Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ อนุสรณ์ พระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน)

หนังสือ อนุสรณ์ พระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน)

Published by Khanasong Maehongson, 2023-01-30 09:09:11

Description: หนังสือ อนุสรณ์ พระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน)
อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า
อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ
ณ เมรุชั่วคราวโรงเรียนพระปริยัติธรรมสามัคคีวิทยาทาน ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
วันอาทิตย์ ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

Keywords: หนังสือ อนุสรณ์,พระครูอนุศาสน์โสภณ,อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน),อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า,อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ,หนังสือ อนุสรณ์ พระครูอนุศาสน์โสภณ

Search

Read the Text Version

1 1



สารบัญ ๓ ๔ คำปรารภ ๕ อนุศาสน์โสภณอนสุ รณ์ ๖ หมายรบั สง่ั พระราชทานนำ้ หลวง ๗ หมายรับสัง่ ไฟพระราชทานเพลิงศพ ๘ นำสรีระสงั ขาร พระครูอนุศาสน์โสภณ ข้ึนส่ศู าลาการเปรียญวดั ม่วยตอ่ ๙ สำนกึ ในพระมหากรุณาธิคณุ ๑๑ กำหนดการ ๑๖ ประวตั วิ ัดมว่ ยต่อ ๒๓ ประวัติโดยสงั เขป “พระครูอนุศาสนโ์ สภณ” (อนุรตั น์ อภิวฑฒฺ โน) ๒๔ การมรณภาพ ๒๕ คำสอนพระครูอนุศาสน์โสภณ ๒๖ รบั พระราชทานรางวัลพระปฐมเจดียท์ อง ๒๗ รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ๓๘ ท้าวโลกบาล ๕๕ กลั ปพฤกษ์ มะตูม ง้วิ รวมภาพกิจกรรม “พระครูอนุศาสน์โสภณ” ๒

คำปรารภ หนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ท่าน “พระครูอนุศาสน์โสภณ” (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน)อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่านพระครูอนุศาสน์โสภณ เมื่อขณะท่ีมชี ีวติ อยู่ ท่านไดท้ ำคณุ งามความดไี วใ้ นบวรพระพุทธศาสนามากมาย อาทิ การพัฒนาวัดม่วยต่อ ให้เกิดความสะอาด ร่มรื่น สวยงาม ตามหลัก ๕ ส. สะสาง สะอาด สะดวก สุขลักษณะ และ สร้างนิสัย อีกทั้งเป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ ด้านการศึกษา พระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณรที่มาพำนักอาศัย ให้วัดเป็นที่ต้งั โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี และจัดให้มีการมอบทุนการศึกษา อย่างต่อเนื่องทุกปี ให้วัดเป็นสถานที่ในการฝึกอบรมทางพระพุทธศาสนา สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขาที่ ๑๑๔ วัดม่วยต่อ นอกจากนั้นท่านยังเป็นที่รู้จัก ของคนทั่วไป ทั้งในอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ต่างอำเภอ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ ต่างจังหวัดอีกด้วยเพราะท่านเป็นผู้อัธยาศัยดี มีมโนธรรมสูง มีไมตรีจิตโอบอ้อมอารี รักบริวารลูกศิษย์เพ่ือนสหธรรมิก ในฐานะที่ท่านพระครูพระนักเทศน์ภาษาพื้นเมือง ล้านนา ท่านรับงานเทศนาธรรมตามงานประเพณีต่างๆ ทั้งในงานมงคล และงาน อวมงคล จนเป็นที่ยกย่องนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนในเมืองแม่ฮ่องสอน เป็น อย่างมาก จึงได้ทำหนังสือที่ระลึกเล่มนี้ขึ้น เพื่อแจกจ่ายในงานพระราชทานเพลิงศพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะเกิดความรู้และความเข้าใจ ได้รับประโยชน์ เกิดเป็นบุญเป็นกุศลส่งผลให้ดวงจิตดวงวิญญาณท่าน พระครูอนุศาสน์โสภณไปส่สู คุ ตสิ ัมปรายภพต่อไป คณะผจู้ ัดทำหนังสอื อาจารย์สรุ ศักด์ิ ป้อมทองคำ (ผเู้ รียบเรยี ง) พระปลดั สมศักดิ์ ชนาสโภ (ผ้จู ดั พิมพ)์ พระสมุหจ์ ิรวฒั น์ อภชิ าโน (ผูต้ รวจทาน) ๓

อนุศาสน์โสภณอนสุ รณ์ พระสมุ ณฑศ์ าสนกติ ต์ิ เจา้ คณะจังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน เจ้าอาวาสวดั พระธาตดุ อยกองมู ๔





นำสรรี ะสงั ขาร พระครูอนุศาสนโ์ สภณ ขึน้ สศู่ าลาการเปรยี ญวดั มว่ ยต่อ ต้ังสรีระสังขาร พระครูอนุศาสนโ์ สภณ บนศาลาการเปรยี ญวัดมว่ ยต่อ ๗

สำนึกในพระมหากรณุ าธคิ ณุ พระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน) อายุ ๖๖ พรรษา ๔๖ อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ ตำบลจองคำ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยภาวะลิ้นหัวใจรั่วชนิดรุนแรง ณ โรงพยาบาลนครพิงค์เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ตรงกับวนั ขนึ้ ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ เวลา ๒๒.๓๐ น. ดว้ ยอาการอันสงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้ทรงพระกรุณา โปรดพระราชทานน้ำหลวงสรงศพพร้อมด้วยเครื่องเกียรติยศประกอบศพ หีบทองทึบประกอบศพและในวาระสดุ ท้าย ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเพลิงศพ พระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน) ณ เมรุชั่วคราว โรงเรียนพระปริยัติ- ธรรมสามัคคีวิทยาทาน ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในวันอาทิตย์ ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๐๐ น. นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างล้นพ้นหาที่สุดมิได้ หากพระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน) หยั่งทราบด้วยญาณวิถีทางใดทางหนึ่ง ก็จะพึงมีจิตยินดีเป็นอย่างยิ่งและสำนึกใน พระมหากรุณาธคิ ณุ ทไี่ ดร้ ับพระราชทานเกียรตอิ ันสงู ยิ่งในคร้ังนี้ คณะสงฆ์วัดม่วยต่อ ขอพระราชทานวโรกาสถวายพระพรด้วยความสำนึก ในพระมหากรณุ าธิคุณอนั ล้นพน้ อย่างหาที่สดุ มไิ ด้ และจักเทดิ ทูนพระมหากรณุ าธิคุณ นไ้ี ว้เปน็ สรรพสิรมิ งคล ตลอดกาลนาน ขอถวายพระพร คณะสงฆ์วดั ม่วยต่อ ๘

กำหนดการงานพระราชทานเพลิงศพ “พระครูอนุศาสนโ์ สภณ” (อนุรัตน์ อภวิ ฑฺฒโน) อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า อดตี เจา้ อาวาสวดั มว่ ยต่อ ระหวา่ งวนั ท่ี ๘-๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ณ เมรชุ ัว่ คราวโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรมสามคั ควี ทิ ยาทาน ตำบลจองคำ อำเภอเมอื ง จังหวดั แมฮ่ ่องสอน วันท่ี ๘-๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ตรงกับ (แรม ๓-๔-๕-๖ ค่ำ เดือน ๓) เวลา ๐๙.๓๐ น. มพี ระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ - พระสงฆ์สวดพระพทุ ธมนต์ - ถวายจตปุ จั จัยไทยทาน - พระสงฆอ์ นุโมทนา - ถวายภัตตาหารเพล / เลีย้ งอาหารผู้มารว่ มงาน เวลา ๑๙.๓๐ น. มพี ระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ และสวดพระอภิธรรม ณ ศาลาการเปรยี ญวดั ม่วยตอ่ วันเสาร์ ที่ ๑๑ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๖ ตรงกับ (แรม ๖ ค่ำ เดือน ๓) เวลา ๑๒.๐๐ น. อาราธนาสรรี ะสังขารพระครอู นุศาสน์โสภณ ข้นึ สู่ปราสาท เคลื่อนปราสาทไปยัง ณ เมรุชัว่ คราวโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรมสามัคควี ทิ ยาทาน ตำบลจองคำ อำเภอเมอื งแม่ฮ่องสอน จงั หวดั แม่ฮ่องสอน เวลา ๑๙.๓๐ น. มีพระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ และสวดพระอภิธรรม ณ เมรชุ ั่วคราวโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรมสามัคคีวิทยาทาน ตำบลจองคำ อำเภอเมอื งแม่ฮ่องสอน จงั หวัดแม่ฮ่องสอน ๙

วันอาทิตย์ ท่ี ๑๒ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๖ ตรงกับ (แรม ๗ ค่ำ เดือน ๓) เวลา ๐๙.๐๐ น. เชญิ หีบศพเวียนเมรุแล้วเชิญข้ึนตั้งบนจติ กาธาน เวลา ๐๙.๔๕ น. มีพระธรรมเทศนา ๑ กณั ฑ์ - พระสงฆ์พธิ ีสวดพระพุทธมนต์ - ถวายไทยทาน พระสงฆอ์ นุโมทนา - ถวายภตั ตาหารเพล / เลยี้ งอาหารผู้มาร่วมงาน เวลา ๑๒.๓๐ น. ประกอบพิธีทอดผ้าไตรบังสุกลุ เวลา ๑๔.๐๐ น. พิธพี ระราชทานเพลิงศพ วนั อังคาร ท่ี ๑๔ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๖ ตรงกับ (แรม ๙ ค่ำ เดือน ๓) เวลา ๐๙.๓๐ น. เก็บอัฐิ พระครูอนศุ าสนโ์ สภณ เวลา ๑๐.๐๐ น. พระสงฆพ์ ธิ ีพจิ ารณาผ้าบงั สุกลุ (วดั มว่ ยต่อ) - ถวายไทยทาน พระสงฆ์อนุโมทนา ๑๐

ประวัตวิ ดั มว่ ยตอ่ วัดม่วยต่อ เริ่มแรกการจัดสร้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๒ โดยมีศรัทธา เจ้าแม่นางเมี๊ยะ ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าปกครองเมืองแม่ฮ่องสอน องค์ที่ ๒ ในสมัยก่อนนั้น ได้มีจิตศรัทธาสร้างวัดขึ้น โดยใช้ชื่อว่า จองหม่วยต่อ หรือ วัดม่วยต่อ ปัจจุบันนี้ “จอง” เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า “วัด” และ “ม่วยต่อ” ก็เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่า เจดีย์ การสร้างวดั ในครั้งนน้ั สร้างทรงแบบไทใหญ่ ลักษณะพื้นที่บริเวณของวัดเป็นที่เนินเขา แล้วปรับพื้นที่เป็นชั้นๆ รวม ๔ ชั้น ชั้นที่ ๑ เป็นที่ตั้งของเจดีย์ ๖ องค์ รอบเจดีย์นี้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเวียนเทียน ในวันสำคัญทางพระพทุ ธศาสนาเป็นประจำ ชั้นท่ี ๒ เป็นท่ีตัง้ ศาลาการเปรยี ญ อุโบสถ กฏุ ิ ศาลาอเนกประสงค์ โรงครัว และอ่างเกบ็ น้ำ ช้นั ที่ ๓ ปรบั เปน็ ลานวัด และใช้เป็น ทางเดนิ ช้นั ท่ี ๔ จัดเป็นลานหน้าวดั ชัน้ ล่างสุดและมีศาลาจำศีล ๑ หลัง ๒ ชั้น วัดม่วยต่อ เป็นวัดที่อยู่ติดเชิงเขาของวัดพระธาตุดอยกองมู อยู่ทางทิศเหนือ ของวัดพระนอน ติดกับถนนสาธารณะ บริเวณเจดีย์ ๖ องค์ ติดกับทางเดินเท้า ขึ้นวัดพระธาตุดอยกองมู บริเวณลานเจดีย์เป็นสนามหญ้าในช่วงฤดูฝนหญ้าจะเขียวสด มองเห็นท้องฟ้าสวยงาม มีอุโบสถศิลปะไทใหญผ่ สมลา้ นนา ซึ่งสามารถมองไดอ้ ย่าง เด่นชัดคู่ขนานกับบันไดนาค ทางขึ้นลานเจดีย์ ๖ องค์ บริเวณด้านหน้าลานเจดีย์จะมี หอพระพุทธเจ้า ซูตองเป้ (พระเจ้าทันใจ) กู่บรรจุอัฏฐิของบรรพบุรุษทั้งหลาย และมี หลุมหลบภัย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งอยู่ในช่วงที่ทางวัดกำลังทำการบูรณะ จดั สวนหย่อมให้สวยงามข้ึนไป ที่วัดและที่ธรณสี งฆ์ ที่ดนิ ตั้งวัดมเี นอื้ ท่ีจำนวน ๑๓ ไร่ - งาน ๓๘ ตารางวา มีหนงั สือแสดง กรรมสิทธ์ทิ ่ีดนิ (โฉนด, นส.๓, ส.ค.๑) คือโฉนด เลขที่ ๖๖๔ มอี าณาเขตดงั น้ี ทิศเหนอื ยาว จดถนนสาธารณะประโยชน์ ทิศใตย้ าว จดทดี่ นิ เลขท่ี ๒ ๑๑

ทศิ ตะวันออกยาว จดทด่ี นิ เลขที่ ๒ ถนนผดงุ มว่ ยต่อ ทศิ ตะวนั ตกยาว จดดอยพระธาตุกองมู-ทีว่ ่างเปล่า ทีธ่ รณสี งฆ์มี ๓ แปลง มเี นอื้ ทที่ งั้ สน้ิ ดงั น้ี แปลงที่ ๑ สามเหลี่ยมหน้าวัด(ธรณีสงฆ์) ถนนศิริมงคล ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีเนื้อที่ จำนวน ๑ ไร่ ๑๓ ตารางวา มีหนังสือกรรมสิทธิ์ คือ โฉนดที่ดิน เลขท่ี ๑๙๙๓ แปลงที่ ๒ วัดม่วยต่อ (ที่ธรณีสงฆ์) ถนนขุนลุมประพาส ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีเนื้อที่ จำนวน ๑ ไร่ ๑ งาน ๖๑.๑๐ ตารางวา มีหนังสือแสดงกรรมสิทธ์ิ คอื โฉนดท่ีดิน เลขที่ ๔๕๖ แปลงที่ ๓ วัดม่วยต่อ (ที่ธรณีสงฆ์) ถนนประดิษฐ์จองคำ ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีเนื้อที่ จำนวน ๖ ไร่ ๒ งาน ๒๑ ตารางวา มีหนังสือแสดงกรรมสิทธ์ิ คอื โฉนดทดี่ นิ เลขที่ ๔๕๔ ลักษณะพ้นื ทโ่ี ดยท่ัวไปของบริเวณท่ตี ้งั วัด (เปน็ ทรี่ าบลุ่ม ที่ราบสูง ทเี่ นินเขาหรือทเี่ นนิ สูง สภาพสงิ่ แวดล้อมท่ัวไป เช่น ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ เป็นต้น) ลักษณะพื้นที่บริเวณของวัดเป็นที่เนินเขา แล้วปรับพื้นที่ เป็นชั้น ๆ รวม ๔ ชั้น ๆ ที่ ๑ เป็นที่ตั้งเจดีย์ ๖ องค์ รอบเจดีย์นี้ใช้เป็นสถานที่ ประกอบพิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชั้นท่ี ๒ เป็นที่ตั้งศาลา การเปรียญ อุโบสถ กุฏิ โรงครัว และอ่างเก็บนำ้ ชั้นที่ ๓ ปรับเป็นลานวัดและใชเ้ ปน็ ทางเดนิ ชั้นท่ี ๔ จัดเป็นลานหนา้ วัดช้นั ลา่ งสุดและมีศาลาจำศีล ๑ หลัง ๑๒

ประวัตคิ วามเปน็ มาของวดั โดยละเอียด (ความเป็นมาของชื่อวัด, ผู้สร้าง, การสร้างและบูรณะพัฒนาวัดเหตุการณ์ ตา่ งๆ) ท่ีสำคญั ซึง่ เกี่ยวขอ้ งกับวัด ตงั้ แต่แรกเรมิ่ สร้างวดั จนถงึ ปจั จุบนั เริ่มแรกการจัดสร้างวัดม่วยต่อ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๒ โดยมี คณะศรัทธาเจ้าแม่นางเมี๊ยะ ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าปกครองเมืองแม่ฮ่องสอน องค์ที่ ๒ ในสมัยก่อนนั้น ได้มีจิตศรัทธาสร้างวัดขึ้น โดยใช้ชื่อว่า จองหม่วยต่อ หรือ วัดม่วยต่อ ปัจจุบันนี้ “จอง” เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่าวัด และ “ม่วยต่อ” ก็เป็นภาษาไทใหญ่ แปลว่าเจดีย์ การสร้างวัดในครั้งนั้น สร้างทรงแบบไทใหญ่ทั่วไปในพื้นที่ลาดตาม เนินเขา ปรากกฎว่าสร้างได้กว้างขวาง ฝีมือประณีต และมีลวดลายสวยงามมาก ตามเสาและเพดานมีลวดลายลงรักปิดทองเรียบร้อยดี เมื่อสร้างวัดอันเป็นเสนาสนะ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๗ ครูบาคำภีระ หรือพระคำภีระ เจ้าอาวาส พร้อมด้วยศรัทธาประชาชนคนอื่น ได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์ร่วมกันก่อสร้างเจดีย์ข้ึน ๖ องค์ จากทางใต้ไปทางเหนือด้านทางตะวันตกของวัดในที่ดินที่ปรับไว้ชั้นที่ ๑ เจดีย์ทั้ง ๖ องค์นี้ ก่อสร้างเรียงเป็นแถวเดียวกัน ขนาดกว้าง-ยาวจากฐานและต่ำสูง ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าใดนัก นับเป็นปูชนียวัตถุที่สวยงาม เป็นที่เครารพสักระ ของประชาชนทั่วไป การก่อสร้างเจดีย์ทัง้ ๖ องค์ ดังกล่าวแล้ว เท่าที่ได้สอบถามผู้แกผ่ ู้ เฒ่าที่พอรู้เร่ืองทราบว่า องค์ที่ ๑ นับจากใต้ไปเหนือ นายช่างเกาซะ ต้นตระกูลของนาย จรูญ สง่าพานิช นางศรีอาภรณ์(ส่วยเมี๊ยะ) พร้อมด้วยศรัทธาอื่นๆ ร่วมกันสร้าง องค์ท่ี ๒ ครูบาคำภีระ หรือ พระคำภีระเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ องค์แรก เป็นผู้นำการก่อสร้าง องค์ท่ี ๓ นายจองติ๊-นางตามน เป็นเจา้ ภาพนำสร้าง องคท์ ่ี ๔ นายจองชิตส่า ต้นตระกูล ของนางขิ่นโอ่ นายสุนทร วัฒนาพาณิชย์ เป็นผู้นำสร้าง องค์ที่ ๕ นายตางแก่คำ ต้นตระกูลของนายจองโท๊ะ นายเสถียร เจริญพานิชย์ และนางอุบล สุวรรณ์สมบูรณ์เป็น ศรัทธาผู้นำสร้าง และองค์ที่ ๖ นายเจหม่อง เป็นผู้สร้างถวาย ท่ีดินที่มาจากการสร้าง วัดมว่ ยต่อน้ี เปน็ ที่ดนิ ทวี่ ่างเปล่า เป็นป่าไม่ลาดตามเนินเขา เจา้ แมน่ างเมี๊ยะผู้สร้างเห็น ๑๓

ว่าเป็นที่เหมาะสม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เชิงเขาวัดพระธาตุ ดอยกองมู เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ พระราชวีรากร อดีตเจ้าอาวาสวดั มว่ ยตอ่ องค์ท่ี ๕ และ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้พิจารณาเห็นว่าวัดที่เจ้าแม่นางเมี๊ยะ ก่อสร้างไว้เป็นเวลานานมากกว่า ๗๔ ปีเศษ ตัวอาคารทุกส่วนชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่สามารถที่จะซ่อมแซมรักษาไว้ให้คงเดิม เพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีในทางพุทธ ศาสนา และอาศัยอยู่ได้ต่อไป จึงได้เชิญชวนท่านศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย มาร่วมกัน สร้างกุฏิ ๑ หลัง เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย แล้วก็ดำเนินการรื้อวัดม่วยต่อหลังเดิม และสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ขึ้นโดยสร้างเป็นแบบทรงไทย กว้าง ๑๕ เมตร ยาว ๒๐.๑๙ เมตร ชั้นเดียวพื้นสูง สิ้นทุนทุนทรัพย์ค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๑๘,๑๔๒ บาท เ พ ื ่ อ ใ ช ้ เ ป ็ น ส ถ า น ท ี ่ ป ร ะ ก อ บ พิ ธ ี ใ น ท า ง พ ุ ท ธ ศ า ส น า ต ล อ ด ม า จ น ถ ึ ง ป ั จ จ ุ บั น ในระยะเวลาก่อสร้างศาลาการเปรียญ ได้มีคณะศรัทธา โดยการนำของ ส.ต.อ.เจริญ นางสุรีย์ ช่างนาวา ได้เชิญชวนญาติสนิทมิตรสหายสร้างศาลาจำศีล สำหรับผู้ถืออุโบสถศีลในวันพระได้เจริญภวนา ๑ หลัง กว้าง ๖ เมตร ยาว ๘ เมตร ชั้นเดียวพื้นต่ำเสาคอนกรีต นอกนั้นสร้างด้วยไม้ สิ้นทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง จำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท เมื่อการสร้างกุฏิ, ศาลาการเปรียญและศาลาจำศีลเสร็จ เรียบร้อย พระราชวีรากร เจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ ได้ร่วมกับศรัทธาประชาชนทั้งหลาย ไดป้ ระกอบพิธที ำบุญฉลอง เมอ่ื วนั ที่ ๑๓ มนี าคม ๒๕๐๙ จากนั้นมาไม่นาน พระราชวีรากร พร้อมด้วยคณะศรัทธาประชาชนก็ได้ ประชุมปรึกษาวางโครงการสร้างอุโบสถ์หลังใหม่แทนอุโบสถ์หลังเดิมที่สร้างมานาน มีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่สามารถที่ประกอบพิธีสังฆกรรมต่อไปได้ ในโอกาสนี้พระราชวีรากร เจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ และเจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยคณะศรัทธา จึงได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ในอารามเดียวกัน โดยทำพิธี ผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิต เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ (มาฆะบูชา) ปี พ.ศ.๒๕๑๐ แล้วก็ทำ การก่อสร้างเป็นอุโบสถทรงไทยก่ออิฐถือปูนจวนใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้วได้ตกลง ๑๔

จ้างช่างจากจังหวัดลำพูน ทำช่อฟ้าใบระกา แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ พระราชวีรากร กไ็ ด้ถึงแก่มรณะภาพไปเสียก่อน เมอ่ื วันท่ี ๒๑ กนั ยายนั ๒๕๑๐ ในปีต่อมา ทางราชการ โดยการนำของ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมด้วยข้าราชการพ่อค้าศรัทธาประชาชน ก็ได้ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ พระราชวีรากร เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ทครั้นต่อมาเจ้าคณะภาค ๗ ได้แต่งตั้งให้พระมหาธรรมศร ฐานิสฺสโร ป.ธ.๖ น.ธ.เอก เป็นผู้รักษาการแทน เจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ เป็นเจ้าอาวาส องค์ที่ ๖ หลังจากนั้นจึงได้แต่งตั้งให้ดำรง ตำแหนง่ เจ้าคณะอำเภอเมืองแม่ฮอ่ งสอนอีกตำแหน่งหน่ึง รายนามเจา้ อาวาสวดั มว่ ยตอ่ อดตี -ปัจจุบัน รปู ท่ี ๑ พระคัมภีระ คมฺภโี ร พ.ศ.๒๔๓๒-๒๔๕๙ รูปท่ี ๒ พระครวู ริ ิยะมงคล สังฆวาห พ.ศ.๒๔๕๙-๒๔๗๒ รูปที่ ๓ พระครวู ิริยะมงคล ศาสนธาดา พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๗๖ รูปท่ี ๔ พระครโู สภณสวสั ดิการ พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๔ รปู ท่ี ๕ พระราชวีรากร พ.ศ.๒๔๘๔-๒๕๑๐ รูปท่ี ๖ พระมหาธรรมศร ฐานิสสฺ โร พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๑๙ รูปท่ี ๗ พระอธิการอเนก นาถธมฺโม พ.ศ.๒๕๒๐-๒๕๓๐ รูปที่ ๘ พระครูอนศุ าสนโ์ สภณ พ.ศ.๒๕๓๑-๒๕๖๕ รูปที่ ๙ พระสมุหจ์ ริ วัฒน์ อภิชาโน พ.ศ.๒๕๖๕-ปจั จบุ ัน ๑๕

ประวตั โิ ดยสังเขป “พระครูอนศุ าสน์โสภณ” (อนรุ ัตน์ อภิวฑฒฺ โน) อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผา้ เจา้ อาวาสวดั มว่ ยต่อ ****************** พระครูอนุศาสน์โสภณ (อนุรัตน์ อภิวฑฺฒโน) ชื่อเดิม อนุรัตน์ แก้ววังศรี อายุ ๖๖ พรรษา ๔๖ วิทยฐานะ น.ธ.เอก วุฒิปริญญา พุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ สังกัดวัดม่วยต่อ ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน บิดาชื่อ นายคำจันทร์ มารดาชื่อ นางวรรณา อยู่บ้านเลขท่ี ๑๑๘/๑ หมู่ที่ ๖ บ้านท่าผา ตำบลท่าผา อำเภอ แม่แจม่ จังหวัดเชยี งใหม่ มพี ่นี ้องร่วมกัน ๗ คน ดังนี้ ๑. นายพรหมา แกว้ วังศรี ๒. พระครอู นุศาสน์โสภณ “อนรุ ัตน์ แก้ววังศรี” (มรณภาพแลว้ ) ๓. นายแนว แกว้ วังศรี ๔. นายสจุ ติ ร์ แก้ววงั ศรี (ถงึ แก่กรรม) ๕. นางโสภติ า แก้ววงั ศรี ๖. นายนพพร แก้ววงั ศรี ๗. นางสาวนภาพร แกว้ วังศรี ๑๖

บรรพชาเป็นสามเณร เมอ่ื วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ณ วดั ปา่ แดด ตำบล ท่าผา อำเภอแม่แจ่ม จังหวดั เชยี งใหม่ โดยมีเจ้าอธกิ ารสจุ าร์ โสภณสีโล วัดบา้ นเจยี ง ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเป็น พระภิกษุ เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๑๙ ณ วัดยางหลวง ตำบลท่าผา อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี เจ้าอธิการพิมล ปิยธมฺโม วัดบุปผาราม ตำบลช่างเค่ิง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการดวงจันทร์ วัดช่างเคิ่ง ตำบลช่างเคิ่ง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดชียงใหม่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการ ณรงค์ วัดกู่ ตำบลชา่ งเคิ่ง อำเภอแม่แจม่ จังหวดั เชียงใหม่ เปน็ พระอนุสาวนาจาจารย์ และยา้ ยมาจำพรรษาอยจู่ ังหวดั แม่ฮ่องสอน สังกดั วดั หวั เวียง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน ประวัตกิ ารศึกษา พ.ศ.๒๕๑๑ สำเร็จวิชาสามัญ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นบ้านยางหลวง ตำบลท่าผา อำเภอแมแ่ จ่ม จงั หวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๑๙ สอบไลไ่ ด้นักธรรมช้ันเอก สำนักเรยี นคณะจังหวดั แม่ฮ่องสอน พ.ศ.๒๕๓๖ จบช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๖ จากสำนักบริการการศกึ ษานอกระบบ อำเภอเมืองแมฮ่ ่องสอน จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน พ.ศ.๒๕๔๖ สำเร็จการศึกษาระดบั อดุ มศึกษา ปรญิ ญาพทุ ธศาสตรบณั ฑติ (พธ.บ.) จากมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตเชียงใหม่ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จงั หวัดเชียงใหม่ ความชำนาญ อ่านเขียนภาษาล้านนาได้ พิมพ์ดีด, คอมพิวเตอร์, งานประดษิ ฐ์, และพัฒนาทั่วไป ๑๗

