Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระสีวลี

พระสีวลี

Published by Dhammanava, 2021-02-07 05:07:16

Description: อริยผู้มีลาภล้น ต้นแบบของผู้ฉลาดทำบุญ

Keywords: พระสีวลี

Search

Read the Text Version

ขุ. อุ. เล่ม ๒๕ หน้า ๙๘ “ส่ิงอันไม่พึงประสงค์ มักอําพรางผู้คนด้วยรูปมายาท่ีน่าดูชม ส่ิงอันไม่น่ารัก ก็อาศัยมายาท่ีน่ารักอําพรางคนไว้ ความทุกข์น้ันก็ล่อหลอกคนให้เข้าใจผิด ด้วยท่าทีว่าเป็นความสุข”

อริยะผู้มีลาภล้น ต้นแบบของผู้ฉลาดทําบุญ ชาญ พิญ ู เขียน พิมพ์คร้ังที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ู ๑๓๗ ถ.จรัญสนิทวงศ์ ซ.๗๒ แขวง/เขตบางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐ สนใจพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ติดต่อ โทร. ๐๘๖ ๕๑๐ ๓๑๖๐ บริษัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จํากัด ซอยเพชรเกษม ๑๐๒/๒ แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐

ยกตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เด็กหญิงคนหน่ึงในจังหวัด นครนายก มีลวดเหล็กขนาด ๑ - ๒ น้ิว งอกออกมาข้างใบหู เหนือทัดดอกไม้คร้ังละย่ีสิบกว่าเส้น ครั้นให้หมอตรวจก็วินิจฉัยไป ตามแกน หาที่มาท่ีไปไม่ได้ หรือเด็กชาวเกาหลีที่มีอัจฉริยะทาง คณิตศาสตร์ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ หรือข่าว ล่าสุด พ.ศ. ๒๕๕๖ เด็กหญิงคนหนึ่งในประเทศอินเดีย หยดนํ้าตา ของเธอพอถูกอากาศแทนท่ีจะเป็นนํ้าปกติ ก็กลายเป็นก้อนคริสตอล ไปได้ ก็ล้วนแต่เป็นเร่ืองเหนือวิสัยปกติท้ังสิ้น เหตุเหล่านี้ พระพุทธศาสนาบอกว่า เป็นเพราะบุญนํากรรม แต่งให้เป็น บุญปรุงแต่งเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นให้เกิดข้ึนได้ ขณะท่ีผล กรรมช่ัวก็ตะล่อมให้เกิดพลิกผันน่าเหลือเชื่อได้ไม่น้อยหน้า

เรอื่ งราวของพระสวี ลเี ถระ กเ็ ปน็ อกี เรอ่ื งทฉี่ ายใหเ้ หน็ ภาพของ เหตุอัศจรรย์ท้ังบุญนําท้ังกรรมแต่งได้เป็นอย่างดี นับแต่เริ่มปฏิสนธิ ในครรภ์ของมารดากันเลย น่ันคือ พอมารดาตั้งท้องก็เกิดลาภ มหาศาลกับวงศาคณาญาติ วันหนึ่ง ๆ มีคนขนทรัพย์สมบัติสารพัด อย่างมาให้ชนิดมืดฟ้ามัวดิน มากจนไม่มีที่จะเก็บ ต้องขนไปแจก ชาวบ้านจนร่ํารวยกันท้ังเมือง คร้ันเกิดมาแล้วได้เข้าไปบวชในพระพุทธศาสนา ก็ย่ิงแผ่ อานิสงส์ไปอย่างไพศาล แผ่นดินด้านไหนที่ท่านย่างเหยียบเข้าไป เหล่าเทวดาทุกสารทิศก็มาชุมนุมอวยชัยกันคับค่ัง บ้านเมืองนั้นก็ บังเกิดความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มาจนวันน้ี ท่านก็ยังเป็นที่ยอมรับกันท่ัวไปว่าเป็น “อรหันต์ แห่งโชคลาภ” กระท่ังมีผู้ศรัทธาสร้างรูปปั้นแทนองค์ท่านไว้ให้คนได้ สักการบูชาอยู่ทั่วประเทศ พิธีตักบาตรน้ําผ้ึงของชาวมอญ ก็เป็นการเจริญรอยตาม อดีตชาติของพระสีวลี เพราะเชื่อกันว่า การตักบาตรด้วยนํ้าผ้ึงแล้ว อธิษฐานขอโชคลาภ จะสัมฤทธิ์ผลตามประสงค์ ประวัติชีวิตของพระสีวลีน้ีมีข้อที่น่าศึกษาอยู่ไม่น้อย ด้วยว่า กว่าท่านจะมาเป็นพระสีวลี เจ้าของสมยา “อรหันต์แห่งโชคลาภ” ท่านส่ังสมคุณความดีและผ่านทุกข์ยากมามิใช่น้อย เร่ืองของท่าน จึงเป็นแบบอย่างให้แก่คนรุ่นหลัง ในด้านท่ีสะท้อนให้เห็นว่าชีวิตน้ี เป็นของเรา วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรข้ึนอยู่กับวันน้ี คนฉลาดจึง

ต้องรู้จักใช้ชีวิต ใช้ชีวิตอย่างคนท่ีมีสายตากว้างไกลไปถึงวันข้างหน้า หนังสือเล่มน้ี ผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลใหม่ท้ังหมด จากคัมภีร์ ช้ันอรรถกถา (ขยายความ) พระไตรปิฎก ๒ คัมภีร์คือ มโนรถปูรณี และ ธรรมบท ตีความแล้วเรียบเรียงข้ึนใหม่ โดยใช้สํานวนก่ึงเล่า เร่ืองกึ่งนิยาย เพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่านยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็แทรกเกร็ดความรู้ที่เก่ียวข้องเข้าไว้ด้วย เพื่อ เสริมความเข้าใจประเด็นต่าง ๆ ในท้องเรื่อง หากส่วนใดท่ีแทรก แล้วพลอยจะพาผู้อ่านเข้ารกเข้าพง ก็จะทําเชิงอรรถไว้ เช่น อธิบาย คําศัพท์ ประวัติความเป็นมาของเมืองหรือแคว้นในท้องเรื่อง จุดมุ่ง หมายก็เพ่ือให้เป็นหนังสือที่อ่านประเทืองปัญญาแล้วเกิดศรัทธาตาม มิได้บํารุงศรัทธาแต่ถ่ายเดียว ในหนังสือเล่มน้ีจึงไม่มีเร่ืองที่ว่าด้วยการบูชาว่าคาถาบทสวด ซง่ึ แทจ้ รงิ ไมไ่ ดบ้ าํ รงุ ศรทั ธาแตอ่ ยา่ งใดเลย หนกั ไปทางงมงายเสยี มาก เพราะเป็นการดึงเอาคุณแห่งพระอรหันต์ของพระสีวลี ไปเกลือกกล้ัว ไสยศาสตร์ ซึ่งพระพุทธองค์มิได้ทรงสรรเสริญเลย ชาวพุทธที่แท้จริง จริงควรเลี่ยงวิธีการเช่นน้ัน เจริญธรรม ชาญ พิญ ู

...ชายแดนแควน้ มคธ มีเมืองต้ังใหมช่ ่ือกรุงกณุ ฑยิ า เจา้ ครอง นครพระนามว่า กุณฑิยราชา กษัตริย์หนุ่มมีชายาทรงศิริโฉมงาม พิลาสนามว่า สุปปวาสา ก่อนอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์เป็นเจ้าชายเจ้าหญิงใน ตระกูลโกลิยะแห่งกรุงเทวทหะ ญาติฝ่ายพระมารดาของพระพุทธเจ้า คร้ันอภิเษกสมรสกันแล้วก็รับราชโองการจากเจ้ากรุงเทวทหะให้มา ครองเมืองเล็ก ๆ แห่งน้ี ปกครองชนเผ่ามิลักขะรักษาชายแดนมคธ ด้านนี้ไว้ เจา้ หญิงสุปปวาสานัน้ ทรงบรรลุธรรมข้นั โสดาบนั ตงั้ แตค่ ราว ทพี่ ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ โปรดพระญาติ ทรงเปน็ ชาวพทุ ธทป่ี ราศจากความ เคลอื บแคลงในพระพทุ ธเจา้ พระธรรมคาํ สอน และความบรสิ ทุ ธข์ิ อง พระสงฆ์สาวก แยกแยะความดคี วามชว่ั ไดอ้ ย่างชดั แจ้ง และไม่ผูกตดิ กับความเป็นตัวตนเราเขาอีกต่อไป (แต่ยังไม่หมดกิเลส) สามปหี ลงั จากอภเิ ษกสมรส พระนางกท็ รงครรภ์ และนน่ั เอง เรื่องราวมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นพร้อมกัน...

จะว่าเด็กตายในท้องก็เห็นจะไม่ใช่ เพราะยังกระแทกกระทุ้ง ท้องแม่อยู่ได้ทุกวัน คร้ันให้ทั้งหมอราษฎร์หมอหลวงมาตรวจดูก็ บอกเป็นเสียงเดียวว่า เด็กแข็งแรงดี แต่บอกไม่ได้ว่าจะคลอดวันไหน ปีไหนเท่านั้น ท่ีผู้เป็นแม่รวมท้ังทุกคนทําได้หรือจําเป็นต้องทํา ก็คือ การประคับประคองครรภ์ให้ดี รอวันคลอดเพียงอย่างเดียว รอน้ันรอได้ แต่คนเป็นแม่น้ีไม่เพียงรออย่างเดียวแต่ต้องทน อุ้มท้องน่ันสิหนักหนาสาหัสไม่น้อยเลย จะลุกจะน่ังจะเดินก็ต้องยาก

ลําบากไปหมด กระท่ังยามนอนก็ไม่เป็นสุข จะพลิกเอาตามชอบใจ ก็ทําไม่ได้ ปีหนึ่งผ่านไป สองปีก็แล้ว สามปีก็ยังเงียบ กระทั่งเข้าปีที่ เจ็ดก็ไร้วี่แววว่าจะคลอด เด็กท่ีอยู่ในท้องก็ทนได้ทนดี ยังมีชีวิตอยู่ เปน็ ปกติ พระนางสปุ ปวาสาเองกพ็ รา่ํ บอกอยทู่ กุ วว่ี นั วา่ ลกู เอย๋ ออก มาจากท้องแม่เสียเถิดลูก สงสารแม่ที่อุ้มท้องเจ้าไว้บ้าง แต่ลูกของ แม่ก็ยังนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาวในท้องเหมือนเดิม สุปปวาสาเทวีกับพระสวามีน้ัน เป็นญาติร่วมสายโลหิตกัน ตระกูลดัง ๆ ในชมพูทวีปอย่างเช่น ศากยะและโกลิยะน้ันถือคติว่า สายเลือดขัตติยะจะต้องไม่ปนกับวรรณะอื่น จึงมีการแลกเปล่ียน โอรสธิดากันระหว่างสองตระกูลน้ีอยู่ตลอด ต่อมาสองตระกูลเกิด ความบาดหมางด้วยเรื่องกั้นเขื่อนแย่งนํ้ากัน ก็เปลี่ยนเป็นอภิเษก สมรสกันเองในตระกูล สวามีของพระนางสุปปวาสาผู้นี้ ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม ในตําราเล่มไหนเลย รู้จักกันในนามเพียงแต่ว่าเป็นเจ้าชายองค์หนึ่ง ของตระกูลโกลิยเท่านั้น เจ้าชายองค์น้ีพออภิเษกกับเจ้าหญิงสุปป- วาสาก็มีพระบรมราชโองการจากโกลิยราชแห่งกรุงเทวหะ ให้ไป เป็นเจ้าเมืองกุณฑิยา ไม่นานสุปปวาสาก็ตั้งครรภ์ ช่วงน้ันพระพุทธ ศาสนาเกิดข้ึนแล้วประมาณแปดถึงเก้าปี มีเร่ืองอัศจรรย์อยู่อย่างหน่ึงว่า นับแต่พระนางทรงครรภ์เด็ก คนน้ี เหล่าราชนิกุลก็บังเกิดโชคลาภไม่ขาด คิดอยากจะได้อยาก

จะทาํ อะไร ไมว่ า่ จะตอ้ งใชท้ รพั ยส์ นิ ตน้ ทนุ มากมายเทา่ ใด กไ็ มร่ หู้ ลงั่ ไหลมาแต่ไหน พลอยให้ทุกอย่างราบร่ืนไปหมด พวกพ่อค้าวาณิชที่ ค้าขายก็มีแต่กําไรกับกําไร จนลืมคําว่าขาดทุนกันไปเลยทีเดียว หัวเมืองต่าง ๆ รวมท้ังนครอ่ืน ๆ ทั่วสารทิศ พอทราบว่าพระ เทวขี องเจา้ เมอื งกณุ ฑยิ าทรงครรภ์ กส็ ง่ เครอื่ งบรรณาการมากนั อยา่ ง คับค่ัง ท้องพระคลังอัดแน่นไปด้วยของมีค่าสารพัด จะส่งสาส์นไป บอกกันถ้วนหน้าว่า ไม่ต้องส่งมาแล้ว ก็ยังส่งมากันทุกวัน สมบัติ ทรัพย์สินเหล่าน้ี ส่วนหนึ่งก็แปรไปเป็นงบประมาณพัฒนาบ้านเมือง พลอยให้กรุงกุณฑิยาเป็นเมืองรุ่งเรืองม่ังคั่งชนิดทันตาเห็น ฝ่ายสุปปวาสาเทวีก็สร้างความสนเท่ห์ไม่น้อย เม่ือถึงยาม หว่านกล้าลงนา* กระบุงข้าวกล้าใดก็ตามท่ีนางเอามือไปแตะ กล้า ในกระบุงนั้นต่อให้หว่านไปทั้งวันก็ไม่มีวันหมดสิ้น คร้ันงอกเป็นต้น ขน้ึ มากง็ ามสมบรู ณ์ ออกรวงแลว้ กไ็ มม่ เี มด็ ลบี แมแ้ ตร่ วงเดยี ว เพลย้ี ก็ไม่ลง พอถึงยามเก็บเกี่ยวเข้ายุ้งฉาง ขอให้นางได้แตะขอบยุ้งฉาง เท่านั้น ยามขนข้าวออกไปแจกจ่าย ยิ่งตักก็เหมือนย่ิงเพิ่ม ไม่มี ร่อยหรอลงไปเป็นที่อัศจรรย์ ทุกเช้า เจ้าหญิงพร้อมท้ังเรือนกายอันหอมจรุงก็เข้าไปยังโรง ทาน แจกข้าวปลาอาหารแก่คนยาก การแจกอาหารแก่คนยากไร้ และคนเดินทางนั้น เป็นเร่ืองที่ผู้มีอันจะกินในชมพูทวีปเขานิยมกัน อย่างหน่ึงนั้นก็ถือเป็นการช่วยเหลือผู้อ่ืนตามคําสอนของศาสนาพุทธ * อาชีพหลักของชาวชมพูทวีปคือเกษตรกรรม กลุ่มวรรณะกษัตริย์ก็ยึดอาชีพทําไร่ไถนา คําว่า กษัตริย์ เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า เจ้าแห่งการไถ

และศาสนาพราหมณ์ อยา่ งหนง่ึ นน้ั กเ็ ปน็ การสรา้ งบารมที างการเมอื ง ไปด้วย สําหรับสุปปวาสาเทวีดูจะเป็นประการแรกโดยไม่ต้องสงสัย เอ่ยถึงคนยากไร้รวมไปถึงพวกขอทานในชมพูทวีปแล้ว วัน น้ีมีมากเท่าใดอดีตก็มากเท่านั้น ว่ากันว่าผู้ยากไร้ฮือกันเข้ามารับ ทานจากเจ้าหญิงชนิดมืดฟ้ามัวดิน แต่ไม่ว่าเจ้าหญิงและผู้ช่วยจะตัก อาหารในหม้อไปสักเท่าไร ก็คลา้ ยย่ิงตักย่งิ เตม็ ยงั กบั วา่ มคี นเอามา เติมอยู่ตลอด กระท่ังผู้รับทานซาไป และเจ้าหญิงลุกจากที่ไปแล้ว น่ันเอง อาหารถึงได้พร่องไปตามปริมาณท่ีตักออก เหล่าข้าราชบริพารต่างก็ช่ืนชมยินดีว่า เป็นบุญญาธิการของ เด็กในท้อง เกิดมาเพื่อสร้างความสุขสมบูรณ์แก่พ่อแม่และคนรอบ ข้างโดยแท้ คราวน้ัน พระพุทธเจ้ายังทรงจาริกไปในเมืองอื่น ๆ พระนาง ก็เฝ้าฟังข่าวว่า เม่ือใดหนอพระองค์จะเสด็จมาเยือนกุณทริยาเสียที วันหนึ่ง ๆ นางต้องรับความลําบากแสนสาหัส ท่ีสามารถประคับ ประคองให้ผ่านพ้นไปได้ ก็เพราะตนเองต้ังใจระลึกมั่นถึงแก้วสาม ประการคอื พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ อยทู่ กุ ขณะจติ ความ เอิบอาบเป็นสุขท่ีเกิดข้ึน ก็พลอยให้ลืมความทุกข์ทางกายไปเสียได้ E เจ็ดปีล่วงไป เจ้าตัวเล็กในท้องนั้นก็ยังมีชีวิตเป็นปกติ ผู้เป็น มารดาก็ประคับประคองตนเองมาได้ตลอด หากจะรอดถึงฝั่งหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครทํานายได้

เจ็ดปีนี้สําหรับคนอุ้มท้องแล้วไม่ใช่นานธรรมดา แต่เข้าข้ัน แสนสาหัสทีเดียว* คืนหน่ึง เทวีสุปปวาสาเกิดปวดครรภ์ขึ้นมา พระสวามีรับสั่ง ให้ตามหมอหลวงหมอตําแยกันวุ่นวาย เป็นผลให้ผวาต่ืนเอากลาง ดกึ กนั ท้ังตาํ หนกั เลก็ ตาํ หนกั ใหญ่ ต่างกด็ อี กดีใจว่าพระเทวีจะประสตู ิ พระโอรสเสียที แต่แล้วพอขึ้นขาหยั่งลมเบ่งก็หายไปเสียเฉย ๆ พัก ใหญ่ ๆ ก็ปวดเบ่งข้ึนมาอีกหากก็ไม่เต็มท่ีเสียที ไม่ว่าจะเบ่งยังไงเด็ก ก็ไม่เคล่ือนออกมา คร้ันพอเคล่ือนก็กลายเป็นว่านอนขวางครรภ์ อีก หมอตําแยต้องรีบประคองให้เข้าร่องเข้าทางกันเหง่ือไหลไคล ย้อย ผู้เป็นมารดาก็กัดฟันสู้อดสู้ทนจนเหง่ือท่วมแทบจะขาดใจตาย อยู่รอมร่อ แต่พอจะไม่ไหวจริง ๆ อาการปวดท้องก็สงบลงให้ได้พอ หายใจ พกั ใหญก่ ป็ วดบดิ ปวดเบง่ ขนึ้ มาอกี บางครง้ั นางกห็ มดสตไิ ป จนหมอตําแยใจหายวาบ คร้ันอังจมูกดูก็ยังมีลมหายใจอยู่ ช่วยพัด ชว่ ยวกี นั อยนู่ านพระเทวจี งึ ไดล้ มื เนตรขนึ้ มา สลบั กนั อยา่ งนเ้ี หมอื นมี อะไรมาหล่อเลี้ยงไว้ ทรมานแสนสาหัสในลักษณะน้ีจนถึงเช้าวันท่ีเจ็ด พระสวามี ประคองเศียรยอดดวงใจไว้บนตัก หล่ังนํ้าเนตรน้องพักตร์ พระเทวี ของพระองค์ตอนนี้หายใจแผ่วหลับเนตรพริ้มเพราะอิดโรยหนัก ท้าว เธอเองก็อิดโรยไม่แพ้กันเพราะต้ังแต่เจ้าหญิงปวดครรภ์คลอดก็คอย ปลอบประโลมอยู่ไม่ยอมห่าง แทบไม่ได้ทรงพักผ่อนเลย * ในคัมภีร์อรรถกถา ธรรมบท บอกว่าตั้งท้องเจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวัน

เย็นน้ันเอง ก็มีคนแจ้งข่าวว่า บัดนี้ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วย หมู่พระสงฆ์สาวกกว่าห้าร้อยรูป เสด็จจาริกเข้ามายังเขตเมืองแล้ว ขณะนี้ประทับอยู่ที่วิหารชายป่ากุณฑธานะน่ีเอง นางได้ฟังดังน้ันก็ดี พระทัยสุดประมาณ ขนลุกเกรียวไปท้ังสรรพางค์กาย แววปีติเอิบ อิ่มปรากฏบนดวงพักตร์ของนางอย่างเด่นชัด แล้วโอษฐ์ที่เผยออย่าง ยากเย็น ตรัสกับสวามีว่า “หม่อมฉันได้รับความลําบากจากการอุ้มท้องมาถึงเจ็ดปีเข้า น่ีแล้ว เจ็ดปีมานี้หม่อมฉันประคับประคองตนเองมาได้ ไม่ตัดสิน ใจทําอันตรายตนเองและลูกให้พ้น ๆ ไป ก็เพราะในใจของหม่อมฉัน ระลึกถึงคุณพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลาว่า พระพุทธเจ้านั้นทรง ตรัสรู้ธรรมอันหมดจดถ่องแท้ด้วยพระองค์เอง ท้ังยังทรงแสดงพระ ธรรมอันบริสุทธิ์เพื่อปลดเปลื้องผู้คนจากทุกข์ท้ังมวล พระสาวกของ พระองค์ก็เป็นผู้สงบสํารวมน่าเล่ือมใส ได้รู้เห็นธรรมตามท่ีทรงตรัส สอนจนบรรลุถึงความผุดผ่องปราศจากกิเลส อีกทั้งความหลุดพ้น นั้นเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด เป็นสุขอันยอดเย่ียมที่สุดแล้ว” ฝ่ายสวามีก็กุมหัตถ์ยอดดวงใจของท้าวเธอไว้แล้วก็รับคําส้ัน ๆ กลืนลูกสะอื้นลงพระศอ “ออมกําลงั เอาไวเ้ ถดิ นอ้ งรกั ของพี่ อยา่ ไดพ้ ดู อะไรไปมากกวา่ นี้เลย” แต่เจ้าหญิงส่ายพักตร์น้อย ๆ รับส่ังต่อไปอย่างโหยแผ่วว่า “เจ็ดวันที่ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนปานนี้ หม่อม

ฉันก็ยังกล้ํากลืนไว้ได้ ก็เพราะในใจของหม่อมฉันชโลมหล่อเลี้ยง ไว้ด้วยปีตีสามข้อน้ัน ท่านพ่ีเจ้าขา ชีวิตของหม่อมฉันคงทนอยู่ได้ อีกไม่นาน ก่อนจะตาย หม่อมฉันขอวิงวอน พระองค์ได้โปรดนํา ความกราบทูลพระศาสดาทรงทราบด้วยเถิดเพคะ แล้วจะมีพระพุทธ ดํารัสอย่างไร ท่านพ่ีโปรดอัญเชิญมาถ่ายทอดต่อหม่อมฉันเป็นครั้ง สุดท้ายด้วย” ดวงเนตรของพระสวามีระริกอยู่ด้วยน้ําเนตร “พเี่ ขา้ ใจความลาํ บากของนอ้ งทกุ อยา่ ง นอ้ งลาํ บากมาอยา่ งไร พ่ีก็ได้รับไม่ต่างกันเลย น้องพ่ีจะต้องไม่เป็นอะไร ฟังพ่ีนะ พระพุทธ องค์ต้องช่วยบรรเทาทุกข์นี้ของเราได้อย่างแน่นอน พ่ีจะไปเดี๋ยวน้ี แล้ว” คร้ันแล้วก็มีกระแสรับส่ังให้เกณฑ์คนไปซ่อมแซมกุฏิวิหารยัง บริเวณที่ประทับของพระจอมมุนีและเหล่าสาวกโดยรีบด่วน พระองค์ เองก็ประทับราชรถบ่ายหน้าสู่ชายป่ากัณฑ์ธานะทันที

“สุปปวาสาจงสุขกายสุขใจหายโรค ประสูติพระโอรสที่แข็ง แรงสมบูรณ์เถิด” เจา้ กรงุ กณุ ฑยิ าครน้ั สดบั ดงั นน้ั กถ็ วายอภวิ าทพระศาสดา แลว้ รีบกลับตําหนัก เพื่อถ่ายทอดกระแสพุทธดํารัสน้ันต่อพระเทวี ยงั ไมท่ นั จะเสดจ็ ถงึ ตาํ หนกั เดก็ ทน่ี อนขวางอยใู่ นทอ้ งถงึ กบั จะ เอาชวี ติ ผเู้ ปน็ แมม่ าตลอดเจด็ วนั นนั้ กค็ ลอด งา่ ยเสยี ยงิ่ กวา่ เทนาํ้ ออก จากหม้อ ไม่ต้องว่าถึงพระนางสุปปวาสาที่ตอนน้ีไม่เหลือเร่ียวแรง แม้แต่จะเบ่งสักแอะ ทุกคนต่างก็โล่งใจหัวเราะทั้งนํ้าตาไปตาม ๆ กัน

