“รูอ้ ัตตาเพื่อละอัตตา” 95 มนั กบ็ อกไมไ่ หว ขาออ่ นแรง งน้ั บอก ว่าข้ึนไปนอนข้างบนกุฎิ เราก็เลย พลิกจิตกลับทันทีเลยว่าถ้าจะนอน ทา� ไมตอ้ งเลอื กนอนทก่ี ฎุ ิ ทา� ไมตรงน้ี นอนไมไ่ ด้ ถา้ มนั จะนอนจรงิ ๆ มนั ตอ้ ง นอนได้ ถา้ งว่ งนอนมนั ทา� ใหง้ ว่ งจรงิ ๆ แล้วพ้ืนดินน้ีก็ต้องนอนได้ มันก็เลย นง่ั ลงบนพน้ื ดนิ พอหวั กา� ลงั จะปกั ลงบน พื้นดิน มันก็สะดุ้งข้ึนมาเลยว่า นอน ไม่ได้ มันว่าต้องขึ้นไปนอนข้างบน อาตมาก็ไม่ไป พออาตมาไม่ไปมันก็ เอาอีกแหละ มันพยายามจะดึงไป อยู่เรื่อย ๆ ท่ีนอนเป็นภพของจิต มนั พยายามใหเ้ ราไปจตุ จิ ติ อยตู่ รงนน้ั ตรงนี้มันไม่เอา ตรงดินมันไม่เอา มันมีที่นอนมันมีหมอน ทีน้ีมันจะ ไปจตุ ิ เราไมไ่ ป จะทา� ลายจตุ จิ ติ ตอนนี้ มันไม่ไปแล้ว ก็เลยให้มันนอนอยู่กับ พ้ืนดิน ปรากฏว่ามันนอนไม่ได้ พอมัน นอนไม่ได้ บ่อยคร้ังมากที่อาตมาฝืน
96 “รูอ้ ตั ตาเพื่อละอัตตา” ที่จะท�าอย่างนี้ จนสามารถท่ีจะ พจิ ารณาเหน็ วา่ ออ๋ ความงว่ งเราทกุ ข์ กับความง่วงมา ความง่วงไม่ใช่กิเลส เราพยายามจะเอาชนะมนั เอาชนะมนั ไม่ได้หรอก สิ่งที่จะชนะมันไดคือ พิจารณาเห็นความเกิดความดับ เหน็ ความเปนของไมเทยี่ ง เปนของ ท่ีแปรปรวน อาตมาพิจารณา ไตรลัก ณ อยู ตลอดเวลาจึงจะ สามารถคลายมันได ศิษย์ : เวลาเหน็ มนั เกดิ เหน็ มนั มาแตไ่ กลเลย แลว้ มนั กม็ าเรอ่ื ย ๆ จนมนั แรง ไมท่ นั พิจารณาตอนแรก ตอนเกิดหมายถึง มนั เรม่ิ เหน็ แตไ่ มท่ นั พจิ ารณาเรารสู้ กึ วา่ เราตอ้ งไปจดั การกบั มนั มนั กก็ า� ลงั แรงขึ้น ๆ ท�าผิดวิธี พระอาจารย์ : ของพวกนเี้ ราไปจดั การกบั มนั ไมได คือตอนแรกอาตมาก็เข าใจว า ความงวงน้ีเปนนิวรณ ทีนี้อาตมา ยกบาลขี นึ้ มาตแี ลว ที่แทความงวง
“รู้อตั ตาเพอื่ ละอัตตา” 97 ไมใชนวิ รณ เมอื่ มนั ไมใชนวิ รณเราก็ ไมตองไปแกมัน เราไปแกที่จิตโนน จติ ทมี่ นั ทอแท ออนแอ หดหู เ อ่ื ง มึ เราไปแกตรงนน้ั เมอื่ เราไปแกตรงนน้ั ไดแลว ผลคอื ความงวงนอนเปนผล ทางกายทเี่ ขารบั มาจากความทอแท ออนแอของจติ มนั กจ็ ะคลายไปเอง จิตเราก็จะเกิดความรูขึ้นมาทันที นิวรณก็กั้นไมได นิวรณก้ันไมได ก็เปนสมาธิแลว ไมใชตองไปนั่ง สมาธนิ ะ คอื เราพจิ ารณาในขณะนน้ั ความเปนนวิ รณ คอื ถนี มทิ ธะหายไป สมาธกิ เ็ กดิ ขนึ้ แลว พอสมาธเิ กดิ ขน้ึ จิตก็สามารถพิจารณาธรรมได เพราะฉะนนั้ จติ ไหนกต็ ามทส่ี ามารถ พิ จา ร ณา ธ รรมได ติดต อเนื่องกัน จติ นน้ั คอื จติ ทมี่ สี มาธิแตถาจติ ดวงใด ก็ตามท่ีไมสามารถพิจารณาธรรม ไดติดตอเน่ืองกันคือไมคอยมีสมาธิ สมาธิคือการท่ีสามารถคิดธรรมะ
98 “รอู้ ัตตาเพอ่ื ละอตั ตา” ไดตดิ ตอเนอ่ื งกนั ไดอยางไมขาดสาย น่ันคือสมาธิ แตกต่างจากค�าว่าสงบ สมาธิไม่ใช่ความสงบในความหมาย ของอาตมา แต่ก่อนอาตมาเคยใช้ ความหมายของสมาธใิ นแงค่ วามสงบ มาก่อน คือต้องท�าความสงบถึงจะ สามารถเอาชนะกิเลส หรือท�าลาย อาสวกิเลสได้ เพียรท�าอยู่อย่างน้ัน จนขาดการรับรู้ทางกาย ปราศจาก ความคิดทุกประการ จิตดิ่งลงไปสู่ ความเป็นเอกเทศ เป็นอยู่โดยในตัว ของมนั เองโดด ๆ ไมเ่ กยี่ วโยงกบั กาย ท้ังหมด ไม่รับรู้ภายนอกเลย รับรู้ อยู่แต่ภายในเหมือนกับห้วงอวกาศ แล้วเข้าใจว่าถ้าเราท�าอย่างนี้บ่อย ๆ กเิ ลสจะคอ่ ยๆ หมดไป ๆ ๆ ปรากฏวา่ โดนหลอก สมาธิอย่างน้ีเขาเรียกว่า เป็นสมาธิท่ีสร้างภพในจิต มันไม่ สามารถช่วยละกิเลสอะไรตรงไหน ได้เลย เพราะฉะน้ันอาตมาจึงใช
“รูอ้ ตั ตาเพื่อละอตั ตา” 99 ความหมายของสมาธิวา สมาธิ สามารถพจิ ารณาธรรมไดตอเนอ่ื งกนั ธรรมแบบไหนก็ตามที่เราสามารถ ยกข้ึนมาพิจารณาได นั่นแหละ ถาสามารถพิจารณาไดตอเน่ืองกัน ธาตุ หรือขันธ หรือพิจารณา อริยสัจ หรือพิจารณามรรค หรือพิจารณาไตรลัก ณหรืออะไร กต็ าม สง่ิ เหลานจี้ ะคอย ๆ ทาํ ใหเรา คนุ เคยแลวจะคอยๆสรางฐานของจติ สรางสมาธิข้ึนมา ปุจฉา ขอถามท่านอาจารย์ว่าในการจ�าแนกโสดาบัน ก่อนโสดานิดหนึ่ง ท่านจ�าแนกเป็น ๒ สายคือ ธรรมานุสารี กับศรัทธานุสารี ท่านอาจารย์ได้พบลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ มีรายละเอียดมากกว่านั้นไหม จะมีทางแยกอื่นท่ีมากกว่า น้ันไหม ก่อนหน้านั้นก็ไม่จ�าเป็นท่ีจะต้องท�าเพื่อจะให้มา เข้าสายนี้ใช่ไหม ก็แค่พิจารณาไปเหมือนกัน
100 “รูอ้ ัตตาเพื่อละอัตตา” วิสัชชนา อาตมาไม่ได้จ�าแนกศรัทธานุสารี หรือธรรมานุสารี ค�าว่า ธรรมานุสารีกับ ศรัทธานุสารี คือ หนักในธรรม หนักใน ศรัทธา หนักในองค์ธรรมคือพิจารณาธรรมมาก หนักใน ศรัทธา คือใช้ความเช่ือ เช่ือมาก ศรัทธาในความหมายของ พระพุทธเจ้าไม่ใช่เชื่อแบบลอย ๆ นะ เช่ืออยู่บนพ้ืนฐาน ของปัญญาและเหตุกับผล อันน้ีแค่เข้าใจเหตุผล จิตเขาก็ ลงล็อคทันทีแล้ว มีเหตุผลรองรับทุกอย่าง จิตมันก็รับ ๆ ๆ ๆ ไม่คัดค้านเลยแม้แต่ความสงสัยในจิต มีเหตุผลรองรับ นี่คือ ศรัทธา คือศรัทธาในเหตุผล เช่ือในหลักธรรม หลักความจริง แตธ่ รรมานสุ ารี คอื ศรทั ธาไมม่ าก ตอ้ งพจิ ารณามาก พจิ ารณา จนเรยี กวา่ ธรรมานสุ ารี คอื พจิ ารณาหนกั พจิ ารณามากกวา่ คนอน่ื ธรรมานสุ ารหี นกั ในธรรม ตอ้ งใชอ้ งคธ์ รรมมากมายมาแวดลอ้ มจติ ในการท�าหรือ ในการพิจารณา อันน้ีอาตมาไม่แบ่ง อาตมาแสดงธรรมเป็นสายกลาง ทุกดวงจิตจะต้องเข้ามาทราบสภาพธรรมน้ีหรือว่าหลักการน้ี ถ้าไม่ทราบหลักการน้ีหรือไม่เป็นไปตามหลักการน้ี จะผิด ไปจากหลกั ทพี่ ระองคท์ รงอธบิ ายไวห้ มดทกุ อยา่ งเลย หลกั การ มีอยู่เพียงว่า เราเข้าใจกาย เราเข้าใจจิต แล้วเห็นการเกิดดับ
“รูอ้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 101 ของกายของจิต เท่าน้ีเอง ส่ิงเหล่าน้ันจะตามมาเอง องค์ธรรม ต่าง ๆ จะตามมาเอง ปุจฉา ขอโอกาสพระอาจารย์ หมคู่ ณะหลาย ๆ ทา่ นทฟ่ี งั เทศน์ พระอาจารยส์ งสยั วา่ ทา� ไมเราตอ้ งมาทอ่ งธาตกุ มั มฏั ฐาน ตอ้ ง มาท่องธาตุ ๔ ท�าไมเราต้องมาพิจารณาร่างกาย ๖ ขั้นตอน ท�าไมเราต้องมาคิดเรื่องการแยกขันธ์ ถ้าเป็นการคิดแบบนี้ จะไม่เป็นการปรุงแต่งจิตให้ไปจดไปจ�า ไปมีสัญญาขันธ์อะไร หรือเปล่า อย่างน้ีจะท�าให้เป็นการไปปรุงแต่งภพ ปรุงแต่งชาติ หรือเปล่า มีหมู่คณะสงสัยเยอะครับ วิสัชชนา เราต้องเข้าใจว่า เราอยู่ในส่วนของสังขตะอยู่แล้ว เราจะไปหยุดการปรุงแต่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงบอก ใหเ้ ราหยดุ การปรงุ แตง่ พระองคไ์ มเ่ คยบอกวา่ ทกุ คนทมี่ าปฏบิ ตั ิ ในพุทธศาสนา ให้ทุกคนหยุดการปรุงแต่งท้ังหมด พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัส มีค�าไหนบ้างท่ีพระองค์ทรงให้หยุดการปรุงแต่ง พระพุทธเจาไมไดทรงใหหยุดการปรุงแตง แตทรงใหรูจัก การปรุงแตง ใหรูสิ่งที่มันปรุงแตงวา สิ่งนี้มีความปรุงแตง
102 “รอู้ ตั ตาเพือ่ ละอตั ตา” โดยตัวของมัน ใชไหม เม่ือมีความปรุงแตงอยูในตัวของมัน อยูแลว เราแคเขาไปเขาใจความปรุงแตงของมัน ใชไหม ถา้ เราทราบการปรงุ แตง่ โดยตวั ของมนั เอง ทม่ี นั ปรงุ แตง่ อยู่แล้ว หน้าท่ีของเราก็คือ สร้างก�าลังแห่งอริยมรรค กําลัง แหงอริยมรรค คือ ธรรมชาติท่ีเขาปรุงแตง หมายถึงวา กิเลสมันมีการปรุงแตงโดยตัวของมัน ขันธก็มีการปรุงแตง โดยตัวของมัน ทีนี้เม่ือขันธมีการปรุงแตงโดยตัวของมัน กิเลสก็มีการปรุงแตงโดยตัวของมัน ถากิเลสไมปรุงแตง โดยตัวของมัน มันก็ไมสามารถเกิดและอาศัยอยูในขันธได ความดีก็อาศัยขันธเกิดขึ้น ความไมดีก็อาศัยขันธเกิดข้ึน กิเลสก็อาศัยขันธเกิดขึ้น คือมันปรุงแตงเพ่ือใหเกิดตัว ของมันดวยเหตปุ จจยั ทเี่ ขามาเกย่ี วของกับชวี ิตของเราเอง ธรรมชาติเหลานี้เปนสังขตะ อยูในสวนของการ ปรุงแตง การจะออกจากสังขตะไปสูอสังขตะ พระพุทธเจา ทรงสอนใหพวกเรารูจักการปรุงแตงมรรค สรางมรรค ไมใชไมทําอะไรเลย หยุดการปรุงแตงท้ังหมด หยุดคิด หยุดทุกอยาง มันหยุดไมได ไมมีใครหยุดได พระพุทธเจ้าก็ทรง หยดุ ไมไ่ ด้ พระพทุ ธเจา้ ทรงประทบั นง่ั อยใู่ ตต้ น้ พระศรมี หาโพธิ พระองค์ทรงนั่งเฉย ๆ หรือเปล่า พระองค์ทรงน่ังสงบ
“รอู้ ตั ตาเพ่อื ละอัตตา” 103 โดยปราศจากความคิดไหม ยามแรกพระองค์ทรงได้รับความรู้ ในปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ คอื การสง่ ใจ ไปรู้ในอดีตชาติหนหลัง คือ ความมีขันธ์ในปางก่อน ว่าขันธ์ ตัวเองก่อนนี้เป็นอย่างน้ี เกิดฐานะอย่างนี้ ตระกูลอย่างน้ี ใชช้ วี ติ อยา่ งน้ี เมอื่ พระองคท์ รงทราบขนั ธใ์ นปางกอ่ น มนั เปน็ อย่างน้ี ด้วยความที่พระองค์ทรงพิจารณาเห็น แล้วก็รู้ว่าเหตุ ทเ่ี ปน็ จดุ เรม่ิ แรกของการกอ่ เกดิ ของขนั ธ์ พระองคก์ ย็ อ้ น ๆ ๆ ๆ ไปเพ่ือท่ีจะหาจุดเร่ิมแรก ปรากฏว่าปุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่สามารถท�าให้พระองค์รู้เง่ือนต้นได้ว่าเริ่มแรกมาอย่างไร รไู้ ดแ้ ตว่ า่ เกดิ ชาตนิ ี้ ถอยไปอกี กม็ ขี นั ธแ์ ลว้ ถอยไปอกี กม็ ขี นั ธแ์ ลว้ ก่อนท่ีจะมีขันธ์มา ถอยออกไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะความรู้ ไปไม่ถึงตรงจุดแห่งการเกิด ทีน้ีพระองค์เลยทรงพิจารณา ว่าไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วพระองค์ก็ทรงรู้ จุตูปปาตญาณ ในยาม ทส่ี องขน้ึ พระองคก์ ส็ ง่ ใจไปดใู นอนาคตวา่ เหลา่ สตั วท์ งั้ หลาย ผู้เคยเกิดเคยตายมานับไม่ถ้วน มีดวงจิตไหนบ้างท่ีหลุดพ้น ออกไป ถ้ารู้ว่าหลุดพ้นออกไปได้ในที่ท่ีไม่มีการเกิดอีกก็จะเอา หลักการนั้นมาสู่วิธีการตรัสรู้ แต่ในจุตูปปาตญาณก็ไม่สามารถ บอกพระองค์ได้เลยว่า ท่ีสุดแห่งการเกิดอยู่ที่ไหน เห็นแต่ว่า เด๋ียวก็นรก เดี๋ยวก็สวรรค์ เดี๋ยวก็พรหม เด๋ียวก็สุทธาวาส
104 “รู้อตั ตาเพื่อละอตั ตา” (จุติจิตของพระอนาคามีที่ยังไม่สิ้นอาสวะซ่ึงจะปรินิพพาน ในอกนิฏฐกาภูมิ (หรือ อกนิฏฐาภูมิ) ในเบ้ืองหน้า) แล้วก็ วนมาสู่มนุษย์เปรต ผี ปีศาจ อสุรกาย นรกก็มาอีก เทวดา พรหม สุทธาวาส ก็วนอยู่อย่างน้ี แล้วมันออกไปจากน้ีมีไหม พระองค์ไม่ทรงทราบ จุตูปปาตญาณ บอกไม่ได้ แสดงวา ปุพเพนิวาสานุสติญาณ กับจุตูปปาตญาณ เปนโลกียะ เพราะสิ่งท่ีจะทําใหถึงโลกุตระไดก็คือ พระนิพพาน ก็คือ อาสวักขยญาณ จะทําหนาที่ในการทําพระนิพพานใหแจง หากไมเกิดอาสวักขยญาณ พระพุทธเจาจะไมสามารถรูจัก ปฏิจจสมุปบาทไดเลย อาสวักขยญาณเกิดข้ึน อาสวักขยญาณ คือ รู้ความสิ้น ของอาสวักขัย อาสวักขัยจะสิ้นไปได้อย่างไร เพราะเหตุ อันน้ีเอง ปัญญาญาณชนิดน้ี หรือเป็นญาณท่ีท�าให้เกิด ความรู้ชนิดน้ี จึงท�าให้ได้เข้าใจว่า การท่ีไม่รู้ในสิ่งท่ีเกิดมา แต่ก่อนน้ีว่าจุดเริ่มต้นมาจากไหน และจุดส้ินสุดของบุคคล ที่เกิดมาแล้ว มีขันธ์แล้ว จะไปสิ้นสุดที่ไหน หาไม่มี หาไม่ได้ ไม่เกิดความรตู้ รงไหนเลย พระองค์ทรงน�าเอาความไม่รตู้ รงนี้ มาตั้งเป็นประเด็น เม่ือพระองค์ทรงน�าความไม่รู้ตรงนี้ มาตั้งเป็นประเด็น ท�าให้พระองค์เกิดอาสวักขยญาณข้ึน ญาณทจ่ี ะรคู้ วามสนิ้ ไปของอาสวะทหี่ มกั ดอง เพราะความไมร่ ู้
“รอู้ ัตตาเพ่ือละอัตตา” 105 นี่แหละ ใหญ่มาก ส�าคัญมาก พิจารณาไปตรงไหนก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ญาณนั้นพยายามจะบอกให้พระองค์ทราบอดีต ทราบอนาคต ทราบการจุติ อุบัติของสัตว์ ว่าท�าดีท�าช่ัว มาอย่างไรแบบไหน ไม่มีอะไรปิดบังจิตของพระองค์ได้เลย ในความรู้ประเภทนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้ได้พระองค์ กเ็ ลยพจิ ารณาความไมร่ ู้จนนา� ไปสสู่ องสาย การกา� หนดออกมา เป็นห่วงโซ่ของความทุกข์ ท้ังสมุทยวาระและนิโรธวาระ พระองคท์ รงพจิ ารณาอยา่ งนใ้ี นปจั ฉมิ ยาม คดิ กลบั ไป กลบั มา กลับมา กลับไป จนอุทานออกมา ๓ คร้ัง อย่างที่อธิบาย มาต้ังแต่แรก เมื่อพระองค์ทรงคิดอย่างนี้ คิดจนเกิดการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเราคิดจนเกิดการตรัสรู้ในปัจฉิมยามแห่ง ราตรี เม่ือพระอาทิตย์ข้ึน พระองค์ทรงส้ินอาสวะ เข้าถึง ความเป็นสมั มาสมั พุทธะ น่นั หมายถงึ ว่า พระศาสดาเราไม่ได้ ทรงน่ังสงบอยู่เฉย ๆ พระองค์ทรงน่ังพิจารณา พิจารณา ก็คือคิดน่ันเอง ไม่ใช่เร่ืองอื่นไกลเลย คือความคิดน่ันแหละ แต่การคิดของพระองค์คือคิดจับห่วงโซ่แบบไม่ปล่อยวางเลย คดิ กลบั ไป กลบั มา กลบั มา กลบั ไป เหมอื นกบั อาตมาพยายาม ที่สอนให้พวกเราพิจารณาเร่ืองเดิม ๆ ย้�า ๆ ซ้�า ๆ อยู่อย่างนั้น
106 “รอู้ ตั ตาเพื่อละอตั ตา” เรื่อย ๆ บ่อย ๆ เป็นประจ�า ย้�าอยู่ในเรื่องเดียวนั่นแหละ แต่มันจะเกิดความรู้ ไม่ใช่เร่ืองเดียวหรอก มันจะค่อย ๆ เกิด ความรู้ข้ึนมาเรื่อย ๆ มันจะสะสมอยู่ในจิต เหมือนกัน หากพระพุทธเจ้าทรงจับปฏิจจสมุปบาทได้แล้ว ท้ังสองสายในยามแรก ท�าไมพระองค์ไม่ตรัสรู้ แม้ในยาม ปจั ฉมิ ยามแหง่ ราตรี มนั จะแบง่ เปน็ สช่ี ว่ ง สชี่ วั่ โมง การทพ่ี ระองค์ ทรงจับได้พระองค์ก็ยังไม่ทรงสามารถท�าลายอาสวะนั้น แต่พระองค์ทรงรู้ว่า นี่แหละเป็นทางแห่งการท�าลายอาสวะ คือ การรู้การเกิดและความดับ ตัวที่จะเกิดทุกข์ และตัวที่ จะดับทุกข์ พระองค์ทรงรู้เลยว่า มันไม่มีตัวไหนอีกแล้ว มันต้องเป็นตัวนี้แหละเพราะรอบรู้มาหมดแล้ว ไม่มีอะไร ที่พระองค์ไม่รอบรู้อีกแล้ว ฌานสมาบัติ ๘ พระองค์ทรงผ่าน มาหมดแลว้ มนั จงึ ทา� ใหพ้ ระองคแ์ นน่ อนใจวา่ นแ่ี หละคอื หนทาง แหง่ การตรสั รู้ และทา� ลายอาสวะใหส้ นิ้ และกเ็ ปน็ อยา่ งนนั้ จรงิ ๆ เพราะความไม่รู้ ก็เลยเอาความรู้ไปแก้ มีความไม่รู้ได้ ก็ต้องมี ความรู้ได้ ก็เอาความรู้ไปแก้ ไม่รู้อะไร ก็ไปรู้อันนั้น ทีนี้ค�าว่า อวิชชา ปจจยา สังขารา ความไม่รู้ก่อให้เกิดสังขาร ค�าว่า ไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร จึงก่อให้เกิดสังขาร ก็ไม่รู้สังขารน่ันแหละ จงึ กอ่ ใหเ้ กดิ สงั ขาร ถา้ รจู้ กั สงั ขารแลว้ มนั กไ็ มก่ อ่ ใหเ้ กดิ สงั ขาร
“รอู้ ตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” 107 มันก็จะดับสังขาร อวิชชายะ เตววะ อเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ ในความหมายข้อน้ีพระองค์จึงบอกว่า การดับโดยไม่เหลือด้วยวิราคธรรม ธรรมอันปราศจากราคะ ธรรมอนั ปราศจากราคะคอื อะไร ในภาษาทเี่ ราใช้ บอกวา่ ในบรรดาสัจจะ อริยสัจ เปนยอด ในบรรดาหนทาง มรรค เปนยอด ในบรรดาบคุ คลผเู ปนสตั วสองเทา พระพทุ ธเจาเปนเลศิ ในบรรดาธรรม วิราคธรรม เปนเลิศ สุดยอด วิราคธรรม ส่วนมากนักปราชญ์รุ่นหลังน�ามาใช้ใน ชอ่ื ของพระนพิ พาน เขาเรยี กวา่ เปน็ ไวพจน์ แตอ่ าตมามองวา่ วริ าคธรรม ไม่ใช่ชอ่ื ของพระนพิ พาน แตเ่ ป็นช่อื ของความจรงิ ท่ีพระพุทธเจ้าก�าลังทรงพิจารณาอยู่น้ัน การท่ีพระองค์ทรง พิจารณาสังขาร ดินมีราคะไหมในตัวมันเอง น้�ามีราคะไหม ไฟมีราคะไหม ลมมีราคะไหม เวทนามีราคะไหม สุขมีราคะไหม ทุกข์มีราคะไหม ไม่สุขไม่ทุกข์มีราคะไหม สัญญาความจ�า มีราคะไหม สังขาร วิญญาณไม่มี แล้วราคะเกิดมาอย่างไร เพราะไม่รู้ จึงเกิดราคะ พอรู้ล่ะทีน้ี รู้สังขาร คือ ขันธ์ ๕ น่ีแหละคือความดับไปโดยไม่เหลือของอวิชชาด้วยวิราคธรรม ก็คือ ด้วยความรู้นี่แหละ พอรู้ ราคะก็ไม่เกิดอีก จึงเป็นช่ือ ของมรรค
108 “รู้อตั ตาเพอื่ ละอัตตา” โดยตวั ของธรรมชาติ มันไมม่ ีราคะ อาตมาจงึ พยายาม สรา้ งความเขา้ ใจใหก้ บั พวกเรา เพราะวา่ พระนพิ พานเปน็ สว่ น ของวิมุตติธรรม ธรรมท่ีพ้นไปจากสมมติ โดยตัวพระนิพพาน ไม่มีราคะโดยตัวของเขาอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องมามองในแง่มุม ของส่วนสังขตะด้วย สังขตะทั้งหมดจริง ๆ ก็ไม่ใช่ตัวราคะ โดยตัวของเขา ไมม่ ตี วั ราคะอยแู่ ลว้ ดนิ นา้� ไฟ ลม ไมเ่ คยมรี าคะตอ่ กนั และกนั แต่ความไม่รู้ของจิตก่อให้เกิดราคะข้ึน ราคะ อาตมาใช้ค�าว่า เครื่องย้อมจิต หรือส่ิงที่น�ามา ซง่ึ ความยนิ ดี หรอื ทา� ใหจ้ ติ เราตดิ อยู่ เหมอื นกบั เราเอาผา้ ไปยอ้ ม มันก็ติด จิตเราย้อมอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส มายาวนานแล้ว มันก็ติดอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส มายาวนาน ติดอยู่ในขันธ์ ตดิ อยใู่ นตวั เอง ตดิ หลงยดึ วา่ เปน็ ตวั ตน เปน็ เรา เปน็ ตวั ของเรา มาโดยตลอด ฉะนั้นวิธีแก้ คือ การสรางความรูเขาไปรู เม่ือรูสังขาร มันก็จะดับสังขาร เม่ือไมรูสังขารมันก็จะสืบตอ สังขาร เพราะไม่รู้ในสังขารน่ันแหละ จึงก่อให้เกิดสังขาร และสังขารนี้เองจะสืบต่อตัวของมันเอง การที่สังขารสืบต่อ ตัวของมันเองนั่นแหละปฏิสนธิ ค�าว่า ปฏิสนธิ คือ มันสืบต่อ ตัวมันเอง การท่ีมันสืบต่อตัวมันเองได้ เลยก่อให้เกิดมีนาม
“รู้อัตตาเพื่อละอัตตา” 109 กบั รปู พอมนี ามกบั รปู กม็ อี ายตนะ มผี สั สะ มเี วทนา ตามทเี่ รา ได้เรียนรู้กันมาในหลักการน้ี เมอื่ เรารสู งั ขารตามความเปนจรงิ มนั ไมสบื ตอ คาํ วา ไมสบื ตอ คอื ไมสบื ตอดวยอวชิ ชา แตการสบื ตอดวยสภาวะ ลัก ณะของมัน มันสืบตออยูแลว แตการสืบตอโดยที่ไมมี อวชิ ชา เขาไมเรยี กวา ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ วญิ ญาณไมหยง่ั ลง เมอ่ื วญิ ญาณไมไดหยงั่ ลงแลว กแ็ คการสบื ตอของระบบของธาตุ ระบบของขันธ ของสังขตะท่ีมันปรุง มันสืบตอของมันเอง เพราะฉะน้ันในการสืบตอ ในความหมายท่ีพระพุทธเจา ทรงตรัสวา อวิชชาที่ไมรูสังขาร สังขารจึงมีการปฏิสนธิ คือ ตอตัวของมันดวยอํานาจของความไมรูมันจึงตอตัว ของมันไปเอง ความไมรูในสังขาร ไมรูในวิญญาณ ไมรูใน อายตนะ ไมรใู นผสั สะ ไมรใู นเวทนา คอื มนั ตออวชิ ชาเขาไป ในทกุ ๆ ขนั ธ ไมรใู นตณั หาไมรใู นภพ ไมรใู นชาติ ไมรใู นทกุ ข ไมรูในเหตุใหเกิดทุกขไปเรื่อยเลยละทีน้ี มันตออวิชชา ทนี เี้ มอ่ื เรารสู้ งั ขารปบ๊ั อวชิ ชาดบั ทนั ที สงั ขารสบื ตอ่ ไป แต่ตัวความไม่รู้ไม่ต่อไป อวิชชาไม่ต่อไปในกระบวนการ แหง่ หว่ งโซน่ นั้ เขา้ ใจหรอื ยงั มนั เลยไมม่ ตี วั กอ่ เกดิ กเ็ ลยดบั อยู่ ตรงน้ัน ดับโดยไม่เหลือเลย และเป็นการดับโดยไม่เหลือ
110 “รู้อัตตาเพ่ือละอตั ตา” จริง ๆ นะ ไม่เหลือ และโดยการท่ีเขาดับไม่เหลือนั่นเอง เวลาเกิดความรู้ จึงไม่มีการหลงผิดอีกตลอดกาล แม้จะมี สังขารอยู่ พระพุทธเจ้าก็ทรงมีสังขารอยู่ มีความคิด มีขันธ์ มีทุกอย่าง รับทราบทุกอย่าง หิวเหมือนคนทั่วไป ง่วงนอน เหมือนคนท่ัวไป แต่ความไม่รู้ท่ีมีอยู่ในนั้น ดับไปหมดแล้ว เพราะฉะน้ันวิราคธรรมจึงส้ินไปในเวลาที่รู้น้ัน เมอื่ รสู้ งั ขารตามความเปน็ จรงิ ทกุ อยา่ งกด็ บั เพราะฉะนนั้ อาตมาก็เลยมาสร้างความเข้าใจให้กับพวกเราว่า อย่าไปกลัว เร่ืองของการท่อง ว่าปรุงแต่งหรือเปล่า ไม่ต้องกลัวหรอก มนั ปรงุ แตง่ อยแู่ ลว้ โดยปกติ แตก่ ารทเ่ี รามาทอ่ งธาตุ เพอ่ื สรา้ ง ความรู้ขึ้นมา เป็นการสร้างความรู้ มาเพื่อดับความไม่รู้ ถ้าเราจะดับความไม่รู้ คือ ท�าให้อวิชชานั้นสิ้นไป โดยไม่เหลือด้วยวิราคธรรม ก็จะเป็นตัวดับทุกข์ มคี นบอกวา่ เราตอ้ งใชส้ มาธิ เพอ่ื ทจ่ี ะเขา้ ไปแก้ หรอื ทา� ให้ ห่วงโซ่ของความทุกข์เหล่าน้ีในแง่ของปฏิจจสมุปบาท ท่ีเรา จะแก้มันต้องใช้สมาธิไหม ใช้ระดับไหน ใช้แบบไหน ต้องทรง สมาธิขนาดไหน พวกเราเคยถูกสอนเร่ืองสมาธิมา แล้วสมาธิ
“รูอ้ ตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” 111 ท่ีพวกเราท�าคือสมาธิท่ีถูกสอนมาทั้งน้ันเลย เราเคยท�าสมาธิ แบบไม่ถูกสอนมาไหม แสดงว่าส่ิงท่ีถูกสอนมาน้ัน เราจะมี รูปแบบน้ันไว้ในหัวแล้ว ด้วยความรู้สึกว่า ต้องท�าแบบนี้ แบบนนั้ ตามคนทเ่ี ขาสอนมา พระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั วา่ นน่ั กค็ อื การท�าโดยท�าตาม ๆ กันมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้พระองค์ จะตรัสธรรมะให้พวกเราได้ยินได้ฟัง แต่ถ้าเราไม่ได้ไปเห็น ธรรมะท่ีพระองค์ทรงตรัส แค่ได้ยินได้ฟัง พระองค์บอกว่า เป็นแค่ฟังมา แค่ฟังมาจากพระพุทธเจ้า ถือประโยชน์อะไรไม่ได้ เข้าใจไหม คือ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แค่ฟังมา ฉะนั้นในความหมายของพระพุทธเจ้า การที่พระองค์ ทรงตรัสธรรมะ ไม่ได้แค่ให้เราได้ฟัง แต่พระองค์ให้เราเข้าถึง ธรรมชาติอันนั้น อันท่ีพระองค์ตรัส พระองค์ตรัสถึงอะไร เราเข้าไปถึงธรรมชาติน้ัน เท่าน้ันเอง ในความหมายอันน้ี เพราะอะไร เพราะการเข้าไปรู้ความจริง มันไม่เคยได้ยินได้ฟัง จากการบอกเลา่ ของใครในตา� รบั ตา� รา หรอื ในตวั หนงั สอื ทเี่ ขา จดจารกึ ไว้ อันจดจารกึ หรือเขียนเปน็ ตวั หนังสอื น้นั เปน็ เพียง แค่ตัวสื่อให้เราเข้าไปเห็นธรรมชาติอันท่ีเราจะต้องเห็น ไม่ใช่ เราเข้าไปเห็นแค่ต�ารา มันก็แคบอยู่แค่ในต�ารา แล้วก็หนีออก จากตัวต�ารานี้ไม่ได้ ในหัวเราก็จะนึกถึงแต่เรื่องในต�ารา
112 “รู้อัตตาเพอื่ ละอตั ตา” แต่คนที่เห็นความจริง เขาไม่นึกถึงต�ารา เขาเห็น แต่ความจริงอันนั้น ในใจเขาเห็นแต่สภาพธรรมอันเป็น ความจริงนั้น แม้อาตมาพูด ก็พูดออกมาจากสภาพธรรม ที่อาตมาเห็นแล้ว แล้วน�ามาบอก เพียงแค่ส่ือสารด้วยภาษา ในแง่ท่ีอาตมาบัญญัติหรือใช้หรือตีความหมาย สร้างความ เข้าใจให้กับพวกเรา ธรรมะที่แท้จริง จะพ้นออกไปจากสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง มาทง้ั หมดเลย และไมใ่ ชส่ ง่ิ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั พระพทุ ธเจา้ ทรงตรัสส่ิงท่ีปรากฏตามความเป็นจริง อันน้ันเป็นส่ิงที่เห็น ท่ีเกิดขึ้น บางคนว่า พูดอย่างน้ีเป็นปัจจัตตังในตัวเอง มันก็ ไม่เป็นสาธารณะทั่วไป ปัจจัตตัง นี่เป็นสาธารณะ ไม่ใช่เร่ืองลึกลับซับซ้อน เฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นเร่ืองสาธารณะท่ัวไป ทที่ กุ คนมอี ยแู่ ลว้ คา� วา่ ปจั จตั ตงั เปน็ เรอ่ื งงา่ ย ๆ พระพทุ ธเจา้ ทรงบอกวา่ เปน็ เรอื่ งงา่ ย ๆ กค็ อื สง่ิ ทเ่ี รารบั รใู้ นเรานนั่ แหละ คอื ปัจจัตตังของเรา เช่น เรานั่งอยู่ เรารู้สึกอย่างไร ถามว่า ความ รู้สึกที่เรารู้สึกอยู่น่ี คนอ่ืนรู้สึกกับเราได้ไหม เป็นปัจจัตตังนะ นค่ี อื เรอ่ื งเฉพาะเรา เปน็ เรอื่ งเฉพาะบคุ คล หากเรานงั่ คนอนื่ นงั่ แลว้ รอบ ๆ ขา้ งเรากเ็ หน็ คนทน่ี งั่ เราสามารถหมายรไู้ ดไ้ หมวา่ เม่ือนั่งแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน ก�าหนดหมายรู้ได้
“รู้อตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” 113 ใช่ไหมอนุมานได้ เพราะฉะน้ันอนุมานจึงไม่แตกต่างกันเลย สภาพธรรมท่ีเห็น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็น สาวกเห็น หรือ ใครก็ตามที่ไปเห็นธรรมชาติแห่งความจริงน้ัน คืออนุมาน ได้เลยว่า เห็นอันน้ี รู้อันนี้ เข้าใจอันนี้ แต่เวลาเกิดมันเกิด เฉพาะตน พอเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นค�าว่า ปัจจัตตัง ไม่ใช่ เรอื่ งลกึ ลบั ทไี่ มส่ ามารถทจ่ี ะอธบิ ายได้ เปน็ สง่ิ ทป่ี รากฏในชวี ติ เราท้ังน้ัน ทุกข์มีมากเท่าไหร่ เราทราบดีอยู่ในใจเรา แล้วทุกข์ หมดไปเท่าไร เราทราบดีอยู่ในใจเรา ว่าหมดไปได้ ฉะนน้ั สง่ิ ทพ่ี ระพทุ ธเจาทรงตรสั พระองคตรสั ทง้ั หมด มิใชเพียงแคใหเราทรงจําเร่ืองราวเหลานั้นไวนะ แตส่ิงที่ พระองคทรงตรัสไวพระองคตองการใหเราเขาถึง ทีนี้การ เขาถึงของพวกเรา มักจะติดขัดอยูตรงที่วา เราถูกสอนมา อยางน้ี เราถูกบอกมาอยางน้ี เราก็ทําตามที่บอกที่สอน เราตองมีสมาธิกอน ตองทรงสมาธิกอน มันเหมือนกับวา มันเปนเรื่องยุงยาก ที่เราไมสามารถเขาไปทําอะไรไดเลย เราตองรอทาํ สมาธทิ กุ คราว แตวธิ กี ารทอี่ าตมาบอก ไมยากเลย สามารถเขาถึงไดเลย อะไรเกิดในจิตก็รูขณะน้ัน แลวก็ใช หลักการท่ีเราเรียนรูมา เขาไปวิเคราะหทําความเขาใจ ในขณะนั้นเลย สามารถเขาถึงไดเลย ไมตองรอเวลา
114 “ร้อู ตั ตาเพื่อละอตั ตา” เขาบอก อาว ถาไมมีสมาธิแลวจะเปนเคร่ือง รองรับปญญา แลวจะกอใหเกิดปญญาไดอยางไร อยางที่ อาตมาบอกแลววา สมาธิของอาตมา แตกตางจากสมาธิ ในความหมายท่ีเราไดยินได งมา เพราะฉะน้ัน การที่ อาตมาจะไดยินได งจากใครมาก็ตาม ตราบใดท่ีอาตมา ไมรูชัดในตน ไมเคยเกิดความเขาใจในตน ก็แคไดยิน ได งมาเทาน้ันเอง แคเรื่องไดยินมา แคเร่ืองได งมา ทาํ ประโยชนอะไรได ไดยนิ ได งกนั มาเทาไหร กเิ ลสหมดไปไหม แตเมอ่ื เขาไปถงึ ได เพราะฉะนนั้ ในวธิ กี ารปฏบิ ตั ขิ องอาตมา ปฏิบัติเลยพิจารณาเลย รูเลยในขณะน้ัน เวลาสมาธิเกิด มันเกิดแบบอัศจรรย์มาก อัศจรรย์จน อาตมาก็แทบควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฟั่นเฟือนอะไรนะ หมายถึงว่า เวลาเขาเกิดข้ึนเองด้วยตัวของเขา มันเป็นปัจจัย ท่ีก่อให้เกิดด้วยตัวของเขา เพราะสมาธิเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เมื่อเขาจะเกิดก็เกิดด้วยปัจจัยของเขาเอง ปัจจัยเพียงพอ ก็จะเกิด คือ อาตมาพิจารณาธรรมเพียงพอแล้ว พอจะ พิจารณาต่อไป ก็พิจารณาต่อไม่ได้ เพราะในความรู้สึก ภายในใจ บอกว่าต้องไปนั่ง ไม่น่ังไม่ได้ จะเดินต่อก็เดินไม่ได้
“ร้อู ตั ตาเพือ่ ละอัตตา” 115 ก็เลยเดินไปนั่ง พอน่ังปุ๊บเขาก็เป็นของเขาเองโดยอัตโนมัติ สมาธินั้นเป็นสมาธิที่ไม่ได้แทรกไปด้วยการปรุงแต่ง ไม่ได้แทรก ไปดว้ ยอตั ตา หรอื ไมไ่ ดแ้ ทรกไปดว้ ยรปู แบบใด ๆ แตเ่ กดิ ขน้ึ มา ท�าหน้าที่ในอริยมรรค และท�าลายอาสวะ เพื่อให้องค์มรรค บรบิ รู ณใ์ นตวั ของมนั มนั ตอ้ งเกดิ มนั ไมเ่ กดิ ไมไ่ ด้ เพราะสมาธิ ส�าคัญมาก มรรคไม่บริบูรณ์ ท�าลายอาสวะไม่ได้เด็ดขาด สิ่งเหล่าน้ีจะตามมา โพธิปักขิยธรรม อาตมาบอกได้เลย ว่าเราไม่ไปเรียน โพธิปักขิยธรรม เราไม่ต้องไปเรียน อิทธิบาท ๔ กไ็ ด้ เราไมต่ อ้ งไปเรยี นอะไรทม่ี ากเกนิ ไป ทเี่ ราจะเอามาปฏบิ ตั ิ จริง ๆ อยู่แค่เพียงเพ่งดูความจริงท่ีก�าลังเกิดและปรากฏอยู่ กับตัวเราในขณะนี้ ถามว่าเรียนผิดไหม ก็ไม่ผิดหรอก ก็เป็น ผลดีมาก อาตมาบอกได้เลยว่า ถ้าใครสามารถปฏิบัติตาม ท่ีอาตมาแนะน�า อยู่ในหลักการนี้ สงสัยถามได้ แล้วถาม อาตมาแนะน�าไป คลายความสงสัยได้ จะเกิดเป็นความรู้ พอเกิดเป็นความรู้ ก็จะเกิดเป็นเส้นทางในจิต เส้นทางในจิต มันจะเดินในตัวของมัน ก็จะไปถึงจุดแห่งความรู้น้ันได้
116 “รู้อตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” ปุจฉา เวลาพจิ ารณาเกดิ -ดบั เหน็ เกดิ เหน็ มนั คงอยู่แตต่ อนดบั ไม่ค่อยเห็น เหมือนก�าลังจ้อง ๆ แล้วมีความรู้สึกอย่างอื่น มาแทรก เราก็กลับมาใหม่มันก็ไม่ทันกัน ไม่เห็นดับ ไม่ทราบ จะปฏิบัติอย่างไร วิสัชชนา ก็ปฏิบัติอย่างน้ีแหละ อย่าไปเปลี่ยนวิธี ใช้วิธีการ นแ้ี หละ นนั่ หมายถงึ วา่ กา� ลงั ของความเหน็ ยงั ไมพ่ อ เมอื่ กา� ลงั ของความเห็นยังไม่พอ ก็ยังไม่สามารถท่ีจะไปรอบรู้ในสภาพ ขณะแห่งการเกิดของส่ิงน้ัน มันก็จะไม่ทราบการดับ เพราะ มันยังไม่พอ ให้พิจารณาแบบน้ีไปก่อน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123