กิจวตั รประจำวนั ภายในวดั มว่ ยตอ่ ๑. มกี ารทำวตั รสวดมนต์ เช้า – เยน็ เป็นประจำทกุ วนั ๒. มีระเบยี บการปกครองวัด ๓. มีกติกาของวัด ๔. มีการฟังสวดพระปาฏโิ มกข์ ทกุ ก่งึ เดอื น การทำงานด้านการปกครอง พ.ศ.๒๕๓๑ ไดร้ ับแตง่ ตั้งเปน็ เลขานุการเจา้ คณะอำเภอเมืองแมฮ่ ่องสอน พ.ศ.๒๕๓๒ ได้รบั แต่งตงั้ เปน็ ผรู้ ักษาการแทนเจา้ อาวาสวดั มว่ ยต่อ พ.ศ.๒๕๓๔ ได้รบั แตง่ ตั้งเปน็ เจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ พ.ศ.๒๕๔๐ ไดร้ ับแตง่ ต้ังเป็นเจา้ คณะตำบลปางมะผา้ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้รบั แต่งต้งั เป็นเลขานุการ รองเจา้ คณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ.๒๕๕๓ ได้รับแตง่ ตง้ั เปน็ เจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า การทำงานด้านการศาสนศกึ ษา พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นครสู อนนักธรรม ประจำสำนักศาสนศกึ ษาวดั ม่วยตอ่ ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแมฮ่ ่องสอน จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นเจา้ สำนกั ศาสนศึกษาวดั ม่วยต่อ พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นกรรมการศนู ย์การเรียนชุมชนวัดมว่ ยตอ่ พ.ศ.๒๕๔๔ เปน็ ครูสอนธรรมศึกษาประจำสำนักศาสนศึกษา อำเภอปางมะผา้ พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นครูสอนโรงเรียนวัดพระธาตุดอยกองมศู ึกษา ๑๘

การทำงานดา้ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา พ.ศ.๒๕๒๔ เป็นพระหนว่ ยพฒั นาการทางจติ รุ่นที่ ๑๙ จิตตภาวันวทิ ยาลัย และมลู นธิ อิ ภิธรรมมหาธาตุ ฯ พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นพระธรรมทูตสาย ๔ พ.ศ.๒๕๓๗ เปน็ พระธรรมทตู เฉพาะกจิ ประจำอำเภอเมืองแม่ฮอ่ งสอน และอำเภอปางมะผา้ พ.ศ.๒๕๓๘ เปน็ ประธานศูนย์ผอู้ ยากเลิกยาเสพติดทกุ ชนิด พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นพระธรรมทตู พ้ืนท่เี ฉพาะจงั หวัดแม่ฮ่องสอน ด้านอ่ืน ๆ - มีการส่งเสริมการจัดกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่าง ต่อเนื่องทุกปี เช่น จัดบูทนิทรรศการ จัดให้มีการทำบุญตักบาตร แสดงพระธรรม เทศนา ปฏบิ ตั ธิ รรม เจรญิ จิตภาวนา เวยี นเทยี น เปน็ ต้น - มีการแสดงพระธรรมเทศนา เจริญจิตภาวนา อบรมศีลธรรมแก่ ประชาชนเป็นประจำทุกวันพระ/วันสำคญั ตา่ ง ๆ - มีการอบรมพระภิกษุสามเณรทุกวันพระในพรรษา และกึ่งเดือนหลัง ออกพรรษา เร่ือง ระเบียบการปกครองภายในวัด ความสามคั คี เสขิยวัตร การศึกษา พระปริยัตธิ รรม การสวดมนตบ์ ทต่างๆ และเหตุการณต์ า่ งๆ ที่อาจเกิดข้ึน - มีกิจกรรมเก่ยี วกบั การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาศาสนา เปน็ ประจำ คอื ๑. ส่งเสริมให้พระภิกษุเข้าไปเป็นพระวิทยากรแสดงธรรมในเรือนจำ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน ๒. ส่งเสริมให้พระภิกษุไปเป็นวทิ ยากรอบรมพระภิกษุสามเณรภาคฤดู ร้อน เปน็ ประจำทุปี ๓. เป็นประธานดำเนินการอบรมนักธรรมและธรรมศึกษา ตรี,โท, เอก ก่อนสอบธรรมสนามหลวง อำเภอเมืองแมฮ่ ่องสอน และอำเภอปางมะผา้ ๑๙

๔. ฝึกอบรมสั่งสอนให้พระภิกษุภายในวัดม่วยต่อ ไปแสดงพระธรรม เทศนาแบบพนื้ เมอื งล้านนา และแบบเทศนบ์ รรยาย ในโอกาสตา่ งๆ ทง้ั ในอำเภอเมือง แม่ฮอ่ งสอน และอำเภอปางมะผ้า ๕. ส่งพระภิกษุไปแสดงธรรมทางสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. Fm.๙๙.๕ Mhz ทกุ วนั เสาร์ เวลา ๑๓.๐๐-๑๔.๐๐ น. ๖. ส่งพระภิกษุที่ผ่านการอบมหลักสูตร พระสอนศีลธรรมฯ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไปสอนในโรงเรยี นต่างๆ ทั้งในเขตอำเภอ เมอื งแมฮ่ ่องสอน และในเขตอำเภอปางมะผ้า ๗. ส่งพระภิกษุไปเป็นวิทยากรอบรมคุณธรรม-จริยธรรม-เข้าค่าย คณุ ธรรม ตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งในเขตอำเภอเมืองแม่ฮอ่ งสอน และอำเภอปางมะผา้ ๘. ให้หนว่ ยงานราชการใช้สถานทีว่ ัดเป็นท่ีต้ังสำนกั งานพระพุทธศาสนา จงั หวัดแม่ฮ่องสอน ๙. ให้ชมรมผู้สูงอายุใช้สถานที่วัดเป็นท่ีตั้งสำนักงานผู้สูงอายุจังหวัด แมฮ่ อ่ งสอน ๑๐. ให้สถาบันพลังจิตตานุภาพ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ใช้สถานที่ เปน็ ทต่ี งั้ สถาบนั พลังจิตตานุภาพ สาขาที่ ๑๑๔ วัดมว่ ยต่อ ตำบลจองคำ อำเภอเมือง แมฮ่ อ่ งสอน จงั หวัดแม่ฮ่องสอน การทำงานด้านงานสาธารณปู การ - งานก่อสร้างถาวรวัตถุภายในวดั คอื พ.ศ.๒๕๕๘ สร้างกฏุ ิคอนกรตี เสริมเหล็ก หลังคามงุ ด้วยเมทัลชที ขนาด ๑๐x๒๕ เมตร สงู ๓ ชน้ั จำนวน ๑ หลัง สิน้ ทนุ ทรัพย์ ในการก่อสร้างทัง้ สิน้ ๕,๗๓๖,๕๓๐ บาท (ห้าล้านเจ็ดแสน- สามหมนื่ หกพันหา้ รอ้ ยสามสบิ บาทถว้ น) ๒๐

พ.ศ.๒๕๕๙ สร้างศาลาปฏบิ ตั ิธรรม คอนกรีตเสรมิ เหล็ก มงุ ดว้ ยกระเบ้อื ง ขนาด ๑๐x๒๔ เมตร สงู ๒ ชั้น จำนวน ๑ หลัง สิน้ ทุนทรพั ย์ ในการก่อสร้างทง้ั สน้ิ ๖,๘๔๖,๓๗๐ บาท (หกลา้ นแปดแสน- ส่หี ม่นื หกพนั สามร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) - งานบรู ณปฏิสังขรณ์ภายในวัด พ.ศ.๒๕๕๙ ต่อเติมอาคารห้องทำงานใต้ถุนศาลาการเปรียญ ด้วย คอนกรีตเสริมเหลก็ มุงด้วยหลังคาเมทลั ชีท ขนาด ๘x๑๐ เมตร จำนวน ๑ หอ้ ง สิน้ ทุนทรพั ย์ในการ ก่อสรา้ งทั้งสน้ิ ๕๕๒,๓๔๐ บาท (ห้าแสนหา้ หมื่นสองพนั - สามร้อยส่สี ิบบาทถว้ น) - งานก่อสร้างถาวรวตั ถุภายในปกครองคณะสงฆอ์ ำเภอปางมะผา้ คอื พ.ศ.๒๕๖๕ สรา้ งกฏุ ิคอนกรีตเสริมเหล็ก มุงด้วยเมทัลชีท วดั ปางคอง ตำบลนาปู่ป้อม อำเภอปางมะผ้า จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ขนาด กวา้ ง ๘x๑๐ เมตร สูง ๑ ช้นั จำนวน ๑ หลงั ส้ินทุนทรพั ย์ใน การก่อสร้างท้งั ส้นิ ๘๓๗,๕๐๐ บาท (แปดแสนสามหมื่นเจ็ด- พันห้ารอ้ ยบาทถ้วน) ๒๑

ประวตั ิสมณศักด์ิ ของท่าน พระครอู นศุ าสนโ์ สภณ พ.ศ.๒๕๔๘ ไดร้ บั พระราชทานสมณศักด์ิ เปน็ พระครูสญั ญาบตั ร เจ้าคณะตำบลชนั้ โท ในราชทินนามท่ี “พระครูอนศุ าสนโ์ สภณ” พ.ศ.๒๕๕๓ ได้รบั เล่ือนสมณศักดิ์ เป็นพระครสู ัญญาบตั ร เจา้ คณะอำเภอ ชน้ั โท ในราชทนิ นามเดมิ “พระครูอนศุ าสน์โสภณ” พ.ศ.๒๕๕๗ ไดร้ บั เลื่อนสมณศกั ดิ์ เป็นพระครูสญั ญาบตั ร เจ้าคณะอำเภอ ชน้ั เอก ในราชทนิ นามเดิม “พระครูอนุศาสนโ์ สภณ” ได้รับรางวัลเกียรติคุณดา้ นต่าง ๆ ดังนี้ พ.ศ.๒๕๓๔ ไดร้ บั พัด – โล่ วัดพัฒนาตวั อย่างที่มีผลงานดีเด่น จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๖๒ ไดร้ บั พระราชทานรางวลั พระปฐมเจดยี ์ทอง ยกย่องด้านการ เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา จากสมเด็จพระอรยิ วงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก พ.ศ.๒๕๕๖ ได้รับพระราชทานรางวลั เสมาธรรมจกั ร เนื่องในงานสปั ดาห์ สง่ เสริมพระพทุ ธศาสนาเนือ่ งในเทศกาลวิสาขบชู า จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๒๒

การมรณภาพ พระครูอนุศาสน์โสภณ ได้มีอาการอาพาธไอเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก ฉันยาตามอาการก็ไม่ดีขึ้น จนกระทั่งวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๕ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนครพิงค์เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวินิจฉัย พบว่า ท่านมีภาวะลิ้นหัวใจรั่วชนิดรุนแรง จนกระทั่งวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๕ พระครูอนุศาสน์โสภณ อดีตเจ้าคณะอำเภอปางมะผ้า อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วยต่อ ไดถ้ ึงแกม่ รณภาพลงด้วยอาการสงบ ในเวลา ๒๒.๓๐ น. รวมสริ ิอายุ ๖๖ ปี พรรษา ๔๖ นำมาซึ่งความอาลัยยิ่งแก่ลูกหลานญาติพี่น้อง ศรัทธาสาธุชนทั้งหลาย และศิษยานศุ ษิ ย์ จึงได้นำสรีระรา่ งของท่านกลบั มาบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาการเปรียญ วัดม่วยต่อ ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งแต่วันที่ ๑๑-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๕ และประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลปัณรสมวารอุทิศถวาย ในวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ มีการฟังเทศนแ์ ละสวดพระอภิธรรม ทุกวันที่ ๙ ของ ทุกเดือน และมกี ารบำเพ็ญกุศลตามประเพณีแฮนซอมโก่จาของชาวจังหวดั แมฮ่ ่องสอน ในวนั ที่ ๔ ตลุ าคม ๒๕๖๕ ส่วนราชการ คณะสงฆ์อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน คณะกรรมการ ตลอดถึง คณะศรัทธาทั้งหลาย ได้มีการประชุมปรึกษาหารือ และที่ประชุมมีมติในการจัดพิธี พระราชเพลิง “พระครูอนศุ าสนโ์ สภณ” ในวนั ที่ ๑๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๖ ณ เมรุชั่วคราว โรงเรียนพระปริยัติธรรมสามัคคีวิทยาทาน ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๒๓

คำสอนพระครอู นุศาสนโ์ สภณ ใช้นำมากล่าวสอนศษิ ยานุศิษยอ์ ยู่เป็นนิจ คือ [เตมิ คณุ ๓ หลีกความ ๔] เติมคุณ ๓ ไดแ้ ก่ เตมิ คณุ ภาพ-เติมคุณธรรม-เติมคุณวุฒิ หลีกความ ๔ ไดแ้ ก่ “ส่งิ ท่คี วรหลีก คอื ความช่ัว สิ่งท่คี วรกลัว คอื ความผิดพลาด ส่ิงท่ีเปน็ อบุ าท คือ ความขดั แยง้ สง่ิ ท่ีร้ายแรงกับชวี ติ คอื ความหลงมัวเมา” [ความกตัญญู ตอ่ พ่อแม่-ครอู าจารย์] “เปน็ ไมเ้ ทา้ ใหพ้ อ่ แม่ ยามแกช่ รา เปน็ ดวงตาให้พ่อแม่ ไดม้ องเหน็ เปน็ พยาบาลใหพ้ ่อแม่ ยามเช้าเยน็ เปน็ แก้วสารพัดนึก ปรากฏเดน่ ตลอดกาล” ...พระครวู ิบลู กิตติรกั ษ์ วัดชา่ งแตม้ “จงคดิ กว้าง มองไกล ใฝ่สูง อย่าคดิ แคบ มองใกล้ ใฝต่ ำ่ ” ...พระปลดั สมศักด์ิ ชนาสโภ วดั ม่วยตอ่ ๒๔

ได้รับพระราชทานรางวัลพระปฐมเจดยี ์ทอง ยกยอ่ งด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จากสมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ๒๕

ได้รับพระราชทานรางวลั เสาเสมาธรรมจกั ร เนือ่ งในงานสปั ดาหส์ ่งเสริมพระพุทธศาสนา เน่อื งในเทศกาลวิสาขบูชา จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ๒๖

ท้าวโลกบาล เรื่องท้าวโลกบาลนี้ เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เรามักจะได้ยินเสมอเวลา พระสงฆ์ให้พร เพื่อเป็นการให้ความรู้และให้ความเข้าใจยิ่งขึ้น จึงใคร่ขออนุญาต ส.พลายน้อย ศลิ ปนิ แห่งชาติ ปี ๒๕๕๓ เขยี นไวใ้ นหนังสือ “เทวนิยาย” ซ่ึงเปน็ หนงั สือ ที่ทรงคุณค่ายิง่ นำมาใสใ่ นหนงั สือท่ีระลึกเล่มนี้ เพอ่ื ให้ผอู้ ่านไดเ้ กิดความรู้และความ เข้าใจยิง่ ขึ้น ขอความดีงาม จงบังเกิดมีกับทุกท่าน โดยเฉพาะผู้เขียน ขอให้มีความสุข และความเจรญิ ยิ่งยง่ิ ขนึ้ ไป นายสรุ ศกั ดิ์ ป้อมทองคำ และคณะกรรมการจัดทำหนังสอื อนุสรณ์ ๒๗

ทา้ วโลกบาล ในเรอ่ื งเทวนยิ ายนี้ จะปรากฏนามเทวดาบางองค์ว่า เปน็ โลกบาล คือผรู้ กั ษา โลกประจำอยู่ตามทิศต่าง ๆ แต่ปรากฏว่า ในหนังสือหลายเล่มกล่าวไว้ไม่ตรงกัน มจี ำนวนมากนอ้ ยกว่ากันบ้าง ชื่อไมต่ รงกนั บ้าง จึงขอสรุปรวมทศั นะตา่ ง ๆ ที่เก่ียวกับ โลกบาลทั้งของ อินเดีย ไทย และจีน ไว้ด้วยกัน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบทัศนะของ ชาติต่าง ๆ และมคี วามรเู้ กย่ี วกับ โลกบาลกว้างขวางยงิ่ ขนึ้ ตามคัมภีร์ของฮินดู กำหนดเทพที่รักษาโลกไว้แปดทิศด้วยกัน เรียกว่า อัษฎีกบาล เรียงตามลำดับดังนี้ ๑. อนิ ทร ครองทศิ ตะวนั ออก (บรู พา) ๒. อัคนี (พระเพลงิ ) ครองทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ จงึ เรียกวา่ ทศิ อาคเนย์ ตามนามพระอคั นี ๓. พระยม ครองทศิ ใต้ (ทักษิณ) ๔. นริ ฤติ หรือ ในรฤติ ครองทิศตะวันตกเฉยี งใต้ จึงเรียกทศิ นีว้ า่ เนรติ หรือ หรดี ๕. วรณุ ครองทศิ ตะวนั ตก (ประจิม) ๖. วายุ (พระพาย) ครองทิศตะวนั ตกเฉียงเหนอื จงึ ไดเ้ รยี กทศิ น้ีว่า พายพั ๗. กุเวร ครองทิศเหนอื (อุดร) และ ๘. อีสาน ครองทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ จึงได้เรยี กทศิ นวี้ า่ ทศิ อีสาน สำหรบั หมายเลข ๔ นนั้ ในตำรบั พราหมณว์ า่ เปน็ พระอาทติ ย์ นริ ฤติ น้ันตา่ ง กับพระอาทิตย์หลายอย่าง เป็นต้นว่า มีกายสีน้ำเงิน สวมอาภรณ์ สีเหลือง บางคร้ัง ประทับบนบ่ามนุษย์ (นพาหนะ) ซึ่งเป็นลักษณะของพระกุเวร บางครั้งก็เป็นสิงห์ มีสองกร มือขวาถือดาบ มือซ้ายถือโล่ มีชายา นางซื่อ เทวี กฤษณางค์ กฤษณา วฒั นา และกฤษณาปาสะ ในพจนานุกรม พุทธศาสนาอธบิ ายว่า ในรฤติ เจา้ แหง่ รากษส ๒๘

ส่วนหมายเลข ๘ นั้น ในตำรับพราหมณ์ว่าเป็นพระจันทร์ ถ้าพูดตาม พยัญชนะไทยเราน่าจะถือตามฮินดู เพราะเราเรียกทิศตะวันออกเฉียงเหนือว่า อีสาน อีสานนี้เป็นนามหนึ่งของพระศิวะด้วย ตามตำราก็ว่ามี ๓ ตา เหมือนกัน มุ่งหนังเสือ ทรงววั เผอื ก บางท่านก็วา่ นางพระธรณหี รอื พระอิศวรอยูใ่ นเพศแห่งพระอีสาน ในคัมภีร์ฝ่ายพระพุทธศาสนา ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ กำหนดท้าว โลกบาลไว้เพียง ๔ องค์ โดยเฉพาะในบาลีมหาสมัยสูตร (ตรงกับที่กล่าวไว้ ในไตร ภมู พิ ระรว่ ง) กล่าวไวว้ า่ ๑. ทา้ วธตรฐ เปน็ อธบิ ดีของพวกคนธรรพ์ ครองทิศบรู พา ๒. ท้าววริ ฬุ หก เป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์ ครองทศิ ทกั ษิณ ๓. ท้าววริ ูปกั ข์ เป็นอธบิ ดขี องพวกนาค ครองทศิ ประจิม ๔. ท้าวกเุ วระ เปน็ อธิบดีของพวกยักษ์ ครองทศิ อดุ ร ในหนังสือพุทธศาสนาฝ่ายจีน กล่าวแปลกออกไปบา้ งเลก็ น้อยดงั นี้ ๑. ท้าวธฤตราษฎระ เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์กับพวกไวษชะ อภิบาล ทวปี ในทิศบรู พา ๒. ท้าววิรฒุ ิกะ คือวิรุฬหกนั่นเอง เป็นอธิบดีของพวกกุพานท อภิบาลทวีป ในทศิ ทักษณิ คอื ชมพทู วปี ๓. ท้าววริ ปู ากษะ เปน็ อธบิ ดีของพวกนาคกบั พวกตนา (คอื พวกผี ผู้หญิงท่ี คอยทำรา้ ยทารก) อภิบาลทวปี ในทิศประจมิ ๔. ท้าวไวคราวณะ เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ และพวกรากษส อภิบาลทวีป ทิศเหนอื ประวัติความเป็นมาของท้าวโลกบาล บางองค์ได้เล่าแยกไว้ละเอียดแล้ว ฉะนน้ั จะขอเลา่ เฉพาะบางองคเ์ ท่านนั้ “ท้าวธตรฐ” เป็นชื่อในภาษาบาลี ส่วนในภาษาสันสกฤตเรียกว่า “ท้าวธฤต ราษฎระ” ในหนงั สือพุทธศาสนาฝา่ ยจีนพรรณนาไว้ว่า ทา้ วธฤต ราษฎระ มีหน้าสีขาบ ถือพิณ พอดดี ข้ึนโลกย่อมคอยฟงั บางคนกล่าววา่ พอดดี ขึน้ ค่ายของพวกศตั รูเกิดไฟ ๒๙

ไหม้ทันที ในตำราจีนเรยี กท้าวธตรฐว่า “กก๊ ” แปลว่า “ผูท้ รงเมอื ง” ถอื เป็นเจ้าประจำ ฤดูคิมหันต์ (ฤดูร้อน) มีสีกาย เขียว หัตถ์ซ้ายถือพิณ หัตถ์ขวาอยู่ในท่าดีดสาย ส่วนทางทิเบตว่ามีสีกายขาว ทางญี่ปุ่นเรียกว่า “ชิโกกุ” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า ธตรฐ ก็คือตัวพระอินทร์นั่นเอง เพราะคำว่าธตรฐ ก็แปล ว่างเมือง หรือใช้ตามภาษาไทยโบราณว่า “เมือง” ได้ทรงสรุปว่า ท้าวธตรฐ กบั พระอินทร์ พอนับวา่ ตรงกันได้ เพราะถ้าจะว่าพระอินทรเ์ ป็นจอมภูต หรือจอมคนธรรพ์ ก็พอจะใชไ้ ด้ และนาม “ธตรฐ” แปลว่า “รองเมือง\" กพ็ อควรเปน็ ชอื่ พระอนิ ทรไ์ ด้๑ ในไตรภมู ิพระร่วง พรรณนาถึงธตรฐและบริวารไว้ว่า “ธตรฐราช อันเป็นพญาแก่เทพยดาทั้งหลาย ในจอมเขายุคนธรฝ่าย บุรพ ทิศเถิงเขากำแพงจักรวาล และฝูงคนธรรพ์ทั้งหลายเทียรย่อมแต่งเครื่อง ประดับ ประดาดว้ ยเงนิ แลทองทัง้ หลาย ทง้ั เคร่ืองประดับเหนอื หัวแลเน้อื ตัวทั้ง มวล เทยี รย่อม ยวงอเนกอนันต์แลมากกว่าร้อยลา้ นน้ัน ทั้งเครื่องแต่เครื่อง แหนเขานั้น เทียรย่อมเงนิ แลทอง ทั้งหอกดาบแลจามรจามรีเทยี รย่อมเงิน ทอง เทพยดาลางจำพวกถือธงเท่ยี ว ย่อมเงินทอง แลออกจากเมืองที่จอมเขา นั้นไปเถิงกำแพงจักรวาลเบื้องบุรพทิศแล ขบั ฝูงเทพยดาทัง้ หลายมาโดย อากาศจึงเถิงจอมเขายคุ นธร เบือ้ งบุรพทิศฯ” หน้าที่ของท้าวธตรฐที่กล่าวไว้ว่า ในวันบัณรสีอุโบสถ (๑๕ ค่ำ) ท้าวธตรฐ ก็ตระเตรียมพระองค์ทรงเครื่องทิพยอาภรณ์ มีพระกรถือผอบทองสำหรับ จะบรรจุ แผ่นทองกับชาดหรคุณ สำหรับจะจารึกชื่อของมหาชนที่ทำการบุญ ลงในแผ่นทองนั้น มีหมู่คนธรรพ์ ๕๐๐ เป็นบรวิ าร เสดจ็ ข้ึนทรงทพิ ยาน ราชรถออกจากชัน้ จาตุมหาราชิกา เสด็จมาเทยี่ วจดบัญชกี ารบุญในมนษุ ยโลก ฝา่ ยทิศบูรพา “ทา้ ววริ ฬุ หก\" ในภาษาจีนเรียกว่า “เตยี งเชยี ง” แปลว่า งอกงาม ความสง่า เป็นเจ้าประจำฤดูวสันต์ (ใบไม้ผลิ, สีกายแดงถือร่ม ถ้ากางขึ้น เมื่อใดจะเกิดพายุ ๑ ในลายพระหัตถ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลา่ วว่า “ทา้ วไวศรวณะ ถอื พระสถปู เจดยี น์ ัน้ ชะรอยจะเอาความว่าเป็นพระโสดาบัน วาทะหน่งึ ท่วี ่า ทา้ วไวศรวณะหนา้ เหลอื ง กจ็ ะ พรรณนาตามเหลย่ี มเขาพระสุเมรดุ า้ นสุทศั น์ทวี่ า่ เปน็ ทองนั่นเอง ๓๐

ฟ้าคะนอง มีฝนมืดมนไปทั่วสกลโลก ของทิเบตถือกระบี่ สวมหมวกวิเศษทำด้วย หนังหัวช้าง มีสีกายเขียว ญี่ปุ่นเรียกว่า “โกโมก” ใน รามเกียรติ์ว่าสีม่วงแก่อวตาร เปน็ เสนาวานรชือ่ “เกยูร” พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อย่หู ัว ไดท้ รงวจิ ารณ์ไว้ ว่า “ทักษิณข้างไสยศาสตร์ว่า พระยม ในท้ายอาฏานาฏิยปริตรว่า วิรุฬหก จอมเทวดา” ไม่ตรงพระยม แต่มหา สมัยสูตรว่า “จอมกุมภัณฑ์ ฉะนั้น ตรวจดูตาม ศัพท์ กุมภัณฑ์ แปลว่า มี อัณฑะเท่าหม้อ และได้ความว่า “เป็นอสูรจำพวกหน่ึง มีพระรทุ ระ (อิศวร) เปน็ อธิบดี ฉะน้ีดูไขวเ้ ขวไปใหญ่ไม่ลงรอยกันเลยทีเดียว คราวน้ี ลองตรวจ ศัพท์ วริ ุฬหก ดไู ด้ความวา่ \"วริ ฬุ โห\" หรอื \"วิรฬุ หโก\" แปลวา่ งอก ก็ไม่ เขา้ เจ้าพระยมอกี จึงเป็นอันตอ้ งลงเนอ้ื เหน็ ว่า โลกบาลทศิ น้ขี า้ งพระพทุ ธศาสนา และ พราหมณ์ไมล่ งกันไดเ้ ป็นแน่แท”้ ในไตรภูมิพระร่วง พรรณนาถึงท้าววิรุฬหกและบริวารไว้ว่า “ท้าววิรุฬ หกราช อันเป็นพญาแก่ผีเสื้อ ผีกุมภัณฑ์ทั้งหลายเถิงแดนเขากำแพง จักรวาลเบื้อง ทักษณิ เครื่องประดบั กายทา้ ววิรุฬหกราชแลบรวิ ารทั้งหลายนั้น ย่อมลว้ นแก้วมณีรัตน แลงามนักหนา บม่ ิรกู้ ่รี ้อยก่พี นั ล้าน ฝงู เทพยดาถอื คอ้ น แลตระบองเทียรย่อมแก้วมณี รตั นเปน็ บริวาร ท้าววริ ฬุ หกราชขึ้นขม่ี ้าตัว ๑ แลเครอื่ งประดบั ม้านั้นเทียรย่อมแก้วมณี รัตนโสด\" ส่วนหน้าท่ีของท้าววริ ุฬหก ก็เหมือนกับท้าวธตรฐท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น คือ ออกจดการบญุ ของมนุษย์ ใน วันข้ึน ๑๕ คำ่ “ท้าววิรูปักข์” เขียนตามแบบภาษามคธ ในภาษาสันสกฤต เขียนว่า “วิรู ปากษ” แปลตามพยัญชนะว่า “ตาผิดรูป” ในภาษาจีนเรียกว่า “กวางมัก แปลว่า มีตาใหญ่ เป็นเจ้าประจำฤดูเหมันต์ มีสีกายขาว ถือกระบี่ มีนาค เป็นบริวาร ในหนังสือพระพุทธศาสนาฝ่ายจีนว่ามีหน้าแดง ถือกลดหรือฉัตร อีกปากหนึ่งว่า พอกางขึ้นก็เกิดพายุใหญ่ฟ้าคะนองฝนตก มืดทั่วไปทันที ทางทิเบตว่ามีสกายแดง หัตถ์ขวาถือเจดีย์” หัตถ์ซ้ายถือธนู ญี่ปุ่นเรียกว่า โซจุ ในรามเกียรติ์ว่ามีสีม่วงอ่อน อวตารเป็นเสนาวานรชื่อ มายูร ๓๑

ในไตรภูมิพระร่วงพรรณนาว่า “ท้าววิรูปักขราช แลเป็นพญาแก่ฝูงนาค ทั้งหลายเถิงแดนกำแพงจักรวาลเบื้องปัจฉิมทิศ ฝูงเทพยดาราชอันเป็น บริวารบ่มิรู้ ข่รี ้อยล้าน และเคร่ืองประดับตัวเทียรย่อมประพาฬรัตนะ ฝูง เทพยดาถือสากแลค้อนถือ จามรีเทียรย่อมแก้วประพาฬรัตนะ แลท้าววิรูปักข ราชจึงขับพลไปเถิงกำแพงจักรวาล เบอ้ื งปัจฉิมทิศ มาโดยอากาศถึงจอมเขา ยคุ นธรเบ้ืองปจั ฉิมทิศพระสุเมรุราชแลฯ” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์สรุปว่า “ปรัศจิม ข้าง ไสยศาสตร์ว่าเปน็ ทศิ ของพระวรุณ ขา้ งพทุ ธศาสนาว่า ทา้ ววริ ปู ักษจ์ อม นาค พระวรุณ เป็นเทวดาผู้มีหนา้ ท่ีเกีย่ วกบั นำ้ เพราะฉะน้นั เอาเปน็ ลงรอยกัน ได้อกี ทิศหนงึ่ ”๒ ดังน้ี เรื่องจตุมหาราช หรือโลกบาลทั้งสี่ ตามตำนานจีนเป็นนิยายแบบ เกร็ดพงศาวดารจีน คือ เขาว่าเดิมทีนั้นจาตุมหาราชโลกบาลทั้งสีนี้ เกิดเป็น พี่น้องส่ี คนในตระกูลแซมอ พี่ใหญ่ชื่อ “มอลิซิง” มีทวนกายสิทธิ์ ถ้าแกว่งขึ้น ก็เกิดพายุพัด สง่ิ ต่าง ๆ พังพนิ าศฯ คนทส่ี องชือ่ “มอลฮงั ” มรี ม่ กายสทิ ธ์ิ ประดบั ดว้ ยแก้ววิเศษและ ไข่มุก เมื่อกางขึ้นก็จะทำให้มืดฟ้ามัวดิน ถ้าเขย่าก็จะเกิดแผ่นดินไหว คนที่สามช่ือ “มอลิไฮ” ถือทวนและกระจับปี่ ถ้าดีดสาย หนึ่งจะเกิดพายุ คนที่สี่ชื่อ “มอลิซิว” ถึงแม้กายสิทธิ์และถุงวิเศษ ทั้งสี่ได้รับ อาสาพระเจ้าตัวอ๋องไปรบกับเกียงแหย และเสียทีถูกกลอุบายลักเอาของวิเศษไปหมด และถูกฆ่าตายทั้งสี่คน เกียงแหยได้ ตัง้ ให้เปน็ เทยี นอ๋องตาม ลำดบั ดังน้ี มอลซิ ิง เป็นเตยี งเชียง เทยี นออ๋ ง (วริ ฬุ หก) ถอื กระบีก่ ายสิทธิ์ ปกครองลม มอลไิ ฮ เปน็ กวางมกั เทียนอ๋อง (วริ ปู กั ษ)์ ใช้พิณทำใหเ้ กดิ พายุหรือ หา้ มพายุ มอลฮัง เปน็ โปุ่น เทียนอ๋อง (เวสสวุ ัณ) ใชร้ ม่ กายสิทธิ์ ทำให้เกดิ ฟา้ ร้อง และฝนตก ๒ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงวิจารณไ์ วใ้ นลายพระหตั ถ์ แหง่ หนง่ึ วา่ “ท้าววริ ปู กั ษ์ถือเคร่ืองเขยี นน้นั สมคำว่าเปน็ ผู้มคี วามรู้” ดังนี้แสดงวา่ ทา้ ว วริ ปู ักษ์ถือของหลายอย่าง ๓๒

มอลิซิว เป็นที่รัก เทียนอ๋อง (ธตรฐ) เป็นผู้แจกจ่ายฝนแก่มนุษย์ และ ปกครองมังกรทอง นี่ก็เป็นเรื่องทางฝ่ายจีน ตรงกันบ้างผิดกันบ้างตามลักษณะของนิยาย ดึกดำบรรพ์นำมาเล่าเปรียบเทียบอ่านเล่นกันสนุก ๆ อย่างนั้นเอง กล่าวโดยสรุป ท้าวโลกบาลทั้ง ๔ มีหน้าที่ควบคุมดูแลความเป็นไป ของมนุษย์ หรือคอยจดทำสถิติ การบุญการกุศลของมนุษยน์ ่ันเอง การจดน้ัน กล่าวกันหลายอย่าง บ้างวา่ ท้าวจตุโลกบาล ทั้ง ๔ ลงมาจดเองบ้าง ให้อำมาตย์และพระราชโอรสตลอดจนภุมมะเทวดาจดบ้าง แล้วนำไปถวายท้าวจตุโลกบาล ต่อจากนั้นท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ก็นำผอบทองที่บรรจุ รายชื่อผูก้ ระทำ ความดีขน้ึ ไปยงั ดาวดึงส์สวรรคเ์ พ่อื ถวายพระอินทรใ์ นสุธัมมาเทวสภา เพ่ืออา่ นรายนามแลว้ อนโุ มทนา กล่าวตามลัทธิไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ ท้าวโลกบาลได้เขา้ มาเกีย่ วขอ้ ง กับความเชื่อถือและพิธีรีตองหลายอย่าง เช่น ในพิธีสารท ในพระบรมมหาราชวัง ครั้งรัชกาลที่ ๕ มีการกวนข้าวทิพย์และกวนกระยาสารท ใน ๔ องค์ไว้ทั้ง ๔ ในบริเวณพิธีก็แขวนรูปท้าววิรุฬหกกับท้าวกุเวรและเทวดาบริวารอีกด้วย พระราชพิธี พิรุณศาสตร์แบบโบราณก็ให้ปั้นรูปจตุโลกบาลทั้ง ทิศ กำหนดให้ปั้นเอามือเท้าเอว มอื หนึง่ ขึ้นไปบนอากาศ นอกจากน้ีก็ยัง มีช่อื เรียกเป็นอย่างอ่ืนตามความประสงค์ของ เจ้าลัทธิ อย่างเทวดาผู้รักษาทิศ ทั้งแปด คือ “อัษฎกบาล” ซึ่งตามชื่อโหรเรียกว่า เทวดาโพไทธิบาท) หรอื อธไิ ทโพธบิ าท ซึง่ กล่าวถึงลักษณะอบุ าทวแ์ หง่ เทวดาทั้งแปด ซึ่งสำแดงเหตุ แก่ชนทั้งหลาย ให้รู้ว่าภัยจะบังเกิดในทิศนั้น ๆ และวิธีแก้อุบาทว์ เหลา่ นน้ั ให้กลายเปน็ ดี ดงั จะยกมากลา่ วตอ่ ไปน้ี ๑. อบุ าทว์พระอนิ ทร์ ได้แก่ ฟา้ ผ่าแผ่นดิน ผ่าประตู ปราสาท ราชวัง ตน้ ไม้ ศาลเทพารักษ์ โรงม้า โรงช้าง พระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นแสง อินทรธนู (สายรุ้ง) ในเวลากลางคืน นอกจากนี้ก็มีเหตุอันไม่น่าจะเป็นไปเช่น ตกจากราชอาสน์หรือ ชา้ งทรงมา้ ทรง พอพระทัยท่จี ะอยู่ในป่ามากกว่าในวงั อำมาตย์ราชบริพารเกดิ ววิ าทกัน สัตวป์ ่าเขา้ เมอื ง วัวตวั เมียขึน้ เกยตวั ผู้ จากหกั คามือ พวกบา่ วไพร่ร้อนใจ ๓๓

๒. อุบาทว์พระเพลิง ได้แก่แผ่นดินแยกเป็นคลองเป็นร่องลึก เสโล โตมร และพระขรรค์ แตกหกั ไปโดยไม่ควรแกเ่ หตุการณ์ ไม้ถือบงั เอญิ ไปถูก ชามแตก หนู คะนองวิ่งรอบคน บุตรภรรยาและคนใช้รื่นเริงเกินควร กล้วย ออกปลีกลางต้น แสงอาทิตย์กลับเย็น แสงจันทร์กลับร้อน ฤดูแปรปรวนไม่ เป็นตามกาล ไฟในเชิง กรานระอุและลุกขึ้นเอง เห็นเหมือนมีแสงเพลิงอยู่ใน เรือน กลางคืนนอนไม่หลับ รำคาญด้วยผงเรอื ดไรคิดจะท้งิ เหย้าเรอื น ๓. อุบาทว์พระยม ได้แก่วัวตายคาเกวียนคาไถ ม้าออกลูก ๓ ตัว หรือ คราวเดียว ๒ ตัว ปาเรือนและมีเสียงหัวเราะ เป็นไข้แล้วฝันร้าย มด เรือด ไร เกดิ รบกวนมาก นกแสก นกเคา้ แมวมาก นกเหยีย่ ว นกรุง และนกทใ่ี ชว้ สิ ัยจะบินเข้า บ้านได้บินเขา้ บ้าน งมู ีพษิ ขึน้ เรือน แจง้ จบั และแรง้ สมจร๓ ๔. อุบาทวพ์ ระนารายณ์ (ข้อนี้ตา่ งกับที่กลา่ วมาแล้วข้างต้น ที่บ้านประโคม ดังเอง รูปพระเก่า ๆ เกิดแตกหัก มีศูรย์และจันทรคราสในเดือนเดยี วกัน น้ำไหลมา เป็นน้ำเลือดน้ำหนอง เหงื่อและโลหิตเกิดขึ้นที่องค์ พระพุทธรูป อาวุธและครกสาก ต้องกันเอง จอมปลวกย้ายที่ ช้างม้าตื่นตกใจเอง พระอาทิตย์ทรงกลดดุจควันไฟ พวกภิกษุสร้างสมอาวุธ ฝนตกเกิดเป็นฟองฟูในแผ่นดิน แลเห็นหอกดาบและอาหาร เปน็ โลหติ หมอ้ ขา้ วรวก พระรูปทีส่ กั การบชู าลม้ ๕. อุบาทว์พระพิรุณ ได้แก่ผลไม้ที่มีรสหวานกลับกลายเป็นรสเปรี้ยว ฝนตกมากเกินควร ตน้ ไม้ทเี่ คยมลี กู มดี อกไม่ออกตามฤดูกาล หมอกนำ้ ค้าง มีในฤดู ที่ไม่ใช่กาลจะเป็นเกิดหนอนในนา ฝนแล้ง มนุษย์ออกลูกเป็นสัตว์ สัตว์มีลูกเป็นคน กบ คางคก ขึ้นครวั ๓ ในพจนานุกรมพทุ ธศาสนามีคำวา่ อาธไิ ทวิกทุข หมายถึงทกุ ขท์ เ่ี กิดจากเทพใหโ้ ทษ เชน่ ดวงดาว หรือผี ปิศาจใหร้ า้ ย เป็นต้น ๓๔

๖. อุบาทว์พระพาย ได้แก่พายุเกิดใช่กาลสมัย พายุพัดต้นไม้ใหญ่ หักแลโยกผิดธรรมดา แลถูกเหย้าเรือนหักพังและถอนกอไผ่ขึ้น สัตว์ต่าง ๆ พากัน หลบหนี เหน็ เมฆเป็นรปู สตั ว์ต่าง ๆ และรปู มนุษย์ ๗. อุบาทวพ์ ระโสม (ต้องไมใ่ ชพ่ ระโสมที่หมายถึงพระจันทรแ์ นน่ อน เพราะ ทิศนี้เป็นทิศอีสาน ซึ่งเป็นนามหนึ่งของพระศิวะด้วย อนึ่งคำว่า โสมะ ก็เป็นนามที่ใช้ เรียกพระศิวะ เพราะท่านเอาพระจนั ทร์เป็นปืน) ได้แก่น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเดือด ต้นไม้ออก ผลใชธ่ รรมดาของตน้ สนุ ัขออกลกู ทเ่ี ตาไฟ หนูทำ รงั ใตเ้ ตาไฟ สนุ ัขขึน้ หลังคา ได้ยิน ผพี ดู บนตน้ ไม้ ปลวกก่อรังท่ีเตาไฟ เห็ด ขนึ้ ทเ่ี ตาไฟ ๘. อุบาทว์พระไพรสพ บางแหง่ เขยี นไพรศรพหรือไพสพก็มี (ช่ือนี้ ทำให้ คนเขา้ ใจผดิ เปน็ เทวดารักษาข้าวไปเสยี แทท้ จี่ ริงหมายถงึ พระกุเวรซ่ึงมี นามเรยี กกนั วา่ ไวศรวณะ ด้วยอา่ นเพย้ี นไปจึงผดิ ความหมาย) ได้แก่หนกู ัด ผา้ ผ้าถูกไฟไหม้ ทำนาได้ข้าวมากเกนิ สมควร ทำน้ำมนั ได้มากเกนิ ควร ข้าวได้มากเกินควร เงนิ ตกหาย ในเรอื น เตา่ และตะพาบน้ำเข้าใต้ถุนเรือน และขึน้ บ้านหรอื มาตาย แมวออกลูกในทนี่ อน ข้าวสารแช่ไว้งอกใบ จระเข้ มาอยู่ในบ่อ เสาเรือนตกนำ้ มนั บัวงอกที่ดอนในบ้าน เทวดาประจําทศิ ทัง้ 4 ศิลปะพมา่ ๓๕

เม่อื เกดิ เหตตุ า่ ง ๆ ดังได้กล่าวมาขา้ งต้นน้ันแล้ว ตามลัทธิโหรก็จะมีการบูชา เทวดาประจำทศิ น้ัน ๆ ดว้ ยแก้วแหวนเงนิ ทอง ผ้าแพร ดอกไม้ ธูป เทยี น อาหาร และ ผลไม้ พร้อมกับกล่าวคาถาบชู าตามลกั ษณะอุบาทว์ ดงั ต่อไปน้ี ๑. บชู าแกอ้ บุ าทว์พระอนิ ทร์ โอม บุรพทิสอนิ ทเทวตา สหคณุ ปริวารา อาคจั ฉนั ตุ ปรภิ ญุ ชนั ตุ สวาหายฯ โอม สัพพอปุ าทว สพั พโศก สพั พโรค อุปาทวปั ปนาสาย สัพพศัตรู ปมจุ จาฯ โอม อนิ ทเทวตา สทารกั ขนั ตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ ๒. บชู าแกอ้ ุบาทว์พระเพลงิ โอม อาคนยทสิ อคั คีเทวตา สหคุณปริวารา อาคัจฉันตุ ปริภญุ ชนั ตุ สวาหายฯ โอม สัพพอปุ าทว สัพพโสก สัพพโรค สัพพทกุ ข วนิ าสาย สัพพศัตรู ปมุจจติ โอม อคั คีเทวตา สทารักขนั ตุ สวาห สวาหา สวาหายฯ ๓. บชู าแก้อุบาทวพ์ ญายมราช โอม ทักขณิ ทิส ยมเทวตา สหคณุ ปริวารา อาคัจฉันตุ ปรภิ ุญชนั ตุ สวาหาย โอม สัพพอปุ าทว สัพพทุกข์ สพั พโศก สัพพโรค วินาสาย สัพพศตั รู ปมุจจตฯิ โอม ยมเทวตา สทารกั ขนั ตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ ๔. บชู าแก้อุบาทวพ์ ระนารายณ์ โอม เนยยยุตทิ สิ นารายณเทวตา สหคุณปรวิ ารา อาคจั ฉนั ปริภญุ ชันตุ สวาหายฯ โอม สพั พอุปาทว สพั พทุกข์ สัพพโลก สัพพโรค วนิ าสาย สัพพศัตรู ปมุจจติฯ โอม นารายณเทวตา สทารักขนั ตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ ๓๖

๕. บูชาแกอ้ ุบาทวพ์ ระวรณุ โอม ปถวิปท่สี วรุณเทวตา สหคณุ ปริวารา อาคจั ฉนั ตุ ปริภุญชนั ตุ สวาหาย โอม สัพพอปุ าทว สพั พทกุ ข์ สัพพโลก สัพพโรค วินาสาย สัพพศัตรู ปมจุ จติฯ โอม วรุณเทวตา สทารกั ขนั ตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ ๖. บูชาแกอ้ ุบาทวพ์ ระพาย โอม พายัพพทิสวายุเทวดา สหคณปริวารา อาคจั ฉันตุ ปริภญุ ชนั ตุ สวาหายฯ โอม สัพพอปุ าทร สัพพทุกข์ สพั พโลก สพั พโรค วนิ าสาย สัพพศัตรู ปมุจจติฯ โอม วายเุ ทวดา สทารกั ขันตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ ๗. บูชาแก้อุบาทวพ์ ระโสมย์ โอม อตุ รทิสโสมอเทวดา สหคุณปรวิ ารา อาคจั ฉันตุ ปริภุญชันตุ สวาหายฯ โอม สัพพอุปาทว สัพพทกุ ข์ สัพพโลก สัพพโรคันตราย สัพพศตั รู ปมจุ จติ โอม โสมยเทวตา สทารักขนั ตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ๔ ๘. บูชาแก้อุบาทว์พระโพสพ โอม อสิ านทิศไพสพเทวดา สหคุณปรวิ ารา อาคัจฉนั ตุ ปริภุญชันตุ สวาหายฯ โอม สัพพอุปาทว สพั พทกุ ข์ สัพพโลก สัพพโรคันตราย วนิ าสาย สพั พศัตรู ปมุจจตฯิ โอม ไพสพเทวตา สทารักขันตุ สวาห์ สวาหา สวาหายฯ ๔ คำว่า ปถวิปทสิ ในคาถานไี้ ม่ทราบวา่ จะหมายถงึ อะไร แตท่ ิศน้นี า่ จะเป็นทิศประจมิ จึงควรเปน็ ประจิมทสิ มากกว่า ๓๗

คาถาบูชาแก้อุบาทว์ดังที่คัดมาข้างต้นนั้น เป็นคาถาที่จารึกไว้ที่ศาลาหน้า พระมหาเจดยี ์ ในวดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม พร้อมดว้ ยตำราอธิไท โพธิบาทซ่ึงไม่ ทราบผู้ใดแตง่ ไว้ ตำราที่จารกึ แต่งเป็นกาพย์ แตเ่ ห็นวา่ จะยดึ ยาวนกั จึงเก็บความมา ใหอ้ ่านงา่ ย ๆ กล่าวเฉพาะตวั คาถาได้ตรวจสอบกับ ตำราไสยศาสตรบ์ างฉบบั เห็นว่า คลาดเคลื่อนผิดกันอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะ คำว่า “สวาห์ สวาหา สวาหาย” นั้น บางฉบับเป็น “สวาห์ สวาหาย สวาหาง คำเหล่านี้เข้าใจว่าจะมาจากคำ “สวาห์ หรือ สวาหา” นัน่ เอง พระบาทสมเด็จ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หวั ได้ทรงอธบิ ายวา่ “สวาหา เป็นคำสำหรับใช้คล้าย สาธุ แต่ไม่ตรงแท้ คือ เมื่อการใด ทําเปน็ พธิ โี ดยเรยี บรอ้ ยร้องวา่ “สวาหา\" แปลวา่ เป็นคำแสดงวา่ เปน็ กรรมอัน ดแี ล้ว ชอบแล้ว มักใช้ในเมื่อโหมอัคนี คือ บูชาเพลิง เมื่อโยนเครื่องพลีลง ในเพลิงแล้วออกนาม เทวดาท่ปี ระสงค์ แล้วร้องต่อ “สวาหา” นอกจากนีย้ งั มีช่ือทน่ี ่าจะเข้าใจผิดอีก เชน่ คาถาบชู าแก้อบุ าทว์ พระโสมย์ นั้น บางตำราก็เขียนเป็น “โสม” และว่าหมายถึงพระจันทร์เอาเลยทีเดียว ความจริงน้ัน คำว่า “โสมย์” ไม่ปรากฏว่าเป็นชื่อของใคร เหตุใดในจารึกจึง เขียนเช่นนั้นไม่ทราบ คำนี้จึงน่าจะเป็น “โสมะ\" มากกว่า ดังได้กล่าวไว้ใน ตอนต้นนั้นแล้ว ส่วนคาถาท่ี ขึ้นต้นว่า “อุตรทิส” ก็เห็นจะผิด เพราะโสมะหรือ ศิวะประจำทิศอีสาน จึงควรจะเป็น “อีสานทิส\" มากกว่า เข้าใจว่าจะสับที่กับ คาถาแก้อุบาทว์พระไพสพ (กุเวร) ซึ่งประจำอยู่ทิศเหนือ ได้สอบดูกับตำรา โหราศาสตร์หลายฉบับก็ผิดเช่นนี้เหมือนกนั หมด เข้าใจว่าจะคัดตามกันมา ถ้าพิจารณาคาถาที่ใชก้ ็ดเู หมือนๆ กัน เป็นแต่เปลีย่ น นามเทวดาและทิศที่ ประจาํ เท่านัน้ กัลปพฤกษ์ มะตูม ง้วิ เรื่องกัลปพฤกษ์มะตูมและงิ้วนี้ได้อ่านจากหนังสือพฤกษนิยายเขียนโดย ท่าน ส. พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติปี ๒๕๕๓ เห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงาน อันทรงคุณค่าของผู้เขียนอ่านแล้วได้ความรู้และความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ตอบกลับท้ัง ๓๘

กัลปพฤกษ์ มะตูม งิ้ว พันธุ์พฤกษ์ท้งั หลาย ๓ ชนดิ นเ้ี กีย่ วกับพนั ธุก์ ับชวี ติ ของคนไทย ทั้งในอาหารการกิน เครื่องใช้ และความเชื่อทางศาสนา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเห็นว่าน่าจะนำมาเผยแพร่ในหนังสืออนุสรณ์เล่มนี้ ขออนุญาตผู้เขียน ผู้จัดทำ หนังสือพฤกษนิยาย นำมาเผยแพร่เป็นความรู้ความเข้าใจ และประโยชน์อ่ืน ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ กลั ปพฤกษ์ ในสมัยโบราณนั้น เมื่อมีงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน หรอื เจา้ นายช้นั สูง เขามกั จะเอาเงินยดั ใส่ในผลมะนาวแลว้ โยนใหท้ าน ทเี่ อาเงิน ยดั ใน ผลมะนาวกห็ มายเอาว่าเปน็ ผลกัลปพฤกษ์ในสมัยพระศรอี ารย์ ประเพณี นีเ้ ห็นจะมีมา แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแลว้ เพราะในจดหมายเหตุงานพระบรมศพ ครั้งกรุงเก่าปรากฏ ว่า มกี ารท้ิงทานกัลปพฤกษ์เหมอื นกนั เพอื่ ให้ท่านไดท้ ราบถงึ การทิง้ ทานกลั ปพฤกษ์ จะขอคัดกลอนในเรื่องอเิ หนา พระราชนพิ นธพ์ ระบาท สมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย มาให้ดเู ป็นตวั อย่างดังน้ี บดั น้ัน ชุนหมน่ิ ชาวคล้งทั้งหลาย นงั่ ประจาํ กา๋ นพฤกษร์ อบราย ต่างถวายบงั คมแลว้ ข้ึนทัง้ ผคู้ นค่งั คับสับสน ปนละวนวุน่ วายทั้งชายหญงิ บา้ งโดดโลดลอยคอยชงิ ชูสวิงรม่ รบั ลกู มะนาว บ้างตบมอื เพรยี กเรยี กร้อง ไล่ตะครุบทบุ ถองกันอ้ือฉาว เป็นหมหู่ ม่วู ่ิงกรเู กรียวกราว ประชาชาวบุรีปรีดา นี่คือเหตุการณ์ตอนทิ้งลูกกัลปพฤกษ์ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ทำให้แลเห็น ชั้นเชิงในการแยง่ ได้ชัดเจนดี “ผลกัลปพฤกษ์” ในสมัยก่อนนั้นเห็นจะไม่ไดใ้ ชม้ ะนาว แต่อย่างเดยี ว บางครั้งเหน็ จะใช้มะกรูดด้วย ในนิราศพระบาทของสนุ ทรภู่ มีกล่าวไว้ ตอนหนึง่ แปลกกว่าเรือ่ งอนื่ ๆ ทีพ่ บ คอื ใชห้ มาก ๓๙

มตี ้นกำแพฤกษท์ านในลานวัด ลกู หมากยดั เงินทงิ้ อุทศิ ถวาย คนประชมุ กลุ้มชงิ ทั้งหญงิ ชาย บา้ งกอบปรายเบ้ียโปรยอยูโ่ กรยกราว กำแพฤกษ์ในบทกลอนนั้นก็คือกัลปพฤกษ์นั่นเอง กัลปพฤกษ์เป็นไม้ ในวรรณคดีโบราณ ต้นจริงๆ จะมีรูปร่างเป็นอย่างไรไม่มีใครเคยเห็นตามที่ นักปราชญ์ต่างๆ เขียนอธิบายไว้ก็ดูสับสนจนจับไม่ได้ว่ารูปร่างของต้นกัลปพฤกษ์ ว่าเป็นอย่างไร เท่าที่สอบสวนค้นคว้าดูปรากฏว่าต้นไม้ที่เรียกว่ากัลปพฤกษ์นั้น มีหลายชนดิ ในหนังสือเล่มหนึ่งกลา่ ววา่ ตน้ กัลปพฤกษ์ก็คือต้นมะพร้าวน่ันเอง แต่ใน เร่ือง “โพธกิ ถา” ของ บัณฑิต รมนาถ ศรมา ไดก้ ลา่ วไปอกี ทางหน่งึ ว่า “ตามธรรมเนียมที่เป็นมา ชาวชมพูทวีปเชื่อกันว่าอัสสัตถพฤกษ์โพธิใบ คือ กัลปพฤกษ์ อันเป็นไม้ของเทพเจ้าในสรวงสวรรค์ เทพเจ้าทรงส่งมาปลูกให้ในพื้นดิน เพื่อเป็นเครื่องรับรองความเป็นพระพุทธเจ้าของเจ้าชายสิทธิธัตถโคดม ผู้ได้บรรลุ ความเปน็ พระพุทธเจ้านน้ั ในแผ่นดินน้ี นี่จะเห็นว่าแตกต่างกันแล้วสองอย่าง คือ ท่านหนึ่งว่าเป็นมะพร้าว อีกท่าน หน่งึ ว่าเปน็ ต้นโพธิ์ ผู้เขียนเคยอา่ นพบในหนงั สอื สมนุ ไพรของอินเดยี เล่มหนงึ่ ได้ให้ช่ือ ต้นง้วิ ไว้ว่ากลั ปพฤกษ์กม็ ี เม่ือเปน็ เชน่ นจี้ งึ ชวนใหค้ ิดว่าช่อื กลั ปพฤกษ์ จะเป็นคำเรียก รวมๆ เสียกระมัง ต้นไมท้ เ่ี รียกวา่ กัลปพฤกษจ์ ะมีอยู่ หลายชนดิ กไ็ ด้ และเม่ือไปอ่าน เรื่องสมุททโฆสชาดก ก็ยิ่งชวนให้เข้าใจเชน่ นี้มากขึ้นในเรื่องสมุททโฆสชาดกได้กลา่ ว ไวต้ อนหน่งึ วา่ “ฝ่ายพระโพธิสตั ว์ก็ตรัสชวนพระเทวีเสด็จประพาสป่าหิมพานต์ ให้พระเทวี ทรงนั่งบนพระเพลา พระหัตถ์ทรงพระขรรค์แล้วเหาะขึ้นบนอากาศ หันพระพักตร์ไปสู่ ทิศอุดร ชมภูเขาต่างๆ ในป่าหิมพานต์ คือ ภูเขาเงิน ภูเขาทอง ภูเขา แก้ว และภูเขา แก้ว ๗ ประการ สูงห้าร้อยโยชน์ มียอดใหญ่ร้อยยอด ยอดเล็ก แปดหมื่นสี่พัน มพี ลอยหนิ ต่างๆ มีไมก้ ลั ปพฤกษต์ า่ งๆ ๔๐

ที่กล่าวว่า “มีไม้กัลปพฤกษ์ต่างๆ” นี่เองที่ชวนให้นึกว่าไม้กัลปพฤกษ์ หลายชนดิ มตี ่างๆ กนั ออกไป ช่ือกัลปพฤกษ์เป็นช่ือรวม ในปจั จุบันน้ีมีต้นไม้ที่ เรียก กันว่ากัลปพฤกษ์ปลูกกันมาก มีดอกสีชมพู มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Cassia bakeriana Craib. ซึ่งกลา่ วกันว่าเปน็ ตน้ ไม้ของไทยแท้ เมื่อเหตุผลและตำนานมีกล่าวกันต่างๆ เช่นนี้ก็เป็นการยากที่จะตัดสินว่า กัลปพฤกษ์เป็นไม้ชนิดไหนกันแน่ แต่ตามเหตุผลส่วนตัวของผู้เขียนแล้ว ไม่อยากจะ เอาไปเปรียบกับต้นไม้อะไรทั้งสิ้น เพราะต้นกัลปพฤกษ์เป็นไม้ทิพย์มีคุณพิเศษ เหนือกว่าต้นไม้ใดๆ ในโลก ควรจะแยกให้เป็นไม้ในวรรณคดีเหมือน อย่างต้น ปาริชาต ได้เล่าเรื่องไม้กัลปพฤกษ์ตามทัศนะต่างๆ มาแล้ว จะขอเล่าเรื่องราว ในวรรณคดีต่อไป ตามความเข้าใจของคนโบราณกล่าวว่าต้นกัลปพฤกษ์จะเกิดข้ึน ในสมัยพระศรีอารย์ และมีท้ังสี่มุมเมืองเลยทีเดียว ด้วยเหตนุ ี้กระมัง เวลามีงานศพหลวง สมัยโบราณจึงนิยมทำต้นกัลปพฤกษ์ ๔ ต้น และเงินในลูกกัลปพฤกษ์ ก็เท่ากับของ สารพัดนึกเหมือนกนั แต่ตามหลักฐานที่มีกล่าวในวรรณคดีปรากฏ ว่าต้นกัลปพฤกษ์ ได้มีมาแล้วตั้งแต่เกิดพระอาทิตย์ไม่ใช่จะมีในสมัยพระศรีอารย์ ซึ่งจะมาตรัส ในอนาคต ท้ังนเี้ พราะมกี ลา่ วไว้ในหนงั สือไตรภูมิโลกวนิ จิ ฉยั ฉบับหลวง ตอนหนง่ึ วา่ “ต้นไม้กัปปพฤกษ์กบ็ งั เกดิ ข้นึ ประดษิ ฐานรายอยู่ในทนี่ น้ั แต่ละต้นๆ เต็มไป ด้วยผ้านุ่งและผ้าห่ม เครื่องประดับสรรพาภรณ์ต่างๆ สรรพมีพร้อมสิ้นทุกส่ิง จะปรารถนาอย่างไรก็ได้อย่างน้ันสำเรจ็ มโนรถความปรารถนา คนทั้งหลายก็ได้นุง่ ผา้ ห่มผ้าได้ประดับสรรพาภรณ์ อลังการทั้งปวงที่บังเกิดแต่ต้นไม้กัปปพฤกษ์บังเกิดข้ึน พร้อมกนั กับพระอาทิตย์” นี่จะเรียกวา่ ตน้ กัลปพฤกษ์มีมาต้ังแต่คร้งั สรา้ งโลกกว็ า่ ได้ อน่งึ ในคมั ภีร์ โลกสัณฐานกล่าวว่า ท้าวจาตุมหาราชท้ัง ๔ พระองค์ ซ่ึงเป็นผู้รักษาโลกใน ๔ ทิศ ได้แก่ ทา้ วธตรฐ จอมภูต หรอื จอมคนธรรพ อยทู่ ิศตะวันออก ท้าววริ ุฬหก จอมเทวดา (หรือจอมกุมภัณฑ์) อยู่ทศิ ใต้ ๔๑

ท้าววิรปู กั ษ์ จอมนาค อยทู่ ิศตะวันตก ทา้ วกุเวร จอมยักษ์ อย่ทู ิศเหนือ ท้าวจาตุมหาราช หรือจตุโลกบาลทั้งสี่พระองค์นี้ ล้วนทรงด้วยพระภูษาอัน เกดิ แตไ่ ม้กลั ปพฤกษท์ ุกพระองค์ ในหนงั สือวรรณคดีโบราณบางแห่งกล่าวว่า ตน้ กัลปพฤกษ์มีอยู่แถบฉัททันต์ สระมากกวา่ แห่งอนื่ ฉทั ทันต์ สระน้เี ปน็ ช่อื สระหนึง่ ในเจ็ดของป่าหิมพานต์ ซ่ึงมีทง้ั หมด ดังนี้ สระอโนดาต สระกันนมนุ ดา สระรถการกา สระฉทั ทันต์ สระกนุ าลา สระนนั ทากนิ ี สระสีหปตา มีเรื่องที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า ผลิตผลอันเกิดจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น จะมี ต่างๆ กันออกไป อย่างเช่นในหนังสือเรื่องเมืองสวรรค์ของพระสาสนโสภณ (อ่อน) ได้กล่าวไวต้ อนหนงึ่ วา่ “ถดั ออกไปอกี มีราวปา่ ไม้กลั ปพฤกษ์ บางเหลา่ แล้วด้วยทอง บางเหล่าแล้ว ด้วยเงิน บางเหล่าแลว้ ด้วยแก้ว ๗ ประการ แวดลอ้ มอยูโ่ ดยรอบกรงุ สุทสั สนมหานคร” ดังน้ี ส่อใหเ้ หน็ วา่ แบ่งเป็นพวกๆ แต่ในหนงั สอื ไตรภูมิพระร่วง ได้กล่าวเป็น ทำนองว่าทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดจากต้นกัลปพฤกษ์ตน้ เดียวกัน ดังมีพรรณนาถึงขนาด ต้นกลั ปพฤกษ์ไวว้ ่า “แลในแผ่นดินอุตตกุรุทวีปนั้น มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งโดยสูงได้โยชน์ โดยกว้างได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบบรเิ วณมณฑลได้ ๓๐๐ โยชน์ แลตน้ กลั ปพฤกษ์น้ัน ผู้ใดจะปรารถนาหาทุนทรัพย์สรรพเหตุอันใดๆ ก็ดี ย่อมได้สำเร็จในต้นไม้นั้น ๔๒

ทุกประการแล ถ้าแลคนผู้ใดปรารถนาจะใคร่ได้เงินทองของแก้วและเครื่องประดับ ทั้งหลายเป็นต้นว่า เสื้อสร้อยสนิมพิมพาภรณ์ก็ดี แลผ้าผ่อนท่อนแพรพรรณสิ่งใดๆ ก็ดี แลข้าวน้ำโภชนาหารของกินสิ่งใดก็ดี ก็ย่อมบังเกิดปรากฏขึ้นแต่ค่าคบต้น กัลปพฤกษ์น้นั ” ต้นกัลปพฤกษ์ที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าเป็นต้นสารพัดนึกจริงๆ ฉะนั้นคนเฒ่า คนแก่จึงหวังที่จะไปเกิดในยุคที่มีต้นกัลปพฤกษ์ เพราะเป็นยุคที่สบาย ไม่ต้องทำ อะไรกม็ ีกนิ มีใช้ อำนวยความสะดวกตามใจปรารถนาทกุ ประการ ต้นไม้แถวป่าหิมพานต์หรือภูเขาหิมาลัยนั้น มีอะไรแปลกๆ เสมอ อย่างท่ี เมืองอลกาหรือประภาของท้าวกุเวร ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาหิมาลัยตามตำนานข้างฝ่าย อินเดียนั้นว่ามีสวนชื่อเจตรถ ในสวนนี้มีต้นไม้ประหลาดต้นหนึ่ง คือมีใบเป็นผ้าเนื้อดี ดอกเป็นแก้วมีราคาและมีผลเป็นนารี ต้นไม้ต้นนี้จึงนับว่าเป็นต้นไม้วิเศษต้นหนึ่งตาม ลกั ษณะก็คล้ายกับต้นกัลปพฤกษ์ และตน้ นารผี ลรวมกนั ต้นกัลปพฤกษ์ไม่ได้มีเฉพาะในอินเดียหรือตามความคิดอย่างไทยๆ เราเท่านั้น ในศาสนาอิสลามก็เคยอ่านพบว่ามีเหมือนกัน เขาเรียกว่า ตาบา หรือ ตู เป็นต้นไม้ใหญ่มาก ใครจะนึกบริโภคอะไรก็ได้ตามความประสงค์ เวลานึกกิ่งไม้นนั้ จะโน้มลงมา เมอ่ื เกบ็ เสร็จแล้วก่ิงนน้ั กค็ ืนกลับข้ึนไปทเี่ ก่าอีก และทีป่ ระหลาด ก็คือก่ิง และใบแผ่ไปทั่วโลก ลำต้นเป็นทับทิม กิ่งเป็นมรกต ใบเป็นกำมะหย่ีไหม ต้นตาบาน้ี จงึ เป็นต้นไมท้ ี่แปลกพสิ ดาร และใหญ่ทีส่ ดุ ในกระบวนไม้ในวรรคดี โบราณ ไม้กัลปพฤกษ์เป็นไม้ที่มีแพร่หลายอยู่ในหมู่เทวดาและผู้เป็นใหญ่ หลายแห่ง ปรากฏว่าในสว่ นของพระอินทร์ก็มเี หมือนกนั พันธุ์ไมใ้ นสวนของพระอินทร์ ที่มีชื่อเสียงมีอยู่ด้วยกัน ๕ ชนิดเรียกว่าปัญจพฤกษ์ หรือไม้ทั้ง ๕ นั่นเอง ทั้งห้าอย่างน้ี ก็มีกัลปพฤกษ์ มันทาร ปาริชาต หริจันทน์ สังตานทั้งห้าอย่างนี้มีชื่อเรียก อีกอย่าง หนึ่งว่า เทพรู คำว่า ครู แผลงมาจาก ตรุ แปลว่า ต้นไม้ เทพ ก็คือต้นไม้เทพหรือ ต้นไม้เทวดานั่นเอง และไม้ทัง้ หา้ อย่างนีเ้ ป็นไมส้ ังกัลปวิชัย จะนึกเอาอะไรก็ได้ทัง้ น้นั คือเกิดผลสำเรจ็ ตามความปรารถนาทุกอยา่ ง ๔๓

อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ต้นไม้อื่นๆ ไม่มีคำว่า พฤกษ์ มีแต่ต้นกัลปพฤกษ์ อย่างเดียว ในหนังสือเกี่ยวกับประเพณีของอินเดียบางเรื่องเรียกว่า kalpataru ก็มี taru ก็คือ ตรุ แปลว่าต้นไม้หรือพฤกษดังกล่าวแล้ว ส่วนคำว่า kalpa เป็นภาษา สันสกฤต หมายถึงปรารถนา รวมความว่าต้นไม้ปรารถนา (Kalpa is Sanskrit for wish, while taru means tree, so this is a Wishing Tree.) nwana Borobudur ประเทศอินโดนีเซีย และคำว่า “กัลป์” ก็น่าคิด ชื่อกัลปพฤกษ์จะหมาย ถึงต้นไม้ ประจำกัลปใช่หรือไม่ คำว่ากัลปหมายความว่าวนั และคืนของพระพรหม กำหนดไว้ว่า เป็นเวลาในเมืองมนุษย์สี่พันสามร้อยยี่สิบล้านปี (๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี) ตามตำนาน กล่าวว่าพระพรหมเมื่อสร้างโลกแล้วก็นอนพักหนึ่งวัน คือ เท่ากับจำนวนปีที่กล่าว มาแล้วข้างต้น ซึ่งเรียกกัลป์ พอตื่นขึ้นมาโลกที่สร้าง ถูกทำลายไป ต้องสร้างใหม่อีก เรื่องระยะเวลาของกัลป์นี้อธิบายเป็นตัวเลขก็มี อธิบายให้คิดเองก็มี เช่นว่ากัลป์หนึ่ง นั้นประมาณว่ามีภูเขาลกู หน่ึง สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๓ โยชน์ ในระยะ ๑๐๐ ปี มีเทวดา เอาผ้าทิพย์อ่อนดังควันไฟมากวาด เสยี ครั้งหนึง่ ภูเขาน้ีราบเรียบเสมอแผ่นดินเมือ่ ใด กแ็ สดงว่าได้กลั ป์หน่งึ เท่าที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น ท่านคงจำได้ว่า ต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นพร้อมกับ พระอาทิตย์ นั่นก็หมายความว่าเริ่มมีตั้งแต่สร้างโลกนั่นเอง พอครบกัลป์ หนึ่งต้น กัลปพฤกษ์ก็สิ้นอายุ เมื่อฟังตามนี้ก็น่าจะเป็นไม้ที่เกิดขึ้นชั่วกัลป์หนึ่ง จึงได้ชื่อว่า “กัลปพฤกษ์” และไม่น่าจะกำหนดว่าเป็นต้นไม้อะไรในปัจจุบันนี้ ทั้งสิ้นที่กล่าวเช่นน้ี ก็ขอให้ถอื เป็นความเหน็ สว่ นตัว และเปน็ เร่ืองไมจ่ ริงจังอะไรนกั เป็นเรือ่ งของวรรณคดี ชมสวน มาถึงเขา้ ในสวนขวัญ ชวนกันเกบ็ พรรณบปุ ผา พกิ ุลบนุ นาคมะลิลา ยี่สุ่นจำปาสารภี นางแย้มสาวหยดุ พุทธชาด ๔๔

เบญจมาศหลายอย่างต่างสี พุดซ้อนซอ่ นกลิน่ จำปี มะลุลีสุกรมนมแมว กาหลงชงโคโยทะกา กระดังงาเทยี นเทศเกศแก้ว เกบ็ พลางชมพลางคลาดแคล้ว แล้วมายงั สระปทมุ มาลย์ --บทละครเรื่อง พระศรีเมือง-- มะตมู มะตูมเป็นไม้อีกชนิดหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีต่างๆ ของมนุษย์ หลายอย่าง แต่เป็นพิธีทางศาสนาของฮินดูเสียโดยมาก ทางไทยเรายังไม่พบว่า มีความเชื่อถือแพร่หลายอย่างไร เคยพบแต่ว่าเอาผลมะตูมไปลงอักขระเลขยันต์ แล้วเอามาต้มกินน้ำ กลา่ วกันว่าใช้ในการคลอดบุตรดีนัก ใครกนิ น้ำมะตูมลงยันต์น้ีแล้ว จะคลอดบุตรง่าย แต่อาจารย์ที่เคยทำเห็นจะสิ้นไปหมดแล้ว จึงไม่เคยพบว่าใครใช้ ในสมัยน้ี ใบมะตูมนับว่าเป็นส่วนสำคัญในพิธีต่างๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นในการครอบ ละครในเมื่อครูครอบให้ศิษย์แล้ว ก็ให้ใบไม้มงคล คือใบมะตูม หญ้าแพรก ใบเงิน ใบทอง ซึ่งมัดเป็นช่อให้ศิษย์ทัดหู ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น เจ้านายที่ผนวชใน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จะได้รับพระราชทานพระมหาสังข์ ใบมะตูม และทรงเจิมด้วย และเป็นหนา้ ท่ีของภษู ามาลาทีจ่ ะตอ้ งเก็บใบมะตมู มาใหพ้ อแกเ่ จ้าทีท่ รงผนวช เมื่อตรวจเรื่องมะตูมในตำราไสยศาสตร์ จะพบว่ามะตูมเป็นไม้เก่าแก่ เห็นจะมีมาคู่กับศาสนาฮินดูเลยทีเดียว ใบมะตูมเป็นไม้ศักด์ิสิทธิ์ของพระอิศวร เวลาบูชาพระอศิ วรเขาจะต้องใชใ้ บมะตมู ด้วยขาดไม่ได้ที่เดียว ในคัมภีร์จตุรมาสมหา ตมยะ ได้กลา่ วว่า ใบมะตูมที่เป็นสามแฉกนั้นแทนพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะและ ในคัมภรี ไ์ ชนีอรัณยกถากล่าวว่า นางเทราปที (กฤษณา) มเหสขี องกษัตริย์ ปาณฑพ ท้งั ๕ ก็ไดเ้ คยถวายใบมะตมู มีจำนวนถงึ ๑๐๐,๐๐๐ ใบ แก่พระอศิ วร ๔๕

ในตำนานของฮินดูมีเรื่องที่เกี่ยวกับมะตูมหลายเรื่อง เช่นครั้งหนึ่ง ขณะที่ พระศิวะกำลังสนทนาอยู่กับพระอุมา ณ ยอดเขาไกรลาสนั้น ก็มีลิงตัวหนึ่งขึ้นไปอยู่ บนต้นมะตูม (Bael tree) แล้วเด็ดใบมะตูมสองสามใบกระโดดลงมาหมอบถวาย พระศิวะ พระองค์จึงมีเทวบัญชาว่า ลิงตัวนั้นสมควรจะเกิดเป็นจักรพรรดิ นี่ก็เพราะ บูชาพระศวิ ะด้วยใบมะตูมน่ันเอง อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีพรานคนหนึ่งไปล่าเนื้อ แต่ในขณะที่แอบซุ่มอยู่ที่ ต้นมะตูมนั้นก็เด็ดใบมะตูมทิ้งลงไปถูกศิวลึงค์ซึ่งตั้งอยู่ที่โคนต้น เมื่อทิ้งใบมะตูม ลงไปใบหนึ่งก็เอ่ยนามพระ “ศิวะ ศิวะ” ไปพลางอย่างไม่ตั้งใจ แต่ได้ผลทำให้บาป ที่ทำมาแต่ต้นหมดไปโดยไม่รู้ตัว และตามปกติแล้วพวกฮินดูเขามักจะเขียนรูปศิวลึงค์ กับใบมะตูมไว้ด้วยกันเสมอ ดูจะเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเรื่องนี้ (ในหนังสือ บางเล่มกล่าวว่า เป็นใบสะเดา แต่ที่เล่ามานี้กล่าวตามตัวหนังสือที่แจ้งไว้ในฟุตโน้ต นั้นแลว้ ) เครื่องบูชาเก้าประการตามลัทธิของทิเบต ซึ่งเขียนเป็นรูปเครื่องหมายไว้ ปรากฏว่ามีมะตูมรวมอยู่ด้วยกล่าวกันว่าครั้งหนึ่งพระพรหมได้นำมะตูมมาถวาย พระพุทธเจา้ ไดป้ ระสาทมงคลว่าเป็นผลไมท้ ด่ี ที ่ีสุด จงึ ไดใ้ ช้เป็นเครอ่ื งบูชา ในทางไสยศาสตร์ที่เกี่ยวกับช้าง ก็มีเรื่องมะตูมเข้ามาเกี่ยวข้องอีก เหมือนกนั เพราะห้ามพวกหมอชา้ งทำลายต้นมะตูม ตามเรอ่ื งเขาว่าต้นมะตูมเกิดจาก ตรีของพระนารายณ์ (ในหนังสือนารายณ์สิบปางฉบับหลวง ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ ตอนพระนารายณ์ ออกปราบช้างเอกทันต์ตอนหน่ึงวา่ เมื่อเอาเชือกบาศชัดถูกเท้าขวา ช้างแล้ว) * เขียนตามทปี่ รากฏในหนังสือ Bhawan's Journal Vol. Vill No.14 และใน Hindu Holidays ของ Gupte แตใ่ นท่บี างแหง่ เขียนว่า Bel อนั เป็นภาษาเบงกาลีกม็ ี ในภาษาละตนิ เรียกมะตูมว่า Aeglemarmelos ใน หนังสอื Hindu Manners, Customs and Ceremonies เรียกวา่ Vepu แต่มีฟตุ โนต้ อธิบายวา่ ควรจะเปน็ Bilva ในบาลี สยามอภิธานแปลไว้วา่ มะตูม (พิลว) ๔๖

“พระเป็นเจ้าเอาตรีปักลง ณ พื้นพระธรณี อธิษฐานให้เป็นต้นไม้มะตูม ณ แล้วเอาหางอุรเคนทรกระหวัดไว้กับต้นมะตูม แล้วเอาพระหัตถ์ขวาทิ้งเอาววัลมา อธิษฐานให้เป็นทามภัยเณ คล้องคอคชเอกทันต์เข้าไว้กับไม้คูน แล้วพระเป็นเจ้า จงึ เสดจ็ มาหยดุ อยใู่ ต้รม่ ไม้ยอ แล้วตรัสเรียกคนทัง้ สี่ (ทีต่ ามไป) ให้ มาจากที่ซุ้มร่มอันนั้นพระเป็นเจา้ จงึ เอาตำหรับพฤฒิบาศประสิทธิ์ให้คนทั้งสี่ เป็นประกรรม จึงได้ห้ามไม้มะตูมยอ และคนมิให้หมอช้างทั้งปวงนักกิ่ง ถากเปลือก และเด็ดใบ เพราะเหตุพระเปน็ เจา้ ประสทิ ธ์ิครปู ระกรรมมาแตก่ อ่ นในทีน่ น้ั ” ในหนงั สือสมทุ รโฆษคำฉันท์ ของพระมหาราชครูท่แี ตง่ ในสมยั สมเด็จ พระนารายณ์ กไ็ ดก้ ลา่ วถงึ พิธีเบิกไพรทต่ี ้นมะตูมเมื่อจะไปจบั ช้างป่าว่า หมอเฒา่ ถึงกอ่ นรีพล ยงั ต้นดมู ตน สาํ คญั แลว้ เขา้ บูชา เทียนธปู ธงฉัตรฉมสลา เหล้าเขา้ เนอ้ื ปลา ประดบั ด้วยภูษากาญจน์ อนึ่ง ใบมะตูมนั้นช้างทั้งหลายย่อมกลัวเกรง ในหนังสือ “มาตงคลีลา” ท่ี ป.ส. ศาสตร์ แปลจากตน้ ฉบับภาษาสนั สกฤตของนลิ กัณฐ์ ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า ดอกไม้ “มชกุ ” นำ้ ผง้ึ “วจา” ดำ “อศว คนธา” (ใบ) มะตูม หวั หอม และ พริกไทย ท้ังนี้บดผสมกันกบั มตู รโค ทาทข่ี อแลว้ ใชข้ อนั้นสับชา้ งได้ ช้างนั้นย่อมอยู่ใน บงั คบั ความจริงนน้ั มะตูมเป็นต้นไมท้ ่ีมีประโยชน์มาแตโ่ บราณ ถ้าจะพูดถึง ดอกก็ มีดอกท่ีหอมไกลชนดิ หนึ่ง ผลมะตูมใช้ทำยาได้หลายอยา่ ง ผลมะตูมอ่อนๆ ใชเ้ ป็นยา บำรุงธาตุบำบัดกองลมและทำให้ธาตุเป็นปกติ เมื่อมะตูมมีขนาดจวนแก่มีสรรพคุณ แกเ้ สมหะ และแกล้ มทงั้ ปวง บำรุงธาตุไฟ ย่อยอาหารใหล้ ะเอียดคร้ันแกแ่ ลว้ แต่ยังไม่ ถึงสุก ก็มีสรรพคุณบำบัดเสมหะและกองลมเช่นกัน แต่ช่วยปิดธาตุและช่วยย่อย อาหารทำให้ธาตุเป็นปกติได้ เมื่อสุกแล้วมะตูมจะมีรสหวาน กินต่างของหวานได้ สรรพคุณทางยาช่วยให้เกิดกำลังและมีความอบอุ่นแก้จุกเสียดในท้อง ปวดท้อง ๔๗

ช่วยย่อยอาหาร แก้มูกเลือดบำรุงธาตุไฟ แก้กระหายน้ำ เมื่อเซอร์ยอน โบว์ริงเข้ามา เมืองไทย เม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้พระราชทาน ผลมะตูมมาให้ ดังปรากฏในบันทึกของยอน โบว์ริงว่า “และทั้งได้ส่งผลมะตูมที่เก็บ มาจากป่า (ไม่ได้ปลูกในสวน) ส่งมาด้วย ว่าสำหรับกินแก้โรคบิด” การที่ส่งมะตูม พระราชทานไปเช่นน้ี กเ็ หน็ จะเป็นเพราะวา่ ฝร่งั ทเ่ี ข้ามาเมืองไทย มักจะผิดนำ้ และเป็น บิดกันอย่เู สมอน้ันเอง ในสว่ นใบมะตมู นอกจากจะนำมาใช้ในพธิ ตี ่างๆ ดังไดเ้ ล่ามาแลว้ (คือใชก้ ัน เสนียดจญั ไรขบั ภตู ผปี ศี าจได้) ใบมะตูมอ่อนๆ เขากใ็ ช้รับประทานเปน็ ผกั ได้เท่าท่เี คย เห็นสมัยเด็กๆ มักจะเกบ็ มาจิ้มน้ำพริกปลารา้ หรือกะปิค่วั เปน็ ส่วนมาก รากของต้นมะตมู พวกคอสุรามักเอาไปคั่วให้เหลือง แลว้ ดองแช่ในสรุ าจะทำ ให้กลิ่นดีขึ้น กลบกลิ่นเหม็นได้เป็นอย่างดี สรรพคุณรากของมะตูมแก้พิษฝีพิษไข้ แก้สตเิ ผลอ รักษาน้ำดี ผู้เขียนเกิดในชนบท ได้กินมะตูมมาตั้งแต่เด็กๆ มะตูมสุกมีรสชาติดีไม่แพ้ ผลไมอ้ ยา่ งอน่ื เสียแตเ่ มลด็ มียางห้มุ ทำให้ขม แตบ่ างชนดิ ยางนอ้ ย บางทผี ู้ใหญ่ก็เอา มะตูมมาขูดผิวออกแล้วต้มใส่น้ำตาล ดื่มน้ำหอมอร่อยชื่นใจดี น้ำอย่างนี้เขาเรียก ว่านอัชบาล มปี ระโยชน์ขบั ลมบำรงุ ธาตไุ ปดว้ ย ลักษณะของผลมะตูมไม่เหมือนกัน แต่โบราณแบ่งมะตูมออกเป็น 3 พันธุ์ คือชนิดหนึ่งลูกกลมยาวคล้ายไข่ อีกชนิดหนึ่งผลกลมคล้ายมะขวิด มีขนาดเล็ก เปลือกบาง ชนิดทเ่ี รยี กกันวา่ มะตูมไข่ และอีกชนดิ หนึ่งคล้ายพนั ธแ์ุ รก แตเ่ ปลือกอ่อน นิ่ม เอานิ้วกดบุบเรียกตามลักษณะว่า มะตูมนิ่ม มะตูมชนิดนี้มักใช้ทางยาเสียโดยมาก กล่าวกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้เจริญอาหาร บำรุงกำลังตามร้านขายเครื่องยา จะเหน็ เขานนั่ เป็นชน้ิ บางๆ บางท่านเอาไปชงดื่มตา่ งนำ้ ชากม็ ี มะตูมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบโตยาว ตามต้นตลอดจนถึงมีหนามยาว แหลมคมมาก มีดอกสีขาวหอมชื่อมะตูมที่เรียกกันตามพื้นเมืองมีหลายอย่าง เช่น ๔๘

ทางภาคกลางเรยี กว่า มะตูม ภาคพายัพ เรยี กวา่ มะปนิ ภาคใตเ้ รยี ก ตมู ทางเขมร พระตะบองเรยี กวา่ พะโนงค์ ทางลานช้างเรียกวา่ กะทนั ตาเถร ทมุ่ ตัง้ เรื่องแปลกๆ ของมะตูมที่ชอบเล่ากันก็คือ ช้างกินมะตูมเข้าไปทั้งลูก และ เม่ือชา้ งถา่ ยออกมาก็คงเป็นผลมะตูมอยู่ตามเดิม แต่เมอ่ื ทบุ ออกดกู ลบั ปรากฏวา่ ข้าง ในผลมะตูมนั้นเต็มไปด้วยอุจจาระของช้าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นไม่มีใครให้เหตุผลได้ แตผ่ ู้เฒา่ ผู้แกม่ กั จะยนื ยันวา่ เป็นความจริง ในพงศาวดารของพม่าเล่าวา่ พระนางรุจิระ ประภาวดี ซึ่งเป็นย่าของพระเจ้าจันติดชานั้น เป็นอุปาติกชาติ เพราะเกิดในผลมะตูม โตเท่าไห ในหนังสือเล่มหนึ่งเล่าว่า วิธีป้องกันความเป็นม่าย ของหญิงชาวเนปาลเขา ให้แต่งงานกับลูกมะตูม เมื่อเด็กผู้หญิงมีอายุได้ ๕ ขวบ พิธีเริ่มด้วยเด็กต้องอด อาหาร แล้วพ่อแม่มอบลูกมะตูมให้ลูกสาวผลหนึ่งลูกสาวจะเอามะตูมนั้นไปใส่บาตร ทองเหลอื งของพระ (แต่เร่อื งน้ใี นที่บางแห่งวา่ แต่งงานกับหมากก็มี คงจะหลายตำรา) ในนิทานพื้นเมืองของอินเดียเรื่องหนึ่งเล่าว่า ต้นมะตูมเกิดจากอวัยวะของหมู คือ มีพี่น้องสองคนเอาอวัยวะของหมูไปฝังดินไว้ พอฝนตกก็มีต้นไม้งอกขึ้นมาตรงนั้น ต่อมาก็ออกลูกและมีเมล็ดเหมือนกับอวัยวะของหมูที่ฝังไว้น้ัน ต้นไม้นี้ก็คือต้นมะตูม ในที่บางแห่งว่า ผลมะตูมมีลักษณะเช่นนั้น ก็เพราะเกิดจากน้ำนมของพระศรีหรือ พระลักษมีนนั่ เอง ตามเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั้น ก็เป็นเรื่องของมะตูมที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ของพราหมณ์ และเกยี่ วขอ้ งกับชา้ ง ตลอดจนตำนานนทิ านทมี่ ีมะตมู เขา้ ไปเกี่ยวข้องอยู่ เป็นเรื่องที่มองเผินๆ แล้วกไ็ ม่เหน็ จะนา่ สนใจ แตเ่ มื่อคน้ คว้าดูแล้วก็เป็นเรื่องน่าศึกษา เหมือนกัน ๔๙