ฝ่ายพระสวามีถลันเข้าไปยังตําหนักแทบจะชนกับทหารท่ีมาส่ง ข่าว คร้ันทราบเร่ืองก็ดีพระทัยสุดขีดว่า พระพุทธเจ้ามีวาจาสิทธิ์ถึง เพยี งน้ี นา่ อศั จรรยเ์ หลอื เกนิ พอเหน็ หนา้ พระชายามนี า้ํ มนี วลขน้ึ มา กพ็ ระทยั ชนื้ ขนึ้ เปน็ กอง ครนั้ ไดอ้ มุ้ พระโอรส ความลาํ บากอดิ โรยทงั้ มวลก็ไม่รู้หายไปไหนหมดส้ิน มีแต่ความกระปร้ีกระเปร่ายินดี ทรง กระซบิ พระเทววี า่ นอ้ งพ่ี พระพทุ ธองคใ์ หพ้ รมาวา่ สปุ ปวาสาจงสขุ กายสุขใจหายโรค พระสตู พิ ระโอรสทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณ์เถดิ พระองค์ มีวาจาสิทธ์ิจริง ๆ น้องพ่ีคลอดแล้ว อันที่จริงพระพุทธเจ้าจะทรงประทานพรแก่ใคร มิใช่ให้อย่าง พรํ่าเพร่ือหรือสักว่าแต่ให้พอเป็นกําลังใจเท่าน้ัน แต่เล็งเห็นแล้วว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าตรัสว่าอย่างไรแล้วก็หมายความว่าเรื่องนั้นจะเป็น อื่นไปไม่ได้ กรณีของพระนางสุปปวาสา ก่อนจะประทานพรก็ทรงตรวจดู แลว้ วา่ วนั นกี้ รรมเกา่ ของนางจะใหผ้ ลเปน็ วนั สดุ ทา้ ย แมว้ า่ ไมท่ รงมี รับส่ังอย่างไร พ้นวันท่ีเจ็ดแล้วพระเทวีก็จะคลอดอยู่น่ันเอง พอเห็น วา่ แรงกรรมออ่ นลงเตม็ ทแ่ี ลว้ อกี ไมก่ ชี่ ว่ั ยามกจ็ ะสนิ้ สดุ จงึ ทรงชว่ ย ระงับด้วยพุทธานุภาพ เป็นอันหมดสิ้นกันไป E เจ็ดปีกับเจ็ดวันที่ผ่านมา สาหัสสากรรจ์ไม่ธรรมดา พอพระ โอรสประสูติมาได้ ทุกคนต่างก็โล่งอกโล่งใจกันถ้วนหน้า ว่าส้ิน เคราะห์ส้ินกรรมไปที ชื่อของเด็กคนนี้ก็คงไม่มีคําใดจะเหมาะไปกว่า

คําว่า สีวลี ญาติ ๆ จึงได้พร้อมใจขนานพระนามโอรสองค์ใหม่ว่า \"สีวลี\" แปลว่า ดับทุกข์คลายกังวล หลังประสูติพระโอรส แม้ว่าร่างกายจะบอบชํ้าแต่จิตใจยังคง เอิบอ่ิมแช่มช่ืนอยู่ตลอด หนึ่งนั้นก็เพราะมีธรรมชโลมใจ สอง ก็ เพราะหัวอกของผู้เป็นแม่พอเห็นลูกก็หมดเหนื่อยหมดล้าแล้ว สอง สามวันผ่านไป ก็ทรงมีพลานามัยแข็งแรงขึ้นเป็นลําดับ จึงทูลขอ ให้พระสวามีไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบนิมนต์พระองค์พร้อมกับหมู่ภิกษุ สงฆ์มารับบิณฑบาตยังตําหนักเป็นเวลาเจ็ดวัน คราวนน้ั พระพทุ ธเจา้ รบั นมิ นตอ์ บุ าสกคนหนง่ึ ไวก้ อ่ นแลว้ เมอ่ื เจ้านครกุณฑิยาทูลนิมนต์ก็ตรัสว่า “มหาบพิตร วันพรุ่งน้ีตถาคต* รบั นมิ นตอ์ บุ าสกคนหนงึ่ ไวก้ อ่ นแลว้ หากจะรบั นมิ นตส์ ปุ ปวาสาเทวี ก็ต้องให้อุบาสกน้ันยินยอมก่อน” * ตถาคต เป็นคําที่พระพทุ ธเจา้ ใช้เรียกแทนตัวพระองค์ มคี วามหมายค่อนขา้ งกวา้ ง ในคมั ภรี ์ ปปัญจสูทนี อรรถกถามูลปริยายสูตร มีอธิบายไว้พอสรุปได้ว่า ๑. ผู้มาเพ่ือประโยชน์แก่ชาวโลกอย่างที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เคยมา ๒. ผู้เดินตามเส้นทางสู่การบรรลุธรรมอย่างที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคยบรรลุ ๓. ผู้รู้ลักษณะอันแท้จริงของสรรพส่ิง ๔. ผู้รู้ธรรมท่ีแท้จริงตามความเป็นจริง ๕. ผู้รู้การทํางานของอารมณ์ท่ีกระทบกับรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส และกระบวนการ ทํางานของจิต อย่างละเอียด ๖. ผู้กล่าวเฉพาะความจริง ๗. ผู้ทําตามท่ีพูด ๘. ผู้ไม่มีใครจะครอบงําได้และมีกุศโลบายในการสั่งสอนผู้คน ๙. ผู้บรรลุทางอันไม่ต้องเกิดอีกแล้ว

เจ้ากรุงกุณฑิยาก็ว่า ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะไปต่อรองกับ อุบาสกน้ันเอง พระพุทธเจ้าทัดทานว่า “ไม่ได้ดอกมหาบพิตร พระองค์น่ันเองจะถูกครหาว่าใช้ อํานาจกษัตริย์ไปข่มเขาให้ยินยอม เอาอย่างน้ีเถิด อุบาสกคนน้ีเป็น อุปัฏฐากของโมคคัลลานะ พระองค์ให้คนไปตามเธอมาก่อน เรื่องน้ี จะเป็นหน้าที่ของเธอเอง” ครั้นคนไปตามพระมหาโมคคัลลานะมาแล้ว พระพุทธองค์ก็ รับสั่งกับท่านว่า “โมคคัลลานะ เธอไปหาอุบาสกของเธอคนน้ันแล้วบอกกับ เขาเถิดว่า สุปปวาสาตั้งครรภ์มาเจ็ดปีกับอีกเจ็ดวัน บัดน้ีได้ประสูติ พระโอรสแลว้ นางประสงคจ์ ะทาํ บญุ ครง้ั ใหญเ่ จด็ วนั โดยมเี ราตถาคต เป็นประธาน ขออุบาสกเลื่อนวันนิมนต์ไปเพื่อเปิดทางให้สุปปวาสาได้ ถวายทานครั้งนี้ก่อนเถิด” พระเถระรับพุทธดํารัสแล้วก็ไปยังบ้านของอุบาสกนั้นในบัดดล ถ้าพูดถึงเรื่องใช้ฤทธ์ิไม่มีใครเกินพระมหาโมคคัลลานะ พอ ก้าวแรกลงจากวิหารก้าวที่สองก็ถึงหน้าบ้านอุบาสกทันที ข้ึนบ้าน อุบาสกแล้วก็ถ่ายทอดพุทธดํารัสให้ทราบ ครั้นแล้วอุบาสกก็ว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านจะเป็นประกันแก่ กระผมสามขอ้ คอื หนงึ่ เจด็ วนั นโี้ ภคสมบตั ริ วมทงั้ ขา้ วของทกี่ ระผม เตรียมไว้สําหรับทําบุญในวันพรุ่งน้ี จะต้องไม่เสื่อมสูญหรือบูดเน่า เสียหายไป สอง ชีวิตของกระผมจะต้องอยู่เป็นปกติสุข ไม่ประสบ

อันตรายหรือโรคภัยใด ๆ สาม ท่านต้องรับรองศรัทธาของกระผมว่า จะไม่เป็นอ่ืน จะไม่มีเหตุใด ๆ ทําให้กระผมเส่ือมสิ้นศรัทธาในพระ- พุทธศาสนา พระมหาโมคคัลลานะรับฟังครบถ้วนแล้วก็รับรองว่า สองข้อ แรกอาตมาประกันได้เด็ดขาดทีเดียวอุบาสก แต่ข้อสุดท้ายเป็นเร่ือง จิตใจและศรัทธาของท่าน ท่านก็รับรองของท่านเองว่าจะม่ันคงแค่ ไหน อาตมาประกันให้ไม่ได้ อุบาสกก็บอกว่า จริงของพระคุณเจ้า ถ้าอย่างนั้นกระผม รับรองศรัทธาของตนเองว่าจะไม่แปรเปลี่ยน ขออนุโมนากับการ ทําบุญของพระนางสุปปวาสาด้วยขอรับ ทุกข์หายคลายกังวลเสียที กระผมจะรอถวายทานหลังพระนาง ว่าแล้วก็ยกมือไหว้สาธุการ ตกลงกนั จนอบุ าสกยนิ ยอมพรอ้ มใจเรยี บรอ้ ย พระเถระกก็ ลบั มากราบทูลพระพุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธเจ้าไม่เคยทําอะไรโดยไม่มีจุดประสงค์ใหญ่ เร่ือง ทั้งหมดนั้นอยู่ในความคาดหมายของพระพุทธเจ้าหมดแล้ว ท่ีทรง รับนิมนต์อุบาสกคนนั้นไว้ก่อน ก็เพื่อต้องการให้อุบาสกเห็นว่าสาวก ของพระองค์คือพระโมคคัลลานะน้ัน มีอานุภาพใหญ่หลวง เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพระโมคคัลลานะมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อันตรายใด ๆ อันจะเกิดแก่คนผู้จะทําความดี ท่านต้องเข้าไปปัดเป่า คล่ีคลาย พระบวชใหม่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ตามป่าตามเขา ท่านก็คอย สอดส่องคุ้มครองไม่ให้เกิดอันตราย จะว่าเป็นองครักษ์แห่งพระพุทธ

ศาสนากไ็ มผ่ ดิ จงึ ถกู ตงั้ ฉายาวา่ เปน็ แมน่ มของพระบวชใหม่ คอื คอย ประคบั ประคองดแู ลใหพ้ ระใหมไ่ ดบ้ าํ เพญ็ ธรรม จนสาํ เรจ็ เปน็ อรหนั ต์ ไม่ให้ได้รับอันตรายจากปัจจัยภายนอก หรือความวิปลาสฟั่นเฟือน อันเป็นปัจจัยภายในไปเสียก่อน กรณขี องอบุ าสกคนนี้ พอเหน็ ขา้ วของทต่ี นจดั แจงไวเ้ พอื่ ถวาย ทานไม่บูดเน่าเสียหาย ชีวิตและทรัพย์สินของตนเองก็เป็นปกติ ก็จะ เกิดเชื่อมั่นมากย่ิงข้ึนนั่นเป็นประการที่หน่ึง อีกประการคือ พอ อุบาสกเหน็ ดีเหน็ งามกับการทาํ บญุ ของคนอนื่ แล้วเปิดทางให้ กถ็ อื ว่า ได้บุญสองต่อ เรียกว่าบุญจากการอนุโมทนาบุญของคนอื่น เรอ่ื งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ กาํ หนดไว้ จงึ ลว้ นแตเ่ ปน็ คณุ แกผ่ อู้ น่ื ทงั้ สน้ิ สะสางเรอ่ื งเรยี บรอ้ ยกค็ อ่ ยทรงรบั นมิ นตข์ องพระนางสปุ ปวาสา ความเป็นคนละเอียดอ่อนใส่ใจต่อเร่ืองเล็กเรื่องน้อยของพระ นางสุปปาวาสาน้ัน เป็นท่ีรู้กันดี พระนางปรนิบัติพระสวามีอย่างท่ี ไม่มีเทวีองค์ไหนจะเทียบเท่า ญาติ ๆ ก็ได้รับการเอาใจใส่สารทุกข์ สุกดิบเป็นอันดี กระท่ังกับนางสนองพระโอษฐ์เจ้าหญิงก็ปฏิบัติกับ พวกนางไม่ต่างกับพี่สาวน้องสาว คร้ันพอนิมนต์พระสงฆ์มารับ ภัตตาหารยังตําหนัก ก็ทรงควบคุมแลการจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร และเครื่องไทยธรรมด้วยพระองค์เอง ของทุกอย่างที่จะถวายพระ ต้องเลือกเฟ้นอย่างดีเท่าน้ัน กล่าวกันว่า ข้าวท่ีจะหุงก็คัดแยกไม่ให้ มีเม็ดหักแม้แต่สักเม็ด ผักก็ถ้ามีร้ิวมีรูหน่อยเป็นต้องให้เก็บออก วันที่เจ็ดของการทําบุญ พระพุทธองค์จึงยกย่องพระเทวีว่า

“เป็นอุบาสิกาผู้โดดเด่นในด้านการถวายทานอันละเอียดประณีต” E ฝ่ายเจ้าชายสีวลี ก็โตเร็วกว่าเด็กปกติมาก เพราะว่านอน อยู่ในท้องเสียเจ็ดปี สํานวนในคัมภีร์ท่านใช้ว่า นอนทรมานอยู่ใน “โลหิตกุมภี” คือ หม้อแห่ง (เน้ือและ) เลือด แม้ตัวจะโตเท่าทารก แรกคลอดทั่วไป แต่องคาพยพในร่างกายก็ไม่ต่างกับเด็กอายุเจ็ดปี ผมเต็มหัว ฟันก็เต็มปาก ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีเย่ียม คลอด ออกมาก็อย่านมเลย วันที่สองโอรสน้อยก็ลืมตาได้ เข้าวันท่ีสามก็คลานได้ วันท่ี สี่พูดได้แม้ไม่คล่องแต่ลิ้นก็พอไปไหว วันท่ีห้าก็ตั้งไข่ได้ วันถัดมาก็ เร่ิมพูดได้คล่อง วันท่ีเจ็ดนี่ว่ิงปร๋อทีเดียว ไม่ต้องว่ากันที่พัฒนาการ ทางสมอง เด็กน้อยนี้รู้ความตั้งแต่อยู่ในท้อง รับรู้เร่ืองราวภายนอก ทุกอย่าง จะติดก็แต่ว่าออกมาโลดโผนนอกท้องมารดาไม่ได้เท่านั้น ว่ากันท่ีความคิดความอ่านและความประพฤติของโอรสน้อย ก็ให้แสนรู้เกินกว่าเด็กปกติ เร่ืองจะให้ว่ากล่าวตักเตือนควรทําโน่น ควรทํานี่นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย พระมารดาบิดาและญาติ ๆ สบตา กันแล้วก็ว่า เด็กคนนี้มีบุญเป็นอภิชาตบุตรอย่างท่ีโหรหลวงทํานาย ไว้จริง ๆ พอเจ้าชายน้อยประสูติ ก็บังเกิดเร่ืองอัศจรรย์ข้ึนคือ ชาว นครท้ังส้ินพลันมีความเป็นอยู่ดีข้ึนชนิดทันตาเห็น จะทํามาค้าขายก็ ราบรนื่ คนรวยไมร่ จู้ ะเอาเงนิ ไปเกบ็ ไวไ้ หนกข็ นมาแจกคนจน คนจน

ได้เงินต้นก็เอาเป็นทุนทํามาหาเล้ียงตนเอง จนมีฐานะดีขึ้นอย่าง รวดเรว็ กระทงั่ วา่ จะไปเดนิ ถามหาคนจนในเมอื งนนี้ น้ั หาไปเถดิ ไมม่ ี เลย ต่อให้มีทองหลน่ อยู่กลางทางกไ็ ม่มใี ครหยบิ เพราะตา่ งกม็ อี ย่มู ี กินกันหมดแล้ว ไม่รู้จะเอาไปทําไมอีก ที่เกิดลาภเกิดผลได้ดังนี้ ไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากเห็นเป็นอันเดียวกันว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งบุญของเจ้า ชายสีวลีอย่างแน่นอน เจ้าชายน้อยส่ังสมบุญญาธิการมาอย่างไร แล้วทําไมจึงต้อง นอนพับข้องอเข่าอยู่ในท้องพระมารดาถึงเจ็ดปีเจ็ดวัน ข้อนี้ย่อมมีท่ีมาท่ีไป...

“เป็นอย่างไรบ้างพ่อหนู สุขสบายดีไหม” “สขุ สบายทไี่ หนเลา่ ขอรบั กระผมตอ้ งนอนขดอยใู่ นทอ้ งแมต่ งั้ เจ็ดปีเจ็ดวัน ทรมานแสนสาหัสทีเดียว” “นี่แหละความทุกข์ของการเกิด ยังไม่ต้องพูดความทุกข์ตอน แก่ ตอนเจ็บป่วย แล้วก็ต้องตายไป สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ อย่างนี้ไม่รู้ก่ีภพกี่ชาติ” “เท่านี้กระผมก็เหลือทนแล้วขอรับ”

ถึงตอนนี้พระเถระก็ได้ช่องถามไปว่า “แล้วอย่างน้ีเธอยังจะ อยู่กับทุกข์น้ีอีกทําไมกัน สละทางโลกมุ่งสู่ทางธรรมไม่ดีกว่าหรือ” พระโอรสมีสีหน้ายินดี เหลือบมองพระมารดาแล้วว่า “ถ้า เสด็จแม่อนุญาต พระพุทธองค์ก็เห็นสมควรแล้ว กระผมก็พร้อม ขอรับ” ขณะนั้นพระมารดาของเจ้าชายสีวลี น่ังอยู่เบ้ืองหน้า พระพุทธเจ้าห่างจากพระสารีบุตรช่วงหนึ่ง เห็นโอรสของตนเองคุย กบั ทา่ น กริ ยิ าดนู อบนอ้ ม ทา่ ทใี นการพดู กด็ จู รงิ จงั เกนิ วสิ ยั เดก็ จงึ ขยับเข้าไปใกล้แล้วเรียนถามพระสารีบุตรว่า “พระคุณเจ้า ลูกน้อยของฉันพูดอะไรกับท่านหรือเจ้าค่ะ” ที่พระนางถามไปอย่างน้ันก็เพราะว่า ตั้งแต่สีวลีพูดได้ยังไม่ เห็นคุยกับพระสักที มาวันนี้ พอพระสารีบุตรทักทาย โอรสก็แสดง อาการว่าจะพูดได้ฉะฉานรู้การรู้งานดี พระเถระย่ืนมือลูบศีรษะเจ้าชายน้อยไปพลางแล้วว่า สีวลีเล่า ถึงการท่ีตนเองได้รับความทุกข์จากการต้องนอนอยู่ในท้องเป็นเวลา นานกว่าเจ็ดปี ทําให้โอรสน้อยได้คิดว่า การเกิดมันเป็นทุกข์อย่างนี้ และก็จะมีทุกข์ต่อไปไม่ส้ินสุด อาตมาจึงถามว่า จะบวชไหม เธอก็ บอกว่า ถ้าพระมารดาอนุญาต พระพุทธเจ้าเห็นสมควร ก็จะบวช สดับแล้ว สีหน้าของพระมารดาก็เอิบอ่ิมขึ้นมาทันใด เรียน พระสารีบุตรไปว่า “ท่านโปรดอนุเคราะห์ลูกน้อยของฉันเถิดเจ้าค่ะ”

ขอ้ นเ้ี หมอื นเปน็ ความมงุ่ หมายของพระเทวอี ยแู่ ลว้ รกั ลกู นนั้ ก็ รกั แตร่ กั ของอรยิ บคุ คล* ไมไ่ ดร้ กั อยา่ งจะหว่ งไวก้ บั ตน อะไรกต็ าม ที่จะทําให้บุคคลอันเป็นที่รักมีความสุข ผู้เป็นแม่ย่อมปลาบปลื้มยินดี และยินยอม พระนางจึงอนุญาตไปโดยไม่ต้องช่ังใจเลย คร้ันแล้วก็ดึงโอรสยอดดวงใจเข้ามาสวมกอดแล้วส่ังเสียว่า “แม่ดีใจเหลือเกินที่ลูกมองเห็นทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิด เจ้าบวชแล้วขอให้ตั้งใจอยู่โอวาทของพระอุปัชฌาย์นะลูก” สมัยนั้นไม่มีพิธีรีตองอะไร ผู้เป็นแม่บอกเท่าน้ี พระสารีบุตร ก็จูงเจ้าชายสีวลีกลับวิหารได้แล้ว ฝ่ายพระพุทธองค์ ก่อนเสด็จกลับก็ตรัสถามสุปปวาสาเทวีว่า “เธอได้รับความลําบากจากการตั้งครรภ์ถึงเพียงนี้ สีวลีก็จะ บวชในศาสนาของเราแล้ว เธอคาดหมายเรื่องพระโอรสองค์ต่อไป อย่างไรหรือ” พระนางสุปปวาสาพักตร์แดงระเรื่อเล็กน้อย กราบทูลว่า “หม่อมฉันคิดว่าอยากจะได้อีกสักเจ็ดคนเพคะ” * พระนางสุปปวาสา บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลประเภทท่ี ๑ โสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสธรรม (นิพพาน) ซ่ึงเป็นการยกระดับจิตอย่างถาวร มี ภาวะเหนือปุถุชน ผู้บรรลุโสดาบันมีคุณสมบัติคือ ๑. เข้าใจความจริงแท้ว่าไม่มีตัวเราตัว เขา ไม่ยึดถือในตัวเราตัวเขาอีกต่อไป (สักกายทิฏฐิ) ๒. หมดความลังเลสงสัยว่าอะไรดีอะไร ชั่ว อะไรถูกอะไรผิด อะไรจริงอะไรไม่จริง (วิจิกิจฉา) ๓. มองเห็นความสําคัญย่ิงยวดของ การรักษาศีลและข้อวัตรต่าง ๆ สํารวมระวังในศีลจนเป็นชีวิตปกติเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ไม่ใช่ การถือปฏิบัติตาม ๆ กันมาว่าครูบาอาจารย์พาปฏิบัติอย่างน้ี ก็ต้องปฏิบัติตามน้ัน (สีลพต ปรามาส) (บุคคลเหล่านี้จึงมีท่าทีที่อ่อนโยนสุขุมกริยาวาจาไม่คุกคามส่อเสียดกระทบกระท่ัง ใคร ๆ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเย็นใจเมื่อเข้าใกล้)

สน้ิ กระแสกราบทลู พระพทุ ธองคก์ บ็ งั เกดิ โอภาสธรรมขน้ึ จงึ เปล่งพุทธอุทานว่า “ส่ิงอันไม่พึงประสงค์ มักอําพรางผู้คนด้วยรูปมายาท่ีน่าดูชม สิ่งอันไม่น่ารัก ก็อาศัยมายาท่ีน่ารักอําพรางคนไว้ ความทุกข์น้ันก็ ล่อหลอกคนให้เข้าใจผิดด้วยท่าทีว่าเป็นความสุข” ครั้นแล้วก็บ่ายพักตร์สู่วิหาร ด้านพระสารีบุตรผู้ได้ช่ือว่าเป็นพระธรรมเสนาบดี พาสีวลีมา ถึงวิหารแล้ว ก็สอนกรรมฐานเบ้ืองต้นให้ว่า “สีวลี บัดนี้เธอกําลังจะเข้าสู่ร่มกาสาวะ (ผ้าเหลือง) แล้ว เกียรติหรือยศศักด์ิใด ๆ ท่ีเคยมีมา เมื่อบวชแล้วส่ิงเหล่าน้ันก็ไม่มี ความหมายอกี ตอ้ งทงิ้ ไวห้ นา้ ประตวู หิ ารนนั่ เอง เพราะเปน็ เพยี งสงิ่ ที่ ชาวโลกเขาสมมติข้ึนมายกย่องกันเท่าน้ัน คนจะสูงตํ่า มีความแตก ต่างกันอย่างไร ไม่ได้อยู่ท่ีใครเป็นอะไร แต่อยู่ท่ีคุณธรรมในใจและ ความประพฤติท่ีมีศีลกํากับของคนผู้นั้น “สีวลีเอ๋ย เธอตั้งใจฟังให้ดี ร่างกายของเธอที่เป็นอยู่ขณะน้ี รวมตัวกันขึ้นจากธาตุทั้งสี่ คือ ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่มีอะไรจะดํารงอยู่ ย่ังยืน มีแต่จะเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ เปล่ียนไปจนกระท่ังดํารงอยู่ ในสถานะเดิมได้ ต้องแตกสลายไป น่ันคือตาย ทุกส่ิงทุกอย่างเป็น เชน่ เดยี วกนั นสี้ วี ลี นเ่ี องคอื ทกุ ขท์ สี่ รรพสตั วต์ อ้ งแบกไวเ้ ปน็ เรอื นตาย ไมม่ อี ะไรเลยจะเปน็ ของเราจรงิ ไมม่ อี ะไรทเี่ ราจะบงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปตาม ต้องการ ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยของมัน

“พิจารณาดูร่างกายของเธอเถิดสีวลี เราจะช้ีทางขั้นต้นให้ห้า อย่าง…เธอจงพิจารณาดู ผม ขน เล็บ ฟันและหนังของเธอให้ละเอียด ทั้งหมดน้ีเป็นไปอย่างท่ีเราบอกหรือไม่ จากนั้นจงพิจารณาถึงความ ทุกข์ที่เธอต้องนอนอยู่ในท้องถึงเจ็ดปีน้ันประกอบกันเถิด” โอวาทจบก็โกนผมให้สีวลี คร้ันแล้ว พร้อมกับปอยผม สุดท้ายท่ีหลุดออกจากศีรษะนั่นเอง สีวลีก็รู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ (สัจธรรมอันสูงสุดยอดเยี่ยม) บรรลุเป็นพระอรหันต์ กล่าวกันว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมา คณะสงฆ์หมู่ใดมีสามเณร สีวลีร่วมคณะ สงฆ์หมู่นั้นก็จะเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยปัจจัยสี่ คือ จีวร* บิณฑบาต กุฏิที่พักและเภสัช** ชื่อเสียงในด้านอํานวยลาภก็ระบือฮือฮากันไปทั้งเหนือท้ังใต้ บุญญาธิการน้ี ไม่ได้ให้ผลต่อตัวท่านเท่านั้น ยังแผ่ไพศาลไปสู่คน ทั่วไปท่ีท่านเข้าไปเก่ียวข้องด้วยเป็นท่ีอัศจรรย์*** เมืองใดก็ตามท่ีเกิดข้าวยากหมากแพง ขอเพียงท่านย่างเท้า เข้าเขตเมืองเท่าน้ัน ฟ้าก็เทฝนลงมาห่าใหญ่ เรือกสวนไร่นาก็เข้าสู่ ความอุดมสมบูรณ์ การค้าการขายของชาวบ้านเมืองน้ันก็ม่ังคั่งข้ึน มาทันตาเห็น * บริขารที่เป็นผ้านุ่งผ้าห่มของพระ เรียกรวมว่า จีวร ** เภสัช มี ๕ อย่างคือ เนยใส เนยข้น น้ํามัน นํ้าผึ้งและนํ้าอ้อย *** บุญญาธิการ แปลว่า ผู้มีบุญที่ทําไปมากในอดีต ซึ่งอดีตน้ันไม่ได้หมายความว่าชาติ ก่อน แต่ยังหมายถึงเวลาที่ผ่านไปของชาติปัจจุบันด้วย

คร้ังแรก ออกไปจากวัดเชตวันได้ไม่ไกล เทวดา ประจําต้นไทรก็ออกมารับรอง และถวายทานแด่สามเณร พร้อมกับภิกษุทั้งหมดเป็นเวลาเจ็ดวัน ครั้งที่สอง พาภิกษุห้าร้อยรูปธุดงค์ไปยังภูเขาปัณฑพ พอถึง พวกเทวดาที่สถิต ณ ท่ีน่ัน ก็พากันออกมาถวายทานและอุปัฏฐาก พระกันตลอดเจ็ดวัน ครั้งที่สาม ไปที่ฝั่งแม่น้ําอจิรวดี ครั้งที่สี่ นั่งเรือออกทะเลสาป (วรสาคร)**** คร้ังที่ห้า ไปยังภูเขาหิมะอันหนาวเย็นยะเยือก (ภูเขาหิมาลัย) **** วรสาครํ บางท่านแปลทับศัพท์ว่า แม่น้ําวรสาคร แต่คัมภีร์มโนรถปูรณี ฉบับภาษา ไทย แปลว่า ทะเล

ครั้งที่หก เข้าไปในป่าฉัททันต์อันเป็นป่าดงดิบ ทุกท่ีท่ีสามเณรสีวลีพาภิกษุธุดงค์เข้าไป พอเทวดาประจําที่ แห่งนั้นเห็น ก็เกิดความรักและศรัทธา รีบพากันจําแลงกายออก มาเนรมิตกุฏิวิหารและอาราธนาให้เข้าพัก แล้วถวายทานกันตลอด เจ็ดวัน ครั้งที่เจ็ด พาภิกษุธุดงค์ไปยังภูเขาคันธมาทน์ ภูเขาแห่งนี้มี นาคราชตนหนึ่งอาศัยอยู่ พอเห็นสามเณรสีวลีมาถึงก็เกิดความรัก ใคร่ แปลงกายเป็นมนุษย์ออกมาถวายทานอีกเจ็ดวันเช่นกัน ภิกษุรูปไหนกลุ่มใดท่ีไม่เชื่อว่าสามเณรน้อยจะมีลาภเหลือ เช่ือเช่นน้ีจริง พอได้ติดตามไปเห็นกับตาก็สยบราบคาบหมดความ กระด้างใจ เป็นเร่ืองน่าคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า การได้ลาภของท่านน้ันจะเป็น เทวดามาชว่ ยเหลอื ทง้ั สน้ิ นน่ั เพราะทา่ นตอ้ งการทําใหเ้ หน็ วา่ แมแ้ ต่ ในที่ที่คิดว่าไม่น่าจะได้ลาภ ก็ยังมีผู้ให้ลาภได้ ท้ังนี้ก็ด้วยบุญที่ท่าน สร้างมาไปดลจิตดลใจพวกเทวดาให้เกิดความรักใคร่ศรัทธา แล้วพา กันน้อมนําปัจจัยสี่มาถวาย หรือมาอํานวยอวยชัยให้ หากเป็นคน ไม่ว่าจะตระหนี่สักปานใด พอเห็นหน้าท่านก็ลืม ความตงั้ ใจเดมิ หมดสน้ิ เกดิ ความรกั ความศรทั ธา อปุ ถมั ภบ์ าํ รงุ ทา่ น อย่างเต็มความสามารถ เรื่องทํานองนี้ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะพระสีวลี ยังมีสามเณรติสสะ ผู้ชอบอยู่ป่า (วนวาสีติสสะ) อีกรูปหน่ึง

สามเณรรูปน้ี ไม่ว่าท่านต้องการผ้ามากสักแค่ไหน ก็จะมีคน เอามาถวายให้ มีเร่ืองเล่าว่า ปีหนึ่งอากาศหนาวเย็นมาก สามเณรเห็นว่า พระภิกษุประมาณห้าร้อยรูปในวัดไม่มีผ้าห่ม จึงเข้าไปขอบริจาคกับ พวกพ่อค้าแม่ค้าผ้าในตลาด มีพ่อค้าขี้เหนียวคนหนึ่งพอรู้ว่าสามเณรเข้ามาขอบริจาคผ้าก็ ซ่อนผ้าเอาไว้ ทําเป็นว่าร้านตนเองไม่มีผ้า แต่คร้ันสามเณรเดินมา ถึง พอพ่อค้าเห็นหน้าเท่านั้นก็เกิดความรักความเอ็นดูชนิดหมดหัว จิตหัวใจ รีบเลือกผ้าผืนท่ีดีท่ีสุดเข้าไปน้อมถวายสามเณร ขอ้ นกี้ เ็ ปน็ เพราะอานภุ าพของบญุ ทานทสี่ ามเณรเคยทาํ มา แต่ อานุภาพของสามเณรติสสะจํากัดอยู่เฉพาะผ้าเท่าน้ัน อย่างอื่นก็ไม่มี ผล รวมท้ังจะได้ลาภกับหมู่มนุษย์และให้ผลเฉพาะตัวท่านเท่านั้น สว่ นสามเณรสีวลีมอี านุภาพไม่จาํ กัดเรือ่ ง กาล บุคคล สิ่งของหรอื สถานท่ี E เวลาผ่านไปจนท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ วันหน่ึงพระสารี- บุตรได้ข่าวว่าน้องชายคนสุดท้องของท่านชื่อว่าเรวัตร อายุเจ็ดขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ขณะนี้ปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรมอยู่ดงไม้ ตะเคียนกลางป่า ก็กราบทูลขอพุทธานุญาตว่า จะไปเย่ียมสามเณร เรวัตรสักหน่อย แต่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ให้รอก่อน ครั้งที่สองก็ตรัส เช่นเดิม คร้ันออกพรรษาแล้วท่านเข้าไปขออนุญาตเป็นรอบท่ีสาม

พระองค์จึงได้ตรัสว่า เราพร้อมกับภิกษุห้าร้อยรูปก็จะไปเยี่ยมเรวัตร เช่นกัน พรุ่งนี้เดินทางกันเลย เหตุท่ีทรงยับยั้งพระสารีบุตรไว้ก็เพราะว่า ทรงรอให้สามเณร เรวัตรบรรลุอรหันต์ก่อน การไปครั้งน้ีถึงจะได้ประโยชน์สองต่อ ต่อหนึ่งเป็นประโยชน์จากพระสีวลี ต่อท่ีสองเป็นประโยชน์ จากสามเณรเรวัตร เพราะสามเณรรูปน้ีอายุแค่เจ็ดขวบ แต่พอ บรรลุอรหันต์ก็มีฤทธ์ิมาก (ได้อภิญญา*) พุทธบริษัทที่เครงใจคิดว่า สามเณรยังเด็ก พอเห็นความสามารถเกินเด็กของสามเณรจะได้พา กันละทิฏฐิ เกิดอุตสาหะในการปฏิบัติธรรม เช้าวันรุ่งขึ้น พอฉันเช้าเสร็จ พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พร้อมกับพระสงฆ์อีกห้าร้อยรูป ก็แบกกรดสะพายบาตรออกจากวัด เชตวัน กรุงสาวัตถี** การเดินทางของพระพุทธเจ้านั้น จะเดินเท้าเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าพระองค์และพระสาวกจํานวนมากจะมีฤทธิ์อันเกิดจากการ บําเพ็ญสมถกรรมฐาน แต่ถ้าไม่ถึงกับต้องเร่งด่วนหรือเพ่ือทําลาย * อภิญญา แปลว่า ความรู้ที่ย่ิงยวดหรือทักษะขั้นสูง หมายถึงปัญญาความรู้ท่ีสูงเหนือกว่า ปกติ เป็นความรู้พิเศษท่ีเกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบําเพ็ญกรรมฐาน ภิญญา มี ๖ ประเภทคือ ๑. แสดงฤทธ์ิได้ ๒. มีหูทิพย์ ๓. กําหนดรู้ใจผู้อ่ืนได้ ๔. ระลึกชาติได้ ๕. มีตาทิพย์ ๕ ประเภทนี้ ระดับปุถุชนก็สามารถบําเพ็ญให้เกิดได้ ส่วนประเภทท่ี ๖ คือ ขจัด อาสวะกองกิเลสให้ส้ินไป ก็คือสําเร็จเป็นอรหันต์นั่นเอง อภิญญาน้ีจะไม่เกิดทั้งหมดในคนคน หน่ึงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเคยสั่งสมอบรมมาในอดีตชาติมากน้อยเพียงใด พระพุทธเจ้านั้น เม่ือ ครั้งยังบําเพ็ญบารมีก็เคยเป็นฤษีชีไพรมีอิทธิฤทธิ์มาหลายชาติ ครั้นมาชาติน้ี พอได้แนวทาง จากอุทกดาบสและอาลาฬดาบส ก็ทรงสําเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ก่อนตรัสรู้ถึง ๕ ปี ** กรุงสาวัตถี ปัจจุบันคือเมืองสราวัตตี (Sravatti) ซ่ึงออกเสียงตามภาษาฮินดี

ทิฏฐิของใครแล้ว ไม่ว่าทางนั้นจะไกลสักเพียงใดก็จะทรงเดินด้วย พระบาทปกติ อาจจะใชเ้ วลาบา้ ง แตช่ าวบา้ นตามเสน้ ทางทที่ รงผา่ น พอเห็นพระเห็นเจ้าก็จะได้ทําบุญฟังธรรมกันท่ัวหน้า เป็นการเอื้อ ประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ด้วย ส่วนการใช้ฤทธิ์หมู่ในลักษณะเหาะกันไปเป็นร้อย ๆ รูป หรือ ย่นระยะทางชนิดก้าวเดียวถึง จะทําก็ต่อเมื่อถึงคราวจําเป็นดังท่ีว่า ภิกษุท่ีพาไปด้วยก็ต้องเลือกท่านท่ีสําเร็จอภิญญาเท่าน้ัน เพราะ บางรูปไม่ได้สั่งสมอบรมทางด้านอภิญญาสมาบัติมาก่อน คือบรรลุ อรหันต์แบบหมดกิเลสเพียว ๆ เช่น พระจักขุบาล ท่านก็ไปด้วยวิธี พิเศษนั้นไม่ได้ ไปมาอย่างเร่งด่วนนี้ มีครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้ารับนิมนต์อนาถ ปิณฑิกเศรษฐีไว้ แต่เช้าน้ันถึงคราวที่พระพุทธองค์ต้องพาพระสาวก ไปปราบพยศนนั โทปนนั ทนาคราชทภี่ เู ขาสเิ นรเุ สยี กอ่ น แลว้ คอ่ ยกลบั มาให้ทันฉันเช้าบ้านเศรษฐี คราวนั้นก็ต้องใช้วิถีเหาะกันไปทั้งขบวน จงใจข้ามหัวนาคราชกันเห็น ๆ เล่นเอาพญางูเจ้าถิ่นโกรธจนลมออก หู แผ่พังพานออกไปขวางทางไว้ คราวนั้นได้พระโมคคัลลานะอาสา ลยุ เดย่ี วกบั นาคราช ขนาดนนั้ กวา่ ทา่ นจะกาํ ราบพญานาคอยหู่ มดั ก็ เล่นเอาตะวันโด่งเลยเวลาฉันเช้าไปพอสมควร E กลับมาที่การเดินทางไปเยี่ยมสามเณรเรวัตร… ตกบ่ายกองทัพธรรมก็บรรลุถึงชายป่า ทางที่ทอดไปข้างหน้า

เป็นสองแพร่ง พระอานนท์ พระอุปัฏฐากประจําพระองค์มองทางข้าง หน้าแล้วกราบทูลให้ทรงทราบว่า หนทางต่อไปแยกออกเป็นสองสาย พระองค์จะเลือกสายไหน พระพุทธองค์ถามคืนว่า แล้วสองสายน้ันแตกต่างกันอย่างไร ถามไปทั้งท่ีทรงทราบกระจ่างว่าอะไรเป็นอะไร เพราะพระ- พุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญ ู คือ ถ้าอยากจะรู้อะไรก็สามารถกําหนด รู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนลายเส้นบนฝ่ามือโดยไม่ต้องไปถาม ใครอยู่แล้ว แต่ท่ียังถามก็เพราะต้องการให้พระที่เป็นปุถุชนได้รู้เห็น ความเคล่ือนไหว และการตัดสินใจอย่างใดอย่างหน่ึงของพระองค์ เป็นประการแรก ประการทส่ี อง พระพทุ ธเจา้ เปน็ นกั บรหิ ารชนั้ ยอดผหู้ นงึ่ ทรง ให้ความสําคัญกับการเปิดทางให้ผู้อื่นได้แสดงบทบาทแสดงความ สามารถของแตล่ ะคนอยา่ งเตม็ ที่ ไมเ่ ชน่ นน้ั ถา้ อะไรพระองคก์ ท็ าํ เปน็ รไู้ ปเสยี ทกุ เรอ่ื ง พระสาวกรปู อนื่ ๆ กห็ มดโอกาสจะไดแ้ สดงศกั ยภาพ ผลเสียหน่ึงก็จะเกิดกับพระองค์ ค่าที่พระพุทธเจ้าทําตัวเด่นอยู่ผู้เดียว ใครอยู่ด้วยก็ตํ่าต้อยด้วยค่า ไม่มีส่วนร่วมอะไรนอกจากรับฟัง เดิน ตาม ว่าตามและทําตาม พลอยให้เกิดข้อครหาว่า บริหารคนไม่เป็น ข้อน้ีก็เป็นตัวอย่างของนักบริหารได้ดีทีเดียว คร้ังนั้นพระอานนท์กราบทูลว่า ทางสองสายนั้น สายหน่ึง ไกล ๓๐ โยชน์ (๔๘๐ กิโลเมตร) ทางนี้ตัดตรงถือว่าใกล้ที่สุด แต่เป็นทางทุรกันดารไม่มีผู้คนอยู่อาศัย พร้อมกับทูลอย่างเป็น

กังวล*ว่า หากยึดเส้นทางน้ีข้าพระองค์เกรงว่าหมู่สงฆ์จะลําบาก เรื่องบิณฑบาต ส่วนอีกทางหน่ึงเป็นทางอ้อม ถึงจะไกล ๖๐ โยชน์ (๙๖๐ กิโลเมตร) แต่ตลอดเส้นทางมีหมู่บ้านอยู่เป็นระยะ ภิกษุ สงฆ์ที่มาก็จะไม่รับความลําบากเร่ืองการอยู่การฉัน สดับแล้วทรงตรัสถามต่อไปว่า สีวลีมากับพวกเราด้วยไหม… ได้คําตอบจากพระอานนท์ว่า มาด้วย ก็ให้เรียกพระสีวลีเข้า มาเฝ้า ท่านพอทราบเร่ืองก็เข้าใจพระประสงค์ของพระพุทธองค์โดย ตลอด กราบทูลว่า ข้าพระองค์จะรับรองพระภิกษุสงฆ์เอง เมื่อนั้นพระจอมมุนีจึงมีรับส่ังต่อพระอานนท์ว่า “อานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ภิกษุทั้งหมดยึดเส้นทางแรกเถิด เราจะได้เห็นอานุภาพบุญของสีวลี” ระยะทาง ๔๘๐ กิโลเมตร หากเป็นทางราบปกติอย่างน้อย ก็ต้องใช้เวลาร่วมเดือน แต่ทางเส้นน้ีลําบากกว่าหลายเท่า บ้างเป็น ป่าทึบ บ้างเป็นทุ่งโล่ง มีอันตรายรอบด้าน ช่วงนั้นก็เป็นหน้าหนาว กลางวันร้อนเหมือนอยู่ในเตาเผา กลางคืนหนาวขนาดนํ้าค้างแข็ง กวา่ จะดัน้ ดน้ ไปถึงอยา่ งน้อยก็ตอ้ งเดอื นกวา่ ไมก่ ส็ องเดอื นทเี ดียว แต่ เมื่อพระพุทธเจ้าเลือกทางเส้นนี้และพระสีวลีรับรองให้ พระสงฆ์ก็มุ่ง หน้าไปตามน้ัน * พระอานนท์ เป็นเจ้าชายศายวงศ์ ประสูติวันเดือนปีเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะและเป็นลูกพี่ลูก น้องกัน เป็นคนที่ทําอะไรรอบคอบรัดกุม มีความรอบรู้และความจําเป็นเลิศ ท่านรับหน้าท่ี เป็นพุทธอุปัฏฐากช่วงพระพุทธเจ้ามีชนม์ได้ ๕๕ พรรษา ขณะเดียวกัน พระอานนท์ ก็บรรลุธรรมเพียงข้ันโสดาบัน ยังไม่ส้ินกิเลส จึงมีความกังวล อยู่ ท่านบรรลุอรหันต์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน

วันแรกก็เห็นผล… ตกเย็นปรากฏคนกลุ่มหน่ึง แต่งกายงดงามผิวพรรณผุดผ่อง มายืนดักรออยู่ แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระภิกษุทั้งหมดเข้าสู่ กฏุ ชิ ว่ั คราวทสี่ รา้ งไวก้ อ่ นแลว้ เชา้ กม็ าถวายบณิ ฑบาต พอฉนั เขา้ ไป ก็มีกําลังวังชากระปรี้กระเปร่า เดินเหินทั้งวันก็ไม่รู้เหน็ดเหน่ือย ใน คมั ภรี ม์ โนรสปรู ณบี อกวา่ ทกุ ๆ ๑ โยชน์ (๑๖ กโิ ลเมตร) จะมที พี่ กั ไว้รับรองและมีกลุ่มคนลักษณะดังกล่าวคอยให้การอุปัฏฐากพระภิกษุ สงฆ์ตลอดเส้นทาง การเดินทางด้วยเท้าก็ได้รับความสะดวกอย่างดี เยย่ี ม เพราะทางไหนรกกม็ คี นถาง ทางไหนขรขุ ระกม็ คี นปรบั ไวก้ อ่ น กองทพั ธรรมอนั มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประธาน ไมไ่ ดร้ บั ความลาํ บากจาก การเดินทางแม้แต่น้อยนิด เดินได้วันละโยชน์ ใช้เวลาเพียงเดือน เดียวก็บรรลุถึงกลางป่าไม้ตะเคียนที่สามเณรเรวัตรอาศัยอยู่ จากน้ันยังทรงใช้เวลาพํานักอยู่ยังป่าไม้ตะเคียนอีกหน่ึงเดือน ภิกษุจํานวน ๕๐๐ รูป อาศัยอยู่กลางป่า ถึงจะมีชาวบ้านด้ันด้น มาถวายบิณฑบาต ก็คงไม่มีกําลังพอจะเลี้ยงได้หมดไปจนจดเดือน ก็ได้อาศัยบุญลาภของพระสีวลีนั่นเอง ควรทราบว่า พวกเทวดาจะได้ทําบุญกับพระน้ันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขาก็ได้เสวยสุขจากบุญของตนเองอยู่แล้ว พระท่านจึงไม่ เปิดโอกาสให้มาแย่งมนุษย์ซึ่งมีทุกข์มากกว่าสุข พวกเทวดาจะได้ ทําบุญทําทานบ้างก็เฉพาะโอกาสอย่างนี้เท่านั้น เช้ามาพวกเทวดาอารักษ์ตลอดทั้งป่าต่างกระวีกระวาดกันมา

ถวายบิณฑบาต ภายนอกนั้นก็ดูเป็นคนธรรมดา ผิดก็ตรงท่ีมีแต่ คนหนุ่มคนสาวผิวพรรณผุดผ่อง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเน้ือละเอียด สวยงามไร้รอยเย็บตะเข็บเชื่อม พระท่ีบรรลุอรหัตผลพร้อมท้ังได้อภิญญา ก็ทราบด้วยญาณ วิเศษว่า ผู้คนเหล่านั้นเป็นเทวดา พวกเขามาเพราะความศรัทธา ต่อพระสีวลี ส่วนพระท่ีเป็นปุถุชนพอได้รู้ความจริงจากพระอรหันต์ ก็พา กันอัศจรรย์ใจในบุญของพระสีวลี หมดความสงสัยในตัวท่าน และ ม่ันใจเต็มเปี่ยมว่าทํากรรมดี ดีก็ส่งให้เห็นผล (ทําช่ัว ช่ัวก็ดลช่ัวให้) E เท่าน้ันยังไม่พอสําหรับยืนยันความเป็นไปได้ ขากลับก็ยังต้อง ใช้เส้นทางเดิม หนึ่งเดือนให้หลัง เหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกับขามา ทุกโยชน์หรือ ๑๖ กิโลเมตร จะมีที่พักรับรอง เช้ามาก็มีคนหอบ สํารับกับข้าวมาถวายบิณฑบาต ครั้นถึงกรุงสาวัตถี พระพุทธองค์ก็ บ่ายพักตร์สู่วัดบุพพารามที่นางวิสาขาสร้างถวาย รวมเป็นเวลาสาม เดือนพอดี น่ีเอง เป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้ารวมทั้งพระสารีบุตร ภิกษุเกือบท้ังหมดที่พามาในคร้ังนี้ยังเป็นปุถุชน ตอนเป็นฆราวาสก็ มีการศึกษาสูงกันท้ังส้ิน ย่อมมีทิฏฐิเป็นธรรมดา จะเช่ืออะไรไม่ใช่ เร่ืองง่าย บ้างก็ปรามาสว่า คนเราจะมีลาภอะไรได้ขนาดนั้น ไม่ก็ คิดไปว่า พระสีวลีเป็นลูกเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ พวกญาติรู้ข่าวก็พากัน

มาคอยประคบประหงมดูแลเสียมากกว่า เข้าใจว่า เป็นกลุ่มสุดท้ายท่ียังไม่ยอมรับพระสีวลี เป็นภาระ ของพระพทุ ธเจ้าและอุปัชฌาย์คอื พระสารีบุตร จะตอ้ งทําให้ภิกษุสงฆ์ ทั้งหมดยอมรับโดยสนิทใจท่ีสุด สามเดือนมาน้ี พระภิกษุท้ังหมดเห็นเหตุการณ์ท่ีไม่น่าเป็นไป ไดก้ ลางปา่ กลางเขา ตอ่ ใหม้ ที ฏิ ฐกิ ลา้ แขง็ สกั ปานใดกต็ อ้ งทลายลงจน ราบคาบ พระประสงค์ของพระพุทธเจ้าที่จะให้ทุกรูปยอมรับพระสีวลี ก็ประสบความสําเร็จอย่างหมดจด สร้างการยอมรับพระสีวลีเพ่ืออะไร ? ข้อนี้ย่อมมีคําตอบ แน่นอน E กลับถึงกรุงสาวัตถีแล้ว หลายวันต่อมา ณ บุพพาราม ท่ามกลางท่ีประชุมสงฆ์ พระพุทธเจ้าเห็นว่าถึงเวลาท่ีจะยกย่องภิกษุ หนุ่มรูปน้ีไว้ในตําแหน่งเอตทัคคะ เป็นมหาสาวกผู้เป็นกําลังสําคัญ ของพระศาสนาเสียที จึงมีพุทธดํารัสว่า “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บดั นเี้ ราขอยกยอ่ งสวี ลวี า่ เปน็ สาวกผมู้ คี วาม สมบูรณ์ด้วยลาภ” E การท่ีพระพุทธเจ้าจะตั้งเอตทัคคะ คือเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือ เป็นเลิศในด้านน้ัน ๆ เพ่ือเป็นกําลังหลักในการสืบสานพระศาสนาน้ัน กับบางท่านก็ยกย่องหรือต้ังได้เลยเพราะเป็นท่ีรู้จักยอมรับกันท่ัวไปอยู่

แล้ว แต่กับบางท่านจะต้องพิสูจน์ให้พุทธบริษัทประจักษ์จนสิ้นความ เคลือบแคลงเสียก่อนว่าท่านเป็นยอดในด้านน้ันจริง ๆ จึงค่อยตั้ง รัดกุมถึงขั้นนี้แล้วก็ยังมีภิกษุปุถุชนบางพวก ต้ังข้อสงสัยไม่ ยอมรบั อยบู่ อ่ ยครงั้ ยกตวั อยา่ ง พระสารบี ตุ ร อคั รสาวกฝา่ ยขวาหรอื มอื ขวาของพระพทุ ธเจา้ เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาเฉยี บคมรอบรกู้ วา้ งขวาง แต่ ด้วยความที่ท่านเป็นคนง่าย ๆ ปล่อยตัวตามสบาย มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่ถือตัวแม้แต่น้อย จึงมีคนมองการแสดงออกบางอย่าง ของท่านว่าไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ แล้วก็จับผิดคิดกันว่าท่านยัง เป็นปุถุชน พาลกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่ายกย่องคนเพราะเห็นแก่หน้า คา่ ทท่ี า่ นเคยเปน็ ศษิ ยเ์ อกของอาจารยส์ ญั ชยั เจา้ สาํ นกั ปรชั ญาทม่ี ชี อ่ื เสียงในขณะนั้น พระพุทธเจ้าต้องทรงเข้าไปปลดเปลื้องความกังขา ของภิกษุเหล่านั้นเป็นคร้ัง ๆ ไป มีข้อท่ีควรทราบคือ ตําแหน่งเอตทัคคะมีทั้งฝ่ายภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และสามเณร การตั้งหรือยกย่องนั้นพระพุทธองค์ ไม่ทรงถือเอาอายุพรรษาเป็นสําคัญ ทรงมีหลักพิจารณา ๔ ประการ คือ ยกย่องตามเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ท่านเข้าไปเก่ียวข้อง (อัตถุป ปัตติโต) เช่น พระราธะ เลิศในทางเป็น (พระแก่) ผู้ว่าง่ายสอนง่าย ยกยอ่ งตามทเี่ คยสง่ั สมบญุ แลว้ ตง้ั ความปรารถนาเอาไวใ้ นอดตี (อาคมันโต) เช่น พระสีวลี เลิศในการเป็นผู้มีลาภมาก ยกย่องตามความเช่ียวชาญเฉพาะหรือมีอัตลักษณ์โดดเด่น

(จิณณวสิโต) เช่น พระอุบาลี เชี่ยวชาญด้านพระวินัย พระมหา กัสสปะ โดดเด่นด้านถือธุดงค์ ยกย่องตามความสามารถที่โดดเด่น (คุณาติเรกโต) เช่น พระสารีบุตร มีปัญญามาก พระมหาโมคคัลลานะ มีฤทธิ์มาก ข้อน้ีเป็นหลักการบริหารคนอีกอย่างหน่ึง คือต้องใช้คนให้ เป็นและใช้ให้ถูกทาง คนแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน ผู้บริหาร ต้องให้เขามีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองให้ปรากฏ และหาที่ อันเหมาะสมให้เขายืน เม่ือผู้บริหารมองเห็นและเข้าใจความเป็นเขา เขากย็ อ่ มศรทั ธาในตวั ผบู้ รหิ ารและรบั ผดิ ชอบหนา้ ทนี่ นั้ อยา่ งเตม็ ความ สามารถ องค์กรก็จะเข้มแข็งก้าวหน้า E ย้อนกลับไปวันที่พระพุทธเจ้าพาพระภิกษุไปถึงป่าไม้ตะเคียน สักเล็กน้อย ด้านสามเณรเรวัตรก็ไม่ธรรมดา พอทราบว่าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยหมู่สงฆ์เสด็จมาถึงแล้ว ก็เนรมิตป่าไม้ตะเคียนท้ังหมดให้ กลายเป็นกุฏิวิหารอย่างใหญ่โตมโหฬารไว้ต้อนรับ มีภิกษุอยู่สองรูป พอเห็นอารามอันเรียงรายไปด้วยกุฏิวิหาร ก็นินทากันว่า ดูสิ สามเณรเรวัตร บวชเข้ามาแล้ว วัน ๆ คง เอาแต่ทําการก่อสร้างกุฏิวิหาร ไม่รู้จักศึกษาข้อวัตรปฏิบัติธรรม ท่ี พระพุทธเจ้าพาเรามาเย่ียมก็เพราะเห็นแก่หน้า ค่าท่ีเป็นน้องชายพระ สารีบุตรผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีเท่านั้นกระมัง

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระคัณฑกุฎี ทรงได้ยินคําพูดของ พวกเธอด้วยโสตทิพย์ แต่ก็ทรงนิ่งอยู่ ยังไม่ช้ีแจ้งหรือตักเตือนอะไร รอจนวนั กลบั พระองคก์ ก็ าํ หนดจติ ดลใจใหพ้ ระสองรปู นน้ั ลมื ลักจั่นนํ้ากับรองเท้า พอพ้นเขตวิหารมาเล็กน้อยค่อยทรงคลายฤทธ์ิ ภิกษุสองรูปน้ันก็รู้สึกตัวว่าลืมของ รีบกลับเข้าไปเอา พอวกกลับก็เจอดี ตรงที่เคยเป็นกุฏิวิหารใหญ่โตน้ัน บัดนี้มี แต่ต้นไม้ตะเคียนเต็มพรืดไปหมด ทางที่เคยมี ที่ที่เคยผ่านกลายเป็น ป่าไปหมด ไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย ลักจั่นน้ํากับรองเท้าท่ีจําได้ว่า เอาห้อยไว้ตรงเสากุฏิ ตอนน้ีขึ้นไปห้อยต่องแต่งอยู่ท่ีกิ่งไม้ตะเคียน โน่น กว่าจะปีนไปเอาลงมาได้ เล่นเอาทุลักทุเล เลยไดส้ าํ นกึ วา่ โอโฮ เรอ่ื งทเ่ี ราเขา้ ใจไปนนั้ มนั ผดิ หมด กฏุ ิ วิหารที่เราพักน่ัน แท้จริงเป็นส่ิงท่ีสามเณรเรวัตรเนรมิตข้ึนด้วยฤทธ์ิ อภิญญาเท่าน้ัน บางคําครหานินทา จะสะสางด้วยการชี้แจงแสดงเหตุผลอย่าง เดียวนั้นไม่เป็นผล อาจะทําให้ลุกลามไปใหญ่ก็เป็นได้ วิธีแก้อย่าง ท่ีพระพุทธเจ้าใช้น้ีไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่ก็ถือว่าเด็ดขาดท่ีสุด

กลางวิหารจะมีอาสนะที่จัดทําอย่างประณีตปูไว้ผืนหน่ึง เป็น ท่ีประทับของพระพุทธองค์ หลังจากเยี่ยมสามเณรเรวัตร พวกภิกษุก็ยกเรื่องพระสีวลี ขึ้นมาถกกันว่า พระสีวลีมีบุญมาก เกิดเป็นชาติสุดท้ายแล้วขนาด น้ี ยังต้องนอนทรมานอยู่ในครรภ์ถึงเจ็ดปี แล้วยังนอนขวางครรภ์ ไม่ยอมคลอดอีกเจ็ดวัน น่าสงสารพระนางสุปปวาสาเหลือเกินท่ีต้อง รับความทุกข์แสนสาหัสเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องทํานองนี้ก็มีด้วย

ถ้าเป็นคนทั่วไปคงตายไปนานแล้ว ไม่ต้องทรมานทรกรรมอยู่อย่างน้ี สองแม่ลูกน้ีทํากรรมอะไรไว้แต่ปางไหนนะ เป็นเวลาเดียวกับท่ีพระพุทธองค์ก็เสด็จข้ึนมาบนโรงธรรม การสนทนาจึงชะงักอยู่แต่เท่านั้น คร้ันพระองค์ประทับบนอาสนะ เรียบร้อยแล้ว ก็ซักว่า เม่ือกี้พวกเธอคุยอะไรกันค้างไว้หรือ รูปหน่ึงในจํานวนนั้นกราบทูลไปตามจริง บัดนั้น พระพุทธองค์ทรงช้ีแจ้งว่า “การที่สีวลีต้องนอนอยู่ในท้องมารดา* ถึงเจ็ดปี ขวางครรภ์ อยู่อีกเจ็ดวัน จึงคลอดออกมาได้ และท่ีพระนางสุปปวาสาต้องรับ ทุกข์ในการประคองครรภ์เจ็ดปี เจ็บปวดทรมานอีกเจ็ดวัน ก็เพราะ ในอดีตท้ังสองแม่ลูกเคยสร้างกรรมร่วมกันมา” เกริ่นอย่างน้ีแล้วก็ทรงประทับนิ่งอยู่ พวกภิกษุก็อาราธนาว่า เร่ืองเป็นยังไงหรือพระเจ้าข้า ขอทรงเล่าต่อไปเถิด เมื่อน้ันค่อยทรงเล่าเท้าความดังนี้ …ชาติแต่หนหลัง พระสีวลีเกิดเป็นโอรสของพระเจ้ากาสีหรือ พระเจ้าพรหมทัต กษัตริย์ผู้ครองนครพาราณส*ี * พระนางสุปปวาสา เกิดเป็นพระมเหสีของพระเจ้ากาสี * พระพุทธเจ้าทรงใช้คําที่แสดงให้เห็นภาพว่า โลหิตกุมภี แปลว่า หม้อท่ีเป็นเลือดเน้ือ ** ในชมพูทวีป มีเมืองหลวงหลายแห่ง แยกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ เวลาผ่านไปนับร้อยนับ พนั ปี กเ็ รมิ่ จะจาํ ชอื่ เจา้ ผคู้ รองนครไมไ่ หว ดงั นนั้ เมอ่ื สน้ิ รชั กาลแลว้ ทา้ วเธอกจ็ ะถกู เรยี กแทน พระนามดว้ ยชอ่ื แควน้ หรอื ชอื่ ตระกลู แทน เชน่ พระเจา้ กาสี คาํ วา่ กาสี เปน็ ชอื่ แควน้ ทมี่ เี มอื ง พาราณสเี ปน็ ราชธาน.ี พรหมทตั แปลวา่ พระพรหมประทานใหเ้ ปน็ ชอ่ื ตระกลู ของเจา้ ผคู้ รอง เมืองพาราณสี ปัจจุบันเมืองน้ียังใช้ช่ือเดิม. แคว้นกาสี เปลี่ยนช่ือเป็นแคว้นอุตตรประเทศ

อยู่มาก็เกิดเหตุวิปโยคข้ึน เม่ือพระเจ้าโกศล เจ้าครองแคว้น ติดกัน ยกทัพมาประชิดเมือง เกิดการรบพุ่งกันเลือดนองแผ่นดิน ฝา่ ยพาราณสเี กดิ เพลยี้ งพลา้ํ ประตเู มอื งถกู ทลายพนิ าศ ทพั ฝา่ ยตรง ข้ามกรูกันเข้ามาในเมือง ครั้งนั้น พระโอรสของเจ้ากาสียังอยู่ในวัยฉกรรจ์ คิดหาญ สู้ศึกชนิดยอมตาย แต่พระมารดาวิงวอนทั้งนํ้าตาไว้ว่า ลูกของแม่ ลกู หนไี ปกอ่ นเถดิ ถา้ มาตายอยตู่ รงนแี้ ลว้ ตอ่ ไปภายหนา้ ใครจะกอบ กู้เอกราชกลับมาคืนมา แผ่นดินของบรรพบุรุษมิต้องตกเป็นเมืองขึ้น เขาในยุคของเราหรอกหรือ บ้านเมืองในภายหน้าฝากไว้กับลูกเพียง คนเดียวเท่านั้น แล้วก็ส่ังให้องครักษ์มือดีจํานวนหนึ่ง คุ้มครองเจ้า ชายหนีออกทางช่องระบายน้ํา ไปหลบภัยอยู่ในป่าลึกชั่วคราว วันต่อมา สายข่าวรายงานว่า พระบิดาถูกกษัตริย์อริราช ปลงพระชนม์แล้ว แคว้นกาสีกลายเป็นเมืองข้ึนของแคว้นโกศล อย่างราบคาบ เจ้าแคว้นโกศลหลังจากยึดพาราณสีเป็นเมืองข้ึน ก็ สถาปนาแม่ทัพผู้หน่ึงข้ึนครองพาราณสี ส่วนพระมารดาก็ต้องทรง กลํ้ากลืนเป็นข้ารับใช้รองบาทของทรราชคนใหม่ ผู้เป็นโอรสฟังแล้วก็ทรงให้คับแค้นพระทัย ร่ําร้องคลุ้มคล่ังไป ช่ัวขณะ พอเรียกสติกลับคืนได้ ก็เร่งรวบรวมไพร่พล มีทั้งทหารท่ี หลบหนีออกมาเข้าด้วย ปลุกระดมชนผ่าชาวบ้านวัยฉกรรจ์และโจร ป่าผู้มีเลือดรักชาติหลายกลุ่ม จนได้กําลังพลเรือนแสน แล้วซุ่มฝึก ซ้อมการรบอยู่ร่วมปี

คร้ันเห็นว่าทแกล้วทหารกล้าพร้อมแล้วสําหรับภารกิจกู้ชาติ ก็ส่ังยาตราทัพเข้าปิดล้อมกรุงพาราณสีเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นส่งทูตเข้าไปทูลกษัตริย์นักล่าอาณานิคมว่า... “บัดนี้พาราณสีถูกปิดล้อมไว้ทุกด้าน อริราชทุรชนเยี่ยงท่านมี ทางเลือกเพียงสองเท่านั้น... หนง่ึ จดั กาํ ลงั พลออกมารบกนั ใหร้ แู้ พช้ นะเยย่ี งชายชาตทิ หาร สอง ยอมคนื ราชสมบตั แิ กเ่ ราผเู้ ปน็ รชั ทายาทตวั จรงิ และคนื เอกราชแก่ทวยราชของเรา” ท่ีผ่านมา อริราชาเสวยสุขอย่างสําราญ เพราะเข้าใจว่า ได้ ปราบศัตรูชนิดราบคาบแล้ว จึงไม่ระแคะระคายถึงภัยในข้อน้ี คร้ัน ทราบข่าวก็เล่นเอาต้ังพระองค์ไม่ทัน มีราชโองการจัดกําลังพลออก รับศึก แล้วเร่งส่งม้าเร็วแจ้งข่าวไปยังเจ้าแคว้นโกศลทรงทราบ ฝ่ายพระมารดาพอทราบเร่ืองก็ตกพระทัย ลูกชายจะใช้วิธีรบ แบบต่อตาฟันต่อฟันไม่ได้ จะเป็นเหตุให้ผู้คนล้มตายเป็นเบืออีก อีก ทง้ั เลอื ดมากกวา่ ครงึ่ นน้ั กเ็ ปน็ เลอื ดของทหารเฉลย ซงึ่ กค็ อื ชาวแควน้ กาสีด้วยกันท้ังส้ิน การทําเช่นนั้นก็เท่ากับเอาคนแผ่นดินเดียวกันไป ฆ่าฟันกันเอง จึงทรงออกอุบายแล้วให้ลอบส่งสาส์นไปบอกพระโอรสว่า “ลูกรักของแม่ แม่ดีใจที่เจ้ามีเลือดนักรบในกายเต็มเปี่ยม แต่การสงครามต้องใช้กลอุบาย อีกทั้งจะให้พวกเดียวกันฆ่าแกงกัน นน้ั ไมค่ วร ลกู แมจ่ งสงั่ ใหโ้ อบลอ้ มเมอื งเอาไว้ ปดิ ประตเู มอื งทง้ั สที่ ศิ

ห้ามคนเข้าออก แล้วจงวางกําลังตามแถบชายแดนแคว้นโกศลไว้ อย่างรัดกุม อย่าให้กําลังหนุนของโกศลยกเข้ามาช่วยเหลือได้” อ่านสาส์นของพระมารดาแล้วพระโอรสก็ส่ังการตามนั้น* ฝ่ายเจ้าแคว้นโกศลพอทราบว่าพาราณสีเกิดกบฎ ก็จัดทัพไป ชว่ ยเหลอื แตก่ ถ็ กู ฝา่ ยกชู้ าตซิ มุ่ จโู่ จมแบบกองโจรแตกพา่ ยไปทกุ ครง้ั ภายในเมืองพาราณสีเอง ทหารที่มีอยู่เกินกว่าคร่ึงเป็นชาวแคว้นน้ี เมื่อทราบว่ามีกองกําลังยกมากอบกู้ชาติคืนอย่างนี้ ก็ลักลอบออกไป เขา้ ดว้ ยฝา่ ยนน้ั กนั เกอื บหมด ทหารทจี่ ะตา้ นศกึ มองดแู ลว้ มเี พยี งหยบิ มือ สุดท้ายต้องตรึงกําลังรอทัพหนุนจากแคว้นโกศล แต่จนแล้วจน รอดก็ยังไม่มีว่ีแวว อาศัยว่าค่ายคูประตูเมืองของพาราณสีน้ันสร้างไว้ อย่างเข้มแข็งรัดกุม จะทลายเข้าไปนั้นไม่ง่ายนัก ข้างในไม่ออกรบเพราะกําลังพลน้อย กลัวเสียทีแก่ข้าศึก ฝา่ ยปดิ ลอ้ มไมย่ อมโจมตเี พราะหนงึ่ นน้ั ขาดผเู้ ชย่ี วชาญการยทุ ธ สอง นั้นเพราะไม่อยากให้เสียเลือดเน้ือ ยักแย่ยักยันกันอยู่อย่างนี้ จน เวลาล่วงไปเจ็ดปี * พาราณสี เปน็ เมอื งเกา่ แกแ่ ละรงุ่ เรอื งมานบั พนั ปี มง่ั คง่ั ไปดว้ ยสนิ้ คา้ ศลิ ปะ และวทิ ยาการ เป็นที่หมายปองของเจ้าแคว้นอ่ืน ๆ ยามใดที่การทหารของพาราณสีอ่อนแอ ผู้มีอํานาจขาด ความสามัคคีกัน เมืองอื่นที่จ้องเขมือบอยู่ พอเห็นช่องก็ยกทัพมารุกราน พาราณสีตกเป็น เมอื งขน้ึ ของเจา้ แควน้ โกศลหลายครง้ั ชว่ งกอ่ นพทุ ธกาล พระเจา้ พมิ พสิ าร เจา้ เมอื งราชคฤห์ แคว้นมคธ ที่เรืองอํานาจในยุคนั้นก็ยกทัพไปตีเอาพาราณสีเป็นเมืองข้ึน พาราณสีสูญเสีย เอกราชตั้งแต่นั้นมา แต่แคว้นโกศลก็ไม่เลิกรา พระเจ้าปัสเสนทิโกศล เจ้าแคว้นโกศลใน สมัยน้ัน ยังหาทางมาตีพาราณสี แต่ตีไม่แตกเพราะกองกําลังของพระเจ้าพิมพิสารเข้มแข็ง ตอ่ มาทง้ั สองแควน้ ใหญจ่ งึ เจรจาอยา่ ศกึ แลกเปลยี่ นนอ้ งสาวไปเปน็ มเหสขี องกนั และกนั รวม ท้ังสาบานเป็นพี่น้องกัน คร้ันสิ้นพระเจ้าพิมพิสาร สองแคว้นนี้ก็ทําศึกกันอีกเรื่อยมา

ด้านพระมารดา นานเขา้ กร็ อ้ นรมุ่ พระทัย จงึ สงั่ คนใกล้ชดิ ไป ตรวจตราดูทีว่า ท่ีปิดประตูเมืองน้ันปิดจริงหรือมีอะไรหละหลวมไป คร้ันแล้วคนก็กลับมาทูลรายงานว่า เมืองน้ีมีประตูเล็กอยู่หลายแห่ง เจ้าชายไม่ได้ส่ังเข้มงวดประตูเหล่าน้ัน ชาวเมืองยังใช้ประตูเล็กออก ไปหาเสบียงได้ เจ็ดปีนี้ชาวเมืองจึงพออยู่ได้ พระนางจงึ สง่ สาสน์ ไปบอกพระโอรสวา่ ลกู ของเราชา่ งโงเ่ ขลา มาได้ถึงเจ็ดปี แม่ก็เฝ้ารอว่าเม่ือไรเจ้าจะกอบกู้พาราณสีคืน เจ้า กลับทําการหละหลวม ละเลยประตูเล็กปล่อยให้คนเข้าออกได้ตาม อําเภอใจ ความเมตตาของเจ้านั้นดีแล้ว แต่อย่าเพ่ิงใช้ตอนน้ี เจ้า จงส่ังให้ปิดตายประตูเล็กทุกแห่งห้ามคนเข้าออกเด็ดขาด มีรับส่ังมาเช่นน้ี พระโอรสก็เร่งปฏิบัติตาม คร้ันชาวเมืองทั้ง สายเลือดพาราณสีและฝ่ายอริ เข้าออกไม่ได้ เสบียงจําเป็นก็ร่อย หรอลงอย่างรวดเร็ว คนเมืองเคยอยู่ดีกินดีมาตลอด บัดนี้บ้านเมือง ตกต่ําเพราะอริราชครองเมือง ต้องอยู่อย่างยากแค้นมาเจ็ดปี วันนี้ ย่ิงสาหัสถึงขั้นอดอยาก เข้าวันที่เจ็ด ผู้คนทั้งปวงก็ทนรับสภาพ ไม่ได้อีกต่อไป ลุกฮือกันจับพระราชา นําไปถวายพระโอรสผู้เป็น เลือดเนื้อสันตติวงศ์ที่แท้จริง จากนั้นก็สถาปนะท้าวเธอเป็นกษัตริย์ สืบราชบังลังก์ต่อไป ความดีที่กอบกู้เอกราชคืนมาโดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อเป็นอีก เรื่องหนึ่ง แต่บาปกรรมที่ต้องทําให้ชาวเมืองตาดํา ๆ ต้องอยู่อย่าง ลําบากยากแค้นถึงเจ็ดปีนั้นก็มีกําลังไม่น้อย ส่งผลให้พระโอรสและ

พระมารดา หลังจากส้ินพระชนม์ไปตามวาระแล้ว ต้องรับกรรม อยู่ในนรกขุมโลหกุมภี (หม้อโลหะ) นานเท่านาน นานขั้นว่าแผ่น ดินบนโลกมนุษย์ผลัดเปล่ียนภูมิประเทศ จากภูเขาเป็นทะเล จาก ทะเลเป็นภูเขา*… เล่าเรื่องน้ีจบ พระพุทธองค์ก็สรุปว่า “เพราะเศษกรรมท่ีทําร่วมกนั ดงั นน้ี น่ั เอง สปุ ปวาสาจึงต้องอุ้ม ท้องเจด็ ปี ปวดทอ้ งทรมานอกี เจด็ วัน สว่ นสวี ลีกต็ ้องนอนทรมานใน ท้องเจ็ดปี แล้วขวางครรภ์มารดาให้ได้รับความเจ็บปวดอีกเจ็ดวัน” * ในคัมภีร์บอกว่า แผ่นหนาขึ้นหน่ึงโยชน์

พระพุทธองค์ก็เสริมว่า “จะเป็นใครก็ตาม เมื่อให้ทุกข์แก่ผู้อ่ืน ทุกข์น้ันจะกลับสนอง เขาอย่างแน่นอน ตรงกันข้ามภิกษุท้ังหลาย สุขใดที่เธอมอบแก่ผู้อ่ืน ด้วยเจตนาอันบริสุทธ์ิ สุขน้ันจะเกิดกับเธอแน่นอนเช่นกัน “เหมอื นดงั ทสี่ วี ลเี ปน็ ผมู้ ีลาภมากมายถงึ ขน้ั น้ี ก็เพราะในอดีต เธอทําคุณความดีคือบุญเอาไว้” ตรัสเทา่ นน้ั ก็ประทบั นิง่ อยู่ ภกิ ษทุ ่ียงั เปน็ ปถุ ุชนทนความสงสัย ใคร่รู้ไม่ได้ก็อาราธนาให้ทรงเล่าต่อ

ครั้นแล้วก็ทรงนําเรื่องว่า “...ลาภของสีวลี ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างเล่ือนลอยไร้เหตุผล ตําแหน่งท่ีเราตั้งให้แก่เธอก็หาได้ตั้งไปเพราะเห็นแก่หน้าไม่ ทั้งน้ีก็ เพราะเป็นแรงอธิษฐานแต่บางปางก่อนของสีวลีเอง” ย้อนไปในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ คร้ังนั้น พระสีวลีเกิดเป็นพุทธบริษัทคนหน่ึง เขาฟังธรรมอยู่ท้ายเพ่ือน เห็น พระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระภิกษุรูปหนึ่งว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุ อ่ืน ๆ ในด้านมีลาภมาก ตนเองเห็นแล้วก็เกิดความคิดว่า พระคุณเจ้ารูปนี้มีคุณสมบัติ นา่ อศั จรรยจ์ รงิ อยา่ กระนนั้ เลย ในอนาคตเรากค็ วรดาํ รงสถานะเชน่ เดียวกับพระเถระรูปนี้ คดิ ไดด้ งั นน้ั แลว้ กเ็ ขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ทลู อาราธนาพระองค์ พร้อมท้ังหมู่พระสงฆ์เพ่ือรับบิณฑบาตบ้านตนเอง ๗ วัน วนั ทเ่ี จด็ เขากต็ งั้ ความปรารถนาเฉพาะพระพกั ตรพ์ ระพทุ ธเจา้ ว่า ด้วยอานิสงส์ผลบุญน้ี ขอให้ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งจาก พระพุทธเจา้ ในอนาคตว่า เปน็ ผู้เลศิ ดว้ ยลาภ เชน่ เดยี วกบั พระสาวก ของพระองค์ เล็งพระญาณไปในอนาคตเห็นว่า ความปรารถนาของเขาจะ สัมฤทธิ์ผล พระปทุมุตตรพุทธเจ้าค่อยทรงพยากรณ์ว่า “ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ความปรารถนา ของเธอจักสัมฤทธิ์ผล”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook