์ของพืชดอก พชื มีมากมายหลายชนดิ พชื แต่ละชนดิ มีลักษณะแตกตา่ งกันหลายประการ ถึงแม้พืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกตา่ งกัน แต่พชื เหล่านีก้ ม็ ลี ักษณะบางประการที่ เหมือนกันด้วย ดังน้นั จึงสามารถใช้ลกั ษณะท่เี หมือนกนั ของพชื เปน็ เกณฑ์ในการ จาแนกพืช เพ่ือทาให้งา่ ยตอ่ การศกึ ษาเกยี่ วกับการดารงชีวิตของพืช เราสามารถ จาแนกพชื ออกเปน็ 2 พวกใหญ่ๆ ไดด้ งั น้ี 1. พชื มดี อก คอื พืชที่เจริญเติบโตเต็มทแ่ี ลว้ มสี ว่ นของดอกสาหรับใชใ้ นการ ผสมพนั ธุ์เพือ่ ให้เกดิ เปน็ พชื ต้นใหม่ พชื มดี อกจดั เป็นพืชชัน้ สงู เพราะมสี ว่ นประกอบ สาคัญๆ คอื ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด เช่น กหุ ลาบ กล้วยไม้ ชบา ทานตะวนั มะมว่ ง ชมพู่ 2. พชื ไมม่ ดี อก หรอื พชื ไรด้ อก คอื พชื ทไ่ี มม่ ดี อกเลยตลอดการดารงชวี ติ ไมว่ า่ จะเจรญิ เตบิ โตเตม็ ทีแ่ ลว้ กต็ าม พชื จาพวกนจี้ งึ ไมม่ ีดอกสาหรับใชใ้ นการผสมพันธ์ุ แต่ จะสืบพันธ์ุโดยการสรา้ งสปอรซ์ ึ่งจะงอกเป็นต้นใหมไ่ ด้ เชน่ เฟริ น์ เห็ด สน ปรง ผักกูด ผักแว่น 74
โครงสรา้ งดอกไม้ ดอกไม้ (Flower) คือ อวยั วะหรอื สว่ นของพืชท่เี จรญิ เปล่ียนแปลงมาจาก ใบและก่งิ เพ่ือทาหน้าทใี่ นการสืบพนั ธ์ุ เราอาจแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังน้ี ดอกเดยี่ ว คอื มีดอกเดยี่ วติดอยูบ่ นกา้ นชดู อก เชน่ ดอกบวั และดอกช่อ คือ ดอกย่อยๆ หลายๆ ดอกท่ีติดอยู่บนก้านชดู อก โดยท่วั ไปดอกไม้จะมโี ครงสร้างและ ส่วนประกอบต่างๆ ตง้ั อย่บู นฐานรองดอก และมกี ้านชดู อกตดิ อยู่กบั กง่ิ หรอื ลาตน้ ดอกไม้มสี ่วนประกอบที่สาคญั 4 ส่วนหรอื 4 วง (whorl) เรยี งลาดบั จากวงนอก สุดเขา้ ไปคือ กลีบเลีย้ ง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตวั เมยี 75
ส่วนประกอบท่สี าคญั ของดอกไม้ กลบี เลีย้ ง (Sepals) เป็นส่วนทีอ่ ยู่นอกสดุ มักมสี ีเขยี วคลา้ ยใบ กลบี เลย้ี งจะชว่ ยห่อหุ้ม สว่ นทอ่ี ยู่ขา้ งในของดอกไว้ ในขณะทด่ี อกยังอ่อนอยเู่ พอื่ ปอ้ งกนั อนั ตรายจากแมลง กลบี ดอก (Petals) เปน็ ส่วนทอี่ ยู่ถดั มา มกั มีสีสวย และมีกลนิ่ หอม ช่วยใหต้ น้ ไมม้ คี วาม สวยงาม ดอกไม้บางชนิด จะมตี อ่ มน้าหวานอยู่ทโ่ี คนกลบี ดอกทาใหด้ อกมกี ล่ินหอมช่วยลอ่ แมลง ให้บนิ มาตอมและผสมเกสร เมื่อดอกยัง ตูมอยู่จะช่วยหมุ้ เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมยี ไวอ้ กี ชน้ั หนงึ่ ซ่ึงเกสรตวั ผ้แู ละเกสรตวั เมียไวผ้ สมพันธ์ุ ถา้ ดอกไม้ไม่มเี กสรตัวผหู้ รอื เกสรตัวเมยี กไ็ ม่สามารถ ผสมพันธ์ไุ ด้ เกสรตัวผู้ (Stamens) เปน็ ส่วนที่อยูถ่ ัดจากกลีบดอกเข้าไป เปน็ อวยั วะสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุ เพศผู้ของพืชเกสรตัวผู้ประกอบดว้ ยละอองเรณูทม่ี เี ซลล์สบื พนั ธ์ุ 1. อับละอองเรณู ซ่งึ มีละอองเรณูอยูภ่ ายในมลี กั ษณะเป็นผงสเี หลอื ง 2. กา้ นชูอับละอองเรณู เกสรตวั เมีย (Carpel) เป็นส่วนท่ีอยชู่ ้นั ในสุด ทาหนา้ ทส่ี ร้างเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศเมีย ประกอบด้วย 1.ยอดเกสรตัวเมีย คือ สว่ นปลายสดุ ของก้านเกสรตัวเมยี มีลกั ษณะเป็นปมุ่ มขี น หรอื ของเหลวเหนยี ว ๆ สาหรบั จบั ละอองเรณูที่ปลิวมาหรือแมลงพามา 2. กา้ นเกสรตวั เมีย คอื ส่วนที่อยตู่ ่อจากยอดเกสรตัวเมยี ลงมา มลี ักษณะเป็นท่อ ยาวเรยี วลงมาถงึ รงั ไข่ 3. รังไข่ คือ สว่ นทอี่ ยตู่ ดิ กับฐานรองดอกมีลกั ษณะพองโตออกเป็นกระเปาะ 4.ออวลุ คือ ส่วนที่เรียงอยู่ภายในรงั ไขม่ ีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ เลก็ ๆ สขี าวนวล 76
การแบ่งชนดิ ของดอกไม้ การแบง่ ประเภทของดอก โดยใชส้ ่วนประกอบของดอก เปน็ เกณฑ์ แบง่ ได้ 2 ชนิด 1. ดอกครบสว่ น (Complete Flower) เป็นดอกไม้ทม่ี ีส่วนประกอบครบทั้ง 4 ส่วน คือ กลีบเลีย้ ง กลบี ดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตัวเมีย อยูภ่ ายในดอกเดียวกัน เช่น ดอกกุหลาบ ดอกพรู่ ะหง ดอกชบา ดอกมะเขือ ดอกบัว ดอกต้อยต่ิง ดอกกุหลาบ ดอกชบา ดอกบัว 2. ดอกไมค่ รบสว่ น (Incomplete Flower) เป็นดอกไมท้ มี่ สี ่วนประกอบไมค่ รบท้งั 4 เน่ืองจากขาดส่วนใดส่วนหนงึ่ ไป เช่น ดอกฟักทอง ดอกจาปี ดอกลลิ ล่ี ดอกบวบ ดอกมะยม ดอกมะละกอ ดอกจาปี ดอกฟักทอง ดอกมะละกอ 77
การแบ่งประเภทของดอก โดยใช้การมหี รอื ไมม่ ีเกสรตวั ผู้และเกสรตวั เมีย เป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 2 ชนดิ 1. ดอกสมบูรณเ์ พศ (Perfect Flower) เป็นดอกไมท้ ่ีมอี วัยวะสบื พนั ธ์คุ รบ คอื มที ัง้ เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมียอยภู่ ายในดอกเดียวกัน ไดแ้ ก่ ดอกครบสว่ นทุกชนดิ และดอกไม่ ครบส่วนบางชนดิ ท่ไี ม่มกี ลีบเลี้ยง แตม่ ีเกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี อยภู่ ายในดอกเดยี วกัน เช่น ดอกชบา ดอกมะเขือ ดอกกหุ ลาบ ดอกบวั ดอกถวั่ ดอกต้อยต่ิง ดอกพู่ระหง ดอกกลว้ ยไม้ ดอกขา้ ว ดอกมะเขือ ดอกกลว้ ยไม้ ดอกต้อยต่งิ 2. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (Imperfect Flower) เปน็ ดอกไมท้ ีม่ อี วยั วะสบื พนั ธ์ไุ ม่ครบใน ดอกเดยี วกัน คอื มีเกสรเพศผู้หรอื เกสรเพศเมียอย่างใดอยา่ งหนงึ่ จัดเป็นดอกไม้ไมค่ รบส่วน เชน่ ดอกตาลงึ ดอกตาล ดอกฟกั ทอง ดอกบวบ ดอกขา้ วโพด ดอกละหุ่ง ดอกมะพร้าว ดอก หนา้ ววั ดอกมะยม ดอกตาลงึ ดอกหน้าวัว ดอกขา้ วโพด 78
