งานวิจยั ในชั้นเรียน การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าบญั ชเี บ้ืองตน ของนักเรียนระดบั ชนั้ ประกาศนียบัตรวชิ าชพี ปท่ี 1 โดยใชกระบวนการแบบทาํ งานรับผิดชอบรวมกัน ผวู ิจยั นางสาวกญั ญาณัฐ บัวโต ครูชํานาญการ โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 33 จังหวัดลพบุรี สาํ นกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน
2 คํานํา การวิจัยในชั้นเรียนเปนการตรวจสอบสภาพปญหาการเรียนของผูเรียน โดยครูผูสอนเปนผูสังเกต ทดสอบแลว นาํ ผูเรียนที่มีปญ หาทางการเรียนในเร่ืองนั้นมาแกปญหา โดยการวิจัยในช้ันเรียน เร่ืองการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าบัญชีเบือ้ งตน ของนกั เรยี นชัน้ ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ปท่ี 1 โดยใชก ระบวนการแบบ ทํางานรับผดิ ชอบรว มกนั งานวิจัยในชั้นเรยี นน้ีจงึ เปน สวนหน่ึงท่ีจะสงเสริมใหผูเรียนเกิดการพัฒนาตนเองดาน ภาวะผนู าํ ผตู ามและฝก ความสามารถของตนเอง รวมถึงเปน แนวทางในการทาํ วิจัยในชั้นเรียนของช้ันอื่นๆ ตอไป ผูวิจัยหวังวา วิจัยในชั้นเรียนเลมนี้จะเปนประโยชนตอการเรียนการสอนไมมากก็นอย หากงานวิจัยเลมนี้มี ขอบกพรอ งประการใดตอ งขออภยั ไว ณ ทน่ี ี้ นางสาวกัญญาณฐั บวั โต
สารบญั 3 เรอ่ื ง หนา 1 บทท่ี 1 บทนาํ 4 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วของ 13 บทที่ 3 วธิ กี ารดาํ เนินการวิจยั 17 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหขอมลู 18 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลและขอ เสนอแนะ
4 บทที่ 1 บทนํา ความเปนมาและความสาํ คัญของปญหา การเรยี นการสอนระดับชัน้ ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ปท ่ี 1 เปน ไปตามมาตรฐานการเรียนรูของระดับชั้น ชว งชน้ั ที่ 4 จากการจัดกระบวนการเรยี นรแู ละวดั ประเมินผลตามจดุ ประสงคการเรียนรูของนักเรียนในรายวิชา อื่นๆทผ่ี า นมา พบวานกั เรยี นระดับชน้ั ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพปท ี่ 1 สวนใหญมผี ลการเรียนคอนขางต่ํา รอยละ 60 ของนักเรยี นไมผ า นจดุ ประสงคก ารเรยี นรู และจากการสังเกตพบวา คนทผ่ี า นมักเปนนกั เรยี นกลมุ ท่ตี ้ังใจเรียน สวนนักเรียนท่ไี มผา นจะเปนนกั เรียนที่ไมต ั้งใจเรียน เนือ่ งจากวาผูวจิ ยั ไดรับผดิ ชอบการจัดการเรียนรายวิชาบัญชีเบ้ืองตน จึงเลือกวิจัยในชั้นเรียน ในการ เรียนกระบวนวิชาดังกลาว จึงไดสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนระหวางที่จัดการเรียนการสอน และ พฤตกิ รรมการทาํ งานเม่ือมีการสัง่ งานทําแบบฝก หัดหรอื ปฏบิ ัติเครอื่ งดนตรี โดยพบวา นักเรยี นทตี่ ง้ั ใจเรียนจะให ความสนใจกับการเรียน และลงมือทํางานใหแลวเสร็จกอนท่ีจะขออนุญาตทํางานอ่ืน หรือกิจกรรมอื่นๆ แต นักเรียนท่ีไมมีความสนใจในการเรียนจะหากิจกรรมอ่ืนมาทําระหวางเรียน หรือไมใหความสนใจในการเรียน เทาทค่ี วร ตอ งมีการย้ําใหนกั เรยี นสนใจอยูตลอดการจดั การเรยี นการสอน ทําใหก ารจัดการเรยี นการสอนมีความ ลาชา และนกั เรียนเกิดการเรยี นรไู ดไมด ีเทา ท่คี วร ดงั นั้นเพ่ือแกป ญ หาเรือ่ งผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น และกระตนุ ใหน กั เรยี นหนั มาสนใจบทเรียนมากขนึ้ จึง จําเปน ตองมกี ารปรบั ปรุง พัฒนารูปแบบการสอน วิธีการสอนเพ่ือเนนผูเรียนเปนสําคัญและเพิ่มกิจกรรมการ เรียนรูท ี่หลากหลาย ผวู ิจยั จงึ เห็นวาการจัดการเรียนรูโดยใชกระบวนการกลุม เปนกระบวนการเรียนรูท่ีทําให ผูเรียนไดร บั ความรจู ากการลงมือรวมกนั ปฏบิ ัติเปนกลุม นักเรียนแตละคนในกลุมมีบทบาทหนาท่ีรับผิดชอบที่ แนนอน เพือ่ นคนเกงชว ยเหลือเพ่ือนทอ่ี อนกวา โดยถอื ความสําเรจ็ ของบุคคลเปนความสําเรจ็ ของกลุม ท้ังนี้เพ่ือ เปด โอกาสใหผูเรียนเขารวมกิจกรรมกลุม และมีบทบาททางการเรียน จะชวยใหผูเรียนมีความพรอม มีความ กระตือรอื รน เสรมิ สรา งปฏสิ มั พนั ธและมีความสขุ ในการเรียน และเพื่อใหการจัดการเรียนการสอนเปนไปอยางมีประสิทธิภาพ และใหผูเรียนไดรับประสิทธิผลมาก ที่สุด ผวู จิ ยั จึงเลอื กศกึ ษาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรียนรายวิชาบัญชีเบื้องตน ระดับชั้นประกาศนียบัตร วชิ าชพี ปที่ 1 โดยใชก ระบวนการแบบทํางานรบั ผดิ ชอบรวมกนั
5 วตั ถุประสงคก ารวจิ ัย 1. เพือ่ พฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาบญั ชเี บ้ืองตนของนักเรยี นระดบั ชั้นประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ ปท่ี 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรว มกัน กอนเรยี นและหลงั เรยี น โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 33 จังหวดั ลพบุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปการศกึ ษา 2563 ขอบเขตของการวจิ ยั 1. กลมุ เปาหมาย วิชาบัญชีเบื้องตนของนักเรียนระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปที่ 1 โรงเรียนราชประชา- นเุ คราะห 33 จังหวัดลพบรุ ี ภาคเรยี นที่ 2 ปก ารศกึ ษา 2563 จาํ นวน 14 คน 2. เนอื้ หา 2.1 เนอ้ื หาท่ีใชในการสอน วิชาบัญชีเบ้ืองตน ในกลมุ สาระการเรียนรอู าชพี และเทคโนโลยี 2.2 นวตั กรรมท่ใี ชใ นการวจิ ยั ครง้ั นเ้ี ปนกระบวนแบบทาํ งานรวมเปน ทีม 3. ขอบเขตดานตวั แปร ตวั แปรตน วธิ ีการใชกระบวนการทาํ งานรวมเปน ทมี ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าบญั ชีเบื้องตน 4. ระยะเวลาท่ใี ชใ นการวิจัย ธันวาคม 2563 - มีนาคม 2564 สมมตุ ิฐานงานวจิ ยั 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีผานการเรียนวิชาบัญชีเบ้ืองตนของนักเรียนระดับช้ัน ประกาศนียบตั รวชิ าชีพปที่ 1 โดยใชกระบวนการแบบทาํ งานรบั ผิดชอบรวมกนั มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกวา กอนเรยี น นิยามศพั ทเ ฉพาะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง นักเรียนมีความรู ความเขาใจ และสามารถวิเคราะหเนื้อหา ลําดับ ความสาํ คัญในวิชาบญั ชเี บ้ืองตน ของนักเรียนระดับช้นั ประกาศนียบัตรวิชาชีพปท ่ี 1 การทํางานรับผิดชอบรวมกัน หมายถึง การท่ีบุคคลรวมกัน เพ่ือทํางานรวมกันอยางเปนข้ันตอน ใน เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง เพ่ือที่จะแกไขปญหาน้ันๆ ใหหมดไปโดยแตละข้ันตอนจะมีความสัมพันธเชื่อมโยงกันเปน แนวทางในการปฏิบตั ิเพื่อใหบรรลผุ ลท่วี างไว แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถงึ เครอ่ื งมอื ที่ใชในการวดั ผลกอนเรียนและหลงั เรียนดวย ชดุ การสอนทผี่ ูวจิ ัยสรางข้ึนทั้งหมด เพื่อวัดผลการเรียน ซึ่งจะวัดในดานความรู ความจํา ความเขาใจและการ นําไปใชจากการเรียนรโู ดยใหค รอบคลุมตามจดุ ประสงคเ ชงิ พฤตกิ รรมเปนรายขอ ของแตล ะชุดกจิ กรรม
6 ประโยชนท่ีคาดวาจะไดร ับ 1. ทาํ ใหทราบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียน หลงั การจัดการเรยี นการสอนวิชาบญั ชีเบ้ืองตนของ นักเรียนระดบั ชน้ั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ปท ่ี 1 โรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จังหวัดลพบรุ ี 2. ทาํ ใหผ สู นใจ เชน ครผู สู อนรายวชิ าคณิตศาสตร หรอื ครผู ูสอนท่มี ปี ญ หาคลายกัน ไดนําแนวทางที่ ผูวจิ ัยไดศึกษาไปเปนแนวทางในการแกไ ขตอไป
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกย่ี วของ การวจิ ยั เร่อื ง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาบัญชีเบ้ืองตน ของนักเรยี นระดับชน้ั ประกาศนียบตั ร วิชาชพี ปท ่ี 1 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 33 จงั หวัดลพบุรี ครั้งน้ี ผูวจิ ยั ไดศึกษาตํารา เอกสารและงานวิจัยท่ี เกีย่ วขอ ง โดยนําเสนอแนวคดิ ตามลําดบั หัวขอตอ ไปน้ี 1. การวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการในชั้นเรียน - ความหมายของการวจิ ัยในช้ันเรยี น - ความสําคญั ของการวจิ ัยในช้ันเรียน - กระบวนการในการทาํ วจิ ยั ชนั้ เรยี น - รปู แบบของการวจิ ยั เชิงปฏิบัตกิ าร 2. การเรียนรเู ปนรายบุคคล - เทคนคิ การใช Concept Mapping - เทคนคิ Learning Contracts - เทคนคิ Know-Want-Learned - เทคนิคกระบวน (Group Process) 3. ทฤษฎกี ระบวนการกลุม - หลกั การและแนวคดิ ทฤษฎกี ระบวนการกลุม - หลกั การเรยี นรแู บบกระบวนการกลุม - หลักการสอนแบบกระบวนการกลุม - รปู แบบและขน้ั ตอนการสอนแบบกระบวนการกลุม - ขนาดของกลมุ และการแบง กลุม - วิธกี ารสอนทส่ี อดคลอ งกบั หลักการการสอนแบบกระบวนการกลมุ - การประเมินผลการสอนแบบกระบวนการกลมุ - บทบาทของครูและนักเรียนในการสอนแบบกระบวนการกลมุ 4. งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ ง
8 การวจิ ัยในชน้ั เรียน ความหมายของการวจิ ยั ในชนั้ เรยี น ผูวิจัยไดทําการศึกษาคนควาเกี่ยวกับความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน โดยมีนักวิชาการและ หนวยงานตางๆใหความหมายไวหลากหลาย ดงั ตอไปนี้ สวุ ัฒนา สุวรรณเขตนิคม (2538, 6) ใหค วามหมายของการวิจัยในช้ันเรียนวา การวิจัยในช้ันเรียนคือ กระบวนการแสวงหาความรูอันเปนความจริงท่ีเชื่อถือไดในเน้ือหาเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อ พฒั นาการเรยี นรูข องนักเรียนในบริบทของชัน้ เรยี น อุทุมพร (ทองอไุ ทย) จามรมาน (2544, 1) ใหค วามหมายของการวจิ ยั ในช้นั เรยี นวา การวจิ ัยในชน้ั เรยี นคือ การแกป ญหานกั เรียนบางคน บางเรือ่ ง เพื่อพฒั นา (ปรบั ปรุงนกั เรียนออ น เสริมนกั เรียน เกง ) นกั เรียนคนนั้น กลุมน้ัน เพื่อจะไดเ รียนทนั เพ่อื นกลุมใหญ หรอื ไดรับการพฒั นาเต็มศักยภาพของเขา สุวิมล วองวาณชิ (2544, 11) ไดน ยิ ามเกยี่ วกบั เรอ่ื งน้ไี ววา การวิจยั ปฏิบตั ิการในช้ันเรยี นคือ การวิจัยท่ี ทาํ โดยครูผสู อนในหองเรียน เพอ่ื แกไขปญหาท่เี กดิ ขึ้นในหองเรียน และนาํ ผลไปใชในการปรับปรุงการเรียนการ สอน เพอื่ ใหเกดิ ประโยชนส ูงสุดกบั ผเู รียน เปน การวจิ ยั ท่ีตองทําอยา งรวดเร็ว นาํ ผลไปใชท ันที และสะทอนขอ มลู เก่ียวกับการปฏิบัติงานตางๆของตนเอง ใหทั้งตนเองและกลุมเพื่อนรวมงานในโรงเรียนไดมีโอกาสอภิปราย แลกเปล่ียนความคดิ เห็นในแนวทางทไี่ ดป ฏบิ ัติ และผลท่ีเกดิ ขน้ึ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนตอ ไป สาํ นกั งานสภาสถาบันราชภฏั (2544, 3) ไดใหความหมายและลักษณะสาํ คัญของการวิจัยในช้ันเรียนวา การวิจัยในช้ันเรียน หมายถึง การวิจัยท่ีเกิดข้ึนในชั้นเรียนกระทําโดยครูผูสอน โดยมีเปาหมายหลักเพ่ือแกไข ปญหาที่เกิดข้ึนในหองเรียน และนําผลการวิจัยไปใชในการปรับปรุงการเรียนการสอนของตน เพ่ือใหเกิด ประโยชนส งู สดุ ตอ นกั เรียนในช้ันท่ีครูสอนอยู และสามารถเผยแพรเปน ประโยชนตอวงการศึกษาได การวิจัยในชนั้ เรยี นจากการนยิ ามขา งตนสามารถสรปุ เพ่ือใชในการวิจัยครัง้ นวี้ า หมายถงึ กระบวนการที่ ครูผูสอนตอ งการแกไขปญหาทีเ่ กิดขน้ึ กับนกั เรยี นในช้นั เรียนท่สี อน โดยปญ หาที่เกิดอาจเกิดขึ้นแกนักเรียนบาง คน หรอื อาจเกดิ ปญ หาขน้ึ บางเร่อื งในช้ันเรียน และนําผลการวิจยั ที่ไดไปปรบั ปรุงกิจกรรมการเรยี นการสอนของ ผสู อน เพ่ือใหเ กิดประโยชนส ูงสุดแกน ักเรียนในชั้นเรยี น ความสาํ คัญของการวจิ ัยในช้นั เรียน การวิจยั ในชั้นเรียนมคี วามสาํ คัญตอการปฏิบัติงานของครู ดังที่วัลลภา เทพหัสดิน ณ อยุธยา (2555) ไดกลาววา การวิจัยในชัน้ เรยี นมคี วามสาํ คัญตองวงการวิชาชีพครูเปนอยางย่ิง เนื่องจากครูอาจารยจําเปนตอง พัฒนาวธิ กี ารเรียนการสอน การจงู ใจใหผูเรียนเกิดความอยากรูอยากเรยี น การพัฒนาพฤตกิ รรมผูเรยี น การเพิ่ม สมั ฤทธิผลการเรียน และการสรางบรรยากาศการเรียนรูเพื่อใหเกิดการเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพ (2555, อางองิ จากสนิ ธะวา คามดษิ ฐ, 2557 : 4) นอกจากนนั้ มณีโรจน (2544 : 2) ยังไดกลาววา การวิจัยในช้ันเรียนมี ความสําคัญคือ ชว ยใหค รูไดพฒั นาวธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนใหมีประสิทธิภาพ ชวยใหผูเรียนไดเรียนรูอยางมี คณุ ภาพสูงขึ้น ชว ยใหงานวชิ าการของการเรยี นการสอนกา วหนา มีนวัตกรรมในการจดั การเรียนการสอนเพ่ิมขึ้น สงผลตอเนอ่ื งตอการจดั การเรยี นการสอนของครู ชว ยใหงานวิชาครูเปนวิชาชีพชั้นสูงมากขึ้นเปนที่ยอมรับของ สงั คมท่ัวไป ชวยพัฒนาตวั ครูและวิชาชพี ครไู ปพรอมๆกนั
9 การวิจัยในช้ันเรียนมีความสําคัญตอการพัฒนางานของครู รวมถึงการพัฒนาตัวครูและผูเรียน จาก การศึกษาขางตน ผูวิจัยสรุปความสําคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนไดวา การวิจัยในชั้นเรียนถือวามี ความสาํ คัญมากทั้งในสว นของผเู รยี น ทไี่ ดม กี ารปรับปรุงพฤติกรรมการเรยี นของตัวผูเรียนเองแลว การวจิ ัยในชน้ั เรยี นยงั มคี วามสาํ คัญตอ ครูผูส อน โดยทําใหการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพมากยิง่ ข้นึ กระบวนการในการทําวิจัยในชัน้ เรียน ขั้นตอนท่ีสําคัญของกระบวนการวิจัยในช้ันเรียน (อางอิงจากกรมวิชาการ 2562, 7-10) มีการ ดําเนนิ การวิจยั เปน 5 ขั้นตอนดังน้ี ขน้ั ที่ 1 สาํ รวจและวิเคราะหป ญหาการเรียนการสอน การสํารวจและวิเคราะหปญหา เปนจุดเร่ิมตนท่ีสําคัญในการวางแผนแกปญหาหรือพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอน ซึ่งจะทําใหครูพบปญหาท่ีจะตองแกไขหรือพัฒนาจนสามารถดําเนินการสอนได สอดคลอ งกับเปา หมายทค่ี วรจะเปน และเม่ือครูพบปญ หาจากการสํารวจและวิเคราะหปญหาแลว หากมีหลายปญหาครูอาจตอง จัดลําดบั ความสําคัญของปญหา โดยพิจารณาจากความรุนแรงของปญหาวาปญหาใดควรไดรับการแกไขหรือ พฒั นากอน หรอื อาจจาํ เปนตองแกไ ขหรือพัฒนาหลายปญ หาพรอมกนั ขั้นท่ี 2 ศึกษาคน ควาวิธีการหรือนวัตกรรมในการแกปญหานน้ั เมื่อวเิ คราะหปญหาทจี่ ะหาแนวทางในการแกป ญ หาแลว ในขน้ั นผี้ สู อนจะตองศึกษาเอกสารที่ เก่ียวของ เชน วารสาร บทความ หลักสูตร ผลงานวิจัย หนังสือ ตําราคูมือ แนวคิดทฤษฎีตางๆ ตลอดจน ประสบการณของผสู อนเอง เพ่อื ทาํ ใหผสู อนทราบวา ปญ หาทีค่ ลายกับปญ หาของผูสอนเองนนั้ มผี ูใดศึกษาไวบ าง ใชวธิ ีการใดในการแกป ญหาและผลการแกป ญ หาอยางไร วธิ ีการนี้จะทาํ ใหผูสอนเห็นแนวทางในการแกปญ หาได ชดั เจน ซง่ึ อาจเปนวธิ สี อนแบบใหม หรือการใชน วตั กรรมเขามาชวยในการจัดประสบการณการเรียนการสอน ไดแก บทเรียนสําเร็จรูป ชุดการสอน เอกสารประกอบการสอน คูมือครู บทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน (CAI) หรือการเรียนแบบรวมมือ เปนตน ข้ันที่ 3 พัฒนาวธิ กี ารหรือนวตั กรรมทีเ่ ลอื กใชสาํ หรบั การแกปญหานัน้ เม่อื ผูสอนไดท างเลือกในการแกป ญ หาหรือพัฒนา ซ่งึ อาจเปน วิธีการหรือนวัตกรรมทเี่ ปน ไปได ในข้ันนี้ผูสอนตองกําหนดรายละเอียดของวิธีการและจัดสรางนวัตกรรมท่ีใชในการแกปญหาตามที่กําหนดไว แลว ดาํ เนินการตรวจสอบคณุ ภาพของวิธกี ารหรอื นวัตกรรมโดยผูรใู นเร่ืองนนั้ ๆ เชน หากผสู อนสรางบทเรียน คอมพิวเตอรชว ยสอน ผูสอนตองศึกษาคน ควาวิธีการจัดทําบทเรยี นคอมพิวเตอรช ว ยสอน แลวจดั ทาํ ตน แบบให เสร็จสมบูรณ นําไปใหเ พือ่ นผสู อน ศกึ ษานิเทศกหรือนักวชิ าการท่ีเกีย่ วขอ งกบั เรอื่ งทศี่ ึกษาใหความคดิ เหน็ เพ่อื นําขอคดิ เห็นทไ่ี ดม าปรับปรุงแกไ ขตนแบบของนวัตกรรมหรอื วธิ ีการและในบางครั้งอาจจําเปนตองนําไปทดลอง ใช( Tryout)กบั นักเรยี นกลุม เลก็ ๆ กอ น
10 ข้นั ที่ 4 นําวิธีการหรอื นวตั กรรมไปใชในช้นั เรียนและเกบ็ รวบรวมขอ มูล ขั้นน้ีผูสอนจะนาํ วิธกี ารหรือนวตั กรรมท่สี รางขึ้นไปใชกบั นกั เรียนท่ีเปนกลุมเปาหมายแลวเก็บ รวบรวมขอ มูลตามทีก่ ําหนดดวยเคร่อื งมือชนิดตางๆ เชน สังเกตพฤตกิ รรม เริ่มตนของผูเรียนกอนนําไปใช เมื่อ นําไปใชแลว สังเกตพฤติกรรมอีกระยะหนึ่ง เพ่อื นาํ ขอ มลู มาวิเคราะหการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของผูเรียนตอไป หรือใชแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์เิ พ่อื เก็บขอมูลในสว นของความรคู วามสามารถในเรื่องท่ีเรยี น เปน ตน ขัน้ ท่ี 5 วิเคราะหข อ มูลและสรปุ ผลการแกไขปญหา ภายหลังจากการนําวิธีการหรือนวัตกรรมไปใชและมีการรวบรวมขอมูลไดแลว ผูสอนจะนํา ขอมลู มาวเิ คราะหโดยเลอื กใชส ถิติที่เหมาะสมกับขอ มูลท่ีรวบรวมได แลว สรุปผลการวเิ คราะหขอมูล หากยังไม สามารถแกไขปญ หาไดตามที่ตอ งการก็จะตองทาํ การปรบั ปรงุ แกไ ข โดยยอ นกลบั ไปคน หาวิธีการหรือนวัตกรรม ใหม แลวพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรม ตลอดจนนําวิธีการหรือนวัตกรรมไปใชอีก คือดําเนินการข้ันที่ 2-4 ใหม จนกระทง่ั สามารถแกไ ขปญ หาไดตามท่ีตอ งการ แลว จงึ เขียนสรุปผลการดาํ เนนิ งาน การเรยี นรูเปนรายบคุ คล (Individual Study) เน่อื งจากผเู รียนแตละบุคคลมีความสามารถในการเรียนรู และความสนใจในการเรียนรูที่แตกตางกัน ดังนนั้ จึงจําเปนที่จะตอ งมีเทคนิคหลายวิธี เพอ่ื ชว ยใหการจดั การเรียนในกลุมใหญสามารถตอบสนองผูเรียนแต ละคนทีแ่ ตกตา งกันไดดวย อาทิ 1. เทคนิคการใช Concept Mapping ท่มี หี ลักการใชตรวจสอบความคิดของผเู รยี นวาคิดอะไร เขาใจสิ่ง ท่ีเรียนอยางไรแลว แสดงออกมาเปนกราฟก 2. เทคนคิ Learning Contracts คอื สัญญาที่ผูเรยี นกับผสู อนรวมกนั กําหนด เพือ่ ใชเ ปนหลักยดึ ในการ เรียนวาจะเรยี นอะไร อยา งไร เวลาใด ใชเกณฑอะไรประเมนิ 3. เทคนิค Know-Want-Learned ใชเชื่อมโยงความรูเดิมกับความรูใหม ผสมผสานกับการใช Mapping ความรูเดมิ เทคนคิ การรายงานหนาช้ันท่ีใหผูเรียนไปศึกษาคนควาดวยตนเองมานําเสนอหนาชั้นซึ่ง อาจมกี ิจกรรมทดสอบผูฟ งดว ย 4. เทคนิคกระบวนการกลุม (Group Process) เปนการเรียนที่ทําใหผูเรียนไดรวมมือกัน แลกเปลี่ยน ความรคู วามคดิ ซงึ่ กนั และกัน เพอ่ื ใหบ รรลุเปาหมายเดยี วกนั เพอื่ แกปญ หาใหส าํ เรจ็ ตามวัตถุประสงค ทฤษฎีกระบวนการกระบวนการแบบทํางานรบั ผดิ ชอบรวมกนั (Group Process) กระบวนการแบบทาํ งานรบั ผดิ ชอบรวมกันเปนวทิ ยาการที่ศกึ ษาเกี่ยวกับกลุมคนเพื่อนําความรูไปใชใน การปรบั เปลีย่ นเจตคตแิ ละพฤติกรรมของคน ซึ่งจะนาํ ไปสกู ารเสริมสรา งความสัมพนั ธแ ละการพัฒนาการทาํ งาน ของกลมุ คนใหมปี ระสทิ ธภิ าพ จดุ เริม่ ตนของคน ควาวจิ ัยเกีย่ วกบั เรอ่ื งน้ีก็คือ การศกึ ษากลุมคนดานพลังกลุมและผูท่ีไดเช่ือวาเปนบิดา ของกระบวนการกลมุ ก็คือ เคริรทเลวิน (Kurt Lewin) นักจิตวิทยาสงั คมและนักวิทยาศาสตรชาวเยอรมัน โดย เร่ิมศึกษาตั้งแตประมาณป ค.ศ 1920 เปนตนมา และไดมีผูนําหลักการของพลังกลุมไปใชในการพัฒนา พฤติกรรมการทาํ งานกลุม การพัฒนาบุคลิกภาพและจดุ ประสงคอ ื่นๆ วงการ รวมทงั้ ในวงการศกึ ษา
11 1.หลักการและแนวคิดทฤษฎีกระบวนการแบบทาํ งานรับผดิ ชอบรว มกัน แนวคิดพ้ืนฐานของ กระบวนการแบบทํางานรบั ผิดชอบรว มกันกค็ อื แนวคิดในทฤษฎีภาคสนาน ของเคริ ท เลวนิ ทก่ี ลา วโดยสรุปไว ดังนี้ 1.1 พฤติกรรมของบคุ คลเปนผลมาจากความสมั พันธข องสมาชิกในกลุม 1.2 โครงสรางของกลุมจะเกิดจากการรวมกลุมของบุคคลท่ีมีลักษณะแตกตางกัน และจะมี ลกั ษณะแตกตางกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกกลมุ 1.3 การรวมกลุมจะเกดิ ปฏิสัมพันธระหวางสมาชิกในกลุมในดานการกระทํา ความรูสึก และ ความคิด 1.4 สมาชิกกลุมจะมีการปรับตัวเขาหากันและจะพยายามชวยกันทํางานโดยอาศัย ความสามารถของแตล ะบคุ คลซึ่งจะทําใหก ารปฏิบตั ิงานลุลว งไปไดต ามเปาหมายของกลุม 2.