การสบื พันธข์ องพชื ดอก การสืบพนั ธข์ุ องพชื ดอก มวี ิธีการผสมพันธ์ุ 2 ข้นั ตอน คอื 1. การถา่ ยละอองเรณู (Pollination) 2. การปฏิสนธิ (Fertilization) 1. การถ่ายละอองเรณู วธิ กี ารทลี่ ะอองเกสรตัวผู้เคล่อื นที่ไปตกลงบนยอดเกสรตัว เมีย เพอ่ื ให้เกิดการผสมพันธใุ์ นโอกาสต่อไป เกดิ ขึน้ ได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1.1 การถา่ ยละอองเรณูในตน้ เดยี วกัน พืชที่มดี อกเปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ คือ มีเกสรตัวผู้ และตัวเมียอยูใ่ นดอกเดียวกันละอองเกสรตัวผสู้ ามารถร่วงหรือ ปลวิ มาตกบนยอดเกสรตวั เมยี ได้ พชื ทีถ่ า่ ยละอองเกสรในดอกเดียวกัน ได้แก่ ถ่ัว มะเขือ ฝ้ายและพืชท่มี ีดอกสมบูรณเ์ พศอนื่ ๆ 1.2 การถา่ ยละอองเรณูข้ามต้น เกิดกบั พชื ที่มีดอกตวั ผหู้ รอื ดอกตัวเมยี อยคู่ นละต้น จงึ ต้องใชใ้ นการถ่ายละอองเกสรขา้ มต้นพชื ท่มี ดี อกสมบรู ณ์เพศ หรอื พชื ที่มดี อกตัวผแู้ ละดอก ตัวเมยี อย่ใู นตน้ เดยี วกัน กอ็ าจจะถ่ายละอองเกสรข้ามต้นได้ โดย อาศัยลมหรือสัตว์พาไป 79
พืชเคลอื่ นที่ดว้ ยตนเองไม่ได้ ส่วนประกอบของพืชกเ็ คล่อื นทีไ่ ปเองไมไ่ ดเ้ ชน่ กันละออง เกสรตัวผู้ เม่ือไม่สมบูรณแ์ ละเตบิ โตพรอ้ มท่ีจะถา่ ยละอองเกสรไปผสมพนั ธุ์จึงตอ้ งอาศัย ธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มเข้าช่วยเหลือ ส่งิ สาคญั ทีช่ ่วยในการถ่ายละอองเกสรของพชื ดอก ไดแ้ ก่ แมลง แมลงเปน็ สตั ว์ท่ีมีส่วนชว่ ยในการถา่ ยละอองเกสรของพชื มากท่สี ดุ ดอกของพืช เมือ่ เจรญิ เตบิ โต กลีบดอกจะมีสีสวยงามหลายแบบหลายประเภท บางชนิดมกี ลนิ่ หอมด้วย บริเวณโคนกลีบจะมีนา้ หวานซ่ึงเปน็ อาหารของแมลง พืชสร้างสี กล่ิน และนา้ หวานท่ีดอกเพือ่ ลอ่ แมลงมาเกาะแล้วละอองเกสรตวั ผูจ้ ะได้ติดไปกับขา ขน ปกี ปากของแมลง ไปตกบนยอด เกสรตวั เมยี แมลงท่ีชว่ ยในการถ่ายละอองเกสรมหี ลายชนิด เชน่ ผเี สอ้ื ผ้งึ แมลงภู่ ลม พืชทอ่ี าศยั ลมทมี่ ีอย่ตู ามธรรมชาติช่วยในการถ่ายละอองเกสร พืชพวกหญ้าตา่ ง ๆ มี ลาต้นเลก็ ติดกบั ดิน หรือตน้ สงู เปน็ กอ ท่ีดอกจะมี ละอองเกสรตัวผู้มากมาย เม่ือพร้อมท่จี ะผสม พนั ธุไ์ ด้ ถ้ามี ลมพดั มาปะทะดอกเพยี งเบา ๆ ละอองเกสรก็จะปลวิ ลอยไปตามลม และตกบน ยอดเกสรตวั เมยี ได้ ลมมีส่วนช่วยในการถา่ ยละอองเกสรท้งั ในดอกเดียวกนั และข้ามดอก คนและสัตว์อ่นื คนและสตั วบ์ างชนดิ ที่กินพชื เปน็ อาหารกม็ สี ว่ นชว่ ยในการถ่ายละออง เรณู คนศึกษาค้นคว้าและชว่ ยได้โดยตรง สัตว์บางอย่าง เช่น นก คา้ งคาว แมลงกินพชื ปกี ขน ปากกช็ ว่ ยถา่ ยละอองเรณโู ดยบังเอญิ น้า อาจเป็นนา้ ท่ีเรารดใหแ้ ก่พชื หรอื นา้ ฝนทตี่ กลงมา จะเปน็ ตวั พาละอองเกสรตวั ผ้จู าก ดอกทีอ่ ย่ดู า้ นบนให้ไปตกลงบนยอดเกสรตัวเมียของดอกท่อี ยู่ดา้ นล่างได้ 80
2. การปฏิสนธิ (Fertilization) หมายถงึ กระบวนการท่ีสเปริ ์มนิวเคลียสอันหนึ่งเข้าไป ผสมกับนวิ เคลยี สของเซลล์ไข่ และสเปริ ์มนิวเคลียสอีกอนั หน่ึงเข้าผสมกับเซลลโ์ พลาร์นิวเคลียส เรียกการปฏิสนธิลกั ษณะน้ีว่า การปฏิสนธิซอ้ น (Double fertilization) เมื่อมีละอองเรณูตกลง บนยอดเกสรตัวเมีย คิ้วนิวเคลียสของละอองเรณูจะสร้างหลอดละอองเรณูงอกลงไปตามก้าน เกสรตัวเมีย หลอดท่ีงอกเร็วท่ีสุดจะผ่านรูไมโครไพล์ของออวุลเข้าไป แลว้ คิ้วนิวเคลียสจะสลาย ไป ในระยะน้ี เจเนอเรทีฟนิวเคลียส จะแบ่งนิวเคลียสทาให้ได้ สเปิร์มนิวเคลียส 2 อัน เม่ือ สเปิร์มนิวเคลียสผ่าน รูไมโครไพล์ของออวุลแล้ว สเปิร์มนิวเคลียสอันหนึ่ง จะเข้าไปผสมกับ นิวเคลียสของ เซลล์ไข่ ได้เป็นไซโกต แล้วไซโกตจะเจริญต่อไปเป็นต้นอ่อน (Embryo) ส่วน สเปิร์มนิวเคลียส อีกอันจะเข้าผสม กับเซลล์โพลาร์นิวเคลียส ได้เซลล์ ที่เจริญไปเป็นเน้ือเยื่อ เรยี กวา่ เอนโดสเปริ ม์ ส่วนนิวเคลียสท่เี หลอื คอื แอนติโพดัล และซินเนอรจ์ ิดจะสลายไป จะเห็น ได้ว่า การปฏิสนธิ ของพืชดอกเกิดขึ้น 2 คร้ัง คือ ระหว่างสเปิร์มนิวเคลียสกับเซลล์ไข่ และ ระหว่างสเปิรม์ นิวเคลียสอีกอนั หน่ึงกบั โพลาร์นวิ เคลียส เรียกวา่ \"การปฏสิ นธซิ อ้ น\" 81
การเจริญของพชื ภายหลังการปฏิสนธผิ ล ผลเกดิ จากรงั ไข่ท่เี ปล่ียนแปลงไป หลังจากการปฎสิ นธผิ ล แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท 1. ผลเดย่ี ว (simple Fruit) มะมว่ ง 2. ผลกล่มุ (Aggregate Fruit) สตรอเบอร่ี 3. ผลรวม (Multiple Fruit) ขนนุ 82
หลังจากการปฏสิ นธมิ กี ารเปลย่ี นแปลงเกิดขนึ้ ดังน้ี 1. ยอดและก้านชเู กสรตัวเมยี จะเหยี่ วลง กลีบเลย้ี ง กลีบดอก เกสรตวั ผู้ และ เกสรตวั เมยี กจ็ ะแหง้ แล้วรว่ งหลุดไป 2. รังไข่ จะเจรญิ กลายเปน็ ผล แตก่ ม็ ีผลบางชนิดเกิดจากฐานรองดอก ตัวอย่างเชน่ ชมพู่ แอปเป้ิล 3. ผนังรังไข่ เจรญิ ไปเป็นเปลือกและเน้ือของผล 4. ออวุล หรือไข่ จะเจริญไปเปน็ เมล็ด ซ่ึงภายในเมล็ดจะเกบ็ ตน้ ออ่ น และ อาหารสะสมไวภ้ ายใน เพ่อื เกดิ เปน็ ต้นใหม่ 5. ไซโกต เจรญิ ไปเปน็ เอ็มบริโอในเมลด็ 83
ขน้ั ที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ สรุป หนว่ ยที่ 4 เรอื่ งการสบื พนั ธข์ุ องพชื ดอก พืชมดี อก คอื พชื ที่เจรญิ เติบโตเตม็ ท่ีแล้วมสี ่วนของดอกสาหรับใชใ้ นการผสมพนั ธ์ุเพื่อใหเ้ กดิ เป็น พืชต้น มีส่วนประกอบท่สี าคัญ กลีบเลยี้ ง กลบี ดอก เกสรตวั ผู้ ประกอบด้วย อับละอองเรณู ก้านชอู บั ละอองเรณู เกสรตวั เมยี ประกอบดว้ ย .ยอดเกสรตวั เมยี ก้านเกสรตวั เมยี รงั ไข่ ออวลุ การสืบพนั ธขุ์ องพืชดอก มวี ิธกี ารผสมพนั ธ์ุ 2 ขั้นตอน คือ 1. การถ่ายละอองเรณู (Pollination) 1.1 การถ่ายละอองเรณูในตน้ เดยี วกนั 1.2 การถา่ ยละอองเรณขู า้ มตน้ 2. การปฏสิ นธิ (Fertilization) กระบวนการท่สี เปิรม์ นวิ เคลยี สอันหนง่ึ เขา้ ไปผสมกบั นวิ เคลียสของเซลล์ไข่ และสเปิรม์ นิวเคลยี ส อีกอันหนง่ึ เข้าผสมกับเซลลโ์ พลาร์นิวเคลียสเรยี กการปฏิสนธิลักษณะน้ีว่า การปฏิสนธซิ ้อน หลงั จากการ ปฏิสนธิแล้วจะไดผ้ ลของพชื แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ ผลเด่ยี ว ผลกล่มุ ผลรวม 84
ขั้นท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ คำชีแ้ จง : ให้นกั เรียนอา่ นข้อความ แล้วเขยี นคาตอบลงในผงั มโนทศั น์ให้ถกู ต้อง ดอกไมป้ ระกอบด้วยสว่ นสาคัญ 4 ส่วน คอื กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศ เมียกลบี เล้ียงหอ่ หมุ้ ดอกท่ยี ังออ่ น กลบี ดอกช่วยล่อแมลง เกสรตัวผ้ทู าหน้าทส่ี รา้ งเซลล์ สบื พนั ธ์เุ พศผู้ และเกสรตวั เมียทาหนา้ ที่สรา้ งเซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมีย ดงั นน้ั ดอกไมจ้ งึ ทา หน้าที่ในการสบื พนั ธ์ุ ส่วนประกอบ ของดอกไม้ 85
ข้ันที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ดาเนนิ การประเมนิ หน่วยท่ี 4 การสบื พันธุ์ของพืชดอก 1. ประเมนิ ความรู้ระหวา่ งเรียนด้วยใบกจิ กรรมเติมเครอ่ื งหมายถูกผิด 2. ทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นดว้ ยแบบทดสอบ หน่วยท่ี 4 เร่ือง การสบื พนั ธขุ์ องพชื ดอก 86
ใบกจิ กรรมท่ี 1 หนว่ ยท่ี 4 เรอ่ื ง การสืบพันธ์ุของพชื ดอก ข้นั ท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ คาชี้แจง: ให้นกั เรียนช่วยพ่ผี ้งึ หาคาตอบให้ถกู ตอ้ ง ใหน้ กั เรียนเก็บดอกไมใ้ นโรงเรยี นคนละ 1 ดอก นกั เรยี นเลอื กเก็บดอกอะไร นกั เรยี นสงั เกตวา่ ดอกไมม้ สี ว่ นประกอบอะไรบา้ งและประโยชน์ของดอกไม้มอี ะไรบา้ ง กลบี ดอกและกลีบเลีย้ งมหี นา้ ท่ีทาอะไร การผสมพนั ธข์ุ องพืชดอกเปน็ อย่างไร 87
ใบกิจกรรมที่ 2 หน่วยที่ 4 เรือ่ ง การสบื พันธุข์ องพืช ดอก ขั้นที่ 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา คาชีแ้ จง: ใหน้ กั เรยี นเตมิ ส่วนประกอบของดอกไม้ 88
ใบกิจกรรมที่ 3 หน่วยท่ี 4 เรอ่ื ง การสบื พนั ธ์ุของพืช ดอก ข้นั ท3่ี ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป คาชีแ้ จง: ใหน้ กั เรียนสรปุ เร่อื ง การสบื พนั ธข์ุ องพชื ดอก โดยใชแ้ ผนผังความคดิ 89
ใบกิจกรรมท่ี 4 หน่วยที่ 4 เร่ือง การสบื พนั ธ์ุของพืช ดอก ขั้นท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ คาชแี้ จง: ใหน้ ักเรียนวาดภาพดอกไม้ที่นักเรยี นสนใจ เขียนสว่ นประกอบและหนา้ ทข่ี องดอกไม้ และตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง คาถาม 1. ดอกไม้ที่เรียนไดน้ ามาศึกษาคอื ดอกอะไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………… 2. ดอกไมช้ นดิ น้ีจัดอย่ใู นประเภทอะไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………… 90
ใบกจิ กรรมท่ี 5 หน่วยที่ 4 เรอื่ ง การสบื พันธ์ขุ องพชื ดอก ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ คาชี้แจง: จงทาเครื่องหมาย หนา้ ข้อความที่ถกู ตอ้ ง และทาเครอื่ งหมาย หนา้ ข้อความท่ีไม่ถูกตอ้ ง .......1. กลีบดอก ทาหน้าที่ช่วยหอ่ หุ้มส่วนทอี่ ยขู่ า้ งในของดอกไว้ ในขณะทีด่ อกยงั อ่อนอยู่ เพ่ือป้องกนั อนั ตรายจากแมลง ........2. กลีบเล้ยี ง มีสสี วย และมีกลน่ิ หอม ชว่ ยใหต้ น้ ไม้มคี วามสวยงาม ........3. ละอองเรณเู ป็นสว่ นประกอบของเกสรเพศผู้ ........4. ลมและแมลงมีส่วนช่วยในการถา่ ยละอองเกสรของดอกไม้ ........5. ดอกไมม้ ีสว่ นประกอบทส่ี าคญั คือ กลบี เล้ียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย ........6. สว่ นที่สาคญั ของดอกท่ใี ช้ในการสบื พนั ธ์ คอื เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมยี ........7. รงั ไข่ คือ สว่ นท่อี ยู่ติดกบั ฐานรองดอกมลี กั ษณะพองโตออกเป็นกระเปาะ ........8. อบั ละอองเรณู มีละอองเรณูอยภู่ ายในมีลักษณะเป็นผงสเี หลอื ง และภายในละอองเรณู ........9. เกสรตัวผแู้ ละตัวเมียอยู่ในดอกเดยี วกันละอองเกสรตวั ผ้สู ามารถร่วงหรือ ปลวิ มาตกบน ยอดเกสรตวั เมีย เรยี กวา่ การถ่ายละอองเรณูในตน้ เดยี วกนั .........10. หลงั จากการปฏิสนธิ รงั ไข่จะเจรญิ กลายเป็นผล เกณฑ์คะแนน 8 - 10 ดมี าก 5 - 7 ดี ต่ากวา่ 4 พอใช้ 91
แบบทดสอบหนว่ ยที่ 4 เรอ่ื ง การสืบพันธ์ุของพชื ดอก คาชแ้ี จง: ใหน้ ักเรยี นเลือกคาตอบทถี่ ูกตอ้ งทสี่ ุดเพยี งขอ้ เดียว 1. ขอ้ ใดเป็นสว่ นประกอบทส่ี าคญั ของดอกไม้ 6. ขอ้ ใดไม่ใช่ส่วนประกอบของเกสรเพศผู้ ก. ก้านดอก กลบี ดอก กลีบเลย้ี ง เกสรเพศเมีย ก. ออวุล ข. ละอองเรณู ข. กลบี เลย้ี ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ค. อบั ละอองเรณู ง. กา้ นชอู บั ละอองเรณู ค. กา้ นดอก รวิ้ ประดบั เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ง. กลบี ดอก ฐานรองดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย 7. ส่วนใดของเกสรเพศผทู้ ่ีทาหนา้ ทเ่ี ปน็ เซลล์สบื พนั ธ์ุ ก. รังไข่ ข. อับเรณู 2. ส่วนใดของพืชทาหน้าทล่ี อ่ แมลงใหม้ าผสมเกสร ค. ละอองเรณู ง. กา้ นชอู บั เรณู ก. กลบี ดอก ข. กลบี เล้ยี ง ค. เกสรตวั เมยี ง. เกสรตวั ผู้ 8. ขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ งเกย่ี วกบั สว่ นประกอบของพืชดอก ก. รังไขท่ าให้เกดิ กล่ินหอมของดอก 3. ขอ้ ใดคือหนา้ ทข่ี องกลบี เลยี้ ง ข. เซลล์ไขเ่ ป็นเซลล์สืบพนั ธุ์เพศเมยี ก. ปอ้ งกนั อนั ตรายแกด่ อกอ่อน ค. อบั เรณูเม่ือแตกออกจะมียางเหนยี ว ข. ปรุงอาหารนามาเลี้ยงดอก ง. ออวลุ อยบู่ นส่วนปลายสดุ ของเกสรเพศเมีย ค. หาอาหารเลยี้ งตน้ อ่อน ง. ปอ้ งกันอันตรายตอ่ ดอกเม่อื บานเตม็ ท่ี 9. สว่ นใดของพชื จะเจรญิ เปน็ ผลได้ ก. ใบ ข. รงั ไข่ 4. ข้อใดไม่ใชส่ ่วนประกอบของเกสรเพศเมยี ค. กลีบดอก ง. เกสรตวั ผู้ ก. รงั ไข่ ข. ออวลุ ค. ละอองเรณู ง. กา้ นชูเกสรเพศเมีย 10. ดอกเปรียบเสมือนอวยั วะใดของรา่ งกายคน ก. ตา ข. ปาก 5. ลักษณะสาคัญของยอดเกสรเพศเมยี คอื ขอ้ ใด ค. จมูก ง. อวยั วะสบื พนั ธุ์ ก. เป็นสว่ นท่อี ยูบ่ ริเวณโคนดอก ข. เปน็ เป็นป่มุ มยี างเหนยี ว รสหวาน ค. เป็นส่วนทอ่ี ยูด่ า้ นในสดุ มองเห็นเดน่ ชัด 92 ง. เป็นเปน็ ปมุ่ มีกลนิ่ หอมเพื่อชว่ ยลอ่ แมลง
หน่วยท่ี 5 การขยายพนั ธข์ุ องพชื 93
มาตรฐาน /ตวั ชวี้ ดั มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ ระหว่างส่ิงไม่มีชีวิตกับส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอด พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา ส่งิ แวดลอ้ มรวมท้งั น าความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชว้ี ัด ว 1.1 ป. 4/2 อธิบายการสืบพันธขุ์ องพชื ดอก การขยายพันธ์พุ ชื และนาความรู้ ไป ใช้ประโยชน์ ทเ่ี ก่ียวข้องกบั การสบื พนั ธขุ์ องพชื ดอก 94
สาระสาคญั การขยายพนั ธุพ์ ชื สามารถทาได้หลายวิธี คือ การเพาะเมลด็ การใชห้ นอ่ การปักชา การตอนก่ิง การติดตา การทาบก่งิ การเสยี บยอด การะเพาะเล้ยี ง เนอ้ื เย่ือ จุดประสงค์ของการเรยี นรู้ 1.นักเรยี นสามารถบอกได้ว่าพชื สามารถขยายพันธุไ์ ดห้ ลายวิธี(K) 2.นักเรียนสามารถสารวจและสืบคน้ ขอ้ มูลเก่ยี วกับการขยายพันธ์ไุ ด้ (P) 3.นกั เรยี นใหค้ วามร่วมมือในการทากิจกรรม (A) 95
ข้ันท1่ี สรา้ งความสนใจ ใบความรู้ หนว่ ยที่ 5 กล้วยควรขยายพนั ธุ์ เร่ือง การขยายพนั ธ์ุพืช ด้วยวธิ ใี ด การขยายพนั ธ์พุ ชื แบบใดทต่ี อ้ งมกี าบ การตอนก่ิงทาได้ อย่างไร มะพรา้ วมาห้มุ การขยายพันธ์พุ ชื การขยายพันธุแ์ บบ สามารถทาได้ด้วยวธิ ี อาศัยเพศ เปน็ การ ขยายพันธ์ยุ งั ไง ใดบ้าง 96
ข้นั ท2่ี ข้ันสารวจและคน้ หา การขยายพันธุพ์ ชื การรขยายพันธ์ุพืช เป็นข้ันตอนแรกของการเพาะปลูกต้องมีต้นกล้าพืช เสียก่อน การเลือกวิธีการขยายพันธ์ุพืชที่เหมาะสม จะทาให้สามารถผลิตต้นกล้าได้ ตามปรมิ าณของผลผลิตต้นกล้าได้ตามปริมาณและคณุ ภาพทีต่ อ้ งการ ซ่ึงเป็นผลไปถึง คุณภาพหรือปริมาณของผลผลิตของพืชนั้น ๆ นอกจากน้ีการขยายพันธ์ุพืชยังมี ความสาคญั ในด้านการอนุรักษ์พนั ธพุ์ ืชที่หายากหรอื ใกลจ้ ะสญู พนั ธุ์ ซงึ่ ทาได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมลด็ ปักชา ตอนกิ่ง ติดตา ทาบกิ่ง เสียบยอด การแยกหน่อ และการ เพาะเล้ียงเนอื้ เย่อื เปน็ ตน้ 97
การขยายพนั ธ์พุ ืช มี 2 ประเภท ดงั นี้ 1.การขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศ ได้แก่ การเพาะเมล็ด เป็นการ ขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนของเมล็ดที่เกิดจากการผสมเกสรเพศผู้และเสรเพศเมีย โดย นามาเพาะในวัสดุเพาะ เช่น ทรายหยาบ แกลบดา ปุ๋ยคอก และดิน ตาม อัตราส่วนทีเ่ หมาะสม 2.การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เป็นการขยายพันธ์ุพืชด้วยการใช้ส่วน ต่าง ๆ ของพืช ได้แก่ ราก ลาต้น ใบ โดยส่วนต่าง ๆ ของพืชท่ีสามารถเกิดราก และเจริบเติบโตเป็นต้นพืชได้ การขยายพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ เช่น การปักชากิ่ง การตอนก่งิ การติดตา การทาบกงิ่ เสยี บยอด และการเพาะเน้ือเยื่อ 98
การปกั ชา วธิ กี ารปกั ชา ไดแ้ ก่ 1.เลือกกิ่งที่มีตาและใบ เพราะใบช่วยสร้างอาหารและฮอร์โมน ช่วยในการออ กรากให้แกก่ ิ่งปักชา 2.จัดวางก่ิงปกั ชาให้ถูกต้องตามหวั ทา้ ยของก่ิง ถ้าวางกลบั ทิศจะทาให้กิ่งไม่เกิด รากและไม่เกิดยอด 3.ทาแผลโคนก่ิง เพื่อใหก้ ่ิงมเี น้อื ทีท่ จี่ ะเกดิ รากได้มากขน้ึ 4.ทาหรอื นากง่ิ จมุ่ ฮอรโ์ มนและสารกระตุ้นบางอยา่ งช่วยในการเกิดราก 5.นากิง่ ไปปกั ชาในวัตถุท่เี ตรียมไว้ 6.รกั ษาความช้ืนและแสงสว่างที่วางกิ่งปักชา 7.ดูแลรดน้าให้ช่มุ จนกว่าจะเกิดราก 99
การปกั ชา 1.การปักชาก่ิงหรือลาต้น ใช้กิ่งแก่ท่ีมีสีน้าตาล เป็นกิ่งสมบูรณ์ มีหาร สะสมมาก เพ่ือใช้เป็นอาหารสาหรับการออกรากและการเจริญของตาเป็นกิ่ง ใหม่ ตัดก่ิงออกเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ6-8น้ิว มีตาอย่างน้อย 2-3 ตา ตัดใบออก หมดด้านบนและด้านล่างเฉียง45-60 องศาห่างจากตาสุท้ายประมาณครึ่งน้ิว กรีดท่ีโคนก่ิงยาวประมาณ 1 นิ้ว2-3 รอย และจุ่มฮอร์โมนเร่งรากแล้วปักชาใน ทรายผสมขีเ้ ถา้ แกลบ อตั ราส่วน 1: 1 หรือขี้เถา้ แกลบอย่างเดยี วก็ได้ แล้วตัง้ ไว้ ในท่มี ีแสงแดดราไร มคี วามชน้ื สูง 2.การปักชาใบ ใช้กับพืชบางชนิด วิธีปักชาคือตัดแผ่นใบแก่ออกเป็น ส่วนๆวางแผ่นใบลงบนวัสดุปักชา กลบด้วยวัสดุปักชาบาง ๆ พอไม่ให้ใบแห้ง พืชบางชนิดใช้วิธีนาแผ่นใบแต่ละส่วนปักชาบนวัสดุปักชา ต้นและรากใหม่จะ เกิดจากแผ่นใบตรงบริเวณเส้นใบทถ่ี กู ตดั ขาด 100
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144