หลักการเรยี นรแู บบกระบวนการกลมุ ท่สี ําคัญมดี งั น้ี 2.1 การเรียนรูเปน กระบวนการที่เกดิ จากแหลงความรทู ีห่ ลากหลาย การเรยี นรทู ่ีเกิดจากการ บรรยายเพยี งอยา งเดยี วไมพอท่ีจะทาํ ใหผูเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาพฤติกรรม แตการจัดการเรียน การสอนเพ่ือพฒั นาพฤตกิ รรมผเู รยี นโดยกระบวนการกลุมจะเปดโอกาสใหผูเรียนไดใชศ ักยภาพของแตละคนท้ัง ในดานความคิด การกระทาํ และความรสู กึ มาแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณซ ่ึงกันและกัน 2.2 การเรียนรคู วรจะเปนกระบวนการกลมุ ทสี่ รา งสรรคบ รรยากาศการทาํ งานการทํางานกลุม ทีใ่ หผูเรยี นมีอสิ ระในการแสดงความรสู ึกนกึ คิด มีบทบาทในการรบั ผดิ ชอบตอการเรียนรูของตนโดยมสี วนรว มใน กิจกรรมการเรียนการสอนจะชวยใหการเรียนรูเปนไปอยางมีชีวิตชีวาและชวยกระตุนใหผูเรียนเกิ ดความ กระตอื รอื รน ในการเรยี น 2.3 การเรียนรูควรเปนระบวนการท่ีผูเรียนคนพบดวยตนเอง การเรียนรูดวยการกระทํา กิจกรรมดว ยตนเองจะชว ยใหผ เู รียนมีโอกาสเรยี นรเู นือ้ หาวชิ าหรือสาระจากการมีสว นรวมในกจิ กรรม ซง่ึ จะชว ย ใหผ เู รยี นเกิดความใจอยางลึกซ้ึง จดจําไดด ี อนั จะนาํ ไปสกู ารปรับเปลยี่ นเจตคตแิ ละพฤติกรรมของตนไดรวมทั้ง สามารถนาํ ไปสกู ารนําไปพัฒนาบคุ ลิกภาพทุกดา นของผเู รยี น 2.4 การเรียนรูกระบวนการเรียนรู กระบวนการเยนรูเปนเคร่ืองมือท่ีจําเปนในการแสวงหา ความรทู ่เี ปนตอ การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตทกุ ดาน ดังนั้นถา ผูเรียนไดเ รียนรอู ยางมรี ะและมีขัน้ ตอนจะชวยใหผ เู รียน สามารถใชเปนเครอ่ื งมือในการแสวงหาความรูหรือตอบคําถามการรไู ดอ ยางมปี ระสิทธิภาพ 3. หลักการสอนแบบกระบวนการกลุมการเรียนแบบกระบวนการกลุม คือ ประสบการณทางการ เรยี นรทู ี่นกั เรียนไดร ับจากการลงมอื รวมปฏบิ ัตกิ จิ กรรมเปน กลมุ กลุมจะมอี ทิ ธพิ ลตอ การเรยี นรูของแตล ะคนแต ละคนในกลมุ มีอทิ ธพิ ลและมีปฏสิ ัมพันธต อ กนั และกนั หลักการสอนโดยวธิ ีกระบวนการกลุม มีหลักการเพื่อเปน แนวทางในการจัดการเรียนการสอน สรปุ ไดด ังนี้ ( คณะกรรมการศกึ ษาแหง ชาติ สาํ นกั งาน 2540 ) 3.1 เปนการเรยี นการสอนที่ยึดนักเรียนเปน ศูนยก ลางของการเรยี นโดยใหผ เู รียนทกุ คนมีโอกาส เขารวมกจิ กรรมมากท่ีสุด
12 3.2 เปนการเรยี นการสอน ที่เนนใหนักเรียนไดเรียนรูจากกลุมใหมากที่สุด กลุมจะเปนแหลง ความรูสาํ คญั ท่จี ะฝกใหผูเกิดความรูความใจ และสามารถปรบั ตัวและเขากับผูอน่ื ได 3.3เปน การสอนท่ยี ึดหลกั การคนพบและสรา งสรรคความรูดวยตัวเองของนักเรียนเอง โดยครู เปน ผจู ดั การเรียนการสอนทส่ี ง เสริมใหผูเรียนพยายามคน หา และพบคําตอบดว ยตนเอง 3.4 เปนการสอนท่ีใหความสําคัญของกระบวนการเรียนรู วาเปนเคร่ืองมือที่จําเปนในการ แสวงหาความรู และคําตอบตาง ๆ ครจู ะตองใหความสาํ คัญของกระบวนการตา ง ๆ ในการแสวงหาคําตอบ 4. รปู แบบและขน้ั ตอนการสอนแบบกระบวนการแบบทํางานรบั ผิดชอบรว มกนั รูปแบบการสอนแบบกระบวนการแบบทํางานรับผดิ ชอบรว มกัน รปู แบบการสอนแบบกระบวนการ กลุม (คณะกรรมการศึกษาแหง ชาติ สาํ นกั งาน 2540 ) มีขัน้ ตอนดงั นี้ 4.1 ตงั้ จดุ มุงหมายของการเรยี นการสอน ทั้งจดุ มงุ หมายท่วั ไปและจุดมงุ หมายเชิงพฤตกิ รรม 4.2 การจัดประสบการณก ารเรียนรู โดยเนน ใหผ เู รียนลงมือประกอบกจิ กรรมดว ยตนเองและมี การเพ่ือทาํ งานเปน กลุม เพอ่ื ใหม ปี ระสบการณใ นการทํางานกลุม ซึ่งมขี นั้ ตอนดังนี้ 1) ข้ันนํา เปนกรสรางบรรยากาศและสมาธิของผูเรียนใหมีความพรอมในการเรียนการสอน การจดั สถานท่ี การแบงนักเรียนออกเปนกลุมยอย แนะนําวิธีดําเนินการสอน กติกาหรือกฎเกณฑการทํางาน ระยะเวลาการทาํ งาน 2) ขนั้ สอน เปนขั้นที่ครลู งมือสอนโดยใหนกั เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมเปนกลุม ๆ เพ่ือใหเกิด ประสบการณต รง โดยทก่ี จิ กรรมตา ง ๆ จะตองคัดเลือกใหเหมาะสมกับเน้ือเรื่องในบทเรียน เชนกิจกรรม เกม และเพลง บทบาทสมมติ สถานการณจ าํ ลอง การอภิปรายกลุม เปนตน 3) ขน้ั วเิ คราะห เมอ่ื ดําเนนิ การจดั ประสบการณเ รียนรูแลว จะใหนักเรียนวิเคราะหและแสดง ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมตา ง ๆ ความสมั พนั ธกนั ในกลมุ ตลอดจนความรวมมอื ในการทํางานรวมกัน โดย วเิ คราะหประสบการณทีไ่ ดรบั จาการทาํ งานกลุมใหค นอื่นไดร บั รู เปน การถายทอดประสบการณการเรียนรูของ กันแนะกัน ข้ันวิเคราะหจะชวยใหผูเรียนเขาใจตนเอง เขาใจผูอื่น และมองเห็นปญหาและวิธีการทํางานที่ เหมาะสม เพื่อเปนแนวทางในการปรับปรุงการทํางาน เปนการถายโอนประสบการณการเรียนที่ดี จะชวยให ผเู รียนสามารถคนแนวคดิ ทต่ี อ งการดวยตนเอง เปน การขยายประสบการณการเรียนรใู หถูกตองเหมาะสม 4) ขัน้ สรุปและนําหลกั การไปประยกุ ตใช นักเรียนสรุป รวบรวมความคิดใหเปนหมวดหมู โดย ครูกระตนุ ใหแนวทางและหาขอสรุป จากนั้นนําขอสรุปท่ีคนพบจากเนื้อหาวิชาที่เรียนไปประยุกตใชใหเขากับ ตนเองและนําหลกั การทไ่ี ดไปใชเพ่อื การปรับปรุงตนเอง ประยุกตใชใ หเขากับคนอ่ืนประยุกตเพื่อแกปญหาและ สรางสรรคสง่ิ ทีเ่ กิดประโยชนต อ สงั คม ชมุ ชน และดํารงชีวิตประจาํ วนั เชน การปรับปรงุ บุคลิกภาพ เกิดความเหน็ อกเห็นใจ เคารพสทิ ธขิ องผูอื่น แกปญ หา ประดษิ ฐส ่งิ ใหม เปน ตน 5) ขนั้ ประเมนิ ผล เปนการประเมินผลวา ผูเ รยี นบรรลุผลตามจุดมงุ หมายมากนอยเพียงใด โดย จะประเมินทั้งดานเนื้อหาวชิ าและดานกลุม มนษุ ยส ัมพันธ ไดแ ก ประเมนิ ดา นมนษุ ยส มั พันธ ผลสัมฤทธิ์ของกลุม เชน ผลการทํางาน ความสามคั คี คณุ ธรรมหรือคา นิยมของกลมุ ประเมินความสัมพนั ธในกลมุ จากการใหส มาชกิ ติชมหรือวิจารณแกกันโดยปราศจากอคติ จะทําใหผูเรียนสามารถประเมินตนเองไดและจะทําผูสอนเขาใจ
13 นักเรยี นได อันจะทาํ ใหผเู รยี นผสู อนเขาใจปญ หาซงึ่ กันและกนั อันจะเปนหนทางในการนําไปพิจารณาแกปญหา และจัดประสบการณการเรยี นรูใ หแ กน กั เรียน 5. ขนาดของกลุมและการแบงกลุมการแบงกลุมเพ่ือใหนักเรียนปฏิบัติงานรวมกันน้ัน ผูสอนอาจจะ แบงกลมุ โดยคํานึงถึงวัตถุประสงคก ารจดั การเรียนการสอน (คณะกรรมการการประถมศึกษาแหง ชาติ สาํ นักงาน 2534 : 230) เชน 1. แบงกลุม ตามเพศ ใชในกรณคี รุมวี ตั ถปุ ระสงคท ช่ี ้ีเฉพาะลงไป เชน ตองการสํารวจความระหวางเพศ หญงิ และชาย ในดา นตาง ๆ เชน ทัศนคติ คานยิ ม ฯลฯ 2. แบง ตามความสามารถ ใชใ นกรณที ีค่ รูมีภาระงานมอบหมายใหแตละกลุมแตกตางไปตามความสาม รถ หรือตอ งการศึกษาความแตกตา งในการทํางานระหวางกลมุ ทีม่ ีความสามารถสงู และตาํ่ 3. แบง ตามความถนดั โดยแบงกลมุ ทม่ี ีความถนัดเรือ่ งเดยี วกนั ไวด วยกัน 4. แบงกลุมตามความสมัครใจ โดยใหส มาชิกเลอื กเขากลุม ดบั คนที่ตนเองพอใจ ซึง่ ครทู ําไดแตไมควรใช บอยนกั เพราะจะทาํ ใหนกั เรียนขาดประสบการณในการทาํ งานกับบุคคลที่หลายหลาย 5. แบง กลมุ แบบเจาะจง ครูเจาะจงใหเด็กบางคนอยูในกลุมเดียวกนั เชน ใหเดก็ เรียนเกงกับเด็กที่เรียน ออนเพือ่ ใหเดก็ เรยี นเกงชวยเด็กที่เรยี นออน หรือใหเ ด็กปรับตวั เขา หากัน 6. แบงกลุมโดยการสุม ไมเปน การเจาะจงวาใหใ ครอยูใครกบั ใคร 7. แบงกลมุ ตามประสบการณ คอื การรวมกลุม โดยโดยพิจารณาเด็กที่มีประสบการณคลายคลึงกันมา อยดู วยกันเพ่อื ประโยชนในการชว ยกันวเิ คราะหห รอื แกปญหาใดปญหาหนึง่ โดยเฉพาะ 6. วิธีการสอนทส่ี อดคลองกบั หลักการการสอนแบบกระบวนการแบบทํางานรบั ผิดชอบรวมกนั 1. การระดมความคดิ เปน การรวมกลุม ท่ปี ระกอบดวยสมาชกิ 4 -5 คน และใหท ุกคนแสวงความคดิ เหน็ อยา งทั่วถึง เพือ่ รวบรวมความคิดในเรือ่ งใดเรือ่ งหนงึ่ ใหไ ดหลายแงม ุม ทกุ ความคิดไดรับการยอมรับโดยไมมีการ โตแ ยง กน แลว นาํ ความคดิ ทัง้ มวลมาผสานกัน 2. ผูสอนสรางสถานการณสมมติข้ึนโดยใหผูเรียนตัดสินใจทําอยางใดอยางหนึ่งซึ่งมีการสรุปผลใน ลักษณะของการแพการชนะ วิธีการนจ้ี ะชวยใหผูเรียนไดวิเคราะหความรูสกึ นกึ คิด และพฤติกรรมตาง ๆ วิธีการ สอนนี้จะชว ยใหผ เู รียนมคี วามสุขในการเรียนและเกิดความสนุกสนาน 3. บทบาทสมมติ เปนวธิ กี ารสอนทีม่ กี ารกาํ หนดบทบาทของผเู รียนในสถานการณท่ีสมมติข้ึนมาโดยให ผเู รยี นสวมบทบาทและแสดงออกโดยใชบุคลิกภาพประสบการณและความรูสึกนึกคิดของตนเปนหลัก วิธีการ สอนนี้เปด โอกาสใหผูเรยี นมีโอกาสศึกษาวิเคราะหความรูสึกและพฤติกรรมของตนอยางลึกซ้ึง ทั้งยังชวยสราง บรรยากาศการเรยี นรทู ่ีมีชีวติ ชีวา 4. สถานการณจ ําลอง เปนวิธกี าสอนโดยการจําลองสถานการณจริงหรือสรางสถานการณใหใกลเคียง กับความเปนจรงิ แลว ใหผเู รยี นอยูในสถานการณนนั้ พรอมทงั้ แสดงพฤติกรรมเม่ืออยูในสถานการณท่ีกําหนดให วิธนี จี้ ะชว ยใหผูเ รียนฝก ทกั ษะการแสดงพฤติกรรมตาง ๆ ซง่ึ ในสถานการณจริงผเู รียนอาจจะไมกลา แสดงออก 5. กรณีตัวอยาง เปนวิธีการสอนที่ใชการสอนเรื่องราวตาง ๆ ที่เกิดขั้นจริง แตนํามาดัดแปลงเพื่อให ผเู รียนใชเ ปนแนวทางในการศกึ ษาวิเคราะหแ ละอภปิ รายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันอนั จะนาํ ไปสกู าร
14 สรางความเขา ใจและฝกทักษะการแกปญหา การรับฟง ความคดิ เห็นซึ่งกนั และกันซึ่งจะชว ยใหเ กิดการเรียนรูที่มี ความหมายสําหรับผูเ รียนยง่ิ ข้ึน 6. การแสดงละคร เปนวธิ ีการสอนที่ใหผูเรียนแสดงบทบาทตามบทท่ีมีผูเขียนหรือกําหนดไวให โดยผู แสดงจะตองแสดงบทบาทตามที่กําหนดโดยไมนําเอาบุคลิกภาพและความรูสึกนึกคิดเขามาใสในการแสดง บทบาทน้ัน ๆ วิธนี ี้จะชว ยใหมปี ระสบการณใ นการรับรเู หตุผล ความรสู ึกนกึ คิดและพฤติกรรมของผูอ น่ื ซึ่งจะชว ย ฝก ทักษะการทาํ งานรว มกันและรบั ผิดชอบรวมกนั 7. เปน วธิ กี ารสอนโดยการจดั ผูเ รียนเปนกลมุ ยอยทมี่ ีสมาชิกประมาณ 6 -12 คน และมีกากําหนดใหมี ผูนาํ กลุมทาํ หนา ที่เปน ผูดาํ เนนิ การอภปิ ราย สมาชกิ ทกุ คนมีสวนรว มในการแลกเปล่ียนความคดิ เห็นแลวสรุปหรือ ประมวลสาระที่ไดจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน วิธีการน้ีเปดโอกาสใหผูเรียนทุกคนไดมีสวนรวมในการ เสนอขอมลู หรือประสบการณข องตนเองเพื่อใหกลมุ ไดขอมูลมากข้นึ วิธีการสอนที่สนับสนุนหลักการสอนแบบกระบวนการกลุมเหลาน้ี เปนวิธีการสอนที่ชวยใหการจัด ประสบการณการสอนท่ีหลากหลายแลผูสอนอาจใชวิธีสอนอ่ืน ๆ ไดอีก โดยยึดหลักสําคัญ คือ การเลือกใช วธิ ีการสอนท่สี อดคลอ งกบั จดุ ประสงคของการสอนแตล ะครัง้ 7. การประเมนิ ผลการสอนแบบกระบวนการแบบทาํ งานรับผิดชอบรวมกัน (ทิศนา แขมมณี และคณะ 2522) มดี ังนี้ 1. การใหผูเรียนประเมินผลการเรียนรูของตนเอง ซ่ึงผูสอนควรสนับสนุน สงเสริมใหผูเรียนมีโอกาส ประเมินผลการเรียนรูของตนเองจะชว ยใหก ารเรยี นรูมคี วามหมายและมีประโยชนต อผเู รียนยงิ่ ข้นึ 2. การใหผเู รยี นรว มประเมนิ ผลการเรียนรจู ากการทํางานรว มกัน ซึ่งสามารถประเมินผลได 2 ลักษณะ คือ 1. การประเมินผลสมั ฤทธิ์ของกลมุ 2. การประเมนิ ผลความสัมพันธภ ายในกลุม 8. บทบาทของครูและนกั เรียนในการสอนแบบกระบวนการแบบทํางานรับผดิ ชอบรว มกัน บทบาทครู (คณะกรรมการการศกึ ษาแหงชาติ สาํ นักงาน 2540) มดี งั นี้ 1. มคี วามเปนกนั เอง มคี วามเห็นอกเห็นใจนกั เรยี น สรางบรรยากาศท่ีดีตอการเรียน สนใจ ใหกําลังใจ สนทนา ไถถ าม 2. พดู นอ ย และจะเปนเพยี ง ผูประสานงาน แนะนํา ชว ยเหลอื เมือนักเรียนตอ งการเทานั้น 3. ไมช น้ี าํ หรอื โนม นาวความคดิ ของนกั เรียน 4. สนับสนุน ใหกาํ ลงั ใจ กระตุนใหน ักเรียนเกิดความกระตือรือรนในการทํางานแสดงออกอยางอิสระ และแสดงออกซึ่งความสามารถของนกั เรยี นแตละคน 5. สนับสนนุ ใหนักเรยี นสมารถวเิ คราะห สรุปผลการเรยี นรแู ละประเมนิ ผลการกระทาํ งานใหเ ปนไปตาม จดุ มงุ หมายที่วางไว
15 งานวิจัยที่เกย่ี วขอ ง ปราณี รตั นชศู ร(ี พ.ศ. 2556) ไดท าํ วจิ ยั เรอ่ื ง เสริมสรางทกั ษะการทํางานเปนทีม โดยวิธีการ สอนแบบ การปฏิบัติงานกลุม นักเรียนระดับประถมศึกษาปที่ 2 วชิ าดนตรีไทยในกลุมสาระการเรียนรูวิชาศิลปะ การวิจัย ครั้งนม้ี ีวัตถุประสงคเ พือ่ การทาํ งานเปนทีม โดยวธิ ีการสอนแบบการปฏิบัติงานกลุม ของนกั เรียนระดับ ป.2 วิชา ดนตรีไทย ประชากรเปาหมายท่ีผูวิจัยใชในการศึกษาคนควาครั้งน้ี คือ นักเรียนนักเรียนระดับ ป.2 วิชาดนตรี ไทยจาํ นวน 33 คน เครอ่ื งมอื ที่ใชในการเกบ็ รวบรวมขอมูล ไดแก แบบสอบถามความคิดเห็นในการทํางานกลุม และแบบประเมนิ คณุ ภาพการทํางานเปนทีม สถิติที่ใชใน การวิเคราะหขอมูล ไดแก คารอยละ (Percentage) และคาเฉลี่ยเลขคณติ (x) ผลการวิจยั พบวา 1. นกั เรียนมี ความคดิ เห็นวา ชอบทํางานกลุม คิดเปนรอยละ 70 นักเรียนสวนใหญ ชอบทํางานกลมุ เพราะสาเหตทุ ่ีสามารถ ระดมความคิดเห็นไดหลากหลาย คิดเปนรอยละ 57.14 รองลงมาคือ แกปญหาไดอยางรวดเร็ว คิดเปนรอยละ 28.57 และชวยกันจัดหาวัสดุอุปกรณหรือปจจัยตาง ๆ ที่ใชในการ ทํางานรวมกัน คิดเปนรอยละ 14.29 ตามลําดับ นักเรียนสวนใหญไมชอบการทํางานเปนกลุมเพราะสาเหตุท่ี เพือ่ นในกลุม เกยี จครา นเห็นแกตัว คดิ เปน รอยละ 71.43 และรองลงมาคืออื่นๆ ไดแก เพ่ือนในกลุมไมใหความ รวมมือตามเวลานัดหมาย และไมชอบทํางานกลมุ เพราะมคี วามรสู ึกวาตนเองไมไ ดช วยงานเพื่อน คิดเปนรอยละ 28.57 ตามลาํ ดบั และนกั เรียน สว นใหญชอบทํางานในลักษณะรายบุคคล คิดเปนรอยละ 78.57 รองลงมาคือ เปนคู คิดเปนรอยละ 14.29 และรายกลมุ คดิ เปนรอ ยละ 7.14 ตามลาํ ดบั 2. ระดบั ทกั ษะการทาํ งานเปน ทมี ของ นักเรยี นสวนใหญอ ยูใน ระดับมาก คา เฉลย่ี 4.35 โดยประเดน็ การประเมินท่มี ีคา เฉล่ียสูงสุด คือการแบงงานกัน ทํา คาเฉล่ีย 4.85 รองลงมาคือการรวมกันระดมความคิด คาเฉลี่ย 4.57 และความพรอมภายในกลุม คาเฉลี่ย 4.21 ตามลําดับ 3. ขอเสนอแนะในการวิจัย 1.) ครูผูสอนสามารถคนหาวิธีการสอนที่สามารถพัฒนาหรือ เสริมสรางทกั ษะการ ทาํ งานเปนทีมวธิ อี ่ืนๆ ไดอ กี อาทเิ ชน การสอนแบบบทบาทสมมติ การอภิปรายกลุม การ ใชทีมหอง หรือการ สัมมนา เปนตน 2.) ครูผูสอนควรใหความรูความเขาใจแกนักเรียน และใหนักเรียนเห็น ความสําคัญของ การทาํ งานเปนทมี หรอื การทํางานรว มกับผูอื่น มทั นิน วรมาลา (พ.ศ. 2558) ไดทําวิจัยเร่ือง การจัดการเรียนการสอนโดยใชนักศึกษาเปนศูนยกลาง รายวชิ า SDM452 การวจิ ยั คร้ังนี้มวี ัตถปุ ระสงคคือ 1) เพอื่ ศึกษาประสิทธิภาพของการสงงานของนักศึกษาท่ีใช การจัดการเรยี นการสอนโดย ใหนกั ศึกษาเปน ศูนยกลาง 2) เพอื่ ศกึ ษาคณุ ภาพของงานสรุปปลายเทอมหลังจาก ใชการจัดการเรียนการสอนโดยใหนกั ศึกษาเปนศูนยกลางจากกลุมนักศึกษาในรายวิชา SDM 452 สาขาดนตรี คลาสสิกจาํ นวน 17 คน โดยใชเ ครือ่ งมอื ประเมนิ ชัน้ เรยี น ประกอบดว ย 1) ตารางการสง งานของนกั ศึกษาแตละ คน 2) แบบประเมนิ การสงงาน 3) แบบประเมนิ คุณภาพของงาน ผลการวจิ ัยพบวา 1) นักศึกษามีความเคารพกบั ตารางของแตล ะคนท่กี ําหนดไวเองโดยสงงานตามเวลาท่ี กําหนดมากกวา เทอมกอน แตย ังมปี จ จยั ภายนอกอืน่ ๆ ที่ทาํ ใหนักศกึ ษาบางรายทบ่ี างคร้ังสงงานลาชา เชน การ สง งานวชิ าอน่ื ในเวลาใกลเ คยี งกนั 2) จากเหตผุ ลขอ แรกเหตุผลหลักที่ทาํ ใหนกั ศกึ ษาสงงานลา ชา คือ การทมี งาน ในวชิ าปฏิบัติซง่ึ นกั ศกึ ษาเองจะใหความสําคัญกับวิชาเหลานั้นมากกวาวิชาทฤษฎี 3) นักศึกษาท่ีรับผิดชอบสง งานครบทุกคร้ังจะมีงานสรปุ ปลายเทอมท่ีมคี ุณภาพตรงตามทก่ี าํ หนดไว
16 บทท่ี 3 วิธกี ารดําเนนิ การวิจัย สําหรบั การดําเนินการวจิ ยั ในครั้งนี้ ผวู จิ ัยไดต ้ังวัตถปุ ระสงคไ ว คอื เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนของนักเรยี นหลงั จากทเ่ี รยี น วชิ าบญั ชีเบือ้ งตน ของนกั เรยี นระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปที่ 1 โดยใช กระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกันโรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 2 ป การศึกษา 2563 โดยวธิ ีการดาํ เนินการซง่ึ จะทาํ ใหไ ดค าํ ตอบของผลวจิ ยั นัน้ สรา งได ดังนี้ กลุมเปาหมาย นักเรียนระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปที่ 1 จํานวน14 คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2563 เครือ่ งมือทีใ่ ชใ นการวจิ ัย มดี ังตอไปน้ี 1. แผนจดั การเรียนรู รายวิชาวชิ าบัญชีเบื้องตน ของนกั เรยี นระดบั ชนั้ ประกาศนยี บัตรวิชาชีพปท ่ี 1 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห 33 จงั หวดั ลพบุรี ภาคเรียนท่ี 2 ปการศึกษา 2563 2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาบัญชีเบื้องตน กอ นเรยี นและหลงั เรียน จํานวน 20 ขอ ข้ันตอนการสรา งเครื่องมอื ในการทําวจิ ยั 1. การสรางแผนการจดั การเรียนรู รายวิชาบญั ชเี บื้องตน ของนกั เรียนระดบั ชัน้ ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพป ท่ี 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรบั ผดิ ชอบรว มกันโรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จังหวัดลพบรุ ี ภาคเรียน ที่ 2 ปก ารศึกษา 2563 ผวู ิจัยไดศึกษาคน ควาตามขัน้ ตอน ดังนี้ 1.1. ศกึ ษาเนอื้ หาท่ีตอ งการสอนโดยอางอิงเนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางขั้นพืน้ ฐาน 2551 ใน สวนของสาระการเรียนรศู ลิ ปะ และขอบเขตเนือ้ หาการเรยี นการสอนของทางโรงเรียน 1.2. กําหนดเนื้อหาในวิชาบัญชีเบื้องตนของนักเรียนระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปท่ี 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรบั ผิดชอบรว มกนั โรงเรียนราชประชานเุ คราะห 33 จงั หวดั ลพบรุ ี 1.3. สรางแผนการจัดการเรียนรู เพอ่ื เปล่ียนพฤติกรรมระหวางเรยี นของนกั เรียนท่ีเรียน 1.4. ใหผเู ชย่ี วชาญตรวจสอบความถูกตอ งของแผนการจัดการเรียนรู 1.5. ผวู ิจยั ไดทาํ การปรับแผนการสอนตามความเหมาะสม และตามคาํ แนะนาํ ของผเู ชี่ยวชาญ 1.6. นาํ แผนการสอนพฤติกรรมระหวางเรียนของนกั เรยี น ไปใชจริงกับนักเรยี น 2. การสรา งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผวู ิจัยไดค นควา ดาํ เนนิ การตามลาํ ดบั ดังน้ี 2.1 ศกึ ษาทฤษฎีและวธิ กี ารสรา งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนแบบอิงเกณฑ 2.2 ศกึ ษาเนอ้ื หารายวชิ า และเขียนผลการเรียนรทู ่คี าดหวงั ใหส อดคลองกบั เนื้อหา
17 2.3 สรางแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนแบบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก โดยให ครอบคลุมเน้ือหาและผลการเรียนรทู ี่คาดหวัง จาํ นวน 20 ขอ 2.4 นาํ แบบทดสอบที่สรา งขน้ึ ไปทดลองกบั กลุมเปาหมาย คือ นักเรียนวิชาบัญชีเบ้ืองตนของ นกั เรยี นระดับชน้ั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ปท ่ี 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกันโรงเรียนราช ประชานเุ คราะห 33 จังหวัดลพบุรี ภาคเรยี นท่ี 2 ปการศึกษา 2563จํานวน 14 คน แลวนํามาตรวจใหคะแนน โดยตอบถกู ตอ งให 1 คะแนน ตอบผดิ หรือไมต อบให 0 คะแนน ระยะเวลาในการดาํ เนินการวิจยั ระยะเวลาในการดําเนินการวิจยั เดอื น ธันวาคม 2563 - มีนาคม 2564 เดอื น พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. รายการ/กิจกรรม 1. วเิ คราะหปญหาการเรยี นรู 2. สงช่ือเร่อื งท่จี ะวจิ ัย 3. เขยี นเคา โครงการวิจัย 4. เตรยี มการสอน 5. ใหความรู 6. รวบรวมขอ มูล 7.วิเคราะหขอมูล
18 การเก็บรวบรวมขอ มลู ผวู ิจยั ไดดําเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ มลู ดังตอไปน้ี 1. ขน้ั วางแผน (P) ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวของกับการจัดการเรียนการสอนเพ่ือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของ ผูเ รยี นทไ่ี มพ ึงประสงค รวมทงั้ จัดหากจิ กรรมตางๆท่ีสามารถนํามาประยุกตใชใ นการจดั การเรยี นการสอนเพ่ือทํา การปรับพฤตกิ รรมของผเู รียน และเปนแนวทางในการดาํ เนินการวจิ ยั กาํ หนดทิศทางของแผนการจัดการเรียนการสอนที่มุงการปรับเปล่ียนพฤติกรรมท่ีไมพึงประสงคของ ผเู รียน โดยการจัดการเรยี นการสอนแบบบรรยายโดยนําเอากระบวนการกลุมมาชว ยในการสอนอีกรปู แบบหนึง่ 2. ขนั้ ปฏิบตั แิ ละสงั เกตผลการปฏิบตั ิ (A) 2.1 กอนทาํ การทดลองผวู จิ ยั ไดทําการทดสอบกอนเรียน โดยใชแบบทดสอบที่ผูวิจัยสรางข้ึน ใชเ วลาในการทดสอบ 20 นาที 2.2 ผวู ิจยั ดําเนนิ การทดลองสอนโดยใชก ระบวนการกลุม รายวชิ าบัญชเี บอื้ งตน 2.3 ทําการทดสอบหลังเรียน หลังจากการทดลองสิ้นสุดลง โดยใชแบบทดสอบแบบคูขนาน แบบเดยี วกับที่ใชท ดสอบกอ นการทดลอง 3. ขัน้ รวบรวมขอ มลู ตรวจสอบ วเิ คราะห (R) ผวู ิจยั นาํ ผลที่ไดจากการทดลองมาวิเคราะหขอ มูล โดยวธิ ีทางสถิติ ดงั น้ี 3.1 วิเคราะหหาคุณภาพของเครื่องมอื 3.2 หาคาเฉล่ีย และสวนเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนทดสอบกอ นและหลังเรียน และหาคา ความแปรปรวนของคะแนน 3.3 เปรียบเทยี บความกา วหนาของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นจากแบบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ท้ังกอนเรียนและหลงั เรียน ดว ย t-test (Dependent Sample) 4. สรปุ เปนองคความรู 5. จัดทาํ รายงานการวจิ ยั ตามแบบแผนการจัดทําการวจิ ยั
19 สถิตทิ ีใ่ ชในการวิเคราะหขอมลู ผวู ิจัยวางแผนในการวิเคราะหใ นการวเิ คราะหขอมูล โดยแยกตามลักษณะของขอ มลู ดงั น้ี 1. สถิติทีใ่ ชใ นการวิเคราะหข อมลู สถติ ิพื้นฐาน ไดแ ก 1.1 รอ ยละ รอยละ P = x 100 ความถท่ี ่ีตองการแปลงใหเปน รอ ยละ เมอ่ื P แทน จํานวนความถ่ที ง้ั หมด แทน N แทน 1.2 คา เฉล่ีย ̅= ∑ เมอ่ื ̅ แทน คาเฉลยี่ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลมุ N แทน จาํ นวนคะแนนในกลมุ โดยมคี า อยรู ะหวา ง 1.00 ถงึ 5.00 ซึ่งมีความหมายตา ง ๆ ดังน้ี คา อยรู ะหวาง 4.50 ถึง 5.00 หมายถึงดีมาก คาอยรู ะหวา ง 3.50 ถงึ 4.49 หมายถงึ ดี คาอยูระหวา ง 2.50 ถึง 3.49 หมายถึงพอใช คาอยูระหวาง 1.50 ถึง 2.49 หมายถึงควรปรับปรุง คาอยูระหวา ง 1.00 ถึง 1.49 หมายถึงตองปรบั ปรุง
20 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอ มูล ผวู จิ ยั ขอนาํ เสนอผลการวจิ ัยตามวัตถุประสงคท่ีไดกําหนดไว คือ เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นของนกั เรยี น โดยการใชวิชาบัญชเี บือ้ งตนของนักเรียนระดบั ชัน้ ประกาศนียบัตรวชิ าชีพปท ี่ 1 กอ นเรยี นและ หลงั เรียน สาํ หรับนักเรียนช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปท่ี 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกัน โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 33 จงั หวดั ลพบุรี ภาคเรยี นท่ี 2 ปก ารศึกษา 2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จังหวดั ลพบุรีโดยแบง เปน 3 ตอน ดงั นี้ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนดวยกระบวนการกลุม ผูวิจัยไดจัดการเรียนการสอนโดยการใชกระบวนการวิชาบัญชีเบื้องตนของนักเรียนระดับชั้น ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ปที่ 1 โดยใชก ระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกันโรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จงั หวดั ลพบรุ ี ภาคเรยี นท่ี 2 ปก ารศึกษา 2563 วชิ า จาํ นวน 14 คน โดยทําแบบทดสอบกอนเรียนและหลัง เรียนดว ยกระบวนการกลุม และทําการวิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิการเรียนกอนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนโดยคาํ นวณดวยสถิติ t-test (Dependent Samples) ผลการวิเคราะห ดงั ตาราง ตารางท่ี 1 แสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนกอนเรียนและหลงั เรียนโดยใชกระบวนการกลมุ คะแนนผลสมั ฤทธ์ิ จาํ นวนนักเรียน คะแนนเตม็ x̅ ทางการเรียน กอนเรียน 14 20 14 หลังเรียน 14 20 17 จากตารางที่ 1 พบวา คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอนเรียนและหลงั เรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช กระบวนวิชาบญั ชีเบอื้ งตน ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปที่ 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางาน รับผิดชอบรว มกนั โรงเรยี นราชประชานุเคราะห 33 จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2563 มีคะแนน เฉลย่ี หลงั เรียน =̅ 17.00 สงู กวา คะแนนเฉลย่ี กอนเรยี น ̅= 14.00 จึงสรปุ ไดว า ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรียน สงู กวา กอ นเรียน
21 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และขอเสนอแนะ งานวจิ ัยในครัง้ น้ีมีวตั ถปุ ระสงคคือ 1. เพอ่ื เปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียน โดยการใช วชิ าบญั ชเี บือ้ งตนของนักเรียนระดบั ชน้ั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ปท่ี 1 โดยใชก ระบวนการแบบทาํ งานรับผดิ ชอบ รว มกัน กอ นเรียนและหลังเรียน สําหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปท ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปก ารศกึ ษา 2563 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห 33 จงั หวัดลพบุรีจํานวน 14 คน และเครอื่ งมอื ท่ใี ช ไดแ ก 1.แผนจัดการเรียนร2ู . แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กอ นเรยี นและหลังเรยี น จาํ นวน 20 ขอ มกี ารเก็บรวบรวมขอ มูลโดยใช 1.ทําการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทกั ษะดว ยแบบทดสอบ ซง่ึ เปน ไปตามผลการวิเคราะหขอมูล สรุป อภปิ รายผล และ ขอเสนอแนะ ดงั น้ี สรปุ ผลการวิจยั หลังจากทไี่ ดดําเนนิ การสอนตามแผนการสอนเพือ่ ศกึ ษาพฤติกรรมของนักเรยี นที่เรียนโดยใชวิชาบัญชี เบื้องตนของนกั เรียนระดบั ช้นั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี ปที่ 1 โดยใชกระบวนการแบบทาํ งานรับผิดชอบรว มกนั จํานวน 14 คนโรงเรยี นราชประชานุเคราะห 33 จังหวดั ลพบรุ ี สามารถสรุปผลตามวตั ถุประสงคท่ีผวู ิจัยได กาํ หนดไว ดังน้ี 1. ผลการวเิ คราะหผ ลสมั ฤทธิข์ องนกั เรียน กอนเรียนและหลังเรียนดวยวิชาบัญชีเบ้ืองตนของนักเรียน ระดับช้นั ประกาศนียบัตรวชิ าชีพปที่ 1 โดยใชก ระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกัน โรงเรียนราชประชา- นุเคราะห 33 จงั หวัดลพบุรี พิจารณาทางสถิติ t-test (Dependent Samples) พบวา คา ทค่ี ํานวณได t=21.01 และเมื่อพิจารณาคา Sig. พบวานอยกวา 0.5 จึงสรุปไดวาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสาํ คญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ 0.5 อภิปรายผล การวจิ ัยในคร้งั น้ี เปนการศึกษาถึงวิธีการจัดการสอนเพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาของนักเรียน กอนและหลังเรยี น โดยผวู ิจยั ไดเ ลือกเอาวิธกี ารสอนโดยใชก ระบวนการแบบรวมทาํ งานรบั ผดิ ชอบรว มกนั เพอ่ื ให นกั เรียนเกิดพฤตกิ รรมเพอื่ นชวยเพือ่ น สง ผลใหนักเรียนมีความสนใจและตั้งใจเรียนมากข้ึน เปนการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของนกั เรยี น ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ นเรยี นและหลังเรียนโดยใชกระบวนการกลุม ระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 2 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห 33 จงั หวัดลพบุรี พิจารณาทางสถิติ t-test (Dependent Samples) พบวาคาท่ี คํานวณได t= 21.01 และเม่ือพิจารณาคา Sig. พบวานอยกวา 0.5 จึงสรุปไดวาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลัง เรยี นสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.5 โดยกลุมเปาหมายมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 33.88 คะแนน สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.41 มีคามากกวาคะแนนเฉล่ียกอนเรียน 18.00 คะแนน สวนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 0.88 เหตุท่ีเปน เชนนอ้ี าจเปน ผลเนอ่ื งจากการจัดการเรยี นการสอนท่ีนําเอากระบวนการกลุมแบบทีม
22 เขามาปรับใชรว มดวย โดยการศึกษาจติ วิทยาการเรียนรู การวิเคราะหเน้ือหาบทเรียน การออกแบบการเรียน การสอน ซึง่ ผลเปน ไปตามสมมติฐานทว่ี างไววา โดยนักเรยี นท่เี รยี นโดยใชว ชิ าบญั ชเี บือ้ งตน ของนักเรียนระดับช้ัน ประกาศนียบตั รวิชาชีพปท ี่ 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกัน โรงเรียนราชประชานุเคราะห 33 จังหวดั ลพบรุ ี ภาคเรยี นที่ 2 ปก ารศกึ ษา 2563 มีคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกวากอน เรียน สอดคลองกับงานวิจัยของนฤนาท จั่นกลา (2553) ที่ไดศึกษาถึงเร่ืองผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ พฤติกรรมการทาํ งานกลุม เรื่อง คอนกรเู อนซ สําหรับนักศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ท่ีเรียน โดยใชการเรยี นแบบรวมมือ ซ่ึงผลการวิจัยพบวาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนโดยใชการเรียน แบบรว มมือสงู กวานกั ศึกษาทเ่ี รียนโดยใชการเรยี นแบบบรรยายอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเปนไป ตามสมมตฐิ าน และผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุมของนักศึกษาที่เรียนโดยใชการเรียนแบบรวมมือมี พฤตกิ รรมการทาํ งานอยูในระดับสูงมาก ขอเสนอแนะ จากการศึกษาครั้งน้ผี ูว ิจยั มขี อเสนอแนะสําหรับผูที่สนใจจะวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปที่ 1 โดยใชกระบวนการแบบทํางานรับผิดชอบรวมกัน ดงั ตอ ไปน้ี ขอ เสนอแนะจากการศึกษา 1. ผลการศึกษาสามารถนาํ ไปประยกุ ตใ ชไดก ับกลุมสาระอ่นื ๆท่นี ักเรียนมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นตา่ํ 2. ควรมีการนําเกมหรือกิจกรรมอ่ืนๆ ที่หลากหลายมาใชในแผนการสอนดวย เพื่อใหผูเรียนเกิดการ เรยี นรูท ี่มากยง่ิ ขึ้น 3. ในการจดั การเรยี นการสอนควรใหน กั เรียนไดใ ชก ระบวนการคดิ วิเคราะหค วบคูกันกบั การทํางานกลุม ไปเพ่อื สงเสริมใหน กั เรียนเกิดการแลกเปล่ยี นความคดิ ซึง่ กนั และกนั เพมิ่ ขึน้ ขอ เสนอแนะในการทําวจิ ัยคร้งั ตอ ไป 1. ควรมีการศึกษาในวิธกี ารเดียวกันกับกลุม ประชากร ระดับชัน้ อ่นื ๆ 2. หากตองการพัฒนางานวิจัยน้ีตอเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาของนักเรียนโดยการใช กระบวนการกลมุ ควรมกี ารจดั กลมุ ท่หี ลากหลาย ทง้ั ขนาดของกลุม และการเปล่ียนสมาชิกกลมุ ไปเร่ือย ๆ
23 เอกสารอา งองิ กาญจนาวัฒาย.ุ (2554). การวิจัยในช้ันเรยี นเพอ่ื พัฒนการเรียนการสอน.กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ. โฆษติ จตั รุ ัสวฒั นากลุ .(2549). การเรียนแบบรวมมอื โดยใชเทคนคิ การสอนเปนกลุมที่ชวยเหลือเปนรายบุคคล ที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการถายโยงความรูในวิชาวิทยาศาสตรของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 5.วิทยานิพนธปริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร. จิตจํานง กิติกีรติ. (2552). การพัฒนาชุมชน : การมีสวนรวมของประชาชนในงานพัฒนาชุมชม. กรุงเทพมหานคร : สถาบันชุมชนทองถน่ิ พัฒนา. ฉลาดสมพงษ. (2547). การสอนโดยใชป บบฝก ทักษะการเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนสายธารวิทยา อําเภอกันทรลักษณ จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.การศึกษา คนควาอิสระปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. ชมรมวิชาชีพครลู ุมแมน้ําทา จนี . (ม.ป.ป.). การพัฒนาทกั ษะการเขยี นเชิงสรางสรรค โดยใชแบบฝกเสรมิ ทักษะ การเขียนเชงิ สรางสรรค สาํ หรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปท่ี 5, สบื คนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2562, จาก http://www.kruthacheen.com/index.php?lay=show&ac=article&Id= 300970&Ntype=2. ทิศนา แขมมณี.(2560). กลุมสัมพันธเพ่ือการทํางานทีมและการจัดการเรียนการสอน.กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลัย. นธิ ธิ ัช กิตตวิ ิสาร. (2561). หลักการจัดการศึกษายคุ ใหม. กรงุ เทพมหานคร : สถาบันพฒั นาผูบริหารการศึกษา. บุญชม ศรสี ะอาด. (2562). วธิ ีการทางสถติ สิ าํ หรบั การวจิ ัย.พมิ พคร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : เจรญิ ผลการพิมพ. ประทปี แสงเปย มสขุ . (2560). รปู แบบการสอนความเขา ใจในการอาน.กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร. พธู ท่ังแดง. (2562). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเขยี นสะกดคําของนกั เรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพป ท่ี 1 วิทยาลัยอาชีวศึกษาที่ใชแบบฝกและไมใชแบบฝก.วิทยานิพนธปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร. พิมพพันธเดชะคุปต. (2549). การเรียนการสอนที่เนนผูเรียนเปนสําคัญ : แนวคิดวิธีและเทคนิคการสอน2. กรงุ เทพมหานคร : สถาบันพัฒนาคณุ ภาพวิชาการ. วฒั นาพรระงบั ทุกข. (2554). เทคนคิ และกจิ กรรมการเรยี นรูทเี่ นน ผเู รียนเปนสาํ คัญ.กรงุ เทพฯ,สํานักพิมพพริก หวานกราฟฟค .
24 ลกั ษณสภุ า บังบางพลู. (2553). การจัดการเรียนการสอนโดยใชกระบวนการรวมทาํ งานเปนทีมมและบทเรียน สําเร็จรูป ในรายวิชาการประมวลผลการวิจัยทางธุรกิจดวยคอมพิวเตอร.กรุงเทพฯ : คณะ วิทยาการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดสุ ติ . ลวน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2551). หลกั การวิจัยทางการศึกษา.พิมพค ร้ังที่ 2. กรงุ เทพฯ : ศกึ ษาพร. ลวน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2552). เทคนิคการวจิ ัยทางการศกึ ษา.พิมพครงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ : สุวริ ยิ าสาสน . สจิ ติ รา บางโรย. (2562). แบบฝก มคี วามสําคญั อยางไร. สืบคนเมอ่ื 13 พฤษภาคม 2563, จาก http://www.gotoknow.org/blogs/books/0?address=bmm02&. สาํ นกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ). (ม.ป.ป.). การเรียนการสอนท่ีเนนผูเรียนเปนสําคัญ. สืบคนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2561, จาก http://www.obec.go.th. เสาวนีย สิกขาบัณฑิต. (2562). เทคโนโลยีการศกึ ษา.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ สถาบันเทคโนโลยีพระจอม เกลา พระนครเหนอื . Kagan,S.Cooperative Learning & Wee Science. San Clemento: Kagan Cooperative Learning, 1995. ________. Cooperative Learning and Mathematics. San Juan Capistrano :Kagan Cooperative Learning, 1996 a. Slavin, R.E. (1990). Cooperative Learning :Research and Practice. Englewood Cliffs, NJ :Prentice-Hall